• ประวัติศาสตร์มิใช่เป็นภาระของความทรงจำ หากแต่เป็นการจุดประกายของปัญญา ในคนรุ่นต่อมา.
    ประวัติศาสตร์มิใช่เป็นภาระของความทรงจำ หากแต่เป็นการจุดประกายของปัญญา ในคนรุ่นต่อมา.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔹️แพ็กคู่ซีรีส์ชุด พิกัดต่อไปใครเป็นศพ❗

    คำเตือน เนื้อหายาวมากถึงมากที่สุด

    1 #พิกัดต่อไปใครเป็นศพ #masqueradehotel

    อ่านจนจบในวันเดียว หนาถึง 547 หน้า ดีที่ขนาดไม่เทอะทะแม้หนาแต่ไม่หนัก ตอนตัดสินใจเลือกยืมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยชมที่สร้างเป็นหนังมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน พออ่านไปได้ไม่กี่หน้าเริ่มรู้สึกฉากช่างคุ้นเคย เนื้อเรื่องเหมือนเคยรู้มาก่อน ทบทวนความทรงจำตนเองจึงค่อยจำได้ว่าคือเรื่องเดียวกับหนังที่ดูจบแล้วชอบมากนั่นเอง แต่ห้วงเวลาที่ชมนั้นไม่เคยทราบว่าสร้างจากนิยายเล่มนี้ ดูเพราะชอบนักแสดงหลักทั้งสองคนเลยคือ ทาคูยะ และมาซามิ และก็ไม่ผิดหวังทั้งคู่แสดงในบทบาทที่ได้รับได้ดีมาก พระนางมีการขัดแย้งในความเห็นอย่างที่เรียกว่าคู่กัด แต่ก็ห่วงใยช่วยเหลือกันมีความน่ารักปนน่าหมั่นไส้ โรงแรมที่ใช้เป็นฉากก็หรูหราโอ่โถงงดงามน่าใช้บริการอย่างมากครับ

    📚วกกลับมาเข้าเรื่องในหนังสือ

    สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 425 บาท
    ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน
    อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล

    เนื้อหาในเล่มกล่าวถึงชีวิตของพนักงานโรงแรมคอร์เทเชียโตเกียวสุดหรูที่มีนามว่า ยามางิชิ นาโอมิ ซึ่งเป็นตัวเอกที่ดำเนินเรื่องหลักของนิยายเล่มนี้ ที่ฉากแรกปรากฏก็เปิดตัวอย่างสง่างามสมกับความเป็นพนักงานต้อนรับมืออาชีพยิ่ง เพราะมีลูกค้าชายประเภทที่จงใจก่อปัญหาเพื่อหวังจะได้เข้าพักในห้องราคาสูงกว่าที่ตนได้เลือกจองไว้ จนพนักงานยกกระเป๋าที่เข็นของไปให้ ต้องโทร.ลงมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งเธอสามารถบริหารจัดการให้ผ่านพ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าลงได้อย่างสวยงาม

    จากนั้นเรื่องจึงนำพาผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นของที่มาอันกลายเป็นชื่อเรื่องคือ ทางผู้จัดการใหญ่ที่รับผิดชอบดูแลพนักงานในโรงแรมทั้งหมด ได้รับการติดต่อขอความร่วมมือจากกรมตำรวจนครบาลโตเกียว ในการสืบสวนคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ ที่มีแนวโน้มเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยคนร้ายรายเดียวกัน

    🏨

    รายละเอียดของคดีคือ มีการพบศพผู้ตาย 3 ราย ในระยะเวลาห่างกันประมาณ 6-7 วันนับจากศพแรก ทราบชื่อผู้ตายทั้งสาม เป็นชาย2หญิง1 สาเหตุเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายด้วยการตีจากด้านหลังบ้าง รัดคอบ้าง ทุกรายพบตัวเลขปริศนา2ชุดในจุดเกิดเหตุ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการตายของเหยื่อหรือไม่อย่างไร แต่ตำรวจมั่นใจว่าคนร้ายหมายตาที่จะก่อเหตุในครั้งต่อไป โดยเล็งเป้าหมายคือโรงแรมที่นาโอมิทำงานอยู่ ปัญหาใหญ่คือไม่ทราบว่าใครที่คนร้ายหมายจะฆ่า ทำไมถึงเลือกที่นี่ และคนร้ายคือใคร ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ ฝ่ายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้คุยตกลงกันกับผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมแล้ว ดังนั้นจึงเรียกตัว หัวหน้าจากหลายฝ่ายให้มาร่วมประชุม ไม่ว่าฝ่ายห้องพัก ฝ่ายเข็นสัมภาระลูกค้าไปส่งห้อง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และในการนี้นาโอมิยังถูกระบุให้เข้าร่วมประชุมแม้จะเป็นแค่เพียง พนักงานระดับปฏิบัติการณ์ฝ่ายต้อนรับเท่านั้น

    🏨

    เหตุผลเพราะหัวหน้างานไว้วางใจ เชื่อมั่นในคุณสมบัติและประสบการณ์ของเธอจะสามารถเป็นพี่เลี้ยงให้กับตำรวจ ที่จะปลอมเข้ามาเป็นพนักงานเพื่อเฝ้าสังเกตบุคคลที่มาใช้บริการโรงแรม ซึ่งแผนกต้อนรับเองนาโอมิถูกเลือกให้จับคู่กับรองสารวัตรนิตตะ ส่วนแผนกอื่นก็มีตำรวจปลอมตัวเข้าไปด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นก็มีตำรวจส่วนหนึ่งที่ถูกสั่งการให้ปะปนเข้ามาเป็นคนใช้บริการหรือจับตาความเคลื่อนไหวบริเวณโถงรับแขก ห้องอาหาร และอื่นๆ

    🏨

    นั่นคือจุดเริ่มแห่งความหรรษา เพราะนิตตะไม่ชอบอะไรที่เป็นพิธีการ แต่จำใจต้องเชื่อฟังนาโอมิที่อายุน้อยกว่า ตั้งแต่เรื่องชุดพนักงาน ท่าทีการพูดจา บุคลิกภายนอกที่ต้องถูกปรับให้กลายจากความเป็นตำรวจมาเป็นพนักงานต้อนรับให้สมจริงมากที่สุด ทั้งคู่จึงมีการกระทบกระทั่งทางความคิดที่ไม่ตรงกัน จนมีการโต้เถียงบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความบันเทิงประการหนึ่ง ด้วยคู่นี้มีความน่ารัก น่าลุ้น ที่จะกลายมาเป็นคู่ใจในอนาคตได้

    🏨

    ระหว่างนั้น นาโอมิมีข้อสงสัยมากมายหลายประการ เธอมักถามนิตตะที่ทราบรายละเอียดของคดีมากกว่าที่พนักงานโรงแรมทราบ แต่นิตตะไม่บอกเล่าโดยให้เหตุผลว่าเป็นความลับของทางราชการไม่อาจให้คนนอกทราบได้

    งานบริการของนาโอมิยังคงต้องดำเนินต่อไป เกิดปัญหาจากความต้องการของลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาพักเป็นระยะ ซึ่งเธอและนิตตะต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านพ้น ทำให้ทั้งสองเริ่มมีความเข้าใจและยอมรับในตัวตนและงานของอีกฝ่ายได้ดีขึ้นกว่าเมื่อแรกพบหน้า ลูกค้าบางคนดูไม่น่าไว้ใจและมีท่าทางแปลกจนนิตตะจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยสัญชาตญาณของนักสืบ

    🏨

    ขณะที่มีตำรวจวัยเลยกลางคนไปแล้ว ซึ่งเป็นตำรวจในท้องที่เกิดเหตุคนหนึ่งที่รู้จักกับนิตตะ และได้รับการมอบหมายให้เป็นคู่หูสืบคดีก่อนที่นิตตะจะต้องปลอมตัวมาเป็นพนักงานต้อนรับนั้น มีน้ำใจที่อยากจะช่วยเหลือ จึงมักอาสาช่วยสืบเรื่องราวต่าง ๆ จากด้านนอก ตามที่นิตตะมีความสงสัยด้วยอีกทางหนึ่ง

    ในที่สุดนิตตะก็ทนรบเร้าจากนาโอมิไม่ไหว อีกทั้งเริ่มมีความไว้ใจเธอมากขึ้น จนยอมเล่าให้ทราบถึงปริศนาของชุดตัวเลขที่ปรากฏทุกครั้งในสถานที่พบศพอันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตำรวจตัดสินใจปะปนเข้ามาในโรงแรม ทำให้เธอเริ่มเกิดความตื่นตัวและทึ่งในความสามารถของเขา รวมถึงมีความกังวลถึงเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้จนส่งผลต่อสุขภาพและงานในหน้าที่ความรับผิดชอบ

    🏨

    อย่างไรก็ตาม สุดท้ายตัวคนร้ายคือคนที่คิดไม่ถึง ซึ่งไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าจะวางแผนการณ์ได้อย่างแยบยลขนาดนั้น แต่แรงจูงใจในการก่อคดียังรู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยไปสักหน่อย คงเพราะความที่คนร้ายเป็นคนประเภทมีจิตรุนแรงในพื้นนิสัย ทำให้ต้องลุ้นเอาใจช่วยนิตตะและนาโอมิในตอนที่เนื้อเรื่องเปิดเผยให้คนอ่านทราบแล้วว่าเป็นใคร ทั้งสองจะปลอดภัยหรือไม่ จะจับตัวคนร้ายได้ไหม ใครจะถูกฆ่าเป็นรายถัดไปหรือเปล่า ต้องตามอ่านต่อในพิกัดต่อไปใครเป็นศพครับ

    🖋วิจารณ์หลังจบเรื่อง

    เป็นการเล่าในมุมมองบุคคลที่สามคือมุมมองพระเจ้า ฉากหลักตลอดทั้งเรื่องเกิดขึ้นภายในโรงแรม ตัวละครที่มีการเอ่ยชื่อและมีบทบาทสำคัญไม่เยอะจนเกินไป จึงทำให้คนอ่านจดจำและรู้สึกใกล้ชิดกับตัวเอก ไปจนตัวรองที่ถูกกล่าวถึงบ่อย ๆ ได้ไม่ยาก ความจริงในส่วนของคดีที่เกิดในเล่มนี้นั้น พูดตามจริงแล้วไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไร รูปแบบการฆ่าก็ธรรมดาเกินกว่าจะดูน่ากลัวหรือลึกลับ เพียงแต่มีจุดเด่นตรงชุดตัวเลขปริศนาว่าหมายถึงอะไร และชวนน่าสงสัยเล็กน้อยว่าคนร้ายจะฆ่าคนไปทำไม เพราะดูเหมือนตำรวจมีข้อมูลน้อยมาก จนการสืบสวนแทบไม่เดินหน้าไปไหนเลย

    🏨

    เป็นความตั้งใจของผู้เขียนที่คงจะต้องการให้โทนของเรื่องออกมาในลักษณะนี้ คือไม่เน้นที่การสืบสวนคลี่คลายปมเป็นพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้องผูกเรื่องราวของคดีที่เกิดขึ้นให้มีความอลังการ จนดึงดูดความสนใจกระหายใคร่รู้ และกระตุ้มต่อมนักสืบของคนอ่านจนพุ่งสูงด้วยความเข้มข้นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหยื่อ แต่กลับเลือกที่จะให้ดูเป็นคดีทั่วไป ไม่มีความโชกเลือดหรือบ้าคลั่งของฆาตกรเป็นที่ปรากฏออกมาในบรรยากาศ ซึ่งในแง่นี้ถือว่านักอ่านหลายคนอาจถูกภาพปกของหนังสือหลอกเอาได้ เพราะโทนสีดำแดง กับเลือดเปรอะกระจายบนแผนที่ อีกทั้งชื่อเรื่องชวนค้นหาว่าคงจะดำเนินไปในแนวทางน่าตื่นเต้นกับการตามสืบอะไรทำนองนั้น ซึ่งใครที่คาดหวังมากก็อาจผิดหวังเมื่อพบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ตนคาดว่าจะได้พบเจอ

    🏨

    แต่นี่ไม่มีปัญหากับผม ส่วนตัวชอบมาก แทบไม่ได้สนใจในคดีด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นคนร้าย ใครเป็นเป้าหมายที่กำลังจะถูกฆ่า และทำไมต้องฆ่า คืออ่านไปได้เรื่อย ๆ อย่างเพลิดเพลิน ชอบในความที่เนื้อหาเจาะลึกถึงวงการคนโรงแรม ทำให้เราได้รู้ข้อมูลหลายอย่าง สิ่งที่พนักงานต้องแบกรับและพบเจอที่เป็นเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยได้คำนึงถึงและไม่เคยมองในมุมของคนทำงานเหล่านั้น จึงเป็นความบันเทิงที่สามารถได้รู้เรื่องราวอินไซด์โดยผ่านการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของนาโอมิ กับประเด็นต่าง ๆ ที่เข้ามามากมาย คล้ายกำลังได้ติดตามดูซีรีส์ชีวิตการทำงานในอาชีพด้านการบริหารโรงแรมดี ๆ สักเรื่องหนึ่ง ซึ่งอดีตเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เคยได้รับชมมาบ้างทั้งของญี่ปุ่นและเกาหลี

    🏨

    จุดเด่นในการดำเนินเรื่องคือเราจะได้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของสองตัวละครหลัก ในระหว่างร่วมกันแก้ไขปัญหา แม้มีความขัดแย้งจากความเห็นมุมมองที่ต่างสถานะบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดีเสียอีกทำให้ต่างฝ่ายได้เรียนรู้เพิ่ม เป็นประสบการณ์ใหม่และเปิดมุมมองอีกด้านที่ตนไม่เคยใส่ใจ จนเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจ และเชื่อใจกันโดยไม่รู้ตัว แม้นภายนอกเหมือนไม่ชอบหน้ากันก็ตาม ที่สำคัญคือแม้เรื่องแนวทางการสืบหาตัวคนร้ายเหมือนไม่คืบหน้าไปไหน แต่เมื่อนาโอมิแก้ปัญหาลูกค้าไปทีละเรื่องต่อเนื่องไป ทำให้นิตตะเองสะดุดคิดได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่จะเกี่ยวโยงไปถึงคดีได้อย่างไม่ตั้งใจ บางครั้งคำพูดของนาโอมิเองช่วงสนทนากับนิตตะ ไปจุดประกายให้เขาพลันนึกอะไรได้ขึ้นมาอย่างกะทันหันก็มี รวมถึงคู่หูนายตำรวจท้องที่ผู้มีอายุมากกว่าเขา ก็ยังมีส่วนช่วยอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ทำให้เห็นถึงพลังของความช่วยเหลือกันและกันของความเป็นเพื่อน แม้เพิ่งทำความรู้จักกันชั่วระยะเวลาไม่นาน นี่จึงไม่ใช่นิยายสืบสวนที่เน้นความเก่งฉกาจของนักสืบที่รับผิดชอบคดีแบบฉายเดี่ยว แต่ต้องอาศัยความเชื่อใจระหว่างกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็นที่มีของตนคนเดียวอาจจะไม่เพียงพอ

    หากพิจารณาให้ดี จะได้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลแวดล้อมที่ดูราวกับไม่มีส่วนสำคัญ แต่แท้จริงถ้าไม่ได้ความคิดเห็นหรือความช่วยเหลือของเขา พระเอกของเราก็ยังคงไม่อาจฉุกใจได้คิด จนนำไปสู่การรู้ตัวคนร้ายในช่วงท้ายของเรื่อง

    บทสรุปก่อนจบ มีแนวโน้มให้คนอ่านได้ลุ้นว่านิตตะกับนาโอมิ จะมีความเป็นไปได้ในการเป็นคู่รักหรือไม่ แต่ที่มั่นใจคือน่าจะมีเล่มต่อให้ได้ติดตามกันอย่างแน่นอน.

    .........................................

    2. #พิกัดต่อไปใครเป็นศพตอนลางร้ายใต้หน้ากาก #masqueradeeve

    เล่มที่สองของซีรีส์ ที่ยังคงความสนุกได้ไม่แพ้เล่มแรก แต่ความหนาน้อยลงเหลือ 352 หน้า

    สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 345 บาท
    ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน
    อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล

    เนื้อหาย่อของเล่มนี้

    ถึงจะออกมาเป็นเล่มที่สองของชุด แต่เหตุการณ์เป็นเรื่องก่อนหน้าคดีในเล่มแรก คือย้อนไปเล่าสมัยที่นาโอมิเพิ่งจะเข้าทำงานใน คอร์เทเชียโตเกียวได้แค่สี่ปี และย้ายแผนกมาอยู่ฝ่ายต้อนรับไม่นาน ยังเห็นถึงความผิดพลาดบกพร่องที่ไม่คล่องตัว ยังไม่มีความเชื่อมั่นในประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญดังภาพที่ปรากฏในเล่มก่อนหน้า ทว่าก็ยังคงบุคลิกที่มุ่งมั่นในการให้บริการ และมีหัวใจในการคิดถึงและเอาใจใส่ต่อลูกค้าทุกคนอย่างซื่อสัตย์

    🏨

    เริ่มต้นมา นาโอมิก็ได้แสดงความสามารถที่ทำให้เห็นถึงความมีไหวพริบปฏิภาณ และช่างสังเกต อันเป็นคุณสมบัติที่ควรต้องมีในคนที่ทำอาชีพเช่นเธอ โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนาโอมิจดจำได้ว่าเป็นอดีตแฟนที่เคยคบหากันชั่วเวลาหนึ่งสมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย แต่มีเหตุให้ต้องเลิกราแยกย้ายกันไปคนละเส้นทาง เขามากับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักกีฬาเบสบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงมาก โดยทำหน้าที่เป็นผจก.ส่วนตัวนักกีฬาชาย แล้วได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นในขณะที่ทั้งสองมาพักอยู่ในโรงแรม จนเป็นเหตุให้แฟนเก่าคนนี้โทร.ตามตัวนาโอมิจากหน้าฟรอนต์ให้มาช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งเธอไม่เต็มใจนักแต่ต้องตัดความรู้สึกส่วนตัวออก แล้วสวมหัวใจพนักงานฝ่ายต้อนรับที่ต้องช่วยเหลือบริการแก่ลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายเธอก็สามารถจัดการกับปัญหาให้จบลงด้วยดี

    🏨

    ทางด้านนิตตะนั้น เพิ่งเริ่มต้นอาชีพด้วยการเข้าเป็นน้องใหม่ในสังกัดกรมตำรวจหลังกลับมาจากต่างประเทศไม่นาน โดยมีรุ่นพี่โมโตมิยะ(ปรากฏตัวในเล่มแรกด้วย โดยเป็นหนึ่งที่ปลอมตัวเข้าไปในโรงแรม) ที่เป็นคู่หูและพี่เลี้ยง ซึ่งคดีแรกที่เขาต้องคลี่คลายคือ คดีฆาตกรรมวันไวต์เดย์ โดยตำรวจได้รับแจ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งว่าสามีของตนออกไปวิ่งออกกำลังตอนกลางดึกแต่ยังไม่กลับถึงบ้านตามเวลา สุดท้ายมีการพบว่าสามีของเธอกลายเป็นศพอยู่ในสวน ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกแทงที่ท้องและหลัง มีอะไรหลายอย่างที่พบในที่เกิดเหตุ รวมถึงข้อมูลที่ตำรวจได้สืบทราบมา ที่รบกวนใจของนิตตะ เขาได้แสดงความสามารถออกมาเป็นที่ปรากฏจนรุ่นพี่ออกจะไม่พอใจและหมั่นไส้อยู่บ้าง ด้วยสิ่งที่นิตตะคาดคะเนและวิเคราะห์ทำให้ตำรวจสามารถพบตัวของผู้ก่อเหตุได้ในเวลาไม่นาน แต่คดีนี้มีอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งที่ตำรวจรู้

    🏨

    ตัดมาที่การปฏิบัติงานของนาโอมิ ในเหตุการณ์ที่มีกลุ่มชายหลายคน มาจองห้องพักและมีพฤติการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าแปลกพิกล ต่อมาทราบว่าที่แท้คนกลุ่มนี้หวังที่จะมาเฝ้ารอเพื่อจะได้พบเจอกับนักเขียนนิยายที่โด่งดังนามว่า ทาจิบานะ ซากุระซึ่งเขียนแนวประโลมโลก และจะเข้ามาพักที่โรงแรมเพื่อเขียนงานใหม่ เนื่องจากเหล่าสาวกที่ชื่นชอบงานเขียนของซากุระ ไปเห็นรูปที่ถูกระบุว่าเป็นนักเขียนหญิงคนดังในโซเชียลมีเดีย พอเห็นว่าเป็นสาวสวยจึงหาวิธีที่จะได้พบเจอตัวจริงให้ได้ จึงเป็นหน้าที่ของนาโอมิ ที่จะต้องรักษาความเป็นส่วนตัวรวมถึงความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ความยุ่งยากจึงเกิดขึ้น

    🏨

    ตอนสุดท้าย นาโอมิได้รับการขอจากผู้จัดการให้ช่วยไปสอนงานให้กับพนักงานแผนกต้อนรับที่สาขาโอซาก้า ซึ่งเพิ่งเปิดโรงแรมได้ไม่นาน เธอจึงต้องไปทำงานอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่งแต่ไม่เกินครึ่งปี ในขณะที่นิตตะมีคดีใหม่ที่ต้องรับผิดชอบกับรุ่นพี่โมโตมิยะ คือการตายของอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องทางสิทยาศาสตร์ โดยพบศพในห้องทำงาน คดีนี้มีผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นบุคคลคนหนึ่ง แต่ทว่าเขากลับมีหลักฐานยืนยันที่อยู่ชัดเจนในช่วงเวลาที่คาดว่าเหยื่อถูกฆ่าตาย ซึ่งเจ้าตัวเข้าใจว่าตนเองรอดพ้นแน่แต่แท้จริงเบื้องหลังยังมีอะไรที่ไม่เป็นดังที่คิด ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่า

    ในกรณีทีมสืบสวนเอง ผู้ใหญ่ได้สั่งการลงมาให้นิตตะจับคู่กันกับตำรวจหญิงวัยละอ่อน ที่เป็นตำรวจท้องที่มีนามว่า ริสะ ที่ถูกย้ายมาจากแผนกความปลอดภัยชุมชน ให้มาร่วมในทีมเป็นครั้งแรก นิตตะไม่พอใจนักแต่จำใจต้องทำตาม แม้จะดูเหมือนเป็นตำรวจหญิงที่อ่อนต่อโลก พูดเป็นต่อยหอย และขาดไหวพริบม แต่ริสะก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความกระตือรือร้น มุ่งมั่นใส่ใจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่เธอได้รับคำสั่งจากนิตตะให้ไปสืบเช็กข้อมูลจากโรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้า เพื่อยืนยันคำพูดจากปากของชายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ทำให้ริสะได้พบกับนาโอมิ อันก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมาถึงผลลัพธ์ในภายหลัง

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    เล่มนี้เล่าเรื่องโดยแยกเนื้อหาระหว่างการแก้ปัญหาในโรงแรมของนาโอมิ กับการไขคดีของนิตตะออกจากกันชัดเจนเป็นตอนที่จบในตัว เริ่มจากตอนของนาโอมิก่อน จากนั้นสลับไปเล่าฝั่งนิตตะ แต่ในตอนสุดท้ายจะผนวกสองฝั่งให้เชื่อมถึงกันในคดีที่มีผู้เกี่ยวข้องได้ไปเข้าพักที่โรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้าซึ่งนาโอมิกำลังอยู่ในช่วงที่สอนงานให้พนักงานที่นั่น

    ทั้งคู่ไม่ได้พบกันเลย เพราะการพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในเล่มแรก แต่ผู้เขียนมีความสามารถในการผูกโยงเรื่องราวให้คนอ่านรู้สึกเหมือนว่าได้เห็นคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด และได้เห็นบุคลิกกับอุปนิสัยส่วนตัวของนาโอมิกับนิตตะมากขึ้น

    นิตตะในเล่มนี้ มีโอกาสได้แสดงฝีมือในการคิดวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์กับข้อมูลที่ใช้หาตัวคนร้าย ได้เด่นชัดกว่าเล่มแรก สมกับที่เป็นระดับหัวกะทิที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แต่เราก็จะได้เห็นถึงข้อเสียใหญ่ของเขาที่ไม่น่ารักเช่นกัน คือเป็นคนมั่นใจในความฉลาดของตนมากจนเหมือนดูถูกคนที่ด้อยกว่า โดยเฉพาะความคิดที่เห็นว่าผู้หญิงเป็นตัวถ่วง สู้ผู้ชายไม่ได้ ดังที่นิตตะแสดงออกทางสีหน้าท่าทางและคำพูดต่อเด็กใหม่อย่างริสะ ที่เหมือนเป็นได้แค่ลูกไล่ไร้ประโยชน์ ซึ่งต่างจากนาโอมิ ที่แม้จะมองออกว่าริสะเป็นตำรวจที่ความสามารถไม่ถึงขั้น แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญ กลับมองเห็นถึงมุมที่เป็นความอดทน ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดของตำรวจหญิงในการพยายามค้นหาความจริงให้ได้ ความมุ่งมั่นของริสะจึงเอาชนะใจของนาโอมิ จนยอมช่วยเหลือด้วยการเปิดเผยเรื่องราวบางส่วนให้ริสะทราบ

    ในส่วนของการคลี่คลายคดี ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนจนเกินไป แต่เล่มนี้จะเน้นไปที่คดีที่น่าจะเป็นที่มาของชื่อตอน (ลางร้ายใต้หน้ากาก) ถึงสองคดีด้วยกันครับ ถ้าได้อ่านแล้วจะเข้าใจ และน่าจะเห็นตรงกันว่าภายใต้หน้ากากที่ภายนอกดูไม่ได้รู้เลยว่าจะกลายเป็นคนร้ายได้ สุดท้ายก็แอบซ่อนความบิดเบี้ยวของใจที่โดนกิเลสเข้าครอบงำได้อย่างน่ากลัว

    ตัวละครในเรื่อง สำหรับเล่มนี้ รู้สึกว่าริสะที่แม้จะมีบทบาทเพียงแค่ช่วงคดีสุดท้ายนั้น เป็นตัวละครที่เขียนมาได้น่าสนใจมาก โผล่มาทีไรก็ทำให้คนอ่านอย่างผมอดขำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปต่อในเล่มอื่น ๆ ของชุดนี้หรือไม่ ส่วนนาโอมินั้นยังคงเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์เช่นเดิม เทียบกับนิตตะแล้วส่วนตัวมีความรู้สึกชอบนาโอมิมากกว่า

    นอกจากนี้ยังชอบตอนจบของเรื่อง ที่มีการโยงถึงเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอนำไปสู่ความอาฆาตแค้นของฆาตกรในคดีที่เกิดขึ้นในเล่มแรก สรุปว่าอ่านจบเล่มสองแล้วก็จะไปต่อเหตุการณ์ของเล่มแรกพอดี

    ใครเริ่มอ่านจากเล่มนี้ก่อน สามารถอ่านเล่มแรกต่อเนื่องได้เลย

    📌คำเตือน : สำหรับคนที่ชอบการสืบคดีแบบเข้มข้น มีวิธีการฆ่าที่ค่อนข้างแปลกพิสดารหรือโหดสยอง และมีกลวิธีในการอำพรางซ่อนเร้นที่ไม่ธรรมดา ซีรีส์ชุดนี้อาจไม่ตอบโจทย์ แล้วเลยพาลจะไม่ชอบหรือหมดสนุกได้ง่าย แต่ถ้าชอบแนวได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพของตัวเอกควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการไขคดีที่ไม่โลดโผน ชุดนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคุณได้ไม่ยากครับ

    ป.ล. มีปกใหม่ออกมาที่คิดว่าทำได้ดีตรงกับแนวเรื่องและชื่อตอนมากกว่าปกฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกด้วย เพราะปกของเล่มสองนี้ดูเหมือนน่าจะโหดมาก แต่เนื้อในไม่ใช่อย่างที่คิด

    ใครอ่านตั้งแต่ต้นมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ได้ขอได้รับความขอบคุณจากผมด้วยครับ

    #thaitimes
    #หนังสือ
    #หนังสือน่าอ่าน
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #นิยายสืบสวน
    #สืบสวน
    #คดีฆาตกรรม
    #งานโรงแรม
    #พนักงานต้อนรับ
    #ตำรวจ
    #นักสืบ
    #ลูกค้า
    #งานบริการ
    #อาชีพ
    #ฮิงาชิโนะเคโงะ
    🔹️แพ็กคู่ซีรีส์ชุด พิกัดต่อไปใครเป็นศพ❗ คำเตือน เนื้อหายาวมากถึงมากที่สุด 1 #พิกัดต่อไปใครเป็นศพ #masqueradehotel อ่านจนจบในวันเดียว หนาถึง 547 หน้า ดีที่ขนาดไม่เทอะทะแม้หนาแต่ไม่หนัก ตอนตัดสินใจเลือกยืมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยชมที่สร้างเป็นหนังมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน พออ่านไปได้ไม่กี่หน้าเริ่มรู้สึกฉากช่างคุ้นเคย เนื้อเรื่องเหมือนเคยรู้มาก่อน ทบทวนความทรงจำตนเองจึงค่อยจำได้ว่าคือเรื่องเดียวกับหนังที่ดูจบแล้วชอบมากนั่นเอง แต่ห้วงเวลาที่ชมนั้นไม่เคยทราบว่าสร้างจากนิยายเล่มนี้ ดูเพราะชอบนักแสดงหลักทั้งสองคนเลยคือ ทาคูยะ และมาซามิ และก็ไม่ผิดหวังทั้งคู่แสดงในบทบาทที่ได้รับได้ดีมาก พระนางมีการขัดแย้งในความเห็นอย่างที่เรียกว่าคู่กัด แต่ก็ห่วงใยช่วยเหลือกันมีความน่ารักปนน่าหมั่นไส้ โรงแรมที่ใช้เป็นฉากก็หรูหราโอ่โถงงดงามน่าใช้บริการอย่างมากครับ 📚วกกลับมาเข้าเรื่องในหนังสือ สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 425 บาท ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล เนื้อหาในเล่มกล่าวถึงชีวิตของพนักงานโรงแรมคอร์เทเชียโตเกียวสุดหรูที่มีนามว่า ยามางิชิ นาโอมิ ซึ่งเป็นตัวเอกที่ดำเนินเรื่องหลักของนิยายเล่มนี้ ที่ฉากแรกปรากฏก็เปิดตัวอย่างสง่างามสมกับความเป็นพนักงานต้อนรับมืออาชีพยิ่ง เพราะมีลูกค้าชายประเภทที่จงใจก่อปัญหาเพื่อหวังจะได้เข้าพักในห้องราคาสูงกว่าที่ตนได้เลือกจองไว้ จนพนักงานยกกระเป๋าที่เข็นของไปให้ ต้องโทร.ลงมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งเธอสามารถบริหารจัดการให้ผ่านพ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าลงได้อย่างสวยงาม จากนั้นเรื่องจึงนำพาผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นของที่มาอันกลายเป็นชื่อเรื่องคือ ทางผู้จัดการใหญ่ที่รับผิดชอบดูแลพนักงานในโรงแรมทั้งหมด ได้รับการติดต่อขอความร่วมมือจากกรมตำรวจนครบาลโตเกียว ในการสืบสวนคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ ที่มีแนวโน้มเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยคนร้ายรายเดียวกัน 🏨 รายละเอียดของคดีคือ มีการพบศพผู้ตาย 3 ราย ในระยะเวลาห่างกันประมาณ 6-7 วันนับจากศพแรก ทราบชื่อผู้ตายทั้งสาม เป็นชาย2หญิง1 สาเหตุเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายด้วยการตีจากด้านหลังบ้าง รัดคอบ้าง ทุกรายพบตัวเลขปริศนา2ชุดในจุดเกิดเหตุ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการตายของเหยื่อหรือไม่อย่างไร แต่ตำรวจมั่นใจว่าคนร้ายหมายตาที่จะก่อเหตุในครั้งต่อไป โดยเล็งเป้าหมายคือโรงแรมที่นาโอมิทำงานอยู่ ปัญหาใหญ่คือไม่ทราบว่าใครที่คนร้ายหมายจะฆ่า ทำไมถึงเลือกที่นี่ และคนร้ายคือใคร ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ ฝ่ายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้คุยตกลงกันกับผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมแล้ว ดังนั้นจึงเรียกตัว หัวหน้าจากหลายฝ่ายให้มาร่วมประชุม ไม่ว่าฝ่ายห้องพัก ฝ่ายเข็นสัมภาระลูกค้าไปส่งห้อง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และในการนี้นาโอมิยังถูกระบุให้เข้าร่วมประชุมแม้จะเป็นแค่เพียง พนักงานระดับปฏิบัติการณ์ฝ่ายต้อนรับเท่านั้น 🏨 เหตุผลเพราะหัวหน้างานไว้วางใจ เชื่อมั่นในคุณสมบัติและประสบการณ์ของเธอจะสามารถเป็นพี่เลี้ยงให้กับตำรวจ ที่จะปลอมเข้ามาเป็นพนักงานเพื่อเฝ้าสังเกตบุคคลที่มาใช้บริการโรงแรม ซึ่งแผนกต้อนรับเองนาโอมิถูกเลือกให้จับคู่กับรองสารวัตรนิตตะ ส่วนแผนกอื่นก็มีตำรวจปลอมตัวเข้าไปด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นก็มีตำรวจส่วนหนึ่งที่ถูกสั่งการให้ปะปนเข้ามาเป็นคนใช้บริการหรือจับตาความเคลื่อนไหวบริเวณโถงรับแขก ห้องอาหาร และอื่นๆ 🏨 นั่นคือจุดเริ่มแห่งความหรรษา เพราะนิตตะไม่ชอบอะไรที่เป็นพิธีการ แต่จำใจต้องเชื่อฟังนาโอมิที่อายุน้อยกว่า ตั้งแต่เรื่องชุดพนักงาน ท่าทีการพูดจา บุคลิกภายนอกที่ต้องถูกปรับให้กลายจากความเป็นตำรวจมาเป็นพนักงานต้อนรับให้สมจริงมากที่สุด ทั้งคู่จึงมีการกระทบกระทั่งทางความคิดที่ไม่ตรงกัน จนมีการโต้เถียงบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความบันเทิงประการหนึ่ง ด้วยคู่นี้มีความน่ารัก น่าลุ้น ที่จะกลายมาเป็นคู่ใจในอนาคตได้ 🏨 ระหว่างนั้น นาโอมิมีข้อสงสัยมากมายหลายประการ เธอมักถามนิตตะที่ทราบรายละเอียดของคดีมากกว่าที่พนักงานโรงแรมทราบ แต่นิตตะไม่บอกเล่าโดยให้เหตุผลว่าเป็นความลับของทางราชการไม่อาจให้คนนอกทราบได้ งานบริการของนาโอมิยังคงต้องดำเนินต่อไป เกิดปัญหาจากความต้องการของลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาพักเป็นระยะ ซึ่งเธอและนิตตะต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านพ้น ทำให้ทั้งสองเริ่มมีความเข้าใจและยอมรับในตัวตนและงานของอีกฝ่ายได้ดีขึ้นกว่าเมื่อแรกพบหน้า ลูกค้าบางคนดูไม่น่าไว้ใจและมีท่าทางแปลกจนนิตตะจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยสัญชาตญาณของนักสืบ 🏨 ขณะที่มีตำรวจวัยเลยกลางคนไปแล้ว ซึ่งเป็นตำรวจในท้องที่เกิดเหตุคนหนึ่งที่รู้จักกับนิตตะ และได้รับการมอบหมายให้เป็นคู่หูสืบคดีก่อนที่นิตตะจะต้องปลอมตัวมาเป็นพนักงานต้อนรับนั้น มีน้ำใจที่อยากจะช่วยเหลือ จึงมักอาสาช่วยสืบเรื่องราวต่าง ๆ จากด้านนอก ตามที่นิตตะมีความสงสัยด้วยอีกทางหนึ่ง ในที่สุดนิตตะก็ทนรบเร้าจากนาโอมิไม่ไหว อีกทั้งเริ่มมีความไว้ใจเธอมากขึ้น จนยอมเล่าให้ทราบถึงปริศนาของชุดตัวเลขที่ปรากฏทุกครั้งในสถานที่พบศพอันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตำรวจตัดสินใจปะปนเข้ามาในโรงแรม ทำให้เธอเริ่มเกิดความตื่นตัวและทึ่งในความสามารถของเขา รวมถึงมีความกังวลถึงเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้จนส่งผลต่อสุขภาพและงานในหน้าที่ความรับผิดชอบ 🏨 อย่างไรก็ตาม สุดท้ายตัวคนร้ายคือคนที่คิดไม่ถึง ซึ่งไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าจะวางแผนการณ์ได้อย่างแยบยลขนาดนั้น แต่แรงจูงใจในการก่อคดียังรู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยไปสักหน่อย คงเพราะความที่คนร้ายเป็นคนประเภทมีจิตรุนแรงในพื้นนิสัย ทำให้ต้องลุ้นเอาใจช่วยนิตตะและนาโอมิในตอนที่เนื้อเรื่องเปิดเผยให้คนอ่านทราบแล้วว่าเป็นใคร ทั้งสองจะปลอดภัยหรือไม่ จะจับตัวคนร้ายได้ไหม ใครจะถูกฆ่าเป็นรายถัดไปหรือเปล่า ต้องตามอ่านต่อในพิกัดต่อไปใครเป็นศพครับ 🖋วิจารณ์หลังจบเรื่อง เป็นการเล่าในมุมมองบุคคลที่สามคือมุมมองพระเจ้า ฉากหลักตลอดทั้งเรื่องเกิดขึ้นภายในโรงแรม ตัวละครที่มีการเอ่ยชื่อและมีบทบาทสำคัญไม่เยอะจนเกินไป จึงทำให้คนอ่านจดจำและรู้สึกใกล้ชิดกับตัวเอก ไปจนตัวรองที่ถูกกล่าวถึงบ่อย ๆ ได้ไม่ยาก ความจริงในส่วนของคดีที่เกิดในเล่มนี้นั้น พูดตามจริงแล้วไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไร รูปแบบการฆ่าก็ธรรมดาเกินกว่าจะดูน่ากลัวหรือลึกลับ เพียงแต่มีจุดเด่นตรงชุดตัวเลขปริศนาว่าหมายถึงอะไร และชวนน่าสงสัยเล็กน้อยว่าคนร้ายจะฆ่าคนไปทำไม เพราะดูเหมือนตำรวจมีข้อมูลน้อยมาก จนการสืบสวนแทบไม่เดินหน้าไปไหนเลย 🏨 เป็นความตั้งใจของผู้เขียนที่คงจะต้องการให้โทนของเรื่องออกมาในลักษณะนี้ คือไม่เน้นที่การสืบสวนคลี่คลายปมเป็นพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้องผูกเรื่องราวของคดีที่เกิดขึ้นให้มีความอลังการ จนดึงดูดความสนใจกระหายใคร่รู้ และกระตุ้มต่อมนักสืบของคนอ่านจนพุ่งสูงด้วยความเข้มข้นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหยื่อ แต่กลับเลือกที่จะให้ดูเป็นคดีทั่วไป ไม่มีความโชกเลือดหรือบ้าคลั่งของฆาตกรเป็นที่ปรากฏออกมาในบรรยากาศ ซึ่งในแง่นี้ถือว่านักอ่านหลายคนอาจถูกภาพปกของหนังสือหลอกเอาได้ เพราะโทนสีดำแดง กับเลือดเปรอะกระจายบนแผนที่ อีกทั้งชื่อเรื่องชวนค้นหาว่าคงจะดำเนินไปในแนวทางน่าตื่นเต้นกับการตามสืบอะไรทำนองนั้น ซึ่งใครที่คาดหวังมากก็อาจผิดหวังเมื่อพบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ตนคาดว่าจะได้พบเจอ 🏨 แต่นี่ไม่มีปัญหากับผม ส่วนตัวชอบมาก แทบไม่ได้สนใจในคดีด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นคนร้าย ใครเป็นเป้าหมายที่กำลังจะถูกฆ่า และทำไมต้องฆ่า คืออ่านไปได้เรื่อย ๆ อย่างเพลิดเพลิน ชอบในความที่เนื้อหาเจาะลึกถึงวงการคนโรงแรม ทำให้เราได้รู้ข้อมูลหลายอย่าง สิ่งที่พนักงานต้องแบกรับและพบเจอที่เป็นเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยได้คำนึงถึงและไม่เคยมองในมุมของคนทำงานเหล่านั้น จึงเป็นความบันเทิงที่สามารถได้รู้เรื่องราวอินไซด์โดยผ่านการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของนาโอมิ กับประเด็นต่าง ๆ ที่เข้ามามากมาย คล้ายกำลังได้ติดตามดูซีรีส์ชีวิตการทำงานในอาชีพด้านการบริหารโรงแรมดี ๆ สักเรื่องหนึ่ง ซึ่งอดีตเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เคยได้รับชมมาบ้างทั้งของญี่ปุ่นและเกาหลี 🏨 จุดเด่นในการดำเนินเรื่องคือเราจะได้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของสองตัวละครหลัก ในระหว่างร่วมกันแก้ไขปัญหา แม้มีความขัดแย้งจากความเห็นมุมมองที่ต่างสถานะบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดีเสียอีกทำให้ต่างฝ่ายได้เรียนรู้เพิ่ม เป็นประสบการณ์ใหม่และเปิดมุมมองอีกด้านที่ตนไม่เคยใส่ใจ จนเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจ และเชื่อใจกันโดยไม่รู้ตัว แม้นภายนอกเหมือนไม่ชอบหน้ากันก็ตาม ที่สำคัญคือแม้เรื่องแนวทางการสืบหาตัวคนร้ายเหมือนไม่คืบหน้าไปไหน แต่เมื่อนาโอมิแก้ปัญหาลูกค้าไปทีละเรื่องต่อเนื่องไป ทำให้นิตตะเองสะดุดคิดได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่จะเกี่ยวโยงไปถึงคดีได้อย่างไม่ตั้งใจ บางครั้งคำพูดของนาโอมิเองช่วงสนทนากับนิตตะ ไปจุดประกายให้เขาพลันนึกอะไรได้ขึ้นมาอย่างกะทันหันก็มี รวมถึงคู่หูนายตำรวจท้องที่ผู้มีอายุมากกว่าเขา ก็ยังมีส่วนช่วยอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ทำให้เห็นถึงพลังของความช่วยเหลือกันและกันของความเป็นเพื่อน แม้เพิ่งทำความรู้จักกันชั่วระยะเวลาไม่นาน นี่จึงไม่ใช่นิยายสืบสวนที่เน้นความเก่งฉกาจของนักสืบที่รับผิดชอบคดีแบบฉายเดี่ยว แต่ต้องอาศัยความเชื่อใจระหว่างกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็นที่มีของตนคนเดียวอาจจะไม่เพียงพอ หากพิจารณาให้ดี จะได้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลแวดล้อมที่ดูราวกับไม่มีส่วนสำคัญ แต่แท้จริงถ้าไม่ได้ความคิดเห็นหรือความช่วยเหลือของเขา พระเอกของเราก็ยังคงไม่อาจฉุกใจได้คิด จนนำไปสู่การรู้ตัวคนร้ายในช่วงท้ายของเรื่อง บทสรุปก่อนจบ มีแนวโน้มให้คนอ่านได้ลุ้นว่านิตตะกับนาโอมิ จะมีความเป็นไปได้ในการเป็นคู่รักหรือไม่ แต่ที่มั่นใจคือน่าจะมีเล่มต่อให้ได้ติดตามกันอย่างแน่นอน. ......................................... 2. #พิกัดต่อไปใครเป็นศพตอนลางร้ายใต้หน้ากาก #masqueradeeve เล่มที่สองของซีรีส์ ที่ยังคงความสนุกได้ไม่แพ้เล่มแรก แต่ความหนาน้อยลงเหลือ 352 หน้า สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 345 บาท ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล เนื้อหาย่อของเล่มนี้ ถึงจะออกมาเป็นเล่มที่สองของชุด แต่เหตุการณ์เป็นเรื่องก่อนหน้าคดีในเล่มแรก คือย้อนไปเล่าสมัยที่นาโอมิเพิ่งจะเข้าทำงานใน คอร์เทเชียโตเกียวได้แค่สี่ปี และย้ายแผนกมาอยู่ฝ่ายต้อนรับไม่นาน ยังเห็นถึงความผิดพลาดบกพร่องที่ไม่คล่องตัว ยังไม่มีความเชื่อมั่นในประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญดังภาพที่ปรากฏในเล่มก่อนหน้า ทว่าก็ยังคงบุคลิกที่มุ่งมั่นในการให้บริการ และมีหัวใจในการคิดถึงและเอาใจใส่ต่อลูกค้าทุกคนอย่างซื่อสัตย์ 🏨 เริ่มต้นมา นาโอมิก็ได้แสดงความสามารถที่ทำให้เห็นถึงความมีไหวพริบปฏิภาณ และช่างสังเกต อันเป็นคุณสมบัติที่ควรต้องมีในคนที่ทำอาชีพเช่นเธอ โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนาโอมิจดจำได้ว่าเป็นอดีตแฟนที่เคยคบหากันชั่วเวลาหนึ่งสมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย แต่มีเหตุให้ต้องเลิกราแยกย้ายกันไปคนละเส้นทาง เขามากับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักกีฬาเบสบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงมาก โดยทำหน้าที่เป็นผจก.ส่วนตัวนักกีฬาชาย แล้วได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นในขณะที่ทั้งสองมาพักอยู่ในโรงแรม จนเป็นเหตุให้แฟนเก่าคนนี้โทร.ตามตัวนาโอมิจากหน้าฟรอนต์ให้มาช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งเธอไม่เต็มใจนักแต่ต้องตัดความรู้สึกส่วนตัวออก แล้วสวมหัวใจพนักงานฝ่ายต้อนรับที่ต้องช่วยเหลือบริการแก่ลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายเธอก็สามารถจัดการกับปัญหาให้จบลงด้วยดี 🏨 ทางด้านนิตตะนั้น เพิ่งเริ่มต้นอาชีพด้วยการเข้าเป็นน้องใหม่ในสังกัดกรมตำรวจหลังกลับมาจากต่างประเทศไม่นาน โดยมีรุ่นพี่โมโตมิยะ(ปรากฏตัวในเล่มแรกด้วย โดยเป็นหนึ่งที่ปลอมตัวเข้าไปในโรงแรม) ที่เป็นคู่หูและพี่เลี้ยง ซึ่งคดีแรกที่เขาต้องคลี่คลายคือ คดีฆาตกรรมวันไวต์เดย์ โดยตำรวจได้รับแจ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งว่าสามีของตนออกไปวิ่งออกกำลังตอนกลางดึกแต่ยังไม่กลับถึงบ้านตามเวลา สุดท้ายมีการพบว่าสามีของเธอกลายเป็นศพอยู่ในสวน ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกแทงที่ท้องและหลัง มีอะไรหลายอย่างที่พบในที่เกิดเหตุ รวมถึงข้อมูลที่ตำรวจได้สืบทราบมา ที่รบกวนใจของนิตตะ เขาได้แสดงความสามารถออกมาเป็นที่ปรากฏจนรุ่นพี่ออกจะไม่พอใจและหมั่นไส้อยู่บ้าง ด้วยสิ่งที่นิตตะคาดคะเนและวิเคราะห์ทำให้ตำรวจสามารถพบตัวของผู้ก่อเหตุได้ในเวลาไม่นาน แต่คดีนี้มีอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งที่ตำรวจรู้ 🏨 ตัดมาที่การปฏิบัติงานของนาโอมิ ในเหตุการณ์ที่มีกลุ่มชายหลายคน มาจองห้องพักและมีพฤติการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าแปลกพิกล ต่อมาทราบว่าที่แท้คนกลุ่มนี้หวังที่จะมาเฝ้ารอเพื่อจะได้พบเจอกับนักเขียนนิยายที่โด่งดังนามว่า ทาจิบานะ ซากุระซึ่งเขียนแนวประโลมโลก และจะเข้ามาพักที่โรงแรมเพื่อเขียนงานใหม่ เนื่องจากเหล่าสาวกที่ชื่นชอบงานเขียนของซากุระ ไปเห็นรูปที่ถูกระบุว่าเป็นนักเขียนหญิงคนดังในโซเชียลมีเดีย พอเห็นว่าเป็นสาวสวยจึงหาวิธีที่จะได้พบเจอตัวจริงให้ได้ จึงเป็นหน้าที่ของนาโอมิ ที่จะต้องรักษาความเป็นส่วนตัวรวมถึงความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ความยุ่งยากจึงเกิดขึ้น 🏨 ตอนสุดท้าย นาโอมิได้รับการขอจากผู้จัดการให้ช่วยไปสอนงานให้กับพนักงานแผนกต้อนรับที่สาขาโอซาก้า ซึ่งเพิ่งเปิดโรงแรมได้ไม่นาน เธอจึงต้องไปทำงานอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่งแต่ไม่เกินครึ่งปี ในขณะที่นิตตะมีคดีใหม่ที่ต้องรับผิดชอบกับรุ่นพี่โมโตมิยะ คือการตายของอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องทางสิทยาศาสตร์ โดยพบศพในห้องทำงาน คดีนี้มีผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นบุคคลคนหนึ่ง แต่ทว่าเขากลับมีหลักฐานยืนยันที่อยู่ชัดเจนในช่วงเวลาที่คาดว่าเหยื่อถูกฆ่าตาย ซึ่งเจ้าตัวเข้าใจว่าตนเองรอดพ้นแน่แต่แท้จริงเบื้องหลังยังมีอะไรที่ไม่เป็นดังที่คิด ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่า ในกรณีทีมสืบสวนเอง ผู้ใหญ่ได้สั่งการลงมาให้นิตตะจับคู่กันกับตำรวจหญิงวัยละอ่อน ที่เป็นตำรวจท้องที่มีนามว่า ริสะ ที่ถูกย้ายมาจากแผนกความปลอดภัยชุมชน ให้มาร่วมในทีมเป็นครั้งแรก นิตตะไม่พอใจนักแต่จำใจต้องทำตาม แม้จะดูเหมือนเป็นตำรวจหญิงที่อ่อนต่อโลก พูดเป็นต่อยหอย และขาดไหวพริบม แต่ริสะก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความกระตือรือร้น มุ่งมั่นใส่ใจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่เธอได้รับคำสั่งจากนิตตะให้ไปสืบเช็กข้อมูลจากโรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้า เพื่อยืนยันคำพูดจากปากของชายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ทำให้ริสะได้พบกับนาโอมิ อันก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมาถึงผลลัพธ์ในภายหลัง 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ เล่มนี้เล่าเรื่องโดยแยกเนื้อหาระหว่างการแก้ปัญหาในโรงแรมของนาโอมิ กับการไขคดีของนิตตะออกจากกันชัดเจนเป็นตอนที่จบในตัว เริ่มจากตอนของนาโอมิก่อน จากนั้นสลับไปเล่าฝั่งนิตตะ แต่ในตอนสุดท้ายจะผนวกสองฝั่งให้เชื่อมถึงกันในคดีที่มีผู้เกี่ยวข้องได้ไปเข้าพักที่โรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้าซึ่งนาโอมิกำลังอยู่ในช่วงที่สอนงานให้พนักงานที่นั่น ทั้งคู่ไม่ได้พบกันเลย เพราะการพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในเล่มแรก แต่ผู้เขียนมีความสามารถในการผูกโยงเรื่องราวให้คนอ่านรู้สึกเหมือนว่าได้เห็นคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด และได้เห็นบุคลิกกับอุปนิสัยส่วนตัวของนาโอมิกับนิตตะมากขึ้น นิตตะในเล่มนี้ มีโอกาสได้แสดงฝีมือในการคิดวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์กับข้อมูลที่ใช้หาตัวคนร้าย ได้เด่นชัดกว่าเล่มแรก สมกับที่เป็นระดับหัวกะทิที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แต่เราก็จะได้เห็นถึงข้อเสียใหญ่ของเขาที่ไม่น่ารักเช่นกัน คือเป็นคนมั่นใจในความฉลาดของตนมากจนเหมือนดูถูกคนที่ด้อยกว่า โดยเฉพาะความคิดที่เห็นว่าผู้หญิงเป็นตัวถ่วง สู้ผู้ชายไม่ได้ ดังที่นิตตะแสดงออกทางสีหน้าท่าทางและคำพูดต่อเด็กใหม่อย่างริสะ ที่เหมือนเป็นได้แค่ลูกไล่ไร้ประโยชน์ ซึ่งต่างจากนาโอมิ ที่แม้จะมองออกว่าริสะเป็นตำรวจที่ความสามารถไม่ถึงขั้น แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญ กลับมองเห็นถึงมุมที่เป็นความอดทน ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดของตำรวจหญิงในการพยายามค้นหาความจริงให้ได้ ความมุ่งมั่นของริสะจึงเอาชนะใจของนาโอมิ จนยอมช่วยเหลือด้วยการเปิดเผยเรื่องราวบางส่วนให้ริสะทราบ ในส่วนของการคลี่คลายคดี ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนจนเกินไป แต่เล่มนี้จะเน้นไปที่คดีที่น่าจะเป็นที่มาของชื่อตอน (ลางร้ายใต้หน้ากาก) ถึงสองคดีด้วยกันครับ ถ้าได้อ่านแล้วจะเข้าใจ และน่าจะเห็นตรงกันว่าภายใต้หน้ากากที่ภายนอกดูไม่ได้รู้เลยว่าจะกลายเป็นคนร้ายได้ สุดท้ายก็แอบซ่อนความบิดเบี้ยวของใจที่โดนกิเลสเข้าครอบงำได้อย่างน่ากลัว ตัวละครในเรื่อง สำหรับเล่มนี้ รู้สึกว่าริสะที่แม้จะมีบทบาทเพียงแค่ช่วงคดีสุดท้ายนั้น เป็นตัวละครที่เขียนมาได้น่าสนใจมาก โผล่มาทีไรก็ทำให้คนอ่านอย่างผมอดขำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปต่อในเล่มอื่น ๆ ของชุดนี้หรือไม่ ส่วนนาโอมินั้นยังคงเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์เช่นเดิม เทียบกับนิตตะแล้วส่วนตัวมีความรู้สึกชอบนาโอมิมากกว่า นอกจากนี้ยังชอบตอนจบของเรื่อง ที่มีการโยงถึงเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอนำไปสู่ความอาฆาตแค้นของฆาตกรในคดีที่เกิดขึ้นในเล่มแรก สรุปว่าอ่านจบเล่มสองแล้วก็จะไปต่อเหตุการณ์ของเล่มแรกพอดี ใครเริ่มอ่านจากเล่มนี้ก่อน สามารถอ่านเล่มแรกต่อเนื่องได้เลย 📌คำเตือน : สำหรับคนที่ชอบการสืบคดีแบบเข้มข้น มีวิธีการฆ่าที่ค่อนข้างแปลกพิสดารหรือโหดสยอง และมีกลวิธีในการอำพรางซ่อนเร้นที่ไม่ธรรมดา ซีรีส์ชุดนี้อาจไม่ตอบโจทย์ แล้วเลยพาลจะไม่ชอบหรือหมดสนุกได้ง่าย แต่ถ้าชอบแนวได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพของตัวเอกควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการไขคดีที่ไม่โลดโผน ชุดนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคุณได้ไม่ยากครับ ป.ล. มีปกใหม่ออกมาที่คิดว่าทำได้ดีตรงกับแนวเรื่องและชื่อตอนมากกว่าปกฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกด้วย เพราะปกของเล่มสองนี้ดูเหมือนน่าจะโหดมาก แต่เนื้อในไม่ใช่อย่างที่คิด ใครอ่านตั้งแต่ต้นมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ได้ขอได้รับความขอบคุณจากผมด้วยครับ #thaitimes #หนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #นิยายสืบสวน #สืบสวน #คดีฆาตกรรม #งานโรงแรม #พนักงานต้อนรับ #ตำรวจ #นักสืบ #ลูกค้า #งานบริการ #อาชีพ #ฮิงาชิโนะเคโงะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 932 มุมมอง 0 รีวิว
  • #คนไทยโดยต้มตั้งแต่ซีนแรก
    #สติมาปัญญาจะเกิด
    ห้วงเวลา ตอนดร็อปเรียน งานไม่มี จากเดิมที่เป็นแดนเซอร์บ้าง เป็นตัวประกอบบ้างแบบปลายแถว ชนิดที่ คนญี่ปุ่นไปเดินถามกี่คนก็ไม่มีชื่อจีกามินในความทรงจำ จนสุดท้าย อายุที่มากขึ้น
    งานหาย แต่บินไปญี่ปุ่น ติดปาจิงโกะ ไม่มีงานไม่มีเงิน น่าสงสารดราม่า แต่อยู่ที่นั่นได้เป็นเดือนๆ ติดปาจิงโกะหรือสล็อตญี่ปุ่นหนักมาก ถึงขนาดสักตัว นั่นแปลว่า มันไม่คิดจะไปเป็นนักแสดงในวงการแล้ว เกาหลีทีวีเค้าแบน เค้าไม่ชอบ เค้าถือว่าสกปรก เป็นลักษณะสก็อยกิมจิ
    ถ้าคนที่ติดตามตั้งสติได้ จะเอ๊ะทันที
    แล้วเขียนสตอรี่ ว่าหาทุนเรียนการแสดง อยากจบโท ไอ้การแสดงนี่ เรียนก็เพื่อเป็นนักแสดง เพราะในวงการไม่สำเร็จ การเรียนโทการแสดงเหมือนใบเบิกทางในเกาหลี
    ดังนั้นสรุปได้เลยว่า กามิจล้มเลิกอาชีพนักแสดงตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และไม่ได้คิดจะเรียนต่อ และตั้งใจเป็นนักพนันเต็มตัว เหมือนรอยสักที่มีอยู่ในตำแหน่งทั่วตัว แต่พอมีช่องทางที่ ตต. ได้พีเค มีเอเจนซี่ดูแล การสร้างสตอรี่เพื่อเรียกสติ๊กเกอร์จึงเกิดขึ้น
    แบบนี้ ทุยไหนจะเถียว ว่ามาได้เลย
    ตอบสิว่า เกาหลีช่องไหน ให้สาวกิมจิที่มีรอยสักแบบนี้แสดงซี่รี่
    หรือเป็นนักร้องนักแสดง หรือแม้กระทั่งเป็นแดนเซอร์
    แบบที่เคยทำมาหากินก่อนไปญี่ปุ่น ตอนตัวเกลี้ยงๆ ถ้าตอนนี้เค้าจะรับมั๊ย
    ดังนั้น สภาพแบ๊วๆที่เห็น คือการแสดงอย่างชัดเจน
    สิ่งที่กามินได้เรียนมา ได้ใช้ประโยชน์จริงๆ
    ก็คือ นำมาใช้ให้คนไทยได้หลง
    จนป่านนี้ ยังมีทุยไทยอีกจำนวนพอสมควร
    ที่ยังไม่ได้ตื่นจากความฝัน จริงๆ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คนไทยโดยต้มตั้งแต่ซีนแรก #สติมาปัญญาจะเกิด ห้วงเวลา ตอนดร็อปเรียน งานไม่มี จากเดิมที่เป็นแดนเซอร์บ้าง เป็นตัวประกอบบ้างแบบปลายแถว ชนิดที่ คนญี่ปุ่นไปเดินถามกี่คนก็ไม่มีชื่อจีกามินในความทรงจำ จนสุดท้าย อายุที่มากขึ้น งานหาย แต่บินไปญี่ปุ่น ติดปาจิงโกะ ไม่มีงานไม่มีเงิน น่าสงสารดราม่า แต่อยู่ที่นั่นได้เป็นเดือนๆ ติดปาจิงโกะหรือสล็อตญี่ปุ่นหนักมาก ถึงขนาดสักตัว นั่นแปลว่า มันไม่คิดจะไปเป็นนักแสดงในวงการแล้ว เกาหลีทีวีเค้าแบน เค้าไม่ชอบ เค้าถือว่าสกปรก เป็นลักษณะสก็อยกิมจิ ถ้าคนที่ติดตามตั้งสติได้ จะเอ๊ะทันที แล้วเขียนสตอรี่ ว่าหาทุนเรียนการแสดง อยากจบโท ไอ้การแสดงนี่ เรียนก็เพื่อเป็นนักแสดง เพราะในวงการไม่สำเร็จ การเรียนโทการแสดงเหมือนใบเบิกทางในเกาหลี ดังนั้นสรุปได้เลยว่า กามิจล้มเลิกอาชีพนักแสดงตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และไม่ได้คิดจะเรียนต่อ และตั้งใจเป็นนักพนันเต็มตัว เหมือนรอยสักที่มีอยู่ในตำแหน่งทั่วตัว แต่พอมีช่องทางที่ ตต. ได้พีเค มีเอเจนซี่ดูแล การสร้างสตอรี่เพื่อเรียกสติ๊กเกอร์จึงเกิดขึ้น แบบนี้ ทุยไหนจะเถียว ว่ามาได้เลย ตอบสิว่า เกาหลีช่องไหน ให้สาวกิมจิที่มีรอยสักแบบนี้แสดงซี่รี่ หรือเป็นนักร้องนักแสดง หรือแม้กระทั่งเป็นแดนเซอร์ แบบที่เคยทำมาหากินก่อนไปญี่ปุ่น ตอนตัวเกลี้ยงๆ ถ้าตอนนี้เค้าจะรับมั๊ย ดังนั้น สภาพแบ๊วๆที่เห็น คือการแสดงอย่างชัดเจน สิ่งที่กามินได้เรียนมา ได้ใช้ประโยชน์จริงๆ ก็คือ นำมาใช้ให้คนไทยได้หลง จนป่านนี้ ยังมีทุยไทยอีกจำนวนพอสมควร ที่ยังไม่ได้ตื่นจากความฝัน จริงๆ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 989 มุมมอง 0 รีวิว
  • ของเล่นใหม่วันที่ 2 เริ่มนั่งไล่เรียบเรียง เรื่องราวที่จะนำมาลงบันทึกไว้ในเพจนี้ไม่ได้คาดหวังในการตอบกลับของเรื่องราวเป็นเพียงสิ่งที่อยากจะบรรยายออกมาจากความทรงจำเพียงเท่านี้
    ของเล่นใหม่วันที่ 2 เริ่มนั่งไล่เรียบเรียง เรื่องราวที่จะนำมาลงบันทึกไว้ในเพจนี้ไม่ได้คาดหวังในการตอบกลับของเรื่องราวเป็นเพียงสิ่งที่อยากจะบรรยายออกมาจากความทรงจำเพียงเท่านี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกไว้เมื่อ 22 ก.ย. 2018 วันนี้เมื่อหกปีก่อน

    เมื่อวานไปธุระบางกะปิ หิวข้าวแต่ยังต้องไปที่อื่นต่อ เลยหาซื้อไวตามิลค์เจแบบขวดวันทูโกกินรองท้อง ขณะยืนดื่มอยู่หน้าถังขยะ ชายอาการเหมือนคนเป็นโรคประสาทอย่างแรง มีผ้าปิดคาดปากเดินหิ้วถุงพลาสติกขนาดใหญ่หลายถุง ตรงรี่มาเปิดฝาถัง นัยว่าจะหาขยะที่รีไซเคิลได้ไปขาย ปากเขาก็พูดเพ้อพร่ำอะไรอยู่คนเดียวไม่หยุด เหมือนกำลังทะเลาะกับใครเรื่องการเมือง

    ความจริงข้าพเจ้าคุ้นหน้าเขามาก เหมือนเคยเห็นแถวละแวกใกล้เคียงสันติอโศกบ่อยๆ แต่คนนั้นเขาไม่มีอาการเหมือนคนนี้ที่พูดเสียงดังคนเดียว หรือคือคนหน้าคล้าย

    ก่อนหน้าเขาจะมาหาขยะในถังตรงจุดที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ เราก็เจอกันแล้วรอบหนึ่ง ที่ฝั่งตรงข้ามถนน แสดงว่ามีวาสนาต่อกัน พอดีข้าพเจ้าดื่มหมดขวด แรกทีเดียวตั้งใจใส่ลงถัง เพราะจะแบกไปด้วยก็หนัก แต่ก็รู้สึกไม่ดีนัก เพราะไปปะปนกับขยะอื่นทั้งที่ควรแยกขายได้

    พอดีอะไรเช่นนี้ ชายผู้มีความไม่ปกติทางจิต มาช่วยได้อย่างเหมาะเจาะ เหมาะใจยิ่งนัก ข้าพเจ้าจึงยื่นขวดเปล่าให้เขาด้วยไมตรี ซึ่งเขาก็เข้าใจ รับหมับทันที ขณะที่ปากยังคงพูดเพ้อไม่หยุดเสียงลั่นจนคนที่รอรถและเดินผ่านไปมาแถวนั้นพากันมองมาด้วยอาการอันหลากหลาย คงคละเคล้าปะปนกันระหว่างปลงสังเวช กับกริ่งเกรงไม่ไว้ใจ

    แต่ข้าพเจ้าสบายตัว สบายใจแล้ว ขยะในมือได้อยู่ถูกที่กับคนที่ต้องการและจะนำไปแลกเป็นรายได้เลี้ยงตัว ไม่ได้ทำให้เกิดขยะส่วนรวมเพิ่ม นับเป็นเรื่องน่ายินดี จึงจากกันด้วยประการฉะนี้เอง

    #บันทึก
    #thaitimes
    #รีไซเคิล
    #ขยะ
    #ขวดแก้ว
    #อาการทางจิต
    #ข้อคิด
    #ความทรงจำ
    บันทึกไว้เมื่อ 22 ก.ย. 2018 วันนี้เมื่อหกปีก่อน เมื่อวานไปธุระบางกะปิ หิวข้าวแต่ยังต้องไปที่อื่นต่อ เลยหาซื้อไวตามิลค์เจแบบขวดวันทูโกกินรองท้อง ขณะยืนดื่มอยู่หน้าถังขยะ ชายอาการเหมือนคนเป็นโรคประสาทอย่างแรง มีผ้าปิดคาดปากเดินหิ้วถุงพลาสติกขนาดใหญ่หลายถุง ตรงรี่มาเปิดฝาถัง นัยว่าจะหาขยะที่รีไซเคิลได้ไปขาย ปากเขาก็พูดเพ้อพร่ำอะไรอยู่คนเดียวไม่หยุด เหมือนกำลังทะเลาะกับใครเรื่องการเมือง ความจริงข้าพเจ้าคุ้นหน้าเขามาก เหมือนเคยเห็นแถวละแวกใกล้เคียงสันติอโศกบ่อยๆ แต่คนนั้นเขาไม่มีอาการเหมือนคนนี้ที่พูดเสียงดังคนเดียว หรือคือคนหน้าคล้าย ก่อนหน้าเขาจะมาหาขยะในถังตรงจุดที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ เราก็เจอกันแล้วรอบหนึ่ง ที่ฝั่งตรงข้ามถนน แสดงว่ามีวาสนาต่อกัน พอดีข้าพเจ้าดื่มหมดขวด แรกทีเดียวตั้งใจใส่ลงถัง เพราะจะแบกไปด้วยก็หนัก แต่ก็รู้สึกไม่ดีนัก เพราะไปปะปนกับขยะอื่นทั้งที่ควรแยกขายได้ พอดีอะไรเช่นนี้ ชายผู้มีความไม่ปกติทางจิต มาช่วยได้อย่างเหมาะเจาะ เหมาะใจยิ่งนัก ข้าพเจ้าจึงยื่นขวดเปล่าให้เขาด้วยไมตรี ซึ่งเขาก็เข้าใจ รับหมับทันที ขณะที่ปากยังคงพูดเพ้อไม่หยุดเสียงลั่นจนคนที่รอรถและเดินผ่านไปมาแถวนั้นพากันมองมาด้วยอาการอันหลากหลาย คงคละเคล้าปะปนกันระหว่างปลงสังเวช กับกริ่งเกรงไม่ไว้ใจ แต่ข้าพเจ้าสบายตัว สบายใจแล้ว ขยะในมือได้อยู่ถูกที่กับคนที่ต้องการและจะนำไปแลกเป็นรายได้เลี้ยงตัว ไม่ได้ทำให้เกิดขยะส่วนรวมเพิ่ม นับเป็นเรื่องน่ายินดี จึงจากกันด้วยประการฉะนี้เอง #บันทึก #thaitimes #รีไซเคิล #ขยะ #ขวดแก้ว #อาการทางจิต #ข้อคิด #ความทรงจำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 941 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หลากเรื่องในชีวิตของชายที่รักหนังสือ

    อ่านจบแล้วต้องรีบระบายความในใจที่มีต่อหนังสือเล่มนี้ทันที ไม่อย่างนั้นคงจะอึดอัด

    ขอใช้ประโยคนี้ที่พิจารณาแล้วเห็นว่าซื่อตรงต่อตนเองมากที่สุดครับ

    "ผมหลงรักเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้"

    เดิมก็คาดการณ์ไว้ตอนตัดสินใจเลือกยืมมาจากห้องสมุด เล่มนี้ต้องดีแน่ คงจะมอบความอิ่มเอมให้เราพอสมควร เชื่ออย่างนั้นเพียงแค่ได้เห็นหน้าปก และชื่อที่ดึงความสนใจได้ชงัดนัก ประกอบกับบางส่วนที่เกริ่นไว้ด้านหลังปก เท่านี้ก็เหมือนเห็นแสงที่อบอุ่นขาวนวล สว่างออกมารอบ ๆ หนังสือ อาจจะเป็นคำบอกเล่าที่ดูเกินจริงไปหน่อย แต่รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เพราะส่วนตัวค่อนข้างจะเปราะบางกับอะไรก็ตามที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับร้านหนังสือและเจ้าของที่ค่อนข้างโดดเดี่ยว

    📚 The Storied Life of A.j.Fikry หรือชื่อไทยว่า
    หลากเรื่องในชีวิตของชายที่รักหนังสือ (ชอบชื่อไทยมาก ตั้งได้ดีจริง)

    แพรวสำนักพิมพ์ ออกมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 ในขณะที่ต้นฉบับขายตั้งแต่ปี 2014 หนาเพียง 216 หน้า

    หลายคนคงเคยอ่านแล้ว แต่น่าจะมีอีกหลายคนที่มีอยู่ในมือแต่ยังไม่ได้อ่าน หวังว่าหลังจากอ่านสิ่งที่ผมเล่าจบแล้ว จะเกิดแรงขับมากพอทำให้คุณรู้สึกอยากหยิบขึ้นมาอ่านได้

    โครงเรื่องจริง ๆ ก็ดังที่ชื่อไทยได้บอกไว้ ชัดเจนและสรุปเนื้อหาทั้งหมดในเล่มออกมาในประโยคเดียวได้อย่างสมบูรณ์ แต่เนื้อหาย่อยที่อยู่ในเล่มนี้สิ ที่แต่ละอย่างล้วนโดนใจทั้งนั้น

    สรุปเนื้อเรื่องคือ

    ชายวัยใกล้สี่สิบคนหนึ่งเป็นเจ้าของร้านหนังสือที่ตั้งอยู่บนเกาะอลิซ เป็นคนที่มีบุคลิกปิด ไม่ชอบสุงสิงใคร เพิ่งสูญเสียเมียอันเป็นที่รักไปไม่นานจากอุบัติเหตุ จึงจ่อมจมอยู่กับความเศร้าเฝ้าร้านที่ยอดขายก็ย่ำแย่ วันหนึ่งมีตัวแทนสาวสวยคนใหม่จาก สนพ.แห่งหนึ่ง เดินทางไกลมาเพื่อจะนำเสนอตัวอย่างหนังสือที่จะออกในช่วงฤดูหนาว และแนะนำเล่มที่น่าสนใจที่น่าจะสั่งมาวางขายในร้าน ให้กับเขาแทนคนเก่าที่เสียชีวิตไป ทว่าเขากลับพูดจาด้วยอย่างหยาบคาย กลายเป็นความทรงจำเลวร้ายต่อเธอที่เพิ่งเริ่มต้นงาน

    หลังจากวันนั้นไม่นาน คืนหนึ่งเขาดื่มหนักมากและฟุบหลับไป เมื่อรู้สึกตัวอีกที ต้องตกใจเพราะของมีค่ามหาศาลชิ้นหนึ่งหายไปจากร้านของเขา จึงไปแจ้งความกับตำรวจหนุ่มใหญ่คนหนึ่งให้ช่วยตามหา เพราะเขากะว่าอีกไม่นานจะขายสมบัติชิ้นนั้นเพื่อนำเงินก้อนมาใช้ หลังจากปิดร้านหนังสือ แต่ตำรวจหาไม่พบ ขณะที่กำลังประสบเคราะห์ร้ายอย่างถึงที่สุด ปรากฏว่ามีสถานการณ์ใหม่ที่ไม่น่าเชื่อบังเกิดขึ้นกับเขาตามมาติด ๆ และการตัดสินใจต่อกรณีนี้ ได้นำพาให้ชีวิตของเขารวมถึงร้านหนังสือที่รักประสบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่จะทำให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

    ตัวละครทุกตัวในเรื่องต่างมีอัตลักษณ์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะตัวละครหญิง ไม่ว่าจะรุ่นเล็ก หรือรุ่นใหญ่ ล้วนแต่มีเสน่ห์ น่าหลงใหล ผู้เขียนช่างสร้างบุคลิก อุปนิสัย และปูมหลังของแต่ละคนได้อย่างยอดเยี่ยม ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งตกหลุมรัก คอยลุ้นเอาใจช่วยไปกับตัวละครแต่ละตัวให้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากไปให้ได้ ยามถึงฉากที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของตัวละครเด่น ก็พลอยตื่นเต้นและอยากให้ทั้งสองฝ่ายต่างสมหวัง บางฉากก็ได้ยิ้งแก้มปริ บางฉากก็ขำ บางฉากก็ซึมเซา เศร้าและเสียดาย สุดท้ายฉากชีวิตของหนุ่มใหญ่เจ้าของร้านหนังสือจะลงเอยอย่างไร ลองไปตามอ่านกันให้ได้นะ

    สำนวนการเขียนของนักเขียนช่างกระชับ จับใจ ในหน้ากระดาษจำกัดเพียง 216 หน้านี้ แทบจะบอกได้ว่าไม่มีเรื่องราวหรือเหตุการณ์ไหน ตัวละครใดที่ถูกใส่เข้ามาอย่างเสียของ ไร้ความหมาย เพียงเป็นตัวประกอบไร้ค่าที่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เพราะแม้จะเพียงแค่ปรากฏมาไม่กี่หน้า แต่ก็มีหน้าที่เฉพาะซึ่งสำคัญต่อการเดินเรื่อง อ่านไปช่วงแรกอาจยังไม่รู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ แต่ยิ่งจำนวนหน้าฝั่งซ้ายเริ่มมากขึ้นจนแซงฝั่งขวา ก็เห็นถึงการวางแผนมาแล้วอย่างดีและใส่ใจในรายละเอียดอย่างมาก สิ่งที่ถูกเริ่มไว้ในตอนต้น ในหลายประเด็น และคาใจให้คนอ่านเหมือนมีอะไรติดค้างอยู่ หากไม่รู้หรือไม่ยอมเฉลยในตอนจบคงต้องนอนไม่หลับแน่ ก็ปรากฏว่านักเขียนได้เปิดจนหมดเปลือก ทว่าใช้วิธีเผยความจริงได้อย่างชาญฉลาด และน่าทึ่ง

    ช่วงต้นอาจจะยังจับทางไม่ถูกก็จะไม่คุ้นชินกับการตัดฉาก ลำดับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนทันใดอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ใช้ย่อหน้าใหม่และอักษรเริ่มต้นประโยคของย่อหน้านั้นที่เป็นสีซีดจางต่างจากบรรทัดถัดไป และดำเนินในลักษณะนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีการแบ่งเป็นบท หรือใส่เลขเพื่อบ่งบอกเมื่อขึ้นฉากหรือสถานการณ์ใหม่ ปล่อยให้คนอ่านได้ใช้สมองอย่างเต็มที่ ว่าอ๋อ..นี่จบเรื่องเหตุการณ์ก่อนหน้าไปแล้ว เริ่มต้นเข้าสู่ช่วงตอนใหม่อย่างปุบปับ อาศัยเพียงคำบรรยายไม่ถึงครึ่งหน้าเพื่อนำให้คิดตาม พอรู้ว่าอยู่ในช่วงเวลาไหน จากนั้นจึงเล่าเรื่องผ่านบทสนทนาของตัวละครหลักในเรื่องต่อไป

    ใช่ นี่คือหนังสือที่เดินหน้าด้วยการเน้นที่บทสนทนาของตัวละครหลักเพียงไม่กี่ตัว โดยมีการบรรยายความเพียงแค่เป็นส่วนประกอบฉาก ไม่มากแต่ทรงพลัง โดยเฉพาะการคั่นจังหวะของแต่ละช่วงตอนของการเล่าเรื่อง ด้วยบันทึกของพ่อที่เขียนให้กับลูกสาว เกี่ยวกับหนังสือเรื่องต่าง ๆ ที่ตนเห็นว่ามีความน่าสนใจ และดีพอที่จะแนะนำต่อให้ลูกไปตามอ่านนั้น เป็นอะไรที่แสนจะน่ารักและน่าประทับใจในคราวเดียว มันทำให้เราได้ประเมินตัวเองเหมือนกัน ว่าฉันคือนักอ่านที่แท้จริงแล้วหรือไม่ โดยดูจากชื่อหนังสือที่พ่อแนะนำให้ลูกอ่านนี้แหละ มีสักกี่เรื่องที่เคยผ่านตาผ่านมือเราแล้วบ้าง และอีกกี่เรื่องที่แค่เคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยอ่าน กี่เรื่องกันที่แม้แต่ชื่อเรื่องยังไม่เคยได้ยิน

    ตลอดทั้งเล่มนี้ นอกจากจะมีหน้าคั่นที่เป็นบันทึกของพ่อแนะนำหนังสือให้ลูกดังได้กล่าวไป ยังมีกล่าวถึงหนังสือหลากหลายประเภท หลายเรื่อง ผ่านบทสนทนากับตัวละครอื่นอยู่เป็นระยะ เรียกได้ว่าอ่านเล่มนี้เพียงเล่มเดียว เราจะได้เปิดโลกเหมือนเข้าไปในร้านหนังสือแห่งหนึ่งจริง ๆ นักอ่านบางคนอาจรู้สึกหงุดหงิดหรือไม่คุ้นเคยกับการเล่าเรื่องลักษณะนี้ ยิ่งไม่เคยรู้จักหรือได้ยินหนังสือที่ถูกเอ่ยถึงเลยในเล่ม คงยิ่งจะอ่านแล้วเหมือนขาดความเชื่อมโยง หรือเกิดความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครในเรื่องได้น้อย แต่เชื่อเถิด ต่อให้คุณไม่เคยได้ยิน ได้อ่าน เรื่องใดเลยที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้ แต่ถ้าได้อ่านไปเรื่อย ๆ จนจบเล่ม สุดท้ายคุณจะพบว่า นี่คือหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง และไม่เพียงแค่ดีเท่านั้น แต่ระหว่างทางหนังสือยังได้สร้างความสุขให้เกิดขึ้นกับเราไม่มากก็น้อย

    สำหรับผมนั้น แน่นอนว่าอ่านด้วยความรู้สึกยินดีมีสุขในทุกหน้า ไม่ว่าเรื่องราวในนั้นจะมีครบ ทั้งสนุกสนาน ได้อมยิ้ม ได้หัวเราะ หรืออาจเศร้าซึมเซาบ้างในบางช่วง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี เพราะนี่แหละคือชีวิต เราจะหวังให้ชีวิตพบเจอแต่สิ่งดีไปตลอดย่อมเป็นไปไม่ได้ ..จริงหรือไม่

    #หนังสือ
    #นิยายแปล
    #ร้านหนังสือ
    #คนรักการอ่าน
    #thaitimes
    #หนังสือน่าอ่าน
    #หลากเรื่องในชีวิตของชายที่รักหนังสือ อ่านจบแล้วต้องรีบระบายความในใจที่มีต่อหนังสือเล่มนี้ทันที ไม่อย่างนั้นคงจะอึดอัด ขอใช้ประโยคนี้ที่พิจารณาแล้วเห็นว่าซื่อตรงต่อตนเองมากที่สุดครับ "ผมหลงรักเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้" เดิมก็คาดการณ์ไว้ตอนตัดสินใจเลือกยืมมาจากห้องสมุด เล่มนี้ต้องดีแน่ คงจะมอบความอิ่มเอมให้เราพอสมควร เชื่ออย่างนั้นเพียงแค่ได้เห็นหน้าปก และชื่อที่ดึงความสนใจได้ชงัดนัก ประกอบกับบางส่วนที่เกริ่นไว้ด้านหลังปก เท่านี้ก็เหมือนเห็นแสงที่อบอุ่นขาวนวล สว่างออกมารอบ ๆ หนังสือ อาจจะเป็นคำบอกเล่าที่ดูเกินจริงไปหน่อย แต่รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เพราะส่วนตัวค่อนข้างจะเปราะบางกับอะไรก็ตามที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับร้านหนังสือและเจ้าของที่ค่อนข้างโดดเดี่ยว 📚 The Storied Life of A.j.Fikry หรือชื่อไทยว่า หลากเรื่องในชีวิตของชายที่รักหนังสือ (ชอบชื่อไทยมาก ตั้งได้ดีจริง) แพรวสำนักพิมพ์ ออกมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 ในขณะที่ต้นฉบับขายตั้งแต่ปี 2014 หนาเพียง 216 หน้า หลายคนคงเคยอ่านแล้ว แต่น่าจะมีอีกหลายคนที่มีอยู่ในมือแต่ยังไม่ได้อ่าน หวังว่าหลังจากอ่านสิ่งที่ผมเล่าจบแล้ว จะเกิดแรงขับมากพอทำให้คุณรู้สึกอยากหยิบขึ้นมาอ่านได้ โครงเรื่องจริง ๆ ก็ดังที่ชื่อไทยได้บอกไว้ ชัดเจนและสรุปเนื้อหาทั้งหมดในเล่มออกมาในประโยคเดียวได้อย่างสมบูรณ์ แต่เนื้อหาย่อยที่อยู่ในเล่มนี้สิ ที่แต่ละอย่างล้วนโดนใจทั้งนั้น สรุปเนื้อเรื่องคือ ชายวัยใกล้สี่สิบคนหนึ่งเป็นเจ้าของร้านหนังสือที่ตั้งอยู่บนเกาะอลิซ เป็นคนที่มีบุคลิกปิด ไม่ชอบสุงสิงใคร เพิ่งสูญเสียเมียอันเป็นที่รักไปไม่นานจากอุบัติเหตุ จึงจ่อมจมอยู่กับความเศร้าเฝ้าร้านที่ยอดขายก็ย่ำแย่ วันหนึ่งมีตัวแทนสาวสวยคนใหม่จาก สนพ.แห่งหนึ่ง เดินทางไกลมาเพื่อจะนำเสนอตัวอย่างหนังสือที่จะออกในช่วงฤดูหนาว และแนะนำเล่มที่น่าสนใจที่น่าจะสั่งมาวางขายในร้าน ให้กับเขาแทนคนเก่าที่เสียชีวิตไป ทว่าเขากลับพูดจาด้วยอย่างหยาบคาย กลายเป็นความทรงจำเลวร้ายต่อเธอที่เพิ่งเริ่มต้นงาน หลังจากวันนั้นไม่นาน คืนหนึ่งเขาดื่มหนักมากและฟุบหลับไป เมื่อรู้สึกตัวอีกที ต้องตกใจเพราะของมีค่ามหาศาลชิ้นหนึ่งหายไปจากร้านของเขา จึงไปแจ้งความกับตำรวจหนุ่มใหญ่คนหนึ่งให้ช่วยตามหา เพราะเขากะว่าอีกไม่นานจะขายสมบัติชิ้นนั้นเพื่อนำเงินก้อนมาใช้ หลังจากปิดร้านหนังสือ แต่ตำรวจหาไม่พบ ขณะที่กำลังประสบเคราะห์ร้ายอย่างถึงที่สุด ปรากฏว่ามีสถานการณ์ใหม่ที่ไม่น่าเชื่อบังเกิดขึ้นกับเขาตามมาติด ๆ และการตัดสินใจต่อกรณีนี้ ได้นำพาให้ชีวิตของเขารวมถึงร้านหนังสือที่รักประสบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่จะทำให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ตัวละครทุกตัวในเรื่องต่างมีอัตลักษณ์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะตัวละครหญิง ไม่ว่าจะรุ่นเล็ก หรือรุ่นใหญ่ ล้วนแต่มีเสน่ห์ น่าหลงใหล ผู้เขียนช่างสร้างบุคลิก อุปนิสัย และปูมหลังของแต่ละคนได้อย่างยอดเยี่ยม ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งตกหลุมรัก คอยลุ้นเอาใจช่วยไปกับตัวละครแต่ละตัวให้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากไปให้ได้ ยามถึงฉากที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของตัวละครเด่น ก็พลอยตื่นเต้นและอยากให้ทั้งสองฝ่ายต่างสมหวัง บางฉากก็ได้ยิ้งแก้มปริ บางฉากก็ขำ บางฉากก็ซึมเซา เศร้าและเสียดาย สุดท้ายฉากชีวิตของหนุ่มใหญ่เจ้าของร้านหนังสือจะลงเอยอย่างไร ลองไปตามอ่านกันให้ได้นะ สำนวนการเขียนของนักเขียนช่างกระชับ จับใจ ในหน้ากระดาษจำกัดเพียง 216 หน้านี้ แทบจะบอกได้ว่าไม่มีเรื่องราวหรือเหตุการณ์ไหน ตัวละครใดที่ถูกใส่เข้ามาอย่างเสียของ ไร้ความหมาย เพียงเป็นตัวประกอบไร้ค่าที่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เพราะแม้จะเพียงแค่ปรากฏมาไม่กี่หน้า แต่ก็มีหน้าที่เฉพาะซึ่งสำคัญต่อการเดินเรื่อง อ่านไปช่วงแรกอาจยังไม่รู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ แต่ยิ่งจำนวนหน้าฝั่งซ้ายเริ่มมากขึ้นจนแซงฝั่งขวา ก็เห็นถึงการวางแผนมาแล้วอย่างดีและใส่ใจในรายละเอียดอย่างมาก สิ่งที่ถูกเริ่มไว้ในตอนต้น ในหลายประเด็น และคาใจให้คนอ่านเหมือนมีอะไรติดค้างอยู่ หากไม่รู้หรือไม่ยอมเฉลยในตอนจบคงต้องนอนไม่หลับแน่ ก็ปรากฏว่านักเขียนได้เปิดจนหมดเปลือก ทว่าใช้วิธีเผยความจริงได้อย่างชาญฉลาด และน่าทึ่ง ช่วงต้นอาจจะยังจับทางไม่ถูกก็จะไม่คุ้นชินกับการตัดฉาก ลำดับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนทันใดอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ใช้ย่อหน้าใหม่และอักษรเริ่มต้นประโยคของย่อหน้านั้นที่เป็นสีซีดจางต่างจากบรรทัดถัดไป และดำเนินในลักษณะนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีการแบ่งเป็นบท หรือใส่เลขเพื่อบ่งบอกเมื่อขึ้นฉากหรือสถานการณ์ใหม่ ปล่อยให้คนอ่านได้ใช้สมองอย่างเต็มที่ ว่าอ๋อ..นี่จบเรื่องเหตุการณ์ก่อนหน้าไปแล้ว เริ่มต้นเข้าสู่ช่วงตอนใหม่อย่างปุบปับ อาศัยเพียงคำบรรยายไม่ถึงครึ่งหน้าเพื่อนำให้คิดตาม พอรู้ว่าอยู่ในช่วงเวลาไหน จากนั้นจึงเล่าเรื่องผ่านบทสนทนาของตัวละครหลักในเรื่องต่อไป ใช่ นี่คือหนังสือที่เดินหน้าด้วยการเน้นที่บทสนทนาของตัวละครหลักเพียงไม่กี่ตัว โดยมีการบรรยายความเพียงแค่เป็นส่วนประกอบฉาก ไม่มากแต่ทรงพลัง โดยเฉพาะการคั่นจังหวะของแต่ละช่วงตอนของการเล่าเรื่อง ด้วยบันทึกของพ่อที่เขียนให้กับลูกสาว เกี่ยวกับหนังสือเรื่องต่าง ๆ ที่ตนเห็นว่ามีความน่าสนใจ และดีพอที่จะแนะนำต่อให้ลูกไปตามอ่านนั้น เป็นอะไรที่แสนจะน่ารักและน่าประทับใจในคราวเดียว มันทำให้เราได้ประเมินตัวเองเหมือนกัน ว่าฉันคือนักอ่านที่แท้จริงแล้วหรือไม่ โดยดูจากชื่อหนังสือที่พ่อแนะนำให้ลูกอ่านนี้แหละ มีสักกี่เรื่องที่เคยผ่านตาผ่านมือเราแล้วบ้าง และอีกกี่เรื่องที่แค่เคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยอ่าน กี่เรื่องกันที่แม้แต่ชื่อเรื่องยังไม่เคยได้ยิน ตลอดทั้งเล่มนี้ นอกจากจะมีหน้าคั่นที่เป็นบันทึกของพ่อแนะนำหนังสือให้ลูกดังได้กล่าวไป ยังมีกล่าวถึงหนังสือหลากหลายประเภท หลายเรื่อง ผ่านบทสนทนากับตัวละครอื่นอยู่เป็นระยะ เรียกได้ว่าอ่านเล่มนี้เพียงเล่มเดียว เราจะได้เปิดโลกเหมือนเข้าไปในร้านหนังสือแห่งหนึ่งจริง ๆ นักอ่านบางคนอาจรู้สึกหงุดหงิดหรือไม่คุ้นเคยกับการเล่าเรื่องลักษณะนี้ ยิ่งไม่เคยรู้จักหรือได้ยินหนังสือที่ถูกเอ่ยถึงเลยในเล่ม คงยิ่งจะอ่านแล้วเหมือนขาดความเชื่อมโยง หรือเกิดความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครในเรื่องได้น้อย แต่เชื่อเถิด ต่อให้คุณไม่เคยได้ยิน ได้อ่าน เรื่องใดเลยที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้ แต่ถ้าได้อ่านไปเรื่อย ๆ จนจบเล่ม สุดท้ายคุณจะพบว่า นี่คือหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง และไม่เพียงแค่ดีเท่านั้น แต่ระหว่างทางหนังสือยังได้สร้างความสุขให้เกิดขึ้นกับเราไม่มากก็น้อย สำหรับผมนั้น แน่นอนว่าอ่านด้วยความรู้สึกยินดีมีสุขในทุกหน้า ไม่ว่าเรื่องราวในนั้นจะมีครบ ทั้งสนุกสนาน ได้อมยิ้ม ได้หัวเราะ หรืออาจเศร้าซึมเซาบ้างในบางช่วง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี เพราะนี่แหละคือชีวิต เราจะหวังให้ชีวิตพบเจอแต่สิ่งดีไปตลอดย่อมเป็นไปไม่ได้ ..จริงหรือไม่ #หนังสือ #นิยายแปล #ร้านหนังสือ #คนรักการอ่าน #thaitimes #หนังสือน่าอ่าน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1786 มุมมอง 0 รีวิว
  • การใช้งานเมนูนำทางในแอป Thaitimes

    ในแอป Thaitimes การเข้าถึงเนื้อหาต่าง ๆ สามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านเมนูนำทางที่อยู่ทางมุมซ้ายบนของหน้าจอ ซึ่งเป็น ไอคอนขีดสามขีด (Hamburger Menu) เมื่อกดที่ไอคอนนี้ เมนูจะขยายออกมาให้คุณสามารถเลือกสำรวจเนื้อหาหรือฟังก์ชันต่าง ๆ ได้ทันที

    - News Feed (ฟีดข่าว): คุณสามารถดูโพสต์ล่าสุดจากเพื่อนหรือเพจที่คุณติดตาม
    รวมถึงโพสต์ยอดนิยมผ่านตัวเลือกเหล่านี้:
    - Recent Updates: แสดงโพสต์ที่อัปเดตล่าสุด
    - Popular Posts: โพสต์ที่ได้รับความนิยมและการตอบรับสูง
    - Discover Posts: ค้นหาและสำรวจโพสต์ใหม่ ๆ จากผู้ใช้ที่คุณอาจไม่เคยติดตามมาก่อน

    - Saved Posts (โพสต์ที่บันทึกไว้): ตรวจสอบโพสต์ที่คุณเคยบันทึกไว้เพื่อกลับมาดูภายหลัง

    - Memories (ความทรงจำ): ดูโพสต์เก่าหรือเนื้อหาที่คุณเคยโพสต์ในช่วงวันเดียวกันในอดีต

    - Explore (สำรวจเนื้อหา): คุณสามารถสำรวจและเข้าถึงเนื้อหาต่าง ๆ ผ่านฟังก์ชันต่อไปนี้:
    - People: ค้นหาผู้ใช้คนอื่นในแอป
    - Pages: ดูเพจต่าง ๆ ที่คุณสนใจและเลือกติดตามเพจ
    - Groups: เข้าร่วมกลุ่มที่สนใจเพื่อสนทนาและแชร์เนื้อหา
    - Events: ตรวจสอบกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้น
    - Watch: ดูวิดีโอที่ถูกโพสต์ในแพลตฟอร์ม

    เมนูเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย และช่วยให้ทุกท่านเข้าถึงเนื้อหาในแอป Thaitimes ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
    การใช้งานเมนูนำทางในแอป Thaitimes ในแอป Thaitimes การเข้าถึงเนื้อหาต่าง ๆ สามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านเมนูนำทางที่อยู่ทางมุมซ้ายบนของหน้าจอ ซึ่งเป็น ไอคอนขีดสามขีด (Hamburger Menu) เมื่อกดที่ไอคอนนี้ เมนูจะขยายออกมาให้คุณสามารถเลือกสำรวจเนื้อหาหรือฟังก์ชันต่าง ๆ ได้ทันที - News Feed (ฟีดข่าว): คุณสามารถดูโพสต์ล่าสุดจากเพื่อนหรือเพจที่คุณติดตาม รวมถึงโพสต์ยอดนิยมผ่านตัวเลือกเหล่านี้: - Recent Updates: แสดงโพสต์ที่อัปเดตล่าสุด - Popular Posts: โพสต์ที่ได้รับความนิยมและการตอบรับสูง - Discover Posts: ค้นหาและสำรวจโพสต์ใหม่ ๆ จากผู้ใช้ที่คุณอาจไม่เคยติดตามมาก่อน - Saved Posts (โพสต์ที่บันทึกไว้): ตรวจสอบโพสต์ที่คุณเคยบันทึกไว้เพื่อกลับมาดูภายหลัง - Memories (ความทรงจำ): ดูโพสต์เก่าหรือเนื้อหาที่คุณเคยโพสต์ในช่วงวันเดียวกันในอดีต - Explore (สำรวจเนื้อหา): คุณสามารถสำรวจและเข้าถึงเนื้อหาต่าง ๆ ผ่านฟังก์ชันต่อไปนี้: - People: ค้นหาผู้ใช้คนอื่นในแอป - Pages: ดูเพจต่าง ๆ ที่คุณสนใจและเลือกติดตามเพจ - Groups: เข้าร่วมกลุ่มที่สนใจเพื่อสนทนาและแชร์เนื้อหา - Events: ตรวจสอบกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้น - Watch: ดูวิดีโอที่ถูกโพสต์ในแพลตฟอร์ม เมนูเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย และช่วยให้ทุกท่านเข้าถึงเนื้อหาในแอป Thaitimes ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
    Like
    Love
    Haha
    10
    2 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1413 มุมมอง 1 รีวิว
  • รูปพ่อหนุ่มสุดหล่อ พี่เจเจ เก็บไว้ดูเป็นความทรงจำ
    รูปพ่อหนุ่มสุดหล่อ พี่เจเจ เก็บไว้ดูเป็นความทรงจำ
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • TEXAS CHICKEN อำลาไทย

    ร้านไก่ทอดเท็กซัส ชิคเก้น (Texas Chicken) หนึ่งในธุรกิจนอนออยล์ของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ปิดตัวลงทุกสาขาในวันที่ 30 ก.ย. 2567 นับเป็นการปิดตำนานร้านไก่ทอดสัญชาติอเมริกันที่ที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก สร้างความทรงจำให้กับผู้บริโภคมานานถึง 9 ปี โดยข้อมูล ณ ไตรมาส 2 ปี 2567 พบว่าเหลือ 97 สาขา ลดลงจากเมื่อไตรมาส 4 ปี 2566 ที่มี 100 สาขา และไตรมาส 4 ปี 2565 ที่มี 107 สาขา

    นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โออาร์ ระบุว่า อยู่ระหว่างทบทวนและปรับปรุงการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ที่ได้เข้าไปลงทุนก่อนหน้านี้ เพื่อประเมินความเหมาะสม และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เป้าหมายในอนาคต รวมถึงกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B)

    "โออาร์ได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ และได้พิจารณายุติการดำเนินธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น โดยคาดว่าจะทยอยปิดทุกสาขาภายในเดือน ก.ย. นี้ โดยยังคงมุ่งมั่นแสวงหาโอกาสและพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มต่อไป"

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2558 บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามสัญญาการให้สิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ เท็กซัสชิคเก้น กับ Cajun Global LLC ก่อนเปิดสาขาแรกที่ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2558 สร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยการจำหน่ายชุดไก่ทอดพร้อมเครื่องดื่มรีฟิล ทำให้แบรนด์ใหญ่อย่างเคเอฟซีถึงกับลงมาทำเครื่องดื่มรีฟิลแข่งกัน นอกจากนี้ ยังมีเมนูขนมหวานอย่างฮันนี่บิสกิตอันเป็นเอกลักษณ์อีกด้วย

    ในระยะแรกร้านเท็กซัสชิคเก้นได้เปิดสาขาในศูนย์การค้าเป็นหลัก ก่อนที่แบรนด์จะเป็นที่ยอมรับและเปิดสาขาในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ในเวลาต่อมา จากนั้น ปตท. ได้แยกธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและค้าปลีกออกมาเป็นบริษัทใหม่อย่างโออาร์ ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2564 ทำให้ร้านเท็กซัส ชิคเก้น ในประเทศไทย จึงถูกรวมเข้าไปในกลุ่มธุรกิจ F&B ของโออาร์

    แหล่งข่าวรายหนึ่งระบุว่า แม้ร้านเท็กซัส ชิคเก้นจะทำกำไร แต่ไม่ถึงเป้าพอที่จะต่อสัญญากับได้ โดยประเมินว่าหากต่อสัญญาแล้วเดินหน้าธุรกิจต่ออาจไม่คุ้ม นอกจากนี้ อดีตผู้บริหาร ปตท. ที่เคยเป็นแม่งานสำคัญอย่าง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ที่เคยผลักดันธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น สมัยดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน ได้ออกจากตำแหน่งไปแล้ว

    #Newskit #TexasChicken #OR
    TEXAS CHICKEN อำลาไทย ร้านไก่ทอดเท็กซัส ชิคเก้น (Texas Chicken) หนึ่งในธุรกิจนอนออยล์ของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ปิดตัวลงทุกสาขาในวันที่ 30 ก.ย. 2567 นับเป็นการปิดตำนานร้านไก่ทอดสัญชาติอเมริกันที่ที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก สร้างความทรงจำให้กับผู้บริโภคมานานถึง 9 ปี โดยข้อมูล ณ ไตรมาส 2 ปี 2567 พบว่าเหลือ 97 สาขา ลดลงจากเมื่อไตรมาส 4 ปี 2566 ที่มี 100 สาขา และไตรมาส 4 ปี 2565 ที่มี 107 สาขา นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โออาร์ ระบุว่า อยู่ระหว่างทบทวนและปรับปรุงการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ที่ได้เข้าไปลงทุนก่อนหน้านี้ เพื่อประเมินความเหมาะสม และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เป้าหมายในอนาคต รวมถึงกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) "โออาร์ได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ และได้พิจารณายุติการดำเนินธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น โดยคาดว่าจะทยอยปิดทุกสาขาภายในเดือน ก.ย. นี้ โดยยังคงมุ่งมั่นแสวงหาโอกาสและพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มต่อไป" ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2558 บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามสัญญาการให้สิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ เท็กซัสชิคเก้น กับ Cajun Global LLC ก่อนเปิดสาขาแรกที่ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2558 สร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยการจำหน่ายชุดไก่ทอดพร้อมเครื่องดื่มรีฟิล ทำให้แบรนด์ใหญ่อย่างเคเอฟซีถึงกับลงมาทำเครื่องดื่มรีฟิลแข่งกัน นอกจากนี้ ยังมีเมนูขนมหวานอย่างฮันนี่บิสกิตอันเป็นเอกลักษณ์อีกด้วย ในระยะแรกร้านเท็กซัสชิคเก้นได้เปิดสาขาในศูนย์การค้าเป็นหลัก ก่อนที่แบรนด์จะเป็นที่ยอมรับและเปิดสาขาในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ในเวลาต่อมา จากนั้น ปตท. ได้แยกธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและค้าปลีกออกมาเป็นบริษัทใหม่อย่างโออาร์ ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2564 ทำให้ร้านเท็กซัส ชิคเก้น ในประเทศไทย จึงถูกรวมเข้าไปในกลุ่มธุรกิจ F&B ของโออาร์ แหล่งข่าวรายหนึ่งระบุว่า แม้ร้านเท็กซัส ชิคเก้นจะทำกำไร แต่ไม่ถึงเป้าพอที่จะต่อสัญญากับได้ โดยประเมินว่าหากต่อสัญญาแล้วเดินหน้าธุรกิจต่ออาจไม่คุ้ม นอกจากนี้ อดีตผู้บริหาร ปตท. ที่เคยเป็นแม่งานสำคัญอย่าง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ที่เคยผลักดันธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น สมัยดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน ได้ออกจากตำแหน่งไปแล้ว #Newskit #TexasChicken #OR
    Like
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1042 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนังสือดีที่อยากแนะนำ

    รวบรวมจากคอลัมน์สายน้ำและความทรงจำ ที่เคยตีพิมพ์ลงในนิตยสารแพรวในอดีต ทั้งหมด 16 เรื่อง ของคุณธีรภาพ โลหิตกุล

    แนวสารคดีที่กล่าวถึงวิถีผู้คนในย่านพื้นถิ่นของแต่ละภูมิภาคทั่วประเทศ การดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายกับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ภาพประกอบสีสวยงามกระดาษอาร์ตกว่า 10 แผ่น ช่วงเนื้อหาเป็นกระดาษกรีนรีดถนอมสายตา มีภาพลายเส้นสวยงามประกอบมากมายตลอดเล่ม

    ปกแข็งอาบมัน สันโค้ง

    ราคาหน้าปก 240 บาท ขาย 200 ถ้วนรวมส่ง

    🟢 เป็นหนังสือใหม่
    สนใจแจ้งใต้โพสต์ หรือส่งข้อความมาได้ครับ
    มีจำนวนจำกัด

    เงินทุกบาทเข้าบัญชี มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน

    #หนังสือ
    #สารคดี
    #หนังสือสารคดี
    #สายน้ำและความทรงจำ
    #ธีรภาพโลหิตกุล
    #thaitimes
    หนังสือดีที่อยากแนะนำ รวบรวมจากคอลัมน์สายน้ำและความทรงจำ ที่เคยตีพิมพ์ลงในนิตยสารแพรวในอดีต ทั้งหมด 16 เรื่อง ของคุณธีรภาพ โลหิตกุล แนวสารคดีที่กล่าวถึงวิถีผู้คนในย่านพื้นถิ่นของแต่ละภูมิภาคทั่วประเทศ การดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายกับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ภาพประกอบสีสวยงามกระดาษอาร์ตกว่า 10 แผ่น ช่วงเนื้อหาเป็นกระดาษกรีนรีดถนอมสายตา มีภาพลายเส้นสวยงามประกอบมากมายตลอดเล่ม ปกแข็งอาบมัน สันโค้ง ราคาหน้าปก 240 บาท ขาย 200 ถ้วนรวมส่ง 🟢 เป็นหนังสือใหม่ สนใจแจ้งใต้โพสต์ หรือส่งข้อความมาได้ครับ มีจำนวนจำกัด เงินทุกบาทเข้าบัญชี มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน #หนังสือ #สารคดี #หนังสือสารคดี #สายน้ำและความทรงจำ #ธีรภาพโลหิตกุล #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 391 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เห็นจะเป็นเพราะรัก
    #มนันยา
    #เรื่องสั้น
    #ของขวัญ
    #ของขวัญวันคริสต์มาส
    #thaitimes
    #หนังสือน่าอ่าน

    วันก่อนอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นรวมเรื่องสั้นแนวความรัก ในเล่มมี 27 เรื่องแปลจากฝั่งตะวันตกโดยสำนวนของมนันยา มีภาพประกอบสีสวยการ์ตูนแฟชั่นทุกเรื่อง เกือบทุกเรื่องเป็นรักของชายหญิงหลากหลายอาชีพ หลายวัย ที่มีรูปแบบการแสดงออกอย่างชาวตะวันตก ซึ่งส่วนตัวไม่ได้อินมากด้วยความที่แต่ละเรื่องไม่ยาวเท่าไร จึงไม่มีรายละเอียดมากพอจะทำให้รู้สึกเอาใจช่วยไปกับตัวละครในเรื่องนัก มีที่ชอบอยู่บ้าง แต่มีเรื่องหนึ่งประทับใจมากเป็นพิเศษ ทั้งที่ในเนื้อหานั้นไม่มีความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่ดิ้นรนแสวงหาคนเพื่อมาอยู่ข้างกายเลย แต่ความรักที่ปรากฏในเรื่องนี้ช่างงดงามและสร้างพลัง ช่วยชุบชูจิตใจให้รู้สึกอบอุ่น และมีหวังต่อโลกใบนี้ขึ้นมาไม่น้อย

    ตอนดังกล่าวนี้คือเรื่องแรกของเล่มที่มีชื่อว่า ของขวัญ

    เรื่องมีว่า ชายสูงวัยที่สูญเสียเมียที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีไป ทำให้เขาทนอยู่บ้านเดิมหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำกับเธอไม่ได้ จึงขายแล้วย้ายมาซื้อบ้านหลังเล็กสำหรับคนเดียว ในตำบลอันห่างไกลริมชายฝั่งซึ่งไร้คนรู้จัก ชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ชอบร่วมกิจกรรมเข้าสังคมโดยเฉพาะในวันคริสต์มาสและช่วงเทศกาลที่เขาไม่ชอบอย่างยิ่ง เห็นเป็นความสิ้นเปลือง มีแต่กินแล้วก็มอบของขวัญให้กัน ทำให้ห่างไกลใจความสำคัญและความหมายแท้จริง เขาไม่เห็นด้วยกับการให้ของตามใจที่เด็กอยากได้ เพราะสร้างนิสัยให้เด็กคิดว่าต้องได้ของขวัญเสมอในวันคริสต์มาส เขาบอกตัวเองว่าไม่ได้เกลียดวันคริสต์มาสอย่างตาเฒ่าสครูจใน A Christmas Carol จนวิญญาณเพื่อนเก่าที่ตายไปชื่อ เจค็อบ มาร์เลย์ ต้องมาเตือน

    วันคริสต์มาสที่จะมาถึงในคืนนั้น ช่วงกลางวันเขาออกไปซื้อของที่สโตร์ห่างไปไม่ไกล ซึ่งคุ้นเคยกับหญิงเจ้าของร้านอยู่บ้างเพราะต้องมาซื้อข้าวของบ่อย ตอนเดินเข้าไปหญิงเจ้าของร้านยิ้มแย้มต้อนรับ ชวนคุยเกี่ยวกับหุ่นจำลองนกแก้วขนาดยักษ์ที่แขวนห้อยอยู่บนเพดานกลางร้านซึ่งมีสีสันสดสวยและปีกยาวใหญ่ เธอบอกว่าจะให้เป็นของขวัญคริสต์มาส สำหรับผู้ที่ซื้อของปอนด์หนึ่งจะได้รับการเขียนชื่อไว้จับสลาก1 ใบ แล้วเธอจะเขียนชื่อลงในบัตรให้เขาด้วย ชายชราที่นึกรังเกียจเจ้านกยักษ์จำต้องเออออไปกับเธอ บอกว่าเขาเป็นคนไร้โชคมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยถูกรางวัลใด ๆ คงไม่มีหวังหรอก

    หลังเขากลับมาบ้านและกำลังพักผ่อนตามสบายนั้น โทรศัพท์จากหญิงเจ้าของร้านดังขึ้น เมื่อเขารับ เธอบอกด้วยความดีใจว่าเขาต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าชื่อที่จับสลากได้นกแก้วตัวนั้นก็คือเขา เธอขอให้เขาขับรถมานำของขวัญกลับบ้าน นี่เป็นเหมือนทุกขลาภที่ตนไม่อยากได้แต่ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจ ด้วยเธอคือบุคคลหนึ่งในจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่คนที่เขารู้จัก ต้องรักษาความเป็นเพื่อนที่ดีไว้ จึงจำใจขับรถกลับไปรับนกแก้วยักษ์ขนาด 6 ฟุตตัวนั้น เมื่อเอาเข้าไปไว้ในรถก็เต็มที่ว่างจนชนกระจก เขาใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะกำจัดมันได้อย่างไร จะเอาทิ้งทันทีไม่ได้แน่ของใหญ่อย่างนี้ ไม่นานจะรู้ถึงหูเจ้าของร้าน

    ในที่สุดเขานึกออก ตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าไปสถานเลี้ยงเด็กซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยร่วมอยู่ในที่ประชุม และมีคนเสนอให้ขายที่ดินว่างเปล่า แต่เขาคัดค้านเพราะจะทำให้เด็ก ๆ ไม่มีพื้นที่วิ่งเล่น เมื่อไปถึงสถานเลี้ยงเด็ก ผู้ดูแลหญิงเอ่ยทักทาย เธอจำได้ว่าชายชราคือบุคคลหนึ่งซึ่งช่วยให้เด็ก ๆ ยังมีพื้นที่กลางแจ้งไว้สันทนาการ เขารีบบอกว่านำนกแก้วยักษ์มามอบให้เป็นของขวัญคริสต์มาสแก่เด็ก ๆ (ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัวมาก่อน) แต่ผู้ดูแลสาวจำต้องกล่าวปฏิเสธ แม้จะซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเขามากเพราะนกนั้นตัวใหญ่เกินไป

    เธอเล่าว่าถ้าเป็นไก่งวงตัวใหญ่ที่กินได้จะรีบรับไว้เลย ด้วยเหตุว่าทางสถานเลี้ยงเด็กไม่มีเงินมากพอจะจัดอาหารเลี้ยงในคืนวันคริสต์มาส ชายชราจึงควักธนบัตรหลายใบที่มีมูลค่ามากพอสมควรยื่นให้ผู้ดูแล พร้อมบอกว่าขอเป็นเจ้าภาพอุปการะการกินเลี้ยงของเด็ก แม้นเธอจะไม่กล้ารับแต่เขายืนยันบอกว่าตนเองมีพอไม่เดือดร้อน และกำชับว่าช่วยจัดอาหารดี ๆ ให้พวกเขาด้วย สุขสันต์วันคริสต์มาสนะ แล้วแบกนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถ ขับต่อไปพลางคิดว่าจะกำจัดมันไปที่ไหนดี

    เขานึกถึงโรงเรียนอนุบาล เด็กเล็กต้องชอบแน่เขามั่นใจ จึงมุ่งหน้าไปถึงโรงเรียน จอดรถและแบกนกยักษ์เข้าไป เขามองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงจึงตรงเข้าไปถามว่าเธอคือครูใช่ไหม หญิงสาวบอกชื่อและทักทายชายชรา เธอจำได้ว่าเขาคือคนบริจาคเงินให้โรงเรียนตอนที่จัดซื้อรถมินิบัส เขาแปลกใจที่มีคนจำเรื่องนั้นได้ ความจริงเขาทราบจากหญิงเจ้าของร้านขายของว่าโรงเรียนลำบากในการเดินทางพาเด็กไปว่ายน้ำในสระที่อยู่อีกตำบลซึ่งห่างไกล เขาจำได้ว่าตอนเมียยังมีชีวิตมักพูดว่าถ้าชาวบ้านช่วยโรงเรียนได้ก็ควรช่วย เขาจึงบริจาคช่วยไปโดยไม่คิดอะไร

    ครูสาวจำต้องปฏิเสธนกแก้วยักษ์เช่นกัน เธอบอกว่าโรงเรียนคับแคบไม่มีที่พอจะแขวน ลำพังเด็ก35คนวิ่งไปมาก็แทบแย่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ชายชราจะขนนกกลับ เด็กหลายคนมองมาเห็นเข้าจึงพากันเข้ามารุมล้อมชื่นชมนกแก้วตัวใหญ่ด้วยแววตาเป็นประกาย พลางแข่งกันถามมากมายเช่นว่า

    มันกัดไหมค่ะ

    มันบินได้หรือเปล่าฮะ

    ขอผมดูหน่อย

    ขอหนูจับหน่อยนะคะ

    นุ่มไหมฮะ

    ที่สุดครูก็ไม่สามารถจะห้ามเด็กได้ จึงยอมให้เขานำนกเข้าไปในห้องเรียนครู่หนึ่งเพื่อให้เด็กทุกคนได้ชื่นชม จับต้อง เด็กกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่

    " ซ้วยสวย.. ตัวมันใหญ่นะ.."

    ครูสาวถือโอกาสสอนเรื่องสีโดยถามเด็ก ๆ ว่าส่วนต่าง ๆ ของนกแก้วสีอะไรบ้าง เด็กแต่ละคนพยายามหน่วงเหนี่ยวเวลาให้เขาอยู่นานที่สุด โดยเรียกไปชมต้นไม้ที่เขาทำ งานประดิษฐ์ที่อยากอวด ชายชราชมของทุกชิ้นของเด็ก ๆ ก่อนจะนำนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถและนึกหาสถานที่ใหม่ จะมีที่ไหนอีกหนอ

    เขานึกได้ถึงหญิงที่รับจ้างซักรีดให้ตนที่ยากจนและมีลูก 2 คน เมื่อไปถึงบ้านของเธอก็ได้พบว่าเล็กยังกับรูหนู ไม่มีทางเลยที่จะมีที่ให้แขวนนกได้ แม่ของเด็กพูดว่า จะเป็นของอะไรก็ดีทั้งนั้นถ้าวางใต้ต้นคริสต์มาส แต่สามีเธอตกงานมา 3 สัปดาหืแล้ว เธอพยายามหาเงินจนพอซื้อไก่งวงตัวหนึ่ง และวัตถุดิบทำพายได้สัก 2-3 ชิ้น นั่นคือทั้งหมดที่พอจะมีในคืนคริสต์มาสนี้ สามีไม่ยอมให้กู้ยืมใคร ลูกทั้งสองอยากได้จักรยานมานาน แต่เธอต้องสอนให้เขารู้ว่าการอยากได้ กับการได้รับนั้นต่างกัน

    ชายชราบอกว่าเด้กสองคนนิสัยดี สภาพ มักวิ่งมาเปิดประตูรถให้เขาเสมอ ให้เขาเป็นซานต้าให้เด็ก ๆ แล้วกัน พลางหยิบสมุดเช็กออกมาเขียน บอกกับคนเป็นแม่ว่า ซื้อจักรยานดี ๆ ที่เขาอยากได้ให้พวกเด็กคนละคันนะ หญิงสาวไม่กล้ารับ บอกว่าสามีเธอไม่ชอบให้รับบริจาค เขาเกลียดการขอ ชายชราตัดบทว่าเหลวไหล ให้บอกสามีว่าเขาเป็นคนเคี่ยวเข็ยเองให้รับ เพราะเขาไม่มีลูกเลย จากนั้นก็แบกนกแก้วยักษ์ยัดกลับเข้ารถตรงกลับบ้าน บัดนี้เขาไม่รู้จะเอามันไปให้ใคร ไม่สนใจแล้วว่าเจ้าของร้านที่ให้นกมาจะคิดอย่างไร เขาจะเอามันไปโยนลงถังขยะ แต่ถังก้เล้กเกิน เขาจึงจำใจเอานกตัวนั้นกลับบ้านวางกองไว้ในห้องรับแขก พรุ่งนี้ค่อยหาทาง

    เขาพักผ่อนกินของว่าง ชงกาแฟดื่ม ขระที่ดวงตานกยักษืมองจ้องมาตลอดเวลา สุดท้ายเขาจึงคิดว่าปล่อยมันบนพื้นอย่างนี้คงไม่ดี เพราะไม่อยากถูกจ้อง จึงทำห่วงแล้วเอามันห้อยแขวนไว้ชั่วคราว แล้วเขาก้ได้ยินเสียงบางอย่างนอกบ้าน มองออกไปเห็นรถสถานเลี้ยงเด็กมาจอด เด็ก ๆ กรูลงมายืนร้องเพลง โอ ลิตเติลทาวน์ ออฟ เบธเลเฮม ทำเอาหัวใจเขาแปลบ จึงเปิดประตูให้เด็ก ๆ เข้ามา เด็ก ๆ ร้องไซเลนไนท์ ต่อด้วย วี วิช ยู เอ เมอร์รี คริสต์มาส ชายชราสั่งน้ำมูก ผู้ดูแลบอกว่าเด็ก ๆ อยากมาร้องเพลงเพื่อขอบคุณ ทุกคนเข้าไปจับนกที่ห้อยอยู่ก่อนจะกลับ

    ครู่เดียวต่อมา เด็กชายสองคนมาเคาะประตุด้วยความตื่นเต้น เขาเอาพายมาให้ชายชราพร้อมบอกว่า สวัสดีวันคริสต์มาส แม่เด็กยืนโบกมืออยู่ตรงรั้วและกล่าวประโยคเดียวกับลูกของเธอ ชายชราก้มลงบอกว่า หวังว่าวานต้าจะนำของที่หนุอยากได้มาให้นะ แล้วก็ฉงนใจตัวเองนี่เขากำลังทำให้เด็กเกิดความโลภหรือไม่

    เขากลับเข้าบ้านพร้อมจานพานในมือ คุยกับนกแก้วยักษืว่าเสียใจด้วยนะที่แกกินไม่ได้ ต่อจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูอีก คุรครูจากโรงเรียนอนุบาลและเด็ก 4 คน เธอบอกว่าเด็ก ๆ อยากทำอะไรเพื่อให้เขารู้ว่านกแก้วตัวนั้นวิเศษเพียงใดก้เลยวาดรูปมาให้ แล้วก็สวัสดีวันคริสต์มาส ชายชราซาบซึ้งบอกว่าเข้ามาก่อนสิ เขาจะเอาภาพติดฝาผนัง

    เด็กหญิงคนหนึ่งเข้าไปยืนหน้านก ชื่นชมว่านกสวยอย่างไร และแกใช้ทุกสีในการวาด ถึงตอนครูจะพากลับ เด็กหญิงหันมาเปรยบอกหูคิดว่ามันอยากเป็นเพื่อนกับหนู ชายชราเห็นด้วย เด็กหญิงพูดต่อว่า ถ้าจะเป็นเพื่อนกันก็ต้องรู้จักชื่อด้วย ชายชรานิ่งอึ้ง หันไปมองเจ้านกแก้วยักษ์ เหมือนมันจะมองตอบแล้วส่งกระแสอะไรบางอย่าง เขาคิดว่ารู้แล้วว่านกชื่ออะไรจึงยิ้มให้เด็กน้อย พลางตอบว่า

    มันชื่อเจค็อบจ้ะ ..เจค็อบ มาร์เลย์
    #เห็นจะเป็นเพราะรัก #มนันยา #เรื่องสั้น #ของขวัญ #ของขวัญวันคริสต์มาส #thaitimes #หนังสือน่าอ่าน วันก่อนอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นรวมเรื่องสั้นแนวความรัก ในเล่มมี 27 เรื่องแปลจากฝั่งตะวันตกโดยสำนวนของมนันยา มีภาพประกอบสีสวยการ์ตูนแฟชั่นทุกเรื่อง เกือบทุกเรื่องเป็นรักของชายหญิงหลากหลายอาชีพ หลายวัย ที่มีรูปแบบการแสดงออกอย่างชาวตะวันตก ซึ่งส่วนตัวไม่ได้อินมากด้วยความที่แต่ละเรื่องไม่ยาวเท่าไร จึงไม่มีรายละเอียดมากพอจะทำให้รู้สึกเอาใจช่วยไปกับตัวละครในเรื่องนัก มีที่ชอบอยู่บ้าง แต่มีเรื่องหนึ่งประทับใจมากเป็นพิเศษ ทั้งที่ในเนื้อหานั้นไม่มีความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่ดิ้นรนแสวงหาคนเพื่อมาอยู่ข้างกายเลย แต่ความรักที่ปรากฏในเรื่องนี้ช่างงดงามและสร้างพลัง ช่วยชุบชูจิตใจให้รู้สึกอบอุ่น และมีหวังต่อโลกใบนี้ขึ้นมาไม่น้อย ตอนดังกล่าวนี้คือเรื่องแรกของเล่มที่มีชื่อว่า ของขวัญ เรื่องมีว่า ชายสูงวัยที่สูญเสียเมียที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีไป ทำให้เขาทนอยู่บ้านเดิมหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำกับเธอไม่ได้ จึงขายแล้วย้ายมาซื้อบ้านหลังเล็กสำหรับคนเดียว ในตำบลอันห่างไกลริมชายฝั่งซึ่งไร้คนรู้จัก ชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ชอบร่วมกิจกรรมเข้าสังคมโดยเฉพาะในวันคริสต์มาสและช่วงเทศกาลที่เขาไม่ชอบอย่างยิ่ง เห็นเป็นความสิ้นเปลือง มีแต่กินแล้วก็มอบของขวัญให้กัน ทำให้ห่างไกลใจความสำคัญและความหมายแท้จริง เขาไม่เห็นด้วยกับการให้ของตามใจที่เด็กอยากได้ เพราะสร้างนิสัยให้เด็กคิดว่าต้องได้ของขวัญเสมอในวันคริสต์มาส เขาบอกตัวเองว่าไม่ได้เกลียดวันคริสต์มาสอย่างตาเฒ่าสครูจใน A Christmas Carol จนวิญญาณเพื่อนเก่าที่ตายไปชื่อ เจค็อบ มาร์เลย์ ต้องมาเตือน วันคริสต์มาสที่จะมาถึงในคืนนั้น ช่วงกลางวันเขาออกไปซื้อของที่สโตร์ห่างไปไม่ไกล ซึ่งคุ้นเคยกับหญิงเจ้าของร้านอยู่บ้างเพราะต้องมาซื้อข้าวของบ่อย ตอนเดินเข้าไปหญิงเจ้าของร้านยิ้มแย้มต้อนรับ ชวนคุยเกี่ยวกับหุ่นจำลองนกแก้วขนาดยักษ์ที่แขวนห้อยอยู่บนเพดานกลางร้านซึ่งมีสีสันสดสวยและปีกยาวใหญ่ เธอบอกว่าจะให้เป็นของขวัญคริสต์มาส สำหรับผู้ที่ซื้อของปอนด์หนึ่งจะได้รับการเขียนชื่อไว้จับสลาก1 ใบ แล้วเธอจะเขียนชื่อลงในบัตรให้เขาด้วย ชายชราที่นึกรังเกียจเจ้านกยักษ์จำต้องเออออไปกับเธอ บอกว่าเขาเป็นคนไร้โชคมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยถูกรางวัลใด ๆ คงไม่มีหวังหรอก หลังเขากลับมาบ้านและกำลังพักผ่อนตามสบายนั้น โทรศัพท์จากหญิงเจ้าของร้านดังขึ้น เมื่อเขารับ เธอบอกด้วยความดีใจว่าเขาต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าชื่อที่จับสลากได้นกแก้วตัวนั้นก็คือเขา เธอขอให้เขาขับรถมานำของขวัญกลับบ้าน นี่เป็นเหมือนทุกขลาภที่ตนไม่อยากได้แต่ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจ ด้วยเธอคือบุคคลหนึ่งในจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่คนที่เขารู้จัก ต้องรักษาความเป็นเพื่อนที่ดีไว้ จึงจำใจขับรถกลับไปรับนกแก้วยักษ์ขนาด 6 ฟุตตัวนั้น เมื่อเอาเข้าไปไว้ในรถก็เต็มที่ว่างจนชนกระจก เขาใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะกำจัดมันได้อย่างไร จะเอาทิ้งทันทีไม่ได้แน่ของใหญ่อย่างนี้ ไม่นานจะรู้ถึงหูเจ้าของร้าน ในที่สุดเขานึกออก ตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าไปสถานเลี้ยงเด็กซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยร่วมอยู่ในที่ประชุม และมีคนเสนอให้ขายที่ดินว่างเปล่า แต่เขาคัดค้านเพราะจะทำให้เด็ก ๆ ไม่มีพื้นที่วิ่งเล่น เมื่อไปถึงสถานเลี้ยงเด็ก ผู้ดูแลหญิงเอ่ยทักทาย เธอจำได้ว่าชายชราคือบุคคลหนึ่งซึ่งช่วยให้เด็ก ๆ ยังมีพื้นที่กลางแจ้งไว้สันทนาการ เขารีบบอกว่านำนกแก้วยักษ์มามอบให้เป็นของขวัญคริสต์มาสแก่เด็ก ๆ (ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัวมาก่อน) แต่ผู้ดูแลสาวจำต้องกล่าวปฏิเสธ แม้จะซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเขามากเพราะนกนั้นตัวใหญ่เกินไป เธอเล่าว่าถ้าเป็นไก่งวงตัวใหญ่ที่กินได้จะรีบรับไว้เลย ด้วยเหตุว่าทางสถานเลี้ยงเด็กไม่มีเงินมากพอจะจัดอาหารเลี้ยงในคืนวันคริสต์มาส ชายชราจึงควักธนบัตรหลายใบที่มีมูลค่ามากพอสมควรยื่นให้ผู้ดูแล พร้อมบอกว่าขอเป็นเจ้าภาพอุปการะการกินเลี้ยงของเด็ก แม้นเธอจะไม่กล้ารับแต่เขายืนยันบอกว่าตนเองมีพอไม่เดือดร้อน และกำชับว่าช่วยจัดอาหารดี ๆ ให้พวกเขาด้วย สุขสันต์วันคริสต์มาสนะ แล้วแบกนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถ ขับต่อไปพลางคิดว่าจะกำจัดมันไปที่ไหนดี เขานึกถึงโรงเรียนอนุบาล เด็กเล็กต้องชอบแน่เขามั่นใจ จึงมุ่งหน้าไปถึงโรงเรียน จอดรถและแบกนกยักษ์เข้าไป เขามองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงจึงตรงเข้าไปถามว่าเธอคือครูใช่ไหม หญิงสาวบอกชื่อและทักทายชายชรา เธอจำได้ว่าเขาคือคนบริจาคเงินให้โรงเรียนตอนที่จัดซื้อรถมินิบัส เขาแปลกใจที่มีคนจำเรื่องนั้นได้ ความจริงเขาทราบจากหญิงเจ้าของร้านขายของว่าโรงเรียนลำบากในการเดินทางพาเด็กไปว่ายน้ำในสระที่อยู่อีกตำบลซึ่งห่างไกล เขาจำได้ว่าตอนเมียยังมีชีวิตมักพูดว่าถ้าชาวบ้านช่วยโรงเรียนได้ก็ควรช่วย เขาจึงบริจาคช่วยไปโดยไม่คิดอะไร ครูสาวจำต้องปฏิเสธนกแก้วยักษ์เช่นกัน เธอบอกว่าโรงเรียนคับแคบไม่มีที่พอจะแขวน ลำพังเด็ก35คนวิ่งไปมาก็แทบแย่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ชายชราจะขนนกกลับ เด็กหลายคนมองมาเห็นเข้าจึงพากันเข้ามารุมล้อมชื่นชมนกแก้วตัวใหญ่ด้วยแววตาเป็นประกาย พลางแข่งกันถามมากมายเช่นว่า มันกัดไหมค่ะ มันบินได้หรือเปล่าฮะ ขอผมดูหน่อย ขอหนูจับหน่อยนะคะ นุ่มไหมฮะ ที่สุดครูก็ไม่สามารถจะห้ามเด็กได้ จึงยอมให้เขานำนกเข้าไปในห้องเรียนครู่หนึ่งเพื่อให้เด็กทุกคนได้ชื่นชม จับต้อง เด็กกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ " ซ้วยสวย.. ตัวมันใหญ่นะ.." ครูสาวถือโอกาสสอนเรื่องสีโดยถามเด็ก ๆ ว่าส่วนต่าง ๆ ของนกแก้วสีอะไรบ้าง เด็กแต่ละคนพยายามหน่วงเหนี่ยวเวลาให้เขาอยู่นานที่สุด โดยเรียกไปชมต้นไม้ที่เขาทำ งานประดิษฐ์ที่อยากอวด ชายชราชมของทุกชิ้นของเด็ก ๆ ก่อนจะนำนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถและนึกหาสถานที่ใหม่ จะมีที่ไหนอีกหนอ เขานึกได้ถึงหญิงที่รับจ้างซักรีดให้ตนที่ยากจนและมีลูก 2 คน เมื่อไปถึงบ้านของเธอก็ได้พบว่าเล็กยังกับรูหนู ไม่มีทางเลยที่จะมีที่ให้แขวนนกได้ แม่ของเด็กพูดว่า จะเป็นของอะไรก็ดีทั้งนั้นถ้าวางใต้ต้นคริสต์มาส แต่สามีเธอตกงานมา 3 สัปดาหืแล้ว เธอพยายามหาเงินจนพอซื้อไก่งวงตัวหนึ่ง และวัตถุดิบทำพายได้สัก 2-3 ชิ้น นั่นคือทั้งหมดที่พอจะมีในคืนคริสต์มาสนี้ สามีไม่ยอมให้กู้ยืมใคร ลูกทั้งสองอยากได้จักรยานมานาน แต่เธอต้องสอนให้เขารู้ว่าการอยากได้ กับการได้รับนั้นต่างกัน ชายชราบอกว่าเด้กสองคนนิสัยดี สภาพ มักวิ่งมาเปิดประตูรถให้เขาเสมอ ให้เขาเป็นซานต้าให้เด็ก ๆ แล้วกัน พลางหยิบสมุดเช็กออกมาเขียน บอกกับคนเป็นแม่ว่า ซื้อจักรยานดี ๆ ที่เขาอยากได้ให้พวกเด็กคนละคันนะ หญิงสาวไม่กล้ารับ บอกว่าสามีเธอไม่ชอบให้รับบริจาค เขาเกลียดการขอ ชายชราตัดบทว่าเหลวไหล ให้บอกสามีว่าเขาเป็นคนเคี่ยวเข็ยเองให้รับ เพราะเขาไม่มีลูกเลย จากนั้นก็แบกนกแก้วยักษ์ยัดกลับเข้ารถตรงกลับบ้าน บัดนี้เขาไม่รู้จะเอามันไปให้ใคร ไม่สนใจแล้วว่าเจ้าของร้านที่ให้นกมาจะคิดอย่างไร เขาจะเอามันไปโยนลงถังขยะ แต่ถังก้เล้กเกิน เขาจึงจำใจเอานกตัวนั้นกลับบ้านวางกองไว้ในห้องรับแขก พรุ่งนี้ค่อยหาทาง เขาพักผ่อนกินของว่าง ชงกาแฟดื่ม ขระที่ดวงตานกยักษืมองจ้องมาตลอดเวลา สุดท้ายเขาจึงคิดว่าปล่อยมันบนพื้นอย่างนี้คงไม่ดี เพราะไม่อยากถูกจ้อง จึงทำห่วงแล้วเอามันห้อยแขวนไว้ชั่วคราว แล้วเขาก้ได้ยินเสียงบางอย่างนอกบ้าน มองออกไปเห็นรถสถานเลี้ยงเด็กมาจอด เด็ก ๆ กรูลงมายืนร้องเพลง โอ ลิตเติลทาวน์ ออฟ เบธเลเฮม ทำเอาหัวใจเขาแปลบ จึงเปิดประตูให้เด็ก ๆ เข้ามา เด็ก ๆ ร้องไซเลนไนท์ ต่อด้วย วี วิช ยู เอ เมอร์รี คริสต์มาส ชายชราสั่งน้ำมูก ผู้ดูแลบอกว่าเด็ก ๆ อยากมาร้องเพลงเพื่อขอบคุณ ทุกคนเข้าไปจับนกที่ห้อยอยู่ก่อนจะกลับ ครู่เดียวต่อมา เด็กชายสองคนมาเคาะประตุด้วยความตื่นเต้น เขาเอาพายมาให้ชายชราพร้อมบอกว่า สวัสดีวันคริสต์มาส แม่เด็กยืนโบกมืออยู่ตรงรั้วและกล่าวประโยคเดียวกับลูกของเธอ ชายชราก้มลงบอกว่า หวังว่าวานต้าจะนำของที่หนุอยากได้มาให้นะ แล้วก็ฉงนใจตัวเองนี่เขากำลังทำให้เด็กเกิดความโลภหรือไม่ เขากลับเข้าบ้านพร้อมจานพานในมือ คุยกับนกแก้วยักษืว่าเสียใจด้วยนะที่แกกินไม่ได้ ต่อจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูอีก คุรครูจากโรงเรียนอนุบาลและเด็ก 4 คน เธอบอกว่าเด็ก ๆ อยากทำอะไรเพื่อให้เขารู้ว่านกแก้วตัวนั้นวิเศษเพียงใดก้เลยวาดรูปมาให้ แล้วก็สวัสดีวันคริสต์มาส ชายชราซาบซึ้งบอกว่าเข้ามาก่อนสิ เขาจะเอาภาพติดฝาผนัง เด็กหญิงคนหนึ่งเข้าไปยืนหน้านก ชื่นชมว่านกสวยอย่างไร และแกใช้ทุกสีในการวาด ถึงตอนครูจะพากลับ เด็กหญิงหันมาเปรยบอกหูคิดว่ามันอยากเป็นเพื่อนกับหนู ชายชราเห็นด้วย เด็กหญิงพูดต่อว่า ถ้าจะเป็นเพื่อนกันก็ต้องรู้จักชื่อด้วย ชายชรานิ่งอึ้ง หันไปมองเจ้านกแก้วยักษ์ เหมือนมันจะมองตอบแล้วส่งกระแสอะไรบางอย่าง เขาคิดว่ารู้แล้วว่านกชื่ออะไรจึงยิ้มให้เด็กน้อย พลางตอบว่า มันชื่อเจค็อบจ้ะ ..เจค็อบ มาร์เลย์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 780 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก่อนหน้านี้หากมีใครถามให้ช่วยแนะนำหนังสือสักเล่มที่เป็นแนวจิตวิทยา หรือแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการเสริมสร้างพลังใจ ให้มีไฟในการดำเนินชีวิตที่จะสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ หรือหนังสือที่เหมาะมากกับวัยต่อต้านที่กำลังไม่รู้จะเลือกเดินไปในเส้นทางชีวิตแบบใดให้กับตน ผมยังนึกไม่ออกว่าเล่มใดที่จะเหมาะมากที่สุด ทว่าเมื่อได้อ่านเล่มนี้จบลงแล้ว ก็เป็นที่แน่ชัดกับตนเองทันทีว่า ฉันพบเจอหนังสือที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมตรงตามโจทย์แล้วนั่นคือ

    #หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย

    สนพ.piccolo พิมพ์ปลายปี 2564
    เขียนโดย ยาสึชิ คิตากาวะ
    แปลโดย หนึ่งฤทัย ปราดเปรียว
    หนังสือเล่มไม่หนา ขนาดกำลังดีเบามือถือไปไหนง่าย หนาประมาณ 160 หน้า อ่านไม่กี่ชม.ก็จบ

    เรื่องย่อ

    ชายหนุ่มวัยกลางคนนามว่าโยสุเกะ กำลังมีผลงานภาพวาดจัดแสดงอยู่ในห้องแสดงภาพ หญิงสาวสูงวัยนางหนึ่งยืนชมภาพวาดรูปนั้นอยู่นานด้วยอารมณ์ความรู้สึกเปี่ยมล้น เด็กหญิงตัวน้อยวัย 5 ขวบซึ่งเป็นลูกสาวของโยสุเกะ ได้ทำหน้าที่แนะนำภาพวาดของพ่อและชวนเธอสนทนาอย่างน่ารัก จนทราบว่าเธอชื่อฟุจิโกะ เมื่อลูกสาวได้เล่าเรื่องนี้ให้คนเป็นพ่อฟัง เขาถึงกับงุนงงชั่วขณะ ด้วยไม่ได้ยินชื่อนี้มานาน 20 ปีแล้ว บัดดลภาพความทรงจำในอดีตสมัยที่เขายังอายุแค่ 17 ปี ก็หลั่งไหลเข้ามา นั่นคือบทนำก่อนเข้าเรื่องที่เป็นการเล่าย้อนของตัวละครเอกในเรื่องที่เล่าผ่านมุมมองบุคคลที่1

    โยสุเกะในวัย 17 ปีนั้น อยู่ในช่วงที่กำลังต้องตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ แต่เขากลับยังไม่รู้ว่าตัวเองควรเลือกเดินหน้าชีวิตต่อไปในเส้นทางไหน ผู้ใหญ่ชอบถามเด็ก ๆ ว่าโตขึ้นไปอยากเป็นอะไร ประกอบอาชีพอะไร เขารู้สึกลึกลงไปว่าต้องรีบตัดสินใจจริงละหรือ ทำไมจึงไม่สามารถอยู่ไปเรื่อย ๆ โดยถ้ายังไม่มีแรงบันดาลใจอะไรเกิดขึ้น เขาก็ไม่อยากเสียเวลาเปล่าไปกับการต้องเลือกเรียนที่ไหน เพื่อจะกลายไปเป็นอะไรที่ตนไม่แน่ใจว่าใช่สิ่งที่ชอบหรืออยากทำจริงหรือไม่

    จึงคล้ายกับเขาปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปอย่างหมดเปลืองเปล่าดาย ได้แต่นั่งเฝ้าร้านหนังสือเก่าของพ่อ ที่ตนเองก็ไม่มีนิสัยรักการอ่าน และไม่ค่อยแตะหนังสือมาแต่เล็ก

    แต่แล้ววันหนึ่งซึ่งปรากฏเด็กสาววัยเดียวกับโยสุเกะ ที่สวยเก๋ในความรู้สึกแรกพบสำหรับเขา ณ ร้านหนังสือของพ่อนั้น มันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาครั้งใหญ่ไปตลอดกาล เธอคนนั้นรู้จักและเรียกชื่อของโยสุเกะอย่างถูกต้อง โดยที่เขานึกไม่ออกว่าเคยพบเจอสาวสวยน่ารักคนนี้ที่ไหนมาก่อนหรือไม่

    เธอบอกกับเขาว่ามาหาซื้อหนังสือที่ไม่มีขายที่ร้านอื่น จนพบเจอเล่มที่ต้องการ และยังวานให้เขาช่วยหาหนังสือเล่มหนึ่ง อีกสัปดาห์จะมาใหม่แล้วก็จากไป โยสุเกะหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ทันได้ถามชื่อและเบอร์ติดต่อไว้ เขาเล่าให้พ่อฟัง เมื่อพ่อทราบชื่อหนังสือจึงพูดขึ้นว่า ไม่เป็นไรนี่เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง พ่อจะสั่งมาขายและเผื่อไว้สักหลายเล่ม

    ด้วยความที่โยสุเกะอยากจะคุยและทำคววามรู้จักกับเธอคนนั้น แต่เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ได้แค่คิดวุ่นวายภายในหัว แต่ตัวตนจริงนั้นไร้ซึ่งความกล้า สิ่งที่เขาคิดออกมีเพียงอย่างเดียวคือ ต้องอ่านหนังสือเล่มที่เธอถามหา เพื่ออยากเข้าใจว่าเธอเป็นคนเช่นไร

    นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวข้ามความไม่ชอบอ่านหนังสือมาได้ และน่าแปลกที่อ่านไปได้สักพัก เขากลับพบว่านี่เป็นหนังสือที่ดีจริง ๆ ต่อมาเขาสามารถอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวจนจบได้ ไม่ใช่แค่เกิดจากความรู้สึกแรก แต่เพราะเนื้อหาในนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นแก่โยสุเกะอย่างไม่น่าเชื่อ

    เขารอวันที่จะได้พบเธอด้วยใจจดจ่อ เพื่อจะเล่าให้ทราบว่าเขาได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจบแล้ว จนเกือบหมดหวังว่าเธอจะกลับมา ในวันสุดท้ายก่อนสิ้นสัปดาห์ตามที่เธอเคยระบุ เด็กสาวก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในชุดผ้าสีขาวทั้งตัว เปล่งประกายจนโยสุเกะรับรู้ได้ เขาดีใจมาก จากที่ไม่กล้าจะเอ่ยปากก่อน สุดท้ายสามารถพูดกับเธอ หญิงสาวดีใจที่เขามีหนังสือที่ร้าน แต่เธอไม่ทันได้พกเงินมา จึงบอกวันหลังจะแวะมาใหม่ แต่มันช้าเกินไปสำหรับเขา โยสุเกะจึงเอ่ยปากให้เธอนำหนังสือกลับไปอ่านก่อน เพราะเขาอยากให้เธอได้อ่าน เขาจะออกให้เอง เธอยิ้มอย่างงดงามในน้ำใจของเขา ยินดีรับหนังสือไปแต่บอกว่าจะนำเงินมาคืนให้ภายหลัง จากนั้นก็ขบคิดด้วยความเอียงอายชั่วครู่ ก่อนจะให้ที่อยู่เบอร์โทรติดต่อไว้แล้วบอกว่าเราน่าจะนัดเจอกันอีก

    ความสดใสของวัยหนุ่มสาวจึงถึงคราวที่ได้โบยบินยังท้องฟ้ากว้าง ทั้งสองใช้เวลากว่าสองเกือบสามสัปดาห์ที่ออกมาพบเจอกันตามที่นัดพบต่าง ๆ เพื่อพูดคุยกันอย่างออกรสเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือ และเรื่องที่พ่อของเธอสอนไว้ ซึ่งโยสุเกะพบว่าเป็นคำสอนอันทรงคุณค่าและมีประโยชน์อย่างมากกับตัวเขา จนกระทั่งเกิดแรงบันดาลใจที่จะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายในให้ต่างไปจากเดิม เหมือนเขาได้ค้นพบขุมทรัพย์มหาศาลที่ประเมินค่าไม่ได้

    ในแต่ละวันโยสุเกะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ตนไม่เคยคิดมาก่อน จากคำสอนของพ่อที่ถูกเล่าผ่านตัวเธอและมอบเครื่องบินพับจากกระดาษหลากสีให้ไว้กับโยสุเกะทุกครั้ง แต่เขาไม่เคยถามและไม่รู้จักชื่อของเธอเลย ดูเหมือนเด็กสาวมีบางอย่างที่ยังไม่สามารถเล่าให้เขาฟัง เขารู้เพียงอีกไม่นานเธออาจจะต้องไปอยู่กับพ่อ แม้ปัจจุบันเธออยู่กับแม่คนเดียวก็ตาม ความสัมพันธ์ของครอบครัวอันคลุมเครือที่เธอไม่ได้พูดถึง กลับปริศนาอีกหลายข้อที่ค้างคาใจเขาซึ่งยังไม่กล้าเอ่ยปากถาม ความจริงจะปรากฏในช่วงท้ายเล่ม ที่คงต้องให้เพื่อน ๆ ไปตามหาอ่านกันต่อ แม้นอยากเล่ามากเพียงใดต้องยั้งใจไว้ รอให้คนอ่านได้พบด้วยตัวเองไม่อย่างนั้นความแปลกใหม่และความสนุกสนานอาจลดลง

    ผมเคยอ่านโลกของโซฟีเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนแล้วชื่นชอบมาก แม้หนังสือจะหนากับเนื้อหาแนวสอนเชิงจิตวิทยา ที่มีความแปลกใหม่ในการใช้กลวิธีเล่าเรื่องที่น่าสนใจผ่านรูปแบบนิยายมาแล้ว สำหรับเล่มนี้ทำให้อดนึกถึงโลกของโซฟีไม่ได้ แม้นจะมีความคล้ายบางประการในการนำเสนอ แต่หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย ก็มีอัตลักษณ์ที่เป็นแบบฉบับเฉพาะตนที่น่าสนใจ กับความหนาเพียงไม่ถึง 200 หน้า ทำให้การอ่านจนจบไม่ใช่เรื่องลำบากจนเกินไปสำหรับคนที่อาจจะไม่ใช่สายรักการอ่านมาก่อน

    หนังสือเล่มนี้ดีงามอย่างละเมียดละไม ละมุนละม่อม อ่อนโยนงดงามตลอดเล่ม ไปเรื่อย ๆ ชวนติดตามไปกับการเอาใจช่วยในความสัมพันธ์ของตัวเอกทั้งสอง ว่าเขากับเธอจะมีบทสรุปอย่างไร

    ผู้เขียนมีความชาญฉลาดในการวางโครงเรื่อง และแก่นที่แน่นหนาน่าสนใจช่วนให้ใคร่ครวญอย่างพินิจพิเคราะห์ กับสิ่งที่ต้องพบเจอทุกผู้คนไม่ว่าชายหรือหญิง ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ในช่วงหัวเลี้ยวสำคัญอันคือทางเลือกที่ชีวิตสามารถหักเหไปได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความหมายในความฝันที่เขายังค้นไม่พบ กับการตัดสินใจทั้งจากตนเองและคนรอบข้างโดยเฉพาะคนที่มีความหมายมากในชีวิตของเขา

    หนังสือเล่มนี้เป็นได้ทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ แม้แต่เป็นเพื่อน หรือพี่ที่อบอุ่น ให้พลังใจไฟฝัน กับวันวานอันเยาว์วัย แม้นใครหลายคนอาจอยู่ในช่วงวัยที่ล่วงเลยจุดนั้นมานานแล้ว แต่ขอให้เชื่อเถิดครับว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่เพียงวัยรุ่นที่ควรได้อ่าน หากแต่สมควรอย่างยิ่งที่ผู้ที่กำลังจะมีลูก หรือมีแล้ว หรือแม้ยังไม่มีครอบครัวก็ไม่ควรพลาด เพราะนี่เปรียบได้กับคัมภีร์ชีวิต ที่บอกเล่าได้อย่างมีอรรถรสครบทั้งด้านให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน ทั้งยังมอบคุณค่าสาระอันชวนให้ได้ทบทวนถึงช่วงวันที่แล้วมาในอดีต และวันในปัจจุบัน รวมถึงวันในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

    บนความงดงามที่ร้อยเรียงด้วยภาษาเรียบง่าย คล้ายกับจะเป็นหนังสือฮาวทูแต่แปลงกายมาในรูปแบบของนิยายวัยใส แทรกสอนแนวคิดที่เป็นทั้งปรัชญา จิตวิทยา และหลักการทางธรรมะในศาสนาพุทธ ได้อย่างสอดประสานกลมกลืนกับเนื้อหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ที่มีปริศนาชวนให้กระหายใคร่รู้ โดยใช้ฉากและตัวละครน้อยมาก ความดีเด่นในด้านนี้เองที่ทำให้คนอ่านสามารถเข้าใจ เข้าถึง สิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และตรงไปตรงมาที่สุด อาจมีจุดจี๊ดในใจบ้างตอนช่วงท้ายของบทสรุป ขึ้นกับว่าผู้อ่านคนนั้นรับสารที่มีการเผยปริศนาของตัวละครไว้ในรายทางเป็นระยะได้มากน้อยแค่ไหน ในย่อหน้าสุดท้ายนี้ ใครที่ยังไม่ได้อ่านมาก่อนไม่จำเป็นต้องอ่านต่อก็ได้ เพราะอาจจะทำให้คุณคิดไปต่าง ๆ เกี่ยวกับตอนจบของเรื่อง อันจะทำให้สูญเสียความรู้สึกแรกที่พบ ณ ชั่วเวลานั้นไปอย่างน่าเสียดาย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    เพราะถ้ามองเห็นเร็ว ก็พอจะคาดเดาทิศทางของบทบาทตัวละครหลักในตอนท้ายได้ว่าจะมีผลลัพธ์เช่นไร และจะไม่กระทบกระแทกกับอารมณ์ความรู้สึกมากนัก แต่ถ้าอ่านไป ๆ แต่ไม่ทันได้สังเกตคำใบ้ที่ถูกเปิดขึ้นทีละน้อย ก็อาจได้พบกับความรู้สึกที่สะกิดสะเกาให้หัวใจได้สะท้อนสะท้าน และอาจถึงขั้นสั่นสะเทือนอย่างที่อดตาแฉะไม่ได้

    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #จิตวิทยา
    #โตขึ้นจะเป็นอะไร
    #ร้านหนังสือ
    #รักการอ่าน
    #พรุ่งนี้ที่มาไม่ถึง
    #หนังสือดีที่ควรอ่าน
    #thaitimes
    #หนังสือน่าอ่าน
    #การพัฒนาตนเอง
    ก่อนหน้านี้หากมีใครถามให้ช่วยแนะนำหนังสือสักเล่มที่เป็นแนวจิตวิทยา หรือแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการเสริมสร้างพลังใจ ให้มีไฟในการดำเนินชีวิตที่จะสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ หรือหนังสือที่เหมาะมากกับวัยต่อต้านที่กำลังไม่รู้จะเลือกเดินไปในเส้นทางชีวิตแบบใดให้กับตน ผมยังนึกไม่ออกว่าเล่มใดที่จะเหมาะมากที่สุด ทว่าเมื่อได้อ่านเล่มนี้จบลงแล้ว ก็เป็นที่แน่ชัดกับตนเองทันทีว่า ฉันพบเจอหนังสือที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมตรงตามโจทย์แล้วนั่นคือ #หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย สนพ.piccolo พิมพ์ปลายปี 2564 เขียนโดย ยาสึชิ คิตากาวะ แปลโดย หนึ่งฤทัย ปราดเปรียว หนังสือเล่มไม่หนา ขนาดกำลังดีเบามือถือไปไหนง่าย หนาประมาณ 160 หน้า อ่านไม่กี่ชม.ก็จบ เรื่องย่อ ชายหนุ่มวัยกลางคนนามว่าโยสุเกะ กำลังมีผลงานภาพวาดจัดแสดงอยู่ในห้องแสดงภาพ หญิงสาวสูงวัยนางหนึ่งยืนชมภาพวาดรูปนั้นอยู่นานด้วยอารมณ์ความรู้สึกเปี่ยมล้น เด็กหญิงตัวน้อยวัย 5 ขวบซึ่งเป็นลูกสาวของโยสุเกะ ได้ทำหน้าที่แนะนำภาพวาดของพ่อและชวนเธอสนทนาอย่างน่ารัก จนทราบว่าเธอชื่อฟุจิโกะ เมื่อลูกสาวได้เล่าเรื่องนี้ให้คนเป็นพ่อฟัง เขาถึงกับงุนงงชั่วขณะ ด้วยไม่ได้ยินชื่อนี้มานาน 20 ปีแล้ว บัดดลภาพความทรงจำในอดีตสมัยที่เขายังอายุแค่ 17 ปี ก็หลั่งไหลเข้ามา นั่นคือบทนำก่อนเข้าเรื่องที่เป็นการเล่าย้อนของตัวละครเอกในเรื่องที่เล่าผ่านมุมมองบุคคลที่1 โยสุเกะในวัย 17 ปีนั้น อยู่ในช่วงที่กำลังต้องตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ แต่เขากลับยังไม่รู้ว่าตัวเองควรเลือกเดินหน้าชีวิตต่อไปในเส้นทางไหน ผู้ใหญ่ชอบถามเด็ก ๆ ว่าโตขึ้นไปอยากเป็นอะไร ประกอบอาชีพอะไร เขารู้สึกลึกลงไปว่าต้องรีบตัดสินใจจริงละหรือ ทำไมจึงไม่สามารถอยู่ไปเรื่อย ๆ โดยถ้ายังไม่มีแรงบันดาลใจอะไรเกิดขึ้น เขาก็ไม่อยากเสียเวลาเปล่าไปกับการต้องเลือกเรียนที่ไหน เพื่อจะกลายไปเป็นอะไรที่ตนไม่แน่ใจว่าใช่สิ่งที่ชอบหรืออยากทำจริงหรือไม่ จึงคล้ายกับเขาปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปอย่างหมดเปลืองเปล่าดาย ได้แต่นั่งเฝ้าร้านหนังสือเก่าของพ่อ ที่ตนเองก็ไม่มีนิสัยรักการอ่าน และไม่ค่อยแตะหนังสือมาแต่เล็ก แต่แล้ววันหนึ่งซึ่งปรากฏเด็กสาววัยเดียวกับโยสุเกะ ที่สวยเก๋ในความรู้สึกแรกพบสำหรับเขา ณ ร้านหนังสือของพ่อนั้น มันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาครั้งใหญ่ไปตลอดกาล เธอคนนั้นรู้จักและเรียกชื่อของโยสุเกะอย่างถูกต้อง โดยที่เขานึกไม่ออกว่าเคยพบเจอสาวสวยน่ารักคนนี้ที่ไหนมาก่อนหรือไม่ เธอบอกกับเขาว่ามาหาซื้อหนังสือที่ไม่มีขายที่ร้านอื่น จนพบเจอเล่มที่ต้องการ และยังวานให้เขาช่วยหาหนังสือเล่มหนึ่ง อีกสัปดาห์จะมาใหม่แล้วก็จากไป โยสุเกะหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ทันได้ถามชื่อและเบอร์ติดต่อไว้ เขาเล่าให้พ่อฟัง เมื่อพ่อทราบชื่อหนังสือจึงพูดขึ้นว่า ไม่เป็นไรนี่เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง พ่อจะสั่งมาขายและเผื่อไว้สักหลายเล่ม ด้วยความที่โยสุเกะอยากจะคุยและทำคววามรู้จักกับเธอคนนั้น แต่เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ได้แค่คิดวุ่นวายภายในหัว แต่ตัวตนจริงนั้นไร้ซึ่งความกล้า สิ่งที่เขาคิดออกมีเพียงอย่างเดียวคือ ต้องอ่านหนังสือเล่มที่เธอถามหา เพื่ออยากเข้าใจว่าเธอเป็นคนเช่นไร นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวข้ามความไม่ชอบอ่านหนังสือมาได้ และน่าแปลกที่อ่านไปได้สักพัก เขากลับพบว่านี่เป็นหนังสือที่ดีจริง ๆ ต่อมาเขาสามารถอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวจนจบได้ ไม่ใช่แค่เกิดจากความรู้สึกแรก แต่เพราะเนื้อหาในนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นแก่โยสุเกะอย่างไม่น่าเชื่อ เขารอวันที่จะได้พบเธอด้วยใจจดจ่อ เพื่อจะเล่าให้ทราบว่าเขาได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจบแล้ว จนเกือบหมดหวังว่าเธอจะกลับมา ในวันสุดท้ายก่อนสิ้นสัปดาห์ตามที่เธอเคยระบุ เด็กสาวก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในชุดผ้าสีขาวทั้งตัว เปล่งประกายจนโยสุเกะรับรู้ได้ เขาดีใจมาก จากที่ไม่กล้าจะเอ่ยปากก่อน สุดท้ายสามารถพูดกับเธอ หญิงสาวดีใจที่เขามีหนังสือที่ร้าน แต่เธอไม่ทันได้พกเงินมา จึงบอกวันหลังจะแวะมาใหม่ แต่มันช้าเกินไปสำหรับเขา โยสุเกะจึงเอ่ยปากให้เธอนำหนังสือกลับไปอ่านก่อน เพราะเขาอยากให้เธอได้อ่าน เขาจะออกให้เอง เธอยิ้มอย่างงดงามในน้ำใจของเขา ยินดีรับหนังสือไปแต่บอกว่าจะนำเงินมาคืนให้ภายหลัง จากนั้นก็ขบคิดด้วยความเอียงอายชั่วครู่ ก่อนจะให้ที่อยู่เบอร์โทรติดต่อไว้แล้วบอกว่าเราน่าจะนัดเจอกันอีก ความสดใสของวัยหนุ่มสาวจึงถึงคราวที่ได้โบยบินยังท้องฟ้ากว้าง ทั้งสองใช้เวลากว่าสองเกือบสามสัปดาห์ที่ออกมาพบเจอกันตามที่นัดพบต่าง ๆ เพื่อพูดคุยกันอย่างออกรสเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือ และเรื่องที่พ่อของเธอสอนไว้ ซึ่งโยสุเกะพบว่าเป็นคำสอนอันทรงคุณค่าและมีประโยชน์อย่างมากกับตัวเขา จนกระทั่งเกิดแรงบันดาลใจที่จะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายในให้ต่างไปจากเดิม เหมือนเขาได้ค้นพบขุมทรัพย์มหาศาลที่ประเมินค่าไม่ได้ ในแต่ละวันโยสุเกะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ตนไม่เคยคิดมาก่อน จากคำสอนของพ่อที่ถูกเล่าผ่านตัวเธอและมอบเครื่องบินพับจากกระดาษหลากสีให้ไว้กับโยสุเกะทุกครั้ง แต่เขาไม่เคยถามและไม่รู้จักชื่อของเธอเลย ดูเหมือนเด็กสาวมีบางอย่างที่ยังไม่สามารถเล่าให้เขาฟัง เขารู้เพียงอีกไม่นานเธออาจจะต้องไปอยู่กับพ่อ แม้ปัจจุบันเธออยู่กับแม่คนเดียวก็ตาม ความสัมพันธ์ของครอบครัวอันคลุมเครือที่เธอไม่ได้พูดถึง กลับปริศนาอีกหลายข้อที่ค้างคาใจเขาซึ่งยังไม่กล้าเอ่ยปากถาม ความจริงจะปรากฏในช่วงท้ายเล่ม ที่คงต้องให้เพื่อน ๆ ไปตามหาอ่านกันต่อ แม้นอยากเล่ามากเพียงใดต้องยั้งใจไว้ รอให้คนอ่านได้พบด้วยตัวเองไม่อย่างนั้นความแปลกใหม่และความสนุกสนานอาจลดลง ผมเคยอ่านโลกของโซฟีเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนแล้วชื่นชอบมาก แม้หนังสือจะหนากับเนื้อหาแนวสอนเชิงจิตวิทยา ที่มีความแปลกใหม่ในการใช้กลวิธีเล่าเรื่องที่น่าสนใจผ่านรูปแบบนิยายมาแล้ว สำหรับเล่มนี้ทำให้อดนึกถึงโลกของโซฟีไม่ได้ แม้นจะมีความคล้ายบางประการในการนำเสนอ แต่หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย ก็มีอัตลักษณ์ที่เป็นแบบฉบับเฉพาะตนที่น่าสนใจ กับความหนาเพียงไม่ถึง 200 หน้า ทำให้การอ่านจนจบไม่ใช่เรื่องลำบากจนเกินไปสำหรับคนที่อาจจะไม่ใช่สายรักการอ่านมาก่อน หนังสือเล่มนี้ดีงามอย่างละเมียดละไม ละมุนละม่อม อ่อนโยนงดงามตลอดเล่ม ไปเรื่อย ๆ ชวนติดตามไปกับการเอาใจช่วยในความสัมพันธ์ของตัวเอกทั้งสอง ว่าเขากับเธอจะมีบทสรุปอย่างไร ผู้เขียนมีความชาญฉลาดในการวางโครงเรื่อง และแก่นที่แน่นหนาน่าสนใจช่วนให้ใคร่ครวญอย่างพินิจพิเคราะห์ กับสิ่งที่ต้องพบเจอทุกผู้คนไม่ว่าชายหรือหญิง ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ในช่วงหัวเลี้ยวสำคัญอันคือทางเลือกที่ชีวิตสามารถหักเหไปได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความหมายในความฝันที่เขายังค้นไม่พบ กับการตัดสินใจทั้งจากตนเองและคนรอบข้างโดยเฉพาะคนที่มีความหมายมากในชีวิตของเขา หนังสือเล่มนี้เป็นได้ทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ แม้แต่เป็นเพื่อน หรือพี่ที่อบอุ่น ให้พลังใจไฟฝัน กับวันวานอันเยาว์วัย แม้นใครหลายคนอาจอยู่ในช่วงวัยที่ล่วงเลยจุดนั้นมานานแล้ว แต่ขอให้เชื่อเถิดครับว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่เพียงวัยรุ่นที่ควรได้อ่าน หากแต่สมควรอย่างยิ่งที่ผู้ที่กำลังจะมีลูก หรือมีแล้ว หรือแม้ยังไม่มีครอบครัวก็ไม่ควรพลาด เพราะนี่เปรียบได้กับคัมภีร์ชีวิต ที่บอกเล่าได้อย่างมีอรรถรสครบทั้งด้านให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน ทั้งยังมอบคุณค่าสาระอันชวนให้ได้ทบทวนถึงช่วงวันที่แล้วมาในอดีต และวันในปัจจุบัน รวมถึงวันในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง บนความงดงามที่ร้อยเรียงด้วยภาษาเรียบง่าย คล้ายกับจะเป็นหนังสือฮาวทูแต่แปลงกายมาในรูปแบบของนิยายวัยใส แทรกสอนแนวคิดที่เป็นทั้งปรัชญา จิตวิทยา และหลักการทางธรรมะในศาสนาพุทธ ได้อย่างสอดประสานกลมกลืนกับเนื้อหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ที่มีปริศนาชวนให้กระหายใคร่รู้ โดยใช้ฉากและตัวละครน้อยมาก ความดีเด่นในด้านนี้เองที่ทำให้คนอ่านสามารถเข้าใจ เข้าถึง สิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และตรงไปตรงมาที่สุด อาจมีจุดจี๊ดในใจบ้างตอนช่วงท้ายของบทสรุป ขึ้นกับว่าผู้อ่านคนนั้นรับสารที่มีการเผยปริศนาของตัวละครไว้ในรายทางเป็นระยะได้มากน้อยแค่ไหน ในย่อหน้าสุดท้ายนี้ ใครที่ยังไม่ได้อ่านมาก่อนไม่จำเป็นต้องอ่านต่อก็ได้ เพราะอาจจะทำให้คุณคิดไปต่าง ๆ เกี่ยวกับตอนจบของเรื่อง อันจะทำให้สูญเสียความรู้สึกแรกที่พบ ณ ชั่วเวลานั้นไปอย่างน่าเสียดาย . . . . . . . . เพราะถ้ามองเห็นเร็ว ก็พอจะคาดเดาทิศทางของบทบาทตัวละครหลักในตอนท้ายได้ว่าจะมีผลลัพธ์เช่นไร และจะไม่กระทบกระแทกกับอารมณ์ความรู้สึกมากนัก แต่ถ้าอ่านไป ๆ แต่ไม่ทันได้สังเกตคำใบ้ที่ถูกเปิดขึ้นทีละน้อย ก็อาจได้พบกับความรู้สึกที่สะกิดสะเกาให้หัวใจได้สะท้อนสะท้าน และอาจถึงขั้นสั่นสะเทือนอย่างที่อดตาแฉะไม่ได้ #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #จิตวิทยา #โตขึ้นจะเป็นอะไร #ร้านหนังสือ #รักการอ่าน #พรุ่งนี้ที่มาไม่ถึง #หนังสือดีที่ควรอ่าน #thaitimes #หนังสือน่าอ่าน #การพัฒนาตนเอง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 810 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยที่ผมยังเด็ก...

    ในละแวกบ้าน...
    ตึกที่หลังใหญ่สุดแถวนั้น ก็คงจะเป็น "คูย่งล้ง" เป็นตึกที่ผมฝันอยู่ตลอดว่า ถ้าวันหนึ่งได้ขึ้นไปชั้นบนสุด (ตอนนั้น ยังไม่รู้จักคำว่า ดาดฟ้า) แล้วได้มองลงมายังด้านล่าง คงจะแจ่ม น่าดู...

    ตึกนี้ ดูแปลกตา ดูมี"อะไร" มากกว่าตึกแถวในสมัยนั้น
    ผมมีโอกาสได้พูดคุย สอบถาม กับทายาทรุ่นที่3 ของตึกนี้ ได้ความว่า อาคารหลังนี้ ออกแบบโดยสถาปนิก ซึ่งเป็น "อา" ของเจ้าของตึก ซึ่งจบ สถาปัตยกรรมศาสตร์ จากลาดกระบัง .....

    เหมือนที่ผมคิดเลย ว่า อาคารถึงมี ครีบ มีพื้นที่เปิดโล่งกลางตัวบ้าน เพื่อนำแสงธรรมชาติมาให้ความสว่างแก่ภายในอาคาร...

    ถัด"คูย่งล้ง"มาทางเหนือ ตอนนี้ เป็นร้าน บาร์บีกริลล์
    เมื่อก่อนนี้ ส่วนตรงนี้จะเป็นตรอก ลึกเข้าไปข้างใน....

    ในตรอกนี้ มีครอบครับหนึ่ง สามีชื่อแอ้ เมียชื่อ จัน
    ครอบครัวนี้มีอาชีพตัดผ้า เย็บผ้า และเลี้ยงหมู
    เมื่อก่อนนั้น ในตรอกนั้น จะมีโรงหมูด้วย

    ในยามที่เด็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกับผม จะไปตกปลาริมตลิ่ง พวกเราก็จะไปขุดเอาไส้เดือนแดงแถวๆโรงหมู เพื่อเอาไปเกี่ยวเบ็ด

    เมื่อเป็นโรงหมู ก็แน่ละครับ กลิ่นตลบอบอวล ไปทั้งย่าน ยิ่งเวลาหน้าฝน อากาศชื้นๆนะครับ ไม่ต้องไปพูดถึงเลย...

    แถวปากตรอกเลี้ยงหมู เคยมีร้านอาหาร ชื่อ"มุ่ยสูน" ไปเปิดอยู่พักนึง
    ร้านนี้ จำหน่ายอาหารจีน อาหารตามสั่ง คงพอจะเทียบได้กับร้านอาหารระดับเหลาได้ เพราะในเวลานั้นร้านอาหารตามสั่งไม่ได้มีดาษดื่นแบบทุกวันนี้

    ร้าน "มุ่ยสูน" นี้ เคยมาเปิด ตรงหัวมุม ที่เป็นร้าน "เตี๋ยวเต็มโต๊ะ" ในปัจจุบัน อยู่พักหนึ่ง

    "มุ่ยสูน" ตรงหัวมุมนี้ เป็นร้านที่ทำให้ผมรู้จัก "เบียร์สิงห์" เป็นครั้งแรกในชีวิต....
    .
    .
    ในปีนั้น ...
    ผมอยู่ชั้น ป3.หรือ ป4.นี่แหละ..

    ปกติแล้วครอบครัวคนจีน มักจะมีประเพณีไหว้บรรพบุรุษ
    ปีนั้น ญาติๆ ทางแม่ ก็มารวมตัวไหว้บรรพบุรุษที่บ้านที่ผมอยู่ เพราะอาม่า เป็นศูนย์กลางของลูกๆ
    พอไหว้เสร็จก็จะเอาอาหารเหล่านั้น มาทานร่วมกัน
    เด็กก็โต๊ะหนึ่ง...
    ผู้ใหญ่ก็โต๊ะหนึ่ง...

    แต่..ผมกลับไม่ได้ไปนั่งทาน
    ผมไปเดินเตร็ดเตร่แถวๆโต๊ะผู้ใหญ่ ญาติๆก็กินไป คุยไป

    คราวนี้ ลุงของผม คือ "ลุงสว่าง" ซึ่งผมเรียกแกว่า "กู๋หว่าง"
    เห็นผมวนเวียนแถวนั้นเลยบอกว่า

    "เฮ้ย ป้อม ลื้อเดินไปซื้อเบียร์ให้อั๊วหน่อย เอาเบียร์สิงห์นะ 2ขวด "
    พร้อมเอาเงินขยุ้มนึง ยัดใส่มือผม
    ผมก็เดินข้ามตรงไปร้าน "มุ่ยสูน" หัวมุมถนน พร้อมซื้อเบียร์สิงห์ตามสั่ง

    ผมยังจำได้...
    ระหว่างหิ้วเบียร์ เดินกลับบ้าน ต้องผ่านร้าน "คูย่งล้ง"
    ด้วยความที่ว่ายังเด็ก ไม่ประสา เดินไปก็เขย่าถุงใส่เบียร์ไป
    จนเถ้าแก่ "คูย่งล้ง" เห็นเข้า เลยร้องเตือนว่า

    "อย่าเขย่านะ เดี๋ยวตอน เปิด มันจะพุ่งออกมา"
    ผมเลยค่อยๆ ประคองเบียร์2ขวด นั้นจนส่งถึงมือ "กู๋หว่าง" พร้อมตังทอน

    แล้วผมก็หันหลัง เพื่อจะไปเล่นกะพี่น้อง เด็กๆ..

    "เดี๋ยวก่อน"
    กู๋หว่างเรียกผม
    "เอาเงินทอนไปกินขนม"....

    โอ้โห!
    ผมนี่ลิงโลดเลยทีเดียว เงิน10กว่า 20บาทสมัย30กว่าปีก่อน นี่ มันเยอะมาก!
    ยิ่งในความรู้สึกของเด็กน้อยที่ได้เงินไปโรงเรียนวันละ2บาท...
    อย่างผม...

    ผมจำได้ว่า...
    ตั้งแต่ปีนั้น เป็นต้นมา ผมวนเวียน รอวิ่งซืี้อเบียร์ ให้ "กู๋หว่าง" ตลอด ....
    จนเข้าไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพ...

    ความทรงจำเกี่ยวกับละแวกบ้านของผม
    ก็ค่อยๆจางลง
    ตามวันเวลาที่ผ่านไป....
    สมัยที่ผมยังเด็ก... ในละแวกบ้าน... ตึกที่หลังใหญ่สุดแถวนั้น ก็คงจะเป็น "คูย่งล้ง" เป็นตึกที่ผมฝันอยู่ตลอดว่า ถ้าวันหนึ่งได้ขึ้นไปชั้นบนสุด (ตอนนั้น ยังไม่รู้จักคำว่า ดาดฟ้า) แล้วได้มองลงมายังด้านล่าง คงจะแจ่ม น่าดู... ตึกนี้ ดูแปลกตา ดูมี"อะไร" มากกว่าตึกแถวในสมัยนั้น ผมมีโอกาสได้พูดคุย สอบถาม กับทายาทรุ่นที่3 ของตึกนี้ ได้ความว่า อาคารหลังนี้ ออกแบบโดยสถาปนิก ซึ่งเป็น "อา" ของเจ้าของตึก ซึ่งจบ สถาปัตยกรรมศาสตร์ จากลาดกระบัง ..... เหมือนที่ผมคิดเลย ว่า อาคารถึงมี ครีบ มีพื้นที่เปิดโล่งกลางตัวบ้าน เพื่อนำแสงธรรมชาติมาให้ความสว่างแก่ภายในอาคาร... ถัด"คูย่งล้ง"มาทางเหนือ ตอนนี้ เป็นร้าน บาร์บีกริลล์ เมื่อก่อนนี้ ส่วนตรงนี้จะเป็นตรอก ลึกเข้าไปข้างใน.... ในตรอกนี้ มีครอบครับหนึ่ง สามีชื่อแอ้ เมียชื่อ จัน ครอบครัวนี้มีอาชีพตัดผ้า เย็บผ้า และเลี้ยงหมู เมื่อก่อนนั้น ในตรอกนั้น จะมีโรงหมูด้วย ในยามที่เด็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกับผม จะไปตกปลาริมตลิ่ง พวกเราก็จะไปขุดเอาไส้เดือนแดงแถวๆโรงหมู เพื่อเอาไปเกี่ยวเบ็ด เมื่อเป็นโรงหมู ก็แน่ละครับ กลิ่นตลบอบอวล ไปทั้งย่าน ยิ่งเวลาหน้าฝน อากาศชื้นๆนะครับ ไม่ต้องไปพูดถึงเลย... แถวปากตรอกเลี้ยงหมู เคยมีร้านอาหาร ชื่อ"มุ่ยสูน" ไปเปิดอยู่พักนึง ร้านนี้ จำหน่ายอาหารจีน อาหารตามสั่ง คงพอจะเทียบได้กับร้านอาหารระดับเหลาได้ เพราะในเวลานั้นร้านอาหารตามสั่งไม่ได้มีดาษดื่นแบบทุกวันนี้ ร้าน "มุ่ยสูน" นี้ เคยมาเปิด ตรงหัวมุม ที่เป็นร้าน "เตี๋ยวเต็มโต๊ะ" ในปัจจุบัน อยู่พักหนึ่ง "มุ่ยสูน" ตรงหัวมุมนี้ เป็นร้านที่ทำให้ผมรู้จัก "เบียร์สิงห์" เป็นครั้งแรกในชีวิต.... . . ในปีนั้น ... ผมอยู่ชั้น ป3.หรือ ป4.นี่แหละ.. ปกติแล้วครอบครัวคนจีน มักจะมีประเพณีไหว้บรรพบุรุษ ปีนั้น ญาติๆ ทางแม่ ก็มารวมตัวไหว้บรรพบุรุษที่บ้านที่ผมอยู่ เพราะอาม่า เป็นศูนย์กลางของลูกๆ พอไหว้เสร็จก็จะเอาอาหารเหล่านั้น มาทานร่วมกัน เด็กก็โต๊ะหนึ่ง... ผู้ใหญ่ก็โต๊ะหนึ่ง... แต่..ผมกลับไม่ได้ไปนั่งทาน ผมไปเดินเตร็ดเตร่แถวๆโต๊ะผู้ใหญ่ ญาติๆก็กินไป คุยไป คราวนี้ ลุงของผม คือ "ลุงสว่าง" ซึ่งผมเรียกแกว่า "กู๋หว่าง" เห็นผมวนเวียนแถวนั้นเลยบอกว่า "เฮ้ย ป้อม ลื้อเดินไปซื้อเบียร์ให้อั๊วหน่อย เอาเบียร์สิงห์นะ 2ขวด " พร้อมเอาเงินขยุ้มนึง ยัดใส่มือผม ผมก็เดินข้ามตรงไปร้าน "มุ่ยสูน" หัวมุมถนน พร้อมซื้อเบียร์สิงห์ตามสั่ง ผมยังจำได้... ระหว่างหิ้วเบียร์ เดินกลับบ้าน ต้องผ่านร้าน "คูย่งล้ง" ด้วยความที่ว่ายังเด็ก ไม่ประสา เดินไปก็เขย่าถุงใส่เบียร์ไป จนเถ้าแก่ "คูย่งล้ง" เห็นเข้า เลยร้องเตือนว่า "อย่าเขย่านะ เดี๋ยวตอน เปิด มันจะพุ่งออกมา" ผมเลยค่อยๆ ประคองเบียร์2ขวด นั้นจนส่งถึงมือ "กู๋หว่าง" พร้อมตังทอน แล้วผมก็หันหลัง เพื่อจะไปเล่นกะพี่น้อง เด็กๆ.. "เดี๋ยวก่อน" กู๋หว่างเรียกผม "เอาเงินทอนไปกินขนม".... โอ้โห! ผมนี่ลิงโลดเลยทีเดียว เงิน10กว่า 20บาทสมัย30กว่าปีก่อน นี่ มันเยอะมาก! ยิ่งในความรู้สึกของเด็กน้อยที่ได้เงินไปโรงเรียนวันละ2บาท... อย่างผม... ผมจำได้ว่า... ตั้งแต่ปีนั้น เป็นต้นมา ผมวนเวียน รอวิ่งซืี้อเบียร์ ให้ "กู๋หว่าง" ตลอด .... จนเข้าไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพ... ความทรงจำเกี่ยวกับละแวกบ้านของผม ก็ค่อยๆจางลง ตามวันเวลาที่ผ่านไป....
    Like
    2
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • #บันทึกความทรงจำ
    เช้าวันเสาร์ที่ 14 กันยายา 2567
    ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 10
    กำลังนั่งฟั่งข่าวสารเรื่องงับลับ
    #บันทึกความทรงจำ เช้าวันเสาร์ที่ 14 กันยายา 2567 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 10 กำลังนั่งฟั่งข่าวสารเรื่องงับลับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • #อรุณสวัสดิ์แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงทุกท่านคร๊าบบบ
    #ว่าด้วยโพสนี้ของป้าโจววววว
    มีใจความหลักที่ลงไว้คือ
    "ขอเตือนทุกคนตรงนี้นะคะ
    หยุดปั่นกระแสรุมด่าผู้หญิงด้วยข้อกล่าวหาผิดๆได้แล้ว เหมือนสื่อและสังคมกำลังสนุกสนานกับการรุมเหยียบฝ่ายหญิงให้จมธรณี ราวกับฝูงไฮยีน่าฉีกเนื้อเหยื่อ ทั้งที่มันเป็นข้อกล่าวหาผิดๆที่ถูกตีตกไปแล้ว"
    ถูกตีตกอาราย งงงง
    .....................................
    ประเด็นที่หนึ่งงงงง
    การที่ผู้ชายทั้งวงการมารุมเหยียบผู้หญิงที่เคยรักให้มิด เงยหัวขึ้นมาไม่ได้ มันอัปลักษณ์จนเกินไปค่ะ
    #ตอบ ไม่ได้รุมผู้ญ. กำลังเปิดขบวนการกามิจแอนเดอะแก๊vvvvvส์ ที่แต่งสตอรี่ร่วมกับเอเจนซี่กิมจิ สร้างความน่าสงสารเห็นใจ หวังได้ติ๊กเกอร์แล้วแบ่งตังค์กัน ต้มคนไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก แยกแยะหน่อย อิป้า
    ------------------------
    ประเด็นที่ฉอง
    บทสุดท้ายในคลิปที่พี่โจบอกแบบนั้น เพราะเป็นการคุยจบใหม่ๆ คืนวันที่ 6 กย. พี่โจอยากให้ความทรงจำที่แสนดีปิดฉากลงได้แบบสวยงาม ไม่ทำร้ายใคร จึงเขียนแบบเป็นกลางและเป็นธรรมให้กับทั้งกามินและชาลี
    #ตอบ ถ้าความทรงจำที่แสนดี เน็กจะมานั่งไลฟ์ด้วยความอัดอั้นตั้งแต่เที่ยงคืนยันเช้าหรือ อิป้า ไหนความเป็นธรรม พี่คิงส์เห็นแต่ความลำเอียง แล้วสุดท้าย พวกจิตอ่อนก็พาทัวร์ไปลงแน็ก ตลกมากอิป้า
    ..............................
    ประเด็นที่ฉาม
    แต่ความเป็นจริงที่ตามหลังมา มันโหดร้ายกว่าที่คาดไว้
    และยิ่งมาถึงตอนนี้ยิ่งเล่นกันถึงขั้น #ไร้มนุษยธรรม !
    #ตอบ สิ่งที่กามิจเจอ ก็คือสิ่งที่กามิจทำ แค่มีคนมาเปิดเผยความจริง อิป้ารับไม่ได้ ความจริงยังไง อ่านต่อ
    ----------------------------------
    ประเด็นที่ฉี่
    ปล. 1 ขอเพิ่ม “คนไทยหลอกง่าย” กามินไม่เคยพูดนะคะ เพื่อนของผู้ช่วยฝ่ายชายพูด
    #ตอบ ไม่แปลกใจ ไปถามมิจ มิจคงตอบแหละ "ฉานพูดจริง" ก็ต้องออกตัวแบบนี้ เพราะไม่ได้มีใครอัดเทป บันทึกเสียงเรื่องนี้ไว้
    แต่ๆๆๆๆ
    ป้าโจ ต้องตั้งสติ และทำความเข้าใจกับความจริงที่ป้าหนีไม่ได้แก้ยังไงก็ไม่พ้น
    สิ่งที่กามินพูดในไลฟ์ ตอนยังปากกล้าๆ ได้ถูกแปลออกมาแล้ว
    "ฉันเลิกกับเขาคนนั้นตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม (ไม่เอ่ยชื่อเน็ก) ฉันภูมิใจในตัวเองที่ยืนอยู่บนจุดนี้ได้ เพราะตัวฉันเอง ที่ซื่อสัตย์ และจริงใจ และความสามารถของฉันเอง (ไม่ได้กล่าวถึงเน็กชาลีเลยแม้แต่น้อยว่าเป็นคนทำให้คนไทยรู้จักเธอ) ฉันพอใจในรายได้จากการ pk ของฉันอยู่แล้ว ตอนอยู่ที่เกาหลี ฉันยอมเสี่ยง อุตส่าห์มาเมืองไทยเพื่อเรียนรุ้จักชาลี
    ตอนนี้เดินออกมาแล้วรู้สึกโล่งขึ้นเยอะ
    ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันดังและมีชื่อเสียงด้วยตัวฉันเอง ฉันเป็นอินฟูลที่มีความสุข มีรายได้ที่ดีอยู่ที่เกาหลี และที่ไปประเทศไทย ก็ไม่ได้อยากไป แต่เพราะชาลีชวนไป ก็ไป และก็ไม่ต้องมาอิจฉาฉันที่ฉันดังและมีชื่อเสียง อยากดังก็ไปทำช่องเองสิ แบบฉันเนี่ยดังได้โดยไม่ต้องได้รับการซัพพอตจากใคร แล้วถ้าใครดูฉันแล้วไม่ชอบ ก็อันฟอลไปได้เลย ฉันไม่ได้รู้สึกอะไร"
    คนเกาหลีแท้ๆแปลเองเลย โดยไม่ได้ผ่านการดัดแปลงของทีมป้าด้วยการแปลภาษาหลงทิศหลงทาง
    เอาแค่นี้ ที่ป้าแถถถไม่ได้ ลบความจริงไม่ได้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนไทยตาสว่าง
    แม้ป้าและทีมงานเอเจนซี่พยายามมาแก้เกมส์ทีหลัง ให้อิเหวิงให้สัมภาษณ์สื่อมาอวยชาลีรัวๆ แต่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวที่อิเหวิงกาฝากมันพูดด้วยตัวของมันเอง
    ข้อที่สองที่แถถถไม่ได้คือ
    กามินมีเอเจนซี่จริง ตั้งแต่สร้างสตอรี่กินมาม่า ไลฟ์ทั้งวันทั้งคืน เรียกร้องความเห็นใจ กามินบอกเองว่ามีรายได้เดือนละเจ็ดแปดหมื่นไม่ได้ลำบาก แล้วป้าว่าข้อมูลไม่จริงตรงไหน
    ----------------------------------------
    ประเด็นที่ (เท่าไหรแล้วไม่ได้นับ)
    ปล. 2 ขอเตือนคุณสนธิ ลิ้ม อย่าเล่นประเด็นเหยียบย่ำผู้หญิงด้วยข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ จากข้อมูลที่ได้รับมาแบบเอียงข้างเลยค่ะ
    เช็คข้อเท็จจริงดีๆก่อนค่ะ อย่าสร้างเวรสร้างกรรมให้กับ “เหยื่อ” เลย
    #ตอบ เมิงไปเตือนอะไรเค้า อย่าทาลึ่งเล่นข้ามรุ่น เค้าผู้ใหญ่แล้วข้อมูลเค้าแน่น ต่อสู้เพื่อความถูกต้องตั้งแต่ป้ายังเล่นปั่นแปะอยู่เลย เรื่องข้อมูลแค่นี้ป้าก็ยังแยกไม่ออกเลย ใครโดนกระทำใครถูกกระทำ หลงจนไม่ลืมหูลืมตา ข้อมูลที่ว่าเอียงข้าง
    1. คลิปที่กามิจออกมาพูดเอง ว่าตัวเองดังเองไม่ต้องมีใครซัพพอต
    หรือ
    2. พฤติกรรมของกามิจที่มีพยานรู้เห็นกันทั่วทั้งเรื่องขอส่วนแบ่งสติ๊กเกอร์ ทั้งเรื่องขอเข้าซีนไลฟ์ชาลี ก็เพื่อติ๊กเกอร์
    3. หรือคลิปที่ถ่ายเต้นแร้งเต้นกา หรือ อ่านบทภาษาไทย ทำท่าแสดงร้องไห้ไปหัวเราะไป
    เรื่องไหนฟร๊ะที่ไม่จริง อิป้า
    อ่านปากให้ดีนะ
    ทุกอย่างที่ทำให้คนไทยชัง มาจากตัวกามิจเอง อย่าโทษใคร
    -----------------------------------------
    ประเด็นสุดท้ายอันนี้ชอบ
    ปล. ใครจะมาท้าชนกับเจ้เรื่องนี้แม่ไขว้แหลก เตรียมทำใจไว้ด้วย
    #ตอบ ป้าโจ ยังไม่รู้จักเพจคิงส์โพธิ์แดงดีพอ
    มาลองกันซักตั้ง
    อยากรู้ว่าป้าจะมีฤทธิ์เดชแค่ไหน เอาทัวร์ไปลงแน๊กรัวๆ หงายการ์ดความเป็นหญิงถูกรุงแก
    เริ่มสงสัยแล้วหละ ว่าที่ป้าทำ ป้าทำด้วยรักกามิจ
    หรือป้าและทีมงาน มีเอี่ยวกับผลประโยชน์เอเจนซี่กิมจิรึเปล่าน้าาาาา
    ออกตัวแร๊งๆ แน๊กคนถูกกกระทำชัดๆ ไหงเอาเวลามาช่วยอิเหวิง
    และปกป้องการเปิดความจริงที่กิมจิต้มคนไทย สรุปยังไง
    อิป้า เอาความจริง
    อิเหวิงน่าฉงฉานตรงไหน มันยังเต้นเย้ยหนุกหนาน พร้อมหอบตังกลับบ้านเป็นหลายสิบล้าน
    ในขณะที่ชาลี ต้องรับผิดชอบทั้งสิ่งที่อยู่ในปัจจุบัน และอดีตมากี่สิบล้านเพราะรักกามิน วงในจริงทำไมไม่รู้ห่านอะไรเลย แล้วชาลียังต้องมานั่งปวดหัวกับพวกด้อมที่ป้าสร้างเอาทั่วร์ไปลงอีกนี่สิ สำนึกหน่อย ต้องยืนข้างใคร
    มนุษป้าชื่อโจ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #อรุณสวัสดิ์แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงทุกท่านคร๊าบบบ #ว่าด้วยโพสนี้ของป้าโจววววว มีใจความหลักที่ลงไว้คือ "ขอเตือนทุกคนตรงนี้นะคะ หยุดปั่นกระแสรุมด่าผู้หญิงด้วยข้อกล่าวหาผิดๆได้แล้ว เหมือนสื่อและสังคมกำลังสนุกสนานกับการรุมเหยียบฝ่ายหญิงให้จมธรณี ราวกับฝูงไฮยีน่าฉีกเนื้อเหยื่อ ทั้งที่มันเป็นข้อกล่าวหาผิดๆที่ถูกตีตกไปแล้ว" ถูกตีตกอาราย งงงง ..................................... ประเด็นที่หนึ่งงงงง การที่ผู้ชายทั้งวงการมารุมเหยียบผู้หญิงที่เคยรักให้มิด เงยหัวขึ้นมาไม่ได้ มันอัปลักษณ์จนเกินไปค่ะ #ตอบ ไม่ได้รุมผู้ญ. กำลังเปิดขบวนการกามิจแอนเดอะแก๊vvvvvส์ ที่แต่งสตอรี่ร่วมกับเอเจนซี่กิมจิ สร้างความน่าสงสารเห็นใจ หวังได้ติ๊กเกอร์แล้วแบ่งตังค์กัน ต้มคนไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก แยกแยะหน่อย อิป้า ------------------------ ประเด็นที่ฉอง บทสุดท้ายในคลิปที่พี่โจบอกแบบนั้น เพราะเป็นการคุยจบใหม่ๆ คืนวันที่ 6 กย. พี่โจอยากให้ความทรงจำที่แสนดีปิดฉากลงได้แบบสวยงาม ไม่ทำร้ายใคร จึงเขียนแบบเป็นกลางและเป็นธรรมให้กับทั้งกามินและชาลี #ตอบ ถ้าความทรงจำที่แสนดี เน็กจะมานั่งไลฟ์ด้วยความอัดอั้นตั้งแต่เที่ยงคืนยันเช้าหรือ อิป้า ไหนความเป็นธรรม พี่คิงส์เห็นแต่ความลำเอียง แล้วสุดท้าย พวกจิตอ่อนก็พาทัวร์ไปลงแน็ก ตลกมากอิป้า .............................. ประเด็นที่ฉาม แต่ความเป็นจริงที่ตามหลังมา มันโหดร้ายกว่าที่คาดไว้ และยิ่งมาถึงตอนนี้ยิ่งเล่นกันถึงขั้น #ไร้มนุษยธรรม ! #ตอบ สิ่งที่กามิจเจอ ก็คือสิ่งที่กามิจทำ แค่มีคนมาเปิดเผยความจริง อิป้ารับไม่ได้ ความจริงยังไง อ่านต่อ ---------------------------------- ประเด็นที่ฉี่ ปล. 1 ขอเพิ่ม “คนไทยหลอกง่าย” กามินไม่เคยพูดนะคะ เพื่อนของผู้ช่วยฝ่ายชายพูด #ตอบ ไม่แปลกใจ ไปถามมิจ มิจคงตอบแหละ "ฉานพูดจริง" ก็ต้องออกตัวแบบนี้ เพราะไม่ได้มีใครอัดเทป บันทึกเสียงเรื่องนี้ไว้ แต่ๆๆๆๆ ป้าโจ ต้องตั้งสติ และทำความเข้าใจกับความจริงที่ป้าหนีไม่ได้แก้ยังไงก็ไม่พ้น สิ่งที่กามินพูดในไลฟ์ ตอนยังปากกล้าๆ ได้ถูกแปลออกมาแล้ว "ฉันเลิกกับเขาคนนั้นตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม (ไม่เอ่ยชื่อเน็ก) ฉันภูมิใจในตัวเองที่ยืนอยู่บนจุดนี้ได้ เพราะตัวฉันเอง ที่ซื่อสัตย์ และจริงใจ และความสามารถของฉันเอง (ไม่ได้กล่าวถึงเน็กชาลีเลยแม้แต่น้อยว่าเป็นคนทำให้คนไทยรู้จักเธอ) ฉันพอใจในรายได้จากการ pk ของฉันอยู่แล้ว ตอนอยู่ที่เกาหลี ฉันยอมเสี่ยง อุตส่าห์มาเมืองไทยเพื่อเรียนรุ้จักชาลี ตอนนี้เดินออกมาแล้วรู้สึกโล่งขึ้นเยอะ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันดังและมีชื่อเสียงด้วยตัวฉันเอง ฉันเป็นอินฟูลที่มีความสุข มีรายได้ที่ดีอยู่ที่เกาหลี และที่ไปประเทศไทย ก็ไม่ได้อยากไป แต่เพราะชาลีชวนไป ก็ไป และก็ไม่ต้องมาอิจฉาฉันที่ฉันดังและมีชื่อเสียง อยากดังก็ไปทำช่องเองสิ แบบฉันเนี่ยดังได้โดยไม่ต้องได้รับการซัพพอตจากใคร แล้วถ้าใครดูฉันแล้วไม่ชอบ ก็อันฟอลไปได้เลย ฉันไม่ได้รู้สึกอะไร" คนเกาหลีแท้ๆแปลเองเลย โดยไม่ได้ผ่านการดัดแปลงของทีมป้าด้วยการแปลภาษาหลงทิศหลงทาง เอาแค่นี้ ที่ป้าแถถถไม่ได้ ลบความจริงไม่ได้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนไทยตาสว่าง แม้ป้าและทีมงานเอเจนซี่พยายามมาแก้เกมส์ทีหลัง ให้อิเหวิงให้สัมภาษณ์สื่อมาอวยชาลีรัวๆ แต่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวที่อิเหวิงกาฝากมันพูดด้วยตัวของมันเอง ข้อที่สองที่แถถถไม่ได้คือ กามินมีเอเจนซี่จริง ตั้งแต่สร้างสตอรี่กินมาม่า ไลฟ์ทั้งวันทั้งคืน เรียกร้องความเห็นใจ กามินบอกเองว่ามีรายได้เดือนละเจ็ดแปดหมื่นไม่ได้ลำบาก แล้วป้าว่าข้อมูลไม่จริงตรงไหน ---------------------------------------- ประเด็นที่ (เท่าไหรแล้วไม่ได้นับ) ปล. 2 ขอเตือนคุณสนธิ ลิ้ม อย่าเล่นประเด็นเหยียบย่ำผู้หญิงด้วยข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ จากข้อมูลที่ได้รับมาแบบเอียงข้างเลยค่ะ เช็คข้อเท็จจริงดีๆก่อนค่ะ อย่าสร้างเวรสร้างกรรมให้กับ “เหยื่อ” เลย #ตอบ เมิงไปเตือนอะไรเค้า อย่าทาลึ่งเล่นข้ามรุ่น เค้าผู้ใหญ่แล้วข้อมูลเค้าแน่น ต่อสู้เพื่อความถูกต้องตั้งแต่ป้ายังเล่นปั่นแปะอยู่เลย เรื่องข้อมูลแค่นี้ป้าก็ยังแยกไม่ออกเลย ใครโดนกระทำใครถูกกระทำ หลงจนไม่ลืมหูลืมตา ข้อมูลที่ว่าเอียงข้าง 1. คลิปที่กามิจออกมาพูดเอง ว่าตัวเองดังเองไม่ต้องมีใครซัพพอต หรือ 2. พฤติกรรมของกามิจที่มีพยานรู้เห็นกันทั่วทั้งเรื่องขอส่วนแบ่งสติ๊กเกอร์ ทั้งเรื่องขอเข้าซีนไลฟ์ชาลี ก็เพื่อติ๊กเกอร์ 3. หรือคลิปที่ถ่ายเต้นแร้งเต้นกา หรือ อ่านบทภาษาไทย ทำท่าแสดงร้องไห้ไปหัวเราะไป เรื่องไหนฟร๊ะที่ไม่จริง อิป้า อ่านปากให้ดีนะ ทุกอย่างที่ทำให้คนไทยชัง มาจากตัวกามิจเอง อย่าโทษใคร ----------------------------------------- ประเด็นสุดท้ายอันนี้ชอบ ปล. ใครจะมาท้าชนกับเจ้เรื่องนี้แม่ไขว้แหลก เตรียมทำใจไว้ด้วย #ตอบ ป้าโจ ยังไม่รู้จักเพจคิงส์โพธิ์แดงดีพอ มาลองกันซักตั้ง อยากรู้ว่าป้าจะมีฤทธิ์เดชแค่ไหน เอาทัวร์ไปลงแน๊กรัวๆ หงายการ์ดความเป็นหญิงถูกรุงแก เริ่มสงสัยแล้วหละ ว่าที่ป้าทำ ป้าทำด้วยรักกามิจ หรือป้าและทีมงาน มีเอี่ยวกับผลประโยชน์เอเจนซี่กิมจิรึเปล่าน้าาาาา ออกตัวแร๊งๆ แน๊กคนถูกกกระทำชัดๆ ไหงเอาเวลามาช่วยอิเหวิง และปกป้องการเปิดความจริงที่กิมจิต้มคนไทย สรุปยังไง อิป้า เอาความจริง อิเหวิงน่าฉงฉานตรงไหน มันยังเต้นเย้ยหนุกหนาน พร้อมหอบตังกลับบ้านเป็นหลายสิบล้าน ในขณะที่ชาลี ต้องรับผิดชอบทั้งสิ่งที่อยู่ในปัจจุบัน และอดีตมากี่สิบล้านเพราะรักกามิน วงในจริงทำไมไม่รู้ห่านอะไรเลย แล้วชาลียังต้องมานั่งปวดหัวกับพวกด้อมที่ป้าสร้างเอาทั่วร์ไปลงอีกนี่สิ สำนึกหน่อย ต้องยืนข้างใคร มนุษป้าชื่อโจ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2824 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกไว้เป็นความทรงจำ : วันที่ 9 เดือน 9 มีผู้ติดตามเพจ #Newskit ใน #Thaitimes 99 คน ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
    บันทึกไว้เป็นความทรงจำ : วันที่ 9 เดือน 9 มีผู้ติดตามเพจ #Newskit ใน #Thaitimes 99 คน ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวประชาสัมพันธ์
    เกี่ยวกับโครงการบทเพลงเทิดพระเกียรติ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี
    ========================================
    .
    โครงการบทเพลงเทิดพระเกียรติ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี เกิดขึ้นจากการริเริ่มของสมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมป์ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับศิลปินกลุ่มนักประพันธ์เพลงจิตอาสา และคณะบุคคลผู้มีความจงรักภักดี นำโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ศิลปินศิลปาธร สาขาดนตรีปี พ.ศ.2560 ได้ร่วมกันสร้างสรรค์และจัดทำอัลบั้มบทเพลงเทิดพระเกียรติถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงขึ้น โดยมีจุดประสงค์นอกจากเพื่อเทิดพระเกียรติแล้ว ยังเป็นการนำเสนอบทเพลงที่ถ่ายทอดเรื่องราวอันซาบซึ้งประทับใจและเป็นที่จดจำของปวงชนชาวไทยเกี่ยวกับพระองค์ท่านจำนวนทั้งสิ้น ๑๐ บทเพลง ในการนี้ พงศ์พรหม หัวหน้าโครงการที่ดูแลในส่วนของการสร้างสรรค์บทเพลงได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของงานว่า...
    .
    "ผมจะมีความคุ้นเคยกับศิลปินนักร้องกลุ่มหนึ่งที่ถวายงานการแสดงให้สมเด็จพระพันปีฯ มานานนับสิบปี อาทิเช่น คุณอิสริยา คูประเสริฐ คุณกันยารัตน์ กุยสุวรรณ พันเอกนายแพทย์วิภู กำเหนิดดี คุณอภิภู โสรพิมาย.. เรามักสนทนากันบ่อยๆ ว่าสมเด็จพระพันปีท่านไม่มีเพลงของพระองค์ท่านให้นึกถึงได้เลย เราก็ช่วยกันคิดว่ามีเพลงอะไรบ้างนะที่เราพอจะคุ้นเคย ก็นึกไม่ออก เราก็เลยเอ่ยปากตั้งใจกันไว้ว่าสักวันเมื่อมีโอกาสอำนวยเรามาช่วยกันทำเพลงถวายพระองค์ท่านสักชุดหนึ่งดีไหม ทุกคนก็เห็นว่าดี ก็ลั่นวาจากันไว้อย่างนั้น จนกระทั่งเมื่อต้นปีที่แล้ว พ.ศ. 2565 เป็นปีที่สมเด็จพระพันปีหลวงฯ ท่านจะมีพระชนมายุครบ 90 พรรษา ผมก็คิดว่านี่แหละที่เป็นโอกาสที่ดี ก็เลยนัดมาเจอกันแล้วเริ่มงานกันตั้งแต่เดือนกรกฏาคม 2565 โดยตั้งใจว่าต้องทำให้เสร็จสองเพลงก่อน ให้ทันวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 12 สิงหาคม 2565 ก็มีเพลงแรกชื่อ "เพลงไหมแพรวา" คุณดลชัย บุณยะรัตเวช ขับร้อง อีกเพลงชื่อ "สุดหัวใจ" คุณกันยารัตน์ กุยสุวรรณ ขับร้อง ก็ทำกันเสร็จทันออกมาให้ได้ฟังกันในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาปีที่แล้ว จากนั้นเราก็แต่งเพลงเพิ่ม มีนักร้องมาร่วมอีกหลายคน อาทิ คุณสุนทรี เวชานนท์ คุณปาน ธนพร แวกประยูร ม.ล.วันรัชดา วรวุฒิ กลุ่มนักร้องเยาวชนจากว๊อยซ์อคาเดมีหกคน.. ได้ทำการบันทึกเสียงมาเรื่อยๆ จนเสร็จสิ้นครบทั้ง 10 เพลงเมื่อเดือนมกราคม 2566 ต้นปีนี้เอง โดยที่ศิลปินทุกคนไม่ว่าจะขับร้องหรือเล่นดนตรี รวมทั้งนักแต่งเพลงที่มาช่วยกันทำงานทุกคน ต่างมาร่วมกันทำงานนี้ถวายด้วยจิตอาสา ไม่มีใครคิดค่าทำงานใดๆ ทั้งสิ้น"...
    .
    "แต่แน่นอนว่าการทำงานโครงการขนาดนี้ย่อมมีค่าใช้จ่าย ในขั้นแรกก็มีเพื่อนๆ ที่มีความจงรักภักดีสองสามท่านช่วยกันสนับสนุนให้งานเริ่มดำเนินไปได้ ต่อมาเนื่องจากผมเป็นนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ผมนำโครงการไปปรึกษากับเพื่อนนักเรียนเก่าราชวิทย์ด้วยกัน คือ พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส ก็เลยได้สมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มาสนับสนุนงบประมาณในขั้นตอนการบันทึกเสียง ประสานงานหาผู้สนับสนุนในส่วนของห้องบันทึกเสียง การผลิตมิวสิควิดิโอ การผลิตแพคเกจ จนกระทั่งกระบวนการสร้างสรรค์ทั้งหมดสำเร็จเสร็จสิ้น"...
    .
    "เมื่อผลงานทั้งหมดบันทึกเสียงเสร็จ ผมได้นำโครงการไปเรียนปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่อีกสองท่านว่าจะทำการเผยแพร่โครงการออกไปอย่างไรบ้าง ท่านแรกคือคุณสมยศ เกียรติอร่ามกุล ผู้บริหารท่านหนึ่งของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และอีกท่านคือ คุณประสพ เรียงเงิน ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้จึงได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมโดยทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสจะทำการผลิตสารคดีเพลงจำนวนหกเรื่อง และละครเทิดพระเกียรติอีกสามเรื่อง โดยทางกระทรวงวัฒนธรรมจะรับผิดชอบในการดูแลและเผยแพร่คอนเท้นท์ ประชาสัมพันธ์ทางภาครัฐและสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองและถวายพระพรในช่วงวโรกาสวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 12 สิงหาคม 2566 ที่กำลังจะมาถึงนี้"
    .
    โครงการอัลบั้มบทเพลงเทิดพระเกียรตินี้ จะทำการผลิตออกมาในรูปของแพคเกจที่ประณีตสวยงามสมพระเกียรติ กล่องบรรจุใช้กระดาษรีไซเคิลของไทยและหมึกถั่วเหลืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในแพคเกจประกอบไปด้วยภาพวาดปกพระฉายาสาทิสลักษณ์โดยศิลปินทัศนศิลป์ นิติกร กรัยวิเชียร โปสการ์ดภาพวาดพระฉายาสาทิสลักษณ์ โดยศิลปินทัศนศิลป์ สุวิทย์ ใจป้อม จำนวน 10 ภาพ ภาพประกอบด้านในโดยศิลปิน ปันนรัตน์ บวรภัคพาณิช และเครดิตการ์ดยูเอสบีขนาดความจุ 16 กิกาไบ๊ต์ ท่ีบรรจุไฟล์เพลงรายละเอียดสูงทั้งสิบเพลง ทั้งแบบเพลงเต็มและแบ๊คกิ้งแทร็ค ไฟล์มิวสิควิดิโอขนาดฟูลเอชดีทั้งสิบเพลง และข้อมูลของบทเพลงในอัลบั้ม
    .
    แพคเกจอัลบั้มนี้จะไม่มีวางจำหน่าย แต่จะเผยแพร่ผ่านทางกิจกรรมที่ไม่แสวงผลกำไรทางการค้าเท่านั้น ผู้ที่สนใจทั่วไปสามารถดาวน์โหลดไฟล์บทเพลงได้ฟรีผ่านทางเฟซบุ๊คเพจของโครงการ https://www.facebook.com/songsforqueensirikit/
    (หรือตามลิ๊งค์ที่อยู่ล่างสุดในโพสนี้)
    รักพระพันปี กรุณาช่วยกันกดไล๊ค์ กดแชร์ ร่วมกันเผยแพร่
    .
    .
    ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักของโครงการที่ให้ความอนุเคราะห์จนโครงการ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปีนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ได้แก่..
    - สมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
    - สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
    - กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
    - บริษัท ธนัทเฮิร์บ พาณิชย์ จำกัด
    - บริษัท IFCG จำกัด (มหาชน)
    - บริษัท พีที พลัส จำกัด
    - บริษัท ลอรีส จำกัด (ออด๊าซ)
    - บริษัท ไทย ทีเอเอ็น อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด
    .
    ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบทเพลงทั้งสิบเพลง
    ในอัลบั้มชุดนี้บทเพลงที่ประพันธขึ้นประกอบด้วยบทเพลงทั้งสิ้น ๑๐ เพลง ดังนี้
    .
    ๑. บทเพลงชื่อ "เพลงไหมแพรวา" ขับร้องโดย ดลชัย บุณยะรัตเวช ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ภาณุ เทศะศิริ เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผ้าไหมแพรวาที่สมเด็จพระพันปีทรงอุปถัมภ์จนกลายเป็นราชินีผ้าไหมไทยที่เลื่องลือทั่วโลก
    .
    ๒. บทเพลงชื่อ "สุดหัวใจ" ขับร้องโดย กันยารัตน์ กุยสุวรรณ ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ศรีจิตรา นานานุกูล เรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เป็นการถ่ายทอดความรักความผูกพันที่พสกนิกรชาวไทยมีต่อสมเด็จพระพันปีผ่านมุมมองข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่
    .
    ๓. บทเพลงชื่อ "ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ" ขับร้องโดย ดลชัย บุณยะรัตเวช ประพันธ์ทำนอง-คำร้องและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องของชาวนาและเกษตรแผนใหม่ตามแนวพระราชดำริและการรักษาองค์ความรู้ภูมิปัญญาประเพณีท้องถิ่น
    .
    ๔. บทเพลงชื่อ "โพธิ์ทองของปวงไทย" ขับร้องโดย ด.ญ. มนภทริตา ทองเกิด, ด.ญ. จิรัชญา ศรีนุช, ด.ญ. ธนัชญา ศรีนุช, ด.ญ. ศิตภัทร ตันติเวสส, ด.ญ. นภัสร์นันท์ วงศ์วิวัฒน์, ด.ญ. ปวริศา เติมจิตรอารีย์ ประพันธ์คำร้องโดย ชโลธร ควรหาเวช ประพันธ์ทำนองและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นการบรรยายพระมหากรุณาธิคุณและพระกรณีกิจมากมายที่พระพันปีทรงทุ่มเท ผ่านมุมมองเยาวชน
    .
    ๕. บทเพลงชื่อ "พ่อเป็นน้ำ แม่เป็นป่า" ขับร้องโดย หม่อมหลวงวันรัชดา วรวุฒิ และตัวแทนชาวไทยภูเขาหกเผ่า ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย โอฬาร เนตรหาญ เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามแนวพระราชดำริและความผูกพันของชาวไทยภูเขากับพระพันปีหลวง
    .
    ๖. บทเพลงชื่อ "ภาพพันปี" ขับร้องโดย อิสริยา คูประเสริฐ ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ธนชัย ยงพิพัฒน์วงศ์ และ ชาตรี ทับละม่อม เรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เป็นเพลงพรรณาให้เห็นความรักและความทุ่มเทของพระพันปีที่มีต่อพสกนิกร ผ่านภาพถ่ายมากมายที่ประทับอยู่ในความทรงจำของคนไทยมานานแสนนาน
    .
    ๗. บทเพลงชื่อ "คนโขน" ขับร้องโดย อภิภู โสรพิมาย ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ศรีจิตรา นานานุกูล และ พงศ์พรหม สนิทวงศ์ณ อยุธยา เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเพลงเกี่ยวกับพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระพันปีที่มีต่อนาฏศิลป์โขนไทย
    .
    ๘. บทเพลงชื่อ "กายเราคือเสาหลัก" ขับร้องโดย พันเอกนายแพทย์วิภู กำเนิดดี ประพันธ์ทำนอง-คำร้องและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเพลงเกี่ยวกับตำรวจตระเวนชายแดน ความรักที่พวกเขามีต่อชาติ ต่อสถาบัน และความห่วงใยเมตตาของพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีที่มีต่อพวกเขา
    .
    ๙. บทเพลงชื่อ "ศิลปาชีพ" ขับร้องโดย สุนทรี เวชานนท์ ประพันธ์ทำนองโดย วีระ วัฒนะจันทรกุล ประพันธ์คำร้องโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เรียบเรียงดนตรีโดย วีระ วัฒนะจันทรกุล และ ปวรินทร์ พิเกณฑ์ - ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านศิลปาชีพ โดยถ่ายทอดด้วยภาษาพื้นถิ่นล้านนา
    .
    ๑๐. บทเพลงชื่อ "กางเขนแดง หัวใจขาว" ขับร้องโดย ธนพร แวกประยูร (ปาน ธนพร) ประพันธ์คำร้องโดย ชาตรี ทับละม่อม ประพันธ์ทำนองและเรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เรื่องราวเกี่ยวกับแพทย์พยาบาลที่เสียสละตนเองเพื่อสืบสานปณิธานพระพันปีที่ทรงเป็นสภานายิกาสภากาชาดไทย
    .
    ============================================
    สามารถดาวน์โหลดเพลงทั้งหมดมาฟังฟรีได้ที่
    https://soundcloud.com/pongprom.../sets/rvjqypbout7k...
    (ดาวน์โหลดอยู่ที่เครื่องหมาย ••• บนแทร็ค)
    ============================================
    ต้องการนำบทเพลงไปขับร้องหรือทำกิจกรรม ดาวน์โหลด Backingtrack ที่นี่
    https://soundcloud.com/pongprom.../sets/backingtrack...
    (ดาวน์โหลดอยู่ที่เครื่องหมาย ••• บนแทร็ค)
    -------------------------------------------------------------
    เฟซบุ๊คเพจของโครงการ https://www.facebook.com/songsforqueensirikit/
    .
    สามารถ Streaming เพลงจากอัลบั้ม #คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี ที่...
    .
    Spotify
    https://open.spotify.com/album/3ctqdqlVfGywJ4vLIaE3GE
    .
    ============================================
    รักพระพันปี กรุณาช่วยกันกดไล๊ค์ กดแชร์ ร่วมกันเผยแพร่
    .
    ข่าวประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับโครงการบทเพลงเทิดพระเกียรติ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี ======================================== . โครงการบทเพลงเทิดพระเกียรติ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี เกิดขึ้นจากการริเริ่มของสมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมป์ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับศิลปินกลุ่มนักประพันธ์เพลงจิตอาสา และคณะบุคคลผู้มีความจงรักภักดี นำโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ศิลปินศิลปาธร สาขาดนตรีปี พ.ศ.2560 ได้ร่วมกันสร้างสรรค์และจัดทำอัลบั้มบทเพลงเทิดพระเกียรติถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงขึ้น โดยมีจุดประสงค์นอกจากเพื่อเทิดพระเกียรติแล้ว ยังเป็นการนำเสนอบทเพลงที่ถ่ายทอดเรื่องราวอันซาบซึ้งประทับใจและเป็นที่จดจำของปวงชนชาวไทยเกี่ยวกับพระองค์ท่านจำนวนทั้งสิ้น ๑๐ บทเพลง ในการนี้ พงศ์พรหม หัวหน้าโครงการที่ดูแลในส่วนของการสร้างสรรค์บทเพลงได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของงานว่า... . "ผมจะมีความคุ้นเคยกับศิลปินนักร้องกลุ่มหนึ่งที่ถวายงานการแสดงให้สมเด็จพระพันปีฯ มานานนับสิบปี อาทิเช่น คุณอิสริยา คูประเสริฐ คุณกันยารัตน์ กุยสุวรรณ พันเอกนายแพทย์วิภู กำเหนิดดี คุณอภิภู โสรพิมาย.. เรามักสนทนากันบ่อยๆ ว่าสมเด็จพระพันปีท่านไม่มีเพลงของพระองค์ท่านให้นึกถึงได้เลย เราก็ช่วยกันคิดว่ามีเพลงอะไรบ้างนะที่เราพอจะคุ้นเคย ก็นึกไม่ออก เราก็เลยเอ่ยปากตั้งใจกันไว้ว่าสักวันเมื่อมีโอกาสอำนวยเรามาช่วยกันทำเพลงถวายพระองค์ท่านสักชุดหนึ่งดีไหม ทุกคนก็เห็นว่าดี ก็ลั่นวาจากันไว้อย่างนั้น จนกระทั่งเมื่อต้นปีที่แล้ว พ.ศ. 2565 เป็นปีที่สมเด็จพระพันปีหลวงฯ ท่านจะมีพระชนมายุครบ 90 พรรษา ผมก็คิดว่านี่แหละที่เป็นโอกาสที่ดี ก็เลยนัดมาเจอกันแล้วเริ่มงานกันตั้งแต่เดือนกรกฏาคม 2565 โดยตั้งใจว่าต้องทำให้เสร็จสองเพลงก่อน ให้ทันวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 12 สิงหาคม 2565 ก็มีเพลงแรกชื่อ "เพลงไหมแพรวา" คุณดลชัย บุณยะรัตเวช ขับร้อง อีกเพลงชื่อ "สุดหัวใจ" คุณกันยารัตน์ กุยสุวรรณ ขับร้อง ก็ทำกันเสร็จทันออกมาให้ได้ฟังกันในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาปีที่แล้ว จากนั้นเราก็แต่งเพลงเพิ่ม มีนักร้องมาร่วมอีกหลายคน อาทิ คุณสุนทรี เวชานนท์ คุณปาน ธนพร แวกประยูร ม.ล.วันรัชดา วรวุฒิ กลุ่มนักร้องเยาวชนจากว๊อยซ์อคาเดมีหกคน.. ได้ทำการบันทึกเสียงมาเรื่อยๆ จนเสร็จสิ้นครบทั้ง 10 เพลงเมื่อเดือนมกราคม 2566 ต้นปีนี้เอง โดยที่ศิลปินทุกคนไม่ว่าจะขับร้องหรือเล่นดนตรี รวมทั้งนักแต่งเพลงที่มาช่วยกันทำงานทุกคน ต่างมาร่วมกันทำงานนี้ถวายด้วยจิตอาสา ไม่มีใครคิดค่าทำงานใดๆ ทั้งสิ้น"... . "แต่แน่นอนว่าการทำงานโครงการขนาดนี้ย่อมมีค่าใช้จ่าย ในขั้นแรกก็มีเพื่อนๆ ที่มีความจงรักภักดีสองสามท่านช่วยกันสนับสนุนให้งานเริ่มดำเนินไปได้ ต่อมาเนื่องจากผมเป็นนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ผมนำโครงการไปปรึกษากับเพื่อนนักเรียนเก่าราชวิทย์ด้วยกัน คือ พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส ก็เลยได้สมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มาสนับสนุนงบประมาณในขั้นตอนการบันทึกเสียง ประสานงานหาผู้สนับสนุนในส่วนของห้องบันทึกเสียง การผลิตมิวสิควิดิโอ การผลิตแพคเกจ จนกระทั่งกระบวนการสร้างสรรค์ทั้งหมดสำเร็จเสร็จสิ้น"... . "เมื่อผลงานทั้งหมดบันทึกเสียงเสร็จ ผมได้นำโครงการไปเรียนปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่อีกสองท่านว่าจะทำการเผยแพร่โครงการออกไปอย่างไรบ้าง ท่านแรกคือคุณสมยศ เกียรติอร่ามกุล ผู้บริหารท่านหนึ่งของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และอีกท่านคือ คุณประสพ เรียงเงิน ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้จึงได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมโดยทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสจะทำการผลิตสารคดีเพลงจำนวนหกเรื่อง และละครเทิดพระเกียรติอีกสามเรื่อง โดยทางกระทรวงวัฒนธรรมจะรับผิดชอบในการดูแลและเผยแพร่คอนเท้นท์ ประชาสัมพันธ์ทางภาครัฐและสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองและถวายพระพรในช่วงวโรกาสวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 12 สิงหาคม 2566 ที่กำลังจะมาถึงนี้" . โครงการอัลบั้มบทเพลงเทิดพระเกียรตินี้ จะทำการผลิตออกมาในรูปของแพคเกจที่ประณีตสวยงามสมพระเกียรติ กล่องบรรจุใช้กระดาษรีไซเคิลของไทยและหมึกถั่วเหลืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในแพคเกจประกอบไปด้วยภาพวาดปกพระฉายาสาทิสลักษณ์โดยศิลปินทัศนศิลป์ นิติกร กรัยวิเชียร โปสการ์ดภาพวาดพระฉายาสาทิสลักษณ์ โดยศิลปินทัศนศิลป์ สุวิทย์ ใจป้อม จำนวน 10 ภาพ ภาพประกอบด้านในโดยศิลปิน ปันนรัตน์ บวรภัคพาณิช และเครดิตการ์ดยูเอสบีขนาดความจุ 16 กิกาไบ๊ต์ ท่ีบรรจุไฟล์เพลงรายละเอียดสูงทั้งสิบเพลง ทั้งแบบเพลงเต็มและแบ๊คกิ้งแทร็ค ไฟล์มิวสิควิดิโอขนาดฟูลเอชดีทั้งสิบเพลง และข้อมูลของบทเพลงในอัลบั้ม . แพคเกจอัลบั้มนี้จะไม่มีวางจำหน่าย แต่จะเผยแพร่ผ่านทางกิจกรรมที่ไม่แสวงผลกำไรทางการค้าเท่านั้น ผู้ที่สนใจทั่วไปสามารถดาวน์โหลดไฟล์บทเพลงได้ฟรีผ่านทางเฟซบุ๊คเพจของโครงการ https://www.facebook.com/songsforqueensirikit/ (หรือตามลิ๊งค์ที่อยู่ล่างสุดในโพสนี้) รักพระพันปี กรุณาช่วยกันกดไล๊ค์ กดแชร์ ร่วมกันเผยแพร่ . . ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักของโครงการที่ให้ความอนุเคราะห์จนโครงการ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปีนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ได้แก่.. - สมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ - สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส - กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม - บริษัท ธนัทเฮิร์บ พาณิชย์ จำกัด - บริษัท IFCG จำกัด (มหาชน) - บริษัท พีที พลัส จำกัด - บริษัท ลอรีส จำกัด (ออด๊าซ) - บริษัท ไทย ทีเอเอ็น อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด . ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบทเพลงทั้งสิบเพลง ในอัลบั้มชุดนี้บทเพลงที่ประพันธขึ้นประกอบด้วยบทเพลงทั้งสิ้น ๑๐ เพลง ดังนี้ . ๑. บทเพลงชื่อ "เพลงไหมแพรวา" ขับร้องโดย ดลชัย บุณยะรัตเวช ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ภาณุ เทศะศิริ เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผ้าไหมแพรวาที่สมเด็จพระพันปีทรงอุปถัมภ์จนกลายเป็นราชินีผ้าไหมไทยที่เลื่องลือทั่วโลก . ๒. บทเพลงชื่อ "สุดหัวใจ" ขับร้องโดย กันยารัตน์ กุยสุวรรณ ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ศรีจิตรา นานานุกูล เรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เป็นการถ่ายทอดความรักความผูกพันที่พสกนิกรชาวไทยมีต่อสมเด็จพระพันปีผ่านมุมมองข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ . ๓. บทเพลงชื่อ "ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ" ขับร้องโดย ดลชัย บุณยะรัตเวช ประพันธ์ทำนอง-คำร้องและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องของชาวนาและเกษตรแผนใหม่ตามแนวพระราชดำริและการรักษาองค์ความรู้ภูมิปัญญาประเพณีท้องถิ่น . ๔. บทเพลงชื่อ "โพธิ์ทองของปวงไทย" ขับร้องโดย ด.ญ. มนภทริตา ทองเกิด, ด.ญ. จิรัชญา ศรีนุช, ด.ญ. ธนัชญา ศรีนุช, ด.ญ. ศิตภัทร ตันติเวสส, ด.ญ. นภัสร์นันท์ วงศ์วิวัฒน์, ด.ญ. ปวริศา เติมจิตรอารีย์ ประพันธ์คำร้องโดย ชโลธร ควรหาเวช ประพันธ์ทำนองและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นการบรรยายพระมหากรุณาธิคุณและพระกรณีกิจมากมายที่พระพันปีทรงทุ่มเท ผ่านมุมมองเยาวชน . ๕. บทเพลงชื่อ "พ่อเป็นน้ำ แม่เป็นป่า" ขับร้องโดย หม่อมหลวงวันรัชดา วรวุฒิ และตัวแทนชาวไทยภูเขาหกเผ่า ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย โอฬาร เนตรหาญ เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามแนวพระราชดำริและความผูกพันของชาวไทยภูเขากับพระพันปีหลวง . ๖. บทเพลงชื่อ "ภาพพันปี" ขับร้องโดย อิสริยา คูประเสริฐ ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ธนชัย ยงพิพัฒน์วงศ์ และ ชาตรี ทับละม่อม เรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เป็นเพลงพรรณาให้เห็นความรักและความทุ่มเทของพระพันปีที่มีต่อพสกนิกร ผ่านภาพถ่ายมากมายที่ประทับอยู่ในความทรงจำของคนไทยมานานแสนนาน . ๗. บทเพลงชื่อ "คนโขน" ขับร้องโดย อภิภู โสรพิมาย ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ศรีจิตรา นานานุกูล และ พงศ์พรหม สนิทวงศ์ณ อยุธยา เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเพลงเกี่ยวกับพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระพันปีที่มีต่อนาฏศิลป์โขนไทย . ๘. บทเพลงชื่อ "กายเราคือเสาหลัก" ขับร้องโดย พันเอกนายแพทย์วิภู กำเนิดดี ประพันธ์ทำนอง-คำร้องและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเพลงเกี่ยวกับตำรวจตระเวนชายแดน ความรักที่พวกเขามีต่อชาติ ต่อสถาบัน และความห่วงใยเมตตาของพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีที่มีต่อพวกเขา . ๙. บทเพลงชื่อ "ศิลปาชีพ" ขับร้องโดย สุนทรี เวชานนท์ ประพันธ์ทำนองโดย วีระ วัฒนะจันทรกุล ประพันธ์คำร้องโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เรียบเรียงดนตรีโดย วีระ วัฒนะจันทรกุล และ ปวรินทร์ พิเกณฑ์ - ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านศิลปาชีพ โดยถ่ายทอดด้วยภาษาพื้นถิ่นล้านนา . ๑๐. บทเพลงชื่อ "กางเขนแดง หัวใจขาว" ขับร้องโดย ธนพร แวกประยูร (ปาน ธนพร) ประพันธ์คำร้องโดย ชาตรี ทับละม่อม ประพันธ์ทำนองและเรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เรื่องราวเกี่ยวกับแพทย์พยาบาลที่เสียสละตนเองเพื่อสืบสานปณิธานพระพันปีที่ทรงเป็นสภานายิกาสภากาชาดไทย . ============================================ สามารถดาวน์โหลดเพลงทั้งหมดมาฟังฟรีได้ที่ https://soundcloud.com/pongprom.../sets/rvjqypbout7k... (ดาวน์โหลดอยู่ที่เครื่องหมาย ••• บนแทร็ค) ============================================ ต้องการนำบทเพลงไปขับร้องหรือทำกิจกรรม ดาวน์โหลด Backingtrack ที่นี่ https://soundcloud.com/pongprom.../sets/backingtrack... (ดาวน์โหลดอยู่ที่เครื่องหมาย ••• บนแทร็ค) ------------------------------------------------------------- เฟซบุ๊คเพจของโครงการ https://www.facebook.com/songsforqueensirikit/ . สามารถ Streaming เพลงจากอัลบั้ม #คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี ที่... . Spotify https://open.spotify.com/album/3ctqdqlVfGywJ4vLIaE3GE . ============================================ รักพระพันปี กรุณาช่วยกันกดไล๊ค์ กดแชร์ ร่วมกันเผยแพร่ .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 671 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวประชาสัมพันธ์
    เกี่ยวกับโครงการบทเพลงเทิดพระเกียรติ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี
    ========================================
    .
    โครงการบทเพลงเทิดพระเกียรติ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี เกิดขึ้นจากการริเริ่มของสมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมป์ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับศิลปินกลุ่มนักประพันธ์เพลงจิตอาสา และคณะบุคคลผู้มีความจงรักภักดี นำโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ศิลปินศิลปาธร สาขาดนตรีปี พ.ศ.2560 ได้ร่วมกันสร้างสรรค์และจัดทำอัลบั้มบทเพลงเทิดพระเกียรติถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงขึ้น โดยมีจุดประสงค์นอกจากเพื่อเทิดพระเกียรติแล้ว ยังเป็นการนำเสนอบทเพลงที่ถ่ายทอดเรื่องราวอันซาบซึ้งประทับใจและเป็นที่จดจำของปวงชนชาวไทยเกี่ยวกับพระองค์ท่านจำนวนทั้งสิ้น ๑๐ บทเพลง ในการนี้ พงศ์พรหม หัวหน้าโครงการที่ดูแลในส่วนของการสร้างสรรค์บทเพลงได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของงานว่า...
    .
    "ผมจะมีความคุ้นเคยกับศิลปินนักร้องกลุ่มหนึ่งที่ถวายงานการแสดงให้สมเด็จพระพันปีฯ มานานนับสิบปี อาทิเช่น คุณอิสริยา คูประเสริฐ คุณกันยารัตน์ กุยสุวรรณ พันเอกนายแพทย์วิภู กำเหนิดดี คุณอภิภู โสรพิมาย.. เรามักสนทนากันบ่อยๆ ว่าสมเด็จพระพันปีท่านไม่มีเพลงของพระองค์ท่านให้นึกถึงได้เลย เราก็ช่วยกันคิดว่ามีเพลงอะไรบ้างนะที่เราพอจะคุ้นเคย ก็นึกไม่ออก เราก็เลยเอ่ยปากตั้งใจกันไว้ว่าสักวันเมื่อมีโอกาสอำนวยเรามาช่วยกันทำเพลงถวายพระองค์ท่านสักชุดหนึ่งดีไหม ทุกคนก็เห็นว่าดี ก็ลั่นวาจากันไว้อย่างนั้น จนกระทั่งเมื่อต้นปีที่แล้ว พ.ศ. 2565 เป็นปีที่สมเด็จพระพันปีหลวงฯ ท่านจะมีพระชนมายุครบ 90 พรรษา ผมก็คิดว่านี่แหละที่เป็นโอกาสที่ดี ก็เลยนัดมาเจอกันแล้วเริ่มงานกันตั้งแต่เดือนกรกฏาคม 2565 โดยตั้งใจว่าต้องทำให้เสร็จสองเพลงก่อน ให้ทันวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 12 สิงหาคม 2565 ก็มีเพลงแรกชื่อ "เพลงไหมแพรวา" คุณดลชัย บุณยะรัตเวช ขับร้อง อีกเพลงชื่อ "สุดหัวใจ" คุณกันยารัตน์ กุยสุวรรณ ขับร้อง ก็ทำกันเสร็จทันออกมาให้ได้ฟังกันในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาปีที่แล้ว จากนั้นเราก็แต่งเพลงเพิ่ม มีนักร้องมาร่วมอีกหลายคน อาทิ คุณสุนทรี เวชานนท์ คุณปาน ธนพร แวกประยูร ม.ล.วันรัชดา วรวุฒิ กลุ่มนักร้องเยาวชนจากว๊อยซ์อคาเดมีหกคน.. ได้ทำการบันทึกเสียงมาเรื่อยๆ จนเสร็จสิ้นครบทั้ง 10 เพลงเมื่อเดือนมกราคม 2566 ต้นปีนี้เอง โดยที่ศิลปินทุกคนไม่ว่าจะขับร้องหรือเล่นดนตรี รวมทั้งนักแต่งเพลงที่มาช่วยกันทำงานทุกคน ต่างมาร่วมกันทำงานนี้ถวายด้วยจิตอาสา ไม่มีใครคิดค่าทำงานใดๆ ทั้งสิ้น"...
    .
    "แต่แน่นอนว่าการทำงานโครงการขนาดนี้ย่อมมีค่าใช้จ่าย ในขั้นแรกก็มีเพื่อนๆ ที่มีความจงรักภักดีสองสามท่านช่วยกันสนับสนุนให้งานเริ่มดำเนินไปได้ ต่อมาเนื่องจากผมเป็นนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ผมนำโครงการไปปรึกษากับเพื่อนนักเรียนเก่าราชวิทย์ด้วยกัน คือ พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส ก็เลยได้สมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มาสนับสนุนงบประมาณในขั้นตอนการบันทึกเสียง ประสานงานหาผู้สนับสนุนในส่วนของห้องบันทึกเสียง การผลิตมิวสิควิดิโอ การผลิตแพคเกจ จนกระทั่งกระบวนการสร้างสรรค์ทั้งหมดสำเร็จเสร็จสิ้น"...
    .
    "เมื่อผลงานทั้งหมดบันทึกเสียงเสร็จ ผมได้นำโครงการไปเรียนปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่อีกสองท่านว่าจะทำการเผยแพร่โครงการออกไปอย่างไรบ้าง ท่านแรกคือคุณสมยศ เกียรติอร่ามกุล ผู้บริหารท่านหนึ่งของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และอีกท่านคือ คุณประสพ เรียงเงิน ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้จึงได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมโดยทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสจะทำการผลิตสารคดีเพลงจำนวนหกเรื่อง และละครเทิดพระเกียรติอีกสามเรื่อง โดยทางกระทรวงวัฒนธรรมจะรับผิดชอบในการดูแลและเผยแพร่คอนเท้นท์ ประชาสัมพันธ์ทางภาครัฐและสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองและถวายพระพรในช่วงวโรกาสวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 12 สิงหาคม 2566 ที่กำลังจะมาถึงนี้"
    .
    โครงการอัลบั้มบทเพลงเทิดพระเกียรตินี้ จะทำการผลิตออกมาในรูปของแพคเกจที่ประณีตสวยงามสมพระเกียรติ กล่องบรรจุใช้กระดาษรีไซเคิลของไทยและหมึกถั่วเหลืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในแพคเกจประกอบไปด้วยภาพวาดปกพระฉายาสาทิสลักษณ์โดยศิลปินทัศนศิลป์ นิติกร กรัยวิเชียร โปสการ์ดภาพวาดพระฉายาสาทิสลักษณ์ โดยศิลปินทัศนศิลป์ สุวิทย์ ใจป้อม จำนวน 10 ภาพ ภาพประกอบด้านในโดยศิลปิน ปันนรัตน์ บวรภัคพาณิช และเครดิตการ์ดยูเอสบีขนาดความจุ 16 กิกาไบ๊ต์ ท่ีบรรจุไฟล์เพลงรายละเอียดสูงทั้งสิบเพลง ทั้งแบบเพลงเต็มและแบ๊คกิ้งแทร็ค ไฟล์มิวสิควิดิโอขนาดฟูลเอชดีทั้งสิบเพลง และข้อมูลของบทเพลงในอัลบั้ม
    .
    แพคเกจอัลบั้มนี้จะไม่มีวางจำหน่าย แต่จะเผยแพร่ผ่านทางกิจกรรมที่ไม่แสวงผลกำไรทางการค้าเท่านั้น ผู้ที่สนใจทั่วไปสามารถดาวน์โหลดไฟล์บทเพลงได้ฟรีผ่านทางเฟซบุ๊คเพจของโครงการ https://www.facebook.com/songsforqueensirikit/
    (หรือตามลิ๊งค์ที่อยู่ล่างสุดในโพสนี้)
    รักพระพันปี กรุณาช่วยกันกดไล๊ค์ กดแชร์ ร่วมกันเผยแพร่
    .
    .
    ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักของโครงการที่ให้ความอนุเคราะห์จนโครงการ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปีนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ได้แก่..
    - สมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
    - สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
    - กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
    - บริษัท ธนัทเฮิร์บ พาณิชย์ จำกัด
    - บริษัท IFCG จำกัด (มหาชน)
    - บริษัท พีที พลัส จำกัด
    - บริษัท ลอรีส จำกัด (ออด๊าซ)
    - บริษัท ไทย ทีเอเอ็น อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด
    .
    ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบทเพลงทั้งสิบเพลง
    ในอัลบั้มชุดนี้บทเพลงที่ประพันธขึ้นประกอบด้วยบทเพลงทั้งสิ้น ๑๐ เพลง ดังนี้
    .
    ๑. บทเพลงชื่อ "เพลงไหมแพรวา" ขับร้องโดย ดลชัย บุณยะรัตเวช ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ภาณุ เทศะศิริ เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผ้าไหมแพรวาที่สมเด็จพระพันปีทรงอุปถัมภ์จนกลายเป็นราชินีผ้าไหมไทยที่เลื่องลือทั่วโลก
    .
    ๒. บทเพลงชื่อ "สุดหัวใจ" ขับร้องโดย กันยารัตน์ กุยสุวรรณ ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ศรีจิตรา นานานุกูล เรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เป็นการถ่ายทอดความรักความผูกพันที่พสกนิกรชาวไทยมีต่อสมเด็จพระพันปีผ่านมุมมองข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่
    .
    ๓. บทเพลงชื่อ "ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ" ขับร้องโดย ดลชัย บุณยะรัตเวช ประพันธ์ทำนอง-คำร้องและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องของชาวนาและเกษตรแผนใหม่ตามแนวพระราชดำริและการรักษาองค์ความรู้ภูมิปัญญาประเพณีท้องถิ่น
    .
    ๔. บทเพลงชื่อ "โพธิ์ทองของปวงไทย" ขับร้องโดย ด.ญ. มนภทริตา ทองเกิด, ด.ญ. จิรัชญา ศรีนุช, ด.ญ. ธนัชญา ศรีนุช, ด.ญ. ศิตภัทร ตันติเวสส, ด.ญ. นภัสร์นันท์ วงศ์วิวัฒน์, ด.ญ. ปวริศา เติมจิตรอารีย์ ประพันธ์คำร้องโดย ชโลธร ควรหาเวช ประพันธ์ทำนองและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นการบรรยายพระมหากรุณาธิคุณและพระกรณีกิจมากมายที่พระพันปีทรงทุ่มเท ผ่านมุมมองเยาวชน
    .
    ๕. บทเพลงชื่อ "พ่อเป็นน้ำ แม่เป็นป่า" ขับร้องโดย หม่อมหลวงวันรัชดา วรวุฒิ และตัวแทนชาวไทยภูเขาหกเผ่า ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย โอฬาร เนตรหาญ เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามแนวพระราชดำริและความผูกพันของชาวไทยภูเขากับพระพันปีหลวง
    .
    ๖. บทเพลงชื่อ "ภาพพันปี" ขับร้องโดย อิสริยา คูประเสริฐ ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ธนชัย ยงพิพัฒน์วงศ์ และ ชาตรี ทับละม่อม เรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เป็นเพลงพรรณาให้เห็นความรักและความทุ่มเทของพระพันปีที่มีต่อพสกนิกร ผ่านภาพถ่ายมากมายที่ประทับอยู่ในความทรงจำของคนไทยมานานแสนนาน
    .
    ๗. บทเพลงชื่อ "คนโขน" ขับร้องโดย อภิภู โสรพิมาย ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ศรีจิตรา นานานุกูล และ พงศ์พรหม สนิทวงศ์ณ อยุธยา เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเพลงเกี่ยวกับพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระพันปีที่มีต่อนาฏศิลป์โขนไทย
    .
    ๘. บทเพลงชื่อ "กายเราคือเสาหลัก" ขับร้องโดย พันเอกนายแพทย์วิภู กำเนิดดี ประพันธ์ทำนอง-คำร้องและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเพลงเกี่ยวกับตำรวจตระเวนชายแดน ความรักที่พวกเขามีต่อชาติ ต่อสถาบัน และความห่วงใยเมตตาของพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีที่มีต่อพวกเขา
    .
    ๙. บทเพลงชื่อ "ศิลปาชีพ" ขับร้องโดย สุนทรี เวชานนท์ ประพันธ์ทำนองโดย วีระ วัฒนะจันทรกุล ประพันธ์คำร้องโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เรียบเรียงดนตรีโดย วีระ วัฒนะจันทรกุล และ ปวรินทร์ พิเกณฑ์ - ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านศิลปาชีพ โดยถ่ายทอดด้วยภาษาพื้นถิ่นล้านนา
    .
    ๑๐. บทเพลงชื่อ "กางเขนแดง หัวใจขาว" ขับร้องโดย ธนพร แวกประยูร (ปาน ธนพร) ประพันธ์คำร้องโดย ชาตรี ทับละม่อม ประพันธ์ทำนองและเรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เรื่องราวเกี่ยวกับแพทย์พยาบาลที่เสียสละตนเองเพื่อสืบสานปณิธานพระพันปีที่ทรงเป็นสภานายิกาสภากาชาดไทย
    .
    ============================================
    สามารถดาวน์โหลดเพลงทั้งหมดมาฟังฟรีได้ที่
    https://soundcloud.com/pongprom.../sets/rvjqypbout7k...
    (ดาวน์โหลดอยู่ที่เครื่องหมาย ••• บนแทร็ค)
    ============================================
    ต้องการนำบทเพลงไปขับร้องหรือทำกิจกรรม ดาวน์โหลด Backingtrack ที่นี่
    https://soundcloud.com/pongprom.../sets/backingtrack...
    (ดาวน์โหลดอยู่ที่เครื่องหมาย ••• บนแทร็ค)
    -------------------------------------------------------------
    เฟซบุ๊คเพจของโครงการ https://www.facebook.com/songsforqueensirikit/
    .
    สามารถ Streaming เพลงจากอัลบั้ม #คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี ที่...
    .
    Spotify
    https://open.spotify.com/album/3ctqdqlVfGywJ4vLIaE3GE
    .
    ============================================
    รักพระพันปี กรุณาช่วยกันกดไล๊ค์ กดแชร์ ร่วมกันเผยแพร่
    .
    ข่าวประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับโครงการบทเพลงเทิดพระเกียรติ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี ======================================== . โครงการบทเพลงเทิดพระเกียรติ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี เกิดขึ้นจากการริเริ่มของสมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมป์ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับศิลปินกลุ่มนักประพันธ์เพลงจิตอาสา และคณะบุคคลผู้มีความจงรักภักดี นำโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ศิลปินศิลปาธร สาขาดนตรีปี พ.ศ.2560 ได้ร่วมกันสร้างสรรค์และจัดทำอัลบั้มบทเพลงเทิดพระเกียรติถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงขึ้น โดยมีจุดประสงค์นอกจากเพื่อเทิดพระเกียรติแล้ว ยังเป็นการนำเสนอบทเพลงที่ถ่ายทอดเรื่องราวอันซาบซึ้งประทับใจและเป็นที่จดจำของปวงชนชาวไทยเกี่ยวกับพระองค์ท่านจำนวนทั้งสิ้น ๑๐ บทเพลง ในการนี้ พงศ์พรหม หัวหน้าโครงการที่ดูแลในส่วนของการสร้างสรรค์บทเพลงได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของงานว่า... . "ผมจะมีความคุ้นเคยกับศิลปินนักร้องกลุ่มหนึ่งที่ถวายงานการแสดงให้สมเด็จพระพันปีฯ มานานนับสิบปี อาทิเช่น คุณอิสริยา คูประเสริฐ คุณกันยารัตน์ กุยสุวรรณ พันเอกนายแพทย์วิภู กำเหนิดดี คุณอภิภู โสรพิมาย.. เรามักสนทนากันบ่อยๆ ว่าสมเด็จพระพันปีท่านไม่มีเพลงของพระองค์ท่านให้นึกถึงได้เลย เราก็ช่วยกันคิดว่ามีเพลงอะไรบ้างนะที่เราพอจะคุ้นเคย ก็นึกไม่ออก เราก็เลยเอ่ยปากตั้งใจกันไว้ว่าสักวันเมื่อมีโอกาสอำนวยเรามาช่วยกันทำเพลงถวายพระองค์ท่านสักชุดหนึ่งดีไหม ทุกคนก็เห็นว่าดี ก็ลั่นวาจากันไว้อย่างนั้น จนกระทั่งเมื่อต้นปีที่แล้ว พ.ศ. 2565 เป็นปีที่สมเด็จพระพันปีหลวงฯ ท่านจะมีพระชนมายุครบ 90 พรรษา ผมก็คิดว่านี่แหละที่เป็นโอกาสที่ดี ก็เลยนัดมาเจอกันแล้วเริ่มงานกันตั้งแต่เดือนกรกฏาคม 2565 โดยตั้งใจว่าต้องทำให้เสร็จสองเพลงก่อน ให้ทันวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 12 สิงหาคม 2565 ก็มีเพลงแรกชื่อ "เพลงไหมแพรวา" คุณดลชัย บุณยะรัตเวช ขับร้อง อีกเพลงชื่อ "สุดหัวใจ" คุณกันยารัตน์ กุยสุวรรณ ขับร้อง ก็ทำกันเสร็จทันออกมาให้ได้ฟังกันในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาปีที่แล้ว จากนั้นเราก็แต่งเพลงเพิ่ม มีนักร้องมาร่วมอีกหลายคน อาทิ คุณสุนทรี เวชานนท์ คุณปาน ธนพร แวกประยูร ม.ล.วันรัชดา วรวุฒิ กลุ่มนักร้องเยาวชนจากว๊อยซ์อคาเดมีหกคน.. ได้ทำการบันทึกเสียงมาเรื่อยๆ จนเสร็จสิ้นครบทั้ง 10 เพลงเมื่อเดือนมกราคม 2566 ต้นปีนี้เอง โดยที่ศิลปินทุกคนไม่ว่าจะขับร้องหรือเล่นดนตรี รวมทั้งนักแต่งเพลงที่มาช่วยกันทำงานทุกคน ต่างมาร่วมกันทำงานนี้ถวายด้วยจิตอาสา ไม่มีใครคิดค่าทำงานใดๆ ทั้งสิ้น"... . "แต่แน่นอนว่าการทำงานโครงการขนาดนี้ย่อมมีค่าใช้จ่าย ในขั้นแรกก็มีเพื่อนๆ ที่มีความจงรักภักดีสองสามท่านช่วยกันสนับสนุนให้งานเริ่มดำเนินไปได้ ต่อมาเนื่องจากผมเป็นนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ผมนำโครงการไปปรึกษากับเพื่อนนักเรียนเก่าราชวิทย์ด้วยกัน คือ พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส ก็เลยได้สมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มาสนับสนุนงบประมาณในขั้นตอนการบันทึกเสียง ประสานงานหาผู้สนับสนุนในส่วนของห้องบันทึกเสียง การผลิตมิวสิควิดิโอ การผลิตแพคเกจ จนกระทั่งกระบวนการสร้างสรรค์ทั้งหมดสำเร็จเสร็จสิ้น"... . "เมื่อผลงานทั้งหมดบันทึกเสียงเสร็จ ผมได้นำโครงการไปเรียนปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่อีกสองท่านว่าจะทำการเผยแพร่โครงการออกไปอย่างไรบ้าง ท่านแรกคือคุณสมยศ เกียรติอร่ามกุล ผู้บริหารท่านหนึ่งของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และอีกท่านคือ คุณประสพ เรียงเงิน ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้จึงได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมโดยทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสจะทำการผลิตสารคดีเพลงจำนวนหกเรื่อง และละครเทิดพระเกียรติอีกสามเรื่อง โดยทางกระทรวงวัฒนธรรมจะรับผิดชอบในการดูแลและเผยแพร่คอนเท้นท์ ประชาสัมพันธ์ทางภาครัฐและสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองและถวายพระพรในช่วงวโรกาสวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 12 สิงหาคม 2566 ที่กำลังจะมาถึงนี้" . โครงการอัลบั้มบทเพลงเทิดพระเกียรตินี้ จะทำการผลิตออกมาในรูปของแพคเกจที่ประณีตสวยงามสมพระเกียรติ กล่องบรรจุใช้กระดาษรีไซเคิลของไทยและหมึกถั่วเหลืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในแพคเกจประกอบไปด้วยภาพวาดปกพระฉายาสาทิสลักษณ์โดยศิลปินทัศนศิลป์ นิติกร กรัยวิเชียร โปสการ์ดภาพวาดพระฉายาสาทิสลักษณ์ โดยศิลปินทัศนศิลป์ สุวิทย์ ใจป้อม จำนวน 10 ภาพ ภาพประกอบด้านในโดยศิลปิน ปันนรัตน์ บวรภัคพาณิช และเครดิตการ์ดยูเอสบีขนาดความจุ 16 กิกาไบ๊ต์ ท่ีบรรจุไฟล์เพลงรายละเอียดสูงทั้งสิบเพลง ทั้งแบบเพลงเต็มและแบ๊คกิ้งแทร็ค ไฟล์มิวสิควิดิโอขนาดฟูลเอชดีทั้งสิบเพลง และข้อมูลของบทเพลงในอัลบั้ม . แพคเกจอัลบั้มนี้จะไม่มีวางจำหน่าย แต่จะเผยแพร่ผ่านทางกิจกรรมที่ไม่แสวงผลกำไรทางการค้าเท่านั้น ผู้ที่สนใจทั่วไปสามารถดาวน์โหลดไฟล์บทเพลงได้ฟรีผ่านทางเฟซบุ๊คเพจของโครงการ https://www.facebook.com/songsforqueensirikit/ (หรือตามลิ๊งค์ที่อยู่ล่างสุดในโพสนี้) รักพระพันปี กรุณาช่วยกันกดไล๊ค์ กดแชร์ ร่วมกันเผยแพร่ . . ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักของโครงการที่ให้ความอนุเคราะห์จนโครงการ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปีนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ได้แก่.. - สมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ - สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส - กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม - บริษัท ธนัทเฮิร์บ พาณิชย์ จำกัด - บริษัท IFCG จำกัด (มหาชน) - บริษัท พีที พลัส จำกัด - บริษัท ลอรีส จำกัด (ออด๊าซ) - บริษัท ไทย ทีเอเอ็น อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด . ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบทเพลงทั้งสิบเพลง ในอัลบั้มชุดนี้บทเพลงที่ประพันธขึ้นประกอบด้วยบทเพลงทั้งสิ้น ๑๐ เพลง ดังนี้ . ๑. บทเพลงชื่อ "เพลงไหมแพรวา" ขับร้องโดย ดลชัย บุณยะรัตเวช ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ภาณุ เทศะศิริ เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผ้าไหมแพรวาที่สมเด็จพระพันปีทรงอุปถัมภ์จนกลายเป็นราชินีผ้าไหมไทยที่เลื่องลือทั่วโลก . ๒. บทเพลงชื่อ "สุดหัวใจ" ขับร้องโดย กันยารัตน์ กุยสุวรรณ ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ศรีจิตรา นานานุกูล เรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เป็นการถ่ายทอดความรักความผูกพันที่พสกนิกรชาวไทยมีต่อสมเด็จพระพันปีผ่านมุมมองข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ . ๓. บทเพลงชื่อ "ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ" ขับร้องโดย ดลชัย บุณยะรัตเวช ประพันธ์ทำนอง-คำร้องและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องของชาวนาและเกษตรแผนใหม่ตามแนวพระราชดำริและการรักษาองค์ความรู้ภูมิปัญญาประเพณีท้องถิ่น . ๔. บทเพลงชื่อ "โพธิ์ทองของปวงไทย" ขับร้องโดย ด.ญ. มนภทริตา ทองเกิด, ด.ญ. จิรัชญา ศรีนุช, ด.ญ. ธนัชญา ศรีนุช, ด.ญ. ศิตภัทร ตันติเวสส, ด.ญ. นภัสร์นันท์ วงศ์วิวัฒน์, ด.ญ. ปวริศา เติมจิตรอารีย์ ประพันธ์คำร้องโดย ชโลธร ควรหาเวช ประพันธ์ทำนองและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นการบรรยายพระมหากรุณาธิคุณและพระกรณีกิจมากมายที่พระพันปีทรงทุ่มเท ผ่านมุมมองเยาวชน . ๕. บทเพลงชื่อ "พ่อเป็นน้ำ แม่เป็นป่า" ขับร้องโดย หม่อมหลวงวันรัชดา วรวุฒิ และตัวแทนชาวไทยภูเขาหกเผ่า ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย โอฬาร เนตรหาญ เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามแนวพระราชดำริและความผูกพันของชาวไทยภูเขากับพระพันปีหลวง . ๖. บทเพลงชื่อ "ภาพพันปี" ขับร้องโดย อิสริยา คูประเสริฐ ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ธนชัย ยงพิพัฒน์วงศ์ และ ชาตรี ทับละม่อม เรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เป็นเพลงพรรณาให้เห็นความรักและความทุ่มเทของพระพันปีที่มีต่อพสกนิกร ผ่านภาพถ่ายมากมายที่ประทับอยู่ในความทรงจำของคนไทยมานานแสนนาน . ๗. บทเพลงชื่อ "คนโขน" ขับร้องโดย อภิภู โสรพิมาย ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ศรีจิตรา นานานุกูล และ พงศ์พรหม สนิทวงศ์ณ อยุธยา เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเพลงเกี่ยวกับพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระพันปีที่มีต่อนาฏศิลป์โขนไทย . ๘. บทเพลงชื่อ "กายเราคือเสาหลัก" ขับร้องโดย พันเอกนายแพทย์วิภู กำเนิดดี ประพันธ์ทำนอง-คำร้องและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเพลงเกี่ยวกับตำรวจตระเวนชายแดน ความรักที่พวกเขามีต่อชาติ ต่อสถาบัน และความห่วงใยเมตตาของพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีที่มีต่อพวกเขา . ๙. บทเพลงชื่อ "ศิลปาชีพ" ขับร้องโดย สุนทรี เวชานนท์ ประพันธ์ทำนองโดย วีระ วัฒนะจันทรกุล ประพันธ์คำร้องโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เรียบเรียงดนตรีโดย วีระ วัฒนะจันทรกุล และ ปวรินทร์ พิเกณฑ์ - ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านศิลปาชีพ โดยถ่ายทอดด้วยภาษาพื้นถิ่นล้านนา . ๑๐. บทเพลงชื่อ "กางเขนแดง หัวใจขาว" ขับร้องโดย ธนพร แวกประยูร (ปาน ธนพร) ประพันธ์คำร้องโดย ชาตรี ทับละม่อม ประพันธ์ทำนองและเรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เรื่องราวเกี่ยวกับแพทย์พยาบาลที่เสียสละตนเองเพื่อสืบสานปณิธานพระพันปีที่ทรงเป็นสภานายิกาสภากาชาดไทย . ============================================ สามารถดาวน์โหลดเพลงทั้งหมดมาฟังฟรีได้ที่ https://soundcloud.com/pongprom.../sets/rvjqypbout7k... (ดาวน์โหลดอยู่ที่เครื่องหมาย ••• บนแทร็ค) ============================================ ต้องการนำบทเพลงไปขับร้องหรือทำกิจกรรม ดาวน์โหลด Backingtrack ที่นี่ https://soundcloud.com/pongprom.../sets/backingtrack... (ดาวน์โหลดอยู่ที่เครื่องหมาย ••• บนแทร็ค) ------------------------------------------------------------- เฟซบุ๊คเพจของโครงการ https://www.facebook.com/songsforqueensirikit/ . สามารถ Streaming เพลงจากอัลบั้ม #คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี ที่... . Spotify https://open.spotify.com/album/3ctqdqlVfGywJ4vLIaE3GE . ============================================ รักพระพันปี กรุณาช่วยกันกดไล๊ค์ กดแชร์ ร่วมกันเผยแพร่ .
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 651 มุมมอง 0 รีวิว
  • …ความทรงจำ.. สิ่งล้ำค่าจากประสบการณ์ชีวิต

    เหตุการณ์ต่างๆที่เราต้องพบเจอในแต่ละวัน
    ทั้งสิ่งที่ควบคุมได้ และสิ่งที่ควบคุมไม่ได้

    หลายเหตุการณ์ที่เราได้รับความรู้สึกดีๆจนต้องแอบอมยิ้มออกมาในทุกครั้งที่นึกถึง
    แต่ก็มีอีกหลายเหตุการณ์ที่เมื่อเรานึกขึ้นมาได้ กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องเสียน้ำตา

    ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชีวิตก็คือชีวิต วันนี้ก็คือวันนี้
    แอดมินอยากให้คุณผู้อ่านได้ใช้เวลา ณ ชั่วขณะปัจจุบันอย่างมีความหมาย

    เราไม่อาจย้อนวันวานกลับมาได้ และเราไม่อาจเร่งเวลาให้ไวขึ้นได้แม้เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง

    ดังนั้น “สิ่งที่เราควรโฟกัสที่สุดก็คือวันนี้”

    แล้วหากเราหันกลับไปมองอดีตบ้างเป็นครั้งคราว ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด
    ท่านก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น
    ความทรงจำต่างๆได้หล่อหลอมรวมให้กลายมาเป็นตัวเราในวันนี้

    และท่านจะได้รับบทเรียนอันล้ำค่ามากมาย หากนั่งพิจารณาถึงเหตุการณ์นั้นๆ
    ด้วยความใจเย็น มีสติ และเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในตัวของท่านเอง

    ถอดบทเรียนจากหนังสือที่มีชื่อว่า : ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดาว
    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #เยียวยาความเศร้า #ความทรงจำในอดีต #บทความ
    …ความทรงจำ.. สิ่งล้ำค่าจากประสบการณ์ชีวิต เหตุการณ์ต่างๆที่เราต้องพบเจอในแต่ละวัน ทั้งสิ่งที่ควบคุมได้ และสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ หลายเหตุการณ์ที่เราได้รับความรู้สึกดีๆจนต้องแอบอมยิ้มออกมาในทุกครั้งที่นึกถึง แต่ก็มีอีกหลายเหตุการณ์ที่เมื่อเรานึกขึ้นมาได้ กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องเสียน้ำตา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชีวิตก็คือชีวิต วันนี้ก็คือวันนี้ แอดมินอยากให้คุณผู้อ่านได้ใช้เวลา ณ ชั่วขณะปัจจุบันอย่างมีความหมาย เราไม่อาจย้อนวันวานกลับมาได้ และเราไม่อาจเร่งเวลาให้ไวขึ้นได้แม้เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง ดังนั้น “สิ่งที่เราควรโฟกัสที่สุดก็คือวันนี้” แล้วหากเราหันกลับไปมองอดีตบ้างเป็นครั้งคราว ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด ท่านก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น ความทรงจำต่างๆได้หล่อหลอมรวมให้กลายมาเป็นตัวเราในวันนี้ และท่านจะได้รับบทเรียนอันล้ำค่ามากมาย หากนั่งพิจารณาถึงเหตุการณ์นั้นๆ ด้วยความใจเย็น มีสติ และเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในตัวของท่านเอง ถอดบทเรียนจากหนังสือที่มีชื่อว่า : ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดาว #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #เยียวยาความเศร้า #ความทรงจำในอดีต #บทความ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ความลับอยู่ใต้พรมที่พี่คิงส์จะเปิดให้ทุกคนได้รู้
    นายกนิดเป็นตัวละครที่คนไทยเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน
    เป็นแผนอันใจร้ายมากของโทนี่ที่วางไว้แต่แรก
    เพราะรู้ว่านายกนิดมีฝันที่อยากเป็นนายกที่ดี
    อยากทำอะไรดีๆไว้เป็นความทรงจำให้กับประเทศชาติ
    โทนี่ได้วางหมากตัวแรกคือการให้นายกนิดชูนโยบายวอลเลท
    ซึ่งทีมกุนซือต่างให้ความเชื่อมั่นว่าเป็นไปได้
    แต่ถูกซ่อนเงื่อนไว้เป็นสิบปม
    ถ้าคนที่คร่ำหวอดวงการข่าวสารจะรู้
    ว่าถ้าโปรเจคนี้ฝืนทำต่อ นายกนิดต้องเข้าซังเตแน่นอน
    สิ่งที่โทนี่ได้คือ คะแนนเสียงที่มากมายจากนโยบายที่ให้นายกนิดล่อเป้าไว้
    ชั้นที่สองคือ เมื่อถึงขั้นดำเนินการมันไม่มีทางสำเร็จ
    ก็จะอ้างว่า เพราะนิดไม่มีฝีมือ นโยบายวอลเลทคือของนิด
    และไม้ตายคือ ยัดคนมีประวัติอย่างพิชิตชื่นบาน ผู้ด่างพร้อย
    ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่า นี่คือการสกายคิกส์ให้นายกนิดหลุด
    แต่ที่หลายคนไม่รู้จุดสำคัญที่ถือว่าใจร้ายที่สุดคือ
    การบีบให้นายกนิดเสนอชื่อพิชิตชื่นบาน สิ่งที่นายกนิดต้องเจอ
    ไม่ใช่แค่การถูกถอดจากการเป็นนายก เพราะฐานความผิดคือ
    ผิดจริยะธรรมร้ายแรง เนื่องจากเสนอคนที่มีประวัติด่างพร้อยหรือคนซั่วมาเป็นรัฐมนตรี ก็เท่ากับเชิดชูคนซั่วให้มีอำนาจ นี่แหละจึงถือว่าผิดจริยธรรมร้ายแรง และถ้าดูข้อแก้ต่างของนายกนิด ท่านบอกว่า เพราะเป็นนักธุรกิจไม่มีความรู้เรื่องเงื่อนไขนี้ ก็เป็นการบอกกับสังคมกลายๆว่า ถูกบีบมาให้เสนอ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพราะพิชิตไม่มีสัมพันธ์ใดๆกับนายกมาก่อน สัมพันธ์กันโทนี่เต็มๆเถียงไม่ได้
    และตรงที่ถูกตัดสินว่า เป็นผู้ผิดจริยธรรมร้ายแรง
    ทำให้นายกนิด ไม่มีสิทธิ์กลับมาเป็นนายก และ ไม่สามารถเข้าไปมีชื่อเป็นผู้บริหารบริษัทตัวเองหรือบริษัทไหนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้เลย เพราะมีระเบียบตลาดหลักทรัพย์เรื่อง ธรรมาภิบาล
    โทนี่ ห-ล-อ-ก-ใช้ ไม่พอ แต่ใจร้ายถึงขนาด ตัดทุกเส้นทางที่จะเติบโตมาเป็นคู่แข่งในอนาคต คนใกล้ตัวต่างคุ้นชินพฤติกรรมนี้ของโทนี่
    มีแต่คนวงนอกที่ไม่รู้ และแม้แต่สิ่งที่นายกนิดต้องประสบ เรื่องนี้ที่พี่คิงส์มาบอก ก็ยังมีน้อยคนนักที่จะรู้ ว่านายกนิดคนนี้ต้องพบกับอะไรบ้าง ที่โทนี่ได้ก่อกรรมไว้
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ความลับอยู่ใต้พรมที่พี่คิงส์จะเปิดให้ทุกคนได้รู้ นายกนิดเป็นตัวละครที่คนไทยเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน เป็นแผนอันใจร้ายมากของโทนี่ที่วางไว้แต่แรก เพราะรู้ว่านายกนิดมีฝันที่อยากเป็นนายกที่ดี อยากทำอะไรดีๆไว้เป็นความทรงจำให้กับประเทศชาติ โทนี่ได้วางหมากตัวแรกคือการให้นายกนิดชูนโยบายวอลเลท ซึ่งทีมกุนซือต่างให้ความเชื่อมั่นว่าเป็นไปได้ แต่ถูกซ่อนเงื่อนไว้เป็นสิบปม ถ้าคนที่คร่ำหวอดวงการข่าวสารจะรู้ ว่าถ้าโปรเจคนี้ฝืนทำต่อ นายกนิดต้องเข้าซังเตแน่นอน สิ่งที่โทนี่ได้คือ คะแนนเสียงที่มากมายจากนโยบายที่ให้นายกนิดล่อเป้าไว้ ชั้นที่สองคือ เมื่อถึงขั้นดำเนินการมันไม่มีทางสำเร็จ ก็จะอ้างว่า เพราะนิดไม่มีฝีมือ นโยบายวอลเลทคือของนิด และไม้ตายคือ ยัดคนมีประวัติอย่างพิชิตชื่นบาน ผู้ด่างพร้อย ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่า นี่คือการสกายคิกส์ให้นายกนิดหลุด แต่ที่หลายคนไม่รู้จุดสำคัญที่ถือว่าใจร้ายที่สุดคือ การบีบให้นายกนิดเสนอชื่อพิชิตชื่นบาน สิ่งที่นายกนิดต้องเจอ ไม่ใช่แค่การถูกถอดจากการเป็นนายก เพราะฐานความผิดคือ ผิดจริยะธรรมร้ายแรง เนื่องจากเสนอคนที่มีประวัติด่างพร้อยหรือคนซั่วมาเป็นรัฐมนตรี ก็เท่ากับเชิดชูคนซั่วให้มีอำนาจ นี่แหละจึงถือว่าผิดจริยธรรมร้ายแรง และถ้าดูข้อแก้ต่างของนายกนิด ท่านบอกว่า เพราะเป็นนักธุรกิจไม่มีความรู้เรื่องเงื่อนไขนี้ ก็เป็นการบอกกับสังคมกลายๆว่า ถูกบีบมาให้เสนอ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพราะพิชิตไม่มีสัมพันธ์ใดๆกับนายกมาก่อน สัมพันธ์กันโทนี่เต็มๆเถียงไม่ได้ และตรงที่ถูกตัดสินว่า เป็นผู้ผิดจริยธรรมร้ายแรง ทำให้นายกนิด ไม่มีสิทธิ์กลับมาเป็นนายก และ ไม่สามารถเข้าไปมีชื่อเป็นผู้บริหารบริษัทตัวเองหรือบริษัทไหนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้เลย เพราะมีระเบียบตลาดหลักทรัพย์เรื่อง ธรรมาภิบาล โทนี่ ห-ล-อ-ก-ใช้ ไม่พอ แต่ใจร้ายถึงขนาด ตัดทุกเส้นทางที่จะเติบโตมาเป็นคู่แข่งในอนาคต คนใกล้ตัวต่างคุ้นชินพฤติกรรมนี้ของโทนี่ มีแต่คนวงนอกที่ไม่รู้ และแม้แต่สิ่งที่นายกนิดต้องประสบ เรื่องนี้ที่พี่คิงส์มาบอก ก็ยังมีน้อยคนนักที่จะรู้ ว่านายกนิดคนนี้ต้องพบกับอะไรบ้าง ที่โทนี่ได้ก่อกรรมไว้ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 418 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ชีวิต" ก็เหมือน "หนังสือ" 📖📖
    ทุก ๆ วัน ..คือ.. "หน้าใหม่"
    ทุก ๆ เดือน ..คือ.. "บทใหม่"
    ทุก ๆ ปี ..คือ.. "เล่มใหม่"
    สุข .. ทุกข์ .. ทุกๆอย่างที่เปิดเจอ
    เรา .. เปิดผ่านมันมาแล้ว ..
    ปล่อยให้เรื่องราวทั้งหมดอยู่ภายในความทรงจำ
    เรื่องราวดีๆจะเก็บไว้เป็น ความทรงจำที่ดี
    ส่วนเรื่องราวแย่ๆ ก็จะเก็บไว้เป็น บทเรียนที่ดี
    พรุ่งนี้ เปิดหนังสือ "เล่มใหม่"
    สิ่งที่เรา จะเจอ ..คือ.. "สิ่งใหม่"
    ไม่ว่า จะเจอ อะไร ..ก็แค่.. "เรียนรู้ และสู้ต่อไป"
    .. แล้ว เรา จะ ผ่าน มัน ไป ได้ ..
    .. เหมือนทุกครั้งที่เคยผ่านมา ..
    "ชีวิต" ก็เหมือน "หนังสือ" 📖📖 ทุก ๆ วัน ..คือ.. "หน้าใหม่" ทุก ๆ เดือน ..คือ.. "บทใหม่" ทุก ๆ ปี ..คือ.. "เล่มใหม่" สุข .. ทุกข์ .. ทุกๆอย่างที่เปิดเจอ เรา .. เปิดผ่านมันมาแล้ว .. ปล่อยให้เรื่องราวทั้งหมดอยู่ภายในความทรงจำ เรื่องราวดีๆจะเก็บไว้เป็น ความทรงจำที่ดี ส่วนเรื่องราวแย่ๆ ก็จะเก็บไว้เป็น บทเรียนที่ดี พรุ่งนี้ เปิดหนังสือ "เล่มใหม่" สิ่งที่เรา จะเจอ ..คือ.. "สิ่งใหม่" ไม่ว่า จะเจอ อะไร ..ก็แค่.. "เรียนรู้ และสู้ต่อไป" .. แล้ว เรา จะ ผ่าน มัน ไป ได้ .. .. เหมือนทุกครั้งที่เคยผ่านมา ..
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • 14 ล้านเสียงแห่งความฝัน
    อันดับ 1 ของโพลมโน
    หรือจะสู้ชีวิตจริงที่ต้องเจอ
    แพ้ทุกสนาม ทำใจให้ได้ก่อนพรรคถูกยุบ
    ไอโอปั่นไม่ขึ้น ไลฟ์แถลงคนดูหลักร้อย
    โหวตอะไรก็แพ้
    ที่เหลือไว้แค่ความทรงจำ ที่คนไทยไม่ลืม
    ว่าในอดีตเคยมีพรรคใจต่ำที่ต้องการล้มสถาบันกษัตริย์ที่คนไทยรัก
    และเป็นประวัติศาสตร์ที่จะลบชื่อพรรคทรามนี้ด้วยเสียงของประชาชน
    คนไทย ก็แค่อยากลองของใหม่ แต่หางโผล่เค้าก็ผลักไส
    ดูผลคะแนนเลือกตั้ง อบจ. แพ้กันเป็นแสนคะแนน
    หนำมั๊ยพวกเมิง ไม่มีคนไทยที่ไหน เค้าอยากให้ลูกตัวเองขายกีเสรี
    ไม่มีใครอยากให้หลานตัวเองถ่ายเอวีถูกกฏหมาย
    ไม่มีใครอยากให้ลูกไม่กตัญญูตามที่ก้าวไกลปั่นหัว เยาวชน
    ไม่มีใครอยากยกประเทศไทยให้เมกา ด้วยการล้มสถาบัน
    พวกคอมมิว นิส หลงยุค
    ปรีดีย์ก่อนจากไป ยังออกมาขอโทษและรู้สึกผิดพลาดกับสิ่งทีทำไป
    แต่พวกเอ็งก็เอามาแสวงหาประโยชน์เพียงเพื่อหวังให้ร้ายสถาบัน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    14 ล้านเสียงแห่งความฝัน อันดับ 1 ของโพลมโน หรือจะสู้ชีวิตจริงที่ต้องเจอ แพ้ทุกสนาม ทำใจให้ได้ก่อนพรรคถูกยุบ ไอโอปั่นไม่ขึ้น ไลฟ์แถลงคนดูหลักร้อย โหวตอะไรก็แพ้ ที่เหลือไว้แค่ความทรงจำ ที่คนไทยไม่ลืม ว่าในอดีตเคยมีพรรคใจต่ำที่ต้องการล้มสถาบันกษัตริย์ที่คนไทยรัก และเป็นประวัติศาสตร์ที่จะลบชื่อพรรคทรามนี้ด้วยเสียงของประชาชน คนไทย ก็แค่อยากลองของใหม่ แต่หางโผล่เค้าก็ผลักไส ดูผลคะแนนเลือกตั้ง อบจ. แพ้กันเป็นแสนคะแนน หนำมั๊ยพวกเมิง ไม่มีคนไทยที่ไหน เค้าอยากให้ลูกตัวเองขายกีเสรี ไม่มีใครอยากให้หลานตัวเองถ่ายเอวีถูกกฏหมาย ไม่มีใครอยากให้ลูกไม่กตัญญูตามที่ก้าวไกลปั่นหัว เยาวชน ไม่มีใครอยากยกประเทศไทยให้เมกา ด้วยการล้มสถาบัน พวกคอมมิว นิส หลงยุค ปรีดีย์ก่อนจากไป ยังออกมาขอโทษและรู้สึกผิดพลาดกับสิ่งทีทำไป แต่พวกเอ็งก็เอามาแสวงหาประโยชน์เพียงเพื่อหวังให้ร้ายสถาบัน #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 397 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันที่2สิงหาคม2567 ฝนพรำมาทั้งคืนตอนเช้าท้องฟ้าเต็มไปด้วยละอองฝน ว่างสอน โน้ตบุ๊คเจ๊งจอดำ หยิบมือถือเข้าเฟสเจอคุณสนธิ ไลฟ์สดสถานการณ์โลก แล้วก็เจอคุณสนธิแนะนำThaitime สมัครเลยของคนไทยสนับสนุนเสมอครับ
    #บันทึกไว้เตือนความทรงจำ..
    วันที่2สิงหาคม2567 ฝนพรำมาทั้งคืนตอนเช้าท้องฟ้าเต็มไปด้วยละอองฝน ว่างสอน โน้ตบุ๊คเจ๊งจอดำ หยิบมือถือเข้าเฟสเจอคุณสนธิ ไลฟ์สดสถานการณ์โลก แล้วก็เจอคุณสนธิแนะนำThaitime สมัครเลยของคนไทยสนับสนุนเสมอครับ #บันทึกไว้เตือนความทรงจำ..
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาวน์โหลด PDF นี้ ก่อน Robinhood อำลา

    เป็นที่น่าใจหายสำหรับโรบินฮู้ด (Robinhood) แพลตฟอร์มดีลิเวอรีสัญชาติไทย ที่กลุ่ม SCB X ธนาคารไทยพาณิชย์ตัดสินใจไม่ไปต่อ และจะปิดบริการทุกบริการในวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ที่จะถึงนี้ ท่ามกลางภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ดำเนินงาน สะสมสูงถึง 5,500 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา

    แต่การอำลาของ Robinhood นั้นถือว่ายังมีความทรงจำดีๆ ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ทั้งการที่ ต้อง-กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร ซีอีโอของเพอร์เพิล เวนเจอร์ส ผู้พัฒนาโรบินฮู้ด เปิดแพลตฟอร์ม “TalentOfRobinhood” ช่วยพนักงานกว่า 300 คนได้หางานใหม่ โดยให้พนักงานแต่ละคนฝาก Resume หรือ Portfolio ของตัวเอง

    ล่าสุด จับมือกับ The Standard LIFE ทำคู่มือที่ชื่อว่า "Robinhood Guide 2024 100 ร้านเล็กที่ต้องลอง" รวบรวมร้านอาหารขนาดเล็ก 100 ร้านค้า ซึ่งผู้จัดทำระบุว่า ใช้เวลาหลายเดือนในการค้นหา ชิม และคัดสรรร้านคุณภาพ ทั้งร้านดังในตำนาน ร้านเล็กปากซอย และร้านที่คว้ารางวัล Robinhood Awards มาครอง แต่ละร้านล้วนมีเสน่ห์และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร

    "เรารู้ว่าคุณเป็นสายลุยที่ชอบตามหาของอร่อย เลยคัดมาแต่ร้านคุณภาพเน้นๆ ที่รับรองว่าถูกปากแน่นอน คู่มือเล่มนี้จะเป็นแผนที่นำทางคุณไปพบความอร่อยที่ซ่อนอยู่ทั่วเมือง คุณอาจได้ค้นพบร้านโปรดแห่งใหม่ หรือได้รื้อฟื้นความทรงจำดีๆ กับร้านเก่าที่คุ้นเคยด้วยรสชาติที่ดีที่คิดถึง"

    โรบินฮู้ดตั้งใจว่าคู่มือฉบับนี้จะเป็นการส่งต่อความอร่อยถึงมือผู้อ่าน เพียงแค่แวะไปชิม แชร์ หรือบอกต่อเพื่อนๆ ก็ช่วยให้ร้านอาหารขนาดเล็กเหล่านี้เติบโตได้ ไม่ว่าจะสั่งผ่านแอปฯ ไหน หรือไปกินที่ร้านโดยตรง ทุกการสนับสนุนล้วนมีความหมาย ขณะนี้เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วทาง Google Drive คลิก https://bit.ly/4c2DKgT

    ถือเป็นอีกไฟล์ PDF ที่คนกรุงเทพฯ ควรมีติดไว้บนมือถือ ถ้านึกไม่ออกว่าจะกินร้านไหน น่าจะพอเป็นไอเดียมื้อที่อยากกินได้

    #Newskit #Robinhood #RobinhoodDelivery
    ดาวน์โหลด PDF นี้ ก่อน Robinhood อำลา เป็นที่น่าใจหายสำหรับโรบินฮู้ด (Robinhood) แพลตฟอร์มดีลิเวอรีสัญชาติไทย ที่กลุ่ม SCB X ธนาคารไทยพาณิชย์ตัดสินใจไม่ไปต่อ และจะปิดบริการทุกบริการในวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ที่จะถึงนี้ ท่ามกลางภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ดำเนินงาน สะสมสูงถึง 5,500 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา แต่การอำลาของ Robinhood นั้นถือว่ายังมีความทรงจำดีๆ ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ทั้งการที่ ต้อง-กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร ซีอีโอของเพอร์เพิล เวนเจอร์ส ผู้พัฒนาโรบินฮู้ด เปิดแพลตฟอร์ม “TalentOfRobinhood” ช่วยพนักงานกว่า 300 คนได้หางานใหม่ โดยให้พนักงานแต่ละคนฝาก Resume หรือ Portfolio ของตัวเอง ล่าสุด จับมือกับ The Standard LIFE ทำคู่มือที่ชื่อว่า "Robinhood Guide 2024 100 ร้านเล็กที่ต้องลอง" รวบรวมร้านอาหารขนาดเล็ก 100 ร้านค้า ซึ่งผู้จัดทำระบุว่า ใช้เวลาหลายเดือนในการค้นหา ชิม และคัดสรรร้านคุณภาพ ทั้งร้านดังในตำนาน ร้านเล็กปากซอย และร้านที่คว้ารางวัล Robinhood Awards มาครอง แต่ละร้านล้วนมีเสน่ห์และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร "เรารู้ว่าคุณเป็นสายลุยที่ชอบตามหาของอร่อย เลยคัดมาแต่ร้านคุณภาพเน้นๆ ที่รับรองว่าถูกปากแน่นอน คู่มือเล่มนี้จะเป็นแผนที่นำทางคุณไปพบความอร่อยที่ซ่อนอยู่ทั่วเมือง คุณอาจได้ค้นพบร้านโปรดแห่งใหม่ หรือได้รื้อฟื้นความทรงจำดีๆ กับร้านเก่าที่คุ้นเคยด้วยรสชาติที่ดีที่คิดถึง" โรบินฮู้ดตั้งใจว่าคู่มือฉบับนี้จะเป็นการส่งต่อความอร่อยถึงมือผู้อ่าน เพียงแค่แวะไปชิม แชร์ หรือบอกต่อเพื่อนๆ ก็ช่วยให้ร้านอาหารขนาดเล็กเหล่านี้เติบโตได้ ไม่ว่าจะสั่งผ่านแอปฯ ไหน หรือไปกินที่ร้านโดยตรง ทุกการสนับสนุนล้วนมีความหมาย ขณะนี้เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วทาง Google Drive คลิก https://bit.ly/4c2DKgT ถือเป็นอีกไฟล์ PDF ที่คนกรุงเทพฯ ควรมีติดไว้บนมือถือ ถ้านึกไม่ออกว่าจะกินร้านไหน น่าจะพอเป็นไอเดียมื้อที่อยากกินได้ #Newskit #Robinhood #RobinhoodDelivery
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 640 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันเวลาที่ผ่านมา สร้างความทรงจำไว้มากมาย
    วันเวลาที่ผ่านมา สร้างความทรงจำไว้มากมาย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่รู้จักเฒ่าเหลิม
    ถึงจะดูช้าๆชราไปบ้าง
    แต่ยังมีเรื่องลับๆในความทรงจำ
    ที่เปิดเมื่อไหร่ โทนี่มีร้อง
    เหลิมจัดเลย คนไทยรอชม
    บอกเลย ข้อมูลที่เฒ่าเหลิมมี
    ชูวิทย์กลายเป็นเด็กอนุบาลไปเลย
    บอกไว้ เผื่อรุ่นใหม่ๆยังไม่รู้จัก
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #เฉลิมอยู่บำรุง
    ไม่รู้จักเฒ่าเหลิม ถึงจะดูช้าๆชราไปบ้าง แต่ยังมีเรื่องลับๆในความทรงจำ ที่เปิดเมื่อไหร่ โทนี่มีร้อง เหลิมจัดเลย คนไทยรอชม บอกเลย ข้อมูลที่เฒ่าเหลิมมี ชูวิทย์กลายเป็นเด็กอนุบาลไปเลย บอกไว้ เผื่อรุ่นใหม่ๆยังไม่รู้จัก #คิงส์โพธิ์แดง #เฉลิมอยู่บำรุง
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 335 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทดสอบ ภาพที่สร้างขึ้นโดย DALL-E image generator pro + ChatGPT 4o สคริปต์เล่าเรื่อง
    -----------------------------
    ในป่าลึกที่แสนสงบและเขียวขจี กลุ่มเพื่อนได้ตัดสินใจมาพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่ พวกเขามากางเต็นท์และตั้งแคมป์กลางป่าในเช้าวันเสาร์ที่สดใส

    เพื่อน ๆ กำลังนั่งล้อมรอบกองไฟที่กำลังลุกโชน ย่างปลากลิ่นหอมที่ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสนุกสนาน เสียงหัวเราะและเรื่องตลกที่แชร์กันสร้างความรู้สึกของความเป็นมิตรและความผูกพันที่แน่นแฟ้น

    เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยความเงียบสงบ ทะเลสาบใกล้ ๆ แคมป์ดูสดใส เพื่อนบางคนเตรียมอุปกรณ์ตกปลา ในขณะที่คนอื่น ๆ พักผ่อนและเพลิดเพลินกับธรรมชาติรอบตัว นกบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้าและปลาที่แหวกว่ายในน้ำใส เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนได้สัมผัสกับความสงบและความสุขอย่างแท้จริง

    ในยามค่ำคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว เพื่อน ๆ นั่งรอบกองไฟ มีเสียงกีตาร์และการร้องเพลงอย่างเบิกบาน ร้องเพลงโปรดและเล่าเรื่องผจญภัยในความมืดของป่าใหญ่ เป็นคืนที่เต็มไปด้วยเสียงเพลงและความสนุกสนานที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    การตั้งแคมป์ในป่าครั้งนี้ทำให้กลุ่มเพื่อนได้รับประสบการณ์ที่น่าจดจำและความทรงจำดี ๆ ที่จะไม่ลืมเลือนไปง่าย ๆ เป็นการผจญภัยที่ทำให้พวกเขาได้เชื่อมต่อกับธรรมชาติและกับกันและกันในแบบที่หายากในชีวิตประจำวัน
    ทดสอบ ภาพที่สร้างขึ้นโดย DALL-E image generator pro + ChatGPT 4o สคริปต์เล่าเรื่อง ----------------------------- ในป่าลึกที่แสนสงบและเขียวขจี กลุ่มเพื่อนได้ตัดสินใจมาพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่ พวกเขามากางเต็นท์และตั้งแคมป์กลางป่าในเช้าวันเสาร์ที่สดใส เพื่อน ๆ กำลังนั่งล้อมรอบกองไฟที่กำลังลุกโชน ย่างปลากลิ่นหอมที่ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสนุกสนาน เสียงหัวเราะและเรื่องตลกที่แชร์กันสร้างความรู้สึกของความเป็นมิตรและความผูกพันที่แน่นแฟ้น เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยความเงียบสงบ ทะเลสาบใกล้ ๆ แคมป์ดูสดใส เพื่อนบางคนเตรียมอุปกรณ์ตกปลา ในขณะที่คนอื่น ๆ พักผ่อนและเพลิดเพลินกับธรรมชาติรอบตัว นกบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้าและปลาที่แหวกว่ายในน้ำใส เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนได้สัมผัสกับความสงบและความสุขอย่างแท้จริง ในยามค่ำคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว เพื่อน ๆ นั่งรอบกองไฟ มีเสียงกีตาร์และการร้องเพลงอย่างเบิกบาน ร้องเพลงโปรดและเล่าเรื่องผจญภัยในความมืดของป่าใหญ่ เป็นคืนที่เต็มไปด้วยเสียงเพลงและความสนุกสนานที่ไม่มีที่สิ้นสุด การตั้งแคมป์ในป่าครั้งนี้ทำให้กลุ่มเพื่อนได้รับประสบการณ์ที่น่าจดจำและความทรงจำดี ๆ ที่จะไม่ลืมเลือนไปง่าย ๆ เป็นการผจญภัยที่ทำให้พวกเขาได้เชื่อมต่อกับธรรมชาติและกับกันและกันในแบบที่หายากในชีวิตประจำวัน
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 512 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวัสดีตอนสายๆ กับ วันอาสาฬหบูชา เย็นนี้จะไปเวียนเทียน เก็บบันทึกความทรงจำกับ Thai Time ขอให้แอพนี้เป็นสังคมที่ดี ไม่มีมิจฉาชีพ มาโฆษณาเต็มไปหมดทีเถอะ สาธุ
    สวัสดีตอนสายๆ กับ วันอาสาฬหบูชา เย็นนี้จะไปเวียนเทียน เก็บบันทึกความทรงจำกับ Thai Time ขอให้แอพนี้เป็นสังคมที่ดี ไม่มีมิจฉาชีพ มาโฆษณาเต็มไปหมดทีเถอะ สาธุ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหลือผืนป่าเพียงน้อยนิด ยังรับผลกระทบไม่พออีกหรือ
    นักการเมือง นายทุนที่ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ
    แอบหลังชาวบ้านและเกษตรกร
    พื้นที่รุกป่าสร้างรีสอร์ทหนึ่งแสนหกหมื่นไร่
    ถ้าปล่อยให้มติครม.ผ่านไป อุทยานลานธรรมชาติที่สุดท้าย
    คงเหลือไว้แค่ความทรงจำ
    ป่าไม้ให้อะไรมากกว่าที่เราคิด
    ทับลาน สมบัติของคนไทย ประโยชน์ของคนทั้งโลก
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #saveทับลาน
    เหลือผืนป่าเพียงน้อยนิด ยังรับผลกระทบไม่พออีกหรือ นักการเมือง นายทุนที่ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ แอบหลังชาวบ้านและเกษตรกร พื้นที่รุกป่าสร้างรีสอร์ทหนึ่งแสนหกหมื่นไร่ ถ้าปล่อยให้มติครม.ผ่านไป อุทยานลานธรรมชาติที่สุดท้าย คงเหลือไว้แค่ความทรงจำ ป่าไม้ให้อะไรมากกว่าที่เราคิด ทับลาน สมบัติของคนไทย ประโยชน์ของคนทั้งโลก #คิงส์โพธิ์แดง #saveทับลาน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 374 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำหรับชาวปาเลสในกาซา กุญแจเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังว่าพวกเขาจะได้กลับบ้านในเร็วๆ นี้
    ฮัสซัน โนฟาล วัย 53 ปี ตั้งใจแน่วแน่ที่จะให้แน่ใจว่ากุญแจบ้านของเขาทางตอนเหนือของกาซาจะไม่กลายเป็นของที่ระลึกเหมือนกับกุญแจบ้านของปู่ย่าตายายของเขา
    “ถ้ากุญแจบ้านของฉันกลายเป็นเพียงความทรงจำเมื่อฉันก้าวต่อไป ฉันก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว” โนฟาลกล่าวกับสำนักข่าวเอพี
    โนฟาลและครอบครัวของเขาต้องอพยพออกจากบ้านเรือนไปแล้ว 4 ครั้งนับตั้งแต่พวกเขาหนีออกจากบ้านเรือนในกาซาตอนเหนือเมื่อปีที่แล้วท่ามกลางการรุกรานของเอลในดินแดนดังกล่าว ต่างจากปู่ย่าตายายของเขาที่ไม่เคยได้กลับบ้านที่บริเวณที่ปัจจุบันคือบริเวณตอนใต้ของเอลเลยหลังจากถูกขับไล่ในปี 2491 โนฟาลหวังว่าเขาและครอบครัวจะสามารถกลับบ้านได้ในไม่ช้านี้
    “ฉันต้องกลับบ้านของฉัน” เขากล่าว
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    สำหรับชาวปาเลสในกาซา กุญแจเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังว่าพวกเขาจะได้กลับบ้านในเร็วๆ นี้ ฮัสซัน โนฟาล วัย 53 ปี ตั้งใจแน่วแน่ที่จะให้แน่ใจว่ากุญแจบ้านของเขาทางตอนเหนือของกาซาจะไม่กลายเป็นของที่ระลึกเหมือนกับกุญแจบ้านของปู่ย่าตายายของเขา “ถ้ากุญแจบ้านของฉันกลายเป็นเพียงความทรงจำเมื่อฉันก้าวต่อไป ฉันก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว” โนฟาลกล่าวกับสำนักข่าวเอพี โนฟาลและครอบครัวของเขาต้องอพยพออกจากบ้านเรือนไปแล้ว 4 ครั้งนับตั้งแต่พวกเขาหนีออกจากบ้านเรือนในกาซาตอนเหนือเมื่อปีที่แล้วท่ามกลางการรุกรานของเอลในดินแดนดังกล่าว ต่างจากปู่ย่าตายายของเขาที่ไม่เคยได้กลับบ้านที่บริเวณที่ปัจจุบันคือบริเวณตอนใต้ของเอลเลยหลังจากถูกขับไล่ในปี 2491 โนฟาลหวังว่าเขาและครอบครัวจะสามารถกลับบ้านได้ในไม่ช้านี้ “ฉันต้องกลับบ้านของฉัน” เขากล่าว . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว