ยิวและปาเลสไตน์
==========
.
การศึกษาที่ตีพิมพ์โดย National Academy of Sciences พบว่า "กลุ่มยีนของชุมชนชาวยิวจากยุโรป แอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลาง.. สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษ 'ตะวันออกกลาง' ร่วมกัน" และแนะนำว่า "ชุมชนชาวยิวส่วนใหญ่ยังคงแยกตัวจากชุมชนที่ไม่ใช่ชาวยิวในละแวกใกล้เคียงค่อนข้างมาก ทั้งในช่วงอพยพและหลังการอพยพของชาวยิว"
.
นักพันธุศาสตร์ Doron Behar และเพื่อนร่วมงาน (2010) ระบุว่า "ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการกำหนดทางประวัติศาสตร์ว่า ชาวยิวสืบเชื้อสายมาจากชาวอิสราเอลโบราณ" ประมาณ 35% ถึง 43% ของชายชาวยิวอยู่ในสายเลือดของบิดาที่เรียกว่ากลุ่มยีน Hg "J" และกลุ่มยีนย่อย. กลุ่มยีนนี้พบโดยเฉพาะในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ แอฟริกาตะวันออก คอเคซัส และยุโรปตอนใต้ราว 15% ถึง 30% อยู่ในกลุ่มยีน Hg "E1b1b" (หรือ E-M35)
[ Hg = Haplogroup ]
.
การศึกษาโดยใช้ดีเอ็นเอโครโมโซม Y ของชาวยิวชาย โดยพยายามสืบหาสายเลือดของนักบวชชาวยิว (โคฮานิม) จากบิดา ผลการศึกษาเผยให้เห็นแฮพโลไทป์โครโมโซม Y บรรพบุรุษร่วมกันเมื่อประมาณ 2,650 ปีก่อน ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของการทำลายวิหารแรกของเยรูซาเล็มในปี 586 ก่อนคริสตกาล และการกระจายตัวของนักบวช การศึกษาดีเอ็นเอไมโตคอนเดรียของประชากรชาวยิวเป็นการศึกษาที่ค่อนข้างใหม่ เป็นที่ถกเถียง และมีความหลากหลายมากกว่า
.
ส่วนชาวปาเลสไตน์ บันทึกทางประวัติศาสตร์และการศึกษาด้านพันธุกรรมในเวลาต่อมาบ่งชี้ว่าชาวปาเลสไตน์สืบเชื้อสายมาจากเลแวนไทน์โบราณเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งย้อนกลับไปถึงชาวเลแวนไทน์ในยุคสำริด การศึกษาในปี 2015 โดย Verónica Fernandes และคนอื่นๆ สรุปว่าชาวปาเลสไตน์มี "ต้นกำเนิดเป็นชนพื้นเมืองเป็นหลัก"
.
การศึกษาในปี 2020 เกี่ยวกับซากศพมนุษย์จากกลุ่มคนคานาอันในยุคสำริดกลาง (2100–1550 ปีก่อนคริสตกาล) ชี้ให้เห็นถึงความต่อเนื่องทางพันธุกรรมในระดับที่สำคัญในกลุ่มคนที่พูดภาษาอาหรับในเลวานไทน์ (เช่น ชาวปาเลสไตน์ ชาวดรูซ ชาวเลบานอน ชาวจอร์แดน ชาวเบดูอิน และชาวซีเรีย) พบว่าชาวปาเลสไตน์และกลุ่มคนเลวานไทน์อื่นๆ มีบรรพบุรุษ 81–87% มาจากเลวานไทน์ในยุคสำริด ซึ่งเกี่ยวข้องกับชาวคานาอันและอิทธิพลของวัฒนธรรมคูรา–อารักเซสตั้งแต่ก่อน 2400 ปีก่อนคริสตกาล (4400 ปีก่อนปัจจุบัน) 8–12% มาจากแหล่งแอฟริกาตะวันออก และ 5–10% มาจากชาวยุโรปในยุคสำริด
.
การศึกษาดีเอ็นเอครั้งหนึ่งโดย Nebel พบว่ามีการทับซ้อนกันทางพันธุกรรมอย่างมากในหมู่ชาวอาหรับอิสราเอล ปาเลสไตน์และชาวยิว เนเบลเสนอว่า "บางส่วนหรือบางทีอาจเป็นส่วนใหญ่" ของชาวปาเลสไตน์ที่เป็นมุสลิม สืบเชื้อสายมาจาก "ชาวพื้นเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคริสเตียนและยิวที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามหลังจากอิสลามพิชิตในคริสตศตวรรษที่ 7"
.
ในการศึกษาทางพันธุกรรมของ STR ที่มีโครโมโซม Y ในประชากรสองกลุ่มจากอิสราเอลและพื้นที่ปกครองปาเลสไตน์ พบว่าชาวปาเลสไตน์ที่เป็นคริสเตียนและมุสลิมแสดงความแตกต่างทางพันธุกรรมเล็กน้อย คริสเตียนปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ (31.82%) เป็นกลุ่มย่อยของ Hg"E1b1b" รองลงมาคือ Hg"G2a" (11.36%) และ Hg"J1" (9.09%) ชาวมุสลิมปาเลสไตน์ส่วนใหญ่มียีนเป็นกลุ่มย่อยของ Hg"J1" (37.82%) รองลงมาคือ Hg"E1b1b" (19.33%) และ Hg"T" (5.88%)
.
ในปี 2004 ทีมนักพันธุศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กับมหาวิทยาลัยฮิบรูแห่งเยรูซาเล็ม มหาวิทยาลัยทาร์ทู (เอสโตเนีย) ศูนย์การแพทย์บาร์ซิไล (อัชเคลอน อิสราเอล) และศูนย์การแพทย์อัสซาฟ ฮาโรเฟห์ (เซริฟิน อิสราเอล) ทำการศึกษาชุมชนชาติพันธุ์ซามาริตันสมัยใหม่ที่อาศัยอยู่ในอิสราเอลโดยเปรียบเทียบกับประชากรอิสราเอลสมัยใหม่เพื่อสำรวจประวัติศาสตร์ทางพันธุกรรมโบราณของกลุ่มคนเหล่านี้ ผลการค้นพบของพวกเขารายงานถึงวงศ์ตระกูลสี่วงศ์ในหมู่ชาวซามาริตัน ได้แก่ ตระกูล Tsdaka, Joshua-Marhiv, Danfi และครอบครัว Cohen ครอบครัวชาวซามาริตันทั้งหมดพบในกลุ่มยีน Hg"J1" และ Hg"J2" ยกเว้นครอบครัว Cohen ซึ่งพบในกลุ่มยีน Hg"E3b1a-M78" ข้อมูลนี้มีเนื้อหาก่อนกลุ่มย่อย "E3b1a" โดยอิงตามการวิจัยของ Cruciani et al. (2006)
.
Mekel-Bobrov et al. (2005) ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบยีน ASPM พบว่าชาว"ดรูซ"อิสราเอลในภูมิภาคคาร์เมล มีอัตราการเกิดกลุ่มยีน ASPM Hg D ที่เพิ่งวิวัฒนาการใหม่สูงที่สุด โดยมีการเกิดขึ้นของอัลลีลที่มีอายุประมาณ 6,000 ปีถึง 52.2% แม้ว่าจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่ารูปแบบยีนนี้ให้ข้อได้เปรียบในการคัดเลือกอย่างไร แต่เชื่อกันว่าอัลลีลกลุ่มยีน Hg D ได้รับการคัดเลือกในเชิงบวกในประชากร และมอบข้อได้เปรียบที่สำคัญบางประการที่ทำให้ความถี่ของอัลลีลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว.. ตามการทดสอบ DNA ชาวดรูซโดดเด่นในเรื่องความถี่สูง (35%) ของผู้ชายที่มีกลุ่มยีน Y-chromosomal "L" ซึ่งไม่ธรรมดาในตะวันออกกลาง กลุ่มยีนนี้มีต้นกำเนิดมาจากเอเชียใต้ในยุคก่อนประวัติศาสตร์และแพร่กระจายจากปากีสถานไปยังอิหร่านตอนใต้
[ * อัลลีล (allele) คือรูปแบบหนึ่ง จากหลายๆ รูปแบบของยีนหนึ่ง บางครั้งอัลลีลที่แตกต่างกันอาจทำให้เกิดลักษณะที่แสดงออก เช่น สีตา สีผม ที่แตกต่างกันได้ บางครั้งอัลลีลที่แตกต่างกันอาจไม่ได้ทำให้มีลักษณะแสดงออกที่แตกต่างกันก็ได้ ]
.
มายาอคติที่ก่อให้เกิดขึ้นโดยพวกไซออนิสท์ที่ครอบงำชาวยิวในอิสราเอลทำให้พวกเขามืดบอด ทั้งที่ในทางวิทยาศาสตร์ ชาวยิวและชาวอาหรับมียีนร่วมกันมากกว่าใครในโลกนี้จะมี ผลจากอาชญากรรมอันรุนแรงที่อิสราเอลก่อ ทำให้เกิดความเกลียดชังชาวยิวพุ่งขึ้น ชาวยิวมากมายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ในภูมิภาคอื่นที่ไม่ใช่อิสราเอล เริ่มเดือดร้อนและต่อต้าน พวกไซออนิสท์กลับนำคำคำหนึ่งมานิยามตราหน้าใครก็ตามที่เกลียดยิวว่า "Anti Semitism" ซึ่งยิ่งทำให้โลกทัศน์บิดเบี้ยวมากขึ้น จนในบัดนี้มีคนยิวในประเทศอื่นที่ทนไม่ได้กับบาปที่พวกเขาไม่ได้ก่อเริ่มออกมาต่อต้านกันมากขึ้นทุกทีและโต้แย้งว่าสิ่งที่พวกไซออนทำไม่ควรทำให้เกิด "Anti Semitism แต่เป็น Anti Zionism ต่างหาก"
.
คำว่า Anti Semitism ในที่นี้ หมายถึงอะไร? อิสราเอลตั้งใจจะให้หมายถึงการต่อต้านพวกที่พูดภาษา Semitic นั่นแหละ ปัญหาคือเซมิติคไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ภาษาฮิบรูของยิวเท่านั้น แต่พวกที่พูดภาษาสกุลเซมิติคยังหมายถึงภาษาอาราบิค อัมฮาริค ทิกรินยา อารามาอิค... ซึ่งพูดกันอยู่ในประชากรโลกมากกว่า 330 ล้านคน ทั้งยิวและปาเลสไตน์ต่างก็พูดภาษาในสกุลเซมิติคทั้งคู่ ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากดีเอ็นเอ ไม่เพียงพวกเขาก็เป็นพี่น้องกันแล้ว (Hg J / E) เมื่อพิจารณาจากทางภาษา พวกเขาก็เป็นพี่น้องกันอีก
.
คำว่า Semitic มาจากคำว่า Sem (Shem) ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิ้ลบทปฐมกาล คือชื่อของบุตรชายคนหนึ่งของโนอาห์. พูดง่ายๆ พวกที่พูดภาษาสกุลเซมก็คือลูกหลานของโนอาห์นั่นแหละ
คุณคิดว่ามันน่าเศร้าไหม ที่ลูกหลานโนอาห์เข่นฆ่ากันเอง
หรือว่าที่จริงแล้วพวกอิสราเอลเป็นลูกหลานของคาอิน ไม่ใช่โนอาห์
อีกครั้งที่ผมจะพูด
ความแบ่งแยกคือความคิดของปีศาจ
มันคือมูลเหตุของ Genocide ทั้งที่รวันดาและกาซ่าในตอนนี้
.
==========
.
การศึกษาที่ตีพิมพ์โดย National Academy of Sciences พบว่า "กลุ่มยีนของชุมชนชาวยิวจากยุโรป แอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลาง.. สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษ 'ตะวันออกกลาง' ร่วมกัน" และแนะนำว่า "ชุมชนชาวยิวส่วนใหญ่ยังคงแยกตัวจากชุมชนที่ไม่ใช่ชาวยิวในละแวกใกล้เคียงค่อนข้างมาก ทั้งในช่วงอพยพและหลังการอพยพของชาวยิว"
.
นักพันธุศาสตร์ Doron Behar และเพื่อนร่วมงาน (2010) ระบุว่า "ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการกำหนดทางประวัติศาสตร์ว่า ชาวยิวสืบเชื้อสายมาจากชาวอิสราเอลโบราณ" ประมาณ 35% ถึง 43% ของชายชาวยิวอยู่ในสายเลือดของบิดาที่เรียกว่ากลุ่มยีน Hg "J" และกลุ่มยีนย่อย. กลุ่มยีนนี้พบโดยเฉพาะในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ แอฟริกาตะวันออก คอเคซัส และยุโรปตอนใต้ราว 15% ถึง 30% อยู่ในกลุ่มยีน Hg "E1b1b" (หรือ E-M35)
[ Hg = Haplogroup ]
.
การศึกษาโดยใช้ดีเอ็นเอโครโมโซม Y ของชาวยิวชาย โดยพยายามสืบหาสายเลือดของนักบวชชาวยิว (โคฮานิม) จากบิดา ผลการศึกษาเผยให้เห็นแฮพโลไทป์โครโมโซม Y บรรพบุรุษร่วมกันเมื่อประมาณ 2,650 ปีก่อน ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของการทำลายวิหารแรกของเยรูซาเล็มในปี 586 ก่อนคริสตกาล และการกระจายตัวของนักบวช การศึกษาดีเอ็นเอไมโตคอนเดรียของประชากรชาวยิวเป็นการศึกษาที่ค่อนข้างใหม่ เป็นที่ถกเถียง และมีความหลากหลายมากกว่า
.
ส่วนชาวปาเลสไตน์ บันทึกทางประวัติศาสตร์และการศึกษาด้านพันธุกรรมในเวลาต่อมาบ่งชี้ว่าชาวปาเลสไตน์สืบเชื้อสายมาจากเลแวนไทน์โบราณเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งย้อนกลับไปถึงชาวเลแวนไทน์ในยุคสำริด การศึกษาในปี 2015 โดย Verónica Fernandes และคนอื่นๆ สรุปว่าชาวปาเลสไตน์มี "ต้นกำเนิดเป็นชนพื้นเมืองเป็นหลัก"
.
การศึกษาในปี 2020 เกี่ยวกับซากศพมนุษย์จากกลุ่มคนคานาอันในยุคสำริดกลาง (2100–1550 ปีก่อนคริสตกาล) ชี้ให้เห็นถึงความต่อเนื่องทางพันธุกรรมในระดับที่สำคัญในกลุ่มคนที่พูดภาษาอาหรับในเลวานไทน์ (เช่น ชาวปาเลสไตน์ ชาวดรูซ ชาวเลบานอน ชาวจอร์แดน ชาวเบดูอิน และชาวซีเรีย) พบว่าชาวปาเลสไตน์และกลุ่มคนเลวานไทน์อื่นๆ มีบรรพบุรุษ 81–87% มาจากเลวานไทน์ในยุคสำริด ซึ่งเกี่ยวข้องกับชาวคานาอันและอิทธิพลของวัฒนธรรมคูรา–อารักเซสตั้งแต่ก่อน 2400 ปีก่อนคริสตกาล (4400 ปีก่อนปัจจุบัน) 8–12% มาจากแหล่งแอฟริกาตะวันออก และ 5–10% มาจากชาวยุโรปในยุคสำริด
.
การศึกษาดีเอ็นเอครั้งหนึ่งโดย Nebel พบว่ามีการทับซ้อนกันทางพันธุกรรมอย่างมากในหมู่ชาวอาหรับอิสราเอล ปาเลสไตน์และชาวยิว เนเบลเสนอว่า "บางส่วนหรือบางทีอาจเป็นส่วนใหญ่" ของชาวปาเลสไตน์ที่เป็นมุสลิม สืบเชื้อสายมาจาก "ชาวพื้นเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคริสเตียนและยิวที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามหลังจากอิสลามพิชิตในคริสตศตวรรษที่ 7"
.
ในการศึกษาทางพันธุกรรมของ STR ที่มีโครโมโซม Y ในประชากรสองกลุ่มจากอิสราเอลและพื้นที่ปกครองปาเลสไตน์ พบว่าชาวปาเลสไตน์ที่เป็นคริสเตียนและมุสลิมแสดงความแตกต่างทางพันธุกรรมเล็กน้อย คริสเตียนปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ (31.82%) เป็นกลุ่มย่อยของ Hg"E1b1b" รองลงมาคือ Hg"G2a" (11.36%) และ Hg"J1" (9.09%) ชาวมุสลิมปาเลสไตน์ส่วนใหญ่มียีนเป็นกลุ่มย่อยของ Hg"J1" (37.82%) รองลงมาคือ Hg"E1b1b" (19.33%) และ Hg"T" (5.88%)
.
ในปี 2004 ทีมนักพันธุศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กับมหาวิทยาลัยฮิบรูแห่งเยรูซาเล็ม มหาวิทยาลัยทาร์ทู (เอสโตเนีย) ศูนย์การแพทย์บาร์ซิไล (อัชเคลอน อิสราเอล) และศูนย์การแพทย์อัสซาฟ ฮาโรเฟห์ (เซริฟิน อิสราเอล) ทำการศึกษาชุมชนชาติพันธุ์ซามาริตันสมัยใหม่ที่อาศัยอยู่ในอิสราเอลโดยเปรียบเทียบกับประชากรอิสราเอลสมัยใหม่เพื่อสำรวจประวัติศาสตร์ทางพันธุกรรมโบราณของกลุ่มคนเหล่านี้ ผลการค้นพบของพวกเขารายงานถึงวงศ์ตระกูลสี่วงศ์ในหมู่ชาวซามาริตัน ได้แก่ ตระกูล Tsdaka, Joshua-Marhiv, Danfi และครอบครัว Cohen ครอบครัวชาวซามาริตันทั้งหมดพบในกลุ่มยีน Hg"J1" และ Hg"J2" ยกเว้นครอบครัว Cohen ซึ่งพบในกลุ่มยีน Hg"E3b1a-M78" ข้อมูลนี้มีเนื้อหาก่อนกลุ่มย่อย "E3b1a" โดยอิงตามการวิจัยของ Cruciani et al. (2006)
.
Mekel-Bobrov et al. (2005) ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบยีน ASPM พบว่าชาว"ดรูซ"อิสราเอลในภูมิภาคคาร์เมล มีอัตราการเกิดกลุ่มยีน ASPM Hg D ที่เพิ่งวิวัฒนาการใหม่สูงที่สุด โดยมีการเกิดขึ้นของอัลลีลที่มีอายุประมาณ 6,000 ปีถึง 52.2% แม้ว่าจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่ารูปแบบยีนนี้ให้ข้อได้เปรียบในการคัดเลือกอย่างไร แต่เชื่อกันว่าอัลลีลกลุ่มยีน Hg D ได้รับการคัดเลือกในเชิงบวกในประชากร และมอบข้อได้เปรียบที่สำคัญบางประการที่ทำให้ความถี่ของอัลลีลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว.. ตามการทดสอบ DNA ชาวดรูซโดดเด่นในเรื่องความถี่สูง (35%) ของผู้ชายที่มีกลุ่มยีน Y-chromosomal "L" ซึ่งไม่ธรรมดาในตะวันออกกลาง กลุ่มยีนนี้มีต้นกำเนิดมาจากเอเชียใต้ในยุคก่อนประวัติศาสตร์และแพร่กระจายจากปากีสถานไปยังอิหร่านตอนใต้
[ * อัลลีล (allele) คือรูปแบบหนึ่ง จากหลายๆ รูปแบบของยีนหนึ่ง บางครั้งอัลลีลที่แตกต่างกันอาจทำให้เกิดลักษณะที่แสดงออก เช่น สีตา สีผม ที่แตกต่างกันได้ บางครั้งอัลลีลที่แตกต่างกันอาจไม่ได้ทำให้มีลักษณะแสดงออกที่แตกต่างกันก็ได้ ]
.
มายาอคติที่ก่อให้เกิดขึ้นโดยพวกไซออนิสท์ที่ครอบงำชาวยิวในอิสราเอลทำให้พวกเขามืดบอด ทั้งที่ในทางวิทยาศาสตร์ ชาวยิวและชาวอาหรับมียีนร่วมกันมากกว่าใครในโลกนี้จะมี ผลจากอาชญากรรมอันรุนแรงที่อิสราเอลก่อ ทำให้เกิดความเกลียดชังชาวยิวพุ่งขึ้น ชาวยิวมากมายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ในภูมิภาคอื่นที่ไม่ใช่อิสราเอล เริ่มเดือดร้อนและต่อต้าน พวกไซออนิสท์กลับนำคำคำหนึ่งมานิยามตราหน้าใครก็ตามที่เกลียดยิวว่า "Anti Semitism" ซึ่งยิ่งทำให้โลกทัศน์บิดเบี้ยวมากขึ้น จนในบัดนี้มีคนยิวในประเทศอื่นที่ทนไม่ได้กับบาปที่พวกเขาไม่ได้ก่อเริ่มออกมาต่อต้านกันมากขึ้นทุกทีและโต้แย้งว่าสิ่งที่พวกไซออนทำไม่ควรทำให้เกิด "Anti Semitism แต่เป็น Anti Zionism ต่างหาก"
.
คำว่า Anti Semitism ในที่นี้ หมายถึงอะไร? อิสราเอลตั้งใจจะให้หมายถึงการต่อต้านพวกที่พูดภาษา Semitic นั่นแหละ ปัญหาคือเซมิติคไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ภาษาฮิบรูของยิวเท่านั้น แต่พวกที่พูดภาษาสกุลเซมิติคยังหมายถึงภาษาอาราบิค อัมฮาริค ทิกรินยา อารามาอิค... ซึ่งพูดกันอยู่ในประชากรโลกมากกว่า 330 ล้านคน ทั้งยิวและปาเลสไตน์ต่างก็พูดภาษาในสกุลเซมิติคทั้งคู่ ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากดีเอ็นเอ ไม่เพียงพวกเขาก็เป็นพี่น้องกันแล้ว (Hg J / E) เมื่อพิจารณาจากทางภาษา พวกเขาก็เป็นพี่น้องกันอีก
.
คำว่า Semitic มาจากคำว่า Sem (Shem) ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิ้ลบทปฐมกาล คือชื่อของบุตรชายคนหนึ่งของโนอาห์. พูดง่ายๆ พวกที่พูดภาษาสกุลเซมก็คือลูกหลานของโนอาห์นั่นแหละ
คุณคิดว่ามันน่าเศร้าไหม ที่ลูกหลานโนอาห์เข่นฆ่ากันเอง
หรือว่าที่จริงแล้วพวกอิสราเอลเป็นลูกหลานของคาอิน ไม่ใช่โนอาห์
อีกครั้งที่ผมจะพูด
ความแบ่งแยกคือความคิดของปีศาจ
มันคือมูลเหตุของ Genocide ทั้งที่รวันดาและกาซ่าในตอนนี้
.
ยิวและปาเลสไตน์
==========
.
การศึกษาที่ตีพิมพ์โดย National Academy of Sciences พบว่า "กลุ่มยีนของชุมชนชาวยิวจากยุโรป แอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลาง.. สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษ 'ตะวันออกกลาง' ร่วมกัน" และแนะนำว่า "ชุมชนชาวยิวส่วนใหญ่ยังคงแยกตัวจากชุมชนที่ไม่ใช่ชาวยิวในละแวกใกล้เคียงค่อนข้างมาก ทั้งในช่วงอพยพและหลังการอพยพของชาวยิว"
.
นักพันธุศาสตร์ Doron Behar และเพื่อนร่วมงาน (2010) ระบุว่า "ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการกำหนดทางประวัติศาสตร์ว่า ชาวยิวสืบเชื้อสายมาจากชาวอิสราเอลโบราณ" ประมาณ 35% ถึง 43% ของชายชาวยิวอยู่ในสายเลือดของบิดาที่เรียกว่ากลุ่มยีน Hg "J" และกลุ่มยีนย่อย. กลุ่มยีนนี้พบโดยเฉพาะในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ แอฟริกาตะวันออก คอเคซัส และยุโรปตอนใต้ราว 15% ถึง 30% อยู่ในกลุ่มยีน Hg "E1b1b" (หรือ E-M35)
[ Hg = Haplogroup ]
.
การศึกษาโดยใช้ดีเอ็นเอโครโมโซม Y ของชาวยิวชาย โดยพยายามสืบหาสายเลือดของนักบวชชาวยิว (โคฮานิม) จากบิดา ผลการศึกษาเผยให้เห็นแฮพโลไทป์โครโมโซม Y บรรพบุรุษร่วมกันเมื่อประมาณ 2,650 ปีก่อน ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของการทำลายวิหารแรกของเยรูซาเล็มในปี 586 ก่อนคริสตกาล และการกระจายตัวของนักบวช การศึกษาดีเอ็นเอไมโตคอนเดรียของประชากรชาวยิวเป็นการศึกษาที่ค่อนข้างใหม่ เป็นที่ถกเถียง และมีความหลากหลายมากกว่า
.
ส่วนชาวปาเลสไตน์ บันทึกทางประวัติศาสตร์และการศึกษาด้านพันธุกรรมในเวลาต่อมาบ่งชี้ว่าชาวปาเลสไตน์สืบเชื้อสายมาจากเลแวนไทน์โบราณเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งย้อนกลับไปถึงชาวเลแวนไทน์ในยุคสำริด การศึกษาในปี 2015 โดย Verónica Fernandes และคนอื่นๆ สรุปว่าชาวปาเลสไตน์มี "ต้นกำเนิดเป็นชนพื้นเมืองเป็นหลัก"
.
การศึกษาในปี 2020 เกี่ยวกับซากศพมนุษย์จากกลุ่มคนคานาอันในยุคสำริดกลาง (2100–1550 ปีก่อนคริสตกาล) ชี้ให้เห็นถึงความต่อเนื่องทางพันธุกรรมในระดับที่สำคัญในกลุ่มคนที่พูดภาษาอาหรับในเลวานไทน์ (เช่น ชาวปาเลสไตน์ ชาวดรูซ ชาวเลบานอน ชาวจอร์แดน ชาวเบดูอิน และชาวซีเรีย) พบว่าชาวปาเลสไตน์และกลุ่มคนเลวานไทน์อื่นๆ มีบรรพบุรุษ 81–87% มาจากเลวานไทน์ในยุคสำริด ซึ่งเกี่ยวข้องกับชาวคานาอันและอิทธิพลของวัฒนธรรมคูรา–อารักเซสตั้งแต่ก่อน 2400 ปีก่อนคริสตกาล (4400 ปีก่อนปัจจุบัน) 8–12% มาจากแหล่งแอฟริกาตะวันออก และ 5–10% มาจากชาวยุโรปในยุคสำริด
.
การศึกษาดีเอ็นเอครั้งหนึ่งโดย Nebel พบว่ามีการทับซ้อนกันทางพันธุกรรมอย่างมากในหมู่ชาวอาหรับอิสราเอล ปาเลสไตน์และชาวยิว เนเบลเสนอว่า "บางส่วนหรือบางทีอาจเป็นส่วนใหญ่" ของชาวปาเลสไตน์ที่เป็นมุสลิม สืบเชื้อสายมาจาก "ชาวพื้นเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคริสเตียนและยิวที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามหลังจากอิสลามพิชิตในคริสตศตวรรษที่ 7"
.
ในการศึกษาทางพันธุกรรมของ STR ที่มีโครโมโซม Y ในประชากรสองกลุ่มจากอิสราเอลและพื้นที่ปกครองปาเลสไตน์ พบว่าชาวปาเลสไตน์ที่เป็นคริสเตียนและมุสลิมแสดงความแตกต่างทางพันธุกรรมเล็กน้อย คริสเตียนปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ (31.82%) เป็นกลุ่มย่อยของ Hg"E1b1b" รองลงมาคือ Hg"G2a" (11.36%) และ Hg"J1" (9.09%) ชาวมุสลิมปาเลสไตน์ส่วนใหญ่มียีนเป็นกลุ่มย่อยของ Hg"J1" (37.82%) รองลงมาคือ Hg"E1b1b" (19.33%) และ Hg"T" (5.88%)
.
ในปี 2004 ทีมนักพันธุศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กับมหาวิทยาลัยฮิบรูแห่งเยรูซาเล็ม มหาวิทยาลัยทาร์ทู (เอสโตเนีย) ศูนย์การแพทย์บาร์ซิไล (อัชเคลอน อิสราเอล) และศูนย์การแพทย์อัสซาฟ ฮาโรเฟห์ (เซริฟิน อิสราเอล) ทำการศึกษาชุมชนชาติพันธุ์ซามาริตันสมัยใหม่ที่อาศัยอยู่ในอิสราเอลโดยเปรียบเทียบกับประชากรอิสราเอลสมัยใหม่เพื่อสำรวจประวัติศาสตร์ทางพันธุกรรมโบราณของกลุ่มคนเหล่านี้ ผลการค้นพบของพวกเขารายงานถึงวงศ์ตระกูลสี่วงศ์ในหมู่ชาวซามาริตัน ได้แก่ ตระกูล Tsdaka, Joshua-Marhiv, Danfi และครอบครัว Cohen ครอบครัวชาวซามาริตันทั้งหมดพบในกลุ่มยีน Hg"J1" และ Hg"J2" ยกเว้นครอบครัว Cohen ซึ่งพบในกลุ่มยีน Hg"E3b1a-M78" ข้อมูลนี้มีเนื้อหาก่อนกลุ่มย่อย "E3b1a" โดยอิงตามการวิจัยของ Cruciani et al. (2006)
.
Mekel-Bobrov et al. (2005) ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบยีน ASPM พบว่าชาว"ดรูซ"อิสราเอลในภูมิภาคคาร์เมล มีอัตราการเกิดกลุ่มยีน ASPM Hg D ที่เพิ่งวิวัฒนาการใหม่สูงที่สุด โดยมีการเกิดขึ้นของอัลลีลที่มีอายุประมาณ 6,000 ปีถึง 52.2% แม้ว่าจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่ารูปแบบยีนนี้ให้ข้อได้เปรียบในการคัดเลือกอย่างไร แต่เชื่อกันว่าอัลลีลกลุ่มยีน Hg D ได้รับการคัดเลือกในเชิงบวกในประชากร และมอบข้อได้เปรียบที่สำคัญบางประการที่ทำให้ความถี่ของอัลลีลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว.. ตามการทดสอบ DNA ชาวดรูซโดดเด่นในเรื่องความถี่สูง (35%) ของผู้ชายที่มีกลุ่มยีน Y-chromosomal "L" ซึ่งไม่ธรรมดาในตะวันออกกลาง กลุ่มยีนนี้มีต้นกำเนิดมาจากเอเชียใต้ในยุคก่อนประวัติศาสตร์และแพร่กระจายจากปากีสถานไปยังอิหร่านตอนใต้
[ * อัลลีล (allele) คือรูปแบบหนึ่ง จากหลายๆ รูปแบบของยีนหนึ่ง บางครั้งอัลลีลที่แตกต่างกันอาจทำให้เกิดลักษณะที่แสดงออก เช่น สีตา สีผม ที่แตกต่างกันได้ บางครั้งอัลลีลที่แตกต่างกันอาจไม่ได้ทำให้มีลักษณะแสดงออกที่แตกต่างกันก็ได้ ]
.
มายาอคติที่ก่อให้เกิดขึ้นโดยพวกไซออนิสท์ที่ครอบงำชาวยิวในอิสราเอลทำให้พวกเขามืดบอด ทั้งที่ในทางวิทยาศาสตร์ ชาวยิวและชาวอาหรับมียีนร่วมกันมากกว่าใครในโลกนี้จะมี ผลจากอาชญากรรมอันรุนแรงที่อิสราเอลก่อ ทำให้เกิดความเกลียดชังชาวยิวพุ่งขึ้น ชาวยิวมากมายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ในภูมิภาคอื่นที่ไม่ใช่อิสราเอล เริ่มเดือดร้อนและต่อต้าน พวกไซออนิสท์กลับนำคำคำหนึ่งมานิยามตราหน้าใครก็ตามที่เกลียดยิวว่า "Anti Semitism" ซึ่งยิ่งทำให้โลกทัศน์บิดเบี้ยวมากขึ้น จนในบัดนี้มีคนยิวในประเทศอื่นที่ทนไม่ได้กับบาปที่พวกเขาไม่ได้ก่อเริ่มออกมาต่อต้านกันมากขึ้นทุกทีและโต้แย้งว่าสิ่งที่พวกไซออนทำไม่ควรทำให้เกิด "Anti Semitism แต่เป็น Anti Zionism ต่างหาก"
.
คำว่า Anti Semitism ในที่นี้ หมายถึงอะไร? อิสราเอลตั้งใจจะให้หมายถึงการต่อต้านพวกที่พูดภาษา Semitic นั่นแหละ ปัญหาคือเซมิติคไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ภาษาฮิบรูของยิวเท่านั้น แต่พวกที่พูดภาษาสกุลเซมิติคยังหมายถึงภาษาอาราบิค อัมฮาริค ทิกรินยา อารามาอิค... ซึ่งพูดกันอยู่ในประชากรโลกมากกว่า 330 ล้านคน ทั้งยิวและปาเลสไตน์ต่างก็พูดภาษาในสกุลเซมิติคทั้งคู่ ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากดีเอ็นเอ ไม่เพียงพวกเขาก็เป็นพี่น้องกันแล้ว (Hg J / E) เมื่อพิจารณาจากทางภาษา พวกเขาก็เป็นพี่น้องกันอีก
.
คำว่า Semitic มาจากคำว่า Sem (Shem) ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิ้ลบทปฐมกาล คือชื่อของบุตรชายคนหนึ่งของโนอาห์. พูดง่ายๆ พวกที่พูดภาษาสกุลเซมก็คือลูกหลานของโนอาห์นั่นแหละ
คุณคิดว่ามันน่าเศร้าไหม ที่ลูกหลานโนอาห์เข่นฆ่ากันเอง
หรือว่าที่จริงแล้วพวกอิสราเอลเป็นลูกหลานของคาอิน ไม่ใช่โนอาห์
อีกครั้งที่ผมจะพูด
ความแบ่งแยกคือความคิดของปีศาจ
มันคือมูลเหตุของ Genocide ทั้งที่รวันดาและกาซ่าในตอนนี้
.
0 Comments
0 Shares
15 Views
0 Reviews