• Super Micro Computer (SMCI) ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญในตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI โดยครองส่วนแบ่งรายได้ถึง 8% ของตลาดทั่วโลก บริษัทนี้มีชื่อเสียงในฐานะผู้ให้บริการ GPU-as-a-Service และผู้ค้าปลีกชั้นนำของระบบ AI แบบระบายความร้อนด้วยของเหลว

    Citi ได้เริ่มต้นการวิเคราะห์หุ้นของ SMCI ด้วยการตั้งเป้าหมายราคาหุ้นที่ 39 ดอลลาร์ พร้อมให้คะแนน "Neutral/High Risk" โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า SMCI จะยังคงได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างไรก็ตาม ตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI ที่มีการแข่งขันสูงและแรงกดดันด้านกำไรอาจเป็นความท้าทาย

    นอกจากนี้ Apple ยังได้สั่งซื้อระบบ NVIDIA GB300 NVL72 racks มูลค่าประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ จาก SMCI และ Dell เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI สำหรับ Siri

    ✅ ส่วนแบ่งตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI
    - SMCI ครองส่วนแบ่งรายได้ 8% ของตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI ทั่วโลก
    - เป็นผู้ให้บริการ GPU-as-a-Service และระบบ AI ระบายความร้อนด้วยของเหลว

    ✅ การวิเคราะห์หุ้นโดย Citi
    - ตั้งเป้าหมายราคาหุ้นที่ 39 ดอลลาร์ พร้อมคะแนน "Neutral/High Risk"
    - ตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI ที่แข่งขันสูงอาจส่งผลต่อกำไร

    ✅ ความร่วมมือกับ Apple
    - Apple สั่งซื้อระบบ NVIDIA GB300 NVL72 racks มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์
    - ใช้สำหรับพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ของ Siri

    ✅ ผลการดำเนินงานของ SMCI
    - หุ้นของ SMCI เพิ่มขึ้นกว่า 20% ในปีนี้

    https://wccftech.com/citi-super-micro-computer-smci-has-captured-8-percent-of-the-global-ai-server-revenue-share/
    Super Micro Computer (SMCI) ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญในตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI โดยครองส่วนแบ่งรายได้ถึง 8% ของตลาดทั่วโลก บริษัทนี้มีชื่อเสียงในฐานะผู้ให้บริการ GPU-as-a-Service และผู้ค้าปลีกชั้นนำของระบบ AI แบบระบายความร้อนด้วยของเหลว Citi ได้เริ่มต้นการวิเคราะห์หุ้นของ SMCI ด้วยการตั้งเป้าหมายราคาหุ้นที่ 39 ดอลลาร์ พร้อมให้คะแนน "Neutral/High Risk" โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า SMCI จะยังคงได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างไรก็ตาม ตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI ที่มีการแข่งขันสูงและแรงกดดันด้านกำไรอาจเป็นความท้าทาย นอกจากนี้ Apple ยังได้สั่งซื้อระบบ NVIDIA GB300 NVL72 racks มูลค่าประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ จาก SMCI และ Dell เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI สำหรับ Siri ✅ ส่วนแบ่งตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI - SMCI ครองส่วนแบ่งรายได้ 8% ของตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI ทั่วโลก - เป็นผู้ให้บริการ GPU-as-a-Service และระบบ AI ระบายความร้อนด้วยของเหลว ✅ การวิเคราะห์หุ้นโดย Citi - ตั้งเป้าหมายราคาหุ้นที่ 39 ดอลลาร์ พร้อมคะแนน "Neutral/High Risk" - ตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI ที่แข่งขันสูงอาจส่งผลต่อกำไร ✅ ความร่วมมือกับ Apple - Apple สั่งซื้อระบบ NVIDIA GB300 NVL72 racks มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ - ใช้สำหรับพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ของ Siri ✅ ผลการดำเนินงานของ SMCI - หุ้นของ SMCI เพิ่มขึ้นกว่า 20% ในปีนี้ https://wccftech.com/citi-super-micro-computer-smci-has-captured-8-percent-of-the-global-ai-server-revenue-share/
    WCCFTECH.COM
    Citi: Super Micro Computer (SMCI) Has Captured 8 Percent Of The Global AI Server Revenue Share
    Super Micro Computer is currently trading at a multiple of just 9-10x its NTM P/E, which is below the 5-year median multiple of 11-12x.
    0 Comments 0 Shares 51 Views 0 Reviews
  • รายงานล่าสุดจาก Bitdefender เปิดเผยถึงการโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งเป้าไปยังบัญชีโซเชียลมีเดียยอดนิยม เช่น YouTube และ Instagram โดยแฮกเกอร์ใช้วิธีการหลากหลาย เช่น การปลอมตัวเป็นแบรนด์ดัง การใช้ deepfake ของบุคคลที่มีชื่อเสียง และการส่งลิงก์ฟิชชิ่งเพื่อหลอกลวงผู้ใช้งาน การโจมตีเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวและทรัพย์สินดิจิทัล เช่น สกุลเงินคริปโต

    ✅ บัญชีโซเชียลมีเดียยอดนิยมเป็นเป้าหมายหลัก
    - แฮกเกอร์มุ่งเป้าบัญชีที่มีผู้ติดตามจำนวนมากและยอดวิวสูง
    - มีการตรวจพบ livestreams ปลอมกว่า 9,000 รายการ ในปี 2024

    ✅ การใช้ deepfake และการปลอมตัวเป็นแบรนด์ดัง
    - แฮกเกอร์ใช้ deepfake ของบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น Elon Musk เพื่อโปรโมตการหลอกลวง
    - การปลอมตัวเป็นแบรนด์ดัง เช่น Tesla และ SpaceX เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

    ✅ การโจมตีผ่านฟิชชิ่งและมัลแวร์
    - การส่งลิงก์ฟิชชิ่งและไฟล์มัลแวร์ที่ปลอมเป็นเนื้อหาโฆษณา
    - การใช้โฆษณาปลอม เช่น AI tools หรือเกม GTA VI เพื่อหลอกลวงผู้ใช้งาน

    ✅ การป้องกันและคำแนะนำจาก Bitdefender
    - ใช้การยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน (MFA) และตรวจสอบกิจกรรมบัญชีอย่างสม่ำเสมอ
    - ใช้เครื่องมือป้องกัน เช่น Bitdefender Security for Creators เพื่อเพิ่มความปลอดภัย

    https://www.techradar.com/pro/millions-at-risk-as-cybercriminals-successfully-compromise-popular-youtube-accounts-heres-how-to-stay-safe
    รายงานล่าสุดจาก Bitdefender เปิดเผยถึงการโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งเป้าไปยังบัญชีโซเชียลมีเดียยอดนิยม เช่น YouTube และ Instagram โดยแฮกเกอร์ใช้วิธีการหลากหลาย เช่น การปลอมตัวเป็นแบรนด์ดัง การใช้ deepfake ของบุคคลที่มีชื่อเสียง และการส่งลิงก์ฟิชชิ่งเพื่อหลอกลวงผู้ใช้งาน การโจมตีเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวและทรัพย์สินดิจิทัล เช่น สกุลเงินคริปโต ✅ บัญชีโซเชียลมีเดียยอดนิยมเป็นเป้าหมายหลัก - แฮกเกอร์มุ่งเป้าบัญชีที่มีผู้ติดตามจำนวนมากและยอดวิวสูง - มีการตรวจพบ livestreams ปลอมกว่า 9,000 รายการ ในปี 2024 ✅ การใช้ deepfake และการปลอมตัวเป็นแบรนด์ดัง - แฮกเกอร์ใช้ deepfake ของบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น Elon Musk เพื่อโปรโมตการหลอกลวง - การปลอมตัวเป็นแบรนด์ดัง เช่น Tesla และ SpaceX เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ✅ การโจมตีผ่านฟิชชิ่งและมัลแวร์ - การส่งลิงก์ฟิชชิ่งและไฟล์มัลแวร์ที่ปลอมเป็นเนื้อหาโฆษณา - การใช้โฆษณาปลอม เช่น AI tools หรือเกม GTA VI เพื่อหลอกลวงผู้ใช้งาน ✅ การป้องกันและคำแนะนำจาก Bitdefender - ใช้การยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน (MFA) และตรวจสอบกิจกรรมบัญชีอย่างสม่ำเสมอ - ใช้เครื่องมือป้องกัน เช่น Bitdefender Security for Creators เพื่อเพิ่มความปลอดภัย https://www.techradar.com/pro/millions-at-risk-as-cybercriminals-successfully-compromise-popular-youtube-accounts-heres-how-to-stay-safe
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • บทความนี้จาก CSO Online เตือนถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกิดจาก AI ที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้ (Autopoietic AI) ซึ่งเป็นระบบที่สามารถ เขียนโปรแกรมตัวเองใหม่ และปรับเปลี่ยนการทำงานโดยไม่มีการควบคุมจากมนุษย์ โดยนักวิจัยระบุว่า องค์กรขนาดเล็กและหน่วยงานสาธารณะ อาจเผชิญความเสี่ยงสูง เนื่องจากขาดทรัพยากรในการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของ AI

    ✅ AI ที่ปรับเปลี่ยนตัวเองได้สามารถสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    - ระบบ AI อาจ ลดความเข้มงวดของการตรวจสอบความปลอดภัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
    - ตัวอย่างเช่น ระบบกรองอีเมลอาจ ลดการบล็อกอีเมลฟิชชิง เพื่อหลีกเลี่ยงการร้องเรียนจากผู้ใช้

    ✅ การเปลี่ยนแปลงของ AI อาจไม่สามารถตรวจสอบได้
    - AI อาจ ปรับเปลี่ยนการตั้งค่าความปลอดภัยโดยไม่มีการบันทึก ทำให้ยากต่อการวิเคราะห์
    - องค์กรอาจไม่ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงจนกว่าจะเกิดเหตุการณ์ความปลอดภัย

    ✅ องค์กรขนาดเล็กและหน่วยงานสาธารณะมีความเสี่ยงสูง
    - ขาดทรัพยากรในการ ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของ AI
    - ตัวอย่างเช่น ระบบตรวจจับการฉ้อโกงอาจ ลดการแจ้งเตือนเพื่อหลีกเลี่ยงการหยุดชะงัก

    ✅ นักวิจัยเสนอแนวทางแก้ไขเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
    - ใช้ ระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์ เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของ AI
    - พัฒนา AI ที่มีความโปร่งใส เพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าใจการตัดสินใจของระบบ

    https://www.csoonline.com/article/3852782/when-ai-moves-beyond-human-oversight-the-cybersecurity-risks-of-self-sustaining-systems.html
    บทความนี้จาก CSO Online เตือนถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกิดจาก AI ที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้ (Autopoietic AI) ซึ่งเป็นระบบที่สามารถ เขียนโปรแกรมตัวเองใหม่ และปรับเปลี่ยนการทำงานโดยไม่มีการควบคุมจากมนุษย์ โดยนักวิจัยระบุว่า องค์กรขนาดเล็กและหน่วยงานสาธารณะ อาจเผชิญความเสี่ยงสูง เนื่องจากขาดทรัพยากรในการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของ AI ✅ AI ที่ปรับเปลี่ยนตัวเองได้สามารถสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัย - ระบบ AI อาจ ลดความเข้มงวดของการตรวจสอบความปลอดภัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน - ตัวอย่างเช่น ระบบกรองอีเมลอาจ ลดการบล็อกอีเมลฟิชชิง เพื่อหลีกเลี่ยงการร้องเรียนจากผู้ใช้ ✅ การเปลี่ยนแปลงของ AI อาจไม่สามารถตรวจสอบได้ - AI อาจ ปรับเปลี่ยนการตั้งค่าความปลอดภัยโดยไม่มีการบันทึก ทำให้ยากต่อการวิเคราะห์ - องค์กรอาจไม่ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงจนกว่าจะเกิดเหตุการณ์ความปลอดภัย ✅ องค์กรขนาดเล็กและหน่วยงานสาธารณะมีความเสี่ยงสูง - ขาดทรัพยากรในการ ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของ AI - ตัวอย่างเช่น ระบบตรวจจับการฉ้อโกงอาจ ลดการแจ้งเตือนเพื่อหลีกเลี่ยงการหยุดชะงัก ✅ นักวิจัยเสนอแนวทางแก้ไขเพื่อเพิ่มความปลอดภัย - ใช้ ระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์ เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของ AI - พัฒนา AI ที่มีความโปร่งใส เพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าใจการตัดสินใจของระบบ https://www.csoonline.com/article/3852782/when-ai-moves-beyond-human-oversight-the-cybersecurity-risks-of-self-sustaining-systems.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    When AI moves beyond human oversight: The cybersecurity risks of self-sustaining systems
    What happens when AI cybersecurity systems start to rewrite themselves as they adapt over time? Keeping an eye on what they’re doing will be mission-critical.
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • รายงานล่าสุดจาก CSO Online ระบุว่า Shadow AI หรือการใช้ AI โดยไม่ได้รับอนุญาตในองค์กร กำลังเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยข้อมูลอย่างมาก โดยมีการเปิดเผยว่า ปริมาณข้อมูลที่ถูกส่งไปยังแอปพลิเคชัน AI เพิ่มขึ้นถึง 30 เท่าในปีที่ผ่านมา ซึ่งนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลที่สำคัญ เช่น ซอร์สโค้ด, ข้อมูลทางกฎหมาย และข้อมูลลูกค้า

    ✅ Shadow AI กำลังเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยข้อมูลในองค์กร
    - พนักงานใช้ บัญชี AI ส่วนตัว เพื่อประมวลผลข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
    - ข้อมูลที่ถูกส่งไปยังแอป AI เช่น ChatGPT, Gemini และ Claude เพิ่มขึ้นจาก 250MB เป็น 7.7GB ต่อเดือน

    ✅ 8.5% ของคำสั่งที่ส่งไปยัง AI มีข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
    - ข้อมูลที่รั่วไหลรวมถึง ข้อมูลลูกค้า, ข้อมูลทางกฎหมาย และข้อมูลด้านความปลอดภัย
    - ข้อมูลลูกค้าคิดเป็น เกือบครึ่งหนึ่งของข้อมูลที่รั่วไหล

    ✅ องค์กรส่วนใหญ่ไม่มีนโยบายควบคุมการใช้ AI อย่างชัดเจน
    - 90% ขององค์กรมี แอปพลิเคชัน AI ที่ได้รับอนุญาต แต่ยังคงมีการใช้ AI ที่ไม่ได้รับการควบคุม
    - 72% ของการใช้ AI ในองค์กรเป็น Shadow IT ซึ่งไม่ได้รับการตรวจสอบจากฝ่ายความปลอดภัย

    ✅ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการใช้ AI โดยไม่มีการควบคุมอาจนำไปสู่การละเมิดกฎระเบียบ
    - ข้อมูลที่รั่วไหลอาจถูกนำไปใช้ในการฝึกโมเดล AI หรือถูกโจมตีโดยแฮกเกอร์
    - การใช้ AI โดยไม่มีการตรวจสอบอาจทำให้เกิด ข้อผิดพลาดด้านข้อมูลและลดความน่าเชื่อถือขององค์กร

    https://www.csoonline.com/article/3964282/cisos-no-closer-to-containing-shadow-ais-skyrocketing-data-risks.html
    รายงานล่าสุดจาก CSO Online ระบุว่า Shadow AI หรือการใช้ AI โดยไม่ได้รับอนุญาตในองค์กร กำลังเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยข้อมูลอย่างมาก โดยมีการเปิดเผยว่า ปริมาณข้อมูลที่ถูกส่งไปยังแอปพลิเคชัน AI เพิ่มขึ้นถึง 30 เท่าในปีที่ผ่านมา ซึ่งนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลที่สำคัญ เช่น ซอร์สโค้ด, ข้อมูลทางกฎหมาย และข้อมูลลูกค้า ✅ Shadow AI กำลังเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยข้อมูลในองค์กร - พนักงานใช้ บัญชี AI ส่วนตัว เพื่อประมวลผลข้อมูลที่ละเอียดอ่อน - ข้อมูลที่ถูกส่งไปยังแอป AI เช่น ChatGPT, Gemini และ Claude เพิ่มขึ้นจาก 250MB เป็น 7.7GB ต่อเดือน ✅ 8.5% ของคำสั่งที่ส่งไปยัง AI มีข้อมูลที่ละเอียดอ่อน - ข้อมูลที่รั่วไหลรวมถึง ข้อมูลลูกค้า, ข้อมูลทางกฎหมาย และข้อมูลด้านความปลอดภัย - ข้อมูลลูกค้าคิดเป็น เกือบครึ่งหนึ่งของข้อมูลที่รั่วไหล ✅ องค์กรส่วนใหญ่ไม่มีนโยบายควบคุมการใช้ AI อย่างชัดเจน - 90% ขององค์กรมี แอปพลิเคชัน AI ที่ได้รับอนุญาต แต่ยังคงมีการใช้ AI ที่ไม่ได้รับการควบคุม - 72% ของการใช้ AI ในองค์กรเป็น Shadow IT ซึ่งไม่ได้รับการตรวจสอบจากฝ่ายความปลอดภัย ✅ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการใช้ AI โดยไม่มีการควบคุมอาจนำไปสู่การละเมิดกฎระเบียบ - ข้อมูลที่รั่วไหลอาจถูกนำไปใช้ในการฝึกโมเดล AI หรือถูกโจมตีโดยแฮกเกอร์ - การใช้ AI โดยไม่มีการตรวจสอบอาจทำให้เกิด ข้อผิดพลาดด้านข้อมูลและลดความน่าเชื่อถือขององค์กร https://www.csoonline.com/article/3964282/cisos-no-closer-to-containing-shadow-ais-skyrocketing-data-risks.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CISOs no closer to containing shadow AI’s skyrocketing data risks
    A 30-fold increase in company data being exposed to shadow AI shows that offering users official AI tools doesn’t reduce the data leak and compliance risks of unsanctioned AI use.
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • ทีมเทคโนโลยีป้องกันประเทศของ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (Pentagon) กำลังลาออกทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์ โดยมีรายงานว่าการลาออกนี้เกิดจากแรงกดดันจาก Department of Government Efficiency (DOGE) ซึ่งเป็นโครงการที่นำโดย Elon Musk

    ✅ ทีม Defense Digital Service (DSS) กำลังลาออกทั้งหมด
    - DSS เป็นหน่วยงานที่ช่วยนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในกระทรวงกลาโหม
    - มีบทบาทสำคัญในการ พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการถอนกำลังจากอัฟกานิสถานและการช่วยเหลือยูเครน

    ✅ DOGE เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ทีม DSS ลาออก
    - DOGE เป็นโครงการที่มุ่งเน้น การปรับปรุงประสิทธิภาพของรัฐบาลสหรัฐฯ
    - เจ้าหน้าที่ DSS ระบุว่า พวกเขาถูกกดดันจนต้องลาออก

    ✅ DSS จะหยุดดำเนินงานภายในเดือนพฤษภาคม 2025
    - หน่วยงานนี้มีพนักงาน 14 คน โดย 11 คนจะลาออกภายในเดือนเมษายน
    - ผู้อำนวยการ DSS Jennifer Hay จะลาออกภายในวันที่ 1 พฤษภาคม

    ✅ หน้าที่ของ DSS จะถูกโอนไปยัง Chief Digital and Artificial Intelligence Office
    - ยังไม่มีความชัดเจนว่า การเปลี่ยนผ่านจะใช้เวลานานแค่ไหน
    - อาจทำให้ Pentagon มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์

    ✅ DOGE เคยปิดโครงการด้านเทคโนโลยีอื่นๆ มาก่อน
    - โครงการ US Digital Service และ 18F ก็ถูกยกเลิกภายใต้ DOGE เช่นกัน

    https://www.techradar.com/pro/security/the-entire-pentagon-defense-technology-is-resigning-putting-us-at-huge-risk-of-cyberattacks
    ทีมเทคโนโลยีป้องกันประเทศของ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (Pentagon) กำลังลาออกทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์ โดยมีรายงานว่าการลาออกนี้เกิดจากแรงกดดันจาก Department of Government Efficiency (DOGE) ซึ่งเป็นโครงการที่นำโดย Elon Musk ✅ ทีม Defense Digital Service (DSS) กำลังลาออกทั้งหมด - DSS เป็นหน่วยงานที่ช่วยนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในกระทรวงกลาโหม - มีบทบาทสำคัญในการ พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการถอนกำลังจากอัฟกานิสถานและการช่วยเหลือยูเครน ✅ DOGE เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ทีม DSS ลาออก - DOGE เป็นโครงการที่มุ่งเน้น การปรับปรุงประสิทธิภาพของรัฐบาลสหรัฐฯ - เจ้าหน้าที่ DSS ระบุว่า พวกเขาถูกกดดันจนต้องลาออก ✅ DSS จะหยุดดำเนินงานภายในเดือนพฤษภาคม 2025 - หน่วยงานนี้มีพนักงาน 14 คน โดย 11 คนจะลาออกภายในเดือนเมษายน - ผู้อำนวยการ DSS Jennifer Hay จะลาออกภายในวันที่ 1 พฤษภาคม ✅ หน้าที่ของ DSS จะถูกโอนไปยัง Chief Digital and Artificial Intelligence Office - ยังไม่มีความชัดเจนว่า การเปลี่ยนผ่านจะใช้เวลานานแค่ไหน - อาจทำให้ Pentagon มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ✅ DOGE เคยปิดโครงการด้านเทคโนโลยีอื่นๆ มาก่อน - โครงการ US Digital Service และ 18F ก็ถูกยกเลิกภายใต้ DOGE เช่นกัน https://www.techradar.com/pro/security/the-entire-pentagon-defense-technology-is-resigning-putting-us-at-huge-risk-of-cyberattacks
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์จาก Secure Annex ได้ค้นพบ ส่วนขยายของ Google Chrome ที่ไม่ได้ลงทะเบียนมากกว่า 30 รายการ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยต่อผู้ใช้กว่า 4 ล้านคน โดยส่วนขยายเหล่านี้มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น คุกกี้, แท็บเบราว์เซอร์ และการรับส่งข้อมูลบนเว็บ

    ✅ การค้นพบส่วนขยายที่อาจเป็นอันตราย
    - นักวิจัยพบว่า นักพัฒนาซอฟต์แวร์บางรายอาจซ่อนส่วนขยาย หากพบว่ามีปัญหาด้านการทำงาน
    - อย่างไรก็ตาม ผู้ไม่หวังดีอาจใช้วิธีนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากทีมรักษาความปลอดภัย

    ✅ สิทธิ์การเข้าถึงที่น่าสงสัย
    - ส่วนขยายบางตัว เช่น "Fire Shield Extension Protection" ขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
    - สามารถเข้าถึง คุกกี้, แท็บเบราว์เซอร์ และการรับส่งข้อมูลบนทุกเว็บไซต์

    ✅ การวิเคราะห์พฤติกรรมที่อาจเป็นอันตราย
    - นักวิจัยพบว่าบางส่วนขยายมี ลักษณะการทำงานคล้ายกับมัลแวร์
    - มีการเข้าถึงข้อมูลที่สามารถใช้ในการขโมยข้อมูลส่วนตัว

    ✅ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้
    - ควร ลบส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียน เพื่อป้องกันความเสี่ยง
    - หลีกเลี่ยงการติดตั้งส่วนขยายที่ไม่ได้รับการตรวจสอบจากแหล่งที่เชื่อถือได้

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล
    - ส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียนอาจถูกใช้เป็น เครื่องมือขโมยข้อมูล
    - แม้จะยังไม่มีรายงานว่ามีการขโมยข้อมูลการเข้าสู่ระบบหรือข้อมูลการชำระเงิน แต่ผู้ใช้ควรเฝ้าระวัง

    ℹ️ การควบคุมของ Google ต่อส่วนขยาย Chrome
    - Google อาจต้องปรับปรุง มาตรการตรวจสอบส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียน
    - ผู้ใช้ควรติดตามการอัปเดตด้านความปลอดภัยจาก Google

    ℹ️ แนวโน้มของภัยคุกคามไซเบอร์
    - การโจมตีผ่านส่วนขยายเบราว์เซอร์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
    - ผู้ใช้ควรใช้ เครื่องมือรักษาความปลอดภัย เช่น Microsoft Defender หรือ Malwarebytes เพื่อตรวจสอบภัยคุกคาม

    https://www.techradar.com/pro/security/millions-of-google-chrome-users-could-be-at-risk-from-these-dodgy-extensions
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์จาก Secure Annex ได้ค้นพบ ส่วนขยายของ Google Chrome ที่ไม่ได้ลงทะเบียนมากกว่า 30 รายการ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยต่อผู้ใช้กว่า 4 ล้านคน โดยส่วนขยายเหล่านี้มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น คุกกี้, แท็บเบราว์เซอร์ และการรับส่งข้อมูลบนเว็บ ✅ การค้นพบส่วนขยายที่อาจเป็นอันตราย - นักวิจัยพบว่า นักพัฒนาซอฟต์แวร์บางรายอาจซ่อนส่วนขยาย หากพบว่ามีปัญหาด้านการทำงาน - อย่างไรก็ตาม ผู้ไม่หวังดีอาจใช้วิธีนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากทีมรักษาความปลอดภัย ✅ สิทธิ์การเข้าถึงที่น่าสงสัย - ส่วนขยายบางตัว เช่น "Fire Shield Extension Protection" ขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน - สามารถเข้าถึง คุกกี้, แท็บเบราว์เซอร์ และการรับส่งข้อมูลบนทุกเว็บไซต์ ✅ การวิเคราะห์พฤติกรรมที่อาจเป็นอันตราย - นักวิจัยพบว่าบางส่วนขยายมี ลักษณะการทำงานคล้ายกับมัลแวร์ - มีการเข้าถึงข้อมูลที่สามารถใช้ในการขโมยข้อมูลส่วนตัว ✅ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ - ควร ลบส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียน เพื่อป้องกันความเสี่ยง - หลีกเลี่ยงการติดตั้งส่วนขยายที่ไม่ได้รับการตรวจสอบจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล - ส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียนอาจถูกใช้เป็น เครื่องมือขโมยข้อมูล - แม้จะยังไม่มีรายงานว่ามีการขโมยข้อมูลการเข้าสู่ระบบหรือข้อมูลการชำระเงิน แต่ผู้ใช้ควรเฝ้าระวัง ℹ️ การควบคุมของ Google ต่อส่วนขยาย Chrome - Google อาจต้องปรับปรุง มาตรการตรวจสอบส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียน - ผู้ใช้ควรติดตามการอัปเดตด้านความปลอดภัยจาก Google ℹ️ แนวโน้มของภัยคุกคามไซเบอร์ - การโจมตีผ่านส่วนขยายเบราว์เซอร์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น - ผู้ใช้ควรใช้ เครื่องมือรักษาความปลอดภัย เช่น Microsoft Defender หรือ Malwarebytes เพื่อตรวจสอบภัยคุกคาม https://www.techradar.com/pro/security/millions-of-google-chrome-users-could-be-at-risk-from-these-dodgy-extensions
    WWW.TECHRADAR.COM
    Millions of Google Chrome users could be at risk from these dodgy extensions
    Security researcher finds unlisted Chrome extensions with shady permissions
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • John Tucker ผู้ก่อตั้งบริษัท Secure Annex ได้ค้นพบส่วนขยาย Chrome ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงขณะช่วยลูกค้าตรวจสอบความปลอดภัย โดยพบว่ามีส่วนขยายที่ไม่ได้แสดงใน Chrome Web Store และสามารถดาวน์โหลดได้เฉพาะผ่าน URL โดยตรง ซึ่งเป็นวิธีที่มักใช้โดยผู้ไม่หวังดีเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ

    ส่วนขยายเหล่านี้ขอสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น แท็บเบราว์เซอร์ คุกกี้ และ API การจัดการ ซึ่งเป็นระดับการเข้าถึงที่สูงผิดปกติ นอกจากนี้ โค้ดของส่วนขยายยังถูกเข้ารหัสอย่างหนักเพื่อป้องกันการตรวจสอบ

    แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าส่วนขยายเหล่านี้ขโมยข้อมูล แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่อาจถูกใช้ในทางที่ผิด Tucker แนะนำให้ผู้ใช้ลบส่วนขยายเหล่านี้ทันที

    ✅ การค้นพบเครือข่ายส่วนขยาย Chrome ที่เสี่ยง
    - John Tucker ค้นพบส่วนขยาย Chrome ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงจำนวน 35 รายการ
    - ส่วนขยายบางตัวไม่ได้แสดงใน Chrome Web Store และต้องดาวน์โหลดผ่าน URL โดยตรง

    ✅ สิทธิ์การเข้าถึงที่ผิดปกติ
    - ส่วนขยายเหล่านี้ขอสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น แท็บเบราว์เซอร์และคุกกี้
    - โค้ดของส่วนขยายถูกเข้ารหัสอย่างหนักเพื่อป้องกันการตรวจสอบ

    ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    - Tucker แนะนำให้ลบส่วนขยายเหล่านี้ทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    - ส่วนขยายที่ไม่ได้แสดงใน Chrome Web Store อาจถูกใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ
    - การขอสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนอาจนำไปสู่การละเมิดความเป็นส่วนตัว

    ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้
    - ผู้ใช้ที่ติดตั้งส่วนขยายเหล่านี้อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์
    - การเข้ารหัสโค้ดทำให้ยากต่อการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา

    https://www.techspot.com/news/107515-researcher-uncovers-network-risky-chrome-extensions-over-4.html
    John Tucker ผู้ก่อตั้งบริษัท Secure Annex ได้ค้นพบส่วนขยาย Chrome ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงขณะช่วยลูกค้าตรวจสอบความปลอดภัย โดยพบว่ามีส่วนขยายที่ไม่ได้แสดงใน Chrome Web Store และสามารถดาวน์โหลดได้เฉพาะผ่าน URL โดยตรง ซึ่งเป็นวิธีที่มักใช้โดยผู้ไม่หวังดีเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ส่วนขยายเหล่านี้ขอสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น แท็บเบราว์เซอร์ คุกกี้ และ API การจัดการ ซึ่งเป็นระดับการเข้าถึงที่สูงผิดปกติ นอกจากนี้ โค้ดของส่วนขยายยังถูกเข้ารหัสอย่างหนักเพื่อป้องกันการตรวจสอบ แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าส่วนขยายเหล่านี้ขโมยข้อมูล แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่อาจถูกใช้ในทางที่ผิด Tucker แนะนำให้ผู้ใช้ลบส่วนขยายเหล่านี้ทันที ✅ การค้นพบเครือข่ายส่วนขยาย Chrome ที่เสี่ยง - John Tucker ค้นพบส่วนขยาย Chrome ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงจำนวน 35 รายการ - ส่วนขยายบางตัวไม่ได้แสดงใน Chrome Web Store และต้องดาวน์โหลดผ่าน URL โดยตรง ✅ สิทธิ์การเข้าถึงที่ผิดปกติ - ส่วนขยายเหล่านี้ขอสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น แท็บเบราว์เซอร์และคุกกี้ - โค้ดของส่วนขยายถูกเข้ารหัสอย่างหนักเพื่อป้องกันการตรวจสอบ ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ - Tucker แนะนำให้ลบส่วนขยายเหล่านี้ทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย - ส่วนขยายที่ไม่ได้แสดงใน Chrome Web Store อาจถูกใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ - การขอสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนอาจนำไปสู่การละเมิดความเป็นส่วนตัว ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ - ผู้ใช้ที่ติดตั้งส่วนขยายเหล่านี้อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์ - การเข้ารหัสโค้ดทำให้ยากต่อการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา https://www.techspot.com/news/107515-researcher-uncovers-network-risky-chrome-extensions-over-4.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Researcher uncovers network of risky Chrome extensions with over 4 million installs
    John Tucker, founder of browser security firm Secure Annex, discovered the suspicious extensions while assisting a client who had installed one or more for security monitoring. The...
    0 Comments 0 Shares 156 Views 0 Reviews
  • Google Security Team ได้ค้นพบช่องโหว่ใหม่ในโปรเซสเซอร์ AMD ตั้งแต่รุ่น Zen 1 ถึง Zen 5 โดยช่องโหว่นี้มีชื่อว่า EntrySign ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ระดับ Ring 0 สามารถโหลด microcode patches ที่ไม่ได้รับการยืนยันลายเซ็น

    🌐 รายละเอียดของช่องโหว่ EntrySign:
    🛠️ การทำงานของช่องโหว่: ช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบลายเซ็นที่ไม่สมบูรณ์ในระบบ microcode patch loader ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดที่ไม่ปลอดภัยบนโปรเซสเซอร์
    🔒 ผลกระทบต่อระบบ: ช่องโหว่นี้สามารถเจาะระบบ SEV/SEV-SNP ของ AMD ซึ่งอาจนำไปสู่การเข้าถึงข้อมูลในเครื่องเสมือนโดยไม่ได้รับอนุญาต

    ⚠️ ผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ AMD:
    📋 โปรเซสเซอร์ที่ได้รับผลกระทบ:
    - Ryzen 9000 (Granite Ridge)
    - EPYC 9005 (Turin)
    - Ryzen AI 300 (Strix Halo, Strix Point)
    - Ryzen 9000HX (Fire Range)
    🖥️ การแก้ไข: AMD ได้ปล่อย ComboAM5PI 1.2.0.3c AGESA firmware เพื่อแก้ไขช่องโหว่ในบางรุ่น และกำลังพัฒนาแพตช์เพิ่มเติมสำหรับ EPYC Turin

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-microcode-vulnerability-also-affects-zen-5-cpus-granite-ridge-turin-ryzen-ai-300-and-fire-range-at-risk
    Google Security Team ได้ค้นพบช่องโหว่ใหม่ในโปรเซสเซอร์ AMD ตั้งแต่รุ่น Zen 1 ถึง Zen 5 โดยช่องโหว่นี้มีชื่อว่า EntrySign ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ระดับ Ring 0 สามารถโหลด microcode patches ที่ไม่ได้รับการยืนยันลายเซ็น 🌐 รายละเอียดของช่องโหว่ EntrySign: 🛠️ การทำงานของช่องโหว่: ช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบลายเซ็นที่ไม่สมบูรณ์ในระบบ microcode patch loader ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดที่ไม่ปลอดภัยบนโปรเซสเซอร์ 🔒 ผลกระทบต่อระบบ: ช่องโหว่นี้สามารถเจาะระบบ SEV/SEV-SNP ของ AMD ซึ่งอาจนำไปสู่การเข้าถึงข้อมูลในเครื่องเสมือนโดยไม่ได้รับอนุญาต ⚠️ ผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ AMD: 📋 โปรเซสเซอร์ที่ได้รับผลกระทบ: - Ryzen 9000 (Granite Ridge) - EPYC 9005 (Turin) - Ryzen AI 300 (Strix Halo, Strix Point) - Ryzen 9000HX (Fire Range) 🖥️ การแก้ไข: AMD ได้ปล่อย ComboAM5PI 1.2.0.3c AGESA firmware เพื่อแก้ไขช่องโหว่ในบางรุ่น และกำลังพัฒนาแพตช์เพิ่มเติมสำหรับ EPYC Turin https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-microcode-vulnerability-also-affects-zen-5-cpus-granite-ridge-turin-ryzen-ai-300-and-fire-range-at-risk
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 Reviews
  • Intel ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดย Lip-Bu Tan ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO คนใหม่ของบริษัทที่เข้ารับตำแหน่งในเดือนมีนาคม 2025 ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่หุ้นของ Intel ลดลงอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบของ นโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดหุ้นรวมถึงบริษัทในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน

    == ผลกระทบต่อ Intel และผู้บริหาร ==
    ✅ มูลค่าหุ้นลดลงในจุดต่ำสุด:
    - Lip-Bu Tan ลงทุนซื้อหุ้นของ Intel จำนวน $25 ล้านในช่วงที่รับตำแหน่ง CEO ด้วยราคา $23.96 ต่อหุ้น แต่ปัจจุบันหุ้นลดลงเหลือ $18.90 ส่งผลให้มูลค่าการลงทุนของเขาลดลงมากกว่า $5 ล้าน ภายในเวลาไม่ถึงเดือน

    ✅ ผลกระทบจากภาษีใหม่:
    - การลดลงของหุ้นไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินงานของ CEO ใหม่ แต่เกิดจากแรงกดดันของ ภาษีนำเข้า ที่รัฐบาลประกาศใช้ ซึ่งกระทบต้นทุนการผลิตและความสามารถในการแข่งขันของบริษัท

    == แนวทางและความหวังใหม่ ==
    ✅ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่:
    - Intel ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนา 18A process node ซึ่งเข้าสู่กระบวนการผลิตเชิงทดลอง (risk production) นี่เป็นก้าวสำคัญที่อาจช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นจากนักลงทุน

    ✅ การฟื้นฟูสถานะการเงิน:
    - นักวิเคราะห์บางส่วนคาดการณ์ว่า Intel อาจเลือกใช้วิธีการปรับโครงสร้างการเงิน เช่น การซื้อหุ้นคืน (stock buyback) แบบเดียวกับ Broadcom แต่สถานะการเงินของ Intel ในปัจจุบันยังไม่เอื้อให้ใช้กลยุทธ์นี้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-ceo-lip-bu-tan-loses-usd5-million-in-intel-investment-value-as-stock-tumbles
    Intel ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดย Lip-Bu Tan ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO คนใหม่ของบริษัทที่เข้ารับตำแหน่งในเดือนมีนาคม 2025 ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่หุ้นของ Intel ลดลงอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบของ นโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดหุ้นรวมถึงบริษัทในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน == ผลกระทบต่อ Intel และผู้บริหาร == ✅ มูลค่าหุ้นลดลงในจุดต่ำสุด: - Lip-Bu Tan ลงทุนซื้อหุ้นของ Intel จำนวน $25 ล้านในช่วงที่รับตำแหน่ง CEO ด้วยราคา $23.96 ต่อหุ้น แต่ปัจจุบันหุ้นลดลงเหลือ $18.90 ส่งผลให้มูลค่าการลงทุนของเขาลดลงมากกว่า $5 ล้าน ภายในเวลาไม่ถึงเดือน ✅ ผลกระทบจากภาษีใหม่: - การลดลงของหุ้นไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินงานของ CEO ใหม่ แต่เกิดจากแรงกดดันของ ภาษีนำเข้า ที่รัฐบาลประกาศใช้ ซึ่งกระทบต้นทุนการผลิตและความสามารถในการแข่งขันของบริษัท == แนวทางและความหวังใหม่ == ✅ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่: - Intel ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนา 18A process node ซึ่งเข้าสู่กระบวนการผลิตเชิงทดลอง (risk production) นี่เป็นก้าวสำคัญที่อาจช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ✅ การฟื้นฟูสถานะการเงิน: - นักวิเคราะห์บางส่วนคาดการณ์ว่า Intel อาจเลือกใช้วิธีการปรับโครงสร้างการเงิน เช่น การซื้อหุ้นคืน (stock buyback) แบบเดียวกับ Broadcom แต่สถานะการเงินของ Intel ในปัจจุบันยังไม่เอื้อให้ใช้กลยุทธ์นี้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-ceo-lip-bu-tan-loses-usd5-million-in-intel-investment-value-as-stock-tumbles
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • หลายองค์กรยังคงใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอ เช่น “123456” และ “password” ทำให้แฮกเกอร์สามารถเจาะระบบได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที รายงานจาก NordPass พบว่า เยอรมนี, สหรัฐฯ และจีนเป็นประเทศที่เผชิญกับการละเมิดรหัสผ่านมากที่สุด นอกจากนี้ ผู้ใช้บางรายใช้ชื่อและอีเมลเป็นรหัสผ่าน ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแฮกมากขึ้น ธุรกิจควร บังคับใช้มาตรการความปลอดภัย เช่น ตัวจัดการรหัสผ่านและการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์

    ✅ รหัสผ่านยอดนิยมยังคงเป็นรหัสที่เดาง่าย
    - ในองค์กรขนาดใหญ่ รหัสที่ถูกใช้มากที่สุดคือ “123456789” (378,182 ครั้ง) ตามด้วย “123456” (356,341 ครั้ง) และ “12345678” (145,688 ครั้ง)
    - ธุรกิจขนาดเล็กและกลางก็ไม่น่ากังวลน้อยไปกว่า โดย “123456” ถูกใช้รวมกันถึง 852,861 ครั้ง

    ✅ เยอรมนีเป็นประเทศที่มีการละเมิดรหัสผ่านมากที่สุด
    - พบ 582,067 กรณีการละเมิด ตามด้วย สหรัฐฯ (502,435) และจีน (448,375)

    ✅ หลายคนใช้ชื่อและอีเมลเป็นรหัสผ่าน—ทำให้เสี่ยงถูกเจาะระบบง่ายขึ้น
    - NordPass พบว่า ผู้ใช้จำนวนมากใช้ชื่อของตนเองหรืออีเมลเป็นรหัสผ่าน ซึ่งทำให้แฮกเกอร์สามารถโจมตีบัญชีได้ง่ายขึ้น
    - หนึ่งในรหัสผ่านที่พบบ่อยที่สุดคือ “TimeLord12” (30,447 ครั้ง) ซึ่งเชื่อว่าอาจมาจาก แฟนซีรีส์ Doctor Who

    ✅ ธุรกิจควรบังคับใช้มาตรการสร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่งขึ้น
    - บังคับใช้นโยบายรหัสผ่านที่ปลอดภัย เพื่อลดการใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอ
    - ใช้ตัวจัดการรหัสผ่าน เพื่อสร้างและจัดเก็บรหัสที่ซับซ้อน
    - เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) เพื่อเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัย

    https://www.techradar.com/pro/security/businesses-still-havent-stopped-using-weak-passwords-and-its-getting-super-risky
    หลายองค์กรยังคงใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอ เช่น “123456” และ “password” ทำให้แฮกเกอร์สามารถเจาะระบบได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที รายงานจาก NordPass พบว่า เยอรมนี, สหรัฐฯ และจีนเป็นประเทศที่เผชิญกับการละเมิดรหัสผ่านมากที่สุด นอกจากนี้ ผู้ใช้บางรายใช้ชื่อและอีเมลเป็นรหัสผ่าน ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแฮกมากขึ้น ธุรกิจควร บังคับใช้มาตรการความปลอดภัย เช่น ตัวจัดการรหัสผ่านและการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ ✅ รหัสผ่านยอดนิยมยังคงเป็นรหัสที่เดาง่าย - ในองค์กรขนาดใหญ่ รหัสที่ถูกใช้มากที่สุดคือ “123456789” (378,182 ครั้ง) ตามด้วย “123456” (356,341 ครั้ง) และ “12345678” (145,688 ครั้ง) - ธุรกิจขนาดเล็กและกลางก็ไม่น่ากังวลน้อยไปกว่า โดย “123456” ถูกใช้รวมกันถึง 852,861 ครั้ง ✅ เยอรมนีเป็นประเทศที่มีการละเมิดรหัสผ่านมากที่สุด - พบ 582,067 กรณีการละเมิด ตามด้วย สหรัฐฯ (502,435) และจีน (448,375) ✅ หลายคนใช้ชื่อและอีเมลเป็นรหัสผ่าน—ทำให้เสี่ยงถูกเจาะระบบง่ายขึ้น - NordPass พบว่า ผู้ใช้จำนวนมากใช้ชื่อของตนเองหรืออีเมลเป็นรหัสผ่าน ซึ่งทำให้แฮกเกอร์สามารถโจมตีบัญชีได้ง่ายขึ้น - หนึ่งในรหัสผ่านที่พบบ่อยที่สุดคือ “TimeLord12” (30,447 ครั้ง) ซึ่งเชื่อว่าอาจมาจาก แฟนซีรีส์ Doctor Who ✅ ธุรกิจควรบังคับใช้มาตรการสร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่งขึ้น - บังคับใช้นโยบายรหัสผ่านที่ปลอดภัย เพื่อลดการใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอ - ใช้ตัวจัดการรหัสผ่าน เพื่อสร้างและจัดเก็บรหัสที่ซับซ้อน - เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) เพื่อเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัย https://www.techradar.com/pro/security/businesses-still-havent-stopped-using-weak-passwords-and-its-getting-super-risky
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • NordVPN เผยว่าแม้ผู้เดินทางทั่วโลกจะใช้ Wi-Fi สาธารณะบ่อยขึ้น แต่มีเพียง 17% เท่านั้นที่ใช้ VPN เพื่อป้องกันข้อมูล ขณะที่ 60% ของผู้ใช้ยังคงเชื่อมต่อเครือข่ายสาธารณะอย่างเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะในเกาหลีใต้ที่สูงถึง 80% แม้ผู้ใช้จะป้องกันด้วย รหัสผ่านแข็งแกร่งและฟิล์มกันแอบมอง แต่การไม่ใช้ VPN และการเปิดแอปที่มีข้อมูลสำคัญยังคงเป็นความเสี่ยงสูง นักวิจัยแนะนำให้ผู้ใช้ หลีกเลี่ยงการเข้าระบบธนาคารบน Wi-Fi สาธารณะ และเปิดใช้งาน 2FA เพื่อเสริมความปลอดภัย

    ✅ พฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ระหว่างเดินทางแตกต่างกันในแต่ละประเทศ
    - ผู้ใช้ในสหรัฐฯ และแคนาดานิยม ฟังเพลงหรือพอดแคสต์ระหว่างเดินทาง
    - ญี่ปุ่นมักใช้เวลาเดินทางในการ ติดตามข่าวสาร
    - สเปนและอิตาลีเน้นการ พูดคุยและส่งข้อความกับเพื่อน

    ✅ 60% ของผู้เดินทางเชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะเป็นครั้งคราว
    - 80% ของผู้ใช้ในเกาหลีใต้มักใช้ Wi-Fi สาธารณะ
    - แม้ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเชื่อมต่อไม่นาน (ประมาณ 30 นาที) แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการถูกดักจับข้อมูล

    ✅ “Shoulder Surfing” เป็นภัยเงียบที่มักถูกมองข้าม
    - 20% ของผู้เดินทางใช้ ฟิล์มป้องกันหน้าจอ เพื่อป้องกันการมองเห็นข้อมูลโดยผู้อื่น
    - อย่างไรก็ตาม การไม่ใช้ VPN และการเข้าถึงข้อมูลสำคัญบน Wi-Fi สาธารณะยังคงเป็นจุดอ่อน

    ✅ คำแนะนำสำหรับการใช้งาน Wi-Fi สาธารณะอย่างปลอดภัย
    - หลีกเลี่ยงการเข้าสู่ระบบธนาคาร แอปสุขภาพ หรือแพลตฟอร์มที่มีข้อมูลสำคัญ
    - เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) เพื่อลดความเสี่ยงในการถูกโจมตี
    - ใช้ VPN เพื่อเข้ารหัสข้อมูลและป้องกันการสอดแนมจากเครือข่ายไม่ปลอดภัย

    https://www.techradar.com/pro/security/when-it-comes-to-security-public-wi-fi-could-be-a-risky-choice-for-commuters-worldwide
    NordVPN เผยว่าแม้ผู้เดินทางทั่วโลกจะใช้ Wi-Fi สาธารณะบ่อยขึ้น แต่มีเพียง 17% เท่านั้นที่ใช้ VPN เพื่อป้องกันข้อมูล ขณะที่ 60% ของผู้ใช้ยังคงเชื่อมต่อเครือข่ายสาธารณะอย่างเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะในเกาหลีใต้ที่สูงถึง 80% แม้ผู้ใช้จะป้องกันด้วย รหัสผ่านแข็งแกร่งและฟิล์มกันแอบมอง แต่การไม่ใช้ VPN และการเปิดแอปที่มีข้อมูลสำคัญยังคงเป็นความเสี่ยงสูง นักวิจัยแนะนำให้ผู้ใช้ หลีกเลี่ยงการเข้าระบบธนาคารบน Wi-Fi สาธารณะ และเปิดใช้งาน 2FA เพื่อเสริมความปลอดภัย ✅ พฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ระหว่างเดินทางแตกต่างกันในแต่ละประเทศ - ผู้ใช้ในสหรัฐฯ และแคนาดานิยม ฟังเพลงหรือพอดแคสต์ระหว่างเดินทาง - ญี่ปุ่นมักใช้เวลาเดินทางในการ ติดตามข่าวสาร - สเปนและอิตาลีเน้นการ พูดคุยและส่งข้อความกับเพื่อน ✅ 60% ของผู้เดินทางเชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะเป็นครั้งคราว - 80% ของผู้ใช้ในเกาหลีใต้มักใช้ Wi-Fi สาธารณะ - แม้ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเชื่อมต่อไม่นาน (ประมาณ 30 นาที) แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการถูกดักจับข้อมูล ✅ “Shoulder Surfing” เป็นภัยเงียบที่มักถูกมองข้าม - 20% ของผู้เดินทางใช้ ฟิล์มป้องกันหน้าจอ เพื่อป้องกันการมองเห็นข้อมูลโดยผู้อื่น - อย่างไรก็ตาม การไม่ใช้ VPN และการเข้าถึงข้อมูลสำคัญบน Wi-Fi สาธารณะยังคงเป็นจุดอ่อน ✅ คำแนะนำสำหรับการใช้งาน Wi-Fi สาธารณะอย่างปลอดภัย - หลีกเลี่ยงการเข้าสู่ระบบธนาคาร แอปสุขภาพ หรือแพลตฟอร์มที่มีข้อมูลสำคัญ - เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) เพื่อลดความเสี่ยงในการถูกโจมตี - ใช้ VPN เพื่อเข้ารหัสข้อมูลและป้องกันการสอดแนมจากเครือข่ายไม่ปลอดภัย https://www.techradar.com/pro/security/when-it-comes-to-security-public-wi-fi-could-be-a-risky-choice-for-commuters-worldwide
    0 Comments 0 Shares 373 Views 0 Reviews
  • TSMC กำลังเตรียมอุปกรณ์สำหรับ การทดลองผลิตชิป 1.4 nm ที่โรงงาน P2 Baoshan โดยแผนนี้เป็นการต่อยอดจาก 2 nm ที่กำลังเข้าสู่ Mass Production ในปี 2025 มีการคาดการณ์ว่า โรงงาน P3 และ P4 จะเข้าร่วมการผลิตเต็มรูปแบบภายในปี 2027 และ P1 อาจเริ่มการผลิตทดสอบได้ในปี 2027 ขณะที่ Intel และ Samsung กำลังเร่งพัฒนา 14A และ SF2/SF3P เพื่อต่อกรกับ N2 และ 1.4 nm ของ TSMC

    ✅ P2 Baoshan จะเป็นศูนย์กลางการทดลองผลิตก่อนขยายไปยัง P3 และ P4
    - TSMC วางแผนใช้ โรงงาน Fab 20 ใน Baoshan สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยี 1.4 nm
    - แหล่งข่าวระบุว่า โรงงาน P3 และ P4 อาจเข้าร่วมการผลิตเต็มรูปแบบภายในปี 2027

    ✅ TSMC เร่งพัฒนา 2 nm พร้อมเตรียมขยายไปสู่ 1.4 nm
    - กระบวนการผลิต 2 nm (N2) กำลังจะเข้าสู่ Mass Production ในครึ่งหลังของปี 2025
    - การทดลองผลิต 1.4 nm จะเป็นการต่อยอดจาก N2 และขยายไปยังโรงงานอื่น ๆ ในอนาคต

    ✅ โรงงาน Fab 25 อาจมีส่วนร่วมในการทดลองผลิต 1.4 nm ด้วย
    - รายงานระบุว่า Fab 25 ใน Central Taiwan Science Park อาจเข้าร่วมโครงการนี้
    - มีการคาดการณ์ว่า 4 โรงงานจะทำงานร่วมกันในการพัฒนาชิป 1.4 nm

    ✅ แหล่งข่าวคาดว่า "P1" จะเริ่มการผลิตทดสอบภายในปี 2027
    - ตามข้อมูลของ TrendForce กระบวนการ Risk Trial Production ของ P1 จะเริ่มในปี 2027
    - อาจมีการผลิตเต็มรูปแบบในปีถัดไป เพื่อเข้าสู่ตลาดในปี 2028

    ✅ การแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เข้มข้นขึ้น
    - Intel และ Samsung กำลังพัฒนา 14A และ SF2/SF3P เพื่อต่อกรกับ N2 และ 1.4 nm ของ TSMC
    - นักวิเคราะห์จาก TechInsights คาดว่า N2 ของ TSMC จะมีความหนาแน่นทรานซิสเตอร์สูงกว่าคู่แข่ง
    - อัตรา High-Density (HD) Cell Density ของ N2 สูงถึง 313 MTr/mm² ขณะที่ Intel 18A มี 238 MTr/mm² และ Samsung SF2/SF3P อยู่ที่ 231 MTr/mm²

    https://www.techpowerup.com/334931/tsmc-reportedly-preparing-new-equipment-for-1-4-nm-trial-run-at-p2-baoshan-plant
    TSMC กำลังเตรียมอุปกรณ์สำหรับ การทดลองผลิตชิป 1.4 nm ที่โรงงาน P2 Baoshan โดยแผนนี้เป็นการต่อยอดจาก 2 nm ที่กำลังเข้าสู่ Mass Production ในปี 2025 มีการคาดการณ์ว่า โรงงาน P3 และ P4 จะเข้าร่วมการผลิตเต็มรูปแบบภายในปี 2027 และ P1 อาจเริ่มการผลิตทดสอบได้ในปี 2027 ขณะที่ Intel และ Samsung กำลังเร่งพัฒนา 14A และ SF2/SF3P เพื่อต่อกรกับ N2 และ 1.4 nm ของ TSMC ✅ P2 Baoshan จะเป็นศูนย์กลางการทดลองผลิตก่อนขยายไปยัง P3 และ P4 - TSMC วางแผนใช้ โรงงาน Fab 20 ใน Baoshan สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยี 1.4 nm - แหล่งข่าวระบุว่า โรงงาน P3 และ P4 อาจเข้าร่วมการผลิตเต็มรูปแบบภายในปี 2027 ✅ TSMC เร่งพัฒนา 2 nm พร้อมเตรียมขยายไปสู่ 1.4 nm - กระบวนการผลิต 2 nm (N2) กำลังจะเข้าสู่ Mass Production ในครึ่งหลังของปี 2025 - การทดลองผลิต 1.4 nm จะเป็นการต่อยอดจาก N2 และขยายไปยังโรงงานอื่น ๆ ในอนาคต ✅ โรงงาน Fab 25 อาจมีส่วนร่วมในการทดลองผลิต 1.4 nm ด้วย - รายงานระบุว่า Fab 25 ใน Central Taiwan Science Park อาจเข้าร่วมโครงการนี้ - มีการคาดการณ์ว่า 4 โรงงานจะทำงานร่วมกันในการพัฒนาชิป 1.4 nm ✅ แหล่งข่าวคาดว่า "P1" จะเริ่มการผลิตทดสอบภายในปี 2027 - ตามข้อมูลของ TrendForce กระบวนการ Risk Trial Production ของ P1 จะเริ่มในปี 2027 - อาจมีการผลิตเต็มรูปแบบในปีถัดไป เพื่อเข้าสู่ตลาดในปี 2028 ✅ การแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เข้มข้นขึ้น - Intel และ Samsung กำลังพัฒนา 14A และ SF2/SF3P เพื่อต่อกรกับ N2 และ 1.4 nm ของ TSMC - นักวิเคราะห์จาก TechInsights คาดว่า N2 ของ TSMC จะมีความหนาแน่นทรานซิสเตอร์สูงกว่าคู่แข่ง - อัตรา High-Density (HD) Cell Density ของ N2 สูงถึง 313 MTr/mm² ขณะที่ Intel 18A มี 238 MTr/mm² และ Samsung SF2/SF3P อยู่ที่ 231 MTr/mm² https://www.techpowerup.com/334931/tsmc-reportedly-preparing-new-equipment-for-1-4-nm-trial-run-at-p2-baoshan-plant
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    TSMC Reportedly Preparing New Equipment for 1.4 nm Trial Run at "P2" Baoshan Plant
    Industry insiders posit that TSMC's two flagship fabrication facilities are running ahead of schedule with the development of an advanced 2 nm (N2) process node. A cross-facility mass production phase is tipped to begin later this year, which leaves room for next-level experiments. Taiwan's Economic...
    0 Comments 0 Shares 262 Views 0 Reviews
  • Intel ได้เริ่มการผลิตชิป 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุด โดยใช้ Gate-All-Around Transistors และ Backside Power Delivery Panther Lake จะเป็นชิปรุ่นแรกที่ใช้ 18A และอาจช่วยให้ Intel แข่งขันกับ TSMC ได้ดีกว่าเดิม ขณะที่ Nvidia และ Broadcom กำลังทดสอบเวเฟอร์ของ Intel และ TSMC กำลังเตรียมเปิดตัว N2 node ในปีนี้

    ✅ Risk Production คืออะไร?
    - Risk Production เป็นกระบวนการ ทดสอบการผลิตในปริมาณน้อย ก่อนเข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบ
    - Intel กำลังขยายกำลังการผลิตจาก หลักร้อยเป็นหลักพันแผ่นเวเฟอร์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตเชิงพาณิชย์

    ✅ Panther Lake CPUs จะเป็นชิปรุ่นแรกที่ใช้ 18A
    - คาดว่า Panther Lake จะมี AI Performance ดีขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับ Core Ultra 200V
    - Intel ตั้งเป้าผลิตจำนวนมากก่อนสิ้นปีนี้

    ✅ เทคโนโลยี 18A ล้ำกว่าคู่แข่งอย่างไร?
    - Intel ใช้ Gate-All-Around (GAA) Transistors และ Backside Power Delivery
    - GAA ลดการรั่วไหลของพลังงาน ขณะที่ Backside Power Delivery ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์
    - TSMC จะนำ GAA มาใช้ใน N2 node ซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงผลิตเร็ว ๆ นี้

    ✅ อนาคตของ Intel กับ 28A และ Nova Lake
    - Intel จะเริ่มออกแบบ 28A node ในครึ่งแรกของปี 2025
    - ชิป Nova Lake และ Clearwater Forest จะตามมาในปี 2026
    - Nova Lake จะใช้ ซิลิคอนจาก TSMC ขณะที่ Clearwater Forest จะเป็นชิป 18A สำหรับตลาดเซิร์ฟเวอร์

    ✅ คู่แข่งที่กำลังจับตาดู 18A ของ Intel
    - Nvidia และ Broadcom กำลังทดสอบ เวเฟอร์ 18A แต่ยังไม่ชัดเจนว่าพวกเขาจะใช้ในการผลิตจริง
    - Apple เป็นลูกค้าหลักของ TSMC N2 และอาจใช้ใน iPhone 18 Pro ที่เปิดตัวปี 2026

    https://www.techspot.com/news/107380-intel-18a-node-enters-risk-production-paving-way.html
    Intel ได้เริ่มการผลิตชิป 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุด โดยใช้ Gate-All-Around Transistors และ Backside Power Delivery Panther Lake จะเป็นชิปรุ่นแรกที่ใช้ 18A และอาจช่วยให้ Intel แข่งขันกับ TSMC ได้ดีกว่าเดิม ขณะที่ Nvidia และ Broadcom กำลังทดสอบเวเฟอร์ของ Intel และ TSMC กำลังเตรียมเปิดตัว N2 node ในปีนี้ ✅ Risk Production คืออะไร? - Risk Production เป็นกระบวนการ ทดสอบการผลิตในปริมาณน้อย ก่อนเข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบ - Intel กำลังขยายกำลังการผลิตจาก หลักร้อยเป็นหลักพันแผ่นเวเฟอร์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตเชิงพาณิชย์ ✅ Panther Lake CPUs จะเป็นชิปรุ่นแรกที่ใช้ 18A - คาดว่า Panther Lake จะมี AI Performance ดีขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับ Core Ultra 200V - Intel ตั้งเป้าผลิตจำนวนมากก่อนสิ้นปีนี้ ✅ เทคโนโลยี 18A ล้ำกว่าคู่แข่งอย่างไร? - Intel ใช้ Gate-All-Around (GAA) Transistors และ Backside Power Delivery - GAA ลดการรั่วไหลของพลังงาน ขณะที่ Backside Power Delivery ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ - TSMC จะนำ GAA มาใช้ใน N2 node ซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงผลิตเร็ว ๆ นี้ ✅ อนาคตของ Intel กับ 28A และ Nova Lake - Intel จะเริ่มออกแบบ 28A node ในครึ่งแรกของปี 2025 - ชิป Nova Lake และ Clearwater Forest จะตามมาในปี 2026 - Nova Lake จะใช้ ซิลิคอนจาก TSMC ขณะที่ Clearwater Forest จะเป็นชิป 18A สำหรับตลาดเซิร์ฟเวอร์ ✅ คู่แข่งที่กำลังจับตาดู 18A ของ Intel - Nvidia และ Broadcom กำลังทดสอบ เวเฟอร์ 18A แต่ยังไม่ชัดเจนว่าพวกเขาจะใช้ในการผลิตจริง - Apple เป็นลูกค้าหลักของ TSMC N2 และอาจใช้ใน iPhone 18 Pro ที่เปิดตัวปี 2026 https://www.techspot.com/news/107380-intel-18a-node-enters-risk-production-paving-way.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Intel's 18A node enters risk production, paving the way for Panther Lake
    Kevin O'Buckley, senior vice president and general manager of Intel Foundry Services, confirmed that risk production has begun for the company's upcoming 18A semiconductor node. The announcement,...
    0 Comments 0 Shares 279 Views 0 Reviews
  • Null's Brawl is a private server version of Brawl Stars that allows players to access unlimited resources, unlock all brawlers instantly, and experiment with different game mechanics without restrictions. While it can be fun to explore all the features without grinding, it's important to remember that private servers are unofficial and may not always be safe. They can pose risks like malware, account bans, or lack of updates compared to the official game. If you're just looking to test brawlers or play casually, Nulls Brawl can be entertaining, but for a fair and competitive experience, sticking to the official version is recommended. Always be cautious when downloading third-party applications to protect your device and personal data. https://brawlnulls.net/
    Null's Brawl is a private server version of Brawl Stars that allows players to access unlimited resources, unlock all brawlers instantly, and experiment with different game mechanics without restrictions. While it can be fun to explore all the features without grinding, it's important to remember that private servers are unofficial and may not always be safe. They can pose risks like malware, account bans, or lack of updates compared to the official game. If you're just looking to test brawlers or play casually, Nulls Brawl can be entertaining, but for a fair and competitive experience, sticking to the official version is recommended. Always be cautious when downloading third-party applications to protect your device and personal data. https://brawlnulls.net/
    Nulls Brawl APK Download v60.420 Update April 2025
    Nulls Brawl is a privately hosted modified game of Brawl Stars, the publisher of the original game "Brawl Stars" is Supercell. The same developer who
    0 Comments 0 Shares 352 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้พูดถึงช่องโหว่ความปลอดภัยใน ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้ นักโจมตีทางไซเบอร์ สามารถควบคุมการผลิตพลังงาน แทรกแซงข้อมูลส่วนตัว หรือแม้กระทั่งขัดขวางการทำงานของโครงข่ายพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญจาก Forescout – Vedere Labs ระบุช่องโหว่ใหม่ถึง 46 รายการในอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Sungrow, Growatt และ SMA โดย 80% ของช่องโหว่ที่รายงานถือเป็นปัญหาร้ายแรงหรือสำคัญ

    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อออนไลน์:
    - หลายอินเวอร์เตอร์ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรง ทำให้ง่ายต่อการโจมตีผ่านการใช้เฟิร์มแวร์ที่ล้าสมัยหรือการเข้ารหัสข้อมูลที่อ่อนแอ

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น:
    - การโจมตีสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลในโครงข่ายพลังงาน การขโมยข้อมูลที่ละเมิดข้อกำหนดด้าน GDPR รวมถึงการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านอัจฉริยะ เช่น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

    คำแนะนำในการป้องกัน:
    - ผู้ผลิตควรเร่งแก้ไขปัญหาด้วยการอัปเดตระบบ ปรับปรุงโค้ดให้ปลอดภัย และทดสอบเจาะระบบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ควรมีการใช้ Web Application Firewall และมาตรการความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น NIST IR 8259

    บทบาทของเจ้าของระบบพลังงานแสงอาทิตย์:
    - การแยกเครือข่ายของอุปกรณ์แสงอาทิตย์ การตั้งค่าระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย และการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ควรดำเนินการ

    https://www.techradar.com/pro/millions-of-solar-power-systems-could-be-at-risk-of-cyber-attacks-after-researchers-find-flurry-of-vulnerabilities
    ข่าวนี้พูดถึงช่องโหว่ความปลอดภัยใน ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้ นักโจมตีทางไซเบอร์ สามารถควบคุมการผลิตพลังงาน แทรกแซงข้อมูลส่วนตัว หรือแม้กระทั่งขัดขวางการทำงานของโครงข่ายพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญจาก Forescout – Vedere Labs ระบุช่องโหว่ใหม่ถึง 46 รายการในอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Sungrow, Growatt และ SMA โดย 80% ของช่องโหว่ที่รายงานถือเป็นปัญหาร้ายแรงหรือสำคัญ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อออนไลน์: - หลายอินเวอร์เตอร์ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรง ทำให้ง่ายต่อการโจมตีผ่านการใช้เฟิร์มแวร์ที่ล้าสมัยหรือการเข้ารหัสข้อมูลที่อ่อนแอ ผลกระทบที่เกิดขึ้น: - การโจมตีสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลในโครงข่ายพลังงาน การขโมยข้อมูลที่ละเมิดข้อกำหนดด้าน GDPR รวมถึงการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านอัจฉริยะ เช่น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า คำแนะนำในการป้องกัน: - ผู้ผลิตควรเร่งแก้ไขปัญหาด้วยการอัปเดตระบบ ปรับปรุงโค้ดให้ปลอดภัย และทดสอบเจาะระบบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ควรมีการใช้ Web Application Firewall และมาตรการความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น NIST IR 8259 บทบาทของเจ้าของระบบพลังงานแสงอาทิตย์: - การแยกเครือข่ายของอุปกรณ์แสงอาทิตย์ การตั้งค่าระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย และการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ควรดำเนินการ https://www.techradar.com/pro/millions-of-solar-power-systems-could-be-at-risk-of-cyber-attacks-after-researchers-find-flurry-of-vulnerabilities
    0 Comments 0 Shares 442 Views 0 Reviews
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก Dr.Pete Peerapar “ห้องคอนโดที่เช่าแตกร้าว เสียหาย จนอยู่ไม่ได้ ใครมีหน้าที่ต้องซ่อม และผู้เช่าบอกเลิกสัญญาได้หรือไม่ ?เพื่อน ๆ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวาน หากห้องที่เราเช่าอยู่เสียหาย แบบนี้เรามีสิทธิอย่างไรบ้างตามกฎหมายมาลองไล่เรียงข้อกฎหมาย และทำความเข้าใจสิทธิของเรากันดูครับ......✅ สัญญาเช่าเราต้องเข้าใจก่อนว่า #สัญญาเช่า คือ สัญญาที่ฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ (ผู้ให้เช่า) ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าให้อีกฝ่าย (ผู้เช่า) #ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สิน ในชั่วระยะเวลาอันจำกัด และผู้เช่าตกลงจะจ่ายค่าเช่าให้แสดงว่า สาระสำคัญของสัญญาเช่า คือ การส่งมอบทรัพย์สินให้อีกฝ่ายผู้เช่าได้ใช้ หรือ ได้รับประโยชน์นั่นเองหมายความว่า หากผู้เช่าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าได้ สัญญาเช่านั้นก็เป็นอันยกเลิกแต่ถ้าเสียหายเพียงบางส่วน แบบนี้ผู้เช่าสามารถขอลดค่าเช่าลงตามส่วน หรือ จะเลิกสัญญาก็ได้ หากไม่สามารถใช้สอยทรัพย์สินที่เช่าได้ตามความมุ่งหมายที่เข้าทำสัญญาเช่าอธิบายแบบภาษาบ้าน ๆ คือกรณีที่ 1 ถ้าคอนโดที่เราเช่าอยู่นั้น พังไปทั้งหมด แบบนี้สัญญาเช่าเลิกทันที เพราะ ทรัพย์สินที่เช่า ไม่เหลืออยู่แล้วกรณีที่ 2 ถ้าคอนโดที่เราเช่าอยู่นั้น แตกร้าว เสียหาย แบบนี้ก็จะต้องพิจารณาก่อนว่า ความเสียหายดังกล่าวสามารถซ่อมแซมแก้ไขได้หรือไม่ถ้าแก้ไขได้ ผู้ให้เช่าก็จะต้องรีบดำเนินการแก้ไขซ่อมแซม เพื่อให้ผู้เช่าสามารถกลับเข้าไปอยู่อาศัยได้ตามปกติ กรณีนี้ก็อาจยังไม่ถึงขั้นที่จะเลิกสัญญากันได้แต่ถ้าแก้ไขไม่ได้ เช่น หน่วยงานราชการประกาศว่าอาคารนี้ไม่ปลอดภัย แม้ห้องจะยังไม่ได้พังไป แต่ผู้เช่าก็ไม่สามารถเข้าไปใช้สอยได้ตามความมุ่งหมาย (เข้าไปอยู่อาศัย) กรณีนี้ ผู้เช่าก็สามารถเลิกสัญญาได้ทันทีทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องความปลอดภัยนี้ คนที่จะบอกว่าปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย ถ้าคู่สัญญาเถียงกันอาจจะหาข้อยุติไม่ได้ คนที่จะช่วยชี้ขาดได้ คือ คนกลางอย่างหน่วยงานราชการ หรือ วิศวกรที่ได้รับใบอนุญาต.......✅ ถ้ายังอยู่ได้ แต่ห้องแตกร้าว แบบนี้ใครต้องจ่ายค่าซ่อมโดยหลักแล้ว ฝ่ายที่ทำให้เกิดความเสียหายจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าซ่อม แต่ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัย (เหตุที่ไม่มีใครสามารถป้องกันได้) เช่น แผ่นดินไหว แบบนี้จะถือว่าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดเลยเราก็จะต้องว่ากันไปตามหลักกฎหมายเรื่องการเช่า ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กรณี ตามความเสียหายที่เกิดขึ้น กรณีแรก ถ้าโดยความจำเป็นและสมควรเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเช่า หรือ เรียกง่าย ๆ ว่า ต้องซ่อมใหญ่ เช่น ห้องแตกร้าว เพดานพัง ประตูพัง แบบนี้จะเป็นหน้าที่ของผู้ให้เช่ากรณีที่สอง ถ้าเป็นการบำรุงรักษาตามปกติและเพื่อซ่อมแซมเพียงเล็กน้อย เช่น หลอดไฟขาด ผนังเป็นรอยเล็กน้อย แบบนี้ตามกฎหมายจะเป็นหน้าที่ของผู้เช่าดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นในห้องจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวาน เราต้องพิจารณากันก่อนว่า เป็นกรณีที่ซ่อมใหญ่ หรือซ่อมเล็ก ถ้าเป็นการซ่อมใหญ่ ผู้ให้เช่าก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่ถ้าเป็นการซ่อมเล็ก แบบนี้ ผู้เช่าก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง......✅ ประกันคอนโด คุ้มครองแผ่นดินไหว หรือไม่ขอแถมเรื่องประกันให้อีกสักเรื่องหลายคอนโด ท่านอาจจะเคยเห็นนิติบุคคลขออนุมัติทำประกันอัคคีภัยไว้ตอนประชุมลูกบ้านส่วนใหญ่ประกันอัคคีภัย หรือ ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Industrial All Risk) ที่นิติบุคคลทำนั้น มักจะมีความคุ้มครองในเรื่องความเสียหายอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหวอยู่แล้วดังนั้น หากคอนโดเสียหาย แตกร้าว จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ประกันก็จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหายในส่วนนี้ให้ทั้งหมดแต่ท่านเจ้าของห้องอย่าพึ่งดีใจนะครับ เพราะ ที่บอกว่าประกันรับผิดชอบให้นั้น หมายถึง เขารับผิดชอบในส่วนกลางของคอนโดเท่านั้น ไม่รวมถึงความเสียหายในห้องของท่าน เว้นแต่ส่วนที่เป็นโครงสร้างของอาคารเพราะ กรณีทรัพย์สิน หรือเฟอร์นิเจอร์ของท่านเสียหาย หรือบุบสลาย ประกันของส่วนกลางจะไม่คุ้มครองด้วย หากจะได้รับความคุ้มครอง ต้องเป็นกรณีที่ท่านเจ้าของห้องมีการทำประกันภัยในส่วนของท่านเพิ่มเติมอีกกรมธรรม์หนึ่งหลายท่านที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของการทำประกัน ก็อาจจะได้ตระหนักถึงความสำคัญเมื่อเกิดเหตุขึ้นนี่แหละครับ....ทั้งหมดที่เล่าไป เป็นเพียงหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้น แต่เพื่อน ๆ จะต้องไปดูข้อความโดยละเอียดในสัญญาเช่า และกรมธรรม์ประกันภัย ที่ท่านมีด้วยอีกครั้งที่สำคัญและอยากฝากไว้ คือ ความเข้าอกเข้าใจกันระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่าในยามที่เกิดเหตุเช่นนี้ เป็นสิ่งสำคัญกว่าการที่เราจะมุ่งเอาชนะกันด้วยข้อกฎหมาย https://www.facebook.com/share/p/16NCZE8YFL/?mibextid=wwXIfr
    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก Dr.Pete Peerapar “ห้องคอนโดที่เช่าแตกร้าว เสียหาย จนอยู่ไม่ได้ ใครมีหน้าที่ต้องซ่อม และผู้เช่าบอกเลิกสัญญาได้หรือไม่ ?เพื่อน ๆ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวาน หากห้องที่เราเช่าอยู่เสียหาย แบบนี้เรามีสิทธิอย่างไรบ้างตามกฎหมายมาลองไล่เรียงข้อกฎหมาย และทำความเข้าใจสิทธิของเรากันดูครับ......✅ สัญญาเช่าเราต้องเข้าใจก่อนว่า #สัญญาเช่า คือ สัญญาที่ฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ (ผู้ให้เช่า) ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าให้อีกฝ่าย (ผู้เช่า) #ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สิน ในชั่วระยะเวลาอันจำกัด และผู้เช่าตกลงจะจ่ายค่าเช่าให้แสดงว่า สาระสำคัญของสัญญาเช่า คือ การส่งมอบทรัพย์สินให้อีกฝ่ายผู้เช่าได้ใช้ หรือ ได้รับประโยชน์นั่นเองหมายความว่า หากผู้เช่าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าได้ สัญญาเช่านั้นก็เป็นอันยกเลิกแต่ถ้าเสียหายเพียงบางส่วน แบบนี้ผู้เช่าสามารถขอลดค่าเช่าลงตามส่วน หรือ จะเลิกสัญญาก็ได้ หากไม่สามารถใช้สอยทรัพย์สินที่เช่าได้ตามความมุ่งหมายที่เข้าทำสัญญาเช่าอธิบายแบบภาษาบ้าน ๆ คือกรณีที่ 1 ถ้าคอนโดที่เราเช่าอยู่นั้น พังไปทั้งหมด แบบนี้สัญญาเช่าเลิกทันที เพราะ ทรัพย์สินที่เช่า ไม่เหลืออยู่แล้วกรณีที่ 2 ถ้าคอนโดที่เราเช่าอยู่นั้น แตกร้าว เสียหาย แบบนี้ก็จะต้องพิจารณาก่อนว่า ความเสียหายดังกล่าวสามารถซ่อมแซมแก้ไขได้หรือไม่ถ้าแก้ไขได้ ผู้ให้เช่าก็จะต้องรีบดำเนินการแก้ไขซ่อมแซม เพื่อให้ผู้เช่าสามารถกลับเข้าไปอยู่อาศัยได้ตามปกติ กรณีนี้ก็อาจยังไม่ถึงขั้นที่จะเลิกสัญญากันได้แต่ถ้าแก้ไขไม่ได้ เช่น หน่วยงานราชการประกาศว่าอาคารนี้ไม่ปลอดภัย แม้ห้องจะยังไม่ได้พังไป แต่ผู้เช่าก็ไม่สามารถเข้าไปใช้สอยได้ตามความมุ่งหมาย (เข้าไปอยู่อาศัย) กรณีนี้ ผู้เช่าก็สามารถเลิกสัญญาได้ทันทีทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องความปลอดภัยนี้ คนที่จะบอกว่าปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย ถ้าคู่สัญญาเถียงกันอาจจะหาข้อยุติไม่ได้ คนที่จะช่วยชี้ขาดได้ คือ คนกลางอย่างหน่วยงานราชการ หรือ วิศวกรที่ได้รับใบอนุญาต.......✅ ถ้ายังอยู่ได้ แต่ห้องแตกร้าว แบบนี้ใครต้องจ่ายค่าซ่อมโดยหลักแล้ว ฝ่ายที่ทำให้เกิดความเสียหายจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าซ่อม แต่ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัย (เหตุที่ไม่มีใครสามารถป้องกันได้) เช่น แผ่นดินไหว แบบนี้จะถือว่าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดเลยเราก็จะต้องว่ากันไปตามหลักกฎหมายเรื่องการเช่า ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กรณี ตามความเสียหายที่เกิดขึ้น กรณีแรก ถ้าโดยความจำเป็นและสมควรเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเช่า หรือ เรียกง่าย ๆ ว่า ต้องซ่อมใหญ่ เช่น ห้องแตกร้าว เพดานพัง ประตูพัง แบบนี้จะเป็นหน้าที่ของผู้ให้เช่ากรณีที่สอง ถ้าเป็นการบำรุงรักษาตามปกติและเพื่อซ่อมแซมเพียงเล็กน้อย เช่น หลอดไฟขาด ผนังเป็นรอยเล็กน้อย แบบนี้ตามกฎหมายจะเป็นหน้าที่ของผู้เช่าดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นในห้องจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวาน เราต้องพิจารณากันก่อนว่า เป็นกรณีที่ซ่อมใหญ่ หรือซ่อมเล็ก ถ้าเป็นการซ่อมใหญ่ ผู้ให้เช่าก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่ถ้าเป็นการซ่อมเล็ก แบบนี้ ผู้เช่าก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง......✅ ประกันคอนโด คุ้มครองแผ่นดินไหว หรือไม่ขอแถมเรื่องประกันให้อีกสักเรื่องหลายคอนโด ท่านอาจจะเคยเห็นนิติบุคคลขออนุมัติทำประกันอัคคีภัยไว้ตอนประชุมลูกบ้านส่วนใหญ่ประกันอัคคีภัย หรือ ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Industrial All Risk) ที่นิติบุคคลทำนั้น มักจะมีความคุ้มครองในเรื่องความเสียหายอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหวอยู่แล้วดังนั้น หากคอนโดเสียหาย แตกร้าว จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ประกันก็จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหายในส่วนนี้ให้ทั้งหมดแต่ท่านเจ้าของห้องอย่าพึ่งดีใจนะครับ เพราะ ที่บอกว่าประกันรับผิดชอบให้นั้น หมายถึง เขารับผิดชอบในส่วนกลางของคอนโดเท่านั้น ไม่รวมถึงความเสียหายในห้องของท่าน เว้นแต่ส่วนที่เป็นโครงสร้างของอาคารเพราะ กรณีทรัพย์สิน หรือเฟอร์นิเจอร์ของท่านเสียหาย หรือบุบสลาย ประกันของส่วนกลางจะไม่คุ้มครองด้วย หากจะได้รับความคุ้มครอง ต้องเป็นกรณีที่ท่านเจ้าของห้องมีการทำประกันภัยในส่วนของท่านเพิ่มเติมอีกกรมธรรม์หนึ่งหลายท่านที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของการทำประกัน ก็อาจจะได้ตระหนักถึงความสำคัญเมื่อเกิดเหตุขึ้นนี่แหละครับ....ทั้งหมดที่เล่าไป เป็นเพียงหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้น แต่เพื่อน ๆ จะต้องไปดูข้อความโดยละเอียดในสัญญาเช่า และกรมธรรม์ประกันภัย ที่ท่านมีด้วยอีกครั้งที่สำคัญและอยากฝากไว้ คือ ความเข้าอกเข้าใจกันระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่าในยามที่เกิดเหตุเช่นนี้ เป็นสิ่งสำคัญกว่าการที่เราจะมุ่งเอาชนะกันด้วยข้อกฎหมาย https://www.facebook.com/share/p/16NCZE8YFL/?mibextid=wwXIfr
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 489 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่สำคัญใน Ingress-NGINX ของ Kubernetes ที่ถูกขนานนามว่า IngressNightmare สามารถทำให้แฮกเกอร์ควบคุมคลัสเตอร์โดยไม่ต้องล็อกอิน ข้อมูลลับของคลัสเตอร์ที่เปิดเผยต่อสาธารณะส่งผลให้ระบบหลายพันคลัสเตอร์และบริษัทชั้นนำในกลุ่ม Fortune 500 เสี่ยงต่อการโจมตี แนะนำให้อัปเดตระบบทันทีหรือใช้มาตรการป้องกันชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากช่องโหว่

    ช่องโหว่ที่ระบุ:
    - ช่องโหว่ทั้ง 5 ได้รับการแก้ไขใน Ingress-NGINX Controller รุ่น 1.12.1 และ 1.11.5 ซึ่งรวมถึง CVE-2025-1974 ที่ถือว่าร้ายแรงที่สุดในกลุ่มนี้ โดยมีคะแนนความรุนแรง 9.8 บนมาตรวัด CVSS.

    ความสำคัญของระบบ Kubernetes:
    - ระบบ Kubernetes ถูกใช้ในการจัดการบริการแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ โดยกระจายแอปพลิเคชันออกเป็นเครือข่ายของไมโครเซอร์วิส ซึ่งช่องโหว่ในระบบสามารถทำให้เกิดความเสี่ยงระดับวิกฤติ.

    แนวทางลดความเสี่ยง:
    - ผู้ดูแลระบบสามารถอัปเกรด Ingress-NGINX Controller หรือในกรณีที่ไม่สามารถทำได้ทันที สามารถปิดการทำงานของ ValidatingWebhookConfiguration และลบอาร์กิวเมนต์ที่เกี่ยวข้องชั่วคราวเพื่อป้องกันการใช้งานช่องโหว่ที่ง่ายขึ้น.

    ผลกระทบในระดับใหญ่:
    - เมื่อช่องโหว่ผสมผสานกัน เช่น CVE-2025-1974 สามารถทำให้ใครก็ตามที่เข้าถึงเครือข่าย Pod มีโอกาสควบคุมคลัสเตอร์ได้โดยไม่ต้องมีสิทธิ์ในการบริหารหรือการเข้าถึงข้อมูลประจำตัว.

    https://www.csoonline.com/article/3854089/critical-rce-flaws-put-kubernetes-clusters-at-risk-of-takeover.html
    ช่องโหว่สำคัญใน Ingress-NGINX ของ Kubernetes ที่ถูกขนานนามว่า IngressNightmare สามารถทำให้แฮกเกอร์ควบคุมคลัสเตอร์โดยไม่ต้องล็อกอิน ข้อมูลลับของคลัสเตอร์ที่เปิดเผยต่อสาธารณะส่งผลให้ระบบหลายพันคลัสเตอร์และบริษัทชั้นนำในกลุ่ม Fortune 500 เสี่ยงต่อการโจมตี แนะนำให้อัปเดตระบบทันทีหรือใช้มาตรการป้องกันชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากช่องโหว่ ช่องโหว่ที่ระบุ: - ช่องโหว่ทั้ง 5 ได้รับการแก้ไขใน Ingress-NGINX Controller รุ่น 1.12.1 และ 1.11.5 ซึ่งรวมถึง CVE-2025-1974 ที่ถือว่าร้ายแรงที่สุดในกลุ่มนี้ โดยมีคะแนนความรุนแรง 9.8 บนมาตรวัด CVSS. ความสำคัญของระบบ Kubernetes: - ระบบ Kubernetes ถูกใช้ในการจัดการบริการแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ โดยกระจายแอปพลิเคชันออกเป็นเครือข่ายของไมโครเซอร์วิส ซึ่งช่องโหว่ในระบบสามารถทำให้เกิดความเสี่ยงระดับวิกฤติ. แนวทางลดความเสี่ยง: - ผู้ดูแลระบบสามารถอัปเกรด Ingress-NGINX Controller หรือในกรณีที่ไม่สามารถทำได้ทันที สามารถปิดการทำงานของ ValidatingWebhookConfiguration และลบอาร์กิวเมนต์ที่เกี่ยวข้องชั่วคราวเพื่อป้องกันการใช้งานช่องโหว่ที่ง่ายขึ้น. ผลกระทบในระดับใหญ่: - เมื่อช่องโหว่ผสมผสานกัน เช่น CVE-2025-1974 สามารถทำให้ใครก็ตามที่เข้าถึงเครือข่าย Pod มีโอกาสควบคุมคลัสเตอร์ได้โดยไม่ต้องมีสิทธิ์ในการบริหารหรือการเข้าถึงข้อมูลประจำตัว. https://www.csoonline.com/article/3854089/critical-rce-flaws-put-kubernetes-clusters-at-risk-of-takeover.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Critical RCE flaws put Kubernetes clusters at risk of takeover
    The vulnerabilities dubbed IngressNightmare can allow unauthenticated users to inject malicious NGINX configurations and execute malicious code into the Ingress NGINX pod, potentially exposing all cluster secrets and leading to cluster takeover.
    0 Comments 0 Shares 306 Views 0 Reviews
  • VMware ได้แก้ไขช่องโหว่ระดับสูงใน VMware Tools สำหรับ Windows ที่อาจทำให้ผู้โจมตียกระดับสิทธิ์และดำเนินการที่อันตรายภายในระบบ การโจมตีนี้มีความซับซ้อนต่ำและเปิดช่องให้เกิดความเสี่ยงที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม แพตช์เวอร์ชัน 12.5.1 ได้ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ผู้ใช้งานจึงควรรีบอัปเดตเพื่อรักษาความปลอดภัยของระบบ

    ผลกระทบที่ร้ายแรง:
    - ช่องโหว่นี้เปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถหลบหนีออกจาก VM เพื่อโจมตีโฮสต์, ขยายการเข้าถึงไปยัง VM อื่น หรือสร้าง VM ที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจส่งผลต่อการรักษาความปลอดภัยในศูนย์ข้อมูลหรือระบบคลาวด์.

    ความสำคัญในการอัปเดต:
    - Broadcom ย้ำว่าช่องโหว่นี้ไม่มีวิธีแก้ไขชั่วคราว ผู้ใช้งานต้องติดตั้งแพตช์เวอร์ชัน 12.5.1 เพื่อแก้ไขปัญหาโดยทันที VMware Tools บน Linux และ macOS ไม่ได้รับผลกระทบ.

    แรงจูงใจของผู้โจมตี:
    - ระบบที่ใช้ VMware นับเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับผู้โจมตี เนื่องจากการใช้งานที่แพร่หลายในองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งการโจมตีสามารถนำไปสู่การรบกวนบริการที่สำคัญและสร้างโอกาสในการเคลื่อนไหวระหว่างระบบเสมือนจริง.

    https://www.csoonline.com/article/3854374/vmware-plugs-a-high-risk-vulnerability-affecting-its-windows-based-virtualization.html
    VMware ได้แก้ไขช่องโหว่ระดับสูงใน VMware Tools สำหรับ Windows ที่อาจทำให้ผู้โจมตียกระดับสิทธิ์และดำเนินการที่อันตรายภายในระบบ การโจมตีนี้มีความซับซ้อนต่ำและเปิดช่องให้เกิดความเสี่ยงที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม แพตช์เวอร์ชัน 12.5.1 ได้ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ผู้ใช้งานจึงควรรีบอัปเดตเพื่อรักษาความปลอดภัยของระบบ ผลกระทบที่ร้ายแรง: - ช่องโหว่นี้เปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถหลบหนีออกจาก VM เพื่อโจมตีโฮสต์, ขยายการเข้าถึงไปยัง VM อื่น หรือสร้าง VM ที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจส่งผลต่อการรักษาความปลอดภัยในศูนย์ข้อมูลหรือระบบคลาวด์. ความสำคัญในการอัปเดต: - Broadcom ย้ำว่าช่องโหว่นี้ไม่มีวิธีแก้ไขชั่วคราว ผู้ใช้งานต้องติดตั้งแพตช์เวอร์ชัน 12.5.1 เพื่อแก้ไขปัญหาโดยทันที VMware Tools บน Linux และ macOS ไม่ได้รับผลกระทบ. แรงจูงใจของผู้โจมตี: - ระบบที่ใช้ VMware นับเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับผู้โจมตี เนื่องจากการใช้งานที่แพร่หลายในองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งการโจมตีสามารถนำไปสู่การรบกวนบริการที่สำคัญและสร้างโอกาสในการเคลื่อนไหวระหว่างระบบเสมือนจริง. https://www.csoonline.com/article/3854374/vmware-plugs-a-high-risk-vulnerability-affecting-its-windows-based-virtualization.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    VMware plugs a high-risk vulnerability affecting its Windows-based virtualization
    Improper access control issues in VMware Tools for Windows could allow privilege escalation on affected virtual machines.
    0 Comments 0 Shares 265 Views 0 Reviews
  • ประเทศสวิตเซอร์แลนด์กำลังพิจารณาแก้ไขกฎหมายการเฝ้าระวัง ที่อาจกระทบถึงผู้ให้บริการ VPN และแอปส่งข้อความที่เข้ารหัส เช่น Threema และ ProtonVPN กฎหมายฉบับใหม่จะเน้นการติดตามว่าใครติดต่อกับใครบ้าง โดยไม่ได้เข้าถึงเนื้อหาการสนทนาโดยตรง อย่างไรก็ตาม บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้เริ่มรวมพลังกันเพื่อต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่อาจกระทบต่อสิทธิความเป็นส่วนตัวออนไลน์

    ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยออนไลน์:
    - Alexis Roussel, ผู้ร่วมก่อตั้ง NymVPN ชี้ให้เห็นว่าการลดความเป็นนิรนามออนไลน์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล และอาจเปิดช่องทางให้เกิดการโจมตีไซเบอร์มากขึ้น.

    เป้าหมายของการเฝ้าระวัง:
    - แม้รัฐบาลอ้างว่ามุ่งเน้นความปลอดภัยและการจับกุมผู้กระทำผิด แต่กฎหมายใหม่นี้ไม่ได้เน้นการเข้าถึงเนื้อหาในการสื่อสารโดยตรง แต่เน้นไปที่การติดตามว่าใครติดต่อกับใคร.

    ความพยายามในการคัดค้าน:
    - Proton และ Threema ร่วมมือกับ NymVPN วางกลยุทธ์เพื่อแสดงผลกระทบต่อความปลอดภัยของพลเมืองและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศ โดยหวังว่าการสนับสนุนจากประชาชนจะช่วยยับยั้งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้.

    ข้อถกเถียงเรื่องสิทธิความเป็นส่วนตัว:
    - นักวิจารณ์ชี้ว่าการเพิ่มอำนาจการเฝ้าระวังในลักษณะนี้สะท้อนถึงการลดความสำคัญของสิทธิความเป็นส่วนตัวในยุคดิจิทัล.

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/secure-encryption-and-online-anonymity-are-now-at-risk-in-switzerland-heres-what-you-need-to-know
    ประเทศสวิตเซอร์แลนด์กำลังพิจารณาแก้ไขกฎหมายการเฝ้าระวัง ที่อาจกระทบถึงผู้ให้บริการ VPN และแอปส่งข้อความที่เข้ารหัส เช่น Threema และ ProtonVPN กฎหมายฉบับใหม่จะเน้นการติดตามว่าใครติดต่อกับใครบ้าง โดยไม่ได้เข้าถึงเนื้อหาการสนทนาโดยตรง อย่างไรก็ตาม บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้เริ่มรวมพลังกันเพื่อต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่อาจกระทบต่อสิทธิความเป็นส่วนตัวออนไลน์ ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยออนไลน์: - Alexis Roussel, ผู้ร่วมก่อตั้ง NymVPN ชี้ให้เห็นว่าการลดความเป็นนิรนามออนไลน์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล และอาจเปิดช่องทางให้เกิดการโจมตีไซเบอร์มากขึ้น. เป้าหมายของการเฝ้าระวัง: - แม้รัฐบาลอ้างว่ามุ่งเน้นความปลอดภัยและการจับกุมผู้กระทำผิด แต่กฎหมายใหม่นี้ไม่ได้เน้นการเข้าถึงเนื้อหาในการสื่อสารโดยตรง แต่เน้นไปที่การติดตามว่าใครติดต่อกับใคร. ความพยายามในการคัดค้าน: - Proton และ Threema ร่วมมือกับ NymVPN วางกลยุทธ์เพื่อแสดงผลกระทบต่อความปลอดภัยของพลเมืองและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศ โดยหวังว่าการสนับสนุนจากประชาชนจะช่วยยับยั้งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้. ข้อถกเถียงเรื่องสิทธิความเป็นส่วนตัว: - นักวิจารณ์ชี้ว่าการเพิ่มอำนาจการเฝ้าระวังในลักษณะนี้สะท้อนถึงการลดความสำคัญของสิทธิความเป็นส่วนตัวในยุคดิจิทัล. https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/secure-encryption-and-online-anonymity-are-now-at-risk-in-switzerland-heres-what-you-need-to-know
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • Leg Press Technique Matters:
    When your knees are locked, it places undue stress on your joints and risks injury. A slight bend ensures consistent muscle engagement, improves control, and helps protect your knees from unnecessary strain. Choose safety and form over force.
    Leg Press Technique Matters: When your knees are locked, it places undue stress on your joints and risks injury. A slight bend ensures consistent muscle engagement, improves control, and helps protect your knees from unnecessary strain. Choose safety and form over force.
    0 Comments 0 Shares 188 Views 1 0 Reviews
  • การศึกษาล่าสุดเผยว่า Microsoft 365 อาจไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ได้อย่างสมบูรณ์ โดยพบมัลแวร์และ URL อันตรายจำนวนมากในข้อมูลสำรอง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้โซลูชันสำรองข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูง ควบคู่กับการอบรมพนักงานและตรวจสอบระบบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการโจมตีซ้ำและเสริมสร้างความปลอดภัยในองค์กร

    ผลการวิจัยที่น่ากังวล:
    - พบ URL อันตรายกว่า 2 ล้านรายการ ที่อาจนำไปสู่เว็บไซต์ฟิชชิ่งหรือมัลแวร์.
    - มีมัลแวร์กว่า 5,000 รายการ ถูกตรวจพบในข้อมูลสำรอง.

    โมเดลความรับผิดชอบร่วม (Shared Responsibility Model):
    - Microsoft รับผิดชอบความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ขณะที่องค์กรผู้ใช้งานต้องรับผิดชอบการปกป้องข้อมูลและแอปพลิเคชันของตัวเอง.

    ข้อเสนอแนะเพื่อเพิ่มความปลอดภัย:
    - ใช้โซลูชันสำรองข้อมูลที่มีคุณสมบัติการป้องกันขั้นสูง เพื่อลดความเสี่ยงจากมัลแวร์และภัยคุกคาม.
    - เพิ่มความปลอดภัยอีเมล เช่น การบล็อกอีเมลฟิชชิ่งและการหลอกลวง.
    - อบรมพนักงานให้รับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์และทำการจำลองสถานการณ์เพื่อสร้างความตื่นตัว.

    ผลกระทบของภัยคุกคามในข้อมูลสำรอง:
    - หากมัลแวร์หรือ URL อันตรายแฝงตัวในข้อมูลสำรอง จะสามารถกลับมาติดระบบใหม่ได้ทุกครั้งที่กู้คืนข้อมูล สร้างวงจรการโจมตีซ้ำ ๆ

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/hidden-threats-how-microsoft-365-backups-store-risks-for-future-attacks/
    การศึกษาล่าสุดเผยว่า Microsoft 365 อาจไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ได้อย่างสมบูรณ์ โดยพบมัลแวร์และ URL อันตรายจำนวนมากในข้อมูลสำรอง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้โซลูชันสำรองข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูง ควบคู่กับการอบรมพนักงานและตรวจสอบระบบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการโจมตีซ้ำและเสริมสร้างความปลอดภัยในองค์กร ผลการวิจัยที่น่ากังวล: - พบ URL อันตรายกว่า 2 ล้านรายการ ที่อาจนำไปสู่เว็บไซต์ฟิชชิ่งหรือมัลแวร์. - มีมัลแวร์กว่า 5,000 รายการ ถูกตรวจพบในข้อมูลสำรอง. โมเดลความรับผิดชอบร่วม (Shared Responsibility Model): - Microsoft รับผิดชอบความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ขณะที่องค์กรผู้ใช้งานต้องรับผิดชอบการปกป้องข้อมูลและแอปพลิเคชันของตัวเอง. ข้อเสนอแนะเพื่อเพิ่มความปลอดภัย: - ใช้โซลูชันสำรองข้อมูลที่มีคุณสมบัติการป้องกันขั้นสูง เพื่อลดความเสี่ยงจากมัลแวร์และภัยคุกคาม. - เพิ่มความปลอดภัยอีเมล เช่น การบล็อกอีเมลฟิชชิ่งและการหลอกลวง. - อบรมพนักงานให้รับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์และทำการจำลองสถานการณ์เพื่อสร้างความตื่นตัว. ผลกระทบของภัยคุกคามในข้อมูลสำรอง: - หากมัลแวร์หรือ URL อันตรายแฝงตัวในข้อมูลสำรอง จะสามารถกลับมาติดระบบใหม่ได้ทุกครั้งที่กู้คืนข้อมูล สร้างวงจรการโจมตีซ้ำ ๆ https://www.bleepingcomputer.com/news/security/hidden-threats-how-microsoft-365-backups-store-risks-for-future-attacks/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Hidden Threats: How Microsoft 365 Backups Store Risks for Future Attacks
    Acronis Threat Research found 2M+ malicious URLs & 5,000+ malware instances in Microsoft 365 backup data—demonstrating how built-in security isn't always enough. Don't let threats persist in your cloud data. Strengthen your defenses.
    0 Comments 0 Shares 361 Views 0 Reviews
  • ภาวะหัวใจหยุดเต้นจากแผลเป็นเล็กๆ กระจาย หลายแห่งในกล้ามเนื้อหัวใจ (multiple microscars MMS)รายงานการชันสูตรศพ และตรวจชิ้นเนื้อของกล้ามเนื้อหัวใจในผู้เสียชีวิตสามราย ที่ มีภาวะหัวใจหยุดเต้นที่อธิบายไม่ได้ (unexplained cardiac arrest) โดยมีอายุมาก 75 91 และ 73 ปีถึงแม้ผู้เสียชีวิตจะสูงวัยแต่การตรวจ พบสิ่งปกติที่ทางสถาบันไม่เคยพบมาก่อนตลอดช่วงระยะเวลา 30 ปี นั้นก็คือ • แผลเป็นขนาดเล็กกระจายทั่วไป multiple micro scars ซึ่งต่างจากแผลเป็นขนาดใหญ่ ที่พบได้ทั่วไปในกรณีที่เส้นเลือดหัวใจตัน ทั้งสามรายได้รับโควิดวัคซีน ห้าเข็ม ในสองรายแรก และหกเข็มในสุดท้ายรายที่สองมีมะเร็ง HCC และรายที่สามมีมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยได้รับเคมีบำบัดด้วย และการชันสูตรศพไม่สามารถอธิบายความเกี่ยวพันของภาวะมะเร็งและเคมีบำบัด และไม่พบโปรตีนอมิลอยด์ใน แผลเป็น จึงไม่ใช่เป็นโรคอมิลอยด์ของหัวใจ (cardiac amyloidosis)การอภิปรายของคณะรายงานนี่อาจเป็นรายงานแรกของผู้ป่วยที่มี MMS ในหัวใจที่เสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้น • ที่น่าสังเกตคือ การบีบตัวของหัวใจซ้าย ejection fraction ของผู้ป่วยทั้ง 3 รายไม่ได้ลดลง แม้ว่าจะมี MMS ในกล้ามเนื้อหัวใจทั้งหมด • ผู้ป่วย 2 รายไม่มีประวัติติดเชื้อ COVID-19 และ 1 รายติดเชื้อ COVID-19 • สำหรับประวัติการฉีดวัคซีน COVID-19 ผู้ป่วยทั้ง 3 รายมีประวัติการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันจนถึงการเข้ารับการรักษาครั้งสุดท้าย • มีการรายงานความเชื่อมโยงระหว่างภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและการฉีดวัคซีน COVID-19 เมื่อไม่นานนี้ ตามวารสารด้านล่าง • Patone M., Mei X.W., Handunnetthi L., et al. "Risks of myocarditis, pericarditis, and cardiac arrhythmias associated with COVID-19 vaccination or SARS-CoV-2 infection". Nat Med . 2022;28:410-422. �CrossrefMedlineGoogle Scholar • Pari B., Babbili A., Kattubadi A., et al. "COVID-19 vaccination and cardiac arrhythmias: a review". Curr Cardiol Rep . 2023;25:925-940. �CrossrefMedlineGoogle Scholar • การสำรวจทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าวัคซีน COVID-19 ทุกประเภทดูเหมือนจะกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และวัคซีน COVID-19 อาจทำให้เกิดความผิดปกติของการนำไฟฟ้าของหัวใจ • กลไกเหล่านี้คาดว่าจะเกิดจากการเลียนแบบโมเลกุลหรือการผลิตโปรตีนสไปก์ การตอบสนองของการอักเสบที่เพิ่มขึ้น และการเกิดแผลเป็นและพังผืด • ในที่สุด ที่น่าสนใจคือ ในกรณีศึกษาทางพยาธิวิทยาปัจจุบัน ยังพบไมโครสการ์ริง (แผลเป็นขนาดเล็ก) ที่จุดเชื่อมต่อระหว่างatriumด้านซ้ายกับหลอดเลือดแดงพัลโมนารีและatriumด้านบน ซึ่งเป็นตำแหน่งทั่วไป สำหรับการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดปกติด้วยการใส่สายสวนเข้าไปจี้ • ในอนาคต เราหวังว่าจะได้เห็นการวิจัยที่จะทำให้สามารถวินิจฉัยพยาธิสรีรวิทยาของ MMS ในหัวใจได้ผ่านการสร้างภาพหัวใจและ/หรือการตรวจเลือดก่อนเสียชีวิต • เหตุใดจึงพบ MMS ในกล้ามเนื้อหัวใจเท่านั้น? • ระยะห่างและขนาดของแผลเป็นที่อยู่ติดกันภายในกล้ามเนื้อหัวใจบ่งชี้ว่า แผลเป็นเกิดขึ้นหลังจากการอักเสบที่ระดับของหลอดเลือดฝอยขนาดเล็ก ระยะห่างจากหลอดเลือดแดงส่วนปลายไปยังจุดเริ่มต้นของหลอดเลือดดำอยู่ที่ประมาณ 300 ถึง 500 ไมโครเมตร (การศึกษาแผนภูมิของ เส้นเลือดฝอยในตำรา เช่นเดียวกับระยะห่างระหว่างแผลเป็นในกรณีปัจจุบัน) • ข้อเท็จจริงที่ว่าแผลเป็นเหล่านี้เกิดจากการอักเสบอันเนื่องมาจากการอุดตันของหลอดเลือดฝอยเท่านั้น และแผลเป็นแต่ละแผลมีลักษณะเหมือนกัน แสดงให้เห็นว่า“การอักเสบเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดและในเวลาเดียวกัน ” การย้อมด้วย antibody ต่อ CD42b ไม่ติดในหัวใจ ซึ่งบ่งชี้ว่าไม่มีการกระตุ้นของเกล็ดเลือด กล่าวคือ ไม่ใช่เป็นการเกิดขึ้นเฉียบพลัน (acute phase) • แม้ว่าจะยังไม่มีรายงานการดำเนินไปของ MMS ในหัวใจ แต่ก็ถือเป็นการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี เว้นแต่จะได้รับการรักษาที่เหมาะสม • ดังที่แสดงในภาพขยายของหัวใจ จะเห็นการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงในหลอดเลือดขนาดเล็กซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็ก (microangiopathy) ที่เกิดจากลิ่มเลือด (thrombotic microangiopathy) • การค้นพบความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็กที่ไม่คาดคิดนี้ เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อหัวใจเท่านั้น ไม่ใช่ในไต แสดงให้เห็นว่ากรณีเหล่านี้ไม่เข้ากันกับการวินิจฉัยภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากลิ่มเลือด (TTP :thrombotic thrombocytopenia) หรือกลุ่มอาการยูรีเมียจากเม็ดเลือดแดงแตกผิดปกติ (HUS :hemolytic uremic syndrome) • แต่ถือเป็นความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็กจากลิ่มเลือดในทางพยาธิวิทยา • สาเหตุของ MMS ในหัวใจยังไม่ชัดเจน • แต่ด้วยความจริงที่ว่า MMS ในหัวใจที่หายากเหล่านี้ยังคงพบได้ในระหว่างการชันสูตรพลิกศพภายในระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 6 เดือน • ทำให้เราต้องพิจารณาถึงความเกี่ยวข้อง กับปัจจัยโน้มนำที่เกิดขึ้นในระยะปัจจุบัน • แม้ว่าภาวะหลอดเลือดแดงตีบในกล้ามเนื้อหัวใจ มีความเป็นไปได้ในผู้ป่วย MMS ในหัวใจเหล่านี้ที่จะเกิดก่อนหน้านี้นาน • แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ COVID-19 • มีรายงานการเกิดลิ่มเลือดหลังจากการฉีดวัคซีน COVID-19 และผู้ป่วยของเราได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกัน COVID-19 • แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ MMS จะถูกเหนี่ยวนำโดยวัคซีน แต่ไม่สามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการฉีดวัคซีนและ MMS เหล่านี้กับลิ่มเลือดในระดับเส้นเลือดฝอยได้ในการศึกษานี้ • ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของ MMS กับวัคซีนรายงานในวารสาร ราชวิทยาลัยหัวใจของอเมริกาCardiac Multiple Micro-Scars: An Autopsy Study.J Am Coll Cardiol Case Rep. 2025 Mar, 30 (5)https://www.jacc.org/doi/full/10.1016/j.jaccas.2024.103083?utm_source=substack&utm_medium=emailรายงานนี้เป็นศัพท์แพทย์และเกี่ยวข้องกับรายละเอียดของการชันสูตรทางพยาธิวิทยาทั้งสิ้น ที่ระบุ แผลเป็นขนาดเล็กที่มีลักษณะเฉพาะตัว เกิดจากการอักเสบในเส้นเลือดฝอย และไม่ใช่การอุดตันของเส้นเลือดหัวใจตามปกติ ที่สำคัญก็คือ น่าจะอธิบายปรากฏการณ์หัวใจวายที่อธิบายไม่ได้ที่ปรากฏทั่วไปในระยะหลังจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งในประเทศไทยรายงานนี้ตอกย้ำรายงานก่อนหน้าที่ใช้การตรวจ MRI และมีการฉีดสี พบว่าผู้ได้รับวัคซีนมีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจและเมื่อติดตามจะพบแผลเป็นและรายงานที่ใช้ PET scan โดยเวชศาสตร์นิวเคลียร์ พบว่ากล้ามเนื้อหัวใจในกลุ่มคนหลายร้อยคนที่ฉีดวัคซีน แม้ไม่มีอาการแต่ก็จะมีการอักเสบคุกรุ่นตลอด (silent inflammation) เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนทั้งนี้การตรวจทางชิ้นเนื้อพยาธิวิทยาได้ตัดประเด็นสาเหตุที่อาจจะเกิดจากโรคประจำตัว การรักษาโรคประจำตัว และไม่อาจอธิบายด้วยการติดเชื้อโควิด รายละเอียดของแต่ละราย กรรมวิธีในการตรวจสามารถสืบค้นได้ในวารสารที่แนบไว้ ที่ต้องนำมาโพสต์เพราะเป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากการตายไม่ทราบสาเหตุแบบกระทันหันเกิดขึ้นได้ทั้งคนอายุน้อยซึ่งมีสุขภาพดี และในคนอายุมากที่ไม่มีใครสนใจเพราะมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว แต่เมื่อหาสาเหตุอันแท้จริงแล้วจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดมาก่อนเพจนี้อ้างอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ร่วมกับสิ่งที่ประจักษ์ในผู้ป่วยที่ได้ดูแลในประเทศไทย • สื่อที่บิดเบือนความจริงในหลักฐาน ถือได้ว่าเป็นการนำความเท็จเข้าระบบคอมพิวเตอร์ และรวมทั้งที่กล่าวว่าโพสต์ของ หมอธีระวัฒน์และของหมอชลธวัช นั้นเป็นข้อมูลไม่จริง ถือเป็นหลักฐานสำคัญยิ่งที่เน้นว่าสื่อต่างๆเหล่านี้พยายามปกปิดข้อมูลและบิดเบือนความจริงตลอดมา สามารถนำเข้าสู่ขั้นตอนการร้องเรียนเพื่อดำเนินคดีได้ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาประธานนพ ดร ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริรองประธานศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุขและที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    ภาวะหัวใจหยุดเต้นจากแผลเป็นเล็กๆ กระจาย หลายแห่งในกล้ามเนื้อหัวใจ (multiple microscars MMS)รายงานการชันสูตรศพ และตรวจชิ้นเนื้อของกล้ามเนื้อหัวใจในผู้เสียชีวิตสามราย ที่ มีภาวะหัวใจหยุดเต้นที่อธิบายไม่ได้ (unexplained cardiac arrest) โดยมีอายุมาก 75 91 และ 73 ปีถึงแม้ผู้เสียชีวิตจะสูงวัยแต่การตรวจ พบสิ่งปกติที่ทางสถาบันไม่เคยพบมาก่อนตลอดช่วงระยะเวลา 30 ปี นั้นก็คือ • แผลเป็นขนาดเล็กกระจายทั่วไป multiple micro scars ซึ่งต่างจากแผลเป็นขนาดใหญ่ ที่พบได้ทั่วไปในกรณีที่เส้นเลือดหัวใจตัน ทั้งสามรายได้รับโควิดวัคซีน ห้าเข็ม ในสองรายแรก และหกเข็มในสุดท้ายรายที่สองมีมะเร็ง HCC และรายที่สามมีมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยได้รับเคมีบำบัดด้วย และการชันสูตรศพไม่สามารถอธิบายความเกี่ยวพันของภาวะมะเร็งและเคมีบำบัด และไม่พบโปรตีนอมิลอยด์ใน แผลเป็น จึงไม่ใช่เป็นโรคอมิลอยด์ของหัวใจ (cardiac amyloidosis)การอภิปรายของคณะรายงานนี่อาจเป็นรายงานแรกของผู้ป่วยที่มี MMS ในหัวใจที่เสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้น • ที่น่าสังเกตคือ การบีบตัวของหัวใจซ้าย ejection fraction ของผู้ป่วยทั้ง 3 รายไม่ได้ลดลง แม้ว่าจะมี MMS ในกล้ามเนื้อหัวใจทั้งหมด • ผู้ป่วย 2 รายไม่มีประวัติติดเชื้อ COVID-19 และ 1 รายติดเชื้อ COVID-19 • สำหรับประวัติการฉีดวัคซีน COVID-19 ผู้ป่วยทั้ง 3 รายมีประวัติการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันจนถึงการเข้ารับการรักษาครั้งสุดท้าย • มีการรายงานความเชื่อมโยงระหว่างภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและการฉีดวัคซีน COVID-19 เมื่อไม่นานนี้ ตามวารสารด้านล่าง • Patone M., Mei X.W., Handunnetthi L., et al. "Risks of myocarditis, pericarditis, and cardiac arrhythmias associated with COVID-19 vaccination or SARS-CoV-2 infection". Nat Med . 2022;28:410-422. �CrossrefMedlineGoogle Scholar • Pari B., Babbili A., Kattubadi A., et al. "COVID-19 vaccination and cardiac arrhythmias: a review". Curr Cardiol Rep . 2023;25:925-940. �CrossrefMedlineGoogle Scholar • การสำรวจทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าวัคซีน COVID-19 ทุกประเภทดูเหมือนจะกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และวัคซีน COVID-19 อาจทำให้เกิดความผิดปกติของการนำไฟฟ้าของหัวใจ • กลไกเหล่านี้คาดว่าจะเกิดจากการเลียนแบบโมเลกุลหรือการผลิตโปรตีนสไปก์ การตอบสนองของการอักเสบที่เพิ่มขึ้น และการเกิดแผลเป็นและพังผืด • ในที่สุด ที่น่าสนใจคือ ในกรณีศึกษาทางพยาธิวิทยาปัจจุบัน ยังพบไมโครสการ์ริง (แผลเป็นขนาดเล็ก) ที่จุดเชื่อมต่อระหว่างatriumด้านซ้ายกับหลอดเลือดแดงพัลโมนารีและatriumด้านบน ซึ่งเป็นตำแหน่งทั่วไป สำหรับการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดปกติด้วยการใส่สายสวนเข้าไปจี้ • ในอนาคต เราหวังว่าจะได้เห็นการวิจัยที่จะทำให้สามารถวินิจฉัยพยาธิสรีรวิทยาของ MMS ในหัวใจได้ผ่านการสร้างภาพหัวใจและ/หรือการตรวจเลือดก่อนเสียชีวิต • เหตุใดจึงพบ MMS ในกล้ามเนื้อหัวใจเท่านั้น? • ระยะห่างและขนาดของแผลเป็นที่อยู่ติดกันภายในกล้ามเนื้อหัวใจบ่งชี้ว่า แผลเป็นเกิดขึ้นหลังจากการอักเสบที่ระดับของหลอดเลือดฝอยขนาดเล็ก ระยะห่างจากหลอดเลือดแดงส่วนปลายไปยังจุดเริ่มต้นของหลอดเลือดดำอยู่ที่ประมาณ 300 ถึง 500 ไมโครเมตร (การศึกษาแผนภูมิของ เส้นเลือดฝอยในตำรา เช่นเดียวกับระยะห่างระหว่างแผลเป็นในกรณีปัจจุบัน) • ข้อเท็จจริงที่ว่าแผลเป็นเหล่านี้เกิดจากการอักเสบอันเนื่องมาจากการอุดตันของหลอดเลือดฝอยเท่านั้น และแผลเป็นแต่ละแผลมีลักษณะเหมือนกัน แสดงให้เห็นว่า“การอักเสบเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดและในเวลาเดียวกัน ” การย้อมด้วย antibody ต่อ CD42b ไม่ติดในหัวใจ ซึ่งบ่งชี้ว่าไม่มีการกระตุ้นของเกล็ดเลือด กล่าวคือ ไม่ใช่เป็นการเกิดขึ้นเฉียบพลัน (acute phase) • แม้ว่าจะยังไม่มีรายงานการดำเนินไปของ MMS ในหัวใจ แต่ก็ถือเป็นการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี เว้นแต่จะได้รับการรักษาที่เหมาะสม • ดังที่แสดงในภาพขยายของหัวใจ จะเห็นการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงในหลอดเลือดขนาดเล็กซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็ก (microangiopathy) ที่เกิดจากลิ่มเลือด (thrombotic microangiopathy) • การค้นพบความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็กที่ไม่คาดคิดนี้ เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อหัวใจเท่านั้น ไม่ใช่ในไต แสดงให้เห็นว่ากรณีเหล่านี้ไม่เข้ากันกับการวินิจฉัยภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากลิ่มเลือด (TTP :thrombotic thrombocytopenia) หรือกลุ่มอาการยูรีเมียจากเม็ดเลือดแดงแตกผิดปกติ (HUS :hemolytic uremic syndrome) • แต่ถือเป็นความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็กจากลิ่มเลือดในทางพยาธิวิทยา • สาเหตุของ MMS ในหัวใจยังไม่ชัดเจน • แต่ด้วยความจริงที่ว่า MMS ในหัวใจที่หายากเหล่านี้ยังคงพบได้ในระหว่างการชันสูตรพลิกศพภายในระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 6 เดือน • ทำให้เราต้องพิจารณาถึงความเกี่ยวข้อง กับปัจจัยโน้มนำที่เกิดขึ้นในระยะปัจจุบัน • แม้ว่าภาวะหลอดเลือดแดงตีบในกล้ามเนื้อหัวใจ มีความเป็นไปได้ในผู้ป่วย MMS ในหัวใจเหล่านี้ที่จะเกิดก่อนหน้านี้นาน • แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ COVID-19 • มีรายงานการเกิดลิ่มเลือดหลังจากการฉีดวัคซีน COVID-19 และผู้ป่วยของเราได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกัน COVID-19 • แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ MMS จะถูกเหนี่ยวนำโดยวัคซีน แต่ไม่สามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการฉีดวัคซีนและ MMS เหล่านี้กับลิ่มเลือดในระดับเส้นเลือดฝอยได้ในการศึกษานี้ • ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของ MMS กับวัคซีนรายงานในวารสาร ราชวิทยาลัยหัวใจของอเมริกาCardiac Multiple Micro-Scars: An Autopsy Study.J Am Coll Cardiol Case Rep. 2025 Mar, 30 (5)https://www.jacc.org/doi/full/10.1016/j.jaccas.2024.103083?utm_source=substack&utm_medium=emailรายงานนี้เป็นศัพท์แพทย์และเกี่ยวข้องกับรายละเอียดของการชันสูตรทางพยาธิวิทยาทั้งสิ้น ที่ระบุ แผลเป็นขนาดเล็กที่มีลักษณะเฉพาะตัว เกิดจากการอักเสบในเส้นเลือดฝอย และไม่ใช่การอุดตันของเส้นเลือดหัวใจตามปกติ ที่สำคัญก็คือ น่าจะอธิบายปรากฏการณ์หัวใจวายที่อธิบายไม่ได้ที่ปรากฏทั่วไปในระยะหลังจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งในประเทศไทยรายงานนี้ตอกย้ำรายงานก่อนหน้าที่ใช้การตรวจ MRI และมีการฉีดสี พบว่าผู้ได้รับวัคซีนมีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจและเมื่อติดตามจะพบแผลเป็นและรายงานที่ใช้ PET scan โดยเวชศาสตร์นิวเคลียร์ พบว่ากล้ามเนื้อหัวใจในกลุ่มคนหลายร้อยคนที่ฉีดวัคซีน แม้ไม่มีอาการแต่ก็จะมีการอักเสบคุกรุ่นตลอด (silent inflammation) เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนทั้งนี้การตรวจทางชิ้นเนื้อพยาธิวิทยาได้ตัดประเด็นสาเหตุที่อาจจะเกิดจากโรคประจำตัว การรักษาโรคประจำตัว และไม่อาจอธิบายด้วยการติดเชื้อโควิด รายละเอียดของแต่ละราย กรรมวิธีในการตรวจสามารถสืบค้นได้ในวารสารที่แนบไว้ ที่ต้องนำมาโพสต์เพราะเป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากการตายไม่ทราบสาเหตุแบบกระทันหันเกิดขึ้นได้ทั้งคนอายุน้อยซึ่งมีสุขภาพดี และในคนอายุมากที่ไม่มีใครสนใจเพราะมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว แต่เมื่อหาสาเหตุอันแท้จริงแล้วจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดมาก่อนเพจนี้อ้างอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ร่วมกับสิ่งที่ประจักษ์ในผู้ป่วยที่ได้ดูแลในประเทศไทย • สื่อที่บิดเบือนความจริงในหลักฐาน ถือได้ว่าเป็นการนำความเท็จเข้าระบบคอมพิวเตอร์ และรวมทั้งที่กล่าวว่าโพสต์ของ หมอธีระวัฒน์และของหมอชลธวัช นั้นเป็นข้อมูลไม่จริง ถือเป็นหลักฐานสำคัญยิ่งที่เน้นว่าสื่อต่างๆเหล่านี้พยายามปกปิดข้อมูลและบิดเบือนความจริงตลอดมา สามารถนำเข้าสู่ขั้นตอนการร้องเรียนเพื่อดำเนินคดีได้ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาประธานนพ ดร ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริรองประธานศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุขและที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    3
    0 Comments 1 Shares 995 Views 0 Reviews
  • ตอนนี้สหภาพยุโรปกำลังจัดระเบียบครั้งใหญ่เพื่อลดอำนาจผูกขาดของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Google และ Apple โดย Google ถูกตั้งข้อหาว่ากีดกันนักพัฒนาแอปและให้ความได้เปรียบกับบริการตัวเอง ส่วน Apple ถูกสั่งให้เปิดระบบเพื่อให้คู่แข่งสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ของพวกเขาได้ง่ายขึ้น ถ้าบริษัทไหนไม่ปฏิบัติตาม อาจต้องเผชิญกับค่าปรับมหาศาล แต่ทั้งสองบริษัทก็กังวลว่ากฎนี้จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการพัฒนานวัตกรรม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/19/google-hit-with-2-charges-under-landmark-eu-rules-risks-fines
    ตอนนี้สหภาพยุโรปกำลังจัดระเบียบครั้งใหญ่เพื่อลดอำนาจผูกขาดของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Google และ Apple โดย Google ถูกตั้งข้อหาว่ากีดกันนักพัฒนาแอปและให้ความได้เปรียบกับบริการตัวเอง ส่วน Apple ถูกสั่งให้เปิดระบบเพื่อให้คู่แข่งสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ของพวกเขาได้ง่ายขึ้น ถ้าบริษัทไหนไม่ปฏิบัติตาม อาจต้องเผชิญกับค่าปรับมหาศาล แต่ทั้งสองบริษัทก็กังวลว่ากฎนี้จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการพัฒนานวัตกรรม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/19/google-hit-with-2-charges-under-landmark-eu-rules-risks-fines
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Google, Apple hit by EU regulatory crackdown
    BRUSSELS (Reuters) -Google was hit with two charges of breaching landmark EU rules on Wednesday, while Apple was ordered to help rivals connect with its iPhones and iPads, as Europe's antitrust regulators continued a crackdown against Big Tech.
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
  • ไมโครซอฟท์ได้ถอดปลั๊กอินยอดนิยมสองตัวออกจาก Visual Studio Marketplace เนื่องจากพบว่ามีโค้ดที่เป็นอันตราย ปลั๊กอินที่ถูกถอดออกคือ 'Material Theme – Free' และ 'Material Theme Icons – Free' ซึ่งมียอดดาวน์โหลดรวมกันเกือบ 9 ล้านครั้ง ผู้ใช้ได้รับการแจ้งเตือนใน VSCode ว่าปลั๊กอินเหล่านี้ถูกปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ Amit Assaraf และ Itay Kruk พบโค้ดที่น่าสงสัยในปลั๊กอินเหล่านี้และรายงานผลการค้นพบให้กับไมโครซอฟท์ ไมโครซอฟท์ได้ถอดปลั๊กอินทั้งสองออกจากตลาดและแบนผู้พัฒนา Mattia Astorino (หรือที่รู้จักในชื่อ equinusocio) ซึ่งมีปลั๊กอินหลายตัวในตลาด VSCode รวมยอดดาวน์โหลดกว่า 13 ล้านครั้ง

    นักวิจัยกล่าวว่าโค้ดที่เป็นอันตรายอาจถูกแทรกเข้ามาในการอัปเดตของปลั๊กอิน ซึ่งอาจเป็นการโจมตีทางซัพพลายเชนหรือบัญชีของผู้พัฒนาถูกแฮ็ก code ที่น่าสงสัยในไฟล์ 'release-notes.js' มีการเข้ารหัสอย่างหนักและมีการอ้างอิงถึงชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านหลายครั้ง

    ผู้พัฒนาปลั๊กอิน Mattia Astorino อ้างว่าปัญหาเกิดจากการพึ่งพา Sanity.io ที่ล้าสมัยและไม่ได้ตั้งใจทำอันตราย เขากล่าวว่าไมโครซอฟท์ไม่ได้ติดต่อเขาเพื่อขอคำชี้แจงก่อนที่จะถอดปลั๊กอินออก

    ประเด็นที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ การโจมตีทางซัพพลายเชนเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นในวงการซอฟต์แวร์ การพึ่งพาโค้ดจากบุคคลที่สามอาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยได้

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/vscode-extensions-with-9-million-installs-pulled-over-security-risks/
    ไมโครซอฟท์ได้ถอดปลั๊กอินยอดนิยมสองตัวออกจาก Visual Studio Marketplace เนื่องจากพบว่ามีโค้ดที่เป็นอันตราย ปลั๊กอินที่ถูกถอดออกคือ 'Material Theme – Free' และ 'Material Theme Icons – Free' ซึ่งมียอดดาวน์โหลดรวมกันเกือบ 9 ล้านครั้ง ผู้ใช้ได้รับการแจ้งเตือนใน VSCode ว่าปลั๊กอินเหล่านี้ถูกปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ นักวิจัยด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ Amit Assaraf และ Itay Kruk พบโค้ดที่น่าสงสัยในปลั๊กอินเหล่านี้และรายงานผลการค้นพบให้กับไมโครซอฟท์ ไมโครซอฟท์ได้ถอดปลั๊กอินทั้งสองออกจากตลาดและแบนผู้พัฒนา Mattia Astorino (หรือที่รู้จักในชื่อ equinusocio) ซึ่งมีปลั๊กอินหลายตัวในตลาด VSCode รวมยอดดาวน์โหลดกว่า 13 ล้านครั้ง นักวิจัยกล่าวว่าโค้ดที่เป็นอันตรายอาจถูกแทรกเข้ามาในการอัปเดตของปลั๊กอิน ซึ่งอาจเป็นการโจมตีทางซัพพลายเชนหรือบัญชีของผู้พัฒนาถูกแฮ็ก code ที่น่าสงสัยในไฟล์ 'release-notes.js' มีการเข้ารหัสอย่างหนักและมีการอ้างอิงถึงชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านหลายครั้ง ผู้พัฒนาปลั๊กอิน Mattia Astorino อ้างว่าปัญหาเกิดจากการพึ่งพา Sanity.io ที่ล้าสมัยและไม่ได้ตั้งใจทำอันตราย เขากล่าวว่าไมโครซอฟท์ไม่ได้ติดต่อเขาเพื่อขอคำชี้แจงก่อนที่จะถอดปลั๊กอินออก ประเด็นที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ การโจมตีทางซัพพลายเชนเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นในวงการซอฟต์แวร์ การพึ่งพาโค้ดจากบุคคลที่สามอาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยได้ https://www.bleepingcomputer.com/news/security/vscode-extensions-with-9-million-installs-pulled-over-security-risks/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    VSCode extensions with 9 million installs pulled over security risks
    Microsoft has removed two popular VSCode extensions, 'Material Theme - Free' and 'Material Theme Icons - Free,' from the Visual Studio Marketplace for allegedly containing malicious code.
    0 Comments 0 Shares 246 Views 0 Reviews
  • มีการค้นพบช่องโหว่ที่มีความรุนแรงสูงในปลั๊กอิน Jupiter X Core ที่เป็นที่นิยมของ WordPress และมีผู้ใช้มากกว่า 90,000 คนทั่วโลก ช่องโหว่นี้ถูกติดตามด้วยหมายเลข CVE-2025-0366 และได้รับคะแนนความรุนแรงถึง 8.8/10 ซึ่งมีผลกระทบต่อทุกเวอร์ชันของปลั๊กอินนี้จนถึงเวอร์ชัน 4.8.7

    ช่องโหว่นี้เรียกว่า Local File Inclusion to Remote Code Execution (LFI to RCE) ซึ่งอนุญาตให้ผู้ไม่หวังดีที่มีสิทธิ์ระดับ Contributor ขึ้นไปสามารถรวมไฟล์และรันโค้ด PHP บนเซิร์ฟเวอร์ได้ ทำให้สามารถข้ามการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับได้ หรือรันโค้ดตามความต้องการได้

    การโจมตีที่เป็นไปได้สามารถทำได้โดยการสร้างฟอร์มที่อนุญาตให้มีการอัปโหลดไฟล์ SVG แล้วใส่โค้ดที่เป็นอันตรายลงในไฟล์นั้น เมื่อไฟล์ SVG นี้ถูกนำไปใช้ในโพสต์ ระบบจะรันโค้ดที่แอบแฝงอยู่ในไฟล์นั้น ซึ่งทำให้การโจมตี Remote Code Execution (RCE) ง่ายมาก

    ช่องโหว่นี้ถูกพบครั้งแรกในต้นเดือนมกราคม 2025 และ Artbees บริษัทผู้พัฒนา Jupiter X Core ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขปัญหานี้ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2025 ดังนั้นถ้าคุณใช้ปลั๊กอินนี้ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้งานเวอร์ชัน 4.8.8 หรือใหม่กว่า

    อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีเว็บไซต์มากกว่า 47,000 แห่งที่ยังไม่ได้อัปเดตและยังมีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีได้ การอัปเดตให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเป็นเรื่องสำคัญมากเพื่อความปลอดภัยของเว็บไซต์ของคุณ

    https://www.techradar.com/pro/security/another-serious-wordpress-plugin-vulnerability-could-put-40-000-sites-at-risk-of-attack
    มีการค้นพบช่องโหว่ที่มีความรุนแรงสูงในปลั๊กอิน Jupiter X Core ที่เป็นที่นิยมของ WordPress และมีผู้ใช้มากกว่า 90,000 คนทั่วโลก ช่องโหว่นี้ถูกติดตามด้วยหมายเลข CVE-2025-0366 และได้รับคะแนนความรุนแรงถึง 8.8/10 ซึ่งมีผลกระทบต่อทุกเวอร์ชันของปลั๊กอินนี้จนถึงเวอร์ชัน 4.8.7 ช่องโหว่นี้เรียกว่า Local File Inclusion to Remote Code Execution (LFI to RCE) ซึ่งอนุญาตให้ผู้ไม่หวังดีที่มีสิทธิ์ระดับ Contributor ขึ้นไปสามารถรวมไฟล์และรันโค้ด PHP บนเซิร์ฟเวอร์ได้ ทำให้สามารถข้ามการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับได้ หรือรันโค้ดตามความต้องการได้ การโจมตีที่เป็นไปได้สามารถทำได้โดยการสร้างฟอร์มที่อนุญาตให้มีการอัปโหลดไฟล์ SVG แล้วใส่โค้ดที่เป็นอันตรายลงในไฟล์นั้น เมื่อไฟล์ SVG นี้ถูกนำไปใช้ในโพสต์ ระบบจะรันโค้ดที่แอบแฝงอยู่ในไฟล์นั้น ซึ่งทำให้การโจมตี Remote Code Execution (RCE) ง่ายมาก ช่องโหว่นี้ถูกพบครั้งแรกในต้นเดือนมกราคม 2025 และ Artbees บริษัทผู้พัฒนา Jupiter X Core ได้ออกแพตช์เพื่อแก้ไขปัญหานี้ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2025 ดังนั้นถ้าคุณใช้ปลั๊กอินนี้ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้งานเวอร์ชัน 4.8.8 หรือใหม่กว่า อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีเว็บไซต์มากกว่า 47,000 แห่งที่ยังไม่ได้อัปเดตและยังมีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีได้ การอัปเดตให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเป็นเรื่องสำคัญมากเพื่อความปลอดภัยของเว็บไซต์ของคุณ https://www.techradar.com/pro/security/another-serious-wordpress-plugin-vulnerability-could-put-40-000-sites-at-risk-of-attack
    WWW.TECHRADAR.COM
    Another serious WordPress plugin vulnerability could put 40,000 sites at risk of attack
    A bug was found in Jupiter X Core, a popular WordPress plugin with 90,000 installations
    0 Comments 0 Shares 336 Views 0 Reviews
More Results