• Intel Xeon Granite Rapids-WS: หลุดไลน์อัปเต็มก่อน CES — ชน Threadripper แบบตรงๆ ด้วยรุ่นท็อป 86 คอร์

    Intel เตรียมเปิดตัวไลน์อัป Xeon Granite Rapids‑WS สำหรับเวิร์กสเตชันในงาน CES 2026 แต่ข้อมูลสำคัญกลับหลุดออกมาก่อนผ่านร้านค้าปลีกหลายแห่ง ทำให้เห็นภาพรวมของซีรีส์นี้ชัดเจนขึ้นมาก ทั้งจำนวนคอร์ ราคา และตำแหน่งการตลาด โดยไลน์อัปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อชน AMD Threadripper PRO โดยตรงในตลาด HEDT ระดับมืออาชีพ

    รุ่นเริ่มต้นอย่าง Xeon 634 เปิดราคาที่เพียง $541 พร้อม L3 cache 48MB และความเร็ว 2.7GHz แม้ยังไม่รู้จำนวนคอร์ แต่คาดว่าอาจเป็นรุ่นดัดแปลงจาก Xeon 6349P แบบ 6 คอร์ ซึ่งทำให้มันอยู่ในตลาดล่างที่ AMD ไม่มีคู่เทียบตรงๆ ในฝั่ง Threadripper PRO

    ด้านบนสุดของไลน์อัปคือ Xeon 698X ที่มี 86 คอร์ / 172 เธรด พร้อม L3 cache 336MB และความเร็วฐาน 2.0GHz เปิดราคาที่ $8,294 ซึ่งถูกกว่าคู่แข่งอย่าง Threadripper PRO 9995WX ที่มี 96 คอร์และราคา $11,699 แม้ Intel ยังไม่สามารถเทียบจำนวนคอร์ได้ แต่ราคาที่ต่ำกว่ามากทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับงานเรนเดอร์และงานวิทยาศาสตร์ข้อมูลระดับสูง

    รุ่นกลางอย่าง Xeon 654 ราคา $1,300 มี 18 คอร์ 36 เธรด และ L3 72MB ซึ่งใกล้เคียงกับ Threadripper PRO 9955WX (16 คอร์) แต่ Intel ให้แคชมากกว่า และยังคงใช้ TDP 350W เหมือนกันทั้งไลน์อัป Granite Rapids‑WS รองรับซ็อกเก็ตใหม่ E2 (LGA 4710) บนแพลตฟอร์ม W890 ที่ออกแบบมาสำหรับงานเวิร์กสเตชันโดยเฉพาะ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ไฮไลต์จากไลน์อัป Granite Rapids‑WS
    เปิดตัวทั้งหมด 11 รุ่น ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นถึงระดับเรนเดอร์ฟาร์ม
    รุ่นท็อป Xeon 698X — 86 คอร์ / 172 เธรด ราคา $8,294
    รุ่นเริ่มต้น Xeon 634 ราคาเพียง $541 เจาะตลาดล่างที่ AMD ไม่มีคู่แข่งตรง
    รุ่นกลาง Xeon 654 (18 คอร์) ราคา $1,300 ใกล้เคียง Threadripper PRO 9955WX แต่ให้แคชมากกว่า
    ทั้งไลน์อัปใช้ TDP 350W และรองรับแพลตฟอร์ม W890 + ซ็อกเก็ต E2 (LGA 4710)

    ความเสี่ยงและข้อควรระวังจากข้อมูลหลุด
    รายการราคาจากร้านค้าปลีกอาจ คลาดเคลื่อน ก่อนเปิดตัวจริง
    Intel ยัง ไม่สามารถเทียบจำนวนคอร์ กับ Threadripper PRO รุ่นท็อปได้
    ซ็อกเก็ตใหม่ E2 อาจทำให้ผู้ใช้ต้อง อัปเกรดเมนบอร์ดทั้งหมด
    TDP 350W ต้องการระบบระบายความร้อนระดับสูง อาจเพิ่มต้นทุนรวมของระบบ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-upcoming-xeon-granite-rapids-workstation-lineup-leaks-poised-to-challenge-amd-threadripper-with-usd8-300-86-core-flagship-retailer-lists-prices-ahead-of-ces-launch-starts-at-usd540
    🧩⚙️ Intel Xeon Granite Rapids-WS: หลุดไลน์อัปเต็มก่อน CES — ชน Threadripper แบบตรงๆ ด้วยรุ่นท็อป 86 คอร์ Intel เตรียมเปิดตัวไลน์อัป Xeon Granite Rapids‑WS สำหรับเวิร์กสเตชันในงาน CES 2026 แต่ข้อมูลสำคัญกลับหลุดออกมาก่อนผ่านร้านค้าปลีกหลายแห่ง ทำให้เห็นภาพรวมของซีรีส์นี้ชัดเจนขึ้นมาก ทั้งจำนวนคอร์ ราคา และตำแหน่งการตลาด โดยไลน์อัปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อชน AMD Threadripper PRO โดยตรงในตลาด HEDT ระดับมืออาชีพ รุ่นเริ่มต้นอย่าง Xeon 634 เปิดราคาที่เพียง $541 พร้อม L3 cache 48MB และความเร็ว 2.7GHz แม้ยังไม่รู้จำนวนคอร์ แต่คาดว่าอาจเป็นรุ่นดัดแปลงจาก Xeon 6349P แบบ 6 คอร์ ซึ่งทำให้มันอยู่ในตลาดล่างที่ AMD ไม่มีคู่เทียบตรงๆ ในฝั่ง Threadripper PRO ด้านบนสุดของไลน์อัปคือ Xeon 698X ที่มี 86 คอร์ / 172 เธรด พร้อม L3 cache 336MB และความเร็วฐาน 2.0GHz เปิดราคาที่ $8,294 ซึ่งถูกกว่าคู่แข่งอย่าง Threadripper PRO 9995WX ที่มี 96 คอร์และราคา $11,699 แม้ Intel ยังไม่สามารถเทียบจำนวนคอร์ได้ แต่ราคาที่ต่ำกว่ามากทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับงานเรนเดอร์และงานวิทยาศาสตร์ข้อมูลระดับสูง รุ่นกลางอย่าง Xeon 654 ราคา $1,300 มี 18 คอร์ 36 เธรด และ L3 72MB ซึ่งใกล้เคียงกับ Threadripper PRO 9955WX (16 คอร์) แต่ Intel ให้แคชมากกว่า และยังคงใช้ TDP 350W เหมือนกันทั้งไลน์อัป Granite Rapids‑WS รองรับซ็อกเก็ตใหม่ E2 (LGA 4710) บนแพลตฟอร์ม W890 ที่ออกแบบมาสำหรับงานเวิร์กสเตชันโดยเฉพาะ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ไฮไลต์จากไลน์อัป Granite Rapids‑WS ➡️ เปิดตัวทั้งหมด 11 รุ่น ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นถึงระดับเรนเดอร์ฟาร์ม ➡️ รุ่นท็อป Xeon 698X — 86 คอร์ / 172 เธรด ราคา $8,294 ➡️ รุ่นเริ่มต้น Xeon 634 ราคาเพียง $541 เจาะตลาดล่างที่ AMD ไม่มีคู่แข่งตรง ➡️ รุ่นกลาง Xeon 654 (18 คอร์) ราคา $1,300 ใกล้เคียง Threadripper PRO 9955WX แต่ให้แคชมากกว่า ➡️ ทั้งไลน์อัปใช้ TDP 350W และรองรับแพลตฟอร์ม W890 + ซ็อกเก็ต E2 (LGA 4710) ‼️ ความเสี่ยงและข้อควรระวังจากข้อมูลหลุด ⛔ รายการราคาจากร้านค้าปลีกอาจ คลาดเคลื่อน ก่อนเปิดตัวจริง ⛔ Intel ยัง ไม่สามารถเทียบจำนวนคอร์ กับ Threadripper PRO รุ่นท็อปได้ ⛔ ซ็อกเก็ตใหม่ E2 อาจทำให้ผู้ใช้ต้อง อัปเกรดเมนบอร์ดทั้งหมด ⛔ TDP 350W ต้องการระบบระบายความร้อนระดับสูง อาจเพิ่มต้นทุนรวมของระบบ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-upcoming-xeon-granite-rapids-workstation-lineup-leaks-poised-to-challenge-amd-threadripper-with-usd8-300-86-core-flagship-retailer-lists-prices-ahead-of-ces-launch-starts-at-usd540
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • Game Boy ยักษ์จอ Electroluminescent: โปรเจกต์สุดโรแมนติกของยุคเรโทรที่ทำงานได้จริง

    ม็อดเดอร์ชาวจีนชื่อ LCLDIY สร้างผลงานที่สะดุดตาในโลกเรโทร ด้วยการประกอบ Game Boy ขนาดยักษ์ ที่ใช้จอ Electroluminescent (EL) ซึ่งให้ภาพแบบ “เรโทรฟุ้งนุ่ม” คล้าย CRT แต่ไม่ต้องใช้หลอดภาพขนาดใหญ่ เขาเลือกเทคโนโลยีนี้เพราะไม่ต้องการให้ภาพแตกเป็นพิกเซลหยาบเมื่อขยายจอให้ใหญ่ขึ้นกว่าปกติ ทำให้ได้ลุคที่ทั้งแปลกตาและชวนคิดถึงในเวลาเดียวกัน

    ความท้าทายสำคัญคือ EL Display ไม่รองรับสัญญาณสมัยใหม่แม้แต่ VGA ทำให้ LCLDIY ต้องสร้าง การ์ดกราฟิกแบบ Custom ของตัวเอง พร้อมเขียน BIOS ใหม่ทั้งหมด โดยใช้ชิป CHIPS 65548/5 เพื่อแปลงสัญญาณ HSync/VSync จาก GPU รุ่นใหม่ให้เข้ากับจอ EL ได้อย่างถูกต้อง เขาใช้เมนบอร์ด Intel 854 เป็นตัวขับกราฟิกหลัก ซึ่งเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีเก่า–ใหม่ที่น่าสนใจมาก

    ตัวเครื่องภายนอกถูกสร้างด้วยการ พิมพ์ 3D ทั้งหมด ใช้เวลาราวหนึ่งสัปดาห์ก่อนประกอบเข้ากับโครงที่ใช้ LEGO จริงบางส่วนเพื่อความแข็งแรง พร้อมปุ่มกดที่ใช้งานได้จริง และยังซ่อนคอนโทรลเลอร์ NES แบบมีสายไว้ด้านข้างเพื่อเล่นเกมจากแพลตฟอร์มอื่นได้ด้วย เขาทดสอบเกมดังหลายเกม เช่น Super Mario Bros., Contra และ Sonic ซึ่งล้วนแสดงผลด้วยแสงเรืองนุ่มแบบเรโทรที่โดดเด่นมาก

    แม้จอ EL จะให้ภาพที่สวยงามและมีเอกลักษณ์ แต่ก็มีข้อเสีย เช่น ปัญหา Image Retention ที่คล้าย OLED และเป็นจอแบบ Monochrome เท่านั้น อย่างไรก็ตาม โปรเจกต์นี้เปิดซอร์สทั้งหมด ทำให้ใครที่มีความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์สามารถลองสร้างตามได้ ถือเป็นงานม็อดที่ทั้งสร้างสรรค์และเคารพความงามของเทคโนโลยียุคเก่าอย่างแท้จริง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ไฮไลต์จากโปรเจกต์ Game Boy ยักษ์
    ใช้ Electroluminescent Display ให้ภาพเรโทรแบบนุ่มคล้าย CRT
    ม็อดเดอร์สร้าง การ์ดกราฟิก Custom + BIOS ใหม่ เพื่อให้จอทำงานได้กับ GPU สมัยใหม่
    ตัวเครื่องพิมพ์ 3D ทั้งหมด พร้อมปุ่มใช้งานได้จริงและรองรับคอนโทรลเลอร์ NES
    เปิดซอร์สทั้งหมดให้ผู้สนใจทำตามได้เอง

    ข้อควรระวังและข้อจำกัดของเทคโนโลยีที่ใช้
    จอ EL มี Image Retention คล้าย OLED หากแสดงภาพนิ่งนานเกินไป
    เป็นจอ Monochrome ไม่รองรับสีเต็มรูปแบบเหมือนจอสมัยใหม่
    การสร้างการ์ดกราฟิก Custom ต้องใช้ความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์สูง
    ต้นทุนจอ EL ค่อนข้างแพงและหายากในตลาดปัจจุบัน

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/modder-builds-giant-game-boy-featuring-a-dreamy-electroluminescent-screen-driven-by-custom-graphics-adapter-diy-retro-console-is-fully-functional-with-working-buttons
    🎮✨ Game Boy ยักษ์จอ Electroluminescent: โปรเจกต์สุดโรแมนติกของยุคเรโทรที่ทำงานได้จริง ม็อดเดอร์ชาวจีนชื่อ LCLDIY สร้างผลงานที่สะดุดตาในโลกเรโทร ด้วยการประกอบ Game Boy ขนาดยักษ์ ที่ใช้จอ Electroluminescent (EL) ซึ่งให้ภาพแบบ “เรโทรฟุ้งนุ่ม” คล้าย CRT แต่ไม่ต้องใช้หลอดภาพขนาดใหญ่ เขาเลือกเทคโนโลยีนี้เพราะไม่ต้องการให้ภาพแตกเป็นพิกเซลหยาบเมื่อขยายจอให้ใหญ่ขึ้นกว่าปกติ ทำให้ได้ลุคที่ทั้งแปลกตาและชวนคิดถึงในเวลาเดียวกัน ความท้าทายสำคัญคือ EL Display ไม่รองรับสัญญาณสมัยใหม่แม้แต่ VGA ทำให้ LCLDIY ต้องสร้าง การ์ดกราฟิกแบบ Custom ของตัวเอง พร้อมเขียน BIOS ใหม่ทั้งหมด โดยใช้ชิป CHIPS 65548/5 เพื่อแปลงสัญญาณ HSync/VSync จาก GPU รุ่นใหม่ให้เข้ากับจอ EL ได้อย่างถูกต้อง เขาใช้เมนบอร์ด Intel 854 เป็นตัวขับกราฟิกหลัก ซึ่งเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีเก่า–ใหม่ที่น่าสนใจมาก ตัวเครื่องภายนอกถูกสร้างด้วยการ พิมพ์ 3D ทั้งหมด ใช้เวลาราวหนึ่งสัปดาห์ก่อนประกอบเข้ากับโครงที่ใช้ LEGO จริงบางส่วนเพื่อความแข็งแรง พร้อมปุ่มกดที่ใช้งานได้จริง และยังซ่อนคอนโทรลเลอร์ NES แบบมีสายไว้ด้านข้างเพื่อเล่นเกมจากแพลตฟอร์มอื่นได้ด้วย เขาทดสอบเกมดังหลายเกม เช่น Super Mario Bros., Contra และ Sonic ซึ่งล้วนแสดงผลด้วยแสงเรืองนุ่มแบบเรโทรที่โดดเด่นมาก แม้จอ EL จะให้ภาพที่สวยงามและมีเอกลักษณ์ แต่ก็มีข้อเสีย เช่น ปัญหา Image Retention ที่คล้าย OLED และเป็นจอแบบ Monochrome เท่านั้น อย่างไรก็ตาม โปรเจกต์นี้เปิดซอร์สทั้งหมด ทำให้ใครที่มีความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์สามารถลองสร้างตามได้ ถือเป็นงานม็อดที่ทั้งสร้างสรรค์และเคารพความงามของเทคโนโลยียุคเก่าอย่างแท้จริง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ไฮไลต์จากโปรเจกต์ Game Boy ยักษ์ ➡️ ใช้ Electroluminescent Display ให้ภาพเรโทรแบบนุ่มคล้าย CRT ➡️ ม็อดเดอร์สร้าง การ์ดกราฟิก Custom + BIOS ใหม่ เพื่อให้จอทำงานได้กับ GPU สมัยใหม่ ➡️ ตัวเครื่องพิมพ์ 3D ทั้งหมด พร้อมปุ่มใช้งานได้จริงและรองรับคอนโทรลเลอร์ NES ➡️ เปิดซอร์สทั้งหมดให้ผู้สนใจทำตามได้เอง ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัดของเทคโนโลยีที่ใช้ ⛔ จอ EL มี Image Retention คล้าย OLED หากแสดงภาพนิ่งนานเกินไป ⛔ เป็นจอ Monochrome ไม่รองรับสีเต็มรูปแบบเหมือนจอสมัยใหม่ ⛔ การสร้างการ์ดกราฟิก Custom ต้องใช้ความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์สูง ⛔ ต้นทุนจอ EL ค่อนข้างแพงและหายากในตลาดปัจจุบัน https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/modder-builds-giant-game-boy-featuring-a-dreamy-electroluminescent-screen-driven-by-custom-graphics-adapter-diy-retro-console-is-fully-functional-with-working-buttons
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • Ventoy 1.1.10 เปิดตัว: รองรับ AerynOS พร้อมยกระดับประสบการณ์ Multiboot บน Linux

    Ventoy 1.1.10 มาถึงพร้อมการอัปเดตสำคัญที่ทำให้เครื่องมือ multiboot ยอดนิยมนี้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการรองรับ AerynOS ซึ่งเป็นดิสโทรรุ่นใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจในชุมชนโอเพ่นซอร์ส การรองรับนี้สะท้อนให้เห็นว่า Ventoy ยังคงเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการทดสอบดิสโทรจำนวนมากโดยไม่ต้องเขียน USB ใหม่ทุกครั้ง

    การอัปเดตครั้งนี้ยังมาพร้อมการปรับปรุงการบูตบนระบบไฟล์ EXT4 ซึ่งเป็นฟอร์แมตที่ดิสโทร Linux ส่วนใหญ่ใช้เป็นค่าเริ่มต้น การแก้ไขนี้ช่วยลดปัญหาบูตไม่ขึ้นหรือโหลดเคอร์เนลผิดพลาดที่เคยเกิดในบางรุ่นของดิสโทร ทำให้ Ventoy กลายเป็นเครื่องมือที่เสถียรขึ้นสำหรับงานทดสอบระบบ, recovery, และ deployment ในองค์กร

    อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือการปรับปรุง Wayland support สำหรับ Ventoy LinuxGUI ซึ่งเป็นสัญญาณว่าทีมพัฒนา Ventoyกำลังเดินหน้าให้ GUI ของตนเข้ากันได้กับอนาคตของ Linux Desktop ที่กำลังเปลี่ยนผ่านจาก X11 ไปสู่ Wayland อย่างเต็มรูปแบบ การรองรับนี้ช่วยให้ผู้ใช้เดสก์ท็อปสมัยใหม่ เช่น GNOME, KDE Plasma 6 และ COSMIC สามารถใช้งาน Ventoy GUI ได้อย่างราบรื่นขึ้น

    ในภาพรวม Ventoy 1.1.10 เป็นการอัปเดตที่แม้จะดูเล็ก แต่มีผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อผู้ใช้จำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานด้านไอที, นักทดสอบดิสโทร, และผู้ดูแลระบบที่ต้องการเครื่องมือ multiboot ที่เชื่อถือได้ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ไฮไลต์ของ Ventoy 1.1.10
    รองรับ AerynOS อย่างเป็นทางการ
    ปรับปรุงการบูตบน EXT4 ให้เสถียรขึ้น

    การพัฒนา GUI บน Wayland
    Ventoy LinuxGUI ทำงานได้ดีขึ้นบน Wayland
    รองรับเดสก์ท็อปยุคใหม่ เช่น GNOME และ KDE Plasma

    ประเด็นที่ผู้ใช้ควรระวัง
    ดิสโทรบางตัวอาจยังต้องการ compatibility tweaks
    การบูตบนฮาร์ดแวร์เก่าอาจยังมีปัญหาในบางกรณี

    คำแนะนำสำหรับผู้ใช้
    อัปเดต Ventoy USB ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดก่อนใช้งาน
    ทดสอบ ISO หลายตัวก่อนใช้งานจริงในงาน production

    https://9to5linux.com/ventoy-1-1-10-bootable-usb-creator-released-with-support-for-aerynos
    🧰 Ventoy 1.1.10 เปิดตัว: รองรับ AerynOS พร้อมยกระดับประสบการณ์ Multiboot บน Linux Ventoy 1.1.10 มาถึงพร้อมการอัปเดตสำคัญที่ทำให้เครื่องมือ multiboot ยอดนิยมนี้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการรองรับ AerynOS ซึ่งเป็นดิสโทรรุ่นใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจในชุมชนโอเพ่นซอร์ส การรองรับนี้สะท้อนให้เห็นว่า Ventoy ยังคงเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการทดสอบดิสโทรจำนวนมากโดยไม่ต้องเขียน USB ใหม่ทุกครั้ง การอัปเดตครั้งนี้ยังมาพร้อมการปรับปรุงการบูตบนระบบไฟล์ EXT4 ซึ่งเป็นฟอร์แมตที่ดิสโทร Linux ส่วนใหญ่ใช้เป็นค่าเริ่มต้น การแก้ไขนี้ช่วยลดปัญหาบูตไม่ขึ้นหรือโหลดเคอร์เนลผิดพลาดที่เคยเกิดในบางรุ่นของดิสโทร ทำให้ Ventoy กลายเป็นเครื่องมือที่เสถียรขึ้นสำหรับงานทดสอบระบบ, recovery, และ deployment ในองค์กร อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือการปรับปรุง Wayland support สำหรับ Ventoy LinuxGUI ซึ่งเป็นสัญญาณว่าทีมพัฒนา Ventoyกำลังเดินหน้าให้ GUI ของตนเข้ากันได้กับอนาคตของ Linux Desktop ที่กำลังเปลี่ยนผ่านจาก X11 ไปสู่ Wayland อย่างเต็มรูปแบบ การรองรับนี้ช่วยให้ผู้ใช้เดสก์ท็อปสมัยใหม่ เช่น GNOME, KDE Plasma 6 และ COSMIC สามารถใช้งาน Ventoy GUI ได้อย่างราบรื่นขึ้น ในภาพรวม Ventoy 1.1.10 เป็นการอัปเดตที่แม้จะดูเล็ก แต่มีผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อผู้ใช้จำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานด้านไอที, นักทดสอบดิสโทร, และผู้ดูแลระบบที่ต้องการเครื่องมือ multiboot ที่เชื่อถือได้ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ไฮไลต์ของ Ventoy 1.1.10 ➡️ รองรับ AerynOS อย่างเป็นทางการ ➡️ ปรับปรุงการบูตบน EXT4 ให้เสถียรขึ้น ✅ การพัฒนา GUI บน Wayland ➡️ Ventoy LinuxGUI ทำงานได้ดีขึ้นบน Wayland ➡️ รองรับเดสก์ท็อปยุคใหม่ เช่น GNOME และ KDE Plasma ‼️ ประเด็นที่ผู้ใช้ควรระวัง ⛔ ดิสโทรบางตัวอาจยังต้องการ compatibility tweaks ⛔ การบูตบนฮาร์ดแวร์เก่าอาจยังมีปัญหาในบางกรณี ‼️ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ ⛔ อัปเดต Ventoy USB ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดก่อนใช้งาน ⛔ ทดสอบ ISO หลายตัวก่อนใช้งานจริงในงาน production https://9to5linux.com/ventoy-1-1-10-bootable-usb-creator-released-with-support-for-aerynos
    9TO5LINUX.COM
    Ventoy 1.1.10 Bootable USB Creator Released with Support for AerynOS - 9to5Linux
    Ventoy 1.1.10 open-source bootable USB solution is now available for download with support for AerynOS and other improvements.
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • MPV 0.41 มาแล้ว: ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของวิดีโอเพลเยอร์สายโอเพ่นซอร์สบน Wayland

    MPV 0.41 เปิดตัวพร้อมการปรับปรุงสำคัญด้าน Wayland ซึ่งเป็นหัวใจของเดสก์ท็อป Linux ยุคใหม่ การอัปเดตครั้งนี้ช่วยให้การเรนเดอร์ภาพลื่นไหลขึ้น ลด input latency และแก้ปัญหาการจัดการหน้าต่างที่เคยเป็นข้อจำกัดในเวอร์ชันก่อนหน้า การพัฒนา Wayland ecosystem ที่เร็วขึ้นในปี 2025 ทำให้โปรเจกต์อย่าง MPV ต้องเร่งตามให้ทัน และเวอร์ชันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้เดสก์ท็อปสมัยใหม่ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

    อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือการรองรับ Ambient Light Sensor (ALS) ผ่าน sysfs ซึ่งช่วยให้ MPV ปรับความสว่างของวิดีโอตามสภาพแสงรอบตัวได้อัตโนมัติ ฟีเจอร์นี้เคยพบในอุปกรณ์พกพาและระบบปฏิบัติการเชิงพาณิชย์ แต่กำลังเริ่มถูกนำมาใช้ใน Linux Desktop มากขึ้น โดยเฉพาะในแล็ปท็อปรุ่นใหม่ที่รองรับเซนเซอร์แบบมาตรฐาน ACPI และ ALS

    การอัปเดตครั้งนี้ยังสอดคล้องกับทิศทางของ MPV ที่เน้นการรองรับเทคโนโลยีภาพสมัยใหม่ เช่น HDR, tone‑mapping และ GPU scaling ซึ่งเริ่มถูกผลักดันอย่างจริงจังตั้งแต่เวอร์ชัน 0.39–0.40 การพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้ MPV กลายเป็นหนึ่งในวิดีโอเพลเยอร์ที่นักรีวิวสาย Linux ยกให้เป็น “มาตรฐานทองคำ” สำหรับงานดูหนังคุณภาพสูงบนระบบโอเพ่นซอร์ส

    ในภาพรวม MPV 0.41 ไม่ได้เป็นเพียงอัปเดตเล็ก ๆ แต่เป็นการยืนยันว่าโปรเจกต์ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคง และพร้อมรองรับอนาคตของ Linux Desktop ที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ Wayland เต็มรูปแบบ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความเข้ากันได้ และฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่มากขึ้น

    ไฮไลต์ของ MPV 0.41
    ปรับปรุง Wayland ให้เสถียรและตอบสนองเร็วขึ้น
    รองรับ Ambient Light Sensor ผ่าน sysfs ALS

    ทิศทางการพัฒนา
    สอดคล้องกับการผลักดัน Wayland ใน Linux Desktop
    เดินหน้ารองรับ HDR และ GPU scaling อย่างต่อเนื่อง

    ประเด็นที่ผู้ใช้ควรระวัง
    ฟีเจอร์ ALS อาจใช้ไม่ได้ในฮาร์ดแวร์รุ่นเก่า
    การเปลี่ยนผ่านสู่ Wayland อาจทำให้ปลั๊กอินหรือสคริปต์บางตัวต้องปรับตาม

    คำแนะนำสำหรับผู้ใช้
    อัปเดตไดรเวอร์ GPU ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อรองรับฟีเจอร์ใหม่
    ตรวจสอบการตั้งค่า Wayland หากพบปัญหา input หรือการเรนเดอร์

    https://9to5linux.com/mpv-0-41-open-source-video-player-released-with-improved-wayland-support
    🎬 MPV 0.41 มาแล้ว: ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของวิดีโอเพลเยอร์สายโอเพ่นซอร์สบน Wayland MPV 0.41 เปิดตัวพร้อมการปรับปรุงสำคัญด้าน Wayland ซึ่งเป็นหัวใจของเดสก์ท็อป Linux ยุคใหม่ การอัปเดตครั้งนี้ช่วยให้การเรนเดอร์ภาพลื่นไหลขึ้น ลด input latency และแก้ปัญหาการจัดการหน้าต่างที่เคยเป็นข้อจำกัดในเวอร์ชันก่อนหน้า การพัฒนา Wayland ecosystem ที่เร็วขึ้นในปี 2025 ทำให้โปรเจกต์อย่าง MPV ต้องเร่งตามให้ทัน และเวอร์ชันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้เดสก์ท็อปสมัยใหม่ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือการรองรับ Ambient Light Sensor (ALS) ผ่าน sysfs ซึ่งช่วยให้ MPV ปรับความสว่างของวิดีโอตามสภาพแสงรอบตัวได้อัตโนมัติ ฟีเจอร์นี้เคยพบในอุปกรณ์พกพาและระบบปฏิบัติการเชิงพาณิชย์ แต่กำลังเริ่มถูกนำมาใช้ใน Linux Desktop มากขึ้น โดยเฉพาะในแล็ปท็อปรุ่นใหม่ที่รองรับเซนเซอร์แบบมาตรฐาน ACPI และ ALS การอัปเดตครั้งนี้ยังสอดคล้องกับทิศทางของ MPV ที่เน้นการรองรับเทคโนโลยีภาพสมัยใหม่ เช่น HDR, tone‑mapping และ GPU scaling ซึ่งเริ่มถูกผลักดันอย่างจริงจังตั้งแต่เวอร์ชัน 0.39–0.40 การพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้ MPV กลายเป็นหนึ่งในวิดีโอเพลเยอร์ที่นักรีวิวสาย Linux ยกให้เป็น “มาตรฐานทองคำ” สำหรับงานดูหนังคุณภาพสูงบนระบบโอเพ่นซอร์ส ในภาพรวม MPV 0.41 ไม่ได้เป็นเพียงอัปเดตเล็ก ๆ แต่เป็นการยืนยันว่าโปรเจกต์ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคง และพร้อมรองรับอนาคตของ Linux Desktop ที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ Wayland เต็มรูปแบบ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความเข้ากันได้ และฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่มากขึ้น ✅ ไฮไลต์ของ MPV 0.41 ➡️ ปรับปรุง Wayland ให้เสถียรและตอบสนองเร็วขึ้น ➡️ รองรับ Ambient Light Sensor ผ่าน sysfs ALS ✅ ทิศทางการพัฒนา ➡️ สอดคล้องกับการผลักดัน Wayland ใน Linux Desktop ➡️ เดินหน้ารองรับ HDR และ GPU scaling อย่างต่อเนื่อง ‼️ ประเด็นที่ผู้ใช้ควรระวัง ⛔ ฟีเจอร์ ALS อาจใช้ไม่ได้ในฮาร์ดแวร์รุ่นเก่า ⛔ การเปลี่ยนผ่านสู่ Wayland อาจทำให้ปลั๊กอินหรือสคริปต์บางตัวต้องปรับตาม ‼️ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ ⛔ อัปเดตไดรเวอร์ GPU ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อรองรับฟีเจอร์ใหม่ ⛔ ตรวจสอบการตั้งค่า Wayland หากพบปัญหา input หรือการเรนเดอร์ https://9to5linux.com/mpv-0-41-open-source-video-player-released-with-improved-wayland-support
    9TO5LINUX.COM
    MPV 0.41 Open-Source Video Player Released with Improved Wayland Support - 9to5Linux
    MPV 0.41 open-source media player is now available for download with improved Wayland support and ambient light support on Linux.
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • โครงการกู้คืนเกม Sega Channel ครั้งใหญ่: 144 ROM ที่เคยหายสาบสูญกลับมาอีกครั้ง

    โครงการอนุรักษ์เกมครั้งสำคัญของ Video Game History Foundation (VGHF) ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ หลังจากใช้เวลานานกว่า 2 ปีในการกู้คืน 144 เกม Sega Genesis ที่ไม่เคยถูกดัมพ์มาก่อน จากยุคกลางทศวรรษ 1990 โดยข้อมูลทั้งหมดถูกค้นพบจากเทปแบ็กอัปที่เก็บไว้โดยอดีตทีมงาน Sega Channel ซึ่งเป็นบริการเกมผ่านเคเบิลทีวีที่ล้ำสมัยเกินยุคของมันเอง

    Sega Channel เปิดให้บริการในปี 1994 ใช้เครือข่ายเคเบิลทีวีส่งข้อมูลเกมไปยังผู้เล่นในยุคที่อินเทอร์เน็ตยังมีเพียง 2–3% ของครัวเรือนในสหรัฐฯ ถือเป็นบริการ “Game Pass ยุคดึกดำบรรพ์” ที่มีเกมหมุนเวียนกว่า 50 เกมต่อเดือน และมีเกมพิเศษที่ไม่เคยวางขายเป็นตลับจริงหลายรายการ ซึ่งหลายเกมเคยถูกมองว่า “สูญหายไปตลอดกาล” จนกระทั่งโครงการนี้ค้นพบสำเนาในเทปแบ็กอัปเก่า

    หนึ่งในไฮไลต์คือ Garfield: The Lost Levels และ The Flintstones (Movie Game) ซึ่งเป็นคอนเทนต์พิเศษเฉพาะ Sega Channel รวมถึงเกมทดลองของ Web Blaster เว็บบราวเซอร์ที่ไม่เคยออกวางจำหน่ายสำหรับ Genesis นอกจากนี้ยังมีเกมที่ถูกตัดเนื้อหาเพื่อลดขนาดไฟล์ เช่น Super Street Fighter II เวอร์ชันที่ลดจำนวนตัวละครลงครึ่งหนึ่งเพื่อให้เหมาะกับข้อจำกัดของระบบส่งข้อมูลผ่านเคเบิลทีวีในยุคนั้น

    การค้นพบครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของวงการอนุรักษ์เกม เพราะ Sega Channel เป็นบริการที่อยู่ในช่วงรอยต่อระหว่างยุคตลับเกมและยุคอินเทอร์เน็ต ทำให้ข้อมูลจำนวนมากตกหล่นและเสี่ยงสูญหาย การกู้คืน ROM ทั้งหมด 144 รายการจึงช่วยเติมเต็มประวัติศาสตร์ของเกม 16 บิต และเปิดโอกาสให้นักวิจัยและแฟนเกมได้สัมผัสประสบการณ์ที่เคยคิดว่าไม่มีวันได้เห็นอีกครั้ง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    โครงการกู้คืน Sega Channel สำเร็จ
    พบ ROM ที่ไม่เคยถูกดัมพ์มาก่อนจำนวน 144 รายการ
    ข้อมูลทั้งหมดมาจากเทปแบ็กอัปของทีมงาน Sega Channel

    Sega Channel คือบริการเกมผ่านเคเบิลทีวีสุดล้ำยุค
    เปิดปี 1994 ก่อนยุคอินเทอร์เน็ตแพร่หลาย
    มีเกมหมุนเวียนกว่า 50 เกมต่อเดือน และคอนเทนต์พิเศษเฉพาะแพลตฟอร์ม

    เกมพิเศษที่เคยคิดว่าสูญหายถูกค้นพบอีกครั้ง
    Garfield: The Lost Levels
    The Flintstones (Movie Game)
    Web Blaster เว็บบราวเซอร์ที่ไม่เคยออกจริง

    ข้อมูลที่กู้คืนช่วยเติมเต็มประวัติศาสตร์เกม 16 บิต
    ทำให้เห็นวิวัฒนาการของการกระจายเกมก่อนยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ

    ประเด็นที่ควรระวัง / ข้อจำกัด
    ROM เหล่านี้ยังมีประเด็นด้านลิขสิทธิ์
    ไม่สามารถเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างเสรี แม้จะเป็นงานอนุรักษ์

    บางเกมเป็นเวอร์ชันตัดเนื้อหา
    ไม่ใช่ตัวเกมเต็ม อาจไม่สะท้อนประสบการณ์ดั้งเดิม

    ข้อมูลจากเทปแบ็กอัปอาจไม่สมบูรณ์
    บางไฟล์อาจเสียหายหรือขาดหายไปตามกาลเวลา

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/massive-two-year-project-recovers-144-previously-undumped-sega-genesis-game-roms-from-the-mid-1990s-lost-garfield-and-flintstones-games-among-the-notable-finds
    🎮 โครงการกู้คืนเกม Sega Channel ครั้งใหญ่: 144 ROM ที่เคยหายสาบสูญกลับมาอีกครั้ง โครงการอนุรักษ์เกมครั้งสำคัญของ Video Game History Foundation (VGHF) ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ หลังจากใช้เวลานานกว่า 2 ปีในการกู้คืน 144 เกม Sega Genesis ที่ไม่เคยถูกดัมพ์มาก่อน จากยุคกลางทศวรรษ 1990 โดยข้อมูลทั้งหมดถูกค้นพบจากเทปแบ็กอัปที่เก็บไว้โดยอดีตทีมงาน Sega Channel ซึ่งเป็นบริการเกมผ่านเคเบิลทีวีที่ล้ำสมัยเกินยุคของมันเอง Sega Channel เปิดให้บริการในปี 1994 ใช้เครือข่ายเคเบิลทีวีส่งข้อมูลเกมไปยังผู้เล่นในยุคที่อินเทอร์เน็ตยังมีเพียง 2–3% ของครัวเรือนในสหรัฐฯ ถือเป็นบริการ “Game Pass ยุคดึกดำบรรพ์” ที่มีเกมหมุนเวียนกว่า 50 เกมต่อเดือน และมีเกมพิเศษที่ไม่เคยวางขายเป็นตลับจริงหลายรายการ ซึ่งหลายเกมเคยถูกมองว่า “สูญหายไปตลอดกาล” จนกระทั่งโครงการนี้ค้นพบสำเนาในเทปแบ็กอัปเก่า หนึ่งในไฮไลต์คือ Garfield: The Lost Levels และ The Flintstones (Movie Game) ซึ่งเป็นคอนเทนต์พิเศษเฉพาะ Sega Channel รวมถึงเกมทดลองของ Web Blaster เว็บบราวเซอร์ที่ไม่เคยออกวางจำหน่ายสำหรับ Genesis นอกจากนี้ยังมีเกมที่ถูกตัดเนื้อหาเพื่อลดขนาดไฟล์ เช่น Super Street Fighter II เวอร์ชันที่ลดจำนวนตัวละครลงครึ่งหนึ่งเพื่อให้เหมาะกับข้อจำกัดของระบบส่งข้อมูลผ่านเคเบิลทีวีในยุคนั้น การค้นพบครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของวงการอนุรักษ์เกม เพราะ Sega Channel เป็นบริการที่อยู่ในช่วงรอยต่อระหว่างยุคตลับเกมและยุคอินเทอร์เน็ต ทำให้ข้อมูลจำนวนมากตกหล่นและเสี่ยงสูญหาย การกู้คืน ROM ทั้งหมด 144 รายการจึงช่วยเติมเต็มประวัติศาสตร์ของเกม 16 บิต และเปิดโอกาสให้นักวิจัยและแฟนเกมได้สัมผัสประสบการณ์ที่เคยคิดว่าไม่มีวันได้เห็นอีกครั้ง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ โครงการกู้คืน Sega Channel สำเร็จ ➡️ พบ ROM ที่ไม่เคยถูกดัมพ์มาก่อนจำนวน 144 รายการ ➡️ ข้อมูลทั้งหมดมาจากเทปแบ็กอัปของทีมงาน Sega Channel ✅ Sega Channel คือบริการเกมผ่านเคเบิลทีวีสุดล้ำยุค ➡️ เปิดปี 1994 ก่อนยุคอินเทอร์เน็ตแพร่หลาย ➡️ มีเกมหมุนเวียนกว่า 50 เกมต่อเดือน และคอนเทนต์พิเศษเฉพาะแพลตฟอร์ม ✅ เกมพิเศษที่เคยคิดว่าสูญหายถูกค้นพบอีกครั้ง ➡️ Garfield: The Lost Levels ➡️ The Flintstones (Movie Game) ➡️ Web Blaster เว็บบราวเซอร์ที่ไม่เคยออกจริง ✅ ข้อมูลที่กู้คืนช่วยเติมเต็มประวัติศาสตร์เกม 16 บิต ➡️ ทำให้เห็นวิวัฒนาการของการกระจายเกมก่อนยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ ⚠️ ประเด็นที่ควรระวัง / ข้อจำกัด ‼️ ROM เหล่านี้ยังมีประเด็นด้านลิขสิทธิ์ ⛔ ไม่สามารถเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างเสรี แม้จะเป็นงานอนุรักษ์ ‼️ บางเกมเป็นเวอร์ชันตัดเนื้อหา ⛔ ไม่ใช่ตัวเกมเต็ม อาจไม่สะท้อนประสบการณ์ดั้งเดิม ‼️ ข้อมูลจากเทปแบ็กอัปอาจไม่สมบูรณ์ ⛔ บางไฟล์อาจเสียหายหรือขาดหายไปตามกาลเวลา https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/massive-two-year-project-recovers-144-previously-undumped-sega-genesis-game-roms-from-the-mid-1990s-lost-garfield-and-flintstones-games-among-the-notable-finds
    0 Comments 0 Shares 173 Views 0 Reviews
  • Mistral OCR 3: ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของการอ่านเอกสารด้วย AI

    Mistral OCR 3 คือเวอร์ชันใหม่ล่าสุดของระบบ OCR จาก Mistral AI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับความแม่นยำและความทนทานในการประมวลผลเอกสารทุกประเภท ตั้งแต่ฟอร์มราชการ สแกนคุณภาพต่ำ ไปจนถึงลายมือที่อ่านยาก จุดเด่นสำคัญคือประสิทธิภาพที่เหนือกว่า Mistral OCR 2 อย่างชัดเจน โดยมีอัตราชนะรวมกว่า 74% ในการทดสอบภายในกับเอกสารจริงจากลูกค้าองค์กร

    สิ่งที่ทำให้รุ่นนี้โดดเด่นคือความสามารถในการ “เข้าใจโครงสร้างเอกสาร” ไม่ใช่แค่ดึงข้อความออกมาเท่านั้น Mistral OCR 3 สามารถสร้าง Markdown ที่มี HTML table reconstruction เพื่อรักษาโครงสร้างตารางที่ซับซ้อน เช่น merged cells, multi-row headers และ column hierarchy ซึ่งเป็นสิ่งที่ OCR ทั่วไปทำได้ยากมาก นอกจากนี้ยังรองรับการดึงภาพที่ฝังอยู่ในเอกสารออกมาพร้อมกัน ทำให้เหมาะสำหรับ workflow ที่ต้องการข้อมูลครบถ้วนเพื่อป้อนให้ agent หรือระบบ downstream อื่นๆ

    อีกหนึ่งจุดแข็งคือความสามารถในการจัดการเอกสารที่มีคุณภาพต่ำ เช่น สแกนเอียง ภาพเบลอ DPI ต่ำ หรือมี noise ซึ่งเป็นปัญหาที่องค์กรจำนวนมากต้องเจอในงานจริง ไม่ว่าจะเป็นเอกสารเก่า เอกสารราชการ หรือไฟล์ที่ถูกถ่ายจากมือถือ Mistral OCR 3 ถูกฝึกมาให้ robust ต่อสถานการณ์เหล่านี้โดยเฉพาะ ทำให้ผลลัพธ์มีความเสถียรและพร้อมใช้งานมากขึ้นในระดับ production

    สุดท้าย Mistral OCR 3 ยังมาพร้อมราคาที่แข่งขันได้มาก—เพียง $2 ต่อ 1,000 หน้า และลดเหลือ $1 ต่อ 1,000 หน้า เมื่อใช้ Batch API ซึ่งถูกกว่าระบบ OCR เชิงพาณิชย์หลายเจ้าอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรที่ต้องการประมวลผลเอกสารจำนวนมากโดยไม่ต้องลงทุนสูง

    ไฮไลต์ของ Mistral OCR 3
    ประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก: ชนะ Mistral OCR 2 ถึง 74% ในการทดสอบภายใน
    รองรับเอกสารหลากหลายประเภท รวมถึงลายมือ ฟอร์ม และสแกนคุณภาพต่ำ
    สร้าง Markdown พร้อม HTML table reconstruction เพื่อรักษาโครงสร้างเอกสาร

    ความสามารถเชิงเทคนิค
    Robust ต่อ noise, skew, compression artifacts และ low DPI
    ดึงข้อความ + ภาพฝังในเอกสารได้พร้อมกัน
    รองรับ complex tables พร้อม colspan/rowspan

    การใช้งานจริงในองค์กร
    เหมาะสำหรับ pipeline ปริมาณสูง เช่น ใบแจ้งหนี้ เอกสารปฏิบัติการ รายงานวิชาการ
    ใช้ใน Document AI Playground เพื่อแปลง PDF/ภาพเป็น text หรือ JSON ได้ทันที
    ลูกค้าใช้เพื่อ digitize archives, extract structured fields และปรับปรุง enterprise search

    ด้านราคาและการเข้าถึง
    ราคาเพียง $2 ต่อ 1,000 หน้า (ลดเหลือ $1 เมื่อใช้ Batch API)
    backward compatible กับ Mistral OCR 2
    ใช้งานผ่าน API หรือ Document AI Playground ได้ทันที

    ประเด็นที่ต้องระวัง
    แม้จะ robust แต่เอกสารที่เสียหายหนักอาจยังต้อง preprocessing
    การ reconstruct ตารางซับซ้อนอาจต้องตรวจสอบผลลัพธ์ก่อนใช้งาน downstream
    การใช้งานใน pipeline ปริมาณมากต้องวางแผนด้าน latency และ throughput

    https://mistral.ai/news/mistral-ocr-3
    🔍 Mistral OCR 3: ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของการอ่านเอกสารด้วย AI Mistral OCR 3 คือเวอร์ชันใหม่ล่าสุดของระบบ OCR จาก Mistral AI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับความแม่นยำและความทนทานในการประมวลผลเอกสารทุกประเภท ตั้งแต่ฟอร์มราชการ สแกนคุณภาพต่ำ ไปจนถึงลายมือที่อ่านยาก จุดเด่นสำคัญคือประสิทธิภาพที่เหนือกว่า Mistral OCR 2 อย่างชัดเจน โดยมีอัตราชนะรวมกว่า 74% ในการทดสอบภายในกับเอกสารจริงจากลูกค้าองค์กร สิ่งที่ทำให้รุ่นนี้โดดเด่นคือความสามารถในการ “เข้าใจโครงสร้างเอกสาร” ไม่ใช่แค่ดึงข้อความออกมาเท่านั้น Mistral OCR 3 สามารถสร้าง Markdown ที่มี HTML table reconstruction เพื่อรักษาโครงสร้างตารางที่ซับซ้อน เช่น merged cells, multi-row headers และ column hierarchy ซึ่งเป็นสิ่งที่ OCR ทั่วไปทำได้ยากมาก นอกจากนี้ยังรองรับการดึงภาพที่ฝังอยู่ในเอกสารออกมาพร้อมกัน ทำให้เหมาะสำหรับ workflow ที่ต้องการข้อมูลครบถ้วนเพื่อป้อนให้ agent หรือระบบ downstream อื่นๆ อีกหนึ่งจุดแข็งคือความสามารถในการจัดการเอกสารที่มีคุณภาพต่ำ เช่น สแกนเอียง ภาพเบลอ DPI ต่ำ หรือมี noise ซึ่งเป็นปัญหาที่องค์กรจำนวนมากต้องเจอในงานจริง ไม่ว่าจะเป็นเอกสารเก่า เอกสารราชการ หรือไฟล์ที่ถูกถ่ายจากมือถือ Mistral OCR 3 ถูกฝึกมาให้ robust ต่อสถานการณ์เหล่านี้โดยเฉพาะ ทำให้ผลลัพธ์มีความเสถียรและพร้อมใช้งานมากขึ้นในระดับ production สุดท้าย Mistral OCR 3 ยังมาพร้อมราคาที่แข่งขันได้มาก—เพียง $2 ต่อ 1,000 หน้า และลดเหลือ $1 ต่อ 1,000 หน้า เมื่อใช้ Batch API ซึ่งถูกกว่าระบบ OCR เชิงพาณิชย์หลายเจ้าอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรที่ต้องการประมวลผลเอกสารจำนวนมากโดยไม่ต้องลงทุนสูง ✅ ไฮไลต์ของ Mistral OCR 3 ➡️ ประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก: ชนะ Mistral OCR 2 ถึง 74% ในการทดสอบภายใน ➡️ รองรับเอกสารหลากหลายประเภท รวมถึงลายมือ ฟอร์ม และสแกนคุณภาพต่ำ ➡️ สร้าง Markdown พร้อม HTML table reconstruction เพื่อรักษาโครงสร้างเอกสาร ✅ ความสามารถเชิงเทคนิค ➡️ Robust ต่อ noise, skew, compression artifacts และ low DPI ➡️ ดึงข้อความ + ภาพฝังในเอกสารได้พร้อมกัน ➡️ รองรับ complex tables พร้อม colspan/rowspan ✅ การใช้งานจริงในองค์กร ➡️ เหมาะสำหรับ pipeline ปริมาณสูง เช่น ใบแจ้งหนี้ เอกสารปฏิบัติการ รายงานวิชาการ ➡️ ใช้ใน Document AI Playground เพื่อแปลง PDF/ภาพเป็น text หรือ JSON ได้ทันที ➡️ ลูกค้าใช้เพื่อ digitize archives, extract structured fields และปรับปรุง enterprise search ✅ ด้านราคาและการเข้าถึง ➡️ ราคาเพียง $2 ต่อ 1,000 หน้า (ลดเหลือ $1 เมื่อใช้ Batch API) ➡️ backward compatible กับ Mistral OCR 2 ➡️ ใช้งานผ่าน API หรือ Document AI Playground ได้ทันที ‼️ ประเด็นที่ต้องระวัง ⛔ แม้จะ robust แต่เอกสารที่เสียหายหนักอาจยังต้อง preprocessing ⛔ การ reconstruct ตารางซับซ้อนอาจต้องตรวจสอบผลลัพธ์ก่อนใช้งาน downstream ⛔ การใช้งานใน pipeline ปริมาณมากต้องวางแผนด้าน latency และ throughput https://mistral.ai/news/mistral-ocr-3
    MISTRAL.AI
    Introducing Mistral OCR 3 | Mistral AI
    Achieving a new frontier for both accuracy and efficiency in document processing.
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • QuantWare เปิดตัว VIO‑40K: โปรเซสเซอร์ควอนตัม 10,000 คิวบิตที่พลิกเกมอุตสาหกรรม

    QuantWare สตาร์ทอัพจากเนเธอร์แลนด์สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการควอนตัมคอมพิวติ้งด้วยการเปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ VIO‑40K ซึ่งสามารถบรรจุคิวบิตได้ถึง 10,000 คิวบิตบนชิปเดียว มากกว่าชิปของ Google และ IBM ในปัจจุบันกว่า 100 เท่า ความก้าวหน้านี้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบจากระบบสายสัญญาณแบบ 2D ไปสู่ โครงสร้าง 3D พร้อมการเดินสายแบบแนวตั้ง ซึ่งช่วยแก้ปัญหาคอขวดด้านการเชื่อมต่อที่เป็นอุปสรรคใหญ่ของวงการมานานหลายปี

    หัวใจของสถาปัตยกรรมนี้คือการใช้ chiplets—โมดูลชิปขนาดเล็กที่นำมาต่อกันเป็นระบบใหญ่—ทำให้ QuantWare สามารถสร้าง QPU ที่รองรับ 40,000 I/O lines ได้โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดชิปอย่างไร้ขีดจำกัด แนวทางนี้คล้ายกับการแก้ปัญหาความแออัดของเมือง: แทนที่จะขยายออกด้านข้าง ก็สร้างตึกสูงขึ้นแทน เป็นการพลิกวิธีคิดที่ช่วยให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถสเกลได้จริงในระดับอุตสาหกรรม

    สิ่งที่ทำให้ QuantWare น่าสนใจยิ่งขึ้นคือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่างจากยักษ์ใหญ่ในวงการ Google และ IBM ที่สร้างทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เองทั้งหมด QuantWare เลือกเดินเส้นทางแบบ “Intel ของวงการควอนตัม” โดยเน้นขายชิปให้ผู้ผลิตรายอื่น และผลักดันแนวคิด Quantum Open Architecture เพื่อให้ฮาร์ดแวร์ของตนเชื่อมต่อกับ ecosystem ที่มีอยู่แล้ว เช่น Nvidia NVQLink และ CUDA‑Q ซึ่งอาจเปิดประตูสู่ระบบไฮบริดที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์คลาสสิกสามารถส่งงานบางส่วนให้ QPU ทำได้อย่างไร้รอยต่อ

    แม้จะเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ แต่คำถามสำคัญยังคงอยู่: “ชิปที่ใหญ่ขึ้นคือชิปที่ดีกว่าหรือไม่?” ในขณะที่ Google และ IBM มุ่งเน้นการแก้ปัญหา error correction และ fault tolerance QuantWare เลือกใช้แนวทาง brute‑force scaling ซึ่งอาจได้ผลในระยะสั้น แต่ต้องพิสูจน์ความเสถียรในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การประกาศว่าจะเริ่มขายชิปให้ลูกค้าในปี 2028 ทำให้วงการจับตามองว่า QuantWare จะสามารถรักษาความได้เปรียบนี้ไว้ได้หรือไม่ เมื่อเทียบกับ Big Tech ที่มีทรัพยากรมหาศาล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ไฮไลต์จากสถาปัตยกรรม VIO‑40K
    รองรับ 10,000 คิวบิต มากกว่า Google/IBM ประมาณ 100 เท่า
    ใช้ 3D vertical wiring แทน 2D เพื่อลดคอขวดด้านการเชื่อมต่อ
    ใช้ chiplets เพื่อสร้างระบบขนาดใหญ่แบบโมดูลาร์
    รองรับ 40,000 I/O lines ซึ่งเป็นระดับอุตสาหกรรม

    กลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่าง
    ตั้งเป้าเป็น “Intel ของควอนตัม” โดยขายชิปแทนสร้างระบบเอง
    ผลักดัน Quantum Open Architecture เพื่อให้ ecosystem เปิดกว้าง
    ทำงานร่วมกับ Nvidia NVQLink และ CUDA‑Q ได้โดยตรง

    บริบทจากวงการควอนตัมคอมพิวติ้ง
    Google และ IBM เน้น error correction มากกว่า brute‑force scaling
    การสเกลคิวบิตเป็นปัญหาใหญ่ของวงการมานาน
    การใช้ chiplets อาจเป็นแนวทางใหม่ของการสร้าง QPU ขนาดใหญ่

    ประเด็นที่ต้องจับตา
    จำนวนคิวบิตมากขึ้นไม่ได้แปลว่าประสิทธิภาพดีขึ้นเสมอไป
    ความเสถียรและ error rate ยังต้องพิสูจน์ในงานจริง
    Big Tech อาจไล่ทันหรือแซงได้ด้วยทรัพยากรที่เหนือกว่า

    https://www.slashgear.com/2053448/quantware-quantum-computer-processor-10000-qubit/
    ⚛️ QuantWare เปิดตัว VIO‑40K: โปรเซสเซอร์ควอนตัม 10,000 คิวบิตที่พลิกเกมอุตสาหกรรม QuantWare สตาร์ทอัพจากเนเธอร์แลนด์สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการควอนตัมคอมพิวติ้งด้วยการเปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ VIO‑40K ซึ่งสามารถบรรจุคิวบิตได้ถึง 10,000 คิวบิตบนชิปเดียว มากกว่าชิปของ Google และ IBM ในปัจจุบันกว่า 100 เท่า ความก้าวหน้านี้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบจากระบบสายสัญญาณแบบ 2D ไปสู่ โครงสร้าง 3D พร้อมการเดินสายแบบแนวตั้ง ซึ่งช่วยแก้ปัญหาคอขวดด้านการเชื่อมต่อที่เป็นอุปสรรคใหญ่ของวงการมานานหลายปี หัวใจของสถาปัตยกรรมนี้คือการใช้ chiplets—โมดูลชิปขนาดเล็กที่นำมาต่อกันเป็นระบบใหญ่—ทำให้ QuantWare สามารถสร้าง QPU ที่รองรับ 40,000 I/O lines ได้โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดชิปอย่างไร้ขีดจำกัด แนวทางนี้คล้ายกับการแก้ปัญหาความแออัดของเมือง: แทนที่จะขยายออกด้านข้าง ก็สร้างตึกสูงขึ้นแทน เป็นการพลิกวิธีคิดที่ช่วยให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถสเกลได้จริงในระดับอุตสาหกรรม สิ่งที่ทำให้ QuantWare น่าสนใจยิ่งขึ้นคือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่างจากยักษ์ใหญ่ในวงการ Google และ IBM ที่สร้างทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เองทั้งหมด QuantWare เลือกเดินเส้นทางแบบ “Intel ของวงการควอนตัม” โดยเน้นขายชิปให้ผู้ผลิตรายอื่น และผลักดันแนวคิด Quantum Open Architecture เพื่อให้ฮาร์ดแวร์ของตนเชื่อมต่อกับ ecosystem ที่มีอยู่แล้ว เช่น Nvidia NVQLink และ CUDA‑Q ซึ่งอาจเปิดประตูสู่ระบบไฮบริดที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์คลาสสิกสามารถส่งงานบางส่วนให้ QPU ทำได้อย่างไร้รอยต่อ แม้จะเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ แต่คำถามสำคัญยังคงอยู่: “ชิปที่ใหญ่ขึ้นคือชิปที่ดีกว่าหรือไม่?” ในขณะที่ Google และ IBM มุ่งเน้นการแก้ปัญหา error correction และ fault tolerance QuantWare เลือกใช้แนวทาง brute‑force scaling ซึ่งอาจได้ผลในระยะสั้น แต่ต้องพิสูจน์ความเสถียรในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การประกาศว่าจะเริ่มขายชิปให้ลูกค้าในปี 2028 ทำให้วงการจับตามองว่า QuantWare จะสามารถรักษาความได้เปรียบนี้ไว้ได้หรือไม่ เมื่อเทียบกับ Big Tech ที่มีทรัพยากรมหาศาล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ไฮไลต์จากสถาปัตยกรรม VIO‑40K ➡️ รองรับ 10,000 คิวบิต มากกว่า Google/IBM ประมาณ 100 เท่า ➡️ ใช้ 3D vertical wiring แทน 2D เพื่อลดคอขวดด้านการเชื่อมต่อ ➡️ ใช้ chiplets เพื่อสร้างระบบขนาดใหญ่แบบโมดูลาร์ ➡️ รองรับ 40,000 I/O lines ซึ่งเป็นระดับอุตสาหกรรม ✅ กลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่าง ➡️ ตั้งเป้าเป็น “Intel ของควอนตัม” โดยขายชิปแทนสร้างระบบเอง ➡️ ผลักดัน Quantum Open Architecture เพื่อให้ ecosystem เปิดกว้าง ➡️ ทำงานร่วมกับ Nvidia NVQLink และ CUDA‑Q ได้โดยตรง ✅ บริบทจากวงการควอนตัมคอมพิวติ้ง ➡️ Google และ IBM เน้น error correction มากกว่า brute‑force scaling ➡️ การสเกลคิวบิตเป็นปัญหาใหญ่ของวงการมานาน ➡️ การใช้ chiplets อาจเป็นแนวทางใหม่ของการสร้าง QPU ขนาดใหญ่ ‼️ ประเด็นที่ต้องจับตา ⛔ จำนวนคิวบิตมากขึ้นไม่ได้แปลว่าประสิทธิภาพดีขึ้นเสมอไป ⛔ ความเสถียรและ error rate ยังต้องพิสูจน์ในงานจริง ⛔ Big Tech อาจไล่ทันหรือแซงได้ด้วยทรัพยากรที่เหนือกว่า https://www.slashgear.com/2053448/quantware-quantum-computer-processor-10000-qubit/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Company Unveils New Quantum Processor 100x Denser Than Any Other - SlashGear
    There has been a break through in the quantum industry with a company unveiling a new processor that is 100x denser than any other.
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • Darktable 5.4: อัปเดตใหม่ เพิ่มการรองรับกล้องรุ่นล่าสุดและยกระดับเวิร์กโฟลว์ RAW

    Darktable 5.4 มาพร้อมการอัปเดตสำคัญที่เน้นการรองรับกล้องรุ่นใหม่จาก Canon หลายรุ่น ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ช่างภาพที่ต้องการเวิร์กโฟลว์ RAW ที่เสถียรและแม่นยำมากขึ้นบน Linux การเพิ่มการรองรับกล้องใหม่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำไฟล์ RAW จากกล้องระดับโปรเข้ามาแก้ไขได้ทันทีโดยไม่ต้องรอแพตช์เสริมเหมือนในอดีต ทำให้ Darktable ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ช่างภาพสาย Linux ไว้ใจมากที่สุด

    แม้เนื้อหาในหน้าเว็บจะเน้นไปที่การรองรับกล้องใหม่ แต่ในภาพรวม Darktable 5.4 ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของซอฟต์แวร์แต่งภาพโอเพ่นซอร์สที่พยายามไล่ตามความเร็วของวงการกล้องที่ออกโมเดลใหม่แทบทุกปี การอัปเดตแบบต่อเนื่องนี้ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และยังทำให้ Darktable เป็นตัวเลือกที่แข็งแรงขึ้นเมื่อเทียบกับ Lightroom หรือ Capture One ในมุมของความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์ล่าสุด

    ในมุมของ ecosystem การที่ Darktable รองรับกล้องใหม่ได้เร็วขึ้นเป็นผลจากการร่วมมือของชุมชนผู้พัฒนาและผู้ใช้ที่ช่วยส่งตัวอย่างไฟล์ RAW เพื่อให้ทีมงานปรับปรุงโมดูล demosaic และ color profile ได้แม่นยำขึ้น นี่คือพลังของโอเพ่นซอร์สที่ทำให้ซอฟต์แวร์เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องรอค่ายกล้องปล่อย SDK อย่างเป็นทางการ

    สุดท้าย การอัปเดตครั้งนี้ยังเป็นสัญญาณว่าซอฟต์แวร์แต่งภาพบน Linux กำลังพัฒนาไปในทิศทางที่มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในยุคที่ผู้ใช้ต้องการเครื่องมือที่ทั้งฟรี ทรงพลัง และรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่อย่างรวดเร็ว ซึ่ง Darktable 5.4 ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามันยังคงเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่ตอบโจทย์สายถ่ายภาพได้ดีที่สุดในโลกโอเพ่นซอร์ส

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ไฮไลต์จาก Darktable 5.4
    เพิ่มการรองรับกล้อง Canon EOS R1, R5 Mark II, PowerShot D10, S100V และ S2 IS
    ปรับปรุงความเข้ากันได้ของไฟล์ RAW สำหรับกล้องรุ่นใหม่
    ยกระดับเวิร์กโฟลว์สำหรับช่างภาพที่ใช้ Linux

    ความสำคัญต่อผู้ใช้
    ผู้ใช้สามารถนำไฟล์ RAW จากกล้องใหม่มาใช้งานได้ทันที
    ลดความจำเป็นต้องใช้ซอฟต์แวร์ proprietary บนระบบอื่น
    ทำให้ Darktable เป็นตัวเลือกที่มั่นคงสำหรับงานถ่ายภาพระดับโปร

    บริบทจากโลกโอเพ่นซอร์ส
    การอัปเดตเร็วขึ้นเกิดจากความร่วมมือของชุมชน
    การรองรับกล้องใหม่ช่วยให้ Darktable แข่งขันกับ Lightroom ได้ดีขึ้น
    Ecosystem ของซอฟต์แวร์แต่งภาพบน Linux แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ

    สิ่งที่ต้องระวัง
    การรองรับกล้องใหม่อาจยังไม่สมบูรณ์ในบางกรณี ต้องรอการปรับปรุงเพิ่มเติม
    ผู้ใช้บางรายอาจพบความคลาดเคลื่อนของ color profile ในช่วงแรก
    ฟีเจอร์ใหม่อาจยังไม่รองรับปลั๊กอินบางตัว

    https://9to5linux.com/darktable-5-4-open-source-raw-image-editor-improves-camera-support
    📸 Darktable 5.4: อัปเดตใหม่ เพิ่มการรองรับกล้องรุ่นล่าสุดและยกระดับเวิร์กโฟลว์ RAW Darktable 5.4 มาพร้อมการอัปเดตสำคัญที่เน้นการรองรับกล้องรุ่นใหม่จาก Canon หลายรุ่น ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ช่างภาพที่ต้องการเวิร์กโฟลว์ RAW ที่เสถียรและแม่นยำมากขึ้นบน Linux การเพิ่มการรองรับกล้องใหม่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำไฟล์ RAW จากกล้องระดับโปรเข้ามาแก้ไขได้ทันทีโดยไม่ต้องรอแพตช์เสริมเหมือนในอดีต ทำให้ Darktable ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ช่างภาพสาย Linux ไว้ใจมากที่สุด แม้เนื้อหาในหน้าเว็บจะเน้นไปที่การรองรับกล้องใหม่ แต่ในภาพรวม Darktable 5.4 ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของซอฟต์แวร์แต่งภาพโอเพ่นซอร์สที่พยายามไล่ตามความเร็วของวงการกล้องที่ออกโมเดลใหม่แทบทุกปี การอัปเดตแบบต่อเนื่องนี้ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และยังทำให้ Darktable เป็นตัวเลือกที่แข็งแรงขึ้นเมื่อเทียบกับ Lightroom หรือ Capture One ในมุมของความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์ล่าสุด ในมุมของ ecosystem การที่ Darktable รองรับกล้องใหม่ได้เร็วขึ้นเป็นผลจากการร่วมมือของชุมชนผู้พัฒนาและผู้ใช้ที่ช่วยส่งตัวอย่างไฟล์ RAW เพื่อให้ทีมงานปรับปรุงโมดูล demosaic และ color profile ได้แม่นยำขึ้น นี่คือพลังของโอเพ่นซอร์สที่ทำให้ซอฟต์แวร์เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องรอค่ายกล้องปล่อย SDK อย่างเป็นทางการ สุดท้าย การอัปเดตครั้งนี้ยังเป็นสัญญาณว่าซอฟต์แวร์แต่งภาพบน Linux กำลังพัฒนาไปในทิศทางที่มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในยุคที่ผู้ใช้ต้องการเครื่องมือที่ทั้งฟรี ทรงพลัง และรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่อย่างรวดเร็ว ซึ่ง Darktable 5.4 ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามันยังคงเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่ตอบโจทย์สายถ่ายภาพได้ดีที่สุดในโลกโอเพ่นซอร์ส 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ไฮไลต์จาก Darktable 5.4 ➡️ เพิ่มการรองรับกล้อง Canon EOS R1, R5 Mark II, PowerShot D10, S100V และ S2 IS ➡️ ปรับปรุงความเข้ากันได้ของไฟล์ RAW สำหรับกล้องรุ่นใหม่ ➡️ ยกระดับเวิร์กโฟลว์สำหรับช่างภาพที่ใช้ Linux ✅ ความสำคัญต่อผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้สามารถนำไฟล์ RAW จากกล้องใหม่มาใช้งานได้ทันที ➡️ ลดความจำเป็นต้องใช้ซอฟต์แวร์ proprietary บนระบบอื่น ➡️ ทำให้ Darktable เป็นตัวเลือกที่มั่นคงสำหรับงานถ่ายภาพระดับโปร ✅ บริบทจากโลกโอเพ่นซอร์ส ➡️ การอัปเดตเร็วขึ้นเกิดจากความร่วมมือของชุมชน ➡️ การรองรับกล้องใหม่ช่วยให้ Darktable แข่งขันกับ Lightroom ได้ดีขึ้น ➡️ Ecosystem ของซอฟต์แวร์แต่งภาพบน Linux แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ‼️ สิ่งที่ต้องระวัง ⛔ การรองรับกล้องใหม่อาจยังไม่สมบูรณ์ในบางกรณี ต้องรอการปรับปรุงเพิ่มเติม ⛔ ผู้ใช้บางรายอาจพบความคลาดเคลื่อนของ color profile ในช่วงแรก ⛔ ฟีเจอร์ใหม่อาจยังไม่รองรับปลั๊กอินบางตัว https://9to5linux.com/darktable-5-4-open-source-raw-image-editor-improves-camera-support
    9TO5LINUX.COM
    Darktable 5.4 Open-Source RAW Image Editor Improves Camera Support - 9to5Linux
    Darktable 5.4 open-source RAW image editor is now available for download with support for new cameras, new noise profiles, and bug fixes.
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • “Liquid Cooling ครองศูนย์ข้อมูล – TSMC นำเทรนด์ฝังระบบระบายความร้อนในซิลิคอน”

    ในอดีตศูนย์ข้อมูลส่วนใหญ่ใช้ Air Cooling เพราะต้นทุนต่ำและโครงสร้างง่าย แต่เมื่อพลังงานต่อแร็คพุ่งสูงถึง 40–140kW จากการใช้งาน AI และ GPU รุ่นใหม่ การระบายความร้อนด้วยอากาศเริ่มไม่เพียงพอ ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ Liquid Cooling ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าและสามารถรองรับความหนาแน่นความร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ปี 2024 ตลาด Liquid Cooling ครองส่วนแบ่งกว่า 46% ของตลาดทั้งหมด และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจนมีมูลค่า 25.12 พันล้านดอลลาร์ในปี 2031 การเติบโตนี้ขับเคลื่อนโดยความต้องการของ AI Data Center ที่ใช้ GPU และ CPU ที่กินไฟมหาศาล เช่น Nvidia Blackwell Ultra ที่ใช้พลังงานสูงถึง 1,400W ต่อชิป

    นอกจาก Liquid Cooling แบบทั่วไปแล้ว ยังมีการพัฒนา Hybrid Cooling ที่ผสมผสานการใช้อากาศและน้ำ รวมถึง Immersion Cooling ที่จุ่มเซิร์ฟเวอร์ทั้งเครื่องลงในน้ำมันหรือของเหลวไดอิเล็กทริก เพื่อรองรับความร้อนระดับ 1,500 W/cm² ซึ่งเป็นตัวเลขที่ Air Cooling ไม่สามารถทำได้

    ไฮไลต์สำคัญคือ TSMC Direct-to-Silicon Cooling ที่ฝังช่องทางระบายความร้อนเข้าไปในซิลิคอนโดยตรง ทำให้สามารถจัดการความร้อนใกล้กับทรานซิสเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เทคโนโลยีนี้ถูกคาดว่าจะพร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ในปี 2027 และอาจรองรับ GPU รุ่น Feynman ที่กินไฟกว่า 4.4kW ได้อย่างมีเสถียรภาพ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Air Cooling ยังมีบทบาทในศูนย์ข้อมูลเก่า
    ใช้โครงสร้าง Hot Aisle/Cold Aisle และ CRAC/CRAH Units

    Liquid Cooling เติบโตอย่างรวดเร็ว
    ครองตลาด 46% ในปี 2024 และคาดว่าจะโตถึง 25.12 พันล้านดอลลาร์ในปี 2031

    Hybrid และ Immersion Cooling ถูกนำมาใช้
    Hybrid ใช้ทั้งอากาศและน้ำ ส่วน Immersion รองรับความร้อนสูงถึง 1,500 W/cm²

    TSMC พัฒนา Direct-to-Silicon Cooling
    ฝังช่องระบายความร้อนในซิลิคอนโดยตรง รองรับพลังงานกว่า 2.6kW ต่อแพ็กเกจ

    ความท้าทายของ Liquid Cooling
    ต้นทุนสูงขึ้นมาก โดยระบบสำหรับแร็ค Nvidia Blackwell Ultra อาจมีค่าใช้จ่ายถึง 50,000 ดอลลาร์

    ความเสี่ยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน
    ศูนย์ข้อมูลต้องลงทุนใหม่เพื่อรองรับระบบ Liquid และ Immersion Cooling ซึ่งอาจไม่เหมาะกับทุกองค์กร

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cooling/the-data-center-cooling-state-of-play-2025-liquid-cooling-is-on-the-rise-thermal-density-demands-skyrocket-in-ai-data-centers-and-tsmc-leads-with-direct-to-silicon-solutions
    📰 “Liquid Cooling ครองศูนย์ข้อมูล – TSMC นำเทรนด์ฝังระบบระบายความร้อนในซิลิคอน” ในอดีตศูนย์ข้อมูลส่วนใหญ่ใช้ Air Cooling เพราะต้นทุนต่ำและโครงสร้างง่าย แต่เมื่อพลังงานต่อแร็คพุ่งสูงถึง 40–140kW จากการใช้งาน AI และ GPU รุ่นใหม่ การระบายความร้อนด้วยอากาศเริ่มไม่เพียงพอ ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ Liquid Cooling ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าและสามารถรองรับความหนาแน่นความร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 2024 ตลาด Liquid Cooling ครองส่วนแบ่งกว่า 46% ของตลาดทั้งหมด และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจนมีมูลค่า 25.12 พันล้านดอลลาร์ในปี 2031 การเติบโตนี้ขับเคลื่อนโดยความต้องการของ AI Data Center ที่ใช้ GPU และ CPU ที่กินไฟมหาศาล เช่น Nvidia Blackwell Ultra ที่ใช้พลังงานสูงถึง 1,400W ต่อชิป นอกจาก Liquid Cooling แบบทั่วไปแล้ว ยังมีการพัฒนา Hybrid Cooling ที่ผสมผสานการใช้อากาศและน้ำ รวมถึง Immersion Cooling ที่จุ่มเซิร์ฟเวอร์ทั้งเครื่องลงในน้ำมันหรือของเหลวไดอิเล็กทริก เพื่อรองรับความร้อนระดับ 1,500 W/cm² ซึ่งเป็นตัวเลขที่ Air Cooling ไม่สามารถทำได้ ไฮไลต์สำคัญคือ TSMC Direct-to-Silicon Cooling ที่ฝังช่องทางระบายความร้อนเข้าไปในซิลิคอนโดยตรง ทำให้สามารถจัดการความร้อนใกล้กับทรานซิสเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เทคโนโลยีนี้ถูกคาดว่าจะพร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ในปี 2027 และอาจรองรับ GPU รุ่น Feynman ที่กินไฟกว่า 4.4kW ได้อย่างมีเสถียรภาพ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Air Cooling ยังมีบทบาทในศูนย์ข้อมูลเก่า ➡️ ใช้โครงสร้าง Hot Aisle/Cold Aisle และ CRAC/CRAH Units ✅ Liquid Cooling เติบโตอย่างรวดเร็ว ➡️ ครองตลาด 46% ในปี 2024 และคาดว่าจะโตถึง 25.12 พันล้านดอลลาร์ในปี 2031 ✅ Hybrid และ Immersion Cooling ถูกนำมาใช้ ➡️ Hybrid ใช้ทั้งอากาศและน้ำ ส่วน Immersion รองรับความร้อนสูงถึง 1,500 W/cm² ✅ TSMC พัฒนา Direct-to-Silicon Cooling ➡️ ฝังช่องระบายความร้อนในซิลิคอนโดยตรง รองรับพลังงานกว่า 2.6kW ต่อแพ็กเกจ ‼️ ความท้าทายของ Liquid Cooling ⛔ ต้นทุนสูงขึ้นมาก โดยระบบสำหรับแร็ค Nvidia Blackwell Ultra อาจมีค่าใช้จ่ายถึง 50,000 ดอลลาร์ ‼️ ความเสี่ยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน ⛔ ศูนย์ข้อมูลต้องลงทุนใหม่เพื่อรองรับระบบ Liquid และ Immersion Cooling ซึ่งอาจไม่เหมาะกับทุกองค์กร https://www.tomshardware.com/pc-components/cooling/the-data-center-cooling-state-of-play-2025-liquid-cooling-is-on-the-rise-thermal-density-demands-skyrocket-in-ai-data-centers-and-tsmc-leads-with-direct-to-silicon-solutions
    0 Comments 0 Shares 223 Views 0 Reviews
  • Rivian เปิดตัว Custom Silicon และแพลตฟอร์ม Autonomy ใหม่

    Rivian ประกาศความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในงาน Autonomy and AI Day โดยเปิดเผยว่าได้พัฒนา custom silicon ของตัวเองเพื่อใช้ในระบบขับขี่อัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลข้อมูลจากเซ็นเซอร์และลดการพึ่งพาชิปจากผู้ผลิตรายอื่น. การพัฒนาซิลิคอนเองถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ Rivian สามารถควบคุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้อย่างใกล้ชิด.

    นอกจากนี้ Rivian ยังเผย แผนงาน LiDAR สำหรับรถรุ่น R2 ที่จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบตัวรถ โดย LiDAR จะถูกผสานเข้ากับกล้องและเรดาร์เพื่อสร้างระบบ perception ที่ครบถ้วนและปลอดภัยมากขึ้น. สิ่งนี้สะท้อนถึงการลงทุนอย่างจริงจังในเทคโนโลยีเซ็นเซอร์เพื่อรองรับการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ.

    อีกหนึ่งไฮไลต์คือการเปิดตัว Universal Hands-Free ซึ่งเป็นระบบช่วยขับที่สามารถใช้งานได้บนถนนหลากหลายประเภท ไม่จำกัดเฉพาะทางหลวงที่มีการทำแผนที่ไว้ล่วงหน้า. ระบบนี้จะช่วยให้ผู้ขับสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัยได้ในสถานการณ์ที่ปลอดภัย โดยยังคงมีการตรวจสอบความพร้อมของผู้ขับอยู่ตลอดเวลา.

    แพลตฟอร์ม autonomy ใหม่ยังมาพร้อมการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ต่อเนื่อง ทำให้ Rivian สามารถส่งฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้ผู้ใช้ผ่าน OTA (over-the-air updates). สิ่งนี้ทำให้รถยนต์ Rivian ไม่เพียงแต่เป็นยานพาหนะ แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่สามารถพัฒนาได้ตลอดอายุการใช้งาน.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Custom Silicon ของ Rivian
    พัฒนาชิปเองเพื่อรองรับระบบขับขี่อัตโนมัติ
    ลดการพึ่งพาผู้ผลิตภายนอกและเพิ่มประสิทธิภาพ

    LiDAR Roadmap สำหรับ R2
    เพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับสภาพแวดล้อม
    ผสานกับกล้องและเรดาร์เพื่อ perception ที่ครบถ้วน

    Universal Hands-Free
    ใช้งานได้บนถนนหลายประเภท ไม่จำกัดเฉพาะทางหลวง
    ตรวจสอบความพร้อมของผู้ขับเพื่อความปลอดภัย

    Next-Gen Autonomy Platform
    อัปเดตซอฟต์แวร์ OTA อย่างต่อเนื่อง
    ยกระดับรถยนต์ Rivian ให้เป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยี

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    ระบบ hands-free ยังต้องพึ่งพาการตรวจสอบผู้ขับ
    การพัฒนา LiDAR และชิปเองต้องใช้ต้นทุนสูงและเวลานาน

    https://riviantrackr.com/news/rivian-unveils-custom-silicon-r2-lidar-roadmap-universal-hands-free-and-its-next-gen-autonomy-platform/
    🚙 Rivian เปิดตัว Custom Silicon และแพลตฟอร์ม Autonomy ใหม่ Rivian ประกาศความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในงาน Autonomy and AI Day โดยเปิดเผยว่าได้พัฒนา custom silicon ของตัวเองเพื่อใช้ในระบบขับขี่อัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลข้อมูลจากเซ็นเซอร์และลดการพึ่งพาชิปจากผู้ผลิตรายอื่น. การพัฒนาซิลิคอนเองถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ Rivian สามารถควบคุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้อย่างใกล้ชิด. นอกจากนี้ Rivian ยังเผย แผนงาน LiDAR สำหรับรถรุ่น R2 ที่จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบตัวรถ โดย LiDAR จะถูกผสานเข้ากับกล้องและเรดาร์เพื่อสร้างระบบ perception ที่ครบถ้วนและปลอดภัยมากขึ้น. สิ่งนี้สะท้อนถึงการลงทุนอย่างจริงจังในเทคโนโลยีเซ็นเซอร์เพื่อรองรับการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ. อีกหนึ่งไฮไลต์คือการเปิดตัว Universal Hands-Free ซึ่งเป็นระบบช่วยขับที่สามารถใช้งานได้บนถนนหลากหลายประเภท ไม่จำกัดเฉพาะทางหลวงที่มีการทำแผนที่ไว้ล่วงหน้า. ระบบนี้จะช่วยให้ผู้ขับสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัยได้ในสถานการณ์ที่ปลอดภัย โดยยังคงมีการตรวจสอบความพร้อมของผู้ขับอยู่ตลอดเวลา. แพลตฟอร์ม autonomy ใหม่ยังมาพร้อมการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ต่อเนื่อง ทำให้ Rivian สามารถส่งฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้ผู้ใช้ผ่าน OTA (over-the-air updates). สิ่งนี้ทำให้รถยนต์ Rivian ไม่เพียงแต่เป็นยานพาหนะ แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่สามารถพัฒนาได้ตลอดอายุการใช้งาน. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Custom Silicon ของ Rivian ➡️ พัฒนาชิปเองเพื่อรองรับระบบขับขี่อัตโนมัติ ➡️ ลดการพึ่งพาผู้ผลิตภายนอกและเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ LiDAR Roadmap สำหรับ R2 ➡️ เพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับสภาพแวดล้อม ➡️ ผสานกับกล้องและเรดาร์เพื่อ perception ที่ครบถ้วน ✅ Universal Hands-Free ➡️ ใช้งานได้บนถนนหลายประเภท ไม่จำกัดเฉพาะทางหลวง ➡️ ตรวจสอบความพร้อมของผู้ขับเพื่อความปลอดภัย ✅ Next-Gen Autonomy Platform ➡️ อัปเดตซอฟต์แวร์ OTA อย่างต่อเนื่อง ➡️ ยกระดับรถยนต์ Rivian ให้เป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยี ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ ระบบ hands-free ยังต้องพึ่งพาการตรวจสอบผู้ขับ ⛔ การพัฒนา LiDAR และชิปเองต้องใช้ต้นทุนสูงและเวลานาน https://riviantrackr.com/news/rivian-unveils-custom-silicon-r2-lidar-roadmap-universal-hands-free-and-its-next-gen-autonomy-platform/
    RIVIANTRACKR.COM
    Rivian Unveils Custom Silicon, R2 LiDAR Roadmap, Universal Hands Free, and Its Next Gen Autonomy Platform
    RJ opened the first ever Autonomy and AI Day explaining why Rivian believes it is positioned to lead in this next phase of the industry. The company is leaning hard into compute, custom hardware, large scale AI systems, and a shared data foundation that touches every part of the ownership experience. Let's break it all
    0 Comments 0 Shares 186 Views 0 Reviews
  • KDE Project ได้ปล่อย KDE Gear 25.12

    KDE Gear 25.12 เป็นชุดซอฟต์แวร์ล่าสุดสำหรับ Plasma Desktop และ Linux โดยมีการปรับปรุงแอปยอดนิยมหลายตัว เช่น Dolphin, Itinerary, Kate, Konqueror, Falkon, NeoChat และ Photos

    ไฮไลต์ของ KDE Gear 25.12
    Dolphin File Manager
    ปรับปรุงการจัดการไฟล์ขยะ: โฟลเดอร์ชั่วคราวที่ถูกลบจะไม่ไปอยู่ใน Trash ของ Home อีกต่อไป
    เพิ่มตัวเลือก Hide files/folders จาก context menu เพื่อซ่อนสิ่งที่ไม่ต้องการเห็น

    KDE Itinerary (Travel Assistant)
    รองรับ extractor ใหม่สำหรับข้อมูลจากบริษัทรถไฟและอีเวนต์ต่าง ๆ
    ระบบวางแผนการเดินทางง่ายขึ้น โดยใช้ตำแหน่งปัจจุบันเป็นจุดเริ่มต้นอัตโนมัติ
    แสดง Altitude บนแผนที่ และมี Currency Converter ในตัวเพื่อช่วยซื้อของที่ระลึก

    Kate Text Editor
    ปรับปรุงการรองรับ Git: แสดงกิจกรรมล่าสุดของ branch ได้
    เพิ่มฟีเจอร์ Quick Open เพื่อกระโดดไปยังบรรทัด/คอลัมน์ที่ต้องการ
    รองรับ Bracketed Paste เมื่อส่งข้อความไปยัง terminal

    Konqueror & Falkon Browsers
    Konqueror: ปรับปรุงการ export PDF ให้มีคุณภาพสูงขึ้น
    Falkon: เพิ่มปุ่ม toggle สำหรับเปิด/ปิด ad-blocker ได้สะดวก

    NeoChat (Matrix Client)
    เพิ่มหน้า Keyboard Shortcuts เพื่อให้ผู้ใช้เรียนรู้การใช้งานเร็วขึ้น
    รองรับ Matrix extensions และปุ่ม Jitsi Meeting ที่แสดงสถานะการประชุม

    Photos Image Viewer
    เพิ่ม Crop Tool สำหรับแก้ไขภาพ
    รองรับ gesture ใหม่: pinch-to-zoom, drag เพื่อเลื่อนภาพ, swipe เพื่อเปลี่ยนภาพในแกลเลอรี

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การอัปเดตหลักใน KDE Gear 25.12
    Dolphin: ปรับปรุงการจัดการไฟล์ขยะและการซ่อนไฟล์
    Itinerary: extractor ใหม่, altitude map, currency converter
    Kate: รองรับ Git ดียิ่งขึ้น, Quick Open, bracketed paste
    Konqueror: export PDF คุณภาพสูง
    Falkon: toggle ad-blocker
    NeoChat: keyboard shortcuts, Matrix extensions, Jitsi integration
    Photos: crop tool และ gesture ใหม่

    ผลกระทบเชิงบวก
    เพิ่มความสะดวกในการจัดการไฟล์และการเดินทาง
    ปรับปรุงการทำงานร่วมกับ Git และการแก้ไขข้อความ
    เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บและการสื่อสาร
    ทำให้การดูและแก้ไขภาพเป็นธรรมชาติมากขึ้น

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน
    หากยังใช้ KDE Gear รุ่นเก่า อาจพลาดฟีเจอร์ใหม่และการแก้ไขบั๊กสำคัญ
    ควรอัปเดตผ่าน repository ของดิสทริบิวชันเพื่อให้ได้แพตช์ล่าสุดและความเสถียร

    https://9to5linux.com/kde-gear-25-12-software-suite-released-with-many-improvements-for-kde-apps
    🌟 KDE Project ได้ปล่อย KDE Gear 25.12 KDE Gear 25.12 เป็นชุดซอฟต์แวร์ล่าสุดสำหรับ Plasma Desktop และ Linux โดยมีการปรับปรุงแอปยอดนิยมหลายตัว เช่น Dolphin, Itinerary, Kate, Konqueror, Falkon, NeoChat และ Photos ✨ ไฮไลต์ของ KDE Gear 25.12 🗂️ Dolphin File Manager 💠 ปรับปรุงการจัดการไฟล์ขยะ: โฟลเดอร์ชั่วคราวที่ถูกลบจะไม่ไปอยู่ใน Trash ของ Home อีกต่อไป 💠 เพิ่มตัวเลือก Hide files/folders จาก context menu เพื่อซ่อนสิ่งที่ไม่ต้องการเห็น ✈️ KDE Itinerary (Travel Assistant) 💠 รองรับ extractor ใหม่สำหรับข้อมูลจากบริษัทรถไฟและอีเวนต์ต่าง ๆ 💠 ระบบวางแผนการเดินทางง่ายขึ้น โดยใช้ตำแหน่งปัจจุบันเป็นจุดเริ่มต้นอัตโนมัติ 💠 แสดง Altitude บนแผนที่ และมี Currency Converter ในตัวเพื่อช่วยซื้อของที่ระลึก 📝 Kate Text Editor 💠 ปรับปรุงการรองรับ Git: แสดงกิจกรรมล่าสุดของ branch ได้ 💠 เพิ่มฟีเจอร์ Quick Open เพื่อกระโดดไปยังบรรทัด/คอลัมน์ที่ต้องการ 💠 รองรับ Bracketed Paste เมื่อส่งข้อความไปยัง terminal 🌐 Konqueror & Falkon Browsers 💠 Konqueror: ปรับปรุงการ export PDF ให้มีคุณภาพสูงขึ้น 💠 Falkon: เพิ่มปุ่ม toggle สำหรับเปิด/ปิด ad-blocker ได้สะดวก 💬 NeoChat (Matrix Client) 💠 เพิ่มหน้า Keyboard Shortcuts เพื่อให้ผู้ใช้เรียนรู้การใช้งานเร็วขึ้น 💠 รองรับ Matrix extensions และปุ่ม Jitsi Meeting ที่แสดงสถานะการประชุม 🖼️ Photos Image Viewer 💠 เพิ่ม Crop Tool สำหรับแก้ไขภาพ 💠 รองรับ gesture ใหม่: pinch-to-zoom, drag เพื่อเลื่อนภาพ, swipe เพื่อเปลี่ยนภาพในแกลเลอรี 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การอัปเดตหลักใน KDE Gear 25.12 ➡️ Dolphin: ปรับปรุงการจัดการไฟล์ขยะและการซ่อนไฟล์ ➡️ Itinerary: extractor ใหม่, altitude map, currency converter ➡️ Kate: รองรับ Git ดียิ่งขึ้น, Quick Open, bracketed paste ➡️ Konqueror: export PDF คุณภาพสูง ➡️ Falkon: toggle ad-blocker ➡️ NeoChat: keyboard shortcuts, Matrix extensions, Jitsi integration ➡️ Photos: crop tool และ gesture ใหม่ ✅ ผลกระทบเชิงบวก ➡️ เพิ่มความสะดวกในการจัดการไฟล์และการเดินทาง ➡️ ปรับปรุงการทำงานร่วมกับ Git และการแก้ไขข้อความ ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บและการสื่อสาร ➡️ ทำให้การดูและแก้ไขภาพเป็นธรรมชาติมากขึ้น ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน ⛔ หากยังใช้ KDE Gear รุ่นเก่า อาจพลาดฟีเจอร์ใหม่และการแก้ไขบั๊กสำคัญ ⛔ ควรอัปเดตผ่าน repository ของดิสทริบิวชันเพื่อให้ได้แพตช์ล่าสุดและความเสถียร https://9to5linux.com/kde-gear-25-12-software-suite-released-with-many-improvements-for-kde-apps
    9TO5LINUX.COM
    KDE Gear 25.12 Software Suite Released with Many Improvements for KDE Apps - 9to5Linux
    KDE Gear 25.12 open-source software suite is now available with improvements for many of your favorite KDE applications.
    0 Comments 0 Shares 268 Views 0 Reviews
  • Tor Project ปรับปรุงครั้งใหญ่ด้วย Rust ลดช่องโหว่จาก C

    โครงการ Tor Project ได้เดินหน้าปรับปรุงครั้งสำคัญ โดยเปลี่ยนจากโค้ดเดิมที่เขียนด้วย ภาษา C ไปสู่การเขียนใหม่ด้วย Rust ภายใต้ชื่อ Arti ซึ่งในเวอร์ชันล่าสุด Arti 1.8.0 มีการเพิ่มฟีเจอร์และแก้ไขปัญหาที่เคยเป็นจุดอ่อนของระบบ Tor เดิม เช่น ช่องโหว่ด้านหน่วยความจำและการจัดการบั๊กที่เกิดจาก C

    หนึ่งในไฮไลต์ของการอัปเดตครั้งนี้คือการปรับปรุง Circuit Timeout Rework ที่เปลี่ยนจากการใช้ตัวจับเวลาคงที่ (Circuit Dirty Timeout) ไปเป็นการใช้ตัวจับเวลาที่แยกตามการใช้งานจริงและสุ่มเวลาปิดการเชื่อมต่อ เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูก Fingerprinting หรือการติดตามพฤติกรรมผู้ใช้ผ่านรูปแบบการเชื่อมต่อที่คาดเดาได้ง่าย

    นอกจากนี้ Arti 1.8.0 ยังเพิ่มคำสั่งใหม่สำหรับผู้ให้บริการ Onion Service ที่ช่วยให้สามารถย้ายคีย์การค้นพบ (Discovery Keys) จากระบบ Tor เดิมไปยัง Arti ได้โดยไม่ต้องทำงานด้วยมือ ลดความยุ่งยากและเพิ่มความปลอดภัยในการจัดการคีย์ อีกทั้งยังมีการปรับปรุงด้าน Routing Architecture, Directory Cache Support และการตั้งค่า OR Port Listener เพื่อให้ระบบทำงานได้เสถียรและปลอดภัยยิ่งขึ้น

    การเปลี่ยนผ่านจาก C ไปสู่ Rust ถือเป็นก้าวสำคัญของ Tor Project เพราะ Rust มีคุณสมบัติด้าน Memory Safety ที่ช่วยป้องกันบั๊กประเภท Buffer Overflow และ Use-after-free ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในโค้ด C การอัปเดตนี้จึงไม่เพียงเพิ่มความปลอดภัย แต่ยังช่วยให้ Tor มีความยืดหยุ่นและทันสมัยมากขึ้นในการรองรับผู้ใช้ทั่วโลก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงหลักใน Tor Project
    จากภาษา C ไปสู่ Rust ภายใต้ชื่อ Arti
    ลดช่องโหว่ด้านหน่วยความจำและบั๊กที่เกิดจาก C

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Arti 1.8.0
    Circuit Timeout Rework ลดความเสี่ยงจากการถูก Fingerprinting
    คำสั่งใหม่สำหรับ Onion Service ช่วยย้าย Discovery Keys ได้ง่ายขึ้น
    ปรับปรุง Routing, Directory Cache และ OR Port Listener

    ผลกระทบเชิงบวก
    เพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพของระบบ Tor
    ลดความยุ่งยากในการจัดการคีย์และการตั้งค่า

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน
    หากยังใช้ Tor เวอร์ชัน C อาจเสี่ยงต่อบั๊กและช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    การไม่อัปเดตไปสู่ Arti อาจทำให้ระบบถูกติดตามหรือโจมตีได้ง่ายขึ้น

    https://itsfoss.com/news/tor-rust-rewrite-progress/
    🦊 Tor Project ปรับปรุงครั้งใหญ่ด้วย Rust ลดช่องโหว่จาก C โครงการ Tor Project ได้เดินหน้าปรับปรุงครั้งสำคัญ โดยเปลี่ยนจากโค้ดเดิมที่เขียนด้วย ภาษา C ไปสู่การเขียนใหม่ด้วย Rust ภายใต้ชื่อ Arti ซึ่งในเวอร์ชันล่าสุด Arti 1.8.0 มีการเพิ่มฟีเจอร์และแก้ไขปัญหาที่เคยเป็นจุดอ่อนของระบบ Tor เดิม เช่น ช่องโหว่ด้านหน่วยความจำและการจัดการบั๊กที่เกิดจาก C หนึ่งในไฮไลต์ของการอัปเดตครั้งนี้คือการปรับปรุง Circuit Timeout Rework ที่เปลี่ยนจากการใช้ตัวจับเวลาคงที่ (Circuit Dirty Timeout) ไปเป็นการใช้ตัวจับเวลาที่แยกตามการใช้งานจริงและสุ่มเวลาปิดการเชื่อมต่อ เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูก Fingerprinting หรือการติดตามพฤติกรรมผู้ใช้ผ่านรูปแบบการเชื่อมต่อที่คาดเดาได้ง่าย นอกจากนี้ Arti 1.8.0 ยังเพิ่มคำสั่งใหม่สำหรับผู้ให้บริการ Onion Service ที่ช่วยให้สามารถย้ายคีย์การค้นพบ (Discovery Keys) จากระบบ Tor เดิมไปยัง Arti ได้โดยไม่ต้องทำงานด้วยมือ ลดความยุ่งยากและเพิ่มความปลอดภัยในการจัดการคีย์ อีกทั้งยังมีการปรับปรุงด้าน Routing Architecture, Directory Cache Support และการตั้งค่า OR Port Listener เพื่อให้ระบบทำงานได้เสถียรและปลอดภัยยิ่งขึ้น การเปลี่ยนผ่านจาก C ไปสู่ Rust ถือเป็นก้าวสำคัญของ Tor Project เพราะ Rust มีคุณสมบัติด้าน Memory Safety ที่ช่วยป้องกันบั๊กประเภท Buffer Overflow และ Use-after-free ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในโค้ด C การอัปเดตนี้จึงไม่เพียงเพิ่มความปลอดภัย แต่ยังช่วยให้ Tor มีความยืดหยุ่นและทันสมัยมากขึ้นในการรองรับผู้ใช้ทั่วโลก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงหลักใน Tor Project ➡️ จากภาษา C ไปสู่ Rust ภายใต้ชื่อ Arti ➡️ ลดช่องโหว่ด้านหน่วยความจำและบั๊กที่เกิดจาก C ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Arti 1.8.0 ➡️ Circuit Timeout Rework ลดความเสี่ยงจากการถูก Fingerprinting ➡️ คำสั่งใหม่สำหรับ Onion Service ช่วยย้าย Discovery Keys ได้ง่ายขึ้น ➡️ ปรับปรุง Routing, Directory Cache และ OR Port Listener ✅ ผลกระทบเชิงบวก ➡️ เพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพของระบบ Tor ➡️ ลดความยุ่งยากในการจัดการคีย์และการตั้งค่า ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน ⛔ หากยังใช้ Tor เวอร์ชัน C อาจเสี่ยงต่อบั๊กและช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ⛔ การไม่อัปเดตไปสู่ Arti อาจทำให้ระบบถูกติดตามหรือโจมตีได้ง่ายขึ้น https://itsfoss.com/news/tor-rust-rewrite-progress/
    ITSFOSS.COM
    The Tor Project is Making a Switch to Rust, Ditches C
    Arti, the Rust rewrite of Tor, brings circuit isolation and onion service improvements in its 1.8.0 release.
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251203 #securityonline

    AI กำลังถูกใช้อย่างแพร่หลาย แต่การกำกับดูแลยังตามไม่ทัน
    รายงานใหม่ปี 2025 ชี้ให้เห็นว่าองค์กรกว่า 83% ใช้ AI ในการทำงานประจำวันแล้ว แต่มีเพียง 13% เท่านั้นที่บอกว่ามีการตรวจสอบการจัดการข้อมูลที่ชัดเจน ปัญหาคือ AI เริ่มทำงานเหมือน “ตัวตนใหม่” ที่ไม่เคยหยุดพักและเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่ามนุษย์ แต่ระบบการจัดการยังคงใช้โมเดลที่ออกแบบมาเพื่อมนุษย์ ทำให้เกิดช่องโหว่ เช่น AI เข้าถึงข้อมูลเกินสิทธิ์ หรือไม่มีการควบคุมคำสั่งและผลลัพธ์ หลายองค์กรยอมรับว่าพวกเขาแทบไม่มีทีมกำกับดูแล AI และไม่พร้อมต่อกฎระเบียบใหม่ที่กำลังจะมา เสียงเตือนคือ “คุณไม่สามารถปกป้องสิ่งที่คุณไม่เห็น”
    https://securityonline.info/ai-adoption-surges-while-governance-lags-report-warns-of-growing-shadow-identity-risk

    Apple ปรับทีม AI ครั้งใหญ่ เปลี่ยนผู้นำเพื่อเร่งเครื่องตามคู่แข่ง
    John Giannandrea ผู้บริหารระดับสูงด้าน AI ของ Apple ที่เคยเป็นหัวหอกจาก Google จะก้าวลงจากตำแหน่งในปีหน้า หลังถูกวิจารณ์ว่าการพัฒนา AI ของ Apple ล่าช้ากว่าคู่แข่งหลายปี ทั้ง Siri ที่ปรับปรุงไม่ทันและ Apple Intelligence ที่เปิดตัวช้าเกินไป Tim Cook จึงตัดสินใจดึง Amar Subramanya อดีตหัวหน้าทีม Gemini ของ Google เข้ามาแทน โดยจะเน้นการพัฒนาโมเดลพื้นฐานและความปลอดภัยของ AI การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Apple ที่ต้องการผสาน AI เข้ากับทุกผลิตภัณฑ์อย่างจริงจัง แต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาการสูญเสียบุคลากรด้านวิจัยหุ่นยนต์และทีมโมเดลหลักที่ทยอยลาออกไปยังบริษัทคู่แข่ง
    https://securityonline.info/apple-ai-shakeup-giannandrea-out-former-google-gemini-chief-amar-subramanya-hired

    Sonesta Hotels ยกระดับความปลอดภัยบนคลาวด์ด้วย AccuKnox
    เครือโรงแรม Sonesta International Hotels ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox เพื่อนำระบบ Zero Trust CNAPP มาใช้บน Microsoft Azure จุดเด่นคือการตรวจจับการตั้งค่าที่ผิดพลาดในระบบคลาวด์ การป้องกันการโจมตีแบบ Zero-Day และการทำงานร่วมกับ DevSecOps อย่างเต็มรูปแบบ Gartner เคยเตือนว่าหากองค์กรไม่ใช้ CNAPP จะขาดการมองเห็นภาพรวมของความเสี่ยงบนคลาวด์ Sonesta เลือก AccuKnox หลังทดสอบหลายเจ้า เพราะสามารถลดภาระงานวิศวกรได้ถึง 45% และมีฟีเจอร์ด้าน API Security และ AI/LLM Security ที่ตอบโจทย์อนาคต
    https://securityonline.info/sonesta-international-hotels-implements-industry-leading-cloud-security-through-accuknox-collaboration

    Coupang เกิดเหตุข้อมูลรั่วไหลครั้งใหญ่ กระทบผู้ใช้กว่า 33.7 ล้านราย
    แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ Coupang เผชิญเหตุการณ์ร้ายแรงเมื่อข้อมูลผู้ใช้กว่า 33.7 ล้านรายถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งชื่อ อีเมล เบอร์โทร และที่อยู่จัดส่ง แม้ข้อมูลทางการเงินจะไม่ถูกเปิดเผย แต่ก็เสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ทำ Social Engineering หรือหลอกลวงทางออนไลน์ เดิมทีบริษัทคิดว่ามีเพียง 4,500 บัญชีที่ได้รับผลกระทบ แต่การสอบสวนพบว่ามีการเชื่อมต่อฐานข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศตั้งแต่กลางปี 2025 และถูกดูดข้อมูลออกไป ปัจจุบันมีการระบุผู้ต้องสงสัยว่าเป็นอดีตพนักงานที่หลบหนีออกนอกประเทศแล้ว
    https://securityonline.info/alarm-coupang-data-breach-exposes-33-7-million-users-over-half-of-south-korea

    Europol ปิดบริการ CryptoMixer ยึด Bitcoin มูลค่า 25 ล้านยูโร
    หน่วยงาน Europol ประกาศความสำเร็จในการปิดแพลตฟอร์ม CryptoMixer ที่ถูกใช้เพื่อปกปิดเส้นทางการเงินของอาชญากรไซเบอร์ โดยสามารถยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 25 ล้านยูโร และข้อมูลกว่า 12TB CryptoMixer เคยประมวลผลธุรกรรมมากกว่า 1.3 พันล้านยูโรตั้งแต่ปี 2016 การทำงานของมันคือรวมเงินฝากของผู้ใช้แล้วกระจายใหม่แบบสุ่ม ทำให้ติดตามเส้นทางได้ยาก แม้บริการลักษณะนี้จะมีผู้ใช้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ก็ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญของการฟอกเงิน การปิดครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าบริการแบบรวมศูนย์มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกยึดทรัพย์และปิดระบบ ต่างจากบริการแบบกระจายศูนย์ที่แทบไม่สามารถจัดการได้
    https://securityonline.info/europol-shuts-down-cryptomixer-seizes-e25-million-in-bitcoin-12-tb-of-data

    AWS เปิดตัว Agentic AI ช่วยลดหนี้ทางเทคนิคและปรับปรุงโค้ดเก่า
    AWS ประกาศโครงการใหม่ชื่อว่า Transform ที่ใช้ Agentic AI เพื่อช่วยองค์กรปรับปรุงโค้ดเดิมให้ทันสมัย ลดภาระงานที่สะสมมานานจากระบบเก่า จุดเด่นคือการทำงานอัตโนมัติที่สามารถวิเคราะห์โค้ดและปรับปรุงให้เข้ากับมาตรฐานใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้แรงงานมนุษย์มากเหมือนเดิม สิ่งนี้ช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถโฟกัสไปที่นวัตกรรมแทนการแก้ไขงานซ้ำซาก ถือเป็นอีกก้าวที่ AWS พยายามผลักดัน AI ให้เข้าไปอยู่ในทุกมิติของการทำงานด้านเทคโนโลยี
    https://securityonline.info/aws-transform-agentic-ai-automates-legacy-code-modernization-and-reduces-technical-debt

    AWS re:Invent 2025 เปิดตัว Marengo 3.0 และจับมือ Visa
    งานใหญ่ประจำปีของ AWS ครั้งนี้มีไฮไลต์คือการเปิดตัว Marengo 3.0 โมเดลวิดีโอใหม่ที่สามารถสร้างคอนเทนต์ภาพเคลื่อนไหวได้สมจริงมากขึ้น พร้อมทั้งเปิดตัวความร่วมมือกับ Visa ในด้านการชำระเงินดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีการนำ Agentic AI มาใช้ในหลายบริการเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำงานอัตโนมัติ การประกาศเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า AWS กำลังเร่งขยายขอบเขต AI จากระบบคลาวด์ไปสู่การสร้างสรรค์คอนเทนต์และการเงินดิจิทัล
    https://securityonline.info/aws-reinvent-2025-agentic-ai-marengo-3-0-video-model-and-visa-payment-partnership

    AWS เปิดตัว Nova Sonic Voice และจับมือ Google Cloud
    อีกหนึ่งประกาศจาก AWS re:Invent คือการเปิดตัว Nova Sonic Voice เทคโนโลยีเสียงใหม่ที่ใช้ Agentic AI เพื่อสร้างเสียงพูดที่เป็นธรรมชาติและตอบสนองได้ทันที พร้อมทั้งจับมือกับ Google Cloud ในด้านระบบเครือข่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อ นี่เป็นการขยายความร่วมมือที่น่าสนใจ เพราะสองยักษ์ใหญ่ด้านคลาวด์มักถูกมองว่าเป็นคู่แข่ง แต่ครั้งนี้กลับเลือกทำงานร่วมกันเพื่อผลักดัน AI ให้ก้าวไปอีกขั้น
    https://securityonline.info/aws-reinvent-agentic-ai-launches-with-nova-sonic-voice-partners-with-google-cloud-on-networking

    NVIDIA ลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ใน Synopsys เพื่อพัฒนา AI สำหรับออกแบบชิป
    NVIDIA ประกาศลงทุนมหาศาลกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ใน Synopsys บริษัทซอฟต์แวร์ออกแบบชิป เพื่อผสาน Agentic AI เข้ากับกระบวนการออกแบบฮาร์ดแวร์ จุดมุ่งหมายคือการเร่งการพัฒนาชิปที่ซับซ้อนให้เสร็จเร็วขึ้นและลดข้อผิดพลาด การลงทุนครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นว่า AI จะเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบฮาร์ดแวร์ในอนาคต และยังเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้ NVIDIA ในฐานะผู้นำด้าน AI และการประมวลผล
    https://securityonline.info/nvidia-invests-2-billion-in-synopsys-to-integrate-agentic-ai-into-chip-design

    อินเดียบังคับติดตั้งแอป Sanchar Saathi ที่ลบไม่ได้บนสมาร์ทโฟนใหม่
    รัฐบาลอินเดียออกกฎใหม่ให้สมาร์ทโฟนทุกเครื่องที่ขายในประเทศต้องติดตั้งแอป Sanchar Saathi โดยไม่สามารถลบออกได้ แอปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ที่ถูกหลอกลวงหรือถูกขโมย แต่ก็สร้างความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและสิทธิของผู้ใช้ เพราะการบังคับติดตั้งและไม่สามารถลบออกได้อาจเปิดช่องให้เกิดการติดตามหรือควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการที่รัฐบาลพยายามใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหา แต่ก็ต้องแลกมากับคำถามด้านสิทธิและเสรีภาพ
    https://securityonline.info/privacy-alert-india-mandates-undeletable-sanchar-saathi-app-on-all-new-smartphones

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน Longwatch ทำให้ระบบเฝ้าระวังถูกยึด
    มีรายงานจาก CISA ว่าพบช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ Longwatch ซึ่งใช้สำหรับการเฝ้าระวังและตรวจสอบในอุตสาหกรรม OT ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่ง HTTP GET โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน และสามารถเข้าถึงสิทธิ์ระดับ SYSTEM ได้ทันที เท่ากับว่าผู้โจมตีสามารถควบคุมเซิร์ฟเวอร์เฝ้าระวังได้ทั้งหมด ปัญหานี้เกิดขึ้นในเวอร์ชัน 6.309 ถึง 6.334 และผู้พัฒนาก็ได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 6.335 แล้ว ใครที่ยังใช้เวอร์ชันเก่าจำเป็นต้องอัปเดตโดยด่วนเพื่อป้องกันความเสี่ยง
    https://securityonline.info/cisa-warns-critical-longwatch-rce-flaw-cve-2025-13658-cvss-9-8-allows-unauthenticated-system-takeover-of-ot-surveillance

    แพ็กเกจ Rust อันตราย "evm-units"
    นักพัฒนาที่ทำงานกับ Rust ต้องระวัง เพราะมีการค้นพบแพ็กเกจชื่อ "evm-units" ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโจมตีแบบลับ ๆ โดยมุ่งเป้าไปที่นักพัฒนาในสายคริปโต ตัวแพ็กเกจนี้ถูกปล่อยออกมาเหมือนเป็นเครื่องมือปกติ แต่จริง ๆ แล้วมีโค้ดแฝงที่สามารถเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงระบบได้โดยไม่รู้ตัว ถือเป็นการโจมตีที่ใช้ความไว้ใจของนักพัฒนาเป็นเครื่องมือ
    https://securityonline.info/malicious-rust-package-evm-units-exposes-crypto-developers-to-stealth-attacks

    DOJ ปิดโดเมนแก๊งหลอกลวง "Tai Chang" ในพม่า
    กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) ได้เข้ายึดโดเมนที่เชื่อมโยงกับคอมพาวด์หลอกลวงชื่อ Tai Chang ในพม่า ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์กลางของการทำ "Pig Butchering" หรือการหลอกลวงทางการเงินที่ใช้การสร้างความสัมพันธ์หลอกเหยื่อให้ลงทุนก่อนจะเชิดเงินหนี การปิดโดเมนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสกัดกั้นเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ที่กำลังระบาดหนักในภูมิภาค
    https://securityonline.info/doj-seizes-domain-of-burmas-notorious-tai-chang-scam-compound-to-disrupt-pig-butchering-fraud

    Chrome 143 อัปเดตแก้ช่องโหว่ 13 จุด
    Google ได้ปล่อย Chrome เวอร์ชัน 143 ที่มาพร้อมการแก้ไขช่องโหว่ถึง 13 จุด โดยหนึ่งในนั้นคือปัญหาใหญ่ใน V8 ที่ทำให้เกิด Type Confusion ซึ่งมีนักวิจัยด้านความปลอดภัยรายหนึ่งได้รับเงินรางวัลถึง 11,000 ดอลลาร์จากการค้นพบนี้ การอัปเดตครั้งนี้ถือว่าสำคัญมากสำหรับผู้ใช้ทุกคน เพราะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีผ่านเบราว์เซอร์ที่ใช้งานอยู่ทุกวัน
    ​​​​​​​ https://securityonline.info/chrome-143-stable-fixes-13-flaws-high-severity-v8-type-confusion-earns-11000-bounty

    Django พบช่องโหว่ SQL Injection ใน PostgreSQL
    เฟรมเวิร์ก Django ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการพัฒนาเว็บ ถูกพบช่องโหว่ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ FilteredRelation ร่วมกับ PostgreSQL ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้เกิด SQL Injection ได้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการโจมตีที่อันตรายที่สุด เพราะสามารถทำให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลในฐานข้อมูลโดยตรง ทีม Django ได้ออกคำเตือนและแนะนำให้อัปเดตเวอร์ชันเพื่อปิดช่องโหว่โดยเร็ว
    https://securityonline.info/django-flaw-cve-2025-13372-allows-sql-injection-in-postgresql-filteredrelation

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน Iskra iHUB
    CISA ออกคำเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ในอุปกรณ์ Iskra iHUB ที่ใช้สำหรับระบบสมาร์ทมิเตอร์ ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเข้ายึดระบบได้โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน ซึ่งหมายความว่าผู้โจมตีสามารถควบคุมการทำงานของระบบสมาร์ทมิเตอร์ได้ทั้งหมด ถือเป็นภัยคุกคามต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่สำคัญ การอัปเดตแพตช์จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน
    https://securityonline.info/cisa-warns-critical-iskra-ihub-flaw-cve-2025-13510-allows-unauthenticated-smart-metering-takeover

    ปลั๊กอิน Elementor มีช่องโหว่ร้ายแรง กำลังถูกโจมตี
    ปลั๊กอินยอดนิยมของ WordPress อย่าง Elementor ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรงที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเข้ายึดสิทธิ์แอดมินได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS สูงถึง 9.8 และที่น่ากังวลคือกำลังถูกโจมตีจริงในขณะนี้ ผู้ที่ใช้ปลั๊กอินนี้จำเป็นต้องอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการสูญเสียการควบคุมเว็บไซต์
    https://securityonline.info/critical-elementor-plugin-flaw-cve-2025-8489-cvss-9-8-under-active-exploitation-allows-unauthenticated-admin-takeover

    Angular พบช่องโหว่ Stored XSS
    เฟรมเวิร์ก Angular ถูกค้นพบช่องโหว่ที่เปิดโอกาสให้เกิดการโจมตีแบบ Stored XSS ผ่านการใช้ SVG และ MathML โดยสามารถหลบเลี่ยงการตรวจสอบได้ ช่องโหว่นี้ถือว่ามีความรุนแรงสูง เพราะทำให้ผู้โจมตีสามารถฝังโค้ดอันตรายลงในเว็บและส่งผลต่อผู้ใช้งานที่เข้ามาเยี่ยมชมได้ทันที
    https://securityonline.info/high-severity-angular-flaw-cve-2025-66412-allows-stored-xss-via-svg-and-mathml-bypass

    ไลบรารี lz4-java ถูกยกเลิก พร้อมพบช่องโหว่ร้ายแรง
    มีการประกาศว่าไลบรารี lz4-java ถูกยกเลิกการพัฒนา และถูกค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงที่ทำให้ผู้ใช้ต้องรีบย้ายไปใช้ community fork โดยทันที ช่องโหว่นี้สร้างความเสี่ยงต่อระบบที่ยังคงใช้งานไลบรารีเวอร์ชันเดิมอยู่ การย้ายไปใช้เวอร์ชันใหม่จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
    https://securityonline.info/discontinued-library-high-severity-lz4-java-flaw-cve%E2%80%902025%E2%80%9012183-forces-immediate-migration-to-community-fork

    สตาร์ทอัพ Frenetik เปิดตัวเทคโนโลยีหลอกลวง AI
    บริษัทสตาร์ทอัพด้านไซเบอร์ชื่อ Frenetik เปิดตัวด้วยเทคโนโลยีการหลอกลวงที่จดสิทธิบัตร โดยตั้งเป้าใช้เทคนิคนี้เพื่อรับมือกับการแข่งขันด้าน AI ที่ทวีความรุนแรงขึ้น เทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างกับดักและทำให้ผู้โจมตีสับสน ถือเป็นแนวทางใหม่ที่น่าสนใจในการป้องกันภัยไซเบอร์
    https://securityonline.info/cyber-startup-frenetik-launches-with-patented-deception-technology-that-bets-against-the-ai-arms-race
    📌🔐🟢 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟢🔐📌 #รวมข่าวIT #20251203 #securityonline 🧠 AI กำลังถูกใช้อย่างแพร่หลาย แต่การกำกับดูแลยังตามไม่ทัน รายงานใหม่ปี 2025 ชี้ให้เห็นว่าองค์กรกว่า 83% ใช้ AI ในการทำงานประจำวันแล้ว แต่มีเพียง 13% เท่านั้นที่บอกว่ามีการตรวจสอบการจัดการข้อมูลที่ชัดเจน ปัญหาคือ AI เริ่มทำงานเหมือน “ตัวตนใหม่” ที่ไม่เคยหยุดพักและเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่ามนุษย์ แต่ระบบการจัดการยังคงใช้โมเดลที่ออกแบบมาเพื่อมนุษย์ ทำให้เกิดช่องโหว่ เช่น AI เข้าถึงข้อมูลเกินสิทธิ์ หรือไม่มีการควบคุมคำสั่งและผลลัพธ์ หลายองค์กรยอมรับว่าพวกเขาแทบไม่มีทีมกำกับดูแล AI และไม่พร้อมต่อกฎระเบียบใหม่ที่กำลังจะมา เสียงเตือนคือ “คุณไม่สามารถปกป้องสิ่งที่คุณไม่เห็น” 🔗 https://securityonline.info/ai-adoption-surges-while-governance-lags-report-warns-of-growing-shadow-identity-risk 🍏 Apple ปรับทีม AI ครั้งใหญ่ เปลี่ยนผู้นำเพื่อเร่งเครื่องตามคู่แข่ง John Giannandrea ผู้บริหารระดับสูงด้าน AI ของ Apple ที่เคยเป็นหัวหอกจาก Google จะก้าวลงจากตำแหน่งในปีหน้า หลังถูกวิจารณ์ว่าการพัฒนา AI ของ Apple ล่าช้ากว่าคู่แข่งหลายปี ทั้ง Siri ที่ปรับปรุงไม่ทันและ Apple Intelligence ที่เปิดตัวช้าเกินไป Tim Cook จึงตัดสินใจดึง Amar Subramanya อดีตหัวหน้าทีม Gemini ของ Google เข้ามาแทน โดยจะเน้นการพัฒนาโมเดลพื้นฐานและความปลอดภัยของ AI การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Apple ที่ต้องการผสาน AI เข้ากับทุกผลิตภัณฑ์อย่างจริงจัง แต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาการสูญเสียบุคลากรด้านวิจัยหุ่นยนต์และทีมโมเดลหลักที่ทยอยลาออกไปยังบริษัทคู่แข่ง 🔗 https://securityonline.info/apple-ai-shakeup-giannandrea-out-former-google-gemini-chief-amar-subramanya-hired 🏨 Sonesta Hotels ยกระดับความปลอดภัยบนคลาวด์ด้วย AccuKnox เครือโรงแรม Sonesta International Hotels ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox เพื่อนำระบบ Zero Trust CNAPP มาใช้บน Microsoft Azure จุดเด่นคือการตรวจจับการตั้งค่าที่ผิดพลาดในระบบคลาวด์ การป้องกันการโจมตีแบบ Zero-Day และการทำงานร่วมกับ DevSecOps อย่างเต็มรูปแบบ Gartner เคยเตือนว่าหากองค์กรไม่ใช้ CNAPP จะขาดการมองเห็นภาพรวมของความเสี่ยงบนคลาวด์ Sonesta เลือก AccuKnox หลังทดสอบหลายเจ้า เพราะสามารถลดภาระงานวิศวกรได้ถึง 45% และมีฟีเจอร์ด้าน API Security และ AI/LLM Security ที่ตอบโจทย์อนาคต 🔗 https://securityonline.info/sonesta-international-hotels-implements-industry-leading-cloud-security-through-accuknox-collaboration ⚠️ Coupang เกิดเหตุข้อมูลรั่วไหลครั้งใหญ่ กระทบผู้ใช้กว่า 33.7 ล้านราย แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ Coupang เผชิญเหตุการณ์ร้ายแรงเมื่อข้อมูลผู้ใช้กว่า 33.7 ล้านรายถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งชื่อ อีเมล เบอร์โทร และที่อยู่จัดส่ง แม้ข้อมูลทางการเงินจะไม่ถูกเปิดเผย แต่ก็เสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ทำ Social Engineering หรือหลอกลวงทางออนไลน์ เดิมทีบริษัทคิดว่ามีเพียง 4,500 บัญชีที่ได้รับผลกระทบ แต่การสอบสวนพบว่ามีการเชื่อมต่อฐานข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศตั้งแต่กลางปี 2025 และถูกดูดข้อมูลออกไป ปัจจุบันมีการระบุผู้ต้องสงสัยว่าเป็นอดีตพนักงานที่หลบหนีออกนอกประเทศแล้ว 🔗 https://securityonline.info/alarm-coupang-data-breach-exposes-33-7-million-users-over-half-of-south-korea 💰 Europol ปิดบริการ CryptoMixer ยึด Bitcoin มูลค่า 25 ล้านยูโร หน่วยงาน Europol ประกาศความสำเร็จในการปิดแพลตฟอร์ม CryptoMixer ที่ถูกใช้เพื่อปกปิดเส้นทางการเงินของอาชญากรไซเบอร์ โดยสามารถยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 25 ล้านยูโร และข้อมูลกว่า 12TB CryptoMixer เคยประมวลผลธุรกรรมมากกว่า 1.3 พันล้านยูโรตั้งแต่ปี 2016 การทำงานของมันคือรวมเงินฝากของผู้ใช้แล้วกระจายใหม่แบบสุ่ม ทำให้ติดตามเส้นทางได้ยาก แม้บริการลักษณะนี้จะมีผู้ใช้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ก็ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญของการฟอกเงิน การปิดครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าบริการแบบรวมศูนย์มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกยึดทรัพย์และปิดระบบ ต่างจากบริการแบบกระจายศูนย์ที่แทบไม่สามารถจัดการได้ 🔗 https://securityonline.info/europol-shuts-down-cryptomixer-seizes-e25-million-in-bitcoin-12-tb-of-data 💻 AWS เปิดตัว Agentic AI ช่วยลดหนี้ทางเทคนิคและปรับปรุงโค้ดเก่า AWS ประกาศโครงการใหม่ชื่อว่า Transform ที่ใช้ Agentic AI เพื่อช่วยองค์กรปรับปรุงโค้ดเดิมให้ทันสมัย ลดภาระงานที่สะสมมานานจากระบบเก่า จุดเด่นคือการทำงานอัตโนมัติที่สามารถวิเคราะห์โค้ดและปรับปรุงให้เข้ากับมาตรฐานใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้แรงงานมนุษย์มากเหมือนเดิม สิ่งนี้ช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถโฟกัสไปที่นวัตกรรมแทนการแก้ไขงานซ้ำซาก ถือเป็นอีกก้าวที่ AWS พยายามผลักดัน AI ให้เข้าไปอยู่ในทุกมิติของการทำงานด้านเทคโนโลยี 🔗 https://securityonline.info/aws-transform-agentic-ai-automates-legacy-code-modernization-and-reduces-technical-debt 🎤 AWS re:Invent 2025 เปิดตัว Marengo 3.0 และจับมือ Visa งานใหญ่ประจำปีของ AWS ครั้งนี้มีไฮไลต์คือการเปิดตัว Marengo 3.0 โมเดลวิดีโอใหม่ที่สามารถสร้างคอนเทนต์ภาพเคลื่อนไหวได้สมจริงมากขึ้น พร้อมทั้งเปิดตัวความร่วมมือกับ Visa ในด้านการชำระเงินดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีการนำ Agentic AI มาใช้ในหลายบริการเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำงานอัตโนมัติ การประกาศเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า AWS กำลังเร่งขยายขอบเขต AI จากระบบคลาวด์ไปสู่การสร้างสรรค์คอนเทนต์และการเงินดิจิทัล 🔗 https://securityonline.info/aws-reinvent-2025-agentic-ai-marengo-3-0-video-model-and-visa-payment-partnership 🔊 AWS เปิดตัว Nova Sonic Voice และจับมือ Google Cloud อีกหนึ่งประกาศจาก AWS re:Invent คือการเปิดตัว Nova Sonic Voice เทคโนโลยีเสียงใหม่ที่ใช้ Agentic AI เพื่อสร้างเสียงพูดที่เป็นธรรมชาติและตอบสนองได้ทันที พร้อมทั้งจับมือกับ Google Cloud ในด้านระบบเครือข่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อ นี่เป็นการขยายความร่วมมือที่น่าสนใจ เพราะสองยักษ์ใหญ่ด้านคลาวด์มักถูกมองว่าเป็นคู่แข่ง แต่ครั้งนี้กลับเลือกทำงานร่วมกันเพื่อผลักดัน AI ให้ก้าวไปอีกขั้น 🔗 https://securityonline.info/aws-reinvent-agentic-ai-launches-with-nova-sonic-voice-partners-with-google-cloud-on-networking 💸 NVIDIA ลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ใน Synopsys เพื่อพัฒนา AI สำหรับออกแบบชิป NVIDIA ประกาศลงทุนมหาศาลกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ใน Synopsys บริษัทซอฟต์แวร์ออกแบบชิป เพื่อผสาน Agentic AI เข้ากับกระบวนการออกแบบฮาร์ดแวร์ จุดมุ่งหมายคือการเร่งการพัฒนาชิปที่ซับซ้อนให้เสร็จเร็วขึ้นและลดข้อผิดพลาด การลงทุนครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นว่า AI จะเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบฮาร์ดแวร์ในอนาคต และยังเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้ NVIDIA ในฐานะผู้นำด้าน AI และการประมวลผล 🔗 https://securityonline.info/nvidia-invests-2-billion-in-synopsys-to-integrate-agentic-ai-into-chip-design 📱 อินเดียบังคับติดตั้งแอป Sanchar Saathi ที่ลบไม่ได้บนสมาร์ทโฟนใหม่ รัฐบาลอินเดียออกกฎใหม่ให้สมาร์ทโฟนทุกเครื่องที่ขายในประเทศต้องติดตั้งแอป Sanchar Saathi โดยไม่สามารถลบออกได้ แอปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ที่ถูกหลอกลวงหรือถูกขโมย แต่ก็สร้างความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและสิทธิของผู้ใช้ เพราะการบังคับติดตั้งและไม่สามารถลบออกได้อาจเปิดช่องให้เกิดการติดตามหรือควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการที่รัฐบาลพยายามใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหา แต่ก็ต้องแลกมากับคำถามด้านสิทธิและเสรีภาพ 🔗 https://securityonline.info/privacy-alert-india-mandates-undeletable-sanchar-saathi-app-on-all-new-smartphones 🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Longwatch ทำให้ระบบเฝ้าระวังถูกยึด มีรายงานจาก CISA ว่าพบช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ Longwatch ซึ่งใช้สำหรับการเฝ้าระวังและตรวจสอบในอุตสาหกรรม OT ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่ง HTTP GET โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน และสามารถเข้าถึงสิทธิ์ระดับ SYSTEM ได้ทันที เท่ากับว่าผู้โจมตีสามารถควบคุมเซิร์ฟเวอร์เฝ้าระวังได้ทั้งหมด ปัญหานี้เกิดขึ้นในเวอร์ชัน 6.309 ถึง 6.334 และผู้พัฒนาก็ได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 6.335 แล้ว ใครที่ยังใช้เวอร์ชันเก่าจำเป็นต้องอัปเดตโดยด่วนเพื่อป้องกันความเสี่ยง 🔗 https://securityonline.info/cisa-warns-critical-longwatch-rce-flaw-cve-2025-13658-cvss-9-8-allows-unauthenticated-system-takeover-of-ot-surveillance 🐍 แพ็กเกจ Rust อันตราย "evm-units" นักพัฒนาที่ทำงานกับ Rust ต้องระวัง เพราะมีการค้นพบแพ็กเกจชื่อ "evm-units" ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโจมตีแบบลับ ๆ โดยมุ่งเป้าไปที่นักพัฒนาในสายคริปโต ตัวแพ็กเกจนี้ถูกปล่อยออกมาเหมือนเป็นเครื่องมือปกติ แต่จริง ๆ แล้วมีโค้ดแฝงที่สามารถเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงระบบได้โดยไม่รู้ตัว ถือเป็นการโจมตีที่ใช้ความไว้ใจของนักพัฒนาเป็นเครื่องมือ 🔗 https://securityonline.info/malicious-rust-package-evm-units-exposes-crypto-developers-to-stealth-attacks ⚖️ DOJ ปิดโดเมนแก๊งหลอกลวง "Tai Chang" ในพม่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) ได้เข้ายึดโดเมนที่เชื่อมโยงกับคอมพาวด์หลอกลวงชื่อ Tai Chang ในพม่า ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์กลางของการทำ "Pig Butchering" หรือการหลอกลวงทางการเงินที่ใช้การสร้างความสัมพันธ์หลอกเหยื่อให้ลงทุนก่อนจะเชิดเงินหนี การปิดโดเมนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสกัดกั้นเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ที่กำลังระบาดหนักในภูมิภาค 🔗 https://securityonline.info/doj-seizes-domain-of-burmas-notorious-tai-chang-scam-compound-to-disrupt-pig-butchering-fraud 🌐 Chrome 143 อัปเดตแก้ช่องโหว่ 13 จุด Google ได้ปล่อย Chrome เวอร์ชัน 143 ที่มาพร้อมการแก้ไขช่องโหว่ถึง 13 จุด โดยหนึ่งในนั้นคือปัญหาใหญ่ใน V8 ที่ทำให้เกิด Type Confusion ซึ่งมีนักวิจัยด้านความปลอดภัยรายหนึ่งได้รับเงินรางวัลถึง 11,000 ดอลลาร์จากการค้นพบนี้ การอัปเดตครั้งนี้ถือว่าสำคัญมากสำหรับผู้ใช้ทุกคน เพราะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีผ่านเบราว์เซอร์ที่ใช้งานอยู่ทุกวัน ​​​​​​​🔗 https://securityonline.info/chrome-143-stable-fixes-13-flaws-high-severity-v8-type-confusion-earns-11000-bounty 🐘 Django พบช่องโหว่ SQL Injection ใน PostgreSQL เฟรมเวิร์ก Django ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการพัฒนาเว็บ ถูกพบช่องโหว่ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ FilteredRelation ร่วมกับ PostgreSQL ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้เกิด SQL Injection ได้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการโจมตีที่อันตรายที่สุด เพราะสามารถทำให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลในฐานข้อมูลโดยตรง ทีม Django ได้ออกคำเตือนและแนะนำให้อัปเดตเวอร์ชันเพื่อปิดช่องโหว่โดยเร็ว 🔗 https://securityonline.info/django-flaw-cve-2025-13372-allows-sql-injection-in-postgresql-filteredrelation ⚡ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Iskra iHUB CISA ออกคำเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ในอุปกรณ์ Iskra iHUB ที่ใช้สำหรับระบบสมาร์ทมิเตอร์ ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเข้ายึดระบบได้โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน ซึ่งหมายความว่าผู้โจมตีสามารถควบคุมการทำงานของระบบสมาร์ทมิเตอร์ได้ทั้งหมด ถือเป็นภัยคุกคามต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่สำคัญ การอัปเดตแพตช์จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน 🔗 https://securityonline.info/cisa-warns-critical-iskra-ihub-flaw-cve-2025-13510-allows-unauthenticated-smart-metering-takeover 🖥️ ปลั๊กอิน Elementor มีช่องโหว่ร้ายแรง กำลังถูกโจมตี ปลั๊กอินยอดนิยมของ WordPress อย่าง Elementor ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรงที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเข้ายึดสิทธิ์แอดมินได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS สูงถึง 9.8 และที่น่ากังวลคือกำลังถูกโจมตีจริงในขณะนี้ ผู้ที่ใช้ปลั๊กอินนี้จำเป็นต้องอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการสูญเสียการควบคุมเว็บไซต์ 🔗 https://securityonline.info/critical-elementor-plugin-flaw-cve-2025-8489-cvss-9-8-under-active-exploitation-allows-unauthenticated-admin-takeover 🕸️ Angular พบช่องโหว่ Stored XSS เฟรมเวิร์ก Angular ถูกค้นพบช่องโหว่ที่เปิดโอกาสให้เกิดการโจมตีแบบ Stored XSS ผ่านการใช้ SVG และ MathML โดยสามารถหลบเลี่ยงการตรวจสอบได้ ช่องโหว่นี้ถือว่ามีความรุนแรงสูง เพราะทำให้ผู้โจมตีสามารถฝังโค้ดอันตรายลงในเว็บและส่งผลต่อผู้ใช้งานที่เข้ามาเยี่ยมชมได้ทันที 🔗 https://securityonline.info/high-severity-angular-flaw-cve-2025-66412-allows-stored-xss-via-svg-and-mathml-bypass 📦 ไลบรารี lz4-java ถูกยกเลิก พร้อมพบช่องโหว่ร้ายแรง มีการประกาศว่าไลบรารี lz4-java ถูกยกเลิกการพัฒนา และถูกค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงที่ทำให้ผู้ใช้ต้องรีบย้ายไปใช้ community fork โดยทันที ช่องโหว่นี้สร้างความเสี่ยงต่อระบบที่ยังคงใช้งานไลบรารีเวอร์ชันเดิมอยู่ การย้ายไปใช้เวอร์ชันใหม่จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 🔗 https://securityonline.info/discontinued-library-high-severity-lz4-java-flaw-cve%E2%80%902025%E2%80%9012183-forces-immediate-migration-to-community-fork 🚀 สตาร์ทอัพ Frenetik เปิดตัวเทคโนโลยีหลอกลวง AI บริษัทสตาร์ทอัพด้านไซเบอร์ชื่อ Frenetik เปิดตัวด้วยเทคโนโลยีการหลอกลวงที่จดสิทธิบัตร โดยตั้งเป้าใช้เทคนิคนี้เพื่อรับมือกับการแข่งขันด้าน AI ที่ทวีความรุนแรงขึ้น เทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างกับดักและทำให้ผู้โจมตีสับสน ถือเป็นแนวทางใหม่ที่น่าสนใจในการป้องกันภัยไซเบอร์ 🔗 https://securityonline.info/cyber-startup-frenetik-launches-with-patented-deception-technology-that-bets-against-the-ai-arms-race
    0 Comments 0 Shares 796 Views 0 Reviews
  • “Chrome 143 อัปเดตใหญ่ – อุดช่องโหว่ 13 จุด พร้อมบั๊ก V8 ร้ายแรง”

    Google ได้ปล่อย Chrome 143 Stable ซึ่งเป็นการอัปเดตด้านความปลอดภัยครั้งสำคัญ โดยแก้ไขช่องโหว่รวม 13 จุด ครอบคลุมทั้ง Windows, macOS และ Linux ไฮไลต์คือ CVE-2025-13630 ซึ่งเป็นบั๊ก “Type Confusion” ใน V8 JavaScript Engine ที่อาจทำให้เกิด memory corruption และการรันโค้ดอันตรายได้ ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัย Shreyas Penkar และได้รับรางวัล Bug Bounty มูลค่า 11,000 ดอลลาร์

    นอกจาก V8 แล้ว ยังมีการแก้ไขช่องโหว่ในส่วนอื่น ๆ เช่น Google Updater (CVE-2025-13631) ที่อาจถูกใช้เพื่อยกระดับสิทธิ์การเข้าถึง, ช่องโหว่ “Use-After-Free” ใน Digital Credentials (CVE-2025-13633), และบั๊กใน Chrome DevTools (CVE-2025-13632) ที่อาจถูกใช้โจมตีผ่าน social engineering หรือ self-XSS

    Google ได้จำกัดการเปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกของบั๊กเพื่อป้องกันการนำไปใช้โจมตีในวงกว้าง และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดต Chrome โดยสามารถตรวจสอบได้ที่เมนู Help > About Google Chrome เพื่อบังคับการอัปเดตทันที

    การอัปเดตนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการจัดการช่องโหว่ในเบราว์เซอร์ ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ถูกใช้มากที่สุดในโลก และมักเป็นเป้าหมายหลักของผู้โจมตี โดยเฉพาะบั๊กใน V8 ที่ถูกใช้เป็นช่องทางโจมตีบ่อยครั้งในอดีต

    สรุปเป็นหัวข้อ
    รายละเอียดการอัปเดต Chrome 143
    แก้ไขช่องโหว่รวม 13 จุด
    รองรับ Windows, macOS และ Linux
    จำกัดการเปิดเผยรายละเอียดเพื่อป้องกันการโจมตี

    ช่องโหว่สำคัญ
    CVE-2025-13630 – Type Confusion ใน V8 (Bug Bounty 11,000 ดอลลาร์)
    CVE-2025-13631 – Google Updater (Privilege Escalation)
    CVE-2025-13633 – Use-After-Free ใน Digital Credentials
    CVE-2025-13632 – DevTools Flaw

    ข้อควรระวัง
    ผู้โจมตีอาจใช้ช่องโหว่เพื่อรันโค้ดอันตราย
    V8 เป็นเป้าหมายโจมตีบ่อยครั้งในอดีต
    หากไม่อัปเดตทันที อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตี

    https://securityonline.info/chrome-143-stable-fixes-13-flaws-high-severity-v8-type-confusion-earns-11000-bounty/
    🔒 “Chrome 143 อัปเดตใหญ่ – อุดช่องโหว่ 13 จุด พร้อมบั๊ก V8 ร้ายแรง” Google ได้ปล่อย Chrome 143 Stable ซึ่งเป็นการอัปเดตด้านความปลอดภัยครั้งสำคัญ โดยแก้ไขช่องโหว่รวม 13 จุด ครอบคลุมทั้ง Windows, macOS และ Linux ไฮไลต์คือ CVE-2025-13630 ซึ่งเป็นบั๊ก “Type Confusion” ใน V8 JavaScript Engine ที่อาจทำให้เกิด memory corruption และการรันโค้ดอันตรายได้ ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัย Shreyas Penkar และได้รับรางวัล Bug Bounty มูลค่า 11,000 ดอลลาร์ นอกจาก V8 แล้ว ยังมีการแก้ไขช่องโหว่ในส่วนอื่น ๆ เช่น Google Updater (CVE-2025-13631) ที่อาจถูกใช้เพื่อยกระดับสิทธิ์การเข้าถึง, ช่องโหว่ “Use-After-Free” ใน Digital Credentials (CVE-2025-13633), และบั๊กใน Chrome DevTools (CVE-2025-13632) ที่อาจถูกใช้โจมตีผ่าน social engineering หรือ self-XSS Google ได้จำกัดการเปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกของบั๊กเพื่อป้องกันการนำไปใช้โจมตีในวงกว้าง และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดต Chrome โดยสามารถตรวจสอบได้ที่เมนู Help > About Google Chrome เพื่อบังคับการอัปเดตทันที การอัปเดตนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการจัดการช่องโหว่ในเบราว์เซอร์ ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ถูกใช้มากที่สุดในโลก และมักเป็นเป้าหมายหลักของผู้โจมตี โดยเฉพาะบั๊กใน V8 ที่ถูกใช้เป็นช่องทางโจมตีบ่อยครั้งในอดีต 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ รายละเอียดการอัปเดต Chrome 143 ➡️ แก้ไขช่องโหว่รวม 13 จุด ➡️ รองรับ Windows, macOS และ Linux ➡️ จำกัดการเปิดเผยรายละเอียดเพื่อป้องกันการโจมตี ✅ ช่องโหว่สำคัญ ➡️ CVE-2025-13630 – Type Confusion ใน V8 (Bug Bounty 11,000 ดอลลาร์) ➡️ CVE-2025-13631 – Google Updater (Privilege Escalation) ➡️ CVE-2025-13633 – Use-After-Free ใน Digital Credentials ➡️ CVE-2025-13632 – DevTools Flaw ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้โจมตีอาจใช้ช่องโหว่เพื่อรันโค้ดอันตราย ⛔ V8 เป็นเป้าหมายโจมตีบ่อยครั้งในอดีต ⛔ หากไม่อัปเดตทันที อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตี https://securityonline.info/chrome-143-stable-fixes-13-flaws-high-severity-v8-type-confusion-earns-11000-bounty/
    SECURITYONLINE.INFO
    Chrome 143 Stable Fixes 13 Flaws: High-Severity V8 Type Confusion Earns $11,000 Bounty
    Google rolled out Chrome 143 stable, patching 13 vulnerabilities. Key fixes include a High-severity V8 Type Confusion flaw (CVE-2025-13630) and an Updater vulnerability that risk code execution. Update immediately.
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • Ubuntu Touch OTA-1.1 มอบ VoLTE ให้ Fairphone 4 และ Volla Phone 22

    UBports Foundation ได้ปล่อยอัปเดต Ubuntu Touch OTA-1.1 สำหรับผู้ใช้บนฐาน Ubuntu 24.04 LTS และ OTA-11 สำหรับผู้ใช้บนฐาน Ubuntu 20.04 LTS โดยมีการปรับปรุงสำคัญทั้งด้านฟีเจอร์และความปลอดภัย ไฮไลต์หลักคือการเพิ่ม VoLTE (Voice over LTE) ให้กับ Fairphone 4 และ Volla Phone 22 ซึ่งช่วยให้การโทรศัพท์มีคุณภาพเสียงที่ดีขึ้นและรองรับเครือข่าย 4G อย่างเต็มรูปแบบ

    นอกจาก VoLTE แล้ว OTA-1.1 ยังปรับปรุง เวลาเริ่มต้นระบบหลังการอัปเกรด, การจัดการ Wi-Fi และ VPN ที่ถูกลบแล้วจะไม่กลับมาอีกหลังรีบูต, รวมถึงการปรับปรุง Wi-Fi hotspot บนอุปกรณ์บางรุ่น อีกทั้งยังแก้ไขบั๊กหลายรายการ เช่น การ crash ของแอป Messaging เมื่อเปิดไฟล์แนบวิดีโอ/เสียง, ปัญหาปฏิทินผิดพลาดในเมนู pull-down, และการไม่แสดง notification badges บน launcher สำหรับ Phone และ Messaging apps

    ด้านความปลอดภัย OTA-1.1 และ OTA-11 ได้แก้ไขช่องโหว่ใน GStreamer multimedia framework ที่อาจถูกใช้โจมตีระบบ จึงแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ OTA-11 ยังเพิ่มการรองรับ USB-C headset และแก้ไขปัญหาเสียงไม่หยุดเล่นเมื่อถอดหูฟัง Bluetooth ออก

    การอัปเดตนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ UBports ในการทำให้ Ubuntu Touch เป็นระบบปฏิบัติการมือถือที่มีความเสถียรและปลอดภัยมากขึ้น พร้อมรองรับอุปกรณ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการผลักดันระบบปฏิบัติการโอเพนซอร์สสำหรับมือถือให้แข่งขันได้ในตลาดที่ถูกครองโดย Android และ iOS

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน OTA-1.1
    เพิ่ม VoLTE ให้ Fairphone 4 และ Volla Phone 22
    ปรับปรุงเวลาเริ่มต้นระบบหลังอัปเกรด
    แก้ไขการจัดการ Wi-Fi/VPN และ Wi-Fi hotspot

    การแก้ไขบั๊ก
    แก้ crash ของ Messaging app เมื่อเปิดไฟล์แนบ
    แก้ปัญหาปฏิทินผิดพลาดในเมนู pull-down
    แก้ notification badges ไม่แสดงใน launcher

    การปรับปรุงด้านความปลอดภัย
    แก้ช่องโหว่ใน GStreamer multimedia framework
    OTA-11 เพิ่มการรองรับ USB-C headset และแก้ไขเสียง Bluetooth

    ข้อควรระวัง
    การ rollout OTA อาจใช้เวลาหลายวัน ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับอัปเดตพร้อมกัน
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่าและสำรองข้อมูลก่อนอัปเดตเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา

    https://9to5linux.com/ubuntu-touch-ota-1-1-rolls-out-with-volte-support-for-fairphone-4-volla-phone-22
    📱 Ubuntu Touch OTA-1.1 มอบ VoLTE ให้ Fairphone 4 และ Volla Phone 22 UBports Foundation ได้ปล่อยอัปเดต Ubuntu Touch OTA-1.1 สำหรับผู้ใช้บนฐาน Ubuntu 24.04 LTS และ OTA-11 สำหรับผู้ใช้บนฐาน Ubuntu 20.04 LTS โดยมีการปรับปรุงสำคัญทั้งด้านฟีเจอร์และความปลอดภัย ไฮไลต์หลักคือการเพิ่ม VoLTE (Voice over LTE) ให้กับ Fairphone 4 และ Volla Phone 22 ซึ่งช่วยให้การโทรศัพท์มีคุณภาพเสียงที่ดีขึ้นและรองรับเครือข่าย 4G อย่างเต็มรูปแบบ นอกจาก VoLTE แล้ว OTA-1.1 ยังปรับปรุง เวลาเริ่มต้นระบบหลังการอัปเกรด, การจัดการ Wi-Fi และ VPN ที่ถูกลบแล้วจะไม่กลับมาอีกหลังรีบูต, รวมถึงการปรับปรุง Wi-Fi hotspot บนอุปกรณ์บางรุ่น อีกทั้งยังแก้ไขบั๊กหลายรายการ เช่น การ crash ของแอป Messaging เมื่อเปิดไฟล์แนบวิดีโอ/เสียง, ปัญหาปฏิทินผิดพลาดในเมนู pull-down, และการไม่แสดง notification badges บน launcher สำหรับ Phone และ Messaging apps ด้านความปลอดภัย OTA-1.1 และ OTA-11 ได้แก้ไขช่องโหว่ใน GStreamer multimedia framework ที่อาจถูกใช้โจมตีระบบ จึงแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ OTA-11 ยังเพิ่มการรองรับ USB-C headset และแก้ไขปัญหาเสียงไม่หยุดเล่นเมื่อถอดหูฟัง Bluetooth ออก การอัปเดตนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ UBports ในการทำให้ Ubuntu Touch เป็นระบบปฏิบัติการมือถือที่มีความเสถียรและปลอดภัยมากขึ้น พร้อมรองรับอุปกรณ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการผลักดันระบบปฏิบัติการโอเพนซอร์สสำหรับมือถือให้แข่งขันได้ในตลาดที่ถูกครองโดย Android และ iOS 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน OTA-1.1 ➡️ เพิ่ม VoLTE ให้ Fairphone 4 และ Volla Phone 22 ➡️ ปรับปรุงเวลาเริ่มต้นระบบหลังอัปเกรด ➡️ แก้ไขการจัดการ Wi-Fi/VPN และ Wi-Fi hotspot ✅ การแก้ไขบั๊ก ➡️ แก้ crash ของ Messaging app เมื่อเปิดไฟล์แนบ ➡️ แก้ปัญหาปฏิทินผิดพลาดในเมนู pull-down ➡️ แก้ notification badges ไม่แสดงใน launcher ✅ การปรับปรุงด้านความปลอดภัย ➡️ แก้ช่องโหว่ใน GStreamer multimedia framework ➡️ OTA-11 เพิ่มการรองรับ USB-C headset และแก้ไขเสียง Bluetooth ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การ rollout OTA อาจใช้เวลาหลายวัน ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับอัปเดตพร้อมกัน ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่าและสำรองข้อมูลก่อนอัปเดตเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา https://9to5linux.com/ubuntu-touch-ota-1-1-rolls-out-with-volte-support-for-fairphone-4-volla-phone-22
    9TO5LINUX.COM
    Ubuntu Touch OTA-1.1 Rolls Out with VoLTE Support for Fairphone 4, Volla Phone 22 - 9to5Linux
    Ubuntu Touch OTA 1.1 update is now rolling out with VoLTE support for Fairphone 4 and Volla Phone 22 devices.
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • Linux Kernel 6.18 เปิดตัว พร้อมลุ้นเป็น LTS ประจำปี 2025

    Linux Kernel 6.18 ได้รับการปล่อยออกมาแล้ว โดยมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ทั้งด้าน ฮาร์ดแวร์ใหม่, ระบบไฟล์, และความปลอดภัย ซึ่ง Linus Torvalds ยืนยันว่าแม้จะมี “เสียงรบกวนจากบั๊กฟิกซ์” มากกว่าที่คาด แต่ก็ไม่มีปัญหาที่ต้องเลื่อนการเปิดตัว ทำให้เวอร์ชันนี้ถูกมองว่าอาจกลายเป็น Long-Term Support (LTS) ของปี 2025

    หนึ่งในไฮไลต์คือการรองรับ Intel Wildcat Lake CPUs และ Panther Lake SoC Power Slider ที่ช่วยให้ผู้ใช้เลือกโหมดพลังงานได้ตามต้องการ รวมถึงการปรับปรุง Intel P-State driver และการรองรับ Intel TDX สำหรับงานด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม Device Tree สำหรับ Apple M2 Pro/Max/Ultra และโน้ตบุ๊ก Snapdragon X1 หลายรุ่น ทำให้การใช้งาน Linux บนฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ ราบรื่นขึ้น

    ฝั่ง AMD ก็มีการปรับปรุงสำคัญ เช่น การรองรับ EPYC Venice processors และการแก้ไขบั๊กที่กระทบ VM ขนาดใหญ่ รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์ Secure AVIC สำหรับ SEV-SNP VM ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน Linux 6.18 ยังเปิดตัว Tyr driver ที่เขียนด้วย Rust สำหรับ GPU Arm Mali CSF ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของการนำ Rust มาใช้ใน Kernel

    ด้านระบบไฟล์ก็มีการเปลี่ยนแปลง เช่น Bcachefs ถูกถอดออกจาก mainline หลังเกิดความขัดแย้งกับ Linus Torvalds, Btrfs ได้รับการเร่งความเร็ว ในงานอ่านข้อมูลหนัก ๆ, และ XFS เปิดใช้งานการตรวจสอบไฟล์ระบบออนไลน์โดยค่าเริ่มต้น ซึ่งช่วยเพิ่มความเสถียรและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน

    สรุปสาระสำคัญ
    การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่
    Intel Wildcat Lake CPUs และ Panther Lake SoC Power Slider
    Apple M2 Pro/Max/Ultra และโน้ตบุ๊ก Snapdragon X1

    การปรับปรุงฝั่ง AMD
    รองรับ EPYC Venice processors และ SEV-SNP VM
    แก้ไขบั๊ก VM ขนาดใหญ่และเพิ่ม Secure AVIC

    การพัฒนา GPU และ Rust
    เปิดตัว Tyr driver สำหรับ Arm Mali CSF GPUs
    เป็น Rust-based driver ที่ยังอยู่ในขั้นทดลอง

    การเปลี่ยนแปลงระบบไฟล์
    Bcachefs ถูกถอดออกจาก mainline
    Btrfs เร็วขึ้น และ XFS เปิดใช้งานตรวจสอบออนไลน์

    คำเตือนและความเสี่ยง
    ผู้ใช้ที่พึ่งพา Bcachefs ต้องใช้ DKMS module แทน
    ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างยังอยู่ในขั้นทดลอง อาจไม่เสถียรในงานจริง

    https://itsfoss.com/news/linux-kernel-6-18/
    🐧 Linux Kernel 6.18 เปิดตัว พร้อมลุ้นเป็น LTS ประจำปี 2025 Linux Kernel 6.18 ได้รับการปล่อยออกมาแล้ว โดยมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ทั้งด้าน ฮาร์ดแวร์ใหม่, ระบบไฟล์, และความปลอดภัย ซึ่ง Linus Torvalds ยืนยันว่าแม้จะมี “เสียงรบกวนจากบั๊กฟิกซ์” มากกว่าที่คาด แต่ก็ไม่มีปัญหาที่ต้องเลื่อนการเปิดตัว ทำให้เวอร์ชันนี้ถูกมองว่าอาจกลายเป็น Long-Term Support (LTS) ของปี 2025 หนึ่งในไฮไลต์คือการรองรับ Intel Wildcat Lake CPUs และ Panther Lake SoC Power Slider ที่ช่วยให้ผู้ใช้เลือกโหมดพลังงานได้ตามต้องการ รวมถึงการปรับปรุง Intel P-State driver และการรองรับ Intel TDX สำหรับงานด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม Device Tree สำหรับ Apple M2 Pro/Max/Ultra และโน้ตบุ๊ก Snapdragon X1 หลายรุ่น ทำให้การใช้งาน Linux บนฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ ราบรื่นขึ้น ฝั่ง AMD ก็มีการปรับปรุงสำคัญ เช่น การรองรับ EPYC Venice processors และการแก้ไขบั๊กที่กระทบ VM ขนาดใหญ่ รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์ Secure AVIC สำหรับ SEV-SNP VM ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน Linux 6.18 ยังเปิดตัว Tyr driver ที่เขียนด้วย Rust สำหรับ GPU Arm Mali CSF ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของการนำ Rust มาใช้ใน Kernel ด้านระบบไฟล์ก็มีการเปลี่ยนแปลง เช่น Bcachefs ถูกถอดออกจาก mainline หลังเกิดความขัดแย้งกับ Linus Torvalds, Btrfs ได้รับการเร่งความเร็ว ในงานอ่านข้อมูลหนัก ๆ, และ XFS เปิดใช้งานการตรวจสอบไฟล์ระบบออนไลน์โดยค่าเริ่มต้น ซึ่งช่วยเพิ่มความเสถียรและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ➡️ Intel Wildcat Lake CPUs และ Panther Lake SoC Power Slider ➡️ Apple M2 Pro/Max/Ultra และโน้ตบุ๊ก Snapdragon X1 ✅ การปรับปรุงฝั่ง AMD ➡️ รองรับ EPYC Venice processors และ SEV-SNP VM ➡️ แก้ไขบั๊ก VM ขนาดใหญ่และเพิ่ม Secure AVIC ✅ การพัฒนา GPU และ Rust ➡️ เปิดตัว Tyr driver สำหรับ Arm Mali CSF GPUs ➡️ เป็น Rust-based driver ที่ยังอยู่ในขั้นทดลอง ✅ การเปลี่ยนแปลงระบบไฟล์ ➡️ Bcachefs ถูกถอดออกจาก mainline ➡️ Btrfs เร็วขึ้น และ XFS เปิดใช้งานตรวจสอบออนไลน์ ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ ผู้ใช้ที่พึ่งพา Bcachefs ต้องใช้ DKMS module แทน ⛔ ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างยังอยู่ในขั้นทดลอง อาจไม่เสถียรในงานจริง https://itsfoss.com/news/linux-kernel-6-18/
    0 Comments 0 Shares 218 Views 0 Reviews
  • Pichai มองอนาคต Quantum Computing

    Sundar Pichai กล่าวในพอดแคสต์ Google AI: Release Notes ว่าโลกจะรู้สึกถึง “ความตื่นเต้นหายใจไม่ทั่วท้อง” (breathless excitement) เกี่ยวกับ Quantum Computing ภายใน 5 ปีข้างหน้า เขาเปรียบเทียบกับกระแส AI ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยมองว่า Quantum Computing จะเป็น Next Paradigm Shift ที่ต่อยอดจากความสำเร็จของ AI

    เขาย้อนเล่าถึงการวางกลยุทธ์ AI-first ตั้งแต่ปี 2016 ที่เริ่มจากงานวิจัย Google Brain และการเข้าซื้อกิจการ DeepMind ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะของ AlphaGo และการเปิดตัว Tensor Processing Unit (TPU) รุ่นแรกในปีเดียวกัน

    Gemini 3 และ Nano Banana Pro
    Pichai กล่าวถึงการเปิดตัว Gemini 3 และ Nano Banana Pro ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์งานได้ตามจินตนาการ โดยเฉพาะ Nano Banana Pro ที่โดดเด่นในการสร้าง Infographics และงานภาพเชิงข้อมูล เขายังคาดหวังว่า Gemini 3.0 Flash จะเป็นโมเดลที่ดีที่สุดของ Google และช่วยให้บริการ AI เข้าถึงผู้ใช้ในวงกว้างมากขึ้น

    Project Suncatcher และ Data Center ในอวกาศ
    อีกหนึ่งไฮไลต์คือการพูดถึง Project Suncatcher ซึ่งเป็นแผนการสร้าง Data Center ในอวกาศภายในปี 2027 เพื่อรองรับความต้องการพลังประมวลผลมหาศาลในอนาคต Pichai มองว่าแนวคิดนี้แม้ดูเหนือจริง แต่ก็สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาถึงความต้องการด้านคอมพิวเตอร์ในอนาคต เขายังหยอกล้อว่า TPU ในอวกาศอาจเจอกับ Tesla Roadster ที่ลอยอยู่ในวงโคจร

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Pichai คาดการณ์ Quantum Computing จะสร้างความตื่นเต้นภายใน 5 ปี
    เปรียบเทียบกับกระแส AI ในปัจจุบัน
    มองว่าเป็น Paradigm Shift ถัดไป

    Google AI-first Strategy ตั้งแต่ปี 2016
    เริ่มจาก Google Brain และ DeepMind
    เปิดตัว TPU รุ่นแรกในปีเดียวกัน

    Gemini 3 และ Nano Banana Pro เปิดตัวแล้ว
    Nano Banana Pro เด่นด้าน Infographics
    Gemini 3.0 Flash อาจเป็นโมเดลที่ดีที่สุด

    Project Suncatcher: Data Center ในอวกาศปี 2027
    รองรับความต้องการพลังประมวลผลอนาคต
    แนวคิดแม้ดูเหนือจริงแต่มีเหตุผล

    คำเตือนสำหรับผู้ติดตามเทคโนโลยี
    Quantum Computing ยังอยู่ในระยะวิจัย ไม่พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ทันที
    Project Suncatcher ยังเป็นแผนการทดลอง อาจมีความเสี่ยงด้านต้นทุนและเทคโนโลยี

    https://securityonline.info/pichai-forecast-quantum-computing-will-reach-breathless-excitement-in-five-years/
    🔮 Pichai มองอนาคต Quantum Computing Sundar Pichai กล่าวในพอดแคสต์ Google AI: Release Notes ว่าโลกจะรู้สึกถึง “ความตื่นเต้นหายใจไม่ทั่วท้อง” (breathless excitement) เกี่ยวกับ Quantum Computing ภายใน 5 ปีข้างหน้า เขาเปรียบเทียบกับกระแส AI ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยมองว่า Quantum Computing จะเป็น Next Paradigm Shift ที่ต่อยอดจากความสำเร็จของ AI เขาย้อนเล่าถึงการวางกลยุทธ์ AI-first ตั้งแต่ปี 2016 ที่เริ่มจากงานวิจัย Google Brain และการเข้าซื้อกิจการ DeepMind ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะของ AlphaGo และการเปิดตัว Tensor Processing Unit (TPU) รุ่นแรกในปีเดียวกัน 🚀 Gemini 3 และ Nano Banana Pro Pichai กล่าวถึงการเปิดตัว Gemini 3 และ Nano Banana Pro ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์งานได้ตามจินตนาการ โดยเฉพาะ Nano Banana Pro ที่โดดเด่นในการสร้าง Infographics และงานภาพเชิงข้อมูล เขายังคาดหวังว่า Gemini 3.0 Flash จะเป็นโมเดลที่ดีที่สุดของ Google และช่วยให้บริการ AI เข้าถึงผู้ใช้ในวงกว้างมากขึ้น 🌌 Project Suncatcher และ Data Center ในอวกาศ อีกหนึ่งไฮไลต์คือการพูดถึง Project Suncatcher ซึ่งเป็นแผนการสร้าง Data Center ในอวกาศภายในปี 2027 เพื่อรองรับความต้องการพลังประมวลผลมหาศาลในอนาคต Pichai มองว่าแนวคิดนี้แม้ดูเหนือจริง แต่ก็สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาถึงความต้องการด้านคอมพิวเตอร์ในอนาคต เขายังหยอกล้อว่า TPU ในอวกาศอาจเจอกับ Tesla Roadster ที่ลอยอยู่ในวงโคจร 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Pichai คาดการณ์ Quantum Computing จะสร้างความตื่นเต้นภายใน 5 ปี ➡️ เปรียบเทียบกับกระแส AI ในปัจจุบัน ➡️ มองว่าเป็น Paradigm Shift ถัดไป ✅ Google AI-first Strategy ตั้งแต่ปี 2016 ➡️ เริ่มจาก Google Brain และ DeepMind ➡️ เปิดตัว TPU รุ่นแรกในปีเดียวกัน ✅ Gemini 3 และ Nano Banana Pro เปิดตัวแล้ว ➡️ Nano Banana Pro เด่นด้าน Infographics ➡️ Gemini 3.0 Flash อาจเป็นโมเดลที่ดีที่สุด ✅ Project Suncatcher: Data Center ในอวกาศปี 2027 ➡️ รองรับความต้องการพลังประมวลผลอนาคต ➡️ แนวคิดแม้ดูเหนือจริงแต่มีเหตุผล ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ติดตามเทคโนโลยี ⛔ Quantum Computing ยังอยู่ในระยะวิจัย ไม่พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ทันที ⛔ Project Suncatcher ยังเป็นแผนการทดลอง อาจมีความเสี่ยงด้านต้นทุนและเทคโนโลยี https://securityonline.info/pichai-forecast-quantum-computing-will-reach-breathless-excitement-in-five-years/
    SECURITYONLINE.INFO
    Pichai Forecast: Quantum Computing Will Reach 'Breathless Excitement' in Five Years
    Google CEO Sundar Pichai forecasts quantum computing will match today's AI excitement in 5 years. He also touched on Gemini 3's success and Project Suncatcher (space data centers).
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • 13 อุปกรณ์ Smart Home ที่ควรมีในบ้าน

    บทความจาก SlashGear รวบรวมอุปกรณ์ Smart Home ที่ช่วยยกระดับการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเริ่มจาก Ring Wired Doorbell Pro ที่มาพร้อมกล้อง 4K และ AI ช่วยปรับภาพให้คมชัด พร้อมฟีเจอร์ให้ Alexa ตอบประตูแทนคุณได้ ไปจนถึง Wyze Smart Plug ที่ช่วยเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาให้ควบคุมผ่านมือถือได้ง่าย ๆ

    อีกหนึ่งไฮไลต์คือ Lockly Visage Smart Door Lock ที่ใช้การปลดล็อกด้วยใบหน้า/ลายนิ้วมือ และสามารถเชื่อมต่อกับ Apple HomeKit ได้ รวมถึง Netvue Bird Feeder ที่มี AI ระบุชนิดนกกว่า 6,000 สายพันธุ์ พร้อมกล้อง 1080p และโหมดกลางคืนสี

    อุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกและบรรยากาศ
    สำหรับคนรักต้นไม้ มี Daotaili Smart Plant Waterer ที่สามารถรดน้ำต้นไม้ได้อัตโนมัติสูงสุด 20 กระถาง ส่วน Amazon Basics Smart Lights ก็ช่วยให้คุณควบคุมไฟทั้งบ้านผ่านมือถือหรือเสียงได้ง่ายขึ้น ขณะที่ Echo Dot Smart Speaker ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมในการควบคุมอุปกรณ์อื่น ๆ และเล่นเพลงหรือข่าวสาร

    ด้านการควบคุมอุณหภูมิ Google Nest Smart Thermostat รุ่นที่ 4 สามารถเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้และปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ พร้อมดีไซน์หรูหรา ขณะที่ Sonoff Smart Buttons และ ThirdReality Motion Sensors ช่วยสร้าง routine อัตโนมัติ เช่น ปิดไฟ/ล็อกประตูเมื่อเข้านอน หรือเปิดไฟเมื่อมีคนเดินผ่าน

    อุปกรณ์เสริมเพื่อความสบายและประหยัดพลังงาน
    บทความยังแนะนำ Mansnix Smart Blinds ที่ควบคุมด้วยเสียงหรือรีโมต และช่วยกันแสงแดด/ควบคุมอุณหภูมิห้อง รวมถึง Dreo Smart Ceiling Fan ที่ปรับความเร็วลมได้หลายระดับและมีไฟในตัว สุดท้ายคือ Trjzwa Smart Sprinklers ที่ตั้งเวลารดน้ำอัตโนมัติและปรับตามสภาพอากาศได้ ช่วยประหยัดน้ำและดูแลสวนได้ง่ายขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย
    Ring Wired Doorbell Pro (กล้อง 4K + AI)
    Lockly Visage Smart Door Lock (Face/Fingerprint Unlock)
    ThirdReality Motion Sensors

    อุปกรณ์เพื่อความสะดวก
    Wyze Smart Plug (ควบคุมอุปกรณ์เดิมผ่านมือถือ)
    Echo Dot Smart Speaker (ควบคุมด้วยเสียง + เล่นเพลง)
    Sonoff Smart Buttons (สร้าง routine อัตโนมัติ)

    อุปกรณ์เพื่อการจัดการบ้าน
    Daotaili Smart Plant Waterer (รดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ)
    Netvue Bird Feeder (AI ระบุนก + กล้อง 1080p)
    Amazon Basics Smart Lights (ควบคุมไฟทั้งบ้าน)

    อุปกรณ์เพื่อความสบายและประหยัดพลังงาน
    Google Nest Smart Thermostat (เรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้)
    Mansnix Smart Blinds (กันแสงแดด + ควบคุมอุณหภูมิ)
    Dreo Smart Ceiling Fan (ปรับความเร็วลม + ไฟในตัว)
    Trjzwa Smart Sprinklers (ตั้งเวลารดน้ำ + ปรับตามฝน)

    https://www.slashgear.com/2027157/best-smart-home-devices-amazon/
    🏠 13 อุปกรณ์ Smart Home ที่ควรมีในบ้าน บทความจาก SlashGear รวบรวมอุปกรณ์ Smart Home ที่ช่วยยกระดับการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเริ่มจาก Ring Wired Doorbell Pro ที่มาพร้อมกล้อง 4K และ AI ช่วยปรับภาพให้คมชัด พร้อมฟีเจอร์ให้ Alexa ตอบประตูแทนคุณได้ ไปจนถึง Wyze Smart Plug ที่ช่วยเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาให้ควบคุมผ่านมือถือได้ง่าย ๆ อีกหนึ่งไฮไลต์คือ Lockly Visage Smart Door Lock ที่ใช้การปลดล็อกด้วยใบหน้า/ลายนิ้วมือ และสามารถเชื่อมต่อกับ Apple HomeKit ได้ รวมถึง Netvue Bird Feeder ที่มี AI ระบุชนิดนกกว่า 6,000 สายพันธุ์ พร้อมกล้อง 1080p และโหมดกลางคืนสี 💡 อุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกและบรรยากาศ สำหรับคนรักต้นไม้ มี Daotaili Smart Plant Waterer ที่สามารถรดน้ำต้นไม้ได้อัตโนมัติสูงสุด 20 กระถาง ส่วน Amazon Basics Smart Lights ก็ช่วยให้คุณควบคุมไฟทั้งบ้านผ่านมือถือหรือเสียงได้ง่ายขึ้น ขณะที่ Echo Dot Smart Speaker ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมในการควบคุมอุปกรณ์อื่น ๆ และเล่นเพลงหรือข่าวสาร ด้านการควบคุมอุณหภูมิ Google Nest Smart Thermostat รุ่นที่ 4 สามารถเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้และปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ พร้อมดีไซน์หรูหรา ขณะที่ Sonoff Smart Buttons และ ThirdReality Motion Sensors ช่วยสร้าง routine อัตโนมัติ เช่น ปิดไฟ/ล็อกประตูเมื่อเข้านอน หรือเปิดไฟเมื่อมีคนเดินผ่าน 🌿 อุปกรณ์เสริมเพื่อความสบายและประหยัดพลังงาน บทความยังแนะนำ Mansnix Smart Blinds ที่ควบคุมด้วยเสียงหรือรีโมต และช่วยกันแสงแดด/ควบคุมอุณหภูมิห้อง รวมถึง Dreo Smart Ceiling Fan ที่ปรับความเร็วลมได้หลายระดับและมีไฟในตัว สุดท้ายคือ Trjzwa Smart Sprinklers ที่ตั้งเวลารดน้ำอัตโนมัติและปรับตามสภาพอากาศได้ ช่วยประหยัดน้ำและดูแลสวนได้ง่ายขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย ➡️ Ring Wired Doorbell Pro (กล้อง 4K + AI) ➡️ Lockly Visage Smart Door Lock (Face/Fingerprint Unlock) ➡️ ThirdReality Motion Sensors ✅ อุปกรณ์เพื่อความสะดวก ➡️ Wyze Smart Plug (ควบคุมอุปกรณ์เดิมผ่านมือถือ) ➡️ Echo Dot Smart Speaker (ควบคุมด้วยเสียง + เล่นเพลง) ➡️ Sonoff Smart Buttons (สร้าง routine อัตโนมัติ) ✅ อุปกรณ์เพื่อการจัดการบ้าน ➡️ Daotaili Smart Plant Waterer (รดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ) ➡️ Netvue Bird Feeder (AI ระบุนก + กล้อง 1080p) ➡️ Amazon Basics Smart Lights (ควบคุมไฟทั้งบ้าน) ✅ อุปกรณ์เพื่อความสบายและประหยัดพลังงาน ➡️ Google Nest Smart Thermostat (เรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้) ➡️ Mansnix Smart Blinds (กันแสงแดด + ควบคุมอุณหภูมิ) ➡️ Dreo Smart Ceiling Fan (ปรับความเร็วลม + ไฟในตัว) ➡️ Trjzwa Smart Sprinklers (ตั้งเวลารดน้ำ + ปรับตามฝน) https://www.slashgear.com/2027157/best-smart-home-devices-amazon/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    13 Of The Best Smart Home Devices You Can Find On Amazon - SlashGear
    A grounded take on home automation that cuts through the hype and highlights gear that genuinely improves comfort, security, and routine.
    0 Comments 0 Shares 397 Views 0 Reviews
  • Unreal Engine 5.7 เปิดตัวแล้ว พร้อมฟีเจอร์ Nanite Foliage และ MegaLights

    Epic Games ได้ปล่อย Unreal Engine 5.7 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่นักพัฒนาเกมรอคอยกันมานาน จุดเด่นคือการยกระดับระบบแสงและการเรนเดอร์วัตถุให้สมจริงมากขึ้น ฟีเจอร์ MegaLights ที่เคยอยู่ในสถานะทดลอง ตอนนี้ถูกยกระดับเป็น Beta ทำให้สามารถใส่แสงเงาแบบไดนามิกจำนวนมากลงในฉากได้โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการแสดงผลของเส้นผม วัตถุโปร่งใส และอนุภาค Niagara ให้สมจริงกว่าเดิม

    อีกหนึ่งไฮไลต์คือ Nanite Foliage ที่ช่วยให้การเรนเดอร์พืชพรรณ เช่น ต้นไม้หรือหญ้า มีความละเอียดสูงโดยไม่ต้องสร้าง LODs เอง ระบบนี้ใช้ Nanite Voxels และ Assemblies เพื่อลดการใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเสถียรของเฟรมเรต พร้อมทั้งรองรับการเคลื่อนไหวแบบไดนามิก เช่น การตอบสนองต่อแรงลม ทำให้โลกในเกมดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

    นอกจากนี้ Unreal Engine 5.7 ยังมาพร้อม AI Assistant ที่ฝังอยู่ในตัว Editor นักพัฒนาสามารถถามคำถาม สร้างโค้ด C++ หรือขอคำแนะนำแบบ step-by-step ได้ทันทีโดยไม่ต้องออกจากโปรแกรม ถือเป็นการผสมผสาน AI เข้ากับการพัฒนาเกมอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมที่กำลังใช้ AI เพื่อเร่งการสร้างคอนเทนต์

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Unreal Engine 5.7
    MegaLights เพิ่มความสมจริงของแสงเงา
    Nanite Foliage ทำให้พืชพรรณในเกมสมจริงโดยไม่กระทบเฟรมเรต
    AI Assistant ช่วยนักพัฒนาเขียนโค้ดและแก้ปัญหาใน Editor

    ข้อควรระวัง
    ฟีเจอร์บางอย่างยังอยู่ในสถานะทดลอง อาจมีบั๊กหรือไม่เสถียร
    การใช้แสงจำนวนมากอาจทำให้ฮาร์ดแวร์รุ่นเก่าไม่รองรับเต็มที่

    https://wccftech.com/unreal-engine-5-7-out-now-with-nanite-foliage-and-megalights-powered-stunning-dynamic-shadow-casting-lights/
    🕹️ Unreal Engine 5.7 เปิดตัวแล้ว พร้อมฟีเจอร์ Nanite Foliage และ MegaLights Epic Games ได้ปล่อย Unreal Engine 5.7 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่นักพัฒนาเกมรอคอยกันมานาน จุดเด่นคือการยกระดับระบบแสงและการเรนเดอร์วัตถุให้สมจริงมากขึ้น ฟีเจอร์ MegaLights ที่เคยอยู่ในสถานะทดลอง ตอนนี้ถูกยกระดับเป็น Beta ทำให้สามารถใส่แสงเงาแบบไดนามิกจำนวนมากลงในฉากได้โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการแสดงผลของเส้นผม วัตถุโปร่งใส และอนุภาค Niagara ให้สมจริงกว่าเดิม อีกหนึ่งไฮไลต์คือ Nanite Foliage ที่ช่วยให้การเรนเดอร์พืชพรรณ เช่น ต้นไม้หรือหญ้า มีความละเอียดสูงโดยไม่ต้องสร้าง LODs เอง ระบบนี้ใช้ Nanite Voxels และ Assemblies เพื่อลดการใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเสถียรของเฟรมเรต พร้อมทั้งรองรับการเคลื่อนไหวแบบไดนามิก เช่น การตอบสนองต่อแรงลม ทำให้โลกในเกมดูมีชีวิตชีวามากขึ้น นอกจากนี้ Unreal Engine 5.7 ยังมาพร้อม AI Assistant ที่ฝังอยู่ในตัว Editor นักพัฒนาสามารถถามคำถาม สร้างโค้ด C++ หรือขอคำแนะนำแบบ step-by-step ได้ทันทีโดยไม่ต้องออกจากโปรแกรม ถือเป็นการผสมผสาน AI เข้ากับการพัฒนาเกมอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมที่กำลังใช้ AI เพื่อเร่งการสร้างคอนเทนต์ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Unreal Engine 5.7 ➡️ MegaLights เพิ่มความสมจริงของแสงเงา ➡️ Nanite Foliage ทำให้พืชพรรณในเกมสมจริงโดยไม่กระทบเฟรมเรต ➡️ AI Assistant ช่วยนักพัฒนาเขียนโค้ดและแก้ปัญหาใน Editor ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ฟีเจอร์บางอย่างยังอยู่ในสถานะทดลอง อาจมีบั๊กหรือไม่เสถียร ⛔ การใช้แสงจำนวนมากอาจทำให้ฮาร์ดแวร์รุ่นเก่าไม่รองรับเต็มที่ https://wccftech.com/unreal-engine-5-7-out-now-with-nanite-foliage-and-megalights-powered-stunning-dynamic-shadow-casting-lights/
    WCCFTECH.COM
    Unreal Engine 5.7 Out Now with Nanite Foliage and MegaLights-Powered Stunning Dynamic Shadow-Casting Lights
    Epic has released Unreal Engine 5.7. The new build of the game making engine adds Nanite Foliage, MegaLights, and much more.
    0 Comments 0 Shares 173 Views 0 Reviews
  • NVIDIA ปล่อยไดรเวอร์ 580.105.08 สำหรับ Linux พร้อมตัวแปรใหม่ควบคุมพลังงาน GPU

    NVIDIA ได้เปิดตัวไดรเวอร์เวอร์ชัน 580.105.08 สำหรับระบบปฏิบัติการ Linux, BSD และ Solaris โดยมีไฮไลต์สำคัญคือการเพิ่มตัวแปรสภาพแวดล้อมใหม่ CUDA_DISABLE_PERF_BOOST ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปิดการเร่งพลังงาน GPU อัตโนมัติเมื่อรันแอปพลิเคชัน CUDA ได้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เปิดตัวไดรเวอร์ NVIDIA 580.105.08
    รองรับ Linux, BSD, Solaris
    เป็นเวอร์ชัน production ล่าสุดที่แนะนำให้ใช้งาน

    เพิ่มตัวแปร CUDA_DISABLE_PERF_BOOST
    ปิดการเร่งพลังงาน GPU อัตโนมัติเมื่อรัน CUDA
    เหมาะกับการควบคุมพลังงานและอุณหภูมิ

    แก้ไขบั๊กสำคัญหลายรายการ
    ปัญหา VM, เกม crash, HDMI จอดำ, VRR ผิดพลาด
    รองรับความละเอียดสูงและ refresh rate สูงขึ้น

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ CUDA
    หากปิดการ boost อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของแอป CUDA
    ควรทดสอบก่อนใช้งานจริงในงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    นี่คือการอัปเดตที่สำคัญสำหรับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการควบคุมพลังงาน GPU อย่างละเอียด โดยเฉพาะในงานที่ต้องการเสถียรภาพมากกว่าความเร็วสูงสุด เช่น การประมวลผลแบบต่อเนื่องหรือในสภาพแวดล้อมเสมือน.

    https://9to5linux.com/nvidia-580-105-08-linux-graphics-driver-released-with-a-new-environment-variable
    🖥️ NVIDIA ปล่อยไดรเวอร์ 580.105.08 สำหรับ Linux พร้อมตัวแปรใหม่ควบคุมพลังงาน GPU NVIDIA ได้เปิดตัวไดรเวอร์เวอร์ชัน 580.105.08 สำหรับระบบปฏิบัติการ Linux, BSD และ Solaris โดยมีไฮไลต์สำคัญคือการเพิ่มตัวแปรสภาพแวดล้อมใหม่ CUDA_DISABLE_PERF_BOOST ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปิดการเร่งพลังงาน GPU อัตโนมัติเมื่อรันแอปพลิเคชัน CUDA ได้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เปิดตัวไดรเวอร์ NVIDIA 580.105.08 ➡️ รองรับ Linux, BSD, Solaris ➡️ เป็นเวอร์ชัน production ล่าสุดที่แนะนำให้ใช้งาน ✅ เพิ่มตัวแปร CUDA_DISABLE_PERF_BOOST ➡️ ปิดการเร่งพลังงาน GPU อัตโนมัติเมื่อรัน CUDA ➡️ เหมาะกับการควบคุมพลังงานและอุณหภูมิ ✅ แก้ไขบั๊กสำคัญหลายรายการ ➡️ ปัญหา VM, เกม crash, HDMI จอดำ, VRR ผิดพลาด ➡️ รองรับความละเอียดสูงและ refresh rate สูงขึ้น ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ CUDA ⛔ หากปิดการ boost อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของแอป CUDA ⛔ ควรทดสอบก่อนใช้งานจริงในงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง นี่คือการอัปเดตที่สำคัญสำหรับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการควบคุมพลังงาน GPU อย่างละเอียด โดยเฉพาะในงานที่ต้องการเสถียรภาพมากกว่าความเร็วสูงสุด เช่น การประมวลผลแบบต่อเนื่องหรือในสภาพแวดล้อมเสมือน. https://9to5linux.com/nvidia-580-105-08-linux-graphics-driver-released-with-a-new-environment-variable
    9TO5LINUX.COM
    NVIDIA 580.105.08 Linux Graphics Driver Released with a New Environment Variable - 9to5Linux
    NVIDIA 580.105.08 graphics driver for Linux systems is now available for download with a new environment variable and various bug fixes.
    0 Comments 0 Shares 245 Views 0 Reviews
  • Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 นำโดย iPhone พับได้และบ้านอัจฉริยะ AI

    Apple วางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 15 รายการในปี 2026 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท โดยมีไฮไลต์สำคัญคือ iPhone พับได้, MacBook Pro จอ OLED รองรับระบบสัมผัส, และอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะที่ใช้ Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่

    ปี 2026 จะเป็นปีที่ Apple เปิดเกมรุกครั้งใหญ่ในทุกสายผลิตภัณฑ์ โดยเริ่มจาก iPhone 17e รุ่นประหยัด, iPad Gen 12, iPad Air และ MacBook Air ที่ใช้ชิป M5 ใหม่ทั้งหมดในช่วงต้นปี

    ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.–เม.ย.) จะเปิดตัวบริการ Siri และ Apple Intelligence แบบเต็มรูปแบบ พร้อมอุปกรณ์ Smart Home Display ที่ติดตั้งได้ทั้งแบบตั้งโต๊ะและติดผนัง

    ช่วงปลายปีจะเป็นไฮไลต์สำคัญกับ iPhone 18 Pro ที่มาพร้อมโมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเองแทน Qualcomm และ iPhone พับได้รุ่นแรกของบริษัท รวมถึง Apple Watch รุ่นใหม่

    ตลอดปีจะมีการเปิดตัวอุปกรณ์เสริม เช่น กล้องรักษาความปลอดภัยบ้าน, Mac mini, Mac Studio, iPad mini จอ OLED และ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่บางลง รองรับจอสัมผัสและใช้ชิป M6 Pro / M6 Max

    Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026
    ครอบคลุมทุกสายผลิตภัณฑ์: iPhone, iPad, Mac, Smart Home
    ฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท

    ผลิตภัณฑ์ช่วงต้นปี 2026
    iPhone 17e รุ่นประหยัด
    iPad Gen 12 (ชิป A18), iPad Air (ชิป M4)
    MacBook Air และ MacBook Pro (ชิป M5 / M5 Pro / M5 Max)
    จอภาพภายนอกใหม่

    ผลิตภัณฑ์ช่วงฤดูใบไม้ผลิ
    เปิดตัว Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่
    Smart Home Display แบบตั้งโต๊ะและติดผนัง

    ผลิตภัณฑ์ช่วงปลายปี
    iPhone 18 Pro ใช้โมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง
    iPhone พับได้รุ่นแรก
    Apple Watch รุ่นใหม่
    MacBook Pro รุ่นใหม่: บางลง, จอ OLED, รองรับสัมผัส, ชิป M6 Pro / M6 Max
    พรีวิวแว่นตาอัจฉริยะ Smart Glasses

    https://securityonline.info/the-2026-surge-apples-15-product-roadmap-includes-foldable-iphone-ai-smart-home/
    📱 Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 นำโดย iPhone พับได้และบ้านอัจฉริยะ AI Apple วางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 15 รายการในปี 2026 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท โดยมีไฮไลต์สำคัญคือ iPhone พับได้, MacBook Pro จอ OLED รองรับระบบสัมผัส, และอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะที่ใช้ Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่ ปี 2026 จะเป็นปีที่ Apple เปิดเกมรุกครั้งใหญ่ในทุกสายผลิตภัณฑ์ โดยเริ่มจาก iPhone 17e รุ่นประหยัด, iPad Gen 12, iPad Air และ MacBook Air ที่ใช้ชิป M5 ใหม่ทั้งหมดในช่วงต้นปี ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.–เม.ย.) จะเปิดตัวบริการ Siri และ Apple Intelligence แบบเต็มรูปแบบ พร้อมอุปกรณ์ Smart Home Display ที่ติดตั้งได้ทั้งแบบตั้งโต๊ะและติดผนัง ช่วงปลายปีจะเป็นไฮไลต์สำคัญกับ iPhone 18 Pro ที่มาพร้อมโมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเองแทน Qualcomm และ iPhone พับได้รุ่นแรกของบริษัท รวมถึง Apple Watch รุ่นใหม่ ตลอดปีจะมีการเปิดตัวอุปกรณ์เสริม เช่น กล้องรักษาความปลอดภัยบ้าน, Mac mini, Mac Studio, iPad mini จอ OLED และ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่บางลง รองรับจอสัมผัสและใช้ชิป M6 Pro / M6 Max ✅ Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 ➡️ ครอบคลุมทุกสายผลิตภัณฑ์: iPhone, iPad, Mac, Smart Home ➡️ ฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงต้นปี 2026 ➡️ iPhone 17e รุ่นประหยัด ➡️ iPad Gen 12 (ชิป A18), iPad Air (ชิป M4) ➡️ MacBook Air และ MacBook Pro (ชิป M5 / M5 Pro / M5 Max) ➡️ จอภาพภายนอกใหม่ ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ➡️ เปิดตัว Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่ ➡️ Smart Home Display แบบตั้งโต๊ะและติดผนัง ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงปลายปี ➡️ iPhone 18 Pro ใช้โมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง ➡️ iPhone พับได้รุ่นแรก ➡️ Apple Watch รุ่นใหม่ ➡️ MacBook Pro รุ่นใหม่: บางลง, จอ OLED, รองรับสัมผัส, ชิป M6 Pro / M6 Max ➡️ พรีวิวแว่นตาอัจฉริยะ Smart Glasses https://securityonline.info/the-2026-surge-apples-15-product-roadmap-includes-foldable-iphone-ai-smart-home/
    SECURITYONLINE.INFO
    The 2026 Surge: Apple's 15-Product Roadmap Includes Foldable iPhone & AI Smart Home
    Apple’s ambitious 2026 roadmap features 15+ major products: iPhone 18, a foldable iPhone, M6 MacBooks with touchscreens, and a massive Apple Intelligence rollout.
    0 Comments 0 Shares 254 Views 0 Reviews
  • โปรเจกต์สุดบ้าระห่ำ: รีเมค Xbox รุ่นต้นแบบจากโลหะทั้งก้อน พร้อมอัปเกรด HDMI และหัวใจดิจิทัล

    กลุ่มนักโมดิฟายสายฮาร์ดคอร์นำต้นแบบ Xbox รุ่นแรกสุดที่เคยมีแค่ในตำนานกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยการสร้างเคสจากอลูมิเนียมทั้งก้อน มูลค่ากว่า $6,000 พร้อมใส่ฮาร์ดแวร์จริงจาก Xbox รุ่นดั้งเดิม และอัปเกรดให้ทันสมัยด้วย HDMI และหน้าจอวงกลมตรงกลางที่เคยเป็นแค่ไฟ LED กลายเป็นจอแสดงผลแบบมีแอนิเมชัน!

    เรื่องราวเบื้องหลังโปรเจกต์สุดโหด
    ย้อนกลับไปปี 2001 ก่อนที่ Xbox ตัวจริงจะเปิดตัว Microsoft เคยสร้างต้นแบบที่มีรูปร่างเป็น “X” ขนาดใหญ่ หนักถึง 40 ปอนด์ และใช้เงินสร้างกว่า $18,000 (เทียบเท่า $36,000 ในปัจจุบัน) แต่ไม่เคยวางขายจริง

    Macho Nacho Productions จับมือกับนักโมดิฟายหลายคน สร้าง CAD จากภาพถ่ายต้นฉบับที่จัดแสดงใน Microsoft Experience Center แล้วส่งให้ PCBWay กลึงเคสจากอลูมิเนียมทั้งก้อน พร้อมออกแบบภายในให้ใส่ฮาร์ดแวร์จริงของ Xbox ได้

    นอกจากนั้นยังมีการออกแบบระบบจ่ายไฟใหม่แบบ USB-C PD ที่ปลอดภัยและเล็กลงกว่าเดิม และโมดิฟายซอฟต์แวร์ให้สามารถรัน Homebrew ได้ พร้อมอัปเกรดพอร์ตภาพจาก composite เป็น HDMI

    ไฮไลต์คือ “จิวเวล” ตรงกลางที่เคยเป็นไฟ LED สีเขียว ถูกแทนที่ด้วยหน้าจอวงกลมที่แสดงแอนิเมชันแบบกำหนดเองผ่าน Raspberry Pi Pico 2 ซึ่งจะเปิดเมื่อเครื่องเปิด และดับเมื่อปิดเครื่อง

    สุดท้าย Macho Nacho เตรียมนำเครื่องนี้ไปโชว์ตามงานเกมทั่วโลก พร้อมกล่องพกพาแบบสั่งทำพิเศษ

    Xbox รุ่นต้นแบบถูกสร้างใหม่จากอลูมิเนียมทั้งก้อน
    ใช้ CAD จากภาพถ่ายต้นฉบับใน Microsoft Experience Center
    กลึงโดย PCBWay ด้วยงบประมาณ ~$6,000

    ใช้ฮาร์ดแวร์จริงจาก Xbox รุ่นดั้งเดิม
    มีเมนบอร์ด, ไดรฟ์, คอนโทรลเลอร์ครบ
    โมดิฟายให้รองรับ Homebrew และ HDMI

    ระบบไฟใหม่แบบ USB-C PD
    ปลอดภัยกว่า PSU เดิม
    ใช้เพาเวอร์แบงก์ขนาดเล็กจ่ายไฟได้

    “จิวเวล” กลางเครื่องกลายเป็นหน้าจอวงกลม
    ใช้ Raspberry Pi Pico 2 ควบคุม
    แสดงแอนิเมชันเปิด-ปิดเครื่องแบบกำหนดเอง

    ต้นแบบเดิมของ Xbox ไม่เคยวางขาย
    สร้างเพื่อโชว์ศักยภาพ Microsoft ในตลาดเกม
    มีเพียง 3 เครื่องที่จัดแสดงในสำนักงานทั่วโลก

    การสร้างใหม่ต้องใช้ความร่วมมือหลายฝ่าย
    ต้องวัดขนาดจากกระจกโชว์จริง
    ต้องออกแบบภายในใหม่ทั้งหมดให้ใส่ฮาร์ดแวร์ได้

    https://www.tomshardware.com/video-games/xbox/modders-recreate-original-xbox-prototype-with-a-solid-block-of-metal-in-ambitious-project-modern-makeover-features-real-xbox-hardware-and-hdmi-upgrades
    🎮 โปรเจกต์สุดบ้าระห่ำ: รีเมค Xbox รุ่นต้นแบบจากโลหะทั้งก้อน พร้อมอัปเกรด HDMI และหัวใจดิจิทัล กลุ่มนักโมดิฟายสายฮาร์ดคอร์นำต้นแบบ Xbox รุ่นแรกสุดที่เคยมีแค่ในตำนานกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยการสร้างเคสจากอลูมิเนียมทั้งก้อน มูลค่ากว่า $6,000 พร้อมใส่ฮาร์ดแวร์จริงจาก Xbox รุ่นดั้งเดิม และอัปเกรดให้ทันสมัยด้วย HDMI และหน้าจอวงกลมตรงกลางที่เคยเป็นแค่ไฟ LED กลายเป็นจอแสดงผลแบบมีแอนิเมชัน! 🧠 เรื่องราวเบื้องหลังโปรเจกต์สุดโหด ย้อนกลับไปปี 2001 ก่อนที่ Xbox ตัวจริงจะเปิดตัว Microsoft เคยสร้างต้นแบบที่มีรูปร่างเป็น “X” ขนาดใหญ่ หนักถึง 40 ปอนด์ และใช้เงินสร้างกว่า $18,000 (เทียบเท่า $36,000 ในปัจจุบัน) แต่ไม่เคยวางขายจริง Macho Nacho Productions จับมือกับนักโมดิฟายหลายคน สร้าง CAD จากภาพถ่ายต้นฉบับที่จัดแสดงใน Microsoft Experience Center แล้วส่งให้ PCBWay กลึงเคสจากอลูมิเนียมทั้งก้อน พร้อมออกแบบภายในให้ใส่ฮาร์ดแวร์จริงของ Xbox ได้ นอกจากนั้นยังมีการออกแบบระบบจ่ายไฟใหม่แบบ USB-C PD ที่ปลอดภัยและเล็กลงกว่าเดิม และโมดิฟายซอฟต์แวร์ให้สามารถรัน Homebrew ได้ พร้อมอัปเกรดพอร์ตภาพจาก composite เป็น HDMI ไฮไลต์คือ “จิวเวล” ตรงกลางที่เคยเป็นไฟ LED สีเขียว ถูกแทนที่ด้วยหน้าจอวงกลมที่แสดงแอนิเมชันแบบกำหนดเองผ่าน Raspberry Pi Pico 2 ซึ่งจะเปิดเมื่อเครื่องเปิด และดับเมื่อปิดเครื่อง สุดท้าย Macho Nacho เตรียมนำเครื่องนี้ไปโชว์ตามงานเกมทั่วโลก พร้อมกล่องพกพาแบบสั่งทำพิเศษ ✅ Xbox รุ่นต้นแบบถูกสร้างใหม่จากอลูมิเนียมทั้งก้อน ➡️ ใช้ CAD จากภาพถ่ายต้นฉบับใน Microsoft Experience Center ➡️ กลึงโดย PCBWay ด้วยงบประมาณ ~$6,000 ✅ ใช้ฮาร์ดแวร์จริงจาก Xbox รุ่นดั้งเดิม ➡️ มีเมนบอร์ด, ไดรฟ์, คอนโทรลเลอร์ครบ ➡️ โมดิฟายให้รองรับ Homebrew และ HDMI ✅ ระบบไฟใหม่แบบ USB-C PD ➡️ ปลอดภัยกว่า PSU เดิม ➡️ ใช้เพาเวอร์แบงก์ขนาดเล็กจ่ายไฟได้ ✅ “จิวเวล” กลางเครื่องกลายเป็นหน้าจอวงกลม ➡️ ใช้ Raspberry Pi Pico 2 ควบคุม ➡️ แสดงแอนิเมชันเปิด-ปิดเครื่องแบบกำหนดเอง ‼️ ต้นแบบเดิมของ Xbox ไม่เคยวางขาย ⛔ สร้างเพื่อโชว์ศักยภาพ Microsoft ในตลาดเกม ⛔ มีเพียง 3 เครื่องที่จัดแสดงในสำนักงานทั่วโลก ‼️ การสร้างใหม่ต้องใช้ความร่วมมือหลายฝ่าย ⛔ ต้องวัดขนาดจากกระจกโชว์จริง ⛔ ต้องออกแบบภายในใหม่ทั้งหมดให้ใส่ฮาร์ดแวร์ได้ https://www.tomshardware.com/video-games/xbox/modders-recreate-original-xbox-prototype-with-a-solid-block-of-metal-in-ambitious-project-modern-makeover-features-real-xbox-hardware-and-hdmi-upgrades
    0 Comments 0 Shares 337 Views 0 Reviews
  • AerynOS 2025.10 มาแล้ว! ดิสโทรสายทดลองที่กล้าฉีกกรอบ พร้อม GNOME 49.1, KDE 6.5 และการกลับมาของ GNU libstdc++

    AerynOS ดิสโทรอิสระที่พัฒนาโดย Ikey Doherty (อดีตผู้สร้าง Solus) ปล่อย snapshot รุ่นใหม่ 2025.10 ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ทั้ง GNOME 49.1, KDE Plasma 6.5.1, Linux Kernel 6.16.12 และการเปลี่ยนแปลงสำคัญด้านไลบรารี C++ ที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบในระยะยาว

    AerynOS 2025.10 เป็น snapshot ล่าสุดของดิสโทรที่เน้นความทันสมัยและความยืดหยุ่น โดยในรุ่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายจุด เช่น:

    GNOME 49.1 เป็นเดสก์ท็อปหลักบน live ISO พร้อมปรับปรุง UI และ accessibility
    KDE Plasma 6.5.1 ถูกเพิ่มเข้ามาอย่างเป็นทางการ (เริ่มจาก snapshot 2025.08) พร้อม KDE Frameworks 6.19 และ KDE Gear 25.08.2
    COSMIC Beta จาก System76 ก็ยังมีให้เลือกติดตั้ง
    Linux Kernel 6.16.12 แม้จะหมดอายุแล้ว แต่คาดว่าจะอัปเดตเป็น 6.17 เร็ว ๆ นี้
    Mesa 25.2.5 สำหรับกราฟิก stack

    เปลี่ยนกลับมาใช้ GNU libstdc++ แทน LLVM libc++ เพื่อแก้บั๊กและลด patch ที่ต้องดูแล โดยเฉพาะบั๊ก Widevine DRM ที่เคยทำให้ Firefox crash

    นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตซอฟต์แวร์สำคัญหลายตัว เช่น LLVM 21.1.4, FFmpeg 8.0, Wine 10.17, Node.js 22.21.0, systemd 257.10 และ virt-manager 5.1.0

    ที่น่าสนใจคือ AerynOS ยังอยู่ในสถานะ “alpha” แต่กลับกล้าใส่เทคโนโลยี cutting-edge ที่แม้แต่ดิสโทรใหญ่ยังไม่กล้าใช้ เช่น การจัดการดิสก์ด้วย Rust, fractional scaling เปิดเป็นค่าเริ่มต้น และระบบติดตั้งใหม่ที่รองรับ dynamic partitioning

    ไฮไลต์จาก AerynOS 2025.10
    GNOME 49.1 เป็นเดสก์ท็อปหลัก พร้อม UI ใหม่และปรับปรุง accessibility
    KDE Plasma 6.5.1 เพิ่มเข้ามาอย่างเป็นทางการ พร้อม KDE Gear 25.08.2
    COSMIC Beta ยังมีให้เลือกติดตั้ง
    Linux Kernel 6.16.12 (EOL แล้ว) พร้อม Mesa 25.2.5
    เปลี่ยนกลับมาใช้ GNU libstdc++ แทน LLVM libc++
    แก้บั๊ก Widevine DRM ที่เคยทำให้ Firefox crash
    อัปเดตซอฟต์แวร์หลัก เช่น LLVM, FFmpeg, Wine, Node.js, systemd
    ฟีเจอร์ที่กำลังพัฒนา:
       • ระบบอัปเดตแพ็กเกจอัตโนมัติ
      • การ rollback ที่ง่ายขึ้น
      • การจัดการดิสก์ด้วย Rust
      • fractional scaling เปิดเป็นค่าเริ่มต้น
      • ตัวติดตั้งระบบใหม่ รองรับ full-disk wipe และ dynamic partitioning

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน
    AerynOS ยังอยู่ในสถานะ alpha ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงใน production
    Kernel ที่ใช้หมดอายุแล้ว ควรรออัปเดตเป็น 6.17
    การเปลี่ยน libstdc++ อาจกระทบ compatibility ของบางแอป
    KDE ยังใหม่ใน AerynOS อาจมีบั๊กหรือความไม่เสถียร

    https://9to5linux.com/aerynos-2025-10-released-with-gnome-49-1-kde-plasma-6-5-and-gnu-libstdc
    🧪🐧 AerynOS 2025.10 มาแล้ว! ดิสโทรสายทดลองที่กล้าฉีกกรอบ พร้อม GNOME 49.1, KDE 6.5 และการกลับมาของ GNU libstdc++ AerynOS ดิสโทรอิสระที่พัฒนาโดย Ikey Doherty (อดีตผู้สร้าง Solus) ปล่อย snapshot รุ่นใหม่ 2025.10 ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ทั้ง GNOME 49.1, KDE Plasma 6.5.1, Linux Kernel 6.16.12 และการเปลี่ยนแปลงสำคัญด้านไลบรารี C++ ที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบในระยะยาว AerynOS 2025.10 เป็น snapshot ล่าสุดของดิสโทรที่เน้นความทันสมัยและความยืดหยุ่น โดยในรุ่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายจุด เช่น: 💠 GNOME 49.1 เป็นเดสก์ท็อปหลักบน live ISO พร้อมปรับปรุง UI และ accessibility 💠 KDE Plasma 6.5.1 ถูกเพิ่มเข้ามาอย่างเป็นทางการ (เริ่มจาก snapshot 2025.08) พร้อม KDE Frameworks 6.19 และ KDE Gear 25.08.2 💠 COSMIC Beta จาก System76 ก็ยังมีให้เลือกติดตั้ง 💠 Linux Kernel 6.16.12 แม้จะหมดอายุแล้ว แต่คาดว่าจะอัปเดตเป็น 6.17 เร็ว ๆ นี้ 💠 Mesa 25.2.5 สำหรับกราฟิก stack เปลี่ยนกลับมาใช้ GNU libstdc++ แทน LLVM libc++ เพื่อแก้บั๊กและลด patch ที่ต้องดูแล โดยเฉพาะบั๊ก Widevine DRM ที่เคยทำให้ Firefox crash นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตซอฟต์แวร์สำคัญหลายตัว เช่น LLVM 21.1.4, FFmpeg 8.0, Wine 10.17, Node.js 22.21.0, systemd 257.10 และ virt-manager 5.1.0 ที่น่าสนใจคือ AerynOS ยังอยู่ในสถานะ “alpha” แต่กลับกล้าใส่เทคโนโลยี cutting-edge ที่แม้แต่ดิสโทรใหญ่ยังไม่กล้าใช้ เช่น การจัดการดิสก์ด้วย Rust, fractional scaling เปิดเป็นค่าเริ่มต้น และระบบติดตั้งใหม่ที่รองรับ dynamic partitioning ✅ ไฮไลต์จาก AerynOS 2025.10 ➡️ GNOME 49.1 เป็นเดสก์ท็อปหลัก พร้อม UI ใหม่และปรับปรุง accessibility ➡️ KDE Plasma 6.5.1 เพิ่มเข้ามาอย่างเป็นทางการ พร้อม KDE Gear 25.08.2 ➡️ COSMIC Beta ยังมีให้เลือกติดตั้ง ➡️ Linux Kernel 6.16.12 (EOL แล้ว) พร้อม Mesa 25.2.5 ➡️ เปลี่ยนกลับมาใช้ GNU libstdc++ แทน LLVM libc++ ➡️ แก้บั๊ก Widevine DRM ที่เคยทำให้ Firefox crash ➡️ อัปเดตซอฟต์แวร์หลัก เช่น LLVM, FFmpeg, Wine, Node.js, systemd ➡️ ฟีเจอร์ที่กำลังพัฒนา:    • ระบบอัปเดตแพ็กเกจอัตโนมัติ   • การ rollback ที่ง่ายขึ้น   • การจัดการดิสก์ด้วย Rust   • fractional scaling เปิดเป็นค่าเริ่มต้น   • ตัวติดตั้งระบบใหม่ รองรับ full-disk wipe และ dynamic partitioning ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน ⛔ AerynOS ยังอยู่ในสถานะ alpha ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงใน production ⛔ Kernel ที่ใช้หมดอายุแล้ว ควรรออัปเดตเป็น 6.17 ⛔ การเปลี่ยน libstdc++ อาจกระทบ compatibility ของบางแอป ⛔ KDE ยังใหม่ใน AerynOS อาจมีบั๊กหรือความไม่เสถียร https://9to5linux.com/aerynos-2025-10-released-with-gnome-49-1-kde-plasma-6-5-and-gnu-libstdc
    9TO5LINUX.COM
    AerynOS 2025.10 Released with GNOME 49.1, KDE Plasma 6.5, and GNU libstdc++ - 9to5Linux
    AerynOS 2025.10 Linux distribution is now available for download with the latest GNOME 49 desktop environment, Linux kernel 6.16, and more.
    0 Comments 0 Shares 222 Views 0 Reviews
  • Fedora Linux 43 เปิดตัวแล้ว! มาพร้อม Linux 6.17, GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ

    Fedora Linux 43 ได้รับการปล่อยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุดในโลก GNU/Linux เช่น Linux kernel 6.17, GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ เช่น การบังคับใช้ GPT partition table สำหรับระบบ UEFI และการใช้ DNF 5 เป็นค่าเริ่มต้นในการติดตั้งแพ็กเกจผ่าน Anaconda installer.

    ไฮไลต์สำคัญใน Fedora Linux 43

    ใช้ Linux kernel 6.17 เป็นฐานหลัก
    รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และปรับปรุงประสิทธิภาพระบบโดยรวม

    GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 เป็น desktop environment หลัก
    GNOME 49 ใช้ Wayland-only เป็นค่าเริ่มต้นใน Fedora Workstation
    KDE Plasma 6.4.5 ใช้ใน Fedora KDE edition

    Anaconda WebUI installer ถูกใช้เป็นค่าเริ่มต้นในหลาย Spins
    ช่วยให้การติดตั้งระบบง่ายขึ้นผ่านเว็บอินเตอร์เฟซ

    รองรับฟอนต์ COLRv1 และภาษา Hare
    เพิ่มความสามารถในการแสดงผล emoji และรองรับภาษาโปรแกรมใหม่

    ใช้ DNF 5 เป็นค่าเริ่มต้นใน Anaconda installer
    ปรับปรุงความเร็วและความเสถียรในการติดตั้งแพ็กเกจ RPM

    เพิ่ม boot partition เป็น 2GB และใช้ initrd แบบ zstd-compressed
    ลดปัญหาการอัปเดต kernel และเพิ่มประสิทธิภาพการบูต

    บังคับใช้ GPT partition table สำหรับระบบ UEFI 64-bit
    ไม่สามารถติดตั้ง Fedora บน MBR partition ได้อีกต่อไป
    ระบบ AArch64 และ RISC-V ไม่ได้รับผลกระทบ

    อัปเดต toolchain และซอฟต์แวร์หลักหลายรายการ
    เช่น GCC 15.2, Python 3.14, PostgreSQL 18, Ruby on Rails 8.0, MySQL 8.4, RPM 6.0

    ผู้ใช้ที่ใช้ระบบ UEFI บน MBR partition จะไม่สามารถติดตั้ง Fedora 43 ได้
    ต้องเปลี่ยนไปใช้ GPT partition table ก่อนติดตั้ง

    การเปลี่ยนไปใช้ Wayland-only อาจมีผลกับแอปที่ยังไม่รองรับ Wayland
    ผู้ใช้ GNOME ควรตรวจสอบว่าแอปที่ใช้สามารถทำงานบน Wayland ได้

    https://9to5linux.com/fedora-linux-43-officially-released-now-available-for-download
    🧑‍💻🚀 Fedora Linux 43 เปิดตัวแล้ว! มาพร้อม Linux 6.17, GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ Fedora Linux 43 ได้รับการปล่อยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุดในโลก GNU/Linux เช่น Linux kernel 6.17, GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ เช่น การบังคับใช้ GPT partition table สำหรับระบบ UEFI และการใช้ DNF 5 เป็นค่าเริ่มต้นในการติดตั้งแพ็กเกจผ่าน Anaconda installer. 🐧 ไฮไลต์สำคัญใน Fedora Linux 43 ✅ ใช้ Linux kernel 6.17 เป็นฐานหลัก ➡️ รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และปรับปรุงประสิทธิภาพระบบโดยรวม ✅ GNOME 49 และ KDE Plasma 6.4.5 เป็น desktop environment หลัก ➡️ GNOME 49 ใช้ Wayland-only เป็นค่าเริ่มต้นใน Fedora Workstation ➡️ KDE Plasma 6.4.5 ใช้ใน Fedora KDE edition ✅ Anaconda WebUI installer ถูกใช้เป็นค่าเริ่มต้นในหลาย Spins ➡️ ช่วยให้การติดตั้งระบบง่ายขึ้นผ่านเว็บอินเตอร์เฟซ ✅ รองรับฟอนต์ COLRv1 และภาษา Hare ➡️ เพิ่มความสามารถในการแสดงผล emoji และรองรับภาษาโปรแกรมใหม่ ✅ ใช้ DNF 5 เป็นค่าเริ่มต้นใน Anaconda installer ➡️ ปรับปรุงความเร็วและความเสถียรในการติดตั้งแพ็กเกจ RPM ✅ เพิ่ม boot partition เป็น 2GB และใช้ initrd แบบ zstd-compressed ➡️ ลดปัญหาการอัปเดต kernel และเพิ่มประสิทธิภาพการบูต ✅ บังคับใช้ GPT partition table สำหรับระบบ UEFI 64-bit ➡️ ไม่สามารถติดตั้ง Fedora บน MBR partition ได้อีกต่อไป ➡️ ระบบ AArch64 และ RISC-V ไม่ได้รับผลกระทบ ✅ อัปเดต toolchain และซอฟต์แวร์หลักหลายรายการ ➡️ เช่น GCC 15.2, Python 3.14, PostgreSQL 18, Ruby on Rails 8.0, MySQL 8.4, RPM 6.0 ‼️ ผู้ใช้ที่ใช้ระบบ UEFI บน MBR partition จะไม่สามารถติดตั้ง Fedora 43 ได้ ⛔ ต้องเปลี่ยนไปใช้ GPT partition table ก่อนติดตั้ง ‼️ การเปลี่ยนไปใช้ Wayland-only อาจมีผลกับแอปที่ยังไม่รองรับ Wayland ⛔ ผู้ใช้ GNOME ควรตรวจสอบว่าแอปที่ใช้สามารถทำงานบน Wayland ได้ https://9to5linux.com/fedora-linux-43-officially-released-now-available-for-download
    9TO5LINUX.COM
    Fedora Linux 43 Officially Released, Now Available for Download - 9to5Linux
    Fedora Linux 43 distribution is now available for download, powered by Linux kernel 6.17 and featuring the GNOME 49 desktop environment.
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • KDE Plasma 6.5.1 มาแล้ว! แก้ปัญหากับ GPU AMD รุ่นเก่า พร้อมปรับปรุง UI และความเสถียรหลายจุด

    KDE Plasma 6.5.1 เปิดตัวเป็นเวอร์ชันบำรุงรักษาแรกของซีรีส์ 6.5 โดยเน้นแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเข้ากันได้กับ GPU AMD รุ่นเก่า รวมถึงเพิ่มฟีเจอร์เล็ก ๆ ที่ช่วยให้การใช้งานลื่นไหลขึ้น เช่น การลากไอคอนจาก Favorites launcher ได้ง่ายขึ้น และการจัดการ notification ที่ชาญฉลาดกว่าเดิม.

    ไฮไลต์จาก KDE Plasma 6.5.1
    แก้ปัญหา mouse pointer บน GPU AMD รุ่นเก่า
    แก้ regression ที่ทำให้ pointer แสดงผลผิดเพี้ยนบนบางรุ่นของ AMD

    ปรับปรุง Kickoff launcher
    สามารถลากไอคอนออกจาก Favorites grid ได้โดยไม่ทำให้ตำแหน่งอื่นเปลี่ยน
    เพิ่มความแม่นยำในการจัดการรายการโปรด

    ปรับปรุงระบบ wallpaper switching ตามโหมดสี
    ใช้ค่าความสว่างของ Plasma style แทนสีของแอปในการตัดสินใจเปลี่ยนโหมด

    แจ้งเตือน job progress ที่ฉลาดขึ้น
    ไม่แสดง “ดูรายละเอียดเพิ่มเติม” หากมีเพียงรายการเดียว
    แสดง minimized notifications ทั้งหมดในประวัติ ไม่ใช่แค่ 3 รายการล่าสุด

    แก้ UI ของ GTK 3 app menus และ Remote Desktop settings
    มุมเมนูถูกปรับให้โค้งอย่างเหมาะสม
    แก้บั๊กที่ทำให้บางตัวเลือกไม่แสดงใน “Open With…”

    Spectacle ได้รับการปรับปรุงสำหรับ screencast และ export
    แก้เส้นพิกเซลเกินใต้ titlebar
    แก้ปัญหาการ export ภาพที่ผิดพลาด

    แก้บั๊ก KWin และการ hot-plug จอภาพ
    ป้องกันการ crash เมื่อเสียบจอเพิ่ม
    ปรับการใช้ direct scanout ให้ทำงานได้จริง

    ปรับปรุงการส่งข้อมูลสีให้ใช้ bandwidth ต่ำลง
    ลดโอกาสที่จอภาพจะไม่แสดงผลเมื่อ bandwidth ใกล้เต็ม

    ผู้ใช้ GPU AMD รุ่นเก่าควรอัปเดตทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา pointer
    หากยังใช้ Plasma 6.5 อาจเจอ pointer glitch ที่ทำให้ใช้งานลำบาก

    การ hot-plug จอภาพในเวอร์ชันก่อนอาจทำให้ Plasma crash
    เวอร์ชัน 6.5.1 แก้ปัญหานี้แล้ว ควรอัปเดตเพื่อความเสถียร

    การใช้ Spectacle สำหรับ screencast อาจมีปัญหาในเวอร์ชันก่อนหน้า
    เส้นพิกเซลเกินและ export fail เป็นปัญหาที่พบได้

    https://9to5linux.com/kde-plasma-6-5-1-is-out-to-fix-compatibility-issues-with-older-amd-gpus
    🖥️🔧 KDE Plasma 6.5.1 มาแล้ว! แก้ปัญหากับ GPU AMD รุ่นเก่า พร้อมปรับปรุง UI และความเสถียรหลายจุด KDE Plasma 6.5.1 เปิดตัวเป็นเวอร์ชันบำรุงรักษาแรกของซีรีส์ 6.5 โดยเน้นแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเข้ากันได้กับ GPU AMD รุ่นเก่า รวมถึงเพิ่มฟีเจอร์เล็ก ๆ ที่ช่วยให้การใช้งานลื่นไหลขึ้น เช่น การลากไอคอนจาก Favorites launcher ได้ง่ายขึ้น และการจัดการ notification ที่ชาญฉลาดกว่าเดิม. ✅ ไฮไลต์จาก KDE Plasma 6.5.1 ✅ แก้ปัญหา mouse pointer บน GPU AMD รุ่นเก่า ➡️ แก้ regression ที่ทำให้ pointer แสดงผลผิดเพี้ยนบนบางรุ่นของ AMD ✅ ปรับปรุง Kickoff launcher ➡️ สามารถลากไอคอนออกจาก Favorites grid ได้โดยไม่ทำให้ตำแหน่งอื่นเปลี่ยน ➡️ เพิ่มความแม่นยำในการจัดการรายการโปรด ✅ ปรับปรุงระบบ wallpaper switching ตามโหมดสี ➡️ ใช้ค่าความสว่างของ Plasma style แทนสีของแอปในการตัดสินใจเปลี่ยนโหมด ✅ แจ้งเตือน job progress ที่ฉลาดขึ้น ➡️ ไม่แสดง “ดูรายละเอียดเพิ่มเติม” หากมีเพียงรายการเดียว ➡️ แสดง minimized notifications ทั้งหมดในประวัติ ไม่ใช่แค่ 3 รายการล่าสุด ✅ แก้ UI ของ GTK 3 app menus และ Remote Desktop settings ➡️ มุมเมนูถูกปรับให้โค้งอย่างเหมาะสม ➡️ แก้บั๊กที่ทำให้บางตัวเลือกไม่แสดงใน “Open With…” ✅ Spectacle ได้รับการปรับปรุงสำหรับ screencast และ export ➡️ แก้เส้นพิกเซลเกินใต้ titlebar ➡️ แก้ปัญหาการ export ภาพที่ผิดพลาด ✅ แก้บั๊ก KWin และการ hot-plug จอภาพ ➡️ ป้องกันการ crash เมื่อเสียบจอเพิ่ม ➡️ ปรับการใช้ direct scanout ให้ทำงานได้จริง ✅ ปรับปรุงการส่งข้อมูลสีให้ใช้ bandwidth ต่ำลง ➡️ ลดโอกาสที่จอภาพจะไม่แสดงผลเมื่อ bandwidth ใกล้เต็ม ‼️ ผู้ใช้ GPU AMD รุ่นเก่าควรอัปเดตทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา pointer ⛔ หากยังใช้ Plasma 6.5 อาจเจอ pointer glitch ที่ทำให้ใช้งานลำบาก ‼️ การ hot-plug จอภาพในเวอร์ชันก่อนอาจทำให้ Plasma crash ⛔ เวอร์ชัน 6.5.1 แก้ปัญหานี้แล้ว ควรอัปเดตเพื่อความเสถียร ‼️ การใช้ Spectacle สำหรับ screencast อาจมีปัญหาในเวอร์ชันก่อนหน้า ⛔ เส้นพิกเซลเกินและ export fail เป็นปัญหาที่พบได้ https://9to5linux.com/kde-plasma-6-5-1-is-out-to-fix-compatibility-issues-with-older-amd-gpus
    9TO5LINUX.COM
    KDE Plasma 6.5.1 Is Out to Fix Compatibility Issues with Older AMD GPUs - 9to5Linux
    KDE Plasma 6.5.1 is now available as the first maintenance update to the KDE Plasma 6.5 desktop environment series with various improvements.
    0 Comments 0 Shares 317 Views 0 Reviews
More Results