• 77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์”

    “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี

    ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก

    โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี
    ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน

    เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์...
    "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด

    เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี?
    "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน

    เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น

    หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492

    บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่
    "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย

    ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้
    ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง

    คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก

    สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ
    สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่

    1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง
    คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    2. สัจจะ (Satya) ความจริง
    เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ

    3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ
    คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา

    ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์
    เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473
    คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด

    ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485
    คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก

    ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่

    มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก
    แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น

    ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา
    ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้
    ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต

    คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ
    การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก

    🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก
    🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย
    💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม

    77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568

    #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์” “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์... "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี? "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492 บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้ ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่ 1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด 2. สัจจะ (Satya) ความจริง เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ 3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473 คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485 คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่ มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้ ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก 🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก 🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย 💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม 77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568 #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • [1]
    ***ราชา ***กษัตริย์ ราชา... เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร... ท่านผู้ถึง พร้อมด้วยวิชา และจรณะ... เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดา และมนุษย์...{อัมพัฏฐสูตร}


    {จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม11/หน้า511/บรรทัด18}
    {จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม11/หน้า434/บรรทัด9}
    {จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม15/หน้า165/บรรทัด3}
    {จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม15/หน้า161/บรรทัด17}
    http://www.tripitaka91.com/11-512-2.html
    http://www.tripitaka91.com/11-511-18.html#middle
    http://www.tripitaka91.com/15-165-3.html
    http://www.tripitaka91.com/15-164-18.html#middle
    http://www.tripitaka91.com/91book/book11/501_550.htm#512
    www.tripitaka91.com (เว็ปพระไตรปิฏก)








    >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร]






    ***[พระพุทธเจ้าตรัส]... ดูก่อนอัมพัฏฐะ...ก็คาถานี้นั้น สนังกุมารพรหมขับถูกไม่ผิด... กล่าวไว้ถูกไม่ผิด... ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์...
    [เราเห็นด้วย]








    ***[พระพุทธเจ้าตรัส]... ดูก่อนอัมพัฏฐะ... [ถึงเรา ก็กล่าวเช่นนี้ว่า กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด]... ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดา และมนุษย์.





    >>>จบ ภาณวาร ที่ ๑











    >>>>(หมายเหตุ)<<<<<

    ****[อกาลิโก]….หมายความว่า พระธรรมพระวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกสูตรทุกข้อนั้น….(ไม่มียุคสมัยไม่ประกอบด้วยกาล ไม่มีกำหนดจำกัดอายุกาลเวลา)…. ให้ผลทุกเมื่อทุกโอกาสทุกเวลา ทุกยุคทุกสมัยตามลำดับแห่งการปฏิบัติ…. (จริงแท้อยู่ตลอดอนันตกาล)….ด้วยเหตุนี้ พระธรรมพระวินัย จึงไม่ประกอบด้วยกาล ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา.




    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม34/หน้า186/บรรทัด12-13]
    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม34/หน้า189/บรรทัด13]
    www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก}
    http://www.tripitaka91.com/34-186-12.html#middle
    http://www.tripitaka91.com/34-186-13.html#middle
    http://www.tripitaka91.com/91book/book34/151_200.htm#186









    [2]
    >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร]






    ***[พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า]…. สาวิตฺติ ฉนฺทโส มุขํ ฉันท์ทั้งหลายมีสาวิตติฉันท์ เป็นประมุข เพราะอันผู้สาธยายพระเวททั้งหลายต้องสาธยายก่อน.



    ***พระราชาท่านกล่าวว่า… เป็นประมุข เพราะประเสริฐที่สุดกว่ามนุษย์ทั้งหลาย.



    >>>>เสลสูตรที่ ๗
    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม47/หน้า554/บรรทัด8]
    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม47/หน้า451/บรรทัด23]
    http://www.tripitaka91.com/47-554-8.html
    www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก}






    [3]

    >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร]







    ***อนึ่ง พระราชาผู้เป็นกษัตริย์ แม้ทรงพระเยาว์ … เป็นกษัตริย์ผู้ได้รับ มุรธาภิเษกแล้ว หรือจะเป็นพราหมณ์ก็ตาม ก็เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้ของชนที่เหลือ … ชื่อว่า ชาติวุฑฒะ ผู้เจริญโดยชาติ.




    >>>อ.กิงสีลสูตร
    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม47/หน้า277/บรรทัด1]
    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม47/หน้า221/บรรทัด1]
    http://www.tripitaka91.com/47-277-1.html#middle
    www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก}
    [1] ***ราชา ***กษัตริย์ ราชา... เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร... ท่านผู้ถึง พร้อมด้วยวิชา และจรณะ... เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดา และมนุษย์...{อัมพัฏฐสูตร} {จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม11/หน้า511/บรรทัด18} {จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม11/หน้า434/บรรทัด9} {จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม15/หน้า165/บรรทัด3} {จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม15/หน้า161/บรรทัด17} http://www.tripitaka91.com/11-512-2.html http://www.tripitaka91.com/11-511-18.html#middle http://www.tripitaka91.com/15-165-3.html http://www.tripitaka91.com/15-164-18.html#middle http://www.tripitaka91.com/91book/book11/501_550.htm#512 www.tripitaka91.com (เว็ปพระไตรปิฏก) >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร] ***[พระพุทธเจ้าตรัส]... ดูก่อนอัมพัฏฐะ...ก็คาถานี้นั้น สนังกุมารพรหมขับถูกไม่ผิด... กล่าวไว้ถูกไม่ผิด... ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์... [เราเห็นด้วย] ***[พระพุทธเจ้าตรัส]... ดูก่อนอัมพัฏฐะ... [ถึงเรา ก็กล่าวเช่นนี้ว่า กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด]... ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดา และมนุษย์. >>>จบ ภาณวาร ที่ ๑ >>>>(หมายเหตุ)<<<<< ****[อกาลิโก]….หมายความว่า พระธรรมพระวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกสูตรทุกข้อนั้น….(ไม่มียุคสมัยไม่ประกอบด้วยกาล ไม่มีกำหนดจำกัดอายุกาลเวลา)…. ให้ผลทุกเมื่อทุกโอกาสทุกเวลา ทุกยุคทุกสมัยตามลำดับแห่งการปฏิบัติ…. (จริงแท้อยู่ตลอดอนันตกาล)….ด้วยเหตุนี้ พระธรรมพระวินัย จึงไม่ประกอบด้วยกาล ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา. [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม34/หน้า186/บรรทัด12-13] [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม34/หน้า189/บรรทัด13] www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก} http://www.tripitaka91.com/34-186-12.html#middle http://www.tripitaka91.com/34-186-13.html#middle http://www.tripitaka91.com/91book/book34/151_200.htm#186 [2] >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร] ***[พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า]…. สาวิตฺติ ฉนฺทโส มุขํ ฉันท์ทั้งหลายมีสาวิตติฉันท์ เป็นประมุข เพราะอันผู้สาธยายพระเวททั้งหลายต้องสาธยายก่อน. ***พระราชาท่านกล่าวว่า… เป็นประมุข เพราะประเสริฐที่สุดกว่ามนุษย์ทั้งหลาย. >>>>เสลสูตรที่ ๗ [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม47/หน้า554/บรรทัด8] [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม47/หน้า451/บรรทัด23] http://www.tripitaka91.com/47-554-8.html www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก} [3] >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร] ***อนึ่ง พระราชาผู้เป็นกษัตริย์ แม้ทรงพระเยาว์ … เป็นกษัตริย์ผู้ได้รับ มุรธาภิเษกแล้ว หรือจะเป็นพราหมณ์ก็ตาม ก็เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้ของชนที่เหลือ … ชื่อว่า ชาติวุฑฒะ ผู้เจริญโดยชาติ. >>>อ.กิงสีลสูตร [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม47/หน้า277/บรรทัด1] [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม47/หน้า221/บรรทัด1] http://www.tripitaka91.com/47-277-1.html#middle www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก}
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว – เพชรบูรณ์
    อีกหนึ่งวัดสวยงามอลังการตา ที่ต้องมาเมื่อมาเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวภาคเหนือ ต้องยกให้ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว หรือ วัดพระธาตุผาแก้ว หนึ่งใน เพชรบูรณ์ที่เที่ยว ค่ะ ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาของหมู่บ้านทางแดง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์
    วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ในนาม “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัด เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ โดยมีพระครูปลัด ปารมี สุรยุทโธ เป็นเจ้าอาวาส

    เจดีย์พระธาตุผาแก้ว สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี และเป็นที่สืบพระศาสนาให้ดำรงอยู่คู่แผ่นดินไทย เพื่อประโยชน์แก่มนุษยชาติและคนรุ่นหลัง ได้มีโอกาสเรียนรู้ต่อไป บนยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ความพิเศษของเจดีย์ คือ ลวดลายการตกแต่งด้วยถ้วยกระเบื้อง หินสีต่าง ๆ ดูงดงามแปลกตาและบริเวณใต้ฐานพระเจดีย์ใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหลักธรรมคำสอน ภาพปริศนาธรรม และเป็นที่เจริญสติภาวนา สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป

    การเดินทาง : เดินทางมาได้ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว - จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี และใช้เส้นทางหมายเลข 21 สระบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ เมื่อ ผ่านตัวเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์มาสักระยะ จนใกล้หลักกิโลเมตรที่ 260 ให้สังเกตอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมืองทางซ้ายมือ และเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 หล่มสัก พิษณุโลก ขับต่อไปยัง ทางหลวงหมายเลข 12 ประมาณ 30 นาที หลักกิโลเมตรที่ 103 มีจุดสังเกตคือ อบต.แคมป์สนอยู่ทางขวามือ และธนาคารกสิกรไทย เยื้องขึ้นไปทางซ้ายมือ ตรงไปกลับรถ และจะเห็นป้าย พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว อยู่ปากซอยทางเข้า หมู่บ้านทางแดง ซึ่งอยู่ด้านข้าง อบต.แคมป์สน เลี้ยวซ้ายเข้าไป ตรงตลอดจนเห็นสะพานทางเข้าวัด เลี้ยวขวาข้ามสะพานและจอดรถ ณ บริเวณที่จัดไว้

    #วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
    #ท่องเที่ยว
    วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว – เพชรบูรณ์ อีกหนึ่งวัดสวยงามอลังการตา ที่ต้องมาเมื่อมาเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวภาคเหนือ ต้องยกให้ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว หรือ วัดพระธาตุผาแก้ว หนึ่งใน เพชรบูรณ์ที่เที่ยว ค่ะ ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาของหมู่บ้านทางแดง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ในนาม “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัด เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ โดยมีพระครูปลัด ปารมี สุรยุทโธ เป็นเจ้าอาวาส เจดีย์พระธาตุผาแก้ว สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี และเป็นที่สืบพระศาสนาให้ดำรงอยู่คู่แผ่นดินไทย เพื่อประโยชน์แก่มนุษยชาติและคนรุ่นหลัง ได้มีโอกาสเรียนรู้ต่อไป บนยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ความพิเศษของเจดีย์ คือ ลวดลายการตกแต่งด้วยถ้วยกระเบื้อง หินสีต่าง ๆ ดูงดงามแปลกตาและบริเวณใต้ฐานพระเจดีย์ใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหลักธรรมคำสอน ภาพปริศนาธรรม และเป็นที่เจริญสติภาวนา สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป การเดินทาง : เดินทางมาได้ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว - จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี และใช้เส้นทางหมายเลข 21 สระบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ เมื่อ ผ่านตัวเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์มาสักระยะ จนใกล้หลักกิโลเมตรที่ 260 ให้สังเกตอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมืองทางซ้ายมือ และเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 หล่มสัก พิษณุโลก ขับต่อไปยัง ทางหลวงหมายเลข 12 ประมาณ 30 นาที หลักกิโลเมตรที่ 103 มีจุดสังเกตคือ อบต.แคมป์สนอยู่ทางขวามือ และธนาคารกสิกรไทย เยื้องขึ้นไปทางซ้ายมือ ตรงไปกลับรถ และจะเห็นป้าย พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว อยู่ปากซอยทางเข้า หมู่บ้านทางแดง ซึ่งอยู่ด้านข้าง อบต.แคมป์สน เลี้ยวซ้ายเข้าไป ตรงตลอดจนเห็นสะพานทางเข้าวัด เลี้ยวขวาข้ามสะพานและจอดรถ ณ บริเวณที่จัดไว้ #วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว #ท่องเที่ยว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความถึงท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 2
    นี่คือฉบับถ่ายทำนะครับ
    ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ฉบับถ่ายทำที่มีการร้องและการเตรียมการมาเป็นอย่างดีแล้วก็ตามที แต่ก็ดูเหมือนมันจะกลายมาเป็นต้นฉบับที่มีความลงตัวในตัวของมันเองเลยทีเดียวเชียว
    และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ตามที คำสอนของพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ของท่านก็จะยังคงมีผู้ที่คอยสืบทอดและสานต่อไปอย่างแน่นอน ผมคิดไว้อย่างนั้นจริงๆ
    และอย่างน้อยผมก็เป็นคนหนึ่งในนั้นที่สานต่องานของท่าน ถึงแม่ว่าผมจะไม่มีความสามารถมากมายอะไรนัก แต่ผมก็ขอที่จะเป็นคนดีและทำความดีถวายให้เป็นพลีของแผ่นดินให้กับบรรพชน และท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ต่อไปตลอดไปตราบจนชั่วชีวิตนี้จักหาไม่อย่างแน่นอน
    ดังตัวอย่างที่คนโบราณท่านได้เคยพูดเอาไว้ว่า "แผ่นดินไทย ไม่สิ้นคนดี" อย่างแน่นอน
    ในยูทูปที่ชื่อ 13 ตุลา หนึ่งทุ่มตรง โดย ธเนศ วรากุลนุเคราะห์
    บทความถึงท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 2 นี่คือฉบับถ่ายทำนะครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ฉบับถ่ายทำที่มีการร้องและการเตรียมการมาเป็นอย่างดีแล้วก็ตามที แต่ก็ดูเหมือนมันจะกลายมาเป็นต้นฉบับที่มีความลงตัวในตัวของมันเองเลยทีเดียวเชียว และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ตามที คำสอนของพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ของท่านก็จะยังคงมีผู้ที่คอยสืบทอดและสานต่อไปอย่างแน่นอน ผมคิดไว้อย่างนั้นจริงๆ และอย่างน้อยผมก็เป็นคนหนึ่งในนั้นที่สานต่องานของท่าน ถึงแม่ว่าผมจะไม่มีความสามารถมากมายอะไรนัก แต่ผมก็ขอที่จะเป็นคนดีและทำความดีถวายให้เป็นพลีของแผ่นดินให้กับบรรพชน และท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ต่อไปตลอดไปตราบจนชั่วชีวิตนี้จักหาไม่อย่างแน่นอน ดังตัวอย่างที่คนโบราณท่านได้เคยพูดเอาไว้ว่า "แผ่นดินไทย ไม่สิ้นคนดี" อย่างแน่นอน ในยูทูปที่ชื่อ 13 ตุลา หนึ่งทุ่มตรง โดย ธเนศ วรากุลนุเคราะห์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำ
    นับวันโลกใบนี้ยิ่งอยู่กันยากมากขึ้นทุกวันๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ที่กลุ่มบุคคลที่มีพวกพ้องมากนั่นเอง และก็จะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆมากมาย ยิ่งคนที่เป็นผู้นำกลุ่มแล้วด้วย ถ้าเป็นคนที่ดีก็ดีไป และก็ดีมากๆด้วย แต่ถ้าเป็นคนที่ชั่วล่ะก็ ฉิบหายแม่งมันทั้งโคตรตระกูลโคตรเหง้ากันเลยทีเดียว “ผู้นำที่ดีก็ดีไป ผู้นำที่ชั่วก็ชั่วไป” ค่าของคนไม่ได้วัดกันที่คนมากหรือน้อย ไม่ได้วัดกันที่มีชื่อเสียงมากดีหรือไม่ ไม่ได้วัดกันที่มีอิทธิพลมากหรือเปล่า แต่วัดกันที่คุณงามความดีในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ที่ผลงานอย่างที่ใครๆหลายๆคนเข้าใจกัน ซึ่งบางคนเค้าก็ไม่ได้มีงานทำ ไม่ได้มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ในแบบที่จะสามารถจับต้องกันได้ ก็ไม่มีผลงานออกมา และแม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่มีผลงานที่จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่ท่านมี “ความดี” มี “ธรรมะ” มี “สาระ” และเป็นแก่นสารในตัวของท่านเอง ท่านไม่เคยชักจูงใครให้หลงใหลไปกับท่าน และแถมยังมีแม้แต่คำสอนของท่านเองที่ยังหักล้างในตัวของท่านเองเลยว่า “ห้ามให้เชื่อโดยปราศจากเหตุและผล” ถ้าตัวของท่านเองไม่มี “เหตุผล” ไม่มี “ธรรม” ซึ่งก็คือ “ปัญญา” ความรอบรู้ในทุกโลกหล้า ในทุกอณูของจักรวาล ในทุกดวงจิตวิญญาณแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเชื่อถือเคารพศรัทธาในตัวของท่านเองเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่มันไม่ใช่ ใช่มั้ย ก็เพราะว่าท่านเป็นถึง “พุทธะ” ซึ่งก็คือ “ผู้รู้” และแถมด้วย “รู้แจ้งเห็นจริงทุกสรรพสิ่ง” ศาสนาของท่านถึงได้มีผู้คนศรัทธานับถือมากมายมาจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง
    เรามาเปรียบเทียบกันว่าระหว่างคนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำว่ามันแตกต่างกันอย่างไร
    คนที่มีจิตใจสูงก็คือ “คนดี” นั่นเอง โดยสรุปย่อๆง่ายๆ แต่เรามาขยายความต่อกันเลยว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงมักจะเป็นคนที่มีคุณงามความดีอยู่ในตัวเอง เป็นคนที่ไม่คิดพูดทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่ถูกต้องต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่ขนาดไหนอย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วก็คือคนที่มี “หิริ” กับ “โอตัปปะ” ซึ่งก็คือ ความละอายความชั่วกลัวเกรงต่อบาปกรรมความชั่วความเลวต่างๆในทุกประเภททั้งหมดโดยไม่มีการยกเว้นเลยแม้แต่เรื่องเดียว พูดไปพูดมามันก็เหมือนกับว่ามันทำกันได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นมันไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆเลย และเป็นเรื่องที่ยากมากๆเลยด้วย โดยเฉพาะกับคนที่เป็นเพียงแค่คนปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ แต่กับในคนวิญญูชนนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับพวกเค้า ก็เพราะว่าเค้าคนนั้นได้ผ่านพ้นจากการเป็นคนปุถุชนมาแล้วนั่นเอง ซึ่งกว่าคนปุถุชนจะมากลายเป็นคนวิญญูชนนั้นมันมักจะต้องพานพบเจอกับตัวอุปสรรคขวากหนามต่างๆมามากมายและกับตัวปัญหาที่ยากยิ่งมาก่อน ซึ่งในจำพวกนี้ก็คือ “เจ้ากรรม นายเวร อริศัตรู และบททดสอบจากเบื้องบน” นั่นเอง และเค้าคนนั้นก็ได้สัมผัสรับรู้ซึ้งได้ถึงสัจธรรมของชีวิตและได้บรรลุธรรมแล้วด้วยดีอย่างลึกซึ้งจนถึงขั้นปล่อยปลดลดละวางซึ่งกิเลสตัวตนของเค้าเอง และได้ค้นพบหนทางสว่างในวิถีชีวิตของตนเองว่าต่อจากนี้ไปจะดำเนินชีวิตไปในทางใดอย่างไรให้มีความสุขและเป็นปกติสุขในแบบฉบับของตนเองจนกว่าร่างกายจะละสังขารของตนเองไปสู่ชีวิตที่เป็นนิรันดร์ในชาติภพหน้าต่อไป นี่คือคนที่มีจิตใจสูง
    แล้วเรามาว่ากันถึงคนที่มีจิตใจต่ำกันบ้างว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจต่ำนั้นโดยทั่วไปเรามักจะเรียกขานกันว่าเป็น “คนชั่ว” นั่นเอง แต่เราจะมาอธิบายกันให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีกคือ คนประเภทนี้นั้นมักจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ชอบเอาแต่ใจของตนเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจผู้อื่นว่าตนเองจะทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจหรือไม่อย่างไรในการกระทำของตนเอง ชอบยกตนข่มท่าน ชอบเอาชนะ โลภโมโทสัน มักโกรธโมโหง่าย เลือดร้อนวู่วามบ้าคลั่ง ไม่คิดหน้าระวังหลัง ชื่นชอบอบายมุก เจ้าชู้ประตูดิน ลุ่มหลงมัวเมา และจิตใจเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ชอบอวดเบ่งใหญ่โต วางก้ามเป็นคนอันธพาลขวางคลองคูเมือง นึกว่าตนเองยิ่งใหญ่คับฟ้าทั่วแผ่นดิน มักทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่เป็นโต มักใหญ่ใฝ่สูง บ้าอำนาจ ชอบฆ่าชอบทำลายล้างผลาญ นิสัยโดยรวมแล้วแย่มาก เอาเป็นว่านี่เป็นคนที่ไม่มีธรรมในจิตใจ ไม่มีความดีงามในตัวของตัวเองเลย คนจำพวกนี้มักมีอยู่ทั่วไปในสังคมเรา ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เห็นแก่ตัวก็เป็นคนชั่วด้วย และก็ชอบที่จะมีความสุขบนความทุกข์ของคนดี เพราะอยู่ในสังคมของคนชั่วเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าจะไม่มีใครยอมใคร และจะฆ่ากันเองนั่นเอง และไม่สามารถที่จะอยู่ในหมู่ของคนดีได้อีกด้วย ก็เพราะว่าไม่มีคนดีที่ไหนเค้ายอมรับในนิสัยสันดานความประพฤติชั่วได้ พอตัวเองใกล้จะตายก็ทุรนทุรายและก็ตกนรกลงหลุมกันทุกราย คนจำพวกนี้มักจะกลัวมากๆเพียงอย่างเดียวคือ “กลัวตาย” แต่ไม่กลัวลงนรก เพราะไม่เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรม พอตายลงไปแล้วก็มาขอส่วนบุญคนอื่น ซึ่งก็สมควรกับการกระทำของตนเองอย่างยิ่งแล้ว นี่คือคนที่มีจิตใจต่ำนั่นเอง
    สุดท้ายแล้ว ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะเลือกเดินบนทางเดินของตนเองที่จะไปในทิศทางใดนั้นก็มักจะได้เป็นไปในแบบนั้น “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” “ทำอย่างไรได้อย่างนั้น” มันเป็นกฎแห่งกรรม มันเป็นสัจธรรม ไม่มีใครหลีกหนีกรรมพ้นไปได้ กรรมคือการกระทำ “ทำกรรมดีย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว” ตอบแทนกรรมกลับไป กรรมยุติธรรมเสมอ แล้วคุณหล่ะ จะเลือกเดินไปในทิศทางใดแบบไหน จะเลือกเป็นคนที่มีจิตใจสูงหรือต่ำ คุณเลือกได้ตั้งแต่บัดนี้นะ เลือกให้ดีก็แล้วกัน ก่อนที่จะหมดโอกาสที่จะได้เลือกอีกตลอดไป เลือกให้ทันก่อนที่คุณจะตายลงไปก็แล้วกัน
    คนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำ นับวันโลกใบนี้ยิ่งอยู่กันยากมากขึ้นทุกวันๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ที่กลุ่มบุคคลที่มีพวกพ้องมากนั่นเอง และก็จะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆมากมาย ยิ่งคนที่เป็นผู้นำกลุ่มแล้วด้วย ถ้าเป็นคนที่ดีก็ดีไป และก็ดีมากๆด้วย แต่ถ้าเป็นคนที่ชั่วล่ะก็ ฉิบหายแม่งมันทั้งโคตรตระกูลโคตรเหง้ากันเลยทีเดียว “ผู้นำที่ดีก็ดีไป ผู้นำที่ชั่วก็ชั่วไป” ค่าของคนไม่ได้วัดกันที่คนมากหรือน้อย ไม่ได้วัดกันที่มีชื่อเสียงมากดีหรือไม่ ไม่ได้วัดกันที่มีอิทธิพลมากหรือเปล่า แต่วัดกันที่คุณงามความดีในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ที่ผลงานอย่างที่ใครๆหลายๆคนเข้าใจกัน ซึ่งบางคนเค้าก็ไม่ได้มีงานทำ ไม่ได้มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ในแบบที่จะสามารถจับต้องกันได้ ก็ไม่มีผลงานออกมา และแม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่มีผลงานที่จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่ท่านมี “ความดี” มี “ธรรมะ” มี “สาระ” และเป็นแก่นสารในตัวของท่านเอง ท่านไม่เคยชักจูงใครให้หลงใหลไปกับท่าน และแถมยังมีแม้แต่คำสอนของท่านเองที่ยังหักล้างในตัวของท่านเองเลยว่า “ห้ามให้เชื่อโดยปราศจากเหตุและผล” ถ้าตัวของท่านเองไม่มี “เหตุผล” ไม่มี “ธรรม” ซึ่งก็คือ “ปัญญา” ความรอบรู้ในทุกโลกหล้า ในทุกอณูของจักรวาล ในทุกดวงจิตวิญญาณแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเชื่อถือเคารพศรัทธาในตัวของท่านเองเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่มันไม่ใช่ ใช่มั้ย ก็เพราะว่าท่านเป็นถึง “พุทธะ” ซึ่งก็คือ “ผู้รู้” และแถมด้วย “รู้แจ้งเห็นจริงทุกสรรพสิ่ง” ศาสนาของท่านถึงได้มีผู้คนศรัทธานับถือมากมายมาจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง เรามาเปรียบเทียบกันว่าระหว่างคนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำว่ามันแตกต่างกันอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงก็คือ “คนดี” นั่นเอง โดยสรุปย่อๆง่ายๆ แต่เรามาขยายความต่อกันเลยว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงมักจะเป็นคนที่มีคุณงามความดีอยู่ในตัวเอง เป็นคนที่ไม่คิดพูดทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่ถูกต้องต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่ขนาดไหนอย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วก็คือคนที่มี “หิริ” กับ “โอตัปปะ” ซึ่งก็คือ ความละอายความชั่วกลัวเกรงต่อบาปกรรมความชั่วความเลวต่างๆในทุกประเภททั้งหมดโดยไม่มีการยกเว้นเลยแม้แต่เรื่องเดียว พูดไปพูดมามันก็เหมือนกับว่ามันทำกันได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นมันไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆเลย และเป็นเรื่องที่ยากมากๆเลยด้วย โดยเฉพาะกับคนที่เป็นเพียงแค่คนปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ แต่กับในคนวิญญูชนนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับพวกเค้า ก็เพราะว่าเค้าคนนั้นได้ผ่านพ้นจากการเป็นคนปุถุชนมาแล้วนั่นเอง ซึ่งกว่าคนปุถุชนจะมากลายเป็นคนวิญญูชนนั้นมันมักจะต้องพานพบเจอกับตัวอุปสรรคขวากหนามต่างๆมามากมายและกับตัวปัญหาที่ยากยิ่งมาก่อน ซึ่งในจำพวกนี้ก็คือ “เจ้ากรรม นายเวร อริศัตรู และบททดสอบจากเบื้องบน” นั่นเอง และเค้าคนนั้นก็ได้สัมผัสรับรู้ซึ้งได้ถึงสัจธรรมของชีวิตและได้บรรลุธรรมแล้วด้วยดีอย่างลึกซึ้งจนถึงขั้นปล่อยปลดลดละวางซึ่งกิเลสตัวตนของเค้าเอง และได้ค้นพบหนทางสว่างในวิถีชีวิตของตนเองว่าต่อจากนี้ไปจะดำเนินชีวิตไปในทางใดอย่างไรให้มีความสุขและเป็นปกติสุขในแบบฉบับของตนเองจนกว่าร่างกายจะละสังขารของตนเองไปสู่ชีวิตที่เป็นนิรันดร์ในชาติภพหน้าต่อไป นี่คือคนที่มีจิตใจสูง แล้วเรามาว่ากันถึงคนที่มีจิตใจต่ำกันบ้างว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจต่ำนั้นโดยทั่วไปเรามักจะเรียกขานกันว่าเป็น “คนชั่ว” นั่นเอง แต่เราจะมาอธิบายกันให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีกคือ คนประเภทนี้นั้นมักจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ชอบเอาแต่ใจของตนเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจผู้อื่นว่าตนเองจะทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจหรือไม่อย่างไรในการกระทำของตนเอง ชอบยกตนข่มท่าน ชอบเอาชนะ โลภโมโทสัน มักโกรธโมโหง่าย เลือดร้อนวู่วามบ้าคลั่ง ไม่คิดหน้าระวังหลัง ชื่นชอบอบายมุก เจ้าชู้ประตูดิน ลุ่มหลงมัวเมา และจิตใจเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ชอบอวดเบ่งใหญ่โต วางก้ามเป็นคนอันธพาลขวางคลองคูเมือง นึกว่าตนเองยิ่งใหญ่คับฟ้าทั่วแผ่นดิน มักทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่เป็นโต มักใหญ่ใฝ่สูง บ้าอำนาจ ชอบฆ่าชอบทำลายล้างผลาญ นิสัยโดยรวมแล้วแย่มาก เอาเป็นว่านี่เป็นคนที่ไม่มีธรรมในจิตใจ ไม่มีความดีงามในตัวของตัวเองเลย คนจำพวกนี้มักมีอยู่ทั่วไปในสังคมเรา ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เห็นแก่ตัวก็เป็นคนชั่วด้วย และก็ชอบที่จะมีความสุขบนความทุกข์ของคนดี เพราะอยู่ในสังคมของคนชั่วเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าจะไม่มีใครยอมใคร และจะฆ่ากันเองนั่นเอง และไม่สามารถที่จะอยู่ในหมู่ของคนดีได้อีกด้วย ก็เพราะว่าไม่มีคนดีที่ไหนเค้ายอมรับในนิสัยสันดานความประพฤติชั่วได้ พอตัวเองใกล้จะตายก็ทุรนทุรายและก็ตกนรกลงหลุมกันทุกราย คนจำพวกนี้มักจะกลัวมากๆเพียงอย่างเดียวคือ “กลัวตาย” แต่ไม่กลัวลงนรก เพราะไม่เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรม พอตายลงไปแล้วก็มาขอส่วนบุญคนอื่น ซึ่งก็สมควรกับการกระทำของตนเองอย่างยิ่งแล้ว นี่คือคนที่มีจิตใจต่ำนั่นเอง สุดท้ายแล้ว ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะเลือกเดินบนทางเดินของตนเองที่จะไปในทิศทางใดนั้นก็มักจะได้เป็นไปในแบบนั้น “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” “ทำอย่างไรได้อย่างนั้น” มันเป็นกฎแห่งกรรม มันเป็นสัจธรรม ไม่มีใครหลีกหนีกรรมพ้นไปได้ กรรมคือการกระทำ “ทำกรรมดีย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว” ตอบแทนกรรมกลับไป กรรมยุติธรรมเสมอ แล้วคุณหล่ะ จะเลือกเดินไปในทิศทางใดแบบไหน จะเลือกเป็นคนที่มีจิตใจสูงหรือต่ำ คุณเลือกได้ตั้งแต่บัดนี้นะ เลือกให้ดีก็แล้วกัน ก่อนที่จะหมดโอกาสที่จะได้เลือกอีกตลอดไป เลือกให้ทันก่อนที่คุณจะตายลงไปก็แล้วกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
    การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดไปมันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกันได้โดยง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นมันเป็นกันได้โดยยากมาก ยากมากๆๆ
    มาดูคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียง 1ใน1ล้าน คนเท่านั้น และผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆนั้นมีเพียงแค่ 1ใน1พันล้าน คนเท่านั้นเอง
    คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีดังต่อไปนี้ คือ
    1.จะต้องเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งคนชั่วนั้นเป็นไม่ได้เลย ซึ่งหรือก็คือ คนชั่วนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
    2.จะต้องได้รับการยอมรับจากเบี้องบนก่อน นี่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ซึ่งนั่นก็คือ เหล่าพุทธะ หรือก็คือ เหล่าผู้รู้แจ้งแล้วนั่นเอง(เมื่อเป็นแล้วก็จะรู้เอง)จะรู้เองเห็นเองเหมือนกันกับพระอรหันต์นั่นแหล่ะ แต่ก็ยังด้อยกว่ามากนัก ซึ่งหมายถึงพวกที่มีความสามารถพิเศษในตัวตนของตนเองนั่นเอง
    3.จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมประจำใจเป็นของตนเอง และเคร่งครัดในศีลมากพอสมควร ซึ่งคนที่ไร้ศีลไร้ธรรมประจำใจของตนเองนั้นหมดสิทธิ์เป็นโดยสิ้นเชิง และยังจะต้องรักษาศีลได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่ละเมิดในศีลข้องต่างๆอย่างเด็ดขาด และจะต้องมีกฎเหล็กประจำตัวประจำใจเป็นของตนเองตามศาสนาหรือลัทธินั้นๆที่ตนเองเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
    4.จะต้องมีศาสนาหรือลัทธิ หรือซึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิที่ดีและถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากไปนับถือศาสนาหรือลัทธิที่ผิดๆที่แตกต่างไปจากการทำดีการเป็นคนที่ดีแล้วล่ะก็ๆจะหมดสิทธิที่จะได้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที
    5.จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากพอสมควร นี่ไม่ได้หมายถึงการที่มีภูมิความรู้เท่าทันผู้คนกลโกงคนอื่นๆที่มีมากมายก่ายกอง แต่นี่หมายถึงการที่จะต้องมีปัญญามากพอที่จะรับรู้ได้ในจิตใจของตนเองว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหมายถึงการมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้อย่างแม่นยำและแน่วแน่มั่นคงในตนเอง และถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่บริสิทธิ์ผุดผ่องกายใจ และไว้ใจผู้อื่นง่ายจนเกินไป หรือจะให้พูดโดยง่ายๆก็คือ เชื่อใจคนง่ายจนเกินไป ถูกหลอกได้โดยง่ายจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติในการเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป เป็นเพียงแค่บุคคลผู้นั้นเค้าอ่อนต่อโลกเกินไป หรือเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วจะหมดสิทธิ์หมดคุณสมบัติไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายข้อที่บุคคลผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พึงจะมีควรจะมีอีกด้วย
    6.จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย นี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัยในการต่อสู้รบตบมือกับใครเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบกฎระเบียบเก่าแก่คร่ำครึโบราณ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจในการทำกิจการงานต่างๆในทางที่ดีและถูกต้องชอบธรรมและเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดปราศจากความลังเลใจและเกรงกลัวใดๆ และยังต้องมีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาในสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะและเห็นสมควรว่ามันไม่ถูกต้องชอบธรรม และไม่มีการประนีประนอมยอมความกันหรือเกิดกลัวความผิดพลาดของตนเองต่อผู้อื่นที่ตนเองได้เคยกระทำลงไปแล้วนั่นเอง
    7.จะต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเคร่งครัด การมีระเบียบวินัยนั้นสามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี และจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบวินัยในการรักษากฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆตามสภาพและสถานะของตนเองในสถานที่ตำแหน่งแห่งงานต่างๆด้วยดี
    8.จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น มีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นสำคัญ มีความอดทนอดกลั้นต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายที่ได้รับผิดชอบไว้ จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระทบกระทั่งจากสิ่งยั่วยุต่างๆภายนอกไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุกรามไปในวงกว้าง เพียงแค่เราสงบสยบใจของเราไว้ไม่ให้ไปผูกโกรธอาฆาตพยาบาทมาดร้ายใครก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้โดยเร็วไว จะต้องไม่หลงใหลไปกับกิเลสชั่วอำนาจฝ่ายต่ำที่เข้ามากระทบรบกวนจิตใจ โดยให้กระทำการกิจการงานต่างๆให้เป็นไปได้ด้วยดีราบรื่นปลอดภัย ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีไม่ให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจได้
    ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆพอประมาณของผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีดังนี้ ซึ่งที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกหลายข้อนัก แต่โดยส่วนรวมแล้วก็คือ การที่จะต้องเป็นคนที่ดีและการที่จะต้องไม่เป็นคนชั่วนั่นเองครับ แต่ถ้าหากถามว่าโดยสรุปง่ายๆมีมั้ยนั้น มันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างนั่นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเอง ประพฤติปฏิบัติตนเองตามอย่างท่าน ทำตามคำสอนของท่าน เป็นให้ได้อย่างท่านก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้วนั่นเอง
    การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดไปมันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกันได้โดยง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นมันเป็นกันได้โดยยากมาก ยากมากๆๆ มาดูคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียง 1ใน1ล้าน คนเท่านั้น และผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆนั้นมีเพียงแค่ 1ใน1พันล้าน คนเท่านั้นเอง คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีดังต่อไปนี้ คือ 1.จะต้องเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งคนชั่วนั้นเป็นไม่ได้เลย ซึ่งหรือก็คือ คนชั่วนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง 2.จะต้องได้รับการยอมรับจากเบี้องบนก่อน นี่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ซึ่งนั่นก็คือ เหล่าพุทธะ หรือก็คือ เหล่าผู้รู้แจ้งแล้วนั่นเอง(เมื่อเป็นแล้วก็จะรู้เอง)จะรู้เองเห็นเองเหมือนกันกับพระอรหันต์นั่นแหล่ะ แต่ก็ยังด้อยกว่ามากนัก ซึ่งหมายถึงพวกที่มีความสามารถพิเศษในตัวตนของตนเองนั่นเอง 3.จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมประจำใจเป็นของตนเอง และเคร่งครัดในศีลมากพอสมควร ซึ่งคนที่ไร้ศีลไร้ธรรมประจำใจของตนเองนั้นหมดสิทธิ์เป็นโดยสิ้นเชิง และยังจะต้องรักษาศีลได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่ละเมิดในศีลข้องต่างๆอย่างเด็ดขาด และจะต้องมีกฎเหล็กประจำตัวประจำใจเป็นของตนเองตามศาสนาหรือลัทธินั้นๆที่ตนเองเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย 4.จะต้องมีศาสนาหรือลัทธิ หรือซึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิที่ดีและถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากไปนับถือศาสนาหรือลัทธิที่ผิดๆที่แตกต่างไปจากการทำดีการเป็นคนที่ดีแล้วล่ะก็ๆจะหมดสิทธิที่จะได้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที 5.จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากพอสมควร นี่ไม่ได้หมายถึงการที่มีภูมิความรู้เท่าทันผู้คนกลโกงคนอื่นๆที่มีมากมายก่ายกอง แต่นี่หมายถึงการที่จะต้องมีปัญญามากพอที่จะรับรู้ได้ในจิตใจของตนเองว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหมายถึงการมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้อย่างแม่นยำและแน่วแน่มั่นคงในตนเอง และถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่บริสิทธิ์ผุดผ่องกายใจ และไว้ใจผู้อื่นง่ายจนเกินไป หรือจะให้พูดโดยง่ายๆก็คือ เชื่อใจคนง่ายจนเกินไป ถูกหลอกได้โดยง่ายจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติในการเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป เป็นเพียงแค่บุคคลผู้นั้นเค้าอ่อนต่อโลกเกินไป หรือเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วจะหมดสิทธิ์หมดคุณสมบัติไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายข้อที่บุคคลผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พึงจะมีควรจะมีอีกด้วย 6.จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย นี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัยในการต่อสู้รบตบมือกับใครเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบกฎระเบียบเก่าแก่คร่ำครึโบราณ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจในการทำกิจการงานต่างๆในทางที่ดีและถูกต้องชอบธรรมและเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดปราศจากความลังเลใจและเกรงกลัวใดๆ และยังต้องมีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาในสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะและเห็นสมควรว่ามันไม่ถูกต้องชอบธรรม และไม่มีการประนีประนอมยอมความกันหรือเกิดกลัวความผิดพลาดของตนเองต่อผู้อื่นที่ตนเองได้เคยกระทำลงไปแล้วนั่นเอง 7.จะต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเคร่งครัด การมีระเบียบวินัยนั้นสามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี และจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบวินัยในการรักษากฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆตามสภาพและสถานะของตนเองในสถานที่ตำแหน่งแห่งงานต่างๆด้วยดี 8.จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น มีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นสำคัญ มีความอดทนอดกลั้นต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายที่ได้รับผิดชอบไว้ จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระทบกระทั่งจากสิ่งยั่วยุต่างๆภายนอกไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุกรามไปในวงกว้าง เพียงแค่เราสงบสยบใจของเราไว้ไม่ให้ไปผูกโกรธอาฆาตพยาบาทมาดร้ายใครก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้โดยเร็วไว จะต้องไม่หลงใหลไปกับกิเลสชั่วอำนาจฝ่ายต่ำที่เข้ามากระทบรบกวนจิตใจ โดยให้กระทำการกิจการงานต่างๆให้เป็นไปได้ด้วยดีราบรื่นปลอดภัย ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีไม่ให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจได้ ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆพอประมาณของผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีดังนี้ ซึ่งที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกหลายข้อนัก แต่โดยส่วนรวมแล้วก็คือ การที่จะต้องเป็นคนที่ดีและการที่จะต้องไม่เป็นคนชั่วนั่นเองครับ แต่ถ้าหากถามว่าโดยสรุปง่ายๆมีมั้ยนั้น มันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างนั่นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเอง ประพฤติปฏิบัติตนเองตามอย่างท่าน ทำตามคำสอนของท่าน เป็นให้ได้อย่างท่านก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้วนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • จิตวิญญาณ
    บางคนอาจจะคงสงสัยว่าคำๆนี้มีความหมายว่าอย่างไร และคนที่เอ่ยถึงคำๆนี้นั้นเป็นคนอย่างไร ซึ่งผมสามารถที่จะพอตอบกับทุกคนได้เลยว่า คนที่เอ่ยคำๆนี้นั้น อย่างน้อยจะต้องเป็นคนที่บรรลุธรรมขั้นสูงมาอย่างโชกโชนและมีประสบการณ์มากมายพอตัวเลยทีเดียว ถ้าคนๆนั้นรู้ความหมายที่แท้จริงของคำๆนี้
    จิตวิญญาณนั้นล้วนมีอยู่ในตัวของทุกๆคน แต่เค้าคนนั้นจะล่วงรู้ค้นพบถึงคำๆนี้และเข้าใจความหมายของจิตวิญญาณของตนเองหรือไม่นั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยทีเดียว และจะต้องใช้เวลาในการสั่งสมประสบการณ์ความรู้มาอย่างยาวนานมากมาย ซึ่งบางคนอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิต แต่ก็มีคนไม่น้อยเลยที่ไม่เข้าถึงซึ่งความหมายของคำๆนี้และได้หมดลมหายใจตายไปอย่างไร้คุณค่าไร้ราคา
    จิตวิญญาณนั้นมีหลากหลายแบบ เช่น จิตวิญญาณของความเป็นคนหรือสัตว์ จิตวิญญาณของความเป็นคนอาชีพนั้นๆ จิตวิญญาณของธรรมชาติ จิตวิญญาณของสรรพสิ่งต่างๆ ซึ่งความหมายของมันก็จะแตกต่างกันไป
    จิตวิญญาณนั้น คือการรวมกันระหว่าง จิตใจ กับ วิญญาณ ซึ่งทุกสรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณด้วยกันทั้งนั้น
    ส่วนที่ผมจะกล่าวถึงนั้นคือจิตวิญญาณที่แท้จริง ซึ่งไม่ได้มาง่ายดายเลยทีเดียว เพราะว่าจะต้องหมั่นฝึกฝนตนเองอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเหมือนกันกับการเรียนรู้สรรพวิชาแขนงต่างๆ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ จิตวิญญาณที่แท้จริงนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับหลักธรรมคำสอนของศาสนาทุกศาสนา ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะศรัทธานับถือในศาสนาใด และจะต้องเข้าถึงหลักธรรมของศาสนานั้นๆอย่างเข้าใจเข้าถึงอย่างแท้จริง หรือก็คือการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดนั่นเอง ซึ่งผมจะยกตัวอย่างเช่น ศาสนาพุทธ ก็จะต้องบรรลุธรรมมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์เท่านั้นถึงจะเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเข้าใจเข้าถึงซึ่งจิตวิญญาณที่แท้จริงนั่นเอง
    จิตวิญญาณ บางคนอาจจะคงสงสัยว่าคำๆนี้มีความหมายว่าอย่างไร และคนที่เอ่ยถึงคำๆนี้นั้นเป็นคนอย่างไร ซึ่งผมสามารถที่จะพอตอบกับทุกคนได้เลยว่า คนที่เอ่ยคำๆนี้นั้น อย่างน้อยจะต้องเป็นคนที่บรรลุธรรมขั้นสูงมาอย่างโชกโชนและมีประสบการณ์มากมายพอตัวเลยทีเดียว ถ้าคนๆนั้นรู้ความหมายที่แท้จริงของคำๆนี้ จิตวิญญาณนั้นล้วนมีอยู่ในตัวของทุกๆคน แต่เค้าคนนั้นจะล่วงรู้ค้นพบถึงคำๆนี้และเข้าใจความหมายของจิตวิญญาณของตนเองหรือไม่นั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยทีเดียว และจะต้องใช้เวลาในการสั่งสมประสบการณ์ความรู้มาอย่างยาวนานมากมาย ซึ่งบางคนอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิต แต่ก็มีคนไม่น้อยเลยที่ไม่เข้าถึงซึ่งความหมายของคำๆนี้และได้หมดลมหายใจตายไปอย่างไร้คุณค่าไร้ราคา จิตวิญญาณนั้นมีหลากหลายแบบ เช่น จิตวิญญาณของความเป็นคนหรือสัตว์ จิตวิญญาณของความเป็นคนอาชีพนั้นๆ จิตวิญญาณของธรรมชาติ จิตวิญญาณของสรรพสิ่งต่างๆ ซึ่งความหมายของมันก็จะแตกต่างกันไป จิตวิญญาณนั้น คือการรวมกันระหว่าง จิตใจ กับ วิญญาณ ซึ่งทุกสรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณด้วยกันทั้งนั้น ส่วนที่ผมจะกล่าวถึงนั้นคือจิตวิญญาณที่แท้จริง ซึ่งไม่ได้มาง่ายดายเลยทีเดียว เพราะว่าจะต้องหมั่นฝึกฝนตนเองอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเหมือนกันกับการเรียนรู้สรรพวิชาแขนงต่างๆ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ จิตวิญญาณที่แท้จริงนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับหลักธรรมคำสอนของศาสนาทุกศาสนา ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะศรัทธานับถือในศาสนาใด และจะต้องเข้าถึงหลักธรรมของศาสนานั้นๆอย่างเข้าใจเข้าถึงอย่างแท้จริง หรือก็คือการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดนั่นเอง ซึ่งผมจะยกตัวอย่างเช่น ศาสนาพุทธ ก็จะต้องบรรลุธรรมมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์เท่านั้นถึงจะเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเข้าใจเข้าถึงซึ่งจิตวิญญาณที่แท้จริงนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความสุขที่แท้จริง
    บางครั้งคนเราคิดว่าความสุขนั้นจีรังยั่งยืน บางคนก็ว่ามันไม่จีรังยั่งยืน บ้างก็ว่ามีทั้งความสุขและความทุกข์ปะปนกันไปตามคำสอนของศาสนา แต่สำหรับผมแล้ว ความสุขนั้นมันขึ้นอยู่กับใจของเรา และมันก็มีทั้งชั่วคราวและยั่งยืนทั้งสองแบบนั่นเอง
    ความสุขที่แท้จริงนั้นมันสามารถที่จะเป็นไปได้เสมอมาและเสมอไป แต่มันขึ้นอยู่กับใจของเรา หลวงตาบัวฯท่านได้เคยสอนพวกเราทั้งหลายเอาไว้ว่า ใจเรานั้นไม่เคยตาย มันมีทั้งสวรรค์และนรก เราจึงควรที่จะเร่งกระทำการสั่งสมความดีบุญกุศลบุญบารมีเอาไว้ให้มากๆ เพราะกรรมหรือการกระทำของตัวเราจะเป็นตัวกำหนดว่า ในชาติภพหน้านั้นเราจะได้ไปอยู่ ณ ที่ใดและจะได้ไปเกิดไปเป็นอะไรกัน ฉะนั้นหลวงตาบัวฯท่านถึงได้เฝ้าบอกพวกเราทั้งหลาย และย้ำนักย้ำหนาว่า สวรรค์มี นรกมี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นิพพานมีจริง พรหมโลกมีจริง ทำอย่างไรได้อย่างนั้น ให้พวกเราจงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจนะ หลวงตาบัวฯท่านว่าเอาไว้อย่างนั้น ขนาดหลวงตาบัวฯท่านเป็นพระอรหันต์ยังว่าไว้อย่างนั้นเลย แล้วพวกเราตัวเท่าหนู เป็นใครเก่งมาจากไหนถึงจะไม่เชื่อท่านเล่า นี่คือหลักธรรมคำสอนที่หลวงตาบัวฯท่านได้ว่าเอาไว้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพละสังขารไปนั่นเอง
    ความสุขที่แท้จริงคือ การตั้งกฎเกณฑ์ให้กับตนเองได้ประพฤติปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เราได้ตั้งเอาไว้อย่างเคร่งครัด โดยในช่วงแรกๆนั้นให้เราตั้งสัจจะตั้งใจตั้งมั่นกับตนเองให้ได้ก่อนว่า เราจะทำตามกฎระเบียบข้อบังคับที่ตนเองได้ตั้งเอาไว้อย่างเคร่งครัด และถ้าหากว่าเราได้เลินเล่อเผลอเลอละเมิดกฎระเบียบข้อบังคับไป เราก็ควรที่จะต้องได้รับการลงโทษทัณฑ์ด้วยตัวของเราเองด้วย โดยโทษทัณฑ์ที่เราจะได้รับนั้น ในตอนแรกๆและหรือครั้งแรกๆนั้น เราอาจจะควรที่จะได้รับไปเป็นแบบเบาๆไปก่อน แต่ถ้าเราได้ทำการละเมิดไปบ่อยครั้งๆเข้า เราก็ต้องควรที่จะได้รับกับโทษทัณฑ์ที่หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น ซึ่งมันยากและน่ากลัว แต่อย่าได้ไปท้อแท้และท้อถอย แต่ให้เราพยายามทำให้ได้ในสิ่งที่เราได้ตั้งมั่นกับตนเองเอาไว้ และอย่าได้ไปท้อถอยกับความชั่วที่มีในจิตใจของตนเอง นี่เป็นแค่ตัวอย่างง่ายๆที่ผมได้เคยประพฤติปฏิบัติมานั่นเอง เพื่อความสุขที่แท้จริงในใจของเราที่เราได้มุ่งหวังคาดหวังเอาไว้นั่นเอง และสุดท้ายนี้ผมขอให้ทุกท่านได้เข้าใจและลองนำไปทำกันดูกันนะครับ
    ความสุขที่แท้จริง บางครั้งคนเราคิดว่าความสุขนั้นจีรังยั่งยืน บางคนก็ว่ามันไม่จีรังยั่งยืน บ้างก็ว่ามีทั้งความสุขและความทุกข์ปะปนกันไปตามคำสอนของศาสนา แต่สำหรับผมแล้ว ความสุขนั้นมันขึ้นอยู่กับใจของเรา และมันก็มีทั้งชั่วคราวและยั่งยืนทั้งสองแบบนั่นเอง ความสุขที่แท้จริงนั้นมันสามารถที่จะเป็นไปได้เสมอมาและเสมอไป แต่มันขึ้นอยู่กับใจของเรา หลวงตาบัวฯท่านได้เคยสอนพวกเราทั้งหลายเอาไว้ว่า ใจเรานั้นไม่เคยตาย มันมีทั้งสวรรค์และนรก เราจึงควรที่จะเร่งกระทำการสั่งสมความดีบุญกุศลบุญบารมีเอาไว้ให้มากๆ เพราะกรรมหรือการกระทำของตัวเราจะเป็นตัวกำหนดว่า ในชาติภพหน้านั้นเราจะได้ไปอยู่ ณ ที่ใดและจะได้ไปเกิดไปเป็นอะไรกัน ฉะนั้นหลวงตาบัวฯท่านถึงได้เฝ้าบอกพวกเราทั้งหลาย และย้ำนักย้ำหนาว่า สวรรค์มี นรกมี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นิพพานมีจริง พรหมโลกมีจริง ทำอย่างไรได้อย่างนั้น ให้พวกเราจงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจนะ หลวงตาบัวฯท่านว่าเอาไว้อย่างนั้น ขนาดหลวงตาบัวฯท่านเป็นพระอรหันต์ยังว่าไว้อย่างนั้นเลย แล้วพวกเราตัวเท่าหนู เป็นใครเก่งมาจากไหนถึงจะไม่เชื่อท่านเล่า นี่คือหลักธรรมคำสอนที่หลวงตาบัวฯท่านได้ว่าเอาไว้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพละสังขารไปนั่นเอง ความสุขที่แท้จริงคือ การตั้งกฎเกณฑ์ให้กับตนเองได้ประพฤติปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เราได้ตั้งเอาไว้อย่างเคร่งครัด โดยในช่วงแรกๆนั้นให้เราตั้งสัจจะตั้งใจตั้งมั่นกับตนเองให้ได้ก่อนว่า เราจะทำตามกฎระเบียบข้อบังคับที่ตนเองได้ตั้งเอาไว้อย่างเคร่งครัด และถ้าหากว่าเราได้เลินเล่อเผลอเลอละเมิดกฎระเบียบข้อบังคับไป เราก็ควรที่จะต้องได้รับการลงโทษทัณฑ์ด้วยตัวของเราเองด้วย โดยโทษทัณฑ์ที่เราจะได้รับนั้น ในตอนแรกๆและหรือครั้งแรกๆนั้น เราอาจจะควรที่จะได้รับไปเป็นแบบเบาๆไปก่อน แต่ถ้าเราได้ทำการละเมิดไปบ่อยครั้งๆเข้า เราก็ต้องควรที่จะได้รับกับโทษทัณฑ์ที่หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น ซึ่งมันยากและน่ากลัว แต่อย่าได้ไปท้อแท้และท้อถอย แต่ให้เราพยายามทำให้ได้ในสิ่งที่เราได้ตั้งมั่นกับตนเองเอาไว้ และอย่าได้ไปท้อถอยกับความชั่วที่มีในจิตใจของตนเอง นี่เป็นแค่ตัวอย่างง่ายๆที่ผมได้เคยประพฤติปฏิบัติมานั่นเอง เพื่อความสุขที่แท้จริงในใจของเราที่เราได้มุ่งหวังคาดหวังเอาไว้นั่นเอง และสุดท้ายนี้ผมขอให้ทุกท่านได้เข้าใจและลองนำไปทำกันดูกันนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • รูปธรรมกับนามธรรม
    ทุกสิ่งที่เป็นรูปธรรม ล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาตลอดเวลา ไม่มีทางต่อต้านหรือลบล้างได้
    ทุกสิ่งที่เป็นนามธรรม ล้วนคงอยู่ถาวรคู่กับกาลเวลาเสมอมา ไม่มีทางต่อต้านหรือลบล้างได้เช่นกัน
    ตัวอย่างที่ทำให้เห็นได้ชัดเจน คือ สังขารของพระพุทธเจ้าไม่เที่ยง ไม่เหมือนกับคำสอนของท่านที่เที่ยงตรงถาวรเสมอมา
    รูปธรรมกับนามธรรม ทุกสิ่งที่เป็นรูปธรรม ล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาตลอดเวลา ไม่มีทางต่อต้านหรือลบล้างได้ ทุกสิ่งที่เป็นนามธรรม ล้วนคงอยู่ถาวรคู่กับกาลเวลาเสมอมา ไม่มีทางต่อต้านหรือลบล้างได้เช่นกัน ตัวอย่างที่ทำให้เห็นได้ชัดเจน คือ สังขารของพระพุทธเจ้าไม่เที่ยง ไม่เหมือนกับคำสอนของท่านที่เที่ยงตรงถาวรเสมอมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • แนวทางพิจารณาทางเลือก: ฝืนทนเพื่ออนาคต หรือเลือกตามใจในปัจจุบัน

    1. ใช้หลักพิจารณาประโยชน์และโทษ

    พระพุทธเจ้าให้พิจารณา "ประโยชน์และโทษ" ของแต่ละทางเลือก ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

    ถามตัวเอง:

    ทางที่ฝืนทนทุกข์ตอนนี้ มีประโยชน์อะไรในอนาคต?

    สิ่งที่ต้องการในปัจจุบัน จะสร้างโทษอะไรในอนาคต?


    หากทางที่ทุกข์ตอนนี้ นำไปสู่ผลที่ดีในอนาคต และทางที่ง่ายในปัจจุบันอาจก่อให้เกิดโทษในระยะยาว ควรเลือกทางที่มีประโยชน์ยาวนานกว่า



    ---

    2. ฝึกมองในระยะยาว: การยอมทุกข์สั้นเพื่อสุขที่ยืนยาว

    บางครั้งการฝืนทนเหมือนการกินยาขมเพื่อหายจากไข้หนัก

    ถ้าทนทุกข์ตอนนี้เพียงชั่วคราว แต่ให้ผลเป็นความสุข ความมั่นคง หรือการเติบโตในระยะยาว พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้เลือกทางนี้

    ตัวอย่าง:

    ฝึกขันติในสิ่งที่ไม่ชอบ เช่น การทำงานหนัก หรือการเสียสละเวลาเพื่อการเรียนรู้

    หากมันทำให้อนาคตมั่นคง สุขภาพจิต และฐานะทางการเงินดีขึ้น ควรเลือกอดทน




    ---

    3. ใช้มรณสติเตือนใจ

    เมื่อไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ควรเจริญมรณสติ:

    ถามตัวเอง:

    ถ้าต้องตายวันนี้ จะเลือกทางไหนที่ทำให้ใจสงบ และรู้สึกว่าได้ทำสิ่งที่ดีที่สุด?

    สิ่งที่กำลังตัดสินใจทำ จะสร้าง ความรู้สึกเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล?



    พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า: สิ่งที่ทำให้จิตรู้สึกดี มีความสบายใจ และเป็นประโยชน์กับผู้อื่น นั่นคือสิ่งที่ควรทำ



    ---

    4. ความสมดุลระหว่าง “ขันติ” และ “ฟังเสียงหัวใจ”

    หากทางที่ถูกต้องทำให้ทุกข์ใจจนกระทบสุขภาพจิตและความสุขระยะสั้น อาจต้องปรับสมดุล

    ถามตัวเอง:

    "ฉันฝืนมากเกินไปหรือเปล่า?"

    "ฉันสามารถแบ่งเวลาให้ตัวเองมีความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในปัจจุบันได้ไหม?"





    ---

    5. สรุปการเลือก: เลือกด้วยความกุศลและปัญญา

    หากการฝึกขันติบารมีช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีวินัย และสร้างสุขในระยะยาว ควรยึดถือ

    หากทางเลือกในปัจจุบันทำให้ใจสงบ สุขในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ยังไม่ก่อผลเสียร้ายแรงในอนาคต ก็ไม่ควรมองข้าม

    เลือกทางที่ทำให้จิตใจสงบและเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นกุศล ไม่ว่าในปัจจุบันหรืออนาคต



    ---

    6. ตัวช่วยตัดสินใจ: "ถามตัวเองใน 3 ขั้นตอน"

    สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อฉันและคนรอบข้างใน ระยะสั้นหรือไม่?

    สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อฉันและคนรอบข้างใน ระยะยาวหรือไม่?

    เมื่อทำสิ่งนี้แล้ว จิตใจฉันจะสงบ หรือกระวนกระวาย?


    หากคำตอบชี้ไปในทาง ประโยชน์ยาวนาน และจิตสงบ ให้เลือกทางนั้น เพราะมันเป็นเส้นทางที่สอดคล้องกับหลักคำสอนทางพุทธศาสนา.

    แนวทางพิจารณาทางเลือก: ฝืนทนเพื่ออนาคต หรือเลือกตามใจในปัจจุบัน 1. ใช้หลักพิจารณาประโยชน์และโทษ พระพุทธเจ้าให้พิจารณา "ประโยชน์และโทษ" ของแต่ละทางเลือก ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ถามตัวเอง: ทางที่ฝืนทนทุกข์ตอนนี้ มีประโยชน์อะไรในอนาคต? สิ่งที่ต้องการในปัจจุบัน จะสร้างโทษอะไรในอนาคต? หากทางที่ทุกข์ตอนนี้ นำไปสู่ผลที่ดีในอนาคต และทางที่ง่ายในปัจจุบันอาจก่อให้เกิดโทษในระยะยาว ควรเลือกทางที่มีประโยชน์ยาวนานกว่า --- 2. ฝึกมองในระยะยาว: การยอมทุกข์สั้นเพื่อสุขที่ยืนยาว บางครั้งการฝืนทนเหมือนการกินยาขมเพื่อหายจากไข้หนัก ถ้าทนทุกข์ตอนนี้เพียงชั่วคราว แต่ให้ผลเป็นความสุข ความมั่นคง หรือการเติบโตในระยะยาว พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้เลือกทางนี้ ตัวอย่าง: ฝึกขันติในสิ่งที่ไม่ชอบ เช่น การทำงานหนัก หรือการเสียสละเวลาเพื่อการเรียนรู้ หากมันทำให้อนาคตมั่นคง สุขภาพจิต และฐานะทางการเงินดีขึ้น ควรเลือกอดทน --- 3. ใช้มรณสติเตือนใจ เมื่อไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ควรเจริญมรณสติ: ถามตัวเอง: ถ้าต้องตายวันนี้ จะเลือกทางไหนที่ทำให้ใจสงบ และรู้สึกว่าได้ทำสิ่งที่ดีที่สุด? สิ่งที่กำลังตัดสินใจทำ จะสร้าง ความรู้สึกเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล? พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า: สิ่งที่ทำให้จิตรู้สึกดี มีความสบายใจ และเป็นประโยชน์กับผู้อื่น นั่นคือสิ่งที่ควรทำ --- 4. ความสมดุลระหว่าง “ขันติ” และ “ฟังเสียงหัวใจ” หากทางที่ถูกต้องทำให้ทุกข์ใจจนกระทบสุขภาพจิตและความสุขระยะสั้น อาจต้องปรับสมดุล ถามตัวเอง: "ฉันฝืนมากเกินไปหรือเปล่า?" "ฉันสามารถแบ่งเวลาให้ตัวเองมีความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในปัจจุบันได้ไหม?" --- 5. สรุปการเลือก: เลือกด้วยความกุศลและปัญญา หากการฝึกขันติบารมีช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีวินัย และสร้างสุขในระยะยาว ควรยึดถือ หากทางเลือกในปัจจุบันทำให้ใจสงบ สุขในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ยังไม่ก่อผลเสียร้ายแรงในอนาคต ก็ไม่ควรมองข้าม เลือกทางที่ทำให้จิตใจสงบและเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นกุศล ไม่ว่าในปัจจุบันหรืออนาคต --- 6. ตัวช่วยตัดสินใจ: "ถามตัวเองใน 3 ขั้นตอน" สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อฉันและคนรอบข้างใน ระยะสั้นหรือไม่? สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อฉันและคนรอบข้างใน ระยะยาวหรือไม่? เมื่อทำสิ่งนี้แล้ว จิตใจฉันจะสงบ หรือกระวนกระวาย? หากคำตอบชี้ไปในทาง ประโยชน์ยาวนาน และจิตสงบ ให้เลือกทางนั้น เพราะมันเป็นเส้นทางที่สอดคล้องกับหลักคำสอนทางพุทธศาสนา.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันครู 2568

    ในโอกาสวันครูแห่งชาติ ปี 2568
    ขอกราบขอบพระคุณคุณครู ผู้เป็นแสงสว่างนำทางชีวิต
    ด้วยความรักและความเมตตา คุณครูคือผู้สร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับเรา
    ช่วยปลูกฝังความรู้ คู่คุณธรรม และมอบแรงบันดาลใจ ให้ก้าวเดินไปสู่อนาคตที่สดใส

    ขอให้คุณครูทุกท่าน มีสุขภาพแข็งแรง
    เปี่ยมด้วยกำลังใจ ในหน้าที่การสอน
    และพบแต่ความสำเร็จ ความสุขในชีวิต
    พวกเราขอน้อมจิตระลึกถึง พระคุณอันยิ่งใหญ่
    และสัญญาว่าจะนำคำสอนของคุณค ไปใช้ในการสร้างอนาคตที่ดี

    ด้วยความเคารพรักอย่างสูง
    ✨ สุขสันต์วันครู 2568 ✨
    วันครู 2568 ในโอกาสวันครูแห่งชาติ ปี 2568 ขอกราบขอบพระคุณคุณครู ผู้เป็นแสงสว่างนำทางชีวิต ด้วยความรักและความเมตตา คุณครูคือผู้สร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับเรา ช่วยปลูกฝังความรู้ คู่คุณธรรม และมอบแรงบันดาลใจ ให้ก้าวเดินไปสู่อนาคตที่สดใส ขอให้คุณครูทุกท่าน มีสุขภาพแข็งแรง เปี่ยมด้วยกำลังใจ ในหน้าที่การสอน และพบแต่ความสำเร็จ ความสุขในชีวิต พวกเราขอน้อมจิตระลึกถึง พระคุณอันยิ่งใหญ่ และสัญญาว่าจะนำคำสอนของคุณค ไปใช้ในการสร้างอนาคตที่ดี ด้วยความเคารพรักอย่างสูง ✨ สุขสันต์วันครู 2568 ✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร่มโพธิ์แห่งป่าพง
    โดย... ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล

    สามสิบสามปีผ่านพ้นไป เสียงธรรมยังใกล้ดังไม่สิ้น หลวงปู่ชาผู้ทรงศีล ศูนย์รวมจิตศรัทธา

    จำได้ไหมวันนั้นเมื่อครั้งก่อน หลวงปู่ท่านละร่างไปอย่างสงบ น้ำตาไหล รดผืนดินไม่จบ ใจยังพบธรรมะที่ท่านให้ไว้

    * โอ้หลวงปู่ชา พระป่าแห่งหนองพง คำสอนยังดำรง ข้ามโลกไม่จางหาย น้ำร้อน น้ำฮ้อน ชี้ถึงความจริงใจ สอนทั้งโลกได้ ด้วยใจอันบริสุทธิ์

    เกิดมาจากดินคืนสู่ดิน แต่ธรรมท่านสิ้น ไม่เคยสูญหาย โยมทุกชาติ ทุกภาษา ไม่ต่างใด เมื่อรู้ใจ จะพบทางเดียวกัน

    ซ้ำ *

    จากบ้านก่อสู่หนองป่าพงใหญ่ สร้างทางธรรมไกลไปทุกแห่งหน สาขาวัด สะพานใจเชื่อมคน ท่านมอบให้พ้นทุกข์ตามคำพุทธองค์

    สามสิบสามปี ลาลับหลวงปู่ชา แต่วัตรยังนำพา ดั่งร่มโพธิ์ป่าใหญ่ คำสอนท่าน คือธงชัยนำใจ ร่มธรรมในใจพุทธศาสนิกชน

    โอ้หลวงปู่ชา ผู้เป็นพระป่าแท้ คำสอนยังแน่วแน่ สืบต่อทุกคืนวัน จากหลวงปู่ชา สู่หัวใจของทุกคน ร่มโพธิ์คงอยู่มั่น ตราบนิรันดร์กาล

    160919 ม.ค. 2568
    ร่มโพธิ์แห่งป่าพง โดย... ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล สามสิบสามปีผ่านพ้นไป เสียงธรรมยังใกล้ดังไม่สิ้น หลวงปู่ชาผู้ทรงศีล ศูนย์รวมจิตศรัทธา จำได้ไหมวันนั้นเมื่อครั้งก่อน หลวงปู่ท่านละร่างไปอย่างสงบ น้ำตาไหล รดผืนดินไม่จบ ใจยังพบธรรมะที่ท่านให้ไว้ * โอ้หลวงปู่ชา พระป่าแห่งหนองพง คำสอนยังดำรง ข้ามโลกไม่จางหาย น้ำร้อน น้ำฮ้อน ชี้ถึงความจริงใจ สอนทั้งโลกได้ ด้วยใจอันบริสุทธิ์ เกิดมาจากดินคืนสู่ดิน แต่ธรรมท่านสิ้น ไม่เคยสูญหาย โยมทุกชาติ ทุกภาษา ไม่ต่างใด เมื่อรู้ใจ จะพบทางเดียวกัน ซ้ำ * จากบ้านก่อสู่หนองป่าพงใหญ่ สร้างทางธรรมไกลไปทุกแห่งหน สาขาวัด สะพานใจเชื่อมคน ท่านมอบให้พ้นทุกข์ตามคำพุทธองค์ สามสิบสามปี ลาลับหลวงปู่ชา แต่วัตรยังนำพา ดั่งร่มโพธิ์ป่าใหญ่ คำสอนท่าน คือธงชัยนำใจ ร่มธรรมในใจพุทธศาสนิกชน โอ้หลวงปู่ชา ผู้เป็นพระป่าแท้ คำสอนยังแน่วแน่ สืบต่อทุกคืนวัน จากหลวงปู่ชา สู่หัวใจของทุกคน ร่มโพธิ์คงอยู่มั่น ตราบนิรันดร์กาล 160919 ม.ค. 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 254 มุมมอง 63 0 รีวิว
  • 33 ปี สิ้น “หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง” พระเถราจารย์แห่งอุบลราชธานี ผู้สร้างวัดสาขาต่างประเทศมากมาย

    ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ และทั่วโลกต้องเศร้าโศก เมื่อหลวงปู่ชา สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พระเถราจารย์ผู้เป็นที่เคารพรัก ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ละสังขารอย่างสงบ หลังจากอาพาธ มายาวนาน

    หลวงปู่ชาไม่เพียงเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญ ที่ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปสู่ชาวต่างชาติ ผ่านการปฏิบัติธรรม และการสร้างวัดสาขามากมาย ทั้งในและนอกประเทศไทย แม้ว่าท่านจะพูดได้เพียงภาษาไทย แต่ด้วยคำสอน และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย กลับสร้างแรงศรัทธา ให้แก่คนทั่วโลก

    วัยเยาว์หลวงปู่
    หลวงปู่ชา สุภัทโท เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ตามปฏิทินจันทรคติ ที่บ้านก่อ (เดิมชื่อบ้านก้นถ้วย) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดามารดาของท่านคือนายมา และนางพิมพ์ ช่วงโชติ หลวงปู่ชาเป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 10 คน

    เริ่มต้นชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์
    เมื่อหลวงปู่ชามีอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาที่วัดบ้านก่อนอก ร่วมกับเพื่อนๆ หลายคน แต่ไม่นานท่านก็ลาสิกขาออกมา เพื่อช่วยครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ได้ผลักดันให้ท่าน หันกลับมาสู่เส้นทางธรรมอีกครั้ง

    เมื่ออายุครบ 21 ปี หลังทราบว่า ไม่ติดทหารเกณฑ์ หลวงปู่ชาจึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 ณ วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "สุภัทโท" ซึ่งแปลว่า "ผู้เจริญด้วยดี"

    ธุดงค์พบทางธรรม
    หลวงปู่ชาได้ออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้มีความรู้ทั้งด้านปริยัติ และปฏิบัติ โดยเดินทางไกล ผ่านหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงการไปศึกษาธรรมกับ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ สายวิปัสสนากรรมฐาน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น

    หลวงปู่ชาเล่าถึงความประทับใจ เมื่อได้พบหลวงปู่มั่นว่า การได้ฟังธรรมะจากท่าน ทำให้จิตใจของหลวงปู่ชา สงบลึกในทันที และทำให้เกิดความมั่นใจ ในแนวทางการปฏิบัติธรรม

    ตั้งวัดหนองป่าพง
    หลังจากธุดงค์ ยาวนานกว่า 8 ปี ในที่สุดหลวงปู่ชา ได้กลับมาที่บ้านเกิด และก่อตั้งวัดหนองป่าพง ขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยพื้นที่ดั้งเดิมของวัด เป็นป่าอันเงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม หลวงปู่ชาใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย และเน้นการปฏิบัติ เพื่อสร้างแบบอย่างให้ศิษย์เห็น

    วัดหนองป่าพง เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในหมู่คนไทย แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาศึกษาธรรม กับหลวงปู่ชา

    เผยแผ่พุทธศาสนาไปต่างประเทศ
    หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งที่สุด เกี่ยวกับหลวงปู่ชา คือความสามารถ ในการถ่ายทอดธรรมะ ให้แก่ชาวต่างชาติ แม้ว่าท่าน จะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษก็ตาม ท่านสอนด้วยการกระทำเป็นหลัก โดยมักกล่าวว่า

    “น้ำร้อนก็มี น้ำฮ้อนก็มี ฮอตวอเตอร์ก็มี มันเป็นแต่ชื่อหรอก ถ้าเอามือจุ่มลงไป ก็ไม่ต้องใช้ภาษาหรอก คนชาติไหนก็รู้ได้เอง”

    วัดหนองป่าพง และวัดสาขาของหลวงปู่ชา กลายเป็นจุดหมายของชาวต่างชาติ ที่สนใจปฏิบัติธรรม ปัจจุบันวัดหนองป่าพง มีวัดสาขาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศรวมกว่า 141 แห่ง โดยแบ่งเป็น 133 สาขา ในประเทศไทย และ 8 สาขา ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์

    คำสอนเรียบง่ายลึกซึ้ง
    คำสอนของหลวงปู่ชา เน้นไปที่การปฏิบัติจริง ในชีวิตประจำวัน ท่านสอนให้ศิษย์รักษาศีล เจริญสมาธิ และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาในชีวิต โดยหลวงปู่ชาเคยกล่าวไว้ว่า

    “พึงทำตน ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรม อันสมควรเสียก่อน จึงค่อยสอนผู้อื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตทราม”

    ท่านยังเน้นย้ำว่า การปฏิบัติธรรมจะสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการรักษาศีล เพราะศีลจะนำไปสู่สมาธิ และสมาธิจะนำไปสู่ปัญญา ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

    บั้นปลายชีวิต
    ในปี พ.ศ. 2520 หลวงปู่ชาเริ่มอาพาธ และแม้ว่าท่าน จะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ และเผยแผ่ธรรมะจนถึงที่สุด

    หลวงปู่ชาได้ละสังขารเมื่อ วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ณ วัดหนองป่าพง โดยทิ้งมรดกทางธรรม และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย ให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั่วโลก

    33 ปี หลังการละสังขารของหลวงปู่ชา คำสอนและวัตรปฏิบัติของท่าน ยังคงมีชีวิตอยู่ในใจ ของศิษยานุศิษย์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั่วโลก วัดหนองป่าพง ยังคงเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนา และแหล่งเผยแผ่ธรรมะ ที่ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่ขยายไปสู่ชาวต่างชาติ

    หลวงปู่ชาเป็นตัวอย่าง ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย และยึดมั่นในคำสอน ของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161017 ม.ค. 2568

    #หลวงปู่ชา #วัดหนองป่าพง #ธรรมะ #พระป่ากรรมฐาน #ปฏิบัติธรรม #ศาสนาพุทธ #คำสอนหลวงปู่ชา #พระพุทธศาสนา #ธรรมะอินเตอร์ #วัดสาขาต่างประเทศ
    33 ปี สิ้น “หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง” พระเถราจารย์แห่งอุบลราชธานี ผู้สร้างวัดสาขาต่างประเทศมากมาย ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ และทั่วโลกต้องเศร้าโศก เมื่อหลวงปู่ชา สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พระเถราจารย์ผู้เป็นที่เคารพรัก ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ละสังขารอย่างสงบ หลังจากอาพาธ มายาวนาน หลวงปู่ชาไม่เพียงเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญ ที่ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปสู่ชาวต่างชาติ ผ่านการปฏิบัติธรรม และการสร้างวัดสาขามากมาย ทั้งในและนอกประเทศไทย แม้ว่าท่านจะพูดได้เพียงภาษาไทย แต่ด้วยคำสอน และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย กลับสร้างแรงศรัทธา ให้แก่คนทั่วโลก วัยเยาว์หลวงปู่ หลวงปู่ชา สุภัทโท เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ตามปฏิทินจันทรคติ ที่บ้านก่อ (เดิมชื่อบ้านก้นถ้วย) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดามารดาของท่านคือนายมา และนางพิมพ์ ช่วงโชติ หลวงปู่ชาเป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 10 คน เริ่มต้นชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ เมื่อหลวงปู่ชามีอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาที่วัดบ้านก่อนอก ร่วมกับเพื่อนๆ หลายคน แต่ไม่นานท่านก็ลาสิกขาออกมา เพื่อช่วยครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ได้ผลักดันให้ท่าน หันกลับมาสู่เส้นทางธรรมอีกครั้ง เมื่ออายุครบ 21 ปี หลังทราบว่า ไม่ติดทหารเกณฑ์ หลวงปู่ชาจึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 ณ วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "สุภัทโท" ซึ่งแปลว่า "ผู้เจริญด้วยดี" ธุดงค์พบทางธรรม หลวงปู่ชาได้ออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้มีความรู้ทั้งด้านปริยัติ และปฏิบัติ โดยเดินทางไกล ผ่านหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงการไปศึกษาธรรมกับ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ สายวิปัสสนากรรมฐาน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น หลวงปู่ชาเล่าถึงความประทับใจ เมื่อได้พบหลวงปู่มั่นว่า การได้ฟังธรรมะจากท่าน ทำให้จิตใจของหลวงปู่ชา สงบลึกในทันที และทำให้เกิดความมั่นใจ ในแนวทางการปฏิบัติธรรม ตั้งวัดหนองป่าพง หลังจากธุดงค์ ยาวนานกว่า 8 ปี ในที่สุดหลวงปู่ชา ได้กลับมาที่บ้านเกิด และก่อตั้งวัดหนองป่าพง ขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยพื้นที่ดั้งเดิมของวัด เป็นป่าอันเงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม หลวงปู่ชาใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย และเน้นการปฏิบัติ เพื่อสร้างแบบอย่างให้ศิษย์เห็น วัดหนองป่าพง เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในหมู่คนไทย แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาศึกษาธรรม กับหลวงปู่ชา เผยแผ่พุทธศาสนาไปต่างประเทศ หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งที่สุด เกี่ยวกับหลวงปู่ชา คือความสามารถ ในการถ่ายทอดธรรมะ ให้แก่ชาวต่างชาติ แม้ว่าท่าน จะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษก็ตาม ท่านสอนด้วยการกระทำเป็นหลัก โดยมักกล่าวว่า “น้ำร้อนก็มี น้ำฮ้อนก็มี ฮอตวอเตอร์ก็มี มันเป็นแต่ชื่อหรอก ถ้าเอามือจุ่มลงไป ก็ไม่ต้องใช้ภาษาหรอก คนชาติไหนก็รู้ได้เอง” วัดหนองป่าพง และวัดสาขาของหลวงปู่ชา กลายเป็นจุดหมายของชาวต่างชาติ ที่สนใจปฏิบัติธรรม ปัจจุบันวัดหนองป่าพง มีวัดสาขาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศรวมกว่า 141 แห่ง โดยแบ่งเป็น 133 สาขา ในประเทศไทย และ 8 สาขา ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์ คำสอนเรียบง่ายลึกซึ้ง คำสอนของหลวงปู่ชา เน้นไปที่การปฏิบัติจริง ในชีวิตประจำวัน ท่านสอนให้ศิษย์รักษาศีล เจริญสมาธิ และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาในชีวิต โดยหลวงปู่ชาเคยกล่าวไว้ว่า “พึงทำตน ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรม อันสมควรเสียก่อน จึงค่อยสอนผู้อื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตทราม” ท่านยังเน้นย้ำว่า การปฏิบัติธรรมจะสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการรักษาศีล เพราะศีลจะนำไปสู่สมาธิ และสมาธิจะนำไปสู่ปัญญา ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน บั้นปลายชีวิต ในปี พ.ศ. 2520 หลวงปู่ชาเริ่มอาพาธ และแม้ว่าท่าน จะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ และเผยแผ่ธรรมะจนถึงที่สุด หลวงปู่ชาได้ละสังขารเมื่อ วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ณ วัดหนองป่าพง โดยทิ้งมรดกทางธรรม และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย ให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั่วโลก 33 ปี หลังการละสังขารของหลวงปู่ชา คำสอนและวัตรปฏิบัติของท่าน ยังคงมีชีวิตอยู่ในใจ ของศิษยานุศิษย์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั่วโลก วัดหนองป่าพง ยังคงเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนา และแหล่งเผยแผ่ธรรมะ ที่ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่ขยายไปสู่ชาวต่างชาติ หลวงปู่ชาเป็นตัวอย่าง ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย และยึดมั่นในคำสอน ของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161017 ม.ค. 2568 #หลวงปู่ชา #วัดหนองป่าพง #ธรรมะ #พระป่ากรรมฐาน #ปฏิบัติธรรม #ศาสนาพุทธ #คำสอนหลวงปู่ชา #พระพุทธศาสนา #ธรรมะอินเตอร์ #วัดสาขาต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 431 มุมมอง 0 รีวิว
  • สายธรรมแห่งล้านนา
    โดย... ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล

    ฮื้อฮือ...
เสียงลมจางพัดผ่านห้วยหนอง
บนฟากฟ้าแมกไม้หมอกหม่น
ดุจดังธรรมะพร่ำพรอดเอ่ย
ให้จิตใจเราเงียบสงบ

    โอ้หลวงพ่อผู้เป็นดั่งแสง
นำพาธรรมแห่งล้านนา
รอยธุดงค์ผ่านป่าเขา
ใจสละสิ้นโลกีย์สุขา
    
เจ้าเกษม ณ ลำปาง
ผู้เดินทางสายธรรมะ
แสงจันทร์เดือนยี่แว่ววังเวง
เรือนใจใสห่มด้วยเมตตา

    แรมสิบเอ็ดค่ำ เดือนสองปีกุน
นับจากวันที่ท่านนิพพาน
พุทธศาสน์ยังคงแสงเรืองรอง
จากคำสอนที่ท่านสืบไว้

    เจ้าเกษม เรืองชื่อลือนาม

    ธุดงค์วิปัสสนาสายวิเวกเอย
ลำปางสะท้านพลิ้วสำนึกใน
แม้ล่วงลับธรรมยังยืนยง
ชื่อท่านดำรงเป็นปณิธาน

    สุสานไตรลักษณ์นี้ยังตราตรึง
หลวงพ่อเกษม ผู้ย่ำใจ
โอ้ล้านนา... ธรรมแห่งท่าน
จะส่งแสงชั่วกาลนาน…

    150931 ม.ค. 2568
    สายธรรมแห่งล้านนา โดย... ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล ฮื้อฮือ...
เสียงลมจางพัดผ่านห้วยหนอง
บนฟากฟ้าแมกไม้หมอกหม่น
ดุจดังธรรมะพร่ำพรอดเอ่ย
ให้จิตใจเราเงียบสงบ โอ้หลวงพ่อผู้เป็นดั่งแสง
นำพาธรรมแห่งล้านนา
รอยธุดงค์ผ่านป่าเขา
ใจสละสิ้นโลกีย์สุขา 
เจ้าเกษม ณ ลำปาง
ผู้เดินทางสายธรรมะ
แสงจันทร์เดือนยี่แว่ววังเวง
เรือนใจใสห่มด้วยเมตตา แรมสิบเอ็ดค่ำ เดือนสองปีกุน
นับจากวันที่ท่านนิพพาน
พุทธศาสน์ยังคงแสงเรืองรอง
จากคำสอนที่ท่านสืบไว้ เจ้าเกษม เรืองชื่อลือนาม ธุดงค์วิปัสสนาสายวิเวกเอย
ลำปางสะท้านพลิ้วสำนึกใน
แม้ล่วงลับธรรมยังยืนยง
ชื่อท่านดำรงเป็นปณิธาน สุสานไตรลักษณ์นี้ยังตราตรึง
หลวงพ่อเกษม ผู้ย่ำใจ
โอ้ล้านนา... ธรรมแห่งท่าน
จะส่งแสงชั่วกาลนาน… 150931 ม.ค. 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 38 0 รีวิว
  • 29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง

    ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย

    ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม
    "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย

    บรรพชาในวัยเยาว์
    ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474

    อุปสมบท
    ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม”

    หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ

    วิถีแห่งวิปัสสนา
    หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ

    ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง

    พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง
    ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง

    ศรัทธาประชาชน
    ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง

    ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ
    หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน

    ปณิธานแห่งความเรียบง่าย
    คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น

    มรดกธรรมที่ยังคงอยู่
    แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568

    #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย บรรพชาในวัยเยาว์ ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474 อุปสมบท ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม” หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ วิถีแห่งวิปัสสนา หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง ศรัทธาประชาชน ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน ปณิธานแห่งความเรียบง่าย คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น มรดกธรรมที่ยังคงอยู่ แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568 #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 443 มุมมอง 0 รีวิว
  • การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การตอบแทนบุญคุณของพระองค์ที่สมบูรณ์ที่สุดคือการ ปฏิบัติธรรมเป็นบูชา เพราะพระองค์ทรงมุ่งหมายให้สัตว์โลกหลุดพ้นจากความทุกข์ และการปฏิบัติธรรมคือหนทางที่นำไปสู่จุดมุ่งหมายนี้โดยตรง


    ---

    วิธีปฏิบัติธรรมเป็นบูชา

    1. เริ่มต้นด้วยการทำจิตดีๆ ให้เกิดขึ้น

    ด้วยทาน: เปิดใจด้วยการแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น

    ด้วยศีล: รักษาความประพฤติของตนให้สะอาดบริสุทธิ์

    ด้วยสมาธิและสติ: ฝึกเจริญสติ รู้กายรู้ใจจนกระจ่างในความไม่เที่ยง



    2. การถวายจิตดีๆ เป็นบูชา

    หากสามารถทำจิตให้สงบและเบาสบายได้แม้เพียงชั่วครู่ ก็น้อมนำจิตดีๆ นั้นถวายแทนการบูชา

    การปฏิบัติที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเรา คือสิ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัยที่สุด





    ---

    ทางเลือกสำหรับผู้เริ่มต้น

    หากยังไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ลึกซึ้งนัก ก็สามารถแสดงความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้าได้ด้วยการ:

    นำรูปหรือพระพุทธรูปมาบูชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในการปฏิบัติดี

    ทำบุญ ถวายทาน หรือร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา

    ศึกษาและเผยแผ่คำสอนของพระองค์



    ---

    การตอบแทนคุณครูบาอาจารย์

    ปฏิบัติตามคำสอน: งดเว้นจากสิ่งไม่ดีและลงมือปฏิบัติธรรม

    เผยแผ่คำสอน: ช่วยสืบทอดคำสอนของท่านให้กว้างไกล

    เคารพและระลึกถึงท่าน: ด้วยการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี



    ---

    สรุป

    การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์เริ่มต้นได้จากใจจริง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ขอเพียงมีความตั้งใจจริง และลงมือทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทุกการกระทำที่ดีงาม ล้วนถือเป็นการตอบแทนคุณอันสมบูรณ์แล้ว.

    การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การตอบแทนบุญคุณของพระองค์ที่สมบูรณ์ที่สุดคือการ ปฏิบัติธรรมเป็นบูชา เพราะพระองค์ทรงมุ่งหมายให้สัตว์โลกหลุดพ้นจากความทุกข์ และการปฏิบัติธรรมคือหนทางที่นำไปสู่จุดมุ่งหมายนี้โดยตรง --- วิธีปฏิบัติธรรมเป็นบูชา 1. เริ่มต้นด้วยการทำจิตดีๆ ให้เกิดขึ้น ด้วยทาน: เปิดใจด้วยการแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยศีล: รักษาความประพฤติของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยสมาธิและสติ: ฝึกเจริญสติ รู้กายรู้ใจจนกระจ่างในความไม่เที่ยง 2. การถวายจิตดีๆ เป็นบูชา หากสามารถทำจิตให้สงบและเบาสบายได้แม้เพียงชั่วครู่ ก็น้อมนำจิตดีๆ นั้นถวายแทนการบูชา การปฏิบัติที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเรา คือสิ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัยที่สุด --- ทางเลือกสำหรับผู้เริ่มต้น หากยังไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ลึกซึ้งนัก ก็สามารถแสดงความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้าได้ด้วยการ: นำรูปหรือพระพุทธรูปมาบูชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในการปฏิบัติดี ทำบุญ ถวายทาน หรือร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ศึกษาและเผยแผ่คำสอนของพระองค์ --- การตอบแทนคุณครูบาอาจารย์ ปฏิบัติตามคำสอน: งดเว้นจากสิ่งไม่ดีและลงมือปฏิบัติธรรม เผยแผ่คำสอน: ช่วยสืบทอดคำสอนของท่านให้กว้างไกล เคารพและระลึกถึงท่าน: ด้วยการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี --- สรุป การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์เริ่มต้นได้จากใจจริง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ขอเพียงมีความตั้งใจจริง และลงมือทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทุกการกระทำที่ดีงาม ล้วนถือเป็นการตอบแทนคุณอันสมบูรณ์แล้ว.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เกิดมาแล้วให้ทำความดีให้เพียงพอ การทำความดีอย่าเลือกเวลา ทำได้ทุกเวลา ทุกที่ ทุกเพศ ทุกวัย"
    ...
    หลวงพ่อผาง จิตตคุตโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต เป็นพระสุปฏิปันโนอีกรูปหนึ่ง ที่หลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน เคยกล่าวถึงท่านว่า คือพระอรหันต์ร่วมยุค

    หลวงพ่อผางท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในการปฏิบัติ ปฏิภาณไหวพริบเฉียบแหลมได้ชื่อว่า เป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ 

    คำสอนของท่านนั้นกล่าวกันว่าตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย อาทิ เกิดมาแล้วให้ทำความดีให้เพียงพอ การทำความดีอย่าเลือกเวลา ทำได้ทุกเวลา ทุกที่ ทุกเพศ ทุกวัย.
    "เกิดมาแล้วให้ทำความดีให้เพียงพอ การทำความดีอย่าเลือกเวลา ทำได้ทุกเวลา ทุกที่ ทุกเพศ ทุกวัย" ... หลวงพ่อผาง จิตตคุตโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต เป็นพระสุปฏิปันโนอีกรูปหนึ่ง ที่หลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน เคยกล่าวถึงท่านว่า คือพระอรหันต์ร่วมยุค หลวงพ่อผางท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในการปฏิบัติ ปฏิภาณไหวพริบเฉียบแหลมได้ชื่อว่า เป็นผู้มีวาจาสิทธิ์  คำสอนของท่านนั้นกล่าวกันว่าตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย อาทิ เกิดมาแล้วให้ทำความดีให้เพียงพอ การทำความดีอย่าเลือกเวลา ทำได้ทุกเวลา ทุกที่ ทุกเพศ ทุกวัย.
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 435 มุมมอง 10 0 รีวิว
  • จากเพจ ประวัติศาสตร์ ราชวงค์จักรี

    "ข้าชื่อ #สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน"

    "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์"

    เป็นบทความที่แปลจากหนังสือที่พระสุพรรณกัลยาได้เขียนเป็นอักษรโบราณของพม่าในปี พ.ศ. 2229 พบที่หอสมุดของพม่า

    โดยหลวงปู่โง่น โสรโย อริยสงฆ์แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ในปี พ.ศ. 2491

    หลวงปู่โง่น โสรโย เกิดบนแพกลางลำน้ำปิง เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เวลา 05.58 น.

    บิดาเป็นหัวหน้าล่องแพไม้ซุง มารดาเป็นชาวลำพูน เมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ซาโต้โมมอง เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวฝรั่งเศสประจำอินโดจีน รับตัวเป็นบุตรบุญธรรม และได้ศึกษาที่ต่างประเทศจนจบปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในเยอรมัน สามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา เดิมนับถือศาสนาคริสต์

    ต่อมาได้อุปสมบทในพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม

    ระหว่างที่เป็นสมณะได้ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ และกลางหิมะนานถึง 8 ชั่วโมง ได้รับคำสอนจากหลวงปู่โลกเทพอุดร มีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร หลวงปู่โง่นละสังขารของท่านเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริชนมายุได้ 94 ปีเศษ

    #หลวงปู่โง่น_โสรโย ขณะเดินทางเข้าพม่าในปี พ.ศ. 2491 ได้ถูกจับติดคุกพม่า เมื่อท่านทำความเพียร จึงได้สัมผัสทางวิญญาณพระสุพรรณกัลยา

    พระสุพรรณกัลยา: “ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา เป็นธิดาคนโตของพระมหาธรรมราชา

    มีน้องชายสองคน คือเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว เป็นชาวสยามไทย

    ได้ถูกกวาดต้อนมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก มาเป็นเชลยอยู่ที่เมืองหงสาวดีนี้ ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย เขาเกณฑ์ท่านมาเป็นช่าง สร้างบ้านให้พวกเราอยู่กัน ฉันไว้ใจท่านเพราะท่านซื่อสัตย์และกตัญญู ท่านช่วยดูแลฉันและน้องๆ ตลอดพวกพ้องที่เป็นเชลย ตลอดเวลา

    มาวันนี้ท่านแต่งตัวเป็นนักบวช คงจะมีมนต์ขลังดี ช่วยแก้ด้ายสายสิญจน์ออกจากมือและขาให้ฉันด้วย

    หมอผีพม่ามันผูกเอาไว้ เพื่อกันฉันจะหนี ฉันจึงหนีไปไหนมาไหนไกลๆไม่ได้ มันจะเหนี่ยวกลับทันที ถ้าหนีได้ฉันจะไปกับท่าน”

    แล้วหลวงปู่โง่นจึงได้ถอดกายทิพย์ไปดึงด้ายสายสิญจน์ที่เขาทำด้วยแผ่นทองคำ ความยาวห้าคืบ กว้างหนึ่งนิ้ว ลงอักขระคาถา

    ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 วันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12

    #พระสุพรรณกัลยา: “ท่านขาท่านเก่งมากที่ท่านช่วยแก้เครื่องผูกมัดออกให้ฉัน ฉันจะได้เป็นอิสระเสียที ฉันจะไปอยู่กับท่านตลอดไป ท่านต้องการอะไรบอกฉัน เมื่อท่านจะไปไหนมาไหน หรือทำอะไรบอกฉันด้วย ฉันจะช่วยแบ่งเบาเท่าที่ ความสามารถ ของฉันจะทำได้ และท่านก็จะพ้นภัยภายในเร็วๆ นี้

    พวกเราถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย จนฉันโตเป็นสาว อายุราวๆ เบญจเพศ ไอ้เจ้าบุเรงนองมันก็ปองรักจะหักด้ามพร้าด้วยเข่าเอาฉันทำเมีย

    แต่พระอนุชาของฉันทั้งสองไม่ยินยอมและตัวท่านเองก็ไม่ยอมด้วย ดังนั้นจึงพร้อมกันออกอุบายว่า ขอให้ฉันได้รับอนุญาตจากท่านผู้บังเกิดเกล้า

    คือ บิดามารดาเสียก่อน เจ้าบุเรงนองมันตาฝาดด้วยอำนาจกิเลสตัณหาจึงจัดแจงโยธาไพร่พลพร้อมด้วยตัวเขาและน้องชายทั้งสองของฉันและตัวท่านเองก็ได้กลับไปด้วย

    แต่การไปของท่าน เขาให้ไปถึงแค่เขตแดนแล้วเขาสั่งให้สร้างบ้านเรือนอยู่ตรงเมืองมะริด และเจ้าบุเรงนองก็เกรงใจท่านมากเพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เขานับถือ

    เหตุที่ฉันจะต้องไปด้วยตอนถูกกวาดไปเป็นเชลย

    เพราะน้องของฉันทั้งสองพระองค์ เขาติดพันฉันมาก ฉันเป็นทั้งพี่จริงและพี่เลี้ยง ฉันเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เยาว์วัย

    ในคราวที่เราร่อนเร่มาอย่างเมื่อยล้า น้องคนเล็กไม่ยอมเดิน ฉันต้องอุ้มกระเตงคนเล็กไว้ที่เอวข้างขวา จูงคนโตด้วยมือซ้ายตอนข้ามน้ำ ท่านยังเห็นว่าขำแท้ๆท่านจึงทำจำแลง แกะสลักรูปของฉันอุ้มน้อง เพื่อล้อเลียนไว้ดูเล่น ขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ เอาไว้ไปดูเล่นเป็นขวัญตา รวมถึงอัฐิและกำไลแขนของฉันในสถานที่ที่ฉันเก็บไว้ ขอให้นำกลับไปด้วย และของที่เราสักการะบูชา คือ เทวรูปพระนารายณ์ และพระแม่อุมาที่เป็นทองคำก็ให้ท่านเอากลับไปด้วย"

    สิ่งของเหล่านั้นหลวงปู่โง่นได้นำเอากลับมาเก็บรักษาไว้ที่ห้องเทวดา ศาลากลางน้ำ วัดพระพุทธบาทเขารวก พิจิตร เท่าทุกวันนี้ นี่แหละ คือ สักขีพยานในด้านรูปธรรมที่พอยืนยันได้

    พระสุพรรณกัลยา: “กองทัพของไทยขึ้นไปประชิดที่เมืองอังวะไว้แล้ว ไอ้เจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) จึงสั่งจับจำจองแม่เลี้ยงของมันคือฉันเองให้ลงโทษทัณฑ์อย่างหนัก มันสั่งให้คนจับฉัน มัดมือ มัดเท้า แล้วลงมือชกต่อย ตบ ตี เตะ ถีบ โบยด้วยแส้หวาย โบยแล้วโบยอีก แล้วปล่อยให้ฉันอดข้าวอดน้ำ ให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส

    เมื่อมันเห็นว่าฉันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว มันก็ฟันฉันด้วยดาบเล่มนี้ และขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ แล้วฉันก็ตายไปพร้อมกับลูกอยู่ในท้องแปดเดือน แล้วมันก็ให้หมอผีมาทำพิธีทางไสยศาสตร์ด้วย

    การผูกรัดรึงตรึงฉัน ด้วยไม้กางเขนตรากระสัง ให้วิญญาณของฉันไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในละแวกนี้เท่านั้น

    ฉันขอขอบใจท่านมากที่ท่านได้มาช่วยแก้เครื่องพันธนาการออกให้ฉัน

    แต่นี่ฉันก็เป็นอิสระแล้ว เมื่อท่านกลับไปเมืองไทยฉันจะไปด้วย ฉันจะไปช่วยงานท่าน ท่านมีธุรกิจอะไรเพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ ศาสนกษัตริย์แล้วบอกฉัน

    ขอให้ท่านหวนจิตคิดย้อนกลับไปดูภาวะของฉันที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นธิดาองค์ใหญ่ในวงศ์สุดท้ายของวงศ์สุโขทัย พระราชบิดาได้ไปครองเมืองอยุธยาได้รับสมญาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระสุพรรณกัลยา มีความสุขจากทรัพย์โภคาอย่างล้นเหลือ มีข้าทาสบริวารนับไม่ถ้วน มีความสุขสุดที่จะพรรณา จำเดิมแต่ได้พลัดพรากจากบ้านเมืองพ่อแม่มา ข้ามภูผาที่กันดาร ยังมาทุกข์ทรมานในการจำจากน้องทั้งสองอันเป็นที่รักที่สุด สุดท้ายก็มาถูกเจ้านันทบุเรง บุตรบุญธรรมของฉันนั้นเองเฆี่ยนตีทำโทษจนถึง แก่ความตายอย่างทรมานที่สุด ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดๆจะเหมือนฉัน แต่ฉันก็กระทำไปเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติบ้านเมือง”

    หลวงปู่โง่น: “ตอนนี้ท่านหญิงสบายแล้ว เสวยสุขอยู่ในทิพย์วิมานอันแสนจะสำราญอยู่ที่นี้ ที่โลกทิพย์นี่ สองสามราตรีเท่านั้นในพิภพนี้ แต่โลกมนุษย์ปาเข้าไปห้าร้อยปีแล้ว ตัวอาตมาเองได้ดับชีวีจากเมืองผีไปเมืองคน วนเวียนอยู่หลายชาติแล้ว

    เราจะมาเพลิดเพลินในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอยู่หรือไง เป็นเพราะไอ้ตัวกิเลสตัณหาบ้าบอแท้ๆ ที่ได้จองจำนำพาให้เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิด”

    พระสุพรรณกัลยา: “ฉันจะไปอุบัติในสกุลสุขุมาลย์ชาติในวงศ์สกุลกษัตริย์ไทย ช่วยบ้านเมืองในร่างสตรีเพศ เมื่อบ้านเมืองเดือดร้อน และจะไม่เยื่อใยในการมีคู่ครอง เพราะฉันเข็ดแล้วเรื่องผู้ชาย ฉันจะสร้างบารมีทำแต่ความดีให้นั่งอยู่บนหัวใจของคนไทยทั้งประเทศ
    แล้วฉันก็จะเป็นคนหมดเวรภัยไปสู่สถานที่ที่ไม่มีการเกิดการตายอีกแล้ว”

    พระสุพรรณกัลยา: “พระคุณเจ้าอย่าลืมนะ เรื่องฉันร้องขอคือ ฝากให้ท่านเอารูปลักษณ์ของฉันที่อยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของท่าน ออกเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ที่อยากรู้อยากเห็นฉันให้เป็นแบบรูปธรรมขึ้นมา ให้เขาได้เห็นฉันด้วย แต่ฉันเชื่อแน่ว่า คนไทยทั้งประเทศ เขาคงจำฉันได้ไม่กี่คน

    เพราะประวัติจริงๆ ที่พระน้องยาเธอของฉันจารึกไว้ก็คงจะสลายหายสูญไปกับกรุงแตกครั้งหลังสุดแล้ว”

    หลวงปู่โง่นจึงได้สร้างรูปของพระสุพรรณกัลยาโดยใช้วิธีการสองระบบ คือ ระบบทางนามธรรม หรือ ระบบทางจิตคือการสัมผัสทางจิตวิญญาณ และระบบทางรูปธรรม โดยอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ให้ปรากฏเป็นภาพแก่สายตาภายนอก โดยใช้กล้องถ่ายรูปชั้นดีสองตัว คือ กล้องโอลิมปัสของเยอรมัน และกล้องโพโตลองของฝรั่งเศส

    ในทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ก็มีหลักยืนยันว่า E=MC2 สสารย่อมไม่หายไปจากโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีขึ้นแล้วในโลก เมื่อถึงคราวแตกดับไปสลายตัวไปก็จะกลายเป็นสสาร ยืนยงคงอยู่ตลอดไป เพราะอุณหภูมิคือความร้อนรักษาไว้

    มีการจัดหาเครื่องพลีกรรมทางไสยศาสตร์ ซึ่งมีเครื่องบูชามีอาหารหวานคาว ผลไม้ และเครื่องแต่งตัวของผู้หญิงมีแป้ง น้ำอบน้ำหอม ผ้าถุงเสื้อนุ่งสีทอง

    เสร็จแล้วก็ไปทำพิธีในสถานที่ได้นิมิตเห็นพระสุพรรณกัลยาและถ่ายรูปเอาดวงวิญญาณของพระนาง

    เมื่อได้จัดแจงอุปกรณ์ภายนอก ทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว หันหน้ากล้องทั้งสองเข้า หาพานเครื่องเส้น ทำใจให้สงบ หันหน้าตัวเองไปแนวเดียวกับกล้องถ่ายรูป แล้ว

    สวดคาถาว่า...

    เอหิภูโต มหาภูโต สะมะนุสโส สะเทวะโก กะโรหิ เทวะทิ ตานังอาคัจเฉยะ อาคัจฉาหิ เอหิวิญญานะสุพรรณกัลละยา เทวะทิตา อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ มานิมามา

    ภาวนาได้เจ็ดครั้งแล้วก็หยุด

    ใช้ความรู้สึกอย่างแรงในขณะหายใจเข้า ดึงเอาภาพลักษณ์ของพระสุพรรณกัลยา ให้มาปรากฏ แล้วจิตมันก็ว่าง อันรูปภาพของพระนางก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพเห็น ชัดเจน อันกล้องถ่ายทั้งสอง มันก็ทำงานตามที่กำหนดไว้

    ใช้เวลาอยู่สามชั่วโมงก็หยุด เอาฟิล์มออกมาล้างดู ล้างด้วยมือเอง เพราะหลวงปู่โง่นเคยเป็นช่างถ่ายรูปมาก่อน ได้รูปออกมาเป็นที่น่าพอใจ

    หลวงปู่โง่นได้เผยแพร่รูปพระนางตามที่ได้ปรากฏในโพสต์นี้ และบันทึกว่า พระนางสุพรรณกัลยาได้ทำคุณประโยชน์ไว้ให้แก่คนไทยทั้งชาติ คือ ต้องยอมเสียสละความสุข ตลอดพระชนม์ชีพส่วนตัว เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองสยามไทยทั้งประเทศ ซึ่งก็ไม่มีวีรสตรีหรือวีรบุรุษท่านใดในอดีตถึง ปัจจุบันที่จะได้เสียสละอย่างนั้น แล้วสมควรไหมที่ชาวไทยจะลืมท่านลง แต่ถ้าได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม คงไม่ลืมแน่

    คัดลอกและเรียบเรียงจากหนังสือ “ย้อยรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา” โดยหลวงปู่โง่น โสรโย เมษายน 2529"ข้าชื่อ สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน"

    "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์"

    เป็นบทความที่แปลจากหนังสือที่พระสุพรรณกัลยาได้เขียนเป็นอักษรโบราณของพม่าในปี พ.ศ. 2229 พบที่หอสมุดของพม่า

    โดยหลวงปู่โง่น โสรโย อริยสงฆ์แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ในปี พ.ศ. 2491

    หลวงปู่โง่น โสรโย เกิดบนแพกลางลำน้ำปิง เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เวลา 05.58 น.

    บิดาเป็นหัวหน้าล่องแพไม้ซุง มารดาเป็นชาวลำพูน เมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ซาโต้โมมอง เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวฝรั่งเศสประจำอินโดจีน รับตัวเป็นบุตรบุญธรรม และได้ศึกษาที่ต่างประเทศจนจบปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในเยอรมัน สามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา เดิมนับถือศาสนาคริสต์

    ต่อมาได้อุปสมบทในพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม

    ระหว่างที่เป็นสมณะได้ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ และกลางหิมะนานถึง 8 ชั่วโมง ได้รับคำสอนจากหลวงปู่โลกเทพอุดร มีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร หลวงปู่โง่นละสังขารของท่านเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริชนมายุได้ 94 ปีเศษ

    หลวงปู่โง่น โสรโย
    จากเพจ ประวัติศาสตร์ ราชวงค์จักรี "ข้าชื่อ #สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน" "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์" เป็นบทความที่แปลจากหนังสือที่พระสุพรรณกัลยาได้เขียนเป็นอักษรโบราณของพม่าในปี พ.ศ. 2229 พบที่หอสมุดของพม่า โดยหลวงปู่โง่น โสรโย อริยสงฆ์แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ในปี พ.ศ. 2491 หลวงปู่โง่น โสรโย เกิดบนแพกลางลำน้ำปิง เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เวลา 05.58 น. บิดาเป็นหัวหน้าล่องแพไม้ซุง มารดาเป็นชาวลำพูน เมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ซาโต้โมมอง เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวฝรั่งเศสประจำอินโดจีน รับตัวเป็นบุตรบุญธรรม และได้ศึกษาที่ต่างประเทศจนจบปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในเยอรมัน สามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา เดิมนับถือศาสนาคริสต์ ต่อมาได้อุปสมบทในพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม ระหว่างที่เป็นสมณะได้ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ และกลางหิมะนานถึง 8 ชั่วโมง ได้รับคำสอนจากหลวงปู่โลกเทพอุดร มีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร หลวงปู่โง่นละสังขารของท่านเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริชนมายุได้ 94 ปีเศษ #หลวงปู่โง่น_โสรโย ขณะเดินทางเข้าพม่าในปี พ.ศ. 2491 ได้ถูกจับติดคุกพม่า เมื่อท่านทำความเพียร จึงได้สัมผัสทางวิญญาณพระสุพรรณกัลยา พระสุพรรณกัลยา: “ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา เป็นธิดาคนโตของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว เป็นชาวสยามไทย ได้ถูกกวาดต้อนมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก มาเป็นเชลยอยู่ที่เมืองหงสาวดีนี้ ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย เขาเกณฑ์ท่านมาเป็นช่าง สร้างบ้านให้พวกเราอยู่กัน ฉันไว้ใจท่านเพราะท่านซื่อสัตย์และกตัญญู ท่านช่วยดูแลฉันและน้องๆ ตลอดพวกพ้องที่เป็นเชลย ตลอดเวลา มาวันนี้ท่านแต่งตัวเป็นนักบวช คงจะมีมนต์ขลังดี ช่วยแก้ด้ายสายสิญจน์ออกจากมือและขาให้ฉันด้วย หมอผีพม่ามันผูกเอาไว้ เพื่อกันฉันจะหนี ฉันจึงหนีไปไหนมาไหนไกลๆไม่ได้ มันจะเหนี่ยวกลับทันที ถ้าหนีได้ฉันจะไปกับท่าน” แล้วหลวงปู่โง่นจึงได้ถอดกายทิพย์ไปดึงด้ายสายสิญจน์ที่เขาทำด้วยแผ่นทองคำ ความยาวห้าคืบ กว้างหนึ่งนิ้ว ลงอักขระคาถา ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 วันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 #พระสุพรรณกัลยา: “ท่านขาท่านเก่งมากที่ท่านช่วยแก้เครื่องผูกมัดออกให้ฉัน ฉันจะได้เป็นอิสระเสียที ฉันจะไปอยู่กับท่านตลอดไป ท่านต้องการอะไรบอกฉัน เมื่อท่านจะไปไหนมาไหน หรือทำอะไรบอกฉันด้วย ฉันจะช่วยแบ่งเบาเท่าที่ ความสามารถ ของฉันจะทำได้ และท่านก็จะพ้นภัยภายในเร็วๆ นี้ พวกเราถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย จนฉันโตเป็นสาว อายุราวๆ เบญจเพศ ไอ้เจ้าบุเรงนองมันก็ปองรักจะหักด้ามพร้าด้วยเข่าเอาฉันทำเมีย แต่พระอนุชาของฉันทั้งสองไม่ยินยอมและตัวท่านเองก็ไม่ยอมด้วย ดังนั้นจึงพร้อมกันออกอุบายว่า ขอให้ฉันได้รับอนุญาตจากท่านผู้บังเกิดเกล้า คือ บิดามารดาเสียก่อน เจ้าบุเรงนองมันตาฝาดด้วยอำนาจกิเลสตัณหาจึงจัดแจงโยธาไพร่พลพร้อมด้วยตัวเขาและน้องชายทั้งสองของฉันและตัวท่านเองก็ได้กลับไปด้วย แต่การไปของท่าน เขาให้ไปถึงแค่เขตแดนแล้วเขาสั่งให้สร้างบ้านเรือนอยู่ตรงเมืองมะริด และเจ้าบุเรงนองก็เกรงใจท่านมากเพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เขานับถือ เหตุที่ฉันจะต้องไปด้วยตอนถูกกวาดไปเป็นเชลย เพราะน้องของฉันทั้งสองพระองค์ เขาติดพันฉันมาก ฉันเป็นทั้งพี่จริงและพี่เลี้ยง ฉันเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เยาว์วัย ในคราวที่เราร่อนเร่มาอย่างเมื่อยล้า น้องคนเล็กไม่ยอมเดิน ฉันต้องอุ้มกระเตงคนเล็กไว้ที่เอวข้างขวา จูงคนโตด้วยมือซ้ายตอนข้ามน้ำ ท่านยังเห็นว่าขำแท้ๆท่านจึงทำจำแลง แกะสลักรูปของฉันอุ้มน้อง เพื่อล้อเลียนไว้ดูเล่น ขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ เอาไว้ไปดูเล่นเป็นขวัญตา รวมถึงอัฐิและกำไลแขนของฉันในสถานที่ที่ฉันเก็บไว้ ขอให้นำกลับไปด้วย และของที่เราสักการะบูชา คือ เทวรูปพระนารายณ์ และพระแม่อุมาที่เป็นทองคำก็ให้ท่านเอากลับไปด้วย" สิ่งของเหล่านั้นหลวงปู่โง่นได้นำเอากลับมาเก็บรักษาไว้ที่ห้องเทวดา ศาลากลางน้ำ วัดพระพุทธบาทเขารวก พิจิตร เท่าทุกวันนี้ นี่แหละ คือ สักขีพยานในด้านรูปธรรมที่พอยืนยันได้ พระสุพรรณกัลยา: “กองทัพของไทยขึ้นไปประชิดที่เมืองอังวะไว้แล้ว ไอ้เจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) จึงสั่งจับจำจองแม่เลี้ยงของมันคือฉันเองให้ลงโทษทัณฑ์อย่างหนัก มันสั่งให้คนจับฉัน มัดมือ มัดเท้า แล้วลงมือชกต่อย ตบ ตี เตะ ถีบ โบยด้วยแส้หวาย โบยแล้วโบยอีก แล้วปล่อยให้ฉันอดข้าวอดน้ำ ให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เมื่อมันเห็นว่าฉันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว มันก็ฟันฉันด้วยดาบเล่มนี้ และขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ แล้วฉันก็ตายไปพร้อมกับลูกอยู่ในท้องแปดเดือน แล้วมันก็ให้หมอผีมาทำพิธีทางไสยศาสตร์ด้วย การผูกรัดรึงตรึงฉัน ด้วยไม้กางเขนตรากระสัง ให้วิญญาณของฉันไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในละแวกนี้เท่านั้น ฉันขอขอบใจท่านมากที่ท่านได้มาช่วยแก้เครื่องพันธนาการออกให้ฉัน แต่นี่ฉันก็เป็นอิสระแล้ว เมื่อท่านกลับไปเมืองไทยฉันจะไปด้วย ฉันจะไปช่วยงานท่าน ท่านมีธุรกิจอะไรเพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ ศาสนกษัตริย์แล้วบอกฉัน ขอให้ท่านหวนจิตคิดย้อนกลับไปดูภาวะของฉันที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นธิดาองค์ใหญ่ในวงศ์สุดท้ายของวงศ์สุโขทัย พระราชบิดาได้ไปครองเมืองอยุธยาได้รับสมญาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระสุพรรณกัลยา มีความสุขจากทรัพย์โภคาอย่างล้นเหลือ มีข้าทาสบริวารนับไม่ถ้วน มีความสุขสุดที่จะพรรณา จำเดิมแต่ได้พลัดพรากจากบ้านเมืองพ่อแม่มา ข้ามภูผาที่กันดาร ยังมาทุกข์ทรมานในการจำจากน้องทั้งสองอันเป็นที่รักที่สุด สุดท้ายก็มาถูกเจ้านันทบุเรง บุตรบุญธรรมของฉันนั้นเองเฆี่ยนตีทำโทษจนถึง แก่ความตายอย่างทรมานที่สุด ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดๆจะเหมือนฉัน แต่ฉันก็กระทำไปเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติบ้านเมือง” หลวงปู่โง่น: “ตอนนี้ท่านหญิงสบายแล้ว เสวยสุขอยู่ในทิพย์วิมานอันแสนจะสำราญอยู่ที่นี้ ที่โลกทิพย์นี่ สองสามราตรีเท่านั้นในพิภพนี้ แต่โลกมนุษย์ปาเข้าไปห้าร้อยปีแล้ว ตัวอาตมาเองได้ดับชีวีจากเมืองผีไปเมืองคน วนเวียนอยู่หลายชาติแล้ว เราจะมาเพลิดเพลินในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอยู่หรือไง เป็นเพราะไอ้ตัวกิเลสตัณหาบ้าบอแท้ๆ ที่ได้จองจำนำพาให้เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิด” พระสุพรรณกัลยา: “ฉันจะไปอุบัติในสกุลสุขุมาลย์ชาติในวงศ์สกุลกษัตริย์ไทย ช่วยบ้านเมืองในร่างสตรีเพศ เมื่อบ้านเมืองเดือดร้อน และจะไม่เยื่อใยในการมีคู่ครอง เพราะฉันเข็ดแล้วเรื่องผู้ชาย ฉันจะสร้างบารมีทำแต่ความดีให้นั่งอยู่บนหัวใจของคนไทยทั้งประเทศ แล้วฉันก็จะเป็นคนหมดเวรภัยไปสู่สถานที่ที่ไม่มีการเกิดการตายอีกแล้ว” พระสุพรรณกัลยา: “พระคุณเจ้าอย่าลืมนะ เรื่องฉันร้องขอคือ ฝากให้ท่านเอารูปลักษณ์ของฉันที่อยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของท่าน ออกเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ที่อยากรู้อยากเห็นฉันให้เป็นแบบรูปธรรมขึ้นมา ให้เขาได้เห็นฉันด้วย แต่ฉันเชื่อแน่ว่า คนไทยทั้งประเทศ เขาคงจำฉันได้ไม่กี่คน เพราะประวัติจริงๆ ที่พระน้องยาเธอของฉันจารึกไว้ก็คงจะสลายหายสูญไปกับกรุงแตกครั้งหลังสุดแล้ว” หลวงปู่โง่นจึงได้สร้างรูปของพระสุพรรณกัลยาโดยใช้วิธีการสองระบบ คือ ระบบทางนามธรรม หรือ ระบบทางจิตคือการสัมผัสทางจิตวิญญาณ และระบบทางรูปธรรม โดยอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ให้ปรากฏเป็นภาพแก่สายตาภายนอก โดยใช้กล้องถ่ายรูปชั้นดีสองตัว คือ กล้องโอลิมปัสของเยอรมัน และกล้องโพโตลองของฝรั่งเศส ในทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ก็มีหลักยืนยันว่า E=MC2 สสารย่อมไม่หายไปจากโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีขึ้นแล้วในโลก เมื่อถึงคราวแตกดับไปสลายตัวไปก็จะกลายเป็นสสาร ยืนยงคงอยู่ตลอดไป เพราะอุณหภูมิคือความร้อนรักษาไว้ มีการจัดหาเครื่องพลีกรรมทางไสยศาสตร์ ซึ่งมีเครื่องบูชามีอาหารหวานคาว ผลไม้ และเครื่องแต่งตัวของผู้หญิงมีแป้ง น้ำอบน้ำหอม ผ้าถุงเสื้อนุ่งสีทอง เสร็จแล้วก็ไปทำพิธีในสถานที่ได้นิมิตเห็นพระสุพรรณกัลยาและถ่ายรูปเอาดวงวิญญาณของพระนาง เมื่อได้จัดแจงอุปกรณ์ภายนอก ทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว หันหน้ากล้องทั้งสองเข้า หาพานเครื่องเส้น ทำใจให้สงบ หันหน้าตัวเองไปแนวเดียวกับกล้องถ่ายรูป แล้ว สวดคาถาว่า... เอหิภูโต มหาภูโต สะมะนุสโส สะเทวะโก กะโรหิ เทวะทิ ตานังอาคัจเฉยะ อาคัจฉาหิ เอหิวิญญานะสุพรรณกัลละยา เทวะทิตา อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ มานิมามา ภาวนาได้เจ็ดครั้งแล้วก็หยุด ใช้ความรู้สึกอย่างแรงในขณะหายใจเข้า ดึงเอาภาพลักษณ์ของพระสุพรรณกัลยา ให้มาปรากฏ แล้วจิตมันก็ว่าง อันรูปภาพของพระนางก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพเห็น ชัดเจน อันกล้องถ่ายทั้งสอง มันก็ทำงานตามที่กำหนดไว้ ใช้เวลาอยู่สามชั่วโมงก็หยุด เอาฟิล์มออกมาล้างดู ล้างด้วยมือเอง เพราะหลวงปู่โง่นเคยเป็นช่างถ่ายรูปมาก่อน ได้รูปออกมาเป็นที่น่าพอใจ หลวงปู่โง่นได้เผยแพร่รูปพระนางตามที่ได้ปรากฏในโพสต์นี้ และบันทึกว่า พระนางสุพรรณกัลยาได้ทำคุณประโยชน์ไว้ให้แก่คนไทยทั้งชาติ คือ ต้องยอมเสียสละความสุข ตลอดพระชนม์ชีพส่วนตัว เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองสยามไทยทั้งประเทศ ซึ่งก็ไม่มีวีรสตรีหรือวีรบุรุษท่านใดในอดีตถึง ปัจจุบันที่จะได้เสียสละอย่างนั้น แล้วสมควรไหมที่ชาวไทยจะลืมท่านลง แต่ถ้าได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม คงไม่ลืมแน่ คัดลอกและเรียบเรียงจากหนังสือ “ย้อยรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา” โดยหลวงปู่โง่น โสรโย เมษายน 2529"ข้าชื่อ สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน" "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์" เป็นบทความที่แปลจากหนังสือที่พระสุพรรณกัลยาได้เขียนเป็นอักษรโบราณของพม่าในปี พ.ศ. 2229 พบที่หอสมุดของพม่า โดยหลวงปู่โง่น โสรโย อริยสงฆ์แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ในปี พ.ศ. 2491 หลวงปู่โง่น โสรโย เกิดบนแพกลางลำน้ำปิง เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เวลา 05.58 น. บิดาเป็นหัวหน้าล่องแพไม้ซุง มารดาเป็นชาวลำพูน เมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ซาโต้โมมอง เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวฝรั่งเศสประจำอินโดจีน รับตัวเป็นบุตรบุญธรรม และได้ศึกษาที่ต่างประเทศจนจบปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในเยอรมัน สามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา เดิมนับถือศาสนาคริสต์ ต่อมาได้อุปสมบทในพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม ระหว่างที่เป็นสมณะได้ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ และกลางหิมะนานถึง 8 ชั่วโมง ได้รับคำสอนจากหลวงปู่โลกเทพอุดร มีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร หลวงปู่โง่นละสังขารของท่านเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริชนมายุได้ 94 ปีเศษ หลวงปู่โง่น โสรโย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 657 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากเพจ ประวัติศาสตร์ ราชวงค์จักรี

    "ข้าชื่อ #สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน"

    "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์"

    เป็นบทความที่แปลจากหนังสือที่พระสุพรรณกัลยาได้เขียนเป็นอักษรโบราณของพม่าในปี พ.ศ. 2229 พบที่หอสมุดของพม่า

    โดยหลวงปู่โง่น โสรโย อริยสงฆ์แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ในปี พ.ศ. 2491

    หลวงปู่โง่น โสรโย เกิดบนแพกลางลำน้ำปิง เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เวลา 05.58 น.

    บิดาเป็นหัวหน้าล่องแพไม้ซุง มารดาเป็นชาวลำพูน เมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ซาโต้โมมอง เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวฝรั่งเศสประจำอินโดจีน รับตัวเป็นบุตรบุญธรรม และได้ศึกษาที่ต่างประเทศจนจบปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในเยอรมัน สามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา เดิมนับถือศาสนาคริสต์

    ต่อมาได้อุปสมบทในพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม

    ระหว่างที่เป็นสมณะได้ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ และกลางหิมะนานถึง 8 ชั่วโมง ได้รับคำสอนจากหลวงปู่โลกเทพอุดร มีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร หลวงปู่โง่นละสังขารของท่านเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริชนมายุได้ 94 ปีเศษ

    #หลวงปู่โง่น_โสรโย ขณะเดินทางเข้าพม่าในปี พ.ศ. 2491 ได้ถูกจับติดคุกพม่า เมื่อท่านทำความเพียร จึงได้สัมผัสทางวิญญาณพระสุพรรณกัลยา

    พระสุพรรณกัลยา: “ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา เป็นธิดาคนโตของพระมหาธรรมราชา

    มีน้องชายสองคน คือเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว เป็นชาวสยามไทย

    ได้ถูกกวาดต้อนมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก มาเป็นเชลยอยู่ที่เมืองหงสาวดีนี้ ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย เขาเกณฑ์ท่านมาเป็นช่าง สร้างบ้านให้พวกเราอยู่กัน ฉันไว้ใจท่านเพราะท่านซื่อสัตย์และกตัญญู ท่านช่วยดูแลฉันและน้องๆ ตลอดพวกพ้องที่เป็นเชลย ตลอดเวลา

    มาวันนี้ท่านแต่งตัวเป็นนักบวช คงจะมีมนต์ขลังดี ช่วยแก้ด้ายสายสิญจน์ออกจากมือและขาให้ฉันด้วย

    หมอผีพม่ามันผูกเอาไว้ เพื่อกันฉันจะหนี ฉันจึงหนีไปไหนมาไหนไกลๆไม่ได้ มันจะเหนี่ยวกลับทันที ถ้าหนีได้ฉันจะไปกับท่าน”

    แล้วหลวงปู่โง่นจึงได้ถอดกายทิพย์ไปดึงด้ายสายสิญจน์ที่เขาทำด้วยแผ่นทองคำ ความยาวห้าคืบ กว้างหนึ่งนิ้ว ลงอักขระคาถา

    ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 วันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12

    #พระสุพรรณกัลยา: “ท่านขาท่านเก่งมากที่ท่านช่วยแก้เครื่องผูกมัดออกให้ฉัน ฉันจะได้เป็นอิสระเสียที ฉันจะไปอยู่กับท่านตลอดไป ท่านต้องการอะไรบอกฉัน เมื่อท่านจะไปไหนมาไหน หรือทำอะไรบอกฉันด้วย ฉันจะช่วยแบ่งเบาเท่าที่ ความสามารถ ของฉันจะทำได้ และท่านก็จะพ้นภัยภายในเร็วๆ นี้

    พวกเราถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย จนฉันโตเป็นสาว อายุราวๆ เบญจเพศ ไอ้เจ้าบุเรงนองมันก็ปองรักจะหักด้ามพร้าด้วยเข่าเอาฉันทำเมีย

    แต่พระอนุชาของฉันทั้งสองไม่ยินยอมและตัวท่านเองก็ไม่ยอมด้วย ดังนั้นจึงพร้อมกันออกอุบายว่า ขอให้ฉันได้รับอนุญาตจากท่านผู้บังเกิดเกล้า

    คือ บิดามารดาเสียก่อน เจ้าบุเรงนองมันตาฝาดด้วยอำนาจกิเลสตัณหาจึงจัดแจงโยธาไพร่พลพร้อมด้วยตัวเขาและน้องชายทั้งสองของฉันและตัวท่านเองก็ได้กลับไปด้วย

    แต่การไปของท่าน เขาให้ไปถึงแค่เขตแดนแล้วเขาสั่งให้สร้างบ้านเรือนอยู่ตรงเมืองมะริด และเจ้าบุเรงนองก็เกรงใจท่านมากเพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เขานับถือ

    เหตุที่ฉันจะต้องไปด้วยตอนถูกกวาดไปเป็นเชลย

    เพราะน้องของฉันทั้งสองพระองค์ เขาติดพันฉันมาก ฉันเป็นทั้งพี่จริงและพี่เลี้ยง ฉันเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เยาว์วัย

    ในคราวที่เราร่อนเร่มาอย่างเมื่อยล้า น้องคนเล็กไม่ยอมเดิน ฉันต้องอุ้มกระเตงคนเล็กไว้ที่เอวข้างขวา จูงคนโตด้วยมือซ้ายตอนข้ามน้ำ ท่านยังเห็นว่าขำแท้ๆท่านจึงทำจำแลง แกะสลักรูปของฉันอุ้มน้อง เพื่อล้อเลียนไว้ดูเล่น ขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ เอาไว้ไปดูเล่นเป็นขวัญตา รวมถึงอัฐิและกำไลแขนของฉันในสถานที่ที่ฉันเก็บไว้ ขอให้นำกลับไปด้วย และของที่เราสักการะบูชา คือ เทวรูปพระนารายณ์ และพระแม่อุมาที่เป็นทองคำก็ให้ท่านเอากลับไปด้วย"

    สิ่งของเหล่านั้นหลวงปู่โง่นได้นำเอากลับมาเก็บรักษาไว้ที่ห้องเทวดา ศาลากลางน้ำ วัดพระพุทธบาทเขารวก พิจิตร เท่าทุกวันนี้ นี่แหละ คือ สักขีพยานในด้านรูปธรรมที่พอยืนยันได้

    พระสุพรรณกัลยา: “กองทัพของไทยขึ้นไปประชิดที่เมืองอังวะไว้แล้ว ไอ้เจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) จึงสั่งจับจำจองแม่เลี้ยงของมันคือฉันเองให้ลงโทษทัณฑ์อย่างหนัก มันสั่งให้คนจับฉัน มัดมือ มัดเท้า แล้วลงมือชกต่อย ตบ ตี เตะ ถีบ โบยด้วยแส้หวาย โบยแล้วโบยอีก แล้วปล่อยให้ฉันอดข้าวอดน้ำ ให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส

    เมื่อมันเห็นว่าฉันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว มันก็ฟันฉันด้วยดาบเล่มนี้ และขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ แล้วฉันก็ตายไปพร้อมกับลูกอยู่ในท้องแปดเดือน แล้วมันก็ให้หมอผีมาทำพิธีทางไสยศาสตร์ด้วย

    การผูกรัดรึงตรึงฉัน ด้วยไม้กางเขนตรากระสัง ให้วิญญาณของฉันไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในละแวกนี้เท่านั้น

    ฉันขอขอบใจท่านมากที่ท่านได้มาช่วยแก้เครื่องพันธนาการออกให้ฉัน

    แต่นี่ฉันก็เป็นอิสระแล้ว เมื่อท่านกลับไปเมืองไทยฉันจะไปด้วย ฉันจะไปช่วยงานท่าน ท่านมีธุรกิจอะไรเพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ ศาสนกษัตริย์แล้วบอกฉัน

    ขอให้ท่านหวนจิตคิดย้อนกลับไปดูภาวะของฉันที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นธิดาองค์ใหญ่ในวงศ์สุดท้ายของวงศ์สุโขทัย พระราชบิดาได้ไปครองเมืองอยุธยาได้รับสมญาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระสุพรรณกัลยา มีความสุขจากทรัพย์โภคาอย่างล้นเหลือ มีข้าทาสบริวารนับไม่ถ้วน มีความสุขสุดที่จะพรรณา จำเดิมแต่ได้พลัดพรากจากบ้านเมืองพ่อแม่มา ข้ามภูผาที่กันดาร ยังมาทุกข์ทรมานในการจำจากน้องทั้งสองอันเป็นที่รักที่สุด สุดท้ายก็มาถูกเจ้านันทบุเรง บุตรบุญธรรมของฉันนั้นเองเฆี่ยนตีทำโทษจนถึง แก่ความตายอย่างทรมานที่สุด ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดๆจะเหมือนฉัน แต่ฉันก็กระทำไปเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติบ้านเมือง”

    หลวงปู่โง่น: “ตอนนี้ท่านหญิงสบายแล้ว เสวยสุขอยู่ในทิพย์วิมานอันแสนจะสำราญอยู่ที่นี้ ที่โลกทิพย์นี่ สองสามราตรีเท่านั้นในพิภพนี้ แต่โลกมนุษย์ปาเข้าไปห้าร้อยปีแล้ว ตัวอาตมาเองได้ดับชีวีจากเมืองผีไปเมืองคน วนเวียนอยู่หลายชาติแล้ว

    เราจะมาเพลิดเพลินในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอยู่หรือไง เป็นเพราะไอ้ตัวกิเลสตัณหาบ้าบอแท้ๆ ที่ได้จองจำนำพาให้เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิด”

    พระสุพรรณกัลยา: “ฉันจะไปอุบัติในสกุลสุขุมาลย์ชาติในวงศ์สกุลกษัตริย์ไทย ช่วยบ้านเมืองในร่างสตรีเพศ เมื่อบ้านเมืองเดือดร้อน และจะไม่เยื่อใยในการมีคู่ครอง เพราะฉันเข็ดแล้วเรื่องผู้ชาย ฉันจะสร้างบารมีทำแต่ความดีให้นั่งอยู่บนหัวใจของคนไทยทั้งประเทศ
    แล้วฉันก็จะเป็นคนหมดเวรภัยไปสู่สถานที่ที่ไม่มีการเกิดการตายอีกแล้ว”

    พระสุพรรณกัลยา: “พระคุณเจ้าอย่าลืมนะ เรื่องฉันร้องขอคือ ฝากให้ท่านเอารูปลักษณ์ของฉันที่อยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของท่าน ออกเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ที่อยากรู้อยากเห็นฉันให้เป็นแบบรูปธรรมขึ้นมา ให้เขาได้เห็นฉันด้วย แต่ฉันเชื่อแน่ว่า คนไทยทั้งประเทศ เขาคงจำฉันได้ไม่กี่คน

    เพราะประวัติจริงๆ ที่พระน้องยาเธอของฉันจารึกไว้ก็คงจะสลายหายสูญไปกับกรุงแตกครั้งหลังสุดแล้ว”

    หลวงปู่โง่นจึงได้สร้างรูปของพระสุพรรณกัลยาโดยใช้วิธีการสองระบบ คือ ระบบทางนามธรรม หรือ ระบบทางจิตคือการสัมผัสทางจิตวิญญาณ และระบบทางรูปธรรม โดยอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ให้ปรากฏเป็นภาพแก่สายตาภายนอก โดยใช้กล้องถ่ายรูปชั้นดีสองตัว คือ กล้องโอลิมปัสของเยอรมัน และกล้องโพโตลองของฝรั่งเศส

    ในทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ก็มีหลักยืนยันว่า E=MC2 สสารย่อมไม่หายไปจากโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีขึ้นแล้วในโลก เมื่อถึงคราวแตกดับไปสลายตัวไปก็จะกลายเป็นสสาร ยืนยงคงอยู่ตลอดไป เพราะอุณหภูมิคือความร้อนรักษาไว้

    มีการจัดหาเครื่องพลีกรรมทางไสยศาสตร์ ซึ่งมีเครื่องบูชามีอาหารหวานคาว ผลไม้ และเครื่องแต่งตัวของผู้หญิงมีแป้ง น้ำอบน้ำหอม ผ้าถุงเสื้อนุ่งสีทอง

    เสร็จแล้วก็ไปทำพิธีในสถานที่ได้นิมิตเห็นพระสุพรรณกัลยาและถ่ายรูปเอาดวงวิญญาณของพระนาง

    เมื่อได้จัดแจงอุปกรณ์ภายนอก ทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว หันหน้ากล้องทั้งสองเข้า หาพานเครื่องเส้น ทำใจให้สงบ หันหน้าตัวเองไปแนวเดียวกับกล้องถ่ายรูป แล้ว

    สวดคาถาว่า...

    เอหิภูโต มหาภูโต สะมะนุสโส สะเทวะโก กะโรหิ เทวะทิ ตานังอาคัจเฉยะ อาคัจฉาหิ เอหิวิญญานะสุพรรณกัลละยา เทวะทิตา อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ มานิมามา

    ภาวนาได้เจ็ดครั้งแล้วก็หยุด

    ใช้ความรู้สึกอย่างแรงในขณะหายใจเข้า ดึงเอาภาพลักษณ์ของพระสุพรรณกัลยา ให้มาปรากฏ แล้วจิตมันก็ว่าง อันรูปภาพของพระนางก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพเห็น ชัดเจน อันกล้องถ่ายทั้งสอง มันก็ทำงานตามที่กำหนดไว้

    ใช้เวลาอยู่สามชั่วโมงก็หยุด เอาฟิล์มออกมาล้างดู ล้างด้วยมือเอง เพราะหลวงปู่โง่นเคยเป็นช่างถ่ายรูปมาก่อน ได้รูปออกมาเป็นที่น่าพอใจ

    หลวงปู่โง่นได้เผยแพร่รูปพระนางตามที่ได้ปรากฏในโพสต์นี้ และบันทึกว่า พระนางสุพรรณกัลยาได้ทำคุณประโยชน์ไว้ให้แก่คนไทยทั้งชาติ คือ ต้องยอมเสียสละความสุข ตลอดพระชนม์ชีพส่วนตัว เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองสยามไทยทั้งประเทศ ซึ่งก็ไม่มีวีรสตรีหรือวีรบุรุษท่านใดในอดีตถึง ปัจจุบันที่จะได้เสียสละอย่างนั้น แล้วสมควรไหมที่ชาวไทยจะลืมท่านลง แต่ถ้าได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม คงไม่ลืมแน่

    คัดลอกและเรียบเรียงจากหนังสือ “ย้อยรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา” โดยหลวงปู่โง่น โสรโย เมษายน 2529"ข้าชื่อ สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน"

    "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์"

    เป็นบทความที่แปลจากหนังสือที่พระสุพรรณกัลยาได้เขียนเป็นอักษรโบราณของพม่าในปี พ.ศ. 2229 พบที่หอสมุดของพม่า

    โดยหลวงปู่โง่น โสรโย อริยสงฆ์แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ในปี พ.ศ. 2491

    หลวงปู่โง่น โสรโย เกิดบนแพกลางลำน้ำปิง เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เวลา 05.58 น.

    บิดาเป็นหัวหน้าล่องแพไม้ซุง มารดาเป็นชาวลำพูน เมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ซาโต้โมมอง เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวฝรั่งเศสประจำอินโดจีน รับตัวเป็นบุตรบุญธรรม และได้ศึกษาที่ต่างประเทศจนจบปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในเยอรมัน สามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา เดิมนับถือศาสนาคริสต์

    ต่อมาได้อุปสมบทในพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม

    ระหว่างที่เป็นสมณะได้ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ และกลางหิมะนานถึง 8 ชั่วโมง ได้รับคำสอนจากหลวงปู่โลกเทพอุดร มีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร หลวงปู่โง่นละสังขารของท่านเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริชนมายุได้ 94 ปีเศษ

    หลวงปู่โง่น โสรโย
    จากเพจ ประวัติศาสตร์ ราชวงค์จักรี "ข้าชื่อ #สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน" "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์" เป็นบทความที่แปลจากหนังสือที่พระสุพรรณกัลยาได้เขียนเป็นอักษรโบราณของพม่าในปี พ.ศ. 2229 พบที่หอสมุดของพม่า โดยหลวงปู่โง่น โสรโย อริยสงฆ์แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ในปี พ.ศ. 2491 หลวงปู่โง่น โสรโย เกิดบนแพกลางลำน้ำปิง เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เวลา 05.58 น. บิดาเป็นหัวหน้าล่องแพไม้ซุง มารดาเป็นชาวลำพูน เมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ซาโต้โมมอง เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวฝรั่งเศสประจำอินโดจีน รับตัวเป็นบุตรบุญธรรม และได้ศึกษาที่ต่างประเทศจนจบปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในเยอรมัน สามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา เดิมนับถือศาสนาคริสต์ ต่อมาได้อุปสมบทในพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม ระหว่างที่เป็นสมณะได้ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ และกลางหิมะนานถึง 8 ชั่วโมง ได้รับคำสอนจากหลวงปู่โลกเทพอุดร มีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร หลวงปู่โง่นละสังขารของท่านเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริชนมายุได้ 94 ปีเศษ #หลวงปู่โง่น_โสรโย ขณะเดินทางเข้าพม่าในปี พ.ศ. 2491 ได้ถูกจับติดคุกพม่า เมื่อท่านทำความเพียร จึงได้สัมผัสทางวิญญาณพระสุพรรณกัลยา พระสุพรรณกัลยา: “ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา เป็นธิดาคนโตของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว เป็นชาวสยามไทย ได้ถูกกวาดต้อนมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก มาเป็นเชลยอยู่ที่เมืองหงสาวดีนี้ ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย เขาเกณฑ์ท่านมาเป็นช่าง สร้างบ้านให้พวกเราอยู่กัน ฉันไว้ใจท่านเพราะท่านซื่อสัตย์และกตัญญู ท่านช่วยดูแลฉันและน้องๆ ตลอดพวกพ้องที่เป็นเชลย ตลอดเวลา มาวันนี้ท่านแต่งตัวเป็นนักบวช คงจะมีมนต์ขลังดี ช่วยแก้ด้ายสายสิญจน์ออกจากมือและขาให้ฉันด้วย หมอผีพม่ามันผูกเอาไว้ เพื่อกันฉันจะหนี ฉันจึงหนีไปไหนมาไหนไกลๆไม่ได้ มันจะเหนี่ยวกลับทันที ถ้าหนีได้ฉันจะไปกับท่าน” แล้วหลวงปู่โง่นจึงได้ถอดกายทิพย์ไปดึงด้ายสายสิญจน์ที่เขาทำด้วยแผ่นทองคำ ความยาวห้าคืบ กว้างหนึ่งนิ้ว ลงอักขระคาถา ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 วันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 #พระสุพรรณกัลยา: “ท่านขาท่านเก่งมากที่ท่านช่วยแก้เครื่องผูกมัดออกให้ฉัน ฉันจะได้เป็นอิสระเสียที ฉันจะไปอยู่กับท่านตลอดไป ท่านต้องการอะไรบอกฉัน เมื่อท่านจะไปไหนมาไหน หรือทำอะไรบอกฉันด้วย ฉันจะช่วยแบ่งเบาเท่าที่ ความสามารถ ของฉันจะทำได้ และท่านก็จะพ้นภัยภายในเร็วๆ นี้ พวกเราถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย จนฉันโตเป็นสาว อายุราวๆ เบญจเพศ ไอ้เจ้าบุเรงนองมันก็ปองรักจะหักด้ามพร้าด้วยเข่าเอาฉันทำเมีย แต่พระอนุชาของฉันทั้งสองไม่ยินยอมและตัวท่านเองก็ไม่ยอมด้วย ดังนั้นจึงพร้อมกันออกอุบายว่า ขอให้ฉันได้รับอนุญาตจากท่านผู้บังเกิดเกล้า คือ บิดามารดาเสียก่อน เจ้าบุเรงนองมันตาฝาดด้วยอำนาจกิเลสตัณหาจึงจัดแจงโยธาไพร่พลพร้อมด้วยตัวเขาและน้องชายทั้งสองของฉันและตัวท่านเองก็ได้กลับไปด้วย แต่การไปของท่าน เขาให้ไปถึงแค่เขตแดนแล้วเขาสั่งให้สร้างบ้านเรือนอยู่ตรงเมืองมะริด และเจ้าบุเรงนองก็เกรงใจท่านมากเพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เขานับถือ เหตุที่ฉันจะต้องไปด้วยตอนถูกกวาดไปเป็นเชลย เพราะน้องของฉันทั้งสองพระองค์ เขาติดพันฉันมาก ฉันเป็นทั้งพี่จริงและพี่เลี้ยง ฉันเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เยาว์วัย ในคราวที่เราร่อนเร่มาอย่างเมื่อยล้า น้องคนเล็กไม่ยอมเดิน ฉันต้องอุ้มกระเตงคนเล็กไว้ที่เอวข้างขวา จูงคนโตด้วยมือซ้ายตอนข้ามน้ำ ท่านยังเห็นว่าขำแท้ๆท่านจึงทำจำแลง แกะสลักรูปของฉันอุ้มน้อง เพื่อล้อเลียนไว้ดูเล่น ขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ เอาไว้ไปดูเล่นเป็นขวัญตา รวมถึงอัฐิและกำไลแขนของฉันในสถานที่ที่ฉันเก็บไว้ ขอให้นำกลับไปด้วย และของที่เราสักการะบูชา คือ เทวรูปพระนารายณ์ และพระแม่อุมาที่เป็นทองคำก็ให้ท่านเอากลับไปด้วย" สิ่งของเหล่านั้นหลวงปู่โง่นได้นำเอากลับมาเก็บรักษาไว้ที่ห้องเทวดา ศาลากลางน้ำ วัดพระพุทธบาทเขารวก พิจิตร เท่าทุกวันนี้ นี่แหละ คือ สักขีพยานในด้านรูปธรรมที่พอยืนยันได้ พระสุพรรณกัลยา: “กองทัพของไทยขึ้นไปประชิดที่เมืองอังวะไว้แล้ว ไอ้เจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) จึงสั่งจับจำจองแม่เลี้ยงของมันคือฉันเองให้ลงโทษทัณฑ์อย่างหนัก มันสั่งให้คนจับฉัน มัดมือ มัดเท้า แล้วลงมือชกต่อย ตบ ตี เตะ ถีบ โบยด้วยแส้หวาย โบยแล้วโบยอีก แล้วปล่อยให้ฉันอดข้าวอดน้ำ ให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เมื่อมันเห็นว่าฉันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว มันก็ฟันฉันด้วยดาบเล่มนี้ และขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ แล้วฉันก็ตายไปพร้อมกับลูกอยู่ในท้องแปดเดือน แล้วมันก็ให้หมอผีมาทำพิธีทางไสยศาสตร์ด้วย การผูกรัดรึงตรึงฉัน ด้วยไม้กางเขนตรากระสัง ให้วิญญาณของฉันไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในละแวกนี้เท่านั้น ฉันขอขอบใจท่านมากที่ท่านได้มาช่วยแก้เครื่องพันธนาการออกให้ฉัน แต่นี่ฉันก็เป็นอิสระแล้ว เมื่อท่านกลับไปเมืองไทยฉันจะไปด้วย ฉันจะไปช่วยงานท่าน ท่านมีธุรกิจอะไรเพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ ศาสนกษัตริย์แล้วบอกฉัน ขอให้ท่านหวนจิตคิดย้อนกลับไปดูภาวะของฉันที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นธิดาองค์ใหญ่ในวงศ์สุดท้ายของวงศ์สุโขทัย พระราชบิดาได้ไปครองเมืองอยุธยาได้รับสมญาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระสุพรรณกัลยา มีความสุขจากทรัพย์โภคาอย่างล้นเหลือ มีข้าทาสบริวารนับไม่ถ้วน มีความสุขสุดที่จะพรรณา จำเดิมแต่ได้พลัดพรากจากบ้านเมืองพ่อแม่มา ข้ามภูผาที่กันดาร ยังมาทุกข์ทรมานในการจำจากน้องทั้งสองอันเป็นที่รักที่สุด สุดท้ายก็มาถูกเจ้านันทบุเรง บุตรบุญธรรมของฉันนั้นเองเฆี่ยนตีทำโทษจนถึง แก่ความตายอย่างทรมานที่สุด ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดๆจะเหมือนฉัน แต่ฉันก็กระทำไปเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติบ้านเมือง” หลวงปู่โง่น: “ตอนนี้ท่านหญิงสบายแล้ว เสวยสุขอยู่ในทิพย์วิมานอันแสนจะสำราญอยู่ที่นี้ ที่โลกทิพย์นี่ สองสามราตรีเท่านั้นในพิภพนี้ แต่โลกมนุษย์ปาเข้าไปห้าร้อยปีแล้ว ตัวอาตมาเองได้ดับชีวีจากเมืองผีไปเมืองคน วนเวียนอยู่หลายชาติแล้ว เราจะมาเพลิดเพลินในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอยู่หรือไง เป็นเพราะไอ้ตัวกิเลสตัณหาบ้าบอแท้ๆ ที่ได้จองจำนำพาให้เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิด” พระสุพรรณกัลยา: “ฉันจะไปอุบัติในสกุลสุขุมาลย์ชาติในวงศ์สกุลกษัตริย์ไทย ช่วยบ้านเมืองในร่างสตรีเพศ เมื่อบ้านเมืองเดือดร้อน และจะไม่เยื่อใยในการมีคู่ครอง เพราะฉันเข็ดแล้วเรื่องผู้ชาย ฉันจะสร้างบารมีทำแต่ความดีให้นั่งอยู่บนหัวใจของคนไทยทั้งประเทศ แล้วฉันก็จะเป็นคนหมดเวรภัยไปสู่สถานที่ที่ไม่มีการเกิดการตายอีกแล้ว” พระสุพรรณกัลยา: “พระคุณเจ้าอย่าลืมนะ เรื่องฉันร้องขอคือ ฝากให้ท่านเอารูปลักษณ์ของฉันที่อยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของท่าน ออกเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ที่อยากรู้อยากเห็นฉันให้เป็นแบบรูปธรรมขึ้นมา ให้เขาได้เห็นฉันด้วย แต่ฉันเชื่อแน่ว่า คนไทยทั้งประเทศ เขาคงจำฉันได้ไม่กี่คน เพราะประวัติจริงๆ ที่พระน้องยาเธอของฉันจารึกไว้ก็คงจะสลายหายสูญไปกับกรุงแตกครั้งหลังสุดแล้ว” หลวงปู่โง่นจึงได้สร้างรูปของพระสุพรรณกัลยาโดยใช้วิธีการสองระบบ คือ ระบบทางนามธรรม หรือ ระบบทางจิตคือการสัมผัสทางจิตวิญญาณ และระบบทางรูปธรรม โดยอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ให้ปรากฏเป็นภาพแก่สายตาภายนอก โดยใช้กล้องถ่ายรูปชั้นดีสองตัว คือ กล้องโอลิมปัสของเยอรมัน และกล้องโพโตลองของฝรั่งเศส ในทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ก็มีหลักยืนยันว่า E=MC2 สสารย่อมไม่หายไปจากโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีขึ้นแล้วในโลก เมื่อถึงคราวแตกดับไปสลายตัวไปก็จะกลายเป็นสสาร ยืนยงคงอยู่ตลอดไป เพราะอุณหภูมิคือความร้อนรักษาไว้ มีการจัดหาเครื่องพลีกรรมทางไสยศาสตร์ ซึ่งมีเครื่องบูชามีอาหารหวานคาว ผลไม้ และเครื่องแต่งตัวของผู้หญิงมีแป้ง น้ำอบน้ำหอม ผ้าถุงเสื้อนุ่งสีทอง เสร็จแล้วก็ไปทำพิธีในสถานที่ได้นิมิตเห็นพระสุพรรณกัลยาและถ่ายรูปเอาดวงวิญญาณของพระนาง เมื่อได้จัดแจงอุปกรณ์ภายนอก ทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว หันหน้ากล้องทั้งสองเข้า หาพานเครื่องเส้น ทำใจให้สงบ หันหน้าตัวเองไปแนวเดียวกับกล้องถ่ายรูป แล้ว สวดคาถาว่า... เอหิภูโต มหาภูโต สะมะนุสโส สะเทวะโก กะโรหิ เทวะทิ ตานังอาคัจเฉยะ อาคัจฉาหิ เอหิวิญญานะสุพรรณกัลละยา เทวะทิตา อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ มานิมามา ภาวนาได้เจ็ดครั้งแล้วก็หยุด ใช้ความรู้สึกอย่างแรงในขณะหายใจเข้า ดึงเอาภาพลักษณ์ของพระสุพรรณกัลยา ให้มาปรากฏ แล้วจิตมันก็ว่าง อันรูปภาพของพระนางก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพเห็น ชัดเจน อันกล้องถ่ายทั้งสอง มันก็ทำงานตามที่กำหนดไว้ ใช้เวลาอยู่สามชั่วโมงก็หยุด เอาฟิล์มออกมาล้างดู ล้างด้วยมือเอง เพราะหลวงปู่โง่นเคยเป็นช่างถ่ายรูปมาก่อน ได้รูปออกมาเป็นที่น่าพอใจ หลวงปู่โง่นได้เผยแพร่รูปพระนางตามที่ได้ปรากฏในโพสต์นี้ และบันทึกว่า พระนางสุพรรณกัลยาได้ทำคุณประโยชน์ไว้ให้แก่คนไทยทั้งชาติ คือ ต้องยอมเสียสละความสุข ตลอดพระชนม์ชีพส่วนตัว เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองสยามไทยทั้งประเทศ ซึ่งก็ไม่มีวีรสตรีหรือวีรบุรุษท่านใดในอดีตถึง ปัจจุบันที่จะได้เสียสละอย่างนั้น แล้วสมควรไหมที่ชาวไทยจะลืมท่านลง แต่ถ้าได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม คงไม่ลืมแน่ คัดลอกและเรียบเรียงจากหนังสือ “ย้อยรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา” โดยหลวงปู่โง่น โสรโย เมษายน 2529"ข้าชื่อ สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน" "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์" เป็นบทความที่แปลจากหนังสือที่พระสุพรรณกัลยาได้เขียนเป็นอักษรโบราณของพม่าในปี พ.ศ. 2229 พบที่หอสมุดของพม่า โดยหลวงปู่โง่น โสรโย อริยสงฆ์แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ในปี พ.ศ. 2491 หลวงปู่โง่น โสรโย เกิดบนแพกลางลำน้ำปิง เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เวลา 05.58 น. บิดาเป็นหัวหน้าล่องแพไม้ซุง มารดาเป็นชาวลำพูน เมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ซาโต้โมมอง เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวฝรั่งเศสประจำอินโดจีน รับตัวเป็นบุตรบุญธรรม และได้ศึกษาที่ต่างประเทศจนจบปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในเยอรมัน สามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา เดิมนับถือศาสนาคริสต์ ต่อมาได้อุปสมบทในพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม ระหว่างที่เป็นสมณะได้ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ และกลางหิมะนานถึง 8 ชั่วโมง ได้รับคำสอนจากหลวงปู่โลกเทพอุดร มีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร หลวงปู่โง่นละสังขารของท่านเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริชนมายุได้ 94 ปีเศษ หลวงปู่โง่น โสรโย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 657 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ศีลสมบัติเป็นรุ่งอรุณแห่งอริยมรรค

    เมื่ออาทิตย์อุทัยขึ้น
    การขึ้นมาแห่งอรุณ (แสงเงินแสงทอง)
    ย่อมเป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตที่แลเห็นก่อน
    ฉันใดก็ฉันนั้น เพื่อ ความเกิดขึ้น
    แห่ง #อริยมรรคมีองค์๘
    ศีลสมบัติ (ความถึงพร้อมด้วยศีล)
    ย่อมเป็นหลักเบื้องต้น เป็นนิมิตเบื้องต้น
    .
    จากหนังสือขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์หน้า 224
    .
    .
    .
    #happynewyear2025
    #สวัสดีปีใหม่2568
    #ThewordoftheBuddha
    #thewordofbuddha
    #dharmaofbuddha
    #คำสอนของพระพุทธเจ้า
    #ธรรมะของพระพุทธเจ้า
    #พระสูตร #พระไตรปิฎก
    #walkontheways
    #orgabotaessence
    #orgabotaessenceproducts
    #ศีลสมบัติเป็นรุ่งอรุณแห่งอริยมรรค เมื่ออาทิตย์อุทัยขึ้น การขึ้นมาแห่งอรุณ (แสงเงินแสงทอง) ย่อมเป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตที่แลเห็นก่อน ฉันใดก็ฉันนั้น เพื่อ ความเกิดขึ้น แห่ง #อริยมรรคมีองค์๘ ศีลสมบัติ (ความถึงพร้อมด้วยศีล) ย่อมเป็นหลักเบื้องต้น เป็นนิมิตเบื้องต้น . จากหนังสือขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์หน้า 224 . . . #happynewyear2025 #สวัสดีปีใหม่2568 #ThewordoftheBuddha #thewordofbuddha #dharmaofbuddha #คำสอนของพระพุทธเจ้า #ธรรมะของพระพุทธเจ้า #พระสูตร #พระไตรปิฎก #walkontheways #orgabotaessence #orgabotaessenceproducts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 639 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพลงดนตรีฉินโบราณ กว่างหลิงส่าน

    สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> น่าจะจำได้ว่าตระกูลเยียนถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏและ เซี่ยเวยได้บรรเลงพิณกู่ฉินส่งอำลาเยียนโหวและเยียนหลิงสองครั้ง ชื่อของเพลงพิณนี้คือ ‘กว่างหลิงส่าน’ (广陵散 / เพลงกว่างหลิน)

    มีคนเคยเขียนบทความเกี่ยวกับเพลงนี้พอสมควร และเพื่อนเพจบางท่านอาจคุ้นเคยกับมันแล้ว (แต่อาจเจอหลายเวอร์ชั่นที่แตกต่าง) Storyฯ เชื่อว่ายังมีอีกหลายท่านที่ไม่เข้าใจถึงเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในเพลงนี้ เพื่อให้ได้อรรถรสในการดูมากขึ้น วันนี้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเพลงพิณเพลงนี้กัน

    เพลงกว่างหลิงส่านถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดเพลงพิณโบราณของจีน เป็นหนึ่งในเพลงพิณที่มีความยาวและความซับซ้อนมากที่สุด มีทั้งหมดสี่สิบห้าท่อนด้วยกัน จึงมีความหลากหลายของท่วงทำนองและความซับซ้อนในการบรรเลง เพื่อนเพจสามารถค้นหาบนเน็ตก็จะพบหลายเวอร์ชั่นที่นักดนตรีชั้นครูหลายท่านบรรเลงไว้ แต่ทั้งหมดจะเป็นการยกบางท่อนมาเล่นเพราะเพลงเต็มนั้นยาวเกินไป

    เอกสารเกี่ยวกับโน้ตเพลงกว่างหลิงส่านนี้ปรากฏครั้งแรกในตำราดนตรีสมัยหมิงที่ชื่อว่าตำราเสินฉีมี่ผู่ (神奇秘谱) เรียกว่า ‘โน้ต’ อาจทำให้นึกภาพผิด เพราะสมัยโบราณไม่ได้เขียนโน้ตด้วยสัญลักษณ์แบบปัจจุบัน แต่เป็นการเขียนอธิบายรายละเอียดในลักษณะการบรรยาย จึงมีหน้าตาเป็นเหมือนหนังสือตำรา ในสมุดบันทึกดังกล่าวมีคำหมายเหตุที่เอ่ยถึงหลายชื่อบุคคลและเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในสมัยจ้านกั๋ว จึงถูกมองว่าเป็นเพลงเดียวกับเพลงโบราณ ‘เนี่ยเจิ้งชึหานกุยฉวี่’ (聂政刺韩傀曲 /เพลงเนี่ยเจิ้งลอบสังหารหานกุย) ซึ่งเล่าถึงเรื่องราวของเนี่ยเจิ้ง หนึ่งในมือสังหารที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์จีน

    เรื่องราวของเนี่ยเจิ้งมีสองเวอร์ชั่นว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร Storyฯ สรุปใจความหลักมาให้ฟัง... เนี่ยเจิ้งผู้นี้เป็นคนมีฝีมือดีใจกล้ามีคุณธรรม เขาพาแม่และพี่สาวหลบไปซ่อนตัวอยู่ในชนบทตั้งแต่สมัยหนุ่ม เวอร์ชั่นแรก บอกว่าเขาเป็นลูกขุนนางที่ถูกอ๋องแห่งแคว้นหานฆ่าตายเลยต้องหนี ต่อมาฝึกเพลงพิณจนชำนาญและเข้าวังไปเป็นนักดนตรี ฉวยโอกาสงานรื่นเริงลอบสังหารอ๋องแห่งแคว้นหานสำเร็จ

    เวอร์ชั่นที่สองซึ่งสอดคล้องกับชื่อเพลงมากกว่านั้น เล่าว่าเขาช่วยคนอื่นแล้วพลั้งมือฆ่าคนตายเลยต้องหนีไปซ่อนตัว ต่อมาเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณเหยียนซุ่ยที่ดูแลแม่ของตนจึงรับงานสังหาร ซึ่งเหยียนซุ่ยคือขุนนางของแคว้นหานที่มีความแค้นกับหานกุย อัครเสนาบดีแคว้นหานที่ขึ้นชื่อว่าใช้อำนาจรังแกคนมากมายและเป็นอาของอ๋องแห่งแคว้นหาน เหยียนซุ่ยกลัวว่าจะถูกหานกุยกำจัดทิ้งเลยจะชิงลงมือก่อน ในเวอร์ชั่นนี้เนี่ยเจิ้งบุกเข้าไปฆ่าหานกุยสำเร็จตามลำพัง

    แต่ไม่ว่าจะเวอร์ชั่นไหน สิ่งที่พ้องกันคือ หลังจากสังหารอีกฝ่ายเสร็จแล้ว เนี่ยเจิ้งทำลายโฉมลอกหนังหน้าและควักลูกตาของตนออกมา ตายในที่เกิดเหตุโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร ทางการป่าวประกาศหาคนมาให้เบาะแส จวบจนพี่สาวของเขามาตามหาและโศกเศร้าจนกอดศพตายไปจึงรู้ว่าที่แท้มือสังหารคนนี้คือเนี่ยเจิ้ง และเรื่องราวถูกเล่าต่อกันถึงความกล้าหาญของเขา และความกตัญญูยอมทำลายโฉมตัวเองเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อครอบครัว ต่อมากลายมาเป็นเรื่องราวที่แฝงไว้ซึ่งคำสอนว่าผู้ที่ปกครองบ้านเมืองควรมีคุณธรรม

    ชื่อเพลงแปรเปลี่ยนเป็นกว่างหลิงส่านตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้ แต่ชนรุ่นหลังรู้จักชื่อ ‘ก่วงหลิงส่าน’ นี้เพราะจีคัง เขาคือนักปรัชญา นักเขียนและนักดนตรีชื่อดังในสมัยเว่ยจิ้นแห่งราชวงศ์เหนือใต้ ได้รับการเชิญให้เข้ารับราชการหลายครั้งแต่ก็ปฏิเสธเรื่อยมา เขาเป็นคนตรงและกล้าพูด ยอมหักไม่ยอมงอ ในสมัยที่สองพี่น้องสกุลซือหม่า (ซือหม่าซือและซือหม่าจาว) กุมอำนาจทางการเมือง เขาเป็นคนที่วิพากษ์วิจารณ์การปกครองของรัฐบาลอย่างเปิดเผยและรุนแรง ต่อมาเกิดเหตุการณ์ที่เขาต่อต้านทางการเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับครอบครัวของสหายสนิท สุดท้ายถูกจับกุมและประหารชีวิตเมื่อตอนอายุสี่สิบปี ก่อนตายเขาบรรเลงเพลงพิณกว่างหลิงส่านนี้

    ตำนานเกี่ยวกับเพลงกว่างหลิงส่านและจีคังมีหลายเวอร์ชั่นเช่นกัน บ้างว่าเพลงนี้เขาได้รับการสอนจากเซียน บ้างว่าได้มาจากวิญญาณ โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามสอนต่อ บ้างว่าได้รับการสอนมาจากครอบครัวตระกูลตู้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิณแต่ต่อมาไร้ผู้สืบทอด บ้างว่าเขาประพันธ์ขึ้นเอง แต่ที่เล่ากันต่อมาเป็นเสียงเดียวกันคือ จีคังบรรเลงเพลงนี้ได้ไพเราะจับใจ

    เนื่องจากเพลงกว่างหลิงส่านมีหลายท่อนหลายท่วงทำนอง จึงให้ความรู้สึกตามจินตนาการที่หลากหลาย เช่น ภาพม้าศึกออกรบ ความรู้สึกฮึกเหิม แรงต่อต้าน และมีบางช่วงทอดเสียงอ้อยอิ่งคล้ายเศร้าแต่ก็ให้ความหวัง มีคนตีความว่าเป็นบทเพลงที่เกี่ยวกับอุดมการณ์ทางการเมืองเนื่องจากโน้ตเพลงเน้นการใช้สายพิณเส้นที่หนึ่ง สอง และสาม ซึ่งหมายถึง ‘กง’ หรือราชัน ‘ซาง’ หรือข้าราชสำนัก และ ‘เจวี๋ย’ หรือประชาชน ตามลำดับ (หมายเหตุ อ่านย้อนเกี่ยวกับความหมายของสายพิณกู่ฉินได้ที่ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/569581261836837) และเพลงนี้ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการยึดมั่นในความถูกต้อง

    Storyฯ คิดว่าการใช้เพลงกว่างหลิงส่านมาเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งในเรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> สะท้อนได้ดีถึงความรู้สึกของตัวละครหลายคนโดยเฉพาะตระกูลเยียนที่ยึดมั่นในคุณธรรมและความถูกต้อง และไม่หวั่นเกรงต่อความลำบากหรือผลร้ายที่จะตามมา เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่องนี้แล้ว คิดเห็นเป็นอย่างไรคะ?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://big5.huaxia.com/c/2023/11/09/1824224.shtml
    https://catalog.digitalarchives.tw/item/00/07/db/5a.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.guoxue.com/?p=6176
    https://baike.baidu.com/item/聂政
    https://baike.baidu.com/item/聂政刺韩傀/6263080
    https://baike.baidu.com/item/广陵散/234828
    https://baike.baidu.com/item/嵇康/151928
    https://www.sohu.com/a/214683627_718263
    https://m.cyol.com/gb/articles/2022-05/11/content_BN2qBSlY7.html

    #เล่ห์รักวังคุนหนิง #กว่างหลิงส่าน #ตำราเพลงกู่ฉิน #พิณโบราณ #เนี่ยเจิ้ง #จีคัง
    เพลงดนตรีฉินโบราณ กว่างหลิงส่าน สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> น่าจะจำได้ว่าตระกูลเยียนถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏและ เซี่ยเวยได้บรรเลงพิณกู่ฉินส่งอำลาเยียนโหวและเยียนหลิงสองครั้ง ชื่อของเพลงพิณนี้คือ ‘กว่างหลิงส่าน’ (广陵散 / เพลงกว่างหลิน) มีคนเคยเขียนบทความเกี่ยวกับเพลงนี้พอสมควร และเพื่อนเพจบางท่านอาจคุ้นเคยกับมันแล้ว (แต่อาจเจอหลายเวอร์ชั่นที่แตกต่าง) Storyฯ เชื่อว่ายังมีอีกหลายท่านที่ไม่เข้าใจถึงเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในเพลงนี้ เพื่อให้ได้อรรถรสในการดูมากขึ้น วันนี้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเพลงพิณเพลงนี้กัน เพลงกว่างหลิงส่านถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดเพลงพิณโบราณของจีน เป็นหนึ่งในเพลงพิณที่มีความยาวและความซับซ้อนมากที่สุด มีทั้งหมดสี่สิบห้าท่อนด้วยกัน จึงมีความหลากหลายของท่วงทำนองและความซับซ้อนในการบรรเลง เพื่อนเพจสามารถค้นหาบนเน็ตก็จะพบหลายเวอร์ชั่นที่นักดนตรีชั้นครูหลายท่านบรรเลงไว้ แต่ทั้งหมดจะเป็นการยกบางท่อนมาเล่นเพราะเพลงเต็มนั้นยาวเกินไป เอกสารเกี่ยวกับโน้ตเพลงกว่างหลิงส่านนี้ปรากฏครั้งแรกในตำราดนตรีสมัยหมิงที่ชื่อว่าตำราเสินฉีมี่ผู่ (神奇秘谱) เรียกว่า ‘โน้ต’ อาจทำให้นึกภาพผิด เพราะสมัยโบราณไม่ได้เขียนโน้ตด้วยสัญลักษณ์แบบปัจจุบัน แต่เป็นการเขียนอธิบายรายละเอียดในลักษณะการบรรยาย จึงมีหน้าตาเป็นเหมือนหนังสือตำรา ในสมุดบันทึกดังกล่าวมีคำหมายเหตุที่เอ่ยถึงหลายชื่อบุคคลและเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในสมัยจ้านกั๋ว จึงถูกมองว่าเป็นเพลงเดียวกับเพลงโบราณ ‘เนี่ยเจิ้งชึหานกุยฉวี่’ (聂政刺韩傀曲 /เพลงเนี่ยเจิ้งลอบสังหารหานกุย) ซึ่งเล่าถึงเรื่องราวของเนี่ยเจิ้ง หนึ่งในมือสังหารที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์จีน เรื่องราวของเนี่ยเจิ้งมีสองเวอร์ชั่นว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร Storyฯ สรุปใจความหลักมาให้ฟัง... เนี่ยเจิ้งผู้นี้เป็นคนมีฝีมือดีใจกล้ามีคุณธรรม เขาพาแม่และพี่สาวหลบไปซ่อนตัวอยู่ในชนบทตั้งแต่สมัยหนุ่ม เวอร์ชั่นแรก บอกว่าเขาเป็นลูกขุนนางที่ถูกอ๋องแห่งแคว้นหานฆ่าตายเลยต้องหนี ต่อมาฝึกเพลงพิณจนชำนาญและเข้าวังไปเป็นนักดนตรี ฉวยโอกาสงานรื่นเริงลอบสังหารอ๋องแห่งแคว้นหานสำเร็จ เวอร์ชั่นที่สองซึ่งสอดคล้องกับชื่อเพลงมากกว่านั้น เล่าว่าเขาช่วยคนอื่นแล้วพลั้งมือฆ่าคนตายเลยต้องหนีไปซ่อนตัว ต่อมาเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณเหยียนซุ่ยที่ดูแลแม่ของตนจึงรับงานสังหาร ซึ่งเหยียนซุ่ยคือขุนนางของแคว้นหานที่มีความแค้นกับหานกุย อัครเสนาบดีแคว้นหานที่ขึ้นชื่อว่าใช้อำนาจรังแกคนมากมายและเป็นอาของอ๋องแห่งแคว้นหาน เหยียนซุ่ยกลัวว่าจะถูกหานกุยกำจัดทิ้งเลยจะชิงลงมือก่อน ในเวอร์ชั่นนี้เนี่ยเจิ้งบุกเข้าไปฆ่าหานกุยสำเร็จตามลำพัง แต่ไม่ว่าจะเวอร์ชั่นไหน สิ่งที่พ้องกันคือ หลังจากสังหารอีกฝ่ายเสร็จแล้ว เนี่ยเจิ้งทำลายโฉมลอกหนังหน้าและควักลูกตาของตนออกมา ตายในที่เกิดเหตุโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร ทางการป่าวประกาศหาคนมาให้เบาะแส จวบจนพี่สาวของเขามาตามหาและโศกเศร้าจนกอดศพตายไปจึงรู้ว่าที่แท้มือสังหารคนนี้คือเนี่ยเจิ้ง และเรื่องราวถูกเล่าต่อกันถึงความกล้าหาญของเขา และความกตัญญูยอมทำลายโฉมตัวเองเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อครอบครัว ต่อมากลายมาเป็นเรื่องราวที่แฝงไว้ซึ่งคำสอนว่าผู้ที่ปกครองบ้านเมืองควรมีคุณธรรม ชื่อเพลงแปรเปลี่ยนเป็นกว่างหลิงส่านตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้ แต่ชนรุ่นหลังรู้จักชื่อ ‘ก่วงหลิงส่าน’ นี้เพราะจีคัง เขาคือนักปรัชญา นักเขียนและนักดนตรีชื่อดังในสมัยเว่ยจิ้นแห่งราชวงศ์เหนือใต้ ได้รับการเชิญให้เข้ารับราชการหลายครั้งแต่ก็ปฏิเสธเรื่อยมา เขาเป็นคนตรงและกล้าพูด ยอมหักไม่ยอมงอ ในสมัยที่สองพี่น้องสกุลซือหม่า (ซือหม่าซือและซือหม่าจาว) กุมอำนาจทางการเมือง เขาเป็นคนที่วิพากษ์วิจารณ์การปกครองของรัฐบาลอย่างเปิดเผยและรุนแรง ต่อมาเกิดเหตุการณ์ที่เขาต่อต้านทางการเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับครอบครัวของสหายสนิท สุดท้ายถูกจับกุมและประหารชีวิตเมื่อตอนอายุสี่สิบปี ก่อนตายเขาบรรเลงเพลงพิณกว่างหลิงส่านนี้ ตำนานเกี่ยวกับเพลงกว่างหลิงส่านและจีคังมีหลายเวอร์ชั่นเช่นกัน บ้างว่าเพลงนี้เขาได้รับการสอนจากเซียน บ้างว่าได้มาจากวิญญาณ โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามสอนต่อ บ้างว่าได้รับการสอนมาจากครอบครัวตระกูลตู้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิณแต่ต่อมาไร้ผู้สืบทอด บ้างว่าเขาประพันธ์ขึ้นเอง แต่ที่เล่ากันต่อมาเป็นเสียงเดียวกันคือ จีคังบรรเลงเพลงนี้ได้ไพเราะจับใจ เนื่องจากเพลงกว่างหลิงส่านมีหลายท่อนหลายท่วงทำนอง จึงให้ความรู้สึกตามจินตนาการที่หลากหลาย เช่น ภาพม้าศึกออกรบ ความรู้สึกฮึกเหิม แรงต่อต้าน และมีบางช่วงทอดเสียงอ้อยอิ่งคล้ายเศร้าแต่ก็ให้ความหวัง มีคนตีความว่าเป็นบทเพลงที่เกี่ยวกับอุดมการณ์ทางการเมืองเนื่องจากโน้ตเพลงเน้นการใช้สายพิณเส้นที่หนึ่ง สอง และสาม ซึ่งหมายถึง ‘กง’ หรือราชัน ‘ซาง’ หรือข้าราชสำนัก และ ‘เจวี๋ย’ หรือประชาชน ตามลำดับ (หมายเหตุ อ่านย้อนเกี่ยวกับความหมายของสายพิณกู่ฉินได้ที่ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/569581261836837) และเพลงนี้ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการยึดมั่นในความถูกต้อง Storyฯ คิดว่าการใช้เพลงกว่างหลิงส่านมาเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งในเรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> สะท้อนได้ดีถึงความรู้สึกของตัวละครหลายคนโดยเฉพาะตระกูลเยียนที่ยึดมั่นในคุณธรรมและความถูกต้อง และไม่หวั่นเกรงต่อความลำบากหรือผลร้ายที่จะตามมา เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่องนี้แล้ว คิดเห็นเป็นอย่างไรคะ? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://big5.huaxia.com/c/2023/11/09/1824224.shtml https://catalog.digitalarchives.tw/item/00/07/db/5a.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.guoxue.com/?p=6176 https://baike.baidu.com/item/聂政 https://baike.baidu.com/item/聂政刺韩傀/6263080 https://baike.baidu.com/item/广陵散/234828 https://baike.baidu.com/item/嵇康/151928 https://www.sohu.com/a/214683627_718263 https://m.cyol.com/gb/articles/2022-05/11/content_BN2qBSlY7.html #เล่ห์รักวังคุนหนิง #กว่างหลิงส่าน #ตำราเพลงกู่ฉิน #พิณโบราณ #เนี่ยเจิ้ง #จีคัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 533 มุมมอง 0 รีวิว
  • #รวมคำสอนผิด คน…ธรรม (จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด...)

    1. พระอรหันต์ฆ่าตัวตาย ทำการุณยฆาต❌
    ที่ถูกคือ>> พระอรหันต์ไม่ฆ่าตัวตาย
    สมดังคำที่พระสารีบุตรกล่าวว่า
    เราไม่ยินดีความตาย
    ไม่ปรารถนาความเป็น
    แต่เรารอเวลาแตกดับ (ปรินิพพาน)
    เหมือนลูกจ้างรอค่าจ้างฉะนั้น.
    และการุณยฆาตไม่ใช่การฆ่าตัวเอง

    2. พระพุทธเจ้าไม่เคยใช้กุศโลบาย❌
    ที่ถูกคือ>> พระพุทธเจ้าเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ด้วยอุบายเครื่องแนะนำอย่างวิจิตร มีอาฬวกยักษ์เป็นต้น. แม้คำสอนทั้งหมดก็มีอุบายสอน เช่นอุบายเครื่องสงบจิต.

    3. พุทธคุณในพระเครื่องไม่มี❌
    ที่ถูกคือ>> พุทธคุณในพระเครื่องมีทั้งมีและไม่มี ที่มีเพราะเหตุปัจจัยถึงพร้อม คือ ผู้สวดพระปริตรมีศีล ไม่มีความโลภอยากได้ลาภสักการะ สวดด้วยความอนุเคราะห์ ด้วยศรัทธา บาลีไม่ผิดเพี้ยน ย่อมมีอานุภาพ/ ส่วนที่ไม่มีอานุภาพก็ตรงกันข้ามกัน (ตัวอย่างตั่ง(ที่นั่ง)ที่พระองคุลิมาลนั่งทำสัจกิริยา ก็มีอานุภาพตลอดกัป)

    4. พระปริตรป้องกันภัยไม่ได้
    พระปริตรขัดกับหลักกรรมและสุขทุกข์ไม่มีใครบันดาล❌
    ที่ถูกคือ >> กรรมและสุขทุกข์ไม่มีใครบันดาลนั้นหมายความว่า “สุขทุกข์ไม่ได้เกิดจากพระผู้สร้าง เช่นพระอิศวรนิรมิต” / พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธพระผู้สร้าง เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุและปัจจัย ไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆหรือใครบันดาล >> พระปริตรเป็นกุศลกรรม ไม่ใช่ใครบันดาล แต่เกิดจากกรรมในปัจจุบัน ที่บุคคลนั้นได้กล่าวสัจจกิริยา หรือ สวดพระปริตร ซึ่งเป็นกุศลที่ให้ผลในปัจจุบัน ตามหลักแห่งกรรม เป็น ทิฐธรรมเวทนียกรรม
    >> และพระปริตรก็มีเหตุปัจจัยอื่นเป็นตัวแปรที่ให้ผลไม่ได้ทุกคน จึงแทนโรงพยาบาลไม่ได้ แต่ผู้มีศรัทธา ไม่ทำกรรมหนัก ไม่สวดด้วยกิเลส และยังไม่หมดอายุขัย พระปริตรย่อมช่วยได้.

    5. สร้างศาลาใหญ่ไว้ให้หมานอนเกาขี้กาก❌ ที่ถูกคือ ทำบุญในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้มีคุณหาประมาณมิได้ ไม่ควรกำหนดว่าเท่านั้นเท่านี้ มีตัวอย่างพระลกุณฏกะ ในอดีตท่านแนะนำชาวบ้านให้สร้างเจดีย์จากใหญ่ให้เหลือเล็กลง ด้วยวิบากกรรมนั้นท่านจึงเกิดมาตัวเล็กเตี้ยเหมือนสามเณร

    6. บวชพระ, บวชตามประเพณี, บวชหน้าไฟ ไม่เป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่❌ ที่ถูกคือ>> การบวชแม้ไม่ใช่การทดแทนคุณพ่อแม่สูงสุด แต่ก็เป็นการทดแทนคุณได้ เพราะการบวชทำให้พ่อแม่เกิดกุศลจิต พ่อแม่ได้ทำบุญใส่บาตรพระลูกชายเป็นต้น การทำให้พ่อแม่เกิดกุศลจิตได้ เป็นการทดแทนคุณอย่างหนึ่ง

    7. สัมภเวสี คือช่วงรออัตภาพการเกิด คือเวลาที่กายแตกตายแต่สี่ขันธ์ยังยึดรูปอยู่ยังรู้อยู่เรียกช่วงนี้ว่าสัมภเวสี❌ ที่ถูกคือ >> สัมภเวสี คือ ผู้ที่แสวงหาที่เกิด, ผู้ที่ยังต้องเกิด คือ พระเสขะและปุถุชน ยกเว้นพระอรหันต์ เพราะยังละภวสังโยชน์ยังไม่ได้.
    👉 สัมภเวสี ตามนัยแห่งกำเนิด 4 คือ
    1. เกิดในไข่ (ขณะอยู่ในไข่ เรียกสัมภเวสี ออกจากไข่ได้แล้วเรียกว่าภูต คือเกิดแล้ว)
    2. เกิดในครรภ์ (ขณะอยู่ในรก เรียกสัมภเวสี คลอดออกมาแล้วเรียกว่าภูต คือเกิดแล้ว)
    3. เกิดในเถ้าไคล และ 4. เกิดแบบผุดเกิด
    (ขณะแห่งปฐมจิต เรียกสัมภเวสี
    ขณะแห่งจิตดวงที่สอง ชื่อว่าภูต คือเกิดแล้ว)
    มาใน : อรรถกถาเมตตสูตร

    8. อมตะธาตุยึดขันธ์ห้า❌
    ที่ถูกคือ>> อมตะธาตุยึดขันธ์๕ไม่ได้
    เพราะอมตะธาตุคือนิพพาน

    9. โสดาปัตติมรรค ละสังโยชน์ข้อแรก
    โสดาปัตติผล ละสังโยชน์อีกสองข้อ❌
    ที่ถูกคือ>> โสดาปัตติมัคคจิต เป็นจิตที่ประหาณจิตโลภที่เป็นทิฏฐิสัมปยุตต ๔ ดวง และโมหมูลจิตที่เป็นวิจิกิจฉาสัมปยุตต ๑ ดวง อย่างเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทประหาณ รวมประหาณ อกุศลจิต ๕ ดวง เด็ดขาด /โสดาปัตติผลจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพื่อเสวยสุขจากการที่โสดาปัตติมรรคญาณได้ทำการประหาณแล้ว

    10. ลอยกระทง ไปขอขมาทำไมแม่น้ำ ไปทะเลาะกับแม่น้ำเหรอจึงต้องขอขมา / วันลอยกระทงตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้าคือวันดอกโกมุทบาน❌
    ที่ถูกคือ>> การรู้คุณแม่น้ำถือว่าเป็นผู้รู้คุณในสรรพสิ่ง สมดังคำที่พระองค์ตรัสว่า "บุคคลนั่งหรือนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่พึงหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวทราม" ดังนั้นสิ่งที่มีอุปการะแก่ชีวิตเราล้วนมีคุณเพียงแค่เราจะเห็นคุณนั้นหรือไม่ ส่วนน้ำนั้นคนโบราณเห็นว่าใช้น้ำมาทั้งปี ทำไร่ ทำนา ใช้ชำระกายทั้งดื่มกิน เขาก็ระลึกรู้คุณเป็นพิเศษ ก็ถือได้ว่าเขาเป็นคนดีเลยทีเดียว
    / และวันลอยกระทงตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้าคือวันดอกโกมุทบาน❌ ไม่ควรกล่าวอ้างอย่างนั้น เพราะดอกโกมุทบานเป็นเพียงคำขยายของพระจันทร์ เพราะวันนั้นเป็นวันพระจันทร์เต็มดวงในฤดูฝน ดอกโกมุทบานก็บานทั้งฤดูอยู่แล้ว ดอกโกมุทบานเป็นเพียงผู้ร่วมงาน ประธานคือพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้นจึงไม่ควรเอาแขกร่วมงานมาตั้งชื้อวัน

    11. ใครแย้งว่าสอนผิด จะอ้างว่าเขาอิจฉาริษยา❌
    ที่ถูกคือ>> ผู้ชี้โทษ ไม่ใช่เพราะอิจฉาริษยา แต่เป็นการติเตียนตามธรรม เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาไม่ให้ใครมาบิดเบือน / ทราบว่าที่คุณพูดเอามาจากสักกปัญหาสูตร
    ท้าวสักกะได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “ทำไมสัตว์ทั้งหลายมีความปรารถนาไม่มีเวร ไม่ถูกเบียดเบียนฯลฯ แต่เพราะอะไรพวกเขาจึงยังคงมีเวร ถูกเบียดเบียนอยู่”
    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ”เพราะมีอิสสา(ความริษยา) และมัจฉริยะ(ความตระหนี่) สัตว์ทั้งหลายจึงจองเวรกัน เบียดเบียนกัน ซึ่งท่านใช้สูตรนี้มาสอนลูกศิษย์ และลูกศิษย์ก็เที่ยวไปว่าคนเห็นต่างว่าอิจฉาริษยาอาจารย์เขา /ทำไมคุณไม่ใช้สูตรผู้ชี้โทษคือผู้ชี้ขุมทรัพย์มาสอน.

    ✍️ที่สอนถูกก็มี ผิดก็ควรแก้ไข
    หวังว่าท่านจะระวังในการสอนมากขึ้น

    #แค่ผ่านตา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องชี้แจง
    >> ผู้เขียน : โลก กะ ธรรม กับม่อน

    Credit : เปรมวดี ก๋งชิน
    #รวมคำสอนผิด คน…ธรรม (จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด...) 1. พระอรหันต์ฆ่าตัวตาย ทำการุณยฆาต❌ ที่ถูกคือ>> พระอรหันต์ไม่ฆ่าตัวตาย สมดังคำที่พระสารีบุตรกล่าวว่า เราไม่ยินดีความตาย ไม่ปรารถนาความเป็น แต่เรารอเวลาแตกดับ (ปรินิพพาน) เหมือนลูกจ้างรอค่าจ้างฉะนั้น. และการุณยฆาตไม่ใช่การฆ่าตัวเอง 2. พระพุทธเจ้าไม่เคยใช้กุศโลบาย❌ ที่ถูกคือ>> พระพุทธเจ้าเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ด้วยอุบายเครื่องแนะนำอย่างวิจิตร มีอาฬวกยักษ์เป็นต้น. แม้คำสอนทั้งหมดก็มีอุบายสอน เช่นอุบายเครื่องสงบจิต. 3. พุทธคุณในพระเครื่องไม่มี❌ ที่ถูกคือ>> พุทธคุณในพระเครื่องมีทั้งมีและไม่มี ที่มีเพราะเหตุปัจจัยถึงพร้อม คือ ผู้สวดพระปริตรมีศีล ไม่มีความโลภอยากได้ลาภสักการะ สวดด้วยความอนุเคราะห์ ด้วยศรัทธา บาลีไม่ผิดเพี้ยน ย่อมมีอานุภาพ/ ส่วนที่ไม่มีอานุภาพก็ตรงกันข้ามกัน (ตัวอย่างตั่ง(ที่นั่ง)ที่พระองคุลิมาลนั่งทำสัจกิริยา ก็มีอานุภาพตลอดกัป) 4. พระปริตรป้องกันภัยไม่ได้ พระปริตรขัดกับหลักกรรมและสุขทุกข์ไม่มีใครบันดาล❌ ที่ถูกคือ >> กรรมและสุขทุกข์ไม่มีใครบันดาลนั้นหมายความว่า “สุขทุกข์ไม่ได้เกิดจากพระผู้สร้าง เช่นพระอิศวรนิรมิต” / พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธพระผู้สร้าง เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุและปัจจัย ไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆหรือใครบันดาล >> พระปริตรเป็นกุศลกรรม ไม่ใช่ใครบันดาล แต่เกิดจากกรรมในปัจจุบัน ที่บุคคลนั้นได้กล่าวสัจจกิริยา หรือ สวดพระปริตร ซึ่งเป็นกุศลที่ให้ผลในปัจจุบัน ตามหลักแห่งกรรม เป็น ทิฐธรรมเวทนียกรรม >> และพระปริตรก็มีเหตุปัจจัยอื่นเป็นตัวแปรที่ให้ผลไม่ได้ทุกคน จึงแทนโรงพยาบาลไม่ได้ แต่ผู้มีศรัทธา ไม่ทำกรรมหนัก ไม่สวดด้วยกิเลส และยังไม่หมดอายุขัย พระปริตรย่อมช่วยได้. 5. สร้างศาลาใหญ่ไว้ให้หมานอนเกาขี้กาก❌ ที่ถูกคือ ทำบุญในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้มีคุณหาประมาณมิได้ ไม่ควรกำหนดว่าเท่านั้นเท่านี้ มีตัวอย่างพระลกุณฏกะ ในอดีตท่านแนะนำชาวบ้านให้สร้างเจดีย์จากใหญ่ให้เหลือเล็กลง ด้วยวิบากกรรมนั้นท่านจึงเกิดมาตัวเล็กเตี้ยเหมือนสามเณร 6. บวชพระ, บวชตามประเพณี, บวชหน้าไฟ ไม่เป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่❌ ที่ถูกคือ>> การบวชแม้ไม่ใช่การทดแทนคุณพ่อแม่สูงสุด แต่ก็เป็นการทดแทนคุณได้ เพราะการบวชทำให้พ่อแม่เกิดกุศลจิต พ่อแม่ได้ทำบุญใส่บาตรพระลูกชายเป็นต้น การทำให้พ่อแม่เกิดกุศลจิตได้ เป็นการทดแทนคุณอย่างหนึ่ง 7. สัมภเวสี คือช่วงรออัตภาพการเกิด คือเวลาที่กายแตกตายแต่สี่ขันธ์ยังยึดรูปอยู่ยังรู้อยู่เรียกช่วงนี้ว่าสัมภเวสี❌ ที่ถูกคือ >> สัมภเวสี คือ ผู้ที่แสวงหาที่เกิด, ผู้ที่ยังต้องเกิด คือ พระเสขะและปุถุชน ยกเว้นพระอรหันต์ เพราะยังละภวสังโยชน์ยังไม่ได้. 👉 สัมภเวสี ตามนัยแห่งกำเนิด 4 คือ 1. เกิดในไข่ (ขณะอยู่ในไข่ เรียกสัมภเวสี ออกจากไข่ได้แล้วเรียกว่าภูต คือเกิดแล้ว) 2. เกิดในครรภ์ (ขณะอยู่ในรก เรียกสัมภเวสี คลอดออกมาแล้วเรียกว่าภูต คือเกิดแล้ว) 3. เกิดในเถ้าไคล และ 4. เกิดแบบผุดเกิด (ขณะแห่งปฐมจิต เรียกสัมภเวสี ขณะแห่งจิตดวงที่สอง ชื่อว่าภูต คือเกิดแล้ว) มาใน : อรรถกถาเมตตสูตร 8. อมตะธาตุยึดขันธ์ห้า❌ ที่ถูกคือ>> อมตะธาตุยึดขันธ์๕ไม่ได้ เพราะอมตะธาตุคือนิพพาน 9. โสดาปัตติมรรค ละสังโยชน์ข้อแรก โสดาปัตติผล ละสังโยชน์อีกสองข้อ❌ ที่ถูกคือ>> โสดาปัตติมัคคจิต เป็นจิตที่ประหาณจิตโลภที่เป็นทิฏฐิสัมปยุตต ๔ ดวง และโมหมูลจิตที่เป็นวิจิกิจฉาสัมปยุตต ๑ ดวง อย่างเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทประหาณ รวมประหาณ อกุศลจิต ๕ ดวง เด็ดขาด /โสดาปัตติผลจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพื่อเสวยสุขจากการที่โสดาปัตติมรรคญาณได้ทำการประหาณแล้ว 10. ลอยกระทง ไปขอขมาทำไมแม่น้ำ ไปทะเลาะกับแม่น้ำเหรอจึงต้องขอขมา / วันลอยกระทงตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้าคือวันดอกโกมุทบาน❌ ที่ถูกคือ>> การรู้คุณแม่น้ำถือว่าเป็นผู้รู้คุณในสรรพสิ่ง สมดังคำที่พระองค์ตรัสว่า "บุคคลนั่งหรือนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่พึงหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวทราม" ดังนั้นสิ่งที่มีอุปการะแก่ชีวิตเราล้วนมีคุณเพียงแค่เราจะเห็นคุณนั้นหรือไม่ ส่วนน้ำนั้นคนโบราณเห็นว่าใช้น้ำมาทั้งปี ทำไร่ ทำนา ใช้ชำระกายทั้งดื่มกิน เขาก็ระลึกรู้คุณเป็นพิเศษ ก็ถือได้ว่าเขาเป็นคนดีเลยทีเดียว / และวันลอยกระทงตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้าคือวันดอกโกมุทบาน❌ ไม่ควรกล่าวอ้างอย่างนั้น เพราะดอกโกมุทบานเป็นเพียงคำขยายของพระจันทร์ เพราะวันนั้นเป็นวันพระจันทร์เต็มดวงในฤดูฝน ดอกโกมุทบานก็บานทั้งฤดูอยู่แล้ว ดอกโกมุทบานเป็นเพียงผู้ร่วมงาน ประธานคือพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้นจึงไม่ควรเอาแขกร่วมงานมาตั้งชื้อวัน 11. ใครแย้งว่าสอนผิด จะอ้างว่าเขาอิจฉาริษยา❌ ที่ถูกคือ>> ผู้ชี้โทษ ไม่ใช่เพราะอิจฉาริษยา แต่เป็นการติเตียนตามธรรม เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาไม่ให้ใครมาบิดเบือน / ทราบว่าที่คุณพูดเอามาจากสักกปัญหาสูตร ท้าวสักกะได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “ทำไมสัตว์ทั้งหลายมีความปรารถนาไม่มีเวร ไม่ถูกเบียดเบียนฯลฯ แต่เพราะอะไรพวกเขาจึงยังคงมีเวร ถูกเบียดเบียนอยู่” พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ”เพราะมีอิสสา(ความริษยา) และมัจฉริยะ(ความตระหนี่) สัตว์ทั้งหลายจึงจองเวรกัน เบียดเบียนกัน ซึ่งท่านใช้สูตรนี้มาสอนลูกศิษย์ และลูกศิษย์ก็เที่ยวไปว่าคนเห็นต่างว่าอิจฉาริษยาอาจารย์เขา /ทำไมคุณไม่ใช้สูตรผู้ชี้โทษคือผู้ชี้ขุมทรัพย์มาสอน. ✍️ที่สอนถูกก็มี ผิดก็ควรแก้ไข หวังว่าท่านจะระวังในการสอนมากขึ้น #แค่ผ่านตา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องชี้แจง >> ผู้เขียน : โลก กะ ธรรม กับม่อน Credit : เปรมวดี ก๋งชิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 487 มุมมอง 0 รีวิว
  • ...ดาวพฤหัสบดี(๕) วิปริต พระไตรปิฎกถูกบิดเบือน มีลัทธิแปลกปลอมอาศัยวาทศิลป์อ้างพระธรรมคำสอนสร้างอาณาจักรของตน
    ...ดาวพุธ (๔) วิปริต สื่อมหาชนพาผู้คนคล้อยตามไปสู่อคติ สร้างอกุศลมากมาย
    ...ดาวอังคาร (๓) วิปริต ทหารถูกอำนาจอิทธิพลมืดครอบงำ ต้องฝ่าฝืนคำสั่งผู้บังคับบัญชาเพื่อรักษาหน้าที่ตน
    #พลัมเฮร่า
    #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์
    ...ดาวพฤหัสบดี(๕) วิปริต พระไตรปิฎกถูกบิดเบือน มีลัทธิแปลกปลอมอาศัยวาทศิลป์อ้างพระธรรมคำสอนสร้างอาณาจักรของตน ...ดาวพุธ (๔) วิปริต สื่อมหาชนพาผู้คนคล้อยตามไปสู่อคติ สร้างอกุศลมากมาย ...ดาวอังคาร (๓) วิปริต ทหารถูกอำนาจอิทธิพลมืดครอบงำ ต้องฝ่าฝืนคำสั่งผู้บังคับบัญชาเพื่อรักษาหน้าที่ตน #พลัมเฮร่า #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • #กลอนก็มา #กวีจินตนาก็พาไป
    เรื่องของคนข้างบ้าน ในหมู่บ้านพี่
    ได้ถูกร้อยเรียงเป็นบทกลอน
    กลอนคิงส์คุณธรรม
    ตอน "ไม่อยากได้พี่เป็นซาตาน"
    สี่พี่รุม -ยำให้ร้าย- ไม่เว้นวัน
    ไลฟ์ไรกัน- ตามได้ทัน- เห็นดราม่า
    อยากได้น้อง- ที่ไม่ใช่- เทวดา
    อ้าวอิห่า -ขายของไป -ใยพาดพิง
    ถึงสี่พี่ -จะเล่นยับ- ยันซื้อสื่อ
    ฝั่งน้องคือ -นิ่งสงบ- เพราะแม่สอน
    ฝั่งอิป้า- เสพดราม่า- ไม่หลับนอน
    เชื่อคำสอน- ของแม่นั้น -เกราะคุ้มภัย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #กลอนก็มา #กวีจินตนาก็พาไป เรื่องของคนข้างบ้าน ในหมู่บ้านพี่ ได้ถูกร้อยเรียงเป็นบทกลอน กลอนคิงส์คุณธรรม ตอน "ไม่อยากได้พี่เป็นซาตาน" สี่พี่รุม -ยำให้ร้าย- ไม่เว้นวัน ไลฟ์ไรกัน- ตามได้ทัน- เห็นดราม่า อยากได้น้อง- ที่ไม่ใช่- เทวดา อ้าวอิห่า -ขายของไป -ใยพาดพิง ถึงสี่พี่ -จะเล่นยับ- ยันซื้อสื่อ ฝั่งน้องคือ -นิ่งสงบ- เพราะแม่สอน ฝั่งอิป้า- เสพดราม่า- ไม่หลับนอน เชื่อคำสอน- ของแม่นั้น -เกราะคุ้มภัย #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภิกษุทั้งหลาย !
    กรรม
    เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ

    นิทานสัมภวะแห่งกรรม
    เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ

    เวมัตตตาแห่งกรรม
    เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ

    วิบากแห่งกรรม
    เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ

    กัมมนิโรธ
    เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ

    กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ....

    คำที่เรากล่าวแล้วดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวเล่า ?

    ภิกษุทั้งหลาย !
    เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม
    เพราะว่าบุคคลเจตนาแล้ว ย่อมกระทำาซึ่งกรรม
    ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ.
    .
    บาลี ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๕๘,๔๖๓-๔๖๔/๓๓๔
    .
    .
    #ธรรมะคำสอนจากพระพุทธเจ้า
    #ศิษย์ตถาคต
    #พึ่งตนพึ่งธรรม
    ภิกษุทั้งหลาย ! กรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ นิทานสัมภวะแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ เวมัตตตาแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ วิบากแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ กัมมนิโรธ เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ.... คำที่เรากล่าวแล้วดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม เพราะว่าบุคคลเจตนาแล้ว ย่อมกระทำาซึ่งกรรม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ. . บาลี ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๕๘,๔๖๓-๔๖๔/๓๓๔ . . #ธรรมะคำสอนจากพระพุทธเจ้า #ศิษย์ตถาคต #พึ่งตนพึ่งธรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts