• รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251218 #TechRadar

    มินิพีซีราคาสุดคุ้มที่ AI ยังยกนิ้วให้
    เรื่องนี้เล่าถึงการท้าทายตัวเองของนักเขียนที่พยายามประกอบคอมให้แรงกว่ามินิพีซี Machenike ที่ขายในราคาเพียง 379 ดอลลาร์ แต่สุดท้ายกลับแพ้ เพราะแค่ CPU และ RAM ก็เกือบเท่าราคาทั้งเครื่องแล้ว เมื่อรวมทุกชิ้นส่วน ค่าใช้จ่ายพุ่งไปเกือบ 570 ดอลลาร์ ยังไม่รวมค่าไลเซนส์ Windows อีก ทำให้เห็นชัดว่าการซื้อเครื่องสำเร็จรูปในช่วงที่ตลาดชิ้นส่วนแพงขึ้นนั้นคุ้มกว่าเยอะ AI อย่าง ChatGPT ถึงกับบอกว่า “คุ้มสุด ๆ” ส่วน Gemini ก็ว่า “ราคานี้บ้าไปแล้ว” สรุปคือใครที่อยากได้เครื่องแรง ๆ ในงบจำกัด การซื้อสำเร็จรูปคือทางเลือกที่ไม่เสียเวลาและไม่เจ็บกระเป๋า
    https://www.techradar.com/pro/chatgpt-calls-this-mini-pc-a-steal-while-gemini-says-its-insane-value-for-money-meet-the-usd379-amd-ryzen-7-8745hs-powerhouse-that-ai-is-raving-about

    ปัญหา Windows ล่าสุดที่ทำธุรกิจปวดหัว
    Microsoft ออกแพตช์ประจำเดือนธันวาคม แต่ดันทำให้บริการ MSMQ บน Windows Server และ Windows 10 สำหรับองค์กรมีปัญหา ส่งผลให้แอปและเว็บไซต์ที่ใช้ IIS ทำงานผิดพลาด ทั้งคิวที่ไม่ทำงาน การเขียนข้อมูลล้มเหลว และข้อความแจ้งว่า “ทรัพยากรไม่เพียงพอ” ทั้งที่จริง ๆ มีอยู่เต็ม ๆ ตอนนี้ Microsoft ยังไม่มีแพตช์แก้ไขถาวร แต่แนะนำให้ธุรกิจติดต่อฝ่ายสนับสนุนโดยตรงเพื่อหาทางแก้หรือย้อนกลับการอัปเดตไปก่อน
    https://www.techradar.com/pro/security/having-windows-app-issues-microsoft-is-making-businesses-reach-out-directly-to-get-a-fix

    สิ่งที่ต้องจำเมื่อใช้แชตบอท AI
    บทความนี้เตือนว่าเวลาคุยกับแชตบอท AI อย่าลืมว่าข้อมูลที่เราพิมพ์ไปอาจไม่หายไปไหน บางครั้งบริษัทที่พัฒนา AI มีทีมงานที่เห็นข้อมูลจริง ๆ ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น วันเกิดหรือเลขบัญชี หากไม่ได้ลบออกก่อน การแชร์เอกสารทั้งฉบับกับบอทก็เสี่ยงมาก เพราะข้อมูลอาจถูกนำไปใช้ฝึกโมเดลต่อไปโดยไม่รู้ตัว ผู้เขียนจึงย้ำว่าทั้งธุรกิจและผู้ใช้ต้องมีวินัยในการจัดการข้อมูล ไม่ใช่แค่ปิดบัง แต่ต้องลบให้ถาวรเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในยุคที่ AI ถูกใช้แพร่หลาย
    https://www.techradar.com/pro/5-things-businesses-and-users-should-remember-when-using-ai-chatbots

    ช่องโหว่เก่าของ Asus ที่ยังตามหลอกหลอน
    CISA ของสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ในโปรแกรม Asus Live Update ที่เคยถูกโจมตีตั้งแต่ปี 2018–2019 โดยมีการฝังโค้ดอันตรายลงในเซิร์ฟเวอร์อัปเดต ทำให้เครื่องที่ดาวน์โหลดตัวติดตั้งบางรุ่นถูกควบคุมได้ ช่องโหว่นี้ถูกจัดเป็นระดับวิกฤติ และหน่วยงานรัฐต้องแก้ไขภายในต้นเดือนมกราคม แม้โปรแกรมจะหมดการสนับสนุนไปแล้ว แต่ก็ยังมีผลกับเครื่องที่ใช้เวอร์ชันเก่า ๆ องค์กรเอกชนก็ถูกแนะนำให้รีบอัปเดตหรือหยุดใช้งานเช่นกัน
    https://www.techradar.com/pro/security/cisa-reveals-warning-on-asus-software-flaw-heres-what-you-need-to-do-to-stay-safe

    กริ่งประตู Ring ที่พูดตอบเองได้ด้วย Alexa+
    Ring เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อ Alexa+ Greetings ที่ใช้ AI ช่วยตอบคนที่มากดกริ่ง โดยมันสามารถแยกแยะว่าใครมา เช่น คนส่งของ เพื่อน หรือแม้แต่เซลส์แมน แล้วตอบกลับตามคำสั่งที่เจ้าของตั้งไว้ เช่น บอกให้วางพัสดุไว้หลังบ้าน หรือปฏิเสธการขายตรงอย่างสุภาพ ฟีเจอร์นี้ยังสามารถตอบคำถามต่อเนื่องได้ เช่น ถ้าต้องเซ็นรับของ Alexa+ ก็จะบอกให้ส่งกลับไปที่ศูนย์ ฟีเจอร์กำลังทยอยเปิดให้ผู้ใช้ในสหรัฐฯ และแคนาดา ถือเป็นการยกระดับความสะดวกสบายของบ้านอัจฉริยะอีกขั้น
    https://www.techradar.com/home/smart-home/your-ring-doorbell-can-now-use-alexa-to-identify-whos-calling-and-give-them-an-appropriate-greeting

    ช่องโหว่ใหม่ใน Cisco ที่ถูกโจมตีแล้ว
    Cisco ออกมาเตือนว่ามีการค้นพบช่องโหว่แบบ zero-day ที่ถูกใช้โจมตีจริงแล้ว โดยกลุ่มแฮ็กเกอร์จากจีนเป็นผู้เกี่ยวข้อง ช่องโหว่นี้กระทบกับลูกค้าที่ใช้ซอฟต์แวร์ของ Cisco ทำให้ระบบถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นภัยร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นจริง และ Cisco กำลังเร่งออกแพตช์แก้ไขเพื่อป้องกันการโจมตีเพิ่มเติม
    https://www.techradar.com/pro/security/cisco-says-chinese-hackers-are-exploiting-its-customers-with-a-new-zero-day

    รีวิว Agile CRM ปี 2026
    Agile CRM ถูกรีวิวอีกครั้งในปี 2026 โดยเน้นไปที่การใช้งานสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลาง จุดเด่นคือการรวมเครื่องมือด้านการตลาด การขาย และการบริการลูกค้าไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ทำให้ทีมงานสามารถติดตามลูกค้าได้ครบวงจร แต่ก็มีข้อจำกัดในด้านการปรับแต่งและการรองรับการขยายตัวสำหรับองค์กรใหญ่ รีวิวนี้จึงชี้ว่า Agile CRM เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการโซลูชันครบวงจรในราคาที่เข้าถึงได้
    https://www.techradar.com/pro/software-services/agile-crm-review

    จาก SaaS สู่ AI: การเปลี่ยนแปลงที่ผู้นำต้องเผชิญ
    บทความนี้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรมที่ผู้นำองค์กรต้องรับมือ ตั้งแต่การเปลี่ยนผ่านจาก SaaS ไปสู่การใช้ AI อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่เรื่องเครื่องมือ แต่ยังรวมถึงการปรับตัวของทีมงาน วัฒนธรรมองค์กร และการกำกับดูแล การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกมองว่าเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่ต้องจัดการอย่างรอบคอบ
    https://www.techradar.com/pro/from-saas-to-ai-the-technological-and-cultural-shifts-leaders-must-confront

    โค้ดที่ AI สร้างมีบั๊กมากกว่ามนุษย์
    รายงานล่าสุดชี้ว่าโค้ดที่สร้างโดย AI มีแนวโน้มจะมีบั๊กและข้อผิดพลาดมากกว่าที่มนุษย์เขียนเอง แม้ AI จะช่วยให้การพัฒนาเร็วขึ้น แต่ก็ทำให้ทีมงานต้องเสียเวลาในการตรวจสอบและแก้ไขมากขึ้น บทความนี้จึงเตือนว่าการใช้ AI ในการเขียนโค้ดควรถูกมองเป็นเครื่องมือช่วย ไม่ใช่การแทนที่นักพัฒนา
    https://www.techradar.com/pro/security/ai-generated-code-contains-more-bugs-and-errors-than-human-output

    รีวิว Geekom AX8 Max mini PC
    Geekom AX8 Max mini PC ถูกรีวิวโดยเน้นไปที่ความคุ้มค่าและประสิทธิภาพในเครื่องเล็ก ๆ รุ่นนี้มาพร้อมสเปกที่ตอบโจทย์ทั้งงานทั่วไปและการใช้งานที่ต้องการพลังประมวลผลสูงในขนาดกะทัดรัด ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากได้เครื่องเล็กแต่แรง
    https://www.techradar.com/computing/geekom-ax8-max-mini-pc-review

    Google Maps เข้าใจคำพูดด้วย Gemini
    ผู้เขียนทดลองใช้ Gemini คุยกับ Google Maps ด้วยเสียง พบว่ามันสามารถตีความคำพูดที่ซับซ้อน เช่น “พาไปที่ร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ ๆ และเปิดตอนนี้” ได้อย่างแม่นยำ ไม่ใช่แค่เส้นทาง แต่ยังรวมถึงเงื่อนไขเพิ่มเติม ทำให้การใช้งานแผนที่สะดวกขึ้นมาก ถือเป็นการยกระดับจากการพิมพ์หรือกดเลือกไปสู่การสื่อสารแบบธรรมชาติ
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/gemini/i-tried-talking-to-google-maps-with-gemini-and-it-actually-understood-what-i-wanted

    Ford เปลี่ยนโฟกัสจากรถไฟฟ้าไปสู่แบตเตอรี่ยักษ์
    Ford กำลังปรับกลยุทธ์จากการผลิตรถบรรทุกไฟฟ้าไปสู่การสร้างระบบแบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพื่อใช้กับโครงข่ายไฟฟ้าและดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วสหรัฐฯ โดยมีแผนสร้างกำลังการผลิตถึง 20GWh การเปลี่ยนทิศนี้สะท้อนว่าตลาดรถไฟฟ้าอาจไม่ใช่เส้นทางเดียว แต่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานพลังงานก็เป็นโอกาสใหม่ที่ใหญ่ไม่แพ้กัน
    https://www.techradar.com/pro/ford-is-switching-some-battery-focus-from-cars-to-data-centers-with-plans-for-huge-20gwh-capacity

    คนรุ่นใหม่หลงรัก Microsoft Excel
    ผลสำรวจเผยว่าคนทำงานสายการเงินรุ่นใหม่มีความผูกพันกับ Excel มากกว่ารุ่นก่อน ๆ แม้จะมีเครื่องมือคู่แข่งออกมาแข่งหลายสิบปี แต่ Excel ยังคงเป็นเครื่องมือหลักที่พวกเขาเลือกใช้ ความภักดีนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์และความคุ้นเคยที่ฝังลึกในวัฒนธรรมการทำงาน
    https://www.techradar.com/pro/security/more-than-half-of-workers-say-they-really-love-excel-and-surprisingly-enough-its-younger-workers-who-are-apparently-more-infatuated

    Nex Playground คอนโซลราคาประหยัดสำหรับครอบครัว
    รีวิว Nex Playground ชี้ว่าเป็นเครื่องเล่นเกมที่ราคาถูกกว่า แต่ยังมอบประสบการณ์สนุกสำหรับทุกคนในบ้าน แม้จะไม่แรงเท่าคอนโซลใหญ่ แต่ก็เพียงพอสำหรับเกมที่เล่นร่วมกัน ถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับครอบครัวที่อยากได้ความบันเทิงโดยไม่ต้องจ่ายแพง
    https://www.techradar.com/gaming/nex-playground-review

    ระวังอีเมลปลอมจาก PayPal
    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ามีการใช้ระบบสมัครสมาชิกของ PayPal ในทางที่ผิด ส่งอีเมลปลอมแจ้งการซื้อเพื่อหลอกให้ผู้ใช้กดลิงก์หรือให้ข้อมูลส่วนตัว แม้จะดูเหมือนอีเมลจริง แต่จริง ๆ เป็นการฟิชชิ่งที่อันตราย ผู้ใช้จึงต้องตรวจสอบทุกครั้งก่อนคลิกลิงก์หรือยืนยันการชำระเงิน
    https://www.techradar.com/pro/security/paypal-user-beware-experts-warn-subscriptions-being-abused-to-send-fake-purchase-emails

    Urban VPN Proxy แอบสอดส่องผู้ใช้
    มีการเปิดเผยว่า Urban VPN Proxy ซึ่งเป็นบริการฟรี กำลังถูกใช้เพื่อสอดแนมข้อมูลผู้ใช้ โดยเก็บข้อมูลการใช้งานและอาจส่งต่อไปยังบุคคลที่สาม ทำให้ผู้ใช้ที่คิดว่าได้ความปลอดภัยจาก VPN กลับเสี่ยงต่อการถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว บทความนี้แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้ VPN ฟรี และเลือกบริการที่มีความน่าเชื่อถือแทน
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/urban-vpn-proxy-is-the-latest-free-vpn-spying-on-users-heres-how-to-stay-safe

    Proton VPN รองรับ Linux มากขึ้น
    Proton VPN ได้ขยายการรองรับไปยังอุปกรณ์ Linux เพิ่มเติม ทำให้ผู้ใช้ที่ใช้ระบบปฏิบัติการนี้สามารถติดตั้งและใช้งานแอปอย่างเป็นทางการได้ง่ายขึ้น ถือเป็นการเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้ที่ต้องการเชื่อมต่อ VPN บนแพลตฟอร์มที่หลากหลาย
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/official-proton-vpn-app-lands-on-even-more-linux-devices

    📌📡🟠 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🟠📡📌 #รวมข่าวIT #20251218 #TechRadar 🖥️ มินิพีซีราคาสุดคุ้มที่ AI ยังยกนิ้วให้ เรื่องนี้เล่าถึงการท้าทายตัวเองของนักเขียนที่พยายามประกอบคอมให้แรงกว่ามินิพีซี Machenike ที่ขายในราคาเพียง 379 ดอลลาร์ แต่สุดท้ายกลับแพ้ เพราะแค่ CPU และ RAM ก็เกือบเท่าราคาทั้งเครื่องแล้ว เมื่อรวมทุกชิ้นส่วน ค่าใช้จ่ายพุ่งไปเกือบ 570 ดอลลาร์ ยังไม่รวมค่าไลเซนส์ Windows อีก ทำให้เห็นชัดว่าการซื้อเครื่องสำเร็จรูปในช่วงที่ตลาดชิ้นส่วนแพงขึ้นนั้นคุ้มกว่าเยอะ AI อย่าง ChatGPT ถึงกับบอกว่า “คุ้มสุด ๆ” ส่วน Gemini ก็ว่า “ราคานี้บ้าไปแล้ว” สรุปคือใครที่อยากได้เครื่องแรง ๆ ในงบจำกัด การซื้อสำเร็จรูปคือทางเลือกที่ไม่เสียเวลาและไม่เจ็บกระเป๋า 🔗 https://www.techradar.com/pro/chatgpt-calls-this-mini-pc-a-steal-while-gemini-says-its-insane-value-for-money-meet-the-usd379-amd-ryzen-7-8745hs-powerhouse-that-ai-is-raving-about ⚠️ ปัญหา Windows ล่าสุดที่ทำธุรกิจปวดหัว Microsoft ออกแพตช์ประจำเดือนธันวาคม แต่ดันทำให้บริการ MSMQ บน Windows Server และ Windows 10 สำหรับองค์กรมีปัญหา ส่งผลให้แอปและเว็บไซต์ที่ใช้ IIS ทำงานผิดพลาด ทั้งคิวที่ไม่ทำงาน การเขียนข้อมูลล้มเหลว และข้อความแจ้งว่า “ทรัพยากรไม่เพียงพอ” ทั้งที่จริง ๆ มีอยู่เต็ม ๆ ตอนนี้ Microsoft ยังไม่มีแพตช์แก้ไขถาวร แต่แนะนำให้ธุรกิจติดต่อฝ่ายสนับสนุนโดยตรงเพื่อหาทางแก้หรือย้อนกลับการอัปเดตไปก่อน 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/having-windows-app-issues-microsoft-is-making-businesses-reach-out-directly-to-get-a-fix 🤖 สิ่งที่ต้องจำเมื่อใช้แชตบอท AI บทความนี้เตือนว่าเวลาคุยกับแชตบอท AI อย่าลืมว่าข้อมูลที่เราพิมพ์ไปอาจไม่หายไปไหน บางครั้งบริษัทที่พัฒนา AI มีทีมงานที่เห็นข้อมูลจริง ๆ ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น วันเกิดหรือเลขบัญชี หากไม่ได้ลบออกก่อน การแชร์เอกสารทั้งฉบับกับบอทก็เสี่ยงมาก เพราะข้อมูลอาจถูกนำไปใช้ฝึกโมเดลต่อไปโดยไม่รู้ตัว ผู้เขียนจึงย้ำว่าทั้งธุรกิจและผู้ใช้ต้องมีวินัยในการจัดการข้อมูล ไม่ใช่แค่ปิดบัง แต่ต้องลบให้ถาวรเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในยุคที่ AI ถูกใช้แพร่หลาย 🔗 https://www.techradar.com/pro/5-things-businesses-and-users-should-remember-when-using-ai-chatbots 🔒 ช่องโหว่เก่าของ Asus ที่ยังตามหลอกหลอน CISA ของสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ในโปรแกรม Asus Live Update ที่เคยถูกโจมตีตั้งแต่ปี 2018–2019 โดยมีการฝังโค้ดอันตรายลงในเซิร์ฟเวอร์อัปเดต ทำให้เครื่องที่ดาวน์โหลดตัวติดตั้งบางรุ่นถูกควบคุมได้ ช่องโหว่นี้ถูกจัดเป็นระดับวิกฤติ และหน่วยงานรัฐต้องแก้ไขภายในต้นเดือนมกราคม แม้โปรแกรมจะหมดการสนับสนุนไปแล้ว แต่ก็ยังมีผลกับเครื่องที่ใช้เวอร์ชันเก่า ๆ องค์กรเอกชนก็ถูกแนะนำให้รีบอัปเดตหรือหยุดใช้งานเช่นกัน 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/cisa-reveals-warning-on-asus-software-flaw-heres-what-you-need-to-do-to-stay-safe 🏠 กริ่งประตู Ring ที่พูดตอบเองได้ด้วย Alexa+ Ring เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อ Alexa+ Greetings ที่ใช้ AI ช่วยตอบคนที่มากดกริ่ง โดยมันสามารถแยกแยะว่าใครมา เช่น คนส่งของ เพื่อน หรือแม้แต่เซลส์แมน แล้วตอบกลับตามคำสั่งที่เจ้าของตั้งไว้ เช่น บอกให้วางพัสดุไว้หลังบ้าน หรือปฏิเสธการขายตรงอย่างสุภาพ ฟีเจอร์นี้ยังสามารถตอบคำถามต่อเนื่องได้ เช่น ถ้าต้องเซ็นรับของ Alexa+ ก็จะบอกให้ส่งกลับไปที่ศูนย์ ฟีเจอร์กำลังทยอยเปิดให้ผู้ใช้ในสหรัฐฯ และแคนาดา ถือเป็นการยกระดับความสะดวกสบายของบ้านอัจฉริยะอีกขั้น 🔗 https://www.techradar.com/home/smart-home/your-ring-doorbell-can-now-use-alexa-to-identify-whos-calling-and-give-them-an-appropriate-greeting 🛡️ ช่องโหว่ใหม่ใน Cisco ที่ถูกโจมตีแล้ว Cisco ออกมาเตือนว่ามีการค้นพบช่องโหว่แบบ zero-day ที่ถูกใช้โจมตีจริงแล้ว โดยกลุ่มแฮ็กเกอร์จากจีนเป็นผู้เกี่ยวข้อง ช่องโหว่นี้กระทบกับลูกค้าที่ใช้ซอฟต์แวร์ของ Cisco ทำให้ระบบถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นภัยร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นจริง และ Cisco กำลังเร่งออกแพตช์แก้ไขเพื่อป้องกันการโจมตีเพิ่มเติม 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/cisco-says-chinese-hackers-are-exploiting-its-customers-with-a-new-zero-day 📊 รีวิว Agile CRM ปี 2026 Agile CRM ถูกรีวิวอีกครั้งในปี 2026 โดยเน้นไปที่การใช้งานสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลาง จุดเด่นคือการรวมเครื่องมือด้านการตลาด การขาย และการบริการลูกค้าไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ทำให้ทีมงานสามารถติดตามลูกค้าได้ครบวงจร แต่ก็มีข้อจำกัดในด้านการปรับแต่งและการรองรับการขยายตัวสำหรับองค์กรใหญ่ รีวิวนี้จึงชี้ว่า Agile CRM เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการโซลูชันครบวงจรในราคาที่เข้าถึงได้ 🔗 https://www.techradar.com/pro/software-services/agile-crm-review 🌐 จาก SaaS สู่ AI: การเปลี่ยนแปลงที่ผู้นำต้องเผชิญ บทความนี้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรมที่ผู้นำองค์กรต้องรับมือ ตั้งแต่การเปลี่ยนผ่านจาก SaaS ไปสู่การใช้ AI อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่เรื่องเครื่องมือ แต่ยังรวมถึงการปรับตัวของทีมงาน วัฒนธรรมองค์กร และการกำกับดูแล การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกมองว่าเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่ต้องจัดการอย่างรอบคอบ 🔗 https://www.techradar.com/pro/from-saas-to-ai-the-technological-and-cultural-shifts-leaders-must-confront 🐞 โค้ดที่ AI สร้างมีบั๊กมากกว่ามนุษย์ รายงานล่าสุดชี้ว่าโค้ดที่สร้างโดย AI มีแนวโน้มจะมีบั๊กและข้อผิดพลาดมากกว่าที่มนุษย์เขียนเอง แม้ AI จะช่วยให้การพัฒนาเร็วขึ้น แต่ก็ทำให้ทีมงานต้องเสียเวลาในการตรวจสอบและแก้ไขมากขึ้น บทความนี้จึงเตือนว่าการใช้ AI ในการเขียนโค้ดควรถูกมองเป็นเครื่องมือช่วย ไม่ใช่การแทนที่นักพัฒนา 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/ai-generated-code-contains-more-bugs-and-errors-than-human-output 💻 รีวิว Geekom AX8 Max mini PC Geekom AX8 Max mini PC ถูกรีวิวโดยเน้นไปที่ความคุ้มค่าและประสิทธิภาพในเครื่องเล็ก ๆ รุ่นนี้มาพร้อมสเปกที่ตอบโจทย์ทั้งงานทั่วไปและการใช้งานที่ต้องการพลังประมวลผลสูงในขนาดกะทัดรัด ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากได้เครื่องเล็กแต่แรง 🔗 https://www.techradar.com/computing/geekom-ax8-max-mini-pc-review 🗺️ Google Maps เข้าใจคำพูดด้วย Gemini ผู้เขียนทดลองใช้ Gemini คุยกับ Google Maps ด้วยเสียง พบว่ามันสามารถตีความคำพูดที่ซับซ้อน เช่น “พาไปที่ร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ ๆ และเปิดตอนนี้” ได้อย่างแม่นยำ ไม่ใช่แค่เส้นทาง แต่ยังรวมถึงเงื่อนไขเพิ่มเติม ทำให้การใช้งานแผนที่สะดวกขึ้นมาก ถือเป็นการยกระดับจากการพิมพ์หรือกดเลือกไปสู่การสื่อสารแบบธรรมชาติ 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/gemini/i-tried-talking-to-google-maps-with-gemini-and-it-actually-understood-what-i-wanted 🔋 Ford เปลี่ยนโฟกัสจากรถไฟฟ้าไปสู่แบตเตอรี่ยักษ์ Ford กำลังปรับกลยุทธ์จากการผลิตรถบรรทุกไฟฟ้าไปสู่การสร้างระบบแบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพื่อใช้กับโครงข่ายไฟฟ้าและดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วสหรัฐฯ โดยมีแผนสร้างกำลังการผลิตถึง 20GWh การเปลี่ยนทิศนี้สะท้อนว่าตลาดรถไฟฟ้าอาจไม่ใช่เส้นทางเดียว แต่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานพลังงานก็เป็นโอกาสใหม่ที่ใหญ่ไม่แพ้กัน 🔗 https://www.techradar.com/pro/ford-is-switching-some-battery-focus-from-cars-to-data-centers-with-plans-for-huge-20gwh-capacity 📈 คนรุ่นใหม่หลงรัก Microsoft Excel ผลสำรวจเผยว่าคนทำงานสายการเงินรุ่นใหม่มีความผูกพันกับ Excel มากกว่ารุ่นก่อน ๆ แม้จะมีเครื่องมือคู่แข่งออกมาแข่งหลายสิบปี แต่ Excel ยังคงเป็นเครื่องมือหลักที่พวกเขาเลือกใช้ ความภักดีนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์และความคุ้นเคยที่ฝังลึกในวัฒนธรรมการทำงาน 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/more-than-half-of-workers-say-they-really-love-excel-and-surprisingly-enough-its-younger-workers-who-are-apparently-more-infatuated 🎮 Nex Playground คอนโซลราคาประหยัดสำหรับครอบครัว รีวิว Nex Playground ชี้ว่าเป็นเครื่องเล่นเกมที่ราคาถูกกว่า แต่ยังมอบประสบการณ์สนุกสำหรับทุกคนในบ้าน แม้จะไม่แรงเท่าคอนโซลใหญ่ แต่ก็เพียงพอสำหรับเกมที่เล่นร่วมกัน ถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับครอบครัวที่อยากได้ความบันเทิงโดยไม่ต้องจ่ายแพง 🔗 https://www.techradar.com/gaming/nex-playground-review 💳 ระวังอีเมลปลอมจาก PayPal ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ามีการใช้ระบบสมัครสมาชิกของ PayPal ในทางที่ผิด ส่งอีเมลปลอมแจ้งการซื้อเพื่อหลอกให้ผู้ใช้กดลิงก์หรือให้ข้อมูลส่วนตัว แม้จะดูเหมือนอีเมลจริง แต่จริง ๆ เป็นการฟิชชิ่งที่อันตราย ผู้ใช้จึงต้องตรวจสอบทุกครั้งก่อนคลิกลิงก์หรือยืนยันการชำระเงิน 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/paypal-user-beware-experts-warn-subscriptions-being-abused-to-send-fake-purchase-emails 🌐 Urban VPN Proxy แอบสอดส่องผู้ใช้ มีการเปิดเผยว่า Urban VPN Proxy ซึ่งเป็นบริการฟรี กำลังถูกใช้เพื่อสอดแนมข้อมูลผู้ใช้ โดยเก็บข้อมูลการใช้งานและอาจส่งต่อไปยังบุคคลที่สาม ทำให้ผู้ใช้ที่คิดว่าได้ความปลอดภัยจาก VPN กลับเสี่ยงต่อการถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว บทความนี้แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้ VPN ฟรี และเลือกบริการที่มีความน่าเชื่อถือแทน 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/urban-vpn-proxy-is-the-latest-free-vpn-spying-on-users-heres-how-to-stay-safe 🐧 Proton VPN รองรับ Linux มากขึ้น Proton VPN ได้ขยายการรองรับไปยังอุปกรณ์ Linux เพิ่มเติม ทำให้ผู้ใช้ที่ใช้ระบบปฏิบัติการนี้สามารถติดตั้งและใช้งานแอปอย่างเป็นทางการได้ง่ายขึ้น ถือเป็นการเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้ที่ต้องการเชื่อมต่อ VPN บนแพลตฟอร์มที่หลากหลาย 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/official-proton-vpn-app-lands-on-even-more-linux-devices
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251218 #securityonline


    Mozilla เปิดยุคใหม่: Firefox เตรียมกลายเป็นเบราว์เซอร์พลัง AI
    Mozilla ประกาศแผนการใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Anthony Enzor-DeMeo ที่จะเปลี่ยน Firefox จากเบราว์เซอร์แบบดั้งเดิมให้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI จุดมุ่งหมายคือการทำให้ Firefox ไม่ใช่แค่เครื่องมือท่องเว็บ แต่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่เข้าใจผู้ใช้และสามารถปรับแต่งประสบการณ์ออนไลน์ได้อย่างลึกซึ้ง การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Mozilla ที่จะกลับมาแข่งขันในตลาดเบราว์เซอร์ที่ถูกครอบงำโดย Chrome และ Edge
    https://securityonline.info/mozillas-new-chapter-ceo-anthony-enzor-demeo-to-transform-firefox-into-an-ai-powered-powerhouse

    Let’s Encrypt ปรับระบบ TLS ใหม่: ใบรับรองสั้นลงเหลือ 45 วัน
    Let’s Encrypt ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการออกใบรับรอง TLS โดยลดอายุการใช้งานจาก 90 วันเหลือเพียง 45 วัน พร้อมเปิดตัวโครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า Generation Y Hierarchy และการรองรับ TLS แบบใช้ IP โดยตรง การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากใบรับรองที่ถูกขโมยหรือไม่ได้อัปเดต และทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แม้จะเพิ่มภาระให้ผู้ดูแลระบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของเว็บทั่วโลก
    https://securityonline.info/the-45-day-era-begins-lets-encrypt-unveils-generation-y-hierarchy-and-ip-based-tls

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache Commons Text เสี่ยงถูกยึดเซิร์ฟเวอร์
    เรื่องนี้เป็นการค้นพบช่องโหว่ใหม่ในไลบรารี Java ที่ชื่อ Apache Commons Text ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลายในการจัดการข้อความ ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-46295 และมีคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.8 เต็ม 10 จุดอันตรายอยู่ที่ฟังก์ชัน string interpolation ที่เปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลที่ไม่ปลอดภัยเข้ามาและทำให้เกิดการรันคำสั่งจากระยะไกลได้ ลักษณะนี้คล้ายกับเหตุการณ์ Log4Shell ที่เคยสร้างความเสียหายใหญ่ในอดีต ทีมพัฒนา FileMaker Server ได้รีบแก้ไขโดยอัปเดตเป็นเวอร์ชันใหม่ที่ปลอดภัยแล้ว และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันทีเพื่อปิดช่องโหว่
    https://securityonline.info/cve-2025-46295-cvss-9-8-critical-apache-commons-text-flaw-risks-total-server-takeover

    หลอกด้วยใบสั่งจราจรปลอม: แอป RTO Challan ดูดข้อมูลและเงิน
    ในอินเดียมีการโจมตีใหม่ที่ใช้ความกลัวการโดนใบสั่งจราจรมาเป็นเครื่องมือ หลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอป “RTO Challan” ผ่าน WhatsApp โดยอ้างว่าเป็นแอปทางการเพื่อดูหลักฐานการกระทำผิด แต่แท้จริงแล้วเป็นมัลแวร์ที่ซ่อนตัวและสร้าง VPN ปลอมเพื่อส่งข้อมูลออกไปโดยไม่ถูกตรวจจับ มันสามารถขโมยข้อมูลส่วนตัว ตั้งแต่บัตร Aadhaar, PAN ไปจนถึงข้อมูลธนาคาร และยังหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลบัตรเครดิตพร้อมรหัส PIN เพื่อทำธุรกรรมปลอมแบบเรียลไทม์ ถือเป็นการโจมตีที่ผสมผสานทั้งวิศวกรรมสังคมและเทคนิคขั้นสูง ผู้ใช้ถูกเตือนให้ระวังข้อความจากเบอร์แปลกและไม่ดาวน์โหลดแอปจากลิงก์ที่ไม่น่าเชื่อถือ
    https://securityonline.info/rto-challan-scam-how-a-fake-traffic-ticket-and-a-malicious-vpn-can-drain-your-bank-account

    Node.js systeminformation พบช่องโหว่เสี่ยง RCE บน Windows
    ไลบรารีชื่อดัง systeminformation ที่ถูกดาวน์โหลดกว่า 16 ล้านครั้งต่อเดือน ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-68154 โดยเฉพาะบน Windows ฟังก์ชัน fsSize() ที่ใช้ตรวจสอบขนาดดิสก์ไม่ได้กรองข้อมูลอินพุต ทำให้ผู้โจมตีสามารถใส่คำสั่ง PowerShell แทนตัวอักษรไดรฟ์ และรันคำสั่งอันตรายได้ทันที ผลกระทบคือการเข้าควบคุมระบบ อ่านข้อมูลลับ หรือแม้กระทั่งปล่อย ransomware นักพัฒนาถูกแนะนำให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 5.27.14 ที่แก้ไขแล้วโดยด่วน
    https://securityonline.info/node-js-alert-systeminformation-flaw-risks-windows-rce-for-16m-monthly-users

    OpenAI เจรจา Amazon ขอทุนเพิ่ม 10 พันล้าน พร้อมเงื่อนไขใช้ชิป AI ของ Amazon
    มีรายงานว่า OpenAI กำลังเจรจากับ Amazon เพื่อระดมทุนมหาศาลถึง 10 พันล้านดอลลาร์ โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ OpenAI ต้องใช้ชิป AI ของ Amazon เช่น Trainium และ Inferentia แทนการพึ่งพา NVIDIA ที่ราคาแพงและขาดตลาด หากดีลนี้เกิดขึ้นจริงจะเป็นการพลิกเกมครั้งใหญ่ เพราะจะทำให้ Amazon ได้การยืนยันคุณภาพชิปจากผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในวงการ AI และยังช่วยให้ OpenAI ลดต้นทุนการประมวลผล ขณะเดียวกันก็สร้างสมดุลระหว่าง Microsoft และ Amazon ในการเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์
    https://securityonline.info/the-10b-pivot-openai-in-talks-for-massive-amazon-funding-but-theres-a-silicon-catch

    Cloudflare เผยรายงานปี 2025: สงครามบอท AI และการจราจรอินเทอร์เน็ตพุ่ง 19%
    รายงานประจำปีของ Cloudflare ชี้ให้เห็นว่าปี 2025 อินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ปริมาณการใช้งานเพิ่มขึ้น 19% และเกิด “สงครามบอท AI” ที่แข่งขันกันเก็บข้อมูลออนไลน์ โดย Google ครองอันดับหนึ่งด้านการเก็บข้อมูลผ่าน crawler เพื่อใช้ฝึกโมเดล AI อย่าง Gemini ขณะเดียวกันองค์กรไม่แสวงหากำไรกลับกลายเป็นเป้าหมายโจมตีไซเบอร์มากที่สุด เนื่องจากมีข้อมูลอ่อนไหวแต่ขาดทรัพยากรป้องกัน รายงานยังระบุว่ามีการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่กว่า 25 ครั้งในปีเดียว และครึ่งหนึ่งของการหยุดชะงักอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเกิดจากการกระทำของรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนทั้งความก้าวหน้าและความเปราะบางของโลกออนไลน์
    https://securityonline.info/the-internet-rewired-cloudflare-2025-review-unveils-the-ai-bot-war-and-a-19-traffic-surge

    Locked Out of the Cloud: เมื่อแฮกเกอร์ใช้ AWS Termination Protection ปล้นพลังประมวลผลไปขุดคริปโต
    เรื่องนี้เป็นการโจมตีที่ซับซ้อนมากในโลกคลาวด์ แฮกเกอร์เจาะเข้ามาในระบบ AWS โดยใช้บัญชีที่ถูกขโมย แล้วรีบ deploy เครื่องขุดคริปโตภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที จุดที่น่ากลัวคือพวกเขาใช้ฟีเจอร์ DryRun เพื่อตรวจสอบสิทธิ์โดยไม่ทิ้งร่องรอย และเมื่อเครื่องขุดถูกสร้างขึ้น พวกเขาเปิดการป้องกันการลบ (termination protection) ทำให้เจ้าของระบบไม่สามารถลบเครื่องได้ทันที ต้องปิดการป้องกันก่อนถึงจะจัดการได้ นั่นทำให้แฮกเกอร์มีเวลาขุดคริปโตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการสร้าง backdoor ผ่าน AWS Lambda และเตรียมใช้ Amazon SES เพื่อส่งอีเมลฟิชชิ่งต่อไป เหตุการณ์นี้ไม่ใช่การเจาะ AWS โดยตรง แต่เป็นการใช้ credential ที่ถูกขโมยไปอย่างชาญฉลาด
    https://securityonline.info/locked-out-of-the-cloud-hackers-use-aws-termination-protection-to-hijack-ecs-for-unstoppable-crypto-mining

    Blurred Deception: กลยุทธ์ฟิชชิ่งของกลุ่ม APT
    รัสเซียที่ใช้ “เอกสารเบลอ” กลุ่ม APT จากรัสเซียส่งอีเมลปลอมในชื่อคำสั่งจากประธานาธิบดี Transnistria โดยแนบไฟล์ที่ดูเหมือนเอกสารทางการ แต่เนื้อหาถูกทำให้เบลอด้วย CSS filter ผู้รับจึงต้องใส่อีเมลและรหัสผ่านเพื่อ “ปลดล็อก” เอกสาร ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นการหลอกขโมยข้อมูลเข้าสู่ระบบ ฟังก์ชัน JavaScript ที่ใช้ยังมีลูกเล่นคือไม่ว่ารหัสผ่านจะถูกหรือผิดก็ถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์อยู่ดี แคมเปญนี้ไม่ได้หยุดแค่ Transnistria แต่ยังขยายไปยังประเทศในยุโรปตะวันออกและหน่วยงาน NATO ด้วย ถือเป็นการโจมตีที่ใช้ความเร่งด่วนและความอยากรู้อยากเห็นของเหยื่อเป็นตัวล่อ
    https://securityonline.info/blurred-deception-russian-apt-targets-transnistria-and-nato-with-high-pressure-phishing-lures

    “Better Auth” Framework Alert: ช่องโหว่ Double-Slash ที่ทำให้ระบบป้องกันพัง
    มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Better Auth ซึ่งเป็น framework ยอดนิยมสำหรับ TypeScript ที่ใช้กันกว้างขวาง ปัญหาคือ router ภายในชื่อ rou3 มอง URL ที่มีหลาย slash เช่น //sign-in/email ว่าเหมือนกับ /sign-in/email แต่ระบบป้องกันบางอย่างไม่ได้ normalize URL แบบเดียวกัน ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึง path ที่ถูกปิดไว้ หรือเลี่ยง rate limit ได้ง่าย ๆ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS สูงถึง 8.6 และกระทบผู้ใช้จำนวนมาก การแก้ไขคืออัปเดตเวอร์ชันใหม่ หรือปรับ proxy ให้ normalize URL ก่อนถึงระบบ หากไม่ทำก็เสี่ยงที่ระบบจะถูกเจาะผ่านช่องโหว่เล็ก ๆ แต่ร้ายแรงนี้
    https://securityonline.info/better-auth-framework-alert-the-double-slash-trick-that-bypasses-security-controls

    Ink Dragon’s Global Mesh: เมื่อเซิร์ฟเวอร์รัฐบาลถูกเปลี่ยนเป็นโหนดสอดแนม
    กลุ่มสอดแนมไซเบอร์จากจีนที่ชื่อ Ink Dragon ใช้เทคนิคใหม่ในการสร้างเครือข่ายสั่งการ โดยเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์รัฐบาลที่ถูกเจาะให้กลายเป็นโหนด relay ส่งต่อคำสั่งและข้อมูลไปยังเป้าหมายอื่น ๆ ผ่านโมดูล ShadowPad IIS Listener ทำให้การติดตามแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะคำสั่งอาจวิ่งผ่านหลายองค์กรก่อนถึงเป้าหมายจริง พวกเขายังใช้ช่องโหว่ IIS ที่รู้จักกันมานานและ misconfiguration ของ ASP.NET เพื่อเข้ามา จากนั้นติดตั้ง malware รุ่นใหม่ที่ซ่อนการสื่อสารผ่าน Microsoft Graph API การขยายเป้าหมายไปยังยุโรปทำให้ภัยนี้ไม่ใช่แค่ระดับภูมิภาค แต่เป็นโครงสร้างสอดแนมข้ามชาติที่ใช้โครงสร้างของเหยื่อเองเป็นเครื่องมือ
    https://securityonline.info/ink-dragons-global-mesh-how-chinese-spies-turn-compromised-government-servers-into-c2-relay-nodes

    Academic Ambush: เมื่อกลุ่ม APT ปลอมรายงาน “Plagiarism” เพื่อเจาะระบบนักวิชาการ
    นี่คือแคมเปญที่ใช้ความกังวลของนักวิชาการเป็นตัวล่อ แฮกเกอร์ส่งอีเมลปลอมในชื่อ “Forum Troll APT” โดยอ้างว่าผลงานของเหยื่อถูกตรวจพบการลอกเลียนแบบ พร้อมแนบไฟล์ Word ที่ดูเหมือนรายงานตรวจสอบ แต่จริง ๆ แล้วเป็นเอกสารที่ฝังโค้ดอันตราย เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ โค้ดจะถูกเรียกใช้เพื่อดาวน์โหลดมัลแวร์เข้ามาในเครื่องทันที การโจมตีนี้เล่นกับความกลัวเรื่องชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในวงวิชาการ ทำให้ผู้รับมีแนวโน้มเปิดไฟล์โดยไม่ระวัง ถือเป็นการใช้ “แรงกดดันทางสังคม” เป็นอาวุธไซเบอร์
    https://securityonline.info/academic-ambush-how-the-forum-troll-apt-hijacks-scholars-systems-via-fake-plagiarism-reports

    GitHub ยอมถอย หลังนักพัฒนารวมพลังต้านค่าธรรมเนียม Self-Hosted Runner
    เรื่องนี้เริ่มจาก GitHub ประกาศว่าจะเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับการใช้งาน self-hosted runner ใน GitHub Actions ตั้งแต่มีนาคม 2026 โดยคิดนาทีละ 0.002 ดอลลาร์ แม้ผู้ใช้จะลงทุนเครื่องเองแล้วก็ตาม ข่าวนี้ทำให้ชุมชนนักพัฒนาลุกฮือทันที เสียงวิจารณ์ดังไปทั่วว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฟังเสียงผู้ใช้ สุดท้าย GitHub ต้องออกมาประกาศเลื่อนการเก็บค่าธรรมเนียมออกไป พร้อมลดราคาสำหรับ runner ที่ GitHub โฮสต์เองลงถึง 39% ตั้งแต่ต้นปี 2026 และย้ำว่าจะกลับไปฟังเสียงนักพัฒนาให้มากขึ้นก่อนปรับแผนใหม่ เรื่องนี้สะท้อนว่าพลังของชุมชนสามารถกดดันให้แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ต้องทบทวนการตัดสินใจได้
    https://securityonline.info/the-developer-win-github-postpones-self-hosted-runner-fee-after-massive-community-outcry

    ช่องโหว่ร้ายแรง HPE OneView เปิดทางให้ยึดศูนย์ข้อมูลได้ทันที
    Hewlett Packard Enterprise (HPE) แจ้งเตือนช่องโหว่ CVE-2025-37164 ที่มีคะแนนความรุนแรงสูงสุด 10.0 ในซอฟต์แวร์ OneView ซึ่งเป็นหัวใจในการจัดการเซิร์ฟเวอร์และระบบเครือข่าย ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่ไม่ต้องล็อกอินสามารถสั่งรันโค้ดจากระยะไกลได้ทันที เท่ากับว่าสามารถยึดศูนย์ข้อมูลทั้งระบบได้เลย HPE รีบออกแพตช์ v11.00 และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตโดยด่วน สำหรับผู้ที่ยังใช้เวอร์ชันเก่า มี hotfix ให้ แต่ต้องระวังว่าหลังอัปเกรดบางเวอร์ชันต้องติดตั้งซ้ำอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะยังเสี่ยงอยู่
    https://securityonline.info/cve-2025-37164-cvss-10-0-unauthenticated-hpe-oneview-rce-grants-total-control-over-data-centers

    CISA เตือนด่วน แฮ็กเกอร์จีนใช้ช่องโหว่ Cisco และ SonicWall โจมตีจริงแล้ว
    หน่วยงาน CISA ของสหรัฐฯ ออกประกาศเพิ่มช่องโหว่ร้ายแรงเข้ารายการ KEV หลังพบว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์จีน UAT-9686 กำลังใช้ช่องโหว่ Cisco Secure Email Gateway ที่มีคะแนน 10 เต็มในการเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน พร้อมติดตั้งมัลแวร์ AquaShell และ AquaPurge เพื่อซ่อนร่องรอย นอกจากนี้ยังพบการโจมตี SonicWall SMA1000 โดยใช้ช่องโหว่เดิมร่วมกับช่องโหว่ใหม่เพื่อยึดระบบได้ทั้งหมด และยังมีการนำช่องโหว่เก่าใน ASUS Live Update ที่หมดการสนับสนุนแล้วกลับมาใช้โจมตีในลักษณะ supply chain อีกด้วย ทำให้หน่วยงานรัฐต้องเร่งแพตช์ก่อนเส้นตาย 24 ธันวาคม 2025 https://securityonline.info/cisa-alert-chinese-hackers-weaponize-cvss-10-cisco-zero-day-sonicwall-exploit-chains

    แฮ็กเกอร์จีน UAT-9686 ใช้มัลแวร์ Aqua เจาะ Cisco Secure Email
    Cisco Talos เปิดเผยว่ากลุ่ม UAT-9686 กำลังใช้ช่องโหว่ CVE-2025-20393 ใน Cisco Secure Email Gateway และ Web Manager เพื่อเข้าถึงระบบในระดับ root โดยอาศัยการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Spam Quarantine ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งหากเปิดไว้จะกลายเป็นช่องทางให้โจมตีได้ทันที เมื่อเข้ามาแล้วพวกเขาติดตั้งมัลแวร์ชุด “Aqua” ได้แก่ AquaShell ที่ฝังตัวในไฟล์เซิร์ฟเวอร์, AquaPurge ที่ลบหลักฐานใน log และ AquaTunnel ที่สร้างการเชื่อมต่อย้อนกลับเพื่อรักษาการเข้าถึง แม้แก้ช่องโหว่แล้วก็ยังไม่พ้นภัย เพราะมัลแวร์ฝังลึกจน Cisco แนะนำว่าหากถูกเจาะแล้วต้อง rebuild เครื่องใหม่เท่านั้น
    https://securityonline.info/cisco-zero-day-siege-chinese-group-uat-9686-deploys-aqua-malware-via-cvss-10-root-exploit

    SonicWall เตือนช่องโหว่ใหม่ถูกใช้ร่วมกับช่องโหว่เดิม ยึดระบบได้แบบ root
    SonicWall ออกประกาศด่วนเกี่ยวกับช่องโหว่ CVE-2025-40602 ในอุปกรณ์ SMA1000 แม้คะแนน CVSS เพียง 6.6 แต่เมื่อถูกใช้ร่วมกับช่องโหว่ CVE-2025-23006 ที่ร้ายแรงกว่า จะกลายเป็นการโจมตีแบบ chain ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน และยกระดับสิทธิ์เป็น root ได้ทันที เท่ากับยึดระบบทั้งองค์กรได้โดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน SonicWall ได้ออกแพตช์ใหม่และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันที หากไม่สามารถทำได้ควรปิดการเข้าถึง AMC และ SSH จากอินเทอร์เน็ตเพื่อป้องกันการโจมตี
    ​​​​​​​ https://securityonline.info/zero-day-warning-hackers-chain-sonicwall-sma1000-flaws-for-unauthenticated-root-rce
    📌🔐🟠 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟠🔐📌 #รวมข่าวIT #20251218 #securityonline 🦊 Mozilla เปิดยุคใหม่: Firefox เตรียมกลายเป็นเบราว์เซอร์พลัง AI Mozilla ประกาศแผนการใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Anthony Enzor-DeMeo ที่จะเปลี่ยน Firefox จากเบราว์เซอร์แบบดั้งเดิมให้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI จุดมุ่งหมายคือการทำให้ Firefox ไม่ใช่แค่เครื่องมือท่องเว็บ แต่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่เข้าใจผู้ใช้และสามารถปรับแต่งประสบการณ์ออนไลน์ได้อย่างลึกซึ้ง การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Mozilla ที่จะกลับมาแข่งขันในตลาดเบราว์เซอร์ที่ถูกครอบงำโดย Chrome และ Edge 🔗 https://securityonline.info/mozillas-new-chapter-ceo-anthony-enzor-demeo-to-transform-firefox-into-an-ai-powered-powerhouse 🔒 Let’s Encrypt ปรับระบบ TLS ใหม่: ใบรับรองสั้นลงเหลือ 45 วัน Let’s Encrypt ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการออกใบรับรอง TLS โดยลดอายุการใช้งานจาก 90 วันเหลือเพียง 45 วัน พร้อมเปิดตัวโครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า Generation Y Hierarchy และการรองรับ TLS แบบใช้ IP โดยตรง การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากใบรับรองที่ถูกขโมยหรือไม่ได้อัปเดต และทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แม้จะเพิ่มภาระให้ผู้ดูแลระบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของเว็บทั่วโลก 🔗 https://securityonline.info/the-45-day-era-begins-lets-encrypt-unveils-generation-y-hierarchy-and-ip-based-tls 🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache Commons Text เสี่ยงถูกยึดเซิร์ฟเวอร์ เรื่องนี้เป็นการค้นพบช่องโหว่ใหม่ในไลบรารี Java ที่ชื่อ Apache Commons Text ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลายในการจัดการข้อความ ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-46295 และมีคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.8 เต็ม 10 จุดอันตรายอยู่ที่ฟังก์ชัน string interpolation ที่เปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลที่ไม่ปลอดภัยเข้ามาและทำให้เกิดการรันคำสั่งจากระยะไกลได้ ลักษณะนี้คล้ายกับเหตุการณ์ Log4Shell ที่เคยสร้างความเสียหายใหญ่ในอดีต ทีมพัฒนา FileMaker Server ได้รีบแก้ไขโดยอัปเดตเป็นเวอร์ชันใหม่ที่ปลอดภัยแล้ว และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันทีเพื่อปิดช่องโหว่ 🔗 https://securityonline.info/cve-2025-46295-cvss-9-8-critical-apache-commons-text-flaw-risks-total-server-takeover 🚦 หลอกด้วยใบสั่งจราจรปลอม: แอป RTO Challan ดูดข้อมูลและเงิน ในอินเดียมีการโจมตีใหม่ที่ใช้ความกลัวการโดนใบสั่งจราจรมาเป็นเครื่องมือ หลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอป “RTO Challan” ผ่าน WhatsApp โดยอ้างว่าเป็นแอปทางการเพื่อดูหลักฐานการกระทำผิด แต่แท้จริงแล้วเป็นมัลแวร์ที่ซ่อนตัวและสร้าง VPN ปลอมเพื่อส่งข้อมูลออกไปโดยไม่ถูกตรวจจับ มันสามารถขโมยข้อมูลส่วนตัว ตั้งแต่บัตร Aadhaar, PAN ไปจนถึงข้อมูลธนาคาร และยังหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลบัตรเครดิตพร้อมรหัส PIN เพื่อทำธุรกรรมปลอมแบบเรียลไทม์ ถือเป็นการโจมตีที่ผสมผสานทั้งวิศวกรรมสังคมและเทคนิคขั้นสูง ผู้ใช้ถูกเตือนให้ระวังข้อความจากเบอร์แปลกและไม่ดาวน์โหลดแอปจากลิงก์ที่ไม่น่าเชื่อถือ 🔗 https://securityonline.info/rto-challan-scam-how-a-fake-traffic-ticket-and-a-malicious-vpn-can-drain-your-bank-account 💻 Node.js systeminformation พบช่องโหว่เสี่ยง RCE บน Windows ไลบรารีชื่อดัง systeminformation ที่ถูกดาวน์โหลดกว่า 16 ล้านครั้งต่อเดือน ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-68154 โดยเฉพาะบน Windows ฟังก์ชัน fsSize() ที่ใช้ตรวจสอบขนาดดิสก์ไม่ได้กรองข้อมูลอินพุต ทำให้ผู้โจมตีสามารถใส่คำสั่ง PowerShell แทนตัวอักษรไดรฟ์ และรันคำสั่งอันตรายได้ทันที ผลกระทบคือการเข้าควบคุมระบบ อ่านข้อมูลลับ หรือแม้กระทั่งปล่อย ransomware นักพัฒนาถูกแนะนำให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 5.27.14 ที่แก้ไขแล้วโดยด่วน 🔗 https://securityonline.info/node-js-alert-systeminformation-flaw-risks-windows-rce-for-16m-monthly-users 💰 OpenAI เจรจา Amazon ขอทุนเพิ่ม 10 พันล้าน พร้อมเงื่อนไขใช้ชิป AI ของ Amazon มีรายงานว่า OpenAI กำลังเจรจากับ Amazon เพื่อระดมทุนมหาศาลถึง 10 พันล้านดอลลาร์ โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ OpenAI ต้องใช้ชิป AI ของ Amazon เช่น Trainium และ Inferentia แทนการพึ่งพา NVIDIA ที่ราคาแพงและขาดตลาด หากดีลนี้เกิดขึ้นจริงจะเป็นการพลิกเกมครั้งใหญ่ เพราะจะทำให้ Amazon ได้การยืนยันคุณภาพชิปจากผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในวงการ AI และยังช่วยให้ OpenAI ลดต้นทุนการประมวลผล ขณะเดียวกันก็สร้างสมดุลระหว่าง Microsoft และ Amazon ในการเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์ 🔗 https://securityonline.info/the-10b-pivot-openai-in-talks-for-massive-amazon-funding-but-theres-a-silicon-catch 🌐 Cloudflare เผยรายงานปี 2025: สงครามบอท AI และการจราจรอินเทอร์เน็ตพุ่ง 19% รายงานประจำปีของ Cloudflare ชี้ให้เห็นว่าปี 2025 อินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ปริมาณการใช้งานเพิ่มขึ้น 19% และเกิด “สงครามบอท AI” ที่แข่งขันกันเก็บข้อมูลออนไลน์ โดย Google ครองอันดับหนึ่งด้านการเก็บข้อมูลผ่าน crawler เพื่อใช้ฝึกโมเดล AI อย่าง Gemini ขณะเดียวกันองค์กรไม่แสวงหากำไรกลับกลายเป็นเป้าหมายโจมตีไซเบอร์มากที่สุด เนื่องจากมีข้อมูลอ่อนไหวแต่ขาดทรัพยากรป้องกัน รายงานยังระบุว่ามีการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่กว่า 25 ครั้งในปีเดียว และครึ่งหนึ่งของการหยุดชะงักอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเกิดจากการกระทำของรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนทั้งความก้าวหน้าและความเปราะบางของโลกออนไลน์ 🔗 https://securityonline.info/the-internet-rewired-cloudflare-2025-review-unveils-the-ai-bot-war-and-a-19-traffic-surge 🖥️ Locked Out of the Cloud: เมื่อแฮกเกอร์ใช้ AWS Termination Protection ปล้นพลังประมวลผลไปขุดคริปโต เรื่องนี้เป็นการโจมตีที่ซับซ้อนมากในโลกคลาวด์ แฮกเกอร์เจาะเข้ามาในระบบ AWS โดยใช้บัญชีที่ถูกขโมย แล้วรีบ deploy เครื่องขุดคริปโตภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที จุดที่น่ากลัวคือพวกเขาใช้ฟีเจอร์ DryRun เพื่อตรวจสอบสิทธิ์โดยไม่ทิ้งร่องรอย และเมื่อเครื่องขุดถูกสร้างขึ้น พวกเขาเปิดการป้องกันการลบ (termination protection) ทำให้เจ้าของระบบไม่สามารถลบเครื่องได้ทันที ต้องปิดการป้องกันก่อนถึงจะจัดการได้ นั่นทำให้แฮกเกอร์มีเวลาขุดคริปโตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการสร้าง backdoor ผ่าน AWS Lambda และเตรียมใช้ Amazon SES เพื่อส่งอีเมลฟิชชิ่งต่อไป เหตุการณ์นี้ไม่ใช่การเจาะ AWS โดยตรง แต่เป็นการใช้ credential ที่ถูกขโมยไปอย่างชาญฉลาด 🔗 https://securityonline.info/locked-out-of-the-cloud-hackers-use-aws-termination-protection-to-hijack-ecs-for-unstoppable-crypto-mining 📧 Blurred Deception: กลยุทธ์ฟิชชิ่งของกลุ่ม APT รัสเซียที่ใช้ “เอกสารเบลอ” กลุ่ม APT จากรัสเซียส่งอีเมลปลอมในชื่อคำสั่งจากประธานาธิบดี Transnistria โดยแนบไฟล์ที่ดูเหมือนเอกสารทางการ แต่เนื้อหาถูกทำให้เบลอด้วย CSS filter ผู้รับจึงต้องใส่อีเมลและรหัสผ่านเพื่อ “ปลดล็อก” เอกสาร ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นการหลอกขโมยข้อมูลเข้าสู่ระบบ ฟังก์ชัน JavaScript ที่ใช้ยังมีลูกเล่นคือไม่ว่ารหัสผ่านจะถูกหรือผิดก็ถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์อยู่ดี แคมเปญนี้ไม่ได้หยุดแค่ Transnistria แต่ยังขยายไปยังประเทศในยุโรปตะวันออกและหน่วยงาน NATO ด้วย ถือเป็นการโจมตีที่ใช้ความเร่งด่วนและความอยากรู้อยากเห็นของเหยื่อเป็นตัวล่อ 🔗 https://securityonline.info/blurred-deception-russian-apt-targets-transnistria-and-nato-with-high-pressure-phishing-lures 🔐 “Better Auth” Framework Alert: ช่องโหว่ Double-Slash ที่ทำให้ระบบป้องกันพัง มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Better Auth ซึ่งเป็น framework ยอดนิยมสำหรับ TypeScript ที่ใช้กันกว้างขวาง ปัญหาคือ router ภายในชื่อ rou3 มอง URL ที่มีหลาย slash เช่น //sign-in/email ว่าเหมือนกับ /sign-in/email แต่ระบบป้องกันบางอย่างไม่ได้ normalize URL แบบเดียวกัน ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึง path ที่ถูกปิดไว้ หรือเลี่ยง rate limit ได้ง่าย ๆ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS สูงถึง 8.6 และกระทบผู้ใช้จำนวนมาก การแก้ไขคืออัปเดตเวอร์ชันใหม่ หรือปรับ proxy ให้ normalize URL ก่อนถึงระบบ หากไม่ทำก็เสี่ยงที่ระบบจะถูกเจาะผ่านช่องโหว่เล็ก ๆ แต่ร้ายแรงนี้ 🔗 https://securityonline.info/better-auth-framework-alert-the-double-slash-trick-that-bypasses-security-controls 🐉 Ink Dragon’s Global Mesh: เมื่อเซิร์ฟเวอร์รัฐบาลถูกเปลี่ยนเป็นโหนดสอดแนม กลุ่มสอดแนมไซเบอร์จากจีนที่ชื่อ Ink Dragon ใช้เทคนิคใหม่ในการสร้างเครือข่ายสั่งการ โดยเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์รัฐบาลที่ถูกเจาะให้กลายเป็นโหนด relay ส่งต่อคำสั่งและข้อมูลไปยังเป้าหมายอื่น ๆ ผ่านโมดูล ShadowPad IIS Listener ทำให้การติดตามแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะคำสั่งอาจวิ่งผ่านหลายองค์กรก่อนถึงเป้าหมายจริง พวกเขายังใช้ช่องโหว่ IIS ที่รู้จักกันมานานและ misconfiguration ของ ASP.NET เพื่อเข้ามา จากนั้นติดตั้ง malware รุ่นใหม่ที่ซ่อนการสื่อสารผ่าน Microsoft Graph API การขยายเป้าหมายไปยังยุโรปทำให้ภัยนี้ไม่ใช่แค่ระดับภูมิภาค แต่เป็นโครงสร้างสอดแนมข้ามชาติที่ใช้โครงสร้างของเหยื่อเองเป็นเครื่องมือ 🔗 https://securityonline.info/ink-dragons-global-mesh-how-chinese-spies-turn-compromised-government-servers-into-c2-relay-nodes 📚 Academic Ambush: เมื่อกลุ่ม APT ปลอมรายงาน “Plagiarism” เพื่อเจาะระบบนักวิชาการ นี่คือแคมเปญที่ใช้ความกังวลของนักวิชาการเป็นตัวล่อ แฮกเกอร์ส่งอีเมลปลอมในชื่อ “Forum Troll APT” โดยอ้างว่าผลงานของเหยื่อถูกตรวจพบการลอกเลียนแบบ พร้อมแนบไฟล์ Word ที่ดูเหมือนรายงานตรวจสอบ แต่จริง ๆ แล้วเป็นเอกสารที่ฝังโค้ดอันตราย เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ โค้ดจะถูกเรียกใช้เพื่อดาวน์โหลดมัลแวร์เข้ามาในเครื่องทันที การโจมตีนี้เล่นกับความกลัวเรื่องชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในวงวิชาการ ทำให้ผู้รับมีแนวโน้มเปิดไฟล์โดยไม่ระวัง ถือเป็นการใช้ “แรงกดดันทางสังคม” เป็นอาวุธไซเบอร์ 🔗 https://securityonline.info/academic-ambush-how-the-forum-troll-apt-hijacks-scholars-systems-via-fake-plagiarism-reports 🛠️ GitHub ยอมถอย หลังนักพัฒนารวมพลังต้านค่าธรรมเนียม Self-Hosted Runner เรื่องนี้เริ่มจาก GitHub ประกาศว่าจะเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับการใช้งาน self-hosted runner ใน GitHub Actions ตั้งแต่มีนาคม 2026 โดยคิดนาทีละ 0.002 ดอลลาร์ แม้ผู้ใช้จะลงทุนเครื่องเองแล้วก็ตาม ข่าวนี้ทำให้ชุมชนนักพัฒนาลุกฮือทันที เสียงวิจารณ์ดังไปทั่วว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฟังเสียงผู้ใช้ สุดท้าย GitHub ต้องออกมาประกาศเลื่อนการเก็บค่าธรรมเนียมออกไป พร้อมลดราคาสำหรับ runner ที่ GitHub โฮสต์เองลงถึง 39% ตั้งแต่ต้นปี 2026 และย้ำว่าจะกลับไปฟังเสียงนักพัฒนาให้มากขึ้นก่อนปรับแผนใหม่ เรื่องนี้สะท้อนว่าพลังของชุมชนสามารถกดดันให้แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ต้องทบทวนการตัดสินใจได้ 🔗 https://securityonline.info/the-developer-win-github-postpones-self-hosted-runner-fee-after-massive-community-outcry ⚠️ ช่องโหว่ร้ายแรง HPE OneView เปิดทางให้ยึดศูนย์ข้อมูลได้ทันที Hewlett Packard Enterprise (HPE) แจ้งเตือนช่องโหว่ CVE-2025-37164 ที่มีคะแนนความรุนแรงสูงสุด 10.0 ในซอฟต์แวร์ OneView ซึ่งเป็นหัวใจในการจัดการเซิร์ฟเวอร์และระบบเครือข่าย ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่ไม่ต้องล็อกอินสามารถสั่งรันโค้ดจากระยะไกลได้ทันที เท่ากับว่าสามารถยึดศูนย์ข้อมูลทั้งระบบได้เลย HPE รีบออกแพตช์ v11.00 และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตโดยด่วน สำหรับผู้ที่ยังใช้เวอร์ชันเก่า มี hotfix ให้ แต่ต้องระวังว่าหลังอัปเกรดบางเวอร์ชันต้องติดตั้งซ้ำอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะยังเสี่ยงอยู่ 🔗 https://securityonline.info/cve-2025-37164-cvss-10-0-unauthenticated-hpe-oneview-rce-grants-total-control-over-data-centers 🚨 CISA เตือนด่วน แฮ็กเกอร์จีนใช้ช่องโหว่ Cisco และ SonicWall โจมตีจริงแล้ว หน่วยงาน CISA ของสหรัฐฯ ออกประกาศเพิ่มช่องโหว่ร้ายแรงเข้ารายการ KEV หลังพบว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์จีน UAT-9686 กำลังใช้ช่องโหว่ Cisco Secure Email Gateway ที่มีคะแนน 10 เต็มในการเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน พร้อมติดตั้งมัลแวร์ AquaShell และ AquaPurge เพื่อซ่อนร่องรอย นอกจากนี้ยังพบการโจมตี SonicWall SMA1000 โดยใช้ช่องโหว่เดิมร่วมกับช่องโหว่ใหม่เพื่อยึดระบบได้ทั้งหมด และยังมีการนำช่องโหว่เก่าใน ASUS Live Update ที่หมดการสนับสนุนแล้วกลับมาใช้โจมตีในลักษณะ supply chain อีกด้วย ทำให้หน่วยงานรัฐต้องเร่งแพตช์ก่อนเส้นตาย 24 ธันวาคม 2025 🔗 https://securityonline.info/cisa-alert-chinese-hackers-weaponize-cvss-10-cisco-zero-day-sonicwall-exploit-chains 🐚 แฮ็กเกอร์จีน UAT-9686 ใช้มัลแวร์ Aqua เจาะ Cisco Secure Email Cisco Talos เปิดเผยว่ากลุ่ม UAT-9686 กำลังใช้ช่องโหว่ CVE-2025-20393 ใน Cisco Secure Email Gateway และ Web Manager เพื่อเข้าถึงระบบในระดับ root โดยอาศัยการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Spam Quarantine ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งหากเปิดไว้จะกลายเป็นช่องทางให้โจมตีได้ทันที เมื่อเข้ามาแล้วพวกเขาติดตั้งมัลแวร์ชุด “Aqua” ได้แก่ AquaShell ที่ฝังตัวในไฟล์เซิร์ฟเวอร์, AquaPurge ที่ลบหลักฐานใน log และ AquaTunnel ที่สร้างการเชื่อมต่อย้อนกลับเพื่อรักษาการเข้าถึง แม้แก้ช่องโหว่แล้วก็ยังไม่พ้นภัย เพราะมัลแวร์ฝังลึกจน Cisco แนะนำว่าหากถูกเจาะแล้วต้อง rebuild เครื่องใหม่เท่านั้น 🔗 https://securityonline.info/cisco-zero-day-siege-chinese-group-uat-9686-deploys-aqua-malware-via-cvss-10-root-exploit 🔒 SonicWall เตือนช่องโหว่ใหม่ถูกใช้ร่วมกับช่องโหว่เดิม ยึดระบบได้แบบ root SonicWall ออกประกาศด่วนเกี่ยวกับช่องโหว่ CVE-2025-40602 ในอุปกรณ์ SMA1000 แม้คะแนน CVSS เพียง 6.6 แต่เมื่อถูกใช้ร่วมกับช่องโหว่ CVE-2025-23006 ที่ร้ายแรงกว่า จะกลายเป็นการโจมตีแบบ chain ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน และยกระดับสิทธิ์เป็น root ได้ทันที เท่ากับยึดระบบทั้งองค์กรได้โดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน SonicWall ได้ออกแพตช์ใหม่และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันที หากไม่สามารถทำได้ควรปิดการเข้าถึง AMC และ SSH จากอินเทอร์เน็ตเพื่อป้องกันการโจมตี ​​​​​​​🔗 https://securityonline.info/zero-day-warning-hackers-chain-sonicwall-sma1000-flaws-for-unauthenticated-root-rce
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • Intel จับมือ Samsung ผลิตชิปเซ็ต 8nm สำหรับ Nova Lake

    รายงานจากสื่อเกาหลีเผยว่า Samsung Foundry ได้รับคำสั่งผลิตชิปเซ็ตจาก Intel โดยใช้กระบวนการ 8nm สำหรับแพลตฟอร์มใหม่ Nova Lake ที่จะเปิดตัวในปี 2026–2027 โดยชิปเซ็ต Z990 จะเป็นรุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยีนี้ ถือเป็นการกลับมาร่วมมือกันอีกครั้งหลังจากที่ Samsung เคยผลิตชิปให้ Intel ในอดีต

    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Intel ที่ต้องการ ลดการพึ่งพา TSMC ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาความต้องการล้นเกินและการขาดแคลนกำลังผลิต การเลือก Samsung จึงเป็นกลยุทธ์เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทาน โดย Samsung เองก็มีประสบการณ์ผลิตชิปให้ Nvidia และ Nintendo มาก่อน ทำให้มีความน่าเชื่อถือในตลาด

    แม้ว่า 8nm จะไม่ใช่เทคโนโลยีล่าสุด แต่ก็เพียงพอสำหรับการผลิตชิปเซ็ตที่ไม่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดเหมือน CPU หรือ GPU การย้ายจาก 14nm ไปสู่ 8nm ยังช่วยให้ Intel สามารถแข่งขันกับ AMD ได้ในเชิงการตลาด เนื่องจาก AMD ยังคงใช้กระบวนการ 14nm สำหรับชิปเซ็ตในปัจจุบัน

    การผลิตจะเกิดขึ้นที่โรงงานของ Samsung ในเกาหลีใต้ โดยคาดว่าจะเริ่มเต็มกำลังในปี 2026 ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดตัวแพลตฟอร์ม Nova Lake ที่มาพร้อมกับ CPU Core Ultra 400S การร่วมมือครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการเสริมกำลังผลิต แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ Intel ในการกลับมาท้าทายคู่แข่งในตลาด

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    Intel เลือก Samsung ผลิตชิปเซ็ต Z990
    ใช้กระบวนการ 8nm สำหรับแพลตฟอร์ม Nova Lake

    กลยุทธ์ลดการพึ่งพา TSMC
    กระจายความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน และเสริมความมั่นคง

    การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
    จาก 14nm ไปสู่ 8nm แม้ไม่ใช่ล่าสุด แต่เพียงพอสำหรับชิปเซ็ต

    การผลิตในเกาหลีใต้
    โรงงาน Samsung จะเริ่มผลิตเต็มกำลังในปี 2026

    คำเตือนด้านการแข่งขัน
    แม้จะใช้ 8nm แต่ยังตามหลังเทคโนโลยีขั้นสูงของ TSMC และ AMD ในบางส่วน
    หากการผลิตไม่เป็นไปตามแผน อาจกระทบต่อการเปิดตัว Nova Lake และภาพลักษณ์ของ Intel

    https://www.tomshardware.com/pc-components/chipsets/samsung-eyed-up-for-huge-8nm-chip-order-from-intel-the-z990-chipset-for-nova-lake-cpus-could-be-intels-8nm-debut
    🤝 Intel จับมือ Samsung ผลิตชิปเซ็ต 8nm สำหรับ Nova Lake รายงานจากสื่อเกาหลีเผยว่า Samsung Foundry ได้รับคำสั่งผลิตชิปเซ็ตจาก Intel โดยใช้กระบวนการ 8nm สำหรับแพลตฟอร์มใหม่ Nova Lake ที่จะเปิดตัวในปี 2026–2027 โดยชิปเซ็ต Z990 จะเป็นรุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยีนี้ ถือเป็นการกลับมาร่วมมือกันอีกครั้งหลังจากที่ Samsung เคยผลิตชิปให้ Intel ในอดีต การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Intel ที่ต้องการ ลดการพึ่งพา TSMC ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาความต้องการล้นเกินและการขาดแคลนกำลังผลิต การเลือก Samsung จึงเป็นกลยุทธ์เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทาน โดย Samsung เองก็มีประสบการณ์ผลิตชิปให้ Nvidia และ Nintendo มาก่อน ทำให้มีความน่าเชื่อถือในตลาด แม้ว่า 8nm จะไม่ใช่เทคโนโลยีล่าสุด แต่ก็เพียงพอสำหรับการผลิตชิปเซ็ตที่ไม่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดเหมือน CPU หรือ GPU การย้ายจาก 14nm ไปสู่ 8nm ยังช่วยให้ Intel สามารถแข่งขันกับ AMD ได้ในเชิงการตลาด เนื่องจาก AMD ยังคงใช้กระบวนการ 14nm สำหรับชิปเซ็ตในปัจจุบัน การผลิตจะเกิดขึ้นที่โรงงานของ Samsung ในเกาหลีใต้ โดยคาดว่าจะเริ่มเต็มกำลังในปี 2026 ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดตัวแพลตฟอร์ม Nova Lake ที่มาพร้อมกับ CPU Core Ultra 400S การร่วมมือครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการเสริมกำลังผลิต แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ Intel ในการกลับมาท้าทายคู่แข่งในตลาด 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ Intel เลือก Samsung ผลิตชิปเซ็ต Z990 ➡️ ใช้กระบวนการ 8nm สำหรับแพลตฟอร์ม Nova Lake ✅ กลยุทธ์ลดการพึ่งพา TSMC ➡️ กระจายความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน และเสริมความมั่นคง ✅ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ➡️ จาก 14nm ไปสู่ 8nm แม้ไม่ใช่ล่าสุด แต่เพียงพอสำหรับชิปเซ็ต ✅ การผลิตในเกาหลีใต้ ➡️ โรงงาน Samsung จะเริ่มผลิตเต็มกำลังในปี 2026 ‼️ คำเตือนด้านการแข่งขัน ⛔ แม้จะใช้ 8nm แต่ยังตามหลังเทคโนโลยีขั้นสูงของ TSMC และ AMD ในบางส่วน ⛔ หากการผลิตไม่เป็นไปตามแผน อาจกระทบต่อการเปิดตัว Nova Lake และภาพลักษณ์ของ Intel https://www.tomshardware.com/pc-components/chipsets/samsung-eyed-up-for-huge-8nm-chip-order-from-intel-the-z990-chipset-for-nova-lake-cpus-could-be-intels-8nm-debut
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • Intel Battlemage GPU: หลักฐานใหม่ยืนยันชิป BMG-G31

    รายงานล่าสุดจาก Tom’s Hardware เผยว่า Intel กำลังเดินหน้าพัฒนา GPU รุ่นใหม่ในตระกูล Battlemage โดยมีการพบหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับชิป BMG-G31 ในซอฟต์แวร์ XPU Manager เวอร์ชันล่าสุด ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับตรวจสอบ GPU ของ Intel ในศูนย์ข้อมูล การปรากฏของรหัสชิปนี้บ่งชี้ว่า Intel กำลังทดสอบและเตรียมเปิดตัว GPU ขนาดใหญ่กว่ารุ่น Arc B580 ที่ใช้ชิป G21

    ข้อมูลจากการรั่วไหลและการอัปเดตไดรเวอร์โอเพนซอร์สชี้ว่า BMG-G31 อาจมี 32 Xe2/Xe cores, บัสหน่วยความจำ 256-bit และหน่วยความจำ GDDR6 อย่างน้อย 16GB พร้อมค่า TDP ที่อาจสูงถึง 300W หากเป็นรุ่นสำหรับเดสก์ท็อป สิ่งนี้ทำให้ Battlemage รุ่นใหม่ถูกคาดหวังว่าจะสามารถแข่งขันกับ GPU ระดับกลางของ Nvidia และ AMD ได้จริงในตลาด 1440p

    อย่างไรก็ตาม การผลิตชิปขนาดใหญ่เช่นนี้มีความเสี่ยงด้านต้นทุนและผลผลิตต่อเวเฟอร์ที่ต่ำลง ซึ่งอาจทำให้ Intel ต้องเผชิญกับความท้าทายในการตั้งราคาที่แข่งขันได้โดยไม่กระทบต่อกำไร นอกจากนี้ ความสำเร็จของ Battlemage จะขึ้นอยู่กับ ความสมบูรณ์ของไดรเวอร์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ Intel พยายามแก้ไขมาตลอดในรุ่นก่อนหน้า

    หาก Intel สามารถเปิดตัว Battlemage ได้ตามที่คาดการณ์ไว้ในปี 2026 จะเป็นการยกระดับความน่าเชื่อถือของแบรนด์ในตลาด GPU และอาจสร้างแรงกดดันต่อคู่แข่งที่ครองตลาดมานาน แต่หากการพัฒนาไม่เป็นไปตามเป้า ก็อาจทำให้ Intel สูญเสียโอกาสสำคัญในการสร้างฐานผู้ใช้ใหม่ในตลาดเกมและเวิร์กสเตชัน

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    การยืนยันชิป BMG-G31
    พบใน XPU Manager และไดรเวอร์โอเพนซอร์ส ยืนยันการพัฒนา Battlemage รุ่นใหม่

    สเปกที่คาดการณ์
    32 Xe2 cores, บัส 256-bit, GDDR6 16GB, TDP สูงสุด ~300W

    เป้าหมายตลาด
    แข่งขันกับ GPU ระดับกลางของ Nvidia และ AMD ในตลาด 1440p

    ความท้าทายด้านต้นทุน
    ชิปขนาดใหญ่ทำให้ผลผลิตต่อเวเฟอร์ต่ำลง กดดันการตั้งราคา

    คำเตือนด้านไดรเวอร์และการเปิดตัว
    ความสำเร็จขึ้นอยู่กับคุณภาพไดรเวอร์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ Intel ในอดีต
    หากเปิดตัวล่าช้าหรือไม่สามารถแข่งขันได้ อาจทำให้ Intel สูญเสียโอกาสในตลาด GPU

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/evidence-of-intels-big-battlemage-gpu-continues-to-mount-as-bmg-g31-chip-gets-another-official-confirmation
    🎮 Intel Battlemage GPU: หลักฐานใหม่ยืนยันชิป BMG-G31 รายงานล่าสุดจาก Tom’s Hardware เผยว่า Intel กำลังเดินหน้าพัฒนา GPU รุ่นใหม่ในตระกูล Battlemage โดยมีการพบหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับชิป BMG-G31 ในซอฟต์แวร์ XPU Manager เวอร์ชันล่าสุด ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับตรวจสอบ GPU ของ Intel ในศูนย์ข้อมูล การปรากฏของรหัสชิปนี้บ่งชี้ว่า Intel กำลังทดสอบและเตรียมเปิดตัว GPU ขนาดใหญ่กว่ารุ่น Arc B580 ที่ใช้ชิป G21 ข้อมูลจากการรั่วไหลและการอัปเดตไดรเวอร์โอเพนซอร์สชี้ว่า BMG-G31 อาจมี 32 Xe2/Xe cores, บัสหน่วยความจำ 256-bit และหน่วยความจำ GDDR6 อย่างน้อย 16GB พร้อมค่า TDP ที่อาจสูงถึง 300W หากเป็นรุ่นสำหรับเดสก์ท็อป สิ่งนี้ทำให้ Battlemage รุ่นใหม่ถูกคาดหวังว่าจะสามารถแข่งขันกับ GPU ระดับกลางของ Nvidia และ AMD ได้จริงในตลาด 1440p อย่างไรก็ตาม การผลิตชิปขนาดใหญ่เช่นนี้มีความเสี่ยงด้านต้นทุนและผลผลิตต่อเวเฟอร์ที่ต่ำลง ซึ่งอาจทำให้ Intel ต้องเผชิญกับความท้าทายในการตั้งราคาที่แข่งขันได้โดยไม่กระทบต่อกำไร นอกจากนี้ ความสำเร็จของ Battlemage จะขึ้นอยู่กับ ความสมบูรณ์ของไดรเวอร์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ Intel พยายามแก้ไขมาตลอดในรุ่นก่อนหน้า หาก Intel สามารถเปิดตัว Battlemage ได้ตามที่คาดการณ์ไว้ในปี 2026 จะเป็นการยกระดับความน่าเชื่อถือของแบรนด์ในตลาด GPU และอาจสร้างแรงกดดันต่อคู่แข่งที่ครองตลาดมานาน แต่หากการพัฒนาไม่เป็นไปตามเป้า ก็อาจทำให้ Intel สูญเสียโอกาสสำคัญในการสร้างฐานผู้ใช้ใหม่ในตลาดเกมและเวิร์กสเตชัน 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ การยืนยันชิป BMG-G31 ➡️ พบใน XPU Manager และไดรเวอร์โอเพนซอร์ส ยืนยันการพัฒนา Battlemage รุ่นใหม่ ✅ สเปกที่คาดการณ์ ➡️ 32 Xe2 cores, บัส 256-bit, GDDR6 16GB, TDP สูงสุด ~300W ✅ เป้าหมายตลาด ➡️ แข่งขันกับ GPU ระดับกลางของ Nvidia และ AMD ในตลาด 1440p ✅ ความท้าทายด้านต้นทุน ➡️ ชิปขนาดใหญ่ทำให้ผลผลิตต่อเวเฟอร์ต่ำลง กดดันการตั้งราคา ‼️ คำเตือนด้านไดรเวอร์และการเปิดตัว ⛔ ความสำเร็จขึ้นอยู่กับคุณภาพไดรเวอร์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ Intel ในอดีต ⛔ หากเปิดตัวล่าช้าหรือไม่สามารถแข่งขันได้ อาจทำให้ Intel สูญเสียโอกาสในตลาด GPU https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/evidence-of-intels-big-battlemage-gpu-continues-to-mount-as-bmg-g31-chip-gets-another-official-confirmation
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Evidence of Intel's 'Big Battlemage' GPU continues to mount, as BMG-G31 chip gets another official confirmation
    The XPU Manager tool is for monitoring Intel's datacenter GPUs, meaning it's very likely these parts are coming soon.
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • AI ใช้พลังงานและน้ำมากกว่า Bitcoin Mining

    รายงานจาก Alex de Vries-Gao นักวิจัยจาก VU Amsterdam Institute for Environmental Studies ระบุว่า ความต้องการพลังงานของ AI อาจสูงถึง 23 กิกะวัตต์ในปี 2025 ซึ่งมากกว่าการใช้พลังงานของ Bitcoin mining ทั้งปี 2024 นอกจากนี้ยังคาดว่า AI จะใช้น้ำระหว่าง 312.5 ถึง 764.6 พันล้านลิตร สำหรับการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล เทียบเท่ากับปริมาณน้ำดื่มบรรจุขวดที่คนทั้งโลกบริโภคในหนึ่งปี

    แม้ตัวเลขเหล่านี้จะเป็นการประมาณ แต่ก็สะท้อนถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของศูนย์ข้อมูล AI ที่ต้องใช้พลังงานและน้ำจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ไม่เปิดเผยข้อมูลการใช้ทรัพยากรจริงในรายงานความยั่งยืน ทำให้การประเมินต้องอาศัยการคาดการณ์จากข้อมูลการลงทุนและการติดตั้งฮาร์ดแวร์

    ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมยังรวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงมาก โดยคาดว่า AI อาจสร้างคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 56 ล้านตันต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศสิงคโปร์ทั้งประเทศในปี 2022 นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่าที่รายงาน เนื่องจากไม่ได้รวมผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทาน เช่น การขุดแร่ การผลิตชิป และการกำจัดอุปกรณ์

    นักการเมืองในสหรัฐฯ เริ่มแสดงความกังวลต่อการใช้ทรัพยากรของ AI โดยมีการเรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและน้ำอย่างละเอียด รวมถึงข้อเสนอให้ชะลอการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    การใช้พลังงานของ AI
    คาดว่าจะสูงถึง 23GW ในปี 2025 มากกว่า Bitcoin mining ปี 2024

    การใช้น้ำเพื่อระบายความร้อน
    อยู่ระหว่าง 312.5–764.6 พันล้านลิตร เทียบเท่าน้ำดื่มบรรจุขวดที่คนทั้งโลกบริโภค

    การปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    เฉลี่ย 56 ล้านตันต่อปี ใกล้เคียงกับการปล่อยของประเทศสิงคโปร์ในปี 2022

    ความโปร่งใสของบริษัทเทคโนโลยี
    ยังไม่เปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและน้ำในรายงานความยั่งยืน

    คำเตือนด้านสิ่งแวดล้อม
    ตัวเลขจริงอาจสูงกว่าที่รายงาน เนื่องจากไม่ได้รวมผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทาน
    การขยายศูนย์ข้อมูล AI อาจกระทบต่อทรัพยากรน้ำและพลังงานของประชาชนในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-surpasses-2024-bitcoin-mining-in-energy-usage-uses-more-h20-than-the-bottles-of-water-people-drink-globally-study-claims-says-ai-demand-could-hit-23gw-and-up-to-764-billion-liters-of-water-in-2025
    ⚡ AI ใช้พลังงานและน้ำมากกว่า Bitcoin Mining รายงานจาก Alex de Vries-Gao นักวิจัยจาก VU Amsterdam Institute for Environmental Studies ระบุว่า ความต้องการพลังงานของ AI อาจสูงถึง 23 กิกะวัตต์ในปี 2025 ซึ่งมากกว่าการใช้พลังงานของ Bitcoin mining ทั้งปี 2024 นอกจากนี้ยังคาดว่า AI จะใช้น้ำระหว่าง 312.5 ถึง 764.6 พันล้านลิตร สำหรับการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล เทียบเท่ากับปริมาณน้ำดื่มบรรจุขวดที่คนทั้งโลกบริโภคในหนึ่งปี แม้ตัวเลขเหล่านี้จะเป็นการประมาณ แต่ก็สะท้อนถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของศูนย์ข้อมูล AI ที่ต้องใช้พลังงานและน้ำจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ไม่เปิดเผยข้อมูลการใช้ทรัพยากรจริงในรายงานความยั่งยืน ทำให้การประเมินต้องอาศัยการคาดการณ์จากข้อมูลการลงทุนและการติดตั้งฮาร์ดแวร์ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมยังรวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงมาก โดยคาดว่า AI อาจสร้างคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 56 ล้านตันต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศสิงคโปร์ทั้งประเทศในปี 2022 นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่าที่รายงาน เนื่องจากไม่ได้รวมผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทาน เช่น การขุดแร่ การผลิตชิป และการกำจัดอุปกรณ์ นักการเมืองในสหรัฐฯ เริ่มแสดงความกังวลต่อการใช้ทรัพยากรของ AI โดยมีการเรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและน้ำอย่างละเอียด รวมถึงข้อเสนอให้ชะลอการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ การใช้พลังงานของ AI ➡️ คาดว่าจะสูงถึง 23GW ในปี 2025 มากกว่า Bitcoin mining ปี 2024 ✅ การใช้น้ำเพื่อระบายความร้อน ➡️ อยู่ระหว่าง 312.5–764.6 พันล้านลิตร เทียบเท่าน้ำดื่มบรรจุขวดที่คนทั้งโลกบริโภค ✅ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ➡️ เฉลี่ย 56 ล้านตันต่อปี ใกล้เคียงกับการปล่อยของประเทศสิงคโปร์ในปี 2022 ✅ ความโปร่งใสของบริษัทเทคโนโลยี ➡️ ยังไม่เปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและน้ำในรายงานความยั่งยืน ‼️ คำเตือนด้านสิ่งแวดล้อม ⛔ ตัวเลขจริงอาจสูงกว่าที่รายงาน เนื่องจากไม่ได้รวมผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทาน ⛔ การขยายศูนย์ข้อมูล AI อาจกระทบต่อทรัพยากรน้ำและพลังงานของประชาชนในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-surpasses-2024-bitcoin-mining-in-energy-usage-uses-more-h20-than-the-bottles-of-water-people-drink-globally-study-claims-says-ai-demand-could-hit-23gw-and-up-to-764-billion-liters-of-water-in-2025
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • จีนกับความพยายาม Reverse Engineering เครื่อง EUV Lithography

    รายงานจาก Reuters และ Tom’s Hardware ระบุว่า จีนได้ตั้งห้องแล็บลับในเซินเจิ้นเพื่อสร้างเครื่อง EUV Lithography ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผลิตชิปที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก โดยอ้างว่าใช้วิธี Reverse Engineering จากเครื่องของ ASML บริษัทเนเธอร์แลนด์ที่เป็นผู้ผลิตรายเดียวในโลกที่สามารถทำเครื่อง EUV ได้สำเร็จ ปัจจุบันเครื่องต้นแบบของจีนสามารถสร้างแสง EUV ที่ความยาวคลื่น 13.5 นาโนเมตรได้ แต่ยังไม่สามารถใช้ผลิตชิปเชิงพาณิชย์ได้

    เครื่องดังกล่าวใช้วิธี Laser-Produced Plasma (LPP) เช่นเดียวกับ ASML โดยยิงเลเซอร์ไปที่หยดดีบุกขนาดไมครอนเพื่อสร้างพลาสมาที่ปล่อยแสง EUV อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักอยู่ที่ระบบออปติกที่ซับซ้อนมาก เช่น กระจกสะท้อนที่เคลือบด้วยชั้น Mo/Si และระบบ Projection Optics ที่ต้องการความแม่นยำระดับนาโนเมตร ซึ่งจีนยังไม่สามารถทำได้สมบูรณ์

    รัฐบาลจีนตั้งเป้าว่าจะมีต้นแบบที่สามารถผลิตชิปได้ภายในปี 2028 แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าความเป็นจริงอาจต้องรอถึงปี 2030 หรือหลังจากนั้น เนื่องจากการสร้างเครื่อง EUV ต้องอาศัยการบูรณาการมากกว่า 100,000 ชิ้นส่วน และความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา ซึ่งปัจจุบันจีนยังต้องพึ่งพาอดีตวิศวกรจาก ASML และนักวิจัยมหาวิทยาลัยที่เพิ่งจบใหม่

    หากจีนสามารถพัฒนาเครื่อง EUV ได้สำเร็จ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เพราะปัจจุบันจีนถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีนี้จากมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐและพันธมิตร แต่ในทางกลับกัน หากยังไม่สามารถแก้ปัญหาด้านออปติกและระบบกลไกได้ ความพยายามนี้อาจกลายเป็นเพียงการทดลองที่ไม่สามารถใช้จริงในเชิงพาณิชย์

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    การสร้างเครื่อง EUV ในจีน
    ห้องแล็บลับในเซินเจิ้นสร้างเครื่องต้นแบบที่สามารถผลิตแสง EUV ได้แล้ว

    เทคนิคที่ใช้
    ใช้วิธี Laser-Produced Plasma (LPP) เช่นเดียวกับ ASML

    เป้าหมายรัฐบาลจีน
    ต้องการให้มีต้นแบบที่ผลิตชิปได้ภายในปี 2028 แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าอาจช้ากว่านั้น

    ความท้าทายด้านเทคนิค
    ระบบออปติกและกลไกที่ซับซ้อนยังไม่สามารถทำงานได้สมบูรณ์

    คำเตือนด้านความเป็นจริง
    การสร้างเครื่อง EUV ต้องใช้มากกว่า 100,000 ชิ้นส่วนและความแม่นยำระดับนาโนเมตร ซึ่งจีนยังไม่สามารถทำได้
    แม้จะมีความก้าวหน้า แต่ยังไม่สามารถผลิตชิปเชิงพาณิชย์ได้ในระยะสั้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-may-have-reverse-engineered-euv-lithography-tool-in-covert-lab-report-claims-employees-given-fake-ids-to-avoid-secret-project-being-detected-prototypes-expected-in-2028
    🔬 จีนกับความพยายาม Reverse Engineering เครื่อง EUV Lithography รายงานจาก Reuters และ Tom’s Hardware ระบุว่า จีนได้ตั้งห้องแล็บลับในเซินเจิ้นเพื่อสร้างเครื่อง EUV Lithography ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผลิตชิปที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก โดยอ้างว่าใช้วิธี Reverse Engineering จากเครื่องของ ASML บริษัทเนเธอร์แลนด์ที่เป็นผู้ผลิตรายเดียวในโลกที่สามารถทำเครื่อง EUV ได้สำเร็จ ปัจจุบันเครื่องต้นแบบของจีนสามารถสร้างแสง EUV ที่ความยาวคลื่น 13.5 นาโนเมตรได้ แต่ยังไม่สามารถใช้ผลิตชิปเชิงพาณิชย์ได้ เครื่องดังกล่าวใช้วิธี Laser-Produced Plasma (LPP) เช่นเดียวกับ ASML โดยยิงเลเซอร์ไปที่หยดดีบุกขนาดไมครอนเพื่อสร้างพลาสมาที่ปล่อยแสง EUV อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักอยู่ที่ระบบออปติกที่ซับซ้อนมาก เช่น กระจกสะท้อนที่เคลือบด้วยชั้น Mo/Si และระบบ Projection Optics ที่ต้องการความแม่นยำระดับนาโนเมตร ซึ่งจีนยังไม่สามารถทำได้สมบูรณ์ รัฐบาลจีนตั้งเป้าว่าจะมีต้นแบบที่สามารถผลิตชิปได้ภายในปี 2028 แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าความเป็นจริงอาจต้องรอถึงปี 2030 หรือหลังจากนั้น เนื่องจากการสร้างเครื่อง EUV ต้องอาศัยการบูรณาการมากกว่า 100,000 ชิ้นส่วน และความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา ซึ่งปัจจุบันจีนยังต้องพึ่งพาอดีตวิศวกรจาก ASML และนักวิจัยมหาวิทยาลัยที่เพิ่งจบใหม่ หากจีนสามารถพัฒนาเครื่อง EUV ได้สำเร็จ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เพราะปัจจุบันจีนถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีนี้จากมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐและพันธมิตร แต่ในทางกลับกัน หากยังไม่สามารถแก้ปัญหาด้านออปติกและระบบกลไกได้ ความพยายามนี้อาจกลายเป็นเพียงการทดลองที่ไม่สามารถใช้จริงในเชิงพาณิชย์ 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ การสร้างเครื่อง EUV ในจีน ➡️ ห้องแล็บลับในเซินเจิ้นสร้างเครื่องต้นแบบที่สามารถผลิตแสง EUV ได้แล้ว ✅ เทคนิคที่ใช้ ➡️ ใช้วิธี Laser-Produced Plasma (LPP) เช่นเดียวกับ ASML ✅ เป้าหมายรัฐบาลจีน ➡️ ต้องการให้มีต้นแบบที่ผลิตชิปได้ภายในปี 2028 แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าอาจช้ากว่านั้น ✅ ความท้าทายด้านเทคนิค ➡️ ระบบออปติกและกลไกที่ซับซ้อนยังไม่สามารถทำงานได้สมบูรณ์ ‼️ คำเตือนด้านความเป็นจริง ⛔ การสร้างเครื่อง EUV ต้องใช้มากกว่า 100,000 ชิ้นส่วนและความแม่นยำระดับนาโนเมตร ซึ่งจีนยังไม่สามารถทำได้ ⛔ แม้จะมีความก้าวหน้า แต่ยังไม่สามารถผลิตชิปเชิงพาณิชย์ได้ในระยะสั้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-may-have-reverse-engineered-euv-lithography-tool-in-covert-lab-report-claims-employees-given-fake-ids-to-avoid-secret-project-being-detected-prototypes-expected-in-2028
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • วิกฤติหน่วยความจำ: Micron เตือน DRAM ขาดตลาดยาวถึงปี 2026

    Micron รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปีงบประมาณ 2026 พร้อมยืนยันว่าแม้จะปิดแบรนด์ Crucial ไปแล้ว แต่ความต้องการ DRAM และ NAND ยังคงสูงมาก โดยเฉพาะจากศูนย์ข้อมูล AI ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว บริษัททำรายได้สูงถึง 13.64 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 57% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ก็ยอมรับว่าจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้เต็มที่ และคาดว่าการขาดแคลนจะยืดเยื้อต่อไปหลังปี 2026

    หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการเติบโตของ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งใช้พื้นที่เวเฟอร์มากกว่า DDR5 ถึงสามเท่า ทำให้ทรัพยากรการผลิตตึงตัวมากขึ้น Micron คาดว่าตลาด HBM จะมีมูลค่าถึง 100 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 ซึ่งจะกลายเป็นตลาดใหญ่กว่าทั้ง DRAM ในปี 2024 การแข่งขันด้านการผลิตจึงเข้มข้นขึ้น และผู้ผลิตหลายรายเริ่มทำสัญญาระยะยาวเพื่อรักษาซัพพลาย

    Micron กำลังลงทุนสร้างโรงงานใหม่ในไอดาโฮและนิวยอร์ก โดยโรงงานแรกจะเริ่มผลิตกลางปี 2027 ส่วนอีกแห่งจะเริ่มก่อสร้างในปี 2026 และคาดว่าจะผลิตจริงราวปี 2030 อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการขยายกำลังผลิต บริษัทก็ยังคาดว่าจะสามารถตอบสนองได้เพียงครึ่งถึงสองในสามของความต้องการลูกค้าหลักเท่านั้น

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคเริ่มเห็นชัดเจนแล้ว ราคาของ DDR5 พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตบางรายเช่น Kingston เตือนว่าราคาจะยังคงปรับขึ้น ส่วน Sapphire คาดว่าราคาจะเริ่มทรงตัวในอีก 6–8 เดือน แต่ก็อาจไม่ใช่ระดับราคาที่ผู้ใช้ต้องการ นอกจากนี้ยังมีปัญหาสินค้าปลอมและการฉ้อโกงในตลาดออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นตามแรงกดดันของราคา

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    ผลประกอบการ Micron
    รายได้ไตรมาสแรกปีงบประมาณ 2026 สูงถึง 13.64 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 57%

    การขาดแคลน DRAM ต่อเนื่อง
    Micron คาดว่าปัญหาจะยืดเยื้อไปหลังปี 2026 และตอบสนองได้เพียง 50–66% ของความต้องการ

    การเติบโตของตลาด HBM
    ใช้พื้นที่เวเฟอร์มากกว่า DDR5 ถึง 3 เท่า และคาดว่ามูลค่าตลาดจะถึง 100 พันล้านดอลลาร์ในปี 2028

    การลงทุนโรงงานใหม่
    โรงงานในไอดาโฮจะเริ่มผลิตปี 2027 และโรงงานนิวยอร์กคาดว่าจะผลิตจริงราวปี 2030

    ผลกระทบต่อผู้บริโภค
    ราคาของ DDR5 พุ่งสูงขึ้น และผู้ผลิตบางรายเตือนว่าราคาจะยังคงเพิ่มต่อไป

    คำเตือนด้านราคาและตลาด
    ราคาหน่วยความจำอาจไม่กลับไปสู่ระดับที่ผู้ใช้คาดหวัง แม้จะเริ่มทรงตัว
    ความเสี่ยงจากสินค้าปลอมและการฉ้อโกงออนไลน์เพิ่มขึ้นตามแรงกดดันของราคา

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/micron-outlines-grim-outlook-for-dram-supply-in-first-earnings-call-since-killing-crucial-memory-and-ssd-brand-ceo-says-it-can-only-meet-half-to-two-thirds-of-demand
    🖥️ วิกฤติหน่วยความจำ: Micron เตือน DRAM ขาดตลาดยาวถึงปี 2026 Micron รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปีงบประมาณ 2026 พร้อมยืนยันว่าแม้จะปิดแบรนด์ Crucial ไปแล้ว แต่ความต้องการ DRAM และ NAND ยังคงสูงมาก โดยเฉพาะจากศูนย์ข้อมูล AI ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว บริษัททำรายได้สูงถึง 13.64 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 57% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ก็ยอมรับว่าจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้เต็มที่ และคาดว่าการขาดแคลนจะยืดเยื้อต่อไปหลังปี 2026 หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการเติบโตของ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งใช้พื้นที่เวเฟอร์มากกว่า DDR5 ถึงสามเท่า ทำให้ทรัพยากรการผลิตตึงตัวมากขึ้น Micron คาดว่าตลาด HBM จะมีมูลค่าถึง 100 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 ซึ่งจะกลายเป็นตลาดใหญ่กว่าทั้ง DRAM ในปี 2024 การแข่งขันด้านการผลิตจึงเข้มข้นขึ้น และผู้ผลิตหลายรายเริ่มทำสัญญาระยะยาวเพื่อรักษาซัพพลาย Micron กำลังลงทุนสร้างโรงงานใหม่ในไอดาโฮและนิวยอร์ก โดยโรงงานแรกจะเริ่มผลิตกลางปี 2027 ส่วนอีกแห่งจะเริ่มก่อสร้างในปี 2026 และคาดว่าจะผลิตจริงราวปี 2030 อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการขยายกำลังผลิต บริษัทก็ยังคาดว่าจะสามารถตอบสนองได้เพียงครึ่งถึงสองในสามของความต้องการลูกค้าหลักเท่านั้น ผลกระทบต่อผู้บริโภคเริ่มเห็นชัดเจนแล้ว ราคาของ DDR5 พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตบางรายเช่น Kingston เตือนว่าราคาจะยังคงปรับขึ้น ส่วน Sapphire คาดว่าราคาจะเริ่มทรงตัวในอีก 6–8 เดือน แต่ก็อาจไม่ใช่ระดับราคาที่ผู้ใช้ต้องการ นอกจากนี้ยังมีปัญหาสินค้าปลอมและการฉ้อโกงในตลาดออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นตามแรงกดดันของราคา 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ ผลประกอบการ Micron ➡️ รายได้ไตรมาสแรกปีงบประมาณ 2026 สูงถึง 13.64 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 57% ✅ การขาดแคลน DRAM ต่อเนื่อง ➡️ Micron คาดว่าปัญหาจะยืดเยื้อไปหลังปี 2026 และตอบสนองได้เพียง 50–66% ของความต้องการ ✅ การเติบโตของตลาด HBM ➡️ ใช้พื้นที่เวเฟอร์มากกว่า DDR5 ถึง 3 เท่า และคาดว่ามูลค่าตลาดจะถึง 100 พันล้านดอลลาร์ในปี 2028 ✅ การลงทุนโรงงานใหม่ ➡️ โรงงานในไอดาโฮจะเริ่มผลิตปี 2027 และโรงงานนิวยอร์กคาดว่าจะผลิตจริงราวปี 2030 ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภค ➡️ ราคาของ DDR5 พุ่งสูงขึ้น และผู้ผลิตบางรายเตือนว่าราคาจะยังคงเพิ่มต่อไป ‼️ คำเตือนด้านราคาและตลาด ⛔ ราคาหน่วยความจำอาจไม่กลับไปสู่ระดับที่ผู้ใช้คาดหวัง แม้จะเริ่มทรงตัว ⛔ ความเสี่ยงจากสินค้าปลอมและการฉ้อโกงออนไลน์เพิ่มขึ้นตามแรงกดดันของราคา https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/micron-outlines-grim-outlook-for-dram-supply-in-first-earnings-call-since-killing-crucial-memory-and-ssd-brand-ceo-says-it-can-only-meet-half-to-two-thirds-of-demand
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • Astral เปิดตัว ty – Type Checker ที่เร็วที่สุดสำหรับ Python

    Astral ผู้พัฒนาเครื่องมือดังอย่าง uv (package manager) และ Ruff (linter/formatter) ประกาศเปิดตัว ty ในสถานะ Beta รุ่นใหม่ที่ถูกออกแบบมาเป็น extremely fast Python type checker และ language server เขียนด้วย Rust เพื่อเป็นทางเลือกแทน mypy, Pyright และ Pylance โดยทีมงานยืนยันว่าได้ใช้ ty ในโปรเจกต์จริงแล้ว และพร้อมแนะนำให้ผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงนำไปใช้ใน production.

    จุดเด่นของ ty คือ ความเร็วเหนือชั้น โดยไม่ใช้ caching ก็ยังเร็วกว่า mypy และ Pyright ถึง 10–60 เท่า และเมื่อใช้งานใน editor ความต่างยิ่งชัดเจน เช่น การแก้ไขไฟล์สำคัญใน PyTorch repository ty ใช้เวลาเพียง 4.7ms ในการ recompute diagnostics เทียบกับ Pyright ที่ใช้ 386ms และ Pyrefly ที่ใช้ 2.38 วินาที นั่นหมายถึงการตอบสนองแบบ real-time ที่แทบไม่สะดุดสำหรับนักพัฒนา.

    นอกจากความเร็วแล้ว ty ยังมาพร้อม ฟีเจอร์เชิงทฤษฎีขั้นสูง เช่น intersection types, type narrowing และ reachability analysis ที่ช่วยลด false positives และให้ feedback ที่แม่นยำกว่าเดิม ระบบ diagnostic ได้แรงบันดาลใจจาก Rust compiler โดยสามารถอธิบายปัญหาแบบ cross-file และเสนอแนวทางแก้ไข ทำให้ผู้ใช้เข้าใจได้ทั้ง “อะไรผิด” และ “ทำไมผิด”.

    ty รองรับ Language Server Protocol เต็มรูปแบบ เช่น Go to Definition, Auto-Complete, Semantic Highlighting และ Inlay Hints พร้อม extension สำหรับ VS Code และ Cursor ทีม Astral ตั้งเป้าออก Stable release ในปีหน้า โดยจะเพิ่มการรองรับ third-party libraries อย่าง Pydantic และ Django รวมถึงฟีเจอร์เชิง semantic เช่น dead code elimination, CVE reachability analysis และ type-aware linting เพื่อผลักดัน Python ให้เป็น ecosystem ที่ productive ที่สุด.

    สรุปเป็นหัวข้อ
    เปิดตัว ty Beta โดย Astral
    เขียนด้วย Rust เป็นทางเลือกแทน mypy, Pyright, Pylance
    ใช้งานจริงแล้วในโปรเจกต์ของทีม Astral

    ความเร็วเหนือคู่แข่ง
    เร็วกว่า mypy และ Pyright 10–60 เท่า
    Recompute diagnostics ใน PyTorch repository เพียง 4.7ms

    ฟีเจอร์เชิงทฤษฎีและระบบ Diagnostic
    Intersection types, type narrowing, reachability analysis
    Diagnostic อธิบายปัญหาแบบ cross-file พร้อมแนวทางแก้ไข

    รองรับการใช้งานใน Editor และ Ecosystem
    รองรับ LSP เต็มรูปแบบ (Auto-Complete, Go to Definition ฯลฯ)
    เตรียมเพิ่มการรองรับ Pydantic, Django และฟีเจอร์ semantic อื่น ๆ

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    ยังอยู่ในสถานะ Beta อาจมีบั๊กและต้องการเสถียรภาพเพิ่ม
    การใช้งานกับ third-party libraries ยังไม่สมบูรณ์ ต้องรอ Stable release

    https://astral.sh/blog/ty
    🚀 Astral เปิดตัว ty – Type Checker ที่เร็วที่สุดสำหรับ Python Astral ผู้พัฒนาเครื่องมือดังอย่าง uv (package manager) และ Ruff (linter/formatter) ประกาศเปิดตัว ty ในสถานะ Beta รุ่นใหม่ที่ถูกออกแบบมาเป็น extremely fast Python type checker และ language server เขียนด้วย Rust เพื่อเป็นทางเลือกแทน mypy, Pyright และ Pylance โดยทีมงานยืนยันว่าได้ใช้ ty ในโปรเจกต์จริงแล้ว และพร้อมแนะนำให้ผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงนำไปใช้ใน production. จุดเด่นของ ty คือ ความเร็วเหนือชั้น โดยไม่ใช้ caching ก็ยังเร็วกว่า mypy และ Pyright ถึง 10–60 เท่า และเมื่อใช้งานใน editor ความต่างยิ่งชัดเจน เช่น การแก้ไขไฟล์สำคัญใน PyTorch repository ty ใช้เวลาเพียง 4.7ms ในการ recompute diagnostics เทียบกับ Pyright ที่ใช้ 386ms และ Pyrefly ที่ใช้ 2.38 วินาที นั่นหมายถึงการตอบสนองแบบ real-time ที่แทบไม่สะดุดสำหรับนักพัฒนา. นอกจากความเร็วแล้ว ty ยังมาพร้อม ฟีเจอร์เชิงทฤษฎีขั้นสูง เช่น intersection types, type narrowing และ reachability analysis ที่ช่วยลด false positives และให้ feedback ที่แม่นยำกว่าเดิม ระบบ diagnostic ได้แรงบันดาลใจจาก Rust compiler โดยสามารถอธิบายปัญหาแบบ cross-file และเสนอแนวทางแก้ไข ทำให้ผู้ใช้เข้าใจได้ทั้ง “อะไรผิด” และ “ทำไมผิด”. ty รองรับ Language Server Protocol เต็มรูปแบบ เช่น Go to Definition, Auto-Complete, Semantic Highlighting และ Inlay Hints พร้อม extension สำหรับ VS Code และ Cursor ทีม Astral ตั้งเป้าออก Stable release ในปีหน้า โดยจะเพิ่มการรองรับ third-party libraries อย่าง Pydantic และ Django รวมถึงฟีเจอร์เชิง semantic เช่น dead code elimination, CVE reachability analysis และ type-aware linting เพื่อผลักดัน Python ให้เป็น ecosystem ที่ productive ที่สุด. 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ เปิดตัว ty Beta โดย Astral ➡️ เขียนด้วย Rust เป็นทางเลือกแทน mypy, Pyright, Pylance ➡️ ใช้งานจริงแล้วในโปรเจกต์ของทีม Astral ✅ ความเร็วเหนือคู่แข่ง ➡️ เร็วกว่า mypy และ Pyright 10–60 เท่า ➡️ Recompute diagnostics ใน PyTorch repository เพียง 4.7ms ✅ ฟีเจอร์เชิงทฤษฎีและระบบ Diagnostic ➡️ Intersection types, type narrowing, reachability analysis ➡️ Diagnostic อธิบายปัญหาแบบ cross-file พร้อมแนวทางแก้ไข ✅ รองรับการใช้งานใน Editor และ Ecosystem ➡️ รองรับ LSP เต็มรูปแบบ (Auto-Complete, Go to Definition ฯลฯ) ➡️ เตรียมเพิ่มการรองรับ Pydantic, Django และฟีเจอร์ semantic อื่น ๆ ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ ยังอยู่ในสถานะ Beta อาจมีบั๊กและต้องการเสถียรภาพเพิ่ม ⛔ การใช้งานกับ third-party libraries ยังไม่สมบูรณ์ ต้องรอ Stable release https://astral.sh/blog/ty
    ASTRAL.SH
    ty: An extremely fast Python type checker and language server
    ty is an extremely fast Python type checker and language server, written in Rust, and designed as an alternative to mypy, Pyright, and Pylance.
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 7

    “ข่าวลือ ข่าวลวง”
    ตอน 7
    อเมริกาบอกว่า อิสลามกลุ่มวะฮาบีของซาอุดิอารเบีย เป็นอิสลามนิกายสุนนี ที่เคร่งครัดที่สุดในภูมิภาค แต่บัดนี้ กลับมีพวกเคร่งศาสนาอย่างสุดขั้ว ที่ไม่ยอมรับและเกลียดชาวต่างชาติ รุนแรงกว่าพวกวะฮาบี โผล่ขึ้นมาอีก คือ พวกรัฐอิสลาม Islamic State หรือที่เรารู้จักพวกเขาในชื่อ IS พวกนี้ก่อตัวขึ้นในอิรัค และซีเรียในช่วงปี ค.ศ.2014 เป็นกลุ่มใหม่ที่ออกมาท้าทายโลก และอเมริกาเหน็บว่า ดูเหมือนจะท้าทายโครงการฟื้นฟูผู้ก่อการร้ายของ เจ้าชาย บิน นาเยฟ เสียด้วยซ้ำ
    กลุ่ม IS นี้ มีรากมาจากพวกอัลไคดาในเมโสโปเตเมีย (อาณาจักรออโตมานเดิม) และดำดินแอบอยู่เมื่อตอนที่อเมริกาบุกอิรัค ในช่วงปี ค.ศ.2007 จนเมื่ออเมริกาถอยกองกำลังต่างชาติออกไป พวก IS จึงโผล่ขึ้นมาและมีประโคมข่าวการปรากฏตัวของพวกเขาน่าดู
    ในช่วงปี ค.ศ.2012- 2013 พวก IS บุกเข้าไปทลายคุกในอิรัก ที่พวกผู้ก่อการร้ายอัลไคดาถูกคุมขังอยู่ หลังจากคุกแตก ก็มีการรวมตัวมาสร้างฐานใหม่ ขยายออกมาทางซีเรีย
    ในช่วงหน้าร้อนของปี ค.ศ.2014 กลุ่ม IS บุกอย่างรวดเร็ว แบบสายฟ้าแลบ เข้าไปยึดเมืองโมซุล Mosul เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอิรัคได้ และตั้งเป็นรัฐที่มีผู้นำทางศาสนาเป็นผู้ปกครอง caliphate เพื่อปกครองอิสลามทั้งปวง (และเมืองนี้ ก็เป็นเมืองที่มีน้ำมันมากที่สุดเมืองหนึ่งของอิรัค อันนี้ผมเพิ่มเติมให้ เพราะเห็นใบตองแห้งทำเป็นลืมใส่ เรื่องสำคัญ)
    ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2014 กลุ่ม IS ประกาศว่าพวกเขาจะยึดมัสยิดต่างๆ ในนครเมกกะและเมดินา และจะขับไล่พวกราชวงศ์ซาอูด ออกไปให้หมด
    หลังจากนั้น สื่อตะวันตกลงภาพวิหารกะบะห์ Kaaba ในนครเมกกะ ที่มีธงสีดำของกลุ่ม IS ที่โบกไสวอยู่ด้านบน กองกำลังของกลุ่ม IS ยังโจมตีด่านป้องกันของซาอุดิอารเบียมาตลอดแนวเขตแดนอิรัค และยังส่งนักรบพลีชีพเข้าไปโจมตีมัสยิดของพวกชีอะ ที่อยู่ในซาอุอิอารเบียอีกด้วย เพื่อให้ทั้ง 2 นิกายตีกันเองอีกต่อหนึ่ง
    บิน นาเยฟ ในฐานะรัฐมนตรีมหาดไทย ได้จับกุมกลุ่ม IS ได้หลายร้อยคน และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กลุ่ม IS บุกเข้ามาในซาอุดิอารเบีย บิน นาเยฟ ให้สร้างรั้วยาว 600 ไมล์ ตลอดแนวเขตแดน ระหว่างซาอุดิอารเบียกับอิรัค เช่นเดียวกับที่สร้างรั้วกั้นแนวเขต ระหว่างซาอุดิอารเบียกับเยเมน ยาว 1 พันไมล์ เพื่อกันให้อัลไคดาออกไปจากคาบสมุทรอารเบีย
    …อ่านเผินๆ เหมือน อเมริกาจะชมวิธีวิธีการปราบ IS ของซาอุดิอารเบีย แต่ อ่านอีกที น่าจะตรงข้ามกันมากกว่า….
    ระหว่างที่ยังครองราชย์ กษัตริย์อับดุลลาห์ (ที่สิ้นพระชนม์เมื่อเดือนมกราคม ต้นปี ค.ศ.2015) ได้ตั้งน้องต่างมารดา เป็นมงกุฎราชกุมารไป แล้ว 2 คน คือ เจ้าชายสุลต่าน และเจ้าชายนาเยฟ the Black Prince แต่ปรากฏว่า ทั้ง 2 คน กลับสิ้นพระชนม์ก่อนกษัตริย์อับดุลลาห์เสียอีก กษัตริย์ิอับดุลลาห์ จึงตั้งเจ้าชายมุคริน น้องต่าง มารดาอีกคน ขึ้นเป็นมงกุฏราชกุมาร ลำดับที่ 2 ในปี ค.ศ.2012 ต่อจากมงกุฏราชกุมารลำดับที่ 1 คือ เจ้าชายซาลมาน
    ในความเข้าใจของอเมริกา เจ้าชายมุคริน ค่อนข้างใกล้ชิดกับกษัตริยอับดุลลาห์ และเป็นแนวร่วมในการคิดปฏิรูปประเทศเช่นเดียวกัน
    เมื่อเจ้าชายซาลมาน ขึ้นครองราชย์เมื่อเดือนมกราคม ต้นปีนี้ (2015) ก็ตั้ง เจ้าชามุคริน เป็นมงกุฏราชกุมาร ลำดับที่ 1 และแต่งตั้งเจ้าชาย บิน นาเยฟ เป็นมงกุฏราชกุมารลำดับที่ 2 และมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี เป็นที่คาดหมายกันว่า เจ้าชายมุคริน ลูกชายคนที่ 35 ของ อิบน์ ซาอูด จะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อไป และนำประเทศสู่ยุคใหม่ จากรุ่นลูก สู่รุ่นหลาน
    แต่แล้วก็มีข่าวเกี่ยวกับราชวงศ์ซาอูดเกิดขึ้น ที่ทำให้ทั้งในตะวันออกกลางและในตะวันตก โดยเฉพาะที่วอชิงตัน สั่นเสทือนอย่างไม่เคยมีมาก่อน
    เช้ามืดของวันที่ 29 เมษายน ค.ศ.2015 กษัตริย์ซาลมานประกาศปลดเจ้าชายมุคริน ออกจากตำแหน่งมงกุฏราชกุมารลำดับที่ 1 และแต่งตั้งให้เจ้าชาย บิน นาเยฟ ขึ้นเป็นมงกุฏราชกุมารลำดับที่ 1 แทน และแต่งตั้งลูกชายตนเอง เจ้าชาย มูฮะหมัด บิน ซาลมาน เป็นมงกุฏราชกุมารลำดับที่ 2
    นี่เป็นครั้งแรก ที่มีการปลดมงกุฏราชกุมาร และโดยไม่มีการบอกเหตุผล
    อเมริกาให้ความสนใจรายการแต่งตั้งนี้มาก เพราะ บิน นาเยฟ มงกุฏราชกุมารลำดับที่ 1 ไม่มีลูกชาย มีแต่ลูกสาว 2 คน และ บิน ซาลมาน ก็อายุยังไม่ถึง 30 บิน ซาลมาน จึง มีโอกาสสูงมาก ที่จะเป็นกษัตริย์คนต่อไป และมีคนคาดการเอาไว้แล้วด้วยซ้ำว่า ไม่แน่หรอกว่า บิน นาเยฟ จะได้ขึ้นครองราชย์ แม้จะเป็นลำดับ 1 วันใดวันหนึ่งเขาก็อาจถูกปลดได้ เพื่อให้แน่ใจ บิน ซาลมาน จะได้ขึ้นมาครองราชย์แน่นอน … เสี้ยมล่วงหน้าเลยนะพี่..
    เจ้าชาย บิน ซาลมาน หรือที่อเมริกาเรียกว่า MBS ละอ่อนวัยไม่ถึง 30 ไม่เป็นที่ปลื้มของญาติพี่น้องด้วยกัน เพราะเขาว่ากันว่า มีนิสัยโหด ยะโส โอหัง นอกจากนี้ บินซาลมาน ยังได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลนโยบายน้ำมัน ที่เขาไม่มีประสพการณ์เลย แค่นั้นก็ทำให้ญาติๆ และอเมริกา หรี่ตามองแล้ว กษัตริย์ซาลมานยังให้ บิน ซาลมาน คุมความมั่นคง คือดูแลกิจการพระราชวัง และเป็นรัฐมนตรีกลาโหมอีกด้วย
    แล้วรัฐมนตรีกลาโหมใหม่ ก็ฉลองตำแหน่งด้วยการสั่งถล่มเยเมน อย่างที่ซาอุดิ อารเบีย ไม่เคยทำมานานกว่า 70 ปีแล้ว ละอ่อนหนุ่มเลือดพลุ่งแรงจริง
    และสุ้มเสียงของอเมริกา ก็ดูเหมือนจะไม่ปลื้มละอ่อนหนุ่มเอาเสียเลย
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 ต.ค. 2558
    ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 7 “ข่าวลือ ข่าวลวง” ตอน 7 อเมริกาบอกว่า อิสลามกลุ่มวะฮาบีของซาอุดิอารเบีย เป็นอิสลามนิกายสุนนี ที่เคร่งครัดที่สุดในภูมิภาค แต่บัดนี้ กลับมีพวกเคร่งศาสนาอย่างสุดขั้ว ที่ไม่ยอมรับและเกลียดชาวต่างชาติ รุนแรงกว่าพวกวะฮาบี โผล่ขึ้นมาอีก คือ พวกรัฐอิสลาม Islamic State หรือที่เรารู้จักพวกเขาในชื่อ IS พวกนี้ก่อตัวขึ้นในอิรัค และซีเรียในช่วงปี ค.ศ.2014 เป็นกลุ่มใหม่ที่ออกมาท้าทายโลก และอเมริกาเหน็บว่า ดูเหมือนจะท้าทายโครงการฟื้นฟูผู้ก่อการร้ายของ เจ้าชาย บิน นาเยฟ เสียด้วยซ้ำ กลุ่ม IS นี้ มีรากมาจากพวกอัลไคดาในเมโสโปเตเมีย (อาณาจักรออโตมานเดิม) และดำดินแอบอยู่เมื่อตอนที่อเมริกาบุกอิรัค ในช่วงปี ค.ศ.2007 จนเมื่ออเมริกาถอยกองกำลังต่างชาติออกไป พวก IS จึงโผล่ขึ้นมาและมีประโคมข่าวการปรากฏตัวของพวกเขาน่าดู ในช่วงปี ค.ศ.2012- 2013 พวก IS บุกเข้าไปทลายคุกในอิรัก ที่พวกผู้ก่อการร้ายอัลไคดาถูกคุมขังอยู่ หลังจากคุกแตก ก็มีการรวมตัวมาสร้างฐานใหม่ ขยายออกมาทางซีเรีย ในช่วงหน้าร้อนของปี ค.ศ.2014 กลุ่ม IS บุกอย่างรวดเร็ว แบบสายฟ้าแลบ เข้าไปยึดเมืองโมซุล Mosul เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอิรัคได้ และตั้งเป็นรัฐที่มีผู้นำทางศาสนาเป็นผู้ปกครอง caliphate เพื่อปกครองอิสลามทั้งปวง (และเมืองนี้ ก็เป็นเมืองที่มีน้ำมันมากที่สุดเมืองหนึ่งของอิรัค อันนี้ผมเพิ่มเติมให้ เพราะเห็นใบตองแห้งทำเป็นลืมใส่ เรื่องสำคัญ) ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2014 กลุ่ม IS ประกาศว่าพวกเขาจะยึดมัสยิดต่างๆ ในนครเมกกะและเมดินา และจะขับไล่พวกราชวงศ์ซาอูด ออกไปให้หมด หลังจากนั้น สื่อตะวันตกลงภาพวิหารกะบะห์ Kaaba ในนครเมกกะ ที่มีธงสีดำของกลุ่ม IS ที่โบกไสวอยู่ด้านบน กองกำลังของกลุ่ม IS ยังโจมตีด่านป้องกันของซาอุดิอารเบียมาตลอดแนวเขตแดนอิรัค และยังส่งนักรบพลีชีพเข้าไปโจมตีมัสยิดของพวกชีอะ ที่อยู่ในซาอุอิอารเบียอีกด้วย เพื่อให้ทั้ง 2 นิกายตีกันเองอีกต่อหนึ่ง บิน นาเยฟ ในฐานะรัฐมนตรีมหาดไทย ได้จับกุมกลุ่ม IS ได้หลายร้อยคน และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กลุ่ม IS บุกเข้ามาในซาอุดิอารเบีย บิน นาเยฟ ให้สร้างรั้วยาว 600 ไมล์ ตลอดแนวเขตแดน ระหว่างซาอุดิอารเบียกับอิรัค เช่นเดียวกับที่สร้างรั้วกั้นแนวเขต ระหว่างซาอุดิอารเบียกับเยเมน ยาว 1 พันไมล์ เพื่อกันให้อัลไคดาออกไปจากคาบสมุทรอารเบีย …อ่านเผินๆ เหมือน อเมริกาจะชมวิธีวิธีการปราบ IS ของซาอุดิอารเบีย แต่ อ่านอีกที น่าจะตรงข้ามกันมากกว่า…. ระหว่างที่ยังครองราชย์ กษัตริย์อับดุลลาห์ (ที่สิ้นพระชนม์เมื่อเดือนมกราคม ต้นปี ค.ศ.2015) ได้ตั้งน้องต่างมารดา เป็นมงกุฎราชกุมารไป แล้ว 2 คน คือ เจ้าชายสุลต่าน และเจ้าชายนาเยฟ the Black Prince แต่ปรากฏว่า ทั้ง 2 คน กลับสิ้นพระชนม์ก่อนกษัตริย์อับดุลลาห์เสียอีก กษัตริย์ิอับดุลลาห์ จึงตั้งเจ้าชายมุคริน น้องต่าง มารดาอีกคน ขึ้นเป็นมงกุฏราชกุมาร ลำดับที่ 2 ในปี ค.ศ.2012 ต่อจากมงกุฏราชกุมารลำดับที่ 1 คือ เจ้าชายซาลมาน ในความเข้าใจของอเมริกา เจ้าชายมุคริน ค่อนข้างใกล้ชิดกับกษัตริยอับดุลลาห์ และเป็นแนวร่วมในการคิดปฏิรูปประเทศเช่นเดียวกัน เมื่อเจ้าชายซาลมาน ขึ้นครองราชย์เมื่อเดือนมกราคม ต้นปีนี้ (2015) ก็ตั้ง เจ้าชามุคริน เป็นมงกุฏราชกุมาร ลำดับที่ 1 และแต่งตั้งเจ้าชาย บิน นาเยฟ เป็นมงกุฏราชกุมารลำดับที่ 2 และมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี เป็นที่คาดหมายกันว่า เจ้าชายมุคริน ลูกชายคนที่ 35 ของ อิบน์ ซาอูด จะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อไป และนำประเทศสู่ยุคใหม่ จากรุ่นลูก สู่รุ่นหลาน แต่แล้วก็มีข่าวเกี่ยวกับราชวงศ์ซาอูดเกิดขึ้น ที่ทำให้ทั้งในตะวันออกกลางและในตะวันตก โดยเฉพาะที่วอชิงตัน สั่นเสทือนอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช้ามืดของวันที่ 29 เมษายน ค.ศ.2015 กษัตริย์ซาลมานประกาศปลดเจ้าชายมุคริน ออกจากตำแหน่งมงกุฏราชกุมารลำดับที่ 1 และแต่งตั้งให้เจ้าชาย บิน นาเยฟ ขึ้นเป็นมงกุฏราชกุมารลำดับที่ 1 แทน และแต่งตั้งลูกชายตนเอง เจ้าชาย มูฮะหมัด บิน ซาลมาน เป็นมงกุฏราชกุมารลำดับที่ 2 นี่เป็นครั้งแรก ที่มีการปลดมงกุฏราชกุมาร และโดยไม่มีการบอกเหตุผล อเมริกาให้ความสนใจรายการแต่งตั้งนี้มาก เพราะ บิน นาเยฟ มงกุฏราชกุมารลำดับที่ 1 ไม่มีลูกชาย มีแต่ลูกสาว 2 คน และ บิน ซาลมาน ก็อายุยังไม่ถึง 30 บิน ซาลมาน จึง มีโอกาสสูงมาก ที่จะเป็นกษัตริย์คนต่อไป และมีคนคาดการเอาไว้แล้วด้วยซ้ำว่า ไม่แน่หรอกว่า บิน นาเยฟ จะได้ขึ้นครองราชย์ แม้จะเป็นลำดับ 1 วันใดวันหนึ่งเขาก็อาจถูกปลดได้ เพื่อให้แน่ใจ บิน ซาลมาน จะได้ขึ้นมาครองราชย์แน่นอน … เสี้ยมล่วงหน้าเลยนะพี่.. เจ้าชาย บิน ซาลมาน หรือที่อเมริกาเรียกว่า MBS ละอ่อนวัยไม่ถึง 30 ไม่เป็นที่ปลื้มของญาติพี่น้องด้วยกัน เพราะเขาว่ากันว่า มีนิสัยโหด ยะโส โอหัง นอกจากนี้ บินซาลมาน ยังได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลนโยบายน้ำมัน ที่เขาไม่มีประสพการณ์เลย แค่นั้นก็ทำให้ญาติๆ และอเมริกา หรี่ตามองแล้ว กษัตริย์ซาลมานยังให้ บิน ซาลมาน คุมความมั่นคง คือดูแลกิจการพระราชวัง และเป็นรัฐมนตรีกลาโหมอีกด้วย แล้วรัฐมนตรีกลาโหมใหม่ ก็ฉลองตำแหน่งด้วยการสั่งถล่มเยเมน อย่างที่ซาอุดิ อารเบีย ไม่เคยทำมานานกว่า 70 ปีแล้ว ละอ่อนหนุ่มเลือดพลุ่งแรงจริง และสุ้มเสียงของอเมริกา ก็ดูเหมือนจะไม่ปลื้มละอ่อนหนุ่มเอาเสียเลย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 ต.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 Reviews
  • Livorno Cruise Port — ประตูสู่ฟลอเรนซ์และปิซา เมืองศิลปะระดับโลกของอิตาลี
    เมืองลิโวร์โน เป็นท่าเรือสำคัญบนชายฝั่ง Tuscany
    และเป็น พอร์ตหลักของเรือสำราญยุโรป เช่น MSC, Costa, Royal Caribbean, Norwegian
    ที่นี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ Top Bucket List ของอิตาลี ทั้งฟลอเรนซ์และหอเอนปิซา!

    Terrazza Mascagni เทอราซซา มาสคาญี
    ลานจัตุรัสลายกระเบื้องหมากรุกสีขาว-ดำริมทะเล สร้างในช่วงปี 1920 ตั้งชื่อตามนักประพันธ์โอเปร่า Pietro Mascagni ชาวลิวอร์โน จุดเด่นคือ แนวราวระเบียงโค้งกว่า 4,000 เสา

    Venezia Nuova เวนิสใหม่
    ย่านนี้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 เพื่อเป็น ศูนย์กลางการค้าและท่าเรือในสมัยเมดิชี มีคลองที่เชื่อมต่อไปยังทะเล คล้ายเวนิส

    Fortezza Nuova ป้อมปราการนูโวว่า
    สร้างขึ้นโดยตระกูล Medici ในปี 1590 เพื่อป้องกันเมือง รูปแบบป้อมเป็น ดาวแปดแฉก มีคูน้ำรอบๆ และสะพานหิน ภายในเป็นสวนสาธารณะ

    Chiesa di San Ferdinando โบสถ์ซานเฟอร์ดินานโด
    สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ Giovanni Battista Foggini ตั้งชื่อตามนักบุญ Saint Ferdinand และยังเป็นการสดุดีดยุคเฟอร์ดินานโดด้วย

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #LivornoCruisePort #Italy #TerrazzaMascagni #VeneziaNuova #FortezzaNuova #ChiesadiSanFerdinando #port #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #cruisedomain
    ⚓ Livorno Cruise Port — ประตูสู่ฟลอเรนซ์และปิซา เมืองศิลปะระดับโลกของอิตาลี 🌟 เมืองลิโวร์โน เป็นท่าเรือสำคัญบนชายฝั่ง Tuscany และเป็น พอร์ตหลักของเรือสำราญยุโรป เช่น MSC, Costa, Royal Caribbean, Norwegian ที่นี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ Top Bucket List ของอิตาลี ทั้งฟลอเรนซ์และหอเอนปิซา! 🇮🇹✨ ✅ Terrazza Mascagni ✨ เทอราซซา มาสคาญี ลานจัตุรัสลายกระเบื้องหมากรุกสีขาว-ดำริมทะเล สร้างในช่วงปี 1920 ตั้งชื่อตามนักประพันธ์โอเปร่า Pietro Mascagni ชาวลิวอร์โน จุดเด่นคือ แนวราวระเบียงโค้งกว่า 4,000 เสา ✅ Venezia Nuova ✨ เวนิสใหม่ ย่านนี้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 เพื่อเป็น ศูนย์กลางการค้าและท่าเรือในสมัยเมดิชี มีคลองที่เชื่อมต่อไปยังทะเล คล้ายเวนิส ✅ Fortezza Nuova ✨ ป้อมปราการนูโวว่า สร้างขึ้นโดยตระกูล Medici ในปี 1590 เพื่อป้องกันเมือง รูปแบบป้อมเป็น ดาวแปดแฉก มีคูน้ำรอบๆ และสะพานหิน ภายในเป็นสวนสาธารณะ ✅ Chiesa di San Ferdinando ✨ โบสถ์ซานเฟอร์ดินานโด สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ Giovanni Battista Foggini ตั้งชื่อตามนักบุญ Saint Ferdinand และยังเป็นการสดุดีดยุคเฟอร์ดินานโดด้วย ✅ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #LivornoCruisePort #Italy #TerrazzaMascagni #VeneziaNuova #FortezzaNuova #ChiesadiSanFerdinando #port #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #cruisedomain
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 Reviews
  • ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 5

    ” ข่าวลือ ข่าวลวง”
    ตอน 5
    เป็นเวลากว่า 3 ปี ที่ซาอุดิอารเบียใช้เวลากวาดกลุ่มอัลไคดา ให้หมดไปจากบ้านตัวเอง อัลไคดาหมดไปจากซาอุ แต่ไม่ได้สูญพันธ์ กลับขยายตัวแพร่กระจายไปทั่วตะวันออกกลาง และอาฟริกา ในปี ค.ศ.2009 กลุ่มอัลไคดาที่หลบออกไปจากซาอุ ไปโผล่ที่เยเมนแทน และมีแผนที่จะระเบิดเครื่องบินที่จะบินไปอเมริกา บิน นาเยฟ หรือ MBN ตามที่อเมริกาเรียก ได้แจ้งข่าวนี้ไปทางวอชิงตัน และในที่สุดก็จับตัวคนที่พกระเบิดขึ้นเครื่องบินได้ (อ่านรายละเอียดตอนนี้ได้ในนิทานเรื่อง “แผนชั่ว”)
    บิน นาเยฟ ได้รับความชื่นชมจากอเมริกาอย่าง ยิ่ง ถึงขนาดเรียกเขาว่า เป็นเจ้าพ่อข่าวกรอง บิน นาเยฟ ยังแสดงผลงานต่อ เมื่อ อับดุลลา อสิรี Abdullah Asiri อัลไคดา ระดับหัวหน้าคนหนึ่ง ตกลงจะมอบตัว โดยมีเงื่อนไขว่า จะมอบตัวกับ บิน นาเยฟ คนเดียวเท่านั้น และถ้า บิน นาเยฟ ตกลง เขาอาจจะพูดให้พี่ชาย อิบราฮิม อสิรี Ibrahim Asiri มือวางระเบิดคนสำคัญ มามอบตัวอีกด้วย บิน นาเยฟ ตกลง และนัดมอบตัวกัน ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ.2009
    เมื่อพบกัน ทั้ง 2 นั่งบนเบาะที่วางบนพื้น หันหน้าเข้าหากัน หลังจากนั้น อสิรี ก็ร้องไห้ และหยิบโทรศัพท์ที่ซ่อนมาในเสื้อคลุม ขอโทรไปหาครอบครัว และพูดกับพี่ชาย พูดเสร็จก็ยื่นโทรศัพท์ให้บิน นาเยฟ บอกว่าพี่ชายจะพูดด้วย ระหว่างที่ บิน นาเยฟ ยื่นมือไปรับโทรศัพท์ พร้อมกล่าวคำทักทาย อิสิรี ก็กดระเบิดที่ซ่อนมาในทวารหนัก ระเบิดเป็นหลุมลึกใต้เบาะที่เขานั่ง ส่วนตัวเขา แหลกละเอียด ตายต่อหน้า บิน นาเยฟ ซึ่งโดนสะเก็ดระเบิดด้วย แต่ไม่สาหัส
    ในปี ค.ศ.2011 เจ้าชายนาเยฟ the Black Prince ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นมงกุฏราชกุมาร ซึ่งทำให้ฝั่งอเมริกาตาเหลือกไปทั้งทำเนียบในวอชิงตัน และ ในปีนั้นเอง ตะวันออกกลางก็เกิดเทศกาลอาหรับสปริง ที่อเมริกาอ้างว่า ได้รับการชื่นชมจากพวกตะวันตก อย่างยิ่ง ที่ผู้นำเผด็จการทั้งหลาย ต่างร่วงผล่อยไปตามๆกัน ไล่มาตั้งแต่ตูนิเซีย อียิปต์ และมาถึง บาห์เรน เพื่อนบ้านของซาอุดิ อารเบีย
    มันเป็นการเขียนเสือให้วัว หรืออูฐ กลัว หรือเปล่านะ
    เจ้าชายนาเยฟ เดือดดาลมาก ที่โอบามา บีบให้มูบารัคประธานาธิบดีของอียิปต์ลาออก และเมื่อบาห์เรน ซึ่งดูเหมือนจะเจอเทศกาลอาหรับสปริงไปด้วย นาเยฟ ไม่ยอมให้บาห์เรนเป็นเหมือนอียิปต์ เขาให้ราชวงศ์ซาอูด ช่วยราชวงศ์ของบาห์เรน ซึ่งเป็นนิกายสุนนีด้วยกัน จึงทำให้เกิดมีการเผชิญหน้ากัน ระหว่างนิกายชีอะ กับสุนนี่ในบาห์เรนอีกด้วย การปราบปรามในบาห์เรนใช้ไม้แข็ง หรือลูกตะกั่ว ซึ่งอเมริกาอ้างว่า ได้ประท้วงการใช้ความรุนแรงอย่างนั้นแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ และกองทัพของซาอุดิอารเบีย ก็ยังอยู่เต็มในบาห์เรนจนทุกวันนี้
    เจ้าชายนาเยฟ หรือ the Black Prince ในสายตาของอเมริกา ได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่เข้มงวด และใช้อำนาจของซาอุดิอารเบียอย่างเต็มอัตรา อเมริกาเหน็บแนมว่า เจ้าชายนาเยฟ กำลังส่งเสริมให้ซาอุดิอารเบียใช้อำนาจของราชวงศ์ซาอูด แบบ “Pax Saudiana” คือสันติภาพและเสรีภาพแบบซาอุดิอารเบีย ใครที่ไม่ปฏิบัติตาม เป็นผู้ก่อการร้ายทั้งสิ้น
    … แล้วต่างอะไรกับ Pax Americana ของอเมริกา ต้องเป็นประชาธิปไตย ต้องมีเสรีภาพ ต้องทำตามที่กูบอกเท่านั้น...ไม่งั้นเป็นผู้ก่อการร้าย….ฮาครับ
    นอกจากนี้ เจ้าชายนาเยฟ ยังถูกอเมริกาวิจารณ์ว่า เจ้าชาย เป็นคนยุ กษัตริย์ อับดุลลาห์ ว่า อย่ายอมใจอ่อน กับพวกที่ต้องการให้มีการปฏิรูป เด็ดขาด ขณะที่กษัตริย์อับดุลลาห์ มีแนวโน้มที่จะเดินสายกลาง โดยพยายามจะเปลี่ยนประเทศ อย่างช้าๆเป็นขั้นตอน เน้นให้ประชาชนมีการศึกษามากขึ้น และ เคยพูดว่า อาจเปิดทางให้ผู้หญิงมีสิทธิขับรถได้ด้วย นอกจากนี้ กษัตริย์อับดุลลาห์ ยังจัดสรรเงินเป็นจำนวนมาก เพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของชนชั้นกลาง และชั้นล่างของ ซาอุดิอารเบียอีกด้วย
    ถึงกระนั้น ในสายตาของอเมริกา กษัตริย์อับดุลลาห์ ก็ไม่เคยแตะเรื่องที่เกี่ยวกับความเชื่อของศาสนาเลย และเจ้าชาย บิน นาเยฟ ที่รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยแทนพ่อ ก็เคร่งครัดเรื่องศาสนา และดำเนินการรุนแรง กับผู้ที่กระทำผิดทางคำสอนของศาสนาเช่นกัน
    อเมริกาบอก บิน นาเยฟ อาจจะเชี่ยวชาญ ในการจัดการกับผู้ก่อการร้ายในราชอาณาจักรซาอุดิอารเบีย แต่ไม่เห็นอันตราย ของการห้ามประชาชนที่จะแสดงความเห็นอย่างอิสระ และทำให้ความพยายามของอับดุลลาห์ ที่จะปฏิรูปประเทศ ก็เลยเหมือนกับค้างอยู่กลางทาง
    เจ้าชายนาเยฟ ขึ้นมาเป็นมงกุฏราชกุมารได้เพียงปีเดียว ใน ปี ค.ศ.2012 ก็ล้มป่วยและสิ้นพระชนม์ในวัย 78 ปี ที่โรงพยาบาลในเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ พร้อมกับเสียงถอนหายใจโล่งอก ดังยาวไปทั้งทางเดินที่ทำเนียบในวอชิงตัน …..นี่ ผมเขียนตามถ้อยคำ ที่คนเขียนบทความเกี่ยวกับ the Black Prince ใช้เลยนะครับ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    21 ต.ค. 2558
    ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 5 ” ข่าวลือ ข่าวลวง” ตอน 5 เป็นเวลากว่า 3 ปี ที่ซาอุดิอารเบียใช้เวลากวาดกลุ่มอัลไคดา ให้หมดไปจากบ้านตัวเอง อัลไคดาหมดไปจากซาอุ แต่ไม่ได้สูญพันธ์ กลับขยายตัวแพร่กระจายไปทั่วตะวันออกกลาง และอาฟริกา ในปี ค.ศ.2009 กลุ่มอัลไคดาที่หลบออกไปจากซาอุ ไปโผล่ที่เยเมนแทน และมีแผนที่จะระเบิดเครื่องบินที่จะบินไปอเมริกา บิน นาเยฟ หรือ MBN ตามที่อเมริกาเรียก ได้แจ้งข่าวนี้ไปทางวอชิงตัน และในที่สุดก็จับตัวคนที่พกระเบิดขึ้นเครื่องบินได้ (อ่านรายละเอียดตอนนี้ได้ในนิทานเรื่อง “แผนชั่ว”) บิน นาเยฟ ได้รับความชื่นชมจากอเมริกาอย่าง ยิ่ง ถึงขนาดเรียกเขาว่า เป็นเจ้าพ่อข่าวกรอง บิน นาเยฟ ยังแสดงผลงานต่อ เมื่อ อับดุลลา อสิรี Abdullah Asiri อัลไคดา ระดับหัวหน้าคนหนึ่ง ตกลงจะมอบตัว โดยมีเงื่อนไขว่า จะมอบตัวกับ บิน นาเยฟ คนเดียวเท่านั้น และถ้า บิน นาเยฟ ตกลง เขาอาจจะพูดให้พี่ชาย อิบราฮิม อสิรี Ibrahim Asiri มือวางระเบิดคนสำคัญ มามอบตัวอีกด้วย บิน นาเยฟ ตกลง และนัดมอบตัวกัน ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ.2009 เมื่อพบกัน ทั้ง 2 นั่งบนเบาะที่วางบนพื้น หันหน้าเข้าหากัน หลังจากนั้น อสิรี ก็ร้องไห้ และหยิบโทรศัพท์ที่ซ่อนมาในเสื้อคลุม ขอโทรไปหาครอบครัว และพูดกับพี่ชาย พูดเสร็จก็ยื่นโทรศัพท์ให้บิน นาเยฟ บอกว่าพี่ชายจะพูดด้วย ระหว่างที่ บิน นาเยฟ ยื่นมือไปรับโทรศัพท์ พร้อมกล่าวคำทักทาย อิสิรี ก็กดระเบิดที่ซ่อนมาในทวารหนัก ระเบิดเป็นหลุมลึกใต้เบาะที่เขานั่ง ส่วนตัวเขา แหลกละเอียด ตายต่อหน้า บิน นาเยฟ ซึ่งโดนสะเก็ดระเบิดด้วย แต่ไม่สาหัส ในปี ค.ศ.2011 เจ้าชายนาเยฟ the Black Prince ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นมงกุฏราชกุมาร ซึ่งทำให้ฝั่งอเมริกาตาเหลือกไปทั้งทำเนียบในวอชิงตัน และ ในปีนั้นเอง ตะวันออกกลางก็เกิดเทศกาลอาหรับสปริง ที่อเมริกาอ้างว่า ได้รับการชื่นชมจากพวกตะวันตก อย่างยิ่ง ที่ผู้นำเผด็จการทั้งหลาย ต่างร่วงผล่อยไปตามๆกัน ไล่มาตั้งแต่ตูนิเซีย อียิปต์ และมาถึง บาห์เรน เพื่อนบ้านของซาอุดิ อารเบีย มันเป็นการเขียนเสือให้วัว หรืออูฐ กลัว หรือเปล่านะ เจ้าชายนาเยฟ เดือดดาลมาก ที่โอบามา บีบให้มูบารัคประธานาธิบดีของอียิปต์ลาออก และเมื่อบาห์เรน ซึ่งดูเหมือนจะเจอเทศกาลอาหรับสปริงไปด้วย นาเยฟ ไม่ยอมให้บาห์เรนเป็นเหมือนอียิปต์ เขาให้ราชวงศ์ซาอูด ช่วยราชวงศ์ของบาห์เรน ซึ่งเป็นนิกายสุนนีด้วยกัน จึงทำให้เกิดมีการเผชิญหน้ากัน ระหว่างนิกายชีอะ กับสุนนี่ในบาห์เรนอีกด้วย การปราบปรามในบาห์เรนใช้ไม้แข็ง หรือลูกตะกั่ว ซึ่งอเมริกาอ้างว่า ได้ประท้วงการใช้ความรุนแรงอย่างนั้นแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ และกองทัพของซาอุดิอารเบีย ก็ยังอยู่เต็มในบาห์เรนจนทุกวันนี้ เจ้าชายนาเยฟ หรือ the Black Prince ในสายตาของอเมริกา ได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่เข้มงวด และใช้อำนาจของซาอุดิอารเบียอย่างเต็มอัตรา อเมริกาเหน็บแนมว่า เจ้าชายนาเยฟ กำลังส่งเสริมให้ซาอุดิอารเบียใช้อำนาจของราชวงศ์ซาอูด แบบ “Pax Saudiana” คือสันติภาพและเสรีภาพแบบซาอุดิอารเบีย ใครที่ไม่ปฏิบัติตาม เป็นผู้ก่อการร้ายทั้งสิ้น … แล้วต่างอะไรกับ Pax Americana ของอเมริกา ต้องเป็นประชาธิปไตย ต้องมีเสรีภาพ ต้องทำตามที่กูบอกเท่านั้น...ไม่งั้นเป็นผู้ก่อการร้าย….ฮาครับ นอกจากนี้ เจ้าชายนาเยฟ ยังถูกอเมริกาวิจารณ์ว่า เจ้าชาย เป็นคนยุ กษัตริย์ อับดุลลาห์ ว่า อย่ายอมใจอ่อน กับพวกที่ต้องการให้มีการปฏิรูป เด็ดขาด ขณะที่กษัตริย์อับดุลลาห์ มีแนวโน้มที่จะเดินสายกลาง โดยพยายามจะเปลี่ยนประเทศ อย่างช้าๆเป็นขั้นตอน เน้นให้ประชาชนมีการศึกษามากขึ้น และ เคยพูดว่า อาจเปิดทางให้ผู้หญิงมีสิทธิขับรถได้ด้วย นอกจากนี้ กษัตริย์อับดุลลาห์ ยังจัดสรรเงินเป็นจำนวนมาก เพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของชนชั้นกลาง และชั้นล่างของ ซาอุดิอารเบียอีกด้วย ถึงกระนั้น ในสายตาของอเมริกา กษัตริย์อับดุลลาห์ ก็ไม่เคยแตะเรื่องที่เกี่ยวกับความเชื่อของศาสนาเลย และเจ้าชาย บิน นาเยฟ ที่รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยแทนพ่อ ก็เคร่งครัดเรื่องศาสนา และดำเนินการรุนแรง กับผู้ที่กระทำผิดทางคำสอนของศาสนาเช่นกัน อเมริกาบอก บิน นาเยฟ อาจจะเชี่ยวชาญ ในการจัดการกับผู้ก่อการร้ายในราชอาณาจักรซาอุดิอารเบีย แต่ไม่เห็นอันตราย ของการห้ามประชาชนที่จะแสดงความเห็นอย่างอิสระ และทำให้ความพยายามของอับดุลลาห์ ที่จะปฏิรูปประเทศ ก็เลยเหมือนกับค้างอยู่กลางทาง เจ้าชายนาเยฟ ขึ้นมาเป็นมงกุฏราชกุมารได้เพียงปีเดียว ใน ปี ค.ศ.2012 ก็ล้มป่วยและสิ้นพระชนม์ในวัย 78 ปี ที่โรงพยาบาลในเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ พร้อมกับเสียงถอนหายใจโล่งอก ดังยาวไปทั้งทางเดินที่ทำเนียบในวอชิงตัน …..นี่ ผมเขียนตามถ้อยคำ ที่คนเขียนบทความเกี่ยวกับ the Black Prince ใช้เลยนะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 21 ต.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • เจี๊ยบ อมเกียร์ ปกป้องไอ้ลักแกงหนีทหาร อายุ 21 พ่อมึง มันเกิดปี 2531 ขอผ่อนผันเกณฑ์ทหารปี 2552-2554 รวม 3 ปี จนโดนฟ้องในปี 2555 อายุตอนนั้นก็ 24 ปีแล้ว แถมยอมสารภาพผิดเองในชั้นศาล เพื่อได้รอลงอาญาโทษจำคุก 1 เดือน แต่ก็ยังหนีไม่ไปแสดงตนรับราชการทหาร จนอายุเกิน 30 พ้นเกณฑ์ ที่สำคัญ ตอนขึ้นศาลครั้งแรกปี 55 ก็ไม่ปรากฏว่ามีการแสดง ใบสด.43 เป็นหลักฐาน ตกลงมึงได้มาตอนไหน จากใคร ขบวนการบ้านพ่อมึงมั้งที่กลั่นแกล้ง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เจี๊ยบ อมเกียร์ ปกป้องไอ้ลักแกงหนีทหาร อายุ 21 พ่อมึง มันเกิดปี 2531 ขอผ่อนผันเกณฑ์ทหารปี 2552-2554 รวม 3 ปี จนโดนฟ้องในปี 2555 อายุตอนนั้นก็ 24 ปีแล้ว แถมยอมสารภาพผิดเองในชั้นศาล เพื่อได้รอลงอาญาโทษจำคุก 1 เดือน แต่ก็ยังหนีไม่ไปแสดงตนรับราชการทหาร จนอายุเกิน 30 พ้นเกณฑ์ ที่สำคัญ ตอนขึ้นศาลครั้งแรกปี 55 ก็ไม่ปรากฏว่ามีการแสดง ใบสด.43 เป็นหลักฐาน ตกลงมึงได้มาตอนไหน จากใคร ขบวนการบ้านพ่อมึงมั้งที่กลั่นแกล้ง #คิงส์โพธิ์แดง
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
  • “iPad mini 8 – OLED + A20 Pro ยกระดับแท็บเล็ตไซส์เล็ก”

    Apple เตรียมเปิดตัว iPad mini 8 ในปี 2026 โดยมีการอัปเกรดครั้งใหญ่ทั้งด้านหน้าจอและชิปประมวลผล รุ่นใหม่นี้จะใช้ หน้าจอ OLED ขนาด 8.5 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่า iPad mini 7 เล็กน้อย และอาจใช้เทคโนโลยี Flexible OLED เพื่อลดขอบจอและเพิ่มพื้นที่การแสดงผล คล้ายกับที่เคยทำใน iPhone X

    ในด้านประสิทธิภาพ iPad mini 8 จะขับเคลื่อนด้วย ชิป A20 Pro ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่เหนือกว่า A19 Pro ที่เคยถูกคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้ iPad mini 8 กลายเป็นแท็บเล็ตขนาดเล็กที่ทรงพลังที่สุดของ Apple และสามารถรองรับการใช้งานหนัก เช่น เกมกราฟิกสูง หรือแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างลื่นไหล

    เพื่อควบคุมต้นทุน Apple อาจเลือกใช้ LTPO OLED แบบชั้นเดียว แทนที่จะเป็นจอ OLED แบบ Tandem ที่มีหลายชั้น ซึ่งจะช่วยลดราคาเปิดตัว โดยมีการคาดการณ์ว่า iPad mini 8 จะเริ่มต้นที่ 499 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าแข่งขันได้ในตลาดแท็บเล็ตระดับพรีเมียม

    การเปิดตัวครั้งนี้ยังสะท้อนถึงกลยุทธ์ของ Apple ที่ต้องการรักษาตลาดแท็บเล็ตขนาดเล็กให้ยังคงมีความน่าสนใจ แม้ว่า iPad Air และ iPad Pro จะครองตลาดหลัก แต่ iPad mini 8 จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องเล็กแต่ทรงพลัง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    iPad mini 8 เปิดตัวปี 2026
    คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 3–4

    หน้าจอ OLED ขนาด 8.5 นิ้ว
    อาจใช้ Flexible OLED เพื่อลดขอบจอและเพิ่มพื้นที่การแสดงผล

    ชิปใหม่ A20 Pro
    แรงกว่าที่คาดการณ์เดิม (A19 Pro) รองรับงานกราฟิกและ AI

    ราคาเริ่มต้นประมาณ 499 ดอลลาร์
    ใช้ LTPO OLED แบบชั้นเดียวเพื่อลดต้นทุน

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้
    หากต้องการจอ OLED แบบ Tandem คุณภาพสูง อาจต้องรอรุ่น Pro หรือ Air
    ราคาจริงอาจสูงกว่าที่คาด หาก Apple เพิ่มฟีเจอร์พิเศษ

    https://wccftech.com/apples-ipad-mini-8-to-launch-with-oled-screen-a20-pro-chip/
    📰 “iPad mini 8 – OLED + A20 Pro ยกระดับแท็บเล็ตไซส์เล็ก” Apple เตรียมเปิดตัว iPad mini 8 ในปี 2026 โดยมีการอัปเกรดครั้งใหญ่ทั้งด้านหน้าจอและชิปประมวลผล รุ่นใหม่นี้จะใช้ หน้าจอ OLED ขนาด 8.5 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่า iPad mini 7 เล็กน้อย และอาจใช้เทคโนโลยี Flexible OLED เพื่อลดขอบจอและเพิ่มพื้นที่การแสดงผล คล้ายกับที่เคยทำใน iPhone X ในด้านประสิทธิภาพ iPad mini 8 จะขับเคลื่อนด้วย ชิป A20 Pro ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่เหนือกว่า A19 Pro ที่เคยถูกคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้ iPad mini 8 กลายเป็นแท็บเล็ตขนาดเล็กที่ทรงพลังที่สุดของ Apple และสามารถรองรับการใช้งานหนัก เช่น เกมกราฟิกสูง หรือแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างลื่นไหล เพื่อควบคุมต้นทุน Apple อาจเลือกใช้ LTPO OLED แบบชั้นเดียว แทนที่จะเป็นจอ OLED แบบ Tandem ที่มีหลายชั้น ซึ่งจะช่วยลดราคาเปิดตัว โดยมีการคาดการณ์ว่า iPad mini 8 จะเริ่มต้นที่ 499 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าแข่งขันได้ในตลาดแท็บเล็ตระดับพรีเมียม การเปิดตัวครั้งนี้ยังสะท้อนถึงกลยุทธ์ของ Apple ที่ต้องการรักษาตลาดแท็บเล็ตขนาดเล็กให้ยังคงมีความน่าสนใจ แม้ว่า iPad Air และ iPad Pro จะครองตลาดหลัก แต่ iPad mini 8 จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องเล็กแต่ทรงพลัง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ iPad mini 8 เปิดตัวปี 2026 ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 3–4 ✅ หน้าจอ OLED ขนาด 8.5 นิ้ว ➡️ อาจใช้ Flexible OLED เพื่อลดขอบจอและเพิ่มพื้นที่การแสดงผล ✅ ชิปใหม่ A20 Pro ➡️ แรงกว่าที่คาดการณ์เดิม (A19 Pro) รองรับงานกราฟิกและ AI ✅ ราคาเริ่มต้นประมาณ 499 ดอลลาร์ ➡️ ใช้ LTPO OLED แบบชั้นเดียวเพื่อลดต้นทุน ‼️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากต้องการจอ OLED แบบ Tandem คุณภาพสูง อาจต้องรอรุ่น Pro หรือ Air ⛔ ราคาจริงอาจสูงกว่าที่คาด หาก Apple เพิ่มฟีเจอร์พิเศษ https://wccftech.com/apples-ipad-mini-8-to-launch-with-oled-screen-a20-pro-chip/
    WCCFTECH.COM
    iPad mini 8 Set for Stunning OLED Screen And The A20 Pro Chip
    Apple's iPad mini 8 is shaping up to be a must-have device, especially if the latest reporting on its specs pans out.
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • “วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ จี้ Big Tech – AI Data Center ดันค่าไฟประชาชนพุ่ง”

    สามวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ได้แก่ Elizabeth Warren, Chris Van Hollen และ Richard Blumenthal ได้ส่งจดหมายถึงบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Amazon, Google, Meta, Microsoft และผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายอื่น ๆ เพื่อสอบถามถึงผลกระทบของการสร้าง AI Data Center ต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน โดยระบุว่าการใช้พลังงานมหาศาลทำให้บริษัทไฟฟ้าต้องลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในการอัปเกรดระบบ และผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภค

    รายงานระบุว่า ค่าไฟฟ้าครัวเรือนในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7% ภายในปีเดียว โดยบางพื้นที่ที่มีการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมากกว่านั้น สะท้อนให้เห็นว่า การเติบโตของ AI ไม่ได้มีแต่ผลดีด้านนวัตกรรม แต่ยังสร้างแรงกดดันต่อโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน

    แม้บางการศึกษาชี้ว่า AI Data Center อาจช่วยแบกรับต้นทุนการอัปเกรดระบบไฟฟ้าแทนประชาชน แต่แนวโน้มค่าไฟที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดข้อสงสัยว่าใครคือผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง และใครคือผู้แบกรับภาระในระยะยาว

    นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบกับจีนที่ลงทุนด้านพลังงานเพื่อรองรับการเติบโตของ AI อย่างจริงจัง จนบางนักวิเคราะห์เตือนว่าสหรัฐฯ อาจเสียเปรียบใน “การแข่งขัน AI ระดับโลก” หากไม่สามารถแก้ปัญหาความไม่เพียงพอของพลังงานได้ทันเวลา

    สรุปประเด็นสำคัญ
    วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ แสดงความกังวลต่อค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น
    ส่งจดหมายถึง Amazon, Google, Meta และบริษัทอื่น ๆ เพื่อขอคำชี้แจง

    AI Data Center ใช้พลังงานมหาศาล
    บริษัทไฟฟ้าต้องลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในการอัปเกรดระบบ

    ค่าไฟฟ้าครัวเรือนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7%
    บางพื้นที่ที่มีศูนย์ข้อมูลใหม่ ค่าไฟเพิ่มขึ้นมากกว่านั้น

    จีนลงทุนด้านพลังงานเพื่อรองรับ AI
    นักวิเคราะห์เตือนว่าสหรัฐฯ อาจเสียเปรียบในระยะยาว

    คำเตือนต่อประชาชน
    ค่าไฟอาจยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง หากไม่มีมาตรการควบคุมหรือการลงทุนด้านพลังงานใหม่

    ความเสี่ยงต่อการแข่งขัน AI
    สหรัฐฯ อาจถูกจีนแซงหน้าในด้าน AI หากปัญหาพลังงานไม่ถูกแก้ไขทันเวลา

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/elizabeth-warren-other-u-s-senators-concerned-about-big-tech-pushing-up-electricity-costs-demands-explanation-from-amazon-google-meta-as-ai-data-centers-drive-up-residential-energy-bills
    📰 “วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ จี้ Big Tech – AI Data Center ดันค่าไฟประชาชนพุ่ง” สามวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ได้แก่ Elizabeth Warren, Chris Van Hollen และ Richard Blumenthal ได้ส่งจดหมายถึงบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Amazon, Google, Meta, Microsoft และผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายอื่น ๆ เพื่อสอบถามถึงผลกระทบของการสร้าง AI Data Center ต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน โดยระบุว่าการใช้พลังงานมหาศาลทำให้บริษัทไฟฟ้าต้องลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในการอัปเกรดระบบ และผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภค รายงานระบุว่า ค่าไฟฟ้าครัวเรือนในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7% ภายในปีเดียว โดยบางพื้นที่ที่มีการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมากกว่านั้น สะท้อนให้เห็นว่า การเติบโตของ AI ไม่ได้มีแต่ผลดีด้านนวัตกรรม แต่ยังสร้างแรงกดดันต่อโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน แม้บางการศึกษาชี้ว่า AI Data Center อาจช่วยแบกรับต้นทุนการอัปเกรดระบบไฟฟ้าแทนประชาชน แต่แนวโน้มค่าไฟที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดข้อสงสัยว่าใครคือผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง และใครคือผู้แบกรับภาระในระยะยาว นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบกับจีนที่ลงทุนด้านพลังงานเพื่อรองรับการเติบโตของ AI อย่างจริงจัง จนบางนักวิเคราะห์เตือนว่าสหรัฐฯ อาจเสียเปรียบใน “การแข่งขัน AI ระดับโลก” หากไม่สามารถแก้ปัญหาความไม่เพียงพอของพลังงานได้ทันเวลา 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ แสดงความกังวลต่อค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น ➡️ ส่งจดหมายถึง Amazon, Google, Meta และบริษัทอื่น ๆ เพื่อขอคำชี้แจง ✅ AI Data Center ใช้พลังงานมหาศาล ➡️ บริษัทไฟฟ้าต้องลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในการอัปเกรดระบบ ✅ ค่าไฟฟ้าครัวเรือนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7% ➡️ บางพื้นที่ที่มีศูนย์ข้อมูลใหม่ ค่าไฟเพิ่มขึ้นมากกว่านั้น ✅ จีนลงทุนด้านพลังงานเพื่อรองรับ AI ➡️ นักวิเคราะห์เตือนว่าสหรัฐฯ อาจเสียเปรียบในระยะยาว ‼️ คำเตือนต่อประชาชน ⛔ ค่าไฟอาจยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง หากไม่มีมาตรการควบคุมหรือการลงทุนด้านพลังงานใหม่ ‼️ ความเสี่ยงต่อการแข่งขัน AI ⛔ สหรัฐฯ อาจถูกจีนแซงหน้าในด้าน AI หากปัญหาพลังงานไม่ถูกแก้ไขทันเวลา https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/elizabeth-warren-other-u-s-senators-concerned-about-big-tech-pushing-up-electricity-costs-demands-explanation-from-amazon-google-meta-as-ai-data-centers-drive-up-residential-energy-bills
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • “Sapphire ชี้ DRAM จะเริ่มนิ่งในปีหน้า – แต่ราคาอาจยังสูงกว่าที่คาดหวัง”

    Edward Crisler ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Sapphire ให้สัมภาษณ์ว่า แม้ตลาด DRAM กำลังเผชิญวิกฤตราคาพุ่งสูงจากความต้องการ AI และการกักตุนสินค้า แต่เขาเชื่อว่าภายใน 6–8 เดือน สถานการณ์จะเริ่ม “นิ่ง” อย่างไรก็ตาม ราคาที่นิ่งนั้นอาจยังคงสูงกว่าที่ผู้บริโภคคาดหวังไว้

    Crisler เปรียบเทียบวิกฤต DRAM กับความไม่แน่นอนจากสงครามภาษี โดยชี้ว่าไม่ใช่ตัวภาษีเองที่เป็นปัญหา แต่เป็นความผันผวนและความไม่สามารถคาดเดาได้ที่ทำให้ตลาดเกิดความตื่นตระหนกและราคาพุ่งสูงขึ้น เช่นเดียวกับกรณี DRAM ที่ความต้องการจาก AI ทำให้เกิดการกักตุนและผลักดันราคาสูงขึ้นหลายเท่า

    แม้จะมีคำเตือนจากผู้ผลิตรายอื่น เช่น Kingston ที่แนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเกรดก่อนราคาจะสูงขึ้นไปอีก แต่ Crisler กลับแนะนำให้ผู้บริโภค “ใจเย็น” และใช้ระบบที่มีอยู่ต่อไป เพราะเชื่อว่าตลาดจะปรับตัวเองได้ในที่สุด

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการ “นิ่ง” ของตลาดไม่ได้หมายถึงราคาจะกลับไปถูกเหมือนเดิม แต่เป็นการเข้าสู่ระดับราคาที่สูงกว่าเดิมและคงอยู่ต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่วางแผนประกอบหรืออัปเกรดเครื่องในปีหน้า

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Sapphire คาด DRAM จะเริ่มนิ่งใน 6–8 เดือน
    แต่ราคาที่นิ่งอาจยังสูงกว่าที่ผู้บริโภคต้องการ

    วิกฤต DRAM คล้ายสงครามภาษี
    ปัญหาหลักคือความไม่แน่นอนและความผันผวน ไม่ใช่ตัวภาษีหรือการขาดแคลนเพียงอย่างเดียว

    คำแนะนำจาก Sapphire
    ผู้ใช้ควรใจเย็น ใช้ระบบที่มีอยู่ และไม่รีบซื้อในช่วงราคาพุ่ง

    คำเตือนจากผู้ผลิตรายอื่น
    Kingston เตือนว่าราคาจะยังคงขึ้นต่อเนื่อง และควรรีบอัปเกรดก่อนแพงกว่าเดิม

    ความเสี่ยงต่อผู้บริโภค
    แม้ตลาดจะนิ่ง แต่ราคาที่สูงอาจกลายเป็น “มาตรฐานใหม่” ของ DRAM ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/sapphire-rep-predicts-dram-prices-will-begin-to-stabilize-in-the-next-6-8-months-but-warns-it-may-not-be-the-prices-we-want-gpu-vendor-says-memory-crisis-is-similar-to-tariff-uncertainty
    📰 “Sapphire ชี้ DRAM จะเริ่มนิ่งในปีหน้า – แต่ราคาอาจยังสูงกว่าที่คาดหวัง” Edward Crisler ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Sapphire ให้สัมภาษณ์ว่า แม้ตลาด DRAM กำลังเผชิญวิกฤตราคาพุ่งสูงจากความต้องการ AI และการกักตุนสินค้า แต่เขาเชื่อว่าภายใน 6–8 เดือน สถานการณ์จะเริ่ม “นิ่ง” อย่างไรก็ตาม ราคาที่นิ่งนั้นอาจยังคงสูงกว่าที่ผู้บริโภคคาดหวังไว้ Crisler เปรียบเทียบวิกฤต DRAM กับความไม่แน่นอนจากสงครามภาษี โดยชี้ว่าไม่ใช่ตัวภาษีเองที่เป็นปัญหา แต่เป็นความผันผวนและความไม่สามารถคาดเดาได้ที่ทำให้ตลาดเกิดความตื่นตระหนกและราคาพุ่งสูงขึ้น เช่นเดียวกับกรณี DRAM ที่ความต้องการจาก AI ทำให้เกิดการกักตุนและผลักดันราคาสูงขึ้นหลายเท่า แม้จะมีคำเตือนจากผู้ผลิตรายอื่น เช่น Kingston ที่แนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเกรดก่อนราคาจะสูงขึ้นไปอีก แต่ Crisler กลับแนะนำให้ผู้บริโภค “ใจเย็น” และใช้ระบบที่มีอยู่ต่อไป เพราะเชื่อว่าตลาดจะปรับตัวเองได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการ “นิ่ง” ของตลาดไม่ได้หมายถึงราคาจะกลับไปถูกเหมือนเดิม แต่เป็นการเข้าสู่ระดับราคาที่สูงกว่าเดิมและคงอยู่ต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่วางแผนประกอบหรืออัปเกรดเครื่องในปีหน้า 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Sapphire คาด DRAM จะเริ่มนิ่งใน 6–8 เดือน ➡️ แต่ราคาที่นิ่งอาจยังสูงกว่าที่ผู้บริโภคต้องการ ✅ วิกฤต DRAM คล้ายสงครามภาษี ➡️ ปัญหาหลักคือความไม่แน่นอนและความผันผวน ไม่ใช่ตัวภาษีหรือการขาดแคลนเพียงอย่างเดียว ✅ คำแนะนำจาก Sapphire ➡️ ผู้ใช้ควรใจเย็น ใช้ระบบที่มีอยู่ และไม่รีบซื้อในช่วงราคาพุ่ง ‼️ คำเตือนจากผู้ผลิตรายอื่น ⛔ Kingston เตือนว่าราคาจะยังคงขึ้นต่อเนื่อง และควรรีบอัปเกรดก่อนแพงกว่าเดิม ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้บริโภค ⛔ แม้ตลาดจะนิ่ง แต่ราคาที่สูงอาจกลายเป็น “มาตรฐานใหม่” ของ DRAM ในอนาคต https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/sapphire-rep-predicts-dram-prices-will-begin-to-stabilize-in-the-next-6-8-months-but-warns-it-may-not-be-the-prices-we-want-gpu-vendor-says-memory-crisis-is-similar-to-tariff-uncertainty
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • “Liquid Cooling ครองศูนย์ข้อมูล – TSMC นำเทรนด์ฝังระบบระบายความร้อนในซิลิคอน”

    ในอดีตศูนย์ข้อมูลส่วนใหญ่ใช้ Air Cooling เพราะต้นทุนต่ำและโครงสร้างง่าย แต่เมื่อพลังงานต่อแร็คพุ่งสูงถึง 40–140kW จากการใช้งาน AI และ GPU รุ่นใหม่ การระบายความร้อนด้วยอากาศเริ่มไม่เพียงพอ ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ Liquid Cooling ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าและสามารถรองรับความหนาแน่นความร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ปี 2024 ตลาด Liquid Cooling ครองส่วนแบ่งกว่า 46% ของตลาดทั้งหมด และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจนมีมูลค่า 25.12 พันล้านดอลลาร์ในปี 2031 การเติบโตนี้ขับเคลื่อนโดยความต้องการของ AI Data Center ที่ใช้ GPU และ CPU ที่กินไฟมหาศาล เช่น Nvidia Blackwell Ultra ที่ใช้พลังงานสูงถึง 1,400W ต่อชิป

    นอกจาก Liquid Cooling แบบทั่วไปแล้ว ยังมีการพัฒนา Hybrid Cooling ที่ผสมผสานการใช้อากาศและน้ำ รวมถึง Immersion Cooling ที่จุ่มเซิร์ฟเวอร์ทั้งเครื่องลงในน้ำมันหรือของเหลวไดอิเล็กทริก เพื่อรองรับความร้อนระดับ 1,500 W/cm² ซึ่งเป็นตัวเลขที่ Air Cooling ไม่สามารถทำได้

    ไฮไลต์สำคัญคือ TSMC Direct-to-Silicon Cooling ที่ฝังช่องทางระบายความร้อนเข้าไปในซิลิคอนโดยตรง ทำให้สามารถจัดการความร้อนใกล้กับทรานซิสเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เทคโนโลยีนี้ถูกคาดว่าจะพร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ในปี 2027 และอาจรองรับ GPU รุ่น Feynman ที่กินไฟกว่า 4.4kW ได้อย่างมีเสถียรภาพ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Air Cooling ยังมีบทบาทในศูนย์ข้อมูลเก่า
    ใช้โครงสร้าง Hot Aisle/Cold Aisle และ CRAC/CRAH Units

    Liquid Cooling เติบโตอย่างรวดเร็ว
    ครองตลาด 46% ในปี 2024 และคาดว่าจะโตถึง 25.12 พันล้านดอลลาร์ในปี 2031

    Hybrid และ Immersion Cooling ถูกนำมาใช้
    Hybrid ใช้ทั้งอากาศและน้ำ ส่วน Immersion รองรับความร้อนสูงถึง 1,500 W/cm²

    TSMC พัฒนา Direct-to-Silicon Cooling
    ฝังช่องระบายความร้อนในซิลิคอนโดยตรง รองรับพลังงานกว่า 2.6kW ต่อแพ็กเกจ

    ความท้าทายของ Liquid Cooling
    ต้นทุนสูงขึ้นมาก โดยระบบสำหรับแร็ค Nvidia Blackwell Ultra อาจมีค่าใช้จ่ายถึง 50,000 ดอลลาร์

    ความเสี่ยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน
    ศูนย์ข้อมูลต้องลงทุนใหม่เพื่อรองรับระบบ Liquid และ Immersion Cooling ซึ่งอาจไม่เหมาะกับทุกองค์กร

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cooling/the-data-center-cooling-state-of-play-2025-liquid-cooling-is-on-the-rise-thermal-density-demands-skyrocket-in-ai-data-centers-and-tsmc-leads-with-direct-to-silicon-solutions
    📰 “Liquid Cooling ครองศูนย์ข้อมูล – TSMC นำเทรนด์ฝังระบบระบายความร้อนในซิลิคอน” ในอดีตศูนย์ข้อมูลส่วนใหญ่ใช้ Air Cooling เพราะต้นทุนต่ำและโครงสร้างง่าย แต่เมื่อพลังงานต่อแร็คพุ่งสูงถึง 40–140kW จากการใช้งาน AI และ GPU รุ่นใหม่ การระบายความร้อนด้วยอากาศเริ่มไม่เพียงพอ ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ Liquid Cooling ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าและสามารถรองรับความหนาแน่นความร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 2024 ตลาด Liquid Cooling ครองส่วนแบ่งกว่า 46% ของตลาดทั้งหมด และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจนมีมูลค่า 25.12 พันล้านดอลลาร์ในปี 2031 การเติบโตนี้ขับเคลื่อนโดยความต้องการของ AI Data Center ที่ใช้ GPU และ CPU ที่กินไฟมหาศาล เช่น Nvidia Blackwell Ultra ที่ใช้พลังงานสูงถึง 1,400W ต่อชิป นอกจาก Liquid Cooling แบบทั่วไปแล้ว ยังมีการพัฒนา Hybrid Cooling ที่ผสมผสานการใช้อากาศและน้ำ รวมถึง Immersion Cooling ที่จุ่มเซิร์ฟเวอร์ทั้งเครื่องลงในน้ำมันหรือของเหลวไดอิเล็กทริก เพื่อรองรับความร้อนระดับ 1,500 W/cm² ซึ่งเป็นตัวเลขที่ Air Cooling ไม่สามารถทำได้ ไฮไลต์สำคัญคือ TSMC Direct-to-Silicon Cooling ที่ฝังช่องทางระบายความร้อนเข้าไปในซิลิคอนโดยตรง ทำให้สามารถจัดการความร้อนใกล้กับทรานซิสเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เทคโนโลยีนี้ถูกคาดว่าจะพร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ในปี 2027 และอาจรองรับ GPU รุ่น Feynman ที่กินไฟกว่า 4.4kW ได้อย่างมีเสถียรภาพ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Air Cooling ยังมีบทบาทในศูนย์ข้อมูลเก่า ➡️ ใช้โครงสร้าง Hot Aisle/Cold Aisle และ CRAC/CRAH Units ✅ Liquid Cooling เติบโตอย่างรวดเร็ว ➡️ ครองตลาด 46% ในปี 2024 และคาดว่าจะโตถึง 25.12 พันล้านดอลลาร์ในปี 2031 ✅ Hybrid และ Immersion Cooling ถูกนำมาใช้ ➡️ Hybrid ใช้ทั้งอากาศและน้ำ ส่วน Immersion รองรับความร้อนสูงถึง 1,500 W/cm² ✅ TSMC พัฒนา Direct-to-Silicon Cooling ➡️ ฝังช่องระบายความร้อนในซิลิคอนโดยตรง รองรับพลังงานกว่า 2.6kW ต่อแพ็กเกจ ‼️ ความท้าทายของ Liquid Cooling ⛔ ต้นทุนสูงขึ้นมาก โดยระบบสำหรับแร็ค Nvidia Blackwell Ultra อาจมีค่าใช้จ่ายถึง 50,000 ดอลลาร์ ‼️ ความเสี่ยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน ⛔ ศูนย์ข้อมูลต้องลงทุนใหม่เพื่อรองรับระบบ Liquid และ Immersion Cooling ซึ่งอาจไม่เหมาะกับทุกองค์กร https://www.tomshardware.com/pc-components/cooling/the-data-center-cooling-state-of-play-2025-liquid-cooling-is-on-the-rise-thermal-density-demands-skyrocket-in-ai-data-centers-and-tsmc-leads-with-direct-to-silicon-solutions
    0 Comments 0 Shares 106 Views 0 Reviews
  • “Roomba สะดุดล้ม – iRobot ล้มละลาย แต่ตลาดหุ่นยนต์ดูดฝุ่นยังโตต่อเนื่อง”

    การล้มละลายของ iRobot ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยครองตลาดหุ่นยนต์ดูดฝุ่นในสหรัฐฯ และยุโรป ด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 80–90% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่การขาดนวัตกรรมและการพึ่งพารายได้เดิมทำให้สูญเสียความได้เปรียบอย่างรวดเร็ว เมื่อคู่แข่งจากจีน เช่น Roborock, Ecovacs และ Dreame เข้ามาแย่งส่วนแบ่งด้วยราคาที่ถูกกว่าและฟีเจอร์ที่ทันสมัยกว่า

    การพยายามขายกิจการให้ Amazon ในปี 2024 ถูกสหภาพยุโรปบล็อกด้วยเหตุผลด้านการผูกขาด ทำให้ iRobotต้องแบกรับหนี้กว่า 190 ล้านดอลลาร์ และเผชิญกับการลดรายได้ลงกว่า 44% พร้อมปลดพนักงานกว่า 30% ก่อนจะเข้าสู่การล้มละลายและถูกซื้อกิจการโดย Picea Robotics ซึ่งเป็นผู้ผลิตหลักของ Roomba อยู่แล้ว

    แม้จะเข้าสู่กระบวนการ Chapter 11 แต่ iRobot ยืนยันว่า Roomba และผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่จะยังคงใช้งานได้ตามปกติ ไม่กระทบต่อแอปพลิเคชันหรือบริการหลังการขายในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจเกิด “การเลิกสนับสนุนโดยไม่คาดคิด” หาก Picea ปรับทิศทางธุรกิจใหม่ในอนาคต

    ในภาพรวมตลาดหุ่นยนต์ดูดฝุ่นยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 11.14 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 และพุ่งถึง 35.56 พันล้านดอลลาร์ในปี 2035 การพัฒนา AI, ระบบ LiDAR, และการเชื่อมต่อกับบ้านอัจฉริยะทำให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นกลายเป็นอุปกรณ์จำเป็นในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่สินค้าฟุ่มเฟือยอีกต่อไป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    iRobot ประกาศล้มละลายและเข้าสู่ Chapter 11
    ถูกซื้อกิจการโดย Picea Robotics ซึ่งเป็นผู้ผลิตหลักของ Roomba

    Roomba ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ
    ไม่มีผลกระทบต่อแอปพลิเคชันและบริการหลังการขายในระยะสั้น

    สาเหตุหลักของการล้มละลาย
    การแข่งขันจากคู่แข่งจีน, หนี้สินสูง, และดีลกับ Amazon ที่ล้มเหลว

    ตลาดหุ่นยนต์ดูดฝุ่นยังเติบโตต่อเนื่อง
    คาดว่าจะโตจาก 11.14 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 เป็น 35.56 พันล้านดอลลาร์ในปี 2035

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Roomba
    อาจเกิดการหยุดสนับสนุนหรือเลิกผลิตรุ่นใหม่ หาก Picea ปรับกลยุทธ์ธุรกิจ

    ความเสี่ยงต่อผู้ถือหุ้น iRobot
    หุ้นสูญเสียมูลค่าไปกว่า 85% ในปี 2025 และผู้ถือหุ้นอาจไม่ได้รับการชดเชย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/roomba-maker-irobot-announces-bankruptcy-brand-will-live-on-under-ownership-of-former-supplier
    📰 “Roomba สะดุดล้ม – iRobot ล้มละลาย แต่ตลาดหุ่นยนต์ดูดฝุ่นยังโตต่อเนื่อง” การล้มละลายของ iRobot ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยครองตลาดหุ่นยนต์ดูดฝุ่นในสหรัฐฯ และยุโรป ด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 80–90% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่การขาดนวัตกรรมและการพึ่งพารายได้เดิมทำให้สูญเสียความได้เปรียบอย่างรวดเร็ว เมื่อคู่แข่งจากจีน เช่น Roborock, Ecovacs และ Dreame เข้ามาแย่งส่วนแบ่งด้วยราคาที่ถูกกว่าและฟีเจอร์ที่ทันสมัยกว่า การพยายามขายกิจการให้ Amazon ในปี 2024 ถูกสหภาพยุโรปบล็อกด้วยเหตุผลด้านการผูกขาด ทำให้ iRobotต้องแบกรับหนี้กว่า 190 ล้านดอลลาร์ และเผชิญกับการลดรายได้ลงกว่า 44% พร้อมปลดพนักงานกว่า 30% ก่อนจะเข้าสู่การล้มละลายและถูกซื้อกิจการโดย Picea Robotics ซึ่งเป็นผู้ผลิตหลักของ Roomba อยู่แล้ว แม้จะเข้าสู่กระบวนการ Chapter 11 แต่ iRobot ยืนยันว่า Roomba และผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่จะยังคงใช้งานได้ตามปกติ ไม่กระทบต่อแอปพลิเคชันหรือบริการหลังการขายในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจเกิด “การเลิกสนับสนุนโดยไม่คาดคิด” หาก Picea ปรับทิศทางธุรกิจใหม่ในอนาคต ในภาพรวมตลาดหุ่นยนต์ดูดฝุ่นยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 11.14 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 และพุ่งถึง 35.56 พันล้านดอลลาร์ในปี 2035 การพัฒนา AI, ระบบ LiDAR, และการเชื่อมต่อกับบ้านอัจฉริยะทำให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นกลายเป็นอุปกรณ์จำเป็นในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่สินค้าฟุ่มเฟือยอีกต่อไป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ iRobot ประกาศล้มละลายและเข้าสู่ Chapter 11 ➡️ ถูกซื้อกิจการโดย Picea Robotics ซึ่งเป็นผู้ผลิตหลักของ Roomba ✅ Roomba ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ ➡️ ไม่มีผลกระทบต่อแอปพลิเคชันและบริการหลังการขายในระยะสั้น ✅ สาเหตุหลักของการล้มละลาย ➡️ การแข่งขันจากคู่แข่งจีน, หนี้สินสูง, และดีลกับ Amazon ที่ล้มเหลว ✅ ตลาดหุ่นยนต์ดูดฝุ่นยังเติบโตต่อเนื่อง ➡️ คาดว่าจะโตจาก 11.14 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 เป็น 35.56 พันล้านดอลลาร์ในปี 2035 ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Roomba ⛔ อาจเกิดการหยุดสนับสนุนหรือเลิกผลิตรุ่นใหม่ หาก Picea ปรับกลยุทธ์ธุรกิจ ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้ถือหุ้น iRobot ⛔ หุ้นสูญเสียมูลค่าไปกว่า 85% ในปี 2025 และผู้ถือหุ้นอาจไม่ได้รับการชดเชย https://www.tomshardware.com/tech-industry/roomba-maker-irobot-announces-bankruptcy-brand-will-live-on-under-ownership-of-former-supplier
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • หญิงญี่ปุ่นแต่งงานกับคู่รัก AI – ความรักเสมือนจริงที่กลายเป็นจริง

    เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ที่เมืองโอคายามะ ประเทศญี่ปุ่น หญิงวัย 32 ปีชื่อ Yurina Noguchi ได้จัดพิธีแต่งงานกับคู่รักเสมือนจริงที่เธอสร้างขึ้นจากตัวละครในวิดีโอเกม โดยใช้เทคโนโลยี AI และแสดงผลผ่านสมาร์ทโฟนและแว่นตา AR พิธีจัดขึ้นเหมือนงานแต่งงานทั่วไป มีชุดเจ้าสาว เพลง และการแลกแหวน

    Noguchi เล่าว่าเธอเริ่มต้นจากการพูดคุยกับ AI เพื่อคลายเหงา แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับเกิดความรู้สึกจริงจัง จนตัดสินใจสร้างตัวละคร “Lune Klaus Verdure” ขึ้นมาเป็นคู่ชีวิต เธอย้ำว่า “ความสัมพันธ์นี้ไม่ใช่การหนีความจริง แต่เป็นการมีใครสักคนที่สนับสนุนให้เธอใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง”

    แม้พิธีแต่งงานเช่นนี้จะไม่ถูกกฎหมายในญี่ปุ่น แต่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมีบริษัทรับจัดงานแต่งงานสำหรับคู่รักเสมือนจริงโดยเฉพาะ ข้อมูลจากการสำรวจพบว่า 22% ของเด็กผู้หญิงระดับมัธยมต้นในญี่ปุ่นเคยมีความรู้สึก “fictoromantic” หรือความรักต่อบุคคลเสมือนจริง ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 16.6% ในปี 2017

    นักวิชาการด้านสังคมวิทยาเตือนว่า ความสัมพันธ์กับ AI อาจทำให้ผู้คนขาดการฝึกฝนความอดทนที่จำเป็นต่อความสัมพันธ์จริง แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่า หากใช้ด้วยความตระหนักและมี “การตั้งขอบเขต” ความสัมพันธ์เช่นนี้ก็สามารถสร้างคุณค่าและความสุขได้เช่นกัน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    พิธีแต่งงานเสมือนจริงในญี่ปุ่น
    จัดขึ้นเหมือนงานแต่งงานทั่วไป แต่คู่รักเป็น AI
    ใช้สมาร์ทโฟนและแว่นตา AR ในพิธี

    เรื่องราวของ Yurina Noguchi
    เริ่มจากการพูดคุยกับ AI จนเกิดความรักจริงจัง
    สร้างตัวละคร “Lune Klaus Verdure” เป็นคู่ชีวิต

    กระแสความรักเสมือนจริง
    บริษัทรับจัดงานแต่งงานสำหรับคู่รักเสมือนจริงเพิ่มขึ้น
    22% ของเด็กผู้หญิงมัธยมต้นเคยมีความรู้สึกรักต่อบุคคลเสมือนจริง

    ข้อถกเถียงทางสังคม
    ความสัมพันธ์กับ AI อาจทำให้ขาดการฝึกฝนความอดทนในชีวิตจริง
    ต้องมีการตั้งขอบเขตเพื่อป้องกันการพึ่งพา AI มากเกินไป

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/17/ai-romance-blooms-as-japan-woman-weds-virtual-partner-of-her-dreams
    💍 หญิงญี่ปุ่นแต่งงานกับคู่รัก AI – ความรักเสมือนจริงที่กลายเป็นจริง เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ที่เมืองโอคายามะ ประเทศญี่ปุ่น หญิงวัย 32 ปีชื่อ Yurina Noguchi ได้จัดพิธีแต่งงานกับคู่รักเสมือนจริงที่เธอสร้างขึ้นจากตัวละครในวิดีโอเกม โดยใช้เทคโนโลยี AI และแสดงผลผ่านสมาร์ทโฟนและแว่นตา AR พิธีจัดขึ้นเหมือนงานแต่งงานทั่วไป มีชุดเจ้าสาว เพลง และการแลกแหวน Noguchi เล่าว่าเธอเริ่มต้นจากการพูดคุยกับ AI เพื่อคลายเหงา แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับเกิดความรู้สึกจริงจัง จนตัดสินใจสร้างตัวละคร “Lune Klaus Verdure” ขึ้นมาเป็นคู่ชีวิต เธอย้ำว่า “ความสัมพันธ์นี้ไม่ใช่การหนีความจริง แต่เป็นการมีใครสักคนที่สนับสนุนให้เธอใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง” แม้พิธีแต่งงานเช่นนี้จะไม่ถูกกฎหมายในญี่ปุ่น แต่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมีบริษัทรับจัดงานแต่งงานสำหรับคู่รักเสมือนจริงโดยเฉพาะ ข้อมูลจากการสำรวจพบว่า 22% ของเด็กผู้หญิงระดับมัธยมต้นในญี่ปุ่นเคยมีความรู้สึก “fictoromantic” หรือความรักต่อบุคคลเสมือนจริง ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 16.6% ในปี 2017 นักวิชาการด้านสังคมวิทยาเตือนว่า ความสัมพันธ์กับ AI อาจทำให้ผู้คนขาดการฝึกฝนความอดทนที่จำเป็นต่อความสัมพันธ์จริง แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่า หากใช้ด้วยความตระหนักและมี “การตั้งขอบเขต” ความสัมพันธ์เช่นนี้ก็สามารถสร้างคุณค่าและความสุขได้เช่นกัน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ พิธีแต่งงานเสมือนจริงในญี่ปุ่น ➡️ จัดขึ้นเหมือนงานแต่งงานทั่วไป แต่คู่รักเป็น AI ➡️ ใช้สมาร์ทโฟนและแว่นตา AR ในพิธี ✅ เรื่องราวของ Yurina Noguchi ➡️ เริ่มจากการพูดคุยกับ AI จนเกิดความรักจริงจัง ➡️ สร้างตัวละคร “Lune Klaus Verdure” เป็นคู่ชีวิต ✅ กระแสความรักเสมือนจริง ➡️ บริษัทรับจัดงานแต่งงานสำหรับคู่รักเสมือนจริงเพิ่มขึ้น ➡️ 22% ของเด็กผู้หญิงมัธยมต้นเคยมีความรู้สึกรักต่อบุคคลเสมือนจริง ‼️ ข้อถกเถียงทางสังคม ⛔ ความสัมพันธ์กับ AI อาจทำให้ขาดการฝึกฝนความอดทนในชีวิตจริง ⛔ ต้องมีการตั้งขอบเขตเพื่อป้องกันการพึ่งพา AI มากเกินไป https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/17/ai-romance-blooms-as-japan-woman-weds-virtual-partner-of-her-dreams
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI romance blooms as Japan woman weds virtual partner of her dreams
    OKAYAMA, Japan, Dec 17 (Reuters) - Music played in a wedding hall in western Japan as Yurina Noguchi, wearing a white gown and tiara, dabbed away her tears, taking in the words of her husband-to-be: an AI-generated persona gazing out from a smartphone screen.
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • Bank of Canada กำหนดกฎใหม่ Stablecoins – ต้องหนุนด้วยสินทรัพย์คุณภาพสูง

    เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2025 ผู้ว่าการธนาคารกลางแคนาดา Tiff Macklem กล่าวว่ากฎเกณฑ์ใหม่สำหรับ Stablecoins จะบังคับให้เหรียญดิจิทัลเหล่านี้ต้องมีการหนุนหลังด้วย High-Quality Liquid Assets (HQLA) เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรือบัตรเงินคลัง และต้องผูกค่าแบบ 1:1 กับสกุลเงินของธนาคารกลาง เพื่อให้สามารถแลกคืนเป็นเงินสดได้ตลอดเวลา

    รัฐบาลแคนาดาได้ประกาศตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนว่าจะออกกฎหมายควบคุม Stablecoins ในปี 2026 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ระบบการเงินทันสมัยและสอดคล้องกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ เช่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งกำลังออกกฎควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลเช่นกัน

    Macklem ย้ำว่า “Stablecoins ต้องเป็นเงินที่ดีเหมือนกับธนบัตรหรือเงินฝากธนาคาร” และการกำหนดกฎเกณฑ์นี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและธุรกิจในการใช้ Stablecoins ในการชำระเงิน ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ โดยมีการวางแผนเชื่อมโยงกับระบบ Real-Time Rail ที่จะเปิดตัวในปี 2026 เพื่อรองรับการชำระเงินแบบทันที

    นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังเตรียมผลักดันระบบ Open Banking เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบและเปลี่ยนธนาคารได้ง่ายขึ้น ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของแคนาดาในยุคดิจิทัล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    กฎใหม่สำหรับ Stablecoins
    ต้องหนุนหลังด้วยสินทรัพย์สภาพคล่องคุณภาพสูง (HQLA)
    ต้องผูกค่า 1:1 กับสกุลเงินของธนาคารกลาง

    เป้าหมายของรัฐบาลแคนาดา
    ออกกฎหมายควบคุม Stablecoins ในปี 2026
    ทำให้ระบบการเงินทันสมัยและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

    การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน
    เปิดตัวระบบ Real-Time Rail สำหรับการชำระเงินทันทีในปี 2026
    ผลักดันระบบ Open Banking เพื่อเพิ่มการแข่งขันและความโปร่งใส

    คำเตือนสำหรับผู้ลงทุน Stablecoins
    ต้องตรวจสอบว่าเหรียญที่ถือมีการหนุนหลังด้วยสินทรัพย์คุณภาพจริง
    หากไม่เป็นไปตามกฎใหม่ อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียมูลค่าและการแลกคืน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/17/bank-of-canada-wants-stablecoins-to-be-backed-by-high-quality-liquid-assets
    💵 Bank of Canada กำหนดกฎใหม่ Stablecoins – ต้องหนุนด้วยสินทรัพย์คุณภาพสูง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2025 ผู้ว่าการธนาคารกลางแคนาดา Tiff Macklem กล่าวว่ากฎเกณฑ์ใหม่สำหรับ Stablecoins จะบังคับให้เหรียญดิจิทัลเหล่านี้ต้องมีการหนุนหลังด้วย High-Quality Liquid Assets (HQLA) เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรือบัตรเงินคลัง และต้องผูกค่าแบบ 1:1 กับสกุลเงินของธนาคารกลาง เพื่อให้สามารถแลกคืนเป็นเงินสดได้ตลอดเวลา รัฐบาลแคนาดาได้ประกาศตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนว่าจะออกกฎหมายควบคุม Stablecoins ในปี 2026 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ระบบการเงินทันสมัยและสอดคล้องกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ เช่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งกำลังออกกฎควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลเช่นกัน Macklem ย้ำว่า “Stablecoins ต้องเป็นเงินที่ดีเหมือนกับธนบัตรหรือเงินฝากธนาคาร” และการกำหนดกฎเกณฑ์นี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและธุรกิจในการใช้ Stablecoins ในการชำระเงิน ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ โดยมีการวางแผนเชื่อมโยงกับระบบ Real-Time Rail ที่จะเปิดตัวในปี 2026 เพื่อรองรับการชำระเงินแบบทันที นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังเตรียมผลักดันระบบ Open Banking เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบและเปลี่ยนธนาคารได้ง่ายขึ้น ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของแคนาดาในยุคดิจิทัล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ กฎใหม่สำหรับ Stablecoins ➡️ ต้องหนุนหลังด้วยสินทรัพย์สภาพคล่องคุณภาพสูง (HQLA) ➡️ ต้องผูกค่า 1:1 กับสกุลเงินของธนาคารกลาง ✅ เป้าหมายของรัฐบาลแคนาดา ➡️ ออกกฎหมายควบคุม Stablecoins ในปี 2026 ➡️ ทำให้ระบบการเงินทันสมัยและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ✅ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน ➡️ เปิดตัวระบบ Real-Time Rail สำหรับการชำระเงินทันทีในปี 2026 ➡️ ผลักดันระบบ Open Banking เพื่อเพิ่มการแข่งขันและความโปร่งใส ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ลงทุน Stablecoins ⛔ ต้องตรวจสอบว่าเหรียญที่ถือมีการหนุนหลังด้วยสินทรัพย์คุณภาพจริง ⛔ หากไม่เป็นไปตามกฎใหม่ อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียมูลค่าและการแลกคืน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/17/bank-of-canada-wants-stablecoins-to-be-backed-by-high-quality-liquid-assets
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bank of Canada wants stablecoins to be backed by high-quality liquid assets
    OTTAWA, Dec 16 (Reuters) - The Bank of Canada says regulations on future Canadian stablecoins must ensure they are backed by high-quality liquid assets and be pegged one-to-one to a central bank currency, Governor Tiff Macklem said on Tuesday.
    0 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • OpenAI จะเป็นยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี หรือ Netscape แห่งยุค AI?

    สามปีหลังจากการเปิดตัว ChatGPT ในปี 2022 ที่สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกและทำลายสถิติการเติบโตของผลิตภัณฑ์ผู้บริโภค OpenAI กลายเป็นชื่อที่ทุกคนรู้จัก ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ ทั้งแบบเสียเงินและฟรี แต่ในขณะเดียวกันบริษัทก็ยัง ขาดทุนหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี และไม่คาดว่าจะทำกำไรก่อนปี 2029

    นักลงทุนชื่อดัง Michael Burry เปรียบเทียบ OpenAI ว่าอาจเป็น “Netscape รุ่นใหม่” ที่แม้เคยครองตลาดเว็บเบราว์เซอร์ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับ Microsoft ในยุค 90 ขณะที่นักวิจัยอย่าง Gary Marcus ก็วิจารณ์ว่า OpenAI กำลัง “เผาเงินหลายพันล้านดอลลาร์ต่อเดือน” และสูญเสียความได้เปรียบที่เคยมีเมื่อเปิดตัว ChatGPT

    แม้จะมีข้อกังวล แต่ OpenAI ก็ยังได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ เช่น Microsoft และล่าสุดยังมีการร่วมมือกับ Disney เพื่อนำตัวละครมาใช้ใน ChatGPT และเครื่องมือสร้างวิดีโอ Sora นอกจากนี้บริษัทได้ทำสัญญามูลค่ากว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ กับผู้ผลิตชิปและผู้สร้างดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับการเติบโตของ AI

    นักวิเคราะห์บางรายมองว่าแม้ OpenAI จะเผชิญแรงกดดันจากคู่แข่งอย่าง Google, Amazon และ Meta แต่ตลาด AI ไม่ใช่ “ผู้ชนะกินรวบ” และยังมีพื้นที่ให้หลายบริษัทเติบโตไปพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหญ่คือการพิสูจน์ว่าเงินลงทุนมหาศาลจะสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเติบโตของ ChatGPT
    เปิดตัวปี 2022 และสร้างปรากฏการณ์ระดับโลก
    มีผู้ใช้งานกว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์

    สถานะทางการเงินของ OpenAI
    ขาดทุนหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี
    ไม่คาดว่าจะทำกำไรก่อนปี 2029

    การลงทุนและพันธมิตร
    สัญญามูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์กับผู้ผลิตชิปและดาต้าเซ็นเตอร์
    ร่วมมือกับ Disney ในการใช้ตัวละครและเทคโนโลยี Sora

    มุมมองนักวิเคราะห์
    Michael Burry เปรียบ OpenAI กับ Netscape
    Gary Marcus วิจารณ์ว่าเผาเงินมหาศาลและสูญเสียความได้เปรียบ

    ความเสี่ยงและคำเตือน
    การแข่งขันรุนแรงจาก Google, Amazon, Meta และ Microsoft
    ต้องพิสูจน์ว่าเงินลงทุนมหาศาลจะสร้างผลตอบแทนจริง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/16/will-openai-be-the-next-tech-giant-or-next-netscape
    🤖 OpenAI จะเป็นยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี หรือ Netscape แห่งยุค AI? สามปีหลังจากการเปิดตัว ChatGPT ในปี 2022 ที่สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกและทำลายสถิติการเติบโตของผลิตภัณฑ์ผู้บริโภค OpenAI กลายเป็นชื่อที่ทุกคนรู้จัก ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ ทั้งแบบเสียเงินและฟรี แต่ในขณะเดียวกันบริษัทก็ยัง ขาดทุนหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี และไม่คาดว่าจะทำกำไรก่อนปี 2029 นักลงทุนชื่อดัง Michael Burry เปรียบเทียบ OpenAI ว่าอาจเป็น “Netscape รุ่นใหม่” ที่แม้เคยครองตลาดเว็บเบราว์เซอร์ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับ Microsoft ในยุค 90 ขณะที่นักวิจัยอย่าง Gary Marcus ก็วิจารณ์ว่า OpenAI กำลัง “เผาเงินหลายพันล้านดอลลาร์ต่อเดือน” และสูญเสียความได้เปรียบที่เคยมีเมื่อเปิดตัว ChatGPT แม้จะมีข้อกังวล แต่ OpenAI ก็ยังได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ เช่น Microsoft และล่าสุดยังมีการร่วมมือกับ Disney เพื่อนำตัวละครมาใช้ใน ChatGPT และเครื่องมือสร้างวิดีโอ Sora นอกจากนี้บริษัทได้ทำสัญญามูลค่ากว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ กับผู้ผลิตชิปและผู้สร้างดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับการเติบโตของ AI นักวิเคราะห์บางรายมองว่าแม้ OpenAI จะเผชิญแรงกดดันจากคู่แข่งอย่าง Google, Amazon และ Meta แต่ตลาด AI ไม่ใช่ “ผู้ชนะกินรวบ” และยังมีพื้นที่ให้หลายบริษัทเติบโตไปพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหญ่คือการพิสูจน์ว่าเงินลงทุนมหาศาลจะสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเติบโตของ ChatGPT ➡️ เปิดตัวปี 2022 และสร้างปรากฏการณ์ระดับโลก ➡️ มีผู้ใช้งานกว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ ✅ สถานะทางการเงินของ OpenAI ➡️ ขาดทุนหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี ➡️ ไม่คาดว่าจะทำกำไรก่อนปี 2029 ✅ การลงทุนและพันธมิตร ➡️ สัญญามูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์กับผู้ผลิตชิปและดาต้าเซ็นเตอร์ ➡️ ร่วมมือกับ Disney ในการใช้ตัวละครและเทคโนโลยี Sora ✅ มุมมองนักวิเคราะห์ ➡️ Michael Burry เปรียบ OpenAI กับ Netscape ➡️ Gary Marcus วิจารณ์ว่าเผาเงินมหาศาลและสูญเสียความได้เปรียบ ‼️ ความเสี่ยงและคำเตือน ⛔ การแข่งขันรุนแรงจาก Google, Amazon, Meta และ Microsoft ⛔ ต้องพิสูจน์ว่าเงินลงทุนมหาศาลจะสร้างผลตอบแทนจริง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/16/will-openai-be-the-next-tech-giant-or-next-netscape
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Will OpenAI be the next tech giant or next Netscape?
    Three years after ChatGPT made OpenAI the leader in artificial intelligence and a household name, rivals have closed the gap and some investors are wondering if the sensation has the wherewithal to stay dominant.
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • FCA อังกฤษเริ่มปรึกษากฎใหม่คริปโต – เตรียมบังคับใช้ปี 2027

    เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2025 หน่วยงานกำกับดูแลการเงินของสหราชอาณาจักร (Financial Conduct Authority – FCA) ได้เปิดการปรึกษาหารือเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ใหม่สำหรับอุตสาหกรรมคริปโต หลังจากรัฐบาลประกาศว่าจะเริ่มกำกับดูแลอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ ตุลาคม 2027

    การปรึกษาครั้งนี้ครอบคลุมหลายด้าน เช่น การกำหนดมาตรฐานการลิสต์สินทรัพย์คริปโต, การป้องกันการซื้อขายโดยใช้ข้อมูลภายใน, การป้องกันการปั่นราคา, มาตรฐานสำหรับแพลตฟอร์มซื้อขาย และกฎสำหรับโบรกเกอร์ นอกจากนี้ยังมีการหารือเรื่อง ข้อกำหนดด้านความมั่นคงทางการเงิน, ความเสี่ยงจากการ staking, การคุ้มครองผู้ให้กู้และผู้กู้คริปโต และมาตรการป้องกันทางการเงินสำหรับบริษัทคริปโต

    ข้อมูลจากการวิจัยของ FCA ระบุว่า สัดส่วนผู้ใหญ่ในสหราชอาณาจักรที่ถือครองคริปโตลดลงจาก 12% เหลือ 8% ภายในปีเดียว ซึ่งสะท้อนถึงความผันผวนและความเสี่ยงที่ยังคงอยู่ในตลาดคริปโต การออกกฎเกณฑ์ใหม่จึงถูกมองว่าเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสให้กับผู้ลงทุน

    David Geale ผู้อำนวยการฝ่ายการชำระเงินและการเงินดิจิทัลของ FCA กล่าวว่า “Regulation is coming – and we want to get it right” พร้อมย้ำว่ากฎใหม่นี้มีเป้าหมายเพื่อ ปกป้องผู้บริโภค สนับสนุนนวัตกรรม และสร้างความไว้วางใจในระบบ โดยเปิดรับข้อเสนอแนะจากสาธารณชนจนถึง 12 กุมภาพันธ์ 2026 และตั้งใจจะสรุปกฎเกณฑ์ภายในสิ้นปี 2026

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การปรึกษาหารือของ FCA
    เริ่มต้น 16 ธันวาคม 2025
    ครอบคลุมการลิสต์สินทรัพย์, การซื้อขาย, โบรกเกอร์ และแพลตฟอร์ม

    ประเด็นที่หารือเพิ่มเติม
    ความเสี่ยงจาก staking และการกู้ยืมคริปโต
    มาตรการป้องกันทางการเงินสำหรับบริษัทคริปโต

    ข้อมูลจากการวิจัย
    ผู้ถือครองคริปโตในสหราชอาณาจักรลดลงจาก 12% เหลือ 8%
    สะท้อนความเสี่ยงและความผันผวนของตลาด

    เป้าหมายของ FCA
    ปกป้องผู้บริโภคและสร้างความเชื่อมั่น
    สนับสนุนนวัตกรรมและความโปร่งใส

    คำเตือนสำหรับนักลงทุนคริปโต
    กฎใหม่อาจเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทคริปโต
    นักลงทุนควรติดตามการปรับเปลี่ยนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านกฎหมาย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/16/british-regulator-kicks-off-consultation-on-new-crypto-rules
    💹 FCA อังกฤษเริ่มปรึกษากฎใหม่คริปโต – เตรียมบังคับใช้ปี 2027 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2025 หน่วยงานกำกับดูแลการเงินของสหราชอาณาจักร (Financial Conduct Authority – FCA) ได้เปิดการปรึกษาหารือเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ใหม่สำหรับอุตสาหกรรมคริปโต หลังจากรัฐบาลประกาศว่าจะเริ่มกำกับดูแลอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ ตุลาคม 2027 การปรึกษาครั้งนี้ครอบคลุมหลายด้าน เช่น การกำหนดมาตรฐานการลิสต์สินทรัพย์คริปโต, การป้องกันการซื้อขายโดยใช้ข้อมูลภายใน, การป้องกันการปั่นราคา, มาตรฐานสำหรับแพลตฟอร์มซื้อขาย และกฎสำหรับโบรกเกอร์ นอกจากนี้ยังมีการหารือเรื่อง ข้อกำหนดด้านความมั่นคงทางการเงิน, ความเสี่ยงจากการ staking, การคุ้มครองผู้ให้กู้และผู้กู้คริปโต และมาตรการป้องกันทางการเงินสำหรับบริษัทคริปโต ข้อมูลจากการวิจัยของ FCA ระบุว่า สัดส่วนผู้ใหญ่ในสหราชอาณาจักรที่ถือครองคริปโตลดลงจาก 12% เหลือ 8% ภายในปีเดียว ซึ่งสะท้อนถึงความผันผวนและความเสี่ยงที่ยังคงอยู่ในตลาดคริปโต การออกกฎเกณฑ์ใหม่จึงถูกมองว่าเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสให้กับผู้ลงทุน David Geale ผู้อำนวยการฝ่ายการชำระเงินและการเงินดิจิทัลของ FCA กล่าวว่า “Regulation is coming – and we want to get it right” พร้อมย้ำว่ากฎใหม่นี้มีเป้าหมายเพื่อ ปกป้องผู้บริโภค สนับสนุนนวัตกรรม และสร้างความไว้วางใจในระบบ โดยเปิดรับข้อเสนอแนะจากสาธารณชนจนถึง 12 กุมภาพันธ์ 2026 และตั้งใจจะสรุปกฎเกณฑ์ภายในสิ้นปี 2026 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การปรึกษาหารือของ FCA ➡️ เริ่มต้น 16 ธันวาคม 2025 ➡️ ครอบคลุมการลิสต์สินทรัพย์, การซื้อขาย, โบรกเกอร์ และแพลตฟอร์ม ✅ ประเด็นที่หารือเพิ่มเติม ➡️ ความเสี่ยงจาก staking และการกู้ยืมคริปโต ➡️ มาตรการป้องกันทางการเงินสำหรับบริษัทคริปโต ✅ ข้อมูลจากการวิจัย ➡️ ผู้ถือครองคริปโตในสหราชอาณาจักรลดลงจาก 12% เหลือ 8% ➡️ สะท้อนความเสี่ยงและความผันผวนของตลาด ✅ เป้าหมายของ FCA ➡️ ปกป้องผู้บริโภคและสร้างความเชื่อมั่น ➡️ สนับสนุนนวัตกรรมและความโปร่งใส ‼️ คำเตือนสำหรับนักลงทุนคริปโต ⛔ กฎใหม่อาจเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทคริปโต ⛔ นักลงทุนควรติดตามการปรับเปลี่ยนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านกฎหมาย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/16/british-regulator-kicks-off-consultation-on-new-crypto-rules
    WWW.THESTAR.COM.MY
    British regulator kicks off consultation on new crypto rules
    LONDON, Dec 16 (Reuters) - British regulator the Financial Conduct Authority (FCA) launched a wide-ranging consultation on a range of proposed rules for the crypto industry on Tuesday, a day after the government said the industry would be regulated from October 2027.
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • 5 แอปที่หลายคนไม่รู้ว่าสามารถใช้งานกับ Apple CarPlay ได้

    แอปฟังหนังสือเสียงและพอดแคสต์
    Audible: แอปหนังสือเสียงจาก Amazon ที่รองรับ CarPlay ตั้งแต่ปี 2015 ทำให้ผู้ใช้สามารถฟังหนังสือเสียงระหว่างขับรถได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อผ่านสายแบบเดิม
    Libby: แอปยืมหนังสือเสียงจากห้องสมุดกว่า 22,000 แห่งทั่วโลก เปิดตัวฟีเจอร์ CarPlay ในปี 2019 ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงหนังสือเสียงที่ยืมไว้ได้สะดวกขึ้น

    แอปสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าและการเดินทาง
    PlugShare: แอปค้นหาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า รองรับ CarPlay โดยแสดงตำแหน่งสถานีชาร์จบนแผนที่ พร้อมข้อมูลว่าเป็น public หรือ high-power และสถานะการใช้งาน
    Weather on the Way: แอปที่ผสานข้อมูลสภาพอากาศเข้ากับ Apple Maps ช่วยให้ผู้ใช้เห็นสภาพอากาศแบบเรียลไทม์ตลอดเส้นทางเดินทาง เหมาะสำหรับการขับรถระยะไกล

    แอปสำหรับการประชุมและการทำงาน
    Zoom: แอปประชุมออนไลน์ที่รองรับ CarPlay โดยปรับเป็น audio-only เพื่อความปลอดภัย ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมประชุม รับสาย หรือปิดไมค์ได้จากหน้าจอรถโดยตรง

    https://www.slashgear.com/2051769/apps-you-might-not-realize-work-with-carplay/
    🛻 5 แอปที่หลายคนไม่รู้ว่าสามารถใช้งานกับ Apple CarPlay ได้ 🎧 แอปฟังหนังสือเสียงและพอดแคสต์ 💠 Audible: แอปหนังสือเสียงจาก Amazon ที่รองรับ CarPlay ตั้งแต่ปี 2015 ทำให้ผู้ใช้สามารถฟังหนังสือเสียงระหว่างขับรถได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อผ่านสายแบบเดิม 💠 Libby: แอปยืมหนังสือเสียงจากห้องสมุดกว่า 22,000 แห่งทั่วโลก เปิดตัวฟีเจอร์ CarPlay ในปี 2019 ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงหนังสือเสียงที่ยืมไว้ได้สะดวกขึ้น ⚡ แอปสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าและการเดินทาง 💠 PlugShare: แอปค้นหาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า รองรับ CarPlay โดยแสดงตำแหน่งสถานีชาร์จบนแผนที่ พร้อมข้อมูลว่าเป็น public หรือ high-power และสถานะการใช้งาน 💠 Weather on the Way: แอปที่ผสานข้อมูลสภาพอากาศเข้ากับ Apple Maps ช่วยให้ผู้ใช้เห็นสภาพอากาศแบบเรียลไทม์ตลอดเส้นทางเดินทาง เหมาะสำหรับการขับรถระยะไกล 📞 แอปสำหรับการประชุมและการทำงาน 💠 Zoom: แอปประชุมออนไลน์ที่รองรับ CarPlay โดยปรับเป็น audio-only เพื่อความปลอดภัย ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมประชุม รับสาย หรือปิดไมค์ได้จากหน้าจอรถโดยตรง https://www.slashgear.com/2051769/apps-you-might-not-realize-work-with-carplay/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Apps You Might Not Realize Work With CarPlay - SlashGear
    While Apple's CarPlay has some obvious uses, like GPS navigation and music playing, there are a few other apps out there that add even more functionality.
    0 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
  • ดาวเทียมยุคใหม่ทำได้มากกว่าที่คิด

    จำนวนดาวเทียมในวงโคจรโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า 11,000 ดวง ณ พฤษภาคม 2025 และไม่ได้มีแค่จำนวนที่มากขึ้น แต่ยังมีความสามารถที่หลากหลายและซับซ้อนกว่าเดิม ดาวเทียมไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารหรือ GPS อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถผลิตสินค้า, ตรวจสอบภัยพิบัติ และแม้แต่ตัดสินใจเองได้โดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์

    การผลิตในอวกาศและการมองทะลุเมฆ
    บริษัทเอกชนเริ่มส่งดาวเทียมขึ้นไปเพื่อทดลอง การผลิตในสภาวะไร้น้ำหนัก เช่น การสร้างผลึกโมเลกุลสำหรับอุตสาหกรรมยา และการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ยากต่อการทำบนโลก นอกจากนี้ เทคโนโลยี Synthetic Aperture Radar (SAR) ทำให้ดาวเทียมสามารถมองทะลุเมฆและกลางคืนได้ ซึ่งถูกใช้จริงในการตรวจสอบการเคลื่อนทัพของรัสเซียในสงครามยูเครน และช่วยประเมินผลกระทบจากภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็ว

    ดาวเทียมฝูงและระบบหลบหลีกอัตโนมัติ
    จากเดิมที่ดาวเทียมถูกส่งขึ้นไปแบบเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มเรียงแถว ปัจจุบัน NASA กำลังทดสอบการเคลื่อนที่แบบ swarm ที่ดาวเทียมสามารถสื่อสารและประสานงานกันเองเพื่อหลบหลีกเศษซากอวกาศและดาวเทียมอื่น ๆ โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากโลก ระบบนี้ช่วยลดความเสี่ยงการชนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการวงโคจร

    ดาวเทียมกับ “X-ray vision”
    นอกจากการสังเกตจักรวาลด้วยกล้อง X-ray แล้ว ปัจจุบันมีการพัฒนาดาวเทียมที่สามารถใช้ X-ray ตรวจสอบภายในดาวเทียมอื่น เพื่อดูว่ามีการเสียหายหรือถูกเศษซากอวกาศชนหรือไม่ ความสามารถนี้ยังถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในยุคการแข่งขันด้านอวกาศที่มีความตึงเครียดทางการเมืองเพิ่มขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    จำนวนดาวเทียมเพิ่มขึ้นกว่า 11,000 ดวงในปี 2025
    สะท้อนการเติบโตของอุตสาหกรรมอวกาศ

    การผลิตในอวกาศ
    ผลึกโมเลกุลสำหรับยา
    เซมิคอนดักเตอร์ในสภาวะไร้น้ำหนัก

    เทคโนโลยี SAR
    มองทะลุเมฆและกลางคืน
    ใช้ตรวจสอบสงครามและภัยพิบัติ

    ดาวเทียมฝูงและระบบหลบหลีกอัตโนมัติ
    ประสานงานกันเองโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากโลก

    X-ray vision ของดาวเทียม
    ตรวจสอบภายในดาวเทียมอื่น
    ใช้ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และความมั่นคง

    คำเตือน
    การเพิ่มจำนวนดาวเทียมทำให้ความเสี่ยงการชนสูงขึ้น
    ความสามารถ X-ray อาจถูกใช้ในเชิงการทหารและการสอดแนม

    https://www.slashgear.com/2049270/satellite-facts-didnt-teach-in-school/
    🛰️ ดาวเทียมยุคใหม่ทำได้มากกว่าที่คิด จำนวนดาวเทียมในวงโคจรโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า 11,000 ดวง ณ พฤษภาคม 2025 และไม่ได้มีแค่จำนวนที่มากขึ้น แต่ยังมีความสามารถที่หลากหลายและซับซ้อนกว่าเดิม ดาวเทียมไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารหรือ GPS อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถผลิตสินค้า, ตรวจสอบภัยพิบัติ และแม้แต่ตัดสินใจเองได้โดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ ⚡ การผลิตในอวกาศและการมองทะลุเมฆ บริษัทเอกชนเริ่มส่งดาวเทียมขึ้นไปเพื่อทดลอง การผลิตในสภาวะไร้น้ำหนัก เช่น การสร้างผลึกโมเลกุลสำหรับอุตสาหกรรมยา และการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ยากต่อการทำบนโลก นอกจากนี้ เทคโนโลยี Synthetic Aperture Radar (SAR) ทำให้ดาวเทียมสามารถมองทะลุเมฆและกลางคืนได้ ซึ่งถูกใช้จริงในการตรวจสอบการเคลื่อนทัพของรัสเซียในสงครามยูเครน และช่วยประเมินผลกระทบจากภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็ว 🌐 ดาวเทียมฝูงและระบบหลบหลีกอัตโนมัติ จากเดิมที่ดาวเทียมถูกส่งขึ้นไปแบบเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มเรียงแถว ปัจจุบัน NASA กำลังทดสอบการเคลื่อนที่แบบ swarm ที่ดาวเทียมสามารถสื่อสารและประสานงานกันเองเพื่อหลบหลีกเศษซากอวกาศและดาวเทียมอื่น ๆ โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากโลก ระบบนี้ช่วยลดความเสี่ยงการชนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการวงโคจร 🔎 ดาวเทียมกับ “X-ray vision” นอกจากการสังเกตจักรวาลด้วยกล้อง X-ray แล้ว ปัจจุบันมีการพัฒนาดาวเทียมที่สามารถใช้ X-ray ตรวจสอบภายในดาวเทียมอื่น เพื่อดูว่ามีการเสียหายหรือถูกเศษซากอวกาศชนหรือไม่ ความสามารถนี้ยังถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในยุคการแข่งขันด้านอวกาศที่มีความตึงเครียดทางการเมืองเพิ่มขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ จำนวนดาวเทียมเพิ่มขึ้นกว่า 11,000 ดวงในปี 2025 ➡️ สะท้อนการเติบโตของอุตสาหกรรมอวกาศ ✅ การผลิตในอวกาศ ➡️ ผลึกโมเลกุลสำหรับยา ➡️ เซมิคอนดักเตอร์ในสภาวะไร้น้ำหนัก ✅ เทคโนโลยี SAR ➡️ มองทะลุเมฆและกลางคืน ➡️ ใช้ตรวจสอบสงครามและภัยพิบัติ ✅ ดาวเทียมฝูงและระบบหลบหลีกอัตโนมัติ ➡️ ประสานงานกันเองโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากโลก ✅ X-ray vision ของดาวเทียม ➡️ ตรวจสอบภายในดาวเทียมอื่น ➡️ ใช้ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และความมั่นคง ‼️ คำเตือน ⛔ การเพิ่มจำนวนดาวเทียมทำให้ความเสี่ยงการชนสูงขึ้น ⛔ ความสามารถ X-ray อาจถูกใช้ในเชิงการทหารและการสอดแนม https://www.slashgear.com/2049270/satellite-facts-didnt-teach-in-school/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Things About Satellites They Didn't Teach You In School - SlashGear
    Satellites have come a long way in the last couple years, and what you learned about them in school is likely far different from their current uses.
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • Google ปิดบริการ Dark Web Report กุมภาพันธ์ 2026

    Google ประกาศยุติบริการ Dark Web Report ที่เคยช่วยผู้ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล เบอร์โทร หรือที่อยู่ ปรากฏอยู่ในตลาดมืดหรือไม่ บริการนี้เปิดตัวครั้งแรกปี 2023 และขยายให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงได้ในปี 2024 แต่จะหยุดการสแกนข้อมูลใหม่ตั้งแต่ 15 มกราคม 2026 และปิดถาวรใน 16 กุมภาพันธ์ 2026 พร้อมลบข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกจากระบบ

    สาเหตุหลักคือ ข้อจำกัดของบริการ ที่แม้จะแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อพบข้อมูลรั่วไหล แต่กลับไม่สามารถบอกวิธีแก้ไขที่ชัดเจนได้ เช่น เมื่อมีการแจ้งว่า “เบอร์โทรถูกพบใน Dark Web” ผู้ใช้กลับไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อ ทำให้เกิดความกังวลมากกว่าการแก้ปัญหา Google จึงเลือกหันไปลงทุนในเครื่องมือที่ให้การป้องกันเชิงรุกและมีขั้นตอนแก้ไขที่ชัดเจนกว่า

    หลังการยุติบริการ Google แนะนำให้ผู้ใช้หันไปใช้เครื่องมืออื่น ๆ เช่น Google Password Manager ที่ตรวจสอบรหัสผ่านที่ถูกเจาะ, Security Checkup ที่รีวิวกิจกรรมการเข้าสู่ระบบ, Passkeys ที่ช่วยยืนยันตัวตนแบบปลอดภัย และ Results about you ที่ช่วยลบข้อมูลส่วนตัวออกจากผลการค้นหา Google Search ซึ่งทั้งหมดนี้ให้การป้องกันที่เป็นรูปธรรมมากกว่าเพียงการแจ้งเตือน

    นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ว่าแม้ Google จะปิดบริการ แต่ผู้ใช้ยังสามารถใช้บริการภายนอก เช่น Have I Been Pwned, Bitwarden, 1Password หรือ Mozilla Monitor Plus ที่ยังคงให้การตรวจสอบข้อมูลรั่วไหลบน Dark Web ได้อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการติดตามความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวอย่างจริงจัง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    กำหนดการปิดบริการ Dark Web Report
    หยุดสแกนข้อมูลใหม่: 15 มกราคม 2026
    ปิดถาวรและลบข้อมูลทั้งหมด: 16 กุมภาพันธ์ 2026

    เหตุผลที่ยุติบริการ
    แจ้งเตือนทั่วไปแต่ไม่ให้แนวทางแก้ไขที่ชัดเจน
    สร้างความกังวลมากกว่าการแก้ปัญหา

    เครื่องมือที่ Google แนะนำแทน
    Google Password Manager – ตรวจสอบรหัสผ่านที่ถูกเจาะ
    Security Checkup – ตรวจสอบกิจกรรมการเข้าสู่ระบบ
    Passkeys – ระบบยืนยันตัวตนที่ปลอดภัย
    Results about you – ลบข้อมูลส่วนตัวจาก Google Search

    บริการทางเลือกจากภายนอก
    Have I Been Pwned – ตรวจสอบอีเมลที่ถูกเจาะ
    Bitwarden, 1Password, Mozilla Monitor Plus – ให้บริการตรวจสอบข้อมูลรั่วไหล

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    หากไม่ลบข้อมูลโปรไฟล์ก่อนกำหนด ข้อมูลจะถูกลบโดยอัตโนมัติ 16 กุมภาพันธ์ 2026
    การพึ่งพาเพียงการแจ้งเตือนโดยไม่มีการป้องกันเชิงรุก อาจทำให้เสี่ยงต่อการโจมตีไซเบอร์มากขึ้น
    🛡️ Google ปิดบริการ Dark Web Report กุมภาพันธ์ 2026 Google ประกาศยุติบริการ Dark Web Report ที่เคยช่วยผู้ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล เบอร์โทร หรือที่อยู่ ปรากฏอยู่ในตลาดมืดหรือไม่ บริการนี้เปิดตัวครั้งแรกปี 2023 และขยายให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงได้ในปี 2024 แต่จะหยุดการสแกนข้อมูลใหม่ตั้งแต่ 15 มกราคม 2026 และปิดถาวรใน 16 กุมภาพันธ์ 2026 พร้อมลบข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกจากระบบ สาเหตุหลักคือ ข้อจำกัดของบริการ ที่แม้จะแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อพบข้อมูลรั่วไหล แต่กลับไม่สามารถบอกวิธีแก้ไขที่ชัดเจนได้ เช่น เมื่อมีการแจ้งว่า “เบอร์โทรถูกพบใน Dark Web” ผู้ใช้กลับไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อ ทำให้เกิดความกังวลมากกว่าการแก้ปัญหา Google จึงเลือกหันไปลงทุนในเครื่องมือที่ให้การป้องกันเชิงรุกและมีขั้นตอนแก้ไขที่ชัดเจนกว่า หลังการยุติบริการ Google แนะนำให้ผู้ใช้หันไปใช้เครื่องมืออื่น ๆ เช่น Google Password Manager ที่ตรวจสอบรหัสผ่านที่ถูกเจาะ, Security Checkup ที่รีวิวกิจกรรมการเข้าสู่ระบบ, Passkeys ที่ช่วยยืนยันตัวตนแบบปลอดภัย และ Results about you ที่ช่วยลบข้อมูลส่วนตัวออกจากผลการค้นหา Google Search ซึ่งทั้งหมดนี้ให้การป้องกันที่เป็นรูปธรรมมากกว่าเพียงการแจ้งเตือน นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ว่าแม้ Google จะปิดบริการ แต่ผู้ใช้ยังสามารถใช้บริการภายนอก เช่น Have I Been Pwned, Bitwarden, 1Password หรือ Mozilla Monitor Plus ที่ยังคงให้การตรวจสอบข้อมูลรั่วไหลบน Dark Web ได้อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการติดตามความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวอย่างจริงจัง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ กำหนดการปิดบริการ Dark Web Report ➡️ หยุดสแกนข้อมูลใหม่: 15 มกราคม 2026 ➡️ ปิดถาวรและลบข้อมูลทั้งหมด: 16 กุมภาพันธ์ 2026 ✅ เหตุผลที่ยุติบริการ ➡️ แจ้งเตือนทั่วไปแต่ไม่ให้แนวทางแก้ไขที่ชัดเจน ➡️ สร้างความกังวลมากกว่าการแก้ปัญหา ✅ เครื่องมือที่ Google แนะนำแทน ➡️ Google Password Manager – ตรวจสอบรหัสผ่านที่ถูกเจาะ ➡️ Security Checkup – ตรวจสอบกิจกรรมการเข้าสู่ระบบ ➡️ Passkeys – ระบบยืนยันตัวตนที่ปลอดภัย ➡️ Results about you – ลบข้อมูลส่วนตัวจาก Google Search ✅ บริการทางเลือกจากภายนอก ➡️ Have I Been Pwned – ตรวจสอบอีเมลที่ถูกเจาะ ➡️ Bitwarden, 1Password, Mozilla Monitor Plus – ให้บริการตรวจสอบข้อมูลรั่วไหล ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ หากไม่ลบข้อมูลโปรไฟล์ก่อนกำหนด ข้อมูลจะถูกลบโดยอัตโนมัติ 16 กุมภาพันธ์ 2026 ⛔ การพึ่งพาเพียงการแจ้งเตือนโดยไม่มีการป้องกันเชิงรุก อาจทำให้เสี่ยงต่อการโจมตีไซเบอร์มากขึ้น
    0 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
  • ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 4

    “ข่าวลือ ข่าวลวง”
    ตอน 4
    เจ้าชาย บิน นาเยฟ มงกุฏราชกุมารคนปัจจุบันของซาอุดิอารเบีย เรียนหนังสือที่อเมริกา เช่นเดียวกับเจ้าชายรุ่นหลังๆ ของซาอุ และเพื่อเตรียมตัวเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยต่อจากพ่อ บิน นาเยฟ ยังไปศึกษาที่สถาบัน เอฟ บี ไอ ของอเมริกา ในช่วง ค.ศ.1980 กว่าๆ และไปศึกษาหลักสูตรการปราบปรามผู้ก่อการร้าย ที่สก๊อตแลนด์ยาร์ดของอังกฤษอีก 3 ปี ในช่วง ค.ศ.1992-1994 อีกด้วย ดูเหมือนเขาจะรับตะวันตกได้มากกว่า the Black Prince พ่อของเขา
    หลังจากเหตุการณ์วางระเบิดฐานทัพของอเมริกาที่ Dharan อเมริกายิ่งกดดัน ซาอุดิอารเบีย เรื่องการปราบปรามผู้ก่อการร้าย โดยเฉพาะกลุ่ม บิน ลาเดน แต่ทางซาอุดิอารเบีย ยังทำเฉยเหมือนเดิม จนเมื่อนายอัล กอร์ รองประธานาธิบดี สมัยประธานาธิบดีคลินตัน เดินทางไปเยี่ยมตะวันออกกลาง ในปี ค.ศ.1998 เกิดมีข่าวว่ากลุ่มอัลไคดา มีแผนที่จะโจมตีสถานกงสุลของอเมริกาที่กรุงริยาร์ดช่วงเวลาที่ อัล กอร์ กำลังให้การรับรองมงกุฏราชกุมารของซาอุ ขณะนั้นคือ เจ้าชายอับดุลลาห์ แต่ในที่สุดแผนนั้นก็ล่มไป และอเมริกาบอกว่าคนที่จัดการให้แผนล่มก็คือ เจ้าชายนาเยฟ the Black Prince นั่นเอง
    … เรื่องนี้ ไม่รู้ใครลวงใคร..
    หลังเหตุการณ์ 9/11 แม้จะมีข่าวว่า กลุ่มนักจี้เครื่องบินเป็นชาวซาอุเสีย 15 คน แต่เจ้าชายนาเยฟและราชวงศ์ส่วนใหญ่ ก็ไม่เชื่อว่ากลุ่มอัลไคดา ที่มีฐานอยู่ในซาอุเองจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ต่างลงความเห็นว่า เป็นแผนที่พวกยิวไซออนิสต์สร้างขึ้นมาปรักปรำกลุ่มอัลไคดามากกว่า และแม้อเมริกาจะบอกว่ามีหลักฐานว่า 2 ใน 15 คนนั้น เป็นคนที่วางแผนเรื่องการโจมตีอัล กอร์ ในปี ค.ศ.1998 ด้วย เจ้าชายนาเยฟ ก็ไม่เชื่อคำบอกเล่าของอเมริกา
    แต่ บิน นาเยฟ คนลูก มาคนละแนวกับพ่อ อเมริกาบอก บิน นาเยฟ ใส่ใจเรื่องผู้ก่อการร้ายมาก และให้ความร่วมมือกับอเมริกาเป็นอย่างดี ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีมหาดไทย ทำให้อเมริกาโล่งอก บอกว่านับเป็นความโชคดีของซาอุเอง นะนี่ เพราะ บิน ลาเดน กำลังหันเข็มจะมาเล่นซาอุดิอารเบียและราชวงศ์แล้ว หลังจากอเมริกาไปถล่มฐานของมูจาฮิดีน อัลไคดา ที่อาฟกานิสถานจนเละ จากเหตุการณ์ 9/11 ทำให้อัลไคดา ประกาศจะล้างแค้นอเมริกาและเพื่อนรัก คือ ซาอุดิอารเบีย
    สรุปว่า เกี่ยวกับเรื่องผู้ก่อการร้ายนี่ เราคงจะฟังอเมริกา หรือซาอุดิอารเบีย ข้างใดข้างหนึ่งยากหน่อย แต่ดูเหมือนพวกเขากำลังลากไส้ ให้ลงเหวไปด้วยกัน….
    วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2003 เป็นวันสำคัญทางศาสนาของมุสลิ ม บิน ลาเดน ประกาศทางวิทยุว่า ราชวงค์ ซาอูด ทรยศต่ออาณาจักรออตโตมาน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปเห็นแก่อังกฤษและยิว และตอนนี้ ราชวงศ์ ก็กำลังยกมัสยิด และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้กองทัพอเมริกามาเดินเล่น และสมคบกับยิว ให้ยิวมาสร้างอิสราเอลอยู่ในตะวันออกกลาง บิน ลาเดน บอกว่า เราจงคอยดูอเมริกากำลังใช้ฐานทัพ ของอเมริกา ที่อยู่ในซาอุดิอารเบีย เพื่อบุกอิรัค บิน ลาเดน ยังเรียก ซาอุดิอารเบีย และพวก เช่น คูเวต บาห์เรน และการ์ตา ว่า เป็นคนทรยศ อีกด้วย
    แล้วในที่สุด บิน ลาเดน ก็โจมตีพวกตะวันตก ที่อยู่ในซาอุดิอารเบีย จริงๆ เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ.2003 โดยใช้กำลังประมาณ สิบกว่าคน บุกเข้าไปในบริวณบ้านหลังหนึ่งที่กรุงริยาร์ด ซึ่งเป็นที่พักของพวกชาวะวันตก พวกนี้เป็นที่ปรึกษาด้านการทหาร ที่ซาอุดิอารเบียจ้างเอาไว้ จริงๆพวกนี้ก็คือทหารนอกระบบของอเมริกา อังกฤษ นั่นเอง พวก บิน ลาเดน ใช้ระเบิดคาร์บอมทะลวงเข้าไป ปรากฏว่า มีชาวอเมริกันตาย 8 คน ออสซี่ อีก 2 คน และชาวต่างชาติอื่นอีกหลายคน รวมทั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยของซาอุเอง ก็ตายด้วยหลายคน
    นี่ นับเป็นรายการที่ทั้งหักหน้าซาอุ และกระตุกหนวดนักล่าใบตองแห้งไป ในตัวของบิน ลา เดน ทำให้นายโรเบิร์ต จอร์แดน Robert Jordan ซึ่งเป็นทูตอเมริกา ประจำซาอุดิ อารเบีย ในช่วงนั้น พยายามกดดันให้ซาอุจัดการกับบิน ลาเดน อย่างจริงจัง แต่เสียงของทูตอเมริกันไม่ดังมากในซาอุดิอารเบีย ไม่เหมือนในบางประเทศ
    อเมริกาใช้เครื่องเสียงแรงขึ้น ลำโพงขนาดใหญ่กว่าอีกหน่อย โดยส่งนาย จอร์จ เทเนท George Tenet ผู้อำนวยการซีไอเอ ในสมัยนั้น ให้บินตรงไปซาอุดิอารเบียทันที เพื่อขอพบมงกุฏราชกุมารเจ้าชายอับดุลลาห์ ที่ทำหน้าที่ปกครองประเทศ แทนกษัตริย์ฟาหด ที่ป่วยหนักมาเป็นปีๆ เขาบอกกับเจ้าชายอับดุลลาห์ ว่า ราชวงศ์ซาอูดและการสิ้นสุดการปกครองของราชวงศ์ คือเป้าหมายของกลุ่มอัลไคดาแล้วนะ นอกจากนี้ อัลไคดา ยังมีแผนที่จะลอบฆ่าราชวงศ์ และผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลด้านเศรษฐกิจของประเทศ อีกด้วย
    ซาอุดิอารเบีย โยนเรื่องบิน ลาเดน ให้ บิน นาเยฟ เป็นคนจัดการ ร่วมกับอเมริกา และอเมริกาบอกว่า บิน นาเยฟ เป็นตัวสำคัญ ในการต้านการข่มขู่
    ของอัลไคดา ที่มีต่อราชวงศ์ซาอูด ในช่วง ค.ศ.2003 ถึง 2006
    ในช่วง 3 ปีดังกล่าว อัลไคดา โจมตีราชอาณาจักร ซาอุดิอารเบีย เป็นว่าเล่น แม้กระทั่งกระทรวงมหาดไทย ที่กรุงริยาร์ด ก็ยังโดนโจมตี บริเวณที่อยู่อาศัยของชาวตะวันตกหลายแห่งโดนบุก ชาวอเมริกันถูกลักพาตัว และถูกตัดหัว การยิงต่อสู้ระหว่างอัลไคดากับ เจ้าหน้าที่ของซาอุ เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา ในเมืองใหญ่ต่างๆของซาอุ สถานที่ทำงานของชาวตะวันตก โดนโจมตีมากขึ้น รวมทั้งสถานกงสุลของอเมริกาที่เมืองจิดดาห์ ก็โดนโจมตีเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ.2004
    สรุปแล้ว มีคนตายหลายร้อย หลายบาดเจ็บนับไม่ถ้วน ในช่วง 3 ปีนั้น เป็นช่วงความไม่สงบในซาอุดิอารเบีย ที่ยาวนานที่สุด ที่ซาอุดิอารเบีย เคยผจญในรอบ 50 ปี และมีผลกระทบต่อราชวงศ์ซาอูด มากที่สุด นับตั้งแต่ตั้งประเทศในปี ค.ศ.1902 การต่อสู้ช่วงนี้ ทำให้รัฐบาลซาอุ ใช้เงินไปถึง 3 หมื่นล้านเหรียญ
    ในที่สุด ในปี ค.ศ.2007 อเมริกาบอกว่า ด้วยฝีมืออันโดดเด่นของ บิน นาเยฟ ซึ่งได้เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยแทนพ่อ ก็สามารถทำให้กลุ่มอัลไคดา ลดน้อยลง พวกหัวรุนแรงเปลี่ยนใจ ไม่อยากสร้างสงครามในบ้านเกิดตัวเอง ส่วนชาวซาอุ ซึ่งเคยสนับสนุน บิน ลาเดน ให้สู้กับอเมริกา ก็ไม่อยากเห็นคนบริสุทธิ์ในบ้านเมืองตัวเอง พลอยฟ้าพลอยฝน โดนลูกหลงของอัลไคดาไปด้วย และก็เลยทำให้คะแนนนิยมของบิน ลาเดน ในซาอุดิอารเบีย ค่อยๆ ลดน้อยลงไป
    เห็นฝีมือซีไอเอเก๋า ที่สามารถโยงเรื่อง บิน ลาเดน กับ ซาอุดิอารเบีย เข้าด้วยกัน และแยงให้แคลงกัน อย่างแนบเนียน โดยไม่กล่าวถึงตัววางแผน ชักใย ผลักดัน แม้แต่คำเดียว ยอมรับจริงๆ ฝีมือเอ็งร้ายกาจมาก แบบนี้ ข่าวลือ สงสัยจะเป็น ข่าวลวง…
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    20 ต.ค. 2558
    ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 4 “ข่าวลือ ข่าวลวง” ตอน 4 เจ้าชาย บิน นาเยฟ มงกุฏราชกุมารคนปัจจุบันของซาอุดิอารเบีย เรียนหนังสือที่อเมริกา เช่นเดียวกับเจ้าชายรุ่นหลังๆ ของซาอุ และเพื่อเตรียมตัวเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยต่อจากพ่อ บิน นาเยฟ ยังไปศึกษาที่สถาบัน เอฟ บี ไอ ของอเมริกา ในช่วง ค.ศ.1980 กว่าๆ และไปศึกษาหลักสูตรการปราบปรามผู้ก่อการร้าย ที่สก๊อตแลนด์ยาร์ดของอังกฤษอีก 3 ปี ในช่วง ค.ศ.1992-1994 อีกด้วย ดูเหมือนเขาจะรับตะวันตกได้มากกว่า the Black Prince พ่อของเขา หลังจากเหตุการณ์วางระเบิดฐานทัพของอเมริกาที่ Dharan อเมริกายิ่งกดดัน ซาอุดิอารเบีย เรื่องการปราบปรามผู้ก่อการร้าย โดยเฉพาะกลุ่ม บิน ลาเดน แต่ทางซาอุดิอารเบีย ยังทำเฉยเหมือนเดิม จนเมื่อนายอัล กอร์ รองประธานาธิบดี สมัยประธานาธิบดีคลินตัน เดินทางไปเยี่ยมตะวันออกกลาง ในปี ค.ศ.1998 เกิดมีข่าวว่ากลุ่มอัลไคดา มีแผนที่จะโจมตีสถานกงสุลของอเมริกาที่กรุงริยาร์ดช่วงเวลาที่ อัล กอร์ กำลังให้การรับรองมงกุฏราชกุมารของซาอุ ขณะนั้นคือ เจ้าชายอับดุลลาห์ แต่ในที่สุดแผนนั้นก็ล่มไป และอเมริกาบอกว่าคนที่จัดการให้แผนล่มก็คือ เจ้าชายนาเยฟ the Black Prince นั่นเอง … เรื่องนี้ ไม่รู้ใครลวงใคร.. หลังเหตุการณ์ 9/11 แม้จะมีข่าวว่า กลุ่มนักจี้เครื่องบินเป็นชาวซาอุเสีย 15 คน แต่เจ้าชายนาเยฟและราชวงศ์ส่วนใหญ่ ก็ไม่เชื่อว่ากลุ่มอัลไคดา ที่มีฐานอยู่ในซาอุเองจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ต่างลงความเห็นว่า เป็นแผนที่พวกยิวไซออนิสต์สร้างขึ้นมาปรักปรำกลุ่มอัลไคดามากกว่า และแม้อเมริกาจะบอกว่ามีหลักฐานว่า 2 ใน 15 คนนั้น เป็นคนที่วางแผนเรื่องการโจมตีอัล กอร์ ในปี ค.ศ.1998 ด้วย เจ้าชายนาเยฟ ก็ไม่เชื่อคำบอกเล่าของอเมริกา แต่ บิน นาเยฟ คนลูก มาคนละแนวกับพ่อ อเมริกาบอก บิน นาเยฟ ใส่ใจเรื่องผู้ก่อการร้ายมาก และให้ความร่วมมือกับอเมริกาเป็นอย่างดี ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีมหาดไทย ทำให้อเมริกาโล่งอก บอกว่านับเป็นความโชคดีของซาอุเอง นะนี่ เพราะ บิน ลาเดน กำลังหันเข็มจะมาเล่นซาอุดิอารเบียและราชวงศ์แล้ว หลังจากอเมริกาไปถล่มฐานของมูจาฮิดีน อัลไคดา ที่อาฟกานิสถานจนเละ จากเหตุการณ์ 9/11 ทำให้อัลไคดา ประกาศจะล้างแค้นอเมริกาและเพื่อนรัก คือ ซาอุดิอารเบีย สรุปว่า เกี่ยวกับเรื่องผู้ก่อการร้ายนี่ เราคงจะฟังอเมริกา หรือซาอุดิอารเบีย ข้างใดข้างหนึ่งยากหน่อย แต่ดูเหมือนพวกเขากำลังลากไส้ ให้ลงเหวไปด้วยกัน…. วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2003 เป็นวันสำคัญทางศาสนาของมุสลิ ม บิน ลาเดน ประกาศทางวิทยุว่า ราชวงค์ ซาอูด ทรยศต่ออาณาจักรออตโตมาน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปเห็นแก่อังกฤษและยิว และตอนนี้ ราชวงศ์ ก็กำลังยกมัสยิด และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้กองทัพอเมริกามาเดินเล่น และสมคบกับยิว ให้ยิวมาสร้างอิสราเอลอยู่ในตะวันออกกลาง บิน ลาเดน บอกว่า เราจงคอยดูอเมริกากำลังใช้ฐานทัพ ของอเมริกา ที่อยู่ในซาอุดิอารเบีย เพื่อบุกอิรัค บิน ลาเดน ยังเรียก ซาอุดิอารเบีย และพวก เช่น คูเวต บาห์เรน และการ์ตา ว่า เป็นคนทรยศ อีกด้วย แล้วในที่สุด บิน ลาเดน ก็โจมตีพวกตะวันตก ที่อยู่ในซาอุดิอารเบีย จริงๆ เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ.2003 โดยใช้กำลังประมาณ สิบกว่าคน บุกเข้าไปในบริวณบ้านหลังหนึ่งที่กรุงริยาร์ด ซึ่งเป็นที่พักของพวกชาวะวันตก พวกนี้เป็นที่ปรึกษาด้านการทหาร ที่ซาอุดิอารเบียจ้างเอาไว้ จริงๆพวกนี้ก็คือทหารนอกระบบของอเมริกา อังกฤษ นั่นเอง พวก บิน ลาเดน ใช้ระเบิดคาร์บอมทะลวงเข้าไป ปรากฏว่า มีชาวอเมริกันตาย 8 คน ออสซี่ อีก 2 คน และชาวต่างชาติอื่นอีกหลายคน รวมทั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยของซาอุเอง ก็ตายด้วยหลายคน นี่ นับเป็นรายการที่ทั้งหักหน้าซาอุ และกระตุกหนวดนักล่าใบตองแห้งไป ในตัวของบิน ลา เดน ทำให้นายโรเบิร์ต จอร์แดน Robert Jordan ซึ่งเป็นทูตอเมริกา ประจำซาอุดิ อารเบีย ในช่วงนั้น พยายามกดดันให้ซาอุจัดการกับบิน ลาเดน อย่างจริงจัง แต่เสียงของทูตอเมริกันไม่ดังมากในซาอุดิอารเบีย ไม่เหมือนในบางประเทศ อเมริกาใช้เครื่องเสียงแรงขึ้น ลำโพงขนาดใหญ่กว่าอีกหน่อย โดยส่งนาย จอร์จ เทเนท George Tenet ผู้อำนวยการซีไอเอ ในสมัยนั้น ให้บินตรงไปซาอุดิอารเบียทันที เพื่อขอพบมงกุฏราชกุมารเจ้าชายอับดุลลาห์ ที่ทำหน้าที่ปกครองประเทศ แทนกษัตริย์ฟาหด ที่ป่วยหนักมาเป็นปีๆ เขาบอกกับเจ้าชายอับดุลลาห์ ว่า ราชวงศ์ซาอูดและการสิ้นสุดการปกครองของราชวงศ์ คือเป้าหมายของกลุ่มอัลไคดาแล้วนะ นอกจากนี้ อัลไคดา ยังมีแผนที่จะลอบฆ่าราชวงศ์ และผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลด้านเศรษฐกิจของประเทศ อีกด้วย ซาอุดิอารเบีย โยนเรื่องบิน ลาเดน ให้ บิน นาเยฟ เป็นคนจัดการ ร่วมกับอเมริกา และอเมริกาบอกว่า บิน นาเยฟ เป็นตัวสำคัญ ในการต้านการข่มขู่ ของอัลไคดา ที่มีต่อราชวงศ์ซาอูด ในช่วง ค.ศ.2003 ถึง 2006 ในช่วง 3 ปีดังกล่าว อัลไคดา โจมตีราชอาณาจักร ซาอุดิอารเบีย เป็นว่าเล่น แม้กระทั่งกระทรวงมหาดไทย ที่กรุงริยาร์ด ก็ยังโดนโจมตี บริเวณที่อยู่อาศัยของชาวตะวันตกหลายแห่งโดนบุก ชาวอเมริกันถูกลักพาตัว และถูกตัดหัว การยิงต่อสู้ระหว่างอัลไคดากับ เจ้าหน้าที่ของซาอุ เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา ในเมืองใหญ่ต่างๆของซาอุ สถานที่ทำงานของชาวตะวันตก โดนโจมตีมากขึ้น รวมทั้งสถานกงสุลของอเมริกาที่เมืองจิดดาห์ ก็โดนโจมตีเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ.2004 สรุปแล้ว มีคนตายหลายร้อย หลายบาดเจ็บนับไม่ถ้วน ในช่วง 3 ปีนั้น เป็นช่วงความไม่สงบในซาอุดิอารเบีย ที่ยาวนานที่สุด ที่ซาอุดิอารเบีย เคยผจญในรอบ 50 ปี และมีผลกระทบต่อราชวงศ์ซาอูด มากที่สุด นับตั้งแต่ตั้งประเทศในปี ค.ศ.1902 การต่อสู้ช่วงนี้ ทำให้รัฐบาลซาอุ ใช้เงินไปถึง 3 หมื่นล้านเหรียญ ในที่สุด ในปี ค.ศ.2007 อเมริกาบอกว่า ด้วยฝีมืออันโดดเด่นของ บิน นาเยฟ ซึ่งได้เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยแทนพ่อ ก็สามารถทำให้กลุ่มอัลไคดา ลดน้อยลง พวกหัวรุนแรงเปลี่ยนใจ ไม่อยากสร้างสงครามในบ้านเกิดตัวเอง ส่วนชาวซาอุ ซึ่งเคยสนับสนุน บิน ลาเดน ให้สู้กับอเมริกา ก็ไม่อยากเห็นคนบริสุทธิ์ในบ้านเมืองตัวเอง พลอยฟ้าพลอยฝน โดนลูกหลงของอัลไคดาไปด้วย และก็เลยทำให้คะแนนนิยมของบิน ลาเดน ในซาอุดิอารเบีย ค่อยๆ ลดน้อยลงไป เห็นฝีมือซีไอเอเก๋า ที่สามารถโยงเรื่อง บิน ลาเดน กับ ซาอุดิอารเบีย เข้าด้วยกัน และแยงให้แคลงกัน อย่างแนบเนียน โดยไม่กล่าวถึงตัววางแผน ชักใย ผลักดัน แม้แต่คำเดียว ยอมรับจริงๆ ฝีมือเอ็งร้ายกาจมาก แบบนี้ ข่าวลือ สงสัยจะเป็น ข่าวลวง… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 20 ต.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
More Results