• สิงคโปร์ทดลองบิลแบบ Tokenised และกฎหมาย Stablecoin

    สิงคโปร์กำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัล โดยธนาคารกลางประกาศทดลองใช้ "tokenised bills" และเตรียมออกกฎหมายควบคุม stablecoin เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินใหม่ แนวคิดนี้คือการนำเทคโนโลยี blockchain มาช่วยให้ธุรกรรมการเงินมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น

    สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ไม่ได้มองแค่การใช้เทคโนโลยี แต่ยังพยายามสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อให้ทั้งนักลงทุนและประชาชนมั่นใจว่าการใช้ stablecoin จะไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในบางประเทศ การเคลื่อนไหวนี้อาจทำให้สิงคโปร์กลายเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านการเงินดิจิทัล

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการนำ stablecoin มาใช้ในระบบเศรษฐกิจจริงยังมีความเสี่ยง เช่นความผันผวนของค่าเงินดิจิทัล และการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง

    สิงคโปร์ทดลองใช้ tokenised bills และเตรียมออกกฎหมาย stablecoin
    เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบการเงินดิจิทัล

    สิงคโปร์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในภูมิภาค
    การสร้างกรอบกฎหมายชัดเจนช่วยดึงดูดนักลงทุน

    ความเสี่ยงจากการใช้ stablecoin ในระบบเศรษฐกิจจริง
    อาจเกิดความผันผวนและการโจมตีทางไซเบอร์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/singapore-to-trial-tokenised-bills-bring-in-stablecoin-laws-central-bank-chief-says
    💰 สิงคโปร์ทดลองบิลแบบ Tokenised และกฎหมาย Stablecoin สิงคโปร์กำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัล โดยธนาคารกลางประกาศทดลองใช้ "tokenised bills" และเตรียมออกกฎหมายควบคุม stablecoin เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินใหม่ แนวคิดนี้คือการนำเทคโนโลยี blockchain มาช่วยให้ธุรกรรมการเงินมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ไม่ได้มองแค่การใช้เทคโนโลยี แต่ยังพยายามสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อให้ทั้งนักลงทุนและประชาชนมั่นใจว่าการใช้ stablecoin จะไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในบางประเทศ การเคลื่อนไหวนี้อาจทำให้สิงคโปร์กลายเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านการเงินดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการนำ stablecoin มาใช้ในระบบเศรษฐกิจจริงยังมีความเสี่ยง เช่นความผันผวนของค่าเงินดิจิทัล และการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง ✅ สิงคโปร์ทดลองใช้ tokenised bills และเตรียมออกกฎหมาย stablecoin ➡️ เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบการเงินดิจิทัล ✅ สิงคโปร์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในภูมิภาค ➡️ การสร้างกรอบกฎหมายชัดเจนช่วยดึงดูดนักลงทุน ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ stablecoin ในระบบเศรษฐกิจจริง ⛔ อาจเกิดความผันผวนและการโจมตีทางไซเบอร์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/singapore-to-trial-tokenised-bills-bring-in-stablecoin-laws-central-bank-chief-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Singapore to trial tokenised bills, bring in stablecoin laws, central bank chief says
    SINGAPORE (Reuters) -Singapore's central bank will hold trials to issue tokenised MAS bills next year and bring in laws to regulate stablecoins as it presses forward with plans to build a scalable and secure tokenised financial ecosystem, the bank's top official said on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Stablecoin เยนเตรียมบุกตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น – ผู้เล่นใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมการเงิน”

    บริษัท JPYC เปิดตัว Stablecoin ที่ผูกกับเงินเยนเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ถือเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นที่มีการออก Stablecoin แบบเต็มรูปแบบในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือการชำระเงินและการลงทุนที่สะดวกและปลอดภัย

    ผู้บริหารของ JPYC ระบุว่า Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นในอนาคต เพราะการถือครองพันธบัตรจะช่วยสร้างความมั่นคงและความน่าเชื่อถือให้กับเหรียญดิจิทัลที่ออกมา ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต้องปรับวิธีการควบคุมตลาดการเงินใหม่ เนื่องจากผู้เล่นรายใหม่เข้ามามีบทบาทสำคัญ

    แม้ญี่ปุ่นยังเป็นสังคมที่นิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต แต่การเปิดตัว Stablecoin เยนถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินสมัยใหม่

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการกำกับดูแลคริปโตเข้มงวดที่สุด แต่ก็เปิดรับนวัตกรรมการเงินดิจิทัลมากขึ้น
    หาก Stablecoin เยนถูกนำไปใช้จริงในตลาดพันธบัตร อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
    อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ สูญเสียความสามารถในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน

    JPYC เปิดตัว Stablecoin เยนครั้งแรกในญี่ปุ่น
    เปิดตัวเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025
    มีเป้าหมายเพื่อใช้ในการชำระเงินและการลงทุน

    บทบาทในตลาดพันธบัตร
    Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น
    ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ

    ความสำคัญต่อระบบการเงิน
    สะท้อนการเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่นิยมเงินสดสู่การเงินดิจิทัล
    อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ ควบคุมนโยบายการเงินได้ยากขึ้น
    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน
    การยอมรับจากผู้ใช้ทั่วไปยังไม่แน่นอน เพราะญี่ปุ่นยังนิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/yen-stablecoin-issuer-predicts-growing-presence-in-japan039s-bond-market
    💴 หัวข้อข่าว: “Stablecoin เยนเตรียมบุกตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น – ผู้เล่นใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมการเงิน” บริษัท JPYC เปิดตัว Stablecoin ที่ผูกกับเงินเยนเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ถือเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นที่มีการออก Stablecoin แบบเต็มรูปแบบในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือการชำระเงินและการลงทุนที่สะดวกและปลอดภัย ผู้บริหารของ JPYC ระบุว่า Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นในอนาคต เพราะการถือครองพันธบัตรจะช่วยสร้างความมั่นคงและความน่าเชื่อถือให้กับเหรียญดิจิทัลที่ออกมา ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต้องปรับวิธีการควบคุมตลาดการเงินใหม่ เนื่องจากผู้เล่นรายใหม่เข้ามามีบทบาทสำคัญ แม้ญี่ปุ่นยังเป็นสังคมที่นิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต แต่การเปิดตัว Stablecoin เยนถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินสมัยใหม่ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการกำกับดูแลคริปโตเข้มงวดที่สุด แต่ก็เปิดรับนวัตกรรมการเงินดิจิทัลมากขึ้น 🔰 หาก Stablecoin เยนถูกนำไปใช้จริงในตลาดพันธบัตร อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ 🔰 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ สูญเสียความสามารถในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน ✅ JPYC เปิดตัว Stablecoin เยนครั้งแรกในญี่ปุ่น ➡️ เปิดตัวเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ➡️ มีเป้าหมายเพื่อใช้ในการชำระเงินและการลงทุน ✅ บทบาทในตลาดพันธบัตร ➡️ Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น ➡️ ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ ✅ ความสำคัญต่อระบบการเงิน ➡️ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่นิยมเงินสดสู่การเงินดิจิทัล ➡️ อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ ควบคุมนโยบายการเงินได้ยากขึ้น ⛔ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน ⛔ การยอมรับจากผู้ใช้ทั่วไปยังไม่แน่นอน เพราะญี่ปุ่นยังนิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/yen-stablecoin-issuer-predicts-growing-presence-in-japan039s-bond-market
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Yen stablecoin issuer predicts growing presence in Japan's bond market
    TOKYO (Reuters) -Stablecoin issuers could become major buyers of Japanese government bonds in several years and influence the central bank's control over monetary policy, the head of Japan's first domestic issuer of yen-pegged stablecoins told Reuters.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • โลกเทคโนโลยีเปลี่ยนขั้ว: Web Summit 2025 ชี้ “ยุคครองโลกของตะวันตกกำลังจางหาย”

    ที่งาน Web Summit ณ กรุงลิสบอน ปีนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 70,000 คนจากทั่วโลก รวมถึง 2,500 สตาร์ทอัพและ 1,000 นักลงทุน โดยมีประเด็นสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงอำนาจในโลกเทคโนโลยีจากฝั่งตะวันตกไปสู่ความหลากหลายระดับโลก ทั้งจีน บราซิล โปแลนด์ และประเทศอื่นๆ ที่กำลังแสดงศักยภาพอย่างโดดเด่นในด้าน AI หุ่นยนต์ และการชำระเงินดิจิทัล

    Paddy Cosgrave ผู้ก่อตั้งงานกล่าวว่า “ปีนี้ชัดเจนที่สุดว่าอำนาจเทคโนโลยีของตะวันตกกำลังลดลง” โดยยกตัวอย่างหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ล้ำหน้าที่สุดในงานซึ่งมาจากจีน ไม่ใช่ยุโรปหรืออเมริกา

    Web Summit 2025 ต้อนรับผู้เข้าร่วมกว่า 70,000 คน
    รวมสตาร์ทอัพ 2,500 ราย และนักลงทุน 1,000 ราย
    เป็นเวทีระดับโลกสำหรับการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรม

    จีนแสดงศักยภาพในด้านหุ่นยนต์และ AI
    หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ล้ำหน้าที่สุดในงานมาจากจีน
    บริษัทจีนอย่าง Baidu และ Pony.ai เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไร้คนขับในยุโรป

    บราซิลและโปแลนด์ก็ไม่น้อยหน้า
    ระบบชำระเงินดิจิทัล PIX จากบราซิลได้รับความสนใจ
    โปแลนด์มีจำนวนสตาร์ทอัพเข้าร่วมงานมากเป็นประวัติการณ์

    บริษัทอเมริกันยังคงมีบทบาท
    Amazon Robotics, Boston Dynamics, Uber และ Lyft นำเสนอเทคโนโลยีรถยนต์อัตโนมัติ
    Qualcomm เปิดตัวชิป AI แข่งกับ Nvidia และ AMD

    AI กลายเป็นหัวใจของเทคโนโลยีใหม่
    Lovable จากสวีเดนเปิดตัวระบบ “vibe coding” สร้างแอปผ่านแชตบอทโดยไม่ต้องเขียนโค้ด
    Microsoft และบริษัทชิปต่างๆ ร่วมแสดงเทคโนโลยี AI ขั้นสูง

    เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพและกีฬาได้รับความสนใจ
    AI ถูกใช้ในการฝึกซ้อมกีฬาและฟื้นฟูร่างกาย
    Wearables เช่น นาฬิกาและแหวนอัจฉริยะช่วยตรวจจับอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น

    ยุโรปห่วงเรื่องอธิปไตยทางเทคโนโลยี
    EU ส่งตัวแทนเข้าร่วมเพื่อผลักดันทางเลือกที่ไม่พึ่งพา hyperscalers จากอเมริกา
    Roblox เตรียมเปิดตัวระบบยืนยันอายุผู้เล่นเพื่อรับมือกับข้อกำหนดใหม่

    คำเตือน: ความตึงเครียดด้านการค้าและทรัพยากรยังคงเป็นอุปสรรค
    การแข่งขันด้านเทคโนโลยีอาจนำไปสู่ข้อจำกัดการส่งออกและความขัดแย้งระหว่างประเทศ
    การพึ่งพาทรัพยากรหายากในการผลิตชิปและอุปกรณ์อาจสร้างความเสี่ยงในอนาคต

    การเปลี่ยนขั้วอำนาจเทคโนโลยีอาจกระทบต่อบริษัทตะวันตก
    หากไม่ปรับตัว อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
    ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่และสร้างความร่วมมือระดับโลก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/039western-tech-dominance-fading039-at-lisbon039s-web-summit
    🌍 โลกเทคโนโลยีเปลี่ยนขั้ว: Web Summit 2025 ชี้ “ยุคครองโลกของตะวันตกกำลังจางหาย” ที่งาน Web Summit ณ กรุงลิสบอน ปีนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 70,000 คนจากทั่วโลก รวมถึง 2,500 สตาร์ทอัพและ 1,000 นักลงทุน โดยมีประเด็นสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงอำนาจในโลกเทคโนโลยีจากฝั่งตะวันตกไปสู่ความหลากหลายระดับโลก ทั้งจีน บราซิล โปแลนด์ และประเทศอื่นๆ ที่กำลังแสดงศักยภาพอย่างโดดเด่นในด้าน AI หุ่นยนต์ และการชำระเงินดิจิทัล Paddy Cosgrave ผู้ก่อตั้งงานกล่าวว่า “ปีนี้ชัดเจนที่สุดว่าอำนาจเทคโนโลยีของตะวันตกกำลังลดลง” โดยยกตัวอย่างหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ล้ำหน้าที่สุดในงานซึ่งมาจากจีน ไม่ใช่ยุโรปหรืออเมริกา ✅ Web Summit 2025 ต้อนรับผู้เข้าร่วมกว่า 70,000 คน ➡️ รวมสตาร์ทอัพ 2,500 ราย และนักลงทุน 1,000 ราย ➡️ เป็นเวทีระดับโลกสำหรับการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรม ✅ จีนแสดงศักยภาพในด้านหุ่นยนต์และ AI ➡️ หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ล้ำหน้าที่สุดในงานมาจากจีน ➡️ บริษัทจีนอย่าง Baidu และ Pony.ai เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไร้คนขับในยุโรป ✅ บราซิลและโปแลนด์ก็ไม่น้อยหน้า ➡️ ระบบชำระเงินดิจิทัล PIX จากบราซิลได้รับความสนใจ ➡️ โปแลนด์มีจำนวนสตาร์ทอัพเข้าร่วมงานมากเป็นประวัติการณ์ ✅ บริษัทอเมริกันยังคงมีบทบาท ➡️ Amazon Robotics, Boston Dynamics, Uber และ Lyft นำเสนอเทคโนโลยีรถยนต์อัตโนมัติ ➡️ Qualcomm เปิดตัวชิป AI แข่งกับ Nvidia และ AMD ✅ AI กลายเป็นหัวใจของเทคโนโลยีใหม่ ➡️ Lovable จากสวีเดนเปิดตัวระบบ “vibe coding” สร้างแอปผ่านแชตบอทโดยไม่ต้องเขียนโค้ด ➡️ Microsoft และบริษัทชิปต่างๆ ร่วมแสดงเทคโนโลยี AI ขั้นสูง ✅ เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพและกีฬาได้รับความสนใจ ➡️ AI ถูกใช้ในการฝึกซ้อมกีฬาและฟื้นฟูร่างกาย ➡️ Wearables เช่น นาฬิกาและแหวนอัจฉริยะช่วยตรวจจับอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น ✅ ยุโรปห่วงเรื่องอธิปไตยทางเทคโนโลยี ➡️ EU ส่งตัวแทนเข้าร่วมเพื่อผลักดันทางเลือกที่ไม่พึ่งพา hyperscalers จากอเมริกา ➡️ Roblox เตรียมเปิดตัวระบบยืนยันอายุผู้เล่นเพื่อรับมือกับข้อกำหนดใหม่ ‼️ คำเตือน: ความตึงเครียดด้านการค้าและทรัพยากรยังคงเป็นอุปสรรค ⛔ การแข่งขันด้านเทคโนโลยีอาจนำไปสู่ข้อจำกัดการส่งออกและความขัดแย้งระหว่างประเทศ ⛔ การพึ่งพาทรัพยากรหายากในการผลิตชิปและอุปกรณ์อาจสร้างความเสี่ยงในอนาคต ‼️ การเปลี่ยนขั้วอำนาจเทคโนโลยีอาจกระทบต่อบริษัทตะวันตก ⛔ หากไม่ปรับตัว อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ⛔ ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่และสร้างความร่วมมือระดับโลก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/039western-tech-dominance-fading039-at-lisbon039s-web-summit
    WWW.THESTAR.COM.MY
    'Western tech dominance fading' at Lisbon's Web Summit
    The "most advanced humanoid robots in the world" on display are "not European, they're not American. Instead, they are Chinese."
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Solarpunk แอฟริกา – เมื่ออนาคตไม่รอใคร”

    ลองจินตนาการว่าไฟฟ้าไม่เคยมาเยือนบ้านคุณเลยตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณได้แสงสว่างจากแผงโซลาร์ที่ผ่อนได้ผ่านมือถือ… นี่คือเรื่องจริงของผู้คนกว่า 600 ล้านคนในแอฟริกา ที่ไม่ได้รอให้รัฐบาลหรือธนาคารโลกมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ แต่ลุกขึ้นมาสร้างมันเองผ่านโมเดล Solarpunk ที่กำลังเปลี่ยนโลก

    ในขณะที่โลกพัฒนาแล้วกำลังถกเถียงเรื่องพลังงานสะอาด แอฟริกากำลังลงมือทำจริง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีราคาถูก การเงินดิจิทัล และโมเดลธุรกิจแบบจ่ายรายวัน (PAYG) ที่ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เข้าถึงได้แม้กับคนที่มีรายได้เพียง $2 ต่อวัน

    ในอดีต การขยายสายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชนบทต้องใช้เงินมหาศาลและเวลานานหลายสิบปี แต่วันนี้ บริษัทสตาร์ทอัพในแอฟริกาอย่าง Sun King และ SunCulture กลับสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ให้เกษตรกรได้ภายในไม่กี่วัน ด้วยเงินดาวน์เพียง $100 และจ่ายรายวันผ่านมือถือ

    ระบบเหล่านี้มาพร้อม IoT ที่สามารถตัดไฟหากไม่จ่าย และเปิดไฟเมื่อชำระเงิน ทำให้เกิดวินัยทางการเงิน และอัตราการชำระหนี้สูงถึง 90% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศที่มีระบบธนาคารเต็มรูปแบบเสียอีก

    ที่น่าทึ่งคือ โมเดลนี้ไม่เพียงให้แสงสว่าง แต่ยังเปลี่ยนชีวิต:
    เกษตรกรสามารถใช้ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มผลผลิต 3-5 เท่า
    เด็กๆ อ่านหนังสือตอนกลางคืนได้
    ผู้หญิงไม่ต้องสูดควันจากเตาเผาดีเซลหรือถ่านอีกต่อไป

    และทั้งหมดนี้ยังสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้อีกด้วย ทำให้ต้นทุนลดลง และขยายตลาดได้มากขึ้น

    สรุปเนื้อหาสำคัญ
    แอฟริกากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานใหม่ด้วยตัวเอง
    ใช้โมเดล Pay-As-You-Go (PAYG) ผ่านมือถือ
    ระบบโซลาร์ติดตั้งง่าย จ่ายรายวันผ่าน M-PESA
    มี IoT ควบคุมการเปิด-ปิดไฟตามการชำระเงิน
    อัตราการชำระหนี้สูงกว่า 90%
    บริษัท Sun King และ SunCulture มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 50%
    ปั๊มน้ำโซลาร์ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรจาก $600 เป็น $14,000 ต่อเอเคอร์
    คาร์บอนเครดิตช่วยลดต้นทุนลง 25-40%
    มีการลงทุนล่วงหน้าโดยองค์กรต่างประเทศ เช่น British International Investment

    การขยายโมเดลนี้ยังมีความเสี่ยง
    ความผันผวนของค่าเงินในประเทศต่างๆ
    ความเสี่ยงด้านนโยบายจากรัฐบาล
    ความผันผวนของราคาคาร์บอนเครดิต
    ความซับซ้อนในการบำรุงรักษาอุปกรณ์
    ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติหรือความไม่มั่นคงทางการเมือง

    ถ้าโมเดลนี้ขยายไปยังเอเชียใต้ ลาตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ไม่ต้องรอ “สายไฟ” อีกต่อไป แต่ใช้แสงแดดเป็นตัวนำทางสู่อนาคต

    https://climatedrift.substack.com/p/why-solarpunk-is-already-happening
    ☀️ “Solarpunk แอฟริกา – เมื่ออนาคตไม่รอใคร” ลองจินตนาการว่าไฟฟ้าไม่เคยมาเยือนบ้านคุณเลยตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณได้แสงสว่างจากแผงโซลาร์ที่ผ่อนได้ผ่านมือถือ… นี่คือเรื่องจริงของผู้คนกว่า 600 ล้านคนในแอฟริกา ที่ไม่ได้รอให้รัฐบาลหรือธนาคารโลกมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ แต่ลุกขึ้นมาสร้างมันเองผ่านโมเดล Solarpunk ที่กำลังเปลี่ยนโลก ในขณะที่โลกพัฒนาแล้วกำลังถกเถียงเรื่องพลังงานสะอาด แอฟริกากำลังลงมือทำจริง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีราคาถูก การเงินดิจิทัล และโมเดลธุรกิจแบบจ่ายรายวัน (PAYG) ที่ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เข้าถึงได้แม้กับคนที่มีรายได้เพียง $2 ต่อวัน ในอดีต การขยายสายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชนบทต้องใช้เงินมหาศาลและเวลานานหลายสิบปี แต่วันนี้ บริษัทสตาร์ทอัพในแอฟริกาอย่าง Sun King และ SunCulture กลับสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ให้เกษตรกรได้ภายในไม่กี่วัน ด้วยเงินดาวน์เพียง $100 และจ่ายรายวันผ่านมือถือ ระบบเหล่านี้มาพร้อม IoT ที่สามารถตัดไฟหากไม่จ่าย และเปิดไฟเมื่อชำระเงิน ทำให้เกิดวินัยทางการเงิน และอัตราการชำระหนี้สูงถึง 90% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศที่มีระบบธนาคารเต็มรูปแบบเสียอีก ที่น่าทึ่งคือ โมเดลนี้ไม่เพียงให้แสงสว่าง แต่ยังเปลี่ยนชีวิต: 📍 เกษตรกรสามารถใช้ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มผลผลิต 3-5 เท่า 📍 เด็กๆ อ่านหนังสือตอนกลางคืนได้ 📍 ผู้หญิงไม่ต้องสูดควันจากเตาเผาดีเซลหรือถ่านอีกต่อไป และทั้งหมดนี้ยังสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้อีกด้วย ทำให้ต้นทุนลดลง และขยายตลาดได้มากขึ้น 📌 สรุปเนื้อหาสำคัญ ✅ แอฟริกากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานใหม่ด้วยตัวเอง ➡️ ใช้โมเดล Pay-As-You-Go (PAYG) ผ่านมือถือ ➡️ ระบบโซลาร์ติดตั้งง่าย จ่ายรายวันผ่าน M-PESA ➡️ มี IoT ควบคุมการเปิด-ปิดไฟตามการชำระเงิน ➡️ อัตราการชำระหนี้สูงกว่า 90% ➡️ บริษัท Sun King และ SunCulture มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% ➡️ ปั๊มน้ำโซลาร์ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรจาก $600 เป็น $14,000 ต่อเอเคอร์ ➡️ คาร์บอนเครดิตช่วยลดต้นทุนลง 25-40% ➡️ มีการลงทุนล่วงหน้าโดยองค์กรต่างประเทศ เช่น British International Investment ‼️ การขยายโมเดลนี้ยังมีความเสี่ยง ⛔ ความผันผวนของค่าเงินในประเทศต่างๆ ⛔ ความเสี่ยงด้านนโยบายจากรัฐบาล ⛔ ความผันผวนของราคาคาร์บอนเครดิต ⛔ ความซับซ้อนในการบำรุงรักษาอุปกรณ์ ⛔ ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติหรือความไม่มั่นคงทางการเมือง ถ้าโมเดลนี้ขยายไปยังเอเชียใต้ ลาตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ไม่ต้องรอ “สายไฟ” อีกต่อไป แต่ใช้แสงแดดเป็นตัวนำทางสู่อนาคต https://climatedrift.substack.com/p/why-solarpunk-is-already-happening
    CLIMATEDRIFT.SUBSTACK.COM
    Why Solarpunk is already happening in Africa
    Or: How Africa is building the future by skipping the past
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอวิเคราะห์ทิศทางของ Bitcoin ในอนาคตจากมุมมองผู้เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมข้อดีและข้อเสียอย่างเป็นกลาง:

    ข้อมองในแง่บวก (Bull Case)

    1. การยอมรับในระดับสถาบัน

    · กองทุนขนาดใหญ่ (BlackRock, Fidelity) เปิดกองทุน Bitcoin ETF
    · บริษัทมหาชนเพิ่ม Bitcoin ในงบดุล (เช่น MicroStrategy, Tesla)
    · ธนาคารกลางหลายประเทศศึกษาสกุลเงินดิจิทัศ (CBDC)

    2. อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น

    · กลไก Halving ลดอุปทานใหม่ทุก 4 ปี
    · มีผู้ใช้งานและนักลงทุนรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    · การใช้เป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ (Digital Gold)

    3. นวัตกรรมทางเทคโนโลยี

    · การพัฒนาระบบ Layer 2 (เช่น Lightning Network)
    · การบูรณาการกับ DeFi และ Smart Contract
    · การปรับปรุงความสามารถในการขยายขนาด (Scalability)

    ข้อกังวลในแง่ลบ (Bear Case)

    1. ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ

    · การควบคุมที่เข้มงวดจากรัฐบาลต่างๆ
    · นโยบายการเก็บภาษีที่ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ
    · ความเสี่ยงจากการแบนในบางเขตอำนาจศาล

    2. ความผันผวนสูง

    · ราคายังคงมีความผันผวนในระดับที่เสี่ยง
    · การเก็งกำไรระยะสั้นมีอิทธิพลต่อราคา
    · ความเชื่อมั่นที่อ่อนไหวต่อข่าวลือและทวีต

    3. ความท้าทายทางเทคนิค

    · ปัญหาการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    · ความเร็วในการทำธุรกรรมที่จำกัด
    · ค่า Fee ที่อาจสูงในช่วงความนิยม

    มุมมองโดยรวม

    ผู้มองในแง่บวก เห็นว่า Bitcoin จะเติบโตเป็น:

    · สินทรัพย์ปลอดภัยรูปแบบดิจิทัล
    · ระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน
    · พื้นฐานของระบบการเงินใหม่

    ผู้มองในแง่ลบ กังวลเกี่ยวกับ:

    · ฟองสบู่ทางราคาที่อาจแตก
    · การแข่งขันจากสกุลเงินดิจิทัลอื่น
    · ความไม่แน่นอนในระยะยาว

    คำแนะนำการลงทุน

    · ลงทุนเพียงส่วนที่ยอมเสียได้
    · ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด
    · กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน

    ตลาดคริปโตยังคงมีความไม่แน่นอนสูง การตัดสินใจลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานการศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
    ขอวิเคราะห์ทิศทางของ Bitcoin ในอนาคตจากมุมมองผู้เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมข้อดีและข้อเสียอย่างเป็นกลาง: ข้อมองในแง่บวก (Bull Case) 1. การยอมรับในระดับสถาบัน · กองทุนขนาดใหญ่ (BlackRock, Fidelity) เปิดกองทุน Bitcoin ETF · บริษัทมหาชนเพิ่ม Bitcoin ในงบดุล (เช่น MicroStrategy, Tesla) · ธนาคารกลางหลายประเทศศึกษาสกุลเงินดิจิทัศ (CBDC) 2. อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น · กลไก Halving ลดอุปทานใหม่ทุก 4 ปี · มีผู้ใช้งานและนักลงทุนรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง · การใช้เป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ (Digital Gold) 3. นวัตกรรมทางเทคโนโลยี · การพัฒนาระบบ Layer 2 (เช่น Lightning Network) · การบูรณาการกับ DeFi และ Smart Contract · การปรับปรุงความสามารถในการขยายขนาด (Scalability) ข้อกังวลในแง่ลบ (Bear Case) 1. ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ · การควบคุมที่เข้มงวดจากรัฐบาลต่างๆ · นโยบายการเก็บภาษีที่ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ · ความเสี่ยงจากการแบนในบางเขตอำนาจศาล 2. ความผันผวนสูง · ราคายังคงมีความผันผวนในระดับที่เสี่ยง · การเก็งกำไรระยะสั้นมีอิทธิพลต่อราคา · ความเชื่อมั่นที่อ่อนไหวต่อข่าวลือและทวีต 3. ความท้าทายทางเทคนิค · ปัญหาการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม · ความเร็วในการทำธุรกรรมที่จำกัด · ค่า Fee ที่อาจสูงในช่วงความนิยม มุมมองโดยรวม ผู้มองในแง่บวก เห็นว่า Bitcoin จะเติบโตเป็น: · สินทรัพย์ปลอดภัยรูปแบบดิจิทัล · ระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน · พื้นฐานของระบบการเงินใหม่ ผู้มองในแง่ลบ กังวลเกี่ยวกับ: · ฟองสบู่ทางราคาที่อาจแตก · การแข่งขันจากสกุลเงินดิจิทัลอื่น · ความไม่แน่นอนในระยะยาว คำแนะนำการลงทุน · ลงทุนเพียงส่วนที่ยอมเสียได้ · ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด · กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน ตลาดคริปโตยังคงมีความไม่แน่นอนสูง การตัดสินใจลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานการศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • สะเทือนวงการคริปโต: จีน-อังกฤษร่วมมือคืน 61,000 Bitcoin ที่ถูกขโมย มูลค่ากว่า $6.7 พันล้าน แต่เหยื่ออาจไม่ได้คืนเต็มจำนวน

    คดีใหญ่สะเทือนโลกคริปโต เมื่อทางการอังกฤษยึด Bitcoin กว่า 61,000 เหรียญจาก Zhimin Qian หรือที่รู้จักในชื่อ Yadi Zhang “ราชินีบิตคอยน์” ผู้หลอกลวงนักลงทุนจีนกว่า 128,000 รายผ่านโครงการลงทุนปลอมระหว่างปี 2014–2017 โดยเงินที่ได้ถูกแปลงเป็นคริปโตและอสังหาริมทรัพย์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    หลังจากการจับกุมและยึดกระเป๋าเงินดิจิทัลในปี 2018 ซึ่งตอนนั้น Bitcoin มีมูลค่าเพียง ~$3,300 ต่อเหรียญ มูลค่ารวมของเหรียญที่ยึดได้อยู่ที่ประมาณ $200 ล้าน แต่ในปี 2025 มูลค่าของ Bitcoin พุ่งทะลุ $110,000 ต่อเหรียญ ทำให้ยอดรวมพุ่งขึ้นเป็นกว่า $6.7 พันล้าน!

    แม้จะดูเหมือนข่าวดีสำหรับเหยื่อ แต่การคืนเงินกลับไม่ง่าย เพราะทางการจีนต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้ซื้อ Bitcoin มาจากการหลอกลวงจริง ไม่ได้ปะปนกับเงินจากอาชญากรรมอื่น และทางการอังกฤษยังมีเสียงแตก บางฝ่ายเสนอให้คืนเฉพาะมูลค่าที่เหยื่อสูญเสีย ไม่ใช่มูลค่าปัจจุบันของ Bitcoin

    นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าอังกฤษอาจเก็บ Bitcoin ไว้บางส่วน ซึ่งอาจสร้างความตึงเครียดทางการทูตกับจีน และนำไปสู่การต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อ

    อังกฤษยึด Bitcoin กว่า 61,000 เหรียญจาก Zhimin Qian
    มูลค่าปัจจุบันกว่า $6.7 พันล้าน
    เป็นผลจากการหลอกลวงนักลงทุนจีนกว่า 128,000 ราย

    จีน-อังกฤษร่วมมือกันเพื่อคืนเงินให้เหยื่อ
    ต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้ซื้อ Bitcoin มาจากการหลอกลวง
    ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ติดต่อเหยื่อ

    มูลค่า Bitcoin เพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่าจากปี 2018
    จาก ~$3,300 เป็น ~$110,000 ต่อเหรียญ
    ทำให้ยอดรวมพุ่งจาก $200 ล้านเป็น $6.7 พันล้าน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/chinese-and-british-authorities-work-together-to-determine-how-to-return-61-000-stolen-bitcoins-worth-usd6-7-billion-victims-expected-to-have-hard-time-recouping-losses-despite-seizure
    💰 สะเทือนวงการคริปโต: จีน-อังกฤษร่วมมือคืน 61,000 Bitcoin ที่ถูกขโมย มูลค่ากว่า $6.7 พันล้าน แต่เหยื่ออาจไม่ได้คืนเต็มจำนวน คดีใหญ่สะเทือนโลกคริปโต เมื่อทางการอังกฤษยึด Bitcoin กว่า 61,000 เหรียญจาก Zhimin Qian หรือที่รู้จักในชื่อ Yadi Zhang “ราชินีบิตคอยน์” ผู้หลอกลวงนักลงทุนจีนกว่า 128,000 รายผ่านโครงการลงทุนปลอมระหว่างปี 2014–2017 โดยเงินที่ได้ถูกแปลงเป็นคริปโตและอสังหาริมทรัพย์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ หลังจากการจับกุมและยึดกระเป๋าเงินดิจิทัลในปี 2018 ซึ่งตอนนั้น Bitcoin มีมูลค่าเพียง ~$3,300 ต่อเหรียญ มูลค่ารวมของเหรียญที่ยึดได้อยู่ที่ประมาณ $200 ล้าน แต่ในปี 2025 มูลค่าของ Bitcoin พุ่งทะลุ $110,000 ต่อเหรียญ ทำให้ยอดรวมพุ่งขึ้นเป็นกว่า $6.7 พันล้าน! แม้จะดูเหมือนข่าวดีสำหรับเหยื่อ แต่การคืนเงินกลับไม่ง่าย เพราะทางการจีนต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้ซื้อ Bitcoin มาจากการหลอกลวงจริง ไม่ได้ปะปนกับเงินจากอาชญากรรมอื่น และทางการอังกฤษยังมีเสียงแตก บางฝ่ายเสนอให้คืนเฉพาะมูลค่าที่เหยื่อสูญเสีย ไม่ใช่มูลค่าปัจจุบันของ Bitcoin นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าอังกฤษอาจเก็บ Bitcoin ไว้บางส่วน ซึ่งอาจสร้างความตึงเครียดทางการทูตกับจีน และนำไปสู่การต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อ ✅ อังกฤษยึด Bitcoin กว่า 61,000 เหรียญจาก Zhimin Qian ➡️ มูลค่าปัจจุบันกว่า $6.7 พันล้าน ➡️ เป็นผลจากการหลอกลวงนักลงทุนจีนกว่า 128,000 ราย ✅ จีน-อังกฤษร่วมมือกันเพื่อคืนเงินให้เหยื่อ ➡️ ต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้ซื้อ Bitcoin มาจากการหลอกลวง ➡️ ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ติดต่อเหยื่อ ✅ มูลค่า Bitcoin เพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่าจากปี 2018 ➡️ จาก ~$3,300 เป็น ~$110,000 ต่อเหรียญ ➡️ ทำให้ยอดรวมพุ่งจาก $200 ล้านเป็น $6.7 พันล้าน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/chinese-and-british-authorities-work-together-to-determine-how-to-return-61-000-stolen-bitcoins-worth-usd6-7-billion-victims-expected-to-have-hard-time-recouping-losses-despite-seizure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไขข้อสงสัย ทำไมเป๋าตังค์ต้องรอ 3 วัน!? (21/10/68)

    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #เป๋าตังค์ #เงินดิจิทัล #เศรษฐกิจไทย #กระเป๋าเงินดิจิทัล #ข่าววันนี้ #ข่าวร้อน #newsupdate #ข่าวtiktok
    ไขข้อสงสัย ทำไมเป๋าตังค์ต้องรอ 3 วัน!? (21/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #เป๋าตังค์ #เงินดิจิทัล #เศรษฐกิจไทย #กระเป๋าเงินดิจิทัล #ข่าววันนี้ #ข่าวร้อน #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ ยึดบิตคอยน์ มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 4.9 แสนล้านบาท ของ'เฉิน จื้อ'นักธุรกิจจีนสัญชาติเขมร อดีตที่ปรึกษา และคนใกล้ชิด'ฮุนเซน-ฮุนมาเนต' มีฐานเปิดศูนย์หลอกลวงในกัมพูชา บังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกาย ทรมานและฉ้อโกงเงินดิจิทัล
    #คิงส์โพธิ์แดง
    สหรัฐฯ ยึดบิตคอยน์ มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 4.9 แสนล้านบาท ของ'เฉิน จื้อ'นักธุรกิจจีนสัญชาติเขมร อดีตที่ปรึกษา และคนใกล้ชิด'ฮุนเซน-ฮุนมาเนต' มีฐานเปิดศูนย์หลอกลวงในกัมพูชา บังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกาย ทรมานและฉ้อโกงเงินดิจิทัล #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่วน!! สหรัฐฯ สั่งยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (4.9 แสนล้านบาท) ของนายเฉิน จื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา ซึ่งมีฐานเปิดศูนย์หลอกลวงในกัมพูชา บังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกาย ทรมานและฉ้อโกงเงินดิจิทัล หนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงของฮุนเซน ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า เป็น "การริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ"
    .
    มีรานงานล่าสุดว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) สั่งยึด Bitcoin ของนายเฉินจื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา มูลค่าหลายพันล้านจากกลโกงคริปโต ครั้งใหญ่ในกัมพูชา
    .
    นายเฉิน จื้อ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าดำเนินค่ายแรงงานบังคับในกัมพูชา โดยบังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกายและทรมาน ที่ถูกค้ามนุษย์ดำเนินการฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัล และสามารถกวาดเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์
    .
    สหรัฐ กล่าวว่า เฉิน จื้อ แห่ง Prince Holding Group และพวกพ้องของเขาถูกกล่าวหาว่าสร้างรายได้มากถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวันจากการหลอกลวงครั้งหนึ่ง และฉินเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต และบิดาของเขา อดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน และได้รับเกียรติด้วยบรรดาศักดิ์ “ออกญา” ซึ่งเทียบเท่ากับขุนนางอังกฤษ และไทยในอดีต
    .
    เฉิน จื้อ ชายวัย 37 ปี ซึ่งรู้จักกันในชื่อวินเซนต์ เป็นผู้ก่อตั้ง Prince Holding Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่ทางการระบุว่าทำหน้าที่เป็นฉากหน้าของ "หนึ่งในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย" ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ
    .
    กระทรวงยุติธรรมยังได้ยื่นฟ้องริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยยึด Bitcoin ได้ประมาณ 127,271 บิตคอยน์ คิดเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 4.9 แสนล้านบาท ในราคาปัจจุบัน
    .
    “การดำเนินการในวันนี้ถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่สุดในการปราบปรามการค้ามนุษย์และการฉ้อโกงทางการเงินผ่านไซเบอร์ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงระดับโลก” อัยการสูงสุด แพม บอนดี กล่าว
    .
    มีรายงานว่าเฉินได้สั่งการให้มีการบังคับใช้แรงงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วกัมพูชา โดยมีการกักขังแรงงานค้ามนุษย์หลายร้อยคนไว้ในสถานที่คล้ายเรือนจำที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและลวดหนาม
    .
    ปีที่แล้ว ชาวอเมริกันสูญเสียเงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับการหลอกลวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 66% จากปี 2023 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุ และเรียก Prince Holding Group ว่าเป็น “ผู้เล่นหลัก” ในอุตสาหกรรมนี้ ทางการจีนได้ดำเนินการสืบสวนบริษัทนี้ในข้อหาหลอกลวงทางไซเบอร์และการฟอกเงินมาตั้งแต่ต้นปี 2020 ตามบันทึกของศาลที่ตรวจสอบโดยสถาบันสันติภาพสหรัฐฯ
    .
    ภายใต้การคุกคามของความรุนแรง พวกเขาถูกบังคับให้ดำเนินการตามกลลวงที่เรียกว่า "การฆ่าหมู" ซึ่งเป็นแผนการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างความไว้วางใจกับเหยื่อในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะขโมยเงินของพวกเขาไป แผนการดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่เหยื่อทั่วโลก ทำให้เกิดการสูญเสียนับพันล้าน
    .
    ศูนย์หลอกลวงทั่วทั้งกัมพูชา เมียนมาร์ และภูมิภาคอื่นๆ ใช้โฆษณาหางานปลอมเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติ ซึ่งหลายคนเป็นชาวจีน ให้มาทำงานในสถานที่ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ โดยคนเหล่านี้ถูกบังคับให้ฉ้อโกงทางออนไลน์ภายใต้ภัยคุกคามของการทรมาน
    .
    เฉินเป็นผู้ดูแลสถานที่ดังกล่าว ติดตามผลกำไรและแผนการต่างๆ และยังมีภาพการทุบตีและการทรมานเหยื่ออีกด้วย เขาพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับการลงโทษผู้ที่ “ก่อปัญหา” แต่เน้นย้ำว่าคนงาน “ไม่ควรถูกตีจนตาย” ผู้หลอกลวงมักติดต่อเหยื่อผ่านแอปส่งข้อความหรือโซเชียลมีเดีย โดยสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงจากการลงทุน ตามที่ฟ้องระบุ
    .
    นับตั้งแต่ประมาณปี 2015 Prince Group ได้ดำเนินกิจการในกว่า 30 ประเทศภายใต้ข้ออ้างของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และผู้บริโภคที่ถูกกฎหมาย อัยการกล่าว
    .
    เฉินและผู้บริหารระดับสูงถูกกล่าวหาว่าใช้อิทธิพลทางการเมืองและติดสินบนเจ้าหน้าที่ในหลายประเทศเพื่อปกป้องการดำเนินงาน รายได้ส่วนหนึ่งถูกฟอกเงินผ่านการพนันและการขุดสกุลเงินดิจิทัลของ Prince Group เอง
    .
    เจ้าหน้าที่เผยว่าเงินที่ถูกขโมยไปนั้นจะถูกนำไปใช้ในการซื้อของหรูหราต่างๆ รวมถึงนาฬิกา เรือยอทช์ เครื่องบินส่วนตัว บ้านพักตากอากาศ และภาพวาดของปิกัสโซที่ซื้อจากบ้านประมูลแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก
    .
    เฉินอาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุด 40 ปี หากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงทางสายโทรศัพท์และสมคบคิดฟอกเงิน
    .
    ในการดำเนินการประสานงานกัน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อังกฤษได้อายัดทรัพย์สิน 19 แห่งในลอนดอน มูลค่ากว่า 100 ล้านปอนด์ ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายของเฉิน รวมถึงคฤหาสน์มูลค่า 12 ล้านปอนด์ในลอนดอนตอนเหนือ
    .
    มาตรการคว่ำบาตรยังมุ่งเป้าไปที่ Qiu Wei Ren ผู้ร่วมงานของ Chen ซึ่งเป็นคนสัญชาติจีนที่มีสัญชาติกัมพูชา ไซปรัส และฮ่องกงอีกด้วย
    .
    การสืบสวนของ AFP เมื่อวันอังคารพบว่าศูนย์หลอกลวงในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาร์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่เดือนหลังจากการปราบปรามในประเทศดังกล่าว
    .
    จีน ไทย และเมียนมาร์ บังคับให้กองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนรัฐบาลทหารของเมียนมาร์ซึ่งปกป้องศูนย์เหล่านี้สัญญาว่าจะปิดศูนย์เหล่านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยปล่อยตัวผู้คนไปประมาณ 7,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเมืองจีน
    .
    แต่ระบบคอลเซ็นเตอร์แบบโหดกำลังกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในเมียนมาร์ โดยขณะนี้ใช้ระบบดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk เพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
    ด่วน!! สหรัฐฯ สั่งยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (4.9 แสนล้านบาท) ของนายเฉิน จื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา ซึ่งมีฐานเปิดศูนย์หลอกลวงในกัมพูชา บังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกาย ทรมานและฉ้อโกงเงินดิจิทัล หนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงของฮุนเซน ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า เป็น "การริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ" . มีรานงานล่าสุดว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) สั่งยึด Bitcoin ของนายเฉินจื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา มูลค่าหลายพันล้านจากกลโกงคริปโต ครั้งใหญ่ในกัมพูชา . นายเฉิน จื้อ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าดำเนินค่ายแรงงานบังคับในกัมพูชา โดยบังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกายและทรมาน ที่ถูกค้ามนุษย์ดำเนินการฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัล และสามารถกวาดเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์ . สหรัฐ กล่าวว่า เฉิน จื้อ แห่ง Prince Holding Group และพวกพ้องของเขาถูกกล่าวหาว่าสร้างรายได้มากถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวันจากการหลอกลวงครั้งหนึ่ง และฉินเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต และบิดาของเขา อดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน และได้รับเกียรติด้วยบรรดาศักดิ์ “ออกญา” ซึ่งเทียบเท่ากับขุนนางอังกฤษ และไทยในอดีต . เฉิน จื้อ ชายวัย 37 ปี ซึ่งรู้จักกันในชื่อวินเซนต์ เป็นผู้ก่อตั้ง Prince Holding Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่ทางการระบุว่าทำหน้าที่เป็นฉากหน้าของ "หนึ่งในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย" ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ . กระทรวงยุติธรรมยังได้ยื่นฟ้องริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยยึด Bitcoin ได้ประมาณ 127,271 บิตคอยน์ คิดเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 4.9 แสนล้านบาท ในราคาปัจจุบัน . “การดำเนินการในวันนี้ถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่สุดในการปราบปรามการค้ามนุษย์และการฉ้อโกงทางการเงินผ่านไซเบอร์ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงระดับโลก” อัยการสูงสุด แพม บอนดี กล่าว . มีรายงานว่าเฉินได้สั่งการให้มีการบังคับใช้แรงงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วกัมพูชา โดยมีการกักขังแรงงานค้ามนุษย์หลายร้อยคนไว้ในสถานที่คล้ายเรือนจำที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและลวดหนาม . ปีที่แล้ว ชาวอเมริกันสูญเสียเงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับการหลอกลวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 66% จากปี 2023 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุ และเรียก Prince Holding Group ว่าเป็น “ผู้เล่นหลัก” ในอุตสาหกรรมนี้ ทางการจีนได้ดำเนินการสืบสวนบริษัทนี้ในข้อหาหลอกลวงทางไซเบอร์และการฟอกเงินมาตั้งแต่ต้นปี 2020 ตามบันทึกของศาลที่ตรวจสอบโดยสถาบันสันติภาพสหรัฐฯ . ภายใต้การคุกคามของความรุนแรง พวกเขาถูกบังคับให้ดำเนินการตามกลลวงที่เรียกว่า "การฆ่าหมู" ซึ่งเป็นแผนการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างความไว้วางใจกับเหยื่อในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะขโมยเงินของพวกเขาไป แผนการดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่เหยื่อทั่วโลก ทำให้เกิดการสูญเสียนับพันล้าน . ศูนย์หลอกลวงทั่วทั้งกัมพูชา เมียนมาร์ และภูมิภาคอื่นๆ ใช้โฆษณาหางานปลอมเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติ ซึ่งหลายคนเป็นชาวจีน ให้มาทำงานในสถานที่ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ โดยคนเหล่านี้ถูกบังคับให้ฉ้อโกงทางออนไลน์ภายใต้ภัยคุกคามของการทรมาน . เฉินเป็นผู้ดูแลสถานที่ดังกล่าว ติดตามผลกำไรและแผนการต่างๆ และยังมีภาพการทุบตีและการทรมานเหยื่ออีกด้วย เขาพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับการลงโทษผู้ที่ “ก่อปัญหา” แต่เน้นย้ำว่าคนงาน “ไม่ควรถูกตีจนตาย” ผู้หลอกลวงมักติดต่อเหยื่อผ่านแอปส่งข้อความหรือโซเชียลมีเดีย โดยสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงจากการลงทุน ตามที่ฟ้องระบุ . นับตั้งแต่ประมาณปี 2015 Prince Group ได้ดำเนินกิจการในกว่า 30 ประเทศภายใต้ข้ออ้างของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และผู้บริโภคที่ถูกกฎหมาย อัยการกล่าว . เฉินและผู้บริหารระดับสูงถูกกล่าวหาว่าใช้อิทธิพลทางการเมืองและติดสินบนเจ้าหน้าที่ในหลายประเทศเพื่อปกป้องการดำเนินงาน รายได้ส่วนหนึ่งถูกฟอกเงินผ่านการพนันและการขุดสกุลเงินดิจิทัลของ Prince Group เอง . เจ้าหน้าที่เผยว่าเงินที่ถูกขโมยไปนั้นจะถูกนำไปใช้ในการซื้อของหรูหราต่างๆ รวมถึงนาฬิกา เรือยอทช์ เครื่องบินส่วนตัว บ้านพักตากอากาศ และภาพวาดของปิกัสโซที่ซื้อจากบ้านประมูลแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก . เฉินอาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุด 40 ปี หากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงทางสายโทรศัพท์และสมคบคิดฟอกเงิน . ในการดำเนินการประสานงานกัน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อังกฤษได้อายัดทรัพย์สิน 19 แห่งในลอนดอน มูลค่ากว่า 100 ล้านปอนด์ ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายของเฉิน รวมถึงคฤหาสน์มูลค่า 12 ล้านปอนด์ในลอนดอนตอนเหนือ . มาตรการคว่ำบาตรยังมุ่งเป้าไปที่ Qiu Wei Ren ผู้ร่วมงานของ Chen ซึ่งเป็นคนสัญชาติจีนที่มีสัญชาติกัมพูชา ไซปรัส และฮ่องกงอีกด้วย . การสืบสวนของ AFP เมื่อวันอังคารพบว่าศูนย์หลอกลวงในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาร์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่เดือนหลังจากการปราบปรามในประเทศดังกล่าว . จีน ไทย และเมียนมาร์ บังคับให้กองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนรัฐบาลทหารของเมียนมาร์ซึ่งปกป้องศูนย์เหล่านี้สัญญาว่าจะปิดศูนย์เหล่านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยปล่อยตัวผู้คนไปประมาณ 7,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเมืองจีน . แต่ระบบคอลเซ็นเตอร์แบบโหดกำลังกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในเมียนมาร์ โดยขณะนี้ใช้ระบบดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk เพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 750 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Bitcoin ร่วง 5.5% เหลือ 114,505 ดอลลาร์ — สะท้อนความผันผวนในตลาดคริปโต”

    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก ได้ปรับตัวลดลงประมาณ 5.5% โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ 114,505 ดอลลาร์สหรัฐ ณ เวลา 20:58 GMT หรือ 16:58 ET ตามรายงานของ Reuters การลดลงครั้งนี้สะท้อนถึงความผันผวนที่ยังคงอยู่ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี แม้จะมีการฟื้นตัวในช่วงก่อนหน้านี้

    การเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin มักได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก และการปรับตัวของนักลงทุนต่อข่าวสารในวงการเทคโนโลยีและการเงิน

    นอกจากนี้ การลดลงของ Bitcoin ยังอาจส่งผลต่อราคาของคริปโตอื่นๆ เช่น Ethereum, Solana และ BNB ซึ่งมักเคลื่อนไหวตามทิศทางของ Bitcoin โดยรวม

    สถานการณ์ล่าสุดของ Bitcoin
    ราคาลดลง 5.5% เหลือ 114,505 ดอลลาร์สหรัฐ
    เวลารายงานคือ 20:58 GMT วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2025

    ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อราคา
    ความผันผวนของตลาดคริปโตโดยรวม
    การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลาง
    ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก

    ผลกระทบต่อคริปโตอื่นๆ
    Ethereum, Solana, BNB อาจได้รับผลกระทบตามทิศทางของ Bitcoin
    นักลงทุนอาจปรับพอร์ตหรือชะลอการลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Bitcoin มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ทำให้มีลักษณะ deflationary
    ตลาดคริปโตเปิดตลอด 24 ชั่วโมง และมีความผันผวนสูงกว่าตลาดหุ้นทั่วไป
    การลงทุนในคริปโตควรมีการศึกษาความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/11/bitcoin-down-55-at-114505
    🪙 หัวข้อข่าว: “Bitcoin ร่วง 5.5% เหลือ 114,505 ดอลลาร์ — สะท้อนความผันผวนในตลาดคริปโต” เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก ได้ปรับตัวลดลงประมาณ 5.5% โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ 114,505 ดอลลาร์สหรัฐ ณ เวลา 20:58 GMT หรือ 16:58 ET ตามรายงานของ Reuters การลดลงครั้งนี้สะท้อนถึงความผันผวนที่ยังคงอยู่ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี แม้จะมีการฟื้นตัวในช่วงก่อนหน้านี้ การเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin มักได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก และการปรับตัวของนักลงทุนต่อข่าวสารในวงการเทคโนโลยีและการเงิน นอกจากนี้ การลดลงของ Bitcoin ยังอาจส่งผลต่อราคาของคริปโตอื่นๆ เช่น Ethereum, Solana และ BNB ซึ่งมักเคลื่อนไหวตามทิศทางของ Bitcoin โดยรวม ✅ สถานการณ์ล่าสุดของ Bitcoin ➡️ ราคาลดลง 5.5% เหลือ 114,505 ดอลลาร์สหรัฐ ➡️ เวลารายงานคือ 20:58 GMT วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2025 ✅ ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อราคา ➡️ ความผันผวนของตลาดคริปโตโดยรวม ➡️ การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ➡️ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก ✅ ผลกระทบต่อคริปโตอื่นๆ ➡️ Ethereum, Solana, BNB อาจได้รับผลกระทบตามทิศทางของ Bitcoin ➡️ นักลงทุนอาจปรับพอร์ตหรือชะลอการลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Bitcoin มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ทำให้มีลักษณะ deflationary ➡️ ตลาดคริปโตเปิดตลอด 24 ชั่วโมง และมีความผันผวนสูงกว่าตลาดหุ้นทั่วไป ➡️ การลงทุนในคริปโตควรมีการศึกษาความเสี่ยงอย่างรอบคอบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/11/bitcoin-down-55-at-114505
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bitcoin down 5.5% at $114,505
    (Reuters) -Bitcoin, the world's largest cryptocurrency by market value, was down by around 5.5% at $114,505 at 1658 ET (2058 GMT) on Friday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว


  • ..โรงเรียนในไทยเรา เริ่มใช้กระจายจริง ทั่วประเทศไทยแล้ว,นี้คือภัยอีกลักษณะหนึ่งในการควบคุมคนไทยได้ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ถึงปลายน้ำ ได้ ทำให้เหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่มันผิดปกติชัดเจน,และพวกนี้จะทำลายระบบเก่าเองด้วยมือเดอะแก๊งพวกมันเอง เช่น พิมพ์แบงค์ปลอมมาป่วน ลงเครดิตความน่าเชื่อถือของตังกระดาษลง,ดูดตังในบัญชีเงินฝากของลูกค้าง่ายดาย ก็แบงค์พวกมันอีกล่ะปล่อยอิสระให้ดูด มันวางสนุ๊คเอง สมัยก่อนมีที่ไหน ระบบรักษาความปลอดภัยมันขั้นเทพเลยนะ,แต่เพื่อสนองนายมันอิลิทนายมันจึงเห็นตามนั้นล่ะ,เด็กๆนักเรียนไม่จำเป็นอะไรเลย.,ไม่ต่างจากสัตว์ติดบาร์โค้ตเข้าโรงงานฝึกมวลอาหารให้มันเลย.คิดดูสิ อดีตๆทำไมเราถึงปรับตัวกับธรรมชาติแล้วยังอยู่ได้,พวกนี้ทั้งหมดทำให้โลกเสียสมดุลไป.


    จีน: เด็ก ๆ ไม่สามารถเข้าหรือออกจากโรงเรียนนี้ได้หากไม่ยืนยัน ID ดิจิทัลที่บังคับผ่านกล้องจดจำใบหน้า

    รหัสดิจิทัลเชื่อมโยงกับสกุลเงินดิจิทัลของจีน ช่วยให้เด็กนักเรียนชำระค่าอาหารด้วยการสแกนใบหน้าได้

    นี่คือโลกฝันร้ายดิสโทเปียแบบที่เรากำลังเปิดประตูต้อนรับ ถ้าเรายอมให้รัฐบาลตะวันตกเปิดตัวรหัสดิจิทัลภายใต้หน้ากากของ "ความสะดวกสบาย" และ "ความปลอดภัย"

    ..โรงเรียนในไทยเรา เริ่มใช้กระจายจริง ทั่วประเทศไทยแล้ว,นี้คือภัยอีกลักษณะหนึ่งในการควบคุมคนไทยได้ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ถึงปลายน้ำ ได้ ทำให้เหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่มันผิดปกติชัดเจน,และพวกนี้จะทำลายระบบเก่าเองด้วยมือเดอะแก๊งพวกมันเอง เช่น พิมพ์แบงค์ปลอมมาป่วน ลงเครดิตความน่าเชื่อถือของตังกระดาษลง,ดูดตังในบัญชีเงินฝากของลูกค้าง่ายดาย ก็แบงค์พวกมันอีกล่ะปล่อยอิสระให้ดูด มันวางสนุ๊คเอง สมัยก่อนมีที่ไหน ระบบรักษาความปลอดภัยมันขั้นเทพเลยนะ,แต่เพื่อสนองนายมันอิลิทนายมันจึงเห็นตามนั้นล่ะ,เด็กๆนักเรียนไม่จำเป็นอะไรเลย.,ไม่ต่างจากสัตว์ติดบาร์โค้ตเข้าโรงงานฝึกมวลอาหารให้มันเลย.คิดดูสิ อดีตๆทำไมเราถึงปรับตัวกับธรรมชาติแล้วยังอยู่ได้,พวกนี้ทั้งหมดทำให้โลกเสียสมดุลไป. จีน: เด็ก ๆ ไม่สามารถเข้าหรือออกจากโรงเรียนนี้ได้หากไม่ยืนยัน ID ดิจิทัลที่บังคับผ่านกล้องจดจำใบหน้า รหัสดิจิทัลเชื่อมโยงกับสกุลเงินดิจิทัลของจีน ช่วยให้เด็กนักเรียนชำระค่าอาหารด้วยการสแกนใบหน้าได้ นี่คือโลกฝันร้ายดิสโทเปียแบบที่เรากำลังเปิดประตูต้อนรับ ถ้าเรายอมให้รัฐบาลตะวันตกเปิดตัวรหัสดิจิทัลภายใต้หน้ากากของ "ความสะดวกสบาย" และ "ความปลอดภัย"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • สังคมเงินสดได้กลับมาแล้ว เพราะเหตุนี้... (16/9/68)

    #สังคมเงินสด
    #หมดศรัทธาเงินดิจิทัล
    #เศรษฐกิจไทย
    #กระเป๋าเงินสด
    #เงินเฟ้อ
    #ข่าววันนี้
    #News1short
    #ThaiTimes
    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #scambodia
    #news1
    #shorts
    สังคมเงินสดได้กลับมาแล้ว เพราะเหตุนี้... (16/9/68) #สังคมเงินสด #หมดศรัทธาเงินดิจิทัล #เศรษฐกิจไทย #กระเป๋าเงินสด #เงินเฟ้อ #ข่าววันนี้ #News1short #ThaiTimes #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #scambodia #news1 #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “แฮกเกอร์เจาะระบบเครื่องซักผ้าอัจฉริยะในแคมปัสอัมสเตอร์ดัม — ฟรีซักผ้าแค่ชั่วคราว ก่อนระบบพังยับและนักศึกษาต้องเดินไกล”

    กลางเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ Spinozacampus ในอัมสเตอร์ดัม เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อแฮกเกอร์นิรนามสามารถเจาะระบบเครื่องซักผ้าอัจฉริยะที่ใช้ระบบชำระเงินดิจิทัล ทำให้เครื่องซักผ้าทั้งหมดเปิดให้ใช้งานฟรีโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ส่งผลให้นักศึกษากว่า 1,250 คนได้ซักผ้าโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย — แต่ความสะดวกนี้อยู่ได้ไม่นาน

    บริษัท Duwo ซึ่งเป็นผู้ดูแลระบบเครื่องซักผ้าในแคมปัสตัดสินใจปิดการใช้งานเครื่องทั้งหมดในที่สุด โดยให้เหตุผลว่า “รายได้จากการซักผ้าเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาบริการให้มีราคาที่เข้าถึงได้” แม้จะดูเหมือนค่าใช้จ่ายเล็กน้อย แต่เมื่อรวมจำนวนผู้ใช้งานทั้งหมดแล้วก็กลายเป็นภาระที่หนักสำหรับผู้ให้บริการ

    แม้จะมีเครื่องซักผ้าแบบอนาล็อก 10 เครื่องอยู่ใกล้ ๆ แต่หลายเครื่องมักเสียหรือใช้งานไม่ได้ โดยมีนักศึกษารายหนึ่งระบุว่า “มีเครื่องที่ใช้ได้จริงแค่เครื่องเดียวสำหรับนักศึกษาทั้งหมด” จนเกิดความกังวลเรื่องการระบาดของเหาเนื่องจากไม่สามารถซักผ้าได้อย่างสม่ำเสมอ

    Duwo จึงเริ่มทยอยเปลี่ยนกลับไปใช้เครื่องแบบอนาล็อก โดยคาดว่าจะได้รับเครื่องใหม่อีก 5 เครื่องในเร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกัน อาคารพักอาศัยอื่น ๆ ก็เริ่มหันหลังให้กับเครื่องซักผ้า IoT เช่นกัน

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ Sijmen Ruwhof ให้ความเห็นว่า การหาตัวแฮกเกอร์นั้นใช้ทรัพยากรสูงและอาจไม่คุ้มค่าในการดำเนินคดี แม้จะมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 6 ปีหากพบว่าเจตนาเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นนักศึกษาที่มีความสามารถด้านโปรแกรมมิ่งที่ “อดใจไม่ไหว” เมื่อเห็นเครื่องซักผ้าอัจฉริยะอยู่ตรงหน้า

    เหตุการณ์การแฮกระบบเครื่องซักผ้า
    เกิดขึ้นที่ Spinozacampus ในอัมสเตอร์ดัมช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2025
    แฮกเกอร์เจาะระบบชำระเงินดิจิทัล ทำให้เครื่องซักผ้าใช้งานฟรี
    Duwo ปิดระบบเครื่องซักผ้าอัจฉริยะทั้งหมดเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย
    นักศึกษากว่า 1,250 คนได้รับผลกระทบจากการปิดระบบ

    ทางเลือกและการแก้ไข
    มีเครื่องซักผ้าอนาล็อก 10 เครื่องใกล้แคมปัส แต่มักเสียหรือใช้งานไม่ได้
    Duwo เตรียมติดตั้งเครื่องอนาล็อกเพิ่มอีก 5 เครื่องในเร็ว ๆ นี้
    อาคารพักอาศัยอื่น ๆ เริ่มเปลี่ยนกลับไปใช้เครื่องแบบไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    นักศึกษาบางส่วนเดินไปใช้งานเครื่องซักผ้าในอาคารใกล้เคียงที่มีเครื่องมากกว่า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เครื่องซักผ้า IoT เป็นเป้าหมายใหม่ของการโจมตีไซเบอร์ในยุคที่ทุกอุปกรณ์เชื่อมต่อเน็ต
    การแฮกอุปกรณ์ IoT สามารถนำไปใช้โจมตีเว็บไซต์หรือระบบอื่นผ่าน botnet ได้
    การแฮกแบบ “zero-touch” ไม่ต้องเข้าถึงเครื่องโดยตรง — ใช้แค่โปรแกรมจากแล็ปท็อป
    การโจมตีอุปกรณ์อัจฉริยะในชีวิตประจำวันเริ่มมีผลกระทบจริงมากขึ้นในหลายประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/hacker-breaks-into-on-campus-smart-washing-machines-management-eventually-disables-devices-leaving-thousands-of-students-with-no-reliable-laundry-service
    🧺 “แฮกเกอร์เจาะระบบเครื่องซักผ้าอัจฉริยะในแคมปัสอัมสเตอร์ดัม — ฟรีซักผ้าแค่ชั่วคราว ก่อนระบบพังยับและนักศึกษาต้องเดินไกล” กลางเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ Spinozacampus ในอัมสเตอร์ดัม เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อแฮกเกอร์นิรนามสามารถเจาะระบบเครื่องซักผ้าอัจฉริยะที่ใช้ระบบชำระเงินดิจิทัล ทำให้เครื่องซักผ้าทั้งหมดเปิดให้ใช้งานฟรีโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ส่งผลให้นักศึกษากว่า 1,250 คนได้ซักผ้าโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย — แต่ความสะดวกนี้อยู่ได้ไม่นาน บริษัท Duwo ซึ่งเป็นผู้ดูแลระบบเครื่องซักผ้าในแคมปัสตัดสินใจปิดการใช้งานเครื่องทั้งหมดในที่สุด โดยให้เหตุผลว่า “รายได้จากการซักผ้าเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาบริการให้มีราคาที่เข้าถึงได้” แม้จะดูเหมือนค่าใช้จ่ายเล็กน้อย แต่เมื่อรวมจำนวนผู้ใช้งานทั้งหมดแล้วก็กลายเป็นภาระที่หนักสำหรับผู้ให้บริการ แม้จะมีเครื่องซักผ้าแบบอนาล็อก 10 เครื่องอยู่ใกล้ ๆ แต่หลายเครื่องมักเสียหรือใช้งานไม่ได้ โดยมีนักศึกษารายหนึ่งระบุว่า “มีเครื่องที่ใช้ได้จริงแค่เครื่องเดียวสำหรับนักศึกษาทั้งหมด” จนเกิดความกังวลเรื่องการระบาดของเหาเนื่องจากไม่สามารถซักผ้าได้อย่างสม่ำเสมอ Duwo จึงเริ่มทยอยเปลี่ยนกลับไปใช้เครื่องแบบอนาล็อก โดยคาดว่าจะได้รับเครื่องใหม่อีก 5 เครื่องในเร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกัน อาคารพักอาศัยอื่น ๆ ก็เริ่มหันหลังให้กับเครื่องซักผ้า IoT เช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ Sijmen Ruwhof ให้ความเห็นว่า การหาตัวแฮกเกอร์นั้นใช้ทรัพยากรสูงและอาจไม่คุ้มค่าในการดำเนินคดี แม้จะมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 6 ปีหากพบว่าเจตนาเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นนักศึกษาที่มีความสามารถด้านโปรแกรมมิ่งที่ “อดใจไม่ไหว” เมื่อเห็นเครื่องซักผ้าอัจฉริยะอยู่ตรงหน้า ✅ เหตุการณ์การแฮกระบบเครื่องซักผ้า ➡️ เกิดขึ้นที่ Spinozacampus ในอัมสเตอร์ดัมช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ แฮกเกอร์เจาะระบบชำระเงินดิจิทัล ทำให้เครื่องซักผ้าใช้งานฟรี ➡️ Duwo ปิดระบบเครื่องซักผ้าอัจฉริยะทั้งหมดเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย ➡️ นักศึกษากว่า 1,250 คนได้รับผลกระทบจากการปิดระบบ ✅ ทางเลือกและการแก้ไข ➡️ มีเครื่องซักผ้าอนาล็อก 10 เครื่องใกล้แคมปัส แต่มักเสียหรือใช้งานไม่ได้ ➡️ Duwo เตรียมติดตั้งเครื่องอนาล็อกเพิ่มอีก 5 เครื่องในเร็ว ๆ นี้ ➡️ อาคารพักอาศัยอื่น ๆ เริ่มเปลี่ยนกลับไปใช้เครื่องแบบไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ➡️ นักศึกษาบางส่วนเดินไปใช้งานเครื่องซักผ้าในอาคารใกล้เคียงที่มีเครื่องมากกว่า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เครื่องซักผ้า IoT เป็นเป้าหมายใหม่ของการโจมตีไซเบอร์ในยุคที่ทุกอุปกรณ์เชื่อมต่อเน็ต ➡️ การแฮกอุปกรณ์ IoT สามารถนำไปใช้โจมตีเว็บไซต์หรือระบบอื่นผ่าน botnet ได้ ➡️ การแฮกแบบ “zero-touch” ไม่ต้องเข้าถึงเครื่องโดยตรง — ใช้แค่โปรแกรมจากแล็ปท็อป ➡️ การโจมตีอุปกรณ์อัจฉริยะในชีวิตประจำวันเริ่มมีผลกระทบจริงมากขึ้นในหลายประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/hacker-breaks-into-on-campus-smart-washing-machines-management-eventually-disables-devices-leaving-thousands-of-students-with-no-reliable-laundry-service
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากการแลกเปลี่ยนในเงา: เมื่อคริปโตกลายเป็นสกุลเงินหลักในประเทศที่ถูกตัดขาดจากระบบการเงินโลก

    ในปี 2025 เวเนซุเอลายังคงเผชิญกับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการจำกัดการส่งออกน้ำมัน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐขาดแคลนอย่างหนัก และธุรกิจเอกชนไม่สามารถซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศได้ตามปกติ

    รัฐบาลเวเนซุเอลาจึงเริ่ม “เปิดช่องทางใหม่” โดยอนุญาตให้ใช้คริปโตเคอร์เรนซีที่ผูกกับดอลลาร์ เช่น USDT (Tether) ในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างเอกชน โดยมีธนาคารบางแห่งที่ได้รับอนุญาตให้ขาย USDT แลกกับโบลิวาร์ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐ

    บริษัทน้ำมันแห่งชาติ PDVSA ก็เริ่มเปลี่ยนการรับชำระเงินจากลูกค้าต่างประเทศมาเป็น USDT ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านการชำระเงินผ่านระบบธนาคาร ซึ่งถูกควบคุมโดยสหรัฐฯ

    แม้จะไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากธนาคารกลางหรือกระทรวงการคลัง แต่รองประธานาธิบดี Delcy Rodriguez ได้กล่าวในที่ประชุมกับภาคธุรกิจว่า “เรากำลังใช้กลไกที่ไม่เป็นทางการในการบริหารตลาดแลกเปลี่ยน” ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของการใช้คริปโตในภาคเอกชน

    ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ในประเทศระบุว่า มีการขายคริปโตให้กับภาคเอกชนมากถึง 119 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของคริปโตในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

    การเปลี่ยนผ่านจากดอลลาร์สู่คริปโต
    รัฐบาลเวเนซุเอลาอนุญาตให้ใช้ USDT ในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างเอกชน
    ธนาคารบางแห่งสามารถขาย USDT แลกกับโบลิวาร์ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ได้รับอนุมัติ
    เป็นการตอบสนองต่อการขาดแคลนดอลลาร์จากการคว่ำบาตรด้านน้ำมัน

    บทบาทของ PDVSA และภาคธุรกิจ
    บริษัทน้ำมันแห่งชาติ PDVSA เริ่มรับชำระเงินเป็น USDT ตั้งแต่ปีที่แล้ว
    ธุรกิจเอกชนใช้ USDT เพื่อซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ
    การใช้คริปโตช่วยให้เศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อได้แม้ถูกตัดขาดจากระบบธนาคาร

    การยอมรับเชิงนโยบายโดยรัฐบาล
    รองประธานาธิบดีกล่าวถึง “กลไกที่ไม่เป็นทางการ” ในการบริหารตลาดแลกเปลี่ยน
    ไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากธนาคารกลางหรือกระทรวงการคลัง
    การใช้คริปโตยังจำกัดเฉพาะธุรกิจที่ได้รับอนุญาตและมี wallet ที่ผ่านการตรวจสอบ

    ข้อมูลจากภาควิเคราะห์
    มีการขายคริปโตให้กับภาคเอกชนมากถึง 119 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม
    แสดงถึงการขยายตัวของคริปโตในระบบเศรษฐกิจของเวเนซุเอลา
    เป็นการปรับตัวเชิงโครงสร้างเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดจากต่างประเทศ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/03/with-dollars-scarce-venezuela-currency-exchanges-turn-to-crypto
    🎙️ เรื่องเล่าจากการแลกเปลี่ยนในเงา: เมื่อคริปโตกลายเป็นสกุลเงินหลักในประเทศที่ถูกตัดขาดจากระบบการเงินโลก ในปี 2025 เวเนซุเอลายังคงเผชิญกับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการจำกัดการส่งออกน้ำมัน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐขาดแคลนอย่างหนัก และธุรกิจเอกชนไม่สามารถซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศได้ตามปกติ รัฐบาลเวเนซุเอลาจึงเริ่ม “เปิดช่องทางใหม่” โดยอนุญาตให้ใช้คริปโตเคอร์เรนซีที่ผูกกับดอลลาร์ เช่น USDT (Tether) ในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างเอกชน โดยมีธนาคารบางแห่งที่ได้รับอนุญาตให้ขาย USDT แลกกับโบลิวาร์ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐ บริษัทน้ำมันแห่งชาติ PDVSA ก็เริ่มเปลี่ยนการรับชำระเงินจากลูกค้าต่างประเทศมาเป็น USDT ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านการชำระเงินผ่านระบบธนาคาร ซึ่งถูกควบคุมโดยสหรัฐฯ แม้จะไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากธนาคารกลางหรือกระทรวงการคลัง แต่รองประธานาธิบดี Delcy Rodriguez ได้กล่าวในที่ประชุมกับภาคธุรกิจว่า “เรากำลังใช้กลไกที่ไม่เป็นทางการในการบริหารตลาดแลกเปลี่ยน” ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของการใช้คริปโตในภาคเอกชน ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ในประเทศระบุว่า มีการขายคริปโตให้กับภาคเอกชนมากถึง 119 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของคริปโตในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ✅ การเปลี่ยนผ่านจากดอลลาร์สู่คริปโต ➡️ รัฐบาลเวเนซุเอลาอนุญาตให้ใช้ USDT ในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างเอกชน ➡️ ธนาคารบางแห่งสามารถขาย USDT แลกกับโบลิวาร์ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ได้รับอนุมัติ ➡️ เป็นการตอบสนองต่อการขาดแคลนดอลลาร์จากการคว่ำบาตรด้านน้ำมัน ✅ บทบาทของ PDVSA และภาคธุรกิจ ➡️ บริษัทน้ำมันแห่งชาติ PDVSA เริ่มรับชำระเงินเป็น USDT ตั้งแต่ปีที่แล้ว ➡️ ธุรกิจเอกชนใช้ USDT เพื่อซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ ➡️ การใช้คริปโตช่วยให้เศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อได้แม้ถูกตัดขาดจากระบบธนาคาร ✅ การยอมรับเชิงนโยบายโดยรัฐบาล ➡️ รองประธานาธิบดีกล่าวถึง “กลไกที่ไม่เป็นทางการ” ในการบริหารตลาดแลกเปลี่ยน ➡️ ไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากธนาคารกลางหรือกระทรวงการคลัง ➡️ การใช้คริปโตยังจำกัดเฉพาะธุรกิจที่ได้รับอนุญาตและมี wallet ที่ผ่านการตรวจสอบ ✅ ข้อมูลจากภาควิเคราะห์ ➡️ มีการขายคริปโตให้กับภาคเอกชนมากถึง 119 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม ➡️ แสดงถึงการขยายตัวของคริปโตในระบบเศรษฐกิจของเวเนซุเอลา ➡️ เป็นการปรับตัวเชิงโครงสร้างเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดจากต่างประเทศ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/03/with-dollars-scarce-venezuela-currency-exchanges-turn-to-crypto
    WWW.THESTAR.COM.MY
    With dollars scarce, Venezuela currency exchanges turn to crypto
    (Reuters) -Venezuela's government is slowly allowing the use of dollar-tied cryptocurrencies in currency exchanges for the private sector, a dozen sources said, as U.S. restrictions on oil exports reduce available foreign currency.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก USDT: เมื่อเงินเดือนไม่ต้องผ่านธนาคาร และไม่ต้องกลัวค่าเงินตก

    ในหลายประเทศที่เงินเฟ้อพุ่งสูง ธนาคารล่าช้า หรือระบบการโอนเงินข้ามประเทศเต็มไปด้วยค่าธรรมเนียม—คนทำงานเริ่มหันมาใช้ USDT (Tether) ซึ่งเป็น stablecoin ที่ผูกกับมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 เพื่อรับเงินเดือนโดยตรงผ่าน blockchain

    USDT ไม่ใช่เหรียญเก็งกำไรแบบ Bitcoin แต่เป็น “เงินดิจิทัลที่นิ่ง” ซึ่งช่วยให้ผู้รับเงินไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเงินท้องถิ่นที่อ่อนตัว หรือการรอเงินโอนข้ามประเทศหลายวัน โดยเฉพาะในประเทศอย่างอาร์เจนตินา ตุรกี และไนจีเรีย ที่ผู้คนยอมจ่ายพรีเมียม 20–30% เพื่อถือ stablecoin แทนเงินสด

    สำหรับบริษัทที่มีทีมงานกระจายทั่วโลก USDT ช่วยลดภาระด้าน conversion, ค่าธรรมเนียม, และเวลาการโอนเงิน โดยสามารถส่งเงินผ่านเครือข่าย TRC-20 (Tron) ได้ในไม่กี่วินาที ด้วยค่าธรรมเนียมเพียงไม่กี่เซ็นต์

    แต่การใช้ USDT ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป—ต้องมี wallet ที่ปลอดภัย, เข้าใจภาษีในแต่ละประเทศ, และมีแผนการแปลงกลับเป็นเงินสดเมื่อจำเป็น เพราะในหลายประเทศยังไม่มีข้อกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจ่ายเงินเดือนด้วย stablecoin

    ข้อดีของการรับเงินเดือนเป็น USDT
    มูลค่าเสถียร ผูกกับดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1
    โอนเงินข้ามประเทศได้เร็วและถูกกว่าธนาคาร
    ไม่ต้องพึ่งระบบธนาคารในประเทศที่ล่าช้า หรือมีข้อจำกัด

    การใช้งานจริงในประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจ
    อาร์เจนตินาและตุรกีใช้ USDT เพื่อหลีกเลี่ยงเงินเฟ้อ
    ไนจีเรียใช้ stablecoin สำหรับการโอนเงินและจ่ายเงินเดือน
    ผู้ใช้ยอมจ่ายพรีเมียมเพื่อถือ “ดอลลาร์ดิจิทัล” แทนเงินสด

    เครือข่ายที่นิยมใช้สำหรับการโอน USDT
    TRC-20 (Tron): เร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ
    ERC-20 (Ethereum): ปลอดภัยแต่ค่าธรรมเนียมสูง
    BEP-20 (BNB), Solana, Polygon: ทางเลือกที่สมดุลระหว่างความเร็วและต้นทุน

    การใช้งานในฝั่งบริษัท
    ลดต้นทุนการโอนเงินข้ามประเทศ
    จ่ายเงินให้ทีมงานระยะไกลได้ง่ายขึ้น
    ใช้ USDT เป็นโบนัสหรือส่วนเสริมจากเงินเดือนหลักเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย

    https://hackread.com/why-users-businesses-choosing-usdt-local-currency/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก USDT: เมื่อเงินเดือนไม่ต้องผ่านธนาคาร และไม่ต้องกลัวค่าเงินตก ในหลายประเทศที่เงินเฟ้อพุ่งสูง ธนาคารล่าช้า หรือระบบการโอนเงินข้ามประเทศเต็มไปด้วยค่าธรรมเนียม—คนทำงานเริ่มหันมาใช้ USDT (Tether) ซึ่งเป็น stablecoin ที่ผูกกับมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 เพื่อรับเงินเดือนโดยตรงผ่าน blockchain USDT ไม่ใช่เหรียญเก็งกำไรแบบ Bitcoin แต่เป็น “เงินดิจิทัลที่นิ่ง” ซึ่งช่วยให้ผู้รับเงินไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเงินท้องถิ่นที่อ่อนตัว หรือการรอเงินโอนข้ามประเทศหลายวัน โดยเฉพาะในประเทศอย่างอาร์เจนตินา ตุรกี และไนจีเรีย ที่ผู้คนยอมจ่ายพรีเมียม 20–30% เพื่อถือ stablecoin แทนเงินสด สำหรับบริษัทที่มีทีมงานกระจายทั่วโลก USDT ช่วยลดภาระด้าน conversion, ค่าธรรมเนียม, และเวลาการโอนเงิน โดยสามารถส่งเงินผ่านเครือข่าย TRC-20 (Tron) ได้ในไม่กี่วินาที ด้วยค่าธรรมเนียมเพียงไม่กี่เซ็นต์ แต่การใช้ USDT ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป—ต้องมี wallet ที่ปลอดภัย, เข้าใจภาษีในแต่ละประเทศ, และมีแผนการแปลงกลับเป็นเงินสดเมื่อจำเป็น เพราะในหลายประเทศยังไม่มีข้อกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจ่ายเงินเดือนด้วย stablecoin ✅ ข้อดีของการรับเงินเดือนเป็น USDT ➡️ มูลค่าเสถียร ผูกกับดอลลาร์สหรัฐแบบ 1:1 ➡️ โอนเงินข้ามประเทศได้เร็วและถูกกว่าธนาคาร ➡️ ไม่ต้องพึ่งระบบธนาคารในประเทศที่ล่าช้า หรือมีข้อจำกัด ✅ การใช้งานจริงในประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจ ➡️ อาร์เจนตินาและตุรกีใช้ USDT เพื่อหลีกเลี่ยงเงินเฟ้อ ➡️ ไนจีเรียใช้ stablecoin สำหรับการโอนเงินและจ่ายเงินเดือน ➡️ ผู้ใช้ยอมจ่ายพรีเมียมเพื่อถือ “ดอลลาร์ดิจิทัล” แทนเงินสด ✅ เครือข่ายที่นิยมใช้สำหรับการโอน USDT ➡️ TRC-20 (Tron): เร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ ➡️ ERC-20 (Ethereum): ปลอดภัยแต่ค่าธรรมเนียมสูง ➡️ BEP-20 (BNB), Solana, Polygon: ทางเลือกที่สมดุลระหว่างความเร็วและต้นทุน ✅ การใช้งานในฝั่งบริษัท ➡️ ลดต้นทุนการโอนเงินข้ามประเทศ ➡️ จ่ายเงินให้ทีมงานระยะไกลได้ง่ายขึ้น ➡️ ใช้ USDT เป็นโบนัสหรือส่วนเสริมจากเงินเดือนหลักเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย https://hackread.com/why-users-businesses-choosing-usdt-local-currency/
    HACKREAD.COM
    Why Users and Businesses Are Choosing to Get Paid in USDT Instead of Local Currency
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย นโยบายคุณหลอกดาวซ้ำสอง

    ท่ามกลางความไม่แน่นอนของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่กำลังจะตายแหล่ ไม่ตายแหล่ จากคดีคลิปเสียงอังเคิลในศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ชะตาในวันที่ 29 ส.ค.นี้ แม้รัฐบาลถูลู่ถูกังเปิดให้ลงทะเบียนผูกบัตร EMV (บัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตรพรีเพด) และบัตรแรบบิท (Rabbit) เพื่อรับสิทธิ์รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" โดยมีประชาชนให้ความสนใจลงทะเบียนมากกว่า 2 แสนคนในระยะเวลา 2 วัน แต่แล้วคนกรุงฯ ต้องฝันสลาย เมื่อนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ยอมรับแล้วว่าดำเนินโครงการไม่ทันวันที่ 1 ต.ค.นี้ ต้องจ่ายราคาเดิมไปก่อน

    สาเหตุหลักมาจากกฎหมาย 2 ฉบับที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ให้ดึงเงินสะสมและรายได้ชดเชย มาใช้กับโครงการนี้ และร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ที่แก้ไขโดยเปิดช่องให้กู้เงินจากกระทรวงการคลังได้ เพราะรายได้จาก รฟม. ต้องส่งเข้ากระทรวงการคลัง จะเปลี่ยนไปเข้ากองทุนตั๋วร่วมฯ ทำไม่ได้เพราะเป็นรัฐวิสาหกิจ ปรากฎว่าสภาผู้แทนราษฎร เจอปัญหาองค์ประชุมเพราะเสียงในสภาปริ่มน้ำบ่อยครั้ง แถมเมื่อรัฐบาลสอบถามกฤษฎีกาว่าจะเอางบกลางมาใช้หรือไม่ กฤษฎีกาก็ตอบว่าทำไม่ได้ เพราะไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน

    สิ่งเดียวที่ทำได้ของรัฐบาล คือถูฝ่ามือรอให้กฎหมายทั้งสองฉบับผ่านที่ประชุมสภาฯ ก่อน โดยใช้โฆษกพรรค สมาชิกพรรค และสื่อบางส่วนคอยตะล่อม โดยอ้างว่าทำเพื่อประชาชน หากผ่านด่านแรกไปได้ ส่งต่อด่านสองให้วุฒิสภา ซึ่งรู้กันอยู่ว่าเป็นขั้วการเมืองตรงข้ามพรรคเพื่อไทยคุมเสียงในสภาสูง แม้จะผ่านกฎหมายแล้ว ยังต้องออกกฎหมายลูกที่ต้องรับฟังความคิดเห็นอีก 15 วัน นายสุริยะจะเสนอคณะรัฐมนตรี ไม่ต้องจัดรับฟังความคิดเห็นเพื่อให้เร็วขึ้น อ้างว่านโยบายเป็นบวกกับประชาชน ตั้งเป้าว่าจะดำเนินโครงการได้ในช่วงกลางเดือน พ.ย.2568 ถึงกระนั้น จากคดีคลิปเสียงก็ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะยังอยู่หรือไม่

    หากรัฐบาลแพทองธารต้องยุติลงและเปลี่ยนขั้วอำนาจรัฐบาล นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งเคลมว่าเป็นนโยบายพรรคเพื่อไทย สังคมจะเกิดความรู้สึกรอเก้อเหมือนถูกหลอก ไม่ต่างจากนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่มีผู้ลงทะเบียนผ่านแอปฯ ทางรัฐมากถึง 36 ล้านคน แต่สุดท้ายได้แต่โอนเงินพร้อมเพย์แก่กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มเปราะบาง ก่อนพับโครงการ โดยอ้างว่าต้องนำเงินไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรับมือมาตรการภาษีขาเข้า (Tariff) จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา

    #Newskit
    รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย นโยบายคุณหลอกดาวซ้ำสอง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่กำลังจะตายแหล่ ไม่ตายแหล่ จากคดีคลิปเสียงอังเคิลในศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ชะตาในวันที่ 29 ส.ค.นี้ แม้รัฐบาลถูลู่ถูกังเปิดให้ลงทะเบียนผูกบัตร EMV (บัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตรพรีเพด) และบัตรแรบบิท (Rabbit) เพื่อรับสิทธิ์รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" โดยมีประชาชนให้ความสนใจลงทะเบียนมากกว่า 2 แสนคนในระยะเวลา 2 วัน แต่แล้วคนกรุงฯ ต้องฝันสลาย เมื่อนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ยอมรับแล้วว่าดำเนินโครงการไม่ทันวันที่ 1 ต.ค.นี้ ต้องจ่ายราคาเดิมไปก่อน สาเหตุหลักมาจากกฎหมาย 2 ฉบับที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ให้ดึงเงินสะสมและรายได้ชดเชย มาใช้กับโครงการนี้ และร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ที่แก้ไขโดยเปิดช่องให้กู้เงินจากกระทรวงการคลังได้ เพราะรายได้จาก รฟม. ต้องส่งเข้ากระทรวงการคลัง จะเปลี่ยนไปเข้ากองทุนตั๋วร่วมฯ ทำไม่ได้เพราะเป็นรัฐวิสาหกิจ ปรากฎว่าสภาผู้แทนราษฎร เจอปัญหาองค์ประชุมเพราะเสียงในสภาปริ่มน้ำบ่อยครั้ง แถมเมื่อรัฐบาลสอบถามกฤษฎีกาว่าจะเอางบกลางมาใช้หรือไม่ กฤษฎีกาก็ตอบว่าทำไม่ได้ เพราะไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน สิ่งเดียวที่ทำได้ของรัฐบาล คือถูฝ่ามือรอให้กฎหมายทั้งสองฉบับผ่านที่ประชุมสภาฯ ก่อน โดยใช้โฆษกพรรค สมาชิกพรรค และสื่อบางส่วนคอยตะล่อม โดยอ้างว่าทำเพื่อประชาชน หากผ่านด่านแรกไปได้ ส่งต่อด่านสองให้วุฒิสภา ซึ่งรู้กันอยู่ว่าเป็นขั้วการเมืองตรงข้ามพรรคเพื่อไทยคุมเสียงในสภาสูง แม้จะผ่านกฎหมายแล้ว ยังต้องออกกฎหมายลูกที่ต้องรับฟังความคิดเห็นอีก 15 วัน นายสุริยะจะเสนอคณะรัฐมนตรี ไม่ต้องจัดรับฟังความคิดเห็นเพื่อให้เร็วขึ้น อ้างว่านโยบายเป็นบวกกับประชาชน ตั้งเป้าว่าจะดำเนินโครงการได้ในช่วงกลางเดือน พ.ย.2568 ถึงกระนั้น จากคดีคลิปเสียงก็ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะยังอยู่หรือไม่ หากรัฐบาลแพทองธารต้องยุติลงและเปลี่ยนขั้วอำนาจรัฐบาล นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งเคลมว่าเป็นนโยบายพรรคเพื่อไทย สังคมจะเกิดความรู้สึกรอเก้อเหมือนถูกหลอก ไม่ต่างจากนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่มีผู้ลงทะเบียนผ่านแอปฯ ทางรัฐมากถึง 36 ล้านคน แต่สุดท้ายได้แต่โอนเงินพร้อมเพย์แก่กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มเปราะบาง ก่อนพับโครงการ โดยอ้างว่าต้องนำเงินไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรับมือมาตรการภาษีขาเข้า (Tariff) จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 698 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชื่อ! ต่างชาติเมิน ‘TouristDigiPay’ ไม่แลก ‘เงินดิจิทัล’ เป็น ‘บาท’ แน่นอน แนะทำ ‘Blockchain Analytics’ ป้องกันฟอกเงิน
    https://www.thai-tai.tv/news/21058/
    .
    #TouristDigiPay #สินทรัพย์ดิจิทัล #คริปโต #ข่าวเศรษฐกิจ #ธนาคารแห่งประเทศไทย #นักวิชาการ #ไทยไทด้วย

    เชื่อ! ต่างชาติเมิน ‘TouristDigiPay’ ไม่แลก ‘เงินดิจิทัล’ เป็น ‘บาท’ แน่นอน แนะทำ ‘Blockchain Analytics’ ป้องกันฟอกเงิน https://www.thai-tai.tv/news/21058/ . #TouristDigiPay #สินทรัพย์ดิจิทัล #คริปโต #ข่าวเศรษฐกิจ #ธนาคารแห่งประเทศไทย #นักวิชาการ #ไทยไทด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฏิบัติการเชือดเครือข่ายฟอกเงินข้ามชาติ ตำรวจสอบสวนกลางบุกจับ 3 ผู้ต้องหาชาวเมียนมา พัวพันขบวนการหลอกลงทุนเทรดหุ้นผ่านเพจและแอปปลอม ลากเส้นทางเงินดิจิทัลโยง Huione Pay กัมพูชา ก่อนเปลี่ยนเป็นเงินสดขนข้ามแม่สอดสู่เมียวดี รวมมูลค่ากว่า 46 ล้านบาท จุดไฟร้อนในสงครามอาชญากรรมไซเบอร์ภูมิภาค

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000075439

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ปฏิบัติการเชือดเครือข่ายฟอกเงินข้ามชาติ ตำรวจสอบสวนกลางบุกจับ 3 ผู้ต้องหาชาวเมียนมา พัวพันขบวนการหลอกลงทุนเทรดหุ้นผ่านเพจและแอปปลอม ลากเส้นทางเงินดิจิทัลโยง Huione Pay กัมพูชา ก่อนเปลี่ยนเป็นเงินสดขนข้ามแม่สอดสู่เมียวดี รวมมูลค่ากว่า 46 ล้านบาท จุดไฟร้อนในสงครามอาชญากรรมไซเบอร์ภูมิภาค อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000075439 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 878 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: JSCEAL มัลแวร์ที่ซ่อนตัวในโฆษณาแอปคริปโตปลอม—ขโมยทุกอย่างตั้งแต่รหัสผ่านถึงกระเป๋าเงินดิจิทัล

    ตั้งแต่ต้นปี 2024 แฮกเกอร์เริ่มใช้แคมเปญมัลแวร์ชื่อ JSCEAL โดยปล่อยโฆษณาปลอมกว่า 35,000 รายการบนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปเทรดคริปโตปลอมที่ดูเหมือนของจริง เช่น Binance, MetaMask, Kraken และ TradingView

    เมื่อผู้ใช้คลิกโฆษณา จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ และถูกหลอกให้ดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งที่มีใบรับรองดิจิทัลจริงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่เบื้องหลังคือมัลแวร์ JSCEAL ที่ใช้เทคนิค “compiled JavaScript” ผ่าน Node.js เพื่อหลบการตรวจจับจากระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไป

    มัลแวร์นี้สามารถขโมยข้อมูลได้หลากหลาย เช่น รหัสผ่าน, คุกกี้เบราว์เซอร์, seed phrase, ข้อมูลบัญชี Telegram และแม้แต่ดัดแปลง extension อย่าง MetaMask เพื่อขโมยเงินแบบเรียลไทม์

    JSCEAL เป็นมัลแวร์ที่ใช้ compiled JavaScript ผ่าน Node.js เพื่อหลบการตรวจจับ
    ใช้เทคนิค obfuscation และ anti-analysis ทำให้ระบบทั่วไปตรวจไม่พบ
    มี detection rate ต่ำมาก แม้จะถูกส่งไปยัง VirusTotal หลายร้อยครั้ง

    แคมเปญนี้ใช้โฆษณาปลอมกว่า 35,000 รายการในครึ่งแรกของปี 2025
    โฆษณาแอบอ้างเป็นแอปเทรดคริปโตชื่อดัง
    มีผู้เห็นโฆษณาใน EU กว่า 3.5 ล้านคน และทั่วโลกเกิน 10 ล้านคน

    เมื่อผู้ใช้คลิกโฆษณา จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนของจริง
    เว็บไซต์มี JavaScript ที่สื่อสารกับ installer ผ่าน localhost
    เปิดเว็บจริงของแอปเพื่อหลอกว่า “ติดตั้งสำเร็จ” ขณะมัลแวร์ทำงานเบื้องหลัง

    มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลได้หลากหลาย
    รหัสผ่าน, คุกกี้, seed phrase, ข้อมูลเครือข่าย, และบัญชี Telegram
    ดัดแปลง extension อย่าง MetaMask เพื่อขโมยเงินโดยตรง

    การติดตั้งมัลแวร์ต้องใช้ทั้งเว็บไซต์และ installer ทำงานพร้อมกัน
    หากส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ทำงาน การติดตั้งจะล้มเหลว
    ทำให้การวิเคราะห์และตรวจจับทำได้ยากมาก

    JSCEAL เป็นหนึ่งในมัลแวร์ที่ใช้ compiled V8 JavaScript อย่างมีประสิทธิภาพ
    เป็นเทคนิคใหม่ที่ช่วยให้ซ่อนโค้ดได้ดี
    ทำให้การวิเคราะห์แบบ static แทบเป็นไปไม่ได้

    Compiled JavaScript (JSC) เป็นฟีเจอร์ของ V8 engine ที่ช่วยให้โค้ดถูกแปลงเป็น bytecode
    ทำให้โค้ดถูกซ่อนไว้จากการวิเคราะห์แบบ static
    เป็นเทคนิคที่เริ่มถูกใช้มากขึ้นในมัลแวร์ยุคใหม่

    Node.js เป็น environment ที่ถูกใช้ในหลายระบบอย่างถูกต้อง แต่ถูกแฮกเกอร์นำมาใช้รันมัลแวร์
    ทำให้มัลแวร์ดูเหมือนเป็นโปรแกรมปกติ
    ช่วยให้หลบการตรวจจับจาก antivirus ได้ง่ายขึ้น

    ผู้ใช้คริปโตควรใช้ hardware wallet และไม่เปิดเผย seed phrase กับใครเด็ดขาด
    seed phrase คือกุญแจหลักของกระเป๋าเงิน
    การใช้ hardware wallet ลดความเสี่ยงจากมัลแวร์ได้มาก

    ควรติดตั้งแอปคริปโตจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น เช่น App Store หรือ Google Play
    ตรวจสอบชื่อผู้พัฒนาและรีวิวก่อนดาวน์โหลด
    หลีกเลี่ยงการติดตั้งจากลิงก์ในโฆษณาหรือเว็บไซต์ที่ไม่รู้จัก

    https://hackread.com/jsceal-malware-targets-millions-fake-crypto-app-ads/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: JSCEAL มัลแวร์ที่ซ่อนตัวในโฆษณาแอปคริปโตปลอม—ขโมยทุกอย่างตั้งแต่รหัสผ่านถึงกระเป๋าเงินดิจิทัล ตั้งแต่ต้นปี 2024 แฮกเกอร์เริ่มใช้แคมเปญมัลแวร์ชื่อ JSCEAL โดยปล่อยโฆษณาปลอมกว่า 35,000 รายการบนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปเทรดคริปโตปลอมที่ดูเหมือนของจริง เช่น Binance, MetaMask, Kraken และ TradingView เมื่อผู้ใช้คลิกโฆษณา จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ และถูกหลอกให้ดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งที่มีใบรับรองดิจิทัลจริงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่เบื้องหลังคือมัลแวร์ JSCEAL ที่ใช้เทคนิค “compiled JavaScript” ผ่าน Node.js เพื่อหลบการตรวจจับจากระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไป มัลแวร์นี้สามารถขโมยข้อมูลได้หลากหลาย เช่น รหัสผ่าน, คุกกี้เบราว์เซอร์, seed phrase, ข้อมูลบัญชี Telegram และแม้แต่ดัดแปลง extension อย่าง MetaMask เพื่อขโมยเงินแบบเรียลไทม์ ✅ JSCEAL เป็นมัลแวร์ที่ใช้ compiled JavaScript ผ่าน Node.js เพื่อหลบการตรวจจับ ➡️ ใช้เทคนิค obfuscation และ anti-analysis ทำให้ระบบทั่วไปตรวจไม่พบ ➡️ มี detection rate ต่ำมาก แม้จะถูกส่งไปยัง VirusTotal หลายร้อยครั้ง ✅ แคมเปญนี้ใช้โฆษณาปลอมกว่า 35,000 รายการในครึ่งแรกของปี 2025 ➡️ โฆษณาแอบอ้างเป็นแอปเทรดคริปโตชื่อดัง ➡️ มีผู้เห็นโฆษณาใน EU กว่า 3.5 ล้านคน และทั่วโลกเกิน 10 ล้านคน ✅ เมื่อผู้ใช้คลิกโฆษณา จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนของจริง ➡️ เว็บไซต์มี JavaScript ที่สื่อสารกับ installer ผ่าน localhost ➡️ เปิดเว็บจริงของแอปเพื่อหลอกว่า “ติดตั้งสำเร็จ” ขณะมัลแวร์ทำงานเบื้องหลัง ✅ มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลได้หลากหลาย ➡️ รหัสผ่าน, คุกกี้, seed phrase, ข้อมูลเครือข่าย, และบัญชี Telegram ➡️ ดัดแปลง extension อย่าง MetaMask เพื่อขโมยเงินโดยตรง ✅ การติดตั้งมัลแวร์ต้องใช้ทั้งเว็บไซต์และ installer ทำงานพร้อมกัน ➡️ หากส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ทำงาน การติดตั้งจะล้มเหลว ➡️ ทำให้การวิเคราะห์และตรวจจับทำได้ยากมาก ✅ JSCEAL เป็นหนึ่งในมัลแวร์ที่ใช้ compiled V8 JavaScript อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ เป็นเทคนิคใหม่ที่ช่วยให้ซ่อนโค้ดได้ดี ➡️ ทำให้การวิเคราะห์แบบ static แทบเป็นไปไม่ได้ ✅ Compiled JavaScript (JSC) เป็นฟีเจอร์ของ V8 engine ที่ช่วยให้โค้ดถูกแปลงเป็น bytecode ➡️ ทำให้โค้ดถูกซ่อนไว้จากการวิเคราะห์แบบ static ➡️ เป็นเทคนิคที่เริ่มถูกใช้มากขึ้นในมัลแวร์ยุคใหม่ ✅ Node.js เป็น environment ที่ถูกใช้ในหลายระบบอย่างถูกต้อง แต่ถูกแฮกเกอร์นำมาใช้รันมัลแวร์ ➡️ ทำให้มัลแวร์ดูเหมือนเป็นโปรแกรมปกติ ➡️ ช่วยให้หลบการตรวจจับจาก antivirus ได้ง่ายขึ้น ✅ ผู้ใช้คริปโตควรใช้ hardware wallet และไม่เปิดเผย seed phrase กับใครเด็ดขาด ➡️ seed phrase คือกุญแจหลักของกระเป๋าเงิน ➡️ การใช้ hardware wallet ลดความเสี่ยงจากมัลแวร์ได้มาก ✅ ควรติดตั้งแอปคริปโตจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น เช่น App Store หรือ Google Play ➡️ ตรวจสอบชื่อผู้พัฒนาและรีวิวก่อนดาวน์โหลด ➡️ หลีกเลี่ยงการติดตั้งจากลิงก์ในโฆษณาหรือเว็บไซต์ที่ไม่รู้จัก https://hackread.com/jsceal-malware-targets-millions-fake-crypto-app-ads/
    HACKREAD.COM
    New JSCEAL Malware Targets Millions via Fake Crypto App Ads
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 409 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกคริปโต: JSCEAL มัลแวร์ที่ซ่อนตัวในโฆษณาและ JavaScript

    นักวิจัยจาก Check Point พบแคมเปญมัลแวร์ขนาดใหญ่ที่เริ่มต้นตั้งแต่มีนาคม 2024 โดยใช้ชื่อว่า “JSCEAL” ซึ่งมีเป้าหมายคือผู้ใช้แอปซื้อขายคริปโตและกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยแฮกเกอร์สร้างแอปปลอมและเว็บไซต์หลอกลวงที่ดูเหมือนของจริง แล้วโปรโมตผ่านโฆษณาบน Facebook และแพลตฟอร์มอื่น ๆ

    เมื่อเหยื่อคลิกโฆษณา จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ให้ดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้ง MSI ซึ่งเมื่อเปิดใช้งาน จะเริ่มกระบวนการเก็บข้อมูลระบบผ่าน PowerShell และสคริปต์ JavaScript ที่ซ่อนอยู่ในเว็บไซต์ จากนั้นจะส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ และหากพบว่าเครื่องมีข้อมูลสำคัญ ก็จะปล่อย payload สุดท้ายคือ JSCEAL ซึ่งทำงานผ่าน Node.js

    JSCEAL ใช้ไฟล์ JavaScript ที่ถูกคอมไพล์ด้วย V8 engine ของ Google ซึ่งทำให้โค้ดถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียนและหลบเลี่ยงการตรวจจับจากแอนติไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    JSCEAL เป็นมัลแวร์ที่ใช้ไฟล์ JavaScript แบบคอมไพล์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    ใช้ฟีเจอร์ V8 JSC ของ Google เพื่อซ่อนโค้ด
    ทำให้แอนติไวรัสทั่วไปไม่สามารถวิเคราะห์ได้ก่อนการรันจริง

    แคมเปญนี้เริ่มตั้งแต่มีนาคม 2024 และยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง
    พบโฆษณาปลอมกว่า 35,000 รายการใน EU ภายในครึ่งแรกของปี 2025
    คาดว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อมากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก

    แฮกเกอร์ใช้โฆษณาบน Facebook เพื่อหลอกให้ติดตั้งแอปปลอม
    โฆษณาถูกโพสต์ผ่านบัญชีที่ถูกขโมยหรือสร้างใหม่
    เว็บไซต์ปลอมเลียนแบบบริการจริง เช่น TradingView

    ไฟล์ MSI ที่ดาวน์โหลดจะเปิดเว็บวิวไปยังเว็บไซต์จริงเพื่อหลอกเหยื่อ
    ใช้ msedge_proxy.exe เพื่อเปิดเว็บจริงควบคู่กับการติดตั้งมัลแวร์
    ทำให้เหยื่อไม่สงสัยว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น

    JSCEAL สามารถขโมยข้อมูลได้หลากหลายประเภท
    รหัสผ่าน, คุกกี้, seed phrase, ข้อมูล Telegram, ภาพหน้าจอ, keystroke
    สามารถดักจับเว็บทราฟฟิกและฝังสคริปต์ในเว็บไซต์ธนาคารหรือคริปโต

    มัลแวร์มีโครงสร้างแบบหลายชั้นและปรับเปลี่ยน payload ได้ตามสถานการณ์
    ใช้ fingerprinting scripts เพื่อประเมินความคุ้มค่าของเหยื่อก่อนปล่อย payload
    มีการตั้ง proxy ภายในเครื่องเพื่อดักข้อมูลแบบ real-time

    https://www.techradar.com/pro/security/major-new-malware-strain-targets-crypto-users-via-malicious-ads-heres-what-we-know-and-how-to-stay-safe
    🧠 เรื่องเล่าจากโลกคริปโต: JSCEAL มัลแวร์ที่ซ่อนตัวในโฆษณาและ JavaScript นักวิจัยจาก Check Point พบแคมเปญมัลแวร์ขนาดใหญ่ที่เริ่มต้นตั้งแต่มีนาคม 2024 โดยใช้ชื่อว่า “JSCEAL” ซึ่งมีเป้าหมายคือผู้ใช้แอปซื้อขายคริปโตและกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยแฮกเกอร์สร้างแอปปลอมและเว็บไซต์หลอกลวงที่ดูเหมือนของจริง แล้วโปรโมตผ่านโฆษณาบน Facebook และแพลตฟอร์มอื่น ๆ เมื่อเหยื่อคลิกโฆษณา จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ให้ดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้ง MSI ซึ่งเมื่อเปิดใช้งาน จะเริ่มกระบวนการเก็บข้อมูลระบบผ่าน PowerShell และสคริปต์ JavaScript ที่ซ่อนอยู่ในเว็บไซต์ จากนั้นจะส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ และหากพบว่าเครื่องมีข้อมูลสำคัญ ก็จะปล่อย payload สุดท้ายคือ JSCEAL ซึ่งทำงานผ่าน Node.js JSCEAL ใช้ไฟล์ JavaScript ที่ถูกคอมไพล์ด้วย V8 engine ของ Google ซึ่งทำให้โค้ดถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียนและหลบเลี่ยงการตรวจจับจากแอนติไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ JSCEAL เป็นมัลแวร์ที่ใช้ไฟล์ JavaScript แบบคอมไพล์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ ใช้ฟีเจอร์ V8 JSC ของ Google เพื่อซ่อนโค้ด ➡️ ทำให้แอนติไวรัสทั่วไปไม่สามารถวิเคราะห์ได้ก่อนการรันจริง ✅ แคมเปญนี้เริ่มตั้งแต่มีนาคม 2024 และยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง ➡️ พบโฆษณาปลอมกว่า 35,000 รายการใน EU ภายในครึ่งแรกของปี 2025 ➡️ คาดว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อมากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก ✅ แฮกเกอร์ใช้โฆษณาบน Facebook เพื่อหลอกให้ติดตั้งแอปปลอม ➡️ โฆษณาถูกโพสต์ผ่านบัญชีที่ถูกขโมยหรือสร้างใหม่ ➡️ เว็บไซต์ปลอมเลียนแบบบริการจริง เช่น TradingView ✅ ไฟล์ MSI ที่ดาวน์โหลดจะเปิดเว็บวิวไปยังเว็บไซต์จริงเพื่อหลอกเหยื่อ ➡️ ใช้ msedge_proxy.exe เพื่อเปิดเว็บจริงควบคู่กับการติดตั้งมัลแวร์ ➡️ ทำให้เหยื่อไม่สงสัยว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ✅ JSCEAL สามารถขโมยข้อมูลได้หลากหลายประเภท ➡️ รหัสผ่าน, คุกกี้, seed phrase, ข้อมูล Telegram, ภาพหน้าจอ, keystroke ➡️ สามารถดักจับเว็บทราฟฟิกและฝังสคริปต์ในเว็บไซต์ธนาคารหรือคริปโต ✅ มัลแวร์มีโครงสร้างแบบหลายชั้นและปรับเปลี่ยน payload ได้ตามสถานการณ์ ➡️ ใช้ fingerprinting scripts เพื่อประเมินความคุ้มค่าของเหยื่อก่อนปล่อย payload ➡️ มีการตั้ง proxy ภายในเครื่องเพื่อดักข้อมูลแบบ real-time https://www.techradar.com/pro/security/major-new-malware-strain-targets-crypto-users-via-malicious-ads-heres-what-we-know-and-how-to-stay-safe
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 370 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ FBI ปิดบัญชี Chaos ด้วย Bitcoin

    ในเดือนเมษายน 2025 FBI Dallas ได้ยึด Bitcoin จำนวน 20.2891382 BTC จากกระเป๋าเงินดิจิทัลของสมาชิกกลุ่ม Chaos ransomware ที่ใช้ชื่อว่า “Hors” ซึ่งเชื่อมโยงกับการโจมตีไซเบอร์และเรียกค่าไถ่จากเหยื่อในรัฐเท็กซัสและพื้นที่อื่น ๆ

    Chaos เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ที่เพิ่งเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 โดยเชื่อว่าเป็นการรวมตัวของอดีตสมาชิกกลุ่ม BlackSuit ซึ่งถูกปราบปรามโดยปฏิบัติการระหว่างประเทศชื่อ “Operation Checkmate”

    กลุ่ม Chaos ใช้เทคนิคการโจมตีแบบ double extortion คือการเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อและขโมยข้อมูลเพื่อข่มขู่เปิดเผยหากไม่จ่ายค่าไถ่ โดยเรียกเงินสูงถึง $300,000 ต่อราย และใช้วิธีหลอกลวงผ่านโทรศัพท์ให้เหยื่อเปิด Microsoft Quick Assist เพื่อให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ

    FBI Dallas ยึด Bitcoin มูลค่ากว่า $2.4 ล้านจากสมาชิกกลุ่ม Chaos
    ยึดจากกระเป๋าเงินดิจิทัลของ “Hors” ผู้ต้องสงสัยโจมตีไซเบอร์ในเท็กซัส
    ยื่นคำร้องขอยึดทรัพย์แบบพลเรือนเพื่อโอนเข้ารัฐบาลสหรัฐฯ

    Chaos ransomware เป็นกลุ่มใหม่ที่เกิดขึ้นหลัง BlackSuit ถูกปราบปราม
    มีลักษณะการโจมตีคล้าย BlackSuit เช่น การเข้ารหัสไฟล์และข่มขู่เปิดเผยข้อมูล
    ใช้ชื่อ “.chaos” เป็นนามสกุลไฟล์ที่ถูกเข้ารหัส และ “readme.chaos.txt” เป็นโน้ตเรียกค่าไถ่

    ใช้เทคนิคหลอกลวงผ่านโทรศัพท์และซอฟต์แวร์ช่วยเหลือระยะไกล
    หลอกเหยื่อให้เปิด Microsoft Quick Assist เพื่อให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ
    ใช้เครื่องมือ RMM เช่น AnyDesk และ ScreenConnect เพื่อคงการเข้าถึง

    หากเหยื่อจ่ายเงิน จะได้รับ decryptor และรายงานช่องโหว่ของระบบ
    สัญญาว่าจะลบข้อมูลที่ขโมยไปและไม่โจมตีซ้ำ
    หากไม่จ่าย จะถูกข่มขู่ด้วยการเปิดเผยข้อมูลและโจมตี DDoS

    Chaos สามารถโจมตีระบบ Windows, Linux, ESXi และ NAS ได้
    ใช้การเข้ารหัสแบบ selective encryption เพื่อเพิ่มความเร็ว
    มีระบบป้องกันการวิเคราะห์และหลบเลี่ยง sandbox/debugger

    การใช้เครื่องมือช่วยเหลือระยะไกลอาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ
    Microsoft Quick Assist ถูกใช้เป็นช่องทางหลักในการหลอกเหยื่อ
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบตัวตนผู้ขอความช่วยเหลือก่อนให้สิทธิ์เข้าถึง

    การไม่จ่ายค่าไถ่อาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลและโจมตีเพิ่มเติม
    Chaos ข่มขู่จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะและโจมตี DDoS
    ส่งผลต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นขององค์กร

    การใช้สกุลเงินดิจิทัลไม่สามารถปกปิดตัวตนได้เสมอไป
    FBI สามารถติดตามและยึด Bitcoin ผ่านการวิเคราะห์บล็อกเชน
    การใช้ crypto ไม่ได้หมายถึงความปลอดภัยจากการถูกจับกุม

    กลุ่มแรนซัมแวร์มีแนวโน้มเปลี่ยนชื่อและกลับมาใหม่หลังถูกปราบปราม
    Chaos อาจเป็นการรีแบรนด์จาก BlackSuit ซึ่งเดิมคือ Royal และ Conti
    การปราบปรามต้องต่อเนื่องและครอบคลุมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและการเงิน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/fbi-seizes-usd2-4-million-in-bitcoin-from-member-of-recently-ascendant-chaos-ransomware-group
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ FBI ปิดบัญชี Chaos ด้วย Bitcoin ในเดือนเมษายน 2025 FBI Dallas ได้ยึด Bitcoin จำนวน 20.2891382 BTC จากกระเป๋าเงินดิจิทัลของสมาชิกกลุ่ม Chaos ransomware ที่ใช้ชื่อว่า “Hors” ซึ่งเชื่อมโยงกับการโจมตีไซเบอร์และเรียกค่าไถ่จากเหยื่อในรัฐเท็กซัสและพื้นที่อื่น ๆ Chaos เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ที่เพิ่งเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 โดยเชื่อว่าเป็นการรวมตัวของอดีตสมาชิกกลุ่ม BlackSuit ซึ่งถูกปราบปรามโดยปฏิบัติการระหว่างประเทศชื่อ “Operation Checkmate” กลุ่ม Chaos ใช้เทคนิคการโจมตีแบบ double extortion คือการเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อและขโมยข้อมูลเพื่อข่มขู่เปิดเผยหากไม่จ่ายค่าไถ่ โดยเรียกเงินสูงถึง $300,000 ต่อราย และใช้วิธีหลอกลวงผ่านโทรศัพท์ให้เหยื่อเปิด Microsoft Quick Assist เพื่อให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ ✅ FBI Dallas ยึด Bitcoin มูลค่ากว่า $2.4 ล้านจากสมาชิกกลุ่ม Chaos ➡️ ยึดจากกระเป๋าเงินดิจิทัลของ “Hors” ผู้ต้องสงสัยโจมตีไซเบอร์ในเท็กซัส ➡️ ยื่นคำร้องขอยึดทรัพย์แบบพลเรือนเพื่อโอนเข้ารัฐบาลสหรัฐฯ ✅ Chaos ransomware เป็นกลุ่มใหม่ที่เกิดขึ้นหลัง BlackSuit ถูกปราบปราม ➡️ มีลักษณะการโจมตีคล้าย BlackSuit เช่น การเข้ารหัสไฟล์และข่มขู่เปิดเผยข้อมูล ➡️ ใช้ชื่อ “.chaos” เป็นนามสกุลไฟล์ที่ถูกเข้ารหัส และ “readme.chaos.txt” เป็นโน้ตเรียกค่าไถ่ ✅ ใช้เทคนิคหลอกลวงผ่านโทรศัพท์และซอฟต์แวร์ช่วยเหลือระยะไกล ➡️ หลอกเหยื่อให้เปิด Microsoft Quick Assist เพื่อให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ ➡️ ใช้เครื่องมือ RMM เช่น AnyDesk และ ScreenConnect เพื่อคงการเข้าถึง ✅ หากเหยื่อจ่ายเงิน จะได้รับ decryptor และรายงานช่องโหว่ของระบบ ➡️ สัญญาว่าจะลบข้อมูลที่ขโมยไปและไม่โจมตีซ้ำ ➡️ หากไม่จ่าย จะถูกข่มขู่ด้วยการเปิดเผยข้อมูลและโจมตี DDoS ✅ Chaos สามารถโจมตีระบบ Windows, Linux, ESXi และ NAS ได้ ➡️ ใช้การเข้ารหัสแบบ selective encryption เพื่อเพิ่มความเร็ว ➡️ มีระบบป้องกันการวิเคราะห์และหลบเลี่ยง sandbox/debugger ‼️ การใช้เครื่องมือช่วยเหลือระยะไกลอาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบ ⛔ Microsoft Quick Assist ถูกใช้เป็นช่องทางหลักในการหลอกเหยื่อ ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบตัวตนผู้ขอความช่วยเหลือก่อนให้สิทธิ์เข้าถึง ‼️ การไม่จ่ายค่าไถ่อาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลและโจมตีเพิ่มเติม ⛔ Chaos ข่มขู่จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะและโจมตี DDoS ⛔ ส่งผลต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นขององค์กร ‼️ การใช้สกุลเงินดิจิทัลไม่สามารถปกปิดตัวตนได้เสมอไป ⛔ FBI สามารถติดตามและยึด Bitcoin ผ่านการวิเคราะห์บล็อกเชน ⛔ การใช้ crypto ไม่ได้หมายถึงความปลอดภัยจากการถูกจับกุม ‼️ กลุ่มแรนซัมแวร์มีแนวโน้มเปลี่ยนชื่อและกลับมาใหม่หลังถูกปราบปราม ⛔ Chaos อาจเป็นการรีแบรนด์จาก BlackSuit ซึ่งเดิมคือ Royal และ Conti ⛔ การปราบปรามต้องต่อเนื่องและครอบคลุมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและการเงิน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/fbi-seizes-usd2-4-million-in-bitcoin-from-member-of-recently-ascendant-chaos-ransomware-group
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 532 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากกระเป๋าเงินดิจิทัล: เมื่อ PayPal เชื่อมโลกคริปโตสู่การค้าจริง

    ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม 2025 PayPal ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ “Pay with Crypto” ที่จะให้ร้านค้าในสหรัฐฯ รับชำระเงินด้วยคริปโตมากกว่า 100 สกุลเงินดิจิทัล เช่น BTC, ETH, XRP, USDT, USDC และ SOL โดยผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกระเป๋าเงินจากแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น Coinbase, MetaMask, OKX และ Binance ได้โดยตรง

    ธุรกรรมจะถูกแปลงเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐหรือ stablecoin PYUSD ทันทีที่ชำระเงิน ทำให้ร้านค้าได้รับเงินอย่างรวดเร็วและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของคริปโต ขณะเดียวกัน PayPal เสนออัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปีสำหรับยอดเงิน PYUSD ที่เก็บไว้ในระบบ เพื่อกระตุ้นการใช้งานและถือครอง

    PayPal เปิดตัวฟีเจอร์ “Pay with Crypto” ให้ร้านค้าในสหรัฐฯ รับชำระเงินด้วยคริปโตมากกว่า 100 สกุล
    รองรับ BTC, ETH, XRP, USDT, USDC, BNB, SOL และอื่นๆ
    เชื่อมต่อกับกระเป๋าเงินยอดนิยม เช่น Coinbase, MetaMask, OKX, Binance

    ธุรกรรมจะถูกแปลงเป็นเงินดอลลาร์หรือ PYUSD ทันทีที่ชำระเงิน
    ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของคริปโต
    ช่วยให้ร้านค้าได้รับเงินเร็วขึ้นและจัดการบัญชีง่ายขึ้น

    ค่าธรรมเนียมธุรกรรมเริ่มต้นที่ 0.99% และอาจเพิ่มเป็น 1.5% หลังปีแรก
    ต่ำกว่าค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตระหว่างประเทศที่เฉลี่ย 1.57%
    ลดต้นทุนการรับชำระเงินจากลูกค้าต่างประเทศได้ถึง 90%

    ร้านค้าที่ถือ PYUSD บน PayPal จะได้รับดอกเบี้ย 4% ต่อปี
    เป็นแรงจูงใจให้ถือครอง stablecoin ของ PayPal
    PYUSD ถูกออกแบบให้มีมูลค่าคงที่ 1:1 กับดอลลาร์สหรัฐ และออกโดย Paxos Trust Company

    ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เชื่อมโลกการเงินดั้งเดิมกับ Web3
    PayPal มีผู้ใช้งานกว่า 650 ล้านรายทั่วโลก
    เป็นการเปิดประตูสู่เศรษฐกิจคริปโตมูลค่า $3.9 ล้านล้านดอลลาร์

    ผู้ซื้อจากต่างประเทศอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสูงถึง 10% ต่อธุรกรรม
    อาจทำให้ลูกค้าต่างประเทศลังเลที่จะใช้คริปโตในการซื้อสินค้า
    ส่งผลต่อยอดขายของร้านค้าที่เน้นตลาดต่างประเทศ

    การถือครอง PYUSD มีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและการรับประกัน
    PYUSD ไม่ได้รับการคุ้มครองจาก FDIC หรือ SIPC
    หากเกิดการโจรกรรมหรือระบบล่ม ผู้ใช้ต้องรับผิดชอบเอง

    การแปลงคริปโตเป็น fiat ผ่านระบบกลางอาจขัดกับหลักการกระจายอำนาจ
    ผู้ใช้ต้องพึ่งพา PayPal ในการแปลงและจัดการธุรกรรม
    อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมสินทรัพย์แบบเต็มรูปแบบ

    การถือครอง PYUSD เพื่อรับดอกเบี้ยอาจถูกตีความว่าเป็นการลงทุน
    อาจเข้าข่ายหลักทรัพย์ตามกฎหมายบางประเทศ
    เสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบหรือจำกัดการใช้งานในอนาคต

    https://www.techspot.com/news/108847-paypal-us-merchants-accept-over-100-cryptocurrencies-including.html
    💸 เรื่องเล่าจากกระเป๋าเงินดิจิทัล: เมื่อ PayPal เชื่อมโลกคริปโตสู่การค้าจริง ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม 2025 PayPal ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ “Pay with Crypto” ที่จะให้ร้านค้าในสหรัฐฯ รับชำระเงินด้วยคริปโตมากกว่า 100 สกุลเงินดิจิทัล เช่น BTC, ETH, XRP, USDT, USDC และ SOL โดยผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกระเป๋าเงินจากแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น Coinbase, MetaMask, OKX และ Binance ได้โดยตรง ธุรกรรมจะถูกแปลงเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐหรือ stablecoin PYUSD ทันทีที่ชำระเงิน ทำให้ร้านค้าได้รับเงินอย่างรวดเร็วและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของคริปโต ขณะเดียวกัน PayPal เสนออัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปีสำหรับยอดเงิน PYUSD ที่เก็บไว้ในระบบ เพื่อกระตุ้นการใช้งานและถือครอง ✅ PayPal เปิดตัวฟีเจอร์ “Pay with Crypto” ให้ร้านค้าในสหรัฐฯ รับชำระเงินด้วยคริปโตมากกว่า 100 สกุล ➡️ รองรับ BTC, ETH, XRP, USDT, USDC, BNB, SOL และอื่นๆ ➡️ เชื่อมต่อกับกระเป๋าเงินยอดนิยม เช่น Coinbase, MetaMask, OKX, Binance ✅ ธุรกรรมจะถูกแปลงเป็นเงินดอลลาร์หรือ PYUSD ทันทีที่ชำระเงิน ➡️ ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของคริปโต ➡️ ช่วยให้ร้านค้าได้รับเงินเร็วขึ้นและจัดการบัญชีง่ายขึ้น ✅ ค่าธรรมเนียมธุรกรรมเริ่มต้นที่ 0.99% และอาจเพิ่มเป็น 1.5% หลังปีแรก ➡️ ต่ำกว่าค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตระหว่างประเทศที่เฉลี่ย 1.57% ➡️ ลดต้นทุนการรับชำระเงินจากลูกค้าต่างประเทศได้ถึง 90% ✅ ร้านค้าที่ถือ PYUSD บน PayPal จะได้รับดอกเบี้ย 4% ต่อปี ➡️ เป็นแรงจูงใจให้ถือครอง stablecoin ของ PayPal ➡️ PYUSD ถูกออกแบบให้มีมูลค่าคงที่ 1:1 กับดอลลาร์สหรัฐ และออกโดย Paxos Trust Company ✅ ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เชื่อมโลกการเงินดั้งเดิมกับ Web3 ➡️ PayPal มีผู้ใช้งานกว่า 650 ล้านรายทั่วโลก ➡️ เป็นการเปิดประตูสู่เศรษฐกิจคริปโตมูลค่า $3.9 ล้านล้านดอลลาร์ ‼️ ผู้ซื้อจากต่างประเทศอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสูงถึง 10% ต่อธุรกรรม ⛔ อาจทำให้ลูกค้าต่างประเทศลังเลที่จะใช้คริปโตในการซื้อสินค้า ⛔ ส่งผลต่อยอดขายของร้านค้าที่เน้นตลาดต่างประเทศ ‼️ การถือครอง PYUSD มีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและการรับประกัน ⛔ PYUSD ไม่ได้รับการคุ้มครองจาก FDIC หรือ SIPC ⛔ หากเกิดการโจรกรรมหรือระบบล่ม ผู้ใช้ต้องรับผิดชอบเอง ‼️ การแปลงคริปโตเป็น fiat ผ่านระบบกลางอาจขัดกับหลักการกระจายอำนาจ ⛔ ผู้ใช้ต้องพึ่งพา PayPal ในการแปลงและจัดการธุรกรรม ⛔ อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมสินทรัพย์แบบเต็มรูปแบบ ‼️ การถือครอง PYUSD เพื่อรับดอกเบี้ยอาจถูกตีความว่าเป็นการลงทุน ⛔ อาจเข้าข่ายหลักทรัพย์ตามกฎหมายบางประเทศ ⛔ เสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบหรือจำกัดการใช้งานในอนาคต https://www.techspot.com/news/108847-paypal-us-merchants-accept-over-100-cryptocurrencies-including.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    PayPal to let US merchants accept over 100 cryptocurrencies, including Bitcoin and Ethereum
    Over the next few weeks, PayPal will roll out a new "Pay with Crypto" option. The feature will reportedly allow businesses worldwide to accept more than 100...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 511 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากกระเป๋าเงินดิจิทัลที่กิน SSD: เมื่อ MetaMask เขียนข้อมูลลงดิสก์แบบไม่หยุดพัก

    ผู้ใช้ชื่อ “ripper31337” รายงานผ่าน GitHub ว่า MetaMask เขียนข้อมูลลง SSD มากถึง 25TB ภายใน 3 เดือน โดยแม้จะไม่ได้ล็อกอินเข้าใช้งาน ส่วนขยายก็ยังเขียนข้อมูลต่อเนื่องที่ความเร็ว 5MB/s — เทียบเท่ากับ 420GB ต่อวัน หรือ 38TB ใน 3 เดือน

    นักพัฒนา MetaMask ชื่อ Mark “Gudahtt” Stacey ยืนยันว่าบั๊กนี้มีอยู่จริง และเกิดจากการจัดการ “state” ที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติในบางผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ที่เชื่อมต่อกับ dApps จำนวนมากหรือมี NFT/โทเคนจำนวนมากในบัญชี

    บริษัท Consensys เจ้าของ MetaMask ระบุว่า:

    “แม้การเขียน state ลงดิสก์จะเป็นพฤติกรรมปกติของ wallet แบบ browser extension แต่เรากำลังหาวิธีลดขนาด state เพื่อแก้ปัญหานี้”

    ผู้ใช้บางรายพบไฟล์ Synaptics.exe ที่ถูกสร้างใน C:\ProgramData\ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มัลแวร์มักใช้ซ่อนตัว — แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่า MetaMask มีมัลแวร์ แต่การเขียนข้อมูลจำนวนมากโดยไม่แจ้งเตือนถือเป็นพฤติกรรมที่อันตรายต่อ SSD และความปลอดภัยของระบบ

    MetaMask เวอร์ชัน Chrome extension มีบั๊กที่เขียนข้อมูลลง SSD หลายร้อย GB ต่อวัน
    แม้จะไม่ได้ล็อกอิน ส่วนขยายก็ยังทำงานอยู่เบื้องหลัง

    ผู้ใช้รายหนึ่งพบว่า SSD ของตนถูกเขียนข้อมูลถึง 25TB ภายใน 3 เดือน
    ความเร็วการเขียนอยู่ที่ประมาณ 5MB/s ตลอดเวลา

    นักพัฒนา MetaMask ยืนยันว่าบั๊กนี้มีอยู่จริง และเกิดจาก state ที่มีขนาดใหญ่
    โดยเฉพาะผู้ใช้ที่เชื่อมต่อกับ dApps หรือมี NFT จำนวนมาก

    Consensys ระบุว่ากำลังหาวิธีลดขนาด state เพื่อแก้ปัญหา
    และยอมรับว่าการเขียน state เป็นพฤติกรรมปกติของ wallet แบบ extension

    บั๊กนี้ส่งผลต่อผู้ใช้บน Chrome, Edge และ Opera ที่ใช้ MetaMask extension
    Firefox ไม่ได้รับผลกระทบในรายงานนี้

    SSD ที่ได้รับผลกระทบมีการเขียนข้อมูลถึง 26.5TB ตาม CrystalDiskInfo
    แม้จะไม่ถึง 38TB แต่ก็ถือว่าเป็นปริมาณที่สูงผิดปกติ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/metamask-crypto-wallet-chrome-extension-is-eating-ssd-storage-at-an-alarming-rate-owner-confirms-bug-has-been-writing-hundreds-of-gigabytes-of-data-per-day-into-users-solid-state-drives
    🎙️ เรื่องเล่าจากกระเป๋าเงินดิจิทัลที่กิน SSD: เมื่อ MetaMask เขียนข้อมูลลงดิสก์แบบไม่หยุดพัก ผู้ใช้ชื่อ “ripper31337” รายงานผ่าน GitHub ว่า MetaMask เขียนข้อมูลลง SSD มากถึง 25TB ภายใน 3 เดือน โดยแม้จะไม่ได้ล็อกอินเข้าใช้งาน ส่วนขยายก็ยังเขียนข้อมูลต่อเนื่องที่ความเร็ว 5MB/s — เทียบเท่ากับ 420GB ต่อวัน หรือ 38TB ใน 3 เดือน นักพัฒนา MetaMask ชื่อ Mark “Gudahtt” Stacey ยืนยันว่าบั๊กนี้มีอยู่จริง และเกิดจากการจัดการ “state” ที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติในบางผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ที่เชื่อมต่อกับ dApps จำนวนมากหรือมี NFT/โทเคนจำนวนมากในบัญชี บริษัท Consensys เจ้าของ MetaMask ระบุว่า: 🔖 “แม้การเขียน state ลงดิสก์จะเป็นพฤติกรรมปกติของ wallet แบบ browser extension แต่เรากำลังหาวิธีลดขนาด state เพื่อแก้ปัญหานี้” ผู้ใช้บางรายพบไฟล์ Synaptics.exe ที่ถูกสร้างใน C:\ProgramData\ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มัลแวร์มักใช้ซ่อนตัว — แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่า MetaMask มีมัลแวร์ แต่การเขียนข้อมูลจำนวนมากโดยไม่แจ้งเตือนถือเป็นพฤติกรรมที่อันตรายต่อ SSD และความปลอดภัยของระบบ ✅ MetaMask เวอร์ชัน Chrome extension มีบั๊กที่เขียนข้อมูลลง SSD หลายร้อย GB ต่อวัน ➡️ แม้จะไม่ได้ล็อกอิน ส่วนขยายก็ยังทำงานอยู่เบื้องหลัง ✅ ผู้ใช้รายหนึ่งพบว่า SSD ของตนถูกเขียนข้อมูลถึง 25TB ภายใน 3 เดือน ➡️ ความเร็วการเขียนอยู่ที่ประมาณ 5MB/s ตลอดเวลา ✅ นักพัฒนา MetaMask ยืนยันว่าบั๊กนี้มีอยู่จริง และเกิดจาก state ที่มีขนาดใหญ่ ➡️ โดยเฉพาะผู้ใช้ที่เชื่อมต่อกับ dApps หรือมี NFT จำนวนมาก ✅ Consensys ระบุว่ากำลังหาวิธีลดขนาด state เพื่อแก้ปัญหา ➡️ และยอมรับว่าการเขียน state เป็นพฤติกรรมปกติของ wallet แบบ extension ✅ บั๊กนี้ส่งผลต่อผู้ใช้บน Chrome, Edge และ Opera ที่ใช้ MetaMask extension ➡️ Firefox ไม่ได้รับผลกระทบในรายงานนี้ ✅ SSD ที่ได้รับผลกระทบมีการเขียนข้อมูลถึง 26.5TB ตาม CrystalDiskInfo ➡️ แม้จะไม่ถึง 38TB แต่ก็ถือว่าเป็นปริมาณที่สูงผิดปกติ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/metamask-crypto-wallet-chrome-extension-is-eating-ssd-storage-at-an-alarming-rate-owner-confirms-bug-has-been-writing-hundreds-of-gigabytes-of-data-per-day-into-users-solid-state-drives
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 431 มุมมอง 0 รีวิว
  • การผลิตเงินตราของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางสำคัญ 3 ประการ และแต่ละทิศทางมีทั้งผลดีและผลเสีย ดังนี้:

    ### 1. **การเปลี่ยนสู่เงินดิจิทัล (Digital Currencies)**
    - **ผลดี:**
    - **ความสะดวกและเร็ว:** การชำระเงินข้ามประเทศใช้เวลาไม่กี่วินาที (เดิมใช้วัน) เช่น ระบบ CBDC ของจีน (e-CNY)
    - **การเข้าถึงบริการทางการเงิน:** ช่วยให้ประชากร 1.4 พันล้านคนที่ไม่มีบัญชีธนาคารเข้าถึงระบบการเงิน (World Bank 2023)
    - **ลดต้นทุน:** ธนาคารกลางยุโรปประเมินว่า CBDC ลดต้นทุนการจัดการเงินสดได้ 30%
    - **ผลเสีย:**
    - **ความเสี่ยงทางไซเบอร์:** แฮ็กระบบการเงินระดับชาติ เช่น เหตุการณ์แฮ็ก Cryptocurrency ที่สูญเสียกว่า 3.8 พันล้าน USD ในปี 2022 (Chainalysis)
    - **การละเมิดความเป็นส่วนตัว:** รัฐอาจติดตามทุกการทำธุรกรรมของประชาชน

    ### 2. **การลดบทบาทเงินสด (Cashless Society)**
    - **ผลดี:**
    - **ลดอาชญากรรม:** สวีเดนพบว่าการปล้นลดลง 85% หลังลดการใช้เงินสด (Riksbank รายงาน)
    - **ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ:** IMF ชี้ว่าประเทศไร้เงินสดเพิ่ม GDP ได้ 0.8-1.2% จากการลดต้นทุนการพิมพ์/ขนส่ง
    - **ผลเสีย:**
    - **การแบ่งแยกดิจิทัล:** ผู้สูงอายุหรือชุมชนห่างไกลในอินเดียกว่า 40% ยังไม่พร้อม (Reserve Bank of India)
    - **ความเสี่ยงต่อระบบ:** ไฟฟ้าดับหรือระบบล่มอาจทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก

    ### 3. **การเกิดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลภาคเอกชน (Private Cryptocurrencies & Stablecoins)**
    - **ผลดี:**
    - **นวัตกรรมทางการเงิน:** DeFi (การเงินแบบกระจายศูนย์) สร้างตลาดมูลค่า 80 พันล้าน USD ในปี 2023 (DeFi Llama)
    - **การป้องกันเงินเฟ้อ:** Stablecoin เช่น USDT ให้ทางเลือกในประเทศที่เงินเฟ้อสูง (เวเนซุเอลา อาร์เจนตินา)
    - **ผลเสีย:**
    - **ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน:** การล่มสลายของ TerraUSD (2022) ทำลายมูลค่ากว่า 40 พันล้าน USD ใน 3 วัน
    - **การฟอกเงิน:** UN ประเมินว่ามีการฟอกเงินผ่านคริปโตกว่า 8.6 พันล้าน USD ในปี 2021

    ### ผลกระทบเชิงโครงสร้าง:
    - **ผลดีโดยรวม:**
    - เพิ่มประสิทธิภาพระบบการเงินโลก
    - ส่งเสริมการรวมตัวทางการเงิน (Financial Inclusion)
    - ลดต้นทุนการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน (เดิมเฉลี่ย 6.5% ลดเหลือต่ำกว่า 1%)

    - **ผลเสียโดยรวม:**
    - **ความไม่เสมอภาค:** ประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกทิ้งห่าง (แอฟริกามีการใช้ CBDC เพียง 3 ประเทศเทียบกับ 114 ประเทศที่กำลังวิจัย)
    - **ภัยคุกคามต่ออธิปไตย:** สกุลเงินดิจิทัลเอกชนอาจลดทอนอำนาจนโยบายการเงินของรัฐ

    ### ตัวอย่างประเทศที่ชัดเจน:
    - **จีน (e-CNY):** ใช้ทดลองใน 26 เมืองใหญ่ คาดครอบคลุม 15% ของเศรษฐกิจภายในปี 2025 → เพิ่มการควบคุมทางการคลัง แต่ถูกวิจารณ์เรื่องการสอดส่องประชาชน
    - **สวีเดน:** เงินสดเหลือเพียง 8% ของ GDP (2010 อยู่ที่ 40%) → ลดอาชญากรรมแต่เสี่ยงต่อ Cyberattack

    ### บทสรุป:
    การเปลี่ยนแปลงนี้เป็น **"ดาบสองคม"** โดยทิศทางหลักคือ **การทำให้เป็นดิจิทัล (Digitalization)** ซึ่งให้ประโยชน์ด้านประสิทธิภาพ แต่ต้องจัดการกับความเสี่ยงด้านความมั่นคงและความเป็นส่วนตัวอย่างเร่งด่วน อนาคตอาจเห็นระบบการเงินแบบผสมผสานระหว่าง CBDC, สกุลเงินดิจิทัลเอกชน และเงินสดแบบจำกัด โดยความสำเร็จขึ้นอยู่กับการออกแบบกฎเกณฑ์ที่สมดุลระหว่างนวัตกรรมกับการคุ้มครองประชาชน
    การผลิตเงินตราของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางสำคัญ 3 ประการ และแต่ละทิศทางมีทั้งผลดีและผลเสีย ดังนี้: ### 1. **การเปลี่ยนสู่เงินดิจิทัล (Digital Currencies)** - **ผลดี:** - **ความสะดวกและเร็ว:** การชำระเงินข้ามประเทศใช้เวลาไม่กี่วินาที (เดิมใช้วัน) เช่น ระบบ CBDC ของจีน (e-CNY) - **การเข้าถึงบริการทางการเงิน:** ช่วยให้ประชากร 1.4 พันล้านคนที่ไม่มีบัญชีธนาคารเข้าถึงระบบการเงิน (World Bank 2023) - **ลดต้นทุน:** ธนาคารกลางยุโรปประเมินว่า CBDC ลดต้นทุนการจัดการเงินสดได้ 30% - **ผลเสีย:** - **ความเสี่ยงทางไซเบอร์:** แฮ็กระบบการเงินระดับชาติ เช่น เหตุการณ์แฮ็ก Cryptocurrency ที่สูญเสียกว่า 3.8 พันล้าน USD ในปี 2022 (Chainalysis) - **การละเมิดความเป็นส่วนตัว:** รัฐอาจติดตามทุกการทำธุรกรรมของประชาชน ### 2. **การลดบทบาทเงินสด (Cashless Society)** - **ผลดี:** - **ลดอาชญากรรม:** สวีเดนพบว่าการปล้นลดลง 85% หลังลดการใช้เงินสด (Riksbank รายงาน) - **ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ:** IMF ชี้ว่าประเทศไร้เงินสดเพิ่ม GDP ได้ 0.8-1.2% จากการลดต้นทุนการพิมพ์/ขนส่ง - **ผลเสีย:** - **การแบ่งแยกดิจิทัล:** ผู้สูงอายุหรือชุมชนห่างไกลในอินเดียกว่า 40% ยังไม่พร้อม (Reserve Bank of India) - **ความเสี่ยงต่อระบบ:** ไฟฟ้าดับหรือระบบล่มอาจทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก ### 3. **การเกิดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลภาคเอกชน (Private Cryptocurrencies & Stablecoins)** - **ผลดี:** - **นวัตกรรมทางการเงิน:** DeFi (การเงินแบบกระจายศูนย์) สร้างตลาดมูลค่า 80 พันล้าน USD ในปี 2023 (DeFi Llama) - **การป้องกันเงินเฟ้อ:** Stablecoin เช่น USDT ให้ทางเลือกในประเทศที่เงินเฟ้อสูง (เวเนซุเอลา อาร์เจนตินา) - **ผลเสีย:** - **ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน:** การล่มสลายของ TerraUSD (2022) ทำลายมูลค่ากว่า 40 พันล้าน USD ใน 3 วัน - **การฟอกเงิน:** UN ประเมินว่ามีการฟอกเงินผ่านคริปโตกว่า 8.6 พันล้าน USD ในปี 2021 ### ผลกระทบเชิงโครงสร้าง: - **ผลดีโดยรวม:** - เพิ่มประสิทธิภาพระบบการเงินโลก - ส่งเสริมการรวมตัวทางการเงิน (Financial Inclusion) - ลดต้นทุนการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน (เดิมเฉลี่ย 6.5% ลดเหลือต่ำกว่า 1%) - **ผลเสียโดยรวม:** - **ความไม่เสมอภาค:** ประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกทิ้งห่าง (แอฟริกามีการใช้ CBDC เพียง 3 ประเทศเทียบกับ 114 ประเทศที่กำลังวิจัย) - **ภัยคุกคามต่ออธิปไตย:** สกุลเงินดิจิทัลเอกชนอาจลดทอนอำนาจนโยบายการเงินของรัฐ ### ตัวอย่างประเทศที่ชัดเจน: - **จีน (e-CNY):** ใช้ทดลองใน 26 เมืองใหญ่ คาดครอบคลุม 15% ของเศรษฐกิจภายในปี 2025 → เพิ่มการควบคุมทางการคลัง แต่ถูกวิจารณ์เรื่องการสอดส่องประชาชน - **สวีเดน:** เงินสดเหลือเพียง 8% ของ GDP (2010 อยู่ที่ 40%) → ลดอาชญากรรมแต่เสี่ยงต่อ Cyberattack ### บทสรุป: การเปลี่ยนแปลงนี้เป็น **"ดาบสองคม"** โดยทิศทางหลักคือ **การทำให้เป็นดิจิทัล (Digitalization)** ซึ่งให้ประโยชน์ด้านประสิทธิภาพ แต่ต้องจัดการกับความเสี่ยงด้านความมั่นคงและความเป็นส่วนตัวอย่างเร่งด่วน อนาคตอาจเห็นระบบการเงินแบบผสมผสานระหว่าง CBDC, สกุลเงินดิจิทัลเอกชน และเงินสดแบบจำกัด โดยความสำเร็จขึ้นอยู่กับการออกแบบกฎเกณฑ์ที่สมดุลระหว่างนวัตกรรมกับการคุ้มครองประชาชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 660 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกการเงิน: Citigroup อาจออก Stablecoin ของตัวเองเพื่อเร่งระบบการชำระเงินดิจิทัล

    ในโลกที่การเงินดิจิทัลเติบโตอย่างรวดเร็ว ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง Citigroup ก็ไม่ยอมตกขบวน ล่าสุด Jane Fraser ซีอีโอของ Citi ได้เปิดเผยว่า ธนาคารกำลังพิจารณาออก “Citi Stablecoin” เพื่อใช้ในการชำระเงินดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ Citi ไม่ได้มองแค่การออกเหรียญเท่านั้น พวกเขายังเน้นไปที่ “tokenized deposit” หรือการแปลงเงินฝากให้เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ธนาคารกำลังลงทุนอย่างจริงจัง

    นอกจากนี้ Citi ยังสำรวจการบริหารทุนสำรองสำหรับ stablecoin และการให้บริการดูแลสินทรัพย์คริปโต (custody) เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในยุคใหม่

    ข่าวนี้ออกมาหลังจาก Citi รายงานผลประกอบการไตรมาสสองที่ดีกว่าคาด และประกาศแผนซื้อหุ้นคืนอย่างน้อย 4 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008

    Stablecoin ของ Citi ยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา
    ยังไม่มีการประกาศวันเปิดตัวหรือรายละเอียดเชิงเทคนิค

    การเข้าสู่ตลาด stablecoin ต้องเผชิญกับข้อกำกับทางกฎหมาย
    โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบคริปโต

    การแข่งขันในตลาด stablecoin มีผู้เล่นรายใหญ่อยู่แล้ว
    เช่น USDC, USDT และโครงการจากธนาคารอื่น ๆ

    การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเงินดิจิทัลอาจกระทบระบบธนาคารแบบดั้งเดิม
    ต้องมีการปรับตัวทั้งในด้านเทคโนโลยีและความเชื่อมั่นจากลูกค้า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/16/citigroup-considers-issuing-its-own-stablecoin-ceo-says
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกการเงิน: Citigroup อาจออก Stablecoin ของตัวเองเพื่อเร่งระบบการชำระเงินดิจิทัล ในโลกที่การเงินดิจิทัลเติบโตอย่างรวดเร็ว ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง Citigroup ก็ไม่ยอมตกขบวน ล่าสุด Jane Fraser ซีอีโอของ Citi ได้เปิดเผยว่า ธนาคารกำลังพิจารณาออก “Citi Stablecoin” เพื่อใช้ในการชำระเงินดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ Citi ไม่ได้มองแค่การออกเหรียญเท่านั้น พวกเขายังเน้นไปที่ “tokenized deposit” หรือการแปลงเงินฝากให้เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ธนาคารกำลังลงทุนอย่างจริงจัง นอกจากนี้ Citi ยังสำรวจการบริหารทุนสำรองสำหรับ stablecoin และการให้บริการดูแลสินทรัพย์คริปโต (custody) เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในยุคใหม่ ข่าวนี้ออกมาหลังจาก Citi รายงานผลประกอบการไตรมาสสองที่ดีกว่าคาด และประกาศแผนซื้อหุ้นคืนอย่างน้อย 4 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008 ‼️ Stablecoin ของ Citi ยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา 👉 ยังไม่มีการประกาศวันเปิดตัวหรือรายละเอียดเชิงเทคนิค ‼️ การเข้าสู่ตลาด stablecoin ต้องเผชิญกับข้อกำกับทางกฎหมาย 👉 โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบคริปโต ‼️ การแข่งขันในตลาด stablecoin มีผู้เล่นรายใหญ่อยู่แล้ว 👉 เช่น USDC, USDT และโครงการจากธนาคารอื่น ๆ ‼️ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเงินดิจิทัลอาจกระทบระบบธนาคารแบบดั้งเดิม 👉 ต้องมีการปรับตัวทั้งในด้านเทคโนโลยีและความเชื่อมั่นจากลูกค้า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/16/citigroup-considers-issuing-its-own-stablecoin-ceo-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Citigroup considers issuing its own stablecoin, CEO says
    NEW YORK (Reuters) -Citigroup may issue its own stablecoin in an effort to facilitate digital payments, the bank's CEO, Jane Fraser, told analysts on a post-earnings conference call on Tuesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 396 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts