• ตั๋วเครื่องบินช่วงเทศกาลต่างๆ ราคาแพงเวอร์!! สงกรานต์ปีนี้ ปัญหาตั๋วเครื่องบินแพง ถูกแก้ไขด้วยการเพิ่มเที่ยวบิน 124 เที่ยวบิน มีที่นั่งเพิ่ม 25,000 ที่นั่ง พร้อมลดค่าตั๋วเครื่องบินลง 30% จากราคาเพดาน สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศยอดนิยม เริ่มจำหน่ายตั๋ว 11-20 มี.ค.68 สำหรับการเดินทางระหว่าง 11-17 เม.ย.68
    ตั๋วเครื่องบินช่วงเทศกาลต่างๆ ราคาแพงเวอร์!! สงกรานต์ปีนี้ ปัญหาตั๋วเครื่องบินแพง ถูกแก้ไขด้วยการเพิ่มเที่ยวบิน 124 เที่ยวบิน มีที่นั่งเพิ่ม 25,000 ที่นั่ง พร้อมลดค่าตั๋วเครื่องบินลง 30% จากราคาเพดาน สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศยอดนิยม เริ่มจำหน่ายตั๋ว 11-20 มี.ค.68 สำหรับการเดินทางระหว่าง 11-17 เม.ย.68
    Like
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 9 0 รีวิว
  • [ “พระแก้วมรกต” เป็นของใคร ? ]
    .
    เท้าความก่อนตามหลักฐาน “พระแก้วมรกต” ได้รับการสร้างขึ้นในล้านนา ยุคที่ได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จากสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปสกุลช่างพะเยาที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย เมืองซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของ “พระแก้วมรกต”
    .
    ขอเริ่มที่สมัย “พญากือนา” กษัตริย์ล้านนา พระองค์ที่ ๖ ครองนครเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๘๙๙–๑๙๒๙ พระอนุชาของพระเจ้ากือนา ชื่อ “เจ้ามหาพรหม” ครองนครเชียงราย เป็นเมืองลูกหลวง ได้ยกกองทัพมาเมืองกำแพงเพชรในสมัยพระเจ้าติปัญญา (พระยาญาณดิศ) ทูลขอ “พระพุทธสิหิงค์” และ “พระแก้วมรกต” ไปเมืองเชียงราย ต่อมาพญากือนาสวรรคต แล้ว “พญาแสนเมืองมา” กษัตริย์ล้านนาองค์ต่อมา พระองค์ที่ ๗ ได้ครองเมืองเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๙๒๘-๑๙๔๔ จึงยกทัพไปรบกับ “เจ้ามหาพรหม” ผู้เป็นพระปิตุลา (อา) ปรากฏว่า “พญาแสนเมืองมา” ชนะ จึงเชิญ “พระพุทธสิหิงค์” กลับไปเชียงใหม่ได้องค์เดียว ส่วน “พระแก้วมรกต” มีผู้นำไปซ่อนไว้
    .
    ครั้นถึงรัชสมัยของ “พญาสามฝั่งแกน” พระองค์ที่ ๘ ครองนครเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๙๕๙-๑๙๙๐ ที่เชียงรายที่ประดิษฐานของ “พระแก้วมรกต” เกิดอสุนีบาต ฟ้าได้ผ่าลงองค์พระเจดีย์จนพังทลายลง จึงพบพระพุทธรูปพอกปูนลงรักปิดทอง จึงได้นำไปไว้ในวิหาร ต่อมาปูนบริเวณพระนาสิก (จมูก) เกิดกะเทาะออก เห็นเป็นเนื้อมรกต พระภิกษุเจ้าอาวาสได้กะเทาะรักและทองออกทั้งองค์ เห็นเป็นเนื้อหยกสีมรกตทั้งองค์ นั่นคือ “พระแก้วมรกต”
    .
    เรื่องนี้ไปถึงพระกรรณ “พญาสามฝั่งแกน” ทราบข่าวการค้นพบพระพุทธรูปนี้ จึงเชิญมาประดิษฐานที่เชียงใหม่ตามพระประสงค์ของพญาแสนเมือง (พระราชบิดา) แต่ช้างทรงของ “พระแก้วมรกต” ไม่ยอมเดินทางมาเชียงใหม่ แต่เดินทางไปลำปางแทน “พญาสามฝั่งแกน” เห็นว่าเมืองลำปางก็อยู่ในอาณาจักรล้านนาจึงนำไปประดิษฐานไว้ที่ “วัดพระแก้วดอนเต้า” แทน ประดิษฐานไว้นาน ๓๒ ปี
    .
    ครั้นถึงรัชสมัยของ “พระเจ้าติโลกราช” พระองค์ที่ ๙ ครองนครเชียงใหม่ (พ.ศ. ๑๙๘๕–๒๐๓๑) พระองค์ทำการรัฐประหารยึดพระราชอำนาจพญาสามฝั่งแกน (พระราชบิดา) ได้สำเร็จ โดยความช่วยเหลือของหมื่นโลกนครแห่งลำปาง จากนั้นพระองค์ได้เชิญ “พระแก้วมรกต” มายังเชียงใหม่ ในปี ๒๐๒๒ พระองค์โปรดให้บูรณะ “พระเจดีย์หลวง” เพื่อประดิษฐาน “พระแก้วมรกต” ไว้ ณ ซุ้มบนองค์เจดีย์ด้านตะวันออก แต่ก็ถูกฟ้าผ่าหลายครั้ง
    .
    หลังจากที่ “พระนางจิรประภาเทวี” พระองค์ที่ ๑๔ ครองนครเชียงใหม่ สละราชสมบัติ ตำแหน่งที่ล้านนาว่างลง “สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช” แห่งล้านช้าง ซึ่งเป็นพระญาติกับราชวงศ์ล้านนามา ก็ได้ครองนครเชียงใหม่ เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ ๑๕ ต่อมาล้านช้างได้เกิดความวุ่นวาย เจ้านายทั้งหลายต่างแย่งชิงราชสมบัติกัน ขุนนางล้านช้างและเจ้าศรีวรวงษาราชกุมารจึงเชิญ “พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช” แห่งล้านนา เสด็จกลับมานครหลวงพระบาง แห่งล้านช้าง เพื่อรับราชสมบัติระงับเหตุวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น พระองค์ได้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” รวมทั้ง “พระพุทธสิหิงค์” “พระแก้วขาว” และ “พระแซกคำ” ไปหลวงพระบางด้วย โดยอ้างว่าหนีศึกพระเจ้าบุเรงนอง แห่งหงสาวดี
    .
    ครั้งถึงรัชสมัย “พระเมกุฏิสุทธิวงศ์” พระองค์ที่ ๑๖ ครองนครเชียงใหม่ ก็ขอคือพระพุทธรูปที่เอาไปจากเชียงใหม่ แต่ได้คืนมาเพียง ๒ องค์ คือ “พระพุทธสิหิงค์” กับ “พระแก้วขาว” เมื่อปี ๒๑๐๓ ทรงย้ายราชธานีจาก “หลวงพระบาง” มา “เวียงจันทน์” ก็เชิญ “พระแก้วมรกต” มาประดิษฐาน ณ ราชธานีใหม่ของอาณาจักรล้านช้าง “พระแก้วมรกต” จึงประดิษฐานอยู่ที่ “อาณาจักรล้านช้าง” ตั้งแต่นั้นมา
    .
    ต่อมาในปี ๒๓๒๒ “สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี” โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่ ๑ ในกาลต่อมา) ยกทัพไปปราบกบฏเมืองเวียงจันทน์ เมื่อปราบกบฏเรียบร้อยแล้วได้ขนย้ายกวาดต้อนบรรดาเชื้อพระวงศ์ ทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ แล้วให้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” และ “พระบาง ” ซึ่งสถิตอยู่ ณ พระวิหารในวังพระเจ้าล้านช้างนั้น อาราธนาลงเรือข้ามฟากมาประดิษฐานไว้ ณ เมืองพานพร้าวด้วย แล้วในครั้งนั้นประดิษฐานไว้ที่วัดอรุณราชวราราม
    .
    ต่อมาเมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสนาดาขึ้น ในพระบรมมหาราชวัง และได้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” ลงบุษบกในเรือพระที่นั่ง เสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาประดิษฐานในพระอุโบสถ เมื่อปี ๒๓๒๗ ซึ่ง “พระแก้วมรกต” ก็มาเป็นพระพุทธรูปที่เป็นมิ่งขวัญของบ้านเมืองของประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน ส่วน “พระบาง” ได้คืนให้แก่ หลวงพระบาง ปัจจุบัน คือ “ลาว”
    .
    ดังนั้น โดยสรุปแล้วสถานที่ประดิษฐาน “พระแก้วมรกต” พอจะเรียงตามช่วงเวลาได้ดังต่อไปนี้จาก เชียงราย (ล้านนา) > ลำปาง (ล้านนา) > เชียงใหม่ (ล้านนา) > หลวงพระบาง (ล้านช้าง) > เวียงจันทน์ (ล้านช้าง) > ธนบุรี > รัตนโกสินทร์ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่า “พระแก้วมรกต” เป็นของลาวตั้งแต่ต้น
    .
    การพูดว่า “พระแก้วมรกต” เป็นของลาว จึงเรื่องที่คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง ถ้าจะพูดให้ถูกตามข้อเท็จจริงต้องพูดว่า “พระแก้วมรกต” เคยประดิษฐานอยู่ที่ลาวในระยะหนึ่งเท่านั้น
    .
    ส่วนเรื่องการสาปแช่งของฝ่ายลาว ต่อเหตุการณ์ที่ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงให้เจ้าพระยาจักรี (ต่อมาคือรัชกาลที่ ๑) ทรงอัญเชิญ “พระแก้วมรกต” มากรุงเทพฯ อันนี้ไม่มีหลักฐานว่ารองรับหรือบันทึกไว้ เรื่องคำสาปแช่ง น่าจะเป็นเรื่องที่พูดไปพูดมากันภายหลังมากกว่า เพราะไม่มีเอกสารอะไรที่ยืนยันได้เลย
    .
    อ้างอิง
    (๑) สมบัติ พลายน้อย. (๒๕๖๓). ตำนานพระแก้วมรกต. วารสารวัฒนธรรม ค่าล้ำ...วัฒนธรรม ชาวภูเขา, (๑). ๓๔-๔๑.
    (๒) ศักดิ์ชัย สายสิงห์, “ตำนานพระแก้วมรกต (ฉบับหลวงพระบาง)” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า ๑๑๘. “ตำนานพระแก้วมรกต” ฉบับนี้น่าจะมาจากเวียงจัน มิใช่หลวงพระบาง แต่เจ้าผู้ครองนครหลวงพระบาง
    (๓) โยซิยูกิ มาซูฮารา, ประวัติศาสตร์ลาว. หน้า ๙๘.
    (๔) ศักดิ์ชัย สายสิงห์, “พระแก้วมรกตคือพระพุทธรูปล้านนาที่มีความสัมพันธ์ทางด้านรูปแบบกับพระพุทธรูปหินทรายสกุลช่างพะเยา” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ) พระแก้วมรกต. หน้า ๓๑๓-๓๒๓.
    (๕) พิเศษ เจียจันทร์พงษ์, “คำนำเสนอ พระแก้วมรกตกับประวัติศาสตร์ตำนาน”, ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า (๑๙).
    [ “พระแก้วมรกต” เป็นของใคร ? ] . เท้าความก่อนตามหลักฐาน “พระแก้วมรกต” ได้รับการสร้างขึ้นในล้านนา ยุคที่ได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จากสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปสกุลช่างพะเยาที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย เมืองซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของ “พระแก้วมรกต” . ขอเริ่มที่สมัย “พญากือนา” กษัตริย์ล้านนา พระองค์ที่ ๖ ครองนครเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๘๙๙–๑๙๒๙ พระอนุชาของพระเจ้ากือนา ชื่อ “เจ้ามหาพรหม” ครองนครเชียงราย เป็นเมืองลูกหลวง ได้ยกกองทัพมาเมืองกำแพงเพชรในสมัยพระเจ้าติปัญญา (พระยาญาณดิศ) ทูลขอ “พระพุทธสิหิงค์” และ “พระแก้วมรกต” ไปเมืองเชียงราย ต่อมาพญากือนาสวรรคต แล้ว “พญาแสนเมืองมา” กษัตริย์ล้านนาองค์ต่อมา พระองค์ที่ ๗ ได้ครองเมืองเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๙๒๘-๑๙๔๔ จึงยกทัพไปรบกับ “เจ้ามหาพรหม” ผู้เป็นพระปิตุลา (อา) ปรากฏว่า “พญาแสนเมืองมา” ชนะ จึงเชิญ “พระพุทธสิหิงค์” กลับไปเชียงใหม่ได้องค์เดียว ส่วน “พระแก้วมรกต” มีผู้นำไปซ่อนไว้ . ครั้นถึงรัชสมัยของ “พญาสามฝั่งแกน” พระองค์ที่ ๘ ครองนครเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๙๕๙-๑๙๙๐ ที่เชียงรายที่ประดิษฐานของ “พระแก้วมรกต” เกิดอสุนีบาต ฟ้าได้ผ่าลงองค์พระเจดีย์จนพังทลายลง จึงพบพระพุทธรูปพอกปูนลงรักปิดทอง จึงได้นำไปไว้ในวิหาร ต่อมาปูนบริเวณพระนาสิก (จมูก) เกิดกะเทาะออก เห็นเป็นเนื้อมรกต พระภิกษุเจ้าอาวาสได้กะเทาะรักและทองออกทั้งองค์ เห็นเป็นเนื้อหยกสีมรกตทั้งองค์ นั่นคือ “พระแก้วมรกต” . เรื่องนี้ไปถึงพระกรรณ “พญาสามฝั่งแกน” ทราบข่าวการค้นพบพระพุทธรูปนี้ จึงเชิญมาประดิษฐานที่เชียงใหม่ตามพระประสงค์ของพญาแสนเมือง (พระราชบิดา) แต่ช้างทรงของ “พระแก้วมรกต” ไม่ยอมเดินทางมาเชียงใหม่ แต่เดินทางไปลำปางแทน “พญาสามฝั่งแกน” เห็นว่าเมืองลำปางก็อยู่ในอาณาจักรล้านนาจึงนำไปประดิษฐานไว้ที่ “วัดพระแก้วดอนเต้า” แทน ประดิษฐานไว้นาน ๓๒ ปี . ครั้นถึงรัชสมัยของ “พระเจ้าติโลกราช” พระองค์ที่ ๙ ครองนครเชียงใหม่ (พ.ศ. ๑๙๘๕–๒๐๓๑) พระองค์ทำการรัฐประหารยึดพระราชอำนาจพญาสามฝั่งแกน (พระราชบิดา) ได้สำเร็จ โดยความช่วยเหลือของหมื่นโลกนครแห่งลำปาง จากนั้นพระองค์ได้เชิญ “พระแก้วมรกต” มายังเชียงใหม่ ในปี ๒๐๒๒ พระองค์โปรดให้บูรณะ “พระเจดีย์หลวง” เพื่อประดิษฐาน “พระแก้วมรกต” ไว้ ณ ซุ้มบนองค์เจดีย์ด้านตะวันออก แต่ก็ถูกฟ้าผ่าหลายครั้ง . หลังจากที่ “พระนางจิรประภาเทวี” พระองค์ที่ ๑๔ ครองนครเชียงใหม่ สละราชสมบัติ ตำแหน่งที่ล้านนาว่างลง “สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช” แห่งล้านช้าง ซึ่งเป็นพระญาติกับราชวงศ์ล้านนามา ก็ได้ครองนครเชียงใหม่ เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ ๑๕ ต่อมาล้านช้างได้เกิดความวุ่นวาย เจ้านายทั้งหลายต่างแย่งชิงราชสมบัติกัน ขุนนางล้านช้างและเจ้าศรีวรวงษาราชกุมารจึงเชิญ “พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช” แห่งล้านนา เสด็จกลับมานครหลวงพระบาง แห่งล้านช้าง เพื่อรับราชสมบัติระงับเหตุวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น พระองค์ได้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” รวมทั้ง “พระพุทธสิหิงค์” “พระแก้วขาว” และ “พระแซกคำ” ไปหลวงพระบางด้วย โดยอ้างว่าหนีศึกพระเจ้าบุเรงนอง แห่งหงสาวดี . ครั้งถึงรัชสมัย “พระเมกุฏิสุทธิวงศ์” พระองค์ที่ ๑๖ ครองนครเชียงใหม่ ก็ขอคือพระพุทธรูปที่เอาไปจากเชียงใหม่ แต่ได้คืนมาเพียง ๒ องค์ คือ “พระพุทธสิหิงค์” กับ “พระแก้วขาว” เมื่อปี ๒๑๐๓ ทรงย้ายราชธานีจาก “หลวงพระบาง” มา “เวียงจันทน์” ก็เชิญ “พระแก้วมรกต” มาประดิษฐาน ณ ราชธานีใหม่ของอาณาจักรล้านช้าง “พระแก้วมรกต” จึงประดิษฐานอยู่ที่ “อาณาจักรล้านช้าง” ตั้งแต่นั้นมา . ต่อมาในปี ๒๓๒๒ “สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี” โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่ ๑ ในกาลต่อมา) ยกทัพไปปราบกบฏเมืองเวียงจันทน์ เมื่อปราบกบฏเรียบร้อยแล้วได้ขนย้ายกวาดต้อนบรรดาเชื้อพระวงศ์ ทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ แล้วให้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” และ “พระบาง ” ซึ่งสถิตอยู่ ณ พระวิหารในวังพระเจ้าล้านช้างนั้น อาราธนาลงเรือข้ามฟากมาประดิษฐานไว้ ณ เมืองพานพร้าวด้วย แล้วในครั้งนั้นประดิษฐานไว้ที่วัดอรุณราชวราราม . ต่อมาเมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสนาดาขึ้น ในพระบรมมหาราชวัง และได้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” ลงบุษบกในเรือพระที่นั่ง เสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาประดิษฐานในพระอุโบสถ เมื่อปี ๒๓๒๗ ซึ่ง “พระแก้วมรกต” ก็มาเป็นพระพุทธรูปที่เป็นมิ่งขวัญของบ้านเมืองของประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน ส่วน “พระบาง” ได้คืนให้แก่ หลวงพระบาง ปัจจุบัน คือ “ลาว” . ดังนั้น โดยสรุปแล้วสถานที่ประดิษฐาน “พระแก้วมรกต” พอจะเรียงตามช่วงเวลาได้ดังต่อไปนี้จาก เชียงราย (ล้านนา) > ลำปาง (ล้านนา) > เชียงใหม่ (ล้านนา) > หลวงพระบาง (ล้านช้าง) > เวียงจันทน์ (ล้านช้าง) > ธนบุรี > รัตนโกสินทร์ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่า “พระแก้วมรกต” เป็นของลาวตั้งแต่ต้น . การพูดว่า “พระแก้วมรกต” เป็นของลาว จึงเรื่องที่คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง ถ้าจะพูดให้ถูกตามข้อเท็จจริงต้องพูดว่า “พระแก้วมรกต” เคยประดิษฐานอยู่ที่ลาวในระยะหนึ่งเท่านั้น . ส่วนเรื่องการสาปแช่งของฝ่ายลาว ต่อเหตุการณ์ที่ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงให้เจ้าพระยาจักรี (ต่อมาคือรัชกาลที่ ๑) ทรงอัญเชิญ “พระแก้วมรกต” มากรุงเทพฯ อันนี้ไม่มีหลักฐานว่ารองรับหรือบันทึกไว้ เรื่องคำสาปแช่ง น่าจะเป็นเรื่องที่พูดไปพูดมากันภายหลังมากกว่า เพราะไม่มีเอกสารอะไรที่ยืนยันได้เลย . อ้างอิง (๑) สมบัติ พลายน้อย. (๒๕๖๓). ตำนานพระแก้วมรกต. วารสารวัฒนธรรม ค่าล้ำ...วัฒนธรรม ชาวภูเขา, (๑). ๓๔-๔๑. (๒) ศักดิ์ชัย สายสิงห์, “ตำนานพระแก้วมรกต (ฉบับหลวงพระบาง)” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า ๑๑๘. “ตำนานพระแก้วมรกต” ฉบับนี้น่าจะมาจากเวียงจัน มิใช่หลวงพระบาง แต่เจ้าผู้ครองนครหลวงพระบาง (๓) โยซิยูกิ มาซูฮารา, ประวัติศาสตร์ลาว. หน้า ๙๘. (๔) ศักดิ์ชัย สายสิงห์, “พระแก้วมรกตคือพระพุทธรูปล้านนาที่มีความสัมพันธ์ทางด้านรูปแบบกับพระพุทธรูปหินทรายสกุลช่างพะเยา” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ) พระแก้วมรกต. หน้า ๓๑๓-๓๒๓. (๕) พิเศษ เจียจันทร์พงษ์, “คำนำเสนอ พระแก้วมรกตกับประวัติศาสตร์ตำนาน”, ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า (๑๙).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • พวกผู้เชี่ยวชาญและเหล่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรของเยอรมนี มีความกังวลเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับความเป็นไปไดที่สหรัฐฯจะตัดขาดจากระยะไกล การใช้งานเครื่องบินขับไล่ F-35 ที่วอชิงตันส่งมอบให้แก่เบอร์ลิน ในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์หนึ่งใด หลังจากเมื่อเร็วๆนี้อเมริกาเพิ่งหยุดสนับสนุนทางทหารและระงับป้อนข้อมูลข่าวกรองแก่ยูเครน ตามรายงานของหนังสือพิมพ์บิลด์เมื่อช่วงสุดสัปดาห์
    .
    กองทัพอากาศเยอรมนี เตรียมได้รับการส่งมอบเครื่องบินขับไล่ F-35A Lightning II ที่ผลิตโดยอเมริกา จำนวน 35 ลำ ในปี 2026 ส่วนหนึ่งในข้อตกลงมูลค่า 8,300 ล้านยูโร อย่างไรก็ตามสมาชิกรัฐสภาเยอรมนีบางส่วนกังวลว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งขัดแย้งกับอียูในหลายๆประเด็น อาจใช้ตัวตัดการเชื่อมต่อ "kill switch" ทำให้เครื่องบินเหล่านั้นขึ้นบินไม่ได้ หากว่าวอชิงตันกับชาติต่างๆในยุโรป เห็นต่างกันในแนวทางที่ใช้รับมือกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดความขัดแย้งกับรัสเซีย
    .
    "kill switch ไม่มีอะไรมากไปกว่าข่าวลือ" โจอาชิม ชรานโชเฟอร์ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารมวลชน Hensoldt บริษัทกลาโหมของเยอรมนี บอกกับหนังสือพิมพ์บิลด์ "แต่มันคงดีกว่า ถ้าวางแผนภารกิจอย่างเป็นระบบ ให้เครื่องบินยังอยู่บนภาคพื้น"
    .
    โวล์ฟกัง อิสชินเดกอร์ อดีตประธานมูลนิธิ Munich Security Conference ตั้งคำถามเกี่ยวกับชะตากรรมของสัญญาจัดซื้อดังกล่าว "ถ้าเราหวั่นเกรงว่าสหรัฐฯจะทำกับฝูงบิน F-35 ในอนาคตของเยอรมนี แบบเดียวกับที่ทำกับยูเครนในปัจจุบัน เราอาจยกเลิกสัญญา" เขาบอกกับหนังสือพิมพ์บิลด์
    .
    ความกังวลเกี่ยวกับ kill switch บนเครื่องบินรบที่ผลิตโดยสหรัฐฯ ยังสะท้อนได้จากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ส หนึ่งในนั้นรวมถึง ริชาร์ด อาบัวลาเฟีย นักวิเคราะห์ด้านกลาโหม ที่บอกว่าแม้ยังไม่เคยมีคำยืนยันเกี่ยวกับ "kill switch" แต่ "ลองสมมุติดู มันอาจมีอยู่จริง ถ้าคุณมีบางอย่างที่สามารถทำอะไรเล็กๆน้อยๆกับรหัสซอฟต์แวร์ "
    .
    ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆชี้ว่า โดยพื้นฐานแล้ว kill switch เป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น สืบเนื่องจากความล้ำสมัยของเครื่องบินขับไล่สมัยใหม่และมันพึ่งพาอาศัยผู้ขายมากจนเกินไป "กองทัพยุโรปเกือบทั้งหมดพึ่งพาสหรัฐฯเป็นอย่างมาก สำหรับการสนับสนุนด้านติดต่อสื่อสาร สำหรับสนับสนุนการสงครามอิเล็กทรอนิก และสำหรับเติมเสบียงกระสุนในความขัดแย้งร้ายแรงใดๆ" จัสติน บรอนค์ นักวิจัยจากสถาบัน Royal United Services บอกกับไฟแนนเชียลไทม์ส
    .
    ความกังวลเกี่ยวกับเครื่องบิน F-35 ปรากฏขึ้นมา หลังจากสหรัฐฯระงับความช่วยเหลือทางทหารและข้อมูลข่าวกรองที่มอบแก่ยูเครน ตามหลังศึกวิวาทะระหว่าง ทรัมป์ กับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน โดยระหว่างนั้นผู้นำสหรัฐฯกล่าวหาผู้นำยูเครนว่าไม่ต้องการมีสันติภาพกับรัสเซีย
    .
    โครงการ F-35 ถูกให้คำนิยามว่าเป็นโครงการทางทหารแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ต้นทุนรวมของโครงการนี้ทะลุ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ตลอดช่วงอายุของโครงการ อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ F-35 ทำการบินในเที่ยวบินปฐมฤกษ์เมื่อปี 2006 โครงการนี้ก็ถูกห้อมล้อมด้วยปัญหาต้นทุนบานปลาย ล่าช้าและประเด็นความน่าเชื่อถือ จนถึงตอนนี้เครื่องบินรุ่นนี้ถูกผลิตออกมาแล้วกว่า 1,100 ลำ จำนวนมากเป็นการป้อนสู่บรรดาพันธมิตรของอเมริกา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023273
    ..............
    Sondhi X
    พวกผู้เชี่ยวชาญและเหล่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรของเยอรมนี มีความกังวลเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับความเป็นไปไดที่สหรัฐฯจะตัดขาดจากระยะไกล การใช้งานเครื่องบินขับไล่ F-35 ที่วอชิงตันส่งมอบให้แก่เบอร์ลิน ในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์หนึ่งใด หลังจากเมื่อเร็วๆนี้อเมริกาเพิ่งหยุดสนับสนุนทางทหารและระงับป้อนข้อมูลข่าวกรองแก่ยูเครน ตามรายงานของหนังสือพิมพ์บิลด์เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ . กองทัพอากาศเยอรมนี เตรียมได้รับการส่งมอบเครื่องบินขับไล่ F-35A Lightning II ที่ผลิตโดยอเมริกา จำนวน 35 ลำ ในปี 2026 ส่วนหนึ่งในข้อตกลงมูลค่า 8,300 ล้านยูโร อย่างไรก็ตามสมาชิกรัฐสภาเยอรมนีบางส่วนกังวลว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งขัดแย้งกับอียูในหลายๆประเด็น อาจใช้ตัวตัดการเชื่อมต่อ "kill switch" ทำให้เครื่องบินเหล่านั้นขึ้นบินไม่ได้ หากว่าวอชิงตันกับชาติต่างๆในยุโรป เห็นต่างกันในแนวทางที่ใช้รับมือกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดความขัดแย้งกับรัสเซีย . "kill switch ไม่มีอะไรมากไปกว่าข่าวลือ" โจอาชิม ชรานโชเฟอร์ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารมวลชน Hensoldt บริษัทกลาโหมของเยอรมนี บอกกับหนังสือพิมพ์บิลด์ "แต่มันคงดีกว่า ถ้าวางแผนภารกิจอย่างเป็นระบบ ให้เครื่องบินยังอยู่บนภาคพื้น" . โวล์ฟกัง อิสชินเดกอร์ อดีตประธานมูลนิธิ Munich Security Conference ตั้งคำถามเกี่ยวกับชะตากรรมของสัญญาจัดซื้อดังกล่าว "ถ้าเราหวั่นเกรงว่าสหรัฐฯจะทำกับฝูงบิน F-35 ในอนาคตของเยอรมนี แบบเดียวกับที่ทำกับยูเครนในปัจจุบัน เราอาจยกเลิกสัญญา" เขาบอกกับหนังสือพิมพ์บิลด์ . ความกังวลเกี่ยวกับ kill switch บนเครื่องบินรบที่ผลิตโดยสหรัฐฯ ยังสะท้อนได้จากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ส หนึ่งในนั้นรวมถึง ริชาร์ด อาบัวลาเฟีย นักวิเคราะห์ด้านกลาโหม ที่บอกว่าแม้ยังไม่เคยมีคำยืนยันเกี่ยวกับ "kill switch" แต่ "ลองสมมุติดู มันอาจมีอยู่จริง ถ้าคุณมีบางอย่างที่สามารถทำอะไรเล็กๆน้อยๆกับรหัสซอฟต์แวร์ " . ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆชี้ว่า โดยพื้นฐานแล้ว kill switch เป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น สืบเนื่องจากความล้ำสมัยของเครื่องบินขับไล่สมัยใหม่และมันพึ่งพาอาศัยผู้ขายมากจนเกินไป "กองทัพยุโรปเกือบทั้งหมดพึ่งพาสหรัฐฯเป็นอย่างมาก สำหรับการสนับสนุนด้านติดต่อสื่อสาร สำหรับสนับสนุนการสงครามอิเล็กทรอนิก และสำหรับเติมเสบียงกระสุนในความขัดแย้งร้ายแรงใดๆ" จัสติน บรอนค์ นักวิจัยจากสถาบัน Royal United Services บอกกับไฟแนนเชียลไทม์ส . ความกังวลเกี่ยวกับเครื่องบิน F-35 ปรากฏขึ้นมา หลังจากสหรัฐฯระงับความช่วยเหลือทางทหารและข้อมูลข่าวกรองที่มอบแก่ยูเครน ตามหลังศึกวิวาทะระหว่าง ทรัมป์ กับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน โดยระหว่างนั้นผู้นำสหรัฐฯกล่าวหาผู้นำยูเครนว่าไม่ต้องการมีสันติภาพกับรัสเซีย . โครงการ F-35 ถูกให้คำนิยามว่าเป็นโครงการทางทหารแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ต้นทุนรวมของโครงการนี้ทะลุ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ตลอดช่วงอายุของโครงการ อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ F-35 ทำการบินในเที่ยวบินปฐมฤกษ์เมื่อปี 2006 โครงการนี้ก็ถูกห้อมล้อมด้วยปัญหาต้นทุนบานปลาย ล่าช้าและประเด็นความน่าเชื่อถือ จนถึงตอนนี้เครื่องบินรุ่นนี้ถูกผลิตออกมาแล้วกว่า 1,100 ลำ จำนวนมากเป็นการป้อนสู่บรรดาพันธมิตรของอเมริกา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023273 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 428 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชีวิตและความตายหลังกำแพงคุกไทย ถึงเวลายกเครื่อง ‘ราชทัณฑ์’ : ข่าวลึกปมลับ 10/03/68
    ชีวิตและความตายหลังกำแพงคุกไทย ถึงเวลายกเครื่อง ‘ราชทัณฑ์’ : ข่าวลึกปมลับ 10/03/68
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 15 0 รีวิว
  • Gemini AI ถูกใช้เพื่อสร้างและบรรยายเกมข้อความแนวผจญภัย (text-based adventure game) ให้มีชีวิตชีวาและดึงดูดผู้เล่นมากขึ้น โดยในบทความจาก TechRadar ผู้เขียนได้ทดลองใช้ Gemini AI ของ Google ในการสร้างประสบการณ์เกมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเกมคลาสสิกในยุค 70s อย่าง Zork ซึ่งเป็นเกมข้อความแนวผจญภัยที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้เลือกตัดสินใจและสำรวจเส้นทางเรื่องราวที่แตกต่างกันไปตามคำตอบของตน

    ในเกมที่สร้างขึ้นโดย Gemini AI นี้ ผู้เล่นเริ่มต้นในป่าลึกลับ โดยมีทางเลือกในการสำรวจสถานที่ต่าง ๆ เช่น เส้นทางที่มุ่งลึกเข้าไปในป่า กำแพงหินที่ปกคลุมด้วยตะไคร่ หรือธารน้ำใสที่ไหลผ่านป่า ความสามารถของ AI ในการบรรยายภาพและสร้างบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซีจริง ๆ โดยตลอดเรื่องราว ผู้เล่นต้องแก้ปริศนาและค้นหากุญแจวิเศษ ซึ่งนำไปสู่การเปิดกล่องลับที่มีความลับซ่อนอยู่

    จุดเด่นของ Gemini คือการติดตามเนื้อหาและนำเกมกลับมาต่อจากที่ค้างไว้ได้อย่างไม่มีสะดุด แม้ว่าผู้เล่นจะหยุดเล่นชั่วคราว Gemini ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่น่าสนใจในการประสานเรื่องราวและสร้างประสบการณ์การเล่นที่ต่อเนื่อง

    อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคำบรรยายที่ละเอียดและน่าสนใจ แต่ความซับซ้อนและระดับความตื่นเต้นในบางส่วนของเกมยังสามารถพัฒนาได้อีก หากเพิ่มความตึงเครียดและอารมณ์เข้มข้นยิ่งขึ้น เกมที่สร้างโดย AI นี้อาจเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเล่นเกมที่ชื่นชอบความคลาสสิก

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/i-asked-gemini-to-play-a-text-based-adventure-game-with-me-and-the-ai-whisked-me-away-to-a-word-based-fantasy
    Gemini AI ถูกใช้เพื่อสร้างและบรรยายเกมข้อความแนวผจญภัย (text-based adventure game) ให้มีชีวิตชีวาและดึงดูดผู้เล่นมากขึ้น โดยในบทความจาก TechRadar ผู้เขียนได้ทดลองใช้ Gemini AI ของ Google ในการสร้างประสบการณ์เกมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเกมคลาสสิกในยุค 70s อย่าง Zork ซึ่งเป็นเกมข้อความแนวผจญภัยที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้เลือกตัดสินใจและสำรวจเส้นทางเรื่องราวที่แตกต่างกันไปตามคำตอบของตน ในเกมที่สร้างขึ้นโดย Gemini AI นี้ ผู้เล่นเริ่มต้นในป่าลึกลับ โดยมีทางเลือกในการสำรวจสถานที่ต่าง ๆ เช่น เส้นทางที่มุ่งลึกเข้าไปในป่า กำแพงหินที่ปกคลุมด้วยตะไคร่ หรือธารน้ำใสที่ไหลผ่านป่า ความสามารถของ AI ในการบรรยายภาพและสร้างบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซีจริง ๆ โดยตลอดเรื่องราว ผู้เล่นต้องแก้ปริศนาและค้นหากุญแจวิเศษ ซึ่งนำไปสู่การเปิดกล่องลับที่มีความลับซ่อนอยู่ จุดเด่นของ Gemini คือการติดตามเนื้อหาและนำเกมกลับมาต่อจากที่ค้างไว้ได้อย่างไม่มีสะดุด แม้ว่าผู้เล่นจะหยุดเล่นชั่วคราว Gemini ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่น่าสนใจในการประสานเรื่องราวและสร้างประสบการณ์การเล่นที่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคำบรรยายที่ละเอียดและน่าสนใจ แต่ความซับซ้อนและระดับความตื่นเต้นในบางส่วนของเกมยังสามารถพัฒนาได้อีก หากเพิ่มความตึงเครียดและอารมณ์เข้มข้นยิ่งขึ้น เกมที่สร้างโดย AI นี้อาจเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเล่นเกมที่ชื่นชอบความคลาสสิก https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/i-asked-gemini-to-play-a-text-based-adventure-game-with-me-and-the-ai-whisked-me-away-to-a-word-based-fantasy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ Storyฯ คุยถึงที่มาของวลีเด็ดจากซีรีส์ <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> มีเพื่อนเพจถามถึงเรื่องละครงิ้วที่หรูอี้พูดถึงบ่อยๆ ในเรื่อง ซึ่งก็คือ ‘เฉียงโถวหม่าซ่าง’ (墙头马上) ขอใช้คำแปลตรงตัวว่า ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ ซึ่งในซีรีส์เท้าความว่า การชมงิ้วเรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่หรูอี้และเฉียนหลงได้พบกัน และต่อมามีฉากที่เฉียนหลงบอกว่าจะไม่อ่อนแอเหมือนคุณชายสกุลเผย และหรูอี้บอกว่าไม่อยากต้องเจอสภาพแบบคุณหนูหลี่ที่ถูกบังคับให้ต้องทิ้งลูกไป ทำเอาผู้ชมงงไปตามๆ กันว่าเขาคุยอะไรกัน

    วันนี้เรามาคุยกันเรื่อง ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้

    ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ เป็นละครงิ้วสมัยราชวงศ์หยวนมีชื่อเต็มว่า ‘เผยส้าวจวิ้น เฉียงโถวหม่าซ่าง’ (裴少俊墙头马上) ต่อมาตัดชื่อสั้นลงเหลือเพียง ‘เฉียงโถวหม่าซ่าง’ เป็นผลงานของ ‘ไป๋ผ้อ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ยอดผู้แต่งบทละครงิ้วในสมัยนั้นและผลงานของเขายังได้รับการสืบทอดและจัดแสดงในปัจจุบันอีกหลายเรื่อง และ ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสี่ยอดละครงิ้วแนวรักโรแมนติกสมัยหยวน

    ละครงิ้วนี้ดัดแปลงมาจากบทกวีสมัยถังของไป๋จวีอี (ค.ศ. 772-846) (หมายเหตุ คือเขาคือนักการเมืองผู้เคยสร้างผลงานบทกวีชื่นชมความงามของดอกซากุระหรืออิงฮวาที่ Storyฯ เคยเขียนถึง https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/686842736777355 )
    บทกวีที่ว่านี้มีชื่อว่า ‘งมขวดเงินจากก้นบ่อ’ (井底引银瓶) เป็นหนึ่งในผลงานที่เลื่องชื่อที่สุดของเขา ยาวถึง 34 วรรค สรุปเนื้อหาเป็นเรื่องราวความรักรันทด โดยมีอารัมภบทว่า ใช้ด้ายผูกขวดเงินดึงขึ้นเกือบจะพ้นบ่อ แต่ด้ายก็ขาดเสียก่อน เอาหยกมาเจียรด้วยหิน กำลังจะได้ปิ่นปักผมก็มาหักเสียก่อน เป็นการหวนรำลึกถึงความรักในอดีตที่ขาดสะบั้นลง อดีตที่ว่านี้ก็คือเรื่องคุณหนูนางหนึ่งที่ถูกเลี้ยงมาอย่างริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม วันๆ ถูกขังอยู่แต่ในสวนหลังบ้าน จึงชอบปีนขึ้นไปเกาะสันกำแพงมองดูโลกภายนอก อยู่มาวันหนึ่งยืนมองอยู่อย่างนี้ก็สบตาเข้ากับคุณชายท่านหนึ่งที่ขี่ม้าขาวผ่านมา เกิดเป็นรักแรกพบ ต่อมาก็หนีตามคุณชายผู้นั้นกลับไปยังบ้านของเขาที่อีกเมืองหนึ่ง แต่ด้วยเป็นการหนีตาม ไม่ได้มีตบแต่งตามพิธีการ นางจึงไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวฝ่ายชาย ถูกมองว่าเป็นเพียงอนุ ไม่ใช่ภรรยาเอก สุดท้ายถูกบีบให้ทิ้งลูกและไล่ออกไป คุณชายนั้นก็ไม่ได้ปกป้อง นางจึงต้องออกมาผจญชีวิตตามลำพังเพราะละอายเกินกว่าจะแบกหน้ากลับบ้านเกิด บทกวีจบลงด้วยการรำพันของนางว่า ความรักเพียงชั่วขณะของบุรุษ กลับเป็นความพลาดทั้งชีวิตของสตรี และเตือนเหล่าหญิงสาวไร้เดียงสาที่กำลังมีความรักให้จงสังวรไว้ว่า อย่าได้เอาชีวิตทั้งชีวิตของตนมาทุ่มเทให้กับชายใดได้โดยง่าย

    วรรคที่กล่าวถึงตอนสบตากันข้ามกำแพงและตกหลุมรักนั้น ก็คือวรรคที่หรูอี้มักเอ่ยติดปากยามที่นางและเฉียนหลงพูดถึงละครงิ้ว ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้ ซึ่ง Storyฯ ขอแปลและเรียบเรียงวรรคนี้ว่า ‘เหนือกำแพงประสานตาหลังอาชา หนึ่งพานพบคนึงหาเจียนวางวาย’ (墙头马上遥相顾,一见知君即断肠 หมายเหตุ ภาษาจีนใช้คำประมาณว่า ‘รักและคิดถึงจนทำให้ไส้ขาดจนตายได้!’) เป็นคำพูดที่หรูอี้พยายามสื่อให้เฉียนหลงเข้าใจว่านางรักเขามากมาย

    นับว่าเป็นบทกวีที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าและความผิดหวัง แต่ทำไมหรูอี้และเฉียนหลงจึงคุยกันราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่มีความหมายดี?

    นั่นเป็นเพราะว่าละครงิ้วและบทกวีมีความแตกต่าง ละครงิ้วที่นิยมในสมัยหยวนนั้น เป็นสไตล์แบบ ‘จ๋าจวี้’ (Mixed Play ที่ Storyฯ เคยพูดถึงตอนคุยเรื่อง <สามบุปผาลิขิตฝัน>) กล่าวคือมีหลากหลายอรรถรส ละครเรื่องนี้จึงถูกแต่งเติมให้มีทั้งความเศร้า ความตลกและจบแบบสุขนิยม มีการต่อเติมเรื่องราวว่า สตรีนางนี้คือคุณหนูหลี่เชียนจิน แต่นางโหยหาความรักและต่อต้านการถูกกักขัง นางหนีตามเผยส้าวจวิ้นมาถึงเรือนสกุลเผย แต่ต้องแอบอยู่ในเรือนสวนของสามีไม่ให้พ่อของสามีรู้ อยู่มาเจ็ดปีมีบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ความลับก็ถูกเปิดเผย นางถูกกล่าวหาว่าเป็นนางโลมและถูกบีบให้ต้องทิ้งลูกกลับบ้านเกิดไปโดยที่เผยส้าวจวิ้นทำอะไรไม่ได้ ต่อมาเผยส้าวจวิ้นสอบได้เป็นราชบัณฑิตเป็นขุนนางติดยศ ทางบ้านไม่กล้าขัดเขาอีก เขาก็มาง้อนาง ง้ออยู่นานจนสุดท้ายนางใจอ่อนยอมคืนดีด้วย และได้ครองรักกันอย่างมีความสุขในที่สุด เป็นเรื่องราวความรักหลากหลายอรรถรสที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่จะฝ่าฟันอุปสรรคให้หลุดพ้นจากกรอบสังคม จึงเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมตลอดหลายยุคหลายสมัย

    ‘เหนือกำแพงประสานตาหลังอาชา หนึ่งพานพบคนึงหาเจียนวางวาย’ ... ไม่แน่ว่าหรูอี้อาจต้องการเพียงใช้ประโยคนี้แสดงถึงความรักอย่างยิ่งยวดที่มีต่อเฉียนหลง แต่บทสรุปเรื่องราวชีวิตของนางผ่านซีรีส์เรื่องนี้กลับกลายเป็นอย่างที่บทกวีว่าไว้... ความรักเพียงชั่วขณะของบุรุษ กลับเป็นความพลาดทั้งชีวิตของสตรี

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://kknews.cc/history/xeg9gx8.html
    https://www.sgss8.net/tpdq/21724747/
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://so.gushiwen.cn/shiwenv_5487665ffe0a.aspx
    https://baike.baidu.com/item/井底引银瓶/10214172
    https://www.sohu.com/a/260464211_801417
    https://baike.baidu.com/item/裴少俊墙头马上/754408

    #หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์ #จ๋าจวี้ #งิ้วสมัยหยวน #เฉียงโถวหม่าซ่าง #สันกำแพงหลังอาชา
    สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ Storyฯ คุยถึงที่มาของวลีเด็ดจากซีรีส์ <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> มีเพื่อนเพจถามถึงเรื่องละครงิ้วที่หรูอี้พูดถึงบ่อยๆ ในเรื่อง ซึ่งก็คือ ‘เฉียงโถวหม่าซ่าง’ (墙头马上) ขอใช้คำแปลตรงตัวว่า ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ ซึ่งในซีรีส์เท้าความว่า การชมงิ้วเรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่หรูอี้และเฉียนหลงได้พบกัน และต่อมามีฉากที่เฉียนหลงบอกว่าจะไม่อ่อนแอเหมือนคุณชายสกุลเผย และหรูอี้บอกว่าไม่อยากต้องเจอสภาพแบบคุณหนูหลี่ที่ถูกบังคับให้ต้องทิ้งลูกไป ทำเอาผู้ชมงงไปตามๆ กันว่าเขาคุยอะไรกัน วันนี้เรามาคุยกันเรื่อง ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้ ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ เป็นละครงิ้วสมัยราชวงศ์หยวนมีชื่อเต็มว่า ‘เผยส้าวจวิ้น เฉียงโถวหม่าซ่าง’ (裴少俊墙头马上) ต่อมาตัดชื่อสั้นลงเหลือเพียง ‘เฉียงโถวหม่าซ่าง’ เป็นผลงานของ ‘ไป๋ผ้อ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ยอดผู้แต่งบทละครงิ้วในสมัยนั้นและผลงานของเขายังได้รับการสืบทอดและจัดแสดงในปัจจุบันอีกหลายเรื่อง และ ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสี่ยอดละครงิ้วแนวรักโรแมนติกสมัยหยวน ละครงิ้วนี้ดัดแปลงมาจากบทกวีสมัยถังของไป๋จวีอี (ค.ศ. 772-846) (หมายเหตุ คือเขาคือนักการเมืองผู้เคยสร้างผลงานบทกวีชื่นชมความงามของดอกซากุระหรืออิงฮวาที่ Storyฯ เคยเขียนถึง https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/686842736777355 ) บทกวีที่ว่านี้มีชื่อว่า ‘งมขวดเงินจากก้นบ่อ’ (井底引银瓶) เป็นหนึ่งในผลงานที่เลื่องชื่อที่สุดของเขา ยาวถึง 34 วรรค สรุปเนื้อหาเป็นเรื่องราวความรักรันทด โดยมีอารัมภบทว่า ใช้ด้ายผูกขวดเงินดึงขึ้นเกือบจะพ้นบ่อ แต่ด้ายก็ขาดเสียก่อน เอาหยกมาเจียรด้วยหิน กำลังจะได้ปิ่นปักผมก็มาหักเสียก่อน เป็นการหวนรำลึกถึงความรักในอดีตที่ขาดสะบั้นลง อดีตที่ว่านี้ก็คือเรื่องคุณหนูนางหนึ่งที่ถูกเลี้ยงมาอย่างริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม วันๆ ถูกขังอยู่แต่ในสวนหลังบ้าน จึงชอบปีนขึ้นไปเกาะสันกำแพงมองดูโลกภายนอก อยู่มาวันหนึ่งยืนมองอยู่อย่างนี้ก็สบตาเข้ากับคุณชายท่านหนึ่งที่ขี่ม้าขาวผ่านมา เกิดเป็นรักแรกพบ ต่อมาก็หนีตามคุณชายผู้นั้นกลับไปยังบ้านของเขาที่อีกเมืองหนึ่ง แต่ด้วยเป็นการหนีตาม ไม่ได้มีตบแต่งตามพิธีการ นางจึงไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวฝ่ายชาย ถูกมองว่าเป็นเพียงอนุ ไม่ใช่ภรรยาเอก สุดท้ายถูกบีบให้ทิ้งลูกและไล่ออกไป คุณชายนั้นก็ไม่ได้ปกป้อง นางจึงต้องออกมาผจญชีวิตตามลำพังเพราะละอายเกินกว่าจะแบกหน้ากลับบ้านเกิด บทกวีจบลงด้วยการรำพันของนางว่า ความรักเพียงชั่วขณะของบุรุษ กลับเป็นความพลาดทั้งชีวิตของสตรี และเตือนเหล่าหญิงสาวไร้เดียงสาที่กำลังมีความรักให้จงสังวรไว้ว่า อย่าได้เอาชีวิตทั้งชีวิตของตนมาทุ่มเทให้กับชายใดได้โดยง่าย วรรคที่กล่าวถึงตอนสบตากันข้ามกำแพงและตกหลุมรักนั้น ก็คือวรรคที่หรูอี้มักเอ่ยติดปากยามที่นางและเฉียนหลงพูดถึงละครงิ้ว ‘สันกำแพง-หลังอาชา’ นี้ ซึ่ง Storyฯ ขอแปลและเรียบเรียงวรรคนี้ว่า ‘เหนือกำแพงประสานตาหลังอาชา หนึ่งพานพบคนึงหาเจียนวางวาย’ (墙头马上遥相顾,一见知君即断肠 หมายเหตุ ภาษาจีนใช้คำประมาณว่า ‘รักและคิดถึงจนทำให้ไส้ขาดจนตายได้!’) เป็นคำพูดที่หรูอี้พยายามสื่อให้เฉียนหลงเข้าใจว่านางรักเขามากมาย นับว่าเป็นบทกวีที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าและความผิดหวัง แต่ทำไมหรูอี้และเฉียนหลงจึงคุยกันราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่มีความหมายดี? นั่นเป็นเพราะว่าละครงิ้วและบทกวีมีความแตกต่าง ละครงิ้วที่นิยมในสมัยหยวนนั้น เป็นสไตล์แบบ ‘จ๋าจวี้’ (Mixed Play ที่ Storyฯ เคยพูดถึงตอนคุยเรื่อง <สามบุปผาลิขิตฝัน>) กล่าวคือมีหลากหลายอรรถรส ละครเรื่องนี้จึงถูกแต่งเติมให้มีทั้งความเศร้า ความตลกและจบแบบสุขนิยม มีการต่อเติมเรื่องราวว่า สตรีนางนี้คือคุณหนูหลี่เชียนจิน แต่นางโหยหาความรักและต่อต้านการถูกกักขัง นางหนีตามเผยส้าวจวิ้นมาถึงเรือนสกุลเผย แต่ต้องแอบอยู่ในเรือนสวนของสามีไม่ให้พ่อของสามีรู้ อยู่มาเจ็ดปีมีบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ความลับก็ถูกเปิดเผย นางถูกกล่าวหาว่าเป็นนางโลมและถูกบีบให้ต้องทิ้งลูกกลับบ้านเกิดไปโดยที่เผยส้าวจวิ้นทำอะไรไม่ได้ ต่อมาเผยส้าวจวิ้นสอบได้เป็นราชบัณฑิตเป็นขุนนางติดยศ ทางบ้านไม่กล้าขัดเขาอีก เขาก็มาง้อนาง ง้ออยู่นานจนสุดท้ายนางใจอ่อนยอมคืนดีด้วย และได้ครองรักกันอย่างมีความสุขในที่สุด เป็นเรื่องราวความรักหลากหลายอรรถรสที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่จะฝ่าฟันอุปสรรคให้หลุดพ้นจากกรอบสังคม จึงเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมตลอดหลายยุคหลายสมัย ‘เหนือกำแพงประสานตาหลังอาชา หนึ่งพานพบคนึงหาเจียนวางวาย’ ... ไม่แน่ว่าหรูอี้อาจต้องการเพียงใช้ประโยคนี้แสดงถึงความรักอย่างยิ่งยวดที่มีต่อเฉียนหลง แต่บทสรุปเรื่องราวชีวิตของนางผ่านซีรีส์เรื่องนี้กลับกลายเป็นอย่างที่บทกวีว่าไว้... ความรักเพียงชั่วขณะของบุรุษ กลับเป็นความพลาดทั้งชีวิตของสตรี (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://kknews.cc/history/xeg9gx8.html https://www.sgss8.net/tpdq/21724747/ Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://so.gushiwen.cn/shiwenv_5487665ffe0a.aspx https://baike.baidu.com/item/井底引银瓶/10214172 https://www.sohu.com/a/260464211_801417 https://baike.baidu.com/item/裴少俊墙头马上/754408 #หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์ #จ๋าจวี้ #งิ้วสมัยหยวน #เฉียงโถวหม่าซ่าง #สันกำแพงหลังอาชา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD ได้เปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ RX 9070 และ RX 9070 XT ซึ่งทำงานบนสถาปัตยกรรม RDNA 4 โดย RX 9070 ถูกตั้งราคาสุดคุ้มที่ $549 ซึ่งเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกมเมอร์ อย่างไรก็ตาม ข่าวล่าสุดชี้ว่า ราคานี้จะมีให้เฉพาะสำหรับชุดล็อตแรกของการ์ดจอนี้เท่านั้น หลังจากนี้ ผู้ผลิตและร้านค้าต่าง ๆ จะมีสิทธิ์กำหนดราคาใหม่ที่อาจสูงขึ้น

    ในกรณีนี้ ผู้ค้าปลีกจากหลายประเทศ เช่น สวีเดน และสหราชอาณาจักร ได้เปิดเผยว่า การ์ดจอ RX 9070 จะคงราคา MSRP ($549) เฉพาะสำหรับล็อตแรกของการผลิตเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ร้าน Inet.se ในสวีเดนได้ชี้แจงว่าหลังจากล็อตแรกหมด ราคาจะถูกปรับเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตบางราย เช่น PowerColor ซึ่งได้ยืนยันว่า สินค้าจากล็อตสองจะมีราคาสูงขึ้น และไม่สามารถขายในราคามาตรฐานได้อีก

    ปัจจุบัน RX 9070 มีราคาถูกกว่า RX 9070 XT เพียง $50 (XT ราคา $599) การที่ RX 9070 มีราคาที่ใกล้เคียงกับ XT ทำให้ความน่าสนใจลดลง หากเกมเมอร์พลาดโอกาสล็อตแรกในราคา $549 ก็อาจต้องจ่ายแพงขึ้น ซึ่งในกรณีนี้ RX 9070 XT อาจดูคุ้มค่ากว่า เกมเมอร์ที่ต้องการ RX 9070 ในราคามาตรฐานควรรีบตัดสินใจซื้อในล็อตแรกก่อนที่ราคาจะปรับขึ้น

    การตั้งราคาของ RX 9070 ที่ต่ำกว่า NVIDIA RTX ซีรีส์ 50 แสดงให้เห็นว่า AMD พยายามแข่งขันในตลาดการ์ดจอกลุ่มราคาประหยัด แต่นโยบายการปรับราคานี้อาจสร้างความสับสนและส่งผลกระทบต่อความไว้วางใจของผู้บริโภคในระยะยาว

    การ์ดจอ RX 9070 รุ่นแรกในราคาสุดคุ้มนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจสำหรับเกมเมอร์ที่มองหาประสิทธิภาพสูงในราคาสมเหตุสมผล หากคุณสนใจและอยากเป็นเจ้าของ อย่าลืมติดตามร้านค้าต่าง ๆ ที่ยังมีล็อตแรกเหลืออยู่

    https://www.techradar.com/computing/gpu/bad-news-pc-gamers-it-seems-amds-aggressively-low-price-for-its-radeon-rx-9070-gpu-will-only-be-for-a-limited-time
    AMD ได้เปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ RX 9070 และ RX 9070 XT ซึ่งทำงานบนสถาปัตยกรรม RDNA 4 โดย RX 9070 ถูกตั้งราคาสุดคุ้มที่ $549 ซึ่งเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกมเมอร์ อย่างไรก็ตาม ข่าวล่าสุดชี้ว่า ราคานี้จะมีให้เฉพาะสำหรับชุดล็อตแรกของการ์ดจอนี้เท่านั้น หลังจากนี้ ผู้ผลิตและร้านค้าต่าง ๆ จะมีสิทธิ์กำหนดราคาใหม่ที่อาจสูงขึ้น ในกรณีนี้ ผู้ค้าปลีกจากหลายประเทศ เช่น สวีเดน และสหราชอาณาจักร ได้เปิดเผยว่า การ์ดจอ RX 9070 จะคงราคา MSRP ($549) เฉพาะสำหรับล็อตแรกของการผลิตเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ร้าน Inet.se ในสวีเดนได้ชี้แจงว่าหลังจากล็อตแรกหมด ราคาจะถูกปรับเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตบางราย เช่น PowerColor ซึ่งได้ยืนยันว่า สินค้าจากล็อตสองจะมีราคาสูงขึ้น และไม่สามารถขายในราคามาตรฐานได้อีก ปัจจุบัน RX 9070 มีราคาถูกกว่า RX 9070 XT เพียง $50 (XT ราคา $599) การที่ RX 9070 มีราคาที่ใกล้เคียงกับ XT ทำให้ความน่าสนใจลดลง หากเกมเมอร์พลาดโอกาสล็อตแรกในราคา $549 ก็อาจต้องจ่ายแพงขึ้น ซึ่งในกรณีนี้ RX 9070 XT อาจดูคุ้มค่ากว่า เกมเมอร์ที่ต้องการ RX 9070 ในราคามาตรฐานควรรีบตัดสินใจซื้อในล็อตแรกก่อนที่ราคาจะปรับขึ้น การตั้งราคาของ RX 9070 ที่ต่ำกว่า NVIDIA RTX ซีรีส์ 50 แสดงให้เห็นว่า AMD พยายามแข่งขันในตลาดการ์ดจอกลุ่มราคาประหยัด แต่นโยบายการปรับราคานี้อาจสร้างความสับสนและส่งผลกระทบต่อความไว้วางใจของผู้บริโภคในระยะยาว การ์ดจอ RX 9070 รุ่นแรกในราคาสุดคุ้มนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจสำหรับเกมเมอร์ที่มองหาประสิทธิภาพสูงในราคาสมเหตุสมผล หากคุณสนใจและอยากเป็นเจ้าของ อย่าลืมติดตามร้านค้าต่าง ๆ ที่ยังมีล็อตแรกเหลืออยู่ https://www.techradar.com/computing/gpu/bad-news-pc-gamers-it-seems-amds-aggressively-low-price-for-its-radeon-rx-9070-gpu-will-only-be-for-a-limited-time
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • Broadcom บริษัทผลิตชิปชั้นนำ ได้สร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนด้วยการประกาศคาดการณ์รายได้ไตรมาสที่สองที่แข็งแกร่ง โดยตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 14.90 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเกินกว่าความคาดหวังในตลาดเดิมที่ประมาณ 14.76 พันล้านดอลลาร์ การเปิดตัวรายงานนี้ส่งผลให้มูลค่าหุ้นของ Broadcom เพิ่มขึ้น 14% หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการปรับลดลงถึง 6%

    ความต้องการชิป AI ของ Broadcom อยู่ในระดับที่ร้อนแรง โดยเฉพาะจากบริษัทคลาวด์คอมพิวติ้งขนาดใหญ่ที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่แทนโปรเซสเซอร์ราคาแพงจาก Nvidia เพื่อตอบสนองการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐาน AI CEO ของ Broadcom, Hock Tan เผยว่ารายได้จากชิป AI ในไตรมาสนี้คาดว่าจะสูงถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 77% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

    Broadcom ยังมีลูกค้าใหม่อีก 4 รายในกลุ่ม Hyperscale ที่กำลังร่วมพัฒนาชิป AI แบบกำหนดเอง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบ ทั้งนี้ ความร่วมมือนี้ยังไม่รวมอยู่ในเป้าหมายรายได้ที่ประมาณ 60-90 พันล้านดอลลาร์ในปี 2027 ยิ่งไปกว่านั้น มีรายงานว่า OpenAI กำลังร่วมมือกับ Broadcom เพื่อออกแบบชิปที่กำหนดเองเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia

    Broadcom ยังอยู่ในกระบวนการประเมินกระบวนการผลิตที่ทันสมัยที่สุดของ Intel ซึ่งรู้จักกันในชื่อ 18A ด้วยการทดสอบเวเฟอร์ที่โรงงานของ Intel เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการพัฒนาชิปรุ่นถัดไป

    Broadcom กำลังแสดงศักยภาพในการแข่งขันในตลาดชิป AI ด้วยกลยุทธ์การพัฒนาชิปแบบกำหนดเอง และความร่วมมือกับลูกค้าใหม่ที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การเติบโตนี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้ Broadcom ยืนหยัดอยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคง แต่ยังช่วยสร้างนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/07/broadcom-forecasts-strong-second-quarter-on-upbeat-ai-chip-demand
    Broadcom บริษัทผลิตชิปชั้นนำ ได้สร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนด้วยการประกาศคาดการณ์รายได้ไตรมาสที่สองที่แข็งแกร่ง โดยตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 14.90 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเกินกว่าความคาดหวังในตลาดเดิมที่ประมาณ 14.76 พันล้านดอลลาร์ การเปิดตัวรายงานนี้ส่งผลให้มูลค่าหุ้นของ Broadcom เพิ่มขึ้น 14% หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการปรับลดลงถึง 6% ความต้องการชิป AI ของ Broadcom อยู่ในระดับที่ร้อนแรง โดยเฉพาะจากบริษัทคลาวด์คอมพิวติ้งขนาดใหญ่ที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่แทนโปรเซสเซอร์ราคาแพงจาก Nvidia เพื่อตอบสนองการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐาน AI CEO ของ Broadcom, Hock Tan เผยว่ารายได้จากชิป AI ในไตรมาสนี้คาดว่าจะสูงถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 77% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า Broadcom ยังมีลูกค้าใหม่อีก 4 รายในกลุ่ม Hyperscale ที่กำลังร่วมพัฒนาชิป AI แบบกำหนดเอง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบ ทั้งนี้ ความร่วมมือนี้ยังไม่รวมอยู่ในเป้าหมายรายได้ที่ประมาณ 60-90 พันล้านดอลลาร์ในปี 2027 ยิ่งไปกว่านั้น มีรายงานว่า OpenAI กำลังร่วมมือกับ Broadcom เพื่อออกแบบชิปที่กำหนดเองเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia Broadcom ยังอยู่ในกระบวนการประเมินกระบวนการผลิตที่ทันสมัยที่สุดของ Intel ซึ่งรู้จักกันในชื่อ 18A ด้วยการทดสอบเวเฟอร์ที่โรงงานของ Intel เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการพัฒนาชิปรุ่นถัดไป Broadcom กำลังแสดงศักยภาพในการแข่งขันในตลาดชิป AI ด้วยกลยุทธ์การพัฒนาชิปแบบกำหนดเอง และความร่วมมือกับลูกค้าใหม่ที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การเติบโตนี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้ Broadcom ยืนหยัดอยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคง แต่ยังช่วยสร้างนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/07/broadcom-forecasts-strong-second-quarter-on-upbeat-ai-chip-demand
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Broadcom shares surge as solid forecast eases demand worries for AI chips
    (Reuters) -Broadcom CEO on Thursday assuaged investor worries about AI chip demand with a strong second-quarter forecast and hinted about new potential customers that could boost revenue in a highly competitive market.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความเอ็ดดี้ อัษฎางค์นี้มีความหมายที่ควรค่าการอ่านเกี่ยวกับอคติของวัฒนธรรมของฝรั่งเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น กรณีนาย Jimmy Kimmel พิธีกรรายการดังสัมภาษณ์ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล เมื่อรายการ Jimmy Kimmel Live บอกกับลิซ่าว่า ชื่อ มุก ของเธอใน #TheWhiteLotus แปลว่า โง่งี่เง่า#อัษฎางค์ยมนาค“Ethnocentrism“แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น ลิซ่า ไปออกรายการ Jimmy Kimmel Live แล้วพิธีกร Jimmy ถามถึงการสวมบทเป็น “มุก” ใน #TheWhiteLotus ว่าตัวละครที่้ที่ชื่อ “มุก” ในภาษาไทยมุก (Mook) แปลว่าอะไร?ลิซ่า ตอบว่า Pearl (ไข่มุก) แต่ Jimmy สวนกลับว่า Mook มันเป็นแสลงประมาณว่า Dumb นะ ไม่มีใครบอกเธอหรอ ลิซ่า บอกไม่มีนะ แต่มันเป็นชื่อคนไทยไง Jimmy พูดต่อว่าคงไม่มีปัญหาที่ไทย แต่ที่นี่อ่ะมีแน่ ลิซ่าตอบกลับว่า ถ้าอย่างนั้นอย่าเรียกว่ามุกที่นี่แล้วกัน ในภาษาไทย “มุก” หมายถึง ไข่มุก ซึ่งเป็นของมีค่า สวยงาม และมีความหมายดี ในขณะที่ มุก เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย แต่เสียงของคำนี้ไปพ้องกับคำในภาษาอังกฤษที่มีความหมายแย่ คำว่า “Mook” เป็นแสลงที่ใช้ดูถูกคน แปลประมาณว่า “คนโง่, ไร้ค่า”การที่ Jimmy Kimmel แซวชื่อว่า “Mook” แปลว่า Dumb (โง่) ในภาษาอังกฤษ อาจดูเหมือนเป็นมุกตลกของเขา แต่จริง ๆ แล้วเป็น การแสดงออกถึง Ethnocentrism (แนวคิดที่เอาวัฒนธรรมของตัวเองเป็นศูนย์กลาง) หรือไม่? Jimmy Kimmel มีสิทธิ์บอกว่า ควรเปลี่ยนชื่อไทยเพื่อให้เข้ากับภาษาอังกฤษ หรือไม่ชื่อเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ไม่ควรถูกลดค่าหรือถูกทำให้เป็นเรื่องตลก คนไทย ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ เพียงเพราะมันไปพ้องเสียงกับคำที่ไม่ดีในภาษาอื่น จริงมั้ย?Ethnocentrism หรือ แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมตะวันตกและมักปรากฏในวงการบันเทิง สื่อมวลชน และชีวิตประจำวันของผู้คนที่ไม่ตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมกรณีของ Jimmy Kimmel และชื่อ “มุก” (Mook) เป็นตัวอย่างที่ดีของ ethnocentric bias หรืออคติทางวัฒนธรรมที่ตะวันตกเป็นศูนย์กลาง Jimmy ตั้งคำถามถึงชื่อไทยโดยไม่ได้พยายามทำความเข้าใจวัฒนธรรมไทยก่อน เมื่อ Lisa อธิบายว่า “Mook” แปลว่า Pearl (ไข่มุก) ซึ่งเป็นชื่อที่มีความหมายดี Jimmy กลับ ตอบโต้โดยอ้างถึงความหมายในภาษาอังกฤษ เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าชื่อนี้เป็นเรื่องปกติในประเทศไทย และไม่มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนชื่อ “มุก” เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพียงเพราะมันไปพ้องกับคำที่ไม่ดีในภาษาอังกฤษ และ Jimmy Kimmel ไม่ควรใช้มุกตลกที่อาจเป็นการลดค่าชื่อของคนไทย คนไทยควรภาคภูมิใจในชื่อของตัวเอง และมีสิทธิ์ใช้ชื่อตามวัฒนธรรมของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้ใครพอใจทำไม Ethnocentrism เป็นปัญหา?Ethnocentrism ทำให้เกิดแนวคิดว่าคนจากวัฒนธรรมอื่นต้องปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานของตะวันตก แทนที่จะเคารพความแตกต่างสร้างอคติทางภาษา เช่น “ชื่อของคุณฟังดูแปลกในภาษาเรา ดังนั้นมันต้องผิด”ลดทอนคุณค่าทางวัฒนธรรม แทนที่จะเรียนรู้จากวัฒนธรรมอื่น และส่งเสริมแนวคิด “อารยธรรมของฉันสูงกว่า วัฒนธรรมของคุณต้องเปลี่ยน” ซึ่งเคยถูกใช้เป็นข้ออ้างในยุคล่าอาณานิคมสื่อมวลชนตะวันตกควรรับผิดชอบอย่างไร?Jimmy Kimmel เป็นพิธีกรระดับโลก ควรมีตระหนักถึงอิทธิพลของตนเอง คำพูดของเขามีผลกระทบต่อความคิดของผู้ชม ซึ่งควรให้เคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม การถามคำถามที่สะท้อนอคติทางวัฒนธรรมทำให้ผู้คนจากวัฒนธรรมอื่นรู้สึกถูกลดค่า Jimmy ควรเรียนรู้และให้เกียรติชื่อและอัตลักษณ์ของผู้อื่น ไม่ใช่ทุกอย่างต้องเข้ากับมาตรฐานของตะวันตกหาก Jimmy Kimmel เรียนรู้ที่จะเคารพวัฒนธรรมอื่นเพียงพอ เขาอาจเปลี่ยนมุกตลกที่เหยียดคนอื่นของเขานี้เป็นโอกาสอธิบายให้ผู้ชมรู้ว่า "มุก" คือไข่มุกอันทรงคุณค่าในภาษาไทย แทนที่จะลดทอนมันให้เป็นคำหยาบคาย ซึ่งนั่นคือบทบาทของสื่อที่ควรเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจข้ามวัฒนธรรมมากกว่าสร้างกำแพงในขณะที่ น้องลิซ่าถูกอบรมสั่งสอนมาดีทั้งจากเมืองไทยและเกาหลี ไม่งั้นเธอคงพูดสวนกับคุณว่า ชื่อ Jimmy ของคุณก็ฟังพ้องเสียงกับคำว่า “จิมิ” ซึ่งเป็นคำแสลงในภาษาไทย ซึ่งหมายถึง……จุดซ่อนเร้นของคุณผู้หญิง คุณจะรู้สึกอย่างไร? จิมิโชว์?รายการจิมิโชว์?https://youtu.be/ga7NkYeqh_A?si=C5yYwJEBKo-0Gvuh………………………………………………………………………………….“Ethnocentrism”Lisa appeared on Jimmy Kimmel Live, and the host, Jimmy, asked about her role as “Mook” in The White Lotus, specifically what the name “Mook” means in Thai.Lisa answered that it means “Pearl”, but Jimmy responded that “Mook” is slang for something like “Dumb.” “No one told you?” he asked.Lisa replied, “No, they didn’t, but it’s a Thai name.” Jimmy then said, “Maybe it’s not a problem in Thailand, but here, it definitely is.” Lisa responded, “Then don’t call me Mook here.”In Thai, “Mook” means pearl, which is valuable, beautiful, and meaningful. While “Mook” is a good name in Thai, the pronunciation of this word coincidentally resembles an English slang term with a negative meaning. In American English, “Mook” is slang used to insult someone, meaning something like “a fool” or “a worthless person.”When Jimmy Kimmel joked that “Mook” means “Dumb” in English, it might have seemed like a joke to him. But is it actually an expression of ethnocentrism—the belief that one’s own culture is the center of everything?Does Jimmy Kimmel have the right to say that a Thai name should be changed to fit the English language?A name is a part of cultural identity. It should not be devalued or turned into a joke. Thai people do not need to change their names just because they sound similar to an undesirable word in another language. Isn’t that true?Ethnocentrism, or the belief that one’s culture is superior to others, is a deeply rooted issue in Western society. It often appears in entertainment, media, and daily life among people who are unaware of cultural differences.The case of Jimmy Kimmel and the name “Mook” is a prime example of ethnocentric bias, where Western perspectives are centered, ignoring non-Western cultures.Jimmy questioned a Thai name without trying to understand Thai culture first. When Lisa explained that “Mook” means Pearl, a meaningful and positive name, Jimmy instead argued based on the English slang meaning. He did not recognize that this name is completely normal in Thailand and that there is no reason to change it.The name “Mook” is a good Thai name. There is no need to change it just because it coincidentally matches an English word with a bad meaning. And Jimmy Kimmel should not make jokes that diminish the value of Thai names.Thai people should be proud of their names and have the right to use them according to their culture without needing to change them for anyone else’s comfort.Why is Ethnocentrism a Problem?Ethnocentrism creates the belief that people from other cultures must adjust to Western standards instead of respecting diversity. • It creates linguistic bias, implying that “Your name sounds strange in our language, so it must be wrong.” • It devalues cultural identity, instead of encouraging learning from other cultures. • It promotes the idea that “My civilization is superior; your culture must change,” which was historically used as a justification for colonialism.How Should Western Media Be More Responsible?Jimmy Kimmel is a globally recognized host. He should be aware of his influence. His words impact public perception.Asking a question that reflects cultural bias makes people from other cultures feel devalued.Jimmy Kimmel should learn and respect other people’s names and identities. Not everything has to fit into Western standards.If Jimmy Kimmel had learned to respect other cultures more, he might have turned his joke into an opportunity to educate his audience that ‘Mook’ means a precious pearl in Thai, rather than reducing it to a vulgar term. That is the true role of the media—to serve as a bridge for cross-cultural understanding rather than building walls.On the other hand, Lisa has been well-raised and well-trained, both in Thailand and Korea. Otherwise, she might have responded to you by saying, ‘Your name, Jimmy, also sounds like ‘Jimi’ in Thai slang, which refers to… a woman’s private part. How would you feel? Jimi show!”"https://www.facebook.com/share/v/16CtwRaMG4/?mibextid=wwXIfr
    บทความเอ็ดดี้ อัษฎางค์นี้มีความหมายที่ควรค่าการอ่านเกี่ยวกับอคติของวัฒนธรรมของฝรั่งเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น กรณีนาย Jimmy Kimmel พิธีกรรายการดังสัมภาษณ์ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล เมื่อรายการ Jimmy Kimmel Live บอกกับลิซ่าว่า ชื่อ มุก ของเธอใน #TheWhiteLotus แปลว่า โง่งี่เง่า#อัษฎางค์ยมนาค“Ethnocentrism“แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น ลิซ่า ไปออกรายการ Jimmy Kimmel Live แล้วพิธีกร Jimmy ถามถึงการสวมบทเป็น “มุก” ใน #TheWhiteLotus ว่าตัวละครที่้ที่ชื่อ “มุก” ในภาษาไทยมุก (Mook) แปลว่าอะไร?ลิซ่า ตอบว่า Pearl (ไข่มุก) แต่ Jimmy สวนกลับว่า Mook มันเป็นแสลงประมาณว่า Dumb นะ ไม่มีใครบอกเธอหรอ ลิซ่า บอกไม่มีนะ แต่มันเป็นชื่อคนไทยไง Jimmy พูดต่อว่าคงไม่มีปัญหาที่ไทย แต่ที่นี่อ่ะมีแน่ ลิซ่าตอบกลับว่า ถ้าอย่างนั้นอย่าเรียกว่ามุกที่นี่แล้วกัน ในภาษาไทย “มุก” หมายถึง ไข่มุก ซึ่งเป็นของมีค่า สวยงาม และมีความหมายดี ในขณะที่ มุก เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย แต่เสียงของคำนี้ไปพ้องกับคำในภาษาอังกฤษที่มีความหมายแย่ คำว่า “Mook” เป็นแสลงที่ใช้ดูถูกคน แปลประมาณว่า “คนโง่, ไร้ค่า”การที่ Jimmy Kimmel แซวชื่อว่า “Mook” แปลว่า Dumb (โง่) ในภาษาอังกฤษ อาจดูเหมือนเป็นมุกตลกของเขา แต่จริง ๆ แล้วเป็น การแสดงออกถึง Ethnocentrism (แนวคิดที่เอาวัฒนธรรมของตัวเองเป็นศูนย์กลาง) หรือไม่? Jimmy Kimmel มีสิทธิ์บอกว่า ควรเปลี่ยนชื่อไทยเพื่อให้เข้ากับภาษาอังกฤษ หรือไม่ชื่อเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ไม่ควรถูกลดค่าหรือถูกทำให้เป็นเรื่องตลก คนไทย ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ เพียงเพราะมันไปพ้องเสียงกับคำที่ไม่ดีในภาษาอื่น จริงมั้ย?Ethnocentrism หรือ แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมตะวันตกและมักปรากฏในวงการบันเทิง สื่อมวลชน และชีวิตประจำวันของผู้คนที่ไม่ตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมกรณีของ Jimmy Kimmel และชื่อ “มุก” (Mook) เป็นตัวอย่างที่ดีของ ethnocentric bias หรืออคติทางวัฒนธรรมที่ตะวันตกเป็นศูนย์กลาง Jimmy ตั้งคำถามถึงชื่อไทยโดยไม่ได้พยายามทำความเข้าใจวัฒนธรรมไทยก่อน เมื่อ Lisa อธิบายว่า “Mook” แปลว่า Pearl (ไข่มุก) ซึ่งเป็นชื่อที่มีความหมายดี Jimmy กลับ ตอบโต้โดยอ้างถึงความหมายในภาษาอังกฤษ เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าชื่อนี้เป็นเรื่องปกติในประเทศไทย และไม่มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนชื่อ “มุก” เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพียงเพราะมันไปพ้องกับคำที่ไม่ดีในภาษาอังกฤษ และ Jimmy Kimmel ไม่ควรใช้มุกตลกที่อาจเป็นการลดค่าชื่อของคนไทย คนไทยควรภาคภูมิใจในชื่อของตัวเอง และมีสิทธิ์ใช้ชื่อตามวัฒนธรรมของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้ใครพอใจทำไม Ethnocentrism เป็นปัญหา?Ethnocentrism ทำให้เกิดแนวคิดว่าคนจากวัฒนธรรมอื่นต้องปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานของตะวันตก แทนที่จะเคารพความแตกต่างสร้างอคติทางภาษา เช่น “ชื่อของคุณฟังดูแปลกในภาษาเรา ดังนั้นมันต้องผิด”ลดทอนคุณค่าทางวัฒนธรรม แทนที่จะเรียนรู้จากวัฒนธรรมอื่น และส่งเสริมแนวคิด “อารยธรรมของฉันสูงกว่า วัฒนธรรมของคุณต้องเปลี่ยน” ซึ่งเคยถูกใช้เป็นข้ออ้างในยุคล่าอาณานิคมสื่อมวลชนตะวันตกควรรับผิดชอบอย่างไร?Jimmy Kimmel เป็นพิธีกรระดับโลก ควรมีตระหนักถึงอิทธิพลของตนเอง คำพูดของเขามีผลกระทบต่อความคิดของผู้ชม ซึ่งควรให้เคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม การถามคำถามที่สะท้อนอคติทางวัฒนธรรมทำให้ผู้คนจากวัฒนธรรมอื่นรู้สึกถูกลดค่า Jimmy ควรเรียนรู้และให้เกียรติชื่อและอัตลักษณ์ของผู้อื่น ไม่ใช่ทุกอย่างต้องเข้ากับมาตรฐานของตะวันตกหาก Jimmy Kimmel เรียนรู้ที่จะเคารพวัฒนธรรมอื่นเพียงพอ เขาอาจเปลี่ยนมุกตลกที่เหยียดคนอื่นของเขานี้เป็นโอกาสอธิบายให้ผู้ชมรู้ว่า "มุก" คือไข่มุกอันทรงคุณค่าในภาษาไทย แทนที่จะลดทอนมันให้เป็นคำหยาบคาย ซึ่งนั่นคือบทบาทของสื่อที่ควรเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจข้ามวัฒนธรรมมากกว่าสร้างกำแพงในขณะที่ น้องลิซ่าถูกอบรมสั่งสอนมาดีทั้งจากเมืองไทยและเกาหลี ไม่งั้นเธอคงพูดสวนกับคุณว่า ชื่อ Jimmy ของคุณก็ฟังพ้องเสียงกับคำว่า “จิมิ” ซึ่งเป็นคำแสลงในภาษาไทย ซึ่งหมายถึง……จุดซ่อนเร้นของคุณผู้หญิง คุณจะรู้สึกอย่างไร? จิมิโชว์?รายการจิมิโชว์?https://youtu.be/ga7NkYeqh_A?si=C5yYwJEBKo-0Gvuh………………………………………………………………………………….“Ethnocentrism”Lisa appeared on Jimmy Kimmel Live, and the host, Jimmy, asked about her role as “Mook” in The White Lotus, specifically what the name “Mook” means in Thai.Lisa answered that it means “Pearl”, but Jimmy responded that “Mook” is slang for something like “Dumb.” “No one told you?” he asked.Lisa replied, “No, they didn’t, but it’s a Thai name.” Jimmy then said, “Maybe it’s not a problem in Thailand, but here, it definitely is.” Lisa responded, “Then don’t call me Mook here.”In Thai, “Mook” means pearl, which is valuable, beautiful, and meaningful. While “Mook” is a good name in Thai, the pronunciation of this word coincidentally resembles an English slang term with a negative meaning. In American English, “Mook” is slang used to insult someone, meaning something like “a fool” or “a worthless person.”When Jimmy Kimmel joked that “Mook” means “Dumb” in English, it might have seemed like a joke to him. But is it actually an expression of ethnocentrism—the belief that one’s own culture is the center of everything?Does Jimmy Kimmel have the right to say that a Thai name should be changed to fit the English language?A name is a part of cultural identity. It should not be devalued or turned into a joke. Thai people do not need to change their names just because they sound similar to an undesirable word in another language. Isn’t that true?Ethnocentrism, or the belief that one’s culture is superior to others, is a deeply rooted issue in Western society. It often appears in entertainment, media, and daily life among people who are unaware of cultural differences.The case of Jimmy Kimmel and the name “Mook” is a prime example of ethnocentric bias, where Western perspectives are centered, ignoring non-Western cultures.Jimmy questioned a Thai name without trying to understand Thai culture first. When Lisa explained that “Mook” means Pearl, a meaningful and positive name, Jimmy instead argued based on the English slang meaning. He did not recognize that this name is completely normal in Thailand and that there is no reason to change it.The name “Mook” is a good Thai name. There is no need to change it just because it coincidentally matches an English word with a bad meaning. And Jimmy Kimmel should not make jokes that diminish the value of Thai names.Thai people should be proud of their names and have the right to use them according to their culture without needing to change them for anyone else’s comfort.Why is Ethnocentrism a Problem?Ethnocentrism creates the belief that people from other cultures must adjust to Western standards instead of respecting diversity. • It creates linguistic bias, implying that “Your name sounds strange in our language, so it must be wrong.” • It devalues cultural identity, instead of encouraging learning from other cultures. • It promotes the idea that “My civilization is superior; your culture must change,” which was historically used as a justification for colonialism.How Should Western Media Be More Responsible?Jimmy Kimmel is a globally recognized host. He should be aware of his influence. His words impact public perception.Asking a question that reflects cultural bias makes people from other cultures feel devalued.Jimmy Kimmel should learn and respect other people’s names and identities. Not everything has to fit into Western standards.If Jimmy Kimmel had learned to respect other cultures more, he might have turned his joke into an opportunity to educate his audience that ‘Mook’ means a precious pearl in Thai, rather than reducing it to a vulgar term. That is the true role of the media—to serve as a bridge for cross-cultural understanding rather than building walls.On the other hand, Lisa has been well-raised and well-trained, both in Thailand and Korea. Otherwise, she might have responded to you by saying, ‘Your name, Jimmy, also sounds like ‘Jimi’ in Thai slang, which refers to… a woman’s private part. How would you feel? Jimi show!”"https://www.facebook.com/share/v/16CtwRaMG4/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 337 มุมมอง 0 รีวิว
  • เฮลโล กระทรวง DE กับ กสทช อยู่ไหน มาโปรโมทหน่อยเร็ว !!!

    Electronic Frontier Foundation (EFF) ได้เปิดตัวเครื่องมือโอเพ่นซอร์สชื่อ 'Rayhunter' เพื่อช่วยผู้ใช้ตรวจจับเครื่องจำลองเซลล์ไซต์ (CSS) หรือที่รู้จักกันในชื่อ IMSI catchers หรือ Stingrays เครื่องมือเหล่านี้สามารถปลอมเป็นสถานีฐานโทรศัพท์มือถือเพื่อหลอกให้โทรศัพท์เชื่อมต่อ และสามารถจับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ตำแหน่งที่แม่นยำของผู้ใช้ และอาจดักจับการสื่อสารได้

    เครื่องมือ Rayhunter ทำงานโดยจับและวิเคราะห์การจราจรสัญญาณควบคุมระหว่างจุดเชื่อมต่อเคลื่อนที่กับสถานีฐานที่เชื่อมต่ออยู่ โดยไม่ตรวจสอบกิจกรรมของผู้ใช้ Rayhunter จะตรวจสอบการสื่อสารในแบบเรียลไทม์และค้นหาเหตุการณ์ที่น่าสงสัย เช่น การที่สถานีฐานพยายามลดระดับการเชื่อมต่อของคุณเป็น 2G ที่อ่อนแอต่อการโจมตี หรือการที่สถานีฐานขอ IMSI ของคุณในสภาวะที่น่าสงสัย

    เครื่องมือนี้สามารถใช้งานบนอุปกรณ์พกพา Orbic RC400L ซึ่งเป็นโมเด็ม 4G LTE ที่มีราคาถูกเพียง 20 ดอลลาร์ และมีจำหน่ายทั่วไป การใช้เครื่องมือ Rayhunter นี้ไม่จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ที่มีการรูทหรือซอฟต์แวร์วิทยุที่มีราคาแพง

    เมื่อ Rayhunter ตรวจพบการสื่อสารเครือข่ายที่น่าสงสัย หน้าจอของ Orbic จะเปลี่ยนเป็นสีแดงจากสีเขียว/น้ำเงินปกติ เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้ถึงการโจมตี Stingray ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงและดาวน์โหลดบันทึก PCAP จากอุปกรณ์เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือใช้เพื่อสนับสนุนการสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/open-source-tool-rayhunter-helps-users-detect-stingray-attacks/
    เฮลโล กระทรวง DE กับ กสทช อยู่ไหน มาโปรโมทหน่อยเร็ว !!! Electronic Frontier Foundation (EFF) ได้เปิดตัวเครื่องมือโอเพ่นซอร์สชื่อ 'Rayhunter' เพื่อช่วยผู้ใช้ตรวจจับเครื่องจำลองเซลล์ไซต์ (CSS) หรือที่รู้จักกันในชื่อ IMSI catchers หรือ Stingrays เครื่องมือเหล่านี้สามารถปลอมเป็นสถานีฐานโทรศัพท์มือถือเพื่อหลอกให้โทรศัพท์เชื่อมต่อ และสามารถจับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ตำแหน่งที่แม่นยำของผู้ใช้ และอาจดักจับการสื่อสารได้ เครื่องมือ Rayhunter ทำงานโดยจับและวิเคราะห์การจราจรสัญญาณควบคุมระหว่างจุดเชื่อมต่อเคลื่อนที่กับสถานีฐานที่เชื่อมต่ออยู่ โดยไม่ตรวจสอบกิจกรรมของผู้ใช้ Rayhunter จะตรวจสอบการสื่อสารในแบบเรียลไทม์และค้นหาเหตุการณ์ที่น่าสงสัย เช่น การที่สถานีฐานพยายามลดระดับการเชื่อมต่อของคุณเป็น 2G ที่อ่อนแอต่อการโจมตี หรือการที่สถานีฐานขอ IMSI ของคุณในสภาวะที่น่าสงสัย เครื่องมือนี้สามารถใช้งานบนอุปกรณ์พกพา Orbic RC400L ซึ่งเป็นโมเด็ม 4G LTE ที่มีราคาถูกเพียง 20 ดอลลาร์ และมีจำหน่ายทั่วไป การใช้เครื่องมือ Rayhunter นี้ไม่จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ที่มีการรูทหรือซอฟต์แวร์วิทยุที่มีราคาแพง เมื่อ Rayhunter ตรวจพบการสื่อสารเครือข่ายที่น่าสงสัย หน้าจอของ Orbic จะเปลี่ยนเป็นสีแดงจากสีเขียว/น้ำเงินปกติ เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้ถึงการโจมตี Stingray ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงและดาวน์โหลดบันทึก PCAP จากอุปกรณ์เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือใช้เพื่อสนับสนุนการสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์ https://www.bleepingcomputer.com/news/security/open-source-tool-rayhunter-helps-users-detect-stingray-attacks/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Open-source tool 'Rayhunter' helps users detect Stingray attacks
    The Electronic Frontier Foundation (EFF) has released a free, open-source tool named Rayhunter that is designed to detect cell-site simulators (CSS), also known as IMSI catchers or Stingrays.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงไม่ถูกใจสิ่งนี้ !!

    บริษัท Brother ซึ่งเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการเปลี่ยนนโยบายไปใช้แนวทางที่ค่อนข้างไม่เป็นมิตรต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะในเรื่องของการใช้โทนเนอร์ที่ไม่ใช่ของแท้ (non-OEM toner)

    เครื่องพิมพ์ Brother เคยได้รับการชื่นชมว่าใช้งานกับโทนเนอร์ที่ไม่ใช่ของแท้ได้เป็นอย่างดี แตกต่างจากแบรนด์อื่นเช่น HP แต่การอัปเดตเฟิร์มแวร์ครั้งล่าสุดได้ทำให้คุณภาพการพิมพ์ลดลงอย่างชัดเจนเมื่อใช้โทนเนอร์ที่ไม่ใช่ของ Brother การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าถูกบังคับให้ต้องซื้อโทนเนอร์ของแท้ที่มีราคาแพงกว่ามาก

    การอัปเดตเฟิร์มแวร์ไม่ได้จำกัดเฉพาะการใช้งานโทนเนอร์ที่ไม่ใช่ของแท้เท่านั้น แต่ยังลบฟีเจอร์บางอย่างที่เคยมี เช่น การลงทะเบียนสีอัตโนมัติ (automatic color registration) ซึ่งทำให้คุณภาพการพิมพ์ที่ใช้โทนเนอร์ที่ไม่ใช่ของแท้ลดลงอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้ที่ต้องการเลือกใช้สินค้าตามที่ต้องการ

    สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าแก่ผู้ใช้ การอัปเดตเฟิร์มแวร์แบบอัตโนมัติ เช่น เวอร์ชัน W1.56 ถูกติดตั้งโดยไม่ให้ผู้ใช้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญนี้ ส่งผลให้การลงทะเบียนสีล้มเหลวและทำให้การพิมพ์ไม่ตรงกัน

    Louis Rossmann, นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิในการซ่อมและผู้ใช้ YouTube ชื่อดัง ได้แสดงความไม่พอใจต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเขาชี้ให้เห็นว่าการกระทำของ Brother เป็นการทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าโทนเนอร์ที่ไม่ใช่ของแท้มีปัญหา

    ยิ่งไปกว่านั้น Brother ยังได้ลบเวอร์ชันเฟิร์มแวร์เก่าๆ ออกจากเซิร์ฟเวอร์ของตน ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถย้อนกลับไปใช้เวอร์ชันที่เคยรองรับการใช้งานโทนเนอร์ที่ไม่ใช่ของแท้ได้

    การกระทำนี้อาจมีผลกระทบทางกฎหมาย Rossmann คาดว่าการลบฟังก์ชันหลังจากการซื้ออาจเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายในบางเขตแดน ผู้บริโภคถูกทิ้งให้มีทางเลือกจำกัดในการแก้ไขปัญหา บางคนเลือกที่จะปิดการอัปเดตอัตโนมัติเพื่อป้องกันการลบฟังก์ชัน แต่การทำเช่นนั้นอาจทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการโจมตีทางไซเบอร์

    https://www.techspot.com/news/107022-brother-printers-quietly-sabotaging-third-party-toner-firmware.html
    ลุงไม่ถูกใจสิ่งนี้ !! บริษัท Brother ซึ่งเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการเปลี่ยนนโยบายไปใช้แนวทางที่ค่อนข้างไม่เป็นมิตรต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะในเรื่องของการใช้โทนเนอร์ที่ไม่ใช่ของแท้ (non-OEM toner) เครื่องพิมพ์ Brother เคยได้รับการชื่นชมว่าใช้งานกับโทนเนอร์ที่ไม่ใช่ของแท้ได้เป็นอย่างดี แตกต่างจากแบรนด์อื่นเช่น HP แต่การอัปเดตเฟิร์มแวร์ครั้งล่าสุดได้ทำให้คุณภาพการพิมพ์ลดลงอย่างชัดเจนเมื่อใช้โทนเนอร์ที่ไม่ใช่ของ Brother การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าถูกบังคับให้ต้องซื้อโทนเนอร์ของแท้ที่มีราคาแพงกว่ามาก การอัปเดตเฟิร์มแวร์ไม่ได้จำกัดเฉพาะการใช้งานโทนเนอร์ที่ไม่ใช่ของแท้เท่านั้น แต่ยังลบฟีเจอร์บางอย่างที่เคยมี เช่น การลงทะเบียนสีอัตโนมัติ (automatic color registration) ซึ่งทำให้คุณภาพการพิมพ์ที่ใช้โทนเนอร์ที่ไม่ใช่ของแท้ลดลงอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้ที่ต้องการเลือกใช้สินค้าตามที่ต้องการ สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าแก่ผู้ใช้ การอัปเดตเฟิร์มแวร์แบบอัตโนมัติ เช่น เวอร์ชัน W1.56 ถูกติดตั้งโดยไม่ให้ผู้ใช้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญนี้ ส่งผลให้การลงทะเบียนสีล้มเหลวและทำให้การพิมพ์ไม่ตรงกัน Louis Rossmann, นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิในการซ่อมและผู้ใช้ YouTube ชื่อดัง ได้แสดงความไม่พอใจต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเขาชี้ให้เห็นว่าการกระทำของ Brother เป็นการทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าโทนเนอร์ที่ไม่ใช่ของแท้มีปัญหา ยิ่งไปกว่านั้น Brother ยังได้ลบเวอร์ชันเฟิร์มแวร์เก่าๆ ออกจากเซิร์ฟเวอร์ของตน ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถย้อนกลับไปใช้เวอร์ชันที่เคยรองรับการใช้งานโทนเนอร์ที่ไม่ใช่ของแท้ได้ การกระทำนี้อาจมีผลกระทบทางกฎหมาย Rossmann คาดว่าการลบฟังก์ชันหลังจากการซื้ออาจเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายในบางเขตแดน ผู้บริโภคถูกทิ้งให้มีทางเลือกจำกัดในการแก้ไขปัญหา บางคนเลือกที่จะปิดการอัปเดตอัตโนมัติเพื่อป้องกันการลบฟังก์ชัน แต่การทำเช่นนั้นอาจทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการโจมตีทางไซเบอร์ https://www.techspot.com/news/107022-brother-printers-quietly-sabotaging-third-party-toner-firmware.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Brother printers are quietly sabotaging third-party toner with firmware updates
    Brother printers had been lauded before for their compatibility with non-OEM toner cartridges, setting them apart from brands like HP. However, recent firmware updates have deliberately degraded...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • พวกผู้เชี่ยวชาญชี้ แผนการลงทุนมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ในอเมริกาของทีเอสเอ็มซี บริษัทไต้หวันที่เป็นผู้ผลิตชิปใหญ่ที่สุดของโลก อาจส่งผลให้ “โล่ซิลิคอน” ของไทเปอ่อนแอลง เปิดทางให้ทรัมป์เข้าควบคุมการผลิตชิปของทีเอสเอ็มซี หรือในทางกลับกันอาจทำให้ไต้หวัน “ปลอดภัยขึ้น” และสร้างความไว้วางใจระหว่างไทเปกับวอชิงตัน
    .
    ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง (ทีเอสเอ็มซี) ซึ่งเวลานี้มีฐานะเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีสำคัญ ที่กลายเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจโลก
    .
    ในสัปดาห์นี้ การประกาศลงทุนครั้งมหึมาในสหรัฐฯ ทำให้มูลค่าการลงทุนทั้งหมดของทีเอสเอ็มซีในอเมริกาเพิ่มเป็น 165,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งบริษัทบอกว่า เป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน
    .
    ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหาไต้หวันขโมยอุตสาหกรรมชิปของอเมริกา พร้อมขู่รีดภาษี 100% และไทเปต้องรีบตอบสนองโดยให้สัญญาว่า จะลงทุนในอเมริกาเพิ่ม
    .
    เอเอฟพีเสนอรายงานที่ระบุว่า การลงทุนของทีเอสเอ็มซีครั้งนี้อาจมีนัยสำคัญสำหรับไต้หวัน ดังต่อไปนี้
    .
    โล่ซิลิคอน
    .
    ชิปเซมิคอนดักเตอร์ในปัจจุบันเป็นส่วนประกอบอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่สมาร์ทโฟนไปจนถึงทีวี รถยนต์ไฟฟ้า และขีปนาวุธ และชิปเหล่านี้กว่าครึ่งผลิตในไต้หวัน
    .
    การผลิตชิปที่กระจุกตัวอยู่ในไต้หวันถูกมองมานานแล้วว่าเป็น “โล่ซิลิคอน” ที่ปกป้องไต้หวันจากการรุกรานหรือการปิดล้อมของจีน อีกทั้งยังเป็นแรงจูงใจให้อเมริกากางปีกปกป้องไทเป
    .
    ช่วงหลายปีมานี้จีนเพิ่มความกดดันทางทหารต่อไต้หวันเพื่อผลักดันการอ้างสิทธิอธิปไตยเหนือเกาะแห่งนี้ ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่และโรงงานผลิตชิปมากมายหลายแห่งของทีเอสเอ็มซี
    .
    ความเคลื่อนไหวของจีนทำให้มีเสียงเรียกร้องให้ทีเอสเอ็มซีย้ายการผลิตออกจากไต้หวันเพื่อป้องกันการชะงักงันด้านอุปทานหากถูกจีนโจมตี
    .
    เมื่อไม่นานมานี้ ทรัมป์เตือนว่า อาจเรียกเก็บภาษีชิปที่ผลิตนอกสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 25% หรือมากกว่านั้น ซึ่งนักวิเคราะห์คนหนึ่งระบุว่า อาจทำให้อุตสาหกรรมชิปเผชิญภาวะถดถอย
    .
    แม้การลงทุนล่าสุดคราวนี้ของทีเอสเอ็มซี น่าจะสามารถหลบเลี่ยงจากการข่มขู่รีดภาษีศุลกากรเช่นว่านี้ แต่ยังมีความกังวลว่า การดำเนินการดังกล่าวอาจกระทบต่อเศรษฐกิจไต้หวันและทำให้ “โล่ซิลิคอน” ความมั่นคงของไต้หวันอ่อนแอลง
    .
    โก จูชุน สมาชิกรัฐสภาจากพรรคก๊กมินตั๋งซึ่งเป็นแกนนำฝ่ายค้าน ชี้ว่า ยิ่งทีเอสเอ็มซีออกไปผลิตในอเมริกามากเท่าไหร่ ไต้หวันยิ่งหมดความสำคัญในแง่ภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้นเท่านั้น รวมทั้งยังลดแรงจูงใจต่ออเมริกาในการให้ความช่วยเหลือไต้หวันในอนาคต
    .
    การควบคุมทีเอสเอ็มซี
    .
    ผู้นำไต้หวันตระหนักดีถึงความเสี่ยงขณะพยายามรักษาการสนับสนุนจากวอชิงตัน ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนด้านความมั่นคงที่สำคัญที่สุด และปกป้องสถานะผู้ทรงอิทธิพลในการผลิตชิปของไต้หวัน
    .
    สำนักงานของประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ แถลงเมื่อวันอังคาร (4 มี.ค.) ว่า รัฐบาลจะตรวจสอบข้อตกลงของทีเอสเอ็มซีว่า สอดคล้องกับกฎหมายของไต้หวันหรือไม่ และทำให้แน่ใจว่า กระบวนการผลิตชิปขั้นสูงสุดจะยังคงอยู่ในไต้หวัน
    .
    ก่อนหน้านี้ ทีเอสเอ็มซีประกาศลงทุนมูลค่ากว่า 65,000 ล้านดอลลาร์ในการจัดตั้งโรงงาน 3 แห่งในรัฐแอริโซนาของอเมริกา โดยที่โรงงานแห่งแรกเริ่มต้นผลิตตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
    .
    สำหรับการลงทุน 100,000 ล้านดอลลาร์ซึ่งประกาศในสัปดาห์นี้ จะเป็นการขยายโครงการในอเมริกาด้วยการจัดตั้งโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่ 3 แห่ง โรงงานบรรจุภัณฑ์ขั้นสูง 2 แห่ง และศูนย์วิจัยและพัฒนา
    .
    ริชาร์ด หู รองผู้อำนวยการของกลุ่มคลังสมอง ที่ใช้ชื่อว่า ศูนย์เพื่อการศึกษาด้านความมั่นคงของไต้หวัน ให้ความเห็นว่า ทรัมป์ต้องการป้องกันไม่ให้ทีเอสเอ็มซีตกอยู่ในมือจีน และทำให้บริษัทแห่งนี้เป็นสินทรัพย์ด้านเทคโนโลยีของอเมริกา
    .
    หูเสริมว่า เป้าหมายสูงสุดของทรัมป์คือ อเมริกาจะสามารถควบคุมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของทีเอสเอ็มซีทั้งหมดหรืออย่างมีนัยสำคัญ และทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมชิปของอเมริกา
    .
    การรับประกันความมั่นคง
    .
    อย่างไรก็ตาม ซู จื๋ออวิ๋น นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงจากสถาบันเพื่อการวิจัยด้านกลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติของไทเป มองโลกในแง่ดีมากกว่า โดยบอกว่า การลงทุนในสหรัฐฯ ของทีเอสเอ็มซีน่าจะทำให้ไต้หวัน “ปลอดภัยขึ้น” และช่วยส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมชิป อีกทั้งยังสร้างความไว้วางใจระหว่างไทเปกับวอชิงตัน และลดความกังวลของทรัมป์เกี่ยวกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจของอเมริกา
    .
    ซูเสริมว่า ไต้หวันไม่ได้มีความสำคัญเพราะมีทีเอสเอ็มซีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงด้านภูมิยุทธศาสตร์ โดยตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความสำคัญของเส้นทางขนส่งสินค้าทางทะเลของโลกที่อยู่ใกล้ไต้หวัน
    .
    ทว่า เจมส์ อี้ฟาน เฉิน จากมหาวิทยาลัยตั้นเจียง เสนอมุมมองอีกด้านหนึ่งว่า ต้นทุนการผลิตในอเมริกาที่สูงกว่าอาจทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ชิปทีเอสเอ็มซีแพงขึ้น
    .
    นอกจากนั้น ยังไม่มีการรับประกันว่า การลงทุนจะทำให้ทรัมป์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ มีความโน้มเอียงมากขึ้นจริงๆ ที่จะปกป้องไต้หวัน
    .
    เหวิน ตี้ซุง นักวิชาการจากโกลบัล ไชน่า ฮับ ของกลุ่มคลังสมองในสหรัฐฯ แอตแลนติก เคาน์ซิล บอกว่า ผลลัพธ์จากข้อตกลงนี้ในแง่ความเต็มใจของอเมริกาในการปกป้องไต้หวันนั้นต้องพูดว่ายังไม่มีความชัดเจน โดยขึ้นอยู่กับความรู้สึกของทรัมป์ ณ ขณะนั้นมากกว่า รวมทั้งขึ้นอยู่กับว่า ปักกิ่งจะพยายามยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจกว่าไต้หวันหรือไม่
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021621
    ..............
    Sondhi X
    พวกผู้เชี่ยวชาญชี้ แผนการลงทุนมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ในอเมริกาของทีเอสเอ็มซี บริษัทไต้หวันที่เป็นผู้ผลิตชิปใหญ่ที่สุดของโลก อาจส่งผลให้ “โล่ซิลิคอน” ของไทเปอ่อนแอลง เปิดทางให้ทรัมป์เข้าควบคุมการผลิตชิปของทีเอสเอ็มซี หรือในทางกลับกันอาจทำให้ไต้หวัน “ปลอดภัยขึ้น” และสร้างความไว้วางใจระหว่างไทเปกับวอชิงตัน . ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง (ทีเอสเอ็มซี) ซึ่งเวลานี้มีฐานะเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีสำคัญ ที่กลายเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจโลก . ในสัปดาห์นี้ การประกาศลงทุนครั้งมหึมาในสหรัฐฯ ทำให้มูลค่าการลงทุนทั้งหมดของทีเอสเอ็มซีในอเมริกาเพิ่มเป็น 165,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งบริษัทบอกว่า เป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน . ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหาไต้หวันขโมยอุตสาหกรรมชิปของอเมริกา พร้อมขู่รีดภาษี 100% และไทเปต้องรีบตอบสนองโดยให้สัญญาว่า จะลงทุนในอเมริกาเพิ่ม . เอเอฟพีเสนอรายงานที่ระบุว่า การลงทุนของทีเอสเอ็มซีครั้งนี้อาจมีนัยสำคัญสำหรับไต้หวัน ดังต่อไปนี้ . โล่ซิลิคอน . ชิปเซมิคอนดักเตอร์ในปัจจุบันเป็นส่วนประกอบอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่สมาร์ทโฟนไปจนถึงทีวี รถยนต์ไฟฟ้า และขีปนาวุธ และชิปเหล่านี้กว่าครึ่งผลิตในไต้หวัน . การผลิตชิปที่กระจุกตัวอยู่ในไต้หวันถูกมองมานานแล้วว่าเป็น “โล่ซิลิคอน” ที่ปกป้องไต้หวันจากการรุกรานหรือการปิดล้อมของจีน อีกทั้งยังเป็นแรงจูงใจให้อเมริกากางปีกปกป้องไทเป . ช่วงหลายปีมานี้จีนเพิ่มความกดดันทางทหารต่อไต้หวันเพื่อผลักดันการอ้างสิทธิอธิปไตยเหนือเกาะแห่งนี้ ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่และโรงงานผลิตชิปมากมายหลายแห่งของทีเอสเอ็มซี . ความเคลื่อนไหวของจีนทำให้มีเสียงเรียกร้องให้ทีเอสเอ็มซีย้ายการผลิตออกจากไต้หวันเพื่อป้องกันการชะงักงันด้านอุปทานหากถูกจีนโจมตี . เมื่อไม่นานมานี้ ทรัมป์เตือนว่า อาจเรียกเก็บภาษีชิปที่ผลิตนอกสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 25% หรือมากกว่านั้น ซึ่งนักวิเคราะห์คนหนึ่งระบุว่า อาจทำให้อุตสาหกรรมชิปเผชิญภาวะถดถอย . แม้การลงทุนล่าสุดคราวนี้ของทีเอสเอ็มซี น่าจะสามารถหลบเลี่ยงจากการข่มขู่รีดภาษีศุลกากรเช่นว่านี้ แต่ยังมีความกังวลว่า การดำเนินการดังกล่าวอาจกระทบต่อเศรษฐกิจไต้หวันและทำให้ “โล่ซิลิคอน” ความมั่นคงของไต้หวันอ่อนแอลง . โก จูชุน สมาชิกรัฐสภาจากพรรคก๊กมินตั๋งซึ่งเป็นแกนนำฝ่ายค้าน ชี้ว่า ยิ่งทีเอสเอ็มซีออกไปผลิตในอเมริกามากเท่าไหร่ ไต้หวันยิ่งหมดความสำคัญในแง่ภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้นเท่านั้น รวมทั้งยังลดแรงจูงใจต่ออเมริกาในการให้ความช่วยเหลือไต้หวันในอนาคต . การควบคุมทีเอสเอ็มซี . ผู้นำไต้หวันตระหนักดีถึงความเสี่ยงขณะพยายามรักษาการสนับสนุนจากวอชิงตัน ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนด้านความมั่นคงที่สำคัญที่สุด และปกป้องสถานะผู้ทรงอิทธิพลในการผลิตชิปของไต้หวัน . สำนักงานของประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ แถลงเมื่อวันอังคาร (4 มี.ค.) ว่า รัฐบาลจะตรวจสอบข้อตกลงของทีเอสเอ็มซีว่า สอดคล้องกับกฎหมายของไต้หวันหรือไม่ และทำให้แน่ใจว่า กระบวนการผลิตชิปขั้นสูงสุดจะยังคงอยู่ในไต้หวัน . ก่อนหน้านี้ ทีเอสเอ็มซีประกาศลงทุนมูลค่ากว่า 65,000 ล้านดอลลาร์ในการจัดตั้งโรงงาน 3 แห่งในรัฐแอริโซนาของอเมริกา โดยที่โรงงานแห่งแรกเริ่มต้นผลิตตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว . สำหรับการลงทุน 100,000 ล้านดอลลาร์ซึ่งประกาศในสัปดาห์นี้ จะเป็นการขยายโครงการในอเมริกาด้วยการจัดตั้งโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่ 3 แห่ง โรงงานบรรจุภัณฑ์ขั้นสูง 2 แห่ง และศูนย์วิจัยและพัฒนา . ริชาร์ด หู รองผู้อำนวยการของกลุ่มคลังสมอง ที่ใช้ชื่อว่า ศูนย์เพื่อการศึกษาด้านความมั่นคงของไต้หวัน ให้ความเห็นว่า ทรัมป์ต้องการป้องกันไม่ให้ทีเอสเอ็มซีตกอยู่ในมือจีน และทำให้บริษัทแห่งนี้เป็นสินทรัพย์ด้านเทคโนโลยีของอเมริกา . หูเสริมว่า เป้าหมายสูงสุดของทรัมป์คือ อเมริกาจะสามารถควบคุมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของทีเอสเอ็มซีทั้งหมดหรืออย่างมีนัยสำคัญ และทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมชิปของอเมริกา . การรับประกันความมั่นคง . อย่างไรก็ตาม ซู จื๋ออวิ๋น นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงจากสถาบันเพื่อการวิจัยด้านกลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติของไทเป มองโลกในแง่ดีมากกว่า โดยบอกว่า การลงทุนในสหรัฐฯ ของทีเอสเอ็มซีน่าจะทำให้ไต้หวัน “ปลอดภัยขึ้น” และช่วยส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมชิป อีกทั้งยังสร้างความไว้วางใจระหว่างไทเปกับวอชิงตัน และลดความกังวลของทรัมป์เกี่ยวกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจของอเมริกา . ซูเสริมว่า ไต้หวันไม่ได้มีความสำคัญเพราะมีทีเอสเอ็มซีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงด้านภูมิยุทธศาสตร์ โดยตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความสำคัญของเส้นทางขนส่งสินค้าทางทะเลของโลกที่อยู่ใกล้ไต้หวัน . ทว่า เจมส์ อี้ฟาน เฉิน จากมหาวิทยาลัยตั้นเจียง เสนอมุมมองอีกด้านหนึ่งว่า ต้นทุนการผลิตในอเมริกาที่สูงกว่าอาจทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ชิปทีเอสเอ็มซีแพงขึ้น . นอกจากนั้น ยังไม่มีการรับประกันว่า การลงทุนจะทำให้ทรัมป์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ มีความโน้มเอียงมากขึ้นจริงๆ ที่จะปกป้องไต้หวัน . เหวิน ตี้ซุง นักวิชาการจากโกลบัล ไชน่า ฮับ ของกลุ่มคลังสมองในสหรัฐฯ แอตแลนติก เคาน์ซิล บอกว่า ผลลัพธ์จากข้อตกลงนี้ในแง่ความเต็มใจของอเมริกาในการปกป้องไต้หวันนั้นต้องพูดว่ายังไม่มีความชัดเจน โดยขึ้นอยู่กับความรู้สึกของทรัมป์ ณ ขณะนั้นมากกว่า รวมทั้งขึ้นอยู่กับว่า ปักกิ่งจะพยายามยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจกว่าไต้หวันหรือไม่ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021621 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    14
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1921 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีข่าวที่น่าสนใจจาก Tom's Hardware เกี่ยวกับการที่ Intel ได้ประกาศความเป็นผู้นำด้านการพัฒนา CPU สำหรับเซิร์ฟเวอร์ Xeon 6 "Granite Rapids" ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ให้บริการโทรคมนาคมหลักๆ เนื่องจากการรวมความสามารถในการเร่งความเร็วของ AI และอื่นๆ อีกมากมาย

    อุตสาหกรรมโทรคมนาคมกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อเทคโนโลยี AI และ 5G ได้เปลี่ยนรูปแบบเครือข่ายและการเชื่อมต่อ ผู้ให้บริการเหล่านี้กำลังปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของตนอย่างรวดเร็ว แต่อุปสรรคยังคงมีอยู่ เช่น ค่าใช้จ่ายสูง ความกังวลเรื่องความปลอดภัย และการรวมระบบเดิมเข้ากับระบบใหม่

    ในงาน MWC 2025, Intel ร่วมกับพันธมิตรและลูกค้ามากกว่า 50 รายได้นำเสนอทางแก้ไขปัญหาที่ล้ำสมัย โดยแสดงผลลัพธ์ที่มีความจุสูงและประสิทธิภาพสูง พร้อมการรวม AI ที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมที่มีราคาแพง การพัฒนานี้ช่วยลดต้นทุนทั้งหมดในการเป็นเจ้าของ (TCO) ที่ปรับให้เหมาะสม

    การปรับปรุงเครือข่ายและการเร่งความเร็วของ AI เป็นสิ่งที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมต่างๆ นำมาใช้ในการพัฒนาของพวกเขา โดย CPU Xeon 6 "Granite Rapids" นั้นได้ทำให้เกณฑ์มาตรฐานใหม่ในเรื่องของการประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้น ด้วยการรวมการเร่งความเร็วของ AI ที่พัฒนาขึ้น

    สิ่งที่น่าสนใจคือ CPU Xeon 6 นี้มีพอร์ต Ethernet แบบครบวงจรแปดพอร์ตและการส่งผ่านข้อมูลสูงสุดถึง 200 Gbps ซึ่งช่วยลดจำนวนเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องใช้ในการดำเนินงานได้อย่างมาก ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานได้ในเวลาเดียวกัน

    นอกจากนี้ CPU Xeon 6 ยังเป็นระบบแรกที่มีตัวเร่งความเร็วการแปลงสัญญาณสื่อในตัว ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแปลงสัญญาณวิดีโอสูงสุดถึง 14.25 เท่า และลดการใช้พลังงานอย่างมาก ช่วยให้ผู้ให้บริการวิดีโอสามารถให้บริการประสบการณ์เกือบเรียลไทม์สำหรับกีฬา เกม และการประมูลออนไลน์ได้

    ด้านความปลอดภัย Intel Xeon 6 ก็มีคุณสมบัติที่เพิ่มความปลอดภัยในการเชื่อมต่อแบบ zero-trust จากขอบเครือข่ายไปถึงคลาวด์ได้อย่างครอบคลุม ช่วยให้การเชื่อมต่อของข้อมูลมีความปลอดภัยและมั่นคงยิ่งขึ้น

    การเปิดตัว CPU Xeon 6 "Granite Rapids" ของ Intel ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำเช่น Vodafone, AT&T, Samsung, Verizon, และ Ericsson ที่ต่างกำลังนำเทคโนโลยีนี้มาใช้เพื่อพัฒนาเครือข่าย 5G และลดต้นทุนในการดำเนินงาน

    https://wccftech.com/intel-announces-leadership-with-xeon-6-granite-rapids-cpus-in-network-infrastructure/
    มีข่าวที่น่าสนใจจาก Tom's Hardware เกี่ยวกับการที่ Intel ได้ประกาศความเป็นผู้นำด้านการพัฒนา CPU สำหรับเซิร์ฟเวอร์ Xeon 6 "Granite Rapids" ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ให้บริการโทรคมนาคมหลักๆ เนื่องจากการรวมความสามารถในการเร่งความเร็วของ AI และอื่นๆ อีกมากมาย อุตสาหกรรมโทรคมนาคมกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อเทคโนโลยี AI และ 5G ได้เปลี่ยนรูปแบบเครือข่ายและการเชื่อมต่อ ผู้ให้บริการเหล่านี้กำลังปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของตนอย่างรวดเร็ว แต่อุปสรรคยังคงมีอยู่ เช่น ค่าใช้จ่ายสูง ความกังวลเรื่องความปลอดภัย และการรวมระบบเดิมเข้ากับระบบใหม่ ในงาน MWC 2025, Intel ร่วมกับพันธมิตรและลูกค้ามากกว่า 50 รายได้นำเสนอทางแก้ไขปัญหาที่ล้ำสมัย โดยแสดงผลลัพธ์ที่มีความจุสูงและประสิทธิภาพสูง พร้อมการรวม AI ที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมที่มีราคาแพง การพัฒนานี้ช่วยลดต้นทุนทั้งหมดในการเป็นเจ้าของ (TCO) ที่ปรับให้เหมาะสม การปรับปรุงเครือข่ายและการเร่งความเร็วของ AI เป็นสิ่งที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมต่างๆ นำมาใช้ในการพัฒนาของพวกเขา โดย CPU Xeon 6 "Granite Rapids" นั้นได้ทำให้เกณฑ์มาตรฐานใหม่ในเรื่องของการประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้น ด้วยการรวมการเร่งความเร็วของ AI ที่พัฒนาขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ CPU Xeon 6 นี้มีพอร์ต Ethernet แบบครบวงจรแปดพอร์ตและการส่งผ่านข้อมูลสูงสุดถึง 200 Gbps ซึ่งช่วยลดจำนวนเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องใช้ในการดำเนินงานได้อย่างมาก ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานได้ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ CPU Xeon 6 ยังเป็นระบบแรกที่มีตัวเร่งความเร็วการแปลงสัญญาณสื่อในตัว ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแปลงสัญญาณวิดีโอสูงสุดถึง 14.25 เท่า และลดการใช้พลังงานอย่างมาก ช่วยให้ผู้ให้บริการวิดีโอสามารถให้บริการประสบการณ์เกือบเรียลไทม์สำหรับกีฬา เกม และการประมูลออนไลน์ได้ ด้านความปลอดภัย Intel Xeon 6 ก็มีคุณสมบัติที่เพิ่มความปลอดภัยในการเชื่อมต่อแบบ zero-trust จากขอบเครือข่ายไปถึงคลาวด์ได้อย่างครอบคลุม ช่วยให้การเชื่อมต่อของข้อมูลมีความปลอดภัยและมั่นคงยิ่งขึ้น การเปิดตัว CPU Xeon 6 "Granite Rapids" ของ Intel ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำเช่น Vodafone, AT&T, Samsung, Verizon, และ Ericsson ที่ต่างกำลังนำเทคโนโลยีนี้มาใช้เพื่อพัฒนาเครือข่าย 5G และลดต้นทุนในการดำเนินงาน https://wccftech.com/intel-announces-leadership-with-xeon-6-granite-rapids-cpus-in-network-infrastructure/
    WCCFTECH.COM
    Intel Announces Leadership With Xeon 6 "Granite Rapids CPUs" In Network Infrastructure; Sees Adoption From Mainstream Telecom Operators
    Intel's Xeon 6 "Granite Rapids" server CPUs have seen massive adoption from leading telecom operators, courtesy of integrated AI acceleration.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความจาก Tom's Hardware นี้ได้กล่าวถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ในระบบระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาที่ถูกมองข้ามมากที่สุดสำหรับผู้ดูแลเซิร์ฟเวอร์

    ระบบระบายความร้อนแบบน้ำหนึ่งขั้นตอน (single-phase liquid cooling) ที่ใช้ในหลายๆ เซิร์ฟเวอร์มีความเสี่ยงที่จะเกิดการรั่วไหลของน้ำ ซึ่งสามารถทำลายฮาร์ดแวร์ที่มีราคาแพงได้ เช่นเดียวกับที่ระบบระบายความร้อนทั่วไปใช้ของเหลวที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบในการดูดซับความร้อน การรั่วไหลของน้ำอาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อการลงทุนของคุณ

    บทความนี้ได้แนะนำวิธีแก้ไขปัญหาด้วยระบบระบายความร้อนแบบสองขั้นตอน (two-phase cooling) ที่ใช้น้ำยาที่ไม่มีส่วนประกอบของน้ำ (waterless coolant) ของ Accelsius ซึ่งน้ำยานี้จะกลายเป็นไอเมื่อดูดซับความร้อนจากระบบ ทำให้ไม่เกิดความเสียหายจากการรั่วไหลของน้ำ นอกจากนี้น้ำยาดังกล่าวยังไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้าและไม่เป็นกรดกัดกร่อน ทำให้มั่นใจได้ว่าเซิร์ฟเวอร์ของคุณจะได้รับการปกป้องอย่างดี

    การทดสอบที่ Austin Reliability Labs พบว่าการรั่วไหลของน้ำเพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถทำให้ระบบเซิร์ฟเวอร์ล้มเหลว แต่ระบบระบายความร้อนแบบสองขั้นตอนของ Accelsius ที่ใช้สารทำความเย็นชนิดนี้สามารถใช้งานต่อไปได้แม้เกิดการรั่วไหล

    ระบบ NeuCool™ MR250 ของ Accelsius มีกำลังการระบายความร้อน 250kW และรองรับการติดตั้งในระหว่างแร็คเซิร์ฟเวอร์สองแร็ค ช่วยให้ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้งฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้ทนทานและมีส่วนประกอบที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ทำให้การบำรุงรักษาเป็นเรื่องง่าย

    การใช้ระบบระบายความร้อนแบบนี้นอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการระบายความร้อนแล้วยังช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุที่อาจทำให้เซิร์ฟเวอร์เสียหายได้

    https://www.tomshardware.com/pc-components/liquid-cooling/the-hidden-danger-lurking-in-your-server-infrastructure-its-own-cooling-system
    บทความจาก Tom's Hardware นี้ได้กล่าวถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ในระบบระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาที่ถูกมองข้ามมากที่สุดสำหรับผู้ดูแลเซิร์ฟเวอร์ ระบบระบายความร้อนแบบน้ำหนึ่งขั้นตอน (single-phase liquid cooling) ที่ใช้ในหลายๆ เซิร์ฟเวอร์มีความเสี่ยงที่จะเกิดการรั่วไหลของน้ำ ซึ่งสามารถทำลายฮาร์ดแวร์ที่มีราคาแพงได้ เช่นเดียวกับที่ระบบระบายความร้อนทั่วไปใช้ของเหลวที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบในการดูดซับความร้อน การรั่วไหลของน้ำอาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อการลงทุนของคุณ บทความนี้ได้แนะนำวิธีแก้ไขปัญหาด้วยระบบระบายความร้อนแบบสองขั้นตอน (two-phase cooling) ที่ใช้น้ำยาที่ไม่มีส่วนประกอบของน้ำ (waterless coolant) ของ Accelsius ซึ่งน้ำยานี้จะกลายเป็นไอเมื่อดูดซับความร้อนจากระบบ ทำให้ไม่เกิดความเสียหายจากการรั่วไหลของน้ำ นอกจากนี้น้ำยาดังกล่าวยังไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้าและไม่เป็นกรดกัดกร่อน ทำให้มั่นใจได้ว่าเซิร์ฟเวอร์ของคุณจะได้รับการปกป้องอย่างดี การทดสอบที่ Austin Reliability Labs พบว่าการรั่วไหลของน้ำเพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถทำให้ระบบเซิร์ฟเวอร์ล้มเหลว แต่ระบบระบายความร้อนแบบสองขั้นตอนของ Accelsius ที่ใช้สารทำความเย็นชนิดนี้สามารถใช้งานต่อไปได้แม้เกิดการรั่วไหล ระบบ NeuCool™ MR250 ของ Accelsius มีกำลังการระบายความร้อน 250kW และรองรับการติดตั้งในระหว่างแร็คเซิร์ฟเวอร์สองแร็ค ช่วยให้ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้งฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้ทนทานและมีส่วนประกอบที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ทำให้การบำรุงรักษาเป็นเรื่องง่าย การใช้ระบบระบายความร้อนแบบนี้นอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการระบายความร้อนแล้วยังช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุที่อาจทำให้เซิร์ฟเวอร์เสียหายได้ https://www.tomshardware.com/pc-components/liquid-cooling/the-hidden-danger-lurking-in-your-server-infrastructure-its-own-cooling-system
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    The hidden danger lurking in your server infrastructure? Its own cooling system
    Find out how to keep your server racks at optimal performance while minimizing the risk of damage from water leaks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงอยากเห็นอาคารในประเทศไทยควรทำบ้างครับ

    มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ "แบตเตอรี่ความเย็น" ที่ถูกนำมาใช้ในอาคารต่าง ๆ เพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้าและควบคุมอุณหภูมิในช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าสูง (peak hours) โดยทั่วไปแล้ว อาคารพาณิชย์ที่มีความต้องการควบคุมอุณหภูมิจะใช้ระบบเครื่องทำความเย็นที่ทำงานในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าต่ำ จากนั้นจะนำความเย็นจากน้ำแข็งที่เก็บไว้มาใช้ในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูง

    เมื่อค่าไฟฟ้าต่ำจะมีการแช่แข็งน้ำในถังขนาดใหญ่เพื่อเก็บความเย็นไว้ และเมื่อค่าไฟฟ้าสูงขึ้นในช่วงกลางวัน เครื่องทำความเย็นจะหยุดทำงาน และนำน้ำแข็งที่เก็บไว้มาใช้ในการทำความเย็นให้น้ำที่ไหลผ่านอาคาร วิธีนี้ทำให้สามารถปรับช่วงเวลาการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับค่าไฟฟ้าที่ถูกที่สุด ช่วยลดค่าไฟฟ้าลงได้มากมาย

    Allison Mahvi ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมเครื่องกลที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซินแมดิสัน กล่าวว่า ในทางทฤษฎีเราสามารถแช่แข็งและละลายวัตถุได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับระบบนี้จะมีเพียงแค่ส่วนประกอบที่ต้องเปลี่ยนตามเวลาเช่น เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน วาล์ว และปั๊มน้ำ ซึ่งสามารถใช้งานได้นานหลายทศวรรษก่อนที่จะต้องเปลี่ยน

    การใช้แบตเตอรี่ความเย็นนี้ถูกนำมาใช้ในอาคารพาณิชย์ที่มีพื้นที่เพียงพอในการเก็บน้ำแข็งขนาดใหญ่ ตัวอย่างเช่น ระบบในตึกธนาคารแห่งหนึ่งในนิวยอร์คซิตี้มีถังน้ำแข็งจำนวน 100 ถัง แต่ในอนาคตการออกแบบที่เล็กลงอาจทำให้สามารถนำไปใช้ในธุรกิจขนาดเล็กหรือแม้แต่บ้านเรือนได้

    นอกจากนี้ การใช้แบตเตอรี่ความเย็นยังมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีราคาแพงและเสื่อมสภาพตามเวลา น้ำเป็นทรัพยากรที่มีอยู่มากและราคาถูก ซึ่งทำให้วิธีนี้เป็นวิธีที่มีความเป็นไปได้และมีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมการใช้พลังงาน

    https://www.techspot.com/news/106995-ice-batteries-helping-buildings-beat-heat-save-money.html
    ลุงอยากเห็นอาคารในประเทศไทยควรทำบ้างครับ มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ "แบตเตอรี่ความเย็น" ที่ถูกนำมาใช้ในอาคารต่าง ๆ เพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้าและควบคุมอุณหภูมิในช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าสูง (peak hours) โดยทั่วไปแล้ว อาคารพาณิชย์ที่มีความต้องการควบคุมอุณหภูมิจะใช้ระบบเครื่องทำความเย็นที่ทำงานในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าต่ำ จากนั้นจะนำความเย็นจากน้ำแข็งที่เก็บไว้มาใช้ในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูง เมื่อค่าไฟฟ้าต่ำจะมีการแช่แข็งน้ำในถังขนาดใหญ่เพื่อเก็บความเย็นไว้ และเมื่อค่าไฟฟ้าสูงขึ้นในช่วงกลางวัน เครื่องทำความเย็นจะหยุดทำงาน และนำน้ำแข็งที่เก็บไว้มาใช้ในการทำความเย็นให้น้ำที่ไหลผ่านอาคาร วิธีนี้ทำให้สามารถปรับช่วงเวลาการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับค่าไฟฟ้าที่ถูกที่สุด ช่วยลดค่าไฟฟ้าลงได้มากมาย Allison Mahvi ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมเครื่องกลที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซินแมดิสัน กล่าวว่า ในทางทฤษฎีเราสามารถแช่แข็งและละลายวัตถุได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับระบบนี้จะมีเพียงแค่ส่วนประกอบที่ต้องเปลี่ยนตามเวลาเช่น เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน วาล์ว และปั๊มน้ำ ซึ่งสามารถใช้งานได้นานหลายทศวรรษก่อนที่จะต้องเปลี่ยน การใช้แบตเตอรี่ความเย็นนี้ถูกนำมาใช้ในอาคารพาณิชย์ที่มีพื้นที่เพียงพอในการเก็บน้ำแข็งขนาดใหญ่ ตัวอย่างเช่น ระบบในตึกธนาคารแห่งหนึ่งในนิวยอร์คซิตี้มีถังน้ำแข็งจำนวน 100 ถัง แต่ในอนาคตการออกแบบที่เล็กลงอาจทำให้สามารถนำไปใช้ในธุรกิจขนาดเล็กหรือแม้แต่บ้านเรือนได้ นอกจากนี้ การใช้แบตเตอรี่ความเย็นยังมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีราคาแพงและเสื่อมสภาพตามเวลา น้ำเป็นทรัพยากรที่มีอยู่มากและราคาถูก ซึ่งทำให้วิธีนี้เป็นวิธีที่มีความเป็นไปได้และมีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมการใช้พลังงาน https://www.techspot.com/news/106995-ice-batteries-helping-buildings-beat-heat-save-money.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Ice batteries are helping buildings beat the heat and save money
    When electricity costs are low, vats of water are frozen to make ice. As energy costs rise during the day, chillers are powered down and the ice...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีข่าวที่น่าสนใจจาก Tom's Hardware เกี่ยวกับการปิดตัวของบริษัท Efabless ที่ส่งผลกระทบต่อโครงการผลิตชิป Tiny Tapeout อย่างไม่แน่นอน

    Efabless เป็นบริษัทที่ทำให้กระบวนการสร้างชิปคอมพิวเตอร์เปิดกว้างสำหรับผู้ที่สนใจและนักพัฒนาขนาดเล็ก บริษัทนี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือในการพัฒนาและผลิตชิปที่เป็นที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ Efabless กำลังเผชิญกับปัญหาการเงินและไม่แน่ชัดว่าจะกลับมาได้หรือไม่ สิ่งนี้ส่งผลให้โครงการ Tiny Tapeout ที่พึ่งพาเทคโนโลยีของ Efabless ต้องอยู่ในสภาพไม่แน่นอน

    Tiny Tapeout เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการทำให้การออกแบบและผลิตชิปคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องง่ายและราคาถูกสำหรับผู้ที่สนใจและนักพัฒนาขนาดเล็ก โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างชิปของตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรมากมาย

    Tiny Tapeout มีการจัดทำชิปที่สามารถออกแบบได้ในขนาดเล็กและสามารถผลิตได้ในราคาที่ไม่แพง โดยมีการใช้เทคโนโลยีการออกแบบดิจิทัลและการผลิตชิปที่ทันสมัย ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นการออกแบบชิปของตัวเองได้โดยใช้เครื่องมือที่มีให้ในเว็บไซต์ของ Tiny Tapeout และสามารถส่งการออกแบบเพื่อผลิตชิปจริงได้

    โครงการนี้ยังมีการสนับสนุนจาก Efabless ซึ่งเป็นบริษัทที่ช่วยในการพัฒนาและผลิตชิป โดยมีการจัดทำชิปที่มีขนาดเล็กและราคาถูกเพื่อให้ผู้ใช้สามารถทดลองและพัฒนาชิปของตัวเองได้อย่างง่ายดาย

    Tiny Tapeout ได้ออกมาพูดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการ TT08 และ TT09 ที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ ขณะที่โครงการ TT08 ยังรอการบรรจุซิลิคอน โครงการ TT09 กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิตที่ SkyWater Technology และอาจไม่สามารถเสร็จสิ้นได้ Tiny Tapeout กำลังพยายามหาทางแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะสามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ และยังมีแผนที่จะคืนเงินให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบหากไม่สามารถจัดส่งชิปได้

    การที่ Efabless ปิดตัวเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับชุมชนผู้พัฒนาที่ใช้บริการของบริษัทนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีชิปต้องใช้เวลาและพลังงานมากมายจากผู้ที่ร่วมโครงการ ดังนั้นการที่โครงการเหล่านี้ต้องอยู่ในสภาพไม่แน่นอนเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมาก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/efabless-shuts-down-fate-of-tiny-tapeout-chip-production-projects-unclear
    มีข่าวที่น่าสนใจจาก Tom's Hardware เกี่ยวกับการปิดตัวของบริษัท Efabless ที่ส่งผลกระทบต่อโครงการผลิตชิป Tiny Tapeout อย่างไม่แน่นอน Efabless เป็นบริษัทที่ทำให้กระบวนการสร้างชิปคอมพิวเตอร์เปิดกว้างสำหรับผู้ที่สนใจและนักพัฒนาขนาดเล็ก บริษัทนี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือในการพัฒนาและผลิตชิปที่เป็นที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ Efabless กำลังเผชิญกับปัญหาการเงินและไม่แน่ชัดว่าจะกลับมาได้หรือไม่ สิ่งนี้ส่งผลให้โครงการ Tiny Tapeout ที่พึ่งพาเทคโนโลยีของ Efabless ต้องอยู่ในสภาพไม่แน่นอน Tiny Tapeout เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการทำให้การออกแบบและผลิตชิปคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องง่ายและราคาถูกสำหรับผู้ที่สนใจและนักพัฒนาขนาดเล็ก โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างชิปของตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรมากมาย Tiny Tapeout มีการจัดทำชิปที่สามารถออกแบบได้ในขนาดเล็กและสามารถผลิตได้ในราคาที่ไม่แพง โดยมีการใช้เทคโนโลยีการออกแบบดิจิทัลและการผลิตชิปที่ทันสมัย ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นการออกแบบชิปของตัวเองได้โดยใช้เครื่องมือที่มีให้ในเว็บไซต์ของ Tiny Tapeout และสามารถส่งการออกแบบเพื่อผลิตชิปจริงได้ โครงการนี้ยังมีการสนับสนุนจาก Efabless ซึ่งเป็นบริษัทที่ช่วยในการพัฒนาและผลิตชิป โดยมีการจัดทำชิปที่มีขนาดเล็กและราคาถูกเพื่อให้ผู้ใช้สามารถทดลองและพัฒนาชิปของตัวเองได้อย่างง่ายดาย Tiny Tapeout ได้ออกมาพูดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการ TT08 และ TT09 ที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ ขณะที่โครงการ TT08 ยังรอการบรรจุซิลิคอน โครงการ TT09 กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิตที่ SkyWater Technology และอาจไม่สามารถเสร็จสิ้นได้ Tiny Tapeout กำลังพยายามหาทางแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะสามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ และยังมีแผนที่จะคืนเงินให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบหากไม่สามารถจัดส่งชิปได้ การที่ Efabless ปิดตัวเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับชุมชนผู้พัฒนาที่ใช้บริการของบริษัทนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีชิปต้องใช้เวลาและพลังงานมากมายจากผู้ที่ร่วมโครงการ ดังนั้นการที่โครงการเหล่านี้ต้องอยู่ในสภาพไม่แน่นอนเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมาก https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/efabless-shuts-down-fate-of-tiny-tapeout-chip-production-projects-unclear
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Efabless shuts down, fate of Tiny Tapeout chip production projects unclear
    Tiny Tapeout is exploring other avenues for project manufacturing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี่ละยิวจอมทรยศและเนรคุณ..#เมื่อยิวถามจีนว่า
    ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส
    ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี

    “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“

    นี่คือคำตอบ
    ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว...

    สองวันที่ผ่านมา
    Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน
    ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า..

    ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้..
    สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป...

    ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร
    แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง!

    เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน!

    เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 )

    สวัสดีครับคุณ Enge...
    ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า
    "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"...

    แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด...

    ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย..

    ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น
    ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี..

    แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี...

    แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน!
    แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan..
    แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว..
    ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน...

    แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
    เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว)

    แต่แน่นอน
    หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย

    ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง
    หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา

    ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง

    อย่างไรก็ดี
    ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้
    นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน
    เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่

    ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น
    คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง
    แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น)

    ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น
    มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร
    ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี

    เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้
    ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว

    "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา

    ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย

    ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน
    แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง
    จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์

    อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ
    แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง

    หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด
    ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง
    ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย..

    ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว

    แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน
    ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก
    แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์

    กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด
    ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ

    แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ

    กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan
    จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด
    ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก

    นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม
    ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ

    เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน
    แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ

    กระนั้นก็ดี
    พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด

    ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน..
    จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น

    ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้
    เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น
    แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน

    คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน

    John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ

    จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค
    จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน
    ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe

    ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี
    โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน..

    ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์

    ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว..
    เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ

    ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน
    ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง..
    แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า...

    หลายปีต่อมา
    เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย..
    เธอตอบว่า.."ไม่เลย"..

    เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright!

    ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996..
    M. Albright กล่าวว่า
    การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น
    เป็นสิ่งที่คุ้มค่า!
    ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ
    เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง
    ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ

    นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า..
    การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว!

    ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์
    มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า..
    "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"...

    ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน..
    ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว!

    ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน

    แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก..
    และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans)

    พวกคุณชาวยิว
    ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ

    สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ!

    ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า

    "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน
    พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน..
    ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“

    บทความนี้น่าสนใจมาก
    เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้

    ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง
    อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้

    ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้
    ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม
    เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น
    และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า
    “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“
    ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ?
    ......
    (แปลโดย : SB-22/07/24)
    ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    นี่ละยิวจอมทรยศและเนรคุณ..#เมื่อยิวถามจีนว่า ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“ นี่คือคำตอบ ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว... สองวันที่ผ่านมา Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า.. ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้.. สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป... ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง! เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน! เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 ) สวัสดีครับคุณ Enge... ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"... แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด... ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย.. ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี.. แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี... แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน! แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan.. แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว.. ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน... แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว) แต่แน่นอน หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง อย่างไรก็ดี ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้ นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่ ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น) ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้ ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์ อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย.. ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์ กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ กระนั้นก็ดี พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน.. จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้ เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน.. ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์ ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว.. เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง.. แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า... หลายปีต่อมา เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย.. เธอตอบว่า.."ไม่เลย".. เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright! ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996.. M. Albright กล่าวว่า การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น เป็นสิ่งที่คุ้มค่า! ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า.. การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว! ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์ มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า.. "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"... ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน.. ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว! ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก.. และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans) พวกคุณชาวยิว ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ! ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน.. ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“ บทความนี้น่าสนใจมาก เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้ ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้ ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้ ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“ ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ? ...... (แปลโดย : SB-22/07/24) ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • สินค้าจำเป็น ช่วงฝุ่นพิษเต็มเมือง‘เครื่องฟอกอากาศ,เครื่องดูดฝุ่น’ ถูกคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กำหนดให้เป็น‘สินค้าควบคุม’ เฉพาะที่ใช้ในครัวเรือน ป้องกันผู้ค้าฉวยโอกาสขึ้นราคา ดูแลไม่ให้ขาด ไม่ให้แพง คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายใน มี.ค.68
    สินค้าจำเป็น ช่วงฝุ่นพิษเต็มเมือง‘เครื่องฟอกอากาศ,เครื่องดูดฝุ่น’ ถูกคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กำหนดให้เป็น‘สินค้าควบคุม’ เฉพาะที่ใช้ในครัวเรือน ป้องกันผู้ค้าฉวยโอกาสขึ้นราคา ดูแลไม่ให้ขาด ไม่ให้แพง คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายใน มี.ค.68
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 624 มุมมอง 27 0 รีวิว
  • “ทรัมป์บ้า” กับ...การลอบสังหารครั้งที่ 4!!! โดย: ทับทิม พญาไท เนื่องจากอะไรมิอะไรมันน่าจะเริ่ม “ตกผลึก” ลงมามั่งแล้ว หรือน่าจะพอ “เดาทาง” ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้บ้างแล้วว่า น่าจะออกไปในแนวไหน? ลูกไหน? ไม่ได้ถึงขั้น “บ้า...จนเดาไม่ออก” เปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตทบทวน ใคร่ครวญ ถึงความเพียรพยายามที่จะทำให้ “America Great Again” ของประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ เอาไว้พอให้เห็นภาพคร่าวๆ ส่วนจะถูก-จะผิด จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็อย่าถึงกับได้ถือสา หาความ ถือเสียว่าเป็นการ “แลกเปลี่ยนมุมมอง” ไปตามสภาพก็แล้วกัน...
    ประการแรก...ตั้งแต่การเชื้อเชิญ ชักชวน ให้ผู้นำ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย และ “สี ทนได้”
    หรือ “สี จิ้นผิง” แห่งประเทศจีน มาร่วมมือกัน “ปรับลดค่าใช้จ่ายทางทหาร” ลงไปแบบครึ่ง-ต่อครึ่ง โดยผู้นำรัสเซียได้แสดงอาการตอบสนองอย่างไม่อิดเอื้อน-ลังเลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ผู้นำจีนยังคงเงียบๆ เฉยๆ แต่โดย “ภาพรวม” แล้ว ต้องถือเป็นการ “ริเริ่มในเชิงสร้างสรรค์” เอามากๆ ส่วนประการสอง...ก็คือความพยายามลดค่าใช้จ่ายที่รกรุงรังของสหรัฐฯ เอง ถึงขั้นปิดฉากองค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศอย่าง “USAID” เอาดื้อๆ หรือคิดจะหั่นงบประมาณประเภทสุรุ่ยสุร่ายของประเทศ ลงไปไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ตามเข็มมุ่งและเจตนาของนายใหญ่-นายใหม่ แห่งกระทรวง “DODGE” หรือ “The Department of Government Efficiency” อย่าง “นายElon Musk” ผู้ใกล้ชนิดสนิทสนมประธานาธิบดี อันแสดงให้เห็นถึงความพยายาม “รัดเข็มขัด” แบบชนิดแทบไม่ต้องสนใจว่าชาวอเมริกันรายใดจะหน้าเขียว-หน้าเหลือง กันไปถึงขั้นไหน...
    ตามมาด้วยประการที่สาม...ก็คือการคิดขาย “บัตรทอง” บัตรวีไอพีที่พร้อมจะมอบความเป็นพลเมืองสหรัฐฯ มอบกรีนการ์ด เป็นเครื่องตอบแทน ใบละถึง 5 ล้านดอลลาร์ หรือ 168 ล้านบาทเอาเลยถึงขั้นนั้น โดยหวังจะได้อะไรกลับมา จากไอเดียสุดบรรเจิดเช่นนี้ ตามคำพูด คำสัมภาษณ์ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะถือเป็น “คำตอบ” ได้โดยชัดเจนโดยเฉพาะคำพูดที่ว่า... “บางทีเราอาจสามารถขายบัตรได้ราวๆ 1 ล้านใบ หรืออาจมากกว่านั้น และถึงขายได้แค่ 1 ล้านใบ เราจะได้เงินกลับมาถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าขายได้ 10 ล้านใบ ก็เท่ากับ 50 ล้านล้านดอลลาร์ แล้วเรามีหนี้ประเทศอยู่แค่ 35 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น...มันเป็นเรื่องเยี่ยมไหมล่ะ!!!” พูดง่ายๆ ว่า...เป็นความพยายามที่น่าเห็นใจเอามากๆ สำหรับการคิดทุเลา เบาบาง “ปัญหาหนี้สิน” ที่ล้นทะลักคอหลอยย์ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่ง จนหาทางออก-ทางไปแทบไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคไหนต่อพรรคไหนก็ตามที...
    ส่วนประการที่สี่...การคิดจะยึดแคนาดา ยึดเกาะกรีนแลนด์ หรือยึดคลองปานา แต่กลับหันไป “ถีบทิ้ง” ยุโรปซะดื้อๆ อันนี้...ยิ่งถือเป็นส่วนเสริม เพิ่มเติม ให้เห็นโดยชัดเจน ว่าในแต่ละประการดังที่ได้กล่าวไปแล้ว น่าจะสรุปได้ไม่ยากว่า ความคิดที่จะทำให้ “America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะเป็นความ “Great” ความ “ยิ่งใหญ่” ภายใต้ “ขอบเขตที่ตัวเองต้องการ” ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ในแบบจ้าวโลก ประมุขโลก หรือผู้ที่สามารถควบคุมครอบครอง “โลกทั้งใบ” ได้แบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว หรือเท่ากับเป็นการยอมรับ “ความจริง” และ “ข้อเท็จจริง” ว่าโลกยุคใหม่ หรือยุคนี้ ไม่ใช่เป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” เหมือนเดิมๆ อีกต่อไป อีกทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ อย่าง “นายMarco Rubio” ก็ยังได้ออกมาตอกย้ำให้เห็นถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริงในลักษณะที่ว่านี้ ดังที่เคยนำมาเล่าสู่กันฟังเมื่อช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา...
    และด้วยแนวคิด แนวทาง เช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้แม้แต่ผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งหน่วยงาน “FSB” (The Russian Federal Security Service) ของรัสเซีย เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ว่าโดยแนวคิดของผู้นำอเมริกานั้น...ถือเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับการปฏิบัติ หรือแสดงออกถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริง เป็นพื้นฐาน (pragmatism and a realistic vision of things) เอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนในแง่ของการปฏิบัติ จะบรรลุเป้าหมาย เป้าประสงค์ ได้มาก-น้อยขนาดไหน??? อันนี้...ก็ยังต้องถือเป็น “คำถาม” ตัวโตๆ อีกต่อไป??? เพราะด้วยความเป็นประเทศ “จักรวรรดินิยม” และมหาอำนาจอันดับหนึ่งอย่างอเมริกานั้น...โอกาสที่จะ “Great Again” หรือ “Dead Again” คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่าออกไป 50-50 หรือหนักไปทาง “เจ๊ง...กับ...เจ๊า” อะไรประมาณนั้น...
    คือแค่เฉพาะประการแรก ในเรื่อง “ปัญหาหนี้สิน” ก็ต้องเรียกว่า...น่าจะรากเขียว-รากเหลืองกันไปอีกนาน โอกาสที่จะปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ พรวดเดียวได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์นั้นไม่น่าจะง่าย!!! บรรดาข้าราชการชาวอเมริกันที่ตกงาน ว่างงานทั้งหลาย ชักเริ่มออกมา “ลงถนน” กันเต็มบ้าน เต็มเมือง ส่วนจะขาย “บัตรทอง” ให้ได้ถึง 10 ล้านใบ ก็ใช่ว่า...มหาเศรษฐีทั่วทั้งโลกอยากจะเป็นพลเมืองอเมริกัน อยากได้กรีนการ์ด ชนิดมากมายมหาศาลถึงปานนั้นซะเมื่อไหร่??? และประการที่สองคือความพยายามที่จะรักษาความยิ่งใหญ่ของ “เงินดอลลาร์” ไม่ให้ตกต่ำ เสื่อมค่า ลงไปกว่านี้ ด้วยการอาศัย “ภาษี” เป็นเครื่องมือ ถึงขั้นพร้อมประกาศว่าจะขึ้นภาษีต่อประเทศใดก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ “BRICS” ถ้าหากคิด “เทดอลลาร์” (De-Dollarization) หรือคิดแทนที่ดอลลาร์ด้วยเงินตราสกุลอื่นๆ จะต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้าเข้าอเมริการะดับ 100-150 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ก็นั่นแหละ...การอาศัยอัตราภาษีเป็นเครื่องมือ ก็ใช่ว่าจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว ต่อเฉพาะฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด ฝ่ายเดียวก็หาไม่ บรรดาอเมริกันชนที่อยู่ในฐานะ “ผู้บริโภค” หรือแม้แต่อุตสาหกรรมต่างๆ ของอเมริกาที่จะต้องหาทางแข่งขันกับ “ผู้ผลิต” รายอื่นๆ ย่อมมีสิทธิ์อ้วกแตก-อ้วกแตนเพราะราคาสินค้าที่แพงขึ้นๆ หรือเพราะการขาดหาย ขาดแคลนของสินค้าประเภท “ห่วงโซ่อุปทาน” ทั้งหลาย จนอาจต้องเจ๊ง-กับ-เจ๊ง ไปเป็นรายๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!!
    ยิ่งเป็นสินค้าจากประเทศกลุ่ม “BRICS” ที่มีสัดส่วนการค้าถึง 1 ใน 5 ของโลกทั้งโลก มี “GDP” ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” โลก เป็นตลาดสำหรับ “ผู้บริโภค” ถึง 47 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก โอกาสที่จะเกิดการ “ยืมหอกสนองคืน” สร้างความเจ็บปวดรวดร้าว ให้กับบรรดาอเมริกันชนหรือประเทศอเมริกาทั้งประเทศ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้เอาเลย และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้หนึ่งในผู้นำประเทศกลุ่ม “BRICS”
    อย่างผู้นำบราซิล ประธานาธิบดี “Luiz Inacio Lula da Silva” ท่านเลยกล้าออกมาแสดงความเป็น “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ด้วยการประกาศว่า... “การคุกคามของผู้นำอเมริกาด้วยการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือ ไม่อาจหยุดยั้งการหาทางเลือกอื่นๆ ในการค้าขาย-แลกเปลี่ยนระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ได้เลย” หรือด้วยเหตุเพราะความเสื่อมถอย เสื่อมค่าของเงินดอลลาร์อเมริกันในฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศลงไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ด้วยตัวของมันเอง ที่ทำให้บรรดาประเทศทั้งหลายเลยต้องพยายามหาทางออก-ทางไป แทนที่จะแขวนชะตากรรมในอนาคตไว้กับสกุลเงินตราชนิดนี้ แบบทื่อมะลื่อไปเรื่อยๆ จนทำให้การ “De-Dollarization” มันได้กลายเป็น “ข้อเท็จจริง” เป็นแนวโน้มของโลก ที่มิอาจฝืน หรือมิอาจขัดขืนได้อีกต่อไป นั่นแล...
    ประการที่สาม...ก็คือ “ปัญหาภายใน” ของสังคมอเมริกัน ที่ยากจะเยียวยากันได้ง่ายๆ ไม่ว่าความเสื่อมทางศีลธรรมที่สร้างความตกตะลึงให้กับคอลัมนิสต์ชาวอเมริกันเอง อย่าง “นายTyler Durden” แห่ง “ZeroHedge” ที่ต้องนำรายละเอียดเอามาแจกแจงไว้ถึง 11 เรื่อง ไม่ว่าเหตุการณ์ว่าด้วยการปล้น ฆ่า ข่มขืน ฯลฯ ชนิดตู้สินค้าบนเส้นทางรถไฟถูกปล้นเพิ่มขึ้นกว่าปี ค.ศ. 2023 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ร้านอาหารดังๆ อย่าง “McDonald” ถึงกับต้องปิดตัวเองในย่านบรู๊คลินเพราะทนบรรดาวัยรุ่นอเมริกันไม่ไหว เด็กๆ ระดับอายุแค่ไม่กี่ปีถูกข่มขืนไม่เว้นแต่ละวัน ฯลฯ และนั่นยังไม่รวมไปถึงความรุนแรงจากการแบ่งขั้ว แบ่งข้าง ทางการเมือง ที่ทำให้กระทั่งประธานเสนาธิการทหารผิวสี อย่าง “พลเอกCharls Brown” ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนพวกขบวนการผิวสี หรือพวก “Black Lives Matter” (BLM) ที่เคยก่อความรุนแรงหลังชาวอเมริกันผิวดำ อย่าง “George Floyd” ถูกตำรวจเอาเข่ากดคอจนเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ในช่วงปี ค.ศ. 2020 เลยต้องถูกปลดจากตำแหน่งซะดื้อๆ!!!
    และด้วยการแบ่งขั้วแบ่งข้างทางการเมืองในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้เกิดความพยายาม “ลอบสังหารทรัมป์บ้า” มาแล้วถึง 3 ครั้ง 3 คราด้วยกัน ไม่ว่าตั้งแต่การ “ยิงเฉี่ยวหู” ขณะหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย ช่วงเดือนก.ค.ปี 2024 แอบซุ่มอยู่สนามกอล์ฟของรีสอร์ต “Mar-a-Lago” ช่วงเดือนกันยาปีเดียวกัน แต่เผอิญเจ้าหน้าที่เห็นกระบอกปืนโผล่ออกมาจากพุ่มไม้เลยจับได้ไล่ทันก่อนลงมือ ส่วนครั้งที่สามถูกรวบตัวก่อนมุ่งตรงไปยังพื้นที่หาเสียงของ “ทรัมป์บ้า” ณ เมืองโคเรลลา รัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่พกปืนลูกซองติดตัวไปด้วย อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้โอกาสที่จะเกิดการ “ลอบสังหารครั้งที่ 4” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย โดยเฉพาะถ้าหากยังไม่คิดจะลดราวาศอก ในการเล่นงานพวก “Deep State” ต่อไปเรื่อยๆ โอกาสที่ “America Great Again” หรือจะ “Dead Again” เลยน่าจะเป็นไปแบบที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละ ออกไปทาง 50-50 หรือถ้าหากไม่ “เจ๊ง” ก็คงได้แค่ “เจ๊า” เท่านั้นเอง ไม่ถึงกับยิ่งใหญ่ระดับคับโลก คับฟ้า ครอบโลก ครองโลก แบบเดิมๆ ได้อีกต่อไปแล้ว!!!
    “ทรัมป์บ้า” กับ...การลอบสังหารครั้งที่ 4!!! โดย: ทับทิม พญาไท เนื่องจากอะไรมิอะไรมันน่าจะเริ่ม “ตกผลึก” ลงมามั่งแล้ว หรือน่าจะพอ “เดาทาง” ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้บ้างแล้วว่า น่าจะออกไปในแนวไหน? ลูกไหน? ไม่ได้ถึงขั้น “บ้า...จนเดาไม่ออก” เปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตทบทวน ใคร่ครวญ ถึงความเพียรพยายามที่จะทำให้ “America Great Again” ของประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ เอาไว้พอให้เห็นภาพคร่าวๆ ส่วนจะถูก-จะผิด จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็อย่าถึงกับได้ถือสา หาความ ถือเสียว่าเป็นการ “แลกเปลี่ยนมุมมอง” ไปตามสภาพก็แล้วกัน... ประการแรก...ตั้งแต่การเชื้อเชิญ ชักชวน ให้ผู้นำ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย และ “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” แห่งประเทศจีน มาร่วมมือกัน “ปรับลดค่าใช้จ่ายทางทหาร” ลงไปแบบครึ่ง-ต่อครึ่ง โดยผู้นำรัสเซียได้แสดงอาการตอบสนองอย่างไม่อิดเอื้อน-ลังเลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ผู้นำจีนยังคงเงียบๆ เฉยๆ แต่โดย “ภาพรวม” แล้ว ต้องถือเป็นการ “ริเริ่มในเชิงสร้างสรรค์” เอามากๆ ส่วนประการสอง...ก็คือความพยายามลดค่าใช้จ่ายที่รกรุงรังของสหรัฐฯ เอง ถึงขั้นปิดฉากองค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศอย่าง “USAID” เอาดื้อๆ หรือคิดจะหั่นงบประมาณประเภทสุรุ่ยสุร่ายของประเทศ ลงไปไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ตามเข็มมุ่งและเจตนาของนายใหญ่-นายใหม่ แห่งกระทรวง “DODGE” หรือ “The Department of Government Efficiency” อย่าง “นายElon Musk” ผู้ใกล้ชนิดสนิทสนมประธานาธิบดี อันแสดงให้เห็นถึงความพยายาม “รัดเข็มขัด” แบบชนิดแทบไม่ต้องสนใจว่าชาวอเมริกันรายใดจะหน้าเขียว-หน้าเหลือง กันไปถึงขั้นไหน... ตามมาด้วยประการที่สาม...ก็คือการคิดขาย “บัตรทอง” บัตรวีไอพีที่พร้อมจะมอบความเป็นพลเมืองสหรัฐฯ มอบกรีนการ์ด เป็นเครื่องตอบแทน ใบละถึง 5 ล้านดอลลาร์ หรือ 168 ล้านบาทเอาเลยถึงขั้นนั้น โดยหวังจะได้อะไรกลับมา จากไอเดียสุดบรรเจิดเช่นนี้ ตามคำพูด คำสัมภาษณ์ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะถือเป็น “คำตอบ” ได้โดยชัดเจนโดยเฉพาะคำพูดที่ว่า... “บางทีเราอาจสามารถขายบัตรได้ราวๆ 1 ล้านใบ หรืออาจมากกว่านั้น และถึงขายได้แค่ 1 ล้านใบ เราจะได้เงินกลับมาถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าขายได้ 10 ล้านใบ ก็เท่ากับ 50 ล้านล้านดอลลาร์ แล้วเรามีหนี้ประเทศอยู่แค่ 35 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น...มันเป็นเรื่องเยี่ยมไหมล่ะ!!!” พูดง่ายๆ ว่า...เป็นความพยายามที่น่าเห็นใจเอามากๆ สำหรับการคิดทุเลา เบาบาง “ปัญหาหนี้สิน” ที่ล้นทะลักคอหลอยย์ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่ง จนหาทางออก-ทางไปแทบไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคไหนต่อพรรคไหนก็ตามที... ส่วนประการที่สี่...การคิดจะยึดแคนาดา ยึดเกาะกรีนแลนด์ หรือยึดคลองปานา แต่กลับหันไป “ถีบทิ้ง” ยุโรปซะดื้อๆ อันนี้...ยิ่งถือเป็นส่วนเสริม เพิ่มเติม ให้เห็นโดยชัดเจน ว่าในแต่ละประการดังที่ได้กล่าวไปแล้ว น่าจะสรุปได้ไม่ยากว่า ความคิดที่จะทำให้ “America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะเป็นความ “Great” ความ “ยิ่งใหญ่” ภายใต้ “ขอบเขตที่ตัวเองต้องการ” ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ในแบบจ้าวโลก ประมุขโลก หรือผู้ที่สามารถควบคุมครอบครอง “โลกทั้งใบ” ได้แบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว หรือเท่ากับเป็นการยอมรับ “ความจริง” และ “ข้อเท็จจริง” ว่าโลกยุคใหม่ หรือยุคนี้ ไม่ใช่เป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” เหมือนเดิมๆ อีกต่อไป อีกทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ อย่าง “นายMarco Rubio” ก็ยังได้ออกมาตอกย้ำให้เห็นถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริงในลักษณะที่ว่านี้ ดังที่เคยนำมาเล่าสู่กันฟังเมื่อช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา... และด้วยแนวคิด แนวทาง เช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้แม้แต่ผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งหน่วยงาน “FSB” (The Russian Federal Security Service) ของรัสเซีย เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ว่าโดยแนวคิดของผู้นำอเมริกานั้น...ถือเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับการปฏิบัติ หรือแสดงออกถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริง เป็นพื้นฐาน (pragmatism and a realistic vision of things) เอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนในแง่ของการปฏิบัติ จะบรรลุเป้าหมาย เป้าประสงค์ ได้มาก-น้อยขนาดไหน??? อันนี้...ก็ยังต้องถือเป็น “คำถาม” ตัวโตๆ อีกต่อไป??? เพราะด้วยความเป็นประเทศ “จักรวรรดินิยม” และมหาอำนาจอันดับหนึ่งอย่างอเมริกานั้น...โอกาสที่จะ “Great Again” หรือ “Dead Again” คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่าออกไป 50-50 หรือหนักไปทาง “เจ๊ง...กับ...เจ๊า” อะไรประมาณนั้น... คือแค่เฉพาะประการแรก ในเรื่อง “ปัญหาหนี้สิน” ก็ต้องเรียกว่า...น่าจะรากเขียว-รากเหลืองกันไปอีกนาน โอกาสที่จะปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ พรวดเดียวได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์นั้นไม่น่าจะง่าย!!! บรรดาข้าราชการชาวอเมริกันที่ตกงาน ว่างงานทั้งหลาย ชักเริ่มออกมา “ลงถนน” กันเต็มบ้าน เต็มเมือง ส่วนจะขาย “บัตรทอง” ให้ได้ถึง 10 ล้านใบ ก็ใช่ว่า...มหาเศรษฐีทั่วทั้งโลกอยากจะเป็นพลเมืองอเมริกัน อยากได้กรีนการ์ด ชนิดมากมายมหาศาลถึงปานนั้นซะเมื่อไหร่??? และประการที่สองคือความพยายามที่จะรักษาความยิ่งใหญ่ของ “เงินดอลลาร์” ไม่ให้ตกต่ำ เสื่อมค่า ลงไปกว่านี้ ด้วยการอาศัย “ภาษี” เป็นเครื่องมือ ถึงขั้นพร้อมประกาศว่าจะขึ้นภาษีต่อประเทศใดก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ “BRICS” ถ้าหากคิด “เทดอลลาร์” (De-Dollarization) หรือคิดแทนที่ดอลลาร์ด้วยเงินตราสกุลอื่นๆ จะต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้าเข้าอเมริการะดับ 100-150 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ก็นั่นแหละ...การอาศัยอัตราภาษีเป็นเครื่องมือ ก็ใช่ว่าจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว ต่อเฉพาะฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด ฝ่ายเดียวก็หาไม่ บรรดาอเมริกันชนที่อยู่ในฐานะ “ผู้บริโภค” หรือแม้แต่อุตสาหกรรมต่างๆ ของอเมริกาที่จะต้องหาทางแข่งขันกับ “ผู้ผลิต” รายอื่นๆ ย่อมมีสิทธิ์อ้วกแตก-อ้วกแตนเพราะราคาสินค้าที่แพงขึ้นๆ หรือเพราะการขาดหาย ขาดแคลนของสินค้าประเภท “ห่วงโซ่อุปทาน” ทั้งหลาย จนอาจต้องเจ๊ง-กับ-เจ๊ง ไปเป็นรายๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!! ยิ่งเป็นสินค้าจากประเทศกลุ่ม “BRICS” ที่มีสัดส่วนการค้าถึง 1 ใน 5 ของโลกทั้งโลก มี “GDP” ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” โลก เป็นตลาดสำหรับ “ผู้บริโภค” ถึง 47 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก โอกาสที่จะเกิดการ “ยืมหอกสนองคืน” สร้างความเจ็บปวดรวดร้าว ให้กับบรรดาอเมริกันชนหรือประเทศอเมริกาทั้งประเทศ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้เอาเลย และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้หนึ่งในผู้นำประเทศกลุ่ม “BRICS” อย่างผู้นำบราซิล ประธานาธิบดี “Luiz Inacio Lula da Silva” ท่านเลยกล้าออกมาแสดงความเป็น “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ด้วยการประกาศว่า... “การคุกคามของผู้นำอเมริกาด้วยการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือ ไม่อาจหยุดยั้งการหาทางเลือกอื่นๆ ในการค้าขาย-แลกเปลี่ยนระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ได้เลย” หรือด้วยเหตุเพราะความเสื่อมถอย เสื่อมค่าของเงินดอลลาร์อเมริกันในฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศลงไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ด้วยตัวของมันเอง ที่ทำให้บรรดาประเทศทั้งหลายเลยต้องพยายามหาทางออก-ทางไป แทนที่จะแขวนชะตากรรมในอนาคตไว้กับสกุลเงินตราชนิดนี้ แบบทื่อมะลื่อไปเรื่อยๆ จนทำให้การ “De-Dollarization” มันได้กลายเป็น “ข้อเท็จจริง” เป็นแนวโน้มของโลก ที่มิอาจฝืน หรือมิอาจขัดขืนได้อีกต่อไป นั่นแล... ประการที่สาม...ก็คือ “ปัญหาภายใน” ของสังคมอเมริกัน ที่ยากจะเยียวยากันได้ง่ายๆ ไม่ว่าความเสื่อมทางศีลธรรมที่สร้างความตกตะลึงให้กับคอลัมนิสต์ชาวอเมริกันเอง อย่าง “นายTyler Durden” แห่ง “ZeroHedge” ที่ต้องนำรายละเอียดเอามาแจกแจงไว้ถึง 11 เรื่อง ไม่ว่าเหตุการณ์ว่าด้วยการปล้น ฆ่า ข่มขืน ฯลฯ ชนิดตู้สินค้าบนเส้นทางรถไฟถูกปล้นเพิ่มขึ้นกว่าปี ค.ศ. 2023 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ร้านอาหารดังๆ อย่าง “McDonald” ถึงกับต้องปิดตัวเองในย่านบรู๊คลินเพราะทนบรรดาวัยรุ่นอเมริกันไม่ไหว เด็กๆ ระดับอายุแค่ไม่กี่ปีถูกข่มขืนไม่เว้นแต่ละวัน ฯลฯ และนั่นยังไม่รวมไปถึงความรุนแรงจากการแบ่งขั้ว แบ่งข้าง ทางการเมือง ที่ทำให้กระทั่งประธานเสนาธิการทหารผิวสี อย่าง “พลเอกCharls Brown” ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนพวกขบวนการผิวสี หรือพวก “Black Lives Matter” (BLM) ที่เคยก่อความรุนแรงหลังชาวอเมริกันผิวดำ อย่าง “George Floyd” ถูกตำรวจเอาเข่ากดคอจนเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ในช่วงปี ค.ศ. 2020 เลยต้องถูกปลดจากตำแหน่งซะดื้อๆ!!! และด้วยการแบ่งขั้วแบ่งข้างทางการเมืองในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้เกิดความพยายาม “ลอบสังหารทรัมป์บ้า” มาแล้วถึง 3 ครั้ง 3 คราด้วยกัน ไม่ว่าตั้งแต่การ “ยิงเฉี่ยวหู” ขณะหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย ช่วงเดือนก.ค.ปี 2024 แอบซุ่มอยู่สนามกอล์ฟของรีสอร์ต “Mar-a-Lago” ช่วงเดือนกันยาปีเดียวกัน แต่เผอิญเจ้าหน้าที่เห็นกระบอกปืนโผล่ออกมาจากพุ่มไม้เลยจับได้ไล่ทันก่อนลงมือ ส่วนครั้งที่สามถูกรวบตัวก่อนมุ่งตรงไปยังพื้นที่หาเสียงของ “ทรัมป์บ้า” ณ เมืองโคเรลลา รัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่พกปืนลูกซองติดตัวไปด้วย อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้โอกาสที่จะเกิดการ “ลอบสังหารครั้งที่ 4” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย โดยเฉพาะถ้าหากยังไม่คิดจะลดราวาศอก ในการเล่นงานพวก “Deep State” ต่อไปเรื่อยๆ โอกาสที่ “America Great Again” หรือจะ “Dead Again” เลยน่าจะเป็นไปแบบที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละ ออกไปทาง 50-50 หรือถ้าหากไม่ “เจ๊ง” ก็คงได้แค่ “เจ๊า” เท่านั้นเอง ไม่ถึงกับยิ่งใหญ่ระดับคับโลก คับฟ้า ครอบโลก ครองโลก แบบเดิมๆ ได้อีกต่อไปแล้ว!!!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 374 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตรียมพยาน 1000 ปาก 'ดีเอสไอ' พร้อมลุยสอบฮั้ว ส.ว. วุฒิสภา เตรียมซักฟอกกลับ
    .
    ความเคลื่อนไหวที่ว่าด้วยการตรวจสอบการเลือกส.ว.นั้น แม้ด้านหนึ่งจะยังต้องรอความชัดเจนจากการพิจารณาของคณะกรรมการคดีพิเศษในวันที่ 6 มี.ค.นี้ก่อน แต่ปรากฎว่าเวลานี้มีการเผยแพร่เอกสารในสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นรายชื่อพยานมากกว่า 100 รายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เตรียมนำมาให้ข้อมูลแล้ว
    .
    ทั้งนี้มีรายงานจากดีเอสไอระบุว่า รายชื่อกว่า 1,200 รายที่ปรากฏในโพยพยานของดีเอสไอ มีทั้งในส่วนของผู้สมัครสมาชิก สว. และผู้ได้รับเลือกเป็น สว. อาทิ พื้นที่ จ.กระบี่ กรุงเทพมหานคร กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชัยนาทชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครนายก นครพนม นครปฐม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นนทบุรี นราธิวาส น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พัทลุง พิจิตร เพชรบุรี แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ยะลา ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุบลราชธานี เป็นต้น
    .
    ขณะเดียวกันยังมีรายงานอีกว่า สำหรับรายชื่อกว่า 1,200 ชื่อ ที่ปรากฏชื่อว่าจะเป็นบุคคลที่ดีเอสไอเตรียมเรียกสอบปากคำในฐานะพยานในคดีฮั้ว สว.67 นั้น หากในวันที่ 6 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการประชุมหารือครั้งที่ 2 เพื่อเอาคำตอบสุดท้ายของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ในการมีมติในที่ประชุมว่าจะรับหรือไม่รับคดีฮั้ว สว.67 เป็นคดีพิเศษ หากผลมติในที่ประชุมขอให้รับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษ ขั้นตอนต่อไปก็จะมีการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพื่อทำการสอบสวนและขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการในการกระทำความผิด ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวนั้น ทางคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ทยอยออกหมายเรียกพยานกว่า 1,200 ราย เข้าให้ปากคำและสอบสวนดำเนินการต่อเนื่อง
    .
    ขณะที่ ความเคลื่อนของส.ว. ในการประชุมวุฒิสภาวันที่ 4 มี.ค. นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้นัดประชุมวุฒิสภา โดยมีวาระพิจารณาที่น่าสนใจคือ การเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเสนอโดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร ส.ว.กลุ่มกฎหมาย และคณะ
    .
    สาระของญัตติที่เสนอดังกล่าวมีการอ้างถึงรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดให้รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และให้รัฐมีมาตรฐานคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำ แต่ที่ผ่านมาพบว่ากระบวนการยุติธรรมไทยขาดประสิทธิภาพ และมีการแทรกแซง ครอบงำจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะการดำเนินคดีพิเศษของกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งพบว่าที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมขาดประสิทธิภาพ ทำคดีล่าช้า ไม่สามารถทำให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษอย่างแท้จริง รวมถึงไม่สามารถป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดและปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ เช่น การดำเนินคดีกับนายทุนชาวจีนสีเทาในข้อหายาเสพติดฟอกเงิน และการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ การดำเนินคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่เป็นปัญหายาวนานและทวีความรุนแรง กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
    .
    นอกจากนี้ ในการดำเนินการกระบวนการยุติธรรมยังเป็นปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น กรณีการให้สิทธิแก่ผู้ต้องขังที่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม ที่ผ่านมามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใส และไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ต้องขังบางคนได้รับสิทธิในการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่พิเศษกว่าผู้ต้องขังคนอื่นๆ จึงสมควรที่วุฒิสภาจะได้อภิปรายระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย และเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาดำเนินการตามข้อบังคับวุฒิสภา ข้อ 35
    ...........
    Sondhi X
    เตรียมพยาน 1000 ปาก 'ดีเอสไอ' พร้อมลุยสอบฮั้ว ส.ว. วุฒิสภา เตรียมซักฟอกกลับ . ความเคลื่อนไหวที่ว่าด้วยการตรวจสอบการเลือกส.ว.นั้น แม้ด้านหนึ่งจะยังต้องรอความชัดเจนจากการพิจารณาของคณะกรรมการคดีพิเศษในวันที่ 6 มี.ค.นี้ก่อน แต่ปรากฎว่าเวลานี้มีการเผยแพร่เอกสารในสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นรายชื่อพยานมากกว่า 100 รายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เตรียมนำมาให้ข้อมูลแล้ว . ทั้งนี้มีรายงานจากดีเอสไอระบุว่า รายชื่อกว่า 1,200 รายที่ปรากฏในโพยพยานของดีเอสไอ มีทั้งในส่วนของผู้สมัครสมาชิก สว. และผู้ได้รับเลือกเป็น สว. อาทิ พื้นที่ จ.กระบี่ กรุงเทพมหานคร กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชัยนาทชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครนายก นครพนม นครปฐม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นนทบุรี นราธิวาส น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พัทลุง พิจิตร เพชรบุรี แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ยะลา ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุบลราชธานี เป็นต้น . ขณะเดียวกันยังมีรายงานอีกว่า สำหรับรายชื่อกว่า 1,200 ชื่อ ที่ปรากฏชื่อว่าจะเป็นบุคคลที่ดีเอสไอเตรียมเรียกสอบปากคำในฐานะพยานในคดีฮั้ว สว.67 นั้น หากในวันที่ 6 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการประชุมหารือครั้งที่ 2 เพื่อเอาคำตอบสุดท้ายของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ในการมีมติในที่ประชุมว่าจะรับหรือไม่รับคดีฮั้ว สว.67 เป็นคดีพิเศษ หากผลมติในที่ประชุมขอให้รับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษ ขั้นตอนต่อไปก็จะมีการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพื่อทำการสอบสวนและขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการในการกระทำความผิด ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวนั้น ทางคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ทยอยออกหมายเรียกพยานกว่า 1,200 ราย เข้าให้ปากคำและสอบสวนดำเนินการต่อเนื่อง . ขณะที่ ความเคลื่อนของส.ว. ในการประชุมวุฒิสภาวันที่ 4 มี.ค. นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้นัดประชุมวุฒิสภา โดยมีวาระพิจารณาที่น่าสนใจคือ การเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเสนอโดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร ส.ว.กลุ่มกฎหมาย และคณะ . สาระของญัตติที่เสนอดังกล่าวมีการอ้างถึงรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดให้รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และให้รัฐมีมาตรฐานคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำ แต่ที่ผ่านมาพบว่ากระบวนการยุติธรรมไทยขาดประสิทธิภาพ และมีการแทรกแซง ครอบงำจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะการดำเนินคดีพิเศษของกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งพบว่าที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมขาดประสิทธิภาพ ทำคดีล่าช้า ไม่สามารถทำให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษอย่างแท้จริง รวมถึงไม่สามารถป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดและปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ เช่น การดำเนินคดีกับนายทุนชาวจีนสีเทาในข้อหายาเสพติดฟอกเงิน และการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ การดำเนินคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่เป็นปัญหายาวนานและทวีความรุนแรง กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ . นอกจากนี้ ในการดำเนินการกระบวนการยุติธรรมยังเป็นปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น กรณีการให้สิทธิแก่ผู้ต้องขังที่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม ที่ผ่านมามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใส และไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ต้องขังบางคนได้รับสิทธิในการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่พิเศษกว่าผู้ต้องขังคนอื่นๆ จึงสมควรที่วุฒิสภาจะได้อภิปรายระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย และเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาดำเนินการตามข้อบังคับวุฒิสภา ข้อ 35 ........... Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1460 มุมมอง 0 รีวิว
  • Lenovo ได้นำเสนอแลปท็อปพลังงานแสงอาทิตย์รุ่นใหม่จากสาย Yoga ที่เรียกว่า "Yoga Solar PC" ที่งาน Mobile World Congress (MWC) ที่บาร์เซโลนา รุ่นนี้มีความพิเศษเพราะมันใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งนับเป็นก้าวใหม่ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

    Yoga Solar PC มีน้ำหนักเบาเพียง 2.6 ปอนด์ (ประมาณ 1.22 กิโลกรัม) และมีความหนาเพียง 15 มิลลิเมตร ทำให้มันมีความพกพาสะดวกมาก ซึ่งต่างจากแลปท็อปพลังงานแสงอาทิตย์รุ่นเก่าที่มักจะมีน้ำหนักมากและมีราคาแพง

    แผงโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งบนตัวเครื่องใช้เทคโนโลยี "back contact cell" ซึ่งทำให้การดูดซับแสงมีประสิทธิภาพสูงถึงกว่า 24% ต่อแผง โดยแผงเหล่านี้จะอยู่หลังพื้นผิวสีดำมันวาว ทำให้แลปท็อปดูเหมือนกับแลปท็อปทั่วไป

    สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ว่าเราจะไม่ได้นำแลปท็อปไปใช้กลางแสงแดด แผงโซลาร์เซลล์ยังสามารถดูดซับแสงจากแสงในออฟฟิศหรือหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ได้ แม้ว่าแสงจะน้อยลงแต่ก็ยังคงช่วยเพิ่มระยะเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่ได้

    แผงโซลาร์เซลล์สามารถดูดซับและแปลงแสงเป็นพลังงานได้เพียงพอใน 20 นาที เพื่อให้สามารถเล่นวิดีโอต่อเนื่องได้ประมาณ 1 ชั่วโมง นับว่าเป็นพลังงานที่ได้รับฟรีจากแสงที่เราสัมผัสในชีวิตประจำวัน

    นอกจากนั้น Lenovo ยังได้เปิดตัวชุดพลังงานแสงอาทิตย์แบบถอดได้ที่สามารถชาร์จแยกตัวได้เหมือนกับแบตเตอรี่พกพา และสามารถเชื่อมต่อกับแลปท็อปเพื่อเพิ่มพลังงานได้อีกด้วย

    แม้ว่า Yoga Solar PC ยังเป็นแค่คอนเซปต์ที่ยังไม่มีวันเปิดตัวแน่นอน แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงการที่เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์สามารถใช้งานได้อย่างเป็นจริงและมีประสิทธิภาพในชีวิตประจำวัน

    https://www.zdnet.com/article/lenovos-solar-powered-laptop-at-mwc-stole-the-show-for-me-and-its-surprisingly-practical/
    Lenovo ได้นำเสนอแลปท็อปพลังงานแสงอาทิตย์รุ่นใหม่จากสาย Yoga ที่เรียกว่า "Yoga Solar PC" ที่งาน Mobile World Congress (MWC) ที่บาร์เซโลนา รุ่นนี้มีความพิเศษเพราะมันใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งนับเป็นก้าวใหม่ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Yoga Solar PC มีน้ำหนักเบาเพียง 2.6 ปอนด์ (ประมาณ 1.22 กิโลกรัม) และมีความหนาเพียง 15 มิลลิเมตร ทำให้มันมีความพกพาสะดวกมาก ซึ่งต่างจากแลปท็อปพลังงานแสงอาทิตย์รุ่นเก่าที่มักจะมีน้ำหนักมากและมีราคาแพง แผงโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งบนตัวเครื่องใช้เทคโนโลยี "back contact cell" ซึ่งทำให้การดูดซับแสงมีประสิทธิภาพสูงถึงกว่า 24% ต่อแผง โดยแผงเหล่านี้จะอยู่หลังพื้นผิวสีดำมันวาว ทำให้แลปท็อปดูเหมือนกับแลปท็อปทั่วไป สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ว่าเราจะไม่ได้นำแลปท็อปไปใช้กลางแสงแดด แผงโซลาร์เซลล์ยังสามารถดูดซับแสงจากแสงในออฟฟิศหรือหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ได้ แม้ว่าแสงจะน้อยลงแต่ก็ยังคงช่วยเพิ่มระยะเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่ได้ แผงโซลาร์เซลล์สามารถดูดซับและแปลงแสงเป็นพลังงานได้เพียงพอใน 20 นาที เพื่อให้สามารถเล่นวิดีโอต่อเนื่องได้ประมาณ 1 ชั่วโมง นับว่าเป็นพลังงานที่ได้รับฟรีจากแสงที่เราสัมผัสในชีวิตประจำวัน นอกจากนั้น Lenovo ยังได้เปิดตัวชุดพลังงานแสงอาทิตย์แบบถอดได้ที่สามารถชาร์จแยกตัวได้เหมือนกับแบตเตอรี่พกพา และสามารถเชื่อมต่อกับแลปท็อปเพื่อเพิ่มพลังงานได้อีกด้วย แม้ว่า Yoga Solar PC ยังเป็นแค่คอนเซปต์ที่ยังไม่มีวันเปิดตัวแน่นอน แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงการที่เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์สามารถใช้งานได้อย่างเป็นจริงและมีประสิทธิภาพในชีวิตประจำวัน https://www.zdnet.com/article/lenovos-solar-powered-laptop-at-mwc-stole-the-show-for-me-and-its-surprisingly-practical/
    WWW.ZDNET.COM
    Lenovo's solar-powered laptop at MWC stole the show for me - and it's surprisingly practical
    The company announced a thin-and-light solar-powered laptop at MWC 2025, and it's way more useful than I assumed. Here's how it works.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ชุดเซตกางเกงลินิน
    #ลินินแท้ #โก้หรูดูแพง
    #ท่านใดสนใจทักส่วนตัวมาครับ
    #ชุดเซตกางเกงลินิน #ลินินแท้ #โก้หรูดูแพง #ท่านใดสนใจทักส่วนตัวมาครับ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • 34 ปี โศกนาฏกรรม คลังสารเคมีคลองเตยระเบิด! “คาร์บอนแบล็ค” ฟุ้งกระจาย สูญเสียครั้งใหญ่ที่ถูกลืม ตายทันที 4 ศพ เจ็บ 1,700 คน การท่าเรือได้พื้นที่คืนสมใจ 200 ไร่

    📌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมท่าเรือคลองเตย 2534 ผ่านมา 34 ปีเต็ม กับเหตุการณ์โกดังเก็บสารเคมีระเบิด ครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร นำไปสู่การสูญเสียชีวิต และสุขภาพของผู้คนหลายพันราย แต่กลับไม่มีใครได้รับผิดชอบ อย่างแท้จริง! ⏳

    📆 บ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม 2534 เวลา 13.30 น. เสียงระเบิดดังสนั่น จากโกดังเก็บสารเคมีหมายเลข 3 ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ก่อนที่ไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังโกดังหมายเลข 4 และ 5 สารเคมีหลายชนิดถูกเผาไหม้ และปล่อยควันพิษมหาศาล รถดับเพลิงกว่า 100 คัน และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 500 นาย ถูกระดมเข้าไปดับไฟ แต่กลับทำให้เกิดการระเบิด เพิ่มขึ้นอีก! 🔥

    🚨 แรงระเบิดทำให้เกิดไฟไหม้ ลามไปถึงบ้านเรือนประชาชนในรัศมี 1 กิโลเมตร ชุมชนคลองเตยถูกเผาผลาญไปกว่า 642 หลังคาเรือน กลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา

    ☠️ ผลกระทบจากการระเบิด สูญเสียมหาศาล!
    🔴 ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
    ✅ เสียชีวิตทันที 4 ศพ
    ✅ บาดเจ็บสาหัส 30 ราย รวมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 16 นาย
    ✅ ได้รับสารพิษต้องรักษาในโรงพยาบาล 1,700 คน รวมหญิงมีครรภ์ 499 คน
    ✅ เสียชีวิตจากผลกระทบระยะยาว 43 ราย
    ✅ ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย กว่า 5,000 คน

    💀 “คาร์บอนแบล็ค” และสารพิษที่แทรกซึมร่างกายผู้คน หนึ่งในสารเคมีอันตราย ที่กระจายออกมาจากเหตุการณ์นี้คือ "คาร์บอนแบล็ค" (Carbon Black) ซึ่งเป็นเขม่าสีดำ ที่เกิดจากการเผาไหม้สารเคมีในอุณหภูมิสูง มันไม่เพียงแต่กระจายไปไกล กว่า 13 กิโลเมตร แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผู้คนโดยตรง

    🔬 นักวิจัยตรวจพบว่า
    ✔️ ฝุ่นคาร์บอนแบล็คกระจายไปตามบ้านเรือน โรงเรียน และพื้นที่สาธารณะ
    ✔️ มีการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ ส่งผลให้สัตว์ทดลองตายใน 24-96 ชั่วโมง
    ✔️ ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ผิวหนังอักเสบ และมะเร็ง

    ⛔ ไม่มีแพทย์รายใดกล้ารับรองว่า โรคเหล่านี้เกิดจากพิษสารเคมีโดยตรง! ส่งผลให้ผู้ได้รับผลกระทบ
    ไม่ได้รับการเยียวยา อย่างเป็นธรรม

    🚒 การรับมือที่ผิดพลาด ทำไมความเสียหายถึงรุนแรง?
    ❌ การดับเพลิงที่ไม่ถูกต้อง สารเคมีหลายชนิด ห้ามใช้น้ำดับเพลิง แต่เจ้าหน้าที่กลับฉีดน้ำเข้าไป โดยไม่ทราบข้อมูล ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ที่ทำให้ไฟลุกลามและระเบิดซ้ำ 🔥

    ❌ ไม่มีมาตรการอพยพฉุกเฉิน ประชาชนในพื้นที่ ไม่ถูกสั่งให้อพยพอย่างเป็นระบบ หลายคนยังคงอยู่ในพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยสารพิษ ส่งผลให้มีผู้ป่วย จากการสูดดมควันพิษจำนวนมาก 🏃‍♂️

    ❌ ขาดการเปิดเผยข้อมูล เจ้าหน้าที่และภาครัฐ ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมี ที่เก็บอยู่ในโกดัง ทำให้แพทย์ไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วย ได้อย่างถูกต้อง 📢

    💰 ใครต้องรับผิดชอบ? แต่กลับไม่มีใครต้องรับโทษ! การสอบสวนพบว่า โกดังที่ระเบิด เป็นที่เก็บสารเคมีอันตรายหลายชนิด แต่กลับสรุปว่า เหตุการณ์นี้เป็น "อุบัติเหตุ" 🚔

    🔍 การท่าเรือแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าของสถานที่
    ✔️ ให้เงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตเพียง 1,000 - 12,000 บาท
    ✔️ ใช้งบประมาณ 1,500 ล้านบาท สร้างแฟลตใหม่ แต่ไม่ใช่ค่าชดเชยให้กับผู้ประสบภัย
    ✔️ ไม่เคยมีการฟ้องร้องผู้บริหารระดับสูง ของการท่าเรือฯ หรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง

    📜 มีการฟ้องร้องจากผู้ป่วยเพียง 2 ราย ในปี 2539 และ 2542 ซึ่งการดำเนินคดี เต็มไปด้วยอุปสรรคและไม่เป็นที่สนใจของรัฐ

    ⚖️ บทเรียนราคาแพงที่ไม่มีการแก้ไข
    📌 เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาสำคัญ หลายประการ
    ✅ การจัดเก็บสารเคมีที่อันตราย ในพื้นที่ชุมชน
    ✅ การไม่เปิดเผยข้อมูลอันตราย ต่อประชาชน
    ✅ ระบบกฎหมายไทย ที่ไม่สามารถคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบ
    ✅ ขาดมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในระยะยาว

    📢 34 ปีผ่านไป แต่เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมที่ถูกลืม!

    🔴 34 ปีผ่านไป ท่าเรือคลองเตยได้พื้นที่คืน แต่ความเป็นธรรมยังมาไม่ถึง! วันนี้ที่ดินกว่า 200 ไร่ ที่เคยเป็นโกดังเก็บสารเคมี ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ใช้สอย ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามแผนเดิมที่วางไว้ ⏳

    💬 คำถามคือ
    ✔️ ใครได้ประโยชน์ จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้?
    ✔️ ใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ต่อชีวิตที่สูญเสียไป?
    ✔️ ระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับสารเคมีในประเทศไทย พัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน?

    ⛔ อย่าปล่อยให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้ถูกลืม! 💔

    📌 #คลองเตยระเบิด #โศกนาฏกรรมที่ถูกลืม #คาร์บอนแบล็ค #ภัยสารเคมี #กฎหมายสิ่งแวดล้อม #ความยุติธรรมที่หายไป #34ปีคลองเตย #อุบัติภัยครั้งใหญ่ #ระเบิดสารเคมี #สิ่งแวดล้อมไทย
    34 ปี โศกนาฏกรรม คลังสารเคมีคลองเตยระเบิด! “คาร์บอนแบล็ค” ฟุ้งกระจาย สูญเสียครั้งใหญ่ที่ถูกลืม ตายทันที 4 ศพ เจ็บ 1,700 คน การท่าเรือได้พื้นที่คืนสมใจ 200 ไร่ 📌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมท่าเรือคลองเตย 2534 ผ่านมา 34 ปีเต็ม กับเหตุการณ์โกดังเก็บสารเคมีระเบิด ครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร นำไปสู่การสูญเสียชีวิต และสุขภาพของผู้คนหลายพันราย แต่กลับไม่มีใครได้รับผิดชอบ อย่างแท้จริง! ⏳ 📆 บ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม 2534 เวลา 13.30 น. เสียงระเบิดดังสนั่น จากโกดังเก็บสารเคมีหมายเลข 3 ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ก่อนที่ไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังโกดังหมายเลข 4 และ 5 สารเคมีหลายชนิดถูกเผาไหม้ และปล่อยควันพิษมหาศาล รถดับเพลิงกว่า 100 คัน และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 500 นาย ถูกระดมเข้าไปดับไฟ แต่กลับทำให้เกิดการระเบิด เพิ่มขึ้นอีก! 🔥 🚨 แรงระเบิดทำให้เกิดไฟไหม้ ลามไปถึงบ้านเรือนประชาชนในรัศมี 1 กิโลเมตร ชุมชนคลองเตยถูกเผาผลาญไปกว่า 642 หลังคาเรือน กลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา ☠️ ผลกระทบจากการระเบิด สูญเสียมหาศาล! 🔴 ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ✅ เสียชีวิตทันที 4 ศพ ✅ บาดเจ็บสาหัส 30 ราย รวมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 16 นาย ✅ ได้รับสารพิษต้องรักษาในโรงพยาบาล 1,700 คน รวมหญิงมีครรภ์ 499 คน ✅ เสียชีวิตจากผลกระทบระยะยาว 43 ราย ✅ ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย กว่า 5,000 คน 💀 “คาร์บอนแบล็ค” และสารพิษที่แทรกซึมร่างกายผู้คน หนึ่งในสารเคมีอันตราย ที่กระจายออกมาจากเหตุการณ์นี้คือ "คาร์บอนแบล็ค" (Carbon Black) ซึ่งเป็นเขม่าสีดำ ที่เกิดจากการเผาไหม้สารเคมีในอุณหภูมิสูง มันไม่เพียงแต่กระจายไปไกล กว่า 13 กิโลเมตร แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผู้คนโดยตรง 🔬 นักวิจัยตรวจพบว่า ✔️ ฝุ่นคาร์บอนแบล็คกระจายไปตามบ้านเรือน โรงเรียน และพื้นที่สาธารณะ ✔️ มีการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ ส่งผลให้สัตว์ทดลองตายใน 24-96 ชั่วโมง ✔️ ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ผิวหนังอักเสบ และมะเร็ง ⛔ ไม่มีแพทย์รายใดกล้ารับรองว่า โรคเหล่านี้เกิดจากพิษสารเคมีโดยตรง! ส่งผลให้ผู้ได้รับผลกระทบ ไม่ได้รับการเยียวยา อย่างเป็นธรรม 🚒 การรับมือที่ผิดพลาด ทำไมความเสียหายถึงรุนแรง? ❌ การดับเพลิงที่ไม่ถูกต้อง สารเคมีหลายชนิด ห้ามใช้น้ำดับเพลิง แต่เจ้าหน้าที่กลับฉีดน้ำเข้าไป โดยไม่ทราบข้อมูล ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ที่ทำให้ไฟลุกลามและระเบิดซ้ำ 🔥 ❌ ไม่มีมาตรการอพยพฉุกเฉิน ประชาชนในพื้นที่ ไม่ถูกสั่งให้อพยพอย่างเป็นระบบ หลายคนยังคงอยู่ในพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยสารพิษ ส่งผลให้มีผู้ป่วย จากการสูดดมควันพิษจำนวนมาก 🏃‍♂️ ❌ ขาดการเปิดเผยข้อมูล เจ้าหน้าที่และภาครัฐ ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมี ที่เก็บอยู่ในโกดัง ทำให้แพทย์ไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วย ได้อย่างถูกต้อง 📢 💰 ใครต้องรับผิดชอบ? แต่กลับไม่มีใครต้องรับโทษ! การสอบสวนพบว่า โกดังที่ระเบิด เป็นที่เก็บสารเคมีอันตรายหลายชนิด แต่กลับสรุปว่า เหตุการณ์นี้เป็น "อุบัติเหตุ" 🚔 🔍 การท่าเรือแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าของสถานที่ ✔️ ให้เงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตเพียง 1,000 - 12,000 บาท ✔️ ใช้งบประมาณ 1,500 ล้านบาท สร้างแฟลตใหม่ แต่ไม่ใช่ค่าชดเชยให้กับผู้ประสบภัย ✔️ ไม่เคยมีการฟ้องร้องผู้บริหารระดับสูง ของการท่าเรือฯ หรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง 📜 มีการฟ้องร้องจากผู้ป่วยเพียง 2 ราย ในปี 2539 และ 2542 ซึ่งการดำเนินคดี เต็มไปด้วยอุปสรรคและไม่เป็นที่สนใจของรัฐ ⚖️ บทเรียนราคาแพงที่ไม่มีการแก้ไข 📌 เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาสำคัญ หลายประการ ✅ การจัดเก็บสารเคมีที่อันตราย ในพื้นที่ชุมชน ✅ การไม่เปิดเผยข้อมูลอันตราย ต่อประชาชน ✅ ระบบกฎหมายไทย ที่ไม่สามารถคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบ ✅ ขาดมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในระยะยาว 📢 34 ปีผ่านไป แต่เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมที่ถูกลืม! 🔴 34 ปีผ่านไป ท่าเรือคลองเตยได้พื้นที่คืน แต่ความเป็นธรรมยังมาไม่ถึง! วันนี้ที่ดินกว่า 200 ไร่ ที่เคยเป็นโกดังเก็บสารเคมี ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ใช้สอย ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามแผนเดิมที่วางไว้ ⏳ 💬 คำถามคือ ✔️ ใครได้ประโยชน์ จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้? ✔️ ใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ต่อชีวิตที่สูญเสียไป? ✔️ ระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับสารเคมีในประเทศไทย พัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน? ⛔ อย่าปล่อยให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้ถูกลืม! 💔 📌 #คลองเตยระเบิด #โศกนาฏกรรมที่ถูกลืม #คาร์บอนแบล็ค #ภัยสารเคมี #กฎหมายสิ่งแวดล้อม #ความยุติธรรมที่หายไป #34ปีคลองเตย #อุบัติภัยครั้งใหญ่ #ระเบิดสารเคมี #สิ่งแวดล้อมไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 332 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพ : แจ่งหัวริน ปี พศ. ๒๕๐๐

    เทศบาลนครเชียงใหม่ ขยาย แนวถนน คูเมืองด้านใน จึงได้มีการรื้อแนวกำแพง ด้านในคูเมืองทั้งสี่ด้าน และ ขาย อิฐเก่า ที่มีความสมบูรณ์ นำไปใช้ ทำเมืองเก่าจำลองในภาคกลาง
    ในอดีต..คูเมือง มีความกว้าง 30 เมตร เทศบาลถมคูเมือง เพื่อขยายถนนให้กว้างขึ้น ทำให้ทุกวันนี้ คูเมืองในปัจจุบันจึงมีความกว้างเพียง 20 เมตร

    อิฐที่หักนำไป ถมที่สนามกีฬาเทศบาล ซึ่งในสมัยนั้น จุดนี้จะเป็นหนองน้ำ กว้างมาก กินบริเวณ ตั๋งและ สนามกีฬาเทศบาล ไปจนถึงทิศเหนือถึง ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ตลาดคำเที่ยง มาถึงวัดป่าแพ่ง สมัยก่อนเรียกสถานที่แห่งนี้..ว่า หนองบัว

    ภาพ : แจ่งหัวริน ปี พศ. ๒๕๐๐ เทศบาลนครเชียงใหม่ ขยาย แนวถนน คูเมืองด้านใน จึงได้มีการรื้อแนวกำแพง ด้านในคูเมืองทั้งสี่ด้าน และ ขาย อิฐเก่า ที่มีความสมบูรณ์ นำไปใช้ ทำเมืองเก่าจำลองในภาคกลาง ในอดีต..คูเมือง มีความกว้าง 30 เมตร เทศบาลถมคูเมือง เพื่อขยายถนนให้กว้างขึ้น ทำให้ทุกวันนี้ คูเมืองในปัจจุบันจึงมีความกว้างเพียง 20 เมตร อิฐที่หักนำไป ถมที่สนามกีฬาเทศบาล ซึ่งในสมัยนั้น จุดนี้จะเป็นหนองน้ำ กว้างมาก กินบริเวณ ตั๋งและ สนามกีฬาเทศบาล ไปจนถึงทิศเหนือถึง ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ตลาดคำเที่ยง มาถึงวัดป่าแพ่ง สมัยก่อนเรียกสถานที่แห่งนี้..ว่า หนองบัว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2/3/68

    “เสียงสวรรค์” ช่วงเช้าวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1993 แพทย์หญิงวันดี รับสายหลังจากกระหน่ำโทรไปตลอดคืน พ่อของทารกน้อยรีบแนะนำตัวก่อนจะแจ้งอาการของทารกน้อยให้ฟังด้วยความร้อนรน แพทย์หญิงวันดี ได้ถามกลับว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน” พ่อรีบตอบกลับไปว่า “ผมโทรมาจากกำแพงเพชร

    ตอนนี้อยู่ในป่า ถ้าต้องพาลูกไปกรุงเทพจะต้องรอรถเมล์ 2 ชั่วโมง แล้วนั่งไปอีก 2 ชั่วโมง จากกำแพงเพชรเข้าไปที่ จ.พิษณุโลก เพื่อรับลูกและจะพาขึ้นเครื่องบินที่มีวันละ 1 เที่ยวถึงจะไปถึงกรุงเทพ” แพทย์หญิงวันดีตอบกลับว่า “คุณไม่ต้องมาเด็กจะเสียระหว่างทาง หมอจะรักษาผ่านทางโทรศัพท์ เราจะกระตุ้นให้ลำไส้เริ่มกลับมาทำงาน ก่อนที่เด็กจะเสียชีวิต

    รีบกลับไปทำตามที่หมอบอก” จากนั้นได้เริ่มบอก “สูตรอาหารผสม” และวิธีการรักษาเบื้องต้น ให้กับพ่อของทารกน้อยจดทุกสิ่งทุกอย่างลงในกระดาษโน๊ตแล้วพับเก็บใส่กระเป๋าอย่างประณีต ก่อนจะโดดงาน รีบออกจากไซส์งานขึ้นรถเมล์มุ่งหน้ากลับไปที่เมืองพิษณุโลกทันที

    “ปาฏิหาริย์ยามบ่าย” เมื่อพ่อกลับมาถึงแล้วพบว่าทารกน้อยยังไม่สิ้นใจ รีบนำอาหารผสมสูตรหมอวันดี แกะออกก่อนนำใส่ปากรักษาทารกน้อยตามโพยหมอในทันที แม้ยังไม่เห็นผลทันตา แต่ทารกยังคงสภาพไม่สิ้นใจ “เหมือนจะได้ผล”

    พ่อจดทุกอากับกริยาของทารกน้อย ก่อนจะรีบโบกรถข้ามจังหวัดกลับไปไซส์งานเพื่อโทรศัพท์หาหมอ การเทียวไปเทียวมา 2 จังหวัดเพื่อรักษาผ่านทางโทรศัพท์ได้เริ่มต้นขึ้นทุก 7 โมงเช้า ของทุกวัน “ตลอด 3 เดือน”แพทย์หญิงวันดีจะใช้เวลาทุกเช้าก่อนเข้างาน รอรับสายโทรศัพท์จากพ่อ เพื่อตามติดรักษาอาการและปรับเปลี่ยนสูตรผสมอาหารตามอาการ จนเด็กทารกน้อย “ฟื้นชีพ” ดีวันดีคืน ผิวหนังที่เหี่ยวก็กลับมาเต่งตึง หายเป็นปกติในที่สุด

    ่“สายสุดท้าย” ปลายเดือนมกราคม ค.ศ.1994 พ่อรายงานอาการของทารกน้อยให้หมอวันดีฟังอย่างเช่นทุกๆวัน ก่อนเสียงปลายสายของหมอตอบกลับ “ยินดีด้วยนะลูกคุณหายแล้ว” ภาพไซส์งานเบื้องหน้าพ่อของทารกน้อยขาวโพลนทันใด เสียงเงียบก็เข้าครอบคลุมสายโทรศัพท์ทั้งสองฝ่าย เข้าสู่อารมณ์เอ่อล้นที่ยากจะพรรณนา แม้สัมผัสได้แต่เพียงเสียงปลายสาย แต่ภาพมรสุมกว่า 3 เดือนไล่ย้อนไปเป็นฉากๆ จนปากพูดอะไรไม่ออก “ผมไม่รู้จะตอบแทนยังไง” ไม่เพียงไม่รู้จัก ไม่เคยแม้แต่เห็นหน้า และหมอท่านนี้ก็ไม่ได้แม้แต่ผลตอบแทนใดๆ แล้วจากไปด้วยคำทิ้งท้ายสั้นๆ “ดูแลลูกให้ดี ขอให้โตมาเป็นเด็กดีนะ ขอให้โชคดี”และสายก็ถูกตัดไป แต่เสียงยังตราตรึงใจ ไม่รู้ลืมไปตลอดกาล

    “กระดาษโน้ตความทรงจำ” รายละเอียดการรักษาพ่อยังคงเก็บไว้ในกล่องเป็นอย่างดีจนเวลาล่วงเลยผ่านไปนานแสนนาน จนเด็กทารกน้อยคนนั้นเติบโตขึ้นย่างเข้าวัย 32 ปี ระหว่างกลับไปเยี่ยมพ่อของเขาในช่วงวันหยุด ก่อนจะสะดุดสายตากับกล่องพิลึกพิลั่นในห้องของพ่อ

    เปิดออกมาดูพบกระดาษโน้ตเก่าๆหลายแผ่นชวนฉงนใจ “พ่อ..พวกนี่คืออะไร” หลังพ่อได้เห็นกระดาษโน้ตเก่าความทรงจำในอดีตพรั่งพรูก่อนเริ่มเล่าเรื่องราวอันสุดมหัศจรรย์กับการชุบชีวิตทารกน้อย ผ่านสายโทรศัพท์ของหมอเทวดาท่านหนึ่ง “หมอวันดี โรงพยาบาลรามา” พ่อเอ่ยชื่อก่อนทิ้งท้าย “ตอนนี้อยู่ไหนแล้วพ่อไม่รู้นะ น่าจะอายุมากแล้ว” จะทันไหมนะ ทารกน้อยในวัยหนุ่มครุ่นคิดในใจ

    “ตามหาผู้มีพระคุณ” ทารกน้อยในวัยหนุ่มออกตามหาหมอวันดีที่โรงพยาบาลรามาฯ แต่ทว่าเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าท่านได้เกษียณไม่ได้มาทำงานเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว

    เขาออกตระเวนถามหาบ้าน จนมาถึงหน้าบ้านเก่าๆ สุดสมถะ บรรยากาศเงียบสงบ

    “มีใครอยู่ไหมครับ” หลังสิ้นเสียงเรียก หญิงชราเดินออกมาจากประตูบ้านด้วยใบหน้าสงสัย “มาหาใครคะ” น้ำเสียงอันแสนเมตตาขยับเข้ามาใกล้ๆ ครั้งได้สบตาทำให้ทารกน้อยในวัยหนุ่มเข่าทรุดติดพื้น ก้มลงกราบโดยอัตโนมัติ ก่อนบอกกับหมอที่อยู่ในอาการงุนงงว่า “ไม่รู้หมอจะจำผมได้ไหม ผมคือเด็กที่หมอช่วยชีวิตผ่านโทรศัพท์เมื่อ 32 ปีก่อน พ่อผมเล่าให้ฟังตอนผมไปเจอกระดาษโน๊ตอันนี้ ที่ท่านบอกสูตรผสมกับวิธีการรักษาให้พ่อผม ทำให้ผมรอดตาย”

    หมอวันดีหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจ ก่อนกล่าวว่า “นี่มันสูตรของฉันจริงๆ ด้วย ขอให้มีความสุขความเจริญนะ แล้วตอนนี้หนูเป็นอะไร” ทารกน้อยในวัยหนุ่มกล่าวตอบ “ผมเป็นตำรวจอยู่นครบาลครับ” ก่อนจะถอดเสื้อคลุมสืบนครบาลตัวเก่งให้กับหมอวันดีโดยไม่ลังเล “เสื้อนี้มีค่าสำหรับผมมากครับ ผมขอให้หมอไว้นะครับ ถ้าไม่มีหมอผมคงตายไปแล้ว”

    เรื่องเล่าของทารกน้อยจากแดนไกลคนนี้ ปัจจุบันคือ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ หรือ “สารวัตรแจ๊ะ” สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. ที่เกิดมาพร้อมอาการป่วยออดๆ แอดๆ และแพทย์ใน จ.พิษณุโลก วินิจฉัยว่าเป็นโรค “โรต้าไวรัส” แต่การรักษาไม่ดีขึ้นจนสภาพร่างกายลีบแห้งใกล้เสียชีวิต แท้จริงเป็นโรคอุจจาระร่วงจากสารอาหารที่เข้มข้นในลำไส้ ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักในสมัยนั้น

    สารวัตรแจ๊ะ ได้รับการรักษาจากศาสตราจารย์เกียรติคุณ พญ.วันดี วราวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคนี้โดยตรง “ผ่านทางโทรศัพท์” โดยได้รักษาด้วยการให้สูตรอาหารผสมที่มีส่วนผสมของเกลือแกงและน้ำตาลทราย จนทำให้รอดตายอย่างปาฏิหาริย์เมื่อปี 1993...!!!

    Cr : line
    :ภาพจากgoogle
    2/3/68 “เสียงสวรรค์” ช่วงเช้าวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1993 แพทย์หญิงวันดี รับสายหลังจากกระหน่ำโทรไปตลอดคืน พ่อของทารกน้อยรีบแนะนำตัวก่อนจะแจ้งอาการของทารกน้อยให้ฟังด้วยความร้อนรน แพทย์หญิงวันดี ได้ถามกลับว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน” พ่อรีบตอบกลับไปว่า “ผมโทรมาจากกำแพงเพชร ตอนนี้อยู่ในป่า ถ้าต้องพาลูกไปกรุงเทพจะต้องรอรถเมล์ 2 ชั่วโมง แล้วนั่งไปอีก 2 ชั่วโมง จากกำแพงเพชรเข้าไปที่ จ.พิษณุโลก เพื่อรับลูกและจะพาขึ้นเครื่องบินที่มีวันละ 1 เที่ยวถึงจะไปถึงกรุงเทพ” แพทย์หญิงวันดีตอบกลับว่า “คุณไม่ต้องมาเด็กจะเสียระหว่างทาง หมอจะรักษาผ่านทางโทรศัพท์ เราจะกระตุ้นให้ลำไส้เริ่มกลับมาทำงาน ก่อนที่เด็กจะเสียชีวิต รีบกลับไปทำตามที่หมอบอก” จากนั้นได้เริ่มบอก “สูตรอาหารผสม” และวิธีการรักษาเบื้องต้น ให้กับพ่อของทารกน้อยจดทุกสิ่งทุกอย่างลงในกระดาษโน๊ตแล้วพับเก็บใส่กระเป๋าอย่างประณีต ก่อนจะโดดงาน รีบออกจากไซส์งานขึ้นรถเมล์มุ่งหน้ากลับไปที่เมืองพิษณุโลกทันที “ปาฏิหาริย์ยามบ่าย” เมื่อพ่อกลับมาถึงแล้วพบว่าทารกน้อยยังไม่สิ้นใจ รีบนำอาหารผสมสูตรหมอวันดี แกะออกก่อนนำใส่ปากรักษาทารกน้อยตามโพยหมอในทันที แม้ยังไม่เห็นผลทันตา แต่ทารกยังคงสภาพไม่สิ้นใจ “เหมือนจะได้ผล” พ่อจดทุกอากับกริยาของทารกน้อย ก่อนจะรีบโบกรถข้ามจังหวัดกลับไปไซส์งานเพื่อโทรศัพท์หาหมอ การเทียวไปเทียวมา 2 จังหวัดเพื่อรักษาผ่านทางโทรศัพท์ได้เริ่มต้นขึ้นทุก 7 โมงเช้า ของทุกวัน “ตลอด 3 เดือน”แพทย์หญิงวันดีจะใช้เวลาทุกเช้าก่อนเข้างาน รอรับสายโทรศัพท์จากพ่อ เพื่อตามติดรักษาอาการและปรับเปลี่ยนสูตรผสมอาหารตามอาการ จนเด็กทารกน้อย “ฟื้นชีพ” ดีวันดีคืน ผิวหนังที่เหี่ยวก็กลับมาเต่งตึง หายเป็นปกติในที่สุด ่“สายสุดท้าย” ปลายเดือนมกราคม ค.ศ.1994 พ่อรายงานอาการของทารกน้อยให้หมอวันดีฟังอย่างเช่นทุกๆวัน ก่อนเสียงปลายสายของหมอตอบกลับ “ยินดีด้วยนะลูกคุณหายแล้ว” ภาพไซส์งานเบื้องหน้าพ่อของทารกน้อยขาวโพลนทันใด เสียงเงียบก็เข้าครอบคลุมสายโทรศัพท์ทั้งสองฝ่าย เข้าสู่อารมณ์เอ่อล้นที่ยากจะพรรณนา แม้สัมผัสได้แต่เพียงเสียงปลายสาย แต่ภาพมรสุมกว่า 3 เดือนไล่ย้อนไปเป็นฉากๆ จนปากพูดอะไรไม่ออก “ผมไม่รู้จะตอบแทนยังไง” ไม่เพียงไม่รู้จัก ไม่เคยแม้แต่เห็นหน้า และหมอท่านนี้ก็ไม่ได้แม้แต่ผลตอบแทนใดๆ แล้วจากไปด้วยคำทิ้งท้ายสั้นๆ “ดูแลลูกให้ดี ขอให้โตมาเป็นเด็กดีนะ ขอให้โชคดี”และสายก็ถูกตัดไป แต่เสียงยังตราตรึงใจ ไม่รู้ลืมไปตลอดกาล “กระดาษโน้ตความทรงจำ” รายละเอียดการรักษาพ่อยังคงเก็บไว้ในกล่องเป็นอย่างดีจนเวลาล่วงเลยผ่านไปนานแสนนาน จนเด็กทารกน้อยคนนั้นเติบโตขึ้นย่างเข้าวัย 32 ปี ระหว่างกลับไปเยี่ยมพ่อของเขาในช่วงวันหยุด ก่อนจะสะดุดสายตากับกล่องพิลึกพิลั่นในห้องของพ่อ เปิดออกมาดูพบกระดาษโน้ตเก่าๆหลายแผ่นชวนฉงนใจ “พ่อ..พวกนี่คืออะไร” หลังพ่อได้เห็นกระดาษโน้ตเก่าความทรงจำในอดีตพรั่งพรูก่อนเริ่มเล่าเรื่องราวอันสุดมหัศจรรย์กับการชุบชีวิตทารกน้อย ผ่านสายโทรศัพท์ของหมอเทวดาท่านหนึ่ง “หมอวันดี โรงพยาบาลรามา” พ่อเอ่ยชื่อก่อนทิ้งท้าย “ตอนนี้อยู่ไหนแล้วพ่อไม่รู้นะ น่าจะอายุมากแล้ว” จะทันไหมนะ ทารกน้อยในวัยหนุ่มครุ่นคิดในใจ “ตามหาผู้มีพระคุณ” ทารกน้อยในวัยหนุ่มออกตามหาหมอวันดีที่โรงพยาบาลรามาฯ แต่ทว่าเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าท่านได้เกษียณไม่ได้มาทำงานเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว เขาออกตระเวนถามหาบ้าน จนมาถึงหน้าบ้านเก่าๆ สุดสมถะ บรรยากาศเงียบสงบ “มีใครอยู่ไหมครับ” หลังสิ้นเสียงเรียก หญิงชราเดินออกมาจากประตูบ้านด้วยใบหน้าสงสัย “มาหาใครคะ” น้ำเสียงอันแสนเมตตาขยับเข้ามาใกล้ๆ ครั้งได้สบตาทำให้ทารกน้อยในวัยหนุ่มเข่าทรุดติดพื้น ก้มลงกราบโดยอัตโนมัติ ก่อนบอกกับหมอที่อยู่ในอาการงุนงงว่า “ไม่รู้หมอจะจำผมได้ไหม ผมคือเด็กที่หมอช่วยชีวิตผ่านโทรศัพท์เมื่อ 32 ปีก่อน พ่อผมเล่าให้ฟังตอนผมไปเจอกระดาษโน๊ตอันนี้ ที่ท่านบอกสูตรผสมกับวิธีการรักษาให้พ่อผม ทำให้ผมรอดตาย” หมอวันดีหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจ ก่อนกล่าวว่า “นี่มันสูตรของฉันจริงๆ ด้วย ขอให้มีความสุขความเจริญนะ แล้วตอนนี้หนูเป็นอะไร” ทารกน้อยในวัยหนุ่มกล่าวตอบ “ผมเป็นตำรวจอยู่นครบาลครับ” ก่อนจะถอดเสื้อคลุมสืบนครบาลตัวเก่งให้กับหมอวันดีโดยไม่ลังเล “เสื้อนี้มีค่าสำหรับผมมากครับ ผมขอให้หมอไว้นะครับ ถ้าไม่มีหมอผมคงตายไปแล้ว” เรื่องเล่าของทารกน้อยจากแดนไกลคนนี้ ปัจจุบันคือ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ หรือ “สารวัตรแจ๊ะ” สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. ที่เกิดมาพร้อมอาการป่วยออดๆ แอดๆ และแพทย์ใน จ.พิษณุโลก วินิจฉัยว่าเป็นโรค “โรต้าไวรัส” แต่การรักษาไม่ดีขึ้นจนสภาพร่างกายลีบแห้งใกล้เสียชีวิต แท้จริงเป็นโรคอุจจาระร่วงจากสารอาหารที่เข้มข้นในลำไส้ ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักในสมัยนั้น สารวัตรแจ๊ะ ได้รับการรักษาจากศาสตราจารย์เกียรติคุณ พญ.วันดี วราวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคนี้โดยตรง “ผ่านทางโทรศัพท์” โดยได้รักษาด้วยการให้สูตรอาหารผสมที่มีส่วนผสมของเกลือแกงและน้ำตาลทราย จนทำให้รอดตายอย่างปาฏิหาริย์เมื่อปี 1993...!!! Cr : line :ภาพจากgoogle
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts