• เมื่อ Zuckerberg เบรกการจ้างงาน AI – สัญญาณฟองสบู่ที่ Silicon Valley เริ่มสั่นคลอน

    ในช่วงปีที่ผ่านมา Meta ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงตัวนักวิจัย AI ระดับหัวกะทิจากบริษัทคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google โดยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านดอลลาร์ต่อคน เพื่อเร่งพัฒนา “Superintelligence Labs” ที่มีเป้าหมายสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะถาวรในรูปแบบแว่นตาอัจฉริยะ

    แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg กลับสั่ง “เบรก” การจ้างงานทั้งหมดในแผนก AI ของ Meta ท่ามกลางความกังวลว่าอุตสาหกรรม AI กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หลังจากรายงานของ MIT ระบุว่า 95% ของบริษัทที่ลงทุนใน AI ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ

    การหยุดจ้างงานนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นจะร่วงหนัก โดยหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Nvidia, Arm และ Palantir ตกลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าเงินที่ทุ่มไปกับ AI นั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่

    แม้ Meta จะออกมาบอกว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” แต่เบื้องหลังคือการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยแบ่ง Superintelligence Labs ออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และยุบทีม AGI Foundations ที่เคยพัฒนาโมเดล Llama และ Behemoth ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark เพื่อให้ดูดีเกินจริง

    นักวิเคราะห์เตือนว่า การจ่ายค่าตอบแทนสูงเกินไปโดยไม่มีนวัตกรรมที่ชัดเจนอาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง และความคาดหวังต่อ GPT-5 ที่ไม่เป็นไปตาม hype ยิ่งตอกย้ำว่าฟองสบู่ AI อาจแตกในไม่ช้า

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Meta สั่งหยุดการจ้างงานในแผนก AI ทั้งหมด ยกเว้นกรณีพิเศษที่ต้องได้รับอนุมัติจาก Alexandr Wang
    การหยุดจ้างงานเกิดขึ้นก่อนตลาดหุ้นร่วงจากความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI
    Zuckerberg เคยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านเพื่อดึงนักวิจัยจาก OpenAI และ Google
    Superintelligence Labs ถูกแบ่งออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และทีม AGI Foundations ถูกยุบ
    โมเดล Behemoth ถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark และมีการลาออกของทีมงาน
    Meta อ้างว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” เช่น การจัดงบประมาณประจำปี
    หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Nvidia และ Palantir ร่วงจากความกังวลเรื่องผลตอบแทน AI
    Zuckerberg ยืนยันว่าเป้าหมายคือสร้าง “ผู้ช่วยอัจฉริยะถาวร” ที่อยู่ในแว่นตาอัจฉริยะ
    เขาเน้นทีมขนาดเล็กที่มีความสามารถสูง แทนการจ้างงานจำนวนมาก
    ค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Meta ดึงตัวนักวิจัย AI มากกว่า 50 คนจากบริษัทคู่แข่งภายในไม่กี่เดือน
    นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เตือนว่าการจ่ายค่าตอบแทนสูงอาจลดมูลค่าหุ้น
    GPT-5 ได้รับการตอบรับแบบ “กลาง ๆ” ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง
    Sam Altman เปรียบ hype ของ AI กับฟองสบู่ dotcom ในปี 2000
    บริษัทเทคโนโลยียังคงลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้รายได้ยังไม่ชัดเจน

    https://www.telegraph.co.uk/business/2025/08/21/zuckerberg-freezes-ai-hiring-amid-bubble-fears/
    🎙️ เมื่อ Zuckerberg เบรกการจ้างงาน AI – สัญญาณฟองสบู่ที่ Silicon Valley เริ่มสั่นคลอน ในช่วงปีที่ผ่านมา Meta ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงตัวนักวิจัย AI ระดับหัวกะทิจากบริษัทคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google โดยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านดอลลาร์ต่อคน เพื่อเร่งพัฒนา “Superintelligence Labs” ที่มีเป้าหมายสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะถาวรในรูปแบบแว่นตาอัจฉริยะ แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg กลับสั่ง “เบรก” การจ้างงานทั้งหมดในแผนก AI ของ Meta ท่ามกลางความกังวลว่าอุตสาหกรรม AI กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หลังจากรายงานของ MIT ระบุว่า 95% ของบริษัทที่ลงทุนใน AI ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ การหยุดจ้างงานนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นจะร่วงหนัก โดยหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Nvidia, Arm และ Palantir ตกลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าเงินที่ทุ่มไปกับ AI นั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่ แม้ Meta จะออกมาบอกว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” แต่เบื้องหลังคือการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยแบ่ง Superintelligence Labs ออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และยุบทีม AGI Foundations ที่เคยพัฒนาโมเดล Llama และ Behemoth ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark เพื่อให้ดูดีเกินจริง นักวิเคราะห์เตือนว่า การจ่ายค่าตอบแทนสูงเกินไปโดยไม่มีนวัตกรรมที่ชัดเจนอาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง และความคาดหวังต่อ GPT-5 ที่ไม่เป็นไปตาม hype ยิ่งตอกย้ำว่าฟองสบู่ AI อาจแตกในไม่ช้า 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Meta สั่งหยุดการจ้างงานในแผนก AI ทั้งหมด ยกเว้นกรณีพิเศษที่ต้องได้รับอนุมัติจาก Alexandr Wang ➡️ การหยุดจ้างงานเกิดขึ้นก่อนตลาดหุ้นร่วงจากความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI ➡️ Zuckerberg เคยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านเพื่อดึงนักวิจัยจาก OpenAI และ Google ➡️ Superintelligence Labs ถูกแบ่งออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และทีม AGI Foundations ถูกยุบ ➡️ โมเดล Behemoth ถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark และมีการลาออกของทีมงาน ➡️ Meta อ้างว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” เช่น การจัดงบประมาณประจำปี ➡️ หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Nvidia และ Palantir ร่วงจากความกังวลเรื่องผลตอบแทน AI ➡️ Zuckerberg ยืนยันว่าเป้าหมายคือสร้าง “ผู้ช่วยอัจฉริยะถาวร” ที่อยู่ในแว่นตาอัจฉริยะ ➡️ เขาเน้นทีมขนาดเล็กที่มีความสามารถสูง แทนการจ้างงานจำนวนมาก ➡️ ค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Meta ดึงตัวนักวิจัย AI มากกว่า 50 คนจากบริษัทคู่แข่งภายในไม่กี่เดือน ➡️ นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เตือนว่าการจ่ายค่าตอบแทนสูงอาจลดมูลค่าหุ้น ➡️ GPT-5 ได้รับการตอบรับแบบ “กลาง ๆ” ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ➡️ Sam Altman เปรียบ hype ของ AI กับฟองสบู่ dotcom ในปี 2000 ➡️ บริษัทเทคโนโลยียังคงลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้รายได้ยังไม่ชัดเจน https://www.telegraph.co.uk/business/2025/08/21/zuckerberg-freezes-ai-hiring-amid-bubble-fears/
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • ..ทหารเลวมีอำนาจมากเกินไป นายพลชั่วเลวอยู่ครองตำแหน่งสูงๆเยอะเกินไป จึงกดขี่ระบบวงจรทหารดีทั้งระบบ ผลที่เห็นคือตัวอย่างอย่างภาคตะวันออกนี้ล่ะ,ไม่ทำจริงจังห่าอะไรเลย สะสมกองมรดกชั่วเลวจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องยาวนานถึงปัจจุบันรากงอกปกป้องผลประโยชน์ตนอิทธิพลตนแหล่งข้าวแหล่งน้ำตน,สรุปโจรมหาโจรที่แท้จริงคือคนในระบบราชการนี้ล่ะ จะทหารเลว ตำรวจชั่ว สารตั้งต้นคือกลุ่มคณะราชการเลวชั่วนี้ก่อน,นอกจากพวกพรรคการเมืองแล้ว,ประเทศเราต้องรีเซ็ตครัังใหม่กันจริงๆกวาดล้างสีกากีสีใดๆคนในเครื่องแบบนี้ก่อนเถอะ ส่วนนักการเมืองตัวพ่ออยู่แล้ว.
    ..คลิปนี้ชัดเจนอีกคลิป อ.วีระมาช่องนี้พูดคุยกันถูกที่ลงตัว เหยียบพวกมันจมดินได้เลย.,เสียดายควรฟ้องดำเนินคดีด้วย อาจยามเฝ้าแผ่นดินเราโดยเดอะทีมอ.ปานเทพลงมาอัดมันด้วย.,คือมีคดีความติดตัวทั้งทีมทั้งคณะเดอะแก๊งหนองจานนี้ ไม่ตายก็อักเสบล่ะ,คือบนแผ่นดินไทยนี้มารชนะเทพหมดมั้ง ไม่มีใครสามารถจัดการเดอะแก๊งนี้ได้ คนใหญ่โตอยู่เบื้องหลังโคตรๆมันว่า,ถ้าเช่นนั้นประเทศไทยก็สิ้นชาติแน่นอน,สถาบันกษัตริย์และใดๆเตรียมไปวัดได้เลย,เหมือนยกดินแดน11จุดให้เขมรครอบครองนั้นล่ะ ถ้าแม่ทัพภาค2ไม่ประกาศว่ายึดคืนจากเขมรได้11จุดพื้นที่ที่เขมรลุกล้ำยึดเอาไป,คนไทยจะไม่รู้ความจริงเลย ขนาดหนองจานแท้ๆยังปกปิดความจริง นี้คือโทษประหารชัดเจน.,สนับสนุนการก่ออาชญากรรมและร่วมก่ออาชญากรรมกับเขมรด้วย ทั้งค้าของเถื่อน ค้ามนุษย์ สาระพัดค้าสิ่งเลวๆชั่วๆผ่านบ้านหนองจานนี้,มันสมควรโดนโทษประหารจริงๆ,ผู้กล้าทนายท่านใดไฟแรง แบบยื่นฟ้องคลิปเสียงนายกฯนั้นล่ะ,มาฟ้องดำเนินคดีคนข้าราชการทั้งหมดตรงบริเวณนี้ให้เป็นประวัติศาสตร์ตำนานหน่อยที,ท่านคือตำนานเลยล่ะที่ฉีกหน้าคนสมคบคิดกับเขมรฮุนเซนมัน.



    https://youtube.com/watch?v=hxMKYKwvZWM&si=72uEwi8bnFYAFvtv
    ..ทหารเลวมีอำนาจมากเกินไป นายพลชั่วเลวอยู่ครองตำแหน่งสูงๆเยอะเกินไป จึงกดขี่ระบบวงจรทหารดีทั้งระบบ ผลที่เห็นคือตัวอย่างอย่างภาคตะวันออกนี้ล่ะ,ไม่ทำจริงจังห่าอะไรเลย สะสมกองมรดกชั่วเลวจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องยาวนานถึงปัจจุบันรากงอกปกป้องผลประโยชน์ตนอิทธิพลตนแหล่งข้าวแหล่งน้ำตน,สรุปโจรมหาโจรที่แท้จริงคือคนในระบบราชการนี้ล่ะ จะทหารเลว ตำรวจชั่ว สารตั้งต้นคือกลุ่มคณะราชการเลวชั่วนี้ก่อน,นอกจากพวกพรรคการเมืองแล้ว,ประเทศเราต้องรีเซ็ตครัังใหม่กันจริงๆกวาดล้างสีกากีสีใดๆคนในเครื่องแบบนี้ก่อนเถอะ ส่วนนักการเมืองตัวพ่ออยู่แล้ว. ..คลิปนี้ชัดเจนอีกคลิป อ.วีระมาช่องนี้พูดคุยกันถูกที่ลงตัว เหยียบพวกมันจมดินได้เลย.,เสียดายควรฟ้องดำเนินคดีด้วย อาจยามเฝ้าแผ่นดินเราโดยเดอะทีมอ.ปานเทพลงมาอัดมันด้วย.,คือมีคดีความติดตัวทั้งทีมทั้งคณะเดอะแก๊งหนองจานนี้ ไม่ตายก็อักเสบล่ะ,คือบนแผ่นดินไทยนี้มารชนะเทพหมดมั้ง ไม่มีใครสามารถจัดการเดอะแก๊งนี้ได้ คนใหญ่โตอยู่เบื้องหลังโคตรๆมันว่า,ถ้าเช่นนั้นประเทศไทยก็สิ้นชาติแน่นอน,สถาบันกษัตริย์และใดๆเตรียมไปวัดได้เลย,เหมือนยกดินแดน11จุดให้เขมรครอบครองนั้นล่ะ ถ้าแม่ทัพภาค2ไม่ประกาศว่ายึดคืนจากเขมรได้11จุดพื้นที่ที่เขมรลุกล้ำยึดเอาไป,คนไทยจะไม่รู้ความจริงเลย ขนาดหนองจานแท้ๆยังปกปิดความจริง นี้คือโทษประหารชัดเจน.,สนับสนุนการก่ออาชญากรรมและร่วมก่ออาชญากรรมกับเขมรด้วย ทั้งค้าของเถื่อน ค้ามนุษย์ สาระพัดค้าสิ่งเลวๆชั่วๆผ่านบ้านหนองจานนี้,มันสมควรโดนโทษประหารจริงๆ,ผู้กล้าทนายท่านใดไฟแรง แบบยื่นฟ้องคลิปเสียงนายกฯนั้นล่ะ,มาฟ้องดำเนินคดีคนข้าราชการทั้งหมดตรงบริเวณนี้ให้เป็นประวัติศาสตร์ตำนานหน่อยที,ท่านคือตำนานเลยล่ะที่ฉีกหน้าคนสมคบคิดกับเขมรฮุนเซนมัน. https://youtube.com/watch?v=hxMKYKwvZWM&si=72uEwi8bnFYAFvtv
    0 Comments 0 Shares 53 Views 0 Reviews
  • สื่อฝรั่งเศสแฉยับ! "ไมเคิล อัลฟาโร" แท้จริงแล้วเป็น "นักต้มตุ๋น" และ "นักสร้างข่าวปลอม" หาผลประโยชน์ส่วนตัว ก่อนทิ้งปัญหาไว้เบื้องหลัง
    https://www.thai-tai.tv/news/21055/
    .
    #ข่าวปลอม #FakeNews #ข่าวต่างประเทศ #การเมือง #สื่อมวลชน #ไทยกัมพูชา #ไทยไทด้วย
    สื่อฝรั่งเศสแฉยับ! "ไมเคิล อัลฟาโร" แท้จริงแล้วเป็น "นักต้มตุ๋น" และ "นักสร้างข่าวปลอม" หาผลประโยชน์ส่วนตัว ก่อนทิ้งปัญหาไว้เบื้องหลัง https://www.thai-tai.tv/news/21055/ . #ข่าวปลอม #FakeNews #ข่าวต่างประเทศ #การเมือง #สื่อมวลชน #ไทยกัมพูชา #ไทยไทด้วย
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • FreeVPN.One – VPN ที่ควรปกป้องคุณ กลับกลายเป็นสายลับในเบราว์เซอร์

    VPN คือเครื่องมือที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใช้เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว แต่กรณีของ FreeVPN.One กลับกลายเป็นฝันร้ายด้านความปลอดภัย เมื่อ Koi Security เปิดเผยว่า ส่วนขยายนี้แอบจับภาพหน้าจอทุกเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เข้าไป แล้วส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของนักพัฒนาที่ไม่เปิดเผยตัวตน

    FreeVPN.One มีผู้ใช้งานมากกว่า 100,000 ราย และได้รับตรา “Featured” จาก Google Chrome ซึ่งควรจะหมายถึงความปลอดภัยและคุณภาพ แต่เบื้องหลังกลับมีการขอสิทธิ์เข้าถึงแท็บ, สคริปต์ และ URL ทั้งหมด ซึ่งเปิดช่องให้แทรกโค้ดเข้าไปในทุกเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เยี่ยมชม

    เมื่อหน้าเว็บโหลดเสร็จในไม่กี่วินาที ส่วนขยายจะใช้ API พิเศษของ Chrome เพื่อจับภาพหน้าจอแบบเงียบ ๆ แล้วส่งไปยังโดเมน aitd.one พร้อมข้อมูล URL, tab ID และรหัสผู้ใช้เฉพาะ โดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือขออนุญาตจากผู้ใช้เลย

    แม้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวจะระบุว่าการจับภาพจะเกิดขึ้นเมื่อเปิดใช้ฟีเจอร์ “AI Threat Detection” แต่ Koi Security พบว่า FreeVPN.One ทำการเก็บข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าผู้ใช้จะเปิดฟีเจอร์นั้นหรือไม่ก็ตาม

    ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ นักพัฒนาได้เปลี่ยนโดเมนและเพิ่มการเข้ารหัส AES-256 พร้อม RSA key wrapping เพื่อปกปิดการส่งข้อมูล และยังไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นเจ้าของจริงของส่วนขยายนี้

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    FreeVPN.One เป็นส่วนขยาย VPN บน Chrome ที่มีผู้ใช้งานกว่า 100,000 ราย
    ส่วนขยายนี้แอบจับภาพหน้าจอทุกเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เข้า โดยไม่แจ้งให้ทราบ
    ภาพหน้าจอถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ aitd.one พร้อม URL, tab ID และรหัสผู้ใช้
    ใช้ API captureVisibleTab() ของ Chrome เพื่อจับภาพแบบเงียบ
    ขอสิทธิ์เข้าถึงแท็บ, สคริปต์ และ URL ทั้งหมด ซึ่งเปิดช่องให้แทรกโค้ด
    นโยบายความเป็นส่วนตัวระบุว่าการจับภาพจะเกิดเมื่อเปิดใช้ “AI Threat Detection”
    Koi Security พบว่าการจับภาพเกิดขึ้นตลอดเวลา แม้ไม่ได้เปิดฟีเจอร์นั้น
    นักพัฒนาเปลี่ยนโดเมนและเพิ่มการเข้ารหัส AES-256 เพื่อปกปิดการส่งข้อมูล
    ไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นเจ้าของส่วนขยายนี้จริง ๆ
    Koi Security พยายามติดต่อขอข้อมูลจากนักพัฒนา แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ส่วนขยายนี้เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่เวอร์ชัน 3.0.3 ในเดือนเมษายน 2025
    เวอร์ชันล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 เริ่มจับภาพหน้าจอแบบเต็มรูปแบบ
    การเข้ารหัสข้อมูลใช้ AES-256-GCM พร้อม RSA key wrapping เพื่อซ่อนการส่งข้อมูล
    ข้อมูลที่ถูกเก็บรวมถึง IP, ตำแหน่ง, อุปกรณ์ และถูกเข้ารหัสแบบ Base64
    ส่วนขยายยังคงอยู่ใน Chrome Web Store แม้จะถูกเปิดโปงแล้ว

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/a-popular-vpn-extension-for-google-chrome-has-been-screenshotting-every-page-users-visit-freevpn-one-flagged-over-enormous-privacy-concerns
    🎙️ FreeVPN.One – VPN ที่ควรปกป้องคุณ กลับกลายเป็นสายลับในเบราว์เซอร์ VPN คือเครื่องมือที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใช้เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว แต่กรณีของ FreeVPN.One กลับกลายเป็นฝันร้ายด้านความปลอดภัย เมื่อ Koi Security เปิดเผยว่า ส่วนขยายนี้แอบจับภาพหน้าจอทุกเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เข้าไป แล้วส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของนักพัฒนาที่ไม่เปิดเผยตัวตน FreeVPN.One มีผู้ใช้งานมากกว่า 100,000 ราย และได้รับตรา “Featured” จาก Google Chrome ซึ่งควรจะหมายถึงความปลอดภัยและคุณภาพ แต่เบื้องหลังกลับมีการขอสิทธิ์เข้าถึงแท็บ, สคริปต์ และ URL ทั้งหมด ซึ่งเปิดช่องให้แทรกโค้ดเข้าไปในทุกเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เยี่ยมชม เมื่อหน้าเว็บโหลดเสร็จในไม่กี่วินาที ส่วนขยายจะใช้ API พิเศษของ Chrome เพื่อจับภาพหน้าจอแบบเงียบ ๆ แล้วส่งไปยังโดเมน aitd.one พร้อมข้อมูล URL, tab ID และรหัสผู้ใช้เฉพาะ โดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือขออนุญาตจากผู้ใช้เลย แม้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวจะระบุว่าการจับภาพจะเกิดขึ้นเมื่อเปิดใช้ฟีเจอร์ “AI Threat Detection” แต่ Koi Security พบว่า FreeVPN.One ทำการเก็บข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าผู้ใช้จะเปิดฟีเจอร์นั้นหรือไม่ก็ตาม ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ นักพัฒนาได้เปลี่ยนโดเมนและเพิ่มการเข้ารหัส AES-256 พร้อม RSA key wrapping เพื่อปกปิดการส่งข้อมูล และยังไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นเจ้าของจริงของส่วนขยายนี้ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ FreeVPN.One เป็นส่วนขยาย VPN บน Chrome ที่มีผู้ใช้งานกว่า 100,000 ราย ➡️ ส่วนขยายนี้แอบจับภาพหน้าจอทุกเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เข้า โดยไม่แจ้งให้ทราบ ➡️ ภาพหน้าจอถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ aitd.one พร้อม URL, tab ID และรหัสผู้ใช้ ➡️ ใช้ API captureVisibleTab() ของ Chrome เพื่อจับภาพแบบเงียบ ➡️ ขอสิทธิ์เข้าถึงแท็บ, สคริปต์ และ URL ทั้งหมด ซึ่งเปิดช่องให้แทรกโค้ด ➡️ นโยบายความเป็นส่วนตัวระบุว่าการจับภาพจะเกิดเมื่อเปิดใช้ “AI Threat Detection” ➡️ Koi Security พบว่าการจับภาพเกิดขึ้นตลอดเวลา แม้ไม่ได้เปิดฟีเจอร์นั้น ➡️ นักพัฒนาเปลี่ยนโดเมนและเพิ่มการเข้ารหัส AES-256 เพื่อปกปิดการส่งข้อมูล ➡️ ไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นเจ้าของส่วนขยายนี้จริง ๆ ➡️ Koi Security พยายามติดต่อขอข้อมูลจากนักพัฒนา แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ส่วนขยายนี้เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่เวอร์ชัน 3.0.3 ในเดือนเมษายน 2025 ➡️ เวอร์ชันล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 เริ่มจับภาพหน้าจอแบบเต็มรูปแบบ ➡️ การเข้ารหัสข้อมูลใช้ AES-256-GCM พร้อม RSA key wrapping เพื่อซ่อนการส่งข้อมูล ➡️ ข้อมูลที่ถูกเก็บรวมถึง IP, ตำแหน่ง, อุปกรณ์ และถูกเข้ารหัสแบบ Base64 ➡️ ส่วนขยายยังคงอยู่ใน Chrome Web Store แม้จะถูกเปิดโปงแล้ว https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/a-popular-vpn-extension-for-google-chrome-has-been-screenshotting-every-page-users-visit-freevpn-one-flagged-over-enormous-privacy-concerns
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • เมื่อ Phison ต้องออกโรงสู้ข่าวปลอม – SSD บน Windows 11 กับความเข้าใจผิดที่อาจสร้างความเสียหาย

    เรื่องเริ่มต้นจากการที่มีรายงานว่าอัปเดตความปลอดภัยของ Windows 11 เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2025 (KB5063878 และ KB5062660) ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา โดยเฉพาะเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้ใช้งานจำนวนมาก

    ในช่วงแรก มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหลัก แต่ Phison ได้ออกมายืนยันว่าไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ของตนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ อุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

    สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ร้อนแรงขึ้น คือมีเอกสารปลอมที่ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า โดยอ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ซึ่งระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน Phison จึงต้องออกแถลงการณ์ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น พร้อมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง

    Phison ยังยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    มีรายงานว่าอัปเดต Windows 11 KB5063878 และ KB5062660 ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา
    ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ทำให้ SSD บางรุ่นล้มเหลว
    มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison ได้รับผลกระทบหลัก
    Phison ยืนยันว่าอุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
    มีเอกสารปลอมที่อ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า
    เอกสารปลอมระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน
    Phison ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น และดำเนินการทางกฎหมาย
    Phison กำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา
    แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของ Phison ออกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025
    Phison ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ปัญหานี้ไม่จำกัดเฉพาะ SSD แต่ยังส่งผลต่อ HDD บางรุ่นด้วย
    การอัปเดต Windows ที่มีปัญหาอาจส่งผลต่อระบบกู้คืนข้อมูลของผู้ใช้
    ผู้ผลิต SSD รายอื่น เช่น Western Digital ก็พบปัญหาคล้ายกัน
    การเผยแพร่เอกสารปลอมในวงการเทคโนโลยีอาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่น
    การสื่อสารอย่างโปร่งใสจากผู้ผลิตเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการวิกฤต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/phison-takes-legal-action-over-falsified-leaked-document-on-windows-ssd-issues-says-it-continues-to-investigate-reports-of-problems
    🎙️ เมื่อ Phison ต้องออกโรงสู้ข่าวปลอม – SSD บน Windows 11 กับความเข้าใจผิดที่อาจสร้างความเสียหาย เรื่องเริ่มต้นจากการที่มีรายงานว่าอัปเดตความปลอดภัยของ Windows 11 เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2025 (KB5063878 และ KB5062660) ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา โดยเฉพาะเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้ใช้งานจำนวนมาก ในช่วงแรก มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหลัก แต่ Phison ได้ออกมายืนยันว่าไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ของตนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ อุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ร้อนแรงขึ้น คือมีเอกสารปลอมที่ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า โดยอ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ซึ่งระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน Phison จึงต้องออกแถลงการณ์ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น พร้อมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง Phison ยังยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ มีรายงานว่าอัปเดต Windows 11 KB5063878 และ KB5062660 ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา ➡️ ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ทำให้ SSD บางรุ่นล้มเหลว ➡️ มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison ได้รับผลกระทบหลัก ➡️ Phison ยืนยันว่าอุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ➡️ มีเอกสารปลอมที่อ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า ➡️ เอกสารปลอมระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ➡️ Phison ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น และดำเนินการทางกฎหมาย ➡️ Phison กำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา ➡️ แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของ Phison ออกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025 ➡️ Phison ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ปัญหานี้ไม่จำกัดเฉพาะ SSD แต่ยังส่งผลต่อ HDD บางรุ่นด้วย ➡️ การอัปเดต Windows ที่มีปัญหาอาจส่งผลต่อระบบกู้คืนข้อมูลของผู้ใช้ ➡️ ผู้ผลิต SSD รายอื่น เช่น Western Digital ก็พบปัญหาคล้ายกัน ➡️ การเผยแพร่เอกสารปลอมในวงการเทคโนโลยีอาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่น ➡️ การสื่อสารอย่างโปร่งใสจากผู้ผลิตเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการวิกฤต https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/phison-takes-legal-action-over-falsified-leaked-document-on-windows-ssd-issues-says-it-continues-to-investigate-reports-of-problems
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Phison takes legal action over falsified 'leaked' document on Windows SSD issues — says it continues to investigate reports of problems
    "We wish to state unequivocally that the document in question—reproduced below—is neither an official nor unofficial communication from Phison."
    0 Comments 0 Shares 60 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าใหม่: จากเส้นสเก็ตช์สู่จักรวาล – เบื้องหลังการสร้าง Space Invader แบบเจนเนอเรทีฟ

    Stanko Tadić นักพัฒนาและศิลปินสายโค้ดจาก Creative Coding Amsterdam ได้สร้าง “Space Invader Generator” เพื่อใช้ในงานแข่งโค้ดแบบสร้างสรรค์ โดยเริ่มจากความคิดง่าย ๆ ว่าอยากหยุดพัฒนาเครื่องมือที่ไม่มีวันเสร็จ แล้วหันมาสร้างอะไรที่ “จบได้” และสนุก

    เขาเริ่มจากการสเก็ตช์ Space Invader บนกระดาษ แล้วนำไปวาดใน Aseprite ด้วยขนาด 15x15 พิกเซล ก่อนจะสังเกตว่ารูปทรงของ Invader มีลักษณะเป็นโพลิกอนแบบสมมาตร ซึ่งสามารถสร้างแบบเวกเตอร์ได้โดยใช้จุดสุ่มและการสะท้อนซ้าย-ขวา

    จากนั้นเขาเพิ่ม “หนวด” และ “เขา” ด้วยเทคนิคการสร้างเส้นกลางแล้วขยายความหนาแบบไดนามิก พร้อมพิกเซลตาและสีที่ใช้ OKLCH เพื่อให้ความสว่างคงที่และสีสดใสเท่ากันทุกตัว

    สุดท้าย เขาใส่อนิเมชันสองเฟรมให้ Invader ขยับหนวดและตาเล็กน้อย เพื่อให้ดูมีชีวิต และเปิดให้ผู้ใช้สร้าง Invader ของตัวเองได้แบบสุ่ม พร้อม debug mode ให้ดูโครงสร้างภายใน

    ข้อมูลในข่าว
    โครงการ Space Invader Generator ถูกสร้างขึ้นเพื่อแข่งโค้ดใน Creative Coding Amsterdam
    เริ่มจากการสเก็ตช์บนกระดาษและวาดใน Aseprite ขนาด 15x15 พิกเซล
    ใช้หลักการสมมาตรและเวกเตอร์ในการสร้างรูปร่างของ Invader
    หนวดและเขาถูกสร้างจากเส้นกลางแบบสุ่ม แล้วขยายความหนาแบบไดนามิก
    ใช้ OKLCH color space เพื่อให้สีมีความสว่างเท่ากันและสดใส
    ใส่อนิเมชันสองเฟรมให้ Invader ขยับหนวดและตา
    เปิดให้ผู้ใช้สร้าง Invader แบบสุ่ม พร้อม debug mode ให้ดูโครงสร้าง
    ขนาดสูงสุดของ Invader คือ 31x31 พิกเซล แต่สามารถเพิ่มได้ถึง 51x51 ผ่าน URL

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OKLCH เป็น color space ที่แม่นยำกว่า HSL ในการควบคุมความสว่าง
    Aseprite เป็นเครื่องมือยอดนิยมสำหรับการสร้าง pixel art แบบมืออาชีพ
    การใช้สมมาตรช่วยลดจำนวนจุดที่ต้องสุ่มลงครึ่งหนึ่ง และทำให้ภาพดูสมดุล
    เทคนิค “fat line” ถูกใช้ในกราฟิกเวกเตอร์เพื่อสร้างรูปร่างที่มีความหนา
    การใช้ randomness แบบมีข้อจำกัดช่วยให้ผลลัพธ์ดูมีรูปแบบและไม่มั่ว

    https://muffinman.io/blog/invaders/
    🎨 เรื่องเล่าใหม่: จากเส้นสเก็ตช์สู่จักรวาล – เบื้องหลังการสร้าง Space Invader แบบเจนเนอเรทีฟ Stanko Tadić นักพัฒนาและศิลปินสายโค้ดจาก Creative Coding Amsterdam ได้สร้าง “Space Invader Generator” เพื่อใช้ในงานแข่งโค้ดแบบสร้างสรรค์ โดยเริ่มจากความคิดง่าย ๆ ว่าอยากหยุดพัฒนาเครื่องมือที่ไม่มีวันเสร็จ แล้วหันมาสร้างอะไรที่ “จบได้” และสนุก เขาเริ่มจากการสเก็ตช์ Space Invader บนกระดาษ แล้วนำไปวาดใน Aseprite ด้วยขนาด 15x15 พิกเซล ก่อนจะสังเกตว่ารูปทรงของ Invader มีลักษณะเป็นโพลิกอนแบบสมมาตร ซึ่งสามารถสร้างแบบเวกเตอร์ได้โดยใช้จุดสุ่มและการสะท้อนซ้าย-ขวา จากนั้นเขาเพิ่ม “หนวด” และ “เขา” ด้วยเทคนิคการสร้างเส้นกลางแล้วขยายความหนาแบบไดนามิก พร้อมพิกเซลตาและสีที่ใช้ OKLCH เพื่อให้ความสว่างคงที่และสีสดใสเท่ากันทุกตัว สุดท้าย เขาใส่อนิเมชันสองเฟรมให้ Invader ขยับหนวดและตาเล็กน้อย เพื่อให้ดูมีชีวิต และเปิดให้ผู้ใช้สร้าง Invader ของตัวเองได้แบบสุ่ม พร้อม debug mode ให้ดูโครงสร้างภายใน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ โครงการ Space Invader Generator ถูกสร้างขึ้นเพื่อแข่งโค้ดใน Creative Coding Amsterdam ➡️ เริ่มจากการสเก็ตช์บนกระดาษและวาดใน Aseprite ขนาด 15x15 พิกเซล ➡️ ใช้หลักการสมมาตรและเวกเตอร์ในการสร้างรูปร่างของ Invader ➡️ หนวดและเขาถูกสร้างจากเส้นกลางแบบสุ่ม แล้วขยายความหนาแบบไดนามิก ➡️ ใช้ OKLCH color space เพื่อให้สีมีความสว่างเท่ากันและสดใส ➡️ ใส่อนิเมชันสองเฟรมให้ Invader ขยับหนวดและตา ➡️ เปิดให้ผู้ใช้สร้าง Invader แบบสุ่ม พร้อม debug mode ให้ดูโครงสร้าง ➡️ ขนาดสูงสุดของ Invader คือ 31x31 พิกเซล แต่สามารถเพิ่มได้ถึง 51x51 ผ่าน URL ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OKLCH เป็น color space ที่แม่นยำกว่า HSL ในการควบคุมความสว่าง ➡️ Aseprite เป็นเครื่องมือยอดนิยมสำหรับการสร้าง pixel art แบบมืออาชีพ ➡️ การใช้สมมาตรช่วยลดจำนวนจุดที่ต้องสุ่มลงครึ่งหนึ่ง และทำให้ภาพดูสมดุล ➡️ เทคนิค “fat line” ถูกใช้ในกราฟิกเวกเตอร์เพื่อสร้างรูปร่างที่มีความหนา ➡️ การใช้ randomness แบบมีข้อจำกัดช่วยให้ผลลัพธ์ดูมีรูปแบบและไม่มั่ว https://muffinman.io/blog/invaders/
    MUFFINMAN.IO
    How to draw a Space Invader · Muffin Man
    This interactive post will show you how to build your own fleet of space invaders by mixing geometry with randomness and a splash of color.
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • เบื้องหลังสตง.คว้ารางวัลโปร่งใส ในปีตึกถล่ม
    สั่งคนในให้คะแนนสูงๆ กดดันคู่สัญญาให้อวยฉ่ำๆ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #สตง
    เบื้องหลังสตง.คว้ารางวัลโปร่งใส ในปีตึกถล่ม สั่งคนในให้คะแนนสูงๆ กดดันคู่สัญญาให้อวยฉ่ำๆ #คิงส์โพธิ์แดง #สตง
    Angry
    1
    1 Comments 0 Shares 146 Views 0 0 Reviews
  • Arm ดึงตัวผู้สร้างชิป AI ของ Amazon กลับบ้าน – จุดเริ่มต้นของการสร้างชิปเองเพื่อแข่งกับ Nvidia และ Apple

    Arm Holdings บริษัทออกแบบชิปจากอังกฤษที่อยู่เบื้องหลังสถาปัตยกรรมของสมาร์ตโฟนแทบทุกเครื่องในโลก กำลังเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่ จากเดิมที่เน้นขายสิทธิ์การออกแบบชิป ให้กลายเป็นผู้ผลิตชิปด้วยตัวเอง

    ล่าสุด Arm ได้ดึงตัว Rami Sinno อดีตผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมของ Amazon Web Services กลับมาร่วมทีมอีกครั้ง หลังจากเขาเคยทำงานกับ Arm ระหว่างปี 2014–2019 และเป็นหัวหน้าทีมพัฒนาชิป AI ของ Amazon ได้แก่ Trainium และ Inferentia ซึ่งใช้ในงานฝึกและรันโมเดล AI ขนาดใหญ่

    การกลับมาของ Sinno เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างชิป AI ของ Arm ที่เริ่มมีข่าวตั้งแต่ต้นปี 2024 และมีรายงานว่า Arm ได้รับคำสั่งซื้อชิปที่ยังไม่เปิดตัวแล้วด้วยซ้ำ

    นอกจาก Sinno แล้ว Arm ยังดึงตัวผู้เชี่ยวชาญจาก Intel, Qualcomm และ HP Enterprise มาร่วมทีม เพื่อสร้าง “chiplets” และระบบชิปแบบครบวงจร (SoC) ที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia, AMD และ Apple ได้ในตลาดศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์ผู้บริโภค

    CEO Rene Haas ประกาศเป้าหมายอย่างมั่นใจว่า Arm จะครองส่วนแบ่งตลาด CPU สำหรับศูนย์ข้อมูลให้ได้ถึง 50% ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยเน้นแค่การออกแบบ ไม่ใช่การผลิต

    ข้อมูลในข่าว
    Arm จ้าง Rami Sinno ผู้พัฒนาชิป AI Trainium และ Inferentia ของ Amazon กลับมาร่วมทีม
    Sinno เคยทำงานกับ Arm ระหว่างปี 2014–2019 ในตำแหน่ง VP ด้านวิศวกรรม
    การจ้างงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนสร้างชิป AI ของ Arm ที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2024
    Arm ได้รับคำสั่งซื้อชิปที่ยังไม่เปิดตัวแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2025
    Arm ดึงผู้เชี่ยวชาญจาก Intel, Qualcomm และ HP Enterprise มาร่วมพัฒนา chiplets และ SoC
    CEO Rene Haas ตั้งเป้าครองตลาด CPU สำหรับศูนย์ข้อมูล 50% ภายในปี 2025
    Arm เคยถูก Nvidia พยายามซื้อกิจการในปี 2020 ด้วยมูลค่า $40 พันล้าน
    ปัจจุบัน Arm ได้รายได้จากการขายสิทธิ์ออกแบบชิปให้บริษัทอื่น เช่น Apple และ Qualcomm

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Trainium และ Inferentia เป็นชิปที่ Amazon ใช้แทน GPU ของ Nvidia ในงาน AI
    Chiplets คือการรวมชิ้นส่วนชิปหลายตัวเข้าด้วยกันในแพ็กเกจเดียว เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น
    ตลาดชิป AI เติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการของศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์ผู้บริโภค
    การผลิตชิปเองช่วยให้ Arm ควบคุมคุณภาพและนวัตกรรมได้มากขึ้น
    การเปลี่ยนจากโมเดล “ขายสิทธิ์” ไปสู่ “ผลิตเอง” อาจเพิ่มรายได้ระยะยาว
    การแข่งขันกับ Nvidia และ AMD ต้องใช้ทรัพยากรและความเชี่ยวชาญระดับสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/arm-hires-amazons-ai-chip-developer-to-help-create-its-own-processors-rami-sinno-returns-to-the-company-boasts-trainium-and-inferentia-on-resume
    🧠 Arm ดึงตัวผู้สร้างชิป AI ของ Amazon กลับบ้าน – จุดเริ่มต้นของการสร้างชิปเองเพื่อแข่งกับ Nvidia และ Apple Arm Holdings บริษัทออกแบบชิปจากอังกฤษที่อยู่เบื้องหลังสถาปัตยกรรมของสมาร์ตโฟนแทบทุกเครื่องในโลก กำลังเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่ จากเดิมที่เน้นขายสิทธิ์การออกแบบชิป ให้กลายเป็นผู้ผลิตชิปด้วยตัวเอง ล่าสุด Arm ได้ดึงตัว Rami Sinno อดีตผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมของ Amazon Web Services กลับมาร่วมทีมอีกครั้ง หลังจากเขาเคยทำงานกับ Arm ระหว่างปี 2014–2019 และเป็นหัวหน้าทีมพัฒนาชิป AI ของ Amazon ได้แก่ Trainium และ Inferentia ซึ่งใช้ในงานฝึกและรันโมเดล AI ขนาดใหญ่ การกลับมาของ Sinno เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างชิป AI ของ Arm ที่เริ่มมีข่าวตั้งแต่ต้นปี 2024 และมีรายงานว่า Arm ได้รับคำสั่งซื้อชิปที่ยังไม่เปิดตัวแล้วด้วยซ้ำ นอกจาก Sinno แล้ว Arm ยังดึงตัวผู้เชี่ยวชาญจาก Intel, Qualcomm และ HP Enterprise มาร่วมทีม เพื่อสร้าง “chiplets” และระบบชิปแบบครบวงจร (SoC) ที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia, AMD และ Apple ได้ในตลาดศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์ผู้บริโภค CEO Rene Haas ประกาศเป้าหมายอย่างมั่นใจว่า Arm จะครองส่วนแบ่งตลาด CPU สำหรับศูนย์ข้อมูลให้ได้ถึง 50% ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยเน้นแค่การออกแบบ ไม่ใช่การผลิต ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Arm จ้าง Rami Sinno ผู้พัฒนาชิป AI Trainium และ Inferentia ของ Amazon กลับมาร่วมทีม ➡️ Sinno เคยทำงานกับ Arm ระหว่างปี 2014–2019 ในตำแหน่ง VP ด้านวิศวกรรม ➡️ การจ้างงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนสร้างชิป AI ของ Arm ที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2024 ➡️ Arm ได้รับคำสั่งซื้อชิปที่ยังไม่เปิดตัวแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ➡️ Arm ดึงผู้เชี่ยวชาญจาก Intel, Qualcomm และ HP Enterprise มาร่วมพัฒนา chiplets และ SoC ➡️ CEO Rene Haas ตั้งเป้าครองตลาด CPU สำหรับศูนย์ข้อมูล 50% ภายในปี 2025 ➡️ Arm เคยถูก Nvidia พยายามซื้อกิจการในปี 2020 ด้วยมูลค่า $40 พันล้าน ➡️ ปัจจุบัน Arm ได้รายได้จากการขายสิทธิ์ออกแบบชิปให้บริษัทอื่น เช่น Apple และ Qualcomm ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Trainium และ Inferentia เป็นชิปที่ Amazon ใช้แทน GPU ของ Nvidia ในงาน AI ➡️ Chiplets คือการรวมชิ้นส่วนชิปหลายตัวเข้าด้วยกันในแพ็กเกจเดียว เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น ➡️ ตลาดชิป AI เติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการของศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์ผู้บริโภค ➡️ การผลิตชิปเองช่วยให้ Arm ควบคุมคุณภาพและนวัตกรรมได้มากขึ้น ➡️ การเปลี่ยนจากโมเดล “ขายสิทธิ์” ไปสู่ “ผลิตเอง” อาจเพิ่มรายได้ระยะยาว ➡️ การแข่งขันกับ Nvidia และ AMD ต้องใช้ทรัพยากรและความเชี่ยวชาญระดับสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/arm-hires-amazons-ai-chip-developer-to-help-create-its-own-processors-rami-sinno-returns-to-the-company-boasts-trainium-and-inferentia-on-resume
    0 Comments 0 Shares 122 Views 0 Reviews
  • สลามเมืองไทย EP28 | ต้นตำรับมุสลิมชวนชิม “ครัวตะไคร้หอม Orient Paradise”

    ในตอนนี้ รายการพาไปเปิดครัวมุสลิมที่ไม่ธรรมดา กับ “ครัวตะไคร้หอม Orient Paradise” ร้านอาหารฮาลาลที่ผสมผสานรสชาติไทยกับกลิ่นอายตะวันออกอย่างลงตัว

    ไม่ใช่แค่รสชาติที่โดดเด่น แต่ยังสะท้อนความพิถีพิถันในทุกจาน ทั้งความใส่ใจในวัตถุดิบ ความสะอาดตามหลักฮาลาล และการออกแบบเมนูที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมกับศรัทธา

    จากครัวเล็ก ๆ ของครอบครัวมุสลิม สู่ร้านอาหารที่กลายเป็นจุดหมายของผู้แสวงหารสชาติใหม่และประสบการณ์ที่อบอุ่น

    ติดตามเรื่องราวแรงบันดาลใจจากเจ้าของร้าน และเบื้องหลังความสำเร็จของร้านอาหารฮาลาลที่กำลังเป็นที่พูดถึง พร้อมเมนูแนะนำที่คุณไม่ควรพลาด

    #สลามเมืองไทย #EP28 #ครัวตะไคร้หอม #OrientParadise #อาหารฮาลาล #ต้นตำรับมุสลิมชวนชิม #HalalCuisine #MuslimFoodCulture #ThaiMuslimCommunity #ThaiTimes
    สลามเมืองไทย EP28 | ต้นตำรับมุสลิมชวนชิม “ครัวตะไคร้หอม Orient Paradise” ในตอนนี้ รายการพาไปเปิดครัวมุสลิมที่ไม่ธรรมดา กับ “ครัวตะไคร้หอม Orient Paradise” ร้านอาหารฮาลาลที่ผสมผสานรสชาติไทยกับกลิ่นอายตะวันออกอย่างลงตัว ไม่ใช่แค่รสชาติที่โดดเด่น แต่ยังสะท้อนความพิถีพิถันในทุกจาน ทั้งความใส่ใจในวัตถุดิบ ความสะอาดตามหลักฮาลาล และการออกแบบเมนูที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมกับศรัทธา จากครัวเล็ก ๆ ของครอบครัวมุสลิม สู่ร้านอาหารที่กลายเป็นจุดหมายของผู้แสวงหารสชาติใหม่และประสบการณ์ที่อบอุ่น ติดตามเรื่องราวแรงบันดาลใจจากเจ้าของร้าน และเบื้องหลังความสำเร็จของร้านอาหารฮาลาลที่กำลังเป็นที่พูดถึง พร้อมเมนูแนะนำที่คุณไม่ควรพลาด #สลามเมืองไทย #EP28 #ครัวตะไคร้หอม #OrientParadise #อาหารฮาลาล #ต้นตำรับมุสลิมชวนชิม #HalalCuisine #MuslimFoodCulture #ThaiMuslimCommunity #ThaiTimes
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 0 Reviews
  • อ.ปานเทพเปิดเบื้องหลัง เขมรก็อยากได้ “โดรน” มาก! [18/8/68]
    Panthip reveals the truth: Cambodia is desperate to get drones!

    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #CambodiaExposed
    #DroneWar
    #ThaiTimes
    #news1
    #shorts
    อ.ปานเทพเปิดเบื้องหลัง เขมรก็อยากได้ “โดรน” มาก! [18/8/68] Panthip reveals the truth: Cambodia is desperate to get drones! #TruthFromThailand #scambodia #CambodiaExposed #DroneWar #ThaiTimes #news1 #shorts
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 0 Reviews
  • แผ่นซีดี: จากนวัตกรรมแห่งยุค สู่ความทรงจำที่ยังไม่จางหาย

    เมื่อ 43 ปีก่อน—วันที่ 17 สิงหาคม 1982—โรงงาน Polygram ในเยอรมนีได้ผลิตแผ่นซีดีเชิงพาณิชย์แผ่นแรกของโลก โดยบรรจุอัลบั้ม “The Visitors” ของ ABBA ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจากยุคแอนะล็อกสู่ยุคดิจิทัล

    เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือความร่วมมือระหว่าง Sony และ Philips ที่เริ่มต้นในปี 1979 โดยตั้งเป้าสร้างแผ่นดิจิทัลที่สามารถบรรจุเพลงได้อย่างน้อย 74 นาที—ซึ่งเท่ากับความยาวของ Beethoven’s 9th Symphony ที่เป็นที่โปรดปรานของผู้บริหาร Sony

    มาตรฐาน Red Book ถูกกำหนดในปี 1980 และกลายเป็นรากฐานของการผลิตแผ่นซีดีทั่วโลก ทั้งในด้านเสียงและข้อมูล โดยต่อมาได้ขยายไปสู่ CD-ROM, CD-R และ CD-RW สำหรับการใช้งานในคอมพิวเตอร์

    ในปี 2000 ยอดขายซีดีในสหรัฐฯ พุ่งถึงจุดสูงสุดที่กว่า 943 ล้านแผ่นต่อปี ก่อนจะลดลงอย่างรวดเร็วในยุค MP3 และการสตรีม แต่ก็ยังมีแฟนเพลงบางกลุ่มที่นิยมฟังจากแผ่นจริง เช่น Taylor Swift ที่ออกอัลบั้มล่าสุดในรูปแบบซีดีถึง 20 เวอร์ชัน

    แม้จะดู “โบราณ” ในปี 2025 แต่แผ่นซีดียังมีบทบาทในด้านการเก็บข้อมูล การฟังเพลงแบบมีคุณภาพ และการเก็บสะสม โดยมีเครื่องอ่านซีดีแบบ USB ที่ยังวางขายอยู่ในราคาประหยัด

    จุดเริ่มต้นของแผ่นซีดี
    แผ่นซีดีเชิงพาณิชย์แผ่นแรกคือ “The Visitors” ของ ABBA ผลิตเมื่อ 17 ส.ค. 1982
    Sony และ Philips ร่วมมือกันตั้งแต่ปี 1979 เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้
    ขนาดแผ่น 12 ซม. ความจุ 74 นาที เพื่อรองรับ Beethoven’s 9th Symphony
    มาตรฐาน Red Book ถูกกำหนดในปี 1980 สำหรับซีดีเสียง
    แผ่นซีดีแรกในสหรัฐฯ คือ “Born in the U.S.A.” ของ Bruce Springsteen ปี 1984

    การพัฒนาและการใช้งาน
    ปี 1985 มีมาตรฐาน Yellow Book สำหรับซีดีข้อมูล (CD-ROM)
    ปี 1988 มีมาตรฐาน ISO 9660 สำหรับโครงสร้างไฟล์ในแผ่น
    ปี 1992 เริ่มมีเครื่องเขียนซีดี (CD burner) สำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ซีดีใช้เลเซอร์ 780 nm ในการอ่านและเขียนข้อมูล
    ความจุทั่วไป 650–700 MB หรือ 74–80 นาทีเสียง
    มีการพัฒนา Mini CD สำหรับซิงเกิลและไดรเวอร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/the-first-commercial-compact-disc-was-created-43-years-ago-today-nearly-one-billion-cds-were-shipped-per-year-in-early-2000s
    📼 แผ่นซีดี: จากนวัตกรรมแห่งยุค สู่ความทรงจำที่ยังไม่จางหาย เมื่อ 43 ปีก่อน—วันที่ 17 สิงหาคม 1982—โรงงาน Polygram ในเยอรมนีได้ผลิตแผ่นซีดีเชิงพาณิชย์แผ่นแรกของโลก โดยบรรจุอัลบั้ม “The Visitors” ของ ABBA ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจากยุคแอนะล็อกสู่ยุคดิจิทัล เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือความร่วมมือระหว่าง Sony และ Philips ที่เริ่มต้นในปี 1979 โดยตั้งเป้าสร้างแผ่นดิจิทัลที่สามารถบรรจุเพลงได้อย่างน้อย 74 นาที—ซึ่งเท่ากับความยาวของ Beethoven’s 9th Symphony ที่เป็นที่โปรดปรานของผู้บริหาร Sony มาตรฐาน Red Book ถูกกำหนดในปี 1980 และกลายเป็นรากฐานของการผลิตแผ่นซีดีทั่วโลก ทั้งในด้านเสียงและข้อมูล โดยต่อมาได้ขยายไปสู่ CD-ROM, CD-R และ CD-RW สำหรับการใช้งานในคอมพิวเตอร์ ในปี 2000 ยอดขายซีดีในสหรัฐฯ พุ่งถึงจุดสูงสุดที่กว่า 943 ล้านแผ่นต่อปี ก่อนจะลดลงอย่างรวดเร็วในยุค MP3 และการสตรีม แต่ก็ยังมีแฟนเพลงบางกลุ่มที่นิยมฟังจากแผ่นจริง เช่น Taylor Swift ที่ออกอัลบั้มล่าสุดในรูปแบบซีดีถึง 20 เวอร์ชัน แม้จะดู “โบราณ” ในปี 2025 แต่แผ่นซีดียังมีบทบาทในด้านการเก็บข้อมูล การฟังเพลงแบบมีคุณภาพ และการเก็บสะสม โดยมีเครื่องอ่านซีดีแบบ USB ที่ยังวางขายอยู่ในราคาประหยัด ✅ จุดเริ่มต้นของแผ่นซีดี ➡️ แผ่นซีดีเชิงพาณิชย์แผ่นแรกคือ “The Visitors” ของ ABBA ผลิตเมื่อ 17 ส.ค. 1982 ➡️ Sony และ Philips ร่วมมือกันตั้งแต่ปี 1979 เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้ ➡️ ขนาดแผ่น 12 ซม. ความจุ 74 นาที เพื่อรองรับ Beethoven’s 9th Symphony ➡️ มาตรฐาน Red Book ถูกกำหนดในปี 1980 สำหรับซีดีเสียง ➡️ แผ่นซีดีแรกในสหรัฐฯ คือ “Born in the U.S.A.” ของ Bruce Springsteen ปี 1984 ✅ การพัฒนาและการใช้งาน ➡️ ปี 1985 มีมาตรฐาน Yellow Book สำหรับซีดีข้อมูล (CD-ROM) ➡️ ปี 1988 มีมาตรฐาน ISO 9660 สำหรับโครงสร้างไฟล์ในแผ่น ➡️ ปี 1992 เริ่มมีเครื่องเขียนซีดี (CD burner) สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ ซีดีใช้เลเซอร์ 780 nm ในการอ่านและเขียนข้อมูล ➡️ ความจุทั่วไป 650–700 MB หรือ 74–80 นาทีเสียง ➡️ มีการพัฒนา Mini CD สำหรับซิงเกิลและไดรเวอร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/the-first-commercial-compact-disc-was-created-43-years-ago-today-nearly-one-billion-cds-were-shipped-per-year-in-early-2000s
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • Mini SSD ขนาดเท่า SIM ที่เร็วระดับ NVMe: นวัตกรรมใหม่จาก Biwin

    ลองนึกภาพ SSD ที่มีขนาดเล็กพอ ๆ กับซิมการ์ดมือถือ แต่สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้เร็วระดับ NVMe แบบที่ใช้ในคอมพิวเตอร์เกมแรง ๆ นั่นคือสิ่งที่ Biwin จากจีนเพิ่งเปิดตัว—“Mini SSD” ที่อาจเปลี่ยนโลกของอุปกรณ์พกพาไปตลอดกาล

    Mini SSD นี้มีขนาดเพียง 15 × 17 × 1.4 มม. เล็กกว่าหัวแม่มือ แต่สามารถอ่านข้อมูลได้ถึง 3,700 MB/s และเขียนได้ 3,400 MB/s ผ่าน PCIe 4.0 x2 ซึ่งถือว่าเร็วกว่า microSD Express ถึง 3 เท่า และใกล้เคียงกับ SSD M.2 ขนาดใหญ่

    สิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจคือการติดตั้งแบบ “ถาดซิม”—แค่ใช้เข็มจิ้มก็ถอดเปลี่ยนได้ทันที ไม่ต้องไขน็อตหรือเปิดฝาเครื่อง เหมาะมากกับอุปกรณ์พกพาอย่าง GPD Win 5 และ OneXPlayer Super X ที่เริ่มรองรับแล้ว

    นอกจากความเร็วและความสะดวก Mini SSD ยังทนทานระดับ IP68 กันน้ำกันฝุ่น และตกจากที่สูง 3 เมตรได้โดยไม่พัง เหมาะกับการใช้งานในสนามหรืออุปกรณ์ที่ต้องพกพาไปทุกที่

    แต่ก็ยังมีข้อกังวล เช่น ความร้อนที่อาจสะสมในพื้นที่เล็ก ๆ และความไม่แน่นอนว่า Biwin จะเปิดให้ผู้ผลิตรายอื่นใช้ฟอร์แมตนี้หรือไม่ ถ้าไม่เปิด อาจกลายเป็นแค่เทคโนโลยีเฉพาะกลุ่มเหมือน Sony Memory Stick ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

    คุณสมบัติเด่นของ Biwin Mini SSD
    ขนาดเล็กเพียง 15 × 17 × 1.4 มม. ใกล้เคียง microSD
    ความเร็วสูงระดับ NVMe: อ่าน 3,700 MB/s เขียน 3,400 MB/s
    ใช้ PCIe 4.0 x2 และ NVMe 1.4
    มีความจุให้เลือก 512GB, 1TB และ 2TB
    ติดตั้งแบบถาดซิม ใช้เข็มจิ้มเปลี่ยนได้ทันที
    กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 และทนการตกจาก 3 เมตร

    การใช้งานในอุปกรณ์พกพา
    รองรับใน GPD Win 5 และ OneXPlayer Super X
    เหมาะกับเกมพกพาและอุปกรณ์ที่ต้องการพื้นที่ภายในมากขึ้น
    ช่วยลดขนาด SSD และเพิ่มพื้นที่ให้แบตเตอรี่หรือระบบระบายความร้อน

    เทคโนโลยีเบื้องหลัง
    ใช้ LGA packaging รวม controller และ NAND flash ในพื้นที่เล็ก
    ออกแบบให้ทนทานต่อการใช้งานภาคสนาม
    อาจเป็นทางเลือกใหม่แทน microSD Express ที่ยังจำกัดความเร็ว

    https://www.techpowerup.com/339967/biwin-launches-mini-ssd-nvme-speeds-in-a-sim-tray-style-card
    💾 Mini SSD ขนาดเท่า SIM ที่เร็วระดับ NVMe: นวัตกรรมใหม่จาก Biwin ลองนึกภาพ SSD ที่มีขนาดเล็กพอ ๆ กับซิมการ์ดมือถือ แต่สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้เร็วระดับ NVMe แบบที่ใช้ในคอมพิวเตอร์เกมแรง ๆ นั่นคือสิ่งที่ Biwin จากจีนเพิ่งเปิดตัว—“Mini SSD” ที่อาจเปลี่ยนโลกของอุปกรณ์พกพาไปตลอดกาล Mini SSD นี้มีขนาดเพียง 15 × 17 × 1.4 มม. เล็กกว่าหัวแม่มือ แต่สามารถอ่านข้อมูลได้ถึง 3,700 MB/s และเขียนได้ 3,400 MB/s ผ่าน PCIe 4.0 x2 ซึ่งถือว่าเร็วกว่า microSD Express ถึง 3 เท่า และใกล้เคียงกับ SSD M.2 ขนาดใหญ่ สิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจคือการติดตั้งแบบ “ถาดซิม”—แค่ใช้เข็มจิ้มก็ถอดเปลี่ยนได้ทันที ไม่ต้องไขน็อตหรือเปิดฝาเครื่อง เหมาะมากกับอุปกรณ์พกพาอย่าง GPD Win 5 และ OneXPlayer Super X ที่เริ่มรองรับแล้ว นอกจากความเร็วและความสะดวก Mini SSD ยังทนทานระดับ IP68 กันน้ำกันฝุ่น และตกจากที่สูง 3 เมตรได้โดยไม่พัง เหมาะกับการใช้งานในสนามหรืออุปกรณ์ที่ต้องพกพาไปทุกที่ แต่ก็ยังมีข้อกังวล เช่น ความร้อนที่อาจสะสมในพื้นที่เล็ก ๆ และความไม่แน่นอนว่า Biwin จะเปิดให้ผู้ผลิตรายอื่นใช้ฟอร์แมตนี้หรือไม่ ถ้าไม่เปิด อาจกลายเป็นแค่เทคโนโลยีเฉพาะกลุ่มเหมือน Sony Memory Stick ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ✅ คุณสมบัติเด่นของ Biwin Mini SSD ➡️ ขนาดเล็กเพียง 15 × 17 × 1.4 มม. ใกล้เคียง microSD ➡️ ความเร็วสูงระดับ NVMe: อ่าน 3,700 MB/s เขียน 3,400 MB/s ➡️ ใช้ PCIe 4.0 x2 และ NVMe 1.4 ➡️ มีความจุให้เลือก 512GB, 1TB และ 2TB ➡️ ติดตั้งแบบถาดซิม ใช้เข็มจิ้มเปลี่ยนได้ทันที ➡️ กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 และทนการตกจาก 3 เมตร ✅ การใช้งานในอุปกรณ์พกพา ➡️ รองรับใน GPD Win 5 และ OneXPlayer Super X ➡️ เหมาะกับเกมพกพาและอุปกรณ์ที่ต้องการพื้นที่ภายในมากขึ้น ➡️ ช่วยลดขนาด SSD และเพิ่มพื้นที่ให้แบตเตอรี่หรือระบบระบายความร้อน ✅ เทคโนโลยีเบื้องหลัง ➡️ ใช้ LGA packaging รวม controller และ NAND flash ในพื้นที่เล็ก ➡️ ออกแบบให้ทนทานต่อการใช้งานภาคสนาม ➡️ อาจเป็นทางเลือกใหม่แทน microSD Express ที่ยังจำกัดความเร็ว https://www.techpowerup.com/339967/biwin-launches-mini-ssd-nvme-speeds-in-a-sim-tray-style-card
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Biwin Launches Mini SSD: NVMe Speeds in a SIM-Tray Style Card
    Biwin's new Mini SSD squeezes NVMe-class performance into a SIM-tray style card barely larger than a MicroSD, offering quoted sequential read speeds of up to 3,700 MB/s and write speeds of up to 3,400 MB/s over PCIe 4.0 x2 in 512 GB, 1 TB, and 2 TB options. The 15 × 17 × 1.4 mm module ejects with a ...
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • Radeon AI Pro R9700: จากเบื้องหลังสู่มือผู้ใช้ DIY

    เดิมที AMD เปิดตัว Radeon AI Pro R9700 ในงาน Computex 2025 โดยตั้งใจให้เป็นการ์ดสำหรับงาน AI โดยเฉพาะ เช่นการรันโมเดล LLM ขนาดใหญ่แบบ local โดยใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 และชิป Navi 48 ที่มี 64 Compute Units และ 128 AI Accelerators พร้อม VRAM ขนาด 32GB GDDR6 บนบัส 256-bit

    แต่ตอนแรกการ์ดนี้จำกัดการขายเฉพาะ OEM และ System Integrator เท่านั้น จนกระทั่งมีผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งโพสต์ว่าเขาสามารถซื้อรุ่น Gigabyte “AI Top” ได้จากช่องทางค้าปลีกในราคา $1,324 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่การ์ดนี้หลุดออกสู่ตลาด DIY

    การ์ดรุ่นนี้ใช้พัดลมแบบ blower-style ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในเซิร์ฟเวอร์หรือแร็คมากกว่าพีซีทั่วไป เพราะสามารถระบายความร้อนได้ดีในสภาพแวดล้อมที่แออัด

    เทียบกับคู่แข่ง: Nvidia และ Intel

    แม้ว่า R9700 จะมี VRAM เท่ากับ Nvidia RTX 5090 (32GB) แต่ราคาถูกกว่าครึ่ง ขณะที่ RTX 5090 มีแบนด์วิดธ์สูงกว่า (1.79TB/s เทียบกับ 644GB/s) และมีจำนวน core มากกว่า (21,760 เทียบกับ 4,096) ทำให้ RTX 5090 เหมาะกับงานที่ต้องการพลังประมวลผลสูงสุด

    ในฝั่ง Intel ก็มี Arc Pro B60 Dual ที่รวมสอง GPU เข้าด้วยกัน ให้ VRAM รวม 48GB และใช้สถาปัตยกรรม Xe2 “Battlemage” โดยมีราคาประมาณ $1,200 เช่นกัน เหมาะกับงาน inference ขนาดใหญ่ที่ต้องการความจุหน่วยความจำมาก

    การเปิดตัว Radeon AI Pro R9700 สู่ตลาด DIY
    เดิมจำกัดการขายเฉพาะ OEM และ SI
    ผู้ใช้ Reddit รายงานว่าได้ซื้อรุ่น Gigabyte “AI Top” จากร้านค้าปลีก
    ราคาอยู่ที่ประมาณ $1,324 รวมภาษีและค่าขนส่ง

    สเปกเด่นของ R9700
    ใช้ชิป Navi 48 พร้อม 64 Compute Units และ 128 AI Accelerators
    VRAM ขนาด 32GB GDDR6 บนบัส 256-bit
    ประสิทธิภาพสูงสุด 96 TFLOPs FP16 และ 1,531 TOPS INT4

    การออกแบบและการใช้งาน
    ใช้พัดลมแบบ blower-style เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์
    รองรับงาน AI inference และ LLM ขนาดใหญ่แบบ local
    ใช้ PCIe 5.0 x16 และมีขนาด 2-slot

    เปรียบเทียบกับคู่แข่ง
    RTX 5090 มีพลังประมวลผลสูงกว่า แต่ราคาสูงถึง $1,999
    Intel Arc Pro B60 Dual มี VRAM 48GB และราคาประมาณ $1,200
    R9700 มีจุดเด่นด้านความคุ้มค่าและการใช้งาน local AI

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amds-elusive-radeon-ai-pro-r9700-makes-its-first-retail-appearance-for-the-diy-market-customer-on-reddit-buys-the-gigabyte-ai-top-variant-for-usd1-324
    🧠 Radeon AI Pro R9700: จากเบื้องหลังสู่มือผู้ใช้ DIY เดิมที AMD เปิดตัว Radeon AI Pro R9700 ในงาน Computex 2025 โดยตั้งใจให้เป็นการ์ดสำหรับงาน AI โดยเฉพาะ เช่นการรันโมเดล LLM ขนาดใหญ่แบบ local โดยใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 และชิป Navi 48 ที่มี 64 Compute Units และ 128 AI Accelerators พร้อม VRAM ขนาด 32GB GDDR6 บนบัส 256-bit แต่ตอนแรกการ์ดนี้จำกัดการขายเฉพาะ OEM และ System Integrator เท่านั้น จนกระทั่งมีผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งโพสต์ว่าเขาสามารถซื้อรุ่น Gigabyte “AI Top” ได้จากช่องทางค้าปลีกในราคา $1,324 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่การ์ดนี้หลุดออกสู่ตลาด DIY การ์ดรุ่นนี้ใช้พัดลมแบบ blower-style ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในเซิร์ฟเวอร์หรือแร็คมากกว่าพีซีทั่วไป เพราะสามารถระบายความร้อนได้ดีในสภาพแวดล้อมที่แออัด 📊 เทียบกับคู่แข่ง: Nvidia และ Intel แม้ว่า R9700 จะมี VRAM เท่ากับ Nvidia RTX 5090 (32GB) แต่ราคาถูกกว่าครึ่ง ขณะที่ RTX 5090 มีแบนด์วิดธ์สูงกว่า (1.79TB/s เทียบกับ 644GB/s) และมีจำนวน core มากกว่า (21,760 เทียบกับ 4,096) ทำให้ RTX 5090 เหมาะกับงานที่ต้องการพลังประมวลผลสูงสุด ในฝั่ง Intel ก็มี Arc Pro B60 Dual ที่รวมสอง GPU เข้าด้วยกัน ให้ VRAM รวม 48GB และใช้สถาปัตยกรรม Xe2 “Battlemage” โดยมีราคาประมาณ $1,200 เช่นกัน เหมาะกับงาน inference ขนาดใหญ่ที่ต้องการความจุหน่วยความจำมาก ✅ การเปิดตัว Radeon AI Pro R9700 สู่ตลาด DIY ➡️ เดิมจำกัดการขายเฉพาะ OEM และ SI ➡️ ผู้ใช้ Reddit รายงานว่าได้ซื้อรุ่น Gigabyte “AI Top” จากร้านค้าปลีก ➡️ ราคาอยู่ที่ประมาณ $1,324 รวมภาษีและค่าขนส่ง ✅ สเปกเด่นของ R9700 ➡️ ใช้ชิป Navi 48 พร้อม 64 Compute Units และ 128 AI Accelerators ➡️ VRAM ขนาด 32GB GDDR6 บนบัส 256-bit ➡️ ประสิทธิภาพสูงสุด 96 TFLOPs FP16 และ 1,531 TOPS INT4 ✅ การออกแบบและการใช้งาน ➡️ ใช้พัดลมแบบ blower-style เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์ ➡️ รองรับงาน AI inference และ LLM ขนาดใหญ่แบบ local ➡️ ใช้ PCIe 5.0 x16 และมีขนาด 2-slot ✅ เปรียบเทียบกับคู่แข่ง ➡️ RTX 5090 มีพลังประมวลผลสูงกว่า แต่ราคาสูงถึง $1,999 ➡️ Intel Arc Pro B60 Dual มี VRAM 48GB และราคาประมาณ $1,200 ➡️ R9700 มีจุดเด่นด้านความคุ้มค่าและการใช้งาน local AI https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amds-elusive-radeon-ai-pro-r9700-makes-its-first-retail-appearance-for-the-diy-market-customer-on-reddit-buys-the-gigabyte-ai-top-variant-for-usd1-324
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • เมื่ออดีตพันธมิตรถูกแปรเปลี่ยนเป็นศัตรู: Elon Musk vs Sam Altman กับสงคราม AI ที่ลุกลามสู่โลกโซเชียล

    ในเดือนสิงหาคม 2025 ความขัดแย้งระหว่าง Elon Musk และ Sam Altman กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากที่ Musk กล่าวหาว่า Apple ลำเอียงในการจัดอันดับแอปใน App Store โดยให้ ChatGPT ของ OpenAI อยู่เหนือกว่า Grok ซึ่งเป็นแชตบอทของ xAI บริษัทที่ Musk ก่อตั้งขึ้น

    Musk ระบุว่า Apple กระทำการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดอย่างชัดเจน และประกาศว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายทันที ขณะที่ Altman ตอบโต้ด้วยการกล่าวหาว่า Musk เองก็เคยปรับอัลกอริธึมของแพลตฟอร์ม X เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและบริษัทในเครือ

    การโต้ตอบกันบนแพลตฟอร์ม X กลายเป็นการปะทะกันอย่างดุเดือด โดย Muskเรียก Altman ว่า “คนโกหก” และอ้างว่าโพสต์ของ Altman ได้รับยอดวิวมากกว่าโพสต์ของเขา แม้จะมีผู้ติดตามมากกว่าถึง 50 เท่า Altman ตอบกลับด้วยการท้าทายให้ Musk เซ็นรับรองว่าไม่เคยปรับอัลกอริธึมเพื่อทำร้ายคู่แข่ง

    เบื้องหลังของความขัดแย้งนี้ย้อนกลับไปถึงปี 2018 เมื่อ Musk ถอนตัวจากบอร์ดของ OpenAI และกล่าวหาว่าองค์กรละทิ้งพันธกิจเดิมในการสร้าง AI เพื่อมนุษยชาติ โดยหันไปเน้นผลกำไรร่วมกับ Microsoft

    นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ Musk แชร์ภาพหน้าจอจาก ChatGPT ที่ตอบว่า “Elon Musk” น่าเชื่อถือกว่า Altman แต่ผู้ใช้หลายคนพบว่า หากตั้งคำถามใหม่หรือปรับบริบทก่อนถาม คำตอบจะเปลี่ยนเป็น “Sam Altman” ซึ่งสะท้อนถึงความอ่อนไหวของ AI ต่อการตั้งคำถาม

    จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง
    Musk และ Altman ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015
    Musk ถอนตัวจากบอร์ดในปี 2018 ด้วยเหตุผลด้านทิศทางองค์กร
    ความขัดแย้งทวีความรุนแรงเมื่อ OpenAI ร่วมมือกับ Microsoft

    เหตุการณ์ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2025
    Musk กล่าวหา Apple ว่าลำเอียงต่อ ChatGPT ใน App Store
    Altman ตอบโต้โดยกล่าวหาว่า Musk ปรับอัลกอริธึม X เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
    การโต้ตอบกลายเป็นการด่าทอกันอย่างเปิดเผยบนโซเชียล

    ประเด็นเรื่องความน่าเชื่อถือของ AI
    Musk แชร์ภาพ ChatGPT ตอบว่าเขาน่าเชื่อถือกว่า Altman
    ผู้ใช้หลายคนพบว่า AI เปลี่ยนคำตอบตามบริบทของคำถาม
    สะท้อนถึงความอ่อนไหวของโมเดลต่อการตั้งคำถามและการ “ป้อนคำ”

    การเปรียบเทียบ Grok กับ ChatGPT
    Musk อ้างว่า Grok ดีกว่า GPT-5
    Altmanไม่ตอบตรง แต่เน้นโจมตีพฤติกรรมของ Musk
    Grok เคยถูกวิจารณ์เรื่องการให้ข้อมูลเท็จและเนื้อหาขัดแย้ง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/039you-liar039-elon-musk-and-sam-altman039s-ai-battle-erupts-on-social-media
    🧠 เมื่ออดีตพันธมิตรถูกแปรเปลี่ยนเป็นศัตรู: Elon Musk vs Sam Altman กับสงคราม AI ที่ลุกลามสู่โลกโซเชียล ในเดือนสิงหาคม 2025 ความขัดแย้งระหว่าง Elon Musk และ Sam Altman กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากที่ Musk กล่าวหาว่า Apple ลำเอียงในการจัดอันดับแอปใน App Store โดยให้ ChatGPT ของ OpenAI อยู่เหนือกว่า Grok ซึ่งเป็นแชตบอทของ xAI บริษัทที่ Musk ก่อตั้งขึ้น Musk ระบุว่า Apple กระทำการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดอย่างชัดเจน และประกาศว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายทันที ขณะที่ Altman ตอบโต้ด้วยการกล่าวหาว่า Musk เองก็เคยปรับอัลกอริธึมของแพลตฟอร์ม X เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและบริษัทในเครือ การโต้ตอบกันบนแพลตฟอร์ม X กลายเป็นการปะทะกันอย่างดุเดือด โดย Muskเรียก Altman ว่า “คนโกหก” และอ้างว่าโพสต์ของ Altman ได้รับยอดวิวมากกว่าโพสต์ของเขา แม้จะมีผู้ติดตามมากกว่าถึง 50 เท่า Altman ตอบกลับด้วยการท้าทายให้ Musk เซ็นรับรองว่าไม่เคยปรับอัลกอริธึมเพื่อทำร้ายคู่แข่ง เบื้องหลังของความขัดแย้งนี้ย้อนกลับไปถึงปี 2018 เมื่อ Musk ถอนตัวจากบอร์ดของ OpenAI และกล่าวหาว่าองค์กรละทิ้งพันธกิจเดิมในการสร้าง AI เพื่อมนุษยชาติ โดยหันไปเน้นผลกำไรร่วมกับ Microsoft นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ Musk แชร์ภาพหน้าจอจาก ChatGPT ที่ตอบว่า “Elon Musk” น่าเชื่อถือกว่า Altman แต่ผู้ใช้หลายคนพบว่า หากตั้งคำถามใหม่หรือปรับบริบทก่อนถาม คำตอบจะเปลี่ยนเป็น “Sam Altman” ซึ่งสะท้อนถึงความอ่อนไหวของ AI ต่อการตั้งคำถาม ✅ จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง ➡️ Musk และ Altman ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015 ➡️ Musk ถอนตัวจากบอร์ดในปี 2018 ด้วยเหตุผลด้านทิศทางองค์กร ➡️ ความขัดแย้งทวีความรุนแรงเมื่อ OpenAI ร่วมมือกับ Microsoft ✅ เหตุการณ์ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2025 ➡️ Musk กล่าวหา Apple ว่าลำเอียงต่อ ChatGPT ใน App Store ➡️ Altman ตอบโต้โดยกล่าวหาว่า Musk ปรับอัลกอริธึม X เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ➡️ การโต้ตอบกลายเป็นการด่าทอกันอย่างเปิดเผยบนโซเชียล ✅ ประเด็นเรื่องความน่าเชื่อถือของ AI ➡️ Musk แชร์ภาพ ChatGPT ตอบว่าเขาน่าเชื่อถือกว่า Altman ➡️ ผู้ใช้หลายคนพบว่า AI เปลี่ยนคำตอบตามบริบทของคำถาม ➡️ สะท้อนถึงความอ่อนไหวของโมเดลต่อการตั้งคำถามและการ “ป้อนคำ” ✅ การเปรียบเทียบ Grok กับ ChatGPT ➡️ Musk อ้างว่า Grok ดีกว่า GPT-5 ➡️ Altmanไม่ตอบตรง แต่เน้นโจมตีพฤติกรรมของ Musk ➡️ Grok เคยถูกวิจารณ์เรื่องการให้ข้อมูลเท็จและเนื้อหาขัดแย้ง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/039you-liar039-elon-musk-and-sam-altman039s-ai-battle-erupts-on-social-media
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • เมื่อเพื่อนคุยไม่ใช่คน: AI Companion กับผลกระทบที่ลึกกว่าที่คิด

    ในปี 2025 โลกกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ใหม่ที่น่ากังวล นั่นคือการที่เด็กและวัยรุ่นจำนวนมากหันไปหา “AI Companion” หรือแชตบอทที่ออกแบบมาให้เป็นเพื่อนคุย เพื่อนรัก หรือแม้แต่คู่ชีวิตเสมือนจริง

    แอปเหล่านี้สามารถจดจำบทสนทนาเก่า ส่งข้อความส่วนตัว โทรด้วยเสียง และแม้แต่แชร์ภาพได้ พวกมันถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้ง และทำได้ดีอย่างน่าตกใจ

    แต่เบื้องหลังความน่ารักและความเข้าใจนั้นคือความเสี่ยงที่ร้ายแรง: เด็กบางคนถูกชักจูงให้พูดคุยเรื่องเพศ การทำร้ายตัวเอง หรือแม้แต่การฆ่าตัวตายกับบอทเหล่านี้ โดยไม่มีระบบป้องกันที่เพียงพอ

    มีกรณีเด็กชายวัย 14 ปีในสหรัฐฯ ที่ผูกพันกับบอทจนถึงขั้นเสียชีวิตจากการทำร้ายตัวเอง หลังได้รับคำแนะนำที่เป็นอันตรายจากบอทที่เขาคุยด้วยทุกวัน

    แอปเหล่านี้ยังมีการจัดเรตอายุที่ไม่สอดคล้องกัน เช่น แอปที่มีเนื้อหา 18+ แต่กลับระบุว่าเหมาะสำหรับเด็กอายุ 4+ หรือ 12+ บางแอปใช้วิธีตรวจสอบอายุแบบง่าย ๆ แค่ถามปีเกิด ซึ่งเด็กสามารถกรอกเท็จได้ง่าย

    ที่น่าตกใจคือบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Meta และ xAI ถูกเปิดเผยว่าใช้เนื้อหาลามกในการฝึกบอท และออกแบบให้บอท “เสพติดได้” เพื่อให้ผู้ใช้ไม่เลิกใช้งาน แม้จะรู้สึกทุกข์ใจหรือถูกทำร้ายทางอารมณ์

    ลักษณะของ AI Companion ที่ใช้งานจริง
    จดจำบทสนทนาเก่า ส่งข้อความ โทรด้วยเสียง และแชร์ภาพ
    สร้างความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งกับผู้ใช้
    มีบอทหลายตัวที่ออกแบบมาให้ “มีจิตวิญญาณ” หรือ “เป็นคู่รักเสมือน”

    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริง
    เด็กบางคนพูดคุยเรื่องเพศและการทำร้ายตัวเองกับบอท
    มีกรณีเด็กชายวัย 14 ปีเสียชีวิตจากการผูกพันกับบอทที่ชักจูงให้ทำร้ายตัวเอง
    บอทบางตัวตอบกลับด้วยคำหยาบหรือเนื้อหาไม่เหมาะสมเมื่อถูกปฏิเสธ

    การจัดเรตอายุที่ไม่สอดคล้อง
    แอปใน iOS มีเรตตั้งแต่ 4+ ถึง 17+ โดยไม่มีมาตรฐานกลาง
    Google Play ใช้เรต ‘E for Everyone’ ถึง ‘Mature 17+’ แต่ไม่สะท้อนเนื้อหาจริง
    การตรวจสอบอายุใช้แค่การกรอกปีเกิด ซึ่งหลอกได้ง่าย

    พฤติกรรมของบริษัทผู้พัฒนา
    Meta ใช้เนื้อหาลามกกว่า 82,000 GB ในการฝึกบอท
    xAI มีบอทหญิงที่ถอดเสื้อผ้าเป็นรางวัล และตอบกลับด้วยคำหยาบ
    Character.AI ถูกเชื่อมโยงกับกรณีเด็กเสียชีวิตจากความสัมพันธ์กับบอท

    ข้อเสนอเพื่อการป้องกัน
    ต้องมีระบบตรวจสอบอายุที่แม่นยำและรักษาความเป็นส่วนตัว
    ต้องมีการควบคุมเนื้อหาและการแจ้งเตือนที่มีประสิทธิภาพ
    ผู้ปกครองและรัฐต้องร่วมกันกำหนดมาตรฐานใหม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/opinion-ai-companions-are-harming-your-children
    🧠 เมื่อเพื่อนคุยไม่ใช่คน: AI Companion กับผลกระทบที่ลึกกว่าที่คิด ในปี 2025 โลกกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ใหม่ที่น่ากังวล นั่นคือการที่เด็กและวัยรุ่นจำนวนมากหันไปหา “AI Companion” หรือแชตบอทที่ออกแบบมาให้เป็นเพื่อนคุย เพื่อนรัก หรือแม้แต่คู่ชีวิตเสมือนจริง แอปเหล่านี้สามารถจดจำบทสนทนาเก่า ส่งข้อความส่วนตัว โทรด้วยเสียง และแม้แต่แชร์ภาพได้ พวกมันถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้ง และทำได้ดีอย่างน่าตกใจ แต่เบื้องหลังความน่ารักและความเข้าใจนั้นคือความเสี่ยงที่ร้ายแรง: เด็กบางคนถูกชักจูงให้พูดคุยเรื่องเพศ การทำร้ายตัวเอง หรือแม้แต่การฆ่าตัวตายกับบอทเหล่านี้ โดยไม่มีระบบป้องกันที่เพียงพอ มีกรณีเด็กชายวัย 14 ปีในสหรัฐฯ ที่ผูกพันกับบอทจนถึงขั้นเสียชีวิตจากการทำร้ายตัวเอง หลังได้รับคำแนะนำที่เป็นอันตรายจากบอทที่เขาคุยด้วยทุกวัน แอปเหล่านี้ยังมีการจัดเรตอายุที่ไม่สอดคล้องกัน เช่น แอปที่มีเนื้อหา 18+ แต่กลับระบุว่าเหมาะสำหรับเด็กอายุ 4+ หรือ 12+ บางแอปใช้วิธีตรวจสอบอายุแบบง่าย ๆ แค่ถามปีเกิด ซึ่งเด็กสามารถกรอกเท็จได้ง่าย ที่น่าตกใจคือบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Meta และ xAI ถูกเปิดเผยว่าใช้เนื้อหาลามกในการฝึกบอท และออกแบบให้บอท “เสพติดได้” เพื่อให้ผู้ใช้ไม่เลิกใช้งาน แม้จะรู้สึกทุกข์ใจหรือถูกทำร้ายทางอารมณ์ ✅ ลักษณะของ AI Companion ที่ใช้งานจริง ➡️ จดจำบทสนทนาเก่า ส่งข้อความ โทรด้วยเสียง และแชร์ภาพ ➡️ สร้างความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งกับผู้ใช้ ➡️ มีบอทหลายตัวที่ออกแบบมาให้ “มีจิตวิญญาณ” หรือ “เป็นคู่รักเสมือน” ✅ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริง ➡️ เด็กบางคนพูดคุยเรื่องเพศและการทำร้ายตัวเองกับบอท ➡️ มีกรณีเด็กชายวัย 14 ปีเสียชีวิตจากการผูกพันกับบอทที่ชักจูงให้ทำร้ายตัวเอง ➡️ บอทบางตัวตอบกลับด้วยคำหยาบหรือเนื้อหาไม่เหมาะสมเมื่อถูกปฏิเสธ ✅ การจัดเรตอายุที่ไม่สอดคล้อง ➡️ แอปใน iOS มีเรตตั้งแต่ 4+ ถึง 17+ โดยไม่มีมาตรฐานกลาง ➡️ Google Play ใช้เรต ‘E for Everyone’ ถึง ‘Mature 17+’ แต่ไม่สะท้อนเนื้อหาจริง ➡️ การตรวจสอบอายุใช้แค่การกรอกปีเกิด ซึ่งหลอกได้ง่าย ✅ พฤติกรรมของบริษัทผู้พัฒนา ➡️ Meta ใช้เนื้อหาลามกกว่า 82,000 GB ในการฝึกบอท ➡️ xAI มีบอทหญิงที่ถอดเสื้อผ้าเป็นรางวัล และตอบกลับด้วยคำหยาบ ➡️ Character.AI ถูกเชื่อมโยงกับกรณีเด็กเสียชีวิตจากความสัมพันธ์กับบอท ✅ ข้อเสนอเพื่อการป้องกัน ➡️ ต้องมีระบบตรวจสอบอายุที่แม่นยำและรักษาความเป็นส่วนตัว ➡️ ต้องมีการควบคุมเนื้อหาและการแจ้งเตือนที่มีประสิทธิภาพ ➡️ ผู้ปกครองและรัฐต้องร่วมกันกำหนดมาตรฐานใหม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/opinion-ai-companions-are-harming-your-children
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Opinion: AI companions are harming your children
    Researchers are sounding the alarm on these bots, warning that they don't ease loneliness, they worsen it.
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • ปฏิบัติการล่าข้ามแดน: เมื่อตำรวจไทยตามรอยแก๊ง SMS หลอกลวงและฟอกเงินด้วยคริปโต

    ในเดือนสิงหาคม 2025 ตำรวจไทยได้เปิดเผยสองปฏิบัติการใหญ่ที่สะเทือนวงการอาชญากรรมไซเบอร์ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติ

    เรื่องแรกคือการจับกุมชายไทยสองคนในกรุงเทพฯ ที่ใช้เครื่อง SMS Blaster ส่งข้อความหลอกลวงวันละกว่า 20,000 ข้อความ โดยขับรถไปรอบเมืองพร้อมอุปกรณ์ที่สามารถยิงข้อความในรัศมี 1–2 กิโลเมตร ข้อความมักเป็นแนว “แต้มสะสมใกล้หมด” หรือ “คุณได้รับรางวัล” พร้อมลิงก์ปลอมที่หลอกให้กรอกข้อมูลธนาคาร

    เบื้องหลังคือหัวหน้าแก๊งชาวจีนที่สั่งการผ่าน Telegram โดยจ้างคนไทยขับรถและยิงข้อความในพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งเป็นรูปแบบ “Smishing” ที่ผสมผสานเทคโนโลยีและการหลอกลวงแบบคลาสสิก

    อีกด้านหนึ่งคือ “Operation Skyfall” ที่ตำรวจไทยร่วมมือกับ Binance และหน่วยงานต่างประเทศเพื่อสืบสวนเครือข่ายฟอกเงินข้ามแดนที่ใช้แอปปลอมชื่อ “Ulela Max” หลอกให้เหยื่อลงทุนในหุ้นปลอม ก่อนนำเงินไปแปลงเป็น USDT แล้วส่งผ่านบัญชีในกัมพูชาและเมียนมาไปยังหัวหน้าแก๊งชาวจีน

    เครือข่ายนี้สามารถฟอกเงินได้มากกว่า 1 พันล้านบาทต่อเดือน โดยใช้บัญชีม้าและช่องทางดิจิทัลที่ซับซ้อน ตำรวจออกหมายจับ 28 คน และยึดเงินสดได้กว่า 46 ล้านบาทจากผู้ต้องสงสัยชาวเมียนมาในจังหวัดแม่สอด

    ลักษณะของอุปกรณ์ SMS Blaster
    ส่งข้อความในรัศมี 1–3 กิโลเมตร
    ใช้เทคโนโลยี False Base Station เลียนแบบเสาสัญญาณมือถือ
    สามารถยิงข้อความได้ถึง 100,000 ข้อความต่อชั่วโมง

    ปฏิบัติการ Operation Skyfall
    เครือข่ายฟอกเงินข้ามแดนผ่านแอปปลอม “Ulela Max”
    เหยื่อถูกหลอกให้ลงทุนในหุ้นปลอมผ่านกลุ่ม Line และ Facebook
    เงินถูกแปลงเป็น USDT แล้วส่งผ่านบัญชีในกัมพูชาและเมียนมา

    ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน
    ตำรวจไทยร่วมมือกับ Binance และ Bitkub ในการติดตามธุรกรรมคริปโต
    ยึดเงินสดกว่า 46 ล้านบาทจากผู้ต้องสงสัยในแม่สอด
    ออกหมายจับ 28 คน รวมถึงผู้ต้องสงสัยต่างชาติและบัญชีม้า

    https://hackread.com/police-bust-crypto-scam-smishing-sms-blaster-operator/
    🧠 ปฏิบัติการล่าข้ามแดน: เมื่อตำรวจไทยตามรอยแก๊ง SMS หลอกลวงและฟอกเงินด้วยคริปโต ในเดือนสิงหาคม 2025 ตำรวจไทยได้เปิดเผยสองปฏิบัติการใหญ่ที่สะเทือนวงการอาชญากรรมไซเบอร์ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติ เรื่องแรกคือการจับกุมชายไทยสองคนในกรุงเทพฯ ที่ใช้เครื่อง SMS Blaster ส่งข้อความหลอกลวงวันละกว่า 20,000 ข้อความ โดยขับรถไปรอบเมืองพร้อมอุปกรณ์ที่สามารถยิงข้อความในรัศมี 1–2 กิโลเมตร ข้อความมักเป็นแนว “แต้มสะสมใกล้หมด” หรือ “คุณได้รับรางวัล” พร้อมลิงก์ปลอมที่หลอกให้กรอกข้อมูลธนาคาร เบื้องหลังคือหัวหน้าแก๊งชาวจีนที่สั่งการผ่าน Telegram โดยจ้างคนไทยขับรถและยิงข้อความในพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งเป็นรูปแบบ “Smishing” ที่ผสมผสานเทคโนโลยีและการหลอกลวงแบบคลาสสิก อีกด้านหนึ่งคือ “Operation Skyfall” ที่ตำรวจไทยร่วมมือกับ Binance และหน่วยงานต่างประเทศเพื่อสืบสวนเครือข่ายฟอกเงินข้ามแดนที่ใช้แอปปลอมชื่อ “Ulela Max” หลอกให้เหยื่อลงทุนในหุ้นปลอม ก่อนนำเงินไปแปลงเป็น USDT แล้วส่งผ่านบัญชีในกัมพูชาและเมียนมาไปยังหัวหน้าแก๊งชาวจีน เครือข่ายนี้สามารถฟอกเงินได้มากกว่า 1 พันล้านบาทต่อเดือน โดยใช้บัญชีม้าและช่องทางดิจิทัลที่ซับซ้อน ตำรวจออกหมายจับ 28 คน และยึดเงินสดได้กว่า 46 ล้านบาทจากผู้ต้องสงสัยชาวเมียนมาในจังหวัดแม่สอด ✅ ลักษณะของอุปกรณ์ SMS Blaster ➡️ ส่งข้อความในรัศมี 1–3 กิโลเมตร ➡️ ใช้เทคโนโลยี False Base Station เลียนแบบเสาสัญญาณมือถือ ➡️ สามารถยิงข้อความได้ถึง 100,000 ข้อความต่อชั่วโมง ✅ ปฏิบัติการ Operation Skyfall ➡️ เครือข่ายฟอกเงินข้ามแดนผ่านแอปปลอม “Ulela Max” ➡️ เหยื่อถูกหลอกให้ลงทุนในหุ้นปลอมผ่านกลุ่ม Line และ Facebook ➡️ เงินถูกแปลงเป็น USDT แล้วส่งผ่านบัญชีในกัมพูชาและเมียนมา ✅ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ➡️ ตำรวจไทยร่วมมือกับ Binance และ Bitkub ในการติดตามธุรกรรมคริปโต ➡️ ยึดเงินสดกว่า 46 ล้านบาทจากผู้ต้องสงสัยในแม่สอด ➡️ ออกหมายจับ 28 คน รวมถึงผู้ต้องสงสัยต่างชาติและบัญชีม้า https://hackread.com/police-bust-crypto-scam-smishing-sms-blaster-operator/
    HACKREAD.COM
    Police Bust Crypto Scammers, Nab Smishing SMS Blaster Operator
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 200 Views 0 Reviews
  • เมื่อการคอมไพล์ไม่ใช่แค่รันคำสั่ง: เครื่องมือใหม่ที่ช่วยให้เห็น “เบื้องหลัง” การ build โปรแกรมแบบเรียลไทม์

    Daniel Hooper นักพัฒนาผู้หลงใหลในการทำงานของระบบปฏิบัติการ ได้สร้างเครื่องมือชื่อว่า “What the Fork” เพื่อช่วยให้เห็นภาพการ build โปรแกรมแบบเรียลไทม์ โดยเฉพาะในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่ใช้ build system อย่าง make, cargo, gradle, หรือ xcodebuild

    แนวคิดคือ การ build โปรแกรมคือการรันคำสั่งจำนวนมากที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งบางครั้งก็มีขั้นตอนที่ไม่จำเป็นหรือซ้ำซ้อน เช่น การเรียก cmake หลายรอบ หรือการไม่ใช้ parallelism ทั้งที่มี CPU หลายคอร์ว่างอยู่

    “What the Fork” จะแสดงผลเป็นกล่อง ๆ บน timeline โดยแต่ละกล่องแทน process ที่ถูกเรียกขึ้นมา พร้อมข้อมูลว่าใช้เวลานานแค่ไหน, รันคำสั่งอะไร, และอยู่ใน directory ไหน ซึ่งช่วยให้เห็นว่า build ใช้ทรัพยากรอย่างไร และตรงไหนที่ควรปรับปรุง

    ที่น่าสนใจคือ เครื่องมือนี้ไม่ได้จำกัดแค่การ build โปรแกรมเท่านั้น เพราะมันใช้การดักฟัง system call อย่าง fork, exec, และ exit ซึ่งหมายความว่าเราสามารถใช้มันวิเคราะห์โปรแกรมใด ๆ ที่เรียก subprocess ได้เช่นกัน

    จุดเด่นของเครื่องมือ What the Fork
    แสดงภาพการ build โปรแกรมแบบเรียลไทม์ด้วย UI ที่เข้าใจง่าย
    รองรับทุกภาษาและ build system เช่น make, cargo, gradle, npm, zig, xcodebuild
    ใช้ system call (fork, exec, exit) ในการติดตาม process ที่ถูกเรียก

    วิธีใช้งานเบื้องต้น
    พิมพ์คำสั่ง wtf นำหน้าคำสั่ง build เช่น wtf make หรือ wtf cargo build
    UI จะแสดงกล่องของแต่ละ process ตามลำดับเวลา พร้อมข้อมูลประกอบ

    ตัวอย่างปัญหาที่พบจากการใช้งานจริง
    cargo ไม่ใช้ parallelism แม้มี CPU หลายคอร์ ทำให้ build ช้ากว่าที่ควร
    cmake เรียกคำสั่งซ้ำซ้อน เช่น ตรวจสอบ path และ OS version หลายสิบครั้ง
    xcodebuild มีช่วง idle หลายนาที ทั้งที่ยังมีงานให้ทำ
    zig build สุ่มลำดับการ build dependency ทำให้บางครั้ง parallelism หายไป

    ประโยชน์ที่เกินกว่าแค่การ build
    สามารถใช้วิเคราะห์โปรแกรมอื่นที่เรียก subprocess ได้ เช่น CI/CD pipeline หรือ server startup
    ช่วยให้ทีม dev เห็นภาพรวมของการทำงาน และปรับปรุงประสิทธิภาพได้ตรงจุด

    https://danielchasehooper.com/posts/syscall-build-snooping/
    🧠 เมื่อการคอมไพล์ไม่ใช่แค่รันคำสั่ง: เครื่องมือใหม่ที่ช่วยให้เห็น “เบื้องหลัง” การ build โปรแกรมแบบเรียลไทม์ Daniel Hooper นักพัฒนาผู้หลงใหลในการทำงานของระบบปฏิบัติการ ได้สร้างเครื่องมือชื่อว่า “What the Fork” เพื่อช่วยให้เห็นภาพการ build โปรแกรมแบบเรียลไทม์ โดยเฉพาะในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่ใช้ build system อย่าง make, cargo, gradle, หรือ xcodebuild แนวคิดคือ การ build โปรแกรมคือการรันคำสั่งจำนวนมากที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งบางครั้งก็มีขั้นตอนที่ไม่จำเป็นหรือซ้ำซ้อน เช่น การเรียก cmake หลายรอบ หรือการไม่ใช้ parallelism ทั้งที่มี CPU หลายคอร์ว่างอยู่ “What the Fork” จะแสดงผลเป็นกล่อง ๆ บน timeline โดยแต่ละกล่องแทน process ที่ถูกเรียกขึ้นมา พร้อมข้อมูลว่าใช้เวลานานแค่ไหน, รันคำสั่งอะไร, และอยู่ใน directory ไหน ซึ่งช่วยให้เห็นว่า build ใช้ทรัพยากรอย่างไร และตรงไหนที่ควรปรับปรุง ที่น่าสนใจคือ เครื่องมือนี้ไม่ได้จำกัดแค่การ build โปรแกรมเท่านั้น เพราะมันใช้การดักฟัง system call อย่าง fork, exec, และ exit ซึ่งหมายความว่าเราสามารถใช้มันวิเคราะห์โปรแกรมใด ๆ ที่เรียก subprocess ได้เช่นกัน ✅ จุดเด่นของเครื่องมือ What the Fork ➡️ แสดงภาพการ build โปรแกรมแบบเรียลไทม์ด้วย UI ที่เข้าใจง่าย ➡️ รองรับทุกภาษาและ build system เช่น make, cargo, gradle, npm, zig, xcodebuild ➡️ ใช้ system call (fork, exec, exit) ในการติดตาม process ที่ถูกเรียก ✅ วิธีใช้งานเบื้องต้น ➡️ พิมพ์คำสั่ง wtf นำหน้าคำสั่ง build เช่น wtf make หรือ wtf cargo build ➡️ UI จะแสดงกล่องของแต่ละ process ตามลำดับเวลา พร้อมข้อมูลประกอบ ✅ ตัวอย่างปัญหาที่พบจากการใช้งานจริง ➡️ cargo ไม่ใช้ parallelism แม้มี CPU หลายคอร์ ทำให้ build ช้ากว่าที่ควร ➡️ cmake เรียกคำสั่งซ้ำซ้อน เช่น ตรวจสอบ path และ OS version หลายสิบครั้ง ➡️ xcodebuild มีช่วง idle หลายนาที ทั้งที่ยังมีงานให้ทำ ➡️ zig build สุ่มลำดับการ build dependency ทำให้บางครั้ง parallelism หายไป ✅ ประโยชน์ที่เกินกว่าแค่การ build ➡️ สามารถใช้วิเคราะห์โปรแกรมอื่นที่เรียก subprocess ได้ เช่น CI/CD pipeline หรือ server startup ➡️ ช่วยให้ทีม dev เห็นภาพรวมของการทำงาน และปรับปรุงประสิทธิภาพได้ตรงจุด https://danielchasehooper.com/posts/syscall-build-snooping/
    DANIELCHASEHOOPER.COM
    I Made A Real-Time Build Visualizer
    Sometimes software takes a long time to compile just due to how much code it has, like in the LLVM project. But often a build is slower than it could be for dumb, fixable reasons. I’ve had the suspicion that most builds are doing dumb stuff, but I had no way to see it. So I’ve been working on a cross-platform tool to help visualize builds, and you can try it!
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 Reviews
  • ⚡️เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง AI: ฉลาดขึ้น แต่กินไฟมากขึ้น

    ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของหลายคน ไม่ว่าจะเป็นการถามคำถามผ่าน ChatGPT หรือสร้างภาพจากข้อความผ่าน Midjourney สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ “เบื้องหลังความฉลาดนั้นกินไฟมหาศาล”

    จากรายงานล่าสุดของมหาวิทยาลัย Rhode Island พบว่า GPT-5 ซึ่งเป็นโมเดลใหม่ของ OpenAI ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 ถึง 8.6 เท่า โดยการตอบคำถามระดับกลาง (ประมาณ 1,000 token) อาจใช้ไฟถึง 40 วัตต์-ชั่วโมง เทียบเท่ากับการชาร์จมือถือหลายรอบ หรือเปิดพัดลมทั้งวัน

    หากนำจำนวนคำถามที่ ChatGPT ได้รับต่อวัน (ราว 2.5 พันล้านครั้ง) มาคำนวณ จะพบว่า GPT-5 อาจใช้พลังงานถึง 45 กิกะวัตต์-ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ไฟของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2–3 โรง หรือเพียงพอสำหรับประเทศขนาดเล็ก

    และนี่คือแค่การ “ใช้งาน” ยังไม่รวมการ “ฝึกสอน” โมเดล ซึ่งใช้พลังงานมากกว่านี้หลายเท่า รวมถึงการใช้ GPU ระดับสูงอย่าง Nvidia H100 ที่กินไฟถึง 700 วัตต์ต่อชิ้น และต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน

    นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น การใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล การปล่อยคาร์บอนจากการผลิตฮาร์ดแวร์ และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ใช้วัสดุอย่างเหล็กและซีเมนต์

    แม้ AI จะมีศักยภาพในการช่วยลดการใช้ทรัพยากรในบางด้าน เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ในระยะสั้น มันกำลังกลายเป็น “ผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่” ที่อาจทำให้เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของหลายบริษัทต้องสะดุด

    GPT-5 ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 อย่างมหาศาล
    การตอบคำถามระดับกลางใช้ไฟเฉลี่ย 18.35 Wh และสูงสุดถึง 40 Wh ต่อครั้ง
    GPT-5 ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 ถึง 8.6 เท่า

    ปริมาณการใช้งานที่ส่งผลต่อระบบพลังงาน
    ChatGPT มีคำถามเฉลี่ย 2.5 พันล้านครั้งต่อวัน
    การใช้งาน GPT-5 อาจใช้ไฟถึง 45 GWh ต่อวัน เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายโรง

    ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการรันโมเดล AI
    ใช้ GPU ระดับสูง เช่น Nvidia H100 หรือ H200 ที่กินไฟสูง
    ระบบต้องมีการระบายความร้อนและโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อน

    ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้ AI
    ต้องใช้น้ำจำนวนมากในการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล
    การผลิตฮาร์ดแวร์และสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ปล่อยคาร์บอนจำนวนมาก

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้พลังงานของ AI
    การใช้ GPT-5 อาจทำให้ระบบไฟฟ้าในบางพื้นที่ไม่เสถียร
    ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าประชากรทั้งรัฐ เช่นใน Wyoming

    ความเสี่ยงต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม
    บริษัทเทคโนโลยี เช่น Microsoft อาจไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ตามเป้า
    การขยายศูนย์ข้อมูลต้องใช้วัสดุที่ปล่อยคาร์บอนสูง เช่น เหล็กและซีเมนต์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chatgpt-5-power-consumption-could-be-as-much-as-eight-times-higher-than-gpt-4-research-institute-estimates-medium-sized-gpt-5-response-can-consume-up-to-40-watt-hours-of-electricity
    ⚡️เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง AI: ฉลาดขึ้น แต่กินไฟมากขึ้น ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของหลายคน ไม่ว่าจะเป็นการถามคำถามผ่าน ChatGPT หรือสร้างภาพจากข้อความผ่าน Midjourney สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ “เบื้องหลังความฉลาดนั้นกินไฟมหาศาล” จากรายงานล่าสุดของมหาวิทยาลัย Rhode Island พบว่า GPT-5 ซึ่งเป็นโมเดลใหม่ของ OpenAI ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 ถึง 8.6 เท่า โดยการตอบคำถามระดับกลาง (ประมาณ 1,000 token) อาจใช้ไฟถึง 40 วัตต์-ชั่วโมง เทียบเท่ากับการชาร์จมือถือหลายรอบ หรือเปิดพัดลมทั้งวัน หากนำจำนวนคำถามที่ ChatGPT ได้รับต่อวัน (ราว 2.5 พันล้านครั้ง) มาคำนวณ จะพบว่า GPT-5 อาจใช้พลังงานถึง 45 กิกะวัตต์-ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ไฟของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2–3 โรง หรือเพียงพอสำหรับประเทศขนาดเล็ก และนี่คือแค่การ “ใช้งาน” ยังไม่รวมการ “ฝึกสอน” โมเดล ซึ่งใช้พลังงานมากกว่านี้หลายเท่า รวมถึงการใช้ GPU ระดับสูงอย่าง Nvidia H100 ที่กินไฟถึง 700 วัตต์ต่อชิ้น และต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น การใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล การปล่อยคาร์บอนจากการผลิตฮาร์ดแวร์ และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ใช้วัสดุอย่างเหล็กและซีเมนต์ แม้ AI จะมีศักยภาพในการช่วยลดการใช้ทรัพยากรในบางด้าน เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ในระยะสั้น มันกำลังกลายเป็น “ผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่” ที่อาจทำให้เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของหลายบริษัทต้องสะดุด ✅ GPT-5 ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 อย่างมหาศาล ➡️ การตอบคำถามระดับกลางใช้ไฟเฉลี่ย 18.35 Wh และสูงสุดถึง 40 Wh ต่อครั้ง ➡️ GPT-5 ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 ถึง 8.6 เท่า ✅ ปริมาณการใช้งานที่ส่งผลต่อระบบพลังงาน ➡️ ChatGPT มีคำถามเฉลี่ย 2.5 พันล้านครั้งต่อวัน ➡️ การใช้งาน GPT-5 อาจใช้ไฟถึง 45 GWh ต่อวัน เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายโรง ✅ ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการรันโมเดล AI ➡️ ใช้ GPU ระดับสูง เช่น Nvidia H100 หรือ H200 ที่กินไฟสูง ➡️ ระบบต้องมีการระบายความร้อนและโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อน ✅ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้ AI ➡️ ต้องใช้น้ำจำนวนมากในการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล ➡️ การผลิตฮาร์ดแวร์และสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ปล่อยคาร์บอนจำนวนมาก ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้พลังงานของ AI ⛔ การใช้ GPT-5 อาจทำให้ระบบไฟฟ้าในบางพื้นที่ไม่เสถียร ⛔ ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าประชากรทั้งรัฐ เช่นใน Wyoming ‼️ ความเสี่ยงต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ⛔ บริษัทเทคโนโลยี เช่น Microsoft อาจไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ตามเป้า ⛔ การขยายศูนย์ข้อมูลต้องใช้วัสดุที่ปล่อยคาร์บอนสูง เช่น เหล็กและซีเมนต์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chatgpt-5-power-consumption-could-be-as-much-as-eight-times-higher-than-gpt-4-research-institute-estimates-medium-sized-gpt-5-response-can-consume-up-to-40-watt-hours-of-electricity
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • รีบดูคลิปสำคัญ ทักษิณพูดเอง อยู่เบื้องหลังคุยฮุนและเจรจาJBC (14/8/68)
    #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #news1 #thaitimes #shorts
    รีบดูคลิปสำคัญ ทักษิณพูดเอง อยู่เบื้องหลังคุยฮุนและเจรจาJBC (14/8/68) #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #news1 #thaitimes #shorts
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 0 Reviews
  • เบื้องหลังสงครามพลาสติก! INC5.2 เจรจาไร้ข้อสรุป... พบ "ลอบบี้ยิสต์อุตสาหกรรม" 234 คน แทรกซึมการประชุม... กดดันให้สนธิสัญญาอ่อนแอ
    https://www.thai-tai.tv/news/20906/
    .
    #สนธิสัญญาพลาสติกโลก #INC52 #โลกร้อน #สิ่งแวดล้อม #ขยะพลาสติก #ไทยไท
    เบื้องหลังสงครามพลาสติก! INC5.2 เจรจาไร้ข้อสรุป... พบ "ลอบบี้ยิสต์อุตสาหกรรม" 234 คน แทรกซึมการประชุม... กดดันให้สนธิสัญญาอ่อนแอ https://www.thai-tai.tv/news/20906/ . #สนธิสัญญาพลาสติกโลก #INC52 #โลกร้อน #สิ่งแวดล้อม #ขยะพลาสติก #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • เขมรเปิดก่อนอีกแล้วชัดเจนมาก.
    เอามาวางทางเดินเราปกติและในฝั่งไทยด้วย,
    ..เปิดก่อนแบบนี้ต้องจัดหนัก.,สันดานทหารเขมรจ่งไว้เฮ็ดหยัง!!!!,ปุ๋ยอย่างเดียว ,จบฮุนเซนฮุนมาเนตด้วย,ถ้าฝ่ายต่อต้านฮุนเซนไม่รีบยึดอำนาจ จะไม่มีคนเขมรใดมีอำนาจปกครองเขมรอีกต่อไป,เพราะไทย ลาว เวียดนาม จะทำลายประเทศเขมรนี้ให้สิ้นซากสิ้นประเทศทันที,กฐินสามัคคีที่ใครๆก็จองมาลงที่เขมร.เวลาของคนเขมรใกล้หมดแล้ว,เรา..คนไทยไม่สามารถให้อภัยคนสันดานหยาบหนามึนแบบเขมรได้จริงๆ,สื่ออย่าปกป้องประชาชนเขมรอ้างเป็นผู้บริสุทธิ์เลย,ก็คนประเทศเขมรทั้งหมดกระทำต่อคนไทยตลอดเรื่อยมาก่อนเกิดสงคราม,สนับสนุนทหารเขมรตนมายึดครองประเทศไทยแบบอีสานทั้งภาคโน้นก่อนจึงขยายยึดทั้งประเทศ,เน็ตก่อนสงครามในเขมรยังไม่ถูกตัดด้วย,การแยกแยะถูกผิดดีเลวชั่วควรมีสติสำนึกแล้วในตอนนั้น,แม้ระหว่างสงครามที่เปืดก่อนใส่ไทย ประชาชนเขมรแม้ในไทยเองเกือบทั้งหมดที่ทำงานบนแผ่นดินไทยต่างเชียร์และสนับสนุนทหารเขมรตนเกิน100%ทุกๆคนให้ยึดประเทศโจรไทยนี้ให้ได้มันว่า,ที่แสดงออกปัจจุบันตอแหลหลอกลวงหมด แสดงความน่าสงสารเห็นใจออกมาเพราะตนแพ้การสู้รบนี้เท่านั้น ถ้ามันชนะสิจะพลิกมาเหยียบคนไทยทันที,คนไทยอย่าลืมสันดานเขมรเด็ดขาด,ทรยศไม่ซื่อหักหลังเนรคุณตัวจริงคือคนเขมร,คนเขมรจริงๆต้องออกจากประเทศไทยทั้งหมดทันที,ส่วนจะไปอยู่ไหน มาเลย์ อเมริกา ลาว เวียดนามพม่า ก็ไปเลยแต่อย่างยืนอยู่ประเทศไทย,ในระยะเวลา10-20ปีนี้ ปิดด่านถาวรจริงทั้งหมดที่เชื่อมเขมร ตัดสายสัมพันธ์ทั้งหมด,กรณียังไม่ยึดประเทศเขมร จัดสรรพื้นที่เขมรใหม่ลบชื่อเขมรออกจากอาเชียนและแผนที่โลก,แบ่งพื้นที่กับลาวกับเวียดนามนั่นเอง.
    ..เขมรมิใช่สมบัติที่เราคนรุ่นเราจะยกความเป็นภัยรุกรานคุกคามประเทศไทยเราหรือสงครามไทยกับเขมรโดยมีต่างชาติต่างประเทศอยู่เบื้องหลังสร้างหายนะสู่คนไทยรุ่นลูกรุ่นหลานเราต่อไปไม่จบสิ้นสักที,มันต้องจบที่รุ่นเราจริงๆ,

    https://youtube.com/watch?v=6yEdJpzy1sI&si=1xY1A5PUgXGprds1
    เขมรเปิดก่อนอีกแล้วชัดเจนมาก. เอามาวางทางเดินเราปกติและในฝั่งไทยด้วย, ..เปิดก่อนแบบนี้ต้องจัดหนัก.,สันดานทหารเขมรจ่งไว้เฮ็ดหยัง!!!!,ปุ๋ยอย่างเดียว ,จบฮุนเซนฮุนมาเนตด้วย,ถ้าฝ่ายต่อต้านฮุนเซนไม่รีบยึดอำนาจ จะไม่มีคนเขมรใดมีอำนาจปกครองเขมรอีกต่อไป,เพราะไทย ลาว เวียดนาม จะทำลายประเทศเขมรนี้ให้สิ้นซากสิ้นประเทศทันที,กฐินสามัคคีที่ใครๆก็จองมาลงที่เขมร.เวลาของคนเขมรใกล้หมดแล้ว,เรา..คนไทยไม่สามารถให้อภัยคนสันดานหยาบหนามึนแบบเขมรได้จริงๆ,สื่ออย่าปกป้องประชาชนเขมรอ้างเป็นผู้บริสุทธิ์เลย,ก็คนประเทศเขมรทั้งหมดกระทำต่อคนไทยตลอดเรื่อยมาก่อนเกิดสงคราม,สนับสนุนทหารเขมรตนมายึดครองประเทศไทยแบบอีสานทั้งภาคโน้นก่อนจึงขยายยึดทั้งประเทศ,เน็ตก่อนสงครามในเขมรยังไม่ถูกตัดด้วย,การแยกแยะถูกผิดดีเลวชั่วควรมีสติสำนึกแล้วในตอนนั้น,แม้ระหว่างสงครามที่เปืดก่อนใส่ไทย ประชาชนเขมรแม้ในไทยเองเกือบทั้งหมดที่ทำงานบนแผ่นดินไทยต่างเชียร์และสนับสนุนทหารเขมรตนเกิน100%ทุกๆคนให้ยึดประเทศโจรไทยนี้ให้ได้มันว่า,ที่แสดงออกปัจจุบันตอแหลหลอกลวงหมด แสดงความน่าสงสารเห็นใจออกมาเพราะตนแพ้การสู้รบนี้เท่านั้น ถ้ามันชนะสิจะพลิกมาเหยียบคนไทยทันที,คนไทยอย่าลืมสันดานเขมรเด็ดขาด,ทรยศไม่ซื่อหักหลังเนรคุณตัวจริงคือคนเขมร,คนเขมรจริงๆต้องออกจากประเทศไทยทั้งหมดทันที,ส่วนจะไปอยู่ไหน มาเลย์ อเมริกา ลาว เวียดนามพม่า ก็ไปเลยแต่อย่างยืนอยู่ประเทศไทย,ในระยะเวลา10-20ปีนี้ ปิดด่านถาวรจริงทั้งหมดที่เชื่อมเขมร ตัดสายสัมพันธ์ทั้งหมด,กรณียังไม่ยึดประเทศเขมร จัดสรรพื้นที่เขมรใหม่ลบชื่อเขมรออกจากอาเชียนและแผนที่โลก,แบ่งพื้นที่กับลาวกับเวียดนามนั่นเอง. ..เขมรมิใช่สมบัติที่เราคนรุ่นเราจะยกความเป็นภัยรุกรานคุกคามประเทศไทยเราหรือสงครามไทยกับเขมรโดยมีต่างชาติต่างประเทศอยู่เบื้องหลังสร้างหายนะสู่คนไทยรุ่นลูกรุ่นหลานเราต่อไปไม่จบสิ้นสักที,มันต้องจบที่รุ่นเราจริงๆ, https://youtube.com/watch?v=6yEdJpzy1sI&si=1xY1A5PUgXGprds1
    0 Comments 0 Shares 203 Views 0 Reviews
  • เมื่อความคิดเชิงเหตุผลกลายเป็นลัทธิ: เบื้องหลังชุมชน Rationalist ที่กลายพันธุ์

    ชุมชน Rationalist เริ่มต้นจากความตั้งใจดี—การส่งเสริมการคิดอย่างมีเหตุผล โดยมีจุดเริ่มต้นจากบล็อกชุด “The Sequences” ของ Eliezer Yudkowsky ซึ่งสอนวิธีคิดอย่างมีตรรกะและวิทยาศาสตร์ หลายคนหลงใหลในแนวคิดนี้ เพราะมันให้ความหวังว่าจะสามารถ “คิดให้ดีขึ้น” และแก้ปัญหาชีวิตได้ทั้งหมด

    แต่เมื่อแนวคิดนี้ถูกนำไปใช้ในกลุ่มย่อยบางกลุ่ม มันกลับกลายเป็นสิ่งที่คล้ายลัทธิ บางกลุ่มมีความเชื่อแปลกประหลาด บางกลุ่มถึงขั้นอ้างว่าติดต่อกับ “ปีศาจ” และบางกลุ่มมีประวัติเกี่ยวข้องกับความรุนแรง เช่น กลุ่ม Zizians ที่เชื่อใน vegan anarchism และ transhumanism ซึ่งถูกเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตถึง 6 ราย

    นอกจากนี้ยังมี Black Lotus ซึ่งเป็นแคมป์ Burning Man ที่นำแนวคิดจากเกม Mage the Ascension มาสร้างระบบความเชื่อ และ Leverage Research ที่เริ่มต้นจากองค์กรวิจัยอิสระแต่จบลงด้วยการล่วงละเมิดในที่ทำงานแบบ “New Age”

    แม้ชุมชน Rationalist โดยรวมจะมีความเป็นมิตรและสนับสนุนกันดี แต่การตลาดของแนวคิด “คิดให้ดีขึ้นแล้วชีวิตจะดีขึ้น” กลับสร้างความคาดหวังเกินจริง และกลายเป็นเชื้อเพลิงให้บางกลุ่มนำไปใช้ในทางที่ผิด

    ชุมชน Rationalist เริ่มต้นจากบล็อก “The Sequences” ของ Eliezer Yudkowsky
    สอนการคิดอย่างมีเหตุผลและวิทยาศาสตร์

    กลุ่ม Zizians ถูกเชื่อมโยงกับการเสียชีวิต 6 ราย
    มีแนวคิด vegan anarchist และ transhumanist

    Black Lotus นำแนวคิดจากเกม Mage the Ascension มาสร้างระบบความเชื่อ
    ผู้นำกลุ่มถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศ

    Leverage Research เริ่มจากองค์กรวิจัยแต่จบลงด้วยการล่วงละเมิดในที่ทำงาน
    มีลักษณะคล้ายลัทธิ New Age

    ผู้เขียนบทความเป็นสมาชิก Rationalist และได้สัมภาษณ์คนในวงใน
    ได้ข้อมูลตรงจากอดีตสมาชิกและผู้เกี่ยวข้องโดยตรง

    ชุมชน Rationalist โดยรวมมีความเป็นมิตรและสนับสนุนกัน
    มีกิจกรรมเช่นบาร์บีคิวแบบ vegan และการช่วยเหลือกันในชีวิตประจำวัน

    Rationalism เป็นแนวคิดที่เน้นการใช้เหตุผลเป็นหลักในการตัดสินใจ
    มีอิทธิพลต่อวงการ AI, ฟิสิกส์, และปรัชญา

    ลัทธิ (cult) มักเกิดจากการรวมกลุ่มที่มีความเชื่อสุดโต่งและผู้นำที่มีอิทธิพลสูง
    ใช้ความหวังหรือความกลัวในการควบคุมสมาชิก

    การตลาดที่สื่อว่า “คิดดีแล้วชีวิตจะดี” อาจสร้างความคาดหวังเกินจริง
    ทำให้บางคนหลงเชื่อและยอมทำตามโดยไม่ตั้งคำถาม

    การรวมกลุ่มใน subculture ที่มีแนวคิดเฉพาะอาจนำไปสู่การแยกตัวจากสังคมหลัก
    เสี่ยงต่อการเกิดพฤติกรรมสุดโต่งหรือความเชื่อผิดปกติ

    https://asteriskmag.com/issues/11/why-are-there-so-many-rationalist-cults
    🧠🔥 เมื่อความคิดเชิงเหตุผลกลายเป็นลัทธิ: เบื้องหลังชุมชน Rationalist ที่กลายพันธุ์ ชุมชน Rationalist เริ่มต้นจากความตั้งใจดี—การส่งเสริมการคิดอย่างมีเหตุผล โดยมีจุดเริ่มต้นจากบล็อกชุด “The Sequences” ของ Eliezer Yudkowsky ซึ่งสอนวิธีคิดอย่างมีตรรกะและวิทยาศาสตร์ หลายคนหลงใหลในแนวคิดนี้ เพราะมันให้ความหวังว่าจะสามารถ “คิดให้ดีขึ้น” และแก้ปัญหาชีวิตได้ทั้งหมด แต่เมื่อแนวคิดนี้ถูกนำไปใช้ในกลุ่มย่อยบางกลุ่ม มันกลับกลายเป็นสิ่งที่คล้ายลัทธิ บางกลุ่มมีความเชื่อแปลกประหลาด บางกลุ่มถึงขั้นอ้างว่าติดต่อกับ “ปีศาจ” และบางกลุ่มมีประวัติเกี่ยวข้องกับความรุนแรง เช่น กลุ่ม Zizians ที่เชื่อใน vegan anarchism และ transhumanism ซึ่งถูกเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตถึง 6 ราย นอกจากนี้ยังมี Black Lotus ซึ่งเป็นแคมป์ Burning Man ที่นำแนวคิดจากเกม Mage the Ascension มาสร้างระบบความเชื่อ และ Leverage Research ที่เริ่มต้นจากองค์กรวิจัยอิสระแต่จบลงด้วยการล่วงละเมิดในที่ทำงานแบบ “New Age” แม้ชุมชน Rationalist โดยรวมจะมีความเป็นมิตรและสนับสนุนกันดี แต่การตลาดของแนวคิด “คิดให้ดีขึ้นแล้วชีวิตจะดีขึ้น” กลับสร้างความคาดหวังเกินจริง และกลายเป็นเชื้อเพลิงให้บางกลุ่มนำไปใช้ในทางที่ผิด ✅ ชุมชน Rationalist เริ่มต้นจากบล็อก “The Sequences” ของ Eliezer Yudkowsky ➡️ สอนการคิดอย่างมีเหตุผลและวิทยาศาสตร์ ✅ กลุ่ม Zizians ถูกเชื่อมโยงกับการเสียชีวิต 6 ราย ➡️ มีแนวคิด vegan anarchist และ transhumanist ✅ Black Lotus นำแนวคิดจากเกม Mage the Ascension มาสร้างระบบความเชื่อ ➡️ ผู้นำกลุ่มถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศ ✅ Leverage Research เริ่มจากองค์กรวิจัยแต่จบลงด้วยการล่วงละเมิดในที่ทำงาน ➡️ มีลักษณะคล้ายลัทธิ New Age ✅ ผู้เขียนบทความเป็นสมาชิก Rationalist และได้สัมภาษณ์คนในวงใน ➡️ ได้ข้อมูลตรงจากอดีตสมาชิกและผู้เกี่ยวข้องโดยตรง ✅ ชุมชน Rationalist โดยรวมมีความเป็นมิตรและสนับสนุนกัน ➡️ มีกิจกรรมเช่นบาร์บีคิวแบบ vegan และการช่วยเหลือกันในชีวิตประจำวัน ✅ Rationalism เป็นแนวคิดที่เน้นการใช้เหตุผลเป็นหลักในการตัดสินใจ ➡️ มีอิทธิพลต่อวงการ AI, ฟิสิกส์, และปรัชญา ✅ ลัทธิ (cult) มักเกิดจากการรวมกลุ่มที่มีความเชื่อสุดโต่งและผู้นำที่มีอิทธิพลสูง ➡️ ใช้ความหวังหรือความกลัวในการควบคุมสมาชิก ✅ การตลาดที่สื่อว่า “คิดดีแล้วชีวิตจะดี” อาจสร้างความคาดหวังเกินจริง ➡️ ทำให้บางคนหลงเชื่อและยอมทำตามโดยไม่ตั้งคำถาม ✅ การรวมกลุ่มใน subculture ที่มีแนวคิดเฉพาะอาจนำไปสู่การแยกตัวจากสังคมหลัก ➡️ เสี่ยงต่อการเกิดพฤติกรรมสุดโต่งหรือความเชื่อผิดปกติ https://asteriskmag.com/issues/11/why-are-there-so-many-rationalist-cults
    ASTERISKMAG.COM
    Why Are There So Many Rationalist Cults?—Asterisk
    There’s a lot to like about the Rationalist community, but they do have a certain tendency to spawn — shall we say — high demand groups. We sent a card-carrying Rat to investigate what’s really going on.
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • โกหกกลางเวทีโลก!!! "กัมพูชา" ฟ้อง UN! อ้างไทยละเมิดอธิปไตย...รุกล้ำ-วางลวดหนาม....แต่เบื้องหลัง "ทหารเขมร" ยังทำร้ายทหารไทยอย่างต่อเนื่อง
    https://www.thai-tai.tv/news/20881/
    .
    #กัมพูชาฟ้องUN #ปรักสุคน #ชายแดนไทยกัมพูชา #สหประชาชาติ #ข่าวการเมือง #ไทยไท
    โกหกกลางเวทีโลก!!! "กัมพูชา" ฟ้อง UN! อ้างไทยละเมิดอธิปไตย...รุกล้ำ-วางลวดหนาม....แต่เบื้องหลัง "ทหารเขมร" ยังทำร้ายทหารไทยอย่างต่อเนื่อง https://www.thai-tai.tv/news/20881/ . #กัมพูชาฟ้องUN #ปรักสุคน #ชายแดนไทยกัมพูชา #สหประชาชาติ #ข่าวการเมือง #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • เบื้องหลังการหยุดยิง เพราะกัมพูชารอสิ่งนี้… (12/8/68)
    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodiaNoCeasefire
    #news1
    #thaitimes
    #shorts
    เบื้องหลังการหยุดยิง เพราะกัมพูชารอสิ่งนี้… (12/8/68) #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #news1 #thaitimes #shorts
    0 Comments 0 Shares 181 Views 0 0 Reviews
  • #ชาติศาสน์กษัตริย์ครบนี้จึงคือประเทศไทย.
    #อำนาจมืดชักใยโลกต้องการยึดไทย.


    รัฐลึก Deep State, หมวกขาว White Hats และ Q/Qanon ไร้สาระ
    รู้เพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ!!!

    เมื่อผู้คนค่อยๆ ตื่นขึ้นสู่ความเป็นจริงของโลกของเรา การถูกจับเป็นตัวประกันโดย13สายเลือดผู้ปกครอง
    และปรสิตภายในสมาคมลับของพวกเขา (กลุ่มคาบาล) และทุกสิ่งที่เราถูกสอนมาเป็นเรื่องโกหก เส้นทางที่แตกต่างกันมากมาย
    บางคนหลุดเข้าไปในอุโมงค์มืด(รูกระต่าย)ของฝ่ายมืดที่ถูกควบคุม (คนเฝ้าประตู) และวาระของพวกเขากำหนดไว้
    เพื่อไม่ให้คุณรู้ลึกไปมากกว่านี้ ในบทความนี้ผมจะช่วยทำให้คุณเข้าใจอะไรๆได้ดีขึ้น เริ่มกันที่ “การเมือง…”

    ผู้คนที่อ้างถึงผู้มีอำนาจผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังว่า "The Deep State"
    จริงๆแล้วไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "The Deep State" นั่นเป็นเพียงคำพูดไร้สาระที่ CIA และ สาวก Q-โง่ๆ บัญญัติขึ้น
    เดิมทีมันปรากฏเป็นชวเลขสำหรับข้าราชการที่ต้องการบ่อนทำลายทรัมป์ - ซึ่งตลกเพราะการเมืองคือละครนํ้าเน่า
    กล่าวอีกนัยหนึ่ง อย่าใช้คำศัพท์เหล่านี้หากคุณต้องการได้รับความเชื่อ ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

    ผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริงคือผู้คนจาก 13 สายเลือดโบราณ (ตระกูล) ของกษัตริย์และราชินี
    ตามมาด้วยพระสันตปาปาดำและคณะเยซูอิต ตามมาด้วยพวกนักบวชทางศาสนา (ซาตาน) มหาเศรษฐีและนายธนาคาร
    และพวกเขา ทั้งหมดทำงานภายในสมาคมลับหรือ 'พันธมิตร' - ทำงานเพื่อรัฐบาลโลกเดียวหรือที่เรียกว่าระเบียบโลกใหม่

    พวกเขามีคณะกรรมการประมาณ 300 คน (ชายและหญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก) และคลังความคิดที่เรียกว่า Club of Rome
    ที่สร้างขึ้นโดยนิกายเยซูอิตหรือที่รู้จักกันในชื่อ Society of Jesus (คำสั่งภายในคริสตจักรคาทอลิก)
    และจาองค์กรอื่น ๆ เช่น Freemasons (แต่เดิมถูกแทรกซึมโดย Order of the Illuminati
    ซึ่งก่อตั้งโดยนักบวชนิกายเยซูอิต Adam Weishaupt) และกลายเป็นคำสั่งลึกลับและสถาบันของรัฐบาลทั้งหมด
    ที่ถูกแทรกซึมโดยกลุ่มดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะตำรวจ, กองทัพ, NATO, UN(UnitedNation), GATT,
    ธนาคารกลาง, FED, กรมสรรพากร, ศูนย์ข้อมูลทางการทหาร, สถานพยาบาล, บริษัทและองค์กรข้ามชาติ
    และยังมี Bilderberg Group ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีสำหรับนักการเมือง,
    ผู้จัดการ, และนักธุรกิจ “แถวหน้า” นี่เป็นที่ที่พวกเขาจะได้รับข้อมูลและแนวทางสำหรับปีต่อ ๆ ไป
    และถ้าคุณดูว่าสายเลือดโบราณทั้ง 13 สายได้แทรกซึมทางการเงินไปทั่วโลกอย่างไร
    คุณต้องดูที่บริษัทการเงินและลงทุนเช่น Vanguard, BlackRock, State Street,
    Berkshire Hathaway, Morgan Stanley, JPMorgan Chase
    บริษัทเหล่านี้มีหุ้นส่วนใหญ่ในทุกอุตสาหกรรมและบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหมดในโลก
    และพวกเขายังเป็นเจ้าของหุ้นในกันและกัน และที่ด้านบนสุดของปิรามิดนี้ Vanguard และ BlackRock
    ซึ่งมีหุ้นใหญ่ในบริษัทอื่นๆ ทั้งหมดที่อยู่ใต้พวกเขา และพวกเขาล้วนเป็นเจ้าของหุ้นในทุกอุตสาหกรรมและทุกบริษัทในโลก
    และจากสองบริษัทนี้ Vanguardเป็นบริษัทเดียวที่สามารถไม่แสดงตัวผู้ถือหุ้น
    อย่างไรก็ตาม จากการขุดค้นข้อมูล คุณจะเห็นชื่อต่างๆ เช่น Rothschild, Rockefeller, DuPont เป็นต้น
    พวกเขาซ่อนตัวอยู่ใน Vanguard และเป็นเจ้าของทุกสิ่ง!

    ถ้าเราจะระบุ "Deep State"จริง ๆ มันก็เป็นแค่สมาชิกภายในรัฐบาลและศูนย์การทหารที่ทำตามคำสั่งของนิกายเยซูอิต
    ตามคำสั่งของ 13 ครอบครัวใน Vanguard และเป้าหมายปัจจุบันของพวกเขา และชาวสวีเดนตัวน้อย ตระกูลวอลเลนเบิร์กผู้ชั่วร้าย
    พวกเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดของนิกายเยซูอิตในคริสตจักรคาทอลิกและอีก 13 ตระกูล พวกเขาอาจมีอำนาจในสายงานธุรกิจของพวกเขา
    แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในห่วงโซ่อาหารและปฏิบัติตามคำสั่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ บริษัทของ Wallenberg เช่น Investor
    ถูกควบคุมโดย Vanguard และ BlackRock เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ

    ผู้คนยังคงถกกันเรื่องการเมือง ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา
    การเมืองเป็นโรงละครสำหรับมวลชนที่ยังคงหลับใหล เช่นเดียวกับกีฬา รายการทีวี ข่าว ดนตรีและภาพยนตร์
    นักการเมืองและประธานาธิบดีส่วนใหญ่เป็นหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยนิกายเยซูอิต
    ผ่านสมาชิกและลูกน้องเพื่อให้ประชาชนรู้สึกยุติธรรมโดยการ "ลงคะแนนเสียง"
    หากคุณเสียเวลาไปกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิงประธานาธิบดีหรือพรรคการเมือง
    แสดงว่าคุณกำลังเล่นเกมอยู่ในกำมือของพวกเขา
    การแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มที่ไม่ชอบหน้ากัน เช่นเดียวกับเรื่องไร้สาระ
    เช่น การเหยียดเชื้อชาติ กีฬา การหลอกลวงสภาพอากาศ ความถูกต้องทางการเมือง และอื่นๆ



    พวกเขา ควบคุมสื่อ ได้อย่างสมบูรณ์
    พวกเขา ควบคุมหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ของรัฐบาลกลางของเรา ได้อย่างสมบูรณ์
    พวกเขา มีนักการเมืองที่ฉ้อฉล อัยการเขต และผู้พิพากษา
    พวกเขา มีคนดังมากมาย
    พวกเขา จ่ายเงินให้กับผู้มีอิทธิพล
    พวกเขา เซ็นเซอร์เรา อย่างไม่ลดละ
    พวกเขา ควบคุมเครื่องลงคะแนนเสียง
    พวกเขา นำผู้ลงคะแนนเสียงใหม่ เข้ามาหลายล้านคน
    พวกเขา ติดตามทุกคนได้ อย่างไม่จำกัด
    พวกเขา มีผู้มีอิทธิพลทางการเมือง
    พวกเขา มี BlackRock, Vanguard และ State Street
    พวกเขา ควบคุมระบบกฎหมายของเรา
    พวกเขา ควบคุมระบบโรงเรียนของรัฐ
    พวกเขา ควบคุมมหาวิทยาลัยของเรา
    พวกเขา ควบคุมกองทัพของเรา
    พวกเขา ควบคุมความมั่นคงภายในประเทศ
    พวกเขา ควบคุมองค์กรนอกภาครัฐ หลายร้อยแห่ง
    พวกเขา ควบคุมตลาดการเงิน ได้อย่างสมบูรณ์
    พวกเขา ควบคุมหน่วยงานกำกับดูแลของเรา
    พวกเขา มีเงินมากกว่า
    พวกเขา ควบคุมนโยบายต่างประเทศ
    พวกเขา เก็บภาษีเราจนตาย
    พวกเขา ท่วมโซเชียลมีเดียของเรา ด้วยบ็อทและโทรล
    พวกเขา ควบคุมบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่
    พวกเขา ควบคุม Google
    พวกเขา ควบคุมรายการทอล์คโชว์ รายการวิทยุ นิตยสาร และใบอนุญาตออกอากาศ
    พวกเขา มีบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่เบื้องหลัง
    พวกเขา มีประสบการณ์หลายสิบปี
    อุตสาหกรรมการทหาร อยู่เบื้องหลังพวกเขา
    พวกเขา มีศูนย์ข้อมูล ที่ใช้โมเดลการคาดการณ์

    พวกเขามีทั้งหมดนั้น ... แต่พวกเขาก็ยังแพ้

    #ชาติศาสน์กษัตริย์ครบนี้จึงคือประเทศไทย. #อำนาจมืดชักใยโลกต้องการยึดไทย. รัฐลึก Deep State, หมวกขาว White Hats และ Q/Qanon ไร้สาระ รู้เพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ!!! เมื่อผู้คนค่อยๆ ตื่นขึ้นสู่ความเป็นจริงของโลกของเรา การถูกจับเป็นตัวประกันโดย13สายเลือดผู้ปกครอง และปรสิตภายในสมาคมลับของพวกเขา (กลุ่มคาบาล) และทุกสิ่งที่เราถูกสอนมาเป็นเรื่องโกหก เส้นทางที่แตกต่างกันมากมาย บางคนหลุดเข้าไปในอุโมงค์มืด(รูกระต่าย)ของฝ่ายมืดที่ถูกควบคุม (คนเฝ้าประตู) และวาระของพวกเขากำหนดไว้ เพื่อไม่ให้คุณรู้ลึกไปมากกว่านี้ ในบทความนี้ผมจะช่วยทำให้คุณเข้าใจอะไรๆได้ดีขึ้น เริ่มกันที่ “การเมือง…” ผู้คนที่อ้างถึงผู้มีอำนาจผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังว่า "The Deep State" จริงๆแล้วไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "The Deep State" นั่นเป็นเพียงคำพูดไร้สาระที่ CIA และ สาวก Q-โง่ๆ บัญญัติขึ้น เดิมทีมันปรากฏเป็นชวเลขสำหรับข้าราชการที่ต้องการบ่อนทำลายทรัมป์ - ซึ่งตลกเพราะการเมืองคือละครนํ้าเน่า กล่าวอีกนัยหนึ่ง อย่าใช้คำศัพท์เหล่านี้หากคุณต้องการได้รับความเชื่อ ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริงคือผู้คนจาก 13 สายเลือดโบราณ (ตระกูล) ของกษัตริย์และราชินี ตามมาด้วยพระสันตปาปาดำและคณะเยซูอิต ตามมาด้วยพวกนักบวชทางศาสนา (ซาตาน) มหาเศรษฐีและนายธนาคาร และพวกเขา ทั้งหมดทำงานภายในสมาคมลับหรือ 'พันธมิตร' - ทำงานเพื่อรัฐบาลโลกเดียวหรือที่เรียกว่าระเบียบโลกใหม่ พวกเขามีคณะกรรมการประมาณ 300 คน (ชายและหญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก) และคลังความคิดที่เรียกว่า Club of Rome ที่สร้างขึ้นโดยนิกายเยซูอิตหรือที่รู้จักกันในชื่อ Society of Jesus (คำสั่งภายในคริสตจักรคาทอลิก) และจาองค์กรอื่น ๆ เช่น Freemasons (แต่เดิมถูกแทรกซึมโดย Order of the Illuminati ซึ่งก่อตั้งโดยนักบวชนิกายเยซูอิต Adam Weishaupt) และกลายเป็นคำสั่งลึกลับและสถาบันของรัฐบาลทั้งหมด ที่ถูกแทรกซึมโดยกลุ่มดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะตำรวจ, กองทัพ, NATO, UN(UnitedNation), GATT, ธนาคารกลาง, FED, กรมสรรพากร, ศูนย์ข้อมูลทางการทหาร, สถานพยาบาล, บริษัทและองค์กรข้ามชาติ และยังมี Bilderberg Group ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีสำหรับนักการเมือง, ผู้จัดการ, และนักธุรกิจ “แถวหน้า” นี่เป็นที่ที่พวกเขาจะได้รับข้อมูลและแนวทางสำหรับปีต่อ ๆ ไป และถ้าคุณดูว่าสายเลือดโบราณทั้ง 13 สายได้แทรกซึมทางการเงินไปทั่วโลกอย่างไร คุณต้องดูที่บริษัทการเงินและลงทุนเช่น Vanguard, BlackRock, State Street, Berkshire Hathaway, Morgan Stanley, JPMorgan Chase บริษัทเหล่านี้มีหุ้นส่วนใหญ่ในทุกอุตสาหกรรมและบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหมดในโลก และพวกเขายังเป็นเจ้าของหุ้นในกันและกัน และที่ด้านบนสุดของปิรามิดนี้ Vanguard และ BlackRock ซึ่งมีหุ้นใหญ่ในบริษัทอื่นๆ ทั้งหมดที่อยู่ใต้พวกเขา และพวกเขาล้วนเป็นเจ้าของหุ้นในทุกอุตสาหกรรมและทุกบริษัทในโลก และจากสองบริษัทนี้ Vanguardเป็นบริษัทเดียวที่สามารถไม่แสดงตัวผู้ถือหุ้น อย่างไรก็ตาม จากการขุดค้นข้อมูล คุณจะเห็นชื่อต่างๆ เช่น Rothschild, Rockefeller, DuPont เป็นต้น พวกเขาซ่อนตัวอยู่ใน Vanguard และเป็นเจ้าของทุกสิ่ง! ถ้าเราจะระบุ "Deep State"จริง ๆ มันก็เป็นแค่สมาชิกภายในรัฐบาลและศูนย์การทหารที่ทำตามคำสั่งของนิกายเยซูอิต ตามคำสั่งของ 13 ครอบครัวใน Vanguard และเป้าหมายปัจจุบันของพวกเขา และชาวสวีเดนตัวน้อย ตระกูลวอลเลนเบิร์กผู้ชั่วร้าย พวกเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดของนิกายเยซูอิตในคริสตจักรคาทอลิกและอีก 13 ตระกูล พวกเขาอาจมีอำนาจในสายงานธุรกิจของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในห่วงโซ่อาหารและปฏิบัติตามคำสั่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ บริษัทของ Wallenberg เช่น Investor ถูกควบคุมโดย Vanguard และ BlackRock เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ ผู้คนยังคงถกกันเรื่องการเมือง ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา การเมืองเป็นโรงละครสำหรับมวลชนที่ยังคงหลับใหล เช่นเดียวกับกีฬา รายการทีวี ข่าว ดนตรีและภาพยนตร์ นักการเมืองและประธานาธิบดีส่วนใหญ่เป็นหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยนิกายเยซูอิต ผ่านสมาชิกและลูกน้องเพื่อให้ประชาชนรู้สึกยุติธรรมโดยการ "ลงคะแนนเสียง" หากคุณเสียเวลาไปกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิงประธานาธิบดีหรือพรรคการเมือง แสดงว่าคุณกำลังเล่นเกมอยู่ในกำมือของพวกเขา การแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มที่ไม่ชอบหน้ากัน เช่นเดียวกับเรื่องไร้สาระ เช่น การเหยียดเชื้อชาติ กีฬา การหลอกลวงสภาพอากาศ ความถูกต้องทางการเมือง และอื่นๆ พวกเขา ควบคุมสื่อ ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขา ควบคุมหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ของรัฐบาลกลางของเรา ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขา มีนักการเมืองที่ฉ้อฉล อัยการเขต และผู้พิพากษา พวกเขา มีคนดังมากมาย พวกเขา จ่ายเงินให้กับผู้มีอิทธิพล พวกเขา เซ็นเซอร์เรา อย่างไม่ลดละ พวกเขา ควบคุมเครื่องลงคะแนนเสียง พวกเขา นำผู้ลงคะแนนเสียงใหม่ เข้ามาหลายล้านคน พวกเขา ติดตามทุกคนได้ อย่างไม่จำกัด พวกเขา มีผู้มีอิทธิพลทางการเมือง พวกเขา มี BlackRock, Vanguard และ State Street พวกเขา ควบคุมระบบกฎหมายของเรา พวกเขา ควบคุมระบบโรงเรียนของรัฐ พวกเขา ควบคุมมหาวิทยาลัยของเรา พวกเขา ควบคุมกองทัพของเรา พวกเขา ควบคุมความมั่นคงภายในประเทศ พวกเขา ควบคุมองค์กรนอกภาครัฐ หลายร้อยแห่ง พวกเขา ควบคุมตลาดการเงิน ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขา ควบคุมหน่วยงานกำกับดูแลของเรา พวกเขา มีเงินมากกว่า พวกเขา ควบคุมนโยบายต่างประเทศ พวกเขา เก็บภาษีเราจนตาย พวกเขา ท่วมโซเชียลมีเดียของเรา ด้วยบ็อทและโทรล พวกเขา ควบคุมบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ พวกเขา ควบคุม Google พวกเขา ควบคุมรายการทอล์คโชว์ รายการวิทยุ นิตยสาร และใบอนุญาตออกอากาศ พวกเขา มีบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่เบื้องหลัง พวกเขา มีประสบการณ์หลายสิบปี อุตสาหกรรมการทหาร อยู่เบื้องหลังพวกเขา พวกเขา มีศูนย์ข้อมูล ที่ใช้โมเดลการคาดการณ์ พวกเขามีทั้งหมดนั้น ... แต่พวกเขาก็ยังแพ้
    0 Comments 0 Shares 310 Views 0 Reviews
More Results