• ลืม ransomware ไปก่อน—Quantum Computing คือภัยไซเบอร์ที่องค์กรทั่วโลกกลัวที่สุด

    รายงานล่าสุดจาก Capgemini Research Institute ซึ่งสำรวจองค์กรขนาดใหญ่กว่า 1,000 แห่งใน 13 ประเทศ พบว่า 70% ขององค์กรเหล่านี้มองว่า Quantum Computing คือภัยคุกคามด้านความปลอดภัยที่ร้ายแรงที่สุดในอนาคต มากกว่าการโจมตีแบบ ransomware ที่เคยเป็นอันดับหนึ่ง

    เหตุผลคือ Quantum Computer จะสามารถ “ถอดรหัส” ระบบเข้ารหัสที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ทั้งหมด เช่น RSA, ECC และ AES ซึ่งเป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยในระบบธนาคาร, การสื่อสาร, โครงสร้างพื้นฐาน และแม้แต่ระบบป้องกันประเทศ

    สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือแนวโน้ม “Harvest Now, Decrypt Later” หรือการที่หน่วยงานบางแห่ง (โดยเฉพาะรัฐ) กำลังเก็บข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ล่วงหน้า เพื่อรอวันที่ Quantum Computer มีพลังมากพอจะถอดรหัสได้—ซึ่งหลายองค์กรเชื่อว่า “Q-Day” หรือวันที่เกิดเหตุการณ์นี้จะมาถึงภายใน 5–10 ปี

    Capgemini แนะนำให้องค์กรเริ่มเปลี่ยนไปใช้ระบบ “Post-Quantum Cryptography” ตั้งแต่วันนี้ เพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต และสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว

    ข้อมูลจากข่าว
    - รายงานจาก Capgemini พบว่า 70% ขององค์กรขนาดใหญ่มองว่า Quantum Computing เป็นภัยไซเบอร์อันดับหนึ่ง
    - Quantum Computer สามารถถอดรหัสระบบเข้ารหัสแบบดั้งเดิมได้ เช่น RSA, ECC, AES
    - แนวโน้ม “Harvest Now, Decrypt Later” คือการเก็บข้อมูลไว้ล่วงหน้าเพื่อรอถอดรหัสในอนาคต
    - 65% ขององค์กรกังวลว่า Q-Day จะเกิดภายใน 5 ปี และ 60% เชื่อว่าจะเกิดภายใน 10 ปี
    - องค์กรเริ่มเปลี่ยนไปใช้ Post-Quantum Cryptography เพื่อป้องกันล่วงหน้า
    - Capgemini แนะนำให้เปลี่ยนเร็วเพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจและความเชื่อมั่นระยะยาว

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - หากไม่เปลี่ยนระบบเข้ารหัสให้รองรับ Quantum ภายในเวลาอันใกล้ องค์กรอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลมหาศาล
    - ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้วันนี้ อาจถูกถอดรหัสในอนาคตโดยไม่มีทางป้องกัน
    - การเปลี่ยนระบบเข้ารหัสต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก องค์กรควรวางแผนล่วงหน้า
    - การรอให้ Q-Day มาถึงก่อนค่อยเปลี่ยนอาจสายเกินไป และส่งผลต่อความมั่นคงของระบบทั้งหมด
    - องค์กรที่ไม่เตรียมตัวอาจเสียเปรียบด้านการแข่งขันและความไว้วางใจจากลูกค้า

    https://www.techradar.com/pro/security/forget-ransomware-most-firms-think-quantum-computing-is-the-biggest-security-risk-to-come
    ลืม ransomware ไปก่อน—Quantum Computing คือภัยไซเบอร์ที่องค์กรทั่วโลกกลัวที่สุด รายงานล่าสุดจาก Capgemini Research Institute ซึ่งสำรวจองค์กรขนาดใหญ่กว่า 1,000 แห่งใน 13 ประเทศ พบว่า 70% ขององค์กรเหล่านี้มองว่า Quantum Computing คือภัยคุกคามด้านความปลอดภัยที่ร้ายแรงที่สุดในอนาคต มากกว่าการโจมตีแบบ ransomware ที่เคยเป็นอันดับหนึ่ง เหตุผลคือ Quantum Computer จะสามารถ “ถอดรหัส” ระบบเข้ารหัสที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ทั้งหมด เช่น RSA, ECC และ AES ซึ่งเป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยในระบบธนาคาร, การสื่อสาร, โครงสร้างพื้นฐาน และแม้แต่ระบบป้องกันประเทศ สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือแนวโน้ม “Harvest Now, Decrypt Later” หรือการที่หน่วยงานบางแห่ง (โดยเฉพาะรัฐ) กำลังเก็บข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ล่วงหน้า เพื่อรอวันที่ Quantum Computer มีพลังมากพอจะถอดรหัสได้—ซึ่งหลายองค์กรเชื่อว่า “Q-Day” หรือวันที่เกิดเหตุการณ์นี้จะมาถึงภายใน 5–10 ปี Capgemini แนะนำให้องค์กรเริ่มเปลี่ยนไปใช้ระบบ “Post-Quantum Cryptography” ตั้งแต่วันนี้ เพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต และสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว ✅ ข้อมูลจากข่าว - รายงานจาก Capgemini พบว่า 70% ขององค์กรขนาดใหญ่มองว่า Quantum Computing เป็นภัยไซเบอร์อันดับหนึ่ง - Quantum Computer สามารถถอดรหัสระบบเข้ารหัสแบบดั้งเดิมได้ เช่น RSA, ECC, AES - แนวโน้ม “Harvest Now, Decrypt Later” คือการเก็บข้อมูลไว้ล่วงหน้าเพื่อรอถอดรหัสในอนาคต - 65% ขององค์กรกังวลว่า Q-Day จะเกิดภายใน 5 ปี และ 60% เชื่อว่าจะเกิดภายใน 10 ปี - องค์กรเริ่มเปลี่ยนไปใช้ Post-Quantum Cryptography เพื่อป้องกันล่วงหน้า - Capgemini แนะนำให้เปลี่ยนเร็วเพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจและความเชื่อมั่นระยะยาว ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - หากไม่เปลี่ยนระบบเข้ารหัสให้รองรับ Quantum ภายในเวลาอันใกล้ องค์กรอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลมหาศาล - ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้วันนี้ อาจถูกถอดรหัสในอนาคตโดยไม่มีทางป้องกัน - การเปลี่ยนระบบเข้ารหัสต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก องค์กรควรวางแผนล่วงหน้า - การรอให้ Q-Day มาถึงก่อนค่อยเปลี่ยนอาจสายเกินไป และส่งผลต่อความมั่นคงของระบบทั้งหมด - องค์กรที่ไม่เตรียมตัวอาจเสียเปรียบด้านการแข่งขันและความไว้วางใจจากลูกค้า https://www.techradar.com/pro/security/forget-ransomware-most-firms-think-quantum-computing-is-the-biggest-security-risk-to-come
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • Medusa Ridge – AMD เตรียมปล่อย Ryzen Zen 6 ที่เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และรองรับแรมแรงกว่าเดิม

    AMD กำลังส่งตัวอย่างโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ “Medusa Ridge” ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 ให้กับพันธมิตร เช่น OEM และนักออกแบบแพลตฟอร์ม โดยมีการอัปเกรดทั้งในส่วนของ CCD (Core Complex Die) และ cIOD (Client I/O Die)

    Zen 6 จะผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N2 (2 นาโนเมตร) ซึ่งมีความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์สูงกว่ารุ่นก่อนอย่าง Zen 5 ที่ใช้ N4P ทำให้มีโอกาสเพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD ได้ถึง 12 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 48 MB ต่อ CCD

    ยังไม่ชัดเจนว่า AMD จะใช้การจัดวางแบบ CCX เดียว 12 คอร์ หรือแบ่งเป็น 2 CCX (6 คอร์ + 24 MB L3 ต่อ CCX) แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ก็ถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ

    ส่วน cIOD ก็มีการอัปเกรดจาก 6 นาโนเมตรเป็น 5 หรือ 4 นาโนเมตร โดยเน้นการปรับปรุง memory controller ใหม่แบบ “dual memory controller architecture” ซึ่งยังคงใช้ 2 ช่อง DDR5 ต่อซ็อกเก็ต แต่สามารถรองรับความเร็วแรมที่สูงขึ้น เพื่อไล่ตาม Intel ให้ทัน

    แม้เทคโนโลยีการเร่งความเร็วซีพียู เช่น PBO และ Curve Optimizer จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่การสนับสนุนจากซอฟต์แวร์ Hydra ก็ยังคงใช้งานได้ตามปกติ

    ข้อมูลจากข่าว
    - AMD กำลังส่งตัวอย่างโปรเซสเซอร์ “Medusa Ridge” ที่ใช้ Zen 6 ให้พันธมิตร
    - Zen 6 ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N2 (2 นาโนเมตร) ซึ่งมีความหนาแน่นสูง
    - คาดว่าจะเพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD เป็น 12 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 48 MB
    - ยังไม่ชัดเจนว่าจะใช้ CCX เดียวหรือแบ่งเป็น 2 CCX ต่อ CCD
    - cIOD ถูกอัปเกรดเป็น 5 หรือ 4 นาโนเมตร พร้อม dual memory controller architecture
    - รองรับ DDR5 2 ช่องต่อซ็อกเก็ต แต่สามารถเพิ่มความเร็วแรมได้มากขึ้น
    - ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี PBO และ Curve Optimizer
    - Hydra tuning software ยังคงรองรับ Zen 6 ได้ตามปกติ

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ยังไม่มีการประกาศ “tape-out” อย่างเป็นทางการของ Zen 6 จาก AMD
    - การเพิ่มจำนวนคอร์และแคชอาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และต้องใช้เมนบอร์ดที่รองรับ
    - การเปลี่ยนแปลงใน memory controller อาจทำให้เมนบอร์ดรุ่นเก่าไม่สามารถใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ
    - การใช้เทคโนโลยี 2 นาโนเมตรยังอยู่ในช่วง risk production อาจมีความล่าช้าในการผลิตจริง
    - ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่เห็นประโยชน์จากจำนวนคอร์ที่เพิ่มขึ้น หากไม่ได้ใช้งานแบบมัลติทาสก์หรือประมวลผลหนัก


    https://www.techpowerup.com/338854/amd-sampling-next-gen-ryzen-desktop-medusa-ridge-sees-incremental-ipc-upgrade-new-ciod
    Medusa Ridge – AMD เตรียมปล่อย Ryzen Zen 6 ที่เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และรองรับแรมแรงกว่าเดิม AMD กำลังส่งตัวอย่างโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ “Medusa Ridge” ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 ให้กับพันธมิตร เช่น OEM และนักออกแบบแพลตฟอร์ม โดยมีการอัปเกรดทั้งในส่วนของ CCD (Core Complex Die) และ cIOD (Client I/O Die) Zen 6 จะผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N2 (2 นาโนเมตร) ซึ่งมีความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์สูงกว่ารุ่นก่อนอย่าง Zen 5 ที่ใช้ N4P ทำให้มีโอกาสเพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD ได้ถึง 12 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 48 MB ต่อ CCD ยังไม่ชัดเจนว่า AMD จะใช้การจัดวางแบบ CCX เดียว 12 คอร์ หรือแบ่งเป็น 2 CCX (6 คอร์ + 24 MB L3 ต่อ CCX) แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ก็ถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ ส่วน cIOD ก็มีการอัปเกรดจาก 6 นาโนเมตรเป็น 5 หรือ 4 นาโนเมตร โดยเน้นการปรับปรุง memory controller ใหม่แบบ “dual memory controller architecture” ซึ่งยังคงใช้ 2 ช่อง DDR5 ต่อซ็อกเก็ต แต่สามารถรองรับความเร็วแรมที่สูงขึ้น เพื่อไล่ตาม Intel ให้ทัน แม้เทคโนโลยีการเร่งความเร็วซีพียู เช่น PBO และ Curve Optimizer จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่การสนับสนุนจากซอฟต์แวร์ Hydra ก็ยังคงใช้งานได้ตามปกติ ✅ ข้อมูลจากข่าว - AMD กำลังส่งตัวอย่างโปรเซสเซอร์ “Medusa Ridge” ที่ใช้ Zen 6 ให้พันธมิตร - Zen 6 ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N2 (2 นาโนเมตร) ซึ่งมีความหนาแน่นสูง - คาดว่าจะเพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD เป็น 12 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 48 MB - ยังไม่ชัดเจนว่าจะใช้ CCX เดียวหรือแบ่งเป็น 2 CCX ต่อ CCD - cIOD ถูกอัปเกรดเป็น 5 หรือ 4 นาโนเมตร พร้อม dual memory controller architecture - รองรับ DDR5 2 ช่องต่อซ็อกเก็ต แต่สามารถเพิ่มความเร็วแรมได้มากขึ้น - ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี PBO และ Curve Optimizer - Hydra tuning software ยังคงรองรับ Zen 6 ได้ตามปกติ ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ยังไม่มีการประกาศ “tape-out” อย่างเป็นทางการของ Zen 6 จาก AMD - การเพิ่มจำนวนคอร์และแคชอาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และต้องใช้เมนบอร์ดที่รองรับ - การเปลี่ยนแปลงใน memory controller อาจทำให้เมนบอร์ดรุ่นเก่าไม่สามารถใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ - การใช้เทคโนโลยี 2 นาโนเมตรยังอยู่ในช่วง risk production อาจมีความล่าช้าในการผลิตจริง - ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่เห็นประโยชน์จากจำนวนคอร์ที่เพิ่มขึ้น หากไม่ได้ใช้งานแบบมัลติทาสก์หรือประมวลผลหนัก https://www.techpowerup.com/338854/amd-sampling-next-gen-ryzen-desktop-medusa-ridge-sees-incremental-ipc-upgrade-new-ciod
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD Sampling Next-Gen Ryzen Desktop "Medusa Ridge," Sees Incremental IPC Upgrade, New cIOD
    AMD is reportedly sampling its next-generation Ryzen desktop processor powered by the "Zen 6" microarchitecture, codenamed "Medusa Ridge," to close industry partners, such as platform designers and OEMs, says Yuri Bubliy, aka 1usmus, author of the Hydra tuning software, and the now-retired DRAM Calc...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • MCP – ตัวเร่ง AI อัจฉริยะที่อาจเปิดช่องให้ภัยไซเบอร์
    Model Context Protocol หรือ MCP เป็นโปรโตคอลใหม่ที่ช่วยให้ AI agent และ chatbot เข้าถึงข้อมูล เครื่องมือ และบริการต่าง ๆ ได้โดยตรง โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเชื่อมต่อหลายชั้นเหมือนเดิม

    เทคโนโลยีนี้ถูกสร้างโดย Anthropic ในปลายปี 2024 และได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วจาก OpenAI และผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Cloudflare, PayPal, Stripe, Zapier ฯลฯ จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการเชื่อมต่อ AI กับโลกภายนอก

    แต่ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงร้ายแรง:
    - Asana เปิด MCP server ให้ AI เข้าถึงข้อมูลงาน แต่เกิดบั๊กที่ทำให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลของคนอื่น
    - Atlassian ก็เจอช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์ส่ง ticket ปลอมและเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูง
    - OWASP ถึงกับเปิดโครงการ MCP Top 10 เพื่อจัดอันดับช่องโหว่ MCP โดยเฉพาะ (แม้ยังไม่มีรายการ)

    นักวิจัยพบว่า MCP มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น:
    - ใช้ session ID ใน URL ซึ่งขัดกับหลักความปลอดภัย
    - ไม่มีระบบเซ็นชื่อหรือยืนยันข้อความ ทำให้เกิดการปลอมแปลงได้
    - MCP ทำงานใน “context window” ที่ AI เข้าใจภาษาธรรมชาติ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกหลอก เช่น มีคนพิมพ์ว่า “ฉันคือ CEO” แล้ว AI เชื่อ

    แม้จะมีการอัปเดต MCP เพื่อแก้บางจุด เช่น เพิ่ม OAuth, resource indicator และ protocol version header แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทุกช่องโหว่ และ MCP server ที่ใช้งานอยู่ยังมีความเสี่ยงสูง

    ข้อมูลจากข่าว
    - MCP คือโปรโตคอลที่ช่วยให้ AI agent เข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือได้โดยตรง
    - สร้างโดย Anthropic และถูกนำไปใช้โดย OpenAI และผู้ให้บริการรายใหญ่
    - Asana และ Atlassian เปิด MCP server แล้วพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    - OWASP เปิดโครงการ MCP Top 10 เพื่อจัดการช่องโหว่ MCP โดยเฉพาะ
    - MCP มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ไม่มีการเซ็นชื่อข้อความ และใช้ session ID ใน URL
    - มีการอัปเดต MCP เพื่อเพิ่ม OAuth และระบบยืนยันเวอร์ชัน
    - Gartner คาดว่า 75% ของ API gateway vendors จะรองรับ MCP ภายในปี 2026

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - MCP อาจเปิดช่องให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลและการโจมตีแบบใหม่
    - AI agent อาจถูกหลอกผ่านข้อความธรรมชาติใน context window
    - MCP server ที่ไม่ได้ตรวจสอบอาจมี backdoor หรือช่องโหว่ร้ายแรง
    - ควรใช้ MCP server ใน sandbox ก่อนนำไปใช้งานจริง
    - ต้องรวม MCP ใน threat modeling, penetration test และ red-team exercise
    - ควรใช้ MCP client ที่แสดงทุก tool call และ input ก่อนอนุมัติ
    - การใช้ MCP โดยไม่มี governance ที่ชัดเจนอาจทำให้องค์กรเสี่ยงต่อ supply chain attack

    https://www.csoonline.com/article/4015222/mcp-uses-and-risks.html
    MCP – ตัวเร่ง AI อัจฉริยะที่อาจเปิดช่องให้ภัยไซเบอร์ Model Context Protocol หรือ MCP เป็นโปรโตคอลใหม่ที่ช่วยให้ AI agent และ chatbot เข้าถึงข้อมูล เครื่องมือ และบริการต่าง ๆ ได้โดยตรง โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเชื่อมต่อหลายชั้นเหมือนเดิม เทคโนโลยีนี้ถูกสร้างโดย Anthropic ในปลายปี 2024 และได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วจาก OpenAI และผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Cloudflare, PayPal, Stripe, Zapier ฯลฯ จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการเชื่อมต่อ AI กับโลกภายนอก แต่ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงร้ายแรง: - Asana เปิด MCP server ให้ AI เข้าถึงข้อมูลงาน แต่เกิดบั๊กที่ทำให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลของคนอื่น - Atlassian ก็เจอช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์ส่ง ticket ปลอมและเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูง - OWASP ถึงกับเปิดโครงการ MCP Top 10 เพื่อจัดอันดับช่องโหว่ MCP โดยเฉพาะ (แม้ยังไม่มีรายการ) นักวิจัยพบว่า MCP มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น: - ใช้ session ID ใน URL ซึ่งขัดกับหลักความปลอดภัย - ไม่มีระบบเซ็นชื่อหรือยืนยันข้อความ ทำให้เกิดการปลอมแปลงได้ - MCP ทำงานใน “context window” ที่ AI เข้าใจภาษาธรรมชาติ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกหลอก เช่น มีคนพิมพ์ว่า “ฉันคือ CEO” แล้ว AI เชื่อ แม้จะมีการอัปเดต MCP เพื่อแก้บางจุด เช่น เพิ่ม OAuth, resource indicator และ protocol version header แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทุกช่องโหว่ และ MCP server ที่ใช้งานอยู่ยังมีความเสี่ยงสูง ✅ ข้อมูลจากข่าว - MCP คือโปรโตคอลที่ช่วยให้ AI agent เข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือได้โดยตรง - สร้างโดย Anthropic และถูกนำไปใช้โดย OpenAI และผู้ให้บริการรายใหญ่ - Asana และ Atlassian เปิด MCP server แล้วพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัย - OWASP เปิดโครงการ MCP Top 10 เพื่อจัดการช่องโหว่ MCP โดยเฉพาะ - MCP มีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ไม่มีการเซ็นชื่อข้อความ และใช้ session ID ใน URL - มีการอัปเดต MCP เพื่อเพิ่ม OAuth และระบบยืนยันเวอร์ชัน - Gartner คาดว่า 75% ของ API gateway vendors จะรองรับ MCP ภายในปี 2026 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - MCP อาจเปิดช่องให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลและการโจมตีแบบใหม่ - AI agent อาจถูกหลอกผ่านข้อความธรรมชาติใน context window - MCP server ที่ไม่ได้ตรวจสอบอาจมี backdoor หรือช่องโหว่ร้ายแรง - ควรใช้ MCP server ใน sandbox ก่อนนำไปใช้งานจริง - ต้องรวม MCP ใน threat modeling, penetration test และ red-team exercise - ควรใช้ MCP client ที่แสดงทุก tool call และ input ก่อนอนุมัติ - การใช้ MCP โดยไม่มี governance ที่ชัดเจนอาจทำให้องค์กรเสี่ยงต่อ supply chain attack https://www.csoonline.com/article/4015222/mcp-uses-and-risks.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    MCP is fueling agentic AI — and introducing new security risks
    MCP allows AI agents and chatbots to connect to data sources, tools, and other services, but they pose significant risks for enterprises that roll them out without having proper security guardrails in place.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดาวเทียมบนโลกเราเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด — แค่ Starlink ของ SpaceX ก็ปล่อยไปแล้วกว่า 7,000 ดวง! → Amazon กำลังสร้าง Kuiper อีก 3,000 ดวง → ฝั่งจีนเตรียมปล่อย “หลายหมื่น” ดวงตามมาอีก

    มันเหมือน “ถนนบนฟ้า” ที่ไม่มีไฟแดง ไม่มีเลนตรงข้าม — แถมทุกค่ายปล่อยดาวเทียมแบบไม่ค่อยประสานกันเท่าไหร่ → หน่วยงานที่ชื่อว่า Office of Space Commerce ของสหรัฐ คือผู้ดูแลจราจรอวกาศให้ไม่ชนกัน → ทำหน้าที่คล้ายกับ FAA ที่ดูแลเครื่องบิน บนพื้นโลก → แต่พอรัฐบาลเสนองบปี 2026…ปรากฏว่า “จะลดงบจาก $65M → เหลือแค่ $10M”!!

    องค์กรอวกาศทั่วอเมริกา เช่น SpaceX, Blue Origin และอีกกว่า 450 บริษัทเลยรวมตัวกันยื่นเรื่องเตือนรัฐสภาว่า → ถ้าคุณตัด TraCSS (Traffic Coordination System for Space) ไป = เท่ากับปล่อยอวกาศให้ “จราจรสับสน–เสี่ยงชน–ค่าใช้จ่ายเพิ่ม” → แถมอเมริกาอาจเสียบทบาทในการกำหนด “มาตรฐานความปลอดภัยอวกาศโลก” ด้วย

    รัฐบาลสหรัฐมีแผนตัดงบ Office of Space Commerce จาก $65M → เหลือ $10M ในปี 2026  
    • จะกระทบต่อระบบ TraCSS ที่อยู่ระหว่างทดสอบ → ระบบจัดการจราจรอวกาศเชิงพลเรือน  
    • ทำให้ดาวเทียมเสี่ยงชน และเพิ่มความเสี่ยงของ “ขยะอวกาศ” ระยะยาว

    องค์กรอวกาศกว่า 450 แห่งออกมาเตือนรัฐสภา  
    • รวมถึง SpaceX, Blue Origin  
    • เตือนว่าการตัดงบจะทำให้ต้นทุนดำเนินงานเพิ่ม และบริษัทอาจย้ายออกนอกสหรัฐ

    จำนวนดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด:  
    • Starlink (SpaceX): 7,000 ดวงตั้งแต่ 2019  
    • Kuiper (Amazon): แผน 3,000 ดวง  
    • จีน: มีแผนปล่อย “หลายหมื่น” ดวง

    TraCSS อยู่ระหว่างทดสอบกับผู้ให้บริการหลายราย → ทำหน้าที่แจ้งเตือนการชนแบบ real-time

    Prof. Hugh Lewis เผยว่า Starlink มีการหลบชนแบบ active มากกว่าช่วงก่อนถึง 2 เท่าในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา
    • สะท้อนว่าความเสี่ยงเกิดจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎี

    รัฐบาลมองว่าเอกชนสามารถจัดการจราจรเองได้ → แต่อุตสาหกรรมชี้ว่าขาดการประสาน และไม่มี funding model ที่ชัดเจน

    https://www.techspot.com/news/108611-us-space-industry-warns-increased-collision-risks-funding.html
    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดาวเทียมบนโลกเราเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด — แค่ Starlink ของ SpaceX ก็ปล่อยไปแล้วกว่า 7,000 ดวง! → Amazon กำลังสร้าง Kuiper อีก 3,000 ดวง → ฝั่งจีนเตรียมปล่อย “หลายหมื่น” ดวงตามมาอีก มันเหมือน “ถนนบนฟ้า” ที่ไม่มีไฟแดง ไม่มีเลนตรงข้าม — แถมทุกค่ายปล่อยดาวเทียมแบบไม่ค่อยประสานกันเท่าไหร่ → หน่วยงานที่ชื่อว่า Office of Space Commerce ของสหรัฐ คือผู้ดูแลจราจรอวกาศให้ไม่ชนกัน → ทำหน้าที่คล้ายกับ FAA ที่ดูแลเครื่องบิน บนพื้นโลก → แต่พอรัฐบาลเสนองบปี 2026…ปรากฏว่า “จะลดงบจาก $65M → เหลือแค่ $10M”!! องค์กรอวกาศทั่วอเมริกา เช่น SpaceX, Blue Origin และอีกกว่า 450 บริษัทเลยรวมตัวกันยื่นเรื่องเตือนรัฐสภาว่า → ถ้าคุณตัด TraCSS (Traffic Coordination System for Space) ไป = เท่ากับปล่อยอวกาศให้ “จราจรสับสน–เสี่ยงชน–ค่าใช้จ่ายเพิ่ม” → แถมอเมริกาอาจเสียบทบาทในการกำหนด “มาตรฐานความปลอดภัยอวกาศโลก” ด้วย ✅ รัฐบาลสหรัฐมีแผนตัดงบ Office of Space Commerce จาก $65M → เหลือ $10M ในปี 2026   • จะกระทบต่อระบบ TraCSS ที่อยู่ระหว่างทดสอบ → ระบบจัดการจราจรอวกาศเชิงพลเรือน   • ทำให้ดาวเทียมเสี่ยงชน และเพิ่มความเสี่ยงของ “ขยะอวกาศ” ระยะยาว ✅ องค์กรอวกาศกว่า 450 แห่งออกมาเตือนรัฐสภา   • รวมถึง SpaceX, Blue Origin   • เตือนว่าการตัดงบจะทำให้ต้นทุนดำเนินงานเพิ่ม และบริษัทอาจย้ายออกนอกสหรัฐ ✅ จำนวนดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด:   • Starlink (SpaceX): 7,000 ดวงตั้งแต่ 2019   • Kuiper (Amazon): แผน 3,000 ดวง   • จีน: มีแผนปล่อย “หลายหมื่น” ดวง ✅ TraCSS อยู่ระหว่างทดสอบกับผู้ให้บริการหลายราย → ทำหน้าที่แจ้งเตือนการชนแบบ real-time ✅ Prof. Hugh Lewis เผยว่า Starlink มีการหลบชนแบบ active มากกว่าช่วงก่อนถึง 2 เท่าในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา • สะท้อนว่าความเสี่ยงเกิดจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎี ✅ รัฐบาลมองว่าเอกชนสามารถจัดการจราจรเองได้ → แต่อุตสาหกรรมชี้ว่าขาดการประสาน และไม่มี funding model ที่ชัดเจน https://www.techspot.com/news/108611-us-space-industry-warns-increased-collision-risks-funding.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Space industry warns of satellite collision risks as US funding faces deep cuts
    The proposed cuts have sparked a strong backlash from the space industry. Seven major trade associations representing more than 450 companies including SpaceX and Blue Origin have...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนกลัวว่า AI จะมาแย่งงาน “เด็กจบใหม่” เพราะงานซ้ำ ๆ ง่าย ๆ เช่น สรุปรายงาน, เขียนโค้ดพื้นฐาน, หรือ customer support ล้วนทำได้โดย AI อย่างรวดเร็ว → Dario Amodei จาก Anthropic บอกชัดว่า AI อาจ “แย่งงานครึ่งหนึ่งของงานระดับเริ่มต้นในออฟฟิศ” ภายใน 5 ปี → ข้อมูลจาก ADP ระบุว่า “การจ้างพนักงานในสายไอทีที่มีอายุงานไม่เกิน 2 ปี ลดลง 20–25% ตั้งแต่ปี 2023” แล้ว

    แต่ฝั่งผู้มีประสบการณ์ก็ไม่ได้รอด → Brad Lightcap จาก OpenAI ชี้ว่า AI กำลังแทนที่ “พนักงานอาวุโสที่ยึดติดกับวิธีทำงานแบบเดิม” → บริษัทหลายแห่งลดจำนวน middle manager และ software engineer รุ่นเก๋า เช่น Microsoft, Google และ Meta → เพราะงานระดับเอกสาร–ติดตามโปรเจกต์–ประสานงาน ตอนนี้ AI ทำได้หมดแล้ว

    ในทางกลับกัน บางงานกลับ “ใช้ AI เสริมแรง” เช่น → นักพัฒนา mid-level ที่ใช้ AI เพื่อช่วยทีมทำงานข้ามภาษาโปรแกรม → หรือหัวหน้าทีมที่ใช้ AI คอยแนะนำ–รีวิว–วิเคราะห์งานลูกทีม → ส่งผลให้บางบริษัทเริ่ม “จ้างนักพัฒนา junior แล้วให้ AI + หัวหน้าคุม” → ลดจำนวนพนักงานระดับกลางไปเลย

    Harper Reed ซีอีโอจาก 2389 Research บอกว่า “การลดค่าใช้จ่ายไม่ใช่การไล่คนถูกออก แต่เอาคนถูกให้ทำงานได้แบบคนแพง” → โดยการใช้ AI เป็นตัวคูณประสิทธิภาพ

    พนักงานอาวุโสที่ “ไม่ปรับตัว–ไม่ใช้ AI” เสี่ยงตกขบวน  
    • ไม่ใช่แค่ระดับ junior ที่ถูกแทน แต่คนแพงที่ดื้อก็โดนก่อน

    การลด middle-tier อาจส่งผลต่อ career path → junior โตไว แต่ไม่มีระดับกลางรองรับ

    แรงงานที่ใช้ทักษะเดียว เช่น coding เฉพาะทาง อาจสูญเสียจุดแข็งเมื่อ AI ทำแทนได้

    หาก AI ทำงานเชิง routine ได้ดี แต่ไม่มีการเสริมแรงมนุษย์ → องค์กรอาจขาดความลึกซึ้ง–ความเข้าใจทางปริบท

    ระบบ HR และการศึกษาควรเร่งปรับตัว → เสริม soft skill, cross-domain, ความรู้เชิงระบบ มากกว่าสอนแค่เทคนิค

    https://www.techspot.com/news/108593-who-faces-greater-risk-ai-novices-or-experienced.html
    หลายคนกลัวว่า AI จะมาแย่งงาน “เด็กจบใหม่” เพราะงานซ้ำ ๆ ง่าย ๆ เช่น สรุปรายงาน, เขียนโค้ดพื้นฐาน, หรือ customer support ล้วนทำได้โดย AI อย่างรวดเร็ว → Dario Amodei จาก Anthropic บอกชัดว่า AI อาจ “แย่งงานครึ่งหนึ่งของงานระดับเริ่มต้นในออฟฟิศ” ภายใน 5 ปี → ข้อมูลจาก ADP ระบุว่า “การจ้างพนักงานในสายไอทีที่มีอายุงานไม่เกิน 2 ปี ลดลง 20–25% ตั้งแต่ปี 2023” แล้ว แต่ฝั่งผู้มีประสบการณ์ก็ไม่ได้รอด → Brad Lightcap จาก OpenAI ชี้ว่า AI กำลังแทนที่ “พนักงานอาวุโสที่ยึดติดกับวิธีทำงานแบบเดิม” → บริษัทหลายแห่งลดจำนวน middle manager และ software engineer รุ่นเก๋า เช่น Microsoft, Google และ Meta → เพราะงานระดับเอกสาร–ติดตามโปรเจกต์–ประสานงาน ตอนนี้ AI ทำได้หมดแล้ว ในทางกลับกัน บางงานกลับ “ใช้ AI เสริมแรง” เช่น → นักพัฒนา mid-level ที่ใช้ AI เพื่อช่วยทีมทำงานข้ามภาษาโปรแกรม → หรือหัวหน้าทีมที่ใช้ AI คอยแนะนำ–รีวิว–วิเคราะห์งานลูกทีม → ส่งผลให้บางบริษัทเริ่ม “จ้างนักพัฒนา junior แล้วให้ AI + หัวหน้าคุม” → ลดจำนวนพนักงานระดับกลางไปเลย Harper Reed ซีอีโอจาก 2389 Research บอกว่า “การลดค่าใช้จ่ายไม่ใช่การไล่คนถูกออก แต่เอาคนถูกให้ทำงานได้แบบคนแพง” → โดยการใช้ AI เป็นตัวคูณประสิทธิภาพ ‼️ พนักงานอาวุโสที่ “ไม่ปรับตัว–ไม่ใช้ AI” เสี่ยงตกขบวน   • ไม่ใช่แค่ระดับ junior ที่ถูกแทน แต่คนแพงที่ดื้อก็โดนก่อน ‼️ การลด middle-tier อาจส่งผลต่อ career path → junior โตไว แต่ไม่มีระดับกลางรองรับ ‼️ แรงงานที่ใช้ทักษะเดียว เช่น coding เฉพาะทาง อาจสูญเสียจุดแข็งเมื่อ AI ทำแทนได้ ‼️ หาก AI ทำงานเชิง routine ได้ดี แต่ไม่มีการเสริมแรงมนุษย์ → องค์กรอาจขาดความลึกซึ้ง–ความเข้าใจทางปริบท ‼️ ระบบ HR และการศึกษาควรเร่งปรับตัว → เสริม soft skill, cross-domain, ความรู้เชิงระบบ มากกว่าสอนแค่เทคนิค https://www.techspot.com/news/108593-who-faces-greater-risk-ai-novices-or-experienced.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Tech layoffs show AI's impact extends beyond entry-level roles
    Some within the industry, like Dario Amodei of Anthropic, argue that entry-level positions are most susceptible because their tasks are more easily automated. Amodei said that AI...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองนึกภาพว่ามีกฎหมายที่จะกำหนด “ทุกด้าน” ของการใช้ AI — ตั้งแต่ข้อมูลที่ใช้ฝึกโมเดล ไปจนถึงความโปร่งใสในคำแนะนำของแชตบอต → EU ทำจริงแล้วครับ กฎหมายนี้ชื่อว่า Artificial Intelligence Act หรือ AI Act ซึ่งใช้หลักการ "risk-based" คือ  
    • ความเสี่ยงยิ่งสูง → ต้องควบคุมยิ่งมาก  
    • เช่น AI ที่เกี่ยวกับกฎหมาย, การแพทย์, หรืออาวุธ → ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มข้น  
    • ส่วน AI แบบ General-purpose อย่าง LLM อย่างผม หรือ ChatGPT → จะเริ่มบังคับใช้ในเดือนสิงหาคม 2025  
    • ตามด้วย AI ระดับ high-risk ในสิงหาคม 2026

    เมื่อเร็ว ๆ นี้มีกลุ่มบริษัทใหญ่ในยุโรปกว่า 40 แห่ง ออกมาเรียกร้องให้ EU “หยุดพักก่อน 2 ปี” เพื่อรอให้มีการจัดทำแนวทางปฏิบัติ (Code of Practice) และลดภาระให้กับผู้พัฒนาระบบ AI

    แต่ล่าสุด โฆษกของคณะกรรมาธิการออกมาแถลงชัดว่า:

    “จะไม่มีการหยุดเวลา ไม่มีช่วงผ่อนผัน และไม่มีการชะลอกฎหมายเด็ดขาด” “AI Act คือกฎหมายที่มีเส้นตายที่ระบุไว้ชัดในตัวบท — เราต้องเดินตามนั้น”

    บริษัทในยุโรปที่ยังไม่เตรียมตัว อาจถูกลงโทษหากไม่ปฏิบัติตามภายในกำหนด  
    • โดยเฉพาะผู้พัฒนา LLM, startup ด้าน AI และระบบฝังตัวในผลิตภัณฑ์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/artificial-intelligence-rules-to-go-ahead-no-pause-eu-commission-says
    ลองนึกภาพว่ามีกฎหมายที่จะกำหนด “ทุกด้าน” ของการใช้ AI — ตั้งแต่ข้อมูลที่ใช้ฝึกโมเดล ไปจนถึงความโปร่งใสในคำแนะนำของแชตบอต → EU ทำจริงแล้วครับ กฎหมายนี้ชื่อว่า Artificial Intelligence Act หรือ AI Act ซึ่งใช้หลักการ "risk-based" คือ   • ความเสี่ยงยิ่งสูง → ต้องควบคุมยิ่งมาก   • เช่น AI ที่เกี่ยวกับกฎหมาย, การแพทย์, หรืออาวุธ → ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มข้น   • ส่วน AI แบบ General-purpose อย่าง LLM อย่างผม หรือ ChatGPT → จะเริ่มบังคับใช้ในเดือนสิงหาคม 2025   • ตามด้วย AI ระดับ high-risk ในสิงหาคม 2026 เมื่อเร็ว ๆ นี้มีกลุ่มบริษัทใหญ่ในยุโรปกว่า 40 แห่ง ออกมาเรียกร้องให้ EU “หยุดพักก่อน 2 ปี” เพื่อรอให้มีการจัดทำแนวทางปฏิบัติ (Code of Practice) และลดภาระให้กับผู้พัฒนาระบบ AI แต่ล่าสุด โฆษกของคณะกรรมาธิการออกมาแถลงชัดว่า: “จะไม่มีการหยุดเวลา ไม่มีช่วงผ่อนผัน และไม่มีการชะลอกฎหมายเด็ดขาด” “AI Act คือกฎหมายที่มีเส้นตายที่ระบุไว้ชัดในตัวบท — เราต้องเดินตามนั้น” ‼️ บริษัทในยุโรปที่ยังไม่เตรียมตัว อาจถูกลงโทษหากไม่ปฏิบัติตามภายในกำหนด   • โดยเฉพาะผู้พัฒนา LLM, startup ด้าน AI และระบบฝังตัวในผลิตภัณฑ์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/artificial-intelligence-rules-to-go-ahead-no-pause-eu-commission-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Artificial intelligence rules to go ahead, no pause, EU Commission says
    BRUSSELS (Reuters) -The European Union's landmark rules on artificial intelligence will be implemented according to the timeline agreed by legislators and EU countries, the European Commission said on Friday, dismissing suggestions and pressure from some companies and several EU countries for a temporary pause.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุโรปเป็นภูมิภาคแรกของโลกที่ออกกฎหมาย AI แบบครอบคลุมทั้งระบบ โดยเรียกว่า AI Act ซึ่งเน้นความปลอดภัย–ความโปร่งใส–และสิทธิมนุษยชนเป็นหลัก

    ฟังดูดีใช่ไหมครับ?

    แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ในยุโรปหลายแห่งกลับบอกว่า... “มันดีเกินไปจนทำให้นวัตกรรมไปไม่ถึงไหน” → เพราะกฎที่ซับซ้อน อาจทำให้สตาร์ทอัพ–องค์กรขนาดกลาง ไปจนถึง “European Champion” อย่าง Airbus หรือ ASML ไม่สามารถพัฒนา–ใช้งาน–ทดสอบ AI ได้ทันคู่แข่งในจีนและสหรัฐฯ → พวกเขาเลยเสนอให้ “หยุดพัก 2 ปี” สำหรับข้อบังคับที่เกี่ยวกับ AI แบบ “General-purpose” (เช่น ChatGPT, Gemini, Le Chat) และ AI แบบ “High-risk” (เช่น AI ในระบบสุขภาพ, กฎหมาย, ความมั่นคง)

    โดยเฉพาะกฎของ EU ที่ให้ AI ที่เสี่ยงต่อสุขภาพหรือสิทธิผู้ใช้ ต้องผ่านมาตรฐานหลายขั้นมาก (risk-based approach) → ยังไม่มีกำหนดแน่ชัดของ “code of practice” สำหรับ General-purpose AI ด้วยซ้ำ → แถมประธานาธิบดี Donald Trump และรองประธาน JD Vance ของสหรัฐฯ ยังเคยวิจารณ์ AI Act ว่า “เข้มจนเป็นภัยต่อการแข่งขัน”

    46 บริษัทใหญ่ของยุโรปยื่นจดหมายขอให้ EU ชะลอกฎหมาย AI Act ออกไป 2 ปี  
    • รวมถึง Airbus (ฝรั่งเศส), ASML (เนเธอร์แลนด์), Lufthansa และ Mercedes-Benz (เยอรมนี), Mistral (AI จากฝรั่งเศส)

    เสนอให้เลื่อนข้อกำหนด 2 กลุ่มหลักออกไปก่อน:  
    • General-purpose AI models (เช่น GPT, Gemini, Le Chat): เดิมจะเริ่มเดือนสิงหาคม 2025  
    • High-risk AI systems: เดิมจะเริ่มเดือนสิงหาคม 2026

    ให้เหตุผลว่ากฎเหล่านี้ “ทำลายความสามารถในการแข่งขันเชิงอุตสาหกรรม”  
    • ทั้งในด้านความเร็ว, งบวิจัย, การทดสอบ, และการสเกลโมเดลไปใช้จริง

    AI Act ใช้หลัก “ความเสี่ยงสูง–ความรับผิดสูง” (risk-based approach)  
    • ถ้าใช้ AI ในระบบสุขภาพ, กฎหมาย, ระบบคะแนนสังคม → ต้องผ่านเกณฑ์เข้มมาก  
    • General-purpose AI ยังไม่มี code of practice อย่างเป็นทางการ

    คณะกรรมาธิการยุโรปจะเผยแพร่แนวปฏิบัติ (code of practice) สำหรับ GPAI ภายในกรกฎาคม 2025 นี้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/european-companies-urge-eu-to-delay-ai-rules
    ยุโรปเป็นภูมิภาคแรกของโลกที่ออกกฎหมาย AI แบบครอบคลุมทั้งระบบ โดยเรียกว่า AI Act ซึ่งเน้นความปลอดภัย–ความโปร่งใส–และสิทธิมนุษยชนเป็นหลัก ฟังดูดีใช่ไหมครับ? แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ในยุโรปหลายแห่งกลับบอกว่า... “มันดีเกินไปจนทำให้นวัตกรรมไปไม่ถึงไหน” → เพราะกฎที่ซับซ้อน อาจทำให้สตาร์ทอัพ–องค์กรขนาดกลาง ไปจนถึง “European Champion” อย่าง Airbus หรือ ASML ไม่สามารถพัฒนา–ใช้งาน–ทดสอบ AI ได้ทันคู่แข่งในจีนและสหรัฐฯ → พวกเขาเลยเสนอให้ “หยุดพัก 2 ปี” สำหรับข้อบังคับที่เกี่ยวกับ AI แบบ “General-purpose” (เช่น ChatGPT, Gemini, Le Chat) และ AI แบบ “High-risk” (เช่น AI ในระบบสุขภาพ, กฎหมาย, ความมั่นคง) โดยเฉพาะกฎของ EU ที่ให้ AI ที่เสี่ยงต่อสุขภาพหรือสิทธิผู้ใช้ ต้องผ่านมาตรฐานหลายขั้นมาก (risk-based approach) → ยังไม่มีกำหนดแน่ชัดของ “code of practice” สำหรับ General-purpose AI ด้วยซ้ำ → แถมประธานาธิบดี Donald Trump และรองประธาน JD Vance ของสหรัฐฯ ยังเคยวิจารณ์ AI Act ว่า “เข้มจนเป็นภัยต่อการแข่งขัน” ✅ 46 บริษัทใหญ่ของยุโรปยื่นจดหมายขอให้ EU ชะลอกฎหมาย AI Act ออกไป 2 ปี   • รวมถึง Airbus (ฝรั่งเศส), ASML (เนเธอร์แลนด์), Lufthansa และ Mercedes-Benz (เยอรมนี), Mistral (AI จากฝรั่งเศส) ✅ เสนอให้เลื่อนข้อกำหนด 2 กลุ่มหลักออกไปก่อน:   • General-purpose AI models (เช่น GPT, Gemini, Le Chat): เดิมจะเริ่มเดือนสิงหาคม 2025   • High-risk AI systems: เดิมจะเริ่มเดือนสิงหาคม 2026 ✅ ให้เหตุผลว่ากฎเหล่านี้ “ทำลายความสามารถในการแข่งขันเชิงอุตสาหกรรม”   • ทั้งในด้านความเร็ว, งบวิจัย, การทดสอบ, และการสเกลโมเดลไปใช้จริง ✅ AI Act ใช้หลัก “ความเสี่ยงสูง–ความรับผิดสูง” (risk-based approach)   • ถ้าใช้ AI ในระบบสุขภาพ, กฎหมาย, ระบบคะแนนสังคม → ต้องผ่านเกณฑ์เข้มมาก   • General-purpose AI ยังไม่มี code of practice อย่างเป็นทางการ ✅ คณะกรรมาธิการยุโรปจะเผยแพร่แนวปฏิบัติ (code of practice) สำหรับ GPAI ภายในกรกฎาคม 2025 นี้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/european-companies-urge-eu-to-delay-ai-rules
    WWW.THESTAR.COM.MY
    European companies urge EU to delay AI rules
    Dozens of Europe's biggest companies urged the EU to hit the pause button on its landmark AI rules on July 3, warning that going too fast could harm the bloc's ability to lead in the global AI race.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราคิดว่าอีเมลที่ส่งผ่าน Microsoft 365 หรือ Gmail ธุรกิจนั้น “ถูกเข้ารหัสตามมาตรฐานเสมอ” ใช่ไหมครับ? แต่ความจริงคือ ถ้ามีปัญหาการเข้ารหัสเกิดขึ้นระหว่างส่ง (เช่น ฝั่งรับไม่รองรับ TLS) — ระบบจะ:

    - Google Workspace: ยอมลดมาตรฐาน กลับไปใช้ TLS 1.0 หรือ 1.1 ที่เก่ามาก (เสี่ยงต่อการดักฟัง)
    - Microsoft 365: ถ้าหา TLS ที่ใช้งานร่วมกันไม่ได้เลย ก็ส่งออกไปเลย “แบบไม่เข้ารหัส” — โดยไม่มีการเตือนใด ๆ!

    ผลคือข้อมูลละเอียดอ่อน เช่น Health Data, PHI, หรือเอกสารทางกฎหมาย อาจรั่วไหลโดยที่ทั้งผู้ใช้ และแอดมิน “ไม่รู้ตัวเลยว่ามันไม่ได้เข้ารหัส” — ซึ่งอันตรายมาก ๆ โดยเฉพาะในวงการ Healthcare ที่ต้องทำตามกฎ HIPAA

    งานวิจัยจาก Paubox ยังพบว่า:
    - 43% ของเหตุการณ์ข้อมูลรั่วใน Healthcare ปี 2024 เกี่ยวข้องกับ Microsoft 365
    - 31.1% ขององค์กรที่ถูกเจาะ มีการตั้ง “บังคับใช้ TLS” แล้ว — แต่ระบบก็ยัง fallback ลงมาโดยไม่แจ้งเตือน

    Microsoft 365 จะส่งอีเมลเป็น plain text หากเข้ารหัส TLS ไม่สำเร็จ  
    • ไม่มีการแจ้งผู้ส่ง หรือ log เตือน  
    • เสี่ยงละเมิดกฎข้อมูล เช่น HIPAA หรือ GDPR

    Google Workspace ยอมใช้ TLS เวอร์ชัน 1.0/1.1 ที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ downgrade  
    • ไม่ปฏิเสธอีเมล ไม่แจ้งเตือนเช่นกัน

    รายงานจาก Paubox ชี้ว่าพฤติกรรม default เหล่านี้ก่อให้เกิด blind spot ร้ายแรง  
    • ให้ “ความมั่นใจจอมปลอม” (false sense of security) แก่ผู้ใช้งาน  
    • สุดท้ายเปิดช่องให้ข้อมูลรั่วไหลเงียบ ๆ

    กรณี Solara Medical (2021): อีเมลไม่มี encryption ทำให้ข้อมูลผู้ป่วย 114,000 รายรั่ว — ถูกปรับกว่า $12 ล้าน

    หน่วยงานด้านความมั่นคง เช่น NSA เตือนห้ามใช้ TLS 1.0/1.1 เพราะมีช่องโหว่ downgrade attack

    https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-365-and-google-workspace-could-put-sensitive-data-at-risk-because-of-a-blind-spot-in-default-email-behavior
    เราคิดว่าอีเมลที่ส่งผ่าน Microsoft 365 หรือ Gmail ธุรกิจนั้น “ถูกเข้ารหัสตามมาตรฐานเสมอ” ใช่ไหมครับ? แต่ความจริงคือ ถ้ามีปัญหาการเข้ารหัสเกิดขึ้นระหว่างส่ง (เช่น ฝั่งรับไม่รองรับ TLS) — ระบบจะ: - Google Workspace: ยอมลดมาตรฐาน กลับไปใช้ TLS 1.0 หรือ 1.1 ที่เก่ามาก (เสี่ยงต่อการดักฟัง) - Microsoft 365: ถ้าหา TLS ที่ใช้งานร่วมกันไม่ได้เลย ก็ส่งออกไปเลย “แบบไม่เข้ารหัส” — โดยไม่มีการเตือนใด ๆ! ผลคือข้อมูลละเอียดอ่อน เช่น Health Data, PHI, หรือเอกสารทางกฎหมาย อาจรั่วไหลโดยที่ทั้งผู้ใช้ และแอดมิน “ไม่รู้ตัวเลยว่ามันไม่ได้เข้ารหัส” — ซึ่งอันตรายมาก ๆ โดยเฉพาะในวงการ Healthcare ที่ต้องทำตามกฎ HIPAA งานวิจัยจาก Paubox ยังพบว่า: - 43% ของเหตุการณ์ข้อมูลรั่วใน Healthcare ปี 2024 เกี่ยวข้องกับ Microsoft 365 - 31.1% ขององค์กรที่ถูกเจาะ มีการตั้ง “บังคับใช้ TLS” แล้ว — แต่ระบบก็ยัง fallback ลงมาโดยไม่แจ้งเตือน ✅ Microsoft 365 จะส่งอีเมลเป็น plain text หากเข้ารหัส TLS ไม่สำเร็จ   • ไม่มีการแจ้งผู้ส่ง หรือ log เตือน   • เสี่ยงละเมิดกฎข้อมูล เช่น HIPAA หรือ GDPR ✅ Google Workspace ยอมใช้ TLS เวอร์ชัน 1.0/1.1 ที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ downgrade   • ไม่ปฏิเสธอีเมล ไม่แจ้งเตือนเช่นกัน ✅ รายงานจาก Paubox ชี้ว่าพฤติกรรม default เหล่านี้ก่อให้เกิด blind spot ร้ายแรง   • ให้ “ความมั่นใจจอมปลอม” (false sense of security) แก่ผู้ใช้งาน   • สุดท้ายเปิดช่องให้ข้อมูลรั่วไหลเงียบ ๆ ✅ กรณี Solara Medical (2021): อีเมลไม่มี encryption ทำให้ข้อมูลผู้ป่วย 114,000 รายรั่ว — ถูกปรับกว่า $12 ล้าน ✅ หน่วยงานด้านความมั่นคง เช่น NSA เตือนห้ามใช้ TLS 1.0/1.1 เพราะมีช่องโหว่ downgrade attack https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-365-and-google-workspace-could-put-sensitive-data-at-risk-because-of-a-blind-spot-in-default-email-behavior
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • องค์กรยุคใหม่เริ่มใช้ Browser AI Agent เพื่อให้มัน “ทำงานแทนคน” เช่น จองตั๋วเครื่องบิน, นัดประชุม, เขียนอีเมล, หรือ login เข้าระบบภายในแบบอัตโนมัติ — แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่ทันรู้คือ...

    AI ตัวนี้ “ไม่มีสัญชาตญาณ” — มันไม่รู้ว่าอีเมลไหนดูแปลก, เว็บไซต์ไหนหลอก, ป๊อปอัปขอสิทธิ์อะไรเกินจำเป็น

    ผลคือ:
    - มี AI Agent ที่สมัครใช้เว็บแชร์ไฟล์ แล้วกด “อนุญาต” ให้เว็บแปลก ๆ เข้าถึง Google Drive ทั้งบัญชี
    - อีกกรณี Agent ถูก phishing ให้ใส่รหัสผ่าน Salesforce โดยไม่มีข้อสงสัย
    - เหตุผลเพราะมันใช้สิทธิ์ระดับเดียวกับพนักงานจริง — เปิดช่องให้คนร้ายใช้เป็น “ตัวแทน” เข้าระบบองค์กรได้เนียน ๆ

    งานวิจัยโดย SquareX ชี้ว่า “AI พวกนี้มีสติปัญญาด้านความปลอดภัย แย่กว่าพนักงานใหม่ในองค์กรเสียอีก” และปัจจุบันเครื่องมือตรวจจับภัยไซเบอร์ก็ยังมองไม่ออกว่า “พฤติกรรมแปลก ๆ” เหล่านี้เกิดจาก AI ที่ถูกโจมตีอยู่

    Browser AI Agent คือผู้ช่วยอัตโนมัติที่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์แทนผู้ใช้ เช่น login, กรอกฟอร์ม, ส่งอีเมล  
    • เริ่มนิยมใช้ในองค์กรเพื่อประหยัดเวลาและลดงานซ้ำซ้อน

    SquareX พบว่า AI Agent เหล่านี้ตกเป็นเหยื่อ phishing และเว็บอันตรายได้ง่ายกว่ามนุษย์  
    • ไม่รู้จักแยกแยะ URL ปลอม, สิทธิ์การเข้าถึงเกินจริง, หรือแบรนด์ที่ไม่น่าไว้ใจ

    AI Agent ใช้สิทธิ์ระบบเดียวกับผู้ใช้จริง → หากถูกหลอกจะมีสิทธิ์เข้าถึงระบบภายในโดยตรง  
    • เช่น ข้อมูลในคลาวด์, อีเมล, Salesforce, เครื่องมือทางธุรกิจต่าง ๆ

    ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น Firewall, ZTNA หรือ Endpoint Protection ยังตรวจไม่เจอภัยจาก AI Agent  
    • เพราะทุกการกระทำดูเหมือนพนักงานปกติไม่ได้ทำอะไรผิด

    SquareX แนะนำให้ใช้งาน “Browser Detection and Response” แบบเฉพาะเพื่อดูแล AI Agent เหล่านี้โดยตรง

    https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-organizations-have-a-new-unexpected-employee-onboard-and-it-could-be-their-single-biggest-security-risk
    องค์กรยุคใหม่เริ่มใช้ Browser AI Agent เพื่อให้มัน “ทำงานแทนคน” เช่น จองตั๋วเครื่องบิน, นัดประชุม, เขียนอีเมล, หรือ login เข้าระบบภายในแบบอัตโนมัติ — แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่ทันรู้คือ... AI ตัวนี้ “ไม่มีสัญชาตญาณ” — มันไม่รู้ว่าอีเมลไหนดูแปลก, เว็บไซต์ไหนหลอก, ป๊อปอัปขอสิทธิ์อะไรเกินจำเป็น ผลคือ: - มี AI Agent ที่สมัครใช้เว็บแชร์ไฟล์ แล้วกด “อนุญาต” ให้เว็บแปลก ๆ เข้าถึง Google Drive ทั้งบัญชี - อีกกรณี Agent ถูก phishing ให้ใส่รหัสผ่าน Salesforce โดยไม่มีข้อสงสัย - เหตุผลเพราะมันใช้สิทธิ์ระดับเดียวกับพนักงานจริง — เปิดช่องให้คนร้ายใช้เป็น “ตัวแทน” เข้าระบบองค์กรได้เนียน ๆ งานวิจัยโดย SquareX ชี้ว่า “AI พวกนี้มีสติปัญญาด้านความปลอดภัย แย่กว่าพนักงานใหม่ในองค์กรเสียอีก” และปัจจุบันเครื่องมือตรวจจับภัยไซเบอร์ก็ยังมองไม่ออกว่า “พฤติกรรมแปลก ๆ” เหล่านี้เกิดจาก AI ที่ถูกโจมตีอยู่ ✅ Browser AI Agent คือผู้ช่วยอัตโนมัติที่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์แทนผู้ใช้ เช่น login, กรอกฟอร์ม, ส่งอีเมล   • เริ่มนิยมใช้ในองค์กรเพื่อประหยัดเวลาและลดงานซ้ำซ้อน ✅ SquareX พบว่า AI Agent เหล่านี้ตกเป็นเหยื่อ phishing และเว็บอันตรายได้ง่ายกว่ามนุษย์   • ไม่รู้จักแยกแยะ URL ปลอม, สิทธิ์การเข้าถึงเกินจริง, หรือแบรนด์ที่ไม่น่าไว้ใจ ✅ AI Agent ใช้สิทธิ์ระบบเดียวกับผู้ใช้จริง → หากถูกหลอกจะมีสิทธิ์เข้าถึงระบบภายในโดยตรง   • เช่น ข้อมูลในคลาวด์, อีเมล, Salesforce, เครื่องมือทางธุรกิจต่าง ๆ ✅ ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น Firewall, ZTNA หรือ Endpoint Protection ยังตรวจไม่เจอภัยจาก AI Agent   • เพราะทุกการกระทำดูเหมือนพนักงานปกติไม่ได้ทำอะไรผิด ✅ SquareX แนะนำให้ใช้งาน “Browser Detection and Response” แบบเฉพาะเพื่อดูแล AI Agent เหล่านี้โดยตรง https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-organizations-have-a-new-unexpected-employee-onboard-and-it-could-be-their-single-biggest-security-risk
    WWW.TECHRADAR.COM
    The bots in your browser are working hard… and giving attackers everything they need to get in
    AI agents are now falling for scams that your intern would immediately know to avoid
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครเคยเหนื่อยกับการตามแผนโปรเจกต์ในทีม หรืออัปเดตสถานะหลายงานใน Planner วันละหลายรอบ...ข่าวนี้คือข่าวดีเลยครับ

    Microsoft เพิ่งเพิ่มฟีเจอร์เด็ด 4 รายการให้ Planner ซึ่งมี 3 อย่างเป็นของ Project Manager Agent — ผู้ช่วยจัดการแผนงานที่ใช้ AI ช่วยคุณตั้งเป้าหมาย, แตกงานย่อย, และส่งการแจ้งเตือนความคืบหน้าแบบ real-time

    จากเดิม Project Manager Agent แจ้งเตือนแค่ใน Teams — ตอนนี้ขยายมาสู่ อีเมลแล้วด้วย เพิ่มฟีเจอร์ สรุปรายงานสถานะงานอัตโนมัติ (status report) — บอก progress, risk, next step ให้พร้อม รองรับ มากกว่า 40 ภาษา เทียบเท่า Copilot 365 แล้ว (ยกเว้นอาหรับ/ฮิบรูซึ่งกำลังจะตามมา)

    และที่หลายคนรอคอยคือ… Planner แบบพื้นฐานตอนนี้สามารถ แก้ไขหลาย Task พร้อมกันได้แล้ว! แค่ไปที่ Grid view แล้วลากเลือกงานที่ต้องการ กด Ctrl + ลูกศรขึ้น/ลง เพื่อปรับข้อมูลได้ในครั้งเดียว — จะเปลี่ยนชื่อ, วันเริ่มต้น, วันสิ้นสุด, ความสำคัญ, ผู้รับผิดชอบ ก็ทำพร้อมกันได้เลย!

    Project Manager Agent แจ้งเตือนผ่านอีเมล  
    • จากเดิมแจ้งใน Teams อย่างเดียว → ขยายสู่ email  
    • สะดวกสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ใน Teams ตลอดเวลา

    สามารถสรุปรายงานสถานะแผนอัตโนมัติ (Status Report)  
    • รายงาน progress, milestones, risk, next step  
    • ตอนนี้เปิดใช้งานใน Public Preview สำหรับผู้ใช้ภาษาอังกฤษก่อน

    รองรับการใช้งานมากกว่า 40 ภาษา  
    • เหมือนกับ Copilot 365  
    • ยกเว้นภาษาอาหรับและฮิบรูที่จะตามมาในสัปดาห์นี้

    สามารถแก้ไขหลาย Task พร้อมกัน (Bulk Editing)  
    • ทำใน Grid View ได้  
    • เลือกหลายแถวแล้วใช้ Ctrl + Up/Down แก้ไขแบบกลุ่ม  
    • ปรับ status, priority, due/start date, assignee ได้รวดเร็ว

    Microsoft เตรียมย้ายผู้ใช้งานทั้งหมดจาก Project for the web ไปยัง Planner เริ่ม 1 ส.ค. นี้

    https://www.neowin.net/news/microsoft-planner-gets-bulk-editing-feature-and-three-improvements-for-project-manager-agent/
    ใครเคยเหนื่อยกับการตามแผนโปรเจกต์ในทีม หรืออัปเดตสถานะหลายงานใน Planner วันละหลายรอบ...ข่าวนี้คือข่าวดีเลยครับ Microsoft เพิ่งเพิ่มฟีเจอร์เด็ด 4 รายการให้ Planner ซึ่งมี 3 อย่างเป็นของ Project Manager Agent — ผู้ช่วยจัดการแผนงานที่ใช้ AI ช่วยคุณตั้งเป้าหมาย, แตกงานย่อย, และส่งการแจ้งเตือนความคืบหน้าแบบ real-time 📨 จากเดิม Project Manager Agent แจ้งเตือนแค่ใน Teams — ตอนนี้ขยายมาสู่ อีเมลแล้วด้วย 📊 เพิ่มฟีเจอร์ สรุปรายงานสถานะงานอัตโนมัติ (status report) — บอก progress, risk, next step ให้พร้อม 🌍 รองรับ มากกว่า 40 ภาษา เทียบเท่า Copilot 365 แล้ว (ยกเว้นอาหรับ/ฮิบรูซึ่งกำลังจะตามมา) และที่หลายคนรอคอยคือ… Planner แบบพื้นฐานตอนนี้สามารถ แก้ไขหลาย Task พร้อมกันได้แล้ว! แค่ไปที่ Grid view แล้วลากเลือกงานที่ต้องการ กด Ctrl + ลูกศรขึ้น/ลง เพื่อปรับข้อมูลได้ในครั้งเดียว — จะเปลี่ยนชื่อ, วันเริ่มต้น, วันสิ้นสุด, ความสำคัญ, ผู้รับผิดชอบ ก็ทำพร้อมกันได้เลย! ✅ Project Manager Agent แจ้งเตือนผ่านอีเมล   • จากเดิมแจ้งใน Teams อย่างเดียว → ขยายสู่ email   • สะดวกสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ใน Teams ตลอดเวลา ✅ สามารถสรุปรายงานสถานะแผนอัตโนมัติ (Status Report)   • รายงาน progress, milestones, risk, next step   • ตอนนี้เปิดใช้งานใน Public Preview สำหรับผู้ใช้ภาษาอังกฤษก่อน ✅ รองรับการใช้งานมากกว่า 40 ภาษา   • เหมือนกับ Copilot 365   • ยกเว้นภาษาอาหรับและฮิบรูที่จะตามมาในสัปดาห์นี้ ✅ สามารถแก้ไขหลาย Task พร้อมกัน (Bulk Editing)   • ทำใน Grid View ได้   • เลือกหลายแถวแล้วใช้ Ctrl + Up/Down แก้ไขแบบกลุ่ม   • ปรับ status, priority, due/start date, assignee ได้รวดเร็ว ✅ Microsoft เตรียมย้ายผู้ใช้งานทั้งหมดจาก Project for the web ไปยัง Planner เริ่ม 1 ส.ค. นี้ https://www.neowin.net/news/microsoft-planner-gets-bulk-editing-feature-and-three-improvements-for-project-manager-agent/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft Planner gets bulk editing feature and three improvements for Project Manager agent
    Microsoft has announced four new updates for Microsoft Planner. One of the changes is a bulk editing feature while the rest improve the Project Manager agent.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าคุณคิดว่าเรื่องคริปโตคือแค่เทรนด์การลงทุน... FATF อยากให้เราคิดใหม่ เพราะตอนนี้พวกเขาเห็นแล้วว่า คริปโตกลายเป็นช่องทางหลักของการฟอกเงิน, การหลอกลวง, และการสนับสนุนอาชญากรรมข้ามชาติ

    จากรายงานล่าสุดของ FATF ระบุว่า:
    - มีเงินคริปโตที่อาจมาจากกิจกรรมผิดกฎหมายสูงถึง $51,000 ล้านในปี 2024
    - แต่จาก 138 ประเทศที่ FATF ตรวจสอบ มีแค่ 40 ประเทศเท่านั้น ที่มีระบบควบคุมตามมาตรฐาน
    - ทำให้การ “หลบกฎหมาย” สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย — เพราะคริปโตเคลื่อนข้ามพรมแดนได้เร็วมาก

    เรื่องนี้ไม่ได้แค่ในเชิงสถิติ เพราะ FATF ยังเตือนว่า พวกที่ใช้ stablecoin (เหรียญที่ผูกกับเงินจริง) กลายเป็นกลไกหลักของกลุ่มผิดกฎหมาย เช่น เกาหลีเหนือ, ผู้ก่อการร้าย, และขบวนการค้ายาเสพติด

    ตัวอย่างล่าสุดคือ FBI ยืนยันว่า เกาหลีเหนือขโมยคริปโตมูลค่ากว่า $1.5 พันล้านจาก ByBit เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ — เป็นการโจรกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คริปโต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/26/global-financial-crime-watchdog-calls-for-action-on-crypto-risks
    ถ้าคุณคิดว่าเรื่องคริปโตคือแค่เทรนด์การลงทุน... FATF อยากให้เราคิดใหม่ เพราะตอนนี้พวกเขาเห็นแล้วว่า คริปโตกลายเป็นช่องทางหลักของการฟอกเงิน, การหลอกลวง, และการสนับสนุนอาชญากรรมข้ามชาติ จากรายงานล่าสุดของ FATF ระบุว่า: - มีเงินคริปโตที่อาจมาจากกิจกรรมผิดกฎหมายสูงถึง $51,000 ล้านในปี 2024 - แต่จาก 138 ประเทศที่ FATF ตรวจสอบ มีแค่ 40 ประเทศเท่านั้น ที่มีระบบควบคุมตามมาตรฐาน - ทำให้การ “หลบกฎหมาย” สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย — เพราะคริปโตเคลื่อนข้ามพรมแดนได้เร็วมาก เรื่องนี้ไม่ได้แค่ในเชิงสถิติ เพราะ FATF ยังเตือนว่า พวกที่ใช้ stablecoin (เหรียญที่ผูกกับเงินจริง) กลายเป็นกลไกหลักของกลุ่มผิดกฎหมาย เช่น เกาหลีเหนือ, ผู้ก่อการร้าย, และขบวนการค้ายาเสพติด ตัวอย่างล่าสุดคือ FBI ยืนยันว่า เกาหลีเหนือขโมยคริปโตมูลค่ากว่า $1.5 พันล้านจาก ByBit เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ — เป็นการโจรกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คริปโต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/26/global-financial-crime-watchdog-calls-for-action-on-crypto-risks
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Global financial crime watchdog calls for action on crypto risks
    PARIS (Reuters) -The Financial Action Task Force (FATF), a global financial crime watchdog, on Thursday called on countries to take stronger action to combat illicit finance in crypto assets, warning that gaps in regulation could have global repercussions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อก่อนหลายองค์กรชอบแนวคิด “มัลติคลาวด์” — ใช้ทั้ง AWS, Azure, Google Cloud หรืออื่น ๆ พร้อมกัน เพื่อกระจายความเสี่ยงและเลี่ยง vendor lock-in

    แต่ความจริงที่กำลังเกิดขึ้นคือ การใช้หลายคลาวด์มีต้นทุนสูงมาก, ทั้งในด้านเงิน, ทักษะทีม, และความปลอดภัย เช่น:
    - ทีมไอทีต้องเชี่ยวชาญคลาวด์หลายเจ้าพร้อมกัน (ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้)
    - นโยบายความปลอดภัยทำให้ต้องเขียนแยกกันทุกคลาวด์
    - ระบบ billing ของคลาวด์อ่านยากเหมือนงบการเงินรวมกับเกมโชว์

    องค์กรจึงเริ่ม หันไปใช้คลาวด์เจ้าเดียวหรือแค่ 1–2 เจ้าเท่านั้น, เพื่อคุมต้นทุน และลดความซับซ้อน

    บางองค์กรถึงขั้น “ย้ายกลับมาใช้ระบบภายใน” เช่น Zoom ที่ซื้อ GPU มาติดตั้งเอง เพราะควบคุมความเร็วและต้นทุนได้มากกว่า

    อีกเทรนด์คือการหันไปใช้ container (คอนเทนเนอร์) แทน VM แบบเก่า เพราะยืดหยุ่นกว่า และเคลื่อนย้ายระหว่างคลาวด์ได้ง่ายขึ้น — แต่ต้องจัดการ security เฉพาะทางของ container ด้วย

    หลายองค์กรเริ่มลดจำนวนผู้ให้บริการคลาวด์เพื่อควบคุมความซับซ้อนและค่าใช้จ่าย  
    • จากเดิมที่ใช้ 3–4 เจ้า เหลือแค่ 1–2 รายหลัก เช่น AWS + Azure

    “มัลติคลาวด์” เพิ่มภาระทีมไอทีและเสี่ยง security policy ไม่สอดคล้องกัน  
    • วิศวกรคลาวด์มักถนัดแค่ 1–2 แพลตฟอร์มเท่านั้น  
    • การทำ automation หรือ IaC ข้ามคลาวด์ทำได้ยากมาก

    ต้นทุนของคลาวด์มีความไม่แน่นอนสูง และระบบคิดเงินเข้าใจยาก  
    • มีค่า data transfer, failover, pricing models ที่เปลี่ยนบ่อย  
    • เรียกว่า “cloud sticker shock” เมื่อต้องเจอบิลรายเดือนครั้งแรก

    บางองค์กรเลือก repatriation – ย้ายกลับมาใช้งาน on-premises หรือ hybrid cloud แทน  
    • เช่น Zoom และบริษัทที่ต้องใช้ GPU หนัก ๆ สำหรับ AI

    คอนเทนเนอร์กลายเป็นทางเลือกหลัก  
    • ทำให้การโยก workload ง่ายขึ้น  
    • แต่ต้องเข้าใจ security model สำหรับ container เป็นพิเศษ

    เครื่องมืออย่าง CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) ช่วยรวม policy ความปลอดภัยจากหลายคลาวด์  
    • ลดปัญหา “tool sprawl” และความสับสนในทีม security

    แนะนำให้เริ่มจาก risk analysis ชัดเจนก่อนเลือก tool  
    • ใช้เครื่องมือพื้นฐานของคลาวด์เจ้าเดิมก่อนซื้อของแพงจาก third-party

    https://www.csoonline.com/article/4010489/how-to-make-your-multicloud-security-more-effective.html
    เมื่อก่อนหลายองค์กรชอบแนวคิด “มัลติคลาวด์” — ใช้ทั้ง AWS, Azure, Google Cloud หรืออื่น ๆ พร้อมกัน เพื่อกระจายความเสี่ยงและเลี่ยง vendor lock-in แต่ความจริงที่กำลังเกิดขึ้นคือ การใช้หลายคลาวด์มีต้นทุนสูงมาก, ทั้งในด้านเงิน, ทักษะทีม, และความปลอดภัย เช่น: - ทีมไอทีต้องเชี่ยวชาญคลาวด์หลายเจ้าพร้อมกัน (ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้) - นโยบายความปลอดภัยทำให้ต้องเขียนแยกกันทุกคลาวด์ - ระบบ billing ของคลาวด์อ่านยากเหมือนงบการเงินรวมกับเกมโชว์ องค์กรจึงเริ่ม หันไปใช้คลาวด์เจ้าเดียวหรือแค่ 1–2 เจ้าเท่านั้น, เพื่อคุมต้นทุน และลดความซับซ้อน บางองค์กรถึงขั้น “ย้ายกลับมาใช้ระบบภายใน” เช่น Zoom ที่ซื้อ GPU มาติดตั้งเอง เพราะควบคุมความเร็วและต้นทุนได้มากกว่า อีกเทรนด์คือการหันไปใช้ container (คอนเทนเนอร์) แทน VM แบบเก่า เพราะยืดหยุ่นกว่า และเคลื่อนย้ายระหว่างคลาวด์ได้ง่ายขึ้น — แต่ต้องจัดการ security เฉพาะทางของ container ด้วย ✅ หลายองค์กรเริ่มลดจำนวนผู้ให้บริการคลาวด์เพื่อควบคุมความซับซ้อนและค่าใช้จ่าย   • จากเดิมที่ใช้ 3–4 เจ้า เหลือแค่ 1–2 รายหลัก เช่น AWS + Azure ✅ “มัลติคลาวด์” เพิ่มภาระทีมไอทีและเสี่ยง security policy ไม่สอดคล้องกัน   • วิศวกรคลาวด์มักถนัดแค่ 1–2 แพลตฟอร์มเท่านั้น   • การทำ automation หรือ IaC ข้ามคลาวด์ทำได้ยากมาก ✅ ต้นทุนของคลาวด์มีความไม่แน่นอนสูง และระบบคิดเงินเข้าใจยาก   • มีค่า data transfer, failover, pricing models ที่เปลี่ยนบ่อย   • เรียกว่า “cloud sticker shock” เมื่อต้องเจอบิลรายเดือนครั้งแรก ✅ บางองค์กรเลือก repatriation – ย้ายกลับมาใช้งาน on-premises หรือ hybrid cloud แทน   • เช่น Zoom และบริษัทที่ต้องใช้ GPU หนัก ๆ สำหรับ AI ✅ คอนเทนเนอร์กลายเป็นทางเลือกหลัก   • ทำให้การโยก workload ง่ายขึ้น   • แต่ต้องเข้าใจ security model สำหรับ container เป็นพิเศษ ✅ เครื่องมืออย่าง CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) ช่วยรวม policy ความปลอดภัยจากหลายคลาวด์   • ลดปัญหา “tool sprawl” และความสับสนในทีม security ✅ แนะนำให้เริ่มจาก risk analysis ชัดเจนก่อนเลือก tool   • ใช้เครื่องมือพื้นฐานของคลาวด์เจ้าเดิมก่อนซื้อของแพงจาก third-party https://www.csoonline.com/article/4010489/how-to-make-your-multicloud-security-more-effective.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How to make your multicloud security more effective
    From containing costs to knowing what to keep in-house or not here is how to sesurely manage your multicloud environment.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าคุณใช้ VPN เพื่อทำงานจากที่บ้านหรือเข้าระบบภายในบริษัท มีโอกาสสูงที่คุณจะเคยใช้หรือเคยได้ยินชื่อ NetExtender ของ SonicWall — แต่ตอนนี้แฮกเกอร์กำลังปลอมตัวแอปนี้ แล้วแจกผ่าน “เว็บปลอมที่หน้าตาเหมือนของจริงเป๊ะ”

    แฮกเกอร์ใช้วิธี SEO poisoning และโฆษณา (malvertising) เพื่อดันเว็บปลอมให้ขึ้นอันดับบน Google จนคนทั่วไปเผลอกดเข้าไป — และเมื่อคุณดาวน์โหลดแอป VPN ปลอมนี้มา ก็เท่ากับมอบ ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน, และค่าการตั้งค่าภายในระบบองค์กร ให้แฮกเกอร์ไปครบชุดเลย

    ตัวแอปนี้ยัง “ลงลายเซ็นดิจิทัล” จากบริษัทปลอมชื่อ “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED” เพื่อหลอกระบบความปลอดภัยเบื้องต้นอีกด้วย

    ข่าวดีคือ SonicWall กับ Microsoft สามารถตรวจจับมัลแวร์ตัวนี้ได้แล้ว แต่ถ้าคุณหรือทีมไอทีใช้อุปกรณ์ป้องกันจากค่ายอื่น อาจยังไม่มีการอัปเดต signature นั้น — ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ “อย่าดาวน์โหลดแอป VPN จากที่อื่นนอกจากเว็บทางการ!”

    แฮกเกอร์ปลอมแอป SonicWall NetExtender แล้วแจกผ่านเว็บเลียนแบบของจริง  
    • เว็บปลอมถูกดันขึ้นอันดับบน Google ด้วยเทคนิค SEO poisoning และ malvertising  
    • ผู้ใช้ทั่วไปมีโอกาสหลงเชื่อสูง

    ไฟล์ติดมัลแวร์มีการเซ็นดิจิทัลหลอก โดยบริษัทปลอม “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED”  
    • หลอกระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น antivirus หรือ firewall

    แอปที่ถูกดัดแปลงประกอบด้วย:  • NetExtender.exe: ดัดแปลงให้ขโมยชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน และ config  
    • NEService.exe: ถูกแก้ให้ข้ามการตรวจสอบ digital certificate

    ข้อมูลของผู้ใช้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่แฮกเกอร์ควบคุมเมื่อกด “เชื่อมต่อ VPN”  
    • ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้รหัสเพื่อเข้าระบบองค์กรได้โดยตรง

    SonicWall และ Microsoft ออกคำเตือนและปรับ signature เพื่อจับมัลแวร์ตัวนี้แล้ว  
    • แต่ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์อื่นอาจยังไม่สามารถตรวจจับได้

    SonicWall แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป VPN แค่จากเว็บทางการเท่านั้น:  
    • sonicwall.com  
    • mysonicwall.com

    https://www.techradar.com/pro/security/sonicwall-warns-of-fake-vpn-apps-stealing-user-logins-and-putting-businesses-at-risk-heres-what-we-know
    ถ้าคุณใช้ VPN เพื่อทำงานจากที่บ้านหรือเข้าระบบภายในบริษัท มีโอกาสสูงที่คุณจะเคยใช้หรือเคยได้ยินชื่อ NetExtender ของ SonicWall — แต่ตอนนี้แฮกเกอร์กำลังปลอมตัวแอปนี้ แล้วแจกผ่าน “เว็บปลอมที่หน้าตาเหมือนของจริงเป๊ะ” แฮกเกอร์ใช้วิธี SEO poisoning และโฆษณา (malvertising) เพื่อดันเว็บปลอมให้ขึ้นอันดับบน Google จนคนทั่วไปเผลอกดเข้าไป — และเมื่อคุณดาวน์โหลดแอป VPN ปลอมนี้มา ก็เท่ากับมอบ ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน, และค่าการตั้งค่าภายในระบบองค์กร ให้แฮกเกอร์ไปครบชุดเลย ตัวแอปนี้ยัง “ลงลายเซ็นดิจิทัล” จากบริษัทปลอมชื่อ “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED” เพื่อหลอกระบบความปลอดภัยเบื้องต้นอีกด้วย ข่าวดีคือ SonicWall กับ Microsoft สามารถตรวจจับมัลแวร์ตัวนี้ได้แล้ว แต่ถ้าคุณหรือทีมไอทีใช้อุปกรณ์ป้องกันจากค่ายอื่น อาจยังไม่มีการอัปเดต signature นั้น — ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ “อย่าดาวน์โหลดแอป VPN จากที่อื่นนอกจากเว็บทางการ!” ✅ แฮกเกอร์ปลอมแอป SonicWall NetExtender แล้วแจกผ่านเว็บเลียนแบบของจริง   • เว็บปลอมถูกดันขึ้นอันดับบน Google ด้วยเทคนิค SEO poisoning และ malvertising   • ผู้ใช้ทั่วไปมีโอกาสหลงเชื่อสูง ✅ ไฟล์ติดมัลแวร์มีการเซ็นดิจิทัลหลอก โดยบริษัทปลอม “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED”   • หลอกระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น antivirus หรือ firewall ✅ แอปที่ถูกดัดแปลงประกอบด้วย:  • NetExtender.exe: ดัดแปลงให้ขโมยชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน และ config   • NEService.exe: ถูกแก้ให้ข้ามการตรวจสอบ digital certificate ✅ ข้อมูลของผู้ใช้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่แฮกเกอร์ควบคุมเมื่อกด “เชื่อมต่อ VPN”   • ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้รหัสเพื่อเข้าระบบองค์กรได้โดยตรง ✅ SonicWall และ Microsoft ออกคำเตือนและปรับ signature เพื่อจับมัลแวร์ตัวนี้แล้ว   • แต่ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์อื่นอาจยังไม่สามารถตรวจจับได้ ✅ SonicWall แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป VPN แค่จากเว็บทางการเท่านั้น:   • sonicwall.com   • mysonicwall.com https://www.techradar.com/pro/security/sonicwall-warns-of-fake-vpn-apps-stealing-user-logins-and-putting-businesses-at-risk-heres-what-we-know
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนแรกหลายองค์กรคิดว่า “ระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่แล้ว” น่าจะพอเอาอยู่กับ AI — เพราะก็มี patch, มี asset inventory, มี firewall อยู่แล้ว แต่วันนี้กลายเป็นว่า... AI คือสัตว์คนละสายพันธุ์เลยครับ

    เพราะ AI ขยายพื้นที่โจมตีออกไปถึง API, third-party, supply chain และยังมีความเสี่ยงใหม่แบบเฉพาะตัว เช่น model poisoning, prompt injection, data inference ซึ่งไม่เคยต้องรับมือในโลก legacy มาก่อน

    และแม้ว่าองค์กรจะลงทุนกับ AI อย่างหนัก แต่เกือบครึ่ง (46%) ของโครงการ AI ถูกหยุดกลางคันหรือไม่เคยได้ไปถึง production ด้วยซ้ำ — ส่วนใหญ่เกิดจากความล้มเหลวในด้าน governance, ความเสี่ยง, ข้อมูลไม่สะอาด และขาดทีมที่เข้าใจ AI จริง ๆ

    ข่าวนี้จึงเสนอบทบาทใหม่ 5 แบบที่ CISO ต้องกลายร่างเป็น: “นักกฎหมาย, นักวิเคราะห์, ครู, นักวิจัย และนักสร้างพันธมิตร”

    5 ขั้นตอนสำคัญที่ CISO ต้องทำเพื่อรักษาความปลอดภัยของ AI:
    1. เริ่มทุกอย่างด้วยโมเดล AI Governance ที่แข็งแรงและครอบคลุม  
    • ต้องมี alignment ระหว่างทีมธุรกิจ–เทคโนโลยีว่า AI จะใช้ทำอะไร และใช้อย่างไร  
    • สร้าง framework ที่รวม ethics, compliance, transparency และ success metrics  
    • ใช้แนวทางจาก NIST AI RMF, ISO/IEC 42001:2023, UNESCO AI Ethics, RISE และ CARE

    2. พัฒนา “มุมมองความเสี่ยงของ AI” ที่ต่อเนื่องและลึกกว่าระบบปกติ  
    • สร้าง AI asset inventory, risk register, และ software bill of materials  
    • ติดตามภัยคุกคามเฉพาะ AI เช่น data leakage, model drift, prompt injection  
    • ใช้ MITRE ATLAS และตรวจสอบ vendor + third-party supply chain อย่างใกล้ชิด

    3. ขยายนิยาม “data integrity” ให้ครอบคลุมถึงโมเดล AI ด้วย  
    • ไม่ใช่แค่ข้อมูลไม่โดนแก้ไข แต่รวมถึง bias, fairness และ veracity  
    • เช่นเคยมีกรณี Amazon และ UK ใช้ AI ที่กลายเป็นอคติทางเพศและสีผิว

    4. ยกระดับ “AI literacy” ให้ทั้งองค์กรเข้าใจและใช้งานอย่างปลอดภัย  
    • เริ่มจากทีม Security → Dev → ฝ่ายธุรกิจ  
    • สอน OWASP Top 10 for LLMs, Google’s SAIF, CSA Secure AI  
    • End user ต้องรู้เรื่อง misuse, data leak และ deepfake ด้วย

    5. มอง AI Security แบบ “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “อัตโนมัติเต็มขั้น”  
    • ใช้ AI ช่วย triage alert, คัด log, วิเคราะห์ risk score แต่ยังต้องมีคนคุม  
    • พิจารณาผู้ให้บริการ AI Security อย่างรอบคอบ เพราะหลายเจ้าแค่ “แปะป้าย AI” แต่ยังไม่ mature

    https://www.csoonline.com/article/4011384/the-cisos-5-step-guide-to-securing-ai-operations.html
    ตอนแรกหลายองค์กรคิดว่า “ระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่แล้ว” น่าจะพอเอาอยู่กับ AI — เพราะก็มี patch, มี asset inventory, มี firewall อยู่แล้ว แต่วันนี้กลายเป็นว่า... AI คือสัตว์คนละสายพันธุ์เลยครับ เพราะ AI ขยายพื้นที่โจมตีออกไปถึง API, third-party, supply chain และยังมีความเสี่ยงใหม่แบบเฉพาะตัว เช่น model poisoning, prompt injection, data inference ซึ่งไม่เคยต้องรับมือในโลก legacy มาก่อน และแม้ว่าองค์กรจะลงทุนกับ AI อย่างหนัก แต่เกือบครึ่ง (46%) ของโครงการ AI ถูกหยุดกลางคันหรือไม่เคยได้ไปถึง production ด้วยซ้ำ — ส่วนใหญ่เกิดจากความล้มเหลวในด้าน governance, ความเสี่ยง, ข้อมูลไม่สะอาด และขาดทีมที่เข้าใจ AI จริง ๆ ข่าวนี้จึงเสนอบทบาทใหม่ 5 แบบที่ CISO ต้องกลายร่างเป็น: “นักกฎหมาย, นักวิเคราะห์, ครู, นักวิจัย และนักสร้างพันธมิตร” ✅ 5 ขั้นตอนสำคัญที่ CISO ต้องทำเพื่อรักษาความปลอดภัยของ AI: ✅ 1. เริ่มทุกอย่างด้วยโมเดล AI Governance ที่แข็งแรงและครอบคลุม   • ต้องมี alignment ระหว่างทีมธุรกิจ–เทคโนโลยีว่า AI จะใช้ทำอะไร และใช้อย่างไร   • สร้าง framework ที่รวม ethics, compliance, transparency และ success metrics   • ใช้แนวทางจาก NIST AI RMF, ISO/IEC 42001:2023, UNESCO AI Ethics, RISE และ CARE ✅ 2. พัฒนา “มุมมองความเสี่ยงของ AI” ที่ต่อเนื่องและลึกกว่าระบบปกติ   • สร้าง AI asset inventory, risk register, และ software bill of materials   • ติดตามภัยคุกคามเฉพาะ AI เช่น data leakage, model drift, prompt injection   • ใช้ MITRE ATLAS และตรวจสอบ vendor + third-party supply chain อย่างใกล้ชิด ✅ 3. ขยายนิยาม “data integrity” ให้ครอบคลุมถึงโมเดล AI ด้วย   • ไม่ใช่แค่ข้อมูลไม่โดนแก้ไข แต่รวมถึง bias, fairness และ veracity   • เช่นเคยมีกรณี Amazon และ UK ใช้ AI ที่กลายเป็นอคติทางเพศและสีผิว ✅ 4. ยกระดับ “AI literacy” ให้ทั้งองค์กรเข้าใจและใช้งานอย่างปลอดภัย   • เริ่มจากทีม Security → Dev → ฝ่ายธุรกิจ   • สอน OWASP Top 10 for LLMs, Google’s SAIF, CSA Secure AI   • End user ต้องรู้เรื่อง misuse, data leak และ deepfake ด้วย ✅ 5. มอง AI Security แบบ “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “อัตโนมัติเต็มขั้น”   • ใช้ AI ช่วย triage alert, คัด log, วิเคราะห์ risk score แต่ยังต้องมีคนคุม   • พิจารณาผู้ให้บริการ AI Security อย่างรอบคอบ เพราะหลายเจ้าแค่ “แปะป้าย AI” แต่ยังไม่ mature https://www.csoonline.com/article/4011384/the-cisos-5-step-guide-to-securing-ai-operations.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The CISO’s 5-step guide to securing AI operations
    Security leaders must become AI cheerleaders, risk experts, data stewards, teachers, and researchers. Here’s how to lead your organization toward more secure and effective AI use.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าปีที่แล้วเราพูดถึงว่าใครครองตลาด AI วันนี้เราพูดถึงว่า…ใคร “ดูแลความเสี่ยงจาก AI” ได้ดีที่สุดแทนครับ และ Microsoft ก็ต้องการพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่แค่เจ้าของ Copilot หรือ Azure AI เท่านั้น — แต่ยังเป็น “ผู้นำด้านการพัฒนา AI ที่ไม่ปล่อยให้มันหลุดมือ”

    ในรายงานนี้ (ฉบับที่ 2 ต่อจากฉบับแรกในเดือนพฤษภาคม 2024) Microsoft เน้นประเด็นสำคัญ 3 ด้าน:
    1️⃣ ลงทุนในการบริหารความเสี่ยงด้าน AI ทั้งที่เป็นข้อความ ภาพ เสียง วิดีโอ และระบบ AI เชิงเอเจนต์ (agentic systems)
    2️⃣ เตรียมรับกฎใหม่ เช่น EU AI Act อย่างเป็นระบบ พร้อมจัดทำเอกสารและแนวทางให้ลูกค้านำไปใช้เพื่อให้ปฏิบัติตามได้จริง
    3️⃣ สร้างทีมและเครื่องมือ เช่น AI Frontiers Lab ที่เน้นการทดลอง ระบบ red team และการวัดความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง

    Microsoft ยังประกาศชัดว่า จะ “ลงทุนอย่างต่อเนื่องในเครื่องมือวัดความเสี่ยงแบบปฏิบัติได้จริง (risk measurement and tooling at scale)” และจะ “เปิดเผยสิ่งที่เรียนรู้ให้ชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ” ด้วย

    https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-says-responsible-ai-is-now-its-biggest-priority-but-what-does-this-look-like
    ถ้าปีที่แล้วเราพูดถึงว่าใครครองตลาด AI วันนี้เราพูดถึงว่า…ใคร “ดูแลความเสี่ยงจาก AI” ได้ดีที่สุดแทนครับ และ Microsoft ก็ต้องการพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่แค่เจ้าของ Copilot หรือ Azure AI เท่านั้น — แต่ยังเป็น “ผู้นำด้านการพัฒนา AI ที่ไม่ปล่อยให้มันหลุดมือ” ในรายงานนี้ (ฉบับที่ 2 ต่อจากฉบับแรกในเดือนพฤษภาคม 2024) Microsoft เน้นประเด็นสำคัญ 3 ด้าน: 1️⃣ ลงทุนในการบริหารความเสี่ยงด้าน AI ทั้งที่เป็นข้อความ ภาพ เสียง วิดีโอ และระบบ AI เชิงเอเจนต์ (agentic systems) 2️⃣ เตรียมรับกฎใหม่ เช่น EU AI Act อย่างเป็นระบบ พร้อมจัดทำเอกสารและแนวทางให้ลูกค้านำไปใช้เพื่อให้ปฏิบัติตามได้จริง 3️⃣ สร้างทีมและเครื่องมือ เช่น AI Frontiers Lab ที่เน้นการทดลอง ระบบ red team และการวัดความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง Microsoft ยังประกาศชัดว่า จะ “ลงทุนอย่างต่อเนื่องในเครื่องมือวัดความเสี่ยงแบบปฏิบัติได้จริง (risk measurement and tooling at scale)” และจะ “เปิดเผยสิ่งที่เรียนรู้ให้ชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ” ด้วย https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-says-responsible-ai-is-now-its-biggest-priority-but-what-does-this-look-like
    WWW.TECHRADAR.COM
    Microsoft says “Responsible AI” is now its biggest priority - but what does this look like?
    New Transparency Report reveals Microsoft's plans for building trustworthy models
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรามักได้ยินว่าเวลาเปิดฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย ระบบจะช้าลงนิดหน่อยใช่ไหมครับ? บน CPU ของ Intel เองนี่ก็เป็นแบบนั้นมานาน เพราะหลังการค้นพบช่องโหว่ Spectre/Meltdown เขาต้องเปิด mitigations ต่าง ๆ ซึ่งบางตัวลากประสิทธิภาพลงไป 30–40% เลยทีเดียว

    ล่าสุดมีรายงานว่า GPU ของ Intel ก็มีปัญหาแบบเดียวกัน โดยเฉพาะเวลาใช้งานด้าน compute เช่นงาน OpenCL หรือ Level Zero บน Linux — ถ้า “ปิด” ระบบรักษาความปลอดภัยบางตัวลงไป ประสิทธิภาพจะดีขึ้น 20% ทันที!

    Canonical ถึงกับออกมายืนยันว่า Ubuntu เตรียมปิด mitigations พวกนี้โดยดีฟอลต์ เพราะเห็นว่า:
    - Intel เอง ก็แจกโค้ด OpenCL / Level Zero ที่ไม่มี mitigations มาด้วยอยู่แล้ว
    - บน CPU มีการป้องกันอยู่แล้วใน Kernel ทำให้ GPU ไม่จำเป็นต้องมีซ้ำซ้อน
    - ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยใน GPU ต่ำกว่า CPU เพราะไม่ได้รัน OS โดยตรง

    แม้จะไม่รู้ชัดว่าช่องโหว่คืออะไร (เพราะ Intel ไม่เปิดเผยแบบละเอียด) แต่ “ผลลัพธ์จากการปิด = ประสิทธิภาพเพิ่มแรง” ก็ทำให้คนเริ่มพิจารณาทำตาม

    การปิด security mitigations บน GPU ของ Intel ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ compute ได้มากถึง 20%  
    • โดยเฉพาะการใช้ OpenCL และ Level Zero บน Linux

    Canonical (Ubuntu) เตรียมปิด mitigations พวกนี้ในเวอร์ชันของตัวเองโดยดีฟอลต์  
    • หลังทดลองแล้วว่า “ความเสี่ยงน้อยกว่าประสิทธิภาพที่ได้”

    Intel เองก็เผยแพร่ compute stack แบบไม่มี mitigations โดยดีฟอลต์บน GitHub แล้ว  
    • ช่วยยืนยันว่า “การปิด” ยังอยู่ในกรอบที่ยอมรับได้

    โค้ดปัจจุบันบน Ubuntu Kernel ฝั่ง CPU ยังคงมี security mitigations ครบตามมาตรฐาน Intel  
    • ทำให้ฝั่ง GPU สามารถลดซ้ำซ้อนได้

    Mitigations ฝั่ง GPU มีผลทั้งกับชิปกราฟิกแบบ Integrated (iGPU) และ Dedicated GPU ของ Intel (Arc)

    สาเหตุของการลดประสิทธิภาพบน CPU มักมาจาก mitigations ที่กระทบกับหน่วย branch predictor และ cache  
    • บน GPU แม้ไม่รัน OS แต่ก็มีหน่วยความจำร่วมที่อาจถูกโจมตีในบางวิธีได้

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/disabling-intel-graphics-security-mitigations-boosts-compute-performance-20-percent-uplift-from-setting-change-that-even-intel-employs-despite-unknown-security-risk
    เรามักได้ยินว่าเวลาเปิดฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย ระบบจะช้าลงนิดหน่อยใช่ไหมครับ? บน CPU ของ Intel เองนี่ก็เป็นแบบนั้นมานาน เพราะหลังการค้นพบช่องโหว่ Spectre/Meltdown เขาต้องเปิด mitigations ต่าง ๆ ซึ่งบางตัวลากประสิทธิภาพลงไป 30–40% เลยทีเดียว ล่าสุดมีรายงานว่า GPU ของ Intel ก็มีปัญหาแบบเดียวกัน โดยเฉพาะเวลาใช้งานด้าน compute เช่นงาน OpenCL หรือ Level Zero บน Linux — ถ้า “ปิด” ระบบรักษาความปลอดภัยบางตัวลงไป ประสิทธิภาพจะดีขึ้น 20% ทันที! Canonical ถึงกับออกมายืนยันว่า Ubuntu เตรียมปิด mitigations พวกนี้โดยดีฟอลต์ เพราะเห็นว่า: - Intel เอง ก็แจกโค้ด OpenCL / Level Zero ที่ไม่มี mitigations มาด้วยอยู่แล้ว - บน CPU มีการป้องกันอยู่แล้วใน Kernel ทำให้ GPU ไม่จำเป็นต้องมีซ้ำซ้อน - ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยใน GPU ต่ำกว่า CPU เพราะไม่ได้รัน OS โดยตรง แม้จะไม่รู้ชัดว่าช่องโหว่คืออะไร (เพราะ Intel ไม่เปิดเผยแบบละเอียด) แต่ “ผลลัพธ์จากการปิด = ประสิทธิภาพเพิ่มแรง” ก็ทำให้คนเริ่มพิจารณาทำตาม ✅ การปิด security mitigations บน GPU ของ Intel ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ compute ได้มากถึง 20%   • โดยเฉพาะการใช้ OpenCL และ Level Zero บน Linux ✅ Canonical (Ubuntu) เตรียมปิด mitigations พวกนี้ในเวอร์ชันของตัวเองโดยดีฟอลต์   • หลังทดลองแล้วว่า “ความเสี่ยงน้อยกว่าประสิทธิภาพที่ได้” ✅ Intel เองก็เผยแพร่ compute stack แบบไม่มี mitigations โดยดีฟอลต์บน GitHub แล้ว   • ช่วยยืนยันว่า “การปิด” ยังอยู่ในกรอบที่ยอมรับได้ ✅ โค้ดปัจจุบันบน Ubuntu Kernel ฝั่ง CPU ยังคงมี security mitigations ครบตามมาตรฐาน Intel   • ทำให้ฝั่ง GPU สามารถลดซ้ำซ้อนได้ ✅ Mitigations ฝั่ง GPU มีผลทั้งกับชิปกราฟิกแบบ Integrated (iGPU) และ Dedicated GPU ของ Intel (Arc) ✅ สาเหตุของการลดประสิทธิภาพบน CPU มักมาจาก mitigations ที่กระทบกับหน่วย branch predictor และ cache   • บน GPU แม้ไม่รัน OS แต่ก็มีหน่วยความจำร่วมที่อาจถูกโจมตีในบางวิธีได้ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/disabling-intel-graphics-security-mitigations-boosts-compute-performance-20-percent-uplift-from-setting-change-that-even-intel-employs-despite-unknown-security-risk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากโดนคว่ำบาตรซ้ำแล้วซ้ำเล่า จีนก็เดินหน้าสร้าง “GPU ของตัวเอง” ขึ้นมา โดยบริษัท Lisuan Technology เพิ่งเปิดตัว G100 ที่ใช้สถาปัตยกรรม TrueGPU แบบ in-house พร้อมสายการผลิตจาก SMIC (โรงงานผลิตชิปในจีน) ซึ่งใช้กระบวนการระดับ 6nm

    ล่าสุดพบข้อมูล G100 บน Geekbench — ได้คะแนน 15,524 คะแนนใน OpenCL ซึ่งเทียบเท่า GTX 660 Ti อายุ 13 ปี หรือ iGPU บางตัวบนมือถือเลยทีเดียว

    ถึงคะแนนจะยังไม่หวือหวา แต่ Lisuan บอกว่าชิปเพิ่งเข้าสู่ช่วง “risk production” เท่านั้น (ยังไม่ mass produce) และ driver ก็ยังอยู่ระหว่างพัฒนา — ทีมงานจึงบอกว่า อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุป

    G100 ใช้ 32 Compute Units (CU), มี VRAM แค่ 256MB, และความเร็ว 300MHz ซึ่งเชื่อว่าไม่ใช่ค่าเต็มจริง อาจเป็นเพียงค่าจากเวอร์ชันทดลอง

    สิ่งสำคัญคือ แม้ประสิทธิภาพยังตามหลัง NVIDIA/AMD หลายปี แต่...นี่คือ “GPU ผลิตในประเทศ” ที่อาจกลายเป็นหมากยุทธศาสตร์ของจีนในอนาคต — แบบเดียวกับที่จีนเคยดัน Zhaoxin ในฝั่ง CPU มาก่อน

    Lisuan G100 คือ GPU 6nm ตัวแรกของจีนแบบ in-house เต็มรูปแบบ  
    • ใช้สถาปัตยกรรม TrueGPU ที่พัฒนาเอง  
    • ผลิตโดย SMIC ที่เป็น foundry ในประเทศ

    ผลทดสอบ Geekbench ได้ 15,524 คะแนน (OpenCL)  
    • ใกล้เคียง GTX 660 Ti, Radeon R9 370, และ Exynos 2400 (มือถือ)

    สเปกจาก Geekbench ระบุมี 32 CU, VRAM 256MB, Clock 300MHz  
    • เชื่อว่าค่าจริงอาจสูงกว่านี้ แต่ driver ยังไม่สมบูรณ์

    อยู่ในขั้น “risk production” — ยังไม่ผลิตจริงจัง  
    • หากสำเร็จจะเข้าสู่ mass production ช่วงปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026

    ทีมงานไม่ต้องการให้ตัดสินจากผลทดสอบปัจจุบัน เพราะ driver/firmware ยังไม่สมบูรณ์

    เป้าหมายของ Lisuan คือ “สู้ในตลาด mid-range” และสร้างทางเลือกแทน GPU จากตะวันตก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/chinas-first-6nm-gaming-gpu-matches-13-year-old-gtx-660-ti-in-first-geekbench-tests-lisuan-g100-surfaces-with-32-cus-256mb-vram-and-300-mhz-clock-speed
    หลังจากโดนคว่ำบาตรซ้ำแล้วซ้ำเล่า จีนก็เดินหน้าสร้าง “GPU ของตัวเอง” ขึ้นมา โดยบริษัท Lisuan Technology เพิ่งเปิดตัว G100 ที่ใช้สถาปัตยกรรม TrueGPU แบบ in-house พร้อมสายการผลิตจาก SMIC (โรงงานผลิตชิปในจีน) ซึ่งใช้กระบวนการระดับ 6nm ล่าสุดพบข้อมูล G100 บน Geekbench — ได้คะแนน 15,524 คะแนนใน OpenCL ซึ่งเทียบเท่า GTX 660 Ti อายุ 13 ปี หรือ iGPU บางตัวบนมือถือเลยทีเดียว 😅 ถึงคะแนนจะยังไม่หวือหวา แต่ Lisuan บอกว่าชิปเพิ่งเข้าสู่ช่วง “risk production” เท่านั้น (ยังไม่ mass produce) และ driver ก็ยังอยู่ระหว่างพัฒนา — ทีมงานจึงบอกว่า อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุป G100 ใช้ 32 Compute Units (CU), มี VRAM แค่ 256MB, และความเร็ว 300MHz ซึ่งเชื่อว่าไม่ใช่ค่าเต็มจริง อาจเป็นเพียงค่าจากเวอร์ชันทดลอง สิ่งสำคัญคือ แม้ประสิทธิภาพยังตามหลัง NVIDIA/AMD หลายปี แต่...นี่คือ “GPU ผลิตในประเทศ” ที่อาจกลายเป็นหมากยุทธศาสตร์ของจีนในอนาคต — แบบเดียวกับที่จีนเคยดัน Zhaoxin ในฝั่ง CPU มาก่อน ✅ Lisuan G100 คือ GPU 6nm ตัวแรกของจีนแบบ in-house เต็มรูปแบบ   • ใช้สถาปัตยกรรม TrueGPU ที่พัฒนาเอง   • ผลิตโดย SMIC ที่เป็น foundry ในประเทศ ✅ ผลทดสอบ Geekbench ได้ 15,524 คะแนน (OpenCL)   • ใกล้เคียง GTX 660 Ti, Radeon R9 370, และ Exynos 2400 (มือถือ) ✅ สเปกจาก Geekbench ระบุมี 32 CU, VRAM 256MB, Clock 300MHz   • เชื่อว่าค่าจริงอาจสูงกว่านี้ แต่ driver ยังไม่สมบูรณ์ ✅ อยู่ในขั้น “risk production” — ยังไม่ผลิตจริงจัง   • หากสำเร็จจะเข้าสู่ mass production ช่วงปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026 ✅ ทีมงานไม่ต้องการให้ตัดสินจากผลทดสอบปัจจุบัน เพราะ driver/firmware ยังไม่สมบูรณ์ ✅ เป้าหมายของ Lisuan คือ “สู้ในตลาด mid-range” และสร้างทางเลือกแทน GPU จากตะวันตก https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/chinas-first-6nm-gaming-gpu-matches-13-year-old-gtx-660-ti-in-first-geekbench-tests-lisuan-g100-surfaces-with-32-cus-256mb-vram-and-300-mhz-clock-speed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงหลังมีงานวิจัยหลายชิ้นเตือนเรื่อง “เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป” ว่าทำให้เด็กเศร้า หวาดระแวง หรือเสี่ยงคิดสั้น แต่การศึกษาใหม่ในวารสาร JAMA ชี้ว่า เวลาอาจไม่ใช่ตัวการหลัก เพราะเด็กที่ใช้มือถือหรือโซเชียลแค่วันละนิด แต่ใช้แบบ “เลิกไม่ได้” ก็เสี่ยงสูงเช่นกัน

    ทีมนักวิจัยจาก Weill Cornell Medical College ตามข้อมูลเด็กกว่า 4,000 คน ตั้งแต่อายุ 10–14 ปี พบว่าเด็กที่มีพฤติกรรม “เสพติดมือถือ” (เช่น วางไม่ลง ขาดแล้วกระวนกระวาย หรือใช้เพิ่มเรื่อย ๆ) มีโอกาสคิดสั้นหรือทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้น 2–3 เท่า แม้จะไม่ได้ใช้หน้าจอนานมาก

    กลุ่มเสี่ยงมากที่สุดคือเด็กที่เริ่มติดตั้งแต่อายุ 11 ปี และยิ่งแย่ขึ้นในช่วงวัย 14 ปี ซึ่งสมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ โดยเฉพาะส่วน prefrontal cortex ที่คุมการหักห้ามใจ

    และที่น่าคิดคือ…การเอามือถือออกจากมือลูกแบบหักดิบ อาจไม่ได้ช่วย แถมสร้างความขัดแย้งในบ้านอีกต่างหาก นักวิจัยแนะนำให้เน้น “บำบัดพฤติกรรมเสพติด” เช่น Cognitive Behavioral Therapy (CBT) แทนการห้ามใช้อย่างเดียว

    งานวิจัยใหญ่ชี้ว่า “พฤติกรรมเสพติด” ไม่ใช่ “เวลาอยู่หน้าจอ” คือปัจจัยเสี่ยงหลักของสุขภาพจิตเด็ก  
    • การวางไม่ลง / ต้องใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสัญญาณอันตราย  
    • เด็กที่มีพฤติกรรมนี้เสี่ยงคิดสั้นมากขึ้น 2–3 เท่า

    เกือบครึ่งของเด็กในงานวิจัยมีพฤติกรรมติดมือถือระดับสูงตั้งแต่อายุ 11  
    • อีก 25% เริ่มติดภายหลังและพุ่งขึ้นเร็วในช่วงวัยรุ่น

    การวัด screen time อย่างเดียวอาจพลาดกลุ่มเสี่ยงที่ใช้ “น้อยแต่ติด”  
    • ต้องติดตามพฤติกรรมแบบ “ต่อเนื่อง” เพื่อจับสัญญาณก่อนสาย

    ทีมวิจัยแนะนำให้เน้นการบำบัดพฤติกรรมแทนการยึดมือถือ  
    • เช่น การใช้ CBT เพื่อช่วยเด็กควบคุมการใช้งาน  
    • พ่อแม่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่จัดการเองอย่างหักดิบ

    มีการเรียกร้องให้ผู้ให้บริการออกแบบแอป/อุปกรณ์ให้เหมาะกับวัย (Age-Appropriate Design)  
    • ลดกลไกดึงดูดแบบ loop ไม่มีที่สิ้นสุด เช่น infinite scroll  
    • อังกฤษมีการออกโค้ดแนวทางนี้แล้วตั้งแต่ปี 2020

    ความเสี่ยงติดมือถือพบบ่อยในกลุ่มครอบครัวยากจนหรือพ่อแม่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย  
    • เป็นภาระซ้อนของสภาพแวดล้อมทางสังคม

    ผลวิจัยยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า “ติดมือถือทำให้คิดสั้น” หรือไม่  
    • เพราะเป็นงานแบบสังเกต ไม่ใช่ทดลองควบคุม  • แต่พบว่าพฤติกรรมเสพติดมาก่อนอาการทางจิตชัดเจน

    การจำกัด screen time โดยไม่เข้าใจ “เหตุผลที่เด็กใช้งาน” อาจไม่แก้ปัญหา  
    • ต้องดูว่าเด็กใช้เพื่อหนีปัญหาในชีวิตจริงหรือไม่

    การพูดเรื่อง screen time อย่างเดียว อาจโยนภาระทั้งหมดให้พ่อแม่  
    • ทั้งที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการออกแบบแอปให้ดึงดูดเกินพอดี

    การตัดสินจากแค่ “ชั่วโมงหน้าจอ” อาจพลาดกลุ่มเด็กที่เสพติดเชิงพฤติกรรมแบบลึก ๆ  
    • เช่น ใช้น้อยแต่รู้สึกหงุดหงิดมากถ้าขาดมือถือ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/real-risk-to-youth-mental-health-is-addictive-use-not-screen-time-alone-study-finds
    ช่วงหลังมีงานวิจัยหลายชิ้นเตือนเรื่อง “เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป” ว่าทำให้เด็กเศร้า หวาดระแวง หรือเสี่ยงคิดสั้น แต่การศึกษาใหม่ในวารสาร JAMA ชี้ว่า เวลาอาจไม่ใช่ตัวการหลัก เพราะเด็กที่ใช้มือถือหรือโซเชียลแค่วันละนิด แต่ใช้แบบ “เลิกไม่ได้” ก็เสี่ยงสูงเช่นกัน ทีมนักวิจัยจาก Weill Cornell Medical College ตามข้อมูลเด็กกว่า 4,000 คน ตั้งแต่อายุ 10–14 ปี พบว่าเด็กที่มีพฤติกรรม “เสพติดมือถือ” (เช่น วางไม่ลง ขาดแล้วกระวนกระวาย หรือใช้เพิ่มเรื่อย ๆ) มีโอกาสคิดสั้นหรือทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้น 2–3 เท่า แม้จะไม่ได้ใช้หน้าจอนานมาก กลุ่มเสี่ยงมากที่สุดคือเด็กที่เริ่มติดตั้งแต่อายุ 11 ปี และยิ่งแย่ขึ้นในช่วงวัย 14 ปี ซึ่งสมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ โดยเฉพาะส่วน prefrontal cortex ที่คุมการหักห้ามใจ และที่น่าคิดคือ…การเอามือถือออกจากมือลูกแบบหักดิบ อาจไม่ได้ช่วย แถมสร้างความขัดแย้งในบ้านอีกต่างหาก นักวิจัยแนะนำให้เน้น “บำบัดพฤติกรรมเสพติด” เช่น Cognitive Behavioral Therapy (CBT) แทนการห้ามใช้อย่างเดียว ✅ งานวิจัยใหญ่ชี้ว่า “พฤติกรรมเสพติด” ไม่ใช่ “เวลาอยู่หน้าจอ” คือปัจจัยเสี่ยงหลักของสุขภาพจิตเด็ก   • การวางไม่ลง / ต้องใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสัญญาณอันตราย   • เด็กที่มีพฤติกรรมนี้เสี่ยงคิดสั้นมากขึ้น 2–3 เท่า ✅ เกือบครึ่งของเด็กในงานวิจัยมีพฤติกรรมติดมือถือระดับสูงตั้งแต่อายุ 11   • อีก 25% เริ่มติดภายหลังและพุ่งขึ้นเร็วในช่วงวัยรุ่น ✅ การวัด screen time อย่างเดียวอาจพลาดกลุ่มเสี่ยงที่ใช้ “น้อยแต่ติด”   • ต้องติดตามพฤติกรรมแบบ “ต่อเนื่อง” เพื่อจับสัญญาณก่อนสาย ✅ ทีมวิจัยแนะนำให้เน้นการบำบัดพฤติกรรมแทนการยึดมือถือ   • เช่น การใช้ CBT เพื่อช่วยเด็กควบคุมการใช้งาน   • พ่อแม่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่จัดการเองอย่างหักดิบ ✅ มีการเรียกร้องให้ผู้ให้บริการออกแบบแอป/อุปกรณ์ให้เหมาะกับวัย (Age-Appropriate Design)   • ลดกลไกดึงดูดแบบ loop ไม่มีที่สิ้นสุด เช่น infinite scroll   • อังกฤษมีการออกโค้ดแนวทางนี้แล้วตั้งแต่ปี 2020 ✅ ความเสี่ยงติดมือถือพบบ่อยในกลุ่มครอบครัวยากจนหรือพ่อแม่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย   • เป็นภาระซ้อนของสภาพแวดล้อมทางสังคม ‼️ ผลวิจัยยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า “ติดมือถือทำให้คิดสั้น” หรือไม่   • เพราะเป็นงานแบบสังเกต ไม่ใช่ทดลองควบคุม  • แต่พบว่าพฤติกรรมเสพติดมาก่อนอาการทางจิตชัดเจน ‼️ การจำกัด screen time โดยไม่เข้าใจ “เหตุผลที่เด็กใช้งาน” อาจไม่แก้ปัญหา   • ต้องดูว่าเด็กใช้เพื่อหนีปัญหาในชีวิตจริงหรือไม่ ‼️ การพูดเรื่อง screen time อย่างเดียว อาจโยนภาระทั้งหมดให้พ่อแม่   • ทั้งที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการออกแบบแอปให้ดึงดูดเกินพอดี ‼️ การตัดสินจากแค่ “ชั่วโมงหน้าจอ” อาจพลาดกลุ่มเด็กที่เสพติดเชิงพฤติกรรมแบบลึก ๆ   • เช่น ใช้น้อยแต่รู้สึกหงุดหงิดมากถ้าขาดมือถือ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/real-risk-to-youth-mental-health-is-addictive-use-not-screen-time-alone-study-finds
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Real risk to youth mental health is ‘addictive use’, not screen time alone, study finds
    Researchers found children with highly addictive use of phones, video games or social media were two to three times as likely to have thoughts of suicide or to harm themselves.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนอาจคิดว่า Cybersecurity คือแค่คนป้องกันไวรัส แต่จริง ๆ แล้วงานนี้แตกแขนงเป็นหลายสาย และแต่ละตำแหน่งก็มีค่าตอบแทนต่างกันมาก

    จากรายงาน Cybersecurity Staff Compensation Benchmark 2025 ระบุว่า “ชื่อตำแหน่ง” ไม่ได้บอกเสมอว่าใครทำอะไรมากน้อยแค่ไหน เพราะในความจริง 61% ของคนทำงานสายนี้ต้องทำหลายบทบาทควบกัน แต่ถ้าจะดูว่า “ใครได้เงินเดือนสูงที่สุด” ก็ยังพอแยกได้เป็นลำดับแบบนี้:

    1️⃣ Security Architect — ค่าตัวอันดับ 1 ฐานเงินเดือนเฉลี่ย $179,000 รวมโบนัส $206,000  
    • ต้องรู้ลึกทั้งเครือข่าย ระบบ การออกแบบนโยบายการป้องกัน  
    • 34% ได้หุ้นประจำปีอีกด้วย

    2️⃣ Security Engineer — รองแชมป์ รับเฉลี่ย $168,000 รวมโบนัสเป็น $191,000  
    • เน้นลงมือจริงกับระบบ เช่น firewall, IDS/IPS, pentest, EDR  
    • หลายคนมาจากสาย network หรือ sysadmin มาก่อน

    3️⃣ Risk/GRC Specialist — มือวางด้านการจัดการความเสี่ยงและ compliance  
    • เงินเดือน $146,000 รวมโบนัส $173,000  
    • เน้น policy, audit, risk register, ISO, NIST, GDPR ฯลฯ

    4️⃣ Security Analyst (เช่น SOC analyst) — มือ frontline จับภัยคุกคาม  
    • รับเฉลี่ย $124,000 รวมโบนัส $133,000  
    • คอยตรวจจับเหตุการณ์ ปรับ signature ดู log และ SIEM

    ทุกตำแหน่งต่างมีเส้นทางเฉพาะ เช่น Security Analyst → Engineer → Architect หรือ Risk Analyst → GRC Lead → CISO ก็ได้ ขึ้นกับสายที่ชอบและทักษะที่ฝึกต่อ

    รายได้สูงสุด: Security Architect ครองแชมป์แบบครบเครื่อง  
    • เงินเดือน $179K / รายได้รวม $206K / หุ้น 34%  
    • งานหลากหลาย: ออกแบบ, IAM, AppSec, Product Security

    Security Engineer มาเป็นอันดับสอง  
    • เงินเดือน $168K / รายได้รวม $191K / หุ้น 31%  
    • ต้องมีพื้นฐาน Network/IT แน่น ชำนาญอุปกรณ์/ระบบ

    สาย GRC ก็มาแรง  
    • เงินเดือน $146K / รายได้รวม $173K / หุ้น 26%  
    • ทักษะพิเศษ: Risk, Compliance, NIST, AI-policy

    Security Analyst รายได้เริ่มต้นดี และเป็นฐานสร้างอาชีพอื่น  
    • เงินเดือน $124K / รายได้รวม $133K / หุ้น 20%  
    • เหมาะสำหรับเริ่มต้นในสาย Cybersecurity

    แต่ละสายมีใบรับรองที่ช่วย boost เงินเดือน  
    • Architect: CISSP, CCSP  
    • Engineer: Security+, CCNP Sec, CEH  
    • GRC: CRISC, CGRC  
    • Analyst: CySA+, SOC certs

    สายงานมีความซ้อนทับสูง — หลายคนทำหลายบทบาทพร้อมกัน  
    • เช่น คนใน SecOps อาจทำ GRC, IAM, Product Security ด้วย

    คำเตือนและข้อควรระวัง:
    ชื่อตำแหน่งอาจไม่สะท้อนงานที่ทำจริงในแต่ละองค์กร  
    • ควรดูรายละเอียดงานจริง ไม่ใช่ดูแค่ title เวลาสมัครหรือเปรียบเทียบรายได้

    เงินเดือนสูงมาพร้อมกับ skill ที่ลึกและการสื่อสารกับทีมหลากหลายฝ่าย  
    • สาย Architect และ GRC ต้องสื่อสารกับผู้บริหารและทีมเทคนิคได้ดี

    บางสายมีการแข่งขันสูงโดยเฉพาะระดับต้น เช่น Analyst และ Engineer  
    • ต้องมีจุดแข็ง เช่น cert, ผลงาน side project, หรือ soft skill

    สายงานด้านความเสี่ยงและ compliance ต้องตามกฎระเบียบเปลี่ยนตลอดเวลา  
    • เช่น กฎหมาย AI, ความเป็นส่วนตัว, cloud compliance

    https://www.csoonline.com/article/4006364/the-highest-paying-jobs-in-cybersecurity-today.html
    หลายคนอาจคิดว่า Cybersecurity คือแค่คนป้องกันไวรัส แต่จริง ๆ แล้วงานนี้แตกแขนงเป็นหลายสาย และแต่ละตำแหน่งก็มีค่าตอบแทนต่างกันมาก จากรายงาน Cybersecurity Staff Compensation Benchmark 2025 ระบุว่า “ชื่อตำแหน่ง” ไม่ได้บอกเสมอว่าใครทำอะไรมากน้อยแค่ไหน เพราะในความจริง 61% ของคนทำงานสายนี้ต้องทำหลายบทบาทควบกัน แต่ถ้าจะดูว่า “ใครได้เงินเดือนสูงที่สุด” ก็ยังพอแยกได้เป็นลำดับแบบนี้: 1️⃣ Security Architect — ค่าตัวอันดับ 1 ฐานเงินเดือนเฉลี่ย $179,000 รวมโบนัส $206,000   • ต้องรู้ลึกทั้งเครือข่าย ระบบ การออกแบบนโยบายการป้องกัน   • 34% ได้หุ้นประจำปีอีกด้วย 2️⃣ Security Engineer — รองแชมป์ รับเฉลี่ย $168,000 รวมโบนัสเป็น $191,000   • เน้นลงมือจริงกับระบบ เช่น firewall, IDS/IPS, pentest, EDR   • หลายคนมาจากสาย network หรือ sysadmin มาก่อน 3️⃣ Risk/GRC Specialist — มือวางด้านการจัดการความเสี่ยงและ compliance   • เงินเดือน $146,000 รวมโบนัส $173,000   • เน้น policy, audit, risk register, ISO, NIST, GDPR ฯลฯ 4️⃣ Security Analyst (เช่น SOC analyst) — มือ frontline จับภัยคุกคาม   • รับเฉลี่ย $124,000 รวมโบนัส $133,000   • คอยตรวจจับเหตุการณ์ ปรับ signature ดู log และ SIEM ทุกตำแหน่งต่างมีเส้นทางเฉพาะ เช่น Security Analyst → Engineer → Architect หรือ Risk Analyst → GRC Lead → CISO ก็ได้ ขึ้นกับสายที่ชอบและทักษะที่ฝึกต่อ ✅ รายได้สูงสุด: Security Architect ครองแชมป์แบบครบเครื่อง   • เงินเดือน $179K / รายได้รวม $206K / หุ้น 34%   • งานหลากหลาย: ออกแบบ, IAM, AppSec, Product Security ✅ Security Engineer มาเป็นอันดับสอง   • เงินเดือน $168K / รายได้รวม $191K / หุ้น 31%   • ต้องมีพื้นฐาน Network/IT แน่น ชำนาญอุปกรณ์/ระบบ ✅ สาย GRC ก็มาแรง   • เงินเดือน $146K / รายได้รวม $173K / หุ้น 26%   • ทักษะพิเศษ: Risk, Compliance, NIST, AI-policy ✅ Security Analyst รายได้เริ่มต้นดี และเป็นฐานสร้างอาชีพอื่น   • เงินเดือน $124K / รายได้รวม $133K / หุ้น 20%   • เหมาะสำหรับเริ่มต้นในสาย Cybersecurity ✅ แต่ละสายมีใบรับรองที่ช่วย boost เงินเดือน   • Architect: CISSP, CCSP   • Engineer: Security+, CCNP Sec, CEH   • GRC: CRISC, CGRC   • Analyst: CySA+, SOC certs ✅ สายงานมีความซ้อนทับสูง — หลายคนทำหลายบทบาทพร้อมกัน   • เช่น คนใน SecOps อาจทำ GRC, IAM, Product Security ด้วย ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง: ‼️ ชื่อตำแหน่งอาจไม่สะท้อนงานที่ทำจริงในแต่ละองค์กร   • ควรดูรายละเอียดงานจริง ไม่ใช่ดูแค่ title เวลาสมัครหรือเปรียบเทียบรายได้ ‼️ เงินเดือนสูงมาพร้อมกับ skill ที่ลึกและการสื่อสารกับทีมหลากหลายฝ่าย   • สาย Architect และ GRC ต้องสื่อสารกับผู้บริหารและทีมเทคนิคได้ดี ‼️ บางสายมีการแข่งขันสูงโดยเฉพาะระดับต้น เช่น Analyst และ Engineer   • ต้องมีจุดแข็ง เช่น cert, ผลงาน side project, หรือ soft skill ‼️ สายงานด้านความเสี่ยงและ compliance ต้องตามกฎระเบียบเปลี่ยนตลอดเวลา   • เช่น กฎหมาย AI, ความเป็นส่วนตัว, cloud compliance https://www.csoonline.com/article/4006364/the-highest-paying-jobs-in-cybersecurity-today.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The highest-paying jobs in cybersecurity today
    According to a recent survey by IANS and Artico Search, risk/GRC specialists, along with security architects, analysts, and engineers, report the highest average annual cash compensation in cybersecurity.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิตาลีสอบสวน DeepSeek เรื่องความเสี่ยงของข้อมูลเท็จ
    หน่วยงานกำกับดูแลด้านการแข่งขันและสิทธิผู้บริโภคของอิตาลี (AGCM) ได้เปิดการสอบสวน DeepSeek ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพ AI จากจีน เนื่องจากไม่ได้แจ้งเตือนผู้ใช้เกี่ยวกับความเสี่ยงของข้อมูลที่อาจไม่ถูกต้องหรือถูกสร้างขึ้นโดย AI.

    รายละเอียดการสอบสวน
    AGCM ระบุว่า DeepSeek ไม่ได้ให้คำเตือนที่ชัดเจนเกี่ยวกับ "Hallucinations" ของ AI ซึ่งหมายถึงข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีแหล่งที่มา.
    DeepSeek ไม่ตอบกลับคำขอความคิดเห็นจากสื่อ หลังจากมีการสอบสวน.
    ก่อนหน้านี้ หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลของอิตาลีเคยสั่งให้ DeepSeek ปิดการเข้าถึงแชทบอท เนื่องจากข้อกังวลด้านนโยบายความเป็นส่วนตัว.

    ผลกระทบและข้อควรระวัง
    AI อาจสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือบิดเบือน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้.
    DeepSeek อาจเผชิญกับมาตรการทางกฎหมายและข้อจำกัดเพิ่มเติม หากไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้.
    การใช้ AI ในการให้ข้อมูลต้องมีมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลผิดพลาด.

    แนวทางป้องกันสำหรับผู้ใช้
    ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลที่ได้รับจาก AI โดยเปรียบเทียบกับแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้.
    ใช้ AI อย่างระมัดระวัง โดยไม่พึ่งพาข้อมูลจาก AI เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจที่สำคัญ.
    ติดตามการพัฒนาและมาตรการกำกับดูแล AI เพื่อให้แน่ใจว่ามีการปรับปรุงด้านความโปร่งใสและความถูกต้อง.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำกับดูแล AI
    หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายควบคุม AI เช่น สหภาพยุโรปที่มี AI Act เพื่อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย.
    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น OpenAI และ Google กำลังพัฒนาแนวทางป้องกันข้อมูลเท็จใน AI.
    AI ที่ไม่มีมาตรการตรวจสอบอาจถูกใช้เพื่อเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจ.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/17/italy-regulator-probes-deepseek-over-false-information-risks
    อิตาลีสอบสวน DeepSeek เรื่องความเสี่ยงของข้อมูลเท็จ หน่วยงานกำกับดูแลด้านการแข่งขันและสิทธิผู้บริโภคของอิตาลี (AGCM) ได้เปิดการสอบสวน DeepSeek ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพ AI จากจีน เนื่องจากไม่ได้แจ้งเตือนผู้ใช้เกี่ยวกับความเสี่ยงของข้อมูลที่อาจไม่ถูกต้องหรือถูกสร้างขึ้นโดย AI. รายละเอียดการสอบสวน ✅ AGCM ระบุว่า DeepSeek ไม่ได้ให้คำเตือนที่ชัดเจนเกี่ยวกับ "Hallucinations" ของ AI ซึ่งหมายถึงข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีแหล่งที่มา. ✅ DeepSeek ไม่ตอบกลับคำขอความคิดเห็นจากสื่อ หลังจากมีการสอบสวน. ✅ ก่อนหน้านี้ หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลของอิตาลีเคยสั่งให้ DeepSeek ปิดการเข้าถึงแชทบอท เนื่องจากข้อกังวลด้านนโยบายความเป็นส่วนตัว. ผลกระทบและข้อควรระวัง ‼️ AI อาจสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือบิดเบือน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้. ‼️ DeepSeek อาจเผชิญกับมาตรการทางกฎหมายและข้อจำกัดเพิ่มเติม หากไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้. ‼️ การใช้ AI ในการให้ข้อมูลต้องมีมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลผิดพลาด. แนวทางป้องกันสำหรับผู้ใช้ ✅ ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลที่ได้รับจาก AI โดยเปรียบเทียบกับแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้. ✅ ใช้ AI อย่างระมัดระวัง โดยไม่พึ่งพาข้อมูลจาก AI เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจที่สำคัญ. ✅ ติดตามการพัฒนาและมาตรการกำกับดูแล AI เพื่อให้แน่ใจว่ามีการปรับปรุงด้านความโปร่งใสและความถูกต้อง. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำกับดูแล AI ✅ หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายควบคุม AI เช่น สหภาพยุโรปที่มี AI Act เพื่อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย. ✅ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น OpenAI และ Google กำลังพัฒนาแนวทางป้องกันข้อมูลเท็จใน AI. ‼️ AI ที่ไม่มีมาตรการตรวจสอบอาจถูกใช้เพื่อเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจ. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/17/italy-regulator-probes-deepseek-over-false-information-risks
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Italy regulator probes DeepSeek over false information risks
    ROME (Reuters) -Italy's antitrust watchdog AGCM said on Monday it had opened an investigation into Chinese artificial intelligence startup DeepSeek for allegedly failing to warn users that it may produce false information.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับการกดปุ่ม "Unsubscribe" ในอีเมลขยะหรือสแปม ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้มากกว่าที่คิด นักวิจัยระบุว่า การกดปุ่มนี้อาจนำไปยังเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย และเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์รู้ว่าบัญชีอีเมลของคุณยังใช้งานอยู่

    การกด "Unsubscribe" อาจเป็นกลลวง
    - TK Keanini, CTO ของ DNSFilter เตือนว่า ปุ่ม "Unsubscribe" อาจนำไปยังเว็บไซต์อันตราย
    - มีสถิติพบว่า 1 ใน 644 คลิกอาจนำไปสู่เว็บไซต์ที่เป็นภัยคุกคาม
    - นักต้มตุ๋นอาจใช้ปุ่มนี้เพื่อตรวจสอบว่าอีเมลของเหยื่อยังใช้งานอยู่ และเพิ่มเป็นเป้าหมายโจมตีเพิ่มเติม

    วิธีที่ปลอดภัยกว่าการจัดการสแปม
    - ใช้ฟีเจอร์ “List-Unsubscribe Headers” ในอีเมลไคลเอนต์ เช่น Gmail และ Outlook
    - ตั้งค่าตัวกรองสแปมหรือบล็อกผู้ส่งที่ไม่ต้องการ
    - ใช้อีเมลชั่วคราวหรือ Gmail Aliases (+alias) สำหรับการสมัครบริการที่ไม่น่าเชื่อถือ

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ปุ่ม "Unsubscribe"
    ความเสี่ยงเมื่อกดปุ่ม "Unsubscribe" ในอีเมลขยะ
    - อาจถูกนำไปยัง เว็บหลอกลวง หรือเว็บไซต์ที่มีมัลแวร์
    - แฮกเกอร์สามารถใช้ปุ่มนี้เพื่อตรวจสอบอีเมลที่ยังใช้งานอยู่ และกำหนดเป้าหมายโจมตีเพิ่มเติม

    วิธีป้องกันตัวจากอีเมลขยะและแฮกเกอร์
    - หากอีเมลมาจาก แหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อย่ากดปุ่ม "Unsubscribe" ในเนื้อหาอีเมล
    - ใช้ตัวกรองสแปมและบล็อกผู้ส่งที่ไม่ต้องการแทน
    - พิจารณาการใช้บริการ อีเมลชั่วคราว สำหรับการสมัครเว็บไซต์ที่ไม่คุ้นเคย

    https://www.techradar.com/pro/security/experts-warn-clicking-unsubscribe-on-that-boring-email-could-actually-be-a-security-risk-heres-why
    มีคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับการกดปุ่ม "Unsubscribe" ในอีเมลขยะหรือสแปม ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้มากกว่าที่คิด นักวิจัยระบุว่า การกดปุ่มนี้อาจนำไปยังเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย และเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์รู้ว่าบัญชีอีเมลของคุณยังใช้งานอยู่ ✅ การกด "Unsubscribe" อาจเป็นกลลวง - TK Keanini, CTO ของ DNSFilter เตือนว่า ปุ่ม "Unsubscribe" อาจนำไปยังเว็บไซต์อันตราย - มีสถิติพบว่า 1 ใน 644 คลิกอาจนำไปสู่เว็บไซต์ที่เป็นภัยคุกคาม - นักต้มตุ๋นอาจใช้ปุ่มนี้เพื่อตรวจสอบว่าอีเมลของเหยื่อยังใช้งานอยู่ และเพิ่มเป็นเป้าหมายโจมตีเพิ่มเติม ✅ วิธีที่ปลอดภัยกว่าการจัดการสแปม - ใช้ฟีเจอร์ “List-Unsubscribe Headers” ในอีเมลไคลเอนต์ เช่น Gmail และ Outlook - ตั้งค่าตัวกรองสแปมหรือบล็อกผู้ส่งที่ไม่ต้องการ - ใช้อีเมลชั่วคราวหรือ Gmail Aliases (+alias) สำหรับการสมัครบริการที่ไม่น่าเชื่อถือ 🚨 คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ปุ่ม "Unsubscribe" ‼️ ความเสี่ยงเมื่อกดปุ่ม "Unsubscribe" ในอีเมลขยะ - อาจถูกนำไปยัง เว็บหลอกลวง หรือเว็บไซต์ที่มีมัลแวร์ - แฮกเกอร์สามารถใช้ปุ่มนี้เพื่อตรวจสอบอีเมลที่ยังใช้งานอยู่ และกำหนดเป้าหมายโจมตีเพิ่มเติม ‼️ วิธีป้องกันตัวจากอีเมลขยะและแฮกเกอร์ - หากอีเมลมาจาก แหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อย่ากดปุ่ม "Unsubscribe" ในเนื้อหาอีเมล - ใช้ตัวกรองสแปมและบล็อกผู้ส่งที่ไม่ต้องการแทน - พิจารณาการใช้บริการ อีเมลชั่วคราว สำหรับการสมัครเว็บไซต์ที่ไม่คุ้นเคย https://www.techradar.com/pro/security/experts-warn-clicking-unsubscribe-on-that-boring-email-could-actually-be-a-security-risk-heres-why
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเตรียมใช้ AI ตรวจสอบผู้ใช้ VPN และ Telegram
    จีนกำลังพัฒนา เครื่องมือ AI เพื่อตรวจสอบผู้ใช้ VPN และ Telegram โดยมีเป้าหมายเพื่อ ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลจากต่างประเทศและลดการต่อต้านรัฐบาล

    เทคโนโลยีนี้ถูกนำเสนอใน งาน China International Exhibition on Police Equipment ซึ่งเป็น งานแสดงเทคโนโลยีตำรวจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

    ข้อมูลจากข่าว
    - จีนพัฒนา AI เพื่อตรวจสอบผู้ใช้ VPN และ Telegram
    - งาน China International Exhibition on Police Equipment เป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอเทคโนโลยีนี้
    - เครื่องมือ AI สามารถตรวจจับการใช้ VPN และระบุผู้ใช้ที่เข้าถึง Telegram ผ่านหมายเลขโทรศัพท์จีน
    - ระบบสามารถสแกนข้อความที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและฮ่องกง
    - เครื่องมือนี้รวบรวมข้อมูลจาก Telegram กว่า 30 พันล้านข้อความ และติดตาม 70 ล้านบัญชี

    ผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต
    จีนมี กฎหมายควบคุมอินเทอร์เน็ตที่เข้มงวดที่สุดในโลก และการพัฒนา AI นี้ อาจทำให้การเข้าถึงข้อมูลจากต่างประเทศยากขึ้น

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ผู้ใช้ VPN ในจีนอาจเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้น
    - Telegram อาจถูกควบคุมมากขึ้น โดยเฉพาะบัญชีที่ใช้หมายเลขโทรศัพท์จีน
    - การสแกนข้อความทางการเมืองอาจส่งผลต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
    - ต้องติดตามว่าจีนจะขยายการใช้เทคโนโลยีนี้ไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ หรือไม่

    อนาคตของการควบคุมอินเทอร์เน็ตในจีน
    จีนกำลัง เพิ่มการใช้ AI ในการควบคุมอินเทอร์เน็ต ซึ่งอาจส่งผลต่อ การเข้าถึงข้อมูลและเสรีภาพทางดิจิทัลของประชาชน

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/ai-to-power-chinas-policing-future-and-vpn-and-telegram-users-are-at-risk
    🔍 จีนเตรียมใช้ AI ตรวจสอบผู้ใช้ VPN และ Telegram จีนกำลังพัฒนา เครื่องมือ AI เพื่อตรวจสอบผู้ใช้ VPN และ Telegram โดยมีเป้าหมายเพื่อ ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลจากต่างประเทศและลดการต่อต้านรัฐบาล เทคโนโลยีนี้ถูกนำเสนอใน งาน China International Exhibition on Police Equipment ซึ่งเป็น งานแสดงเทคโนโลยีตำรวจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ✅ ข้อมูลจากข่าว - จีนพัฒนา AI เพื่อตรวจสอบผู้ใช้ VPN และ Telegram - งาน China International Exhibition on Police Equipment เป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอเทคโนโลยีนี้ - เครื่องมือ AI สามารถตรวจจับการใช้ VPN และระบุผู้ใช้ที่เข้าถึง Telegram ผ่านหมายเลขโทรศัพท์จีน - ระบบสามารถสแกนข้อความที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและฮ่องกง - เครื่องมือนี้รวบรวมข้อมูลจาก Telegram กว่า 30 พันล้านข้อความ และติดตาม 70 ล้านบัญชี ⚠️ ผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต จีนมี กฎหมายควบคุมอินเทอร์เน็ตที่เข้มงวดที่สุดในโลก และการพัฒนา AI นี้ อาจทำให้การเข้าถึงข้อมูลจากต่างประเทศยากขึ้น ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ผู้ใช้ VPN ในจีนอาจเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้น - Telegram อาจถูกควบคุมมากขึ้น โดยเฉพาะบัญชีที่ใช้หมายเลขโทรศัพท์จีน - การสแกนข้อความทางการเมืองอาจส่งผลต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น - ต้องติดตามว่าจีนจะขยายการใช้เทคโนโลยีนี้ไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ หรือไม่ 🚀 อนาคตของการควบคุมอินเทอร์เน็ตในจีน จีนกำลัง เพิ่มการใช้ AI ในการควบคุมอินเทอร์เน็ต ซึ่งอาจส่งผลต่อ การเข้าถึงข้อมูลและเสรีภาพทางดิจิทัลของประชาชน https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/ai-to-power-chinas-policing-future-and-vpn-and-telegram-users-are-at-risk
    WWW.TECHRADAR.COM
    China police seeks to use AI to crackdown on VPN and Telegram usage
    People in China need a VPN to access most social media apps and international news sites
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft โปรโมต Intel vPro สำหรับ Windows 11 Pro แต่ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO
    Microsoft ได้เผยแพร่ โฆษณาใหม่เกี่ยวกับ Windows 11 Pro โดยเน้นไปที่ Intel vPro แต่ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่าบริษัทอาจมีแนวโน้มสนับสนุน Intel มากกว่า AMD

    Microsoft ได้เผยแพร่โฆษณาในช่อง YouTube อย่างเป็นทางการของ Windows โดยใช้ชื่อ "Right side of risk | Windows 11 Pro and Intel" ซึ่งเน้นไปที่ การอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 Pro พร้อมกับ โปรโมต Intel vPro เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับองค์กร

    ในคำอธิบายวิดีโอ Microsoft ระบุว่า "Windows 10 support ends October 14. Stay on the right side of risk—upgrade now to the power of Windows 11 Pro PCs with Intel vPro®." ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึง การสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 และ แนะนำให้ผู้ใช้เลือก Intel vPro สำหรับการอัปเกรด

    ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft เผยแพร่โฆษณาใหม่เกี่ยวกับ Windows 11 Pro โดยเน้น Intel vPro
    - ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO ในโฆษณา
    - โฆษณาใช้ชื่อ "Right side of risk | Windows 11 Pro and Intel"
    - Microsoft เน้นให้ผู้ใช้ธุรกิจอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 Pro
    - Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Microsoft อาจมีโฆษณาสำหรับ AMD Ryzen PRO ในอนาคต แต่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูล
    - การโปรโมต Intel vPro อาจทำให้ผู้ใช้มองว่า Microsoft มีแนวโน้มสนับสนุน Intel มากกว่า AMD
    - ต้องติดตามว่าการโปรโมตนี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจขององค์กรที่ใช้ AMD Ryzen PRO หรือไม่
    - AMD มีบทความสนับสนุนเกี่ยวกับ Windows 11 และ Ryzen PRO แต่ไม่ได้รับการกล่าวถึงในโฆษณาของ Microsoft

    การโปรโมต Intel vPro ในโฆษณาของ Microsoft อาจส่งผลต่อการตัดสินใจขององค์กรที่กำลังพิจารณาอัปเกรดเป็น Windows 11 Pro อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Microsoft จะมีโฆษณาสำหรับ AMD Ryzen PRO ในอนาคตหรือไม่

    https://www.neowin.net/news/intel-vs-amd-microsoft-seemingly-has-a-clear-recommendation-for-windows-11-pro-pc-upgrade/
    🖥️ Microsoft โปรโมต Intel vPro สำหรับ Windows 11 Pro แต่ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO Microsoft ได้เผยแพร่ โฆษณาใหม่เกี่ยวกับ Windows 11 Pro โดยเน้นไปที่ Intel vPro แต่ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่าบริษัทอาจมีแนวโน้มสนับสนุน Intel มากกว่า AMD Microsoft ได้เผยแพร่โฆษณาในช่อง YouTube อย่างเป็นทางการของ Windows โดยใช้ชื่อ "Right side of risk | Windows 11 Pro and Intel" ซึ่งเน้นไปที่ การอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 Pro พร้อมกับ โปรโมต Intel vPro เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับองค์กร ในคำอธิบายวิดีโอ Microsoft ระบุว่า "Windows 10 support ends October 14. Stay on the right side of risk—upgrade now to the power of Windows 11 Pro PCs with Intel vPro®." ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึง การสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 และ แนะนำให้ผู้ใช้เลือก Intel vPro สำหรับการอัปเกรด ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft เผยแพร่โฆษณาใหม่เกี่ยวกับ Windows 11 Pro โดยเน้น Intel vPro - ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO ในโฆษณา - โฆษณาใช้ชื่อ "Right side of risk | Windows 11 Pro and Intel" - Microsoft เน้นให้ผู้ใช้ธุรกิจอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 Pro - Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Microsoft อาจมีโฆษณาสำหรับ AMD Ryzen PRO ในอนาคต แต่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูล - การโปรโมต Intel vPro อาจทำให้ผู้ใช้มองว่า Microsoft มีแนวโน้มสนับสนุน Intel มากกว่า AMD - ต้องติดตามว่าการโปรโมตนี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจขององค์กรที่ใช้ AMD Ryzen PRO หรือไม่ - AMD มีบทความสนับสนุนเกี่ยวกับ Windows 11 และ Ryzen PRO แต่ไม่ได้รับการกล่าวถึงในโฆษณาของ Microsoft การโปรโมต Intel vPro ในโฆษณาของ Microsoft อาจส่งผลต่อการตัดสินใจขององค์กรที่กำลังพิจารณาอัปเกรดเป็น Windows 11 Pro อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Microsoft จะมีโฆษณาสำหรับ AMD Ryzen PRO ในอนาคตหรือไม่ https://www.neowin.net/news/intel-vs-amd-microsoft-seemingly-has-a-clear-recommendation-for-windows-11-pro-pc-upgrade/
    WWW.NEOWIN.NET
    Intel vs AMD? Microsoft seemingly has a clear recommendation for Windows 11 Pro PC upgrade
    Microsoft has published a new ad about upgrading Windows 10 PCs to Windows 11 Pro. However, in it, the tech giant seems to have a clear recommendation for one over the other between AMD and Intel.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • DNS Blocking: เครื่องมือควบคุมอินเทอร์เน็ตที่อาจสร้างผลกระทบ
    รายงานใหม่จาก i2Coalition เตือนถึง แนวโน้มที่น่ากังวล ของรัฐบาลทั่วโลกที่ใช้ DNS resolvers เป็นเครื่องมือบล็อกเนื้อหาออนไลน์ ซึ่งอาจนำไปสู่ ผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจและการทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ต

    DNS (Domain Name System) ทำหน้าที่เป็น สมุดโทรศัพท์ของอินเทอร์เน็ต โดยแปลงชื่อเว็บไซต์เป็น หมายเลข IP เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้

    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลบางประเทศ เช่น รัสเซีย, อิหร่าน และจีน ได้ใช้ DNS blocking เพื่อควบคุมเนื้อหาออนไลน์ เช่น การเซ็นเซอร์ทางการเมือง, การป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ และการคุ้มครองเด็ก

    นอกจากนี้ ประเทศในยุโรป เช่น อิตาลี, สเปน และฝรั่งเศส กำลังใช้ DNS blocking เพื่อป้องกัน การละเมิดลิขสิทธิ์ ขณะที่ สหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎหมายที่อาจใช้วิธีเดียวกัน

    ข้อมูลจากข่าว
    - i2Coalition เตือนถึงการใช้ DNS resolvers เป็นเครื่องมือบล็อกเนื้อหาออนไลน์
    - DNS ทำหน้าที่เป็นสมุดโทรศัพท์ของอินเทอร์เน็ต โดยแปลงชื่อเว็บไซต์เป็นหมายเลข IP
    - รัสเซีย, อิหร่าน และจีนใช้ DNS blocking เพื่อควบคุมเนื้อหาออนไลน์
    - อิตาลี, สเปน และฝรั่งเศสใช้ DNS blocking เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์
    - สหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎหมายที่อาจใช้ DNS blocking ในการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - DNS blocking ไม่สามารถลบเนื้อหาออกจากอินเทอร์เน็ตได้จริง แต่เพียงแค่บดบังการเข้าถึง
    - การบล็อก DNS อาจนำไปสู่การบล็อกเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยไม่ได้ตั้งใจ
    - VPN กำลังกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของรัฐบาลที่ต้องการควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
    - การบล็อก DNS และ VPN อาจทำให้เกิดการกระจายตัวของอินเทอร์เน็ตและลดความเป็นกลางของโครงสร้างพื้นฐาน

    แม้ว่าการบล็อก DNS จะถูกใช้เพื่อ ป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์และเนื้อหาที่เป็นอันตราย แต่ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ามาตรการเหล่านี้อาจนำไปสู่การควบคุมอินเทอร์เน็ตที่มากเกินไป และ ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพทางดิจิทัลในระยะยาว

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/dns-resolvers-arent-a-censorship-tool-experts-warn-against-the-risks-of-growing-internet-blocking
    🌐 DNS Blocking: เครื่องมือควบคุมอินเทอร์เน็ตที่อาจสร้างผลกระทบ รายงานใหม่จาก i2Coalition เตือนถึง แนวโน้มที่น่ากังวล ของรัฐบาลทั่วโลกที่ใช้ DNS resolvers เป็นเครื่องมือบล็อกเนื้อหาออนไลน์ ซึ่งอาจนำไปสู่ ผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจและการทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ต DNS (Domain Name System) ทำหน้าที่เป็น สมุดโทรศัพท์ของอินเทอร์เน็ต โดยแปลงชื่อเว็บไซต์เป็น หมายเลข IP เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลบางประเทศ เช่น รัสเซีย, อิหร่าน และจีน ได้ใช้ DNS blocking เพื่อควบคุมเนื้อหาออนไลน์ เช่น การเซ็นเซอร์ทางการเมือง, การป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ และการคุ้มครองเด็ก นอกจากนี้ ประเทศในยุโรป เช่น อิตาลี, สเปน และฝรั่งเศส กำลังใช้ DNS blocking เพื่อป้องกัน การละเมิดลิขสิทธิ์ ขณะที่ สหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎหมายที่อาจใช้วิธีเดียวกัน ✅ ข้อมูลจากข่าว - i2Coalition เตือนถึงการใช้ DNS resolvers เป็นเครื่องมือบล็อกเนื้อหาออนไลน์ - DNS ทำหน้าที่เป็นสมุดโทรศัพท์ของอินเทอร์เน็ต โดยแปลงชื่อเว็บไซต์เป็นหมายเลข IP - รัสเซีย, อิหร่าน และจีนใช้ DNS blocking เพื่อควบคุมเนื้อหาออนไลน์ - อิตาลี, สเปน และฝรั่งเศสใช้ DNS blocking เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ - สหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎหมายที่อาจใช้ DNS blocking ในการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - DNS blocking ไม่สามารถลบเนื้อหาออกจากอินเทอร์เน็ตได้จริง แต่เพียงแค่บดบังการเข้าถึง - การบล็อก DNS อาจนำไปสู่การบล็อกเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยไม่ได้ตั้งใจ - VPN กำลังกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของรัฐบาลที่ต้องการควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต - การบล็อก DNS และ VPN อาจทำให้เกิดการกระจายตัวของอินเทอร์เน็ตและลดความเป็นกลางของโครงสร้างพื้นฐาน แม้ว่าการบล็อก DNS จะถูกใช้เพื่อ ป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์และเนื้อหาที่เป็นอันตราย แต่ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ามาตรการเหล่านี้อาจนำไปสู่การควบคุมอินเทอร์เน็ตที่มากเกินไป และ ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพทางดิจิทัลในระยะยาว https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/dns-resolvers-arent-a-censorship-tool-experts-warn-against-the-risks-of-growing-internet-blocking
    WWW.TECHRADAR.COM
    "DNS resolvers aren’t a censorship tool" – experts warn against the risks of growing internet blocking
    A new report seeks to shed light on DNS blocking and other internet restrictions across the world
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ร้ายแรงในปลั๊กอิน WordPress อาจทำให้กว่า 100,000 เว็บไซต์ตกอยู่ในความเสี่ยง
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่า TI WooCommerce Wishlist ซึ่งเป็นปลั๊กอินยอดนิยมสำหรับร้านค้าออนไลน์ มีช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์สามารถอัปโหลดไฟล์อันตรายได้โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์ ทำให้เว็บไซต์อาจถูกเข้าควบคุมโดยสมบูรณ์

    รายละเอียดของช่องโหว่
    ช่องโหว่นี้ถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-47577 และได้รับคะแนนความรุนแรง 10/10 (critical) ซึ่งหมายความว่าเป็นช่องโหว่ที่มีความเสี่ยงสูงสุด

    ปลั๊กอินนี้มีการติดตั้งใช้งานมากกว่า 100,000 เว็บไซต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น เว็บไซต์ e-commerce ที่มีการทำธุรกรรมทางการเงิน ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

    ข้อมูลจากข่าว
    - TI WooCommerce Wishlist มีช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์อัปโหลดไฟล์อันตรายได้
    - ช่องโหว่นี้ถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-47577 และได้รับคะแนนความรุนแรง 10/10
    - ปลั๊กอินนี้มีการติดตั้งใช้งานมากกว่า 100,000 เว็บไซต์
    - เว็บไซต์ที่มี WC Fields Factory plugin ติดตั้งอยู่จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
    - เวอร์ชันล่าสุดของปลั๊กอินคือ 2.9.2 และยังไม่มีแพตช์แก้ไข

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ผู้ใช้ควรปิดการใช้งานและลบปลั๊กอิน TI WooCommerce Wishlist จนกว่าจะแก้ไขช่องโหว่
    - เว็บไซต์ e-commerce ที่ใช้ปลั๊กอินนี้อาจถูกแฮกและข้อมูลลูกค้าถูกขโมย
    - WC Fields Factory plugin อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีได้ง่ายขึ้น
    - ต้องติดตามการอัปเดตจากนักพัฒนาปลั๊กอินเพื่อดูว่ามีแพตช์แก้ไขออกมาเมื่อใด

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม e-commerce
    ช่องโหว่นี้แสดงให้เห็นถึง ความสำคัญของการตรวจสอบความปลอดภัยของปลั๊กอิน WordPress โดยเฉพาะสำหรับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงิน

    หากคุณใช้ TI WooCommerce Wishlist ควร ปิดการใช้งานและลบปลั๊กอิน จนกว่าจะแก้ไขช่องโหว่ เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/security/critical-security-flaw-could-leave-over-100-000-wordpress-sites-at-risk
    🔍 ช่องโหว่ร้ายแรงในปลั๊กอิน WordPress อาจทำให้กว่า 100,000 เว็บไซต์ตกอยู่ในความเสี่ยง นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่า TI WooCommerce Wishlist ซึ่งเป็นปลั๊กอินยอดนิยมสำหรับร้านค้าออนไลน์ มีช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์สามารถอัปโหลดไฟล์อันตรายได้โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์ ทำให้เว็บไซต์อาจถูกเข้าควบคุมโดยสมบูรณ์ 🕵️‍♂️ รายละเอียดของช่องโหว่ ช่องโหว่นี้ถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-47577 และได้รับคะแนนความรุนแรง 10/10 (critical) ซึ่งหมายความว่าเป็นช่องโหว่ที่มีความเสี่ยงสูงสุด ปลั๊กอินนี้มีการติดตั้งใช้งานมากกว่า 100,000 เว็บไซต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น เว็บไซต์ e-commerce ที่มีการทำธุรกรรมทางการเงิน ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - TI WooCommerce Wishlist มีช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์อัปโหลดไฟล์อันตรายได้ - ช่องโหว่นี้ถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-47577 และได้รับคะแนนความรุนแรง 10/10 - ปลั๊กอินนี้มีการติดตั้งใช้งานมากกว่า 100,000 เว็บไซต์ - เว็บไซต์ที่มี WC Fields Factory plugin ติดตั้งอยู่จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น - เวอร์ชันล่าสุดของปลั๊กอินคือ 2.9.2 และยังไม่มีแพตช์แก้ไข ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ผู้ใช้ควรปิดการใช้งานและลบปลั๊กอิน TI WooCommerce Wishlist จนกว่าจะแก้ไขช่องโหว่ - เว็บไซต์ e-commerce ที่ใช้ปลั๊กอินนี้อาจถูกแฮกและข้อมูลลูกค้าถูกขโมย - WC Fields Factory plugin อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีได้ง่ายขึ้น - ต้องติดตามการอัปเดตจากนักพัฒนาปลั๊กอินเพื่อดูว่ามีแพตช์แก้ไขออกมาเมื่อใด 🔎 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม e-commerce ช่องโหว่นี้แสดงให้เห็นถึง ความสำคัญของการตรวจสอบความปลอดภัยของปลั๊กอิน WordPress โดยเฉพาะสำหรับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงิน หากคุณใช้ TI WooCommerce Wishlist ควร ปิดการใช้งานและลบปลั๊กอิน จนกว่าจะแก้ไขช่องโหว่ เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น https://www.techradar.com/pro/security/critical-security-flaw-could-leave-over-100-000-wordpress-sites-at-risk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts