• เรื่องเล่าจากข่าว: นักพัฒนาใช้ AI มากขึ้น แต่เชื่อใจน้อยลง—เมื่อ “เกือบถูก” กลายเป็นต้นทุนที่ซ่อนอยู่

    จากผลสำรวจนักพัฒนากว่า 49,000 คนโดย Stack Overflow พบว่า 80% ใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI กลับลดลงเหลือเพียง 29% จาก 40% ในปีก่อน

    ปัญหาหลักคือ “คำตอบที่เกือบถูก” จาก AI เช่น GitHub Copilot หรือ Cursor ที่ดูเหมือนจะใช้งานได้ แต่แฝงข้อผิดพลาดเชิงตรรกะหรือบั๊กที่ยากจะตรวจพบ โดยเฉพาะนักพัฒนารุ่นใหม่ที่มักเชื่อคำแนะนำของ AI มากเกินไป

    ผลคือ นักพัฒนาต้องเสียเวลานานในการดีบัก และกว่า 1 ใน 3 ต้องกลับไปหาคำตอบจาก Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากโค้ดที่ AI สร้างขึ้น

    แม้จะมีโมเดลใหม่ที่เน้นการให้เหตุผลมากขึ้น แต่ปัญหา “เกือบถูก” ยังคงอยู่ เพราะเป็นธรรมชาติของการสร้างข้อความแบบคาดการณ์ ซึ่งไม่สามารถเข้าใจบริบทลึกได้เหมือนมนุษย์

    80% ของนักพัฒนาใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025
    เพิ่มขึ้นจาก 76% ในปี 2024
    เป็นการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการ

    ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI ลดลงเหลือ 29%
    จาก 40% ในปี 2024 และ 43% ในปี 2023
    สะท้อนความกังวลเรื่องคุณภาพของผลลัพธ์

    45% ของนักพัฒนาระบุว่าการดีบักโค้ดจาก AI ใช้เวลามากกว่าที่คาด
    โดยเฉพาะเมื่อโค้ดดูเหมือนถูกแต่มีข้อผิดพลาดซ่อนอยู่
    ส่งผลให้ workflow สะดุดและเสียเวลา

    มากกว่า 1 ใน 3 ของนักพัฒนาเข้า Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจาก AI
    แสดงว่า AI ไม่สามารถแทนที่ความรู้จากชุมชนได้
    Stack Overflow ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหา

    72% ของนักพัฒนาไม่ใช้ “vibe coding” หรือการวางโค้ดจาก AI โดยไม่ตรวจสอบ
    เพราะเสี่ยงต่อการเกิดบั๊กที่ยากตรวจจับ
    ไม่เหมาะกับการใช้งานในระบบจริง

    AI ยังมีข้อดีด้านการเรียนรู้ โดยช่วยลดความยากในการเริ่มต้นภาษาใหม่หรือ framework ใหม่
    ให้คำตอบเฉพาะจุดที่ตรงกับบริบท
    เสริมการค้นหาจากเอกสารแบบเดิม

    โค้ดที่ “เกือบถูก” จาก AI อาจสร้างบั๊กที่ยากตรวจจับและใช้เวลานานในการแก้ไข
    โดยเฉพาะกับนักพัฒนาที่ไม่มีประสบการณ์
    อาจทำให้ระบบมีข้อผิดพลาดที่ไม่รู้ตัว

    การเชื่อคำแนะนำของ AI โดยไม่ตรวจสอบอาจทำให้เกิดความเสียหายในระบบจริง
    AI ไม่เข้าใจบริบทเชิงธุรกิจหรือข้อจำกัดเฉพาะ
    ต้องมีการตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ

    การใช้ AI โดยไม่มีการฝึกอบรมหรือแนวทางที่ชัดเจนอาจสร้างภาระมากกว่าประโยชน์
    ผู้ใช้ต้องเข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือ
    ต้องมี mindset ที่ไม่พึ่งพา AI อย่างเดียว

    การใช้ autocomplete จาก AI โดยไม่พิจารณาอาจฝังข้อผิดพลาดลงในระบบ
    ต้องใช้ AI เป็น “คู่คิด” ไม่ใช่ “ผู้แทน”
    ควรใช้เพื่อเสนอไอเดีย ไม่ใช่แทนการเขียนทั้งหมด

    https://www.techspot.com/news/108907-developers-increasingly-embrace-ai-tools-even-their-trust.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: นักพัฒนาใช้ AI มากขึ้น แต่เชื่อใจน้อยลง—เมื่อ “เกือบถูก” กลายเป็นต้นทุนที่ซ่อนอยู่ จากผลสำรวจนักพัฒนากว่า 49,000 คนโดย Stack Overflow พบว่า 80% ใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI กลับลดลงเหลือเพียง 29% จาก 40% ในปีก่อน ปัญหาหลักคือ “คำตอบที่เกือบถูก” จาก AI เช่น GitHub Copilot หรือ Cursor ที่ดูเหมือนจะใช้งานได้ แต่แฝงข้อผิดพลาดเชิงตรรกะหรือบั๊กที่ยากจะตรวจพบ โดยเฉพาะนักพัฒนารุ่นใหม่ที่มักเชื่อคำแนะนำของ AI มากเกินไป ผลคือ นักพัฒนาต้องเสียเวลานานในการดีบัก และกว่า 1 ใน 3 ต้องกลับไปหาคำตอบจาก Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากโค้ดที่ AI สร้างขึ้น แม้จะมีโมเดลใหม่ที่เน้นการให้เหตุผลมากขึ้น แต่ปัญหา “เกือบถูก” ยังคงอยู่ เพราะเป็นธรรมชาติของการสร้างข้อความแบบคาดการณ์ ซึ่งไม่สามารถเข้าใจบริบทลึกได้เหมือนมนุษย์ ✅ 80% ของนักพัฒนาใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025 ➡️ เพิ่มขึ้นจาก 76% ในปี 2024 ➡️ เป็นการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการ ✅ ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI ลดลงเหลือ 29% ➡️ จาก 40% ในปี 2024 และ 43% ในปี 2023 ➡️ สะท้อนความกังวลเรื่องคุณภาพของผลลัพธ์ ✅ 45% ของนักพัฒนาระบุว่าการดีบักโค้ดจาก AI ใช้เวลามากกว่าที่คาด ➡️ โดยเฉพาะเมื่อโค้ดดูเหมือนถูกแต่มีข้อผิดพลาดซ่อนอยู่ ➡️ ส่งผลให้ workflow สะดุดและเสียเวลา ✅ มากกว่า 1 ใน 3 ของนักพัฒนาเข้า Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจาก AI ➡️ แสดงว่า AI ไม่สามารถแทนที่ความรู้จากชุมชนได้ ➡️ Stack Overflow ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหา ✅ 72% ของนักพัฒนาไม่ใช้ “vibe coding” หรือการวางโค้ดจาก AI โดยไม่ตรวจสอบ ➡️ เพราะเสี่ยงต่อการเกิดบั๊กที่ยากตรวจจับ ➡️ ไม่เหมาะกับการใช้งานในระบบจริง ✅ AI ยังมีข้อดีด้านการเรียนรู้ โดยช่วยลดความยากในการเริ่มต้นภาษาใหม่หรือ framework ใหม่ ➡️ ให้คำตอบเฉพาะจุดที่ตรงกับบริบท ➡️ เสริมการค้นหาจากเอกสารแบบเดิม ‼️ โค้ดที่ “เกือบถูก” จาก AI อาจสร้างบั๊กที่ยากตรวจจับและใช้เวลานานในการแก้ไข ⛔ โดยเฉพาะกับนักพัฒนาที่ไม่มีประสบการณ์ ⛔ อาจทำให้ระบบมีข้อผิดพลาดที่ไม่รู้ตัว ‼️ การเชื่อคำแนะนำของ AI โดยไม่ตรวจสอบอาจทำให้เกิดความเสียหายในระบบจริง ⛔ AI ไม่เข้าใจบริบทเชิงธุรกิจหรือข้อจำกัดเฉพาะ ⛔ ต้องมีการตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ ‼️ การใช้ AI โดยไม่มีการฝึกอบรมหรือแนวทางที่ชัดเจนอาจสร้างภาระมากกว่าประโยชน์ ⛔ ผู้ใช้ต้องเข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือ ⛔ ต้องมี mindset ที่ไม่พึ่งพา AI อย่างเดียว ‼️ การใช้ autocomplete จาก AI โดยไม่พิจารณาอาจฝังข้อผิดพลาดลงในระบบ ⛔ ต้องใช้ AI เป็น “คู่คิด” ไม่ใช่ “ผู้แทน” ⛔ ควรใช้เพื่อเสนอไอเดีย ไม่ใช่แทนการเขียนทั้งหมด https://www.techspot.com/news/108907-developers-increasingly-embrace-ai-tools-even-their-trust.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Software developers use AI more than ever, but trust it less
    In its annual poll of 49,000 professional developers, Stack Overflow found that 80 percent use AI tools in their work in 2025, a share that has surged...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Everest Ransomware กับการโจมตี Mailchimp ที่กลายเป็นเรื่องตลกในวงการไซเบอร์

    ปลายเดือนกรกฎาคม 2025 กลุ่ม Everest ransomware ได้โพสต์บนเว็บไซต์มืดว่า พวกเขาเจาะระบบของ Mailchimp—แพลตฟอร์มการตลาดผ่านอีเมลชื่อดัง—และขโมยข้อมูลขนาด 767 MB รวม 943,536 บรรทัด ซึ่งอ้างว่าเป็น “เอกสารภายในบริษัท” และ “ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า”

    แต่เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยได้ตรวจสอบตัวอย่างข้อมูล พบว่าเป็นเพียงข้อมูลธุรกิจทั่วไป เช่น อีเมลบริษัท, โดเมน, เบอร์โทร, เมือง, ประเทศ, ลิงก์โซเชียลมีเดีย และเทคโนโลยีที่ใช้ ไม่ใช่ข้อมูลลับหรือข้อมูลภายในที่สำคัญของ Mailchimp

    ชุมชนไซเบอร์จึงพากันหัวเราะเยาะการโจมตีครั้งนี้ โดยเปรียบเทียบว่า “เหมือนข้อมูลของลูกค้าคนเดียว” หรือ “แค่เศษเสี้ยวของข้อมูลที่ Mailchimp ส่งออกในหนึ่งวินาที”

    แม้จะดูเล็กน้อย แต่การโจมตีนี้ยังสะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวล—การเพิ่มขึ้นของ ransomware ทั่วโลกในเดือนกรกฎาคม โดยมีหลายกลุ่มโจมตีองค์กรใหญ่ เช่น Dollar Tree, Albavision และ NASCAR

    Everest ransomware อ้างว่าเจาะระบบ Mailchimp และขโมยข้อมูล 767 MB รวม 943,536 บรรทัด
    อ้างว่าเป็นเอกสารภายในและข้อมูลลูกค้า
    โพสต์บนเว็บไซต์มืดพร้อมตัวอย่างข้อมูล

    ข้อมูลที่หลุดเป็นข้อมูลธุรกิจทั่วไป ไม่ใช่ข้อมูลลับของ Mailchimp
    เช่น อีเมลบริษัท, โดเมน, เบอร์โทร, เทคโนโลยีที่ใช้
    ดูเหมือนมาจากการ export จากระบบ CRM มากกว่าระบบภายใน

    ชุมชนผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์เยาะเย้ยการโจมตีครั้งนี้ว่า “เล็กเกินคาด”
    เปรียบเทียบว่าเป็นข้อมูลของลูกค้าคนเดียว
    คาดหวังว่าจะมีข้อมูลระดับ GB หรือ TB จากบริษัทใหญ่แบบ Mailchimp

    Everest ransomware เคยโจมตีบริษัทใหญ่มาแล้ว เช่น Coca-Cola และรัฐบาลในอเมริกาใต้
    ใช้โมเดล double extortion: เข้ารหัสไฟล์ + ขู่เปิดเผยข้อมูล
    ล่าสุดเริ่มขายสิทธิ์เข้าถึงระบบให้กลุ่มอื่นแทนการโจมตีเอง

    การโจมตี Mailchimp เป็นส่วนหนึ่งของคลื่น ransomware ที่พุ่งสูงในเดือนกรกฎาคม 2025
    INC ransomware อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree
    GLOBAL GROUP โจมตี Albavision ได้ข้อมูล 400 GB
    Medusa ransomware เรียกค่าไถ่ NASCAR มูลค่า $4 ล้าน

    https://hackread.com/everest-ransomware-claims-mailchimp-small-breach/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Everest Ransomware กับการโจมตี Mailchimp ที่กลายเป็นเรื่องตลกในวงการไซเบอร์ ปลายเดือนกรกฎาคม 2025 กลุ่ม Everest ransomware ได้โพสต์บนเว็บไซต์มืดว่า พวกเขาเจาะระบบของ Mailchimp—แพลตฟอร์มการตลาดผ่านอีเมลชื่อดัง—และขโมยข้อมูลขนาด 767 MB รวม 943,536 บรรทัด ซึ่งอ้างว่าเป็น “เอกสารภายในบริษัท” และ “ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า” แต่เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยได้ตรวจสอบตัวอย่างข้อมูล พบว่าเป็นเพียงข้อมูลธุรกิจทั่วไป เช่น อีเมลบริษัท, โดเมน, เบอร์โทร, เมือง, ประเทศ, ลิงก์โซเชียลมีเดีย และเทคโนโลยีที่ใช้ ไม่ใช่ข้อมูลลับหรือข้อมูลภายในที่สำคัญของ Mailchimp ชุมชนไซเบอร์จึงพากันหัวเราะเยาะการโจมตีครั้งนี้ โดยเปรียบเทียบว่า “เหมือนข้อมูลของลูกค้าคนเดียว” หรือ “แค่เศษเสี้ยวของข้อมูลที่ Mailchimp ส่งออกในหนึ่งวินาที” แม้จะดูเล็กน้อย แต่การโจมตีนี้ยังสะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวล—การเพิ่มขึ้นของ ransomware ทั่วโลกในเดือนกรกฎาคม โดยมีหลายกลุ่มโจมตีองค์กรใหญ่ เช่น Dollar Tree, Albavision และ NASCAR ✅ Everest ransomware อ้างว่าเจาะระบบ Mailchimp และขโมยข้อมูล 767 MB รวม 943,536 บรรทัด ➡️ อ้างว่าเป็นเอกสารภายในและข้อมูลลูกค้า ➡️ โพสต์บนเว็บไซต์มืดพร้อมตัวอย่างข้อมูล ✅ ข้อมูลที่หลุดเป็นข้อมูลธุรกิจทั่วไป ไม่ใช่ข้อมูลลับของ Mailchimp ➡️ เช่น อีเมลบริษัท, โดเมน, เบอร์โทร, เทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ ดูเหมือนมาจากการ export จากระบบ CRM มากกว่าระบบภายใน ✅ ชุมชนผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์เยาะเย้ยการโจมตีครั้งนี้ว่า “เล็กเกินคาด” ➡️ เปรียบเทียบว่าเป็นข้อมูลของลูกค้าคนเดียว ➡️ คาดหวังว่าจะมีข้อมูลระดับ GB หรือ TB จากบริษัทใหญ่แบบ Mailchimp ✅ Everest ransomware เคยโจมตีบริษัทใหญ่มาแล้ว เช่น Coca-Cola และรัฐบาลในอเมริกาใต้ ➡️ ใช้โมเดล double extortion: เข้ารหัสไฟล์ + ขู่เปิดเผยข้อมูล ➡️ ล่าสุดเริ่มขายสิทธิ์เข้าถึงระบบให้กลุ่มอื่นแทนการโจมตีเอง ✅ การโจมตี Mailchimp เป็นส่วนหนึ่งของคลื่น ransomware ที่พุ่งสูงในเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ INC ransomware อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree ➡️ GLOBAL GROUP โจมตี Albavision ได้ข้อมูล 400 GB ➡️ Medusa ransomware เรียกค่าไถ่ NASCAR มูลค่า $4 ล้าน https://hackread.com/everest-ransomware-claims-mailchimp-small-breach/
    HACKREAD.COM
    Everest Ransomware Claims Mailchimp as New Victim in Relatively Small Breach
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Comp AI กับภารกิจพลิกโฉมโลกของการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย

    ในโลกธุรกิจยุคใหม่ การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ไม่ใช่แค่ “เรื่องที่ควรทำ” แต่กลายเป็น “เงื่อนไขสำคัญ” สำหรับการทำธุรกิจ โดยเฉพาะกับลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่

    แต่การเข้าสู่มาตรฐานเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยความยุ่งยาก—ต้องใช้เวลาเป็นเดือน, ค่าใช้จ่ายสูง และต้องอาศัยทีมงานเฉพาะทาง

    Comp AI จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 2025 โดยทีมผู้ก่อตั้งที่เคยเจ็บปวดกับการจัดการ SOC 2 มาก่อน พวกเขาใช้ AI ร่วมกับแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่สามารถลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90% และช่วยให้บริษัทต่าง ๆ “พร้อมตรวจสอบ” ได้ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์

    Comp AI ระดมทุนได้ $2.6 ล้านในรอบ Pre-Seed เพื่อเร่งพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับการจัดการ compliance นำโดย OSS Capital และ Grand Ventures มีนักลงทุนชื่อดังร่วมด้วย เช่น ผู้ก่อตั้ง Sentry และ Ben’s Bites

    แพลตฟอร์มของ Comp AI ใช้ AI ร่วมกับโอเพ่นซอร์สเพื่อจัดการ SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ได้อัตโนมัติ
    ลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90%
    ลูกค้ากลุ่มแรกประหยัดเวลาไปกว่า 2,500 ชั่วโมง

    Comp AI ได้รับการตอบรับดีจากนักพัฒนาและบริษัทกว่า 3,500 แห่งในช่วงทดสอบก่อนเปิดตัว
    เข้าร่วมโครงการ OSS ของ Vercel
    เตรียมเปิดตัว “AI Agent Studio” สำหรับการเก็บหลักฐานและประเมินความเสี่ยง

    เป้าหมายของบริษัทคือช่วยให้ 100,000 บริษัทผ่านมาตรฐาน SOC 2 และ ISO 27001 ภายในปี 2032
    ลดต้นทุนจาก $25,000 ต่อปีเหลือเพียงเศษเสี้ยว
    ทำให้บริษัทขนาดเล็กเข้าถึงมาตรฐานระดับองค์กรได้

    Comp AI ถูกเปรียบว่าเป็น “Vercel แห่งวงการ compliance”
    ใช้งานง่ายสำหรับนักพัฒนา
    ไม่ต้องพึ่งที่ปรึกษาหรือทีมเฉพาะทาง

    AI ช่วยให้การตรวจสอบ SOC 2 และ ISO 27001 เป็นแบบเรียลไทม์
    ตรวจจับความผิดปกติและความเสี่ยงได้ทันที
    ลดโอกาสเกิดการละเมิดข้อมูล

    AI สามารถสร้างรายงาน compliance ที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์
    ช่วยให้การตรวจสอบภายในและภายนอกเป็นไปอย่างราบรื่น
    เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร

    แพลตฟอร์มแบบ unified ช่วยให้ผู้ตรวจสอบเข้าถึงหลักฐานและนโยบายได้จากจุดเดียว
    ลดความซับซ้อนในการจัดการหลายมาตรฐาน
    เหมาะกับองค์กรที่ต้องปฏิบัติตามหลาย framework พร้อมกัน

    AI ช่วยลดภาระของทีมกฎหมายและ compliance โดยอัตโนมัติถึง 70%
    ทำให้ทีมสามารถโฟกัสกับงานเชิงกลยุทธ์
    ลดต้นทุนและเวลาในการจัดการเอกสาร

    การใช้ AI เพื่อจัดการ compliance อาจไม่ครอบคลุมทุกบริบทขององค์กรขนาดใหญ่
    เครื่องมือบางตัวออกแบบมาสำหรับสตาร์ทอัพหรือ SMB
    อาจไม่รองรับระบบที่ซับซ้อนหรือหลายแพลตฟอร์ม

    การพึ่งพา automation มากเกินไปอาจทำให้ละเลยการตรวจสอบเชิงลึก
    ความเสี่ยงบางอย่างต้องใช้วิจารณญาณของมนุษย์
    AI อาจไม่เข้าใจบริบทเฉพาะของธุรกิจ

    การจัดการ compliance ด้วย AI ยังต้องการการตรวจสอบจากบุคคลที่มีความรู้ด้านกฎหมายและความปลอดภัย
    ไม่สามารถแทนที่ผู้เชี่ยวชาญได้ทั้งหมด
    อาจเกิดข้อผิดพลาดหากไม่มีการตรวจสอบซ้ำ

    การเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้าง template หรือ mapping ผ่านโอเพ่นซอร์ส อาจมีความเสี่ยงด้านความถูกต้อง
    ข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอาจนำไปสู่การปฏิบัติผิดมาตรฐาน
    ต้องมีระบบคัดกรองและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด

    https://hackread.com/comp-ai-secures-2-6m-pre-seed-to-disrupt-soc-2-market/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Comp AI กับภารกิจพลิกโฉมโลกของการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย ในโลกธุรกิจยุคใหม่ การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ไม่ใช่แค่ “เรื่องที่ควรทำ” แต่กลายเป็น “เงื่อนไขสำคัญ” สำหรับการทำธุรกิจ โดยเฉพาะกับลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ แต่การเข้าสู่มาตรฐานเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยความยุ่งยาก—ต้องใช้เวลาเป็นเดือน, ค่าใช้จ่ายสูง และต้องอาศัยทีมงานเฉพาะทาง Comp AI จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 2025 โดยทีมผู้ก่อตั้งที่เคยเจ็บปวดกับการจัดการ SOC 2 มาก่อน พวกเขาใช้ AI ร่วมกับแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่สามารถลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90% และช่วยให้บริษัทต่าง ๆ “พร้อมตรวจสอบ” ได้ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ✅ Comp AI ระดมทุนได้ $2.6 ล้านในรอบ Pre-Seed เพื่อเร่งพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับการจัดการ compliance ➡️ นำโดย OSS Capital และ Grand Ventures ➡️ มีนักลงทุนชื่อดังร่วมด้วย เช่น ผู้ก่อตั้ง Sentry และ Ben’s Bites ✅ แพลตฟอร์มของ Comp AI ใช้ AI ร่วมกับโอเพ่นซอร์สเพื่อจัดการ SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ได้อัตโนมัติ ➡️ ลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90% ➡️ ลูกค้ากลุ่มแรกประหยัดเวลาไปกว่า 2,500 ชั่วโมง ✅ Comp AI ได้รับการตอบรับดีจากนักพัฒนาและบริษัทกว่า 3,500 แห่งในช่วงทดสอบก่อนเปิดตัว ➡️ เข้าร่วมโครงการ OSS ของ Vercel ➡️ เตรียมเปิดตัว “AI Agent Studio” สำหรับการเก็บหลักฐานและประเมินความเสี่ยง ✅ เป้าหมายของบริษัทคือช่วยให้ 100,000 บริษัทผ่านมาตรฐาน SOC 2 และ ISO 27001 ภายในปี 2032 ➡️ ลดต้นทุนจาก $25,000 ต่อปีเหลือเพียงเศษเสี้ยว ➡️ ทำให้บริษัทขนาดเล็กเข้าถึงมาตรฐานระดับองค์กรได้ ✅ Comp AI ถูกเปรียบว่าเป็น “Vercel แห่งวงการ compliance” ➡️ ใช้งานง่ายสำหรับนักพัฒนา ➡️ ไม่ต้องพึ่งที่ปรึกษาหรือทีมเฉพาะทาง ✅ AI ช่วยให้การตรวจสอบ SOC 2 และ ISO 27001 เป็นแบบเรียลไทม์ ➡️ ตรวจจับความผิดปกติและความเสี่ยงได้ทันที ➡️ ลดโอกาสเกิดการละเมิดข้อมูล ✅ AI สามารถสร้างรายงาน compliance ที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ ➡️ ช่วยให้การตรวจสอบภายในและภายนอกเป็นไปอย่างราบรื่น ➡️ เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร ✅ แพลตฟอร์มแบบ unified ช่วยให้ผู้ตรวจสอบเข้าถึงหลักฐานและนโยบายได้จากจุดเดียว ➡️ ลดความซับซ้อนในการจัดการหลายมาตรฐาน ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ต้องปฏิบัติตามหลาย framework พร้อมกัน ✅ AI ช่วยลดภาระของทีมกฎหมายและ compliance โดยอัตโนมัติถึง 70% ➡️ ทำให้ทีมสามารถโฟกัสกับงานเชิงกลยุทธ์ ➡️ ลดต้นทุนและเวลาในการจัดการเอกสาร ‼️ การใช้ AI เพื่อจัดการ compliance อาจไม่ครอบคลุมทุกบริบทขององค์กรขนาดใหญ่ ⛔ เครื่องมือบางตัวออกแบบมาสำหรับสตาร์ทอัพหรือ SMB ⛔ อาจไม่รองรับระบบที่ซับซ้อนหรือหลายแพลตฟอร์ม ‼️ การพึ่งพา automation มากเกินไปอาจทำให้ละเลยการตรวจสอบเชิงลึก ⛔ ความเสี่ยงบางอย่างต้องใช้วิจารณญาณของมนุษย์ ⛔ AI อาจไม่เข้าใจบริบทเฉพาะของธุรกิจ ‼️ การจัดการ compliance ด้วย AI ยังต้องการการตรวจสอบจากบุคคลที่มีความรู้ด้านกฎหมายและความปลอดภัย ⛔ ไม่สามารถแทนที่ผู้เชี่ยวชาญได้ทั้งหมด ⛔ อาจเกิดข้อผิดพลาดหากไม่มีการตรวจสอบซ้ำ ‼️ การเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้าง template หรือ mapping ผ่านโอเพ่นซอร์ส อาจมีความเสี่ยงด้านความถูกต้อง ⛔ ข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอาจนำไปสู่การปฏิบัติผิดมาตรฐาน ⛔ ต้องมีระบบคัดกรองและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด https://hackread.com/comp-ai-secures-2-6m-pre-seed-to-disrupt-soc-2-market/
    HACKREAD.COM
    Comp AI secures $2.6M pre-seed to disrupt SOC 2 market
    San Francisco, California, 1st August 2025, CyberNewsWire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถกเถียงกันเรื่อง 25 พศ มีแต่พระหล่อ...อยากให้ศึกษาวิธีการสร้างพระหล่อในยุค 60 ปีก่อน...คือปั้นหุ่นเทียน...เจ้าก้านช่อ ประกบพิมพ์...พอกดิน..พอกขี้ผึ้ง ขี้วัว...เผา...ตัดออกจากข้อ..ทุบดินพอกออก...คะไบแต่งก้านข่อ ขอบข้าง....วิธีเป็นแบบนี้ ...ตามเอกสารสร้าง 2 ล้านกว่าองค์...ต้องใช้เวลาเท่าไร? ....แล้ววไอ้แบบหล่อประกบ...มันหายไปหลบศ่อนอยู่ไหนมา..ตั้งหลายสิบปี.ทำไมเพิ่งโผล่ออกมาแบะจำนวนนน้อยนิด.....พระสร้างตั้ง 2 ล้าน... #ลองคิดตาม# หาคลิปการสร้างพระหล่อดูกรรมวิธีแล้วจะเข้าใจเลย...เอาแค่หลักหมื่น...ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว (หล่อโบราณ...ไม่ใช่หล่อฉีดแบบในปัจจุบัน) จะสร้างยังไง...เป็นล้าน.....
    ถกเถียงกันเรื่อง 25 พศ มีแต่พระหล่อ...อยากให้ศึกษาวิธีการสร้างพระหล่อในยุค 60 ปีก่อน...คือปั้นหุ่นเทียน...เจ้าก้านช่อ ประกบพิมพ์...พอกดิน..พอกขี้ผึ้ง ขี้วัว...เผา...ตัดออกจากข้อ..ทุบดินพอกออก...คะไบแต่งก้านข่อ ขอบข้าง....วิธีเป็นแบบนี้ ...ตามเอกสารสร้าง 2 ล้านกว่าองค์...ต้องใช้เวลาเท่าไร? ....แล้ววไอ้แบบหล่อประกบ...มันหายไปหลบศ่อนอยู่ไหนมา..ตั้งหลายสิบปี.ทำไมเพิ่งโผล่ออกมาแบะจำนวนนน้อยนิด.....พระสร้างตั้ง 2 ล้าน... #ลองคิดตาม# หาคลิปการสร้างพระหล่อดูกรรมวิธีแล้วจะเข้าใจเลย...เอาแค่หลักหมื่น...ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว (หล่อโบราณ...ไม่ใช่หล่อฉีดแบบในปัจจุบัน) จะสร้างยังไง...เป็นล้าน.....
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Dollar Tree ปฏิเสธการถูกแฮก—แต่ข้อมูลที่หลุดอาจมาจากอดีตคู่แข่งที่ล้มละลาย

    INC Ransom ซึ่งเป็นกลุ่มแรนซัมแวร์ที่มีประวัติการโจมตีองค์กรทั่วโลก ได้โพสต์ชื่อ Dollar Tree บนเว็บไซต์ของตน พร้อมอ้างว่าได้ขโมยข้อมูลกว่า 1.2TB ซึ่งรวมถึงเอกสารสำคัญและข้อมูลส่วนบุคคล เช่น สแกนหนังสือเดินทาง และขู่ว่าจะเปิดเผยหากไม่จ่ายค่าไถ่

    แต่ Dollar Tree ออกแถลงการณ์ปฏิเสธทันที โดยระบุว่า “ข้อมูลที่หลุดนั้นเป็นของ 99 Cents Only” ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งที่ล้มละลายไปในปี 2024 และ Dollar Tree ได้ซื้อสิทธิ์การเช่าอาคารบางแห่งมาเปิดร้านใหม่เท่านั้น ไม่ได้ซื้อระบบหรือฐานข้อมูลของบริษัทนั้นแต่อย่างใด

    99 Cents Only ปิดกิจการทั้งหมด 371 สาขา และไม่มีช่องทางติดต่อแล้ว ทำให้ไม่สามารถยืนยันข้อมูลจากฝั่งนั้นได้ ขณะที่ Dollar Tree ยืนยันว่า “ไม่มีการเจาะระบบของเรา” และ “ไม่มีการซื้อข้อมูลหรือระบบจาก 99 Cents Only”

    INC Ransom อ้างว่าเจาะระบบ Dollar Tree และขโมยข้อมูล 1.2TB
    รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคล เช่น สแกนหนังสือเดินทาง
    ขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่

    Dollar Tree ปฏิเสธการถูกแฮก และระบุว่าข้อมูลนั้นเป็นของ 99 Cents Only
    บริษัทคู่แข่งที่ล้มละลายไปในปี 2024
    Dollar Tree ซื้อแค่สิทธิ์การเช่าอาคาร ไม่ได้ซื้อระบบหรือข้อมูล

    99 Cents Only ปิดกิจการทั้งหมด 371 สาขา และไม่มีช่องทางติดต่อแล้ว
    Dollar Tree เปิดร้านใหม่ในอาคารเดิม 170 แห่ง
    ไม่มีการรวมระบบหรือฐานข้อมูลของบริษัทเดิม

    Dollar Tree เป็นบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ มีรายได้กว่า $17.6 พันล้านในปี 2024
    มีสาขากว่า 15,000 แห่งในสหรัฐฯ และแคนาดา
    มีพนักงานมากกว่า 65,000 คน

    INC Ransom เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ multi-extortion ที่โจมตีองค์กรทั่วโลก
    เคยโจมตีองค์กรในภาครัฐ การศึกษา และสุขภาพ
    ใช้เทคนิคขู่เปิดเผยข้อมูลเพื่อเรียกค่าไถ่

    99 Cents Only ยื่นล้มละลายในเดือนเมษายน 2024 จากผลกระทบของเงินเฟ้อ โควิด และการแข่งขันที่รุนแรง
    ปิดกิจการทั้งหมดภายในกลางปี 2024
    เป็นหนึ่งในบริษัทค้าปลีกที่ล้มละลายจากภาวะเศรษฐกิจ

    INC Ransom เคยโจมตีองค์กรระดับสูง เช่น Stark AeroSpace และ Xerox Corporation
    ไม่เลือกเป้าหมายเฉพาะเจาะจง
    มีเหยื่อมากกว่า 200 รายในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

    การโจมตีแบบ multi-extortion คือการขโมยข้อมูล + ขู่เปิดเผย + เรียกค่าไถ่ เป็นรูปแบบที่เพิ่มแรงกดดันให้เหยื่อยอมจ่าย ต้องมีระบบป้องกันและแผนตอบสนองที่ชัดเจน

    การซื้อกิจการหรือทรัพย์สินจากบริษัทที่ล้มละลายต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูลอย่างเข้มงวด
    ไม่ใช่แค่ตรวจสอบทรัพย์สินทางกายภาพ แต่ต้องรวมถึงระบบดิจิทัล
    ควรมีการล้างข้อมูลและ audit ก่อนนำมาใช้งาน

    แม้ Dollar Tree จะไม่ถูกเจาะโดยตรง แต่ข้อมูลจาก 99 Cents Only อาจมีความเกี่ยวข้องกับลูกค้าเดิมหรือพนักงานที่ยังมีผลกระทบ
    หากข้อมูลนั้นยังมีความเชื่อมโยงกับระบบที่ Dollar Tree ใช้ อาจเกิดความเสี่ยง
    ต้องตรวจสอบว่าไม่มีการนำข้อมูลเดิมมาใช้ซ้ำในระบบใหม่

    การซื้อสิทธิ์เช่าอาคารโดยไม่ซื้อระบบ ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลจะปลอดภัยเสมอไป
    หากมีการโอนอุปกรณ์หรือเซิร์ฟเวอร์โดยไม่ได้ล้างข้อมูล อาจเกิดการรั่วไหล
    ต้องมีการตรวจสอบทรัพย์สินดิจิทัลอย่างละเอียดก่อนนำมาใช้งาน

    การปฏิเสธการถูกแฮกอาจไม่เพียงพอ หากไม่มีการตรวจสอบระบบอย่างโปร่งใส
    ควรมีการเปิดเผยผลการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก
    เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและพันธมิตร

    การโจมตีแบบ multi-extortion ของ INC Ransom อาจยังดำเนินต่อไป แม้บริษัทจะไม่จ่ายค่าไถ่
    ข้อมูลอาจถูกเปิดเผยในอนาคตเพื่อกดดันเพิ่มเติม
    ต้องเตรียมแผนรับมือด้านสื่อและกฎหมายล่วงหน้า

    https://www.techradar.com/pro/security/dollar-tree-denies-data-breach-says-hacker-targeted-its-rival-instead
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Dollar Tree ปฏิเสธการถูกแฮก—แต่ข้อมูลที่หลุดอาจมาจากอดีตคู่แข่งที่ล้มละลาย INC Ransom ซึ่งเป็นกลุ่มแรนซัมแวร์ที่มีประวัติการโจมตีองค์กรทั่วโลก ได้โพสต์ชื่อ Dollar Tree บนเว็บไซต์ของตน พร้อมอ้างว่าได้ขโมยข้อมูลกว่า 1.2TB ซึ่งรวมถึงเอกสารสำคัญและข้อมูลส่วนบุคคล เช่น สแกนหนังสือเดินทาง และขู่ว่าจะเปิดเผยหากไม่จ่ายค่าไถ่ แต่ Dollar Tree ออกแถลงการณ์ปฏิเสธทันที โดยระบุว่า “ข้อมูลที่หลุดนั้นเป็นของ 99 Cents Only” ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งที่ล้มละลายไปในปี 2024 และ Dollar Tree ได้ซื้อสิทธิ์การเช่าอาคารบางแห่งมาเปิดร้านใหม่เท่านั้น ไม่ได้ซื้อระบบหรือฐานข้อมูลของบริษัทนั้นแต่อย่างใด 99 Cents Only ปิดกิจการทั้งหมด 371 สาขา และไม่มีช่องทางติดต่อแล้ว ทำให้ไม่สามารถยืนยันข้อมูลจากฝั่งนั้นได้ ขณะที่ Dollar Tree ยืนยันว่า “ไม่มีการเจาะระบบของเรา” และ “ไม่มีการซื้อข้อมูลหรือระบบจาก 99 Cents Only” ✅ INC Ransom อ้างว่าเจาะระบบ Dollar Tree และขโมยข้อมูล 1.2TB ➡️ รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคล เช่น สแกนหนังสือเดินทาง ➡️ ขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่ ✅ Dollar Tree ปฏิเสธการถูกแฮก และระบุว่าข้อมูลนั้นเป็นของ 99 Cents Only ➡️ บริษัทคู่แข่งที่ล้มละลายไปในปี 2024 ➡️ Dollar Tree ซื้อแค่สิทธิ์การเช่าอาคาร ไม่ได้ซื้อระบบหรือข้อมูล ✅ 99 Cents Only ปิดกิจการทั้งหมด 371 สาขา และไม่มีช่องทางติดต่อแล้ว ➡️ Dollar Tree เปิดร้านใหม่ในอาคารเดิม 170 แห่ง ➡️ ไม่มีการรวมระบบหรือฐานข้อมูลของบริษัทเดิม ✅ Dollar Tree เป็นบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ มีรายได้กว่า $17.6 พันล้านในปี 2024 ➡️ มีสาขากว่า 15,000 แห่งในสหรัฐฯ และแคนาดา ➡️ มีพนักงานมากกว่า 65,000 คน ✅ INC Ransom เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ multi-extortion ที่โจมตีองค์กรทั่วโลก ➡️ เคยโจมตีองค์กรในภาครัฐ การศึกษา และสุขภาพ ➡️ ใช้เทคนิคขู่เปิดเผยข้อมูลเพื่อเรียกค่าไถ่ ✅ 99 Cents Only ยื่นล้มละลายในเดือนเมษายน 2024 จากผลกระทบของเงินเฟ้อ โควิด และการแข่งขันที่รุนแรง ➡️ ปิดกิจการทั้งหมดภายในกลางปี 2024 ➡️ เป็นหนึ่งในบริษัทค้าปลีกที่ล้มละลายจากภาวะเศรษฐกิจ ✅ INC Ransom เคยโจมตีองค์กรระดับสูง เช่น Stark AeroSpace และ Xerox Corporation ➡️ ไม่เลือกเป้าหมายเฉพาะเจาะจง ➡️ มีเหยื่อมากกว่า 200 รายในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ✅ การโจมตีแบบ multi-extortion คือการขโมยข้อมูล + ขู่เปิดเผย + เรียกค่าไถ่ ➡️ เป็นรูปแบบที่เพิ่มแรงกดดันให้เหยื่อยอมจ่าย ➡️ ต้องมีระบบป้องกันและแผนตอบสนองที่ชัดเจน ✅ การซื้อกิจการหรือทรัพย์สินจากบริษัทที่ล้มละลายต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูลอย่างเข้มงวด ➡️ ไม่ใช่แค่ตรวจสอบทรัพย์สินทางกายภาพ แต่ต้องรวมถึงระบบดิจิทัล ➡️ ควรมีการล้างข้อมูลและ audit ก่อนนำมาใช้งาน ‼️ แม้ Dollar Tree จะไม่ถูกเจาะโดยตรง แต่ข้อมูลจาก 99 Cents Only อาจมีความเกี่ยวข้องกับลูกค้าเดิมหรือพนักงานที่ยังมีผลกระทบ ⛔ หากข้อมูลนั้นยังมีความเชื่อมโยงกับระบบที่ Dollar Tree ใช้ อาจเกิดความเสี่ยง ⛔ ต้องตรวจสอบว่าไม่มีการนำข้อมูลเดิมมาใช้ซ้ำในระบบใหม่ ‼️ การซื้อสิทธิ์เช่าอาคารโดยไม่ซื้อระบบ ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลจะปลอดภัยเสมอไป ⛔ หากมีการโอนอุปกรณ์หรือเซิร์ฟเวอร์โดยไม่ได้ล้างข้อมูล อาจเกิดการรั่วไหล ⛔ ต้องมีการตรวจสอบทรัพย์สินดิจิทัลอย่างละเอียดก่อนนำมาใช้งาน ‼️ การปฏิเสธการถูกแฮกอาจไม่เพียงพอ หากไม่มีการตรวจสอบระบบอย่างโปร่งใส ⛔ ควรมีการเปิดเผยผลการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก ⛔ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและพันธมิตร ‼️ การโจมตีแบบ multi-extortion ของ INC Ransom อาจยังดำเนินต่อไป แม้บริษัทจะไม่จ่ายค่าไถ่ ⛔ ข้อมูลอาจถูกเปิดเผยในอนาคตเพื่อกดดันเพิ่มเติม ⛔ ต้องเตรียมแผนรับมือด้านสื่อและกฎหมายล่วงหน้า https://www.techradar.com/pro/security/dollar-tree-denies-data-breach-says-hacker-targeted-its-rival-instead
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Zhaoxin เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ หวังลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ

    ในงาน World Artificial Intelligence Conference 2025 ที่เซี่ยงไฮ้ Zhaoxin ได้เปิดตัวสองชิปรุ่นใหม่ ได้แก่:
    - KaiXian KX-7000N สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เน้นการใช้งาน AI
    - Kaisheng KH-50000 สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในการประมวลผลข้อมูล

    KX-7000N เป็นชิปแรกของ Zhaoxin ที่มี Neural Processing Unit (NPU) ในตัว เพื่อรองรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสร้างเนื้อหาอัจฉริยะ การรู้จำใบหน้า และการประมวลผลภาพแบบออฟไลน์

    ส่วน KH-50000 เป็นชิปเซิร์ฟเวอร์ที่มีถึง 96 คอร์ เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนถึง 3 เท่า พร้อมแคช L3 ขนาด 384 MB และรองรับ PCIe 5.0 ถึง 128 เลน รวมถึงหน่วยความจำ DDR5 แบบ 12 ช่อง พร้อมระบบเชื่อมต่อ ZPI 5.0 ที่สามารถต่อชิปได้ถึง 4 ตัวในเมนบอร์ดเดียว รวมเป็น 384 คอร์

    แม้ยังไม่เปิดเผยสถาปัตยกรรมใหม่อย่างเป็นทางการ แต่การเพิ่มประสิทธิภาพอย่างก้าวกระโดดบ่งชี้ว่า Zhaoxin กำลังพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองอย่างจริงจัง เพื่อแข่งขันกับ AMD EPYC 9004 และ Intel Xeon

    Zhaoxin เปิดตัวชิปใหม่ 2 รุ่นในงาน WAIC 2025 ที่เซี่ยงไฮ้
    KaiXian KX-7000N สำหรับ AI PC และ Kaisheng KH-50000 สำหรับเซิร์ฟเวอร์
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ

    KaiXian KX-7000N เป็นชิปแรกของ Zhaoxin ที่มี NPU ในตัว
    รองรับงาน AI เช่น การรู้จำใบหน้า การเขียนเอกสารอัจฉริยะ และการสร้างภาพ
    เพิ่มจำนวนคอร์และเปลี่ยนจาก PCIe 4.0 เป็น PCIe 5.0

    Kaisheng KH-50000 มี 96 คอร์ และแคช L3 ขนาด 384 MB
    เพิ่มจากรุ่นก่อน KH-40000 ที่มีเพียง 32 คอร์และแคช 64 MB
    รองรับ 128 PCIe 5.0 lanes และ DDR5 ECC แบบ 12 ช่อง

    KH-50000 รองรับการเชื่อมต่อหลายชิปผ่าน ZPI 5.0
    สามารถต่อได้สูงสุด 4 ชิปต่อเมนบอร์ด รวมเป็น 384 คอร์
    เหมาะสำหรับงาน AI training และ inference ในระดับองค์กร

    Zhaoxin ยังไม่เปิดเผยสถาปัตยกรรมใหม่ แต่คาดว่าไม่ใช่ Yongfeng รุ่นเดิม
    การเพิ่มคอร์และฟีเจอร์บ่งชี้ถึงการออกแบบใหม่
    อาจเป็นก้าวสำคัญในการแข่งขันกับ AMD และ Intel

    https://www.techspot.com/news/108881-zhaoxin-debuts-advanced-consumer-server-chips-shanghai-conference.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Zhaoxin เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ หวังลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ ในงาน World Artificial Intelligence Conference 2025 ที่เซี่ยงไฮ้ Zhaoxin ได้เปิดตัวสองชิปรุ่นใหม่ ได้แก่: - KaiXian KX-7000N สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เน้นการใช้งาน AI - Kaisheng KH-50000 สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในการประมวลผลข้อมูล KX-7000N เป็นชิปแรกของ Zhaoxin ที่มี Neural Processing Unit (NPU) ในตัว เพื่อรองรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสร้างเนื้อหาอัจฉริยะ การรู้จำใบหน้า และการประมวลผลภาพแบบออฟไลน์ ส่วน KH-50000 เป็นชิปเซิร์ฟเวอร์ที่มีถึง 96 คอร์ เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนถึง 3 เท่า พร้อมแคช L3 ขนาด 384 MB และรองรับ PCIe 5.0 ถึง 128 เลน รวมถึงหน่วยความจำ DDR5 แบบ 12 ช่อง พร้อมระบบเชื่อมต่อ ZPI 5.0 ที่สามารถต่อชิปได้ถึง 4 ตัวในเมนบอร์ดเดียว รวมเป็น 384 คอร์ แม้ยังไม่เปิดเผยสถาปัตยกรรมใหม่อย่างเป็นทางการ แต่การเพิ่มประสิทธิภาพอย่างก้าวกระโดดบ่งชี้ว่า Zhaoxin กำลังพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองอย่างจริงจัง เพื่อแข่งขันกับ AMD EPYC 9004 และ Intel Xeon ✅ Zhaoxin เปิดตัวชิปใหม่ 2 รุ่นในงาน WAIC 2025 ที่เซี่ยงไฮ้ ➡️ KaiXian KX-7000N สำหรับ AI PC และ Kaisheng KH-50000 สำหรับเซิร์ฟเวอร์ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ ✅ KaiXian KX-7000N เป็นชิปแรกของ Zhaoxin ที่มี NPU ในตัว ➡️ รองรับงาน AI เช่น การรู้จำใบหน้า การเขียนเอกสารอัจฉริยะ และการสร้างภาพ ➡️ เพิ่มจำนวนคอร์และเปลี่ยนจาก PCIe 4.0 เป็น PCIe 5.0 ✅ Kaisheng KH-50000 มี 96 คอร์ และแคช L3 ขนาด 384 MB ➡️ เพิ่มจากรุ่นก่อน KH-40000 ที่มีเพียง 32 คอร์และแคช 64 MB ➡️ รองรับ 128 PCIe 5.0 lanes และ DDR5 ECC แบบ 12 ช่อง ✅ KH-50000 รองรับการเชื่อมต่อหลายชิปผ่าน ZPI 5.0 ➡️ สามารถต่อได้สูงสุด 4 ชิปต่อเมนบอร์ด รวมเป็น 384 คอร์ ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI training และ inference ในระดับองค์กร ✅ Zhaoxin ยังไม่เปิดเผยสถาปัตยกรรมใหม่ แต่คาดว่าไม่ใช่ Yongfeng รุ่นเดิม ➡️ การเพิ่มคอร์และฟีเจอร์บ่งชี้ถึงการออกแบบใหม่ ➡️ อาจเป็นก้าวสำคัญในการแข่งขันกับ AMD และ Intel https://www.techspot.com/news/108881-zhaoxin-debuts-advanced-consumer-server-chips-shanghai-conference.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Zhaoxin unveils new consumer and server CPUs aimed at challenging global semiconductor giants
    This week, Chinese semiconductor company Zhaoxin introduced its latest generation of consumer and enterprise processors at the 2025 World Artificial Intelligence Conference in Shanghai. Two new flagship...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “H20 ของ Nvidia” กลายเป็นจุดชนวนใหม่ในสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐ

    หลังจากสหรัฐฯ ยกเลิกคำสั่งห้ามส่งออกชิป H20 ของ Nvidia ไปยังจีนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยถูกแบนในเดือนเมษายนเนื่องจากข้อกังวลด้านความมั่นคง ล่าสุด Cyberspace Administration of China (CAC) ได้เรียกตัว Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับ “ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย” ของชิป H20 ที่กำลังจะกลับมาวางขายในจีน

    CAC อ้างว่าได้รับข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ของสหรัฐฯ ว่าชิป H20 อาจมีฟีเจอร์ “ติดตามตำแหน่ง” และ “ปิดการทำงานจากระยะไกล” ซึ่งอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ชาวจีน และละเมิดกฎหมายความปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ

    ด้าน Nvidia ยืนยันว่า “ไม่มี backdoor” ในชิปของตน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์อย่างสูงสุด พร้อมเตรียมส่งเอกสารชี้แจงตามคำขอของ CAC

    ขณะเดียวกัน นักการเมืองสหรัฐฯ ก็เคยเสนอให้มีการติดตั้งระบบติดตามในชิปที่ส่งออกไปต่างประเทศ เพื่อป้องกันการลักลอบนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะในจีน ซึ่งอาจนำไปใช้พัฒนา AI ทางทหารหรือระบบเซ็นเซอร์ตรวจสอบประชาชน

    จีนเรียกตัว Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของชิป H20
    CAC ต้องการเอกสารสนับสนุนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้าน backdoor และการติดตาม
    อ้างอิงจากรายงานของผู้เชี่ยวชาญ AI สหรัฐฯ

    ชิป H20 ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ โดยมีประสิทธิภาพต่ำกว่าชิป H100
    ถูกแบนในเดือนเมษายน 2025 และกลับมาขายได้ในเดือนกรกฎาคม
    Nvidia สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ตัวจาก TSMC เพื่อรองรับความต้องการในจีน

    Nvidia ยืนยันว่าไม่มี backdoor ในชิปของตน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์
    “ไม่มีช่องทางลับในการควบคุมหรือเข้าถึงจากระยะไกล”
    พร้อมส่งเอกสารชี้แจงตามคำขอของ CAC

    นักการเมืองสหรัฐฯ เสนอให้มีการติดตั้งระบบติดตามในชิปที่ส่งออกไปต่างประเทศ
    เช่น Chip Security Act ที่เสนอให้มีระบบตรวจสอบตำแหน่งและการใช้งาน
    ยังไม่มีการผ่านเป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ

    จีนยังคงต้องพึ่งพาชิปของ Nvidia สำหรับงานวิจัยและการพัฒนา AI ภายในประเทศ
    แม้จะมีการผลักดันชิปภายในประเทศ เช่น Huawei 910C
    แต่ยังไม่สามารถทดแทน Nvidia ได้ในหลายด้าน

    https://www.techspot.com/news/108886-china-summons-nvidia-over-potential-security-concerns-h20.html
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “H20 ของ Nvidia” กลายเป็นจุดชนวนใหม่ในสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐ หลังจากสหรัฐฯ ยกเลิกคำสั่งห้ามส่งออกชิป H20 ของ Nvidia ไปยังจีนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยถูกแบนในเดือนเมษายนเนื่องจากข้อกังวลด้านความมั่นคง ล่าสุด Cyberspace Administration of China (CAC) ได้เรียกตัว Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับ “ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย” ของชิป H20 ที่กำลังจะกลับมาวางขายในจีน CAC อ้างว่าได้รับข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ของสหรัฐฯ ว่าชิป H20 อาจมีฟีเจอร์ “ติดตามตำแหน่ง” และ “ปิดการทำงานจากระยะไกล” ซึ่งอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ชาวจีน และละเมิดกฎหมายความปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ ด้าน Nvidia ยืนยันว่า “ไม่มี backdoor” ในชิปของตน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์อย่างสูงสุด พร้อมเตรียมส่งเอกสารชี้แจงตามคำขอของ CAC ขณะเดียวกัน นักการเมืองสหรัฐฯ ก็เคยเสนอให้มีการติดตั้งระบบติดตามในชิปที่ส่งออกไปต่างประเทศ เพื่อป้องกันการลักลอบนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะในจีน ซึ่งอาจนำไปใช้พัฒนา AI ทางทหารหรือระบบเซ็นเซอร์ตรวจสอบประชาชน ✅ จีนเรียกตัว Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของชิป H20 ➡️ CAC ต้องการเอกสารสนับสนุนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้าน backdoor และการติดตาม ➡️ อ้างอิงจากรายงานของผู้เชี่ยวชาญ AI สหรัฐฯ ✅ ชิป H20 ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ โดยมีประสิทธิภาพต่ำกว่าชิป H100 ➡️ ถูกแบนในเดือนเมษายน 2025 และกลับมาขายได้ในเดือนกรกฎาคม ➡️ Nvidia สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ตัวจาก TSMC เพื่อรองรับความต้องการในจีน ✅ Nvidia ยืนยันว่าไม่มี backdoor ในชิปของตน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์ ➡️ “ไม่มีช่องทางลับในการควบคุมหรือเข้าถึงจากระยะไกล” ➡️ พร้อมส่งเอกสารชี้แจงตามคำขอของ CAC ✅ นักการเมืองสหรัฐฯ เสนอให้มีการติดตั้งระบบติดตามในชิปที่ส่งออกไปต่างประเทศ ➡️ เช่น Chip Security Act ที่เสนอให้มีระบบตรวจสอบตำแหน่งและการใช้งาน ➡️ ยังไม่มีการผ่านเป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ ✅ จีนยังคงต้องพึ่งพาชิปของ Nvidia สำหรับงานวิจัยและการพัฒนา AI ภายในประเทศ ➡️ แม้จะมีการผลักดันชิปภายในประเทศ เช่น Huawei 910C ➡️ แต่ยังไม่สามารถทดแทน Nvidia ได้ในหลายด้าน https://www.techspot.com/news/108886-china-summons-nvidia-over-potential-security-concerns-h20.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    China summons Nvidia over potential security concerns in H20 chips
    The Cyberspace Administration of China (CAC) said that Nvidia was asked to "clarify and submit relevant supporting documentation regarding security risks, including potential vulnerabilities and backdoors, associated...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “ดูว่าใครแชร์อะไร กับใคร เมื่อไหร่”—Microsoft Teams เปิดให้ตรวจสอบการแชร์หน้าจอแล้ว

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 Microsoft ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft Teams ที่ให้ผู้ดูแลระบบ (Teams admins) เข้าถึงข้อมูล telemetry และ audit logs สำหรับการแชร์หน้าจอ (screen sharing) และการควบคุมหน้าจอ (Take/Give/Request control) ได้โดยตรงผ่าน Microsoft Purview

    ข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้ ได้แก่:
    - ใครเริ่มแชร์หน้าจอ และเมื่อไหร่
    - แชร์ให้ใครดู
    - ใครขอควบคุมหน้าจอ และใครอนุญาต
    - เวลาเริ่มและหยุดการแชร์
    - การยอมรับคำขอควบคุมหน้าจอ

    ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบพฤติกรรมต้องสงสัย เช่น การแชร์ข้อมูลลับกับบุคคลภายนอก หรือการเข้าควบคุมหน้าจอโดยไม่ได้รับอนุญาต

    การใช้งานทำได้ผ่าน Microsoft Purview โดยเลือกเมนู Audit → New Search แล้วกรอกคำค้น เช่น “screenShared” หรือ “MeetingParticipantDetail” เพื่อดูข้อมูลย้อนหลัง และสามารถ export เป็นไฟล์ CSV ได้

    Microsoft เปิดให้ Teams admins เข้าถึง audit logs สำหรับการแชร์หน้าจอผ่าน Microsoft Purview
    ตรวจสอบได้ว่าใครแชร์หน้าจอ, แชร์ให้ใคร, และเมื่อไหร่
    รองรับการตรวจสอบคำสั่ง Take, Give, Request control

    ข้อมูล telemetry ช่วยให้ตรวจสอบพฤติกรรมต้องสงสัยได้แบบละเอียด
    เช่น การแชร์ข้อมูลลับกับบุคคลภายนอก
    หรือการควบคุมหน้าจอโดยไม่ได้รับอนุญาต

    การใช้งานทำผ่าน Microsoft Purview โดยเลือก Audit → New Search
    ใช้คำค้น “screenShared” หรือ “MeetingParticipantDetail”
    สามารถ export ข้อมูลเป็น CSV ได้

    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานแล้วสำหรับผู้ดูแลระบบทุกคน
    ไม่จำกัดเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่
    ใช้ได้ทั้งใน Teams เวอร์ชัน desktop, web และ mobile

    Microsoft Purview เป็นแพลตฟอร์มรวมสำหรับการจัดการความปลอดภัยของข้อมูล
    รองรับการตรวจสอบ, ป้องกันการรั่วไหล, และการเข้ารหัสข้อมูล
    ใช้ร่วมกับ Microsoft 365, Edge, Windows/macOS และเครือข่าย HTTPS

    ฟีเจอร์ “Detect sensitive content during screen sharing” ช่วยแจ้งเตือนเมื่อมีข้อมูลลับปรากฏบนหน้าจอ
    เช่น หมายเลขบัตรเครดิต, เลขประจำตัวประชาชน, หรือข้อมูลภาษี
    ผู้ใช้จะได้รับแจ้งเตือนและสามารถหยุดการแชร์ได้ทันที

    Microsoft Purview รองรับการป้องกันข้อมูลด้วย sensitivity labels และ Double Key Encryption
    ช่วยให้ข้อมูลถูกเข้ารหัสและควบคุมการเข้าถึงได้ตามระดับความลับ
    เหมาะกับองค์กรที่ต้องการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและกฎหมาย

    การเปิดเผยข้อมูล telemetry อาจถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ได้ หากไม่มีการควบคุมสิทธิ์อย่างเหมาะสม
    ผู้ดูแลระบบที่ไม่มีจรรยาบรรณอาจใช้ข้อมูลเพื่อสอดแนมหรือกดดันพนักงาน
    ควรมีการกำหนดสิทธิ์และนโยบายการเข้าถึงอย่างชัดเจน

    การแชร์หน้าจอโดยไม่ระวังอาจทำให้ข้อมูลลับรั่วไหลได้ง่าย
    เช่น การเปิดเอกสารภายในหรือข้อมูลลูกค้าระหว่างประชุมกับบุคคลภายนอก
    ควรมีการแจ้งเตือนหรือระบบตรวจจับเนื้อหาลับระหว่างการแชร์

    การใช้ฟีเจอร์นี้ต้องเปิด auditing ใน Microsoft Purview ก่อน
    หากไม่ได้เปิด auditing จะไม่สามารถดูข้อมูลย้อนหลังได้
    ข้อมูลจะถูกเก็บตั้งแต่วันที่เปิด auditing เท่านั้น

    การตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังมีข้อจำกัดตามระดับ license ของ Microsoft 365
    ระยะเวลาการเก็บข้อมูล audit log ขึ้นอยู่กับประเภท license
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลย้อนหลังได้ครบถ้วน

    https://www.neowin.net/news/teams-admins-will-now-be-able-to-see-telemetry-for-screen-sharing/
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “ดูว่าใครแชร์อะไร กับใคร เมื่อไหร่”—Microsoft Teams เปิดให้ตรวจสอบการแชร์หน้าจอแล้ว ในเดือนกรกฎาคม 2025 Microsoft ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft Teams ที่ให้ผู้ดูแลระบบ (Teams admins) เข้าถึงข้อมูล telemetry และ audit logs สำหรับการแชร์หน้าจอ (screen sharing) และการควบคุมหน้าจอ (Take/Give/Request control) ได้โดยตรงผ่าน Microsoft Purview ข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้ ได้แก่: - ใครเริ่มแชร์หน้าจอ และเมื่อไหร่ - แชร์ให้ใครดู - ใครขอควบคุมหน้าจอ และใครอนุญาต - เวลาเริ่มและหยุดการแชร์ - การยอมรับคำขอควบคุมหน้าจอ ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบพฤติกรรมต้องสงสัย เช่น การแชร์ข้อมูลลับกับบุคคลภายนอก หรือการเข้าควบคุมหน้าจอโดยไม่ได้รับอนุญาต การใช้งานทำได้ผ่าน Microsoft Purview โดยเลือกเมนู Audit → New Search แล้วกรอกคำค้น เช่น “screenShared” หรือ “MeetingParticipantDetail” เพื่อดูข้อมูลย้อนหลัง และสามารถ export เป็นไฟล์ CSV ได้ ✅ Microsoft เปิดให้ Teams admins เข้าถึง audit logs สำหรับการแชร์หน้าจอผ่าน Microsoft Purview ➡️ ตรวจสอบได้ว่าใครแชร์หน้าจอ, แชร์ให้ใคร, และเมื่อไหร่ ➡️ รองรับการตรวจสอบคำสั่ง Take, Give, Request control ✅ ข้อมูล telemetry ช่วยให้ตรวจสอบพฤติกรรมต้องสงสัยได้แบบละเอียด ➡️ เช่น การแชร์ข้อมูลลับกับบุคคลภายนอก ➡️ หรือการควบคุมหน้าจอโดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ การใช้งานทำผ่าน Microsoft Purview โดยเลือก Audit → New Search ➡️ ใช้คำค้น “screenShared” หรือ “MeetingParticipantDetail” ➡️ สามารถ export ข้อมูลเป็น CSV ได้ ✅ ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานแล้วสำหรับผู้ดูแลระบบทุกคน ➡️ ไม่จำกัดเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ ใช้ได้ทั้งใน Teams เวอร์ชัน desktop, web และ mobile ✅ Microsoft Purview เป็นแพลตฟอร์มรวมสำหรับการจัดการความปลอดภัยของข้อมูล ➡️ รองรับการตรวจสอบ, ป้องกันการรั่วไหล, และการเข้ารหัสข้อมูล ➡️ ใช้ร่วมกับ Microsoft 365, Edge, Windows/macOS และเครือข่าย HTTPS ✅ ฟีเจอร์ “Detect sensitive content during screen sharing” ช่วยแจ้งเตือนเมื่อมีข้อมูลลับปรากฏบนหน้าจอ ➡️ เช่น หมายเลขบัตรเครดิต, เลขประจำตัวประชาชน, หรือข้อมูลภาษี ➡️ ผู้ใช้จะได้รับแจ้งเตือนและสามารถหยุดการแชร์ได้ทันที ✅ Microsoft Purview รองรับการป้องกันข้อมูลด้วย sensitivity labels และ Double Key Encryption ➡️ ช่วยให้ข้อมูลถูกเข้ารหัสและควบคุมการเข้าถึงได้ตามระดับความลับ ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ต้องการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและกฎหมาย ‼️ การเปิดเผยข้อมูล telemetry อาจถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ได้ หากไม่มีการควบคุมสิทธิ์อย่างเหมาะสม ⛔ ผู้ดูแลระบบที่ไม่มีจรรยาบรรณอาจใช้ข้อมูลเพื่อสอดแนมหรือกดดันพนักงาน ⛔ ควรมีการกำหนดสิทธิ์และนโยบายการเข้าถึงอย่างชัดเจน ‼️ การแชร์หน้าจอโดยไม่ระวังอาจทำให้ข้อมูลลับรั่วไหลได้ง่าย ⛔ เช่น การเปิดเอกสารภายในหรือข้อมูลลูกค้าระหว่างประชุมกับบุคคลภายนอก ⛔ ควรมีการแจ้งเตือนหรือระบบตรวจจับเนื้อหาลับระหว่างการแชร์ ‼️ การใช้ฟีเจอร์นี้ต้องเปิด auditing ใน Microsoft Purview ก่อน ⛔ หากไม่ได้เปิด auditing จะไม่สามารถดูข้อมูลย้อนหลังได้ ⛔ ข้อมูลจะถูกเก็บตั้งแต่วันที่เปิด auditing เท่านั้น ‼️ การตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังมีข้อจำกัดตามระดับ license ของ Microsoft 365 ⛔ ระยะเวลาการเก็บข้อมูล audit log ขึ้นอยู่กับประเภท license ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลย้อนหลังได้ครบถ้วน https://www.neowin.net/news/teams-admins-will-now-be-able-to-see-telemetry-for-screen-sharing/
    WWW.NEOWIN.NET
    Teams admins will now be able to see telemetry for screen sharing
    To improve the cybersecurity posture of an organization, Microsoft is introducing audit logs for screen sharing sessions, accessible through Purview.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “Man in the Prompt” เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยโจรกรรมข้อมูล

    นักวิจัยจากบริษัท LayerX ค้นพบช่องโหว่ใหม่ที่เรียกว่า “Man in the Prompt” ซึ่งอาศัยความจริงที่ว่า ช่องใส่คำสั่ง (prompt input) ของ AI บนเว็บเบราว์เซอร์เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างหน้าเว็บ (Document Object Model หรือ DOM) นั่นหมายความว่า ส่วนเสริมใด ๆ ที่เข้าถึง DOM ได้ ก็สามารถอ่านหรือเขียนคำสั่งลงในช่อง prompt ได้ทันที—even ถ้าไม่มีสิทธิ์พิเศษ!

    แฮกเกอร์สามารถใช้ส่วนเสริมที่เป็นอันตราย (หรือซื้อสิทธิ์จากส่วนเสริมที่มีอยู่แล้ว) เพื่อแอบแฝงคำสั่งลับ, ดึงข้อมูลจากคำตอบของ AI, หรือแม้แต่ลบประวัติการสนทนาเพื่อไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว

    LayerX ได้ทดลองโจมตีจริงกับ ChatGPT และ Google Gemini โดยใช้ส่วนเสริมที่ดูไม่มีพิษภัย แต่สามารถเปิดแท็บลับ, ส่งคำสั่งไปยัง AI, ดึงข้อมูลออก และลบหลักฐานทั้งหมด

    สิ่งที่น่ากลัวคือ AI เหล่านี้มักถูกใช้ในองค์กรเพื่อประมวลผลข้อมูลลับ เช่น เอกสารภายใน, แผนธุรกิจ, หรือรหัสโปรแกรม—ซึ่งอาจถูกขโมยไปโดยไม่รู้ตัว

    “Man in the Prompt” คือการโจมตีผ่านส่วนเสริมเบราว์เซอร์ที่แอบแฝงคำสั่งในช่อง prompt ของ AI
    ใช้ช่องโหว่ของ DOM ที่เปิดให้ส่วนเสริมเข้าถึงข้อมูลในหน้าเว็บ
    ไม่ต้องใช้สิทธิ์พิเศษก็สามารถอ่าน/เขียนคำสั่งได้

    AI ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ ChatGPT, Gemini, Claude, Copilot และ Deepseek
    ทั้ง AI เชิงพาณิชย์และ AI ภายในองค์กร
    มีการทดสอบจริงและแสดงผลสำเร็จ

    ส่วนเสริมสามารถแอบส่งคำสั่ง, ดึงข้อมูล, และลบประวัติการสนทนาได้
    เช่น เปิดแท็บลับ, ส่งคำสั่งไปยัง ChatGPT, ดึงผลลัพธ์, แล้วลบแชท
    Gemini สามารถถูกโจมตีผ่าน sidebar ที่เชื่อมกับ Google Workspace

    ข้อมูลที่เสี่ยงต่อการรั่วไหล ได้แก่ อีเมล, เอกสาร, รหัส, แผนธุรกิจ และทรัพย์สินทางปัญญา
    โดยเฉพาะ AI ภายในองค์กรที่ฝึกด้วยข้อมูลลับ
    มีความเชื่อมั่นสูงแต่ขาดระบบป้องกันคำสั่งแฝง

    LayerX แนะนำให้ตรวจสอบพฤติกรรม DOM ของส่วนเสริมแทนการดูแค่สิทธิ์ที่ประกาศไว้
    ปรับระบบความปลอดภัยให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงใน DOM
    ป้องกันการแอบแฝงคำสั่งและการดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์

    ส่วนเสริมที่ดูปลอดภัยอาจถูกแฮกหรือซื้อสิทธิ์ไปใช้โจมตีได้
    เช่น ส่วนเสริมที่มีฟีเจอร์จัดการ prompt อาจถูกใช้เพื่อแอบแฝงคำสั่ง
    ไม่ต้องมีการติดตั้งใหม่หรืออนุญาตใด ๆ จากผู้ใช้

    ระบบความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับการโจมตีในระดับ DOM ได้
    เช่น DLP หรือ Secure Web Gateway ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใน DOM
    การบล็อก URL ของ AI ไม่ช่วยป้องกันการโจมตีภายในเบราว์เซอร์

    องค์กรที่อนุญาตให้ติดตั้งส่วนเสริมอย่างเสรีมีความเสี่ยงสูงมาก
    พนักงานอาจติดตั้งส่วนเสริมที่เป็นอันตรายโดยไม่รู้ตัว
    ข้อมูลภายในองค์กรอาจถูกขโมยผ่าน AI ที่เชื่อมกับเบราว์เซอร์

    AI ที่ฝึกด้วยข้อมูลลับภายในองค์กรมีความเสี่ยงสูงสุด
    เช่น ข้อมูลทางกฎหมาย, การเงิน, หรือกลยุทธ์
    หากถูกดึงออกผ่าน prompt จะไม่มีทางรู้ตัวเลย

    https://hackread.com/browser-extensions-exploit-chatgpt-gemini-man-in-the-prompt/
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “Man in the Prompt” เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยโจรกรรมข้อมูล นักวิจัยจากบริษัท LayerX ค้นพบช่องโหว่ใหม่ที่เรียกว่า “Man in the Prompt” ซึ่งอาศัยความจริงที่ว่า ช่องใส่คำสั่ง (prompt input) ของ AI บนเว็บเบราว์เซอร์เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างหน้าเว็บ (Document Object Model หรือ DOM) นั่นหมายความว่า ส่วนเสริมใด ๆ ที่เข้าถึง DOM ได้ ก็สามารถอ่านหรือเขียนคำสั่งลงในช่อง prompt ได้ทันที—even ถ้าไม่มีสิทธิ์พิเศษ! แฮกเกอร์สามารถใช้ส่วนเสริมที่เป็นอันตราย (หรือซื้อสิทธิ์จากส่วนเสริมที่มีอยู่แล้ว) เพื่อแอบแฝงคำสั่งลับ, ดึงข้อมูลจากคำตอบของ AI, หรือแม้แต่ลบประวัติการสนทนาเพื่อไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว LayerX ได้ทดลองโจมตีจริงกับ ChatGPT และ Google Gemini โดยใช้ส่วนเสริมที่ดูไม่มีพิษภัย แต่สามารถเปิดแท็บลับ, ส่งคำสั่งไปยัง AI, ดึงข้อมูลออก และลบหลักฐานทั้งหมด สิ่งที่น่ากลัวคือ AI เหล่านี้มักถูกใช้ในองค์กรเพื่อประมวลผลข้อมูลลับ เช่น เอกสารภายใน, แผนธุรกิจ, หรือรหัสโปรแกรม—ซึ่งอาจถูกขโมยไปโดยไม่รู้ตัว ✅ “Man in the Prompt” คือการโจมตีผ่านส่วนเสริมเบราว์เซอร์ที่แอบแฝงคำสั่งในช่อง prompt ของ AI ➡️ ใช้ช่องโหว่ของ DOM ที่เปิดให้ส่วนเสริมเข้าถึงข้อมูลในหน้าเว็บ ➡️ ไม่ต้องใช้สิทธิ์พิเศษก็สามารถอ่าน/เขียนคำสั่งได้ ✅ AI ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ ChatGPT, Gemini, Claude, Copilot และ Deepseek ➡️ ทั้ง AI เชิงพาณิชย์และ AI ภายในองค์กร ➡️ มีการทดสอบจริงและแสดงผลสำเร็จ ✅ ส่วนเสริมสามารถแอบส่งคำสั่ง, ดึงข้อมูล, และลบประวัติการสนทนาได้ ➡️ เช่น เปิดแท็บลับ, ส่งคำสั่งไปยัง ChatGPT, ดึงผลลัพธ์, แล้วลบแชท ➡️ Gemini สามารถถูกโจมตีผ่าน sidebar ที่เชื่อมกับ Google Workspace ✅ ข้อมูลที่เสี่ยงต่อการรั่วไหล ได้แก่ อีเมล, เอกสาร, รหัส, แผนธุรกิจ และทรัพย์สินทางปัญญา ➡️ โดยเฉพาะ AI ภายในองค์กรที่ฝึกด้วยข้อมูลลับ ➡️ มีความเชื่อมั่นสูงแต่ขาดระบบป้องกันคำสั่งแฝง ✅ LayerX แนะนำให้ตรวจสอบพฤติกรรม DOM ของส่วนเสริมแทนการดูแค่สิทธิ์ที่ประกาศไว้ ➡️ ปรับระบบความปลอดภัยให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงใน DOM ➡️ ป้องกันการแอบแฝงคำสั่งและการดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ‼️ ส่วนเสริมที่ดูปลอดภัยอาจถูกแฮกหรือซื้อสิทธิ์ไปใช้โจมตีได้ ⛔ เช่น ส่วนเสริมที่มีฟีเจอร์จัดการ prompt อาจถูกใช้เพื่อแอบแฝงคำสั่ง ⛔ ไม่ต้องมีการติดตั้งใหม่หรืออนุญาตใด ๆ จากผู้ใช้ ‼️ ระบบความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับการโจมตีในระดับ DOM ได้ ⛔ เช่น DLP หรือ Secure Web Gateway ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใน DOM ⛔ การบล็อก URL ของ AI ไม่ช่วยป้องกันการโจมตีภายในเบราว์เซอร์ ‼️ องค์กรที่อนุญาตให้ติดตั้งส่วนเสริมอย่างเสรีมีความเสี่ยงสูงมาก ⛔ พนักงานอาจติดตั้งส่วนเสริมที่เป็นอันตรายโดยไม่รู้ตัว ⛔ ข้อมูลภายในองค์กรอาจถูกขโมยผ่าน AI ที่เชื่อมกับเบราว์เซอร์ ‼️ AI ที่ฝึกด้วยข้อมูลลับภายในองค์กรมีความเสี่ยงสูงสุด ⛔ เช่น ข้อมูลทางกฎหมาย, การเงิน, หรือกลยุทธ์ ⛔ หากถูกดึงออกผ่าน prompt จะไม่มีทางรู้ตัวเลย https://hackread.com/browser-extensions-exploit-chatgpt-gemini-man-in-the-prompt/
    HACKREAD.COM
    Browser Extensions Can Exploit ChatGPT, Gemini in ‘Man in the Prompt’ Attack
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามโค้ด: เมื่อ vibe coding คือการรูดบัตรเครดิตโดยไม่รู้ยอดหนี้

    “Vibe coding” เป็นคำที่ Andrej Karpathy นิยามไว้ในต้นปี 2025 หมายถึงการเขียนโค้ดด้วย AI โดยไม่ต้องเข้าใจโค้ดทั้งหมด—แค่บอกสิ่งที่ต้องการ แล้วปล่อยให้ LLM (เช่น GPT-4 หรือ Claude) สร้างโค้ดให้เอง

    มันเหมาะกับการสร้างโปรเจกต์เล็ก ๆ หรือแอปต้นแบบที่ไม่ต้องดูแลระยะยาว เช่น แอปคำนวณ, เกมเล็ก ๆ, หรือเครื่องมือส่วนตัว เพราะเร็วและไม่ต้องลงแรงมาก

    แต่เมื่อ vibe coding ถูกใช้กับโปรเจกต์ใหญ่หรือระบบที่ต้องดูแลต่อเนื่อง มันกลายเป็น “legacy code” ที่ไม่มีใครเข้าใจ และนำไปสู่ “หนี้เทคโนโลยี” ที่ต้องจ่ายคืนด้วยเวลาและแรงงานมหาศาลในอนาคต

    Vibe coding คือการเขียนโค้ดด้วย AI โดยไม่ต้องเข้าใจโค้ดทั้งหมด
    ใช้ LLM สร้างโค้ดจากคำสั่งธรรมดา เช่น “สร้างเว็บแสดงข้อมูลประชากรตามเมือง”
    ผู้ใช้ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ ไม่ใช่ผู้เขียนโค้ดโดยตรง

    เหมาะกับโปรเจกต์ต้นแบบหรือแอปที่ไม่ต้องดูแลระยะยาว
    เช่น แอปคำนวณ, เกมเล็ก ๆ, หรือเครื่องมือส่วนตัว
    ไม่ต้องเข้าใจโค้ดลึก เพราะไม่ต้องแก้ไขหรือขยายในอนาคต

    Vibe coding ทำให้คนทั่วไปสามารถสร้างซอฟต์แวร์ได้โดยไม่ต้องเรียนเขียนโค้ด
    เป็นการ democratize การพัฒนาโปรแกรม
    ลดเวลาและต้นทุนในการสร้าง MVP หรือไอเดียใหม่

    แต่เมื่อใช้กับโปรเจกต์จริง จะเกิด “หนี้เทคโนโลยี” (technical debt)
    โค้ดที่ไม่มีโครงสร้างชัดเจน, ไม่มีเอกสาร, และไม่มีการทดสอบ
    ยากต่อการแก้ไข, ขยาย, หรือ debug ในอนาคต

    นักพัฒนาบางคนใช้ vibe coding แบบมีสติ—ให้ AI ช่วยเฉพาะจุด และตรวจสอบทุกบรรทัด
    ใช้ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้แทน
    เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำและความปลอดภัย

    เครื่องมืออย่าง Townie, Cursor, และ Bugbot ถูกสร้างขึ้นเพื่อควบคุมคุณภาพของ vibe coding
    ตรวจสอบโค้ดอัตโนมัติ, แนะนำการแก้ไข, และลดข้อผิดพลาด
    ช่วยให้ vibe coding ปลอดภัยขึ้นในระดับองค์กร

    การใช้ vibe coding โดยไม่เข้าใจโค้ด อาจนำไปสู่ระบบที่ไม่มีใครดูแลได้
    เมื่อเกิดปัญหา จะไม่มีใครรู้ว่าจะแก้ตรงไหน
    ต้องพึ่ง AI ในการแก้ไข ซึ่งอาจทำให้ปัญหาซับซ้อนขึ้น

    หนี้เทคโนโลยีจาก vibe coding อาจสะสมจนทำให้โครงการล่ม
    โค้ดที่ดูดีภายนอกอาจมีปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน
    การ refactor หรือ rewrite อาจใช้เวลามากกว่าการเขียนใหม่ตั้งแต่ต้น

    ผู้ใช้ที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโค้ดอาจเข้าใจผิดว่า AI สร้างโค้ดที่ “ดีพอ” แล้ว
    ขาดการตรวจสอบความปลอดภัย, ประสิทธิภาพ, และความสามารถในการขยาย
    อาจเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหรือข้อมูลรั่วไหล

    การใช้ vibe coding ในระบบที่ต้องดูแลต่อเนื่องควรมีแนวทางควบคุมที่ชัดเจน
    ต้องมีการตรวจสอบโค้ด, เขียนเอกสาร, และทดสอบอย่างสม่ำเสมอ
    ไม่ควรใช้ AI แทนมนุษย์ในทุกขั้นตอนของการพัฒนา

    ถ้าอยากให้ผมช่วยวางแนวทางการใช้ vibe coding อย่างปลอดภัยในองค์กร หรือเปรียบเทียบเครื่องมือช่วยตรวจสอบโค้ด AI เช่น Bugbot, Cursor, หรือ GitHub Copilot ผมพร้อมเจาะลึกให้คุณได้เลยครับ

    https://blog.val.town/vibe-code
    🧠 เรื่องเล่าจากสนามโค้ด: เมื่อ vibe coding คือการรูดบัตรเครดิตโดยไม่รู้ยอดหนี้ “Vibe coding” เป็นคำที่ Andrej Karpathy นิยามไว้ในต้นปี 2025 หมายถึงการเขียนโค้ดด้วย AI โดยไม่ต้องเข้าใจโค้ดทั้งหมด—แค่บอกสิ่งที่ต้องการ แล้วปล่อยให้ LLM (เช่น GPT-4 หรือ Claude) สร้างโค้ดให้เอง มันเหมาะกับการสร้างโปรเจกต์เล็ก ๆ หรือแอปต้นแบบที่ไม่ต้องดูแลระยะยาว เช่น แอปคำนวณ, เกมเล็ก ๆ, หรือเครื่องมือส่วนตัว เพราะเร็วและไม่ต้องลงแรงมาก แต่เมื่อ vibe coding ถูกใช้กับโปรเจกต์ใหญ่หรือระบบที่ต้องดูแลต่อเนื่อง มันกลายเป็น “legacy code” ที่ไม่มีใครเข้าใจ และนำไปสู่ “หนี้เทคโนโลยี” ที่ต้องจ่ายคืนด้วยเวลาและแรงงานมหาศาลในอนาคต ✅ Vibe coding คือการเขียนโค้ดด้วย AI โดยไม่ต้องเข้าใจโค้ดทั้งหมด ➡️ ใช้ LLM สร้างโค้ดจากคำสั่งธรรมดา เช่น “สร้างเว็บแสดงข้อมูลประชากรตามเมือง” ➡️ ผู้ใช้ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ ไม่ใช่ผู้เขียนโค้ดโดยตรง ✅ เหมาะกับโปรเจกต์ต้นแบบหรือแอปที่ไม่ต้องดูแลระยะยาว ➡️ เช่น แอปคำนวณ, เกมเล็ก ๆ, หรือเครื่องมือส่วนตัว ➡️ ไม่ต้องเข้าใจโค้ดลึก เพราะไม่ต้องแก้ไขหรือขยายในอนาคต ✅ Vibe coding ทำให้คนทั่วไปสามารถสร้างซอฟต์แวร์ได้โดยไม่ต้องเรียนเขียนโค้ด ➡️ เป็นการ democratize การพัฒนาโปรแกรม ➡️ ลดเวลาและต้นทุนในการสร้าง MVP หรือไอเดียใหม่ ✅ แต่เมื่อใช้กับโปรเจกต์จริง จะเกิด “หนี้เทคโนโลยี” (technical debt) ➡️ โค้ดที่ไม่มีโครงสร้างชัดเจน, ไม่มีเอกสาร, และไม่มีการทดสอบ ➡️ ยากต่อการแก้ไข, ขยาย, หรือ debug ในอนาคต ✅ นักพัฒนาบางคนใช้ vibe coding แบบมีสติ—ให้ AI ช่วยเฉพาะจุด และตรวจสอบทุกบรรทัด ➡️ ใช้ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้แทน ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำและความปลอดภัย ✅ เครื่องมืออย่าง Townie, Cursor, และ Bugbot ถูกสร้างขึ้นเพื่อควบคุมคุณภาพของ vibe coding ➡️ ตรวจสอบโค้ดอัตโนมัติ, แนะนำการแก้ไข, และลดข้อผิดพลาด ➡️ ช่วยให้ vibe coding ปลอดภัยขึ้นในระดับองค์กร ‼️ การใช้ vibe coding โดยไม่เข้าใจโค้ด อาจนำไปสู่ระบบที่ไม่มีใครดูแลได้ ⛔ เมื่อเกิดปัญหา จะไม่มีใครรู้ว่าจะแก้ตรงไหน ⛔ ต้องพึ่ง AI ในการแก้ไข ซึ่งอาจทำให้ปัญหาซับซ้อนขึ้น ‼️ หนี้เทคโนโลยีจาก vibe coding อาจสะสมจนทำให้โครงการล่ม ⛔ โค้ดที่ดูดีภายนอกอาจมีปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน ⛔ การ refactor หรือ rewrite อาจใช้เวลามากกว่าการเขียนใหม่ตั้งแต่ต้น ‼️ ผู้ใช้ที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโค้ดอาจเข้าใจผิดว่า AI สร้างโค้ดที่ “ดีพอ” แล้ว ⛔ ขาดการตรวจสอบความปลอดภัย, ประสิทธิภาพ, และความสามารถในการขยาย ⛔ อาจเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหรือข้อมูลรั่วไหล ‼️ การใช้ vibe coding ในระบบที่ต้องดูแลต่อเนื่องควรมีแนวทางควบคุมที่ชัดเจน ⛔ ต้องมีการตรวจสอบโค้ด, เขียนเอกสาร, และทดสอบอย่างสม่ำเสมอ ⛔ ไม่ควรใช้ AI แทนมนุษย์ในทุกขั้นตอนของการพัฒนา ถ้าอยากให้ผมช่วยวางแนวทางการใช้ vibe coding อย่างปลอดภัยในองค์กร หรือเปรียบเทียบเครื่องมือช่วยตรวจสอบโค้ด AI เช่น Bugbot, Cursor, หรือ GitHub Copilot ผมพร้อมเจาะลึกให้คุณได้เลยครับ 🤖🧠💻 https://blog.val.town/vibe-code
    BLOG.VAL.TOWN
    Vibe code is legacy code
    Updates and articles from the Val Town team
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องประชุม: เมื่อ AI กลายเป็นดาบสองคมในยุคปลดพนักงาน

    ในปี 2025 หลายบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น Microsoft, Google, Meta, Autodesk, CrowdStrike และ TCS ต่างประกาศปลดพนักงานหลายหมื่นคน โดยมักอ้างว่าเป็นการ “ปรับโครงสร้างเพื่อเข้าสู่ยุค AI” แต่รายงานจาก Indeed และนักเศรษฐศาสตร์กลับชี้ว่า AI ไม่ใช่สาเหตุเดียว—เศรษฐกิจโดยรวมก็ชะลอตัวเช่นกัน

    ซีอีโอหลายคนใช้ “AI pivot” เป็นภาษาสวยหรูในอีเมลปลดพนักงาน เช่น “เรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของนวัตกรรม” หรือ “AI จะช่วยให้เราทำงานได้เร็วขึ้น” แต่ในความเป็นจริง หลายตำแหน่งถูกตัดเพื่อโยกงบไปลงทุนในศูนย์ข้อมูล ชิป และทีม AI โดยเฉพาะ

    ที่น่ากังวลคือ ตำแหน่งที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ “ระดับเริ่มต้น” เช่น งานด้านการตลาด การช่วยเหลือธุรการ และ HR ซึ่ง AI สามารถทำงานแทนได้ง่าย ส่วนผู้ที่มีทักษะ AI กลับได้รับข้อเสนอเงินเดือนสูงขึ้น และมีโอกาสมากกว่า

    บริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกปลดพนักงานหลายหมื่นคนในปี 2025
    Microsoft ปลด 15,000 คน แม้กำไรเพิ่มขึ้น
    TCS ปลด 12,000 คนเพื่อปรับองค์กรสู่ “Future-Ready”
    Autodesk, CrowdStrike, Indeed, Meta และ Google ก็ปลดพนักงานพร้อมเพิ่มงบ AI

    ซีอีโอใช้ “AI pivot” เป็นเหตุผลในการปลดพนักงาน
    อ้างว่า AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและนวัตกรรม
    ใช้ภาษาสวยงามเพื่อปลอบใจพนักงานและสร้างภาพลักษณ์ต่อวอลล์สตรีท

    AI spending เป็นปัจจัยหลักมากกว่าการแทนที่คนโดยตรง
    บริษัทลงทุนมหาศาลในศูนย์ข้อมูล ชิป และทีม AI
    Google เพิ่มงบลงทุนอีก 10 พันล้านดอลลาร์ รวมเป็น 85 พันล้านดอลลาร์

    ตำแหน่งที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือระดับเริ่มต้น
    งานด้านการตลาด, HR, ผู้ช่วย, และบริการลูกค้า
    งานที่ซ้ำซ้อนและใช้เอกสารเป็นหลักถูกแทนที่ด้วย AI ได้ง่าย

    ตำแหน่งที่มีทักษะ AI กลับได้รับข้อเสนอสูงขึ้น
    ผู้เชี่ยวชาญด้าน machine learning และ prompt engineering มีความต้องการสูง
    Meta เสนอแพ็คเกจเงินเดือนสูงเพื่อดึงตัวนักวิทยาศาสตร์ AI จาก OpenAI

    AI ยังสร้างงานใหม่ในหลายสาขานอกเทคโนโลยี
    งานด้านการตลาด, การศึกษา, การผลิต และบริการลูกค้า
    ทักษะ AI กลายเป็น “สินทรัพย์” ที่เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ยถึง $18,000 ต่อปี

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/is-ai-causing-tech-worker-layoffs-that039s-what-ceos-suggest-but-the-reality-is-complicated
    🧠 เรื่องเล่าจากห้องประชุม: เมื่อ AI กลายเป็นดาบสองคมในยุคปลดพนักงาน ในปี 2025 หลายบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น Microsoft, Google, Meta, Autodesk, CrowdStrike และ TCS ต่างประกาศปลดพนักงานหลายหมื่นคน โดยมักอ้างว่าเป็นการ “ปรับโครงสร้างเพื่อเข้าสู่ยุค AI” แต่รายงานจาก Indeed และนักเศรษฐศาสตร์กลับชี้ว่า AI ไม่ใช่สาเหตุเดียว—เศรษฐกิจโดยรวมก็ชะลอตัวเช่นกัน ซีอีโอหลายคนใช้ “AI pivot” เป็นภาษาสวยหรูในอีเมลปลดพนักงาน เช่น “เรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของนวัตกรรม” หรือ “AI จะช่วยให้เราทำงานได้เร็วขึ้น” แต่ในความเป็นจริง หลายตำแหน่งถูกตัดเพื่อโยกงบไปลงทุนในศูนย์ข้อมูล ชิป และทีม AI โดยเฉพาะ ที่น่ากังวลคือ ตำแหน่งที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ “ระดับเริ่มต้น” เช่น งานด้านการตลาด การช่วยเหลือธุรการ และ HR ซึ่ง AI สามารถทำงานแทนได้ง่าย ส่วนผู้ที่มีทักษะ AI กลับได้รับข้อเสนอเงินเดือนสูงขึ้น และมีโอกาสมากกว่า ✅ บริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกปลดพนักงานหลายหมื่นคนในปี 2025 ➡️ Microsoft ปลด 15,000 คน แม้กำไรเพิ่มขึ้น ➡️ TCS ปลด 12,000 คนเพื่อปรับองค์กรสู่ “Future-Ready” ➡️ Autodesk, CrowdStrike, Indeed, Meta และ Google ก็ปลดพนักงานพร้อมเพิ่มงบ AI ✅ ซีอีโอใช้ “AI pivot” เป็นเหตุผลในการปลดพนักงาน ➡️ อ้างว่า AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและนวัตกรรม ➡️ ใช้ภาษาสวยงามเพื่อปลอบใจพนักงานและสร้างภาพลักษณ์ต่อวอลล์สตรีท ✅ AI spending เป็นปัจจัยหลักมากกว่าการแทนที่คนโดยตรง ➡️ บริษัทลงทุนมหาศาลในศูนย์ข้อมูล ชิป และทีม AI ➡️ Google เพิ่มงบลงทุนอีก 10 พันล้านดอลลาร์ รวมเป็น 85 พันล้านดอลลาร์ ✅ ตำแหน่งที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือระดับเริ่มต้น ➡️ งานด้านการตลาด, HR, ผู้ช่วย, และบริการลูกค้า ➡️ งานที่ซ้ำซ้อนและใช้เอกสารเป็นหลักถูกแทนที่ด้วย AI ได้ง่าย ✅ ตำแหน่งที่มีทักษะ AI กลับได้รับข้อเสนอสูงขึ้น ➡️ ผู้เชี่ยวชาญด้าน machine learning และ prompt engineering มีความต้องการสูง ➡️ Meta เสนอแพ็คเกจเงินเดือนสูงเพื่อดึงตัวนักวิทยาศาสตร์ AI จาก OpenAI ✅ AI ยังสร้างงานใหม่ในหลายสาขานอกเทคโนโลยี ➡️ งานด้านการตลาด, การศึกษา, การผลิต และบริการลูกค้า ➡️ ทักษะ AI กลายเป็น “สินทรัพย์” ที่เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ยถึง $18,000 ต่อปี https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/is-ai-causing-tech-worker-layoffs-that039s-what-ceos-suggest-but-the-reality-is-complicated
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Is AI causing tech worker layoffs? That's what CEOs suggest, but the reality is complicated
    If you read the typical 2025 mass layoff notice from a tech industry CEO, you might think that artificial intelligence cost workers their jobs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอน 2

    จิ๊กโก๋ปากซอย สร้างวินมอ’ไซค์



    อเมริกาเป็นนักวางแผนตัวพ่อ อเมริกามีแผนสำหรับทุกประเทศเป้าหมาย ทุกขั้นตอน เขียนแผนอย่างละเอียด มีรายงานทุกเรื่องที่เห็นว่าสำคัญ ….เก็บเรื่องระบบทุนนิยมไว้ก่อน เด็กมันยังละอ่อนนัก เดี๋ยวมันตกใจ วิ่งหนีรอดตาข่าย จะกินอาหารอร่อยต้องใจเย็นๆ

    แผนหมายเลข 1 สำหรับการเคี้ยวไทยของอเมริกา ตาม Pax Americana เน้นเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคงนำหน้า ดังนั้น ต้องเปลี่ยนประเทศไทยจากที่เป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรมให้ได้ก่อน เรื่องความมั่นคงอย่าเพิ่งถาม เดี๋ยวจะเห็นว่ามาอย่างไร

    อเมริกา เป็นนักวางแผนที่มีจิตวิทยาสูง คนเราน่ะนะ จะให้ทำอะไร มันต้องให้สบายกระเป๋าก่อน มีเงินแล้วมันถึงจะพูดกันรู้เรื่อง แหม! มันเดินตามกันเปี๊ยบเลย ใครนะ ที่ใช้เงินเข้าล่อ แบบคุณพ่ออเมริกา

    ปี พ.ศ.2501 อเมริกาจึงส่งผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก เป็นของขวัญให้รัฐบาลสฤษดิ์ มาเป็นทีมใหญ่ ไทยแลนด์ดีใจเหมือนได้แก้ว

    กลุ่มผู้เชี่ยวชาญขนกันมาทำการสำรวจประเทศไทยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ดูทั้งบนดินใต้ดินใต้น้ำในทะเล ทุกซอก ทุกหลุม ประมาณว่าแทบจะถลกผ้านุ่งคุณยายดูยังงั้นเชียว สำรวจอยู่ 1 ปีจึงเสร็จ เสร็จแล้วก็ทำรายงานสำรวจชุดใหญ่ ส่งให้คุณพ่ออเมริกา ชุดเล็กก็เสนอให้คุณป๋าผ้าขะม้าไทย

    (แสดงว่ามันดูกันละเอียดจริง ไม่เหมือนข้าราชการบ้านเราไปดูงานบ้านเขาเลยนะ ไป 15 วัน ช้อปปิ้งเสีย 10 วัน เข้าบ่อนอีก 5 วัน อ้าว แล้วดูงานตอนไหน ก็ตอนขึ้นเครื่องกลับ หลับฝันเอาไง บ้านเรามันถึงเจริญ)

    ผลสำรวจสรุปว่า เพื่อทดแทนการนำเข้า ที่ทำให้ไทยแลนด์ขาดดุลการค้า ฝรั่งบอกว่า ไทยควรเปลี่ยนจากประเทศกสิกรรม ทำการเกษตร มาเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทำการผลิตสินค้าส่งออก เขียนตามโผที่ล็อกไว้เลย กองสลากเรายังล็อกโผไม่ได้เท่านี้

    รายงานสำรวจดังกล่าว เป็นไปตามใบสั่งคุณพ่ออเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย (ตอนนั้นเราก็เป็นประเทศด้อยนะ ไม่ต้องค้อน ตอนนี้ก็ยังด้อยอยู่อีกหลายเรื่อง) เปิดทางให้ทุนอเมริกัน เข้าไปลงทุนผลิตสินค้าอุตสาหกรรม นอกจากอเมริกา จะได้ประโยชน์ในการขยายการลงทุนแล้ว อเมริกาจะได้ขายเครื่อง จักร และสารพัดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในขบวนการผลิต เช่น พลังงานไฟฟ้า น้ำมัน เขื่อน อุปกรณ์เทคนิค อุปกรณ์การขนส่ง ฯลฯ ให้ไทยอีกด้วย

    สิ่งที่ไทยได้ขายคือ วัตถุดิบบางอย่างที่มีในประเทศและแรงงาน แค่นั้นเอง ….อืมมม คุ้มแสนคุ้ม…

    คุณป๋าไทยเมื่อได้รับรายงานสำรวจฯ ก็เนื้อเต้นไปหมด เห็นโอกาสทองทำเงินอยู่ข้างหน้า… งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข …คุณป๋าไทยรีบออกคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติทันที ในปี พ.ศ.2504 และนั่นคือกำเนิดสภาพัฒน์ฯ ที่เรารู้จัก

    สภาพัฒน์ฯ ทำหน้าที่วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2504 ถึงปัจจุบัน ตามแนวทางที่ฝรั่ง (หลอก) ให้ไทยเดิน

    ควรรู้ด้วยว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ฉบับที่ 1 ใช้รายงานธนาคารโลก ฉบับใบสั่งทั้งฉบับนั่นแหละ แปลเป็นไทย ทำเป็นแผนแม่บท ง่ายดีจัง

    ไม่ต้องเสียเวลา ไทยมีส่วนร่วมเพียงในฐานะผู้รับบัญชา ขอรับกระผม

    นอกจากนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึง 6 เดินตามแนวทางรายงานธนาคารโลกทั้งสิ้น ปัจจุบันเป็นฉบับที่ 12 ซึ่งก็ไม่มีแนวทางพัฒนาประเทศ ที่ชัดเจนเหมาะสมกับสภาพ และสภาวะของประเทศ แถม เละเทะเหมือนกินจับฉ่าย

    ควรรู้อีกด้วยว่าในรายงานของธนาคารโลก ไม่เน้นถึงการพัฒนาการปลูกข้าว ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทย ตรงกันข้ามดันมีข้อเสนอให้เก็บพรีเมี่ยมข้าว!

    พอจะเห็นกันบ้างหรือยังว่า สิ่งที่เรียกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯของขวัญจากคุณพ่ออเมริกา แท้จริงแล้ว เป็นบัวหิมะพันปีเพิ่มพลัง หรือ ยาละลายกระดูกสลายพลัง

    นักล่าอาณานิคมรุ่นใหม่นี่เยี่ยมจริงๆ

    หลังจากนั้น การพัฒนาประเทศไทยก็เดินตามแนวที่คุณพ่ออเมริกากำหนด หรือกำกับ ผ่านหน่วยงานธนาคารโลก (World Bank), IMF, IFC, ADB ฯลฯ ที่เราขยันกู้เขามาตลอด เริ่มเข้าใจหรือยังครับ ทำไมเขาถึงต้องตั้งธนาคารโลก, IMF ฯลฯ

    สัญญาเงินกู้ทุกฉบับของ World Bank, IMF , IFC จะมีข้อกำหนดบังคับผู้กู้ ตามที่คุณพ่ออเมริกาต้อง การ ให้โลกเดินไปในทิศทางที่คุณพ่อและพวกต้องการคือ ทุนนิยมเสรี นั่นเอง

    อเมริกาสามารถควบคุมธนาคารโลก, IMF, IFC ได้ในกำมือ เพราะอเมริกาจ่ายเงินสนับสนุนสูงที่สุดมากกว่าประเทศอื่นๆ

    พูดให้ชัดธนาคารโลก, IMF, IFC ก็เด็กในกระเป๋าอเมริกานั่นแหละ!

    แต่การพัฒนาประเทศ จะเดินตามใบสั่งของคุณพ่ออเมริกาไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าราชการที่จูงง่าย พร้อมเป็นขี้ข้า ไม่ว่าจะเป็นขี้ข้าฝรั่ง หรือนักการเมืองไทย เห็นๆ กันอยู่ตั้งกะสมัย 50 ปีก่อน จนถึงเดี๋ยวนี้ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง

    ข้าราชการที่มีความสามารถ แต่พร้อมที่จะถูกฝรั่งหลอกใช้ (เอ๊ะ หรือเต็มใจ!)ที่เรียกกันว่า technocrat (technocrat ต้นแบบก็อย่างนายเกษม จาติกวนิช นายอานันท์ ปันยารชุน นายอำนวย วีรวรรณ นั่นแหละ) ก็เป็นผู้รับแผนคุณพ่อฝรั่งมาดำเนินการ

    Technocrat เหล่านี้มาจากไหนล่ะ? อ้า! เดี๋ยวต้องหาที่มาแบบ CSI (Crime Scene Investigation สำหรับผู้ไม่ได้ดูหนัง ดูแต่ละคร ก็นึกถึงคุณหมอพรทิพย์หัวฟูคนเก่งของเราแล้วกัน ประเภทสืบจากศพอะไรทำนองนั้นแหละครับ)

    Technocrat เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากอังกฤษและอเมริกา มีความคุ้นเคยกับระบบการศึกษา ตำรับตำรา วิชาการ ความคิด ที่ฝรั่งแป๊ะติดใส่หัวเอาไว้ตั้งแต่สมัยไปเรียนหนังสือ ท่านเหล่านั้นก็มีวิชาความรู้เพิ่มพูน ฝรั่งสอนอะไรก็จด ฝรั่งพูดอะไรก็จำ ทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร (ฮา) กลับมาก็ฟิตเปรี๊ยะ เครื่องถ่ายอัดสำเนาไว้เต็ม

    คิดว่าบ้านเมืองเราจะเจริญได้ ต้องดูจากที่ฝรั่งเขาพัฒนาบ้านเมืองเขา ไม่เคยใช้สมองของตัวคิดบ้างว่า บ้านเขากับบ้านเราน่ะ มันต่างกันขนาดไหน

    ดูภูมิประเทศ อากาศ ทรัพยากร ความถนัด ประเพณี ฯลฯ โอ้ยสารพัด มันเหมือนกันตรงไหน ข้างหนึ่งหัวดำตัวเหลือง อีกข้างหนึ่งหัวทองตัวขาวเผือด ข้างหนึ่งหนาวหิมะตก ข้างหนึ่งเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วม ยังคิดก็อบปี้ตะบี้ตะบันท่าเดียว เพราะถูกทำให้เชื่อว่า ฝรั่งนั้นฉลาดกว่าเรา สิ่งที่เขาคิด ดีกว่าที่เราคิด มันฝังหัว ตั้งกะไปเรียน prep school หรือ public school กับฝรั่งมาแล้ว

    ดังนั้น เมื่อฝรั่งบอกเดินหน้าเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทุกท่านก็ลุย! เฮ้อ! เศร้าใจ

    การพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ผิดไปเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ไข คนอะไรเดินใส่เสื้อติดกระดุมเขย่งมาเกือบ 60 ปี ยังไม่รู้ตัว

    นิคมอุตสาหกรรม จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แล้วดอกเห็ดพวกนี้ไม่รู้เป็นอะไร ก็ชอบขึ้นอยู่ตามที่ลุ่ม ซึ่งเป็นทางเดินของน้ำ ดูนิคมบางชัน นิคมแถวอยุธยา บางปะอิน เป็นตัวอย่างแล้วกัน ยิ่งนานวันดอกเห็ดก็แผ่ขยายบานกินเมืองเข้าไปลึกขวางทางไหลหลากของน้ำ ซึ่งมาประจำปี

    ดังนั้น ปัญหาน้ำท่วมก็ยังจะมีอยู่ต่อไป ต้องใช้เรือดำน้ำกี่ลำ หญ้าแพรกเท่าไหร่ก็เอาไม่อยู่ ถ้ายังดันทุรังเดินใส่เสื้อกระดุมเขย่งกันอยู่อย่างนี้

    นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องท่าเรือแหลมฉบัง ผาแดง แทนทาลัม นิคมอุตสาหกรรมระยอง โรงไฟฟ้าบ้านกรูด การวางท่อแก๊ส ฯลฯ ที่ไม่เข้ากับสภาพภูมิประเทศ และความเป็นอยู่ของท้องถิ่นนะ แค่นี้ก็น่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว

    แหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ทั้งหลาย สร้างรายได้ให้กับผู้ถือหุ้นอย่างมหาศาล คนท้องถิ่นได้แต่ค่าแรงวันละไม่กี่บาท แล้วใครเป็นผู้ถือหุ้น… ก็คนต่างชาติส่วนใหญ่ บวกกับคนไทยขายชาติที่ถือหุ้นแทนฝรั่งไง

    คนท้องถิ่นไม่เคยได้เป็นผู้ถือหุ้น!

    ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ทำกิน และที่สำคัญ สุขอนามัยของชาวบ้าน ไม่เคยเป็นปัจจัยที่ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุนต่างชาติ ให้ความสนใจหรือห่วงใย

    ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุน ให้ความสนใจแต่ ผลผลิต และผลกำไรของพวกเขาเท่านั้น

    ส่วนนักการเมืองไทย ก็นึกแต่ค่าหัวคิว ใต้โต๊ะ บนโต๊ะ ที่จะได้รับ รับแล้วเอาไปซุกไว้ที่ไหนดีหนอ หลังบ้าน ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า หรือซุกไว้กับคนรถ คนใช้ ฯลฯ แล้วประเทศได้อะไร ประชาชนได้อะไร …เคยมีนักการเมืองหน้าไหนดูแลเราจริงๆ จังๆ บ้าง


    คนเล่านิทาน
    ตอน 2 จิ๊กโก๋ปากซอย สร้างวินมอ’ไซค์ อเมริกาเป็นนักวางแผนตัวพ่อ อเมริกามีแผนสำหรับทุกประเทศเป้าหมาย ทุกขั้นตอน เขียนแผนอย่างละเอียด มีรายงานทุกเรื่องที่เห็นว่าสำคัญ ….เก็บเรื่องระบบทุนนิยมไว้ก่อน เด็กมันยังละอ่อนนัก เดี๋ยวมันตกใจ วิ่งหนีรอดตาข่าย จะกินอาหารอร่อยต้องใจเย็นๆ แผนหมายเลข 1 สำหรับการเคี้ยวไทยของอเมริกา ตาม Pax Americana เน้นเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคงนำหน้า ดังนั้น ต้องเปลี่ยนประเทศไทยจากที่เป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรมให้ได้ก่อน เรื่องความมั่นคงอย่าเพิ่งถาม เดี๋ยวจะเห็นว่ามาอย่างไร อเมริกา เป็นนักวางแผนที่มีจิตวิทยาสูง คนเราน่ะนะ จะให้ทำอะไร มันต้องให้สบายกระเป๋าก่อน มีเงินแล้วมันถึงจะพูดกันรู้เรื่อง แหม! มันเดินตามกันเปี๊ยบเลย ใครนะ ที่ใช้เงินเข้าล่อ แบบคุณพ่ออเมริกา ปี พ.ศ.2501 อเมริกาจึงส่งผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก เป็นของขวัญให้รัฐบาลสฤษดิ์ มาเป็นทีมใหญ่ ไทยแลนด์ดีใจเหมือนได้แก้ว กลุ่มผู้เชี่ยวชาญขนกันมาทำการสำรวจประเทศไทยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ดูทั้งบนดินใต้ดินใต้น้ำในทะเล ทุกซอก ทุกหลุม ประมาณว่าแทบจะถลกผ้านุ่งคุณยายดูยังงั้นเชียว สำรวจอยู่ 1 ปีจึงเสร็จ เสร็จแล้วก็ทำรายงานสำรวจชุดใหญ่ ส่งให้คุณพ่ออเมริกา ชุดเล็กก็เสนอให้คุณป๋าผ้าขะม้าไทย (แสดงว่ามันดูกันละเอียดจริง ไม่เหมือนข้าราชการบ้านเราไปดูงานบ้านเขาเลยนะ ไป 15 วัน ช้อปปิ้งเสีย 10 วัน เข้าบ่อนอีก 5 วัน อ้าว แล้วดูงานตอนไหน ก็ตอนขึ้นเครื่องกลับ หลับฝันเอาไง บ้านเรามันถึงเจริญ) ผลสำรวจสรุปว่า เพื่อทดแทนการนำเข้า ที่ทำให้ไทยแลนด์ขาดดุลการค้า ฝรั่งบอกว่า ไทยควรเปลี่ยนจากประเทศกสิกรรม ทำการเกษตร มาเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทำการผลิตสินค้าส่งออก เขียนตามโผที่ล็อกไว้เลย กองสลากเรายังล็อกโผไม่ได้เท่านี้ รายงานสำรวจดังกล่าว เป็นไปตามใบสั่งคุณพ่ออเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย (ตอนนั้นเราก็เป็นประเทศด้อยนะ ไม่ต้องค้อน ตอนนี้ก็ยังด้อยอยู่อีกหลายเรื่อง) เปิดทางให้ทุนอเมริกัน เข้าไปลงทุนผลิตสินค้าอุตสาหกรรม นอกจากอเมริกา จะได้ประโยชน์ในการขยายการลงทุนแล้ว อเมริกาจะได้ขายเครื่อง จักร และสารพัดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในขบวนการผลิต เช่น พลังงานไฟฟ้า น้ำมัน เขื่อน อุปกรณ์เทคนิค อุปกรณ์การขนส่ง ฯลฯ ให้ไทยอีกด้วย สิ่งที่ไทยได้ขายคือ วัตถุดิบบางอย่างที่มีในประเทศและแรงงาน แค่นั้นเอง ….อืมมม คุ้มแสนคุ้ม… คุณป๋าไทยเมื่อได้รับรายงานสำรวจฯ ก็เนื้อเต้นไปหมด เห็นโอกาสทองทำเงินอยู่ข้างหน้า… งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข …คุณป๋าไทยรีบออกคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติทันที ในปี พ.ศ.2504 และนั่นคือกำเนิดสภาพัฒน์ฯ ที่เรารู้จัก สภาพัฒน์ฯ ทำหน้าที่วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2504 ถึงปัจจุบัน ตามแนวทางที่ฝรั่ง (หลอก) ให้ไทยเดิน ควรรู้ด้วยว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ฉบับที่ 1 ใช้รายงานธนาคารโลก ฉบับใบสั่งทั้งฉบับนั่นแหละ แปลเป็นไทย ทำเป็นแผนแม่บท ง่ายดีจัง ไม่ต้องเสียเวลา ไทยมีส่วนร่วมเพียงในฐานะผู้รับบัญชา ขอรับกระผม นอกจากนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึง 6 เดินตามแนวทางรายงานธนาคารโลกทั้งสิ้น ปัจจุบันเป็นฉบับที่ 12 ซึ่งก็ไม่มีแนวทางพัฒนาประเทศ ที่ชัดเจนเหมาะสมกับสภาพ และสภาวะของประเทศ แถม เละเทะเหมือนกินจับฉ่าย ควรรู้อีกด้วยว่าในรายงานของธนาคารโลก ไม่เน้นถึงการพัฒนาการปลูกข้าว ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทย ตรงกันข้ามดันมีข้อเสนอให้เก็บพรีเมี่ยมข้าว! พอจะเห็นกันบ้างหรือยังว่า สิ่งที่เรียกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯของขวัญจากคุณพ่ออเมริกา แท้จริงแล้ว เป็นบัวหิมะพันปีเพิ่มพลัง หรือ ยาละลายกระดูกสลายพลัง นักล่าอาณานิคมรุ่นใหม่นี่เยี่ยมจริงๆ หลังจากนั้น การพัฒนาประเทศไทยก็เดินตามแนวที่คุณพ่ออเมริกากำหนด หรือกำกับ ผ่านหน่วยงานธนาคารโลก (World Bank), IMF, IFC, ADB ฯลฯ ที่เราขยันกู้เขามาตลอด เริ่มเข้าใจหรือยังครับ ทำไมเขาถึงต้องตั้งธนาคารโลก, IMF ฯลฯ สัญญาเงินกู้ทุกฉบับของ World Bank, IMF , IFC จะมีข้อกำหนดบังคับผู้กู้ ตามที่คุณพ่ออเมริกาต้อง การ ให้โลกเดินไปในทิศทางที่คุณพ่อและพวกต้องการคือ ทุนนิยมเสรี นั่นเอง อเมริกาสามารถควบคุมธนาคารโลก, IMF, IFC ได้ในกำมือ เพราะอเมริกาจ่ายเงินสนับสนุนสูงที่สุดมากกว่าประเทศอื่นๆ พูดให้ชัดธนาคารโลก, IMF, IFC ก็เด็กในกระเป๋าอเมริกานั่นแหละ! แต่การพัฒนาประเทศ จะเดินตามใบสั่งของคุณพ่ออเมริกาไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าราชการที่จูงง่าย พร้อมเป็นขี้ข้า ไม่ว่าจะเป็นขี้ข้าฝรั่ง หรือนักการเมืองไทย เห็นๆ กันอยู่ตั้งกะสมัย 50 ปีก่อน จนถึงเดี๋ยวนี้ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ข้าราชการที่มีความสามารถ แต่พร้อมที่จะถูกฝรั่งหลอกใช้ (เอ๊ะ หรือเต็มใจ!)ที่เรียกกันว่า technocrat (technocrat ต้นแบบก็อย่างนายเกษม จาติกวนิช นายอานันท์ ปันยารชุน นายอำนวย วีรวรรณ นั่นแหละ) ก็เป็นผู้รับแผนคุณพ่อฝรั่งมาดำเนินการ Technocrat เหล่านี้มาจากไหนล่ะ? อ้า! เดี๋ยวต้องหาที่มาแบบ CSI (Crime Scene Investigation สำหรับผู้ไม่ได้ดูหนัง ดูแต่ละคร ก็นึกถึงคุณหมอพรทิพย์หัวฟูคนเก่งของเราแล้วกัน ประเภทสืบจากศพอะไรทำนองนั้นแหละครับ) Technocrat เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากอังกฤษและอเมริกา มีความคุ้นเคยกับระบบการศึกษา ตำรับตำรา วิชาการ ความคิด ที่ฝรั่งแป๊ะติดใส่หัวเอาไว้ตั้งแต่สมัยไปเรียนหนังสือ ท่านเหล่านั้นก็มีวิชาความรู้เพิ่มพูน ฝรั่งสอนอะไรก็จด ฝรั่งพูดอะไรก็จำ ทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร (ฮา) กลับมาก็ฟิตเปรี๊ยะ เครื่องถ่ายอัดสำเนาไว้เต็ม คิดว่าบ้านเมืองเราจะเจริญได้ ต้องดูจากที่ฝรั่งเขาพัฒนาบ้านเมืองเขา ไม่เคยใช้สมองของตัวคิดบ้างว่า บ้านเขากับบ้านเราน่ะ มันต่างกันขนาดไหน ดูภูมิประเทศ อากาศ ทรัพยากร ความถนัด ประเพณี ฯลฯ โอ้ยสารพัด มันเหมือนกันตรงไหน ข้างหนึ่งหัวดำตัวเหลือง อีกข้างหนึ่งหัวทองตัวขาวเผือด ข้างหนึ่งหนาวหิมะตก ข้างหนึ่งเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วม ยังคิดก็อบปี้ตะบี้ตะบันท่าเดียว เพราะถูกทำให้เชื่อว่า ฝรั่งนั้นฉลาดกว่าเรา สิ่งที่เขาคิด ดีกว่าที่เราคิด มันฝังหัว ตั้งกะไปเรียน prep school หรือ public school กับฝรั่งมาแล้ว ดังนั้น เมื่อฝรั่งบอกเดินหน้าเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทุกท่านก็ลุย! เฮ้อ! เศร้าใจ การพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ผิดไปเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ไข คนอะไรเดินใส่เสื้อติดกระดุมเขย่งมาเกือบ 60 ปี ยังไม่รู้ตัว นิคมอุตสาหกรรม จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แล้วดอกเห็ดพวกนี้ไม่รู้เป็นอะไร ก็ชอบขึ้นอยู่ตามที่ลุ่ม ซึ่งเป็นทางเดินของน้ำ ดูนิคมบางชัน นิคมแถวอยุธยา บางปะอิน เป็นตัวอย่างแล้วกัน ยิ่งนานวันดอกเห็ดก็แผ่ขยายบานกินเมืองเข้าไปลึกขวางทางไหลหลากของน้ำ ซึ่งมาประจำปี ดังนั้น ปัญหาน้ำท่วมก็ยังจะมีอยู่ต่อไป ต้องใช้เรือดำน้ำกี่ลำ หญ้าแพรกเท่าไหร่ก็เอาไม่อยู่ ถ้ายังดันทุรังเดินใส่เสื้อกระดุมเขย่งกันอยู่อย่างนี้ นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องท่าเรือแหลมฉบัง ผาแดง แทนทาลัม นิคมอุตสาหกรรมระยอง โรงไฟฟ้าบ้านกรูด การวางท่อแก๊ส ฯลฯ ที่ไม่เข้ากับสภาพภูมิประเทศ และความเป็นอยู่ของท้องถิ่นนะ แค่นี้ก็น่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว แหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ทั้งหลาย สร้างรายได้ให้กับผู้ถือหุ้นอย่างมหาศาล คนท้องถิ่นได้แต่ค่าแรงวันละไม่กี่บาท แล้วใครเป็นผู้ถือหุ้น… ก็คนต่างชาติส่วนใหญ่ บวกกับคนไทยขายชาติที่ถือหุ้นแทนฝรั่งไง คนท้องถิ่นไม่เคยได้เป็นผู้ถือหุ้น! ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ทำกิน และที่สำคัญ สุขอนามัยของชาวบ้าน ไม่เคยเป็นปัจจัยที่ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุนต่างชาติ ให้ความสนใจหรือห่วงใย ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุน ให้ความสนใจแต่ ผลผลิต และผลกำไรของพวกเขาเท่านั้น ส่วนนักการเมืองไทย ก็นึกแต่ค่าหัวคิว ใต้โต๊ะ บนโต๊ะ ที่จะได้รับ รับแล้วเอาไปซุกไว้ที่ไหนดีหนอ หลังบ้าน ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า หรือซุกไว้กับคนรถ คนใช้ ฯลฯ แล้วประเทศได้อะไร ประชาชนได้อะไร …เคยมีนักการเมืองหน้าไหนดูแลเราจริงๆ จังๆ บ้าง คนเล่านิทาน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากพีซียุคใหม่: เมื่อ LLM ขนาด 128B รันได้ในเครื่องของคุณ

    AMD ได้เปิดตัวอัปเดตไดรเวอร์ใหม่ Adrenalin Edition 25.8.1 ที่ทำให้ชิป Ryzen AI Max+ รุ่น 395 สามารถรันโมเดลภาษาขนาดใหญ่ระดับ 128 พันล้านพารามิเตอร์ได้ในเครื่องพีซีทั่วไป โดยใช้เทคโนโลยี Variable Graphics Memory (VGM) ที่สามารถจัดสรรหน่วยความจำกราฟิกได้สูงถึง 96GB จากแรมรวม 128GB

    สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถรันโมเดล Llama 4 Scout จาก Meta ได้แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ซึ่งเป็นโมเดลแบบ Mixture-of-Experts ที่มีพารามิเตอร์รวม 109B แต่ใช้จริงเพียง 17B ต่อครั้ง ทำให้ประสิทธิภาพการประมวลผลยังคงสูงถึง 15 tokens ต่อวินาที

    ที่น่าตื่นเต้นคือ AMD ยังเพิ่มขนาด context window ได้ถึง 256,000 tokens ซึ่งมากกว่ามาตรฐานเดิมที่อยู่ราว 4,096 tokens ทำให้สามารถสรุปเอกสารยาว ๆ หรือทำงานแบบ agentic workflows ได้อย่างลื่นไหล

    AMD เปิดตัวไดรเวอร์ใหม่ที่รองรับโมเดล LLM ขนาด 128B บนพีซีทั่วไป
    ใช้ Adrenalin Edition 25.8.1 WHQL ร่วมกับ Ryzen AI Max+ 395
    รองรับการรันโมเดล Llama 4 Scout จาก Meta ได้แบบ local

    ใช้ Variable Graphics Memory (VGM) เพื่อจัดสรรหน่วยความจำกราฟิกสูงสุด 96GB
    จากแรมรวม 128GB บนระบบ Ryzen AI Max+
    ทำให้สามารถรันโมเดลขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องใช้ GPU แยก

    Llama 4 Scout เป็นโมเดลแบบ Mixture-of-Experts (MoE)
    มีพารามิเตอร์รวม 109B แต่ใช้จริงเพียง 17B ต่อครั้ง
    ประสิทธิภาพสูงถึง 15 tokens ต่อวินาที

    ขนาด context window เพิ่มขึ้นถึง 256,000 tokens
    รองรับงานที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากในครั้งเดียว เช่น RAG หรือ MCP
    เหมาะสำหรับงานสรุปเอกสาร, การวิเคราะห์ข้อมูล, และ agentic workflows

    เปิดทางให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงพลัง AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์
    ลดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและค่าใช้จ่ายระยะยาว
    เหมาะสำหรับนักพัฒนา, นักวิจัย, และผู้ใช้สาย productivity

    การรันโมเดลขนาดใหญ่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูงและมีราคาสูง
    Ryzen AI Max+ 395 พร้อมแรม 128GB มีราคาสูงกว่า $2,000
    ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่มีงบจำกัด

    การใช้โมเดลแบบ local ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของระบบ
    หากติดตั้งจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจเกิดความเสียหายต่อระบบ
    AMD เตือนว่าการให้ LLM เข้าถึงเครื่องอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด

    การจัดสรรหน่วยความจำกราฟิกสูงอาจกระทบต่อการใช้งานอื่น ๆ
    หากใช้ VGM เต็ม 96GB อาจทำให้ระบบขาดแรมสำหรับงานอื่น
    ต้องบริหารทรัพยากรอย่างระมัดระวัง

    การรันโมเดล MoE ต้องโหลดพารามิเตอร์ทั้งหมดแม้ใช้เพียงบางส่วน
    footprint หน่วยความจำเทียบเท่ากับโมเดล dense ขนาด 109B
    ต้องมีแรมเพียงพอแม้จะใช้แค่ 17B ในการประมวลผล

    https://wccftech.com/amd-ryzen-ai-max-processors-offer-a-96gb-memory-for-consumer-graphics/
    🎙️ เรื่องเล่าจากพีซียุคใหม่: เมื่อ LLM ขนาด 128B รันได้ในเครื่องของคุณ AMD ได้เปิดตัวอัปเดตไดรเวอร์ใหม่ Adrenalin Edition 25.8.1 ที่ทำให้ชิป Ryzen AI Max+ รุ่น 395 สามารถรันโมเดลภาษาขนาดใหญ่ระดับ 128 พันล้านพารามิเตอร์ได้ในเครื่องพีซีทั่วไป โดยใช้เทคโนโลยี Variable Graphics Memory (VGM) ที่สามารถจัดสรรหน่วยความจำกราฟิกได้สูงถึง 96GB จากแรมรวม 128GB สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถรันโมเดล Llama 4 Scout จาก Meta ได้แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ซึ่งเป็นโมเดลแบบ Mixture-of-Experts ที่มีพารามิเตอร์รวม 109B แต่ใช้จริงเพียง 17B ต่อครั้ง ทำให้ประสิทธิภาพการประมวลผลยังคงสูงถึง 15 tokens ต่อวินาที ที่น่าตื่นเต้นคือ AMD ยังเพิ่มขนาด context window ได้ถึง 256,000 tokens ซึ่งมากกว่ามาตรฐานเดิมที่อยู่ราว 4,096 tokens ทำให้สามารถสรุปเอกสารยาว ๆ หรือทำงานแบบ agentic workflows ได้อย่างลื่นไหล ✅ AMD เปิดตัวไดรเวอร์ใหม่ที่รองรับโมเดล LLM ขนาด 128B บนพีซีทั่วไป ➡️ ใช้ Adrenalin Edition 25.8.1 WHQL ร่วมกับ Ryzen AI Max+ 395 ➡️ รองรับการรันโมเดล Llama 4 Scout จาก Meta ได้แบบ local ✅ ใช้ Variable Graphics Memory (VGM) เพื่อจัดสรรหน่วยความจำกราฟิกสูงสุด 96GB ➡️ จากแรมรวม 128GB บนระบบ Ryzen AI Max+ ➡️ ทำให้สามารถรันโมเดลขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องใช้ GPU แยก ✅ Llama 4 Scout เป็นโมเดลแบบ Mixture-of-Experts (MoE) ➡️ มีพารามิเตอร์รวม 109B แต่ใช้จริงเพียง 17B ต่อครั้ง ➡️ ประสิทธิภาพสูงถึง 15 tokens ต่อวินาที ✅ ขนาด context window เพิ่มขึ้นถึง 256,000 tokens ➡️ รองรับงานที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากในครั้งเดียว เช่น RAG หรือ MCP ➡️ เหมาะสำหรับงานสรุปเอกสาร, การวิเคราะห์ข้อมูล, และ agentic workflows ✅ เปิดทางให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงพลัง AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ➡️ ลดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและค่าใช้จ่ายระยะยาว ➡️ เหมาะสำหรับนักพัฒนา, นักวิจัย, และผู้ใช้สาย productivity ‼️ การรันโมเดลขนาดใหญ่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูงและมีราคาสูง ⛔ Ryzen AI Max+ 395 พร้อมแรม 128GB มีราคาสูงกว่า $2,000 ⛔ ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่มีงบจำกัด ‼️ การใช้โมเดลแบบ local ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของระบบ ⛔ หากติดตั้งจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจเกิดความเสียหายต่อระบบ ⛔ AMD เตือนว่าการให้ LLM เข้าถึงเครื่องอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด ‼️ การจัดสรรหน่วยความจำกราฟิกสูงอาจกระทบต่อการใช้งานอื่น ๆ ⛔ หากใช้ VGM เต็ม 96GB อาจทำให้ระบบขาดแรมสำหรับงานอื่น ⛔ ต้องบริหารทรัพยากรอย่างระมัดระวัง ‼️ การรันโมเดล MoE ต้องโหลดพารามิเตอร์ทั้งหมดแม้ใช้เพียงบางส่วน ⛔ footprint หน่วยความจำเทียบเท่ากับโมเดล dense ขนาด 109B ⛔ ต้องมีแรมเพียงพอแม้จะใช้แค่ 17B ในการประมวลผล https://wccftech.com/amd-ryzen-ai-max-processors-offer-a-96gb-memory-for-consumer-graphics/
    WCCFTECH.COM
    AMD's Ryzen AI MAX+ Processors Now Offer a Whopping 96 GB Memory for Consumer Graphics, Allowing Gigantic 128B-Parameter LLMs to Run Locally on PCs
    AMD has just taken edge AI to a whole new level, as with the recent driver update, the company has now brought the support of large LLMs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากบัญชีที่ถูกปิด: เมื่อนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สถูก Microsoft ตัดขาดจากระบบโดยไม่ให้โอกาสชี้แจง

    Mike Kaganski นักพัฒนาหลักของ LibreOffice ถูก Microsoft บล็อกบัญชี Outlook และบริการอื่นๆ โดยอ้างว่า “มีพฤติกรรมละเมิดข้อตกลงการใช้งาน” ทั้งที่เขาเพียงส่งอีเมลเทคนิคไปยังกลุ่มนักพัฒนา LibreOffice ผ่าน Thunderbird ตามปกติ

    เมื่อพยายามส่งอีเมลอีกครั้ง เขาพบว่าบัญชีถูกล็อกทันที และไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้เลย แม้จะพยายามอุทธรณ์ผ่านระบบอัตโนมัติของ Microsoft ก็พบกับข้อความ “ลองวิธีอื่น” โดยไม่มีวิธีอื่นให้เลือก

    เขาต้องใช้บัญชีของภรรยาเพื่อส่งคำร้องอุทธรณ์ แต่สุดท้าย Microsoft กลับปิดเคสโดยไม่ดำเนินการใดๆ และไม่ให้เหตุผลชัดเจนว่าอีเมลของเขาผิดเงื่อนไขใด

    กรณีนี้ไม่ใช่ครั้งแรก—ผู้ใช้รายอื่น เช่น u/deus03690 บน Reddit ก็เคยถูกล็อกบัญชีที่มีข้อมูลสำคัญกว่า 30 ปี และยังไม่ได้รับการช่วยเหลือจาก Microsoft เช่นกัน

    Microsoft บล็อกบัญชีของ Mike Kaganski นักพัฒนา LibreOffice โดยอ้างว่าละเมิดข้อตกลงการใช้งาน
    เกิดขึ้นหลังจากเขาส่งอีเมลเทคนิคไปยังกลุ่มนักพัฒนา LibreOffice
    Thunderbird แจ้งว่าอีเมลไม่สามารถส่งได้ และบัญชีถูกล็อกทันที

    ระบบอุทธรณ์ของ Microsoft เป็นแบบอัตโนมัติและไม่สามารถเข้าถึงได้เมื่อบัญชีถูกล็อก
    ต้อง “ลงชื่อเข้าใช้” เพื่อส่งคำร้อง ทั้งที่ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้
    Kaganski ต้องใช้บัญชีของภรรยาเพื่อส่งคำร้องแทน

    คำร้องอุทธรณ์ถูกปิดโดยไม่มีการดำเนินการหรือคำอธิบายจาก Microsoft
    Microsoft เพิกเฉยต่อข้อมูลหลักฐานที่ Kaganski ส่งไป
    เขายังไม่สามารถกู้คืนบัญชีได้จนถึงปัจจุบัน

    กรณีนี้ไม่ใช่เหตุการณ์เดียว—ผู้ใช้รายอื่นก็เผชิญปัญหาคล้ายกัน
    ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งสูญเสียข้อมูลกว่า 30 ปีใน OneDrive
    แม้จะส่งแบบฟอร์มกู้คืนและได้รับคำสัญญาว่าจะช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ

    LibreOffice เคยกล่าวหา Microsoft ว่าใช้รูปแบบไฟล์ XML ที่ซับซ้อนเพื่อกีดกันซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส
    เป็นกลยุทธ์ “ล็อกอิน” ที่ทำให้ผู้ใช้ย้ายออกจาก Microsoft Office ได้ยาก
    Kaganski เป็นหนึ่งในผู้วิจารณ์แนวทางนี้อย่างเปิดเผย

    ระบบอุทธรณ์ของ Microsoft ไม่รองรับผู้ใช้ที่ถูกล็อกบัญชีอย่างสมบูรณ์
    ต้องลงชื่อเข้าใช้เพื่อส่งคำร้อง ทั้งที่บัญชีถูกบล็อก
    ไม่มีช่องทางติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรงในกรณีฉุกเฉิน

    การบล็อกบัญชีโดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือเหตุผลชัดเจนอาจละเมิดสิทธิผู้ใช้
    ผู้ใช้ไม่สามารถทราบว่าเนื้อหาใดละเมิดข้อตกลง
    ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระบบบริการดิจิทัล

    การสูญเสียบัญชี Microsoft อาจหมายถึงการสูญเสียข้อมูลสำคัญใน OneDrive, Outlook และบริการอื่นๆ
    ไม่มีระบบสำรองหรือการเข้าถึงข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน
    อาจกระทบต่องาน, ความทรงจำ, หรือเอกสารทางกฎหมาย

    ผู้ใช้ที่มีบทบาทในชุมชนโอเพ่นซอร์สอาจเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบหรือบล็อกโดยอัลกอริธึม
    อีเมลเทคนิคหรือการวิจารณ์เชิงระบบอาจถูกตีความผิด
    ไม่มีการตรวจสอบโดยมนุษย์ก่อนดำเนินการบล็อกบัญชี

    https://www.neowin.net/news/microsoft-bans-libreoffice-developers-account-without-warning-rejects-appeal/
    📧 เรื่องเล่าจากบัญชีที่ถูกปิด: เมื่อนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สถูก Microsoft ตัดขาดจากระบบโดยไม่ให้โอกาสชี้แจง Mike Kaganski นักพัฒนาหลักของ LibreOffice ถูก Microsoft บล็อกบัญชี Outlook และบริการอื่นๆ โดยอ้างว่า “มีพฤติกรรมละเมิดข้อตกลงการใช้งาน” ทั้งที่เขาเพียงส่งอีเมลเทคนิคไปยังกลุ่มนักพัฒนา LibreOffice ผ่าน Thunderbird ตามปกติ เมื่อพยายามส่งอีเมลอีกครั้ง เขาพบว่าบัญชีถูกล็อกทันที และไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้เลย แม้จะพยายามอุทธรณ์ผ่านระบบอัตโนมัติของ Microsoft ก็พบกับข้อความ “ลองวิธีอื่น” โดยไม่มีวิธีอื่นให้เลือก เขาต้องใช้บัญชีของภรรยาเพื่อส่งคำร้องอุทธรณ์ แต่สุดท้าย Microsoft กลับปิดเคสโดยไม่ดำเนินการใดๆ และไม่ให้เหตุผลชัดเจนว่าอีเมลของเขาผิดเงื่อนไขใด กรณีนี้ไม่ใช่ครั้งแรก—ผู้ใช้รายอื่น เช่น u/deus03690 บน Reddit ก็เคยถูกล็อกบัญชีที่มีข้อมูลสำคัญกว่า 30 ปี และยังไม่ได้รับการช่วยเหลือจาก Microsoft เช่นกัน ✅ Microsoft บล็อกบัญชีของ Mike Kaganski นักพัฒนา LibreOffice โดยอ้างว่าละเมิดข้อตกลงการใช้งาน ➡️ เกิดขึ้นหลังจากเขาส่งอีเมลเทคนิคไปยังกลุ่มนักพัฒนา LibreOffice ➡️ Thunderbird แจ้งว่าอีเมลไม่สามารถส่งได้ และบัญชีถูกล็อกทันที ✅ ระบบอุทธรณ์ของ Microsoft เป็นแบบอัตโนมัติและไม่สามารถเข้าถึงได้เมื่อบัญชีถูกล็อก ➡️ ต้อง “ลงชื่อเข้าใช้” เพื่อส่งคำร้อง ทั้งที่ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้ ➡️ Kaganski ต้องใช้บัญชีของภรรยาเพื่อส่งคำร้องแทน ✅ คำร้องอุทธรณ์ถูกปิดโดยไม่มีการดำเนินการหรือคำอธิบายจาก Microsoft ➡️ Microsoft เพิกเฉยต่อข้อมูลหลักฐานที่ Kaganski ส่งไป ➡️ เขายังไม่สามารถกู้คืนบัญชีได้จนถึงปัจจุบัน ✅ กรณีนี้ไม่ใช่เหตุการณ์เดียว—ผู้ใช้รายอื่นก็เผชิญปัญหาคล้ายกัน ➡️ ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งสูญเสียข้อมูลกว่า 30 ปีใน OneDrive ➡️ แม้จะส่งแบบฟอร์มกู้คืนและได้รับคำสัญญาว่าจะช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ ✅ LibreOffice เคยกล่าวหา Microsoft ว่าใช้รูปแบบไฟล์ XML ที่ซับซ้อนเพื่อกีดกันซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส ➡️ เป็นกลยุทธ์ “ล็อกอิน” ที่ทำให้ผู้ใช้ย้ายออกจาก Microsoft Office ได้ยาก ➡️ Kaganski เป็นหนึ่งในผู้วิจารณ์แนวทางนี้อย่างเปิดเผย ‼️ ระบบอุทธรณ์ของ Microsoft ไม่รองรับผู้ใช้ที่ถูกล็อกบัญชีอย่างสมบูรณ์ ⛔ ต้องลงชื่อเข้าใช้เพื่อส่งคำร้อง ทั้งที่บัญชีถูกบล็อก ⛔ ไม่มีช่องทางติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรงในกรณีฉุกเฉิน ‼️ การบล็อกบัญชีโดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือเหตุผลชัดเจนอาจละเมิดสิทธิผู้ใช้ ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถทราบว่าเนื้อหาใดละเมิดข้อตกลง ⛔ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระบบบริการดิจิทัล ‼️ การสูญเสียบัญชี Microsoft อาจหมายถึงการสูญเสียข้อมูลสำคัญใน OneDrive, Outlook และบริการอื่นๆ ⛔ ไม่มีระบบสำรองหรือการเข้าถึงข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน ⛔ อาจกระทบต่องาน, ความทรงจำ, หรือเอกสารทางกฎหมาย ‼️ ผู้ใช้ที่มีบทบาทในชุมชนโอเพ่นซอร์สอาจเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบหรือบล็อกโดยอัลกอริธึม ⛔ อีเมลเทคนิคหรือการวิจารณ์เชิงระบบอาจถูกตีความผิด ⛔ ไม่มีการตรวจสอบโดยมนุษย์ก่อนดำเนินการบล็อกบัญชี https://www.neowin.net/news/microsoft-bans-libreoffice-developers-account-without-warning-rejects-appeal/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft bans LibreOffice developer's account without warning, rejects appeal
    A LibreOffice developer has shared his experience of having his Microsoft account banned, and how the company has been uncooperative in helping him recover it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากพอร์ตชาร์จ: เมื่อการเสียบสายกลายเป็นการเปิดประตูให้แฮกเกอร์

    ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน โลกเคยตื่นตัวกับภัย “Juice Jacking” ที่ใช้พอร์ต USB สาธารณะในการติดตั้งมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลจากมือถือที่เสียบชาร์จ ทำให้ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการมือถืออย่าง Apple และ Google ต้องออกมาตรการป้องกัน เช่น การให้ผู้ใช้เลือก “Charge only” หรือ “Transfer files” ทุกครั้งที่เสียบสาย

    แต่ในปี 2025 นักวิจัยจาก Graz University of Technology ประเทศออสเตรีย ได้เปิดเผยเทคนิคใหม่ชื่อว่า Choicejacking ซึ่งสามารถหลอกให้มือถืออนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูลโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว

    Choicejacking ไม่ใช่มัลแวร์แบบเดิม แต่ใช้การจำลองอุปกรณ์ USB หรือ Bluetooth เช่น คีย์บอร์ด เพื่อส่งคำสั่งปลอมไปยังมือถือให้ตอบตกลงกับหน้าต่างแจ้งเตือนการเชื่อมต่อข้อมูล โดยใช้เวลาเพียง 133 มิลลิวินาที—เร็วกว่าการกระพริบตา!

    Choicejacking เป็นเทคนิคใหม่ที่สามารถหลอกมือถือให้อนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูลโดยไม่ต้องแตะหน้าจอ
    ใช้การจำลองอุปกรณ์ USB หรือ Bluetooth เพื่อส่งคำสั่งปลอม
    ใช้เวลาเพียง 133 มิลลิวินาทีในการดำเนินการ

    นักวิจัยจาก Graz University of Technology เป็นผู้ค้นพบและนำเสนอที่งาน USENIX Security Symposium 2025
    เป็นการพัฒนาต่อจาก Juice Jacking ที่เคยเป็นภัยใหญ่เมื่อสิบปีก่อน
    ได้รับการยอมรับจากผู้ผลิตมือถือรายใหญ่ เช่น Apple, Google, Samsung, Xiaomi

    Choicejacking สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น รูปภาพ, เอกสาร, ข้อมูลแอปพลิเคชัน
    ทดสอบกับมือถือจาก 8 ผู้ผลิตหลัก และพบว่าทุกเครื่องมีช่องโหว่
    บางรุ่นสามารถขโมยข้อมูลได้แม้หน้าจอจะล็อกอยู่

    มีการใช้เทคนิคเสริม เช่น การตรวจจับช่วงเวลาที่ผู้ใช้ไม่สังเกตหน้าจอผ่านสายไฟ (power line side-channel)
    ใช้ช่วงที่ผู้ใช้กำลังโทรศัพท์หรือดูวิดีโอเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    เพิ่มความแนบเนียนในการโจมตี

    ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการเริ่มออกแพตช์เพื่อป้องกัน Choicejacking
    iOS 18.4 และ Android 15 เพิ่มการยืนยันตัวตนก่อนอนุญาตการเชื่อมต่อ USB
    แต่บางรุ่น เช่น Samsung ที่ใช้ One UI 7 ยังไม่มีการบังคับใช้การยืนยัน

    การใช้พอร์ต USB สาธารณะ เช่น ที่สนามบิน, โรงแรม, ร้านกาแฟ อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    แม้จะดูปลอดภัย แต่พอร์ตอาจถูกดัดแปลงให้เป็นอุปกรณ์โจมตี
    การเสียบสายโดยไม่ระวังอาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ทันที

    การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้แม้ผู้ใช้ไม่ได้แตะหน้าจอเลย
    ใช้การจำลองคีย์บอร์ดหรืออุปกรณ์ Bluetooth เพื่อส่งคำสั่งปลอม
    ผู้ใช้ไม่มีโอกาสเห็นหรือยกเลิกการอนุญาต

    มือถือบางรุ่นยังไม่มีการบังคับให้ยืนยันตัวตนก่อนอนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูล
    แม้จะอัปเดตเป็น Android 15 แล้ว แต่บางแบรนด์ยังไม่เปิดใช้ฟีเจอร์นี้
    ทำให้ผู้ใช้ยังเสี่ยงต่อการถูกโจมตี Choicejacking

    อุปกรณ์ป้องกันแบบเดิม เช่น USB data blocker อาจไม่เพียงพออีกต่อไป
    Choicejacking ใช้ช่องทางใหม่ที่ไม่ถูกบล็อกโดยอุปกรณ์เหล่านี้
    ต้องใช้มาตรการเสริม เช่น สายชาร์จแบบ “charge-only” หรือ power bank ส่วนตัว

    https://hackread.com/choicejacking-attack-steals-data-phones-public-chargers/
    🔌 เรื่องเล่าจากพอร์ตชาร์จ: เมื่อการเสียบสายกลายเป็นการเปิดประตูให้แฮกเกอร์ ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน โลกเคยตื่นตัวกับภัย “Juice Jacking” ที่ใช้พอร์ต USB สาธารณะในการติดตั้งมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลจากมือถือที่เสียบชาร์จ ทำให้ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการมือถืออย่าง Apple และ Google ต้องออกมาตรการป้องกัน เช่น การให้ผู้ใช้เลือก “Charge only” หรือ “Transfer files” ทุกครั้งที่เสียบสาย แต่ในปี 2025 นักวิจัยจาก Graz University of Technology ประเทศออสเตรีย ได้เปิดเผยเทคนิคใหม่ชื่อว่า Choicejacking ซึ่งสามารถหลอกให้มือถืออนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูลโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว Choicejacking ไม่ใช่มัลแวร์แบบเดิม แต่ใช้การจำลองอุปกรณ์ USB หรือ Bluetooth เช่น คีย์บอร์ด เพื่อส่งคำสั่งปลอมไปยังมือถือให้ตอบตกลงกับหน้าต่างแจ้งเตือนการเชื่อมต่อข้อมูล โดยใช้เวลาเพียง 133 มิลลิวินาที—เร็วกว่าการกระพริบตา! ✅ Choicejacking เป็นเทคนิคใหม่ที่สามารถหลอกมือถือให้อนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูลโดยไม่ต้องแตะหน้าจอ ➡️ ใช้การจำลองอุปกรณ์ USB หรือ Bluetooth เพื่อส่งคำสั่งปลอม ➡️ ใช้เวลาเพียง 133 มิลลิวินาทีในการดำเนินการ ✅ นักวิจัยจาก Graz University of Technology เป็นผู้ค้นพบและนำเสนอที่งาน USENIX Security Symposium 2025 ➡️ เป็นการพัฒนาต่อจาก Juice Jacking ที่เคยเป็นภัยใหญ่เมื่อสิบปีก่อน ➡️ ได้รับการยอมรับจากผู้ผลิตมือถือรายใหญ่ เช่น Apple, Google, Samsung, Xiaomi ✅ Choicejacking สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น รูปภาพ, เอกสาร, ข้อมูลแอปพลิเคชัน ➡️ ทดสอบกับมือถือจาก 8 ผู้ผลิตหลัก และพบว่าทุกเครื่องมีช่องโหว่ ➡️ บางรุ่นสามารถขโมยข้อมูลได้แม้หน้าจอจะล็อกอยู่ ✅ มีการใช้เทคนิคเสริม เช่น การตรวจจับช่วงเวลาที่ผู้ใช้ไม่สังเกตหน้าจอผ่านสายไฟ (power line side-channel) ➡️ ใช้ช่วงที่ผู้ใช้กำลังโทรศัพท์หรือดูวิดีโอเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ เพิ่มความแนบเนียนในการโจมตี ✅ ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการเริ่มออกแพตช์เพื่อป้องกัน Choicejacking ➡️ iOS 18.4 และ Android 15 เพิ่มการยืนยันตัวตนก่อนอนุญาตการเชื่อมต่อ USB ➡️ แต่บางรุ่น เช่น Samsung ที่ใช้ One UI 7 ยังไม่มีการบังคับใช้การยืนยัน ‼️ การใช้พอร์ต USB สาธารณะ เช่น ที่สนามบิน, โรงแรม, ร้านกาแฟ อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ แม้จะดูปลอดภัย แต่พอร์ตอาจถูกดัดแปลงให้เป็นอุปกรณ์โจมตี ⛔ การเสียบสายโดยไม่ระวังอาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ทันที ‼️ การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้แม้ผู้ใช้ไม่ได้แตะหน้าจอเลย ⛔ ใช้การจำลองคีย์บอร์ดหรืออุปกรณ์ Bluetooth เพื่อส่งคำสั่งปลอม ⛔ ผู้ใช้ไม่มีโอกาสเห็นหรือยกเลิกการอนุญาต ‼️ มือถือบางรุ่นยังไม่มีการบังคับให้ยืนยันตัวตนก่อนอนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูล ⛔ แม้จะอัปเดตเป็น Android 15 แล้ว แต่บางแบรนด์ยังไม่เปิดใช้ฟีเจอร์นี้ ⛔ ทำให้ผู้ใช้ยังเสี่ยงต่อการถูกโจมตี Choicejacking ‼️ อุปกรณ์ป้องกันแบบเดิม เช่น USB data blocker อาจไม่เพียงพออีกต่อไป ⛔ Choicejacking ใช้ช่องทางใหม่ที่ไม่ถูกบล็อกโดยอุปกรณ์เหล่านี้ ⛔ ต้องใช้มาตรการเสริม เช่น สายชาร์จแบบ “charge-only” หรือ power bank ส่วนตัว https://hackread.com/choicejacking-attack-steals-data-phones-public-chargers/
    HACKREAD.COM
    New Choicejacking Attack Steals Data from Phones via Public Chargers
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..คณะรวมพลังแผ่นดินไทยต้องลงถนนได้แล้ว,ภาวะฉุกเฉินภาวะฉุกเฉินๆๆ

    ..กบฎได้ปรากฎขึ้นชัดเจนแล้ว,ประชาชนมีสิทธิขับไล่กบฎตลอดจับกุมกบฎมาลงโทษในข้อหาประหารชีวิต ทำลายความสงบสุขและอธิปไตยของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ตลอดทำให้เสียอธิปไตยตนเอง,อาชญากรสงครามต่อประเทศไทยแต่ละเว้นไม่รีบเร่งทำเอกสารส่งฟ้องอาชญากรสงครามต่อประเทศไทยจึงคือกบฎต่ออธิปไตยชาติทั้งพรรคร่วมและพรรครัฐบาลทั้งหมดต้องโทษประหารชีวิตเสมือนตัดสินใจทั้งหมดร่วมกันแล้ว.,ประเทศไทยต้องกวาดล้างภัยของชาติไทยภายในอย่างจริงจังได้แล้ว.


    https://youtube.com/watch?v=6whKss6M_bQ&si=23YBjUORP-DhPFot
    ..คณะรวมพลังแผ่นดินไทยต้องลงถนนได้แล้ว,ภาวะฉุกเฉินภาวะฉุกเฉินๆๆ ..กบฎได้ปรากฎขึ้นชัดเจนแล้ว,ประชาชนมีสิทธิขับไล่กบฎตลอดจับกุมกบฎมาลงโทษในข้อหาประหารชีวิต ทำลายความสงบสุขและอธิปไตยของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ตลอดทำให้เสียอธิปไตยตนเอง,อาชญากรสงครามต่อประเทศไทยแต่ละเว้นไม่รีบเร่งทำเอกสารส่งฟ้องอาชญากรสงครามต่อประเทศไทยจึงคือกบฎต่ออธิปไตยชาติทั้งพรรคร่วมและพรรครัฐบาลทั้งหมดต้องโทษประหารชีวิตเสมือนตัดสินใจทั้งหมดร่วมกันแล้ว.,ประเทศไทยต้องกวาดล้างภัยของชาติไทยภายในอย่างจริงจังได้แล้ว. https://youtube.com/watch?v=6whKss6M_bQ&si=23YBjUORP-DhPFot
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • นาฬิกาปลุก
    ปี พศ 2568

    วันหนึ่งนานประมาณยี่สิบปีมาแล้ว ผมนั่งรถลงใต้ มันเป็นช่วงต้นหน้าฝนฟ้าครึ้ม
    อากาศกำลังสบาย ผมนั่งเหม่อ ๆ ดู 2 ข้างทางไปเรื่อย ๆ
    สัก 4 โมงเย็นรถก็ผ่านตรงช่วงเขาวัง เพชรบุรี ผมมองขึ้นไปที่พระราชวังบนยอดเขา
    เห็นแสงแดดกำลังส่องทะลุเมฆไปต้องพระราชวัง ทำให้พระราชวังงดงามเหลือเกิน
    ผมยกมือไหว้สักการะอย่างที่ทำทุกครั้งที่ผ่าน …
    ความรู้สึกของผมตอนนั้นบอกไม่ถูก เหมือนข้ามเวลา ข้ามมิติ
    ผมนึกในใจ นี่คงเหมือนเราเห็นสวรรค์กระมังนะ …ยังไม่เคยไป ได้แต่เดา

    แล้วรถก็แล่นผ่านทุ่งนากับต้นตาล ที่ยังพอมีให้เห็นชื่นใจ
    ดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงออกมามากขึ้น มันเป็นเวลาที่เขาเรียกว่าแดดสวย
    ผมมองทุ่งนาสีเขียวสดผืนใหญ่ กับทิวเขายาวอยู่ไกล ๆ
    เมฆที่ยอดเขาสะท้อนกับแสงอาทิตย์ สีสวยจัด มันสวยสงบและรู้สึกอบอุ่น
    เป็นภาพที่อยู่ในใจผมอย่างไม่มีวันจาง ทุกครั้งที่ผมนึกถึงวันนั้น
    ผมจะมีอาการตื้นตันบอกตัวเอง นี่ คือ … วาสนาของชาวสยาม…
    วาสนาที่บางทีเราลืมที่จะนึกถึงและรับรู้… เพราะถูกบดบังจากสิ่งลวงตา

    เราอยู่ในแผ่นดิน ที่เคยได้รับคำกล่าวขานว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มีความอุดมสมบูรณ์
    มีศาสนา มีสถาบันพระมหากษัตริย์ มีการศึกษา การอบรมเลี้ยงดู ศิลปะ วัฒนธรรมประเพณี
    ชีวิตความเป็นอยู่ที่สอดคล้องกับธรรมชาติของบ้านเรามาเป็นเวลานานแล้ว …

    แต่ปัจจุบันนี้ ดูเหมือนเราจะมองข้าม หรือไม่ใส่ใจจริง
    กับความโชคดีและวาสนาของเรานัก …เรามักจะหลงไหลได้ปลื้ม
    กับบรรดาสรรพสิ่งไม่ว่าเป็นรูปแบบใด ที่ “พวกตะวันตก” เขาเอามาฝังหัวลวงหลอกเราไว้
    แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะแกะลอกล้างสิ่งที่พวกเขาฝั่งเอาไว้ไม่ออก
    ไม่สะอาดหมดจดเสียที

    ผมตั้งข้อสังเกต ปนสงสัยมานานแล้วว่าเหตุการณ์ในบ้านเมืองเรา
    ที่เกิดขึ้นอย่างน้อยก็ตั้งแต่ช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง น่าจะมีส่วนเกี่ยวโยง
    กับปัจจัยนอกบ้าน มากกว่าที่เราคิด
    ผมค่อย ๆ หาข้อมูลมาอ่านแก้ความสงสัยของตัวเองไปเรื่อย ๆ แต่มันไปไม่ได้
    ไกลอย่างที่ต้องการ เพราะเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการทำงานเพื่อดำรงชีพ
    และก็ไปทำเรื่องอื่น ๆ ที่สุดท้ายแล้ว ก็เลยยังไม่ได้คำตอบมาแก้ข้อสงสัยที่ค้างอยู่นั้น

    หลายสิบปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ในบ้านเราเกิดขึ้นมากมาย มีความพยายามแก้ปัญหา
    แต่เหมือนแก้ไม่ถูกจุด เหมือนเรามองข้าม หรือเรามองปัญหาไม่แตก
    มันทำให้ผมย้อนกลับมาคิดถึงข้อสงสัย เกี่ยวกับปัจจัยนอกบ้านที่ยังคาใจผมอยู่

    และถ้ามันเป็นอย่างที่ผมสงสัยจริง…และถ้าเราไม่ตื่นมารู้เรื่องด้วยกัน
    อีกไม่นานหรอก ประเทศเราอาจจะตกเป็นเหยื่อ เป็นอาณานิคมในรูปแบบใหม่ต่อไป
    และวันนั้น สีของธงชาติเราไม่รู้จะยังอยู่ครบไหม
    สถาบันที่เรารักเคารพ วัดพระแก้ว เขาวัง ท้องนาสีเขียวและอีกหลาย ๆ อย่าง ฯลฯ
    ไม่รู้จะเหลืออยู่แค่ไหน แบบไหน…หรือมันจะกลายเป็นเหมือนหลายๆเมือง
    ที่เราเห็นในข่าว !?!

    คำถามเกิดขึ้นในหัวเต็มไปหมด

    ผมบอกตัวเองว่า มันคงจะดีไม่น้อย ถ้าชาวสยามรับรู้ถึงวาสนาของตนเอง
    และทำความเข้าใจกับความเป็นไปทั้งนอกบ้านและในบ้านเมืองของเราให้มากขึ้น
    จะได้มีความหวงและห่วงใยบ้านเมืองของเรา…บ้านของเรานะครับ

    ผมนึกถึงวันที่ผมเห็นแดดทอแสงสวยบนเขาวัง กับท้องนาที่เขียวชอุ่มกับเมฆสีสวย

    แล้วผมก็ตัดสินใจเขียนนิทาน เกี่ยวกับการเมืองโลก ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยเขียนอะไร
    เป็นเรื่องเป็นราวมาก่อนเลย ผมเล่ามุมมองของผม แบบอ่านง่าย ๆ และนำมาลง
    ให้อ่านผ่านเพจนิทานเรื่องจริง ตำนานการลวงหลอกล่อฯ ทางเฟสบุ๊ก
    ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2556 …
    ผมเขียนไปและอ่านข้อมูลศึกษาเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆทุกวันๆละประมาณ 10 ชั่วโมง
    มาตลอด เว้นแต่ช่วงเวลาที่สุขภาพของผมไม่อำนวย จนถึงตอนนี้ (พศ 2568)
    ผมมีเอกสารและหนังสือที่ใช้เขียนนิทาน ถึง 4 ตู้ใหญ่ 5 ตู้เล็ก กับอีก 20 กล่อง

    เมื่อผมเริ่มเขียนนิทาน ผมมีความเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย ว่าการล่าเหยื่อ
    ล่าอาณานิคมยังมีอยู่ เพียงแต่มีการพรางตัวเปลี่ยนรูปแบบการล่าไปตามยุคสมัย
    มันไม่ใช่เป็นเพียงข้อสังเกตหรือข้อสงสัยอีกแล้ว …สำหรับผมมันเป็นข้อเท็จจริง…
    บ้านเมืองเราตกเป็นเหยื่อของต่างชาติ มานานเต็มทีแล้ว!!

    และมาถึงวันนี้ ผมเชื่อว่าโลกเรากำลังจะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่
    ในอีกไม่นานนัก และการเปลี่ยนแปลงนั้น อาจจะมาเร็วจนเราตั้งตัวตั้งสติไม่ทัน

    บ้านเรามีการเตรียมการอะไรไหม ผมตอบไม่ได้ ผมไม่ได้เป็นผู้บริหารประเทศ
    สิ่งที่ผมพอทำได้ในฐานะประชาชน และกำลังทำอยู่ คือ เล่านิทาน
    เพื่อให้ทำหน้าที่เหมือนเป็นนาฬิกาปลุก ให้เพื่อนร่วมชาติตื่นขึ้นมาสนใจ
    เหตุการณ์นอกบ้าน ที่อาจกระทบกับบ้านเมืองเรา และเกิดความรู้สึกห่วงใย
    หวงแหนบ้านเมืองของเราบ้าง พร้อมกับเตรียมการเตรียมตัวรับมือ
    กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก…
    ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ว่าอาจจะหนักหนาสาหัสยิ่งนัก !!!

    นิทานแต่ละเรื่อง แม้จะเขียนเรื่องต่างประเทศ แต่ผมได้พยายามเขียนระหว่างบรรทัด
    ให้ข้อคิดเกี่ยวกับบ้านเมืองของเราไปด้วย ผมพยายามร้อยเรียงนิทาน
    โดยเริ่มจากเรื่องในบ้านเรา เล่ามาเรื่อย ๆ ถึง การล่าการตกเป็นเหยื่อ
    การต่อสู้ดิ้นรนของเหยื่อ และวิธีการของนักล่าในการงับเหยื่อในรูปแบบต่างๆ
    เพื่อไม่ให้เหยื่อมีโอกาสหลุดออกจากปากของมัน และตัวละครสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

    มาถึงปัจจุบันนี้ (เดือน เมษายน พศ 2568)
    ผมไม่แน่ใจว่าผมจะมีกำลังเขียนนิทานลงในเพจไปได้อีกหรือไม่
    หรือเขียนได้อีกนานเท่าไหร่ เนื่องจากสภาพสังขารของผมเอง
    และปัจจัยอื่น ที่มันเกินการควบคุมของผม …

    ผมคาดว่านิทานเรื่องจริงฯ ที่ผมเขียนมานั้น น่าจะเป็นที่สนใจสำหรับผู้ที่ติดตาม
    การเมืองโลก และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการรักษาชาติบ้านเมือง รักษาแผ่นดิน
    และสถาบันพระมหากษัตริย์ของเรา…
    และยังทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกที่ไม่ล้าสมัยเกินไป
    ผมจึงเอานิทานเรื่องจริงฯ เล่มที่ 1 ถึง 9 (หน้าปกสีส้ม)ที่เคยได้ตีพิมพ์มาครั้งหนึ่ง
    เมื่อเดือนตุลาคม พศ 2559 และเล่มที่ 10 (หน้าปกสีส้ม) เมื่อเดือนมีนาคม พศ 2560
    รวมทั้งนิทานที่เขียนและลงโพสต์ไปแล้วทั้งหมด จนถึงเรื่องสุดท้าย (ปี พศ 2567)
    (หน้าปกสีน้ำเงิน) แต่ยังไม่ได้มีโอกาสตีพิมพ์เป็นเล่ม มาจัดให้อยู่ในรูปเว็บไซต์
    อย่างเป็นระบบ เพื่อผู้ที่มีความสนใจ จะได้เข้าถึงอย่างสะดวกขึ้น…

    ขอบคุณครับ
    จากคนเล่านิทาน
    20 เมษายน 2568
    นาฬิกาปลุก ปี พศ 2568 วันหนึ่งนานประมาณยี่สิบปีมาแล้ว ผมนั่งรถลงใต้ มันเป็นช่วงต้นหน้าฝนฟ้าครึ้ม อากาศกำลังสบาย ผมนั่งเหม่อ ๆ ดู 2 ข้างทางไปเรื่อย ๆ สัก 4 โมงเย็นรถก็ผ่านตรงช่วงเขาวัง เพชรบุรี ผมมองขึ้นไปที่พระราชวังบนยอดเขา เห็นแสงแดดกำลังส่องทะลุเมฆไปต้องพระราชวัง ทำให้พระราชวังงดงามเหลือเกิน ผมยกมือไหว้สักการะอย่างที่ทำทุกครั้งที่ผ่าน … ความรู้สึกของผมตอนนั้นบอกไม่ถูก เหมือนข้ามเวลา ข้ามมิติ ผมนึกในใจ นี่คงเหมือนเราเห็นสวรรค์กระมังนะ …ยังไม่เคยไป ได้แต่เดา แล้วรถก็แล่นผ่านทุ่งนากับต้นตาล ที่ยังพอมีให้เห็นชื่นใจ ดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงออกมามากขึ้น มันเป็นเวลาที่เขาเรียกว่าแดดสวย ผมมองทุ่งนาสีเขียวสดผืนใหญ่ กับทิวเขายาวอยู่ไกล ๆ เมฆที่ยอดเขาสะท้อนกับแสงอาทิตย์ สีสวยจัด มันสวยสงบและรู้สึกอบอุ่น เป็นภาพที่อยู่ในใจผมอย่างไม่มีวันจาง ทุกครั้งที่ผมนึกถึงวันนั้น ผมจะมีอาการตื้นตันบอกตัวเอง นี่ คือ … วาสนาของชาวสยาม… วาสนาที่บางทีเราลืมที่จะนึกถึงและรับรู้… เพราะถูกบดบังจากสิ่งลวงตา เราอยู่ในแผ่นดิน ที่เคยได้รับคำกล่าวขานว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มีความอุดมสมบูรณ์ มีศาสนา มีสถาบันพระมหากษัตริย์ มีการศึกษา การอบรมเลี้ยงดู ศิลปะ วัฒนธรรมประเพณี ชีวิตความเป็นอยู่ที่สอดคล้องกับธรรมชาติของบ้านเรามาเป็นเวลานานแล้ว … แต่ปัจจุบันนี้ ดูเหมือนเราจะมองข้าม หรือไม่ใส่ใจจริง กับความโชคดีและวาสนาของเรานัก …เรามักจะหลงไหลได้ปลื้ม กับบรรดาสรรพสิ่งไม่ว่าเป็นรูปแบบใด ที่ “พวกตะวันตก” เขาเอามาฝังหัวลวงหลอกเราไว้ แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะแกะลอกล้างสิ่งที่พวกเขาฝั่งเอาไว้ไม่ออก ไม่สะอาดหมดจดเสียที ผมตั้งข้อสังเกต ปนสงสัยมานานแล้วว่าเหตุการณ์ในบ้านเมืองเรา ที่เกิดขึ้นอย่างน้อยก็ตั้งแต่ช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง น่าจะมีส่วนเกี่ยวโยง กับปัจจัยนอกบ้าน มากกว่าที่เราคิด ผมค่อย ๆ หาข้อมูลมาอ่านแก้ความสงสัยของตัวเองไปเรื่อย ๆ แต่มันไปไม่ได้ ไกลอย่างที่ต้องการ เพราะเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการทำงานเพื่อดำรงชีพ และก็ไปทำเรื่องอื่น ๆ ที่สุดท้ายแล้ว ก็เลยยังไม่ได้คำตอบมาแก้ข้อสงสัยที่ค้างอยู่นั้น หลายสิบปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ในบ้านเราเกิดขึ้นมากมาย มีความพยายามแก้ปัญหา แต่เหมือนแก้ไม่ถูกจุด เหมือนเรามองข้าม หรือเรามองปัญหาไม่แตก มันทำให้ผมย้อนกลับมาคิดถึงข้อสงสัย เกี่ยวกับปัจจัยนอกบ้านที่ยังคาใจผมอยู่ และถ้ามันเป็นอย่างที่ผมสงสัยจริง…และถ้าเราไม่ตื่นมารู้เรื่องด้วยกัน อีกไม่นานหรอก ประเทศเราอาจจะตกเป็นเหยื่อ เป็นอาณานิคมในรูปแบบใหม่ต่อไป และวันนั้น สีของธงชาติเราไม่รู้จะยังอยู่ครบไหม สถาบันที่เรารักเคารพ วัดพระแก้ว เขาวัง ท้องนาสีเขียวและอีกหลาย ๆ อย่าง ฯลฯ ไม่รู้จะเหลืออยู่แค่ไหน แบบไหน…หรือมันจะกลายเป็นเหมือนหลายๆเมือง ที่เราเห็นในข่าว !?! คำถามเกิดขึ้นในหัวเต็มไปหมด ผมบอกตัวเองว่า มันคงจะดีไม่น้อย ถ้าชาวสยามรับรู้ถึงวาสนาของตนเอง และทำความเข้าใจกับความเป็นไปทั้งนอกบ้านและในบ้านเมืองของเราให้มากขึ้น จะได้มีความหวงและห่วงใยบ้านเมืองของเรา…บ้านของเรานะครับ ผมนึกถึงวันที่ผมเห็นแดดทอแสงสวยบนเขาวัง กับท้องนาที่เขียวชอุ่มกับเมฆสีสวย แล้วผมก็ตัดสินใจเขียนนิทาน เกี่ยวกับการเมืองโลก ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยเขียนอะไร เป็นเรื่องเป็นราวมาก่อนเลย ผมเล่ามุมมองของผม แบบอ่านง่าย ๆ และนำมาลง ให้อ่านผ่านเพจนิทานเรื่องจริง ตำนานการลวงหลอกล่อฯ ทางเฟสบุ๊ก ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2556 … ผมเขียนไปและอ่านข้อมูลศึกษาเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆทุกวันๆละประมาณ 10 ชั่วโมง มาตลอด เว้นแต่ช่วงเวลาที่สุขภาพของผมไม่อำนวย จนถึงตอนนี้ (พศ 2568) ผมมีเอกสารและหนังสือที่ใช้เขียนนิทาน ถึง 4 ตู้ใหญ่ 5 ตู้เล็ก กับอีก 20 กล่อง เมื่อผมเริ่มเขียนนิทาน ผมมีความเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย ว่าการล่าเหยื่อ ล่าอาณานิคมยังมีอยู่ เพียงแต่มีการพรางตัวเปลี่ยนรูปแบบการล่าไปตามยุคสมัย มันไม่ใช่เป็นเพียงข้อสังเกตหรือข้อสงสัยอีกแล้ว …สำหรับผมมันเป็นข้อเท็จจริง… บ้านเมืองเราตกเป็นเหยื่อของต่างชาติ มานานเต็มทีแล้ว!! และมาถึงวันนี้ ผมเชื่อว่าโลกเรากำลังจะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ ในอีกไม่นานนัก และการเปลี่ยนแปลงนั้น อาจจะมาเร็วจนเราตั้งตัวตั้งสติไม่ทัน บ้านเรามีการเตรียมการอะไรไหม ผมตอบไม่ได้ ผมไม่ได้เป็นผู้บริหารประเทศ สิ่งที่ผมพอทำได้ในฐานะประชาชน และกำลังทำอยู่ คือ เล่านิทาน เพื่อให้ทำหน้าที่เหมือนเป็นนาฬิกาปลุก ให้เพื่อนร่วมชาติตื่นขึ้นมาสนใจ เหตุการณ์นอกบ้าน ที่อาจกระทบกับบ้านเมืองเรา และเกิดความรู้สึกห่วงใย หวงแหนบ้านเมืองของเราบ้าง พร้อมกับเตรียมการเตรียมตัวรับมือ กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก… ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ว่าอาจจะหนักหนาสาหัสยิ่งนัก !!! นิทานแต่ละเรื่อง แม้จะเขียนเรื่องต่างประเทศ แต่ผมได้พยายามเขียนระหว่างบรรทัด ให้ข้อคิดเกี่ยวกับบ้านเมืองของเราไปด้วย ผมพยายามร้อยเรียงนิทาน โดยเริ่มจากเรื่องในบ้านเรา เล่ามาเรื่อย ๆ ถึง การล่าการตกเป็นเหยื่อ การต่อสู้ดิ้นรนของเหยื่อ และวิธีการของนักล่าในการงับเหยื่อในรูปแบบต่างๆ เพื่อไม่ให้เหยื่อมีโอกาสหลุดออกจากปากของมัน และตัวละครสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มาถึงปัจจุบันนี้ (เดือน เมษายน พศ 2568) ผมไม่แน่ใจว่าผมจะมีกำลังเขียนนิทานลงในเพจไปได้อีกหรือไม่ หรือเขียนได้อีกนานเท่าไหร่ เนื่องจากสภาพสังขารของผมเอง และปัจจัยอื่น ที่มันเกินการควบคุมของผม … ผมคาดว่านิทานเรื่องจริงฯ ที่ผมเขียนมานั้น น่าจะเป็นที่สนใจสำหรับผู้ที่ติดตาม การเมืองโลก และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการรักษาชาติบ้านเมือง รักษาแผ่นดิน และสถาบันพระมหากษัตริย์ของเรา… และยังทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกที่ไม่ล้าสมัยเกินไป ผมจึงเอานิทานเรื่องจริงฯ เล่มที่ 1 ถึง 9 (หน้าปกสีส้ม)ที่เคยได้ตีพิมพ์มาครั้งหนึ่ง เมื่อเดือนตุลาคม พศ 2559 และเล่มที่ 10 (หน้าปกสีส้ม) เมื่อเดือนมีนาคม พศ 2560 รวมทั้งนิทานที่เขียนและลงโพสต์ไปแล้วทั้งหมด จนถึงเรื่องสุดท้าย (ปี พศ 2567) (หน้าปกสีน้ำเงิน) แต่ยังไม่ได้มีโอกาสตีพิมพ์เป็นเล่ม มาจัดให้อยู่ในรูปเว็บไซต์ อย่างเป็นระบบ เพื่อผู้ที่มีความสนใจ จะได้เข้าถึงอย่างสะดวกขึ้น… ขอบคุณครับ จากคนเล่านิทาน 20 เมษายน 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากระดับนาโน: เมื่อความสุ่มกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดของการผลิตชิป

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 บริษัท Fractilia ผู้นำด้านการวัดความแปรปรวนแบบสุ่ม (stochastics metrology) ได้เผยแพร่เอกสารวิชาการที่ชี้ให้เห็นว่า “ความแปรปรวนแบบสุ่ม” ในกระบวนการสร้างลวดลายบนชิป (โดยเฉพาะในเทคโนโลยี EUV และ High-NA EUV) กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่ทำให้การผลิตชิประดับ 2nm และต่ำกว่านั้นไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย

    แม้ในห้องวิจัยจะสามารถสร้างลวดลายขนาดเล็กถึง 12nm ได้ แต่เมื่อเข้าสู่การผลิตจริง กลับเกิดข้อผิดพลาดแบบสุ่ม เช่น ความหยาบของขอบลวดลาย (LER), ความแปรปรวนของขนาด (LCDU), และการเชื่อมหรือขาดของเส้นลวดลาย ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ด้วยวิธีเดิม

    Fractilia เรียกช่องว่างนี้ว่า “Stochastics Gap” ซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างสิ่งที่สามารถทำได้ในห้องวิจัย กับสิ่งที่สามารถผลิตได้จริงในโรงงาน โดยเสนอแนวทางใหม่ในการวัดและควบคุมความสุ่มด้วยเทคนิคเชิงสถิติและการออกแบบที่ตระหนักถึงความสุ่มตั้งแต่ต้น

    Fractilia เปิดเผยว่าอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์สูญเงินหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปีจากความแปรปรวนแบบสุ่ม
    ความแปรปรวนนี้เกิดจากพฤติกรรมของโมเลกุล, แหล่งกำเนิดแสง, และอะตอมในกระบวนการสร้างลวดลาย
    ส่งผลให้ yield ต่ำ, ผลิตล่าช้า, และประสิทธิภาพชิปลดลง

    “Stochastics Gap” คือช่องว่างระหว่างสิ่งที่สามารถพิมพ์ในห้องวิจัย กับสิ่งที่ผลิตได้จริงในโรงงาน
    แม้จะพิมพ์ลวดลายขนาด 12nm ได้ใน R&D แต่ในโรงงานกลับติดที่ 16–18nm
    ช่องว่างนี้ส่งผลต่อจำนวน die ต่อ wafer และรายได้ที่หายไป

    Fractilia เสนอวิธีแก้ปัญหาด้วยการวัดความสุ่มอย่างแม่นยำและออกแบบกระบวนการที่รองรับความสุ่ม
    ใช้เทคโนโลยี FILM™ และ FAME™ เพื่อวัดความแปรปรวนแบบสุ่มในระดับนาโน
    เสนอการออกแบบที่ตระหนักถึงความสุ่ม เช่น OPC แบบ local-aware และการเลือกวัสดุที่ลด noise

    ความแปรปรวนแบบสุ่มไม่สามารถแก้ด้วยการควบคุมแบบเดิม
    ไม่ใช่ปัญหาเครื่องมือหรือการปรับพารามิเตอร์
    ต้องใช้การวิเคราะห์เชิงความน่าจะเป็นแทนการเฉลี่ยแบบเดิม

    การวัดความสุ่มอย่างแม่นยำช่วยให้ทีมออกแบบ, วิศวกร, และซัพพลายเออร์สื่อสารกันได้ดีขึ้น
    สร้าง “ภาษากลาง” ในการวิเคราะห์ yield และ defect
    ช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น

    หากไม่แก้ปัญหา Stochastics Gap จะทำให้การผลิตชิประดับ 2nm และต่ำกว่าติดขัด
    Yield ต่ำลง, ต้องใช้ mask หลายรอบ, และออกแบบชิปแบบประนีประนอม
    สูญเสียรายได้จาก die ที่ผลิตได้น้อยลงต่อ wafer

    โรงงานส่วนใหญ่ยังไม่มีเครื่องมือวัดความสุ่มอย่างแม่นยำในสายการผลิตจริง
    แม้จะรู้ว่าปัญหามีอยู่ แต่ขาดเทคโนโลยีในการวัดและควบคุม
    ทำให้ไม่สามารถปรับปรุงกระบวนการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การใช้ EUV และ High-NA EUV ทำให้ความสุ่มมีผลมากขึ้นในงบประมาณข้อผิดพลาด
    ความสามารถในการพิมพ์ลวดลายเล็กลง แต่ความสุ่มกลับเพิ่มขึ้น
    ทำให้ข้อผิดพลาดแบบสุ่มกลายเป็นปัจจัยหลักที่จำกัด yield

    การไม่ตระหนักถึงความสุ่มตั้งแต่การออกแบบอาจทำให้ชิปไม่สามารถผลิตได้จริง
    ออกแบบลวดลายที่สวยงามใน CAD แต่ไม่สามารถพิมพ์ได้ในโรงงาน
    ต้องกลับไปแก้แบบใหม่ เสียเวลาและต้นทุน

    https://www.techradar.com/pro/the-semiconductor-industry-is-losing-billions-of-dollars-annually-because-of-this-little-obscure-quirk
    ⚠️ เรื่องเล่าจากระดับนาโน: เมื่อความสุ่มกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดของการผลิตชิป ในเดือนกรกฎาคม 2025 บริษัท Fractilia ผู้นำด้านการวัดความแปรปรวนแบบสุ่ม (stochastics metrology) ได้เผยแพร่เอกสารวิชาการที่ชี้ให้เห็นว่า “ความแปรปรวนแบบสุ่ม” ในกระบวนการสร้างลวดลายบนชิป (โดยเฉพาะในเทคโนโลยี EUV และ High-NA EUV) กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่ทำให้การผลิตชิประดับ 2nm และต่ำกว่านั้นไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย แม้ในห้องวิจัยจะสามารถสร้างลวดลายขนาดเล็กถึง 12nm ได้ แต่เมื่อเข้าสู่การผลิตจริง กลับเกิดข้อผิดพลาดแบบสุ่ม เช่น ความหยาบของขอบลวดลาย (LER), ความแปรปรวนของขนาด (LCDU), และการเชื่อมหรือขาดของเส้นลวดลาย ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ด้วยวิธีเดิม Fractilia เรียกช่องว่างนี้ว่า “Stochastics Gap” ซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างสิ่งที่สามารถทำได้ในห้องวิจัย กับสิ่งที่สามารถผลิตได้จริงในโรงงาน โดยเสนอแนวทางใหม่ในการวัดและควบคุมความสุ่มด้วยเทคนิคเชิงสถิติและการออกแบบที่ตระหนักถึงความสุ่มตั้งแต่ต้น ✅ Fractilia เปิดเผยว่าอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์สูญเงินหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปีจากความแปรปรวนแบบสุ่ม ➡️ ความแปรปรวนนี้เกิดจากพฤติกรรมของโมเลกุล, แหล่งกำเนิดแสง, และอะตอมในกระบวนการสร้างลวดลาย ➡️ ส่งผลให้ yield ต่ำ, ผลิตล่าช้า, และประสิทธิภาพชิปลดลง ✅ “Stochastics Gap” คือช่องว่างระหว่างสิ่งที่สามารถพิมพ์ในห้องวิจัย กับสิ่งที่ผลิตได้จริงในโรงงาน ➡️ แม้จะพิมพ์ลวดลายขนาด 12nm ได้ใน R&D แต่ในโรงงานกลับติดที่ 16–18nm ➡️ ช่องว่างนี้ส่งผลต่อจำนวน die ต่อ wafer และรายได้ที่หายไป ✅ Fractilia เสนอวิธีแก้ปัญหาด้วยการวัดความสุ่มอย่างแม่นยำและออกแบบกระบวนการที่รองรับความสุ่ม ➡️ ใช้เทคโนโลยี FILM™ และ FAME™ เพื่อวัดความแปรปรวนแบบสุ่มในระดับนาโน ➡️ เสนอการออกแบบที่ตระหนักถึงความสุ่ม เช่น OPC แบบ local-aware และการเลือกวัสดุที่ลด noise ✅ ความแปรปรวนแบบสุ่มไม่สามารถแก้ด้วยการควบคุมแบบเดิม ➡️ ไม่ใช่ปัญหาเครื่องมือหรือการปรับพารามิเตอร์ ➡️ ต้องใช้การวิเคราะห์เชิงความน่าจะเป็นแทนการเฉลี่ยแบบเดิม ✅ การวัดความสุ่มอย่างแม่นยำช่วยให้ทีมออกแบบ, วิศวกร, และซัพพลายเออร์สื่อสารกันได้ดีขึ้น ➡️ สร้าง “ภาษากลาง” ในการวิเคราะห์ yield และ defect ➡️ ช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น ‼️ หากไม่แก้ปัญหา Stochastics Gap จะทำให้การผลิตชิประดับ 2nm และต่ำกว่าติดขัด ⛔ Yield ต่ำลง, ต้องใช้ mask หลายรอบ, และออกแบบชิปแบบประนีประนอม ⛔ สูญเสียรายได้จาก die ที่ผลิตได้น้อยลงต่อ wafer ‼️ โรงงานส่วนใหญ่ยังไม่มีเครื่องมือวัดความสุ่มอย่างแม่นยำในสายการผลิตจริง ⛔ แม้จะรู้ว่าปัญหามีอยู่ แต่ขาดเทคโนโลยีในการวัดและควบคุม ⛔ ทำให้ไม่สามารถปรับปรุงกระบวนการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ‼️ การใช้ EUV และ High-NA EUV ทำให้ความสุ่มมีผลมากขึ้นในงบประมาณข้อผิดพลาด ⛔ ความสามารถในการพิมพ์ลวดลายเล็กลง แต่ความสุ่มกลับเพิ่มขึ้น ⛔ ทำให้ข้อผิดพลาดแบบสุ่มกลายเป็นปัจจัยหลักที่จำกัด yield ‼️ การไม่ตระหนักถึงความสุ่มตั้งแต่การออกแบบอาจทำให้ชิปไม่สามารถผลิตได้จริง ⛔ ออกแบบลวดลายที่สวยงามใน CAD แต่ไม่สามารถพิมพ์ได้ในโรงงาน ⛔ ต้องกลับไปแก้แบบใหม่ เสียเวลาและต้นทุน https://www.techradar.com/pro/the-semiconductor-industry-is-losing-billions-of-dollars-annually-because-of-this-little-obscure-quirk
    WWW.TECHRADAR.COM
    Tiny random manufacturing defects now costing chipmakers billions
    Randomness at the nanoscale is limiting semiconductor yields
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ “งานไอที” กลายเป็นช่องทางส่งเงินให้โครงการนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็นบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ที่จ้างพนักงานไอทีทำงานจากระยะไกล โดยเชื่อว่าเขาเป็นพลเมืองอเมริกัน แต่จริงๆ แล้ว เขาคือเจ้าหน้าที่จากเกาหลีเหนือที่ใช้ตัวตนปลอม และเงินเดือนที่คุณจ่ายไปนั้นถูกส่งตรงไปยังรัฐบาลเปียงยางเพื่อใช้ในโครงการอาวุธนิวเคลียร์!

    นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในคดีของ Christina Marie Chapman หญิงวัย 50 ปีจากรัฐแอริโซนา ที่ถูกตัดสินจำคุก 8.5 ปีในเดือนกรกฎาคม 2025 จากการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ไอทีของเกาหลีเหนือให้ได้งานในบริษัทสหรัฐฯ กว่า 309 แห่ง รวมถึงบริษัทระดับ Fortune 500 โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า “ฟาร์มแล็ปท็อป” เพื่อหลอกให้บริษัทเชื่อว่าพนักงานเหล่านั้นทำงานจากในประเทศ

    Christina Chapman ถูกตัดสินจำคุก 102 เดือน ฐานช่วยเหลือขบวนการหลอกลวงงานไอทีให้เกาหลีเหนือ
    รับโทษจำคุก 8.5 ปี พร้อมถูกควบคุมหลังพ้นโทษอีก 3 ปี
    ต้องยึดทรัพย์ $284,555.92 และจ่ายค่าปรับ $176,850

    ขบวนการนี้สร้างรายได้ให้เกาหลีเหนือกว่า $17.1 ล้าน
    ใช้ตัวตนปลอมของชาวอเมริกัน 68 คน
    ส่งข้อมูลเท็จไปยังหน่วยงานรัฐกว่า 100 ครั้ง

    Chapman ดำเนินการ “ฟาร์มแล็ปท็อป” ที่บ้านของเธอ
    รับเครื่องจากบริษัทสหรัฐฯ แล้วให้เจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือเข้าระบบจากต่างประเทศ
    ส่งแล็ปท็อป 49 เครื่องไปยังเมืองชายแดนจีน-เกาหลีเหนือ

    บริษัทที่ถูกหลอกรวมถึงเครือข่ายโทรทัศน์รายใหญ่, บริษัทเทคโนโลยีใน Silicon Valley, ผู้ผลิตรถยนต์และอากาศยาน
    มีความพยายามเข้าถึงหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ 2 แห่ง แต่ถูกสกัดไว้ได้
    บางบริษัทถูกขบวนการนี้ “เลือกเป้าหมาย” โดยเฉพาะ

    รายได้จากงานไอทีถูกส่งกลับไปยังเกาหลีเหนือผ่านการฟอกเงิน
    Chapman รับเงินเดือนแทน, ปลอมลายเซ็น, ฝากเช็ค และโอนเงินไปต่างประเทศ
    รายได้ถูกแจ้งเท็จต่อ IRS และ Social Security

    FBI และ IRS เป็นผู้สืบสวนหลักในคดีนี้
    ยึดแล็ปท็อปกว่า 90 เครื่องจากบ้านของ Chapman
    ถือเป็นหนึ่งในคดีใหญ่ที่สุดที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงงานไอทีของเกาหลีเหนือ

    รัฐบาลสหรัฐฯ ออกคำแนะนำใหม่สำหรับบริษัทในการตรวจสอบพนักงานระยะไกล
    ตรวจสอบเอกสารตัวตน, ประวัติการศึกษาและการทำงาน
    ใช้วิดีโอสัมภาษณ์แบบเปิดกล้องและตรวจสอบภาพพื้นหลัง

    บริษัทที่ไม่ตรวจสอบพนักงานระยะไกลอย่างเข้มงวดเสี่ยงต่อการถูกแทรกซึม
    อาจถูกขโมยข้อมูล, ติดมัลแวร์ หรือถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน
    การใช้บริษัทจัดหางานภายนอกเพิ่มความเสี่ยง

    การใช้ตัวตนปลอมสร้างภาระให้กับพลเมืองสหรัฐฯ ที่ถูกขโมยข้อมูล
    เกิดภาระภาษีเท็จและข้อมูลผิดพลาดในระบบราชการ
    สร้างความเสียหายทางจิตใจและการเงินแก่ผู้ถูกแอบอ้าง

    รายได้จากงานไอทีถูกนำไปใช้สนับสนุนโครงการอาวุธของเกาหลีเหนือ
    เป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และสหประชาชาติ
    ส่งผลต่อความมั่นคงระดับโลก

    การใช้ AI และเทคโนโลยีใหม่เพิ่มความซับซ้อนในการปลอมตัว
    มีการใช้ AI เปลี่ยนภาพเอกสาร, ปรับเสียง และสร้างวิดีโอปลอม
    ทำให้การตรวจสอบตัวตนยากขึ้นสำหรับบริษัททั่วไป

    https://hackread.com/arizona-woman-jailed-help-north-korea-it-job-scam/
    🧑‍💻 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ “งานไอที” กลายเป็นช่องทางส่งเงินให้โครงการนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ ลองจินตนาการว่าคุณเป็นบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ที่จ้างพนักงานไอทีทำงานจากระยะไกล โดยเชื่อว่าเขาเป็นพลเมืองอเมริกัน แต่จริงๆ แล้ว เขาคือเจ้าหน้าที่จากเกาหลีเหนือที่ใช้ตัวตนปลอม และเงินเดือนที่คุณจ่ายไปนั้นถูกส่งตรงไปยังรัฐบาลเปียงยางเพื่อใช้ในโครงการอาวุธนิวเคลียร์! นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในคดีของ Christina Marie Chapman หญิงวัย 50 ปีจากรัฐแอริโซนา ที่ถูกตัดสินจำคุก 8.5 ปีในเดือนกรกฎาคม 2025 จากการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ไอทีของเกาหลีเหนือให้ได้งานในบริษัทสหรัฐฯ กว่า 309 แห่ง รวมถึงบริษัทระดับ Fortune 500 โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า “ฟาร์มแล็ปท็อป” เพื่อหลอกให้บริษัทเชื่อว่าพนักงานเหล่านั้นทำงานจากในประเทศ ✅ Christina Chapman ถูกตัดสินจำคุก 102 เดือน ฐานช่วยเหลือขบวนการหลอกลวงงานไอทีให้เกาหลีเหนือ ➡️ รับโทษจำคุก 8.5 ปี พร้อมถูกควบคุมหลังพ้นโทษอีก 3 ปี ➡️ ต้องยึดทรัพย์ $284,555.92 และจ่ายค่าปรับ $176,850 ✅ ขบวนการนี้สร้างรายได้ให้เกาหลีเหนือกว่า $17.1 ล้าน ➡️ ใช้ตัวตนปลอมของชาวอเมริกัน 68 คน ➡️ ส่งข้อมูลเท็จไปยังหน่วยงานรัฐกว่า 100 ครั้ง ✅ Chapman ดำเนินการ “ฟาร์มแล็ปท็อป” ที่บ้านของเธอ ➡️ รับเครื่องจากบริษัทสหรัฐฯ แล้วให้เจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือเข้าระบบจากต่างประเทศ ➡️ ส่งแล็ปท็อป 49 เครื่องไปยังเมืองชายแดนจีน-เกาหลีเหนือ ✅ บริษัทที่ถูกหลอกรวมถึงเครือข่ายโทรทัศน์รายใหญ่, บริษัทเทคโนโลยีใน Silicon Valley, ผู้ผลิตรถยนต์และอากาศยาน ➡️ มีความพยายามเข้าถึงหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ 2 แห่ง แต่ถูกสกัดไว้ได้ ➡️ บางบริษัทถูกขบวนการนี้ “เลือกเป้าหมาย” โดยเฉพาะ ✅ รายได้จากงานไอทีถูกส่งกลับไปยังเกาหลีเหนือผ่านการฟอกเงิน ➡️ Chapman รับเงินเดือนแทน, ปลอมลายเซ็น, ฝากเช็ค และโอนเงินไปต่างประเทศ ➡️ รายได้ถูกแจ้งเท็จต่อ IRS และ Social Security ✅ FBI และ IRS เป็นผู้สืบสวนหลักในคดีนี้ ➡️ ยึดแล็ปท็อปกว่า 90 เครื่องจากบ้านของ Chapman ➡️ ถือเป็นหนึ่งในคดีใหญ่ที่สุดที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงงานไอทีของเกาหลีเหนือ ✅ รัฐบาลสหรัฐฯ ออกคำแนะนำใหม่สำหรับบริษัทในการตรวจสอบพนักงานระยะไกล ➡️ ตรวจสอบเอกสารตัวตน, ประวัติการศึกษาและการทำงาน ➡️ ใช้วิดีโอสัมภาษณ์แบบเปิดกล้องและตรวจสอบภาพพื้นหลัง ‼️ บริษัทที่ไม่ตรวจสอบพนักงานระยะไกลอย่างเข้มงวดเสี่ยงต่อการถูกแทรกซึม ⛔ อาจถูกขโมยข้อมูล, ติดมัลแวร์ หรือถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน ⛔ การใช้บริษัทจัดหางานภายนอกเพิ่มความเสี่ยง ‼️ การใช้ตัวตนปลอมสร้างภาระให้กับพลเมืองสหรัฐฯ ที่ถูกขโมยข้อมูล ⛔ เกิดภาระภาษีเท็จและข้อมูลผิดพลาดในระบบราชการ ⛔ สร้างความเสียหายทางจิตใจและการเงินแก่ผู้ถูกแอบอ้าง ‼️ รายได้จากงานไอทีถูกนำไปใช้สนับสนุนโครงการอาวุธของเกาหลีเหนือ ⛔ เป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และสหประชาชาติ ⛔ ส่งผลต่อความมั่นคงระดับโลก ‼️ การใช้ AI และเทคโนโลยีใหม่เพิ่มความซับซ้อนในการปลอมตัว ⛔ มีการใช้ AI เปลี่ยนภาพเอกสาร, ปรับเสียง และสร้างวิดีโอปลอม ⛔ ทำให้การตรวจสอบตัวตนยากขึ้นสำหรับบริษัททั่วไป https://hackread.com/arizona-woman-jailed-help-north-korea-it-job-scam/
    HACKREAD.COM
    Arizona Woman Jailed for Helping North Korea in $17M IT Job Scam
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอกสารสปป.ลาว รวบ 11 ทหารเขมรรุกล้ำลาว เตรียมก่อเหตุหวัง "โบ้ย" ว่าไทยทำ (Lao PDR report: 11 Khmer soldiers arrested for border intrusion — suspected plot to frame Thailand.) [27/7/68]

    #ลาวจับทหารเขมร
    #11ทหารเขมรรุกล้ำลาว
    #พยายามโบ้ยไทย
    #เอกสารทางการลาว
    #แผนลวงโลก
    #KhmerPlotExposed
    #LaoPDRReport
    #BorderIntrusionEvidence
    #จับได้คาหนังคาเขา
    #กัมพูชายิงก่อน
    #柬埔寨先开火 (จีน)
    #カンボジアが先に発砲 (ญี่ปุ่น)
    #캄보디아가먼저발포 (เกาหลี)
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    #CambodiaOpenedFire
    #thaitimes
    #news1
    #shorts
    เอกสารสปป.ลาว รวบ 11 ทหารเขมรรุกล้ำลาว เตรียมก่อเหตุหวัง "โบ้ย" ว่าไทยทำ (Lao PDR report: 11 Khmer soldiers arrested for border intrusion — suspected plot to frame Thailand.) [27/7/68] #ลาวจับทหารเขมร #11ทหารเขมรรุกล้ำลาว #พยายามโบ้ยไทย #เอกสารทางการลาว #แผนลวงโลก #KhmerPlotExposed #LaoPDRReport #BorderIntrusionEvidence #จับได้คาหนังคาเขา #กัมพูชายิงก่อน #柬埔寨先开火 (จีน) #カンボジアが先に発砲 (ญี่ปุ่น) #캄보디아가먼저발포 (เกาหลี) #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #thaitimes #news1 #shorts
    Like
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • รมว.ต่างประเทศแถลง ยันชี้แจงเวทียูเอ็นแล้ว ย้ำกัมพูชาละเมิดอธิปไตยและกฎหมายระหว่างประเทศตลอด ล่าสุดละเมิดอนุสัญญาออตตาวาวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตอธิปไตยของไทย เผยพบประธาน UNSC ยื่นหนังสือชี้แจงเหตุการณ์ย้ำกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน ส่วนที่ประชุม UNSC เมื่อเช้าไม่ได้เน้นประเด็นใดเป็นพิเศษ แค่กล่าวหลักการกว้าง ๆ เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้การยับยั้งชั่งใจ ลดความตึงเครียด หยุดยิง และแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ใช้การทูตและการเจรจาทวิภาคี สนับสนุนบทบาทของอาเซียน โดยที่ประชุม UNSC ไม่ได้มีมติหรือการออกเอกสารใด ๆ

    วันนี้(26 ก.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงข่าวกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ณ ห้องแถลงข่าว กระทรวงการต่างประเทศ มีรายละเอียดคำแถลงดังนี้

    ผมเพิ่งเดินทางกลับถึงไทยเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา หลังจากเสร็จสิ้นการเข้าร่วมการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ High-Level Political Forum (HLPF) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

    ในห้วงการประชุมดังกล่าว ผมได้มีโอกาสพบหารือกับผู้แทนระดับสูงจาก UN และประเทศต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ผมจึงขอถือโอกาสมาแถลงถึงผลการเยือน เพื่อให้ทุกท่านได้รับทราบ
    ประเด็นแรก พัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000070557

    #Thaitimes #MGROnline #ทูตทหารไทย #กัมพูชา #ไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา
    รมว.ต่างประเทศแถลง ยันชี้แจงเวทียูเอ็นแล้ว ย้ำกัมพูชาละเมิดอธิปไตยและกฎหมายระหว่างประเทศตลอด ล่าสุดละเมิดอนุสัญญาออตตาวาวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตอธิปไตยของไทย เผยพบประธาน UNSC ยื่นหนังสือชี้แจงเหตุการณ์ย้ำกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน ส่วนที่ประชุม UNSC เมื่อเช้าไม่ได้เน้นประเด็นใดเป็นพิเศษ แค่กล่าวหลักการกว้าง ๆ เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้การยับยั้งชั่งใจ ลดความตึงเครียด หยุดยิง และแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ใช้การทูตและการเจรจาทวิภาคี สนับสนุนบทบาทของอาเซียน โดยที่ประชุม UNSC ไม่ได้มีมติหรือการออกเอกสารใด ๆ • วันนี้(26 ก.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงข่าวกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ณ ห้องแถลงข่าว กระทรวงการต่างประเทศ มีรายละเอียดคำแถลงดังนี้ • ผมเพิ่งเดินทางกลับถึงไทยเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา หลังจากเสร็จสิ้นการเข้าร่วมการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ High-Level Political Forum (HLPF) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา • ในห้วงการประชุมดังกล่าว ผมได้มีโอกาสพบหารือกับผู้แทนระดับสูงจาก UN และประเทศต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ผมจึงขอถือโอกาสมาแถลงถึงผลการเยือน เพื่อให้ทุกท่านได้รับทราบ ประเด็นแรก พัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000070557 • #Thaitimes #MGROnline #ทูตทหารไทย #กัมพูชา #ไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ “ติ๊กถูกว่าอายุเกิน 18” ไม่พออีกต่อไป

    ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2025 เป็นต้นไป การเข้าถึงเว็บไซต์ผู้ใหญ่ในสหราชอาณาจักรจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะกฎหมาย Online Safety Act ได้เริ่มบังคับใช้จริงแล้ว โดยกำหนดให้ทุกเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาลามกอนาจารต้องใช้ระบบตรวจสอบอายุที่ “มีประสิทธิภาพสูง” — ไม่ใช่แค่การกรอกวันเกิดหรือคลิกยืนยันว่าอายุเกิน 18 อีกต่อไป

    ผู้ใช้อาจต้องส่งภาพเซลฟี่, สแกนบัตรประชาชน, ใช้ข้อมูลธนาคาร หรือแม้แต่ระบบวิเคราะห์ใบหน้าเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันเด็กจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เช่น สื่อลามก, การยุยงให้ทำร้ายตัวเอง, การกินผิดปกติ และความรุนแรง

    เว็บไซต์ใหญ่ ๆ อย่าง Pornhub, Reddit, X (Twitter เดิม), Discord และ Bluesky ได้เริ่มใช้ระบบตรวจสอบอายุแล้ว ขณะที่บางเว็บไซต์เล็ก ๆ เช่น BitChute เลือกปิดบริการในสหราชอาณาจักรแทน เพราะไม่สามารถรับภาระต้นทุนและความเสี่ยงได้

    Online Safety Act เริ่มบังคับใช้ในสหราชอาณาจักร
    มีผลตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2025
    บังคับให้เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาผู้ใหญ่ต้องใช้ระบบตรวจสอบอายุที่มีประสิทธิภาพ

    รูปแบบการตรวจสอบอายุที่ได้รับอนุญาต
    การวิเคราะห์ใบหน้าจากภาพหรือวิดีโอ
    การตรวจสอบผ่านบัตรเครดิตหรือธนาคาร
    การจับคู่ภาพถ่ายกับเอกสารราชการ
    การใช้ digital identity wallets

    เว็บไซต์ใหญ่เริ่มปรับตัวแล้ว
    Reddit ใช้ระบบ Persona ตรวจสอบอายุผ่านเซลฟี่หรือบัตรประชาชน
    X ปรับการตั้งค่าเนื้อหาให้เป็น “ปลอดภัย” หากไม่สามารถยืนยันอายุได้
    Pornhub แสดงหน้าตรวจสอบอายุทันทีเมื่อเข้าจาก IP ในสหราชอาณาจักร

    Ofcom เป็นผู้กำกับดูแลและมีอำนาจลงโทษ
    ปรับสูงสุด £18 ล้าน หรือ 10% ของรายได้ทั่วโลก
    ผู้บริหารอาจถูกดำเนินคดีอาญาหากละเมิดซ้ำ

    เป้าหมายหลักคือการปกป้องเด็กจากเนื้อหาที่เป็นอันตราย
    รวมถึงสื่อลามก, การยุยงให้ทำร้ายตัวเอง, การกินผิดปกติ, ความรุนแรง และการกลั่นแกล้ง

    https://www.techspot.com/news/108814-no-porn-you-uk-online-safety-act-now.html
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ “ติ๊กถูกว่าอายุเกิน 18” ไม่พออีกต่อไป ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2025 เป็นต้นไป การเข้าถึงเว็บไซต์ผู้ใหญ่ในสหราชอาณาจักรจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะกฎหมาย Online Safety Act ได้เริ่มบังคับใช้จริงแล้ว โดยกำหนดให้ทุกเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาลามกอนาจารต้องใช้ระบบตรวจสอบอายุที่ “มีประสิทธิภาพสูง” — ไม่ใช่แค่การกรอกวันเกิดหรือคลิกยืนยันว่าอายุเกิน 18 อีกต่อไป ผู้ใช้อาจต้องส่งภาพเซลฟี่, สแกนบัตรประชาชน, ใช้ข้อมูลธนาคาร หรือแม้แต่ระบบวิเคราะห์ใบหน้าเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันเด็กจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เช่น สื่อลามก, การยุยงให้ทำร้ายตัวเอง, การกินผิดปกติ และความรุนแรง เว็บไซต์ใหญ่ ๆ อย่าง Pornhub, Reddit, X (Twitter เดิม), Discord และ Bluesky ได้เริ่มใช้ระบบตรวจสอบอายุแล้ว ขณะที่บางเว็บไซต์เล็ก ๆ เช่น BitChute เลือกปิดบริการในสหราชอาณาจักรแทน เพราะไม่สามารถรับภาระต้นทุนและความเสี่ยงได้ ✅ Online Safety Act เริ่มบังคับใช้ในสหราชอาณาจักร ➡️ มีผลตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2025 ➡️ บังคับให้เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาผู้ใหญ่ต้องใช้ระบบตรวจสอบอายุที่มีประสิทธิภาพ ✅ รูปแบบการตรวจสอบอายุที่ได้รับอนุญาต ➡️ การวิเคราะห์ใบหน้าจากภาพหรือวิดีโอ ➡️ การตรวจสอบผ่านบัตรเครดิตหรือธนาคาร ➡️ การจับคู่ภาพถ่ายกับเอกสารราชการ ➡️ การใช้ digital identity wallets ✅ เว็บไซต์ใหญ่เริ่มปรับตัวแล้ว ➡️ Reddit ใช้ระบบ Persona ตรวจสอบอายุผ่านเซลฟี่หรือบัตรประชาชน ➡️ X ปรับการตั้งค่าเนื้อหาให้เป็น “ปลอดภัย” หากไม่สามารถยืนยันอายุได้ ➡️ Pornhub แสดงหน้าตรวจสอบอายุทันทีเมื่อเข้าจาก IP ในสหราชอาณาจักร ✅ Ofcom เป็นผู้กำกับดูแลและมีอำนาจลงโทษ ➡️ ปรับสูงสุด £18 ล้าน หรือ 10% ของรายได้ทั่วโลก ➡️ ผู้บริหารอาจถูกดำเนินคดีอาญาหากละเมิดซ้ำ ✅ เป้าหมายหลักคือการปกป้องเด็กจากเนื้อหาที่เป็นอันตราย ➡️ รวมถึงสื่อลามก, การยุยงให้ทำร้ายตัวเอง, การกินผิดปกติ, ความรุนแรง และการกลั่นแกล้ง https://www.techspot.com/news/108814-no-porn-you-uk-online-safety-act-now.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    No porn for you, UK: Online Safety Act now requires age and ID checks on all adult sites
    The rules, designed to protect children from exposure to harmful content online, require sites that publish or display pornographic content to have rigorous age-verification systems in place....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ส่งกำลังใจถึงทหารหาญไทย ทุกๆท่านสุดยอดมากๆ
    ..ฮุนเซน ฮุนมาเนตต้องไปเฝ้ารากมะม่วงสถานเดียว ไร้การเจรจาพูดคุยใดๆทั้งหมด,กองพลความมั่นคงแห่งชาติเราลงมติ ให้แม่ทัพภาค2เราเป็นตัวแทนหัวหน้าคณะปฏิวัติกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยเถอะ,มีอำนาจตรงแต่งตั้งหัวหน้าควบคุมกระทรวงกลาโหมทั้งหมดได้ทันที,อนุมัติงบโดรมพลีชีพเพื่อทหารหาญเราเลย10,000ตัว,จัดการทหารเขมรตลอดแนวพรมแดนทั้งหมด,เรา..ประชาชนไม่ร่วมรักสามัคคีตนเพื่อแผ่นดินตนเอง,จะสามัคคีเพื่อแผ่นดินใคร,รัฐบาลปัจจุบันไร้ประสิทธิภาพการตอบโต้งานเอกสารงานข่าวใดๆด้านIOกับเขมรจริงๆเลย,รมต.และฑูตไทยเองเอยสามารถยื่นเรื่องแก่UNสำนักงานใหญ่มันได้ทันที เสือกยังช้าให้เขมรเดินเรื่องชิงตัดหน้าไปก่อน,ต้องIOทั่วโลกว่า "เขมรรุกรานคุกคามอธิปไตยดินแดนประเทศไทยก่อนและยิงประชาชนพลเรือนไทยเราก่อนด้วย."ประกาศอย่างเป็นทางการส่งจดหมายเร่งด่วนแก่ทุกๆฑูตในประเทศไทยและทั่วโลก,ออกสื่อออนไลน์ทุกๆแพลตฟอร์ม ,ประฌามฮุนเซนอย่างเป็นทางการผ่านทุกๆสถานฑูตทั่วไทยและทั่วโลกว่าเขมรนำโดยฮุนเซนเจตนายิงผู้บริสุทธิ์ที่เป็นเด็กๆคนชราจนเสียชีวิตก่อน ,ฮุนเซนและฮุนมาเนตคืออาชญากรสงครามและอาชญากรรมทางสงครามต่อประเทศไทยด้วย.,นี้รัฐบาลต้องเชิงรุกรอบด้านทั่วโลกลักษณะนี้,แอ็คชั่นยอมรับว่าสมควรถูกยึดอำนาจเถอะถ้าไม่ไปเองจริงๆ.

    https://youtube.com/watch?v=Aox1G2UXyVw&si=68p51lBdKOTI8Ela
    ..ส่งกำลังใจถึงทหารหาญไทย ทุกๆท่านสุดยอดมากๆ ..ฮุนเซน ฮุนมาเนตต้องไปเฝ้ารากมะม่วงสถานเดียว ไร้การเจรจาพูดคุยใดๆทั้งหมด,กองพลความมั่นคงแห่งชาติเราลงมติ ให้แม่ทัพภาค2เราเป็นตัวแทนหัวหน้าคณะปฏิวัติกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยเถอะ,มีอำนาจตรงแต่งตั้งหัวหน้าควบคุมกระทรวงกลาโหมทั้งหมดได้ทันที,อนุมัติงบโดรมพลีชีพเพื่อทหารหาญเราเลย10,000ตัว,จัดการทหารเขมรตลอดแนวพรมแดนทั้งหมด,เรา..ประชาชนไม่ร่วมรักสามัคคีตนเพื่อแผ่นดินตนเอง,จะสามัคคีเพื่อแผ่นดินใคร,รัฐบาลปัจจุบันไร้ประสิทธิภาพการตอบโต้งานเอกสารงานข่าวใดๆด้านIOกับเขมรจริงๆเลย,รมต.และฑูตไทยเองเอยสามารถยื่นเรื่องแก่UNสำนักงานใหญ่มันได้ทันที เสือกยังช้าให้เขมรเดินเรื่องชิงตัดหน้าไปก่อน,ต้องIOทั่วโลกว่า "เขมรรุกรานคุกคามอธิปไตยดินแดนประเทศไทยก่อนและยิงประชาชนพลเรือนไทยเราก่อนด้วย."ประกาศอย่างเป็นทางการส่งจดหมายเร่งด่วนแก่ทุกๆฑูตในประเทศไทยและทั่วโลก,ออกสื่อออนไลน์ทุกๆแพลตฟอร์ม ,ประฌามฮุนเซนอย่างเป็นทางการผ่านทุกๆสถานฑูตทั่วไทยและทั่วโลกว่าเขมรนำโดยฮุนเซนเจตนายิงผู้บริสุทธิ์ที่เป็นเด็กๆคนชราจนเสียชีวิตก่อน ,ฮุนเซนและฮุนมาเนตคืออาชญากรสงครามและอาชญากรรมทางสงครามต่อประเทศไทยด้วย.,นี้รัฐบาลต้องเชิงรุกรอบด้านทั่วโลกลักษณะนี้,แอ็คชั่นยอมรับว่าสมควรถูกยึดอำนาจเถอะถ้าไม่ไปเองจริงๆ. https://youtube.com/watch?v=Aox1G2UXyVw&si=68p51lBdKOTI8Ela
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • พ่อแม่ควรได้รับความโปร่งใสอย่างเต็มที่ ในส่วนความปลอดภัยของเอกสารกำกับยา Spikevax เปรียบเสมือนสัญญาณเตือนอันตราย:
    โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบถือเป็นความเสี่ยงที่ทราบกันดี โดยเฉพาะในเด็กผู้ชายวัยหนุ่มสาว
    อาการที่พบได้ในเด็ก ได้แก่ อาการเป็นลม ชัก อาเจียน หงุดหงิด และแม้แต่การเลี้ยงลูกด้วยนมที่ไม่เหมาะสมในทารก
    เอกสารกำกับยายังยอมรับว่า “การฉีดวัคซีนอาจไม่สามารถป้องกันทุกคนที่ได้รับวัคซีนได้”
    อ่านคำเตือนของ ดร. ปีเตอร์ แมคคัลลอฟ เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ใน Substack รายสัปดาห์ของเรา
    https://informedchoicewa.substack.com/p/icwa-weekly-news-7-16-25?open=false#%C2%A7moderna-spikevax-approved-even-with-history-of-adverse-events

    https://www.facebook.com/share/p/15F9262rmta/
    📌พ่อแม่ควรได้รับความโปร่งใสอย่างเต็มที่ ในส่วนความปลอดภัยของเอกสารกำกับยา Spikevax เปรียบเสมือนสัญญาณเตือนอันตราย: 🧨โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบถือเป็นความเสี่ยงที่ทราบกันดี โดยเฉพาะในเด็กผู้ชายวัยหนุ่มสาว 📌อาการที่พบได้ในเด็ก ได้แก่ อาการเป็นลม ชัก อาเจียน หงุดหงิด และแม้แต่การเลี้ยงลูกด้วยนมที่ไม่เหมาะสมในทารก 😈เอกสารกำกับยายังยอมรับว่า “การฉีดวัคซีนอาจไม่สามารถป้องกันทุกคนที่ได้รับวัคซีนได้” ➡️อ่านคำเตือนของ ดร. ปีเตอร์ แมคคัลลอฟ เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ใน Substack รายสัปดาห์ของเรา https://informedchoicewa.substack.com/p/icwa-weekly-news-7-16-25?open=false#%C2%A7moderna-spikevax-approved-even-with-history-of-adverse-events https://www.facebook.com/share/p/15F9262rmta/
    INFORMEDCHOICEWA.SUBSTACK.COM
    ICWA Weekly News 7-16-25
    Saturday parade in Covington; Moderna Spikevax approved, even with history of adverse events, Marketing vaccines to rural Washington communities; July 28 lunchtime event in Spokane.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอกสารการพบ ป่วยเบาหวานหลังฉีด mRNA vaccine
    https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC9282628/
    ตามนี้แหละ มีแพทย์บางคนยังบอกว่ามันปลอดภัย ก็เอาตามที่ชอบได้เลย
    📌เอกสารการพบ ป่วยเบาหวานหลังฉีด mRNA vaccine https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC9282628/ 😒 ตามนี้แหละ มีแพทย์บางคนยังบอกว่ามันปลอดภัย ก็เอาตามที่ชอบได้เลย
    PMC.NCBI.NLM.NIH.GOV
    Type 1 diabetes mellitus following SARS-CoV-2 mRNA vaccination
    Severe Acute Respiratory Syndrome Coronavirus 2 (SARS-CoV-2) vaccines have been reported to trigger immune side effects. Type 1 diabetes as a manifestation of autoimmune/inflammatory syndrome induced by adjuvants has been reported in a limited ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts