• ระเบิด "ทรอปิคาน่า" คาสิโนระดับตำนานของเวกัส

    โรงแรมทรอปปิคาน่า คาสิโนในตำนานของลาส เวกัส ถูกระเบิดแหลกเป็นจุลเรียบร้อยแล้วเมื่อเช้ามืดของวันพุธที่ 9 ตุลาคม 2024 ท่ามกลางความสนใจของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

    ถือเป็นการระเบิดคาสิโนครั้งล่าสุดในรอบเกือบสิบปีของลาส เวกัส

    โดยการระเบิดโรงแรมที่เก่าแก่เป็นอันดับสามของย่านสตริปแห่งนี้ เริ่มต้นด้วยการแสดงแปรภาพของโดรน 550 เครื่อง และไพโรโดรน อีก 150 เครื่อง เป็นตัวเลขนับถอยหลัง และป้ายชื่อโรงแรม เป็นการไว้อาลัยก่อนที่จะมีการกดระเบิดโดยวิศวกรของบริษัท คอนโทรลล์ ดีโมลิชั่น ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการระเบิดทำลายอาคารขนาดใหญ่ และเป็นผู้รับผิดชอบการระเบิดทำลายอาคารโรงแรมและคาสิโนแทบทุกแห่งในลาส เวกัส นับจากปี 1995 เป็นต้นมา

    ทรอปิคาน่า ถือเป็นโรงแรมและคาสิโนระดับตำนานของลาส เวกัส เพราะเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1957 หรือ 67 ปีก่อนจะปิดกิจการเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา โดยพื้นที่ที่เคยเป็นโรงแรมทรอปิคาน่า จะถูกสร้างเป็นสนามเบสบอลมาตรฐานของทีมโอ๊คแลนด์ แอทเลติก (Oakland Athletics) ขนาด 33,000 ที่นั่ง ซึ่งใช้ทุนสร้างสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ ที่เชื่อว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2028.
    ระเบิด "ทรอปิคาน่า" คาสิโนระดับตำนานของเวกัส โรงแรมทรอปปิคาน่า คาสิโนในตำนานของลาส เวกัส ถูกระเบิดแหลกเป็นจุลเรียบร้อยแล้วเมื่อเช้ามืดของวันพุธที่ 9 ตุลาคม 2024 ท่ามกลางความสนใจของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ถือเป็นการระเบิดคาสิโนครั้งล่าสุดในรอบเกือบสิบปีของลาส เวกัส โดยการระเบิดโรงแรมที่เก่าแก่เป็นอันดับสามของย่านสตริปแห่งนี้ เริ่มต้นด้วยการแสดงแปรภาพของโดรน 550 เครื่อง และไพโรโดรน อีก 150 เครื่อง เป็นตัวเลขนับถอยหลัง และป้ายชื่อโรงแรม เป็นการไว้อาลัยก่อนที่จะมีการกดระเบิดโดยวิศวกรของบริษัท คอนโทรลล์ ดีโมลิชั่น ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการระเบิดทำลายอาคารขนาดใหญ่ และเป็นผู้รับผิดชอบการระเบิดทำลายอาคารโรงแรมและคาสิโนแทบทุกแห่งในลาส เวกัส นับจากปี 1995 เป็นต้นมา ทรอปิคาน่า ถือเป็นโรงแรมและคาสิโนระดับตำนานของลาส เวกัส เพราะเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1957 หรือ 67 ปีก่อนจะปิดกิจการเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา โดยพื้นที่ที่เคยเป็นโรงแรมทรอปิคาน่า จะถูกสร้างเป็นสนามเบสบอลมาตรฐานของทีมโอ๊คแลนด์ แอทเลติก (Oakland Athletics) ขนาด 33,000 ที่นั่ง ซึ่งใช้ทุนสร้างสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ ที่เชื่อว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2028.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • โบราณสถาน ในวัดใหญ่โพหัก อ.บางแพ จ.ราชบุรี ภายในวัดจะปรากฎให้เห็นถึงวิหารอุดหลังเก่า ที่แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของวัดใหญ่โพหัก ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายแดง ลงรัก ปิดทอง เป็นศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปัจจุบันไม่ได้เปิดให้เข้าเนื่องจากประตูชำรุดเก่ามาก และรอการบูรณะจากกรมศิลปากร (กรมศิลปากร ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2543)#วัดใหญ่โพหัก #วัดเก่าแก่ #วัดสวย #โบราณสถาน #โบราณ #อนุรักษ์ของเก่า#ราชบุรีไม่ได้มีดีแค่โอ่ง #เที่ยวราชบุรี#tixtoxพาเที่ยว#ทริปนี้ที่รอคอย#ให้ภาพเล่าเรื่อง @ให้ภาพเล่าเรื่อง @ให้ภาพเล่าเรื่อง @ให้ภาพเล่าเรื่อง
    โบราณสถาน ในวัดใหญ่โพหัก อ.บางแพ จ.ราชบุรี ภายในวัดจะปรากฎให้เห็นถึงวิหารอุดหลังเก่า ที่แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของวัดใหญ่โพหัก ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายแดง ลงรัก ปิดทอง เป็นศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปัจจุบันไม่ได้เปิดให้เข้าเนื่องจากประตูชำรุดเก่ามาก และรอการบูรณะจากกรมศิลปากร (กรมศิลปากร ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2543)#วัดใหญ่โพหัก #วัดเก่าแก่ #วัดสวย #โบราณสถาน #โบราณ #อนุรักษ์ของเก่า#ราชบุรีไม่ได้มีดีแค่โอ่ง #เที่ยวราชบุรี#tixtoxพาเที่ยว#ทริปนี้ที่รอคอย#ให้ภาพเล่าเรื่อง @ให้ภาพเล่าเรื่อง @ให้ภาพเล่าเรื่อง @ให้ภาพเล่าเรื่อง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 9 0 รีวิว
  • วัดบางกะพ้อม เป็นวัดเก่าแก่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงมากๆ ในสมัยโบราณ เนื่องจาก ความโด่งดังของ พลวงพ่อคง พระเกจิชื่อดัง ซึ่งท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางกะพ้อมในสมัยนั้น #วัดบางกะพ้อม #สมุทรสงคราม #เที่ยวอัมพวา #หลวงพ่อคง #วัดสมุทรสงคราม #เที่ยววัด #TikTokกินเที่ยว @ที่ไหนปัง พี่จะพาไปมู @ที่ไหนปัง พี่จะพาไปมู @ที่ไหนปัง พี่จะพาไปมู
    วัดบางกะพ้อม เป็นวัดเก่าแก่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงมากๆ ในสมัยโบราณ เนื่องจาก ความโด่งดังของ พลวงพ่อคง พระเกจิชื่อดัง ซึ่งท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางกะพ้อมในสมัยนั้น #วัดบางกะพ้อม #สมุทรสงคราม #เที่ยวอัมพวา #หลวงพ่อคง #วัดสมุทรสงคราม #เที่ยววัด #TikTokกินเที่ยว @ที่ไหนปัง พี่จะพาไปมู @ที่ไหนปัง พี่จะพาไปมู @ที่ไหนปัง พี่จะพาไปมู
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • ลวดลายเก่าแก่ ฝีมือเชิงชั้นบรมครู ลายรดน้ำปิดทองสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
    ลวดลายเก่าแก่ ฝีมือเชิงชั้นบรมครู ลายรดน้ำปิดทองสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 20 0 รีวิว
  • เพิ่งเปิดให้เข้าชมได้ไม่นานมานี้เองค่ะ 📍 พระวิหาร วัดราชนัดดาราม วรวิหาร เขตพระนคร กทม ✅เปิดทุกวัน ⏰ 08:00น. - 17:00 น. #วัดสวย #สายมู #เที่ยววัด #เก่าแก่ #ไหว้พระ #วัดราชนัดดารามวรวิหาร #กินเที่ยววัด #tiktokพาเที่ยว
    เพิ่งเปิดให้เข้าชมได้ไม่นานมานี้เองค่ะ 📍 พระวิหาร วัดราชนัดดาราม วรวิหาร เขตพระนคร กทม ✅เปิดทุกวัน ⏰ 08:00น. - 17:00 น. #วัดสวย #สายมู #เที่ยววัด #เก่าแก่ #ไหว้พระ #วัดราชนัดดารามวรวิหาร #กินเที่ยววัด #tiktokพาเที่ยว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 24 0 รีวิว
  • ขออภัยนะคะ……ไปเที่ยวมานิดนึง แต่……ในฐานะติ่งอาวุโส ก็ต้องรีบกลับมาประจำที่ค่าาา……พี่ปูเค้ากำลังฮ็อต…!!!

    ตอนยี่สิบสอง……เรื่องการแทรกแซงในยูเครนไม่ใช่เรื่องใหม่……ยังไงก็ต้องเป็นสนามรบ……!!!

    2013 ในระหว่างที่รัสเซียกำลังพุ่งแรงในเรื่องของเศรษฐกิจและการส่งพลังงาน อเมริกาก็เริ่มอึดอัด……เพราะระหว่างสัมพันธภาพดีๆระหว่างรัสเซียกับอเมริกานั้น……ก็แค่ภาพลักษณ์ภายนอกในสำนักข่าวเท่านั้น
    ที่เหลือคือ…การคุมเชิงกันแบบไม่กระพริบตา……
    โชคได้เข้าข้างปูติน……แบบบุญหล่นทับ……ในวันที่ 23 มิถุนายน 2013
    ที่สายการบินแอโรฟลอตได้นำชายอเมริกันคนหนึ่งมาสู่แผ่นดินรัสเซีย
    เขาคนนั้นคือ Edward Snowden ชายวัย 40 ปี ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมของบริษัท Dell และ Booz Allen Hamilton ที่เป็นบริษัทที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของ NSA (National Security Agency) หรือ ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา
    สโนว์เดน……ได้พบกับความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐ ด้วยหลักฐานหลายๆอย่างที่มีการดักฟังโทรศัพท์ประชาชน และ ควบคุมเพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในทุกที่ ที่ข้ามไปถึง แคนาดา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์
    เขาได้ข้อมูลไปกระจายใน WikiLeaks และ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เช่น The Guardian, The Washington Post
    และได้หลบหนีไปยังฮ่องกง เพื่อไปพบกับใครบางคนที่สถานกงสุลรัสเซียที่นั่น……
    จากนั้นเขาตั้งใจจะไปที่คิวบา………แต่ทางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอายัดพาสปอร์ตของเขาและมีหมายจับ……นั่นหมายความว่าเขาจะไปที่ไหนไม่ได้ นอกจากจะต้องส่งกลับ หรือ ต้องติดอยู่ที่สนามบินที่ฮ่องกงเพื่อรอการจับกุมตัว

    แต่ทางฮ่องกงได้ส่งเขาขึ้นเครื่องบินไปที่มอสโคว์..…ที่ทางรัฐบาลของปูตินปูพรมแดงรอรับ……ที่หัวหน้าของ FSB ไปรอรับด้วยตัวเองในฐานะแขกผู้มีเกียรติและถือว่าเป็นว่าวีรบุรุษ……

    ปธน. บารัค โอบามา พยายามที่จะติดต่อขอตัว”ผู้ร้าย” กลับไป โดยอ้างว่าสโนว์เดนเป็นคนขายชาติ และเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคง
    รวมทั้งสัญญาว่า……จะไม่มีการทำร้าย หรือ จับไปทารุณกรรม จะดำเนินคดีตามกฏหมายเท่านั้น……
    ปูตินตอกกลับไปว่า……เขาไม่ได้มีความผิดอะไรในรัสเซีย และ ด้วยสิทธิมนุษยชน เขามีสิทธิที่จะขออยู่ในรัสเซียได้ เพราะมีคุณสมบัติครบถ้วน
    ว่าแล้ว…สโนว์เดนก็ได้รับวีซ่าลี้ภัยให้อยู่ในรัสเซียแบบยาวนาน

    การเปิดเผยความลับของสโนว์เดนนี้ ผู้นำหลายชาติจึงได้ทราบว่า โทรศัพท์ของตัวเองมีการถูกดักฟัง เช่น นางแองเจลา เมอร์เคิล ด้วยระบบ
    SORM (System of Operative-Investigative Measures) ที่อเมริกาได้สร้างเป็นมุ้งคลุมไว้ทั่วเพื่อเป็นสปายทางระบบใยแก้ว

    เมื่อความลับจากสโนว์เดนที่แจกแจงออกมาให้ชาวโลกได้ทราบ
    โอบามายิ่งแค้นปูตินมากขึ้นเป็นทวีคูณ……เขามีกำหนดการที่จะต้องพบกับปูตินในเดือนกันยายน ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในการประชุม G20
    แต่…ขอยกเลิก……โดยอ้างกับนักข่าวว่า พบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัสเซียทำตรงกันข้ามทุกอย่าง เช่นการเท่าเทียมทางกลุ่มรักร่วมเพศ,
    การลดขนาดการสร้างอาวุธ, ยกเลิกการรับเลี้ยงดูเด็ก และความวุ่นวายที่ตะวันออกกลาง
    แต่……โอบามาไม่ปริปากในเรื่องการรั่วไหลของความลับที่กำลังเป็นข่าวดังในขณะนั้น…
    ทางฝ่ายโฆษกของรัสเซียได้ออกมาตอบโต้ว่า……ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง……!!!

    ผลจากวิกิลีคส์ ที่เผยแพร่ไปได้สร้างความหวั่นไหวให้กับหลายๆชาติ
    ที่ตอนนี้เริ่มมองเห็นความสำคัญของรัสเซีย เพราะทุกคนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า……รัฐบาลรัสเซียได้ล่วงรู้ข้อมูลลับไปมากน้อยแค่ไหน
    สายตาทั้งหมดที่มองไปที่สหรัฐอเมริกา……มีแต่ความเคลือบแคลงและหมดความไว้ใจ
    แม้แต่นิตยสาร Forbes ได้ติดตำแหน่งให้ปูตินเป็นบุคคลที่ทรงอานุภาพที่สุดในโลก
    บุคคลที่ทรงอานุภาพ……ได้หันมาโฟกัสที่ยูเครนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
    เพราะเมื่อปี 2010 ที่ Viktor Yanukovych ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
    ได้มีความกลมเกลียวเป็นอันดีกับรัสเซีย แต่พอมาปลายสมัย คือ 2015
    เขาเริ่มเปลี่ยนไป……หันไปซบกับตะวันตก ที่กำลังขยายยุโรปมาจนติดชายขอบ เช่น Moldova, Georgia และ Armenia โดยเริ่มจากลงนามในสนธิสัญญาทางการค้า โดยหวังว่าจะต่อยอดไปจนถึงสมาชิกสภายูโรเปี้ยน

    สำหรับปูติน……การก้าวล่วงมาถึงยูเครน……มันเกินกว่าที่จะรับได้
    เพราะเขามองออกว่า……นั่นคือ สิ่งที่ตะวันตกต้องการมากที่สุด คือ พื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตทหารในนามของนาโต้……
    และทางพลังงาน……ที่จะเข้ามาควบคุมแหล่งทรัพยากร……
    ถ้าเกิดมีสงครามระหว่าง รัสเซียกับอเมริกา (มีความเป็นไปได้สูง)
    ทางตะวันตกแทบไม่ต้องลงแรงรบเลย เพราะ มีพลังงานให้ใช้ไม่มีหมด
    มีการหนุนหลังเรื่องเสบียงจากยุโรปไม่อั้น และ สามารถปิดกั้นทะเลบอลติก……
    ดังนั้น ยูเครนคือกล่องดวงใจ……ที่ต้องเต้นตามจังหวะของรัสเซียเท่านั้น
    ปูตินตั้งใจที่จะสร้างกลุ่ม Eurasian Union ขึ้นมา คือ เป็นการรวมตัวของโลกฝั่งตะวันออก ( ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว คือ BRICS)
    แต่หัวใจสำคัญคือ ยูเครนที่ปูตินถือว่า เป็นดินแดน(เก่าแก่)ต้นกำเนิดของรัสเซียจะต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดตะวันตก….โดยเริ่มความเป็น Eurasian Union จากพรมแดนตรงนั้น……
    แต่ไปๆมาๆ…ยูเครนได้หันไปโปรตะวันตกอย่างออกหน้าออกตา
    โดยเฉพาะกับนางฮิลลารี คลินตันที่เคยออกมาเย้ยเยาะว่า (2012)
    “ถ้าคิดว่ายูเครนคือหมูในอวย…ฝันไปเถอะ……”

    ก่อนที่ EU จะรับ Lithuania เข้าไปเป็นสมาชิก อียูได้หันมาเร่งให้ยูเครนรีบเซ็นสัญญาค้าขายกันเสียก่อน เพื่อจะได้เอาไว้เป็นเครดิตว่ามีกิจกรรมกับทางยุโรป
    ปูตินพยายามคัดค้าน และพยายามไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง แม้กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2013 ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาร่วมกัน ที่ปูตินได้ย้ำเตือนถึงความเป็นออโธด็อกซ์ที่ผูกพันมาตั้งแต่ ปี 988

    ฝ่ายพ่อค้ายูเครนที่โปรตะวันตก เช่น บริษัท Roshen (ขายขนมทอฟฟี่)
    ปูตินสั่งบอยคอต……ห้ามเข้า
    เขาได้พบกับประธานาธิบดี Yanukovych สองครั้งติดกันในเดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน และบอกตรงๆว่า……ยูเครนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากคิดที่จะหวังไปร่วมกับยุโรป……รวมทั้ง พลังงานทั้งหลายแหล่ จะต้องถูกตัดขาด……
    เมื่อโดนเข้าไปเต็มๆ……ท่าทีของยานุโควิชที่มีต่อยูโรปได้เปลี่ยนไปไม่กล้าที่จะออกความเห็นหรือตัดสินใจ เขาได้บอกกับทางอียูไปตรงๆว่า
    ยูเครนเป็นหนี้รัสเซียอยู่ แสนหกหมื่นล้านเหรียญ ถ้าทางสภายุโรปมีหนทางที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ ยูเครนก็จะได้มีโอกาสทำสัญญาทางการค้าด้วย
    สภายุโรปได้ยินจำนวนเงิน………ก็ลมจับ ไม่เสนอหน้ามาชวนอีกเลย

    แต่ก่อนที่จะโดนปูตินอัดเข้าไป ยานุโควิชได้ทำการโฆษณาให้ความหวังกับประชาชนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะเปิดความสัมพันธ์กับยูโรป และจะพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสภาอียู
    แต่เมื่อถึงเวลาการประชุม ที่ลิธัวเนีย ในวันที่ 21 พฤศจิกายน
    ยานุโควิช……ได้ประกาศออกสื่อให้ทราบทั่วกันว่า เขาเปลี่ยนใจแล้ว
    ไม่ขอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสัมพันธ์ทางพานิชย์กับอียู
    อยู่อย่างนี้เหมือนเดิม…
    ผลคือ……ประชาชนออกมาเดินขบวน แน่นหนาเต็มเมือง
    แต่คราวนี้ไม่ใช่ธงสีส้ม……แต่เป็นธงอียูสีฟ้าที่มีดาวเหลืองเป็นวงกลม

    ยานุโควิช……แทบไม่ต้องแก้ไขอะไรเพราะในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวที่ใกล้เทศกาลปลายปี ชุมนุมกันก็ได้แค่เดี๋ยวเดียว เขาบินไปจีน ไปทำสัญญาการค้าขาย (แทนยุโรป) ก่อนไปที่จีน เขาแวะพบกับปูตินเพื่อทำการตกลงกันว่า ทางรัสเซียจะให้เงินอุดหนุนสภาพคล่องหมื่นห้าพันล้านเหรียญ
    และลดราคาก๊าส จาก$400 คิวบิตเมตร เป็น $268
    ที่จะเก็บเป็นความลับไปจนกว่าจะถึงวันที่ 9 มีนาคม 2014 ที่ผู้นำทั้งสองจะมีการพบปะกัน แล้วค่อยประกาศอย่างเป็นทางการ………

    เป็นอันว่า…ในยกนี้ ปูตินได้เอาชนะต่อคำเยาะเย้ยของนางคลินตันไปได้

    ตอนนั้นเป็นช่วงที่ใกล้จะเปิดพิธีกีฬาโอลิมปิกที่ Sochi ประมุขของประเทศต่างๆจะเข้ามาเป็นอาคันตุกะ เขาได้ทำการปล่อยนักโทษการเมือง ให้เป็นอิสระ อย่างเช่น Mikhaïl Khodorkovsky ที่จำคุกมาแล้ว10 ปี
    โดยมีการทำสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับการเมืองอีก…… และปลดปล่อยกลุ่มสาวห่าม ***** Riot ตามด้วยกลุ่มที่เคยประท้วงอื่นๆ
    สองวันก่อนที่จะมีพิธีเปิด….กลุ่มนักข่าวสามสิบกว่าคนได้ทำการเขียนข่าวในทำนองว่า เป็นการใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเพื่อสนองความต้องการของคนคนเดียว……
    ปูตินให้สัมภาษณ์โต้ว่า……”การทำให้คนรักเรา สรรเสริญเรา ชื่นชมเรา นั้นทำไม่ยากเลย..”
    นักข่าวถามว่า ต้องทำอย่างไร?
    คำตอบคือ……ก็เวลาที่เราลดขนาดกองทัพ…ยกพื้นที่ให้เขา…ขายทรัพยากรให้เขาอย่างถูกๆไงล่ะ ……แค่นั้นเขาก็จะรักเรา ดีกับเราสารพัด…!!
    แต่เมื่อพิธีงานเปิดผ่านไป.……คนที่เคยติ……คนที่เคยต่อต้านกลับมาชื่นชมในผลงานและภาคภูมิใจไปตามๆกัน

    สำหรับปูติน.……มันคือการเรียกศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา เฉกเช่นเมื่อครั้ง Yuri Gagarin ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ……และกองทัพแดงได้ชัยชนะในสงครามกับนาซี
    ความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้…ได้ส่งข้ามไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ไม่ได้เข้ามาร่วม เพราะหนึ่งคือความขัดแย้ง
    สองคือ……ความบาดตาบาดใจ…!!!!


    Wiwanda W. Vichit
    ขออภัยนะคะ……ไปเที่ยวมานิดนึง แต่……ในฐานะติ่งอาวุโส ก็ต้องรีบกลับมาประจำที่ค่าาา……พี่ปูเค้ากำลังฮ็อต…!!! ตอนยี่สิบสอง……เรื่องการแทรกแซงในยูเครนไม่ใช่เรื่องใหม่……ยังไงก็ต้องเป็นสนามรบ……!!! 2013 ในระหว่างที่รัสเซียกำลังพุ่งแรงในเรื่องของเศรษฐกิจและการส่งพลังงาน อเมริกาก็เริ่มอึดอัด……เพราะระหว่างสัมพันธภาพดีๆระหว่างรัสเซียกับอเมริกานั้น……ก็แค่ภาพลักษณ์ภายนอกในสำนักข่าวเท่านั้น ที่เหลือคือ…การคุมเชิงกันแบบไม่กระพริบตา…… โชคได้เข้าข้างปูติน……แบบบุญหล่นทับ……ในวันที่ 23 มิถุนายน 2013 ที่สายการบินแอโรฟลอตได้นำชายอเมริกันคนหนึ่งมาสู่แผ่นดินรัสเซีย เขาคนนั้นคือ Edward Snowden ชายวัย 40 ปี ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมของบริษัท Dell และ Booz Allen Hamilton ที่เป็นบริษัทที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดของ NSA (National Security Agency) หรือ ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา สโนว์เดน……ได้พบกับความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐ ด้วยหลักฐานหลายๆอย่างที่มีการดักฟังโทรศัพท์ประชาชน และ ควบคุมเพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ในทุกที่ ที่ข้ามไปถึง แคนาดา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ เขาได้ข้อมูลไปกระจายใน WikiLeaks และ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เช่น The Guardian, The Washington Post และได้หลบหนีไปยังฮ่องกง เพื่อไปพบกับใครบางคนที่สถานกงสุลรัสเซียที่นั่น…… จากนั้นเขาตั้งใจจะไปที่คิวบา………แต่ทางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอายัดพาสปอร์ตของเขาและมีหมายจับ……นั่นหมายความว่าเขาจะไปที่ไหนไม่ได้ นอกจากจะต้องส่งกลับ หรือ ต้องติดอยู่ที่สนามบินที่ฮ่องกงเพื่อรอการจับกุมตัว แต่ทางฮ่องกงได้ส่งเขาขึ้นเครื่องบินไปที่มอสโคว์..…ที่ทางรัฐบาลของปูตินปูพรมแดงรอรับ……ที่หัวหน้าของ FSB ไปรอรับด้วยตัวเองในฐานะแขกผู้มีเกียรติและถือว่าเป็นว่าวีรบุรุษ…… ปธน. บารัค โอบามา พยายามที่จะติดต่อขอตัว”ผู้ร้าย” กลับไป โดยอ้างว่าสโนว์เดนเป็นคนขายชาติ และเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคง รวมทั้งสัญญาว่า……จะไม่มีการทำร้าย หรือ จับไปทารุณกรรม จะดำเนินคดีตามกฏหมายเท่านั้น…… ปูตินตอกกลับไปว่า……เขาไม่ได้มีความผิดอะไรในรัสเซีย และ ด้วยสิทธิมนุษยชน เขามีสิทธิที่จะขออยู่ในรัสเซียได้ เพราะมีคุณสมบัติครบถ้วน ว่าแล้ว…สโนว์เดนก็ได้รับวีซ่าลี้ภัยให้อยู่ในรัสเซียแบบยาวนาน การเปิดเผยความลับของสโนว์เดนนี้ ผู้นำหลายชาติจึงได้ทราบว่า โทรศัพท์ของตัวเองมีการถูกดักฟัง เช่น นางแองเจลา เมอร์เคิล ด้วยระบบ SORM (System of Operative-Investigative Measures) ที่อเมริกาได้สร้างเป็นมุ้งคลุมไว้ทั่วเพื่อเป็นสปายทางระบบใยแก้ว เมื่อความลับจากสโนว์เดนที่แจกแจงออกมาให้ชาวโลกได้ทราบ โอบามายิ่งแค้นปูตินมากขึ้นเป็นทวีคูณ……เขามีกำหนดการที่จะต้องพบกับปูตินในเดือนกันยายน ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในการประชุม G20 แต่…ขอยกเลิก……โดยอ้างกับนักข่าวว่า พบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรัสเซียทำตรงกันข้ามทุกอย่าง เช่นการเท่าเทียมทางกลุ่มรักร่วมเพศ, การลดขนาดการสร้างอาวุธ, ยกเลิกการรับเลี้ยงดูเด็ก และความวุ่นวายที่ตะวันออกกลาง แต่……โอบามาไม่ปริปากในเรื่องการรั่วไหลของความลับที่กำลังเป็นข่าวดังในขณะนั้น… ทางฝ่ายโฆษกของรัสเซียได้ออกมาตอบโต้ว่า……ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง……!!! ผลจากวิกิลีคส์ ที่เผยแพร่ไปได้สร้างความหวั่นไหวให้กับหลายๆชาติ ที่ตอนนี้เริ่มมองเห็นความสำคัญของรัสเซีย เพราะทุกคนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า……รัฐบาลรัสเซียได้ล่วงรู้ข้อมูลลับไปมากน้อยแค่ไหน สายตาทั้งหมดที่มองไปที่สหรัฐอเมริกา……มีแต่ความเคลือบแคลงและหมดความไว้ใจ แม้แต่นิตยสาร Forbes ได้ติดตำแหน่งให้ปูตินเป็นบุคคลที่ทรงอานุภาพที่สุดในโลก บุคคลที่ทรงอานุภาพ……ได้หันมาโฟกัสที่ยูเครนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะเมื่อปี 2010 ที่ Viktor Yanukovych ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ได้มีความกลมเกลียวเป็นอันดีกับรัสเซีย แต่พอมาปลายสมัย คือ 2015 เขาเริ่มเปลี่ยนไป……หันไปซบกับตะวันตก ที่กำลังขยายยุโรปมาจนติดชายขอบ เช่น Moldova, Georgia และ Armenia โดยเริ่มจากลงนามในสนธิสัญญาทางการค้า โดยหวังว่าจะต่อยอดไปจนถึงสมาชิกสภายูโรเปี้ยน สำหรับปูติน……การก้าวล่วงมาถึงยูเครน……มันเกินกว่าที่จะรับได้ เพราะเขามองออกว่า……นั่นคือ สิ่งที่ตะวันตกต้องการมากที่สุด คือ พื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นเขตทหารในนามของนาโต้…… และทางพลังงาน……ที่จะเข้ามาควบคุมแหล่งทรัพยากร…… ถ้าเกิดมีสงครามระหว่าง รัสเซียกับอเมริกา (มีความเป็นไปได้สูง) ทางตะวันตกแทบไม่ต้องลงแรงรบเลย เพราะ มีพลังงานให้ใช้ไม่มีหมด มีการหนุนหลังเรื่องเสบียงจากยุโรปไม่อั้น และ สามารถปิดกั้นทะเลบอลติก…… ดังนั้น ยูเครนคือกล่องดวงใจ……ที่ต้องเต้นตามจังหวะของรัสเซียเท่านั้น ปูตินตั้งใจที่จะสร้างกลุ่ม Eurasian Union ขึ้นมา คือ เป็นการรวมตัวของโลกฝั่งตะวันออก ( ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว คือ BRICS) แต่หัวใจสำคัญคือ ยูเครนที่ปูตินถือว่า เป็นดินแดน(เก่าแก่)ต้นกำเนิดของรัสเซียจะต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดตะวันตก….โดยเริ่มความเป็น Eurasian Union จากพรมแดนตรงนั้น…… แต่ไปๆมาๆ…ยูเครนได้หันไปโปรตะวันตกอย่างออกหน้าออกตา โดยเฉพาะกับนางฮิลลารี คลินตันที่เคยออกมาเย้ยเยาะว่า (2012) “ถ้าคิดว่ายูเครนคือหมูในอวย…ฝันไปเถอะ……” ก่อนที่ EU จะรับ Lithuania เข้าไปเป็นสมาชิก อียูได้หันมาเร่งให้ยูเครนรีบเซ็นสัญญาค้าขายกันเสียก่อน เพื่อจะได้เอาไว้เป็นเครดิตว่ามีกิจกรรมกับทางยุโรป ปูตินพยายามคัดค้าน และพยายามไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง แม้กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2013 ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาร่วมกัน ที่ปูตินได้ย้ำเตือนถึงความเป็นออโธด็อกซ์ที่ผูกพันมาตั้งแต่ ปี 988 ฝ่ายพ่อค้ายูเครนที่โปรตะวันตก เช่น บริษัท Roshen (ขายขนมทอฟฟี่) ปูตินสั่งบอยคอต……ห้ามเข้า เขาได้พบกับประธานาธิบดี Yanukovych สองครั้งติดกันในเดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน และบอกตรงๆว่า……ยูเครนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หากคิดที่จะหวังไปร่วมกับยุโรป……รวมทั้ง พลังงานทั้งหลายแหล่ จะต้องถูกตัดขาด…… เมื่อโดนเข้าไปเต็มๆ……ท่าทีของยานุโควิชที่มีต่อยูโรปได้เปลี่ยนไปไม่กล้าที่จะออกความเห็นหรือตัดสินใจ เขาได้บอกกับทางอียูไปตรงๆว่า ยูเครนเป็นหนี้รัสเซียอยู่ แสนหกหมื่นล้านเหรียญ ถ้าทางสภายุโรปมีหนทางที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ ยูเครนก็จะได้มีโอกาสทำสัญญาทางการค้าด้วย สภายุโรปได้ยินจำนวนเงิน………ก็ลมจับ ไม่เสนอหน้ามาชวนอีกเลย แต่ก่อนที่จะโดนปูตินอัดเข้าไป ยานุโควิชได้ทำการโฆษณาให้ความหวังกับประชาชนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะเปิดความสัมพันธ์กับยูโรป และจะพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสภาอียู แต่เมื่อถึงเวลาการประชุม ที่ลิธัวเนีย ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ยานุโควิช……ได้ประกาศออกสื่อให้ทราบทั่วกันว่า เขาเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ขอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสัมพันธ์ทางพานิชย์กับอียู อยู่อย่างนี้เหมือนเดิม… ผลคือ……ประชาชนออกมาเดินขบวน แน่นหนาเต็มเมือง แต่คราวนี้ไม่ใช่ธงสีส้ม……แต่เป็นธงอียูสีฟ้าที่มีดาวเหลืองเป็นวงกลม ยานุโควิช……แทบไม่ต้องแก้ไขอะไรเพราะในเวลานั้นเป็นฤดูหนาวที่ใกล้เทศกาลปลายปี ชุมนุมกันก็ได้แค่เดี๋ยวเดียว เขาบินไปจีน ไปทำสัญญาการค้าขาย (แทนยุโรป) ก่อนไปที่จีน เขาแวะพบกับปูตินเพื่อทำการตกลงกันว่า ทางรัสเซียจะให้เงินอุดหนุนสภาพคล่องหมื่นห้าพันล้านเหรียญ และลดราคาก๊าส จาก$400 คิวบิตเมตร เป็น $268 ที่จะเก็บเป็นความลับไปจนกว่าจะถึงวันที่ 9 มีนาคม 2014 ที่ผู้นำทั้งสองจะมีการพบปะกัน แล้วค่อยประกาศอย่างเป็นทางการ……… เป็นอันว่า…ในยกนี้ ปูตินได้เอาชนะต่อคำเยาะเย้ยของนางคลินตันไปได้ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ใกล้จะเปิดพิธีกีฬาโอลิมปิกที่ Sochi ประมุขของประเทศต่างๆจะเข้ามาเป็นอาคันตุกะ เขาได้ทำการปล่อยนักโทษการเมือง ให้เป็นอิสระ อย่างเช่น Mikhaïl Khodorkovsky ที่จำคุกมาแล้ว10 ปี โดยมีการทำสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับการเมืองอีก…… และปลดปล่อยกลุ่มสาวห่าม Pussy Riot ตามด้วยกลุ่มที่เคยประท้วงอื่นๆ สองวันก่อนที่จะมีพิธีเปิด….กลุ่มนักข่าวสามสิบกว่าคนได้ทำการเขียนข่าวในทำนองว่า เป็นการใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองเพื่อสนองความต้องการของคนคนเดียว…… ปูตินให้สัมภาษณ์โต้ว่า……”การทำให้คนรักเรา สรรเสริญเรา ชื่นชมเรา นั้นทำไม่ยากเลย..” นักข่าวถามว่า ต้องทำอย่างไร? คำตอบคือ……ก็เวลาที่เราลดขนาดกองทัพ…ยกพื้นที่ให้เขา…ขายทรัพยากรให้เขาอย่างถูกๆไงล่ะ ……แค่นั้นเขาก็จะรักเรา ดีกับเราสารพัด…!! แต่เมื่อพิธีงานเปิดผ่านไป.……คนที่เคยติ……คนที่เคยต่อต้านกลับมาชื่นชมในผลงานและภาคภูมิใจไปตามๆกัน สำหรับปูติน.……มันคือการเรียกศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา เฉกเช่นเมื่อครั้ง Yuri Gagarin ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ……และกองทัพแดงได้ชัยชนะในสงครามกับนาซี ความยิ่งใหญ่ในครั้งนี้…ได้ส่งข้ามไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ไม่ได้เข้ามาร่วม เพราะหนึ่งคือความขัดแย้ง สองคือ……ความบาดตาบาดใจ…!!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📚รีเบคก้า


    ดีใจที่ห้องสมุดมี และดีใจที่ยืมมาอ่าน แม้นอรรถรสอาจจะได้ไม่เต็มที่เพราะเคยดูหนังที่ฮิตช์ค็อกสร้างมาก่อน ถึงอย่างนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความเป็นสุดยอดของนิยายยอดเยี่ยมแห่งยุคเรื่องหนึ่ง ไม่สงสัยแล้วว่าเหตุใดจึงยังไม่ถูกลืม เพราะความดีงามของเรื่องนั้นสามารถข้ามผ่านกาลเวลามาใกล้ 90 ปีเต็มที

    ขนาดพอรู้เรื่องคร่าวๆแม้นจำไม่ได้มากเพราะหนังดูไว้นานหลายปีแล้ว แต่เมื่อได้จับฉบับหนังสือก็ยังอดลุ้นระทึกตามไปกับตัวละครนำไม่ได้ ต้องสรรเสริญผู้เขียนคือ ดาฟเน ดู โมริเยร์ ที่ให้กำเนิดรีเบคก้าขึ้นมาอวดโฉมสู่สายตานักอ่านในบรรณพิภพ

    หนังสือพิมพ์ในไทยครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2511 ฉบับที่อ่านนี้เป็นของ สนพ.สร้างสรรค์-วิชาการ เป็นพิมพ์ครั้งที่ 7 เมื่อปี พ.ศ.2538 หนา 387 หน้า มีช่วงระหว่างหน้าที่ 283-298 ทำเอาใจวูบ เพราะกำลังดำเนินเรื่องถึงช่วงจุดสูงสุดที่จะเฉลยปม เลขหน้าข้าม ทีแรกก็เศร้าว่าหน้าหายเยอะขนาดนี้คงจะพลาดอะไรสำคัญไปเยอะ พลิกตรวจดูจึงรู้ว่า เป็นความผิดพลาดของการเข้าเล่ม ที่ทำให้ต้องเปิดพลิกกลับอ่านแบบญี่ปุ่นจากขวามาซ้ายประมาณ 16 หน้า จึงกลับสู่การอ่านแบบปกติได้ น่าจะเป็นทั้งล็อตในการพิมพ์หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ

    สองประการที่ลดคุณค่าของนิยายเล่มนี้ในฉบับพิมพ์ของสร้างสรรค์คือ หนึ่ง ตัวอักษรที่เลือกใช้ได้ทรมานสายตาคนอ่านอย่างมากคือทั้งเล็กและบาง เมื่อบวกกับแถวยาวเหยียดที่เบียดกันเป็นพรืด นาน ๆ จึงจะพบย่อหน้าสักครั้ง จึงต้องใช้พลังสมาธิและความพยายามอย่างยิ่งกว่าจะอ่านจบ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะความดีงามในตัวของนิยายเองที่ทำให้อยากอ่านต่อ อาจยอมแพ้เสียก่อน และสอง กระดาษที่ใช้คุณภาพไม่ดีเลย ความหนาแน่นของเนื้อเยื่อกระดาษบางมาก

    🔻

    เนื้อเรื่องโดยย่อ

    หญิงสาววัยสัก20ปี ที่เป็นผู้มีบุคลิกใสซื่อ มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างบริสุทธิ์ตามธรรมชาตินางหนึ่ง พ่อแม่ตายไปตั้งแต่ยังเล็ก จึงจำต้องหาเลี้ยงตนเองมาแบบอัตคัด จนได้มาติดตามเป็นหญิงรับใช้ให้กับคุณนายอึ่งอ่างนางหนึ่ง(ขออภัย เธอมีชื่อแต่ลักษณะภายนอกที่ถูกบรรยายทำให้นึกไปถึงอึ่งจริง ๆ นะ) ซึ่งคุณนายคนนี้ก็มีนิสัยแย่ ชอบจิกใช้งานหญิงสาว และพูดจาเหยียบย่ำน้ำใจบ่อย อีกทั้งชอบทำตัวเจ๋อแจ้น เที่ยวปั้นหน้าไปคุยกับคนในแวดวงสังคม ไม่ใช่เพื่ออะไรมากไปกว่าตักตวงข่าวสารมาพูดนินทาต่อให้คนอื่นฟังด้วยความสนุกปากตามพื้นนิสัยเดิม ซึ่งสถานที่ที่ทำให้นางเอกและพระเอกได้พบกันครั้งแรกคือที่ โรงแรมแห่งหนึ่งในมอนติคาโล คุณนายอึ่งอ่างถือวิสาสะไปคุยด้วยกับหนุ่มใหญ่เจ้าของคฤหาสน์ มันเดอลีย์ ที่กำลังอยู่ในระหว่างท่องเที่ยวเพื่อลืมเลือนเรื่องอดีตเกี่ยวกับภรรยาสาวที่เสียชีวิตไปไม่นาน ในห้องอาหารชั้นล่างซึ่งนางเอกก็จำต้องอยู่ใกล้ชิดร่วมโต๊ะแม้นไม่อยาก เพราะอับอายแทนผู้ว่าจ้างของตน ด้วยเธอเป็นคนหน้าบางและมีสมบัติผู้ดีมากกว่าคุณนายอึ่งอ่าง ทั้งที่โดนกดและดูถูกว่าเป็นพวกชั้นล่าง

    ก็การพบหน้าคราวนั้นเองคือจุดเริ่มต้นแห่งเรื่องราวชวนฝัน ที่ประจวบเหมาะว่าวันต่อมาเจ้านายเธอมีไข้ไม่สบาย หมอให้พักสักสองสัปดาห์ในห้อง จึงเป็นโอกาสให้นางเอกของเรื่องพอจะมีเวลาเป็นของตนเอง ได้ใช้ชีวิตอิสระในตอนลงมากินข้าวที่ห้องอาหารชั้นล่าง ซึ่งก็พอดีได้พบพระเอกเป็นครั้งที่สอง แม้จะเจียมตัวไม่กล้าไปทักหรือร่วมโต๊ะ แต่สุดท้ายเหตุการณ์ก็พาไปให้พระเอกคือมิสเตอร์ เดอวินเตอร์ ตะล่อมพูดจนเธอยอมมานั่งกินอาหารโต๊ะเดียวกับเขา และได้พูดคุยพอเป็นที่รู้เรื่องความเป็นมาของฝ่ายสาว และในโอกาสต่อมาจากวันนั้น กลายเป็นว่าช่วงเวลาที่คุณนายอึ่งอ่างนอนแซ่วบนเตียง ที่ก็ไม่ได้ป่วยอะไรมาก แต่อยากหาเหตุให้คนอื่นมาเยี่ยมจะได้ชวนคุยนินทาสารพัดกับเล่นไพ่นั้น เปิดโอกาสให้นางเอกได้สานความสัมพันธ์อันดีกับพระเอกที่ยังคงมีมาดสุขุม ลึกลับ ครุ่นคิดตลอดเวลา และไม่ค่อยพูดจาหรือเปิดเผยเรื่องราวของตน จนฝ่ายหญิงเริ่มมีความรู้สึกที่ดีกับฝ่ายชายอย่างมาก ถึงขั้นที่เรียกว่ารักแรก ทุกวันพระเอกจะพบกับนางเอกที่ห้องอาหาร กินด้วยกันแล้วพาไปนั่งรถแล่นกินลมชมวิวไปตามที่ต่างๆ

    แต่แล้วเมื่ออาการของเจ้านายดีขึ้น วันหนึ่งก็สั่งนางเอกว่าให้รีบไปจองตั๋วรถไฟ เพราะลูกสาวของนางติดต่อมาว่าจะไปนิวยอร์ก และเจ้านายก็จะตามไปอยู่ด้วย แน่นอนว่าต้องเอานางเอกตามไปรับใช้ เมื่อทราบข่าวเธอถึงกับหัวใจสลาย เข่าอ่อน เหมือนความสุขที่เพิ่งปรากฏไม่นานในชีวิตกำลังจะสูญสลายไปตลอดกาล เธอพยายามจะลงไปพบเจอพระเอก แต่เขาไม่อยู่ไปทำธุระ ทำให้ในเธอรุ่มร้อนเป็นไฟ ในวันเดินทางที่ถูกใช้ให้ไปเปลี่ยนตั๋วเพื่อเลื่อนเที่ยวรถให้เร็วขึ้นจากช่วงสายเป็นช่วงเช้า เธอสิ้นหวังแล้ว แต่ไม่อาจตัดใจจากไปทั้งยังไม่ได้บอกลา จึงอาศัยช่วงที่เจ้านายสั่งให้มาติดต่อเปลี่ยนเที่ยวนั้น วิ่งหน้าตั้งไปเคาะห้องที่รู้ว่าพระเอกพักอยู่เพื่อจะบอกให้ทราบ และเมื่อพระเอกได้ฟัง จึงถามว่าทำไมเธอต้องปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามแต่เจ้านายจะบงการ เธอบอกเพราะเธอต้องใช้เงิน และการทำงานรับใช้ทั้งที่ไม่อยากก็เพื่อแลกกับค่าจ้างน้อยนิด พระเอกยื่นข้อเสนอให้เลือก ว่าเธอจะไปกับคุณนายอึ่งอ่างหรือจะไปกับเขา เธอไม่เข้าใจ เขาบอกอีกครั้งให้ชัดว่าเธอจะเลือกไปกับเขาในฐานะมิสซิส เดอวินเตอร์หรือไม่

    นั่นเอง คือการเดินทางครั้งใหม่ของนางเอก หลังเธอตกลงใจจะไปกับเขาเพราะความรัก ทั้งสองแต่งงานกันอย่างที่ไม่มีการสวมชุด เข้าโบสถ์หรือการเลี้ยงฉลอง เพราะเขาไม่ปรารถนา แล้วไปฮันนีมูนต่อที่อิตาลีอยู่หลายสัปดาห์ ก่อนที่ท้ายสุดจะตรงไปที่คฤหาสน์มันเดอลีย์อันแสนไกล งดงามตั้งตระหง่านอยู่ภายในวงล้อมของป่ารก ที่ซึ่งเธอต้องกลายจากนางสาวต็อกต๋อย ไร้ชื่อเสียง ไร้เงิน ไร้ศักดิ์ฐานะใดๆ ไปเป็นคุณนายภริยาคนใหม่ของเจ้าของคฤหาสน์หรูเก่าแก่ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ด้วยตัวคนเดียวโดดเดี่ยว และต้องเผชิญหน้ากับการต้อนรับอันเย็นชา และน่ากลัวของหญิงสาวผู้เป็นต้นห้องคนเก่าของมิสซิส เดอวินเตอร์คนที่ตายไปแล้ว อันมีนามว่า รีเบคกา กับบริวารรับใช้ชายหญิงอีกหลายคนที่ล้วนแล้วแต่มีอะไรที่เหมือนจะให้ความรู้สึกที่ไม่น่าไว้ใจ หดหู่ เร้นลับ

    ท่ามกลางความใหญ่โตกว้างขวางของห้องหับนับไม่ถ้วน ดอกไม้ป่านานาพรรณ อีกไม้ป่ายืนต้นรกชัฏ กับชายหาดและอ่าวที่เงียบเชียบ ดูเปลี่ยวเหงาวังเวง เสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่ง กระทบโขดหิน ความดำมืดของบรรยากาศที่ทึบทึม ผู้คนที่จะเป็นมิตรก็ไม่ใช่ จะศัตรูก็ไม่เชิง กับเงาร่างของภรรยาสาวคนเก่าที่เพิ่งตายไปไม่นานของคนรักของเธอ ที่เหมือนยังมีชีวิตและปรากฏตัวไปทั่วทุกแห่ง

    นางเอกที่ยังอายุน้อยมาก กับพระเอกในวัย42 จะฟันฝ่าอุปสรรคและนำพาชีวิตรักไปรอดหรือไม่ ในขณะที่มีพี่สาวของสามีและพี่เขย อีกทั้งผู้จัดการงานทั่วไปของสามี คล้ายจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอ และเอาใจช่วยให้ชีวิตของคนทั้งคู่เดินหน้าต่อไปได้ แต่ทว่าปริศนาทั้งหลายเกี่ยวกับคุณนายคนเก่า คือรีเบคกา และอุปสรรคจากแม่บ้านที่แสดงตนชัดว่าชิงชังรังเกียจ และหาเรื่องคอยสร้างปัญหาให้ ล้วนเป็นปราการใหญ่ที่ทำให้ผู้อ่านต้องลุ้นเอาใจช่วยเธอไปอย่างตื่นเต้น

    🔶️

    เชื่อว่าคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราว ไม่เคยดูหนังมาก่อน จะได้รับอรรถรสความสนุกเต็มที่มากสุด ส่วนผู้เคยดูหนังแล้วก็ยังคงจะได้รับความสนุกได้ ในแง่ของการได้ทบทวนเก็บเกี่ยวรายละเอียดอีกครั้ง หากใครที่มีไว้ในกองดองแต่ยังไม่ได้อ่าน น่าเสียดายอย่างมาก

    ผู้แต่งมีอัจฉริยภาพในการเขียนบรรยายฉากอย่างแท้จริง ขอชื่นชมและสรรเสริญ โดนเฉพาะฉากที่พูดถึงนกชนิดต่าง ๆ พรรณไม้หลากหลายชนิดที่ขึ้นและปลูกไว้รายรอบคฤหาสน์ รายละเอียดของชนิดอาหาร เครื่องประกอบ เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่ง คือมีความรอบรู้อย่างลึกจริง ทำให้คนอ่านเห็นภาพตามชัดเจน ยิ่งใครที่รู้จักอาหารประเภทต่าง ๆ เหล่านั้น รู้จักดอกไม้มากมายหลายชนิดที่กล่าวถึง คงจะยิ่งดำดิ่งเห็นภาพชัดราวกับเห็นลอยอยู่ตรงหน้า

    การใช้รูปแบบของอุปมาโวหารเชิงเปรียบเทียบช่างเป็นภาษาที่งดงาม แม้จะโบราณแต่เข้ากันมากกับยุคสมัยและบรรยากาศตามท้องเรื่อง ยิ่งบวกกับโครงเรื่องและแก่นที่แน่นเปรี๊ยะ อีกทั้งวิธีการเล่าอันน่าทึ่ง ซึ่งไม่ใช่ใครที่เป็นนักเขียนโดยทั่วไปก็สามารถทำได้ แน่นอนว่านักเขียนทุกคนล้วนปรารถนาให้ตนสามารถสร้างสรรค์งานเขียนดีเยี่ยมชนิดเป็นมาสเตอร์พีซของตนเองได้สักเล่มในชั่วชีวิตที่ผลิตงาน แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำสำเร็จ และผมเชื่อว่า ดาฟเน ดู โมริเยร์ คือหนึ่งในนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ ฉบับแปลไทยนี้ทำได้ดีทีเดียว แม้จะพบว่ามีบางคำออกจะแปลก ๆ ในความรู้สึกอยู่บ้าง เช่นใช้คำว่า กระท้อน ในความหมายที่สื่อถึงการ สะท้อน และอีก 2-3 คำ แต่พอเข้าใจได้ ไม่แน่ว่าในยุคสมัยที่ผู้แปลแปลไว้ คำไทยบางคำในเวลานั้นอาจใช้และสะกดต่างไปจากปัจจุบัน ซึ่งก็ได้แต่คาดเดาเพราะผมไม่มีความรู้มากพอในด้านนี้

    เรื่องนี้ทำให้เข้าใจถึงข้อด้อยที่น่ากำจัดหรือปรับปรุงแก้ไขให้ไม่มีอยู่ในอุปนิสัยของใครคนไหนก็ตามคือ "การคิดเองเออเอง" ซึ่งจะพบเห็นได้เยอะมากในตัวตนของนางเอก แทบจะตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเป็นจุดตายที่มีส่วนจะทำให้ชีวิตรักของนางอาจต้องถึงกาลอับปางอย่างน่าหวดเสียว และผู้หญิงส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นกันด้วยสิ ความคิดระแวง คิดเป็นตุเป็นตะ คิดหมกมุ่นเพ้อฝันไปล่วงหน้าและมักเป็นไปในทางร้ายนั้น ได้แสดงให้เห็นอิทธิพลของมันชัดเจนยิ่งในเรื่อง ว่าส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาตามมาอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากหากผู้อ่านจะนำมาสำรวจตรวจตรากับการดำเนินชีวิตตนเอง ที่จะไม่ให้มี "อิตถีภาวะ"มากเกินไปแม้ในเพศชายก็ตาม

    มีบ้างทีอ่านแล้วอาจจะรู้สึก "ลำไย" ในอุปนิสัยของนางเอก ที่เธอจะอะไรกันนักหนานะกับแทบทุกเรื่อง แต่ก็ดีที่ผู้เขียนได้สร้างเหตุแล้วให้ตัวละครของตน ได้รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองแล้วพัฒนาเติบโตขึ้นในช่วงหลัง ที่ไม่อ่อนวัย ใจใสไร้เดียงสาดังเช่นตอนต้นเรื่อง

    เป็นความชาญฉลาดในการวางผังอย่างดี ที่ให้เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ค่อยๆเปิดเผยให้ตัวนางเอกและคนอ่านได้ค่อยๆ รู้เรื่องเกี่ยวกับรีเบคกาเพิ่มขึ้นทีละน้อย ๆ เต็มไปด้วยความหวาดระแวง แคลงใจ จนนำไปสู่ความน่าตื่นตะลึงในช่วงที่เฉลยความจริงให้นางเอกและผู้อ่านทราบไปพร้อมกัน ต่อจากนั้นอีกร้อยกว่าหน้า ก็เป็นช่วงที่ไม่ได้มีแผ่วลงเลยแม้แต่น้อย มีแต่เร่งเร้า เขย่าขวัญ สั่นประสาท ให้ต้องตามลุ้นระทึกเอาใจช่วยให้พระนางผ่านพ้นเรื่องร้ายแรงไปได้ด้วยดีเถิด แต่ละหน้า แต่ละบทสนทนาล้วนแต่พาเราให้ตื่นตัว ตื่นเต้นไปกับอุปสรรคต่อเนื่องที่ดาหน้าเข้าใส่ทั้งสองอย่างต่อเนื่อง ราวคลื่นทะเลที่ซัดหาฝั่งลูกแล้วลูกเล่า เหมือนโดนคลื่นพาลอยขึ้นไปจนสูงแล้วบัดดลก็จับโยนลงมาสู่เบื้องต่ำ ก่อนจะถูกม้วนลอยขึ้นไปที่สูงใหม่

    ที่ชอบมากที่สุดคือวิธีที่ผู้เขียนเลือกใช้ในการหาทางพาให้พระนางดิ้นรนไปตามทางที่ถูกตัวร้ายนำไป ไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า จำนนต่อสิ่งที่ปรากฏและจู่โจม แต่แล้วก็พาให้ตัวละครและเรื่องราวทั้งหมดดำเนินไปสู่จุดอันคลี่คลายอย่างชนิดที่ต้องร้องในใจว่า คิดได้ยังไง ไม่มีจุดตำหนิได้เลย เพราะไม่ใช่ตอนจบที่เหมือนไม่รู้จะจัดการกับปมที่สร้างมาอย่างไรแล้วก็ใส่วิธีจัดการเข้ามาแบบไม่สนใจอะไร แต่ทุกอย่างคือถูกวางมาแล้วแต่แรก อย่างมีระเบียบ และเงียบเชียบ บอกใบ้ไว้แต่ไม่กระโตกกระตาก มีความลุ่มลึก ที่ถ้าหากใครมีเวลามากพอ ควรอ่านอย่างช้า ๆ เพื่อเก็บละเอียดทุกประโยคแล้วจะได้พบกับความไม่ธรรมดาของนิยานเรื่องนี้ที่น่าอึ้ง ชวนหลงใหลตั้งแต่เปิดเรื่องมาด้วยท่อนอมตะที่ว่า

    "เมื่อคืนนี้ดิฉันฝันว่า ได้ไปที่คฤหาสน์มันเดอลีย์อีกครั้งหนึ่ง"

    สุดท้ายคือ การที่ตลอดทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เรากลับไม่ได้รู้เลยว่าผู้เล่าเรื่องคือ ดิฉันนั้น แท้จริงชื่อเรียงเสียงไรกันแน่ เรารู้จักกับรีเบคกา ราวกับมีชีวิตทั้งที่ตายไปแล้ว กลับกันนางเอกหรือ ดิฉัน ที่ใกล้ชิดกับคนอ่านมากสุดราวกับคือตัวเราเองที่ยังไม่ตายนั้น เหมือนใกล้แต่ก็ไกล คือเป็นใครก็ได้ไม่ว่าผู้อ่านคือชายหรือหญิง เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้วอดไม่ได้จะนำตนเองไปสวมเป็น ดิฉัน ไม่มากก็น้อย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ป.ล. (คนที่ยังไม่เคยอ่านหรือดูหนังมาเลย ควรข้าม)

    เรื่องนี้มีฉบับฝาแฝด ที่ได้รับแรงบันดาลใจ จนนักเขียนนิยายไทยท่านหนึ่ง นำโครงเรื่องมาดัดแปลง กลายเป็นนิยายแปลงชื่อ คุณหญิงสีวิกา ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2534 สนพ.หมึกจีน เคยได้รับการนำไปสร้างเป็นละครช่อง 7 นำแสดงโดยคุณแอน อังคณา ทิมดี รับบทคุณหญิงสีวิกา และคุณจอห์นนี่ แอนโฟเน่ รับบทสามี ส่วนภรรยาสาวคนใหม่รับบทโดย คุณลูกศร ธนาภรณ์ รัตนเสน ผมยังได้รับชมเมื่อครั้งเรียนช่วงมัธยมปลายพอจำได้ ตอนนั้นก็สนุกนะ เพราะอยากทราบความจริงที่อยู่เบื้องหลัง ต้องตามอ่านจากไทยรัฐทุกวัน ซึ่งในเรื่องตัวคุณหญิงสีวิกามีอาการของคนที่ศัพท์เฉพาะใช้คำว่า "ฮิสทีเรีย" สมัยนั้นถึงกับมีดราม่ากันใหญ่โตว่าเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายที่ควรนำมาทำเป็นละครฉายทางทีวีช่วงหลังข่าวภาคค่ำจบ ยุคนั้นละครมีประมาณชั่วโมงเดียว เริ่มสักสามทุ่มไปจบสี่ทุ่ม สุดท้ายกระแสต่อต้านเยอะจนไม่แน่ใจว่าถูกตัดทอนให้ตอนสั้นลงแล้วรีบตัดจบเอาดื้อ ๆ หรือไม่ จำไม่ค่อยได้แล้ว

    #thaitimes
    #รีเบคกา
    #นิยายแปล
    #นิยาย
    #ลึกลับ
    #ความวิปริตทางเพศ
    #มอนติคาโล
    #ท่องเที่ยว
    #บ้านริมหาด
    #คฤหาสน์
    #หนังสือดี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #วรรณกรรมคลาสสิก
    📚รีเบคก้า ดีใจที่ห้องสมุดมี และดีใจที่ยืมมาอ่าน แม้นอรรถรสอาจจะได้ไม่เต็มที่เพราะเคยดูหนังที่ฮิตช์ค็อกสร้างมาก่อน ถึงอย่างนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความเป็นสุดยอดของนิยายยอดเยี่ยมแห่งยุคเรื่องหนึ่ง ไม่สงสัยแล้วว่าเหตุใดจึงยังไม่ถูกลืม เพราะความดีงามของเรื่องนั้นสามารถข้ามผ่านกาลเวลามาใกล้ 90 ปีเต็มที ขนาดพอรู้เรื่องคร่าวๆแม้นจำไม่ได้มากเพราะหนังดูไว้นานหลายปีแล้ว แต่เมื่อได้จับฉบับหนังสือก็ยังอดลุ้นระทึกตามไปกับตัวละครนำไม่ได้ ต้องสรรเสริญผู้เขียนคือ ดาฟเน ดู โมริเยร์ ที่ให้กำเนิดรีเบคก้าขึ้นมาอวดโฉมสู่สายตานักอ่านในบรรณพิภพ หนังสือพิมพ์ในไทยครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2511 ฉบับที่อ่านนี้เป็นของ สนพ.สร้างสรรค์-วิชาการ เป็นพิมพ์ครั้งที่ 7 เมื่อปี พ.ศ.2538 หนา 387 หน้า มีช่วงระหว่างหน้าที่ 283-298 ทำเอาใจวูบ เพราะกำลังดำเนินเรื่องถึงช่วงจุดสูงสุดที่จะเฉลยปม เลขหน้าข้าม ทีแรกก็เศร้าว่าหน้าหายเยอะขนาดนี้คงจะพลาดอะไรสำคัญไปเยอะ พลิกตรวจดูจึงรู้ว่า เป็นความผิดพลาดของการเข้าเล่ม ที่ทำให้ต้องเปิดพลิกกลับอ่านแบบญี่ปุ่นจากขวามาซ้ายประมาณ 16 หน้า จึงกลับสู่การอ่านแบบปกติได้ น่าจะเป็นทั้งล็อตในการพิมพ์หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ สองประการที่ลดคุณค่าของนิยายเล่มนี้ในฉบับพิมพ์ของสร้างสรรค์คือ หนึ่ง ตัวอักษรที่เลือกใช้ได้ทรมานสายตาคนอ่านอย่างมากคือทั้งเล็กและบาง เมื่อบวกกับแถวยาวเหยียดที่เบียดกันเป็นพรืด นาน ๆ จึงจะพบย่อหน้าสักครั้ง จึงต้องใช้พลังสมาธิและความพยายามอย่างยิ่งกว่าจะอ่านจบ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะความดีงามในตัวของนิยายเองที่ทำให้อยากอ่านต่อ อาจยอมแพ้เสียก่อน และสอง กระดาษที่ใช้คุณภาพไม่ดีเลย ความหนาแน่นของเนื้อเยื่อกระดาษบางมาก 🔻 เนื้อเรื่องโดยย่อ หญิงสาววัยสัก20ปี ที่เป็นผู้มีบุคลิกใสซื่อ มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างบริสุทธิ์ตามธรรมชาตินางหนึ่ง พ่อแม่ตายไปตั้งแต่ยังเล็ก จึงจำต้องหาเลี้ยงตนเองมาแบบอัตคัด จนได้มาติดตามเป็นหญิงรับใช้ให้กับคุณนายอึ่งอ่างนางหนึ่ง(ขออภัย เธอมีชื่อแต่ลักษณะภายนอกที่ถูกบรรยายทำให้นึกไปถึงอึ่งจริง ๆ นะ) ซึ่งคุณนายคนนี้ก็มีนิสัยแย่ ชอบจิกใช้งานหญิงสาว และพูดจาเหยียบย่ำน้ำใจบ่อย อีกทั้งชอบทำตัวเจ๋อแจ้น เที่ยวปั้นหน้าไปคุยกับคนในแวดวงสังคม ไม่ใช่เพื่ออะไรมากไปกว่าตักตวงข่าวสารมาพูดนินทาต่อให้คนอื่นฟังด้วยความสนุกปากตามพื้นนิสัยเดิม ซึ่งสถานที่ที่ทำให้นางเอกและพระเอกได้พบกันครั้งแรกคือที่ โรงแรมแห่งหนึ่งในมอนติคาโล คุณนายอึ่งอ่างถือวิสาสะไปคุยด้วยกับหนุ่มใหญ่เจ้าของคฤหาสน์ มันเดอลีย์ ที่กำลังอยู่ในระหว่างท่องเที่ยวเพื่อลืมเลือนเรื่องอดีตเกี่ยวกับภรรยาสาวที่เสียชีวิตไปไม่นาน ในห้องอาหารชั้นล่างซึ่งนางเอกก็จำต้องอยู่ใกล้ชิดร่วมโต๊ะแม้นไม่อยาก เพราะอับอายแทนผู้ว่าจ้างของตน ด้วยเธอเป็นคนหน้าบางและมีสมบัติผู้ดีมากกว่าคุณนายอึ่งอ่าง ทั้งที่โดนกดและดูถูกว่าเป็นพวกชั้นล่าง ก็การพบหน้าคราวนั้นเองคือจุดเริ่มต้นแห่งเรื่องราวชวนฝัน ที่ประจวบเหมาะว่าวันต่อมาเจ้านายเธอมีไข้ไม่สบาย หมอให้พักสักสองสัปดาห์ในห้อง จึงเป็นโอกาสให้นางเอกของเรื่องพอจะมีเวลาเป็นของตนเอง ได้ใช้ชีวิตอิสระในตอนลงมากินข้าวที่ห้องอาหารชั้นล่าง ซึ่งก็พอดีได้พบพระเอกเป็นครั้งที่สอง แม้จะเจียมตัวไม่กล้าไปทักหรือร่วมโต๊ะ แต่สุดท้ายเหตุการณ์ก็พาไปให้พระเอกคือมิสเตอร์ เดอวินเตอร์ ตะล่อมพูดจนเธอยอมมานั่งกินอาหารโต๊ะเดียวกับเขา และได้พูดคุยพอเป็นที่รู้เรื่องความเป็นมาของฝ่ายสาว และในโอกาสต่อมาจากวันนั้น กลายเป็นว่าช่วงเวลาที่คุณนายอึ่งอ่างนอนแซ่วบนเตียง ที่ก็ไม่ได้ป่วยอะไรมาก แต่อยากหาเหตุให้คนอื่นมาเยี่ยมจะได้ชวนคุยนินทาสารพัดกับเล่นไพ่นั้น เปิดโอกาสให้นางเอกได้สานความสัมพันธ์อันดีกับพระเอกที่ยังคงมีมาดสุขุม ลึกลับ ครุ่นคิดตลอดเวลา และไม่ค่อยพูดจาหรือเปิดเผยเรื่องราวของตน จนฝ่ายหญิงเริ่มมีความรู้สึกที่ดีกับฝ่ายชายอย่างมาก ถึงขั้นที่เรียกว่ารักแรก ทุกวันพระเอกจะพบกับนางเอกที่ห้องอาหาร กินด้วยกันแล้วพาไปนั่งรถแล่นกินลมชมวิวไปตามที่ต่างๆ แต่แล้วเมื่ออาการของเจ้านายดีขึ้น วันหนึ่งก็สั่งนางเอกว่าให้รีบไปจองตั๋วรถไฟ เพราะลูกสาวของนางติดต่อมาว่าจะไปนิวยอร์ก และเจ้านายก็จะตามไปอยู่ด้วย แน่นอนว่าต้องเอานางเอกตามไปรับใช้ เมื่อทราบข่าวเธอถึงกับหัวใจสลาย เข่าอ่อน เหมือนความสุขที่เพิ่งปรากฏไม่นานในชีวิตกำลังจะสูญสลายไปตลอดกาล เธอพยายามจะลงไปพบเจอพระเอก แต่เขาไม่อยู่ไปทำธุระ ทำให้ในเธอรุ่มร้อนเป็นไฟ ในวันเดินทางที่ถูกใช้ให้ไปเปลี่ยนตั๋วเพื่อเลื่อนเที่ยวรถให้เร็วขึ้นจากช่วงสายเป็นช่วงเช้า เธอสิ้นหวังแล้ว แต่ไม่อาจตัดใจจากไปทั้งยังไม่ได้บอกลา จึงอาศัยช่วงที่เจ้านายสั่งให้มาติดต่อเปลี่ยนเที่ยวนั้น วิ่งหน้าตั้งไปเคาะห้องที่รู้ว่าพระเอกพักอยู่เพื่อจะบอกให้ทราบ และเมื่อพระเอกได้ฟัง จึงถามว่าทำไมเธอต้องปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามแต่เจ้านายจะบงการ เธอบอกเพราะเธอต้องใช้เงิน และการทำงานรับใช้ทั้งที่ไม่อยากก็เพื่อแลกกับค่าจ้างน้อยนิด พระเอกยื่นข้อเสนอให้เลือก ว่าเธอจะไปกับคุณนายอึ่งอ่างหรือจะไปกับเขา เธอไม่เข้าใจ เขาบอกอีกครั้งให้ชัดว่าเธอจะเลือกไปกับเขาในฐานะมิสซิส เดอวินเตอร์หรือไม่ นั่นเอง คือการเดินทางครั้งใหม่ของนางเอก หลังเธอตกลงใจจะไปกับเขาเพราะความรัก ทั้งสองแต่งงานกันอย่างที่ไม่มีการสวมชุด เข้าโบสถ์หรือการเลี้ยงฉลอง เพราะเขาไม่ปรารถนา แล้วไปฮันนีมูนต่อที่อิตาลีอยู่หลายสัปดาห์ ก่อนที่ท้ายสุดจะตรงไปที่คฤหาสน์มันเดอลีย์อันแสนไกล งดงามตั้งตระหง่านอยู่ภายในวงล้อมของป่ารก ที่ซึ่งเธอต้องกลายจากนางสาวต็อกต๋อย ไร้ชื่อเสียง ไร้เงิน ไร้ศักดิ์ฐานะใดๆ ไปเป็นคุณนายภริยาคนใหม่ของเจ้าของคฤหาสน์หรูเก่าแก่ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ด้วยตัวคนเดียวโดดเดี่ยว และต้องเผชิญหน้ากับการต้อนรับอันเย็นชา และน่ากลัวของหญิงสาวผู้เป็นต้นห้องคนเก่าของมิสซิส เดอวินเตอร์คนที่ตายไปแล้ว อันมีนามว่า รีเบคกา กับบริวารรับใช้ชายหญิงอีกหลายคนที่ล้วนแล้วแต่มีอะไรที่เหมือนจะให้ความรู้สึกที่ไม่น่าไว้ใจ หดหู่ เร้นลับ ท่ามกลางความใหญ่โตกว้างขวางของห้องหับนับไม่ถ้วน ดอกไม้ป่านานาพรรณ อีกไม้ป่ายืนต้นรกชัฏ กับชายหาดและอ่าวที่เงียบเชียบ ดูเปลี่ยวเหงาวังเวง เสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่ง กระทบโขดหิน ความดำมืดของบรรยากาศที่ทึบทึม ผู้คนที่จะเป็นมิตรก็ไม่ใช่ จะศัตรูก็ไม่เชิง กับเงาร่างของภรรยาสาวคนเก่าที่เพิ่งตายไปไม่นานของคนรักของเธอ ที่เหมือนยังมีชีวิตและปรากฏตัวไปทั่วทุกแห่ง นางเอกที่ยังอายุน้อยมาก กับพระเอกในวัย42 จะฟันฝ่าอุปสรรคและนำพาชีวิตรักไปรอดหรือไม่ ในขณะที่มีพี่สาวของสามีและพี่เขย อีกทั้งผู้จัดการงานทั่วไปของสามี คล้ายจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอ และเอาใจช่วยให้ชีวิตของคนทั้งคู่เดินหน้าต่อไปได้ แต่ทว่าปริศนาทั้งหลายเกี่ยวกับคุณนายคนเก่า คือรีเบคกา และอุปสรรคจากแม่บ้านที่แสดงตนชัดว่าชิงชังรังเกียจ และหาเรื่องคอยสร้างปัญหาให้ ล้วนเป็นปราการใหญ่ที่ทำให้ผู้อ่านต้องลุ้นเอาใจช่วยเธอไปอย่างตื่นเต้น 🔶️ เชื่อว่าคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราว ไม่เคยดูหนังมาก่อน จะได้รับอรรถรสความสนุกเต็มที่มากสุด ส่วนผู้เคยดูหนังแล้วก็ยังคงจะได้รับความสนุกได้ ในแง่ของการได้ทบทวนเก็บเกี่ยวรายละเอียดอีกครั้ง หากใครที่มีไว้ในกองดองแต่ยังไม่ได้อ่าน น่าเสียดายอย่างมาก ผู้แต่งมีอัจฉริยภาพในการเขียนบรรยายฉากอย่างแท้จริง ขอชื่นชมและสรรเสริญ โดนเฉพาะฉากที่พูดถึงนกชนิดต่าง ๆ พรรณไม้หลากหลายชนิดที่ขึ้นและปลูกไว้รายรอบคฤหาสน์ รายละเอียดของชนิดอาหาร เครื่องประกอบ เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่ง คือมีความรอบรู้อย่างลึกจริง ทำให้คนอ่านเห็นภาพตามชัดเจน ยิ่งใครที่รู้จักอาหารประเภทต่าง ๆ เหล่านั้น รู้จักดอกไม้มากมายหลายชนิดที่กล่าวถึง คงจะยิ่งดำดิ่งเห็นภาพชัดราวกับเห็นลอยอยู่ตรงหน้า การใช้รูปแบบของอุปมาโวหารเชิงเปรียบเทียบช่างเป็นภาษาที่งดงาม แม้จะโบราณแต่เข้ากันมากกับยุคสมัยและบรรยากาศตามท้องเรื่อง ยิ่งบวกกับโครงเรื่องและแก่นที่แน่นเปรี๊ยะ อีกทั้งวิธีการเล่าอันน่าทึ่ง ซึ่งไม่ใช่ใครที่เป็นนักเขียนโดยทั่วไปก็สามารถทำได้ แน่นอนว่านักเขียนทุกคนล้วนปรารถนาให้ตนสามารถสร้างสรรค์งานเขียนดีเยี่ยมชนิดเป็นมาสเตอร์พีซของตนเองได้สักเล่มในชั่วชีวิตที่ผลิตงาน แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำสำเร็จ และผมเชื่อว่า ดาฟเน ดู โมริเยร์ คือหนึ่งในนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ ฉบับแปลไทยนี้ทำได้ดีทีเดียว แม้จะพบว่ามีบางคำออกจะแปลก ๆ ในความรู้สึกอยู่บ้าง เช่นใช้คำว่า กระท้อน ในความหมายที่สื่อถึงการ สะท้อน และอีก 2-3 คำ แต่พอเข้าใจได้ ไม่แน่ว่าในยุคสมัยที่ผู้แปลแปลไว้ คำไทยบางคำในเวลานั้นอาจใช้และสะกดต่างไปจากปัจจุบัน ซึ่งก็ได้แต่คาดเดาเพราะผมไม่มีความรู้มากพอในด้านนี้ เรื่องนี้ทำให้เข้าใจถึงข้อด้อยที่น่ากำจัดหรือปรับปรุงแก้ไขให้ไม่มีอยู่ในอุปนิสัยของใครคนไหนก็ตามคือ "การคิดเองเออเอง" ซึ่งจะพบเห็นได้เยอะมากในตัวตนของนางเอก แทบจะตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเป็นจุดตายที่มีส่วนจะทำให้ชีวิตรักของนางอาจต้องถึงกาลอับปางอย่างน่าหวดเสียว และผู้หญิงส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นกันด้วยสิ ความคิดระแวง คิดเป็นตุเป็นตะ คิดหมกมุ่นเพ้อฝันไปล่วงหน้าและมักเป็นไปในทางร้ายนั้น ได้แสดงให้เห็นอิทธิพลของมันชัดเจนยิ่งในเรื่อง ว่าส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาตามมาอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากหากผู้อ่านจะนำมาสำรวจตรวจตรากับการดำเนินชีวิตตนเอง ที่จะไม่ให้มี "อิตถีภาวะ"มากเกินไปแม้ในเพศชายก็ตาม มีบ้างทีอ่านแล้วอาจจะรู้สึก "ลำไย" ในอุปนิสัยของนางเอก ที่เธอจะอะไรกันนักหนานะกับแทบทุกเรื่อง แต่ก็ดีที่ผู้เขียนได้สร้างเหตุแล้วให้ตัวละครของตน ได้รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองแล้วพัฒนาเติบโตขึ้นในช่วงหลัง ที่ไม่อ่อนวัย ใจใสไร้เดียงสาดังเช่นตอนต้นเรื่อง เป็นความชาญฉลาดในการวางผังอย่างดี ที่ให้เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ค่อยๆเปิดเผยให้ตัวนางเอกและคนอ่านได้ค่อยๆ รู้เรื่องเกี่ยวกับรีเบคกาเพิ่มขึ้นทีละน้อย ๆ เต็มไปด้วยความหวาดระแวง แคลงใจ จนนำไปสู่ความน่าตื่นตะลึงในช่วงที่เฉลยความจริงให้นางเอกและผู้อ่านทราบไปพร้อมกัน ต่อจากนั้นอีกร้อยกว่าหน้า ก็เป็นช่วงที่ไม่ได้มีแผ่วลงเลยแม้แต่น้อย มีแต่เร่งเร้า เขย่าขวัญ สั่นประสาท ให้ต้องตามลุ้นระทึกเอาใจช่วยให้พระนางผ่านพ้นเรื่องร้ายแรงไปได้ด้วยดีเถิด แต่ละหน้า แต่ละบทสนทนาล้วนแต่พาเราให้ตื่นตัว ตื่นเต้นไปกับอุปสรรคต่อเนื่องที่ดาหน้าเข้าใส่ทั้งสองอย่างต่อเนื่อง ราวคลื่นทะเลที่ซัดหาฝั่งลูกแล้วลูกเล่า เหมือนโดนคลื่นพาลอยขึ้นไปจนสูงแล้วบัดดลก็จับโยนลงมาสู่เบื้องต่ำ ก่อนจะถูกม้วนลอยขึ้นไปที่สูงใหม่ ที่ชอบมากที่สุดคือวิธีที่ผู้เขียนเลือกใช้ในการหาทางพาให้พระนางดิ้นรนไปตามทางที่ถูกตัวร้ายนำไป ไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า จำนนต่อสิ่งที่ปรากฏและจู่โจม แต่แล้วก็พาให้ตัวละครและเรื่องราวทั้งหมดดำเนินไปสู่จุดอันคลี่คลายอย่างชนิดที่ต้องร้องในใจว่า คิดได้ยังไง ไม่มีจุดตำหนิได้เลย เพราะไม่ใช่ตอนจบที่เหมือนไม่รู้จะจัดการกับปมที่สร้างมาอย่างไรแล้วก็ใส่วิธีจัดการเข้ามาแบบไม่สนใจอะไร แต่ทุกอย่างคือถูกวางมาแล้วแต่แรก อย่างมีระเบียบ และเงียบเชียบ บอกใบ้ไว้แต่ไม่กระโตกกระตาก มีความลุ่มลึก ที่ถ้าหากใครมีเวลามากพอ ควรอ่านอย่างช้า ๆ เพื่อเก็บละเอียดทุกประโยคแล้วจะได้พบกับความไม่ธรรมดาของนิยานเรื่องนี้ที่น่าอึ้ง ชวนหลงใหลตั้งแต่เปิดเรื่องมาด้วยท่อนอมตะที่ว่า "เมื่อคืนนี้ดิฉันฝันว่า ได้ไปที่คฤหาสน์มันเดอลีย์อีกครั้งหนึ่ง" สุดท้ายคือ การที่ตลอดทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เรากลับไม่ได้รู้เลยว่าผู้เล่าเรื่องคือ ดิฉันนั้น แท้จริงชื่อเรียงเสียงไรกันแน่ เรารู้จักกับรีเบคกา ราวกับมีชีวิตทั้งที่ตายไปแล้ว กลับกันนางเอกหรือ ดิฉัน ที่ใกล้ชิดกับคนอ่านมากสุดราวกับคือตัวเราเองที่ยังไม่ตายนั้น เหมือนใกล้แต่ก็ไกล คือเป็นใครก็ได้ไม่ว่าผู้อ่านคือชายหรือหญิง เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้วอดไม่ได้จะนำตนเองไปสวมเป็น ดิฉัน ไม่มากก็น้อย . . . . . . . . . ป.ล. (คนที่ยังไม่เคยอ่านหรือดูหนังมาเลย ควรข้าม) เรื่องนี้มีฉบับฝาแฝด ที่ได้รับแรงบันดาลใจ จนนักเขียนนิยายไทยท่านหนึ่ง นำโครงเรื่องมาดัดแปลง กลายเป็นนิยายแปลงชื่อ คุณหญิงสีวิกา ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2534 สนพ.หมึกจีน เคยได้รับการนำไปสร้างเป็นละครช่อง 7 นำแสดงโดยคุณแอน อังคณา ทิมดี รับบทคุณหญิงสีวิกา และคุณจอห์นนี่ แอนโฟเน่ รับบทสามี ส่วนภรรยาสาวคนใหม่รับบทโดย คุณลูกศร ธนาภรณ์ รัตนเสน ผมยังได้รับชมเมื่อครั้งเรียนช่วงมัธยมปลายพอจำได้ ตอนนั้นก็สนุกนะ เพราะอยากทราบความจริงที่อยู่เบื้องหลัง ต้องตามอ่านจากไทยรัฐทุกวัน ซึ่งในเรื่องตัวคุณหญิงสีวิกามีอาการของคนที่ศัพท์เฉพาะใช้คำว่า "ฮิสทีเรีย" สมัยนั้นถึงกับมีดราม่ากันใหญ่โตว่าเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายที่ควรนำมาทำเป็นละครฉายทางทีวีช่วงหลังข่าวภาคค่ำจบ ยุคนั้นละครมีประมาณชั่วโมงเดียว เริ่มสักสามทุ่มไปจบสี่ทุ่ม สุดท้ายกระแสต่อต้านเยอะจนไม่แน่ใจว่าถูกตัดทอนให้ตอนสั้นลงแล้วรีบตัดจบเอาดื้อ ๆ หรือไม่ จำไม่ค่อยได้แล้ว #thaitimes #รีเบคกา #นิยายแปล #นิยาย #ลึกลับ #ความวิปริตทางเพศ #มอนติคาโล #ท่องเที่ยว #บ้านริมหาด #คฤหาสน์ #หนังสือดี #หนังสือน่าอ่าน #วรรณกรรมคลาสสิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 736 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศเหนือ

    เดือนนี้ ธุรกิจที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ จะประสบความสำเร็จเฮงๆสุดขีด ทำธุรกิจค้าของเก่าวัตถุโบราณจะได้ของดีมีราคา มีชื่อเสียง โชคดีมาเยือน (หากมีคนหัวล้านมาเยือนจะทำให้ยิ่งโชคดี) มีข่าวจากแดนไกล จะมีทรัพย์สมบัติสะสมได้รับมรดกทรัพย์สมบัติเก่าแก่จากบรรพบุรุษมาแบ่งปัน อีกทั้งลูกหนี้จะกลับมาติดต่อขอชำระหนี้แต่จะถูกใส่ร้ายป้ายสีให้ติดคุกติดตะรางได้หากไปทำสัญญาปกปิดไม่เปิดเผยในที่ๆลับตา ทั้งเจ้าที่จะทวงถามคำมั่นที่เคยบนบานศาลกล่าวกันไว้ให้แก้บนแล้วก็จะดีขึ้น สุขภาพจะมีปัญหาที่ระบบย่อย เด็กรุ่นๆจะเจ็บป่วยที่ท้อง ลำไส้ แผ่นหลัง กระดูกสันหลัง แขน ขา นิ้ว สตรีเพศจะป่วยทางจิตสาเหตุจากการเป็นม่าย
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศเหนือ เดือนนี้ ธุรกิจที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ จะประสบความสำเร็จเฮงๆสุดขีด ทำธุรกิจค้าของเก่าวัตถุโบราณจะได้ของดีมีราคา มีชื่อเสียง โชคดีมาเยือน (หากมีคนหัวล้านมาเยือนจะทำให้ยิ่งโชคดี) มีข่าวจากแดนไกล จะมีทรัพย์สมบัติสะสมได้รับมรดกทรัพย์สมบัติเก่าแก่จากบรรพบุรุษมาแบ่งปัน อีกทั้งลูกหนี้จะกลับมาติดต่อขอชำระหนี้แต่จะถูกใส่ร้ายป้ายสีให้ติดคุกติดตะรางได้หากไปทำสัญญาปกปิดไม่เปิดเผยในที่ๆลับตา ทั้งเจ้าที่จะทวงถามคำมั่นที่เคยบนบานศาลกล่าวกันไว้ให้แก้บนแล้วก็จะดีขึ้น สุขภาพจะมีปัญหาที่ระบบย่อย เด็กรุ่นๆจะเจ็บป่วยที่ท้อง ลำไส้ แผ่นหลัง กระดูกสันหลัง แขน ขา นิ้ว สตรีเพศจะป่วยทางจิตสาเหตุจากการเป็นม่าย ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิหร่านประกาศว่าการโจมตีอิสราเอล ซึ่งถือเป็นการโจมตีทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ ได้จบลงแล้ว เว้นแต่จะถูกยั่วยุอีก แต่อิสราเอลและอเมริกาเผยเตรียมล้างแค้นอย่างสาสม โหมกระพือความกังวลว่า ตะวันออกกลางกำลังจะลุกเป็นไฟ ล่าสุดกองทัพยิวยังส่งทหารราบและหน่วยยานเกราะร่วมปฏิบัติการบุกภาคพื้นดินทางใต้ของเลบานอนเพื่อเพิ่มความกดดันต่อฮิซบอลเลาะห์
    .
    การประกาศเมื่อวันพุธ (2 ต.ค.) เกี่ยวกับการเพิ่มทหารราบและหน่วยยานเกราะจากกองพลที่ 36 บ่งชี้ว่า ปฏิบัติการของอิสราเอลไปไกลกว่าการบุกแบบจำกัดของหน่วยคอมมานโด อย่างไรก็ดี กองทัพอิสราเอลระบุว่า ปฏิบัติการภาคพื้นดินมุ่งทำลายอุโมงค์และโครงสร้างพื้นฐานบริเวณชายแดนเป็นหลัก และไม่มีแผนขยายเป้าหมายไปยังกรุงเบรุตหรือเมืองใหญ่อื่นๆ ทางใต้ของเลบานอน
    .
    ท่ามกลางการเรียกร้องหยุดยิงจากสหประชาชาติ (ยูเอ็น) อเมริกา และสหภาพยุโรป (อียู) อิสราเอลยังคงสู้รบกับฮิซบอลเลาะห์ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน รวมทั้งทิ้งระเบิดถล่มชานเมืองด้านใต้ของเบรุต ซึ่งเป็นที่มั่นของกลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้ และออกคำสั่งอพยพใหม่ในบริเณดังกล่าว
    .
    จากข้อมูลของรัฐบาลเลบานอนเมื่อวันอังคาร (1 ต.ค.) มีผู้เสียชีวิตเกือบ 1,900 คน และบาดเจ็บกว่า 9,000 คนจากการสู้รบข้ามพรมแดนที่ดำเนินมาเกือบปี โดยการสูญเสียส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
    .
    ทางด้านฮิซบอลเลาะห์เผยว่า ได้เผชิญหน้าและผลักดันกองกำลังอิสราเอลที่พยายามรุกล้ำออกจากเมืองอะเดสเซห์เมื่อเช้าวันพุธ
    .
    เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันอังคารเตหะรานยิงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกฟัตตาห์ระลอกใหญ่โจมตีอิสราเอล ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งโจมตีที่ตั้งทางทหารเพื่อตอบโต้ที่อิสราเอลสังหารผู้นำกลุ่มติดอาวุธหลายคน ซึ่งรวมถึงฮัสซัน นาสรัลเลาะห์ ผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ อีกทั้งยังรุกรานเลบานอนและกาซา โดยสำนักข่าวของทางการอิหร่านรายงานว่า เตหะรานล็อกเป้าโจมตีฐานทัพ 3 แห่งของอิสราเอล ทั้งนี้ กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติของอิหร่านอวดอ้างว่า ขีปนาวุธ 90 โจมตีเป้าหมายสำเร็จ
    .
    อับบาส อารากชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์เมื่อเช้าวันพุธว่า การดำเนินการของเตหะรานสิ้นสุดลงแล้ว เว้นแต่อิสราเอลตัดสินใจยั่วยุอีก ซึ่งอิหร่านจะตอบโต้รุนแรงขึ้นกว่าเดิม
    .
    นอกจากนั้นเสนาธิการกองทัพบกอิหร่านยังออกแถลงการณ์เตือนว่า หากถูกตอบโต้ เตหะรานจะทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอิสราเอล รวมถึงผลประโยชน์ของพันธมิตรของอิสราเอลที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่อยู่ในตะวันออกกลาง
    .
    ด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่า อิสราเอลจะเอาคืนและเตือนว่า อิหร่านจะต้องจ่ายราคาแพง ขณะที่วอชิงตันขานรับว่า จะร่วมกับอิสราเอลที่เป็นพันธมิตรเก่าแก่เพื่อให้แน่ใจว่า อิหร่านจะเผชิญผลลัพธ์รุนแรงจากการโจมตีเมื่อวันอังคาร ซึ่งอิสราเอลระบุว่า มีการใช้ขีปนาวุธทิ้งตัวมากกว่า 180 ลูก
    .
    ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ หารือกับโยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล เมื่อคืนวันอังคาร และเผยว่า วอชิงตันพร้อมปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาในตะวันออกกลาง ขณะที่เพนตากอนระบุว่า การโจมตีเมื่อวันอังคารมีขนาดใหญ่กว่าเมื่อครั้งที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลในเดือนเมษายน
    .
    พลเรือตรีแดเนียล ฮาการีของอิสราเอล โพสต์บนเอ็กซ์ว่า อิสราเอลเปิดใช้งานระบบต่อต้านการโจมตีทางอากาศต่อการระดมโจมตีของอิหร่านเมื่อวันอังคาร และแนวร่วมป้องกันระหว่างอิสราเอลกับอเมริกาสามารถสกัดขีปนาวุธส่วนใหญ่ได้ ก่อนสำทับว่า การโจมตีของอิสราเอลทำให้สถานการณ์ลุกลามอันตรายอย่างยิ่ง
    .
    แอกซิออส เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ของอเมริกา รายงานเมื่อวันพุธโดยอ้างอิงการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่อิสราเอลว่า อิสราเอลจะตอบโต้อย่างรุนแรงภายในไม่กี่วันโดยพุ่งเป้าที่สถานที่ผลิตน้ำมันภายในอิหร่าน รวมถึงที่ตั้งทางยุทธศาสตร์อื่นๆ
    .
    ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศสนับสนุนอิสราเอลเต็มที่ และวิจารณ์ว่า การโจมตีของอิหร่าน “ไร้น้ำยา” ขณะที่รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดี สนับสนุนจุดยืนของไบเดน และเสริมว่า อเมริกาจะไม่ลังเลเลยในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศจากการโจมตีของอิหร่าน
    .
    ทั้งนี้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นกำหนดประชุมเกี่ยวกับความขัดแย้งในตะวันออกกลางในวันพุธ และอียูเรียกร้องให้หยุดยิงทันที
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000093355
    ..................
    Sondhi X
    อิหร่านประกาศว่าการโจมตีอิสราเอล ซึ่งถือเป็นการโจมตีทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ ได้จบลงแล้ว เว้นแต่จะถูกยั่วยุอีก แต่อิสราเอลและอเมริกาเผยเตรียมล้างแค้นอย่างสาสม โหมกระพือความกังวลว่า ตะวันออกกลางกำลังจะลุกเป็นไฟ ล่าสุดกองทัพยิวยังส่งทหารราบและหน่วยยานเกราะร่วมปฏิบัติการบุกภาคพื้นดินทางใต้ของเลบานอนเพื่อเพิ่มความกดดันต่อฮิซบอลเลาะห์ . การประกาศเมื่อวันพุธ (2 ต.ค.) เกี่ยวกับการเพิ่มทหารราบและหน่วยยานเกราะจากกองพลที่ 36 บ่งชี้ว่า ปฏิบัติการของอิสราเอลไปไกลกว่าการบุกแบบจำกัดของหน่วยคอมมานโด อย่างไรก็ดี กองทัพอิสราเอลระบุว่า ปฏิบัติการภาคพื้นดินมุ่งทำลายอุโมงค์และโครงสร้างพื้นฐานบริเวณชายแดนเป็นหลัก และไม่มีแผนขยายเป้าหมายไปยังกรุงเบรุตหรือเมืองใหญ่อื่นๆ ทางใต้ของเลบานอน . ท่ามกลางการเรียกร้องหยุดยิงจากสหประชาชาติ (ยูเอ็น) อเมริกา และสหภาพยุโรป (อียู) อิสราเอลยังคงสู้รบกับฮิซบอลเลาะห์ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน รวมทั้งทิ้งระเบิดถล่มชานเมืองด้านใต้ของเบรุต ซึ่งเป็นที่มั่นของกลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้ และออกคำสั่งอพยพใหม่ในบริเณดังกล่าว . จากข้อมูลของรัฐบาลเลบานอนเมื่อวันอังคาร (1 ต.ค.) มีผู้เสียชีวิตเกือบ 1,900 คน และบาดเจ็บกว่า 9,000 คนจากการสู้รบข้ามพรมแดนที่ดำเนินมาเกือบปี โดยการสูญเสียส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา . ทางด้านฮิซบอลเลาะห์เผยว่า ได้เผชิญหน้าและผลักดันกองกำลังอิสราเอลที่พยายามรุกล้ำออกจากเมืองอะเดสเซห์เมื่อเช้าวันพุธ . เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันอังคารเตหะรานยิงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกฟัตตาห์ระลอกใหญ่โจมตีอิสราเอล ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งโจมตีที่ตั้งทางทหารเพื่อตอบโต้ที่อิสราเอลสังหารผู้นำกลุ่มติดอาวุธหลายคน ซึ่งรวมถึงฮัสซัน นาสรัลเลาะห์ ผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ อีกทั้งยังรุกรานเลบานอนและกาซา โดยสำนักข่าวของทางการอิหร่านรายงานว่า เตหะรานล็อกเป้าโจมตีฐานทัพ 3 แห่งของอิสราเอล ทั้งนี้ กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติของอิหร่านอวดอ้างว่า ขีปนาวุธ 90 โจมตีเป้าหมายสำเร็จ . อับบาส อารากชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์เมื่อเช้าวันพุธว่า การดำเนินการของเตหะรานสิ้นสุดลงแล้ว เว้นแต่อิสราเอลตัดสินใจยั่วยุอีก ซึ่งอิหร่านจะตอบโต้รุนแรงขึ้นกว่าเดิม . นอกจากนั้นเสนาธิการกองทัพบกอิหร่านยังออกแถลงการณ์เตือนว่า หากถูกตอบโต้ เตหะรานจะทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอิสราเอล รวมถึงผลประโยชน์ของพันธมิตรของอิสราเอลที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่อยู่ในตะวันออกกลาง . ด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่า อิสราเอลจะเอาคืนและเตือนว่า อิหร่านจะต้องจ่ายราคาแพง ขณะที่วอชิงตันขานรับว่า จะร่วมกับอิสราเอลที่เป็นพันธมิตรเก่าแก่เพื่อให้แน่ใจว่า อิหร่านจะเผชิญผลลัพธ์รุนแรงจากการโจมตีเมื่อวันอังคาร ซึ่งอิสราเอลระบุว่า มีการใช้ขีปนาวุธทิ้งตัวมากกว่า 180 ลูก . ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ หารือกับโยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล เมื่อคืนวันอังคาร และเผยว่า วอชิงตันพร้อมปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาในตะวันออกกลาง ขณะที่เพนตากอนระบุว่า การโจมตีเมื่อวันอังคารมีขนาดใหญ่กว่าเมื่อครั้งที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลในเดือนเมษายน . พลเรือตรีแดเนียล ฮาการีของอิสราเอล โพสต์บนเอ็กซ์ว่า อิสราเอลเปิดใช้งานระบบต่อต้านการโจมตีทางอากาศต่อการระดมโจมตีของอิหร่านเมื่อวันอังคาร และแนวร่วมป้องกันระหว่างอิสราเอลกับอเมริกาสามารถสกัดขีปนาวุธส่วนใหญ่ได้ ก่อนสำทับว่า การโจมตีของอิสราเอลทำให้สถานการณ์ลุกลามอันตรายอย่างยิ่ง . แอกซิออส เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ของอเมริกา รายงานเมื่อวันพุธโดยอ้างอิงการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่อิสราเอลว่า อิสราเอลจะตอบโต้อย่างรุนแรงภายในไม่กี่วันโดยพุ่งเป้าที่สถานที่ผลิตน้ำมันภายในอิหร่าน รวมถึงที่ตั้งทางยุทธศาสตร์อื่นๆ . ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศสนับสนุนอิสราเอลเต็มที่ และวิจารณ์ว่า การโจมตีของอิหร่าน “ไร้น้ำยา” ขณะที่รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดี สนับสนุนจุดยืนของไบเดน และเสริมว่า อเมริกาจะไม่ลังเลเลยในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศจากการโจมตีของอิหร่าน . ทั้งนี้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นกำหนดประชุมเกี่ยวกับความขัดแย้งในตะวันออกกลางในวันพุธ และอียูเรียกร้องให้หยุดยิงทันที . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000093355 .................. Sondhi X
    Like
    Sad
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1200 มุมมอง 0 รีวิว
  • เป็นร้านส้มตำเก่าแก่ เปิดมานาน แต่เราเพิ่งมีโอกาสได้มาทาน เดินทางโดย MRT ลงสถานีลุมพินี แล้วเดินต่อมาประมาณ 800 เมตร เรามากันหลายคนสั่งไก่ทอด ส้มตำไทย น้ำตกหมู คอหมูย่าง และเมี่ยงปลาทับทิม ช่วงเที่ยงคนเยอะมากแต่รออาหารไม่นาน พนักงานบริการดี เราประทับใจไก่ทอดที่สุด หนังกรอบ เนื้อนุ่มฉ่ำ ไม่รู้ทำได้ยังไง กระเทียมเจียวโรยมาแบบไม่กัก น้ำจิ้มมีให้สองแบบคือน้ำจิ้มไก่หวานๆกับน้ำจิ้มแจ่ว อร่อยคนละแบบ
    #กินสาระนัวร์ #ของอร่อย #Thaitimes
    เป็นร้านส้มตำเก่าแก่ เปิดมานาน แต่เราเพิ่งมีโอกาสได้มาทาน เดินทางโดย MRT ลงสถานีลุมพินี แล้วเดินต่อมาประมาณ 800 เมตร เรามากันหลายคนสั่งไก่ทอด ส้มตำไทย น้ำตกหมู คอหมูย่าง และเมี่ยงปลาทับทิม ช่วงเที่ยงคนเยอะมากแต่รออาหารไม่นาน พนักงานบริการดี เราประทับใจไก่ทอดที่สุด หนังกรอบ เนื้อนุ่มฉ่ำ ไม่รู้ทำได้ยังไง กระเทียมเจียวโรยมาแบบไม่กัก น้ำจิ้มมีให้สองแบบคือน้ำจิ้มไก่หวานๆกับน้ำจิ้มแจ่ว อร่อยคนละแบบ #กินสาระนัวร์ #ของอร่อย #Thaitimes
    Like
    Love
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 467 มุมมอง 0 รีวิว
  • SaveTik.co☰


    หมู่บ้านที่เก่าแก่ของจังหวัดอุบลราชธานี บ้านปะอาว เป็นหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อเรื่องการหล่อทองเหลืองและงานฝีมือ
    SaveTik.co☰ หมู่บ้านที่เก่าแก่ของจังหวัดอุบลราชธานี บ้านปะอาว เป็นหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อเรื่องการหล่อทองเหลืองและงานฝีมือ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 35 0 รีวิว
  • ☆ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี
    ซึ่งแต่เดิมเรียกกันว่า
    ศาลเทพารักษ์หลักเมือง
    เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพนับถือของชาวจังหวัดสุพรรณบุรี
    ตั้งอยู่ในเขตเมืองโบราณสุพรรณบุรี ถนนมาลัยแมน ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี

    ☆หมู่บ้านมังกรสวรรค์ ตลาดพันปี
    ตั้งอยู่ภายในอุทยานมังกรสวรรค์ รูปแบบของหมู่บ้านได้จำลอง "เมืองลีเจียง" ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่โบราณอายุนับพันปี ที่มีรูปแบบที่สวยงามจนได้รับแต่งตั้งให้เป็นเมืองมรดกโลก
    ■■■■■■
    #สุพรรณบุรี #เที่ยวไทยไปกับมะนาวก้าวเดิน #มะนาวก้าวเดิน #ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี
    #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    ☆ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งแต่เดิมเรียกกันว่า ศาลเทพารักษ์หลักเมือง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพนับถือของชาวจังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งอยู่ในเขตเมืองโบราณสุพรรณบุรี ถนนมาลัยแมน ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ☆หมู่บ้านมังกรสวรรค์ ตลาดพันปี ตั้งอยู่ภายในอุทยานมังกรสวรรค์ รูปแบบของหมู่บ้านได้จำลอง "เมืองลีเจียง" ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่โบราณอายุนับพันปี ที่มีรูปแบบที่สวยงามจนได้รับแต่งตั้งให้เป็นเมืองมรดกโลก ■■■■■■ #สุพรรณบุรี #เที่ยวไทยไปกับมะนาวก้าวเดิน #มะนาวก้าวเดิน #ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    Like
    Yay
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1563 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤠#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผืว ตอน 01.🤠

    ในความประทับใจจดจำของทุกคน โดยทั่วไปแล้วคนอินเดียจะมีผิวคล้ำกว่า จริงๆ แล้วถ้าสังเกตให้ดีจะพบปรากฏการณ์น่าประหลาดใจ จะพบว่ามีคนผิวขาวจำนวนมากในอินเดีย และโดยทั่วไปแล้วคนผิวขาวเหล่านี้จะมีสถานะทางสังคมที่สูงกว่า

    หลายคนมีความอยากรู้อยากเห็น 😎ทำไมอินเดียถึงมีคนผิวขาว? คนผิวขาวเหล่านี้ในอินเดียมาจากไหน?😎

    🤯1. ชาวอารยันผู้พิชิต🤯

    ต้นกำเนิดของคนผิวขาวในอินเดียต้องเริ่มต้นจากประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของอินเดียก่อน

    ประมาณ 1,500 ปีที่แล้ว ชนเผ่าอารยันโบราณและทรงพลังอาศัยอยู่ใกล้กับเทือกเขาอูราล (Ural)ทางตอนเหนือ

    เนื่องจากชาวอารยันอาศัยอยู่ในสภาพอากาศหนาวเย็นและมีรังสีอัลตราไวโอเลตที่ค่อนข้างอ่อน พวกเขาทั้งหมดจึงสูงและผิวขาว

    หลังจากผ่านหลังจากผ่านการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตอยู่รอดอย่างยากลำบากหลายปี พวกเขาก็กลายเป็นผู้กล้าหาญและดุดันก้าวร้าว และก่อให้เกิดประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง

    เพื่อให้ได้สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น ชาวอารยันอพยพไปตลอดทางโดยไม่เคยหยุดเพื่อหาที่ที่ดีที่สุดเพื่อความอยู่รอด พวกเขายึดครองภูดินแดนหนึ่งแล้วดินแดนหนึ่งเล่าด้วยกำลัง และถึงกับสถาปนาจักรวรรดิเปอร์เซียที่ทรงอำนาจอีกด้วย

    อย่างไรก็ตาม ชาวอารยันไม่พอใจกับความเจริญรุ่งเรืองของจักรวรรดิเปอร์เซีย และยังคงขยายอาณาเขตของตนต่อไป หลังจากการเดินทางบุกยึดครองอันยาวนาน พวกเขาก็มาถึงลุ่มแม่น้ำสินธุซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมีผลผลิตอุดมสมบูรณ์

    ชาวอารยันอาศัยพลังการรบอันแข็งแกร่งของพวกเขา และการสู้รบขนาดใหญ่ที่โหดร้ายมากมาย ในที่สุดก็เอาชนะชาวดราวิเดียน (Dravidians) ที่ปกครองอินเดียในขณะนั้นได้ในที่สุด และกลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของอินเดีย

    ชาวอารยันที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มีความรู้สึกเหนือกว่าทางเชื้อชาติอย่างมาก ชาวอารยันเชื่อว่าผิวที่ขาวกระจ่างใสของพวกเขาดูดีกว่า ชาวดราวิเดียน(Dravidians)ในอินเดียมีผิวสีน้ำตาลดูน่าเกลียด และในทางจิตวิทยาแล้ว พวกเขาคิดว่าคนผิวขาวมีเกียรติ

    ผู้ปกครองชาวอารยันกังวลว่าชาวอารยันและชาวอินเดียอยู่ร่วมกันเป็นเวลานานจะสร้างความสับสนให้กับสายเลือดของตน หลังจากการวิเคราะห์โดยละเอียดแล้ว ระบบเชื้อชาติที่เหมาะสมสำหรับการปกครองก็ถูกกำหนดขึ้นเพื่อดำเนินการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ

    ชาวอารยันเกรงว่าเลือดของพวกเขาจะแปดเปื้อน จึงใช้คำสอนของพราหมณ์อธิบายความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ต่างๆ ลูกทั้งสี่ของพระเจ้าเป็นตัวแทนของสี่เผ่าพันธุ์ และมีระดับสูงและต่ำในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมด

    บุตรที่เติบโตจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าเป็นผู้มีเกียรติที่สุด พวกพราหมณ์ซึ่งเป็นวรรณะแรกซึ่งเป็นผู้ที่มีหน้าที่เประกอบพิธีถวายครื่องบูชาชั้นสูง

    เด็กๆ ที่เติบโตจากอ้อมแขนของเทพเจ้าคือ กษัตริย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของราชวงศ์และเจ้าหน้าที่ เด็กที่เติบโตจากขาของเทพเจ้าคือวรรณะที่สาม แพศย์ ซึ่งเป็นคนธรรมดาที่ทำงานด้านการเกษตรและหัตถกรรม เด็กที่เติบโตจากเท้าของเทพเจ้าคือ ศูทร วรรณะที่สี่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทาสและคนรับใช้

    นอกจากนี้ยังมี "วรรณะที่ห้า" ที่ไม่สามารถเรียกว่า "มนุษย์" หรือเรียกรวมกันว่าวรรณะ "จัณฑาล" และหน้าที่หลักของพวกเขาคือการทำความสะอาดสิ่งสกปรก

    ในแรกสุดของคำว่า วรรณะ หมายถึง สีผิว ชาวอารยันที่มีผิวขาวจะตรงกับวรรณะที่สูง และชาวอินเดียพื้นเมืองที่มีผิวสีเข้มจะหมายถึงวรรณะที่ต่ำ

    ในความเป็นจริง ระบบวรรณะเป็นการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ แต่ในขณะนั้นอินเดียซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่มีความสามารถในการต่อต้านทำได้เพียงยอมรับการแบ่งแยกทางเชื้อชาตินี้เท่านั้น

    ระบบวรรณะกำหนดอย่างเคร่งครัดว่าเฉพาะคนวรรณะเดียวกันเท่านั้นที่สามารถรวมตัวกันและรับประทานอาหารร่วมกันได้ และคนวรรณะล่างไม่สามารถปรากฏตัวได้เมื่อคนวรรณะสูงกว่าเดินทางผ่านไปในที่นั้น

    สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่อนุญาตให้มีการแต่งงานระหว่างวรรณะที่แตกต่างกัน หากบุคคลในวรรณะที่สูงกว่าแต่งงานกับบุคคลในวรรณะที่ต่ำกว่า เขาจะถูกขับไล่ออกจากวรรณะบน และในกรณีที่ร้ายแรง เขาอาจถูกประหารชีวิต

    🤯2. การบูรณาการของเชื้อชาติอย่างต่อเนื่อง🤯

    ในการปกครองยุคแรกของชาวอารยันอำนาจทางการเมืองค่อนข้างเป็นเอกภาพ แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็เริ่มแตกแยกออกเป็นชนเผ่าต่างๆ เพื่อที่จะทำให้มีความแข็งแกร่งขึ้น ชนเผ่าบางเผ่าจะรวมตัวกับชนเผ่าดราวิเดียน (Dravidian)ซึ่งมีศักภาพที่แข็งแกร่งทรงพลังเพื่อร่วมต่อสู้กับชนเผ่าอื่นๆ ที่เป็นศัตรู

    ผู้นำชนเผ่าดราวิเดียน (Dravidian)ซึ่งมีความดีความชอบในการรบเริ่มถูกจัดให้อยู่ในวรรณะสูง และเจ้าหน้าที่ของพวกเขาก็ถูกจัดเป็นวรรณะที่สองด้วย

    ชาวอารยันที่พ่ายแพ้การรบบางส่วนเริ่มถูกถอดออกจากวรรณะบน และถูกบังคับให้กลายเป็นสามัญชนในวรรณะที่สาม

    เพื่อให้ความสัมพันธ์ของพันธมิตรระหว่างชนเผ่ามีความแข็งแกร่งน่าเชื่อถือขึ้น ชาวอารยันวรรณะสูงจึงเริ่มแต่งงานกับชาวดราวิเดียน(Dravidian)วรรณะสูง สายเลือดค่อยๆ สับสนปนเป และเด็กที่มีเชื้อชาติผิวสีแทนก็เริ่มปรากฏตัวขึ้น

    พลเรือนอารยันบางส่วนเริ่มแต่งงานกับชาวดราวิเดียนเพื่อความอยู่รอด ส่งผลให้มีเด็กผสมเชื้อชาติผิวสีแทนจำนวนมาก

    ต่อมาอินเดียถูกยึดครองโดยชาวมาซิโดเนีย (Macedonians) เติร์ก (Turks) มองโกล (Mongols) ฯลฯ สีผิวของเชื้อชาติเหล่านี้อ่อนกว่าสีผิวของชนเผ่าดราวิเดียน(Dravidian)พื้นเมืองในอินเดีย ดังนั้น ผู้คนในวรรณะสูงในอินเดียจึงมีผิวขาวกว่าคนวรรณะต่ำ

    ปัจจุบันนี้ ในบรรดาคนชั้นวรรณะที่ร่ำรวยในอินเดีย ก็มีคนผิวขาวจำนวนมาก สาเหตุที่ผิวไม่ขาวเหมือนคนยุโรปก็เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตของอินเดียแรงกว่า และสีผิวจะเข้มขึ้นหลังโดนแดดเผา

    ด้วยการยกเลิกระบบเชื้อชาติในเวลาต่อมา สีผิวจึงไม่สอดคล้องกับวรรณะอีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีวรรณะพราหมณ์ผู้สูงศักดิ์ที่มีผิวสีเข้ม และยังมีวรรณะศูทรวรรณะต่ำที่มีผิวขาวอีกด้วย

    ปัจจุบันสีผิวของชาวอินเดียไม่เพียงแต่เป็นสีขาวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสีน้ำตาล สีดำ เป็นต้น โดยรวมแล้วดุแล้วมีความสลับซับซ้อน ผู้คนไม่ได้ตัดสินจากสีผิวเพียงอย่างเดียวในเรื่องวรรณะอีกต่อไป

    🥸โปรดติดตามบทความ#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผืว ตอน 02ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥸

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผืว ตอน 01.🤠 ในความประทับใจจดจำของทุกคน โดยทั่วไปแล้วคนอินเดียจะมีผิวคล้ำกว่า จริงๆ แล้วถ้าสังเกตให้ดีจะพบปรากฏการณ์น่าประหลาดใจ จะพบว่ามีคนผิวขาวจำนวนมากในอินเดีย และโดยทั่วไปแล้วคนผิวขาวเหล่านี้จะมีสถานะทางสังคมที่สูงกว่า หลายคนมีความอยากรู้อยากเห็น 😎ทำไมอินเดียถึงมีคนผิวขาว? คนผิวขาวเหล่านี้ในอินเดียมาจากไหน?😎 🤯1. ชาวอารยันผู้พิชิต🤯 ต้นกำเนิดของคนผิวขาวในอินเดียต้องเริ่มต้นจากประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของอินเดียก่อน ประมาณ 1,500 ปีที่แล้ว ชนเผ่าอารยันโบราณและทรงพลังอาศัยอยู่ใกล้กับเทือกเขาอูราล (Ural)ทางตอนเหนือ เนื่องจากชาวอารยันอาศัยอยู่ในสภาพอากาศหนาวเย็นและมีรังสีอัลตราไวโอเลตที่ค่อนข้างอ่อน พวกเขาทั้งหมดจึงสูงและผิวขาว หลังจากผ่านหลังจากผ่านการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตอยู่รอดอย่างยากลำบากหลายปี พวกเขาก็กลายเป็นผู้กล้าหาญและดุดันก้าวร้าว และก่อให้เกิดประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ได้สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น ชาวอารยันอพยพไปตลอดทางโดยไม่เคยหยุดเพื่อหาที่ที่ดีที่สุดเพื่อความอยู่รอด พวกเขายึดครองภูดินแดนหนึ่งแล้วดินแดนหนึ่งเล่าด้วยกำลัง และถึงกับสถาปนาจักรวรรดิเปอร์เซียที่ทรงอำนาจอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ชาวอารยันไม่พอใจกับความเจริญรุ่งเรืองของจักรวรรดิเปอร์เซีย และยังคงขยายอาณาเขตของตนต่อไป หลังจากการเดินทางบุกยึดครองอันยาวนาน พวกเขาก็มาถึงลุ่มแม่น้ำสินธุซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมีผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ชาวอารยันอาศัยพลังการรบอันแข็งแกร่งของพวกเขา และการสู้รบขนาดใหญ่ที่โหดร้ายมากมาย ในที่สุดก็เอาชนะชาวดราวิเดียน (Dravidians) ที่ปกครองอินเดียในขณะนั้นได้ในที่สุด และกลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของอินเดีย ชาวอารยันที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มีความรู้สึกเหนือกว่าทางเชื้อชาติอย่างมาก ชาวอารยันเชื่อว่าผิวที่ขาวกระจ่างใสของพวกเขาดูดีกว่า ชาวดราวิเดียน(Dravidians)ในอินเดียมีผิวสีน้ำตาลดูน่าเกลียด และในทางจิตวิทยาแล้ว พวกเขาคิดว่าคนผิวขาวมีเกียรติ ผู้ปกครองชาวอารยันกังวลว่าชาวอารยันและชาวอินเดียอยู่ร่วมกันเป็นเวลานานจะสร้างความสับสนให้กับสายเลือดของตน หลังจากการวิเคราะห์โดยละเอียดแล้ว ระบบเชื้อชาติที่เหมาะสมสำหรับการปกครองก็ถูกกำหนดขึ้นเพื่อดำเนินการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ ชาวอารยันเกรงว่าเลือดของพวกเขาจะแปดเปื้อน จึงใช้คำสอนของพราหมณ์อธิบายความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ต่างๆ ลูกทั้งสี่ของพระเจ้าเป็นตัวแทนของสี่เผ่าพันธุ์ และมีระดับสูงและต่ำในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมด บุตรที่เติบโตจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าเป็นผู้มีเกียรติที่สุด พวกพราหมณ์ซึ่งเป็นวรรณะแรกซึ่งเป็นผู้ที่มีหน้าที่เประกอบพิธีถวายครื่องบูชาชั้นสูง เด็กๆ ที่เติบโตจากอ้อมแขนของเทพเจ้าคือ กษัตริย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของราชวงศ์และเจ้าหน้าที่ เด็กที่เติบโตจากขาของเทพเจ้าคือวรรณะที่สาม แพศย์ ซึ่งเป็นคนธรรมดาที่ทำงานด้านการเกษตรและหัตถกรรม เด็กที่เติบโตจากเท้าของเทพเจ้าคือ ศูทร วรรณะที่สี่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทาสและคนรับใช้ นอกจากนี้ยังมี "วรรณะที่ห้า" ที่ไม่สามารถเรียกว่า "มนุษย์" หรือเรียกรวมกันว่าวรรณะ "จัณฑาล" และหน้าที่หลักของพวกเขาคือการทำความสะอาดสิ่งสกปรก ในแรกสุดของคำว่า วรรณะ หมายถึง สีผิว ชาวอารยันที่มีผิวขาวจะตรงกับวรรณะที่สูง และชาวอินเดียพื้นเมืองที่มีผิวสีเข้มจะหมายถึงวรรณะที่ต่ำ ในความเป็นจริง ระบบวรรณะเป็นการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ แต่ในขณะนั้นอินเดียซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่มีความสามารถในการต่อต้านทำได้เพียงยอมรับการแบ่งแยกทางเชื้อชาตินี้เท่านั้น ระบบวรรณะกำหนดอย่างเคร่งครัดว่าเฉพาะคนวรรณะเดียวกันเท่านั้นที่สามารถรวมตัวกันและรับประทานอาหารร่วมกันได้ และคนวรรณะล่างไม่สามารถปรากฏตัวได้เมื่อคนวรรณะสูงกว่าเดินทางผ่านไปในที่นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่อนุญาตให้มีการแต่งงานระหว่างวรรณะที่แตกต่างกัน หากบุคคลในวรรณะที่สูงกว่าแต่งงานกับบุคคลในวรรณะที่ต่ำกว่า เขาจะถูกขับไล่ออกจากวรรณะบน และในกรณีที่ร้ายแรง เขาอาจถูกประหารชีวิต 🤯2. การบูรณาการของเชื้อชาติอย่างต่อเนื่อง🤯 ในการปกครองยุคแรกของชาวอารยันอำนาจทางการเมืองค่อนข้างเป็นเอกภาพ แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็เริ่มแตกแยกออกเป็นชนเผ่าต่างๆ เพื่อที่จะทำให้มีความแข็งแกร่งขึ้น ชนเผ่าบางเผ่าจะรวมตัวกับชนเผ่าดราวิเดียน (Dravidian)ซึ่งมีศักภาพที่แข็งแกร่งทรงพลังเพื่อร่วมต่อสู้กับชนเผ่าอื่นๆ ที่เป็นศัตรู ผู้นำชนเผ่าดราวิเดียน (Dravidian)ซึ่งมีความดีความชอบในการรบเริ่มถูกจัดให้อยู่ในวรรณะสูง และเจ้าหน้าที่ของพวกเขาก็ถูกจัดเป็นวรรณะที่สองด้วย ชาวอารยันที่พ่ายแพ้การรบบางส่วนเริ่มถูกถอดออกจากวรรณะบน และถูกบังคับให้กลายเป็นสามัญชนในวรรณะที่สาม เพื่อให้ความสัมพันธ์ของพันธมิตรระหว่างชนเผ่ามีความแข็งแกร่งน่าเชื่อถือขึ้น ชาวอารยันวรรณะสูงจึงเริ่มแต่งงานกับชาวดราวิเดียน(Dravidian)วรรณะสูง สายเลือดค่อยๆ สับสนปนเป และเด็กที่มีเชื้อชาติผิวสีแทนก็เริ่มปรากฏตัวขึ้น พลเรือนอารยันบางส่วนเริ่มแต่งงานกับชาวดราวิเดียนเพื่อความอยู่รอด ส่งผลให้มีเด็กผสมเชื้อชาติผิวสีแทนจำนวนมาก ต่อมาอินเดียถูกยึดครองโดยชาวมาซิโดเนีย (Macedonians) เติร์ก (Turks) มองโกล (Mongols) ฯลฯ สีผิวของเชื้อชาติเหล่านี้อ่อนกว่าสีผิวของชนเผ่าดราวิเดียน(Dravidian)พื้นเมืองในอินเดีย ดังนั้น ผู้คนในวรรณะสูงในอินเดียจึงมีผิวขาวกว่าคนวรรณะต่ำ ปัจจุบันนี้ ในบรรดาคนชั้นวรรณะที่ร่ำรวยในอินเดีย ก็มีคนผิวขาวจำนวนมาก สาเหตุที่ผิวไม่ขาวเหมือนคนยุโรปก็เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตของอินเดียแรงกว่า และสีผิวจะเข้มขึ้นหลังโดนแดดเผา ด้วยการยกเลิกระบบเชื้อชาติในเวลาต่อมา สีผิวจึงไม่สอดคล้องกับวรรณะอีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีวรรณะพราหมณ์ผู้สูงศักดิ์ที่มีผิวสีเข้ม และยังมีวรรณะศูทรวรรณะต่ำที่มีผิวขาวอีกด้วย ปัจจุบันสีผิวของชาวอินเดียไม่เพียงแต่เป็นสีขาวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสีน้ำตาล สีดำ เป็นต้น โดยรวมแล้วดุแล้วมีความสลับซับซ้อน ผู้คนไม่ได้ตัดสินจากสีผิวเพียงอย่างเดียวในเรื่องวรรณะอีกต่อไป 🥸โปรดติดตามบทความ#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผืว ตอน 02ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥸 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • #อุ๊ย! #ไทยรัฐเชื่อเทรนทิพย์วุ้ย
    หนังสือพิมพ์ไทยรัฐไม่เคยทำให้ทุยผิดหวัง
    หนังสือพิมพ์เก่าแก่ ที่ไม่รู้จักยูซผี
    หนังสือพิมพ์เก่าแก่ ที่ไม่รู้จักเทรนทิพย์
    ไม่แหกตาดูแอพอื่นเล๊ย
    #คำว่าชาวโซเชียลไทยรัฐคือยุซผีใช่ป่ะ
    โจ มณฑนีทำแบบนี้ไม่ได้นะ
    ทำให้ไทยรัฐดู ก๊องๆ ดูเบลอๆ
    ดูเสร่อๆ ยังไงไม่รู้อะ
    หนังสือพิมพ์ตำนาน เล่นเป็นแต่แอพx
    ที่รวมแห่งความต่ำทางศีลธรรมเหรอ
    แอพแดงอะ เล่นเป็นป่าว ถ้าเล่นไม่เป็น
    เดี๋ยวจะให้แฟนเพจคิงส์ไปสอนให้
    เนี่ย โลกแห่งความเป็นจริง แบนยังไง
    สองวัน ไปล้านสี่แล้ว
    เสร่อสุดๆ
    โพสข่าวนี่ ไม่แหกตาดูคอมเม้นเล๊ย
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #อุ๊ย! #ไทยรัฐเชื่อเทรนทิพย์วุ้ย หนังสือพิมพ์ไทยรัฐไม่เคยทำให้ทุยผิดหวัง หนังสือพิมพ์เก่าแก่ ที่ไม่รู้จักยูซผี หนังสือพิมพ์เก่าแก่ ที่ไม่รู้จักเทรนทิพย์ ไม่แหกตาดูแอพอื่นเล๊ย #คำว่าชาวโซเชียลไทยรัฐคือยุซผีใช่ป่ะ โจ มณฑนีทำแบบนี้ไม่ได้นะ ทำให้ไทยรัฐดู ก๊องๆ ดูเบลอๆ ดูเสร่อๆ ยังไงไม่รู้อะ หนังสือพิมพ์ตำนาน เล่นเป็นแต่แอพx ที่รวมแห่งความต่ำทางศีลธรรมเหรอ แอพแดงอะ เล่นเป็นป่าว ถ้าเล่นไม่เป็น เดี๋ยวจะให้แฟนเพจคิงส์ไปสอนให้ เนี่ย โลกแห่งความเป็นจริง แบนยังไง สองวัน ไปล้านสี่แล้ว เสร่อสุดๆ โพสข่าวนี่ ไม่แหกตาดูคอมเม้นเล๊ย #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 357 มุมมอง 0 รีวิว
  • สะเทือนนักวิ่งที่ฝันจะวิ่งมาราธอนที่เก่าแก่ที่สุดของโลก Boston Marathon 2025 ครั้งที่ 129 ที่ตั้งเกณฑ์กติกายากกว่าที่เคยเป็น ตัดรอบที่ 6.51 นาที

    เว็บไซต์runnersworld.com ระบุว่า หลังจาก Boston Athletic Association (BAA) เปิดรับสมัครนักวิ่งแข่งขันบอสตันมาราธอนปี 2025 ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของ B.A.A. ที่ชื่อว่า Athletes' Village ตั้งแต่ ช่วงเวลาวันที่ 1 กันยายน 2023 จนถึงวันที่ 13 กันยายน 2024 มีจำนวนผู้สมัคร 36,393 ราย

    ปรากฏมีนักวิ่งไม่ผ่าน BQ - Boston Qualifier มีคนทำไม่ถึงเกณฑ์จำนวนมาก 12,324 คน ส่วนผู้ที่ผ่านการคัดเลือกมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันบอสตันมาราธอนจำนวน 24,069 คน ประกอบด้วยนักวิ่งชาย 13,740 คน ,นักวิ่งหญิง 10,260 คน และนักวิ่งไม่ระบุเพศ 69 คน

    ด้วยเหตุที่มีจำนวนนักวิ่งจำนวนมากเป็นประวัติการณ์สำหรับการแข่งขันบอสตันมาราธอน ในปี 2025 ทาง BAA จึงได้ประกาศกติกายากขึ้นเมื่อวันที่ 16 กันยายนว่า จะมีมาตรฐานการคัดเลือกที่เข้มงวดขึ้นยากกว่าที่เคย นักวิ่งจะต้องเร็วกว่าเวลาที่ผ่านเกณฑ์สำหรับกลุ่มอายุและเพศของตน 6:51 นาทีเพื่อรับหมายเลขแข่งขัน ตามข้อมูลของสมาคมนักกีฬาบอสตัน (BAA)

    “กีฬามาราธอนกำลังทำลายสถิติทั้งในแง่ของการมีส่วนร่วมและความเร็ว” แจ็ก เฟลมมิง ซีอีโอของ BAA กล่าวในแถลงการณ์ “น่าเสียดายที่เราไม่สามารถรับนักกีฬาทุกคนลงสนามได้ แม้ว่าเราจะต้องการแสดงความชื่นชม ขอบคุณ และปรบมือให้กับทุกคนที่มีเป้าหมายที่จะเป็นส่วนหนึ่งของงานในปี 2025 ก็ตาม”

    สำหรับเวลาตัดรอบ 6:51 นาทีถือเป็นเวลาตัดรอบที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขัน ยกเว้นการแข่งขันในปี 2021 ซึ่งจัดขึ้นในเดือนตุลาคม โดยมีผู้เข้าร่วมแข่งขันลดลงเหลือ 20,000 คน การแข่งขันครั้งนั้นมีเวลาตัดรอบ 7:47 นาที

    บอสตันเริ่มใช้เกณฑ์ตัดสินสำหรับการแข่งขันในปี 2014 สำหรับการแข่งขันในปี 2014 ถึง 2019 เกณฑ์ตัดสินมีตั้งแต่ต่ำสุดที่ 1:02 นาทีสำหรับการแข่งขันในปี 2015 ไปจนถึงสูงสุดที่ 4:52 นาทีสำหรับการแข่งขันในปี 2019 ในเดือนกันยายน 2018 BAA ประกาศว่าจะเพิ่มมาตรฐานการคัดเลือกทั้งหมดขึ้นอีก 5 นาที

    การปรับเวลาคัดเลือกดังกล่าวทำให้จำนวนผู้สมัครเพิ่มขึ้นชั่วขณะหนึ่ง สำหรับการแข่งขันในปี 2020 (ซึ่งท้ายที่สุดถูกยกเลิกเนื่องจาก COVID) นักวิ่งต้องทำเวลาให้เร็วกว่าเวลาที่คัดเลือก 1:39 นาที

    หลังจากที่ไม่มีกำหนดเวลาตัดรอบการแข่งขันถึงสองปีสำหรับการแข่งขันในปี 2022 และ 2023 ซึ่งโอกาสในการแข่งขันรอบคัดเลือกมีน้อยท่ามกลางการระบาดใหญ่ ความต้องการตำแหน่งบนเส้นสตาร์ทก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง ในปี 2024 เวลาตัดรอบคือ 5:29 นาที และนักวิ่งมากกว่า 11,000 คนสมัครเข้าร่วมการแข่งขันแต่ไม่ได้รับเลือก

    ขอบคุณเพจ Running Insider สำหรับภาพเหรียญBoston Marathon

    #Thaitimes
    สะเทือนนักวิ่งที่ฝันจะวิ่งมาราธอนที่เก่าแก่ที่สุดของโลก Boston Marathon 2025 ครั้งที่ 129 ที่ตั้งเกณฑ์กติกายากกว่าที่เคยเป็น ตัดรอบที่ 6.51 นาที เว็บไซต์runnersworld.com ระบุว่า หลังจาก Boston Athletic Association (BAA) เปิดรับสมัครนักวิ่งแข่งขันบอสตันมาราธอนปี 2025 ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของ B.A.A. ที่ชื่อว่า Athletes' Village ตั้งแต่ ช่วงเวลาวันที่ 1 กันยายน 2023 จนถึงวันที่ 13 กันยายน 2024 มีจำนวนผู้สมัคร 36,393 ราย ปรากฏมีนักวิ่งไม่ผ่าน BQ - Boston Qualifier มีคนทำไม่ถึงเกณฑ์จำนวนมาก 12,324 คน ส่วนผู้ที่ผ่านการคัดเลือกมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันบอสตันมาราธอนจำนวน 24,069 คน ประกอบด้วยนักวิ่งชาย 13,740 คน ,นักวิ่งหญิง 10,260 คน และนักวิ่งไม่ระบุเพศ 69 คน ด้วยเหตุที่มีจำนวนนักวิ่งจำนวนมากเป็นประวัติการณ์สำหรับการแข่งขันบอสตันมาราธอน ในปี 2025 ทาง BAA จึงได้ประกาศกติกายากขึ้นเมื่อวันที่ 16 กันยายนว่า จะมีมาตรฐานการคัดเลือกที่เข้มงวดขึ้นยากกว่าที่เคย นักวิ่งจะต้องเร็วกว่าเวลาที่ผ่านเกณฑ์สำหรับกลุ่มอายุและเพศของตน 6:51 นาทีเพื่อรับหมายเลขแข่งขัน ตามข้อมูลของสมาคมนักกีฬาบอสตัน (BAA) “กีฬามาราธอนกำลังทำลายสถิติทั้งในแง่ของการมีส่วนร่วมและความเร็ว” แจ็ก เฟลมมิง ซีอีโอของ BAA กล่าวในแถลงการณ์ “น่าเสียดายที่เราไม่สามารถรับนักกีฬาทุกคนลงสนามได้ แม้ว่าเราจะต้องการแสดงความชื่นชม ขอบคุณ และปรบมือให้กับทุกคนที่มีเป้าหมายที่จะเป็นส่วนหนึ่งของงานในปี 2025 ก็ตาม” สำหรับเวลาตัดรอบ 6:51 นาทีถือเป็นเวลาตัดรอบที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขัน ยกเว้นการแข่งขันในปี 2021 ซึ่งจัดขึ้นในเดือนตุลาคม โดยมีผู้เข้าร่วมแข่งขันลดลงเหลือ 20,000 คน การแข่งขันครั้งนั้นมีเวลาตัดรอบ 7:47 นาที บอสตันเริ่มใช้เกณฑ์ตัดสินสำหรับการแข่งขันในปี 2014 สำหรับการแข่งขันในปี 2014 ถึง 2019 เกณฑ์ตัดสินมีตั้งแต่ต่ำสุดที่ 1:02 นาทีสำหรับการแข่งขันในปี 2015 ไปจนถึงสูงสุดที่ 4:52 นาทีสำหรับการแข่งขันในปี 2019 ในเดือนกันยายน 2018 BAA ประกาศว่าจะเพิ่มมาตรฐานการคัดเลือกทั้งหมดขึ้นอีก 5 นาที การปรับเวลาคัดเลือกดังกล่าวทำให้จำนวนผู้สมัครเพิ่มขึ้นชั่วขณะหนึ่ง สำหรับการแข่งขันในปี 2020 (ซึ่งท้ายที่สุดถูกยกเลิกเนื่องจาก COVID) นักวิ่งต้องทำเวลาให้เร็วกว่าเวลาที่คัดเลือก 1:39 นาที หลังจากที่ไม่มีกำหนดเวลาตัดรอบการแข่งขันถึงสองปีสำหรับการแข่งขันในปี 2022 และ 2023 ซึ่งโอกาสในการแข่งขันรอบคัดเลือกมีน้อยท่ามกลางการระบาดใหญ่ ความต้องการตำแหน่งบนเส้นสตาร์ทก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง ในปี 2024 เวลาตัดรอบคือ 5:29 นาที และนักวิ่งมากกว่า 11,000 คนสมัครเข้าร่วมการแข่งขันแต่ไม่ได้รับเลือก ขอบคุณเพจ Running Insider สำหรับภาพเหรียญBoston Marathon #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 580 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย ค้นพบตัวอย่างงานศิลปะ ที่เก่าแก่ที่สุด ในโลก ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง บนเกาะสุลาเวสีของอินโดนีเซีย ภาพ เขียนสีดังกล่าว ดูเหมือนจะเป็นรูปหมูป่า และรูปร่างคล้ายมนุษย์ จำนวน 3 คน มีอายุอย่างน้อย 51,200 ปี ซึ่ง เก่าแก่กว่า ศิลปะถ้ำที่เคยถูกค้นพบก่อนหน้านี้ มากกว่า 5,000 ปี การค้นพบเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า มนุษย์เรามีความคิดสร้างสรรค์ ที่จะสร้างผลงานศิลปะได้ตั้งแต่เมื่อ 50,000 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามทางด้านศาสตราจารย์ แม็กซิม ออเบิร์ต จากมหาวิทยาลัย กริฟฟิธ ในออสเตรเลีย บอกว่า การค้นพบครั้งนี้ จะเปลี่ยนแนวความคิด เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของมนุษย์ ภาพวาดบอกเรื่องราวซับซ้อน มันเป็นหลักฐานเก่าแก่ ที่สุดเท่าที่พวกเรา เคยค้นพบ มันบอกเล่าเรื่องราวในอดีต มันแสดงให้เห็นว่า มนุษย์ในช่วงเวลานั้น ก็มีความสามารถ ในการคิด ในแง่นามธรรม. เขากล่าว
    นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย ค้นพบตัวอย่างงานศิลปะ ที่เก่าแก่ที่สุด ในโลก ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง บนเกาะสุลาเวสีของอินโดนีเซีย ภาพ เขียนสีดังกล่าว ดูเหมือนจะเป็นรูปหมูป่า และรูปร่างคล้ายมนุษย์ จำนวน 3 คน มีอายุอย่างน้อย 51,200 ปี ซึ่ง เก่าแก่กว่า ศิลปะถ้ำที่เคยถูกค้นพบก่อนหน้านี้ มากกว่า 5,000 ปี การค้นพบเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า มนุษย์เรามีความคิดสร้างสรรค์ ที่จะสร้างผลงานศิลปะได้ตั้งแต่เมื่อ 50,000 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามทางด้านศาสตราจารย์ แม็กซิม ออเบิร์ต จากมหาวิทยาลัย กริฟฟิธ ในออสเตรเลีย บอกว่า การค้นพบครั้งนี้ จะเปลี่ยนแนวความคิด เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของมนุษย์ ภาพวาดบอกเรื่องราวซับซ้อน มันเป็นหลักฐานเก่าแก่ ที่สุดเท่าที่พวกเรา เคยค้นพบ มันบอกเล่าเรื่องราวในอดีต มันแสดงให้เห็นว่า มนุษย์ในช่วงเวลานั้น ก็มีความสามารถ ในการคิด ในแง่นามธรรม. เขากล่าว
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหล้าเก่าในขวดใหม่ ฝรั่งเศสได้คณะรัฐบาลชุดใหม่ที่เป็นรัฐมนตรีหน้าเดิมของมาครงเป็นแกนหลักครองอำนาจต่อไป

    22 กันยายน 2567-รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า ฝรั่งเศสได้รัฐบาลชุดใหม่แล้ว หลังจากยืดเยื้อมานานตั้งแต่การเลือกตั้งที่ไม่มีผู้ชนะเด็ดขาด หลังจากประธานาธิบดีมาครงได้ประกาศยุบสมัชชาแห่งชาติ (Assemblée nationale) หรือสภาผู้แทนราษฎรของฝรั่งเศส และประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ชนิดที่ไม่ทันตั้งตัว (snap election) ในวันที่ 30 มิถุนายน 2024 และวันที่ 7 กรกฎาคม 2024

    โดยคณะรัฐบาลชุดใหม่ส่วนใหญ่เป็นรัฐมนตรีหน้าเดิมที่ทำงานให้กับมาครงเป็นแกนหลัก ขณะที่ผู้ประท้วงฝ่ายซ้ายออกมาเดินขบวนบนท้องถนนเพื่อประณามสิ่งที่พวกเขากล่าวว่าเป็นการปฏิเสธผลการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม ที่ต้องไม่มีมาครง

    สำหรับคณะรัฐบาลใหม่ที่นำโดย มีแชล บาร์นีเย อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศวัย 73 ปี เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆอีก 19 คน อันได้แก่

    -รัฐมนตรีต่างประเทศ : ฌอง-โนเอล บาร์โรต์ พันธมิตรของมาครงมายาวนานและรัฐมนตรีกระทรวงยุโรปในรัฐบาลชุดก่อน
    - รัฐมนตรีกระทรวงยุโรป: เบนจามิน ฮัดดาด อดีตโฆษกพรรคของมาครง
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ: แอนน์ เจเนเตต์ อดีตวุฒิสมาชิกพรรคของมาครง (เธอใช้ชีวิตทางการเมืองทั้งหมดอยู่ฝ่ายของมาครง)
    - รัฐมนตรีกลาโหม: เซบาสเตียน เลอกอร์นู ไม่เปลี่ยนแปลงตำแหน่ง เขาเคยเป็นรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลชุดก่อน...
    -รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: อักเนส ปานเนียร์-รูนาเชร์ เธอเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรในรัฐบาลชุดก่อน
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม: ราชิดา ดาติ เหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เธอเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในรัฐบาลชุดก่อน
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและเศรษฐกิจ: อองตวน อาร์ม็อง พันธมิตรเก่าแก่ของมาครงอีกคนหนึ่ง เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครของมาครงในช่วงหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2022
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม: มาร์ก เฟอร์ราซี นี่อาจเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงที่สุด เพราะเขาคือเพื่อนเจ้าบ่าวของมาครงในงานแต่งงานของเขา
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงราชการ: กีโยม คาสบาเรียน เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่อยู่อาศัยในรัฐบาลชุดก่อน
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงงบประมาณ: Laurent Saint-Martin พันธมิตรอีกคนหนึ่งของ Macron ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าหน่วยงาน "Business France" ในรัฐบาลก่อน
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว: มาริน่า เฟอร์รารี เธอเป็นรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลในรัฐบาลชุดก่อน
    - โฆษกของรัฐบาล: Maud Bregeon เธอเป็น ส.ส. จากพรรคของ Macron ก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้ง

    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีรัฐมนตรีที่ไม่ใช่คนของมาครงอยู่บ้าง เช่น บรูโน รีเทลโล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่ส่วนใหญ่มาจากพรรค Les Républicains ของนายกรัฐมนตรีบาร์นิเยร์ ซึ่งได้คะแนนเสียงเพียง 5% ในการเลือกตั้ง ดังนั้น พวกเขาจึงยิ่งมีความชอบธรรมน้อยลงไปอีก

    "นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐของเราที่มีรัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยเลย"อดีตเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสกล่าว
    #Thaitimes
    เหล้าเก่าในขวดใหม่ ฝรั่งเศสได้คณะรัฐบาลชุดใหม่ที่เป็นรัฐมนตรีหน้าเดิมของมาครงเป็นแกนหลักครองอำนาจต่อไป 22 กันยายน 2567-รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า ฝรั่งเศสได้รัฐบาลชุดใหม่แล้ว หลังจากยืดเยื้อมานานตั้งแต่การเลือกตั้งที่ไม่มีผู้ชนะเด็ดขาด หลังจากประธานาธิบดีมาครงได้ประกาศยุบสมัชชาแห่งชาติ (Assemblée nationale) หรือสภาผู้แทนราษฎรของฝรั่งเศส และประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ชนิดที่ไม่ทันตั้งตัว (snap election) ในวันที่ 30 มิถุนายน 2024 และวันที่ 7 กรกฎาคม 2024 โดยคณะรัฐบาลชุดใหม่ส่วนใหญ่เป็นรัฐมนตรีหน้าเดิมที่ทำงานให้กับมาครงเป็นแกนหลัก ขณะที่ผู้ประท้วงฝ่ายซ้ายออกมาเดินขบวนบนท้องถนนเพื่อประณามสิ่งที่พวกเขากล่าวว่าเป็นการปฏิเสธผลการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม ที่ต้องไม่มีมาครง สำหรับคณะรัฐบาลใหม่ที่นำโดย มีแชล บาร์นีเย อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศวัย 73 ปี เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆอีก 19 คน อันได้แก่ -รัฐมนตรีต่างประเทศ : ฌอง-โนเอล บาร์โรต์ พันธมิตรของมาครงมายาวนานและรัฐมนตรีกระทรวงยุโรปในรัฐบาลชุดก่อน - รัฐมนตรีกระทรวงยุโรป: เบนจามิน ฮัดดาด อดีตโฆษกพรรคของมาครง - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ: แอนน์ เจเนเตต์ อดีตวุฒิสมาชิกพรรคของมาครง (เธอใช้ชีวิตทางการเมืองทั้งหมดอยู่ฝ่ายของมาครง) - รัฐมนตรีกลาโหม: เซบาสเตียน เลอกอร์นู ไม่เปลี่ยนแปลงตำแหน่ง เขาเคยเป็นรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลชุดก่อน... -รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: อักเนส ปานเนียร์-รูนาเชร์ เธอเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรในรัฐบาลชุดก่อน - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม: ราชิดา ดาติ เหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เธอเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในรัฐบาลชุดก่อน - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและเศรษฐกิจ: อองตวน อาร์ม็อง พันธมิตรเก่าแก่ของมาครงอีกคนหนึ่ง เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครของมาครงในช่วงหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2022 - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม: มาร์ก เฟอร์ราซี นี่อาจเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงที่สุด เพราะเขาคือเพื่อนเจ้าบ่าวของมาครงในงานแต่งงานของเขา - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงราชการ: กีโยม คาสบาเรียน เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่อยู่อาศัยในรัฐบาลชุดก่อน - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงงบประมาณ: Laurent Saint-Martin พันธมิตรอีกคนหนึ่งของ Macron ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าหน่วยงาน "Business France" ในรัฐบาลก่อน - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว: มาริน่า เฟอร์รารี เธอเป็นรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลในรัฐบาลชุดก่อน - โฆษกของรัฐบาล: Maud Bregeon เธอเป็น ส.ส. จากพรรคของ Macron ก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้ง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีรัฐมนตรีที่ไม่ใช่คนของมาครงอยู่บ้าง เช่น บรูโน รีเทลโล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่ส่วนใหญ่มาจากพรรค Les Républicains ของนายกรัฐมนตรีบาร์นิเยร์ ซึ่งได้คะแนนเสียงเพียง 5% ในการเลือกตั้ง ดังนั้น พวกเขาจึงยิ่งมีความชอบธรรมน้อยลงไปอีก "นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐของเราที่มีรัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยเลย"อดีตเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสกล่าว #Thaitimes
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 814 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ
    เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีชื่อเสียง และมีความเก่าแก่ที่นับย้อนไปได้ถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจของผู้คนฝั่งธนบุรีมาอย่างยาวนาน

    》》พระพุทธธรรมกายเทพมงคล พระพุทธรูปปางสมาธิ สูง 69 เมตร
    《《
    พระพุทธรูปองค์ใหญ่ปางสมาธิ ที่จัดสร้างขึ้นตามนิมิตของหลวงพ่อสด ซึ่งท่านเห็นลักษณะของพระพุทธรูปนี้ในขณะที่กำลังเจริญสมาธิกรรมฐาน พระพุทธรูปทำด้วยทองแดงขนาดใหญ่ สูงเทียบเท่าตึก 20 ชั้น
    ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ นำไปบรรจุไว้ภายในพระเกตุพระพุทธธรรมกายเทพมงคล สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เพื่อจรรโลง เทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อบูชาพระคุณหลวงพ่อสด

    ที่อยู่ : 300 ซอยรัชมงคลประสาธน์ แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร 10160
    พิกัด : goo.gl/maps/jufvS7cXDZaTPfFJ8
    ■■■■■■■■■■■
    #วัดปากน้ำภาษีเจริญ #วัดปากน้ำ #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    วัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีชื่อเสียง และมีความเก่าแก่ที่นับย้อนไปได้ถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจของผู้คนฝั่งธนบุรีมาอย่างยาวนาน 》》พระพุทธธรรมกายเทพมงคล พระพุทธรูปปางสมาธิ สูง 69 เมตร 《《 พระพุทธรูปองค์ใหญ่ปางสมาธิ ที่จัดสร้างขึ้นตามนิมิตของหลวงพ่อสด ซึ่งท่านเห็นลักษณะของพระพุทธรูปนี้ในขณะที่กำลังเจริญสมาธิกรรมฐาน พระพุทธรูปทำด้วยทองแดงขนาดใหญ่ สูงเทียบเท่าตึก 20 ชั้น ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ นำไปบรรจุไว้ภายในพระเกตุพระพุทธธรรมกายเทพมงคล สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เพื่อจรรโลง เทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อบูชาพระคุณหลวงพ่อสด ที่อยู่ : 300 ซอยรัชมงคลประสาธน์ แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร 10160 พิกัด : goo.gl/maps/jufvS7cXDZaTPfFJ8 ■■■■■■■■■■■ #วัดปากน้ำภาษีเจริญ #วัดปากน้ำ #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1655 มุมมอง 654 0 รีวิว
  • พระสันตปาปาทรงชื่นชมจีนว่า“ “จีนเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการสนทนาและความเข้าใจที่เหนือกว่าประเทศระบบประชาธิปไตย“ก่อนที่จะมีการต่ออายุข้อตกลงระหว่างปักกิ่งและนครรัฐวาติกันเรื่องการแต่งตั้งพระสังฆราช(บิชอป)

    15 กันยายน2567-สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส องค์ประมุขแห่งคริสตจักร นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งมีพระชนมายุ 87 พรรษา ทรงตรัสแถลงข่าวกับผู้สื่อข่าวขณะอยู่บนเครื่องบินของพระองค์ขณะเสด็จกลับกรุงโรมหลังจากเสด็จเยือนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นเวลา 12 วันว่า “ข้าพเจ้าอยากไปเยือนประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่”

    พระสันตปาปาตรัสว่า “ข้าพเจ้าชื่นชมจีน ข้าพเจ้าเคารพจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่นับพันปีและมีศักยภาพในการเจรจากับความสามารถเข้าใจซึ่งกันและกันซึ่งเหนือกว่าระบบประชาธิปไตยที่มีอยู่”

    “ข้าพเจ้าเชื่อว่าจีนคือคำมั่นสัญญาและความหวังของคริสตจักร” โป๊ปฟรานซิสตรัสและเสริมว่าพระองค์พอใจกับการเจรจาอย่างต่อเนื่องระหว่างวาติกันกับจีน

    ความคิดเห็นของพระองค์ดังกล่าวมีขึ้นไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ข้อตกลงระหว่างปักกิ่งและวาติกันเรื่องการแต่งตั้งพระสังฆราช(บิชอป)ซึ่งเป็นประมุขสังฆมณฑลในเขตปกครองศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกจะมีการต่ออายุอย่างเป็นทางการ
    ทั้งสองฝ่ายตกลงทำข้อตกลงทางประวัติศาสตร์แต่เป็นความลับเมื่อปี 2018 ซึ่งให้ทั้งสองฝ่ายมีสิทธิ์ในการแต่งตั้งบาทหลวงคาธอลิกในประเทศคอมมิวนิสต์

    ข้อตกลงดังกล่าวมีการต่ออายุในปี 2020 และ 2022 ได้รับการออกแบบมาเพื่อนำชาวคาธอลิกที่ติดอยู่ระหว่างคริสตจักรที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐอย่างเป็นทางการในจีนและขบวนการใต้ดินที่จงรักภักดีต่อโรมมารวมกัน ทั้งนี้เป็นการให้พระสันตปาปามีอำนาจขั้นสุดท้ายในการแต่งตั้งบิชอป

    ทั้งนี้สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส องค์ประมุขแห่งคริสตจักร นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งมีพระชนมายุ 87 พรรษา เสร็จสิ้นภารกิจเสด็จเยือนเอเชีย-แปซิฟิก เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน โดยเสด็จเยือน4 ประเทศคือ อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี ติมอร์-เลสเต และสิงคโปร์ ขณะที่ทรงเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ มากกว่า 40 กิจกรรม ระยะเดินทาง 33,000 กม. แม้สุขภาพพระสันตะปาปาอ่อนแอลง แต่พระองค์มักจะได้รับพลังพิเศษอยู่เสมอท่ามกลางศรัทธาของศาสนิกชนชาวคริสต์ โรมันคาทอลิก
    “ "ข้าพเจ้าขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้ ข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นการเดินทางที่ยาวนานที่สุดที่เคยมีมา"

    ที่มา:https://x.com/rnaudbertrand/status/1835171408256942149?s=46&t=nn3z3yuHSlOFcPbFyzmrQA

    #Thaitimes
    พระสันตปาปาทรงชื่นชมจีนว่า“ “จีนเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการสนทนาและความเข้าใจที่เหนือกว่าประเทศระบบประชาธิปไตย“ก่อนที่จะมีการต่ออายุข้อตกลงระหว่างปักกิ่งและนครรัฐวาติกันเรื่องการแต่งตั้งพระสังฆราช(บิชอป) 15 กันยายน2567-สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส องค์ประมุขแห่งคริสตจักร นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งมีพระชนมายุ 87 พรรษา ทรงตรัสแถลงข่าวกับผู้สื่อข่าวขณะอยู่บนเครื่องบินของพระองค์ขณะเสด็จกลับกรุงโรมหลังจากเสด็จเยือนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นเวลา 12 วันว่า “ข้าพเจ้าอยากไปเยือนประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่” พระสันตปาปาตรัสว่า “ข้าพเจ้าชื่นชมจีน ข้าพเจ้าเคารพจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่นับพันปีและมีศักยภาพในการเจรจากับความสามารถเข้าใจซึ่งกันและกันซึ่งเหนือกว่าระบบประชาธิปไตยที่มีอยู่” “ข้าพเจ้าเชื่อว่าจีนคือคำมั่นสัญญาและความหวังของคริสตจักร” โป๊ปฟรานซิสตรัสและเสริมว่าพระองค์พอใจกับการเจรจาอย่างต่อเนื่องระหว่างวาติกันกับจีน ความคิดเห็นของพระองค์ดังกล่าวมีขึ้นไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ข้อตกลงระหว่างปักกิ่งและวาติกันเรื่องการแต่งตั้งพระสังฆราช(บิชอป)ซึ่งเป็นประมุขสังฆมณฑลในเขตปกครองศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกจะมีการต่ออายุอย่างเป็นทางการ ทั้งสองฝ่ายตกลงทำข้อตกลงทางประวัติศาสตร์แต่เป็นความลับเมื่อปี 2018 ซึ่งให้ทั้งสองฝ่ายมีสิทธิ์ในการแต่งตั้งบาทหลวงคาธอลิกในประเทศคอมมิวนิสต์ ข้อตกลงดังกล่าวมีการต่ออายุในปี 2020 และ 2022 ได้รับการออกแบบมาเพื่อนำชาวคาธอลิกที่ติดอยู่ระหว่างคริสตจักรที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐอย่างเป็นทางการในจีนและขบวนการใต้ดินที่จงรักภักดีต่อโรมมารวมกัน ทั้งนี้เป็นการให้พระสันตปาปามีอำนาจขั้นสุดท้ายในการแต่งตั้งบิชอป ทั้งนี้สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส องค์ประมุขแห่งคริสตจักร นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งมีพระชนมายุ 87 พรรษา เสร็จสิ้นภารกิจเสด็จเยือนเอเชีย-แปซิฟิก เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน โดยเสด็จเยือน4 ประเทศคือ อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี ติมอร์-เลสเต และสิงคโปร์ ขณะที่ทรงเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ มากกว่า 40 กิจกรรม ระยะเดินทาง 33,000 กม. แม้สุขภาพพระสันตะปาปาอ่อนแอลง แต่พระองค์มักจะได้รับพลังพิเศษอยู่เสมอท่ามกลางศรัทธาของศาสนิกชนชาวคริสต์ โรมันคาทอลิก “ "ข้าพเจ้าขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้ ข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นการเดินทางที่ยาวนานที่สุดที่เคยมีมา" ที่มา:https://x.com/rnaudbertrand/status/1835171408256942149?s=46&t=nn3z3yuHSlOFcPbFyzmrQA #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 546 มุมมอง 0 รีวิว
  • Pierre Cardin
    Men’s Deluxe Sheepskin in Dark Brown Dress Shoes with Tassels
    Size. EUR 41 /26(26.5) cm

    🔥 Price : 970฿

    รองเท้าแบรนด์เก่าแก่จากฝรั่งเศส คู่นี้เป็นเดรสชูส์ที่มาในลุคคลาสสิกสุดหรูหรา ทรงสวมใช้หนังแกะนุ่มๆ ทรงกว้างมาตรฐานขนาด EE สามารถสวมใส่แมทช์กับชุดเสื้อผ้าทั้งแบบทางการและแบบลำลอง

    👉 เรื่องราว :-
    Pierre Cardin (ปิแอร์ การ์แดง) แบรนด์แฟชั่นเก่าแก่ระดับโลกของฝรั่งเศส มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ ศิลปะ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยผู้ก่อตั้ง มิสเตอร์ ปิแอร์ การ์แดง Iconnic แห่งวงการแฟชั่น ผู้ปฏิวัติวงการแฟชั่นโลกมาอย่างยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์แห่งวงการแฟชั่น ทำให้ผลงานและผลิตภัณฑ์ได้รับการยอมรับและขยายไปยังกว่า 140 ประเทศทั่วโลก มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 1,000 รายการ
    Pierre Cardin Men’s Deluxe Sheepskin in Dark Brown Dress Shoes with Tassels Size. EUR 41 /26(26.5) cm 🔥 Price : 970฿ รองเท้าแบรนด์เก่าแก่จากฝรั่งเศส คู่นี้เป็นเดรสชูส์ที่มาในลุคคลาสสิกสุดหรูหรา ทรงสวมใช้หนังแกะนุ่มๆ ทรงกว้างมาตรฐานขนาด EE สามารถสวมใส่แมทช์กับชุดเสื้อผ้าทั้งแบบทางการและแบบลำลอง 👉 เรื่องราว :- Pierre Cardin (ปิแอร์ การ์แดง) แบรนด์แฟชั่นเก่าแก่ระดับโลกของฝรั่งเศส มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ ศิลปะ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยผู้ก่อตั้ง มิสเตอร์ ปิแอร์ การ์แดง Iconnic แห่งวงการแฟชั่น ผู้ปฏิวัติวงการแฟชั่นโลกมาอย่างยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์แห่งวงการแฟชั่น ทำให้ผลงานและผลิตภัณฑ์ได้รับการยอมรับและขยายไปยังกว่า 140 ประเทศทั่วโลก มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 1,000 รายการ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • BIRKENSTOCK
    FOOTPRINTS Unisex Torrance Suede Mocha Shoes
    Size. EUR 39 /25(25.5)cm

    🔥 Price : 970฿

    Birkenstock Licensed Footprints Shoes เป็นแบรนด์รองเท้าทรง Moc สไตล์ลำลองที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยเป็นไลน์รองเท้าที่ผลิตขึ้นภายใต้แบรนด์ Birkenstock ซึ่งเป็นแบรนด์รองเท้าที่มีประวัติยาวนานและเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของรองเท้าที่มีคุณภาพสูงและดีไซน์ที่โดดเด่น เหมาะกับทั้งชายและหญิง สวมใส่สบายๆ ผสมผสานความคลาสสิกและความทันสมัยเข้าด้วยกัน โดยมีจุดเด่นอยู่ที่วัสดุหนังกลับสีมอคค่าที่ให้สัมผัสที่นุ่มนวลและดูมีระดับ ดีไซน์ของรองเท้ารุ่นนี้เน้นความเรียบง่ายแต่สวยงาม พร้อมทั้งยังมีพื้นรองเท้าที่ออกแบบมาให้กระชับและรองรับสรีระเท้าได้เป็นอย่างดี

    🔹ส่วนบน : ทำจากหนังกลับ
    🔹แผ่นรองพื้นรองเท้า : ทำจากไม้ก๊อกธรรมชาติที่เข้ารูปกับรูปร่างเท้า
    ปิดด้านบนด้วยหนังแท้
    🔹พื้นรองเท้าชั้นนอก : ทำจากโพลียูรีเทน
    🔹แบบผูกเชือก

    👉 เรื่องราว :-
    Birkenstock เป็นแบรนด์ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศเยอรมนี ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1774 โดย Johann Adam Birkenstock ซึ่งเป็นช่างทำรองเท้า ทำให้ Birkenstock เป็นหนึ่งในแบรนด์รองเท้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และยังคงรักษาชื่อเสียงในเรื่องของการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและความใส่ใจในรายละเอียดมาจนถึงปัจจุบัน
    BIRKENSTOCK FOOTPRINTS Unisex Torrance Suede Mocha Shoes Size. EUR 39 /25(25.5)cm 🔥 Price : 970฿ Birkenstock Licensed Footprints Shoes เป็นแบรนด์รองเท้าทรง Moc สไตล์ลำลองที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยเป็นไลน์รองเท้าที่ผลิตขึ้นภายใต้แบรนด์ Birkenstock ซึ่งเป็นแบรนด์รองเท้าที่มีประวัติยาวนานและเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของรองเท้าที่มีคุณภาพสูงและดีไซน์ที่โดดเด่น เหมาะกับทั้งชายและหญิง สวมใส่สบายๆ ผสมผสานความคลาสสิกและความทันสมัยเข้าด้วยกัน โดยมีจุดเด่นอยู่ที่วัสดุหนังกลับสีมอคค่าที่ให้สัมผัสที่นุ่มนวลและดูมีระดับ ดีไซน์ของรองเท้ารุ่นนี้เน้นความเรียบง่ายแต่สวยงาม พร้อมทั้งยังมีพื้นรองเท้าที่ออกแบบมาให้กระชับและรองรับสรีระเท้าได้เป็นอย่างดี 🔹ส่วนบน : ทำจากหนังกลับ 🔹แผ่นรองพื้นรองเท้า : ทำจากไม้ก๊อกธรรมชาติที่เข้ารูปกับรูปร่างเท้า ปิดด้านบนด้วยหนังแท้ 🔹พื้นรองเท้าชั้นนอก : ทำจากโพลียูรีเทน 🔹แบบผูกเชือก 👉 เรื่องราว :- Birkenstock เป็นแบรนด์ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศเยอรมนี ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1774 โดย Johann Adam Birkenstock ซึ่งเป็นช่างทำรองเท้า ทำให้ Birkenstock เป็นหนึ่งในแบรนด์รองเท้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และยังคงรักษาชื่อเสียงในเรื่องของการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและความใส่ใจในรายละเอียดมาจนถึงปัจจุบัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • ติ่งพี่ปู……….เชิญทางนี้ค่าาาา……………!!!!

    ตอนสอง………นักศึกษาชั้นดี…ที่…เข้าตาแมวมอง KGB…!!!

    ชีวิตในมหาวิทยาลัยในระยะแรกๆของปูติน เขาค่อนข้างที่จะเป็นเด็กเรียน ไม่เน้นกิจกรรมอื่น นอกจากยังอยู่ในทีมยูโดที่ฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ ทางมหาวิทยาลัยได้เสนอให้เขาเป็นหนึ่งในทีมของมหาวิทยาลัย แต่เขาปฏิเสธ เพราะความผูกพันที่มีกับโค้ชคนเก่า
    ความเป็นดาวยูโด ได้นำพาเขาเข้าสู่การแข่งขันในระดับแคว้น

    ในปี 1972 มาเรียโชคดี ได้ถูกรางวัลล๊อตเตอรี่ เป็นรถยนตร์ Zaporozhets คันกระทัดรัด ที่เธอสามารถขายต่อด้วยราคาถึง
    3,500 รูเบิ้ล แต่ความรักลูกมีเหนืออื่นใด เธอไม่ขาย…
    ยกให้กับปูตินเอาไว้ใช้……
    ในยุคนั้น……คนธรรมดาก็หายากที่จะมีรถยนตร์ใช้ แต่นักศึกษาหน้าใหม่ปูติน……ขับรถปร๋อไปปร๋อมา……
    จัดว่าโก้มาก…มีเพื่อนติดสอยห้อยตามไปโน่นมานี่
    และการขับนั้นก็ไม่ธรรมดา……ห้าวไปตามประสาหนุ่มวัยรุ่น
    หากแต่ความเป็นอยู่ยังเหมือนเดิม ในห้องชุดในอาคารสงเคราะห์ที่ต้องแบ่งครึ่งกับเพื่อนบ้าน
    เขาไม่เคยมีห้องนอนส่วนตัว นอกจากการกั้นม่านมุมหนึ่งของห้องเป็นพื้นที่ส่วนตัว

    ภายในปี 1973 เขาได้เดินทางไปแข่งยูโดที่ Moldova, Georgia, Komi และไปใช้ชีวิตช่วงปิดภาคในแค้มป์ที่ Abkhazia (Georgia)
    ในเวลาว่าง ก็ไปรับทำงานพิเศษรับจ้างตัดต้นไม้ เพื่อหาสตังค์ไปซื้อเสื้อกันหนาวอย่างดีที่สามารถใช้ได้นานถึงสิบปีอัฟ

    การใช้ชีวิตกับเพื่อนก็เป็นไปตามวัยที่อยากผจญโลก เขาและเพื่อนๆได้ไปล่องเรือมุ่งหน้าสู่ Odessa ด้วยเงินที่มีเพียงน้อยนิด กับอาหารกระป๋องจำนวนไม่มาก นอนตากแดดตากลม ล่องเรือดูดาวอยู่สองวันสองคืน

    สี่ปีในมหาวิทยาลัย ที่วันหนึ่งเขาได้รับโทรศัพท์จากผู้ที่เขาไม่รู้จักมาก่อน ไม่มีการแนะนำตัวเอง แต่บอกสั้นๆว่า
    “ถึงเวลาที่เราจะต้องคุยกับนายเรื่องงานที่จะต้องมอบหมายให้ทำแล้ว……ไปพบกับเราได้ที่ห้องรับรองที่คณะฯ”
    ปูตินไปตามนัด……เขารอประมาณยี่สิบนาที จนแทบจะแน่ใจว่าโดนหลอก เตรียมตัวกลับ
    จึงปรากฏร่างของชายผู้หนึ่ง…ที่มีท่าทางสุภาพ ขอโทษขอโพยในการล่าช้า ………
    สิ่งที่เขาได้คุยกันนั้น คือ เรื่อง”งาน” ที่ทางราชการได้เฝ้าดูพฤติกรรมของเขามาโดยตลอด และพร้อมที่จะมอบหมายให้
    แต่.…ขั้นตอนต่อไป คือการที่จะต้องไปสัมภาษณ์บิดา มารดา
    รวมทั้งสาวประวัติส่วนตัว ส่วนครอบครัวยาวขึ้นไปสามสี่ชั้น

    ในเดือนมกราคม 1975 เจ้าหน้าที่วัยกลางคน ชื่อว่า Dmitry Gantserov ได้พบกับ Vladimir และ Maria ที่บ้านเป็นการส่วนตัว
    ในการพูดคุย…สังเกตได้ว่า วลาดิเมียร์ผู้พ่อมีความปลาบปลื้มและภูมิใจในตัวบุตรชายมาก เพราะในครอบครัวไม่เคยมีใครได้ร่ำเรียนจนถึงระดับมหาวิทยาลัย
    เมื่อทั้งพ่อและแม่ได้รับการอธิบายถึงเนื้องานและหน้าที่ที่ปูตินน้อยจะได้รับ……
    ผู้พ่อ…ได้หลุดปากเอ่ยเอื้อนความในใจถึงความรักที่มีต่อบุตรชายให้เจ้าหน้าที่ได้รับรู้ว่า
    “ท่านครับ โวโลเดียร์ คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของผมและภรรยา เขาคือความหวังเดียวที่เรามี ท่านคงทราบแล้วว่า
    เราเคยมีบุตรชายมาก่อนสองคน ที่มาเสียชีวิตเมื่อายุเพียงไม่กี่ขวบ จากการปิดล้อมของเลนินกราด จนเมื่อหมดสงคราม เราได้พยายามมีลูกสืบทอด และ ก็ได้เขามา เราไม่มีความหวังอื่นใดในอนาคตของเราอีกแล้ว นอกจากจะฝากความหวังไว้
    ที่เขาคนเดียว……ผมขอฝากโวโลเดียร์ไว้ในความเมตตาของท่าน……”

    โวโลเดียร์ หรือ ปูตินน้อย ก็เหมือนจะเตรียมตัวกับงานของ KGB มาดี เพราะเขาไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบุหรี่ (เพราะวินัยของนักยูโด) และไม่ใช่อันธพาล (เพราะยังไม่มีโอกาส)
    ไม่เคยประวัติเสียใดๆมาก่อนทั้งในรัสเซีย หรือ นอกเขต(พ่อดุซะขนาดนั้น…)
    เขารู้ดีว่า หน้าที่การทำงานในหน่วยสืบราชการลับนั้น ไม่ใช่ว่ารายได้ดี แต่มันคือหน้าที่ของประชาชนผู้ที่ได้รับเลือกขึ้นมา
    เพื่อที่จะสร้างความปลอดภัยให้กับชาติ

    ในกลางฤดูร้อนของปี 1975 วลาดิเมียร์ ปูติน ได้เข้ารับปริญญา ในตอนนั้น ทางมหาวิทยาลัยได้ประกาศว่า เขาจะต้องไปสอบเอาตั๋วทนาย
    แต่มีเสียงขัดขึ้นมาจากชายคนหนึ่ง ว่า…… คนนี้ไม่ต้อง……
    เพราะมีงานอื่นให้ทำรออยู่แล้ว……

    นั่นคือคำประกาศิต……จากนั้นปูตินได้ก้าวเข้าไปเป็นข้าราชการในหน่วยของ KGB ตามที่สายลับประจำมหาวิทยาลัยได้ตามเฝ้าดูเขาอยู่นานแล้ว
    ปูตินดีใจสุดขีด……เขารีบไปสะกิดเพื่อนรัก Viktor Borisenko
    ให้รีบขึ้นรถ แล้วขับพาไปร้านอาหารเจ้าประจำ และสั่งเหล้าหวานมาจิบคนละแก้ว
    วิคเตอร์……รู้สึกประหลาดใจมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นปูตินดื่มเหล้า……
    และมารู้ทีหลัง หลังจากเวลาที่ผ่านไปนานมาก ว่า
    นั่นคือสิ่งที่ปูตินได้เลี้ยงฉลองให้กับหน้าที่การงานใหม่ ที่เพิ่งได้รับมอบหมาย…

    ในช่วงที่ปูตินได้เข้าไปเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกงานนั้น KGB เป็นองค์กรใหญ่มาก เพราะมีทั้งสายใน-นอกประเทศ , หน่วยประจำเส้นชายแดน ศุลกากร, หน่วยรบพิเศษเพื่อรักษาความปลอดภัยให้ผู้นำ, สื่อสาร เจาะโค้ดลับ ดักฟังโทรศัพท์ แถมมีหน่วยสืบสายลับซ้อนสายลับกันเองอีกด้วย……
    หน้าที่แรกขอบเขาคือการทำหน้าที่เป็นเลขานุการให้กับหัวหน้าหน่วยฝ่ายบุคคล ประจำที่สำนักงานใหญ่ในเลนินกราด
    ที่เป็นที่เดียวกับที่เขาเคยเดินเบ๋อบ๋าเข้าไปสมัครเมื่อหลายปีก่อน

    แต่ในคราวนี้ ในวัยเพียง 23 ปี เขาคือหนุ่มน้อยเจ้าหน้าที่ KGB
    ตัวจริง ไม่ใช่ฝันลมๆแล้วๆอย่างแต่ก่อน
    และรายล้อมรอบตัวเขา คือ เหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เก่าแก่ขนาดจดจำเรื่องคุกที่ไซบีเรีย สมัยสตาลินได้นั่นแหละ
    หน้าที่จริงๆของปูติน คือ รับคำสั่ง และ ต้องหูไว ตาไว
    ในตึกหนึ่งของสำนักงาน ที่ติดกับคลอง Okhta ออกสู่แม่น้ำ Neva มีสภาพเป็นโรงเรียน “ยุทธการเรือดำน้ำ” ที่เหล่านักเรียนนายเรือจะต้องมาอยู่ประจำฝึกร่างกาย เรียนวิชาเฉพาะ นานถึงหกเดือนโดยไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอกเลย

    สองปีผ่านไปในการทำงานด้านเอกสาร พ่อของเขาได้เกษียณจากงานประจำ (รถไฟ) และได้รับที่อยู่ใหม่ เป็นอาคารสงเคราะห์เช่นเดิม หากแต่ย้ายไปที่ Avtovo ที่อยู่ทางใต้ของเลนินกราด แต่คราวนี้ เป็นห้องที่ใหญ่กว่าเดิม และปูตินได้มีห้องเป็นส่วนตัวในครั้งแรกในชีวิต
    ในย่านที่อยู่อาศัย ค่อนข้างหนาแน่น แม้แต่เจ้าหน้าที่ KGB อย่างปูตินก็ไม่มีสิทธิพิเศษแต่อย่างใด
    สิทธิอย่างเดียวที่เขามี คือ สามารถต่อรอง ทอนอำนาจกับตำรวจได้ในแทบทุกกรณี……และทางองค์กรจะเข้ามาดูแลให้ทั้งหมด……

    เมื่อมีเวลา มีเงินเดือนใช้ ไปโน่นมานี่สะดวกเพราะมีรถใช้
    เพื่อนฝูงเยอะ พ่อไม่คุมเข้มอย่างแต่ก่อน
    งานปะทะกับจิ๊กโก๋ตามสี่แยกก็มีตามมา เช่นครั้งหนึ่งเขาไปกับเพื่อนรัก Sergei Roldugin**
    เหตุเกิดคือ การที่อันธพาลคนหนึ่งทำทีว่ามาไถเงินซื้อบุหรี่ ท่าท่าไม่ดี ปูตินเริ่มก่อน เข้าชาร์ทก่อนจับทุ่มลงไปนอนกลางถนน……
    ทั้งกลุ่มได้เข้ามาหมายรุม ……แต่ ปูตินชี้ไปที่รถ บอกว่า เพื่อนกูเป็นตำรวจ……!!
    ทั้งหมดจึงกระเจิงหายไป
    พอขึ้นรถได้…เซอร์เกปากคอสั่น……บอกว่า
    “เมริงง……กูเป็นนักดนตรีนะ ไม่ใช่ตำรวจ……”

    ตอนนั้นเซอร์เกเองก็ไม่เคยรู้ว่าเพื่อที่คบกันมานานนมนั้น ทำงานทำการอะไร แต่ท้าทายได้ในทุกองค์กร เช่นพาเขาเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามต่างๆได้ เช่นชั้นในของในพระวิหารสำคัญ หรือ ที่ทำการรัฐบาลหลายแห่ง และทุกครั้งปูตินจะแนะนำว่าเขาเป็นหมอบ้าง ตำรวจบ้าง……
    จนในที่สุด ปูตินได้บอกกับเขาตามตรงว่า เขาเป็นเจ้าหน้าที่องค์กรหน่วยรักษาความปลอดภัยของประเทศ ที่เซอร์เกเองก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเป็นงานอะไร
    ปูตินตอบว่า……ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลย เอาเป็นว่า เราเป็นผู้เชี่ยวชาญในการอ่านมนุษย์ก็แล้วกัน…แต่ถ้าไปอยู่ในภาวะที่เลี่ยงการปะทะไม่ได้……เราจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไม่คอยให้เสียเวลา……”

    ปี 1979 ปูตินได้รับยศเป็นร้อยเอก และได้ถูกส่งไปยัง Felix Dzerzhinsky (เทียบเท่าโรงเรียนเสธ. KGB ) ที่กรุงมอสโคว์
    ที่จะฝึกให้เขาเป็น มนุษย์ผู้มี a warm heart, a cool head and clean hands (หมายถึง ใจแน่ว , สตินิ่ง, มือปฏิบัติการที่ไร้ร่องรอย…)
    พอจบจากหลักสูตรนี้ เขาถูกส่งตัวกลับไปยังเลนินกราด
    เพื่อรับหน้าที่ในด้านการต่างประเทศ คือ สืบหาสายลับที่มาจากต่างแดน เพราะโซเวียตได้เปิดฉากสงครามกับอัฟกานิสถานในตอนปลายปี ที่โซเวียตสนับสนุนรัฐบาลโปรคอมมิวนิสต์ในกรุง Kabul
    (หมายเหตุ รัสเซียได้เสียทหารไปเป็นจำนวนมากในสงครามครั้งนี้…)

    พอเริ่มปี 1980 ที่โรนัล รีแกน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สงครามเย็นเริ่มตึงเครียด มีการพูดถึงระเบิดนิวเคลียร์
    โซเวียตมีการตรียมตัวกดปุ่ม ในโค้ดปฏิบัติการว่า RYAN
    ที่เหล่าสายลับทั้งหลายในโลก……ทุกฝ่ายต่างทำงานกันอย่างเต็มสตรีม……
    ปูตินเริ่มอึดอัด เพราะ เขามีอายุ 28 และยังเป็นโสด ซึ่งนับว่าเป็นอุปสรรคที่จะก้าวโตต่อไปในหน้าที่การงาน สำหรับการที่จะไปประจำอยู่ต่างประเทศ (ตามเจตนารมณ์ดั้งเดิม)
    เขาจัดว่าเป็นคนหน้าตาใช้ได้ ฉลาดเฉลียว แต่เรื่องผู้หญิง
    เขากลายเป็นคนไม่ประสีประสา จีบไม่เป็นบางครั้งเข้าขั้นพูดตะกุกตะกัก ติดอ่าง……
    ในช่วงท้ายๆในมหาวิทยาลัย เขามีเพื่อนหญิงคนหนึ่ง ชื่อว่า
    Ludmila Khmarina (คนละคนกับลุดมิลาภริยาที่แต่งงาน) ที่เป็นน้องสาวของเพื่อนรัก ที่เขาได้ขอหมั้น และถึงขั้นที่ไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรส
    ครอบครัวเจ้าสาวไปเตรียมตัดชุดแต่งงาน ตัดสูท เตรียมแหวน

    แต่ในที่สุด ปูตินขอยกเลิกงานทั้งหมด โดยเขาให้เหตุผลว่า
    “เลิกกันตอนนี้ดีกว่า ที่เราทั้งคู่จะต้องทนอยู่ด้วยกันไปในอนาคต..”

    ไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริง เพราะปูตินไม่เคยปริปากบอกใคร แต่……เชื่อว่าไม่ใช่ความผิดของฝ่ายชายเพราะเขายังเป็นเพื่อนสนิทกับพี่ชายของฝ่ายหญิงอย่างไม่เปลี่ยนแปลง..!!!!

    ** Sergei Roldugin เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของปูติน จนถึงทุกวันนี้ เขาเป็นทั้งเพื่อน พ่อสื่อ และพ่อทูนหัวให้กับธิดาของปูติน ฐานะของเขาจากนักดนตรีสีเซลโล่ ปัจจุบันคือ อภิมหาเศรษฐีเข้าขั้นพันล้านคนหนึ่ง

    Wiwanda W. Vichit
    ติ่งพี่ปู……….เชิญทางนี้ค่าาาา……………!!!! ตอนสอง………นักศึกษาชั้นดี…ที่…เข้าตาแมวมอง KGB…!!! ชีวิตในมหาวิทยาลัยในระยะแรกๆของปูติน เขาค่อนข้างที่จะเป็นเด็กเรียน ไม่เน้นกิจกรรมอื่น นอกจากยังอยู่ในทีมยูโดที่ฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ ทางมหาวิทยาลัยได้เสนอให้เขาเป็นหนึ่งในทีมของมหาวิทยาลัย แต่เขาปฏิเสธ เพราะความผูกพันที่มีกับโค้ชคนเก่า ความเป็นดาวยูโด ได้นำพาเขาเข้าสู่การแข่งขันในระดับแคว้น ในปี 1972 มาเรียโชคดี ได้ถูกรางวัลล๊อตเตอรี่ เป็นรถยนตร์ Zaporozhets คันกระทัดรัด ที่เธอสามารถขายต่อด้วยราคาถึง 3,500 รูเบิ้ล แต่ความรักลูกมีเหนืออื่นใด เธอไม่ขาย… ยกให้กับปูตินเอาไว้ใช้…… ในยุคนั้น……คนธรรมดาก็หายากที่จะมีรถยนตร์ใช้ แต่นักศึกษาหน้าใหม่ปูติน……ขับรถปร๋อไปปร๋อมา…… จัดว่าโก้มาก…มีเพื่อนติดสอยห้อยตามไปโน่นมานี่ และการขับนั้นก็ไม่ธรรมดา……ห้าวไปตามประสาหนุ่มวัยรุ่น หากแต่ความเป็นอยู่ยังเหมือนเดิม ในห้องชุดในอาคารสงเคราะห์ที่ต้องแบ่งครึ่งกับเพื่อนบ้าน เขาไม่เคยมีห้องนอนส่วนตัว นอกจากการกั้นม่านมุมหนึ่งของห้องเป็นพื้นที่ส่วนตัว ภายในปี 1973 เขาได้เดินทางไปแข่งยูโดที่ Moldova, Georgia, Komi และไปใช้ชีวิตช่วงปิดภาคในแค้มป์ที่ Abkhazia (Georgia) ในเวลาว่าง ก็ไปรับทำงานพิเศษรับจ้างตัดต้นไม้ เพื่อหาสตังค์ไปซื้อเสื้อกันหนาวอย่างดีที่สามารถใช้ได้นานถึงสิบปีอัฟ การใช้ชีวิตกับเพื่อนก็เป็นไปตามวัยที่อยากผจญโลก เขาและเพื่อนๆได้ไปล่องเรือมุ่งหน้าสู่ Odessa ด้วยเงินที่มีเพียงน้อยนิด กับอาหารกระป๋องจำนวนไม่มาก นอนตากแดดตากลม ล่องเรือดูดาวอยู่สองวันสองคืน สี่ปีในมหาวิทยาลัย ที่วันหนึ่งเขาได้รับโทรศัพท์จากผู้ที่เขาไม่รู้จักมาก่อน ไม่มีการแนะนำตัวเอง แต่บอกสั้นๆว่า “ถึงเวลาที่เราจะต้องคุยกับนายเรื่องงานที่จะต้องมอบหมายให้ทำแล้ว……ไปพบกับเราได้ที่ห้องรับรองที่คณะฯ” ปูตินไปตามนัด……เขารอประมาณยี่สิบนาที จนแทบจะแน่ใจว่าโดนหลอก เตรียมตัวกลับ จึงปรากฏร่างของชายผู้หนึ่ง…ที่มีท่าทางสุภาพ ขอโทษขอโพยในการล่าช้า ……… สิ่งที่เขาได้คุยกันนั้น คือ เรื่อง”งาน” ที่ทางราชการได้เฝ้าดูพฤติกรรมของเขามาโดยตลอด และพร้อมที่จะมอบหมายให้ แต่.…ขั้นตอนต่อไป คือการที่จะต้องไปสัมภาษณ์บิดา มารดา รวมทั้งสาวประวัติส่วนตัว ส่วนครอบครัวยาวขึ้นไปสามสี่ชั้น ในเดือนมกราคม 1975 เจ้าหน้าที่วัยกลางคน ชื่อว่า Dmitry Gantserov ได้พบกับ Vladimir และ Maria ที่บ้านเป็นการส่วนตัว ในการพูดคุย…สังเกตได้ว่า วลาดิเมียร์ผู้พ่อมีความปลาบปลื้มและภูมิใจในตัวบุตรชายมาก เพราะในครอบครัวไม่เคยมีใครได้ร่ำเรียนจนถึงระดับมหาวิทยาลัย เมื่อทั้งพ่อและแม่ได้รับการอธิบายถึงเนื้องานและหน้าที่ที่ปูตินน้อยจะได้รับ…… ผู้พ่อ…ได้หลุดปากเอ่ยเอื้อนความในใจถึงความรักที่มีต่อบุตรชายให้เจ้าหน้าที่ได้รับรู้ว่า “ท่านครับ โวโลเดียร์ คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของผมและภรรยา เขาคือความหวังเดียวที่เรามี ท่านคงทราบแล้วว่า เราเคยมีบุตรชายมาก่อนสองคน ที่มาเสียชีวิตเมื่อายุเพียงไม่กี่ขวบ จากการปิดล้อมของเลนินกราด จนเมื่อหมดสงคราม เราได้พยายามมีลูกสืบทอด และ ก็ได้เขามา เราไม่มีความหวังอื่นใดในอนาคตของเราอีกแล้ว นอกจากจะฝากความหวังไว้ ที่เขาคนเดียว……ผมขอฝากโวโลเดียร์ไว้ในความเมตตาของท่าน……” โวโลเดียร์ หรือ ปูตินน้อย ก็เหมือนจะเตรียมตัวกับงานของ KGB มาดี เพราะเขาไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบุหรี่ (เพราะวินัยของนักยูโด) และไม่ใช่อันธพาล (เพราะยังไม่มีโอกาส) ไม่เคยประวัติเสียใดๆมาก่อนทั้งในรัสเซีย หรือ นอกเขต(พ่อดุซะขนาดนั้น…) เขารู้ดีว่า หน้าที่การทำงานในหน่วยสืบราชการลับนั้น ไม่ใช่ว่ารายได้ดี แต่มันคือหน้าที่ของประชาชนผู้ที่ได้รับเลือกขึ้นมา เพื่อที่จะสร้างความปลอดภัยให้กับชาติ ในกลางฤดูร้อนของปี 1975 วลาดิเมียร์ ปูติน ได้เข้ารับปริญญา ในตอนนั้น ทางมหาวิทยาลัยได้ประกาศว่า เขาจะต้องไปสอบเอาตั๋วทนาย แต่มีเสียงขัดขึ้นมาจากชายคนหนึ่ง ว่า…… คนนี้ไม่ต้อง…… เพราะมีงานอื่นให้ทำรออยู่แล้ว…… นั่นคือคำประกาศิต……จากนั้นปูตินได้ก้าวเข้าไปเป็นข้าราชการในหน่วยของ KGB ตามที่สายลับประจำมหาวิทยาลัยได้ตามเฝ้าดูเขาอยู่นานแล้ว ปูตินดีใจสุดขีด……เขารีบไปสะกิดเพื่อนรัก Viktor Borisenko ให้รีบขึ้นรถ แล้วขับพาไปร้านอาหารเจ้าประจำ และสั่งเหล้าหวานมาจิบคนละแก้ว วิคเตอร์……รู้สึกประหลาดใจมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นปูตินดื่มเหล้า…… และมารู้ทีหลัง หลังจากเวลาที่ผ่านไปนานมาก ว่า นั่นคือสิ่งที่ปูตินได้เลี้ยงฉลองให้กับหน้าที่การงานใหม่ ที่เพิ่งได้รับมอบหมาย… ในช่วงที่ปูตินได้เข้าไปเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกงานนั้น KGB เป็นองค์กรใหญ่มาก เพราะมีทั้งสายใน-นอกประเทศ , หน่วยประจำเส้นชายแดน ศุลกากร, หน่วยรบพิเศษเพื่อรักษาความปลอดภัยให้ผู้นำ, สื่อสาร เจาะโค้ดลับ ดักฟังโทรศัพท์ แถมมีหน่วยสืบสายลับซ้อนสายลับกันเองอีกด้วย…… หน้าที่แรกขอบเขาคือการทำหน้าที่เป็นเลขานุการให้กับหัวหน้าหน่วยฝ่ายบุคคล ประจำที่สำนักงานใหญ่ในเลนินกราด ที่เป็นที่เดียวกับที่เขาเคยเดินเบ๋อบ๋าเข้าไปสมัครเมื่อหลายปีก่อน แต่ในคราวนี้ ในวัยเพียง 23 ปี เขาคือหนุ่มน้อยเจ้าหน้าที่ KGB ตัวจริง ไม่ใช่ฝันลมๆแล้วๆอย่างแต่ก่อน และรายล้อมรอบตัวเขา คือ เหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เก่าแก่ขนาดจดจำเรื่องคุกที่ไซบีเรีย สมัยสตาลินได้นั่นแหละ หน้าที่จริงๆของปูติน คือ รับคำสั่ง และ ต้องหูไว ตาไว ในตึกหนึ่งของสำนักงาน ที่ติดกับคลอง Okhta ออกสู่แม่น้ำ Neva มีสภาพเป็นโรงเรียน “ยุทธการเรือดำน้ำ” ที่เหล่านักเรียนนายเรือจะต้องมาอยู่ประจำฝึกร่างกาย เรียนวิชาเฉพาะ นานถึงหกเดือนโดยไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอกเลย สองปีผ่านไปในการทำงานด้านเอกสาร พ่อของเขาได้เกษียณจากงานประจำ (รถไฟ) และได้รับที่อยู่ใหม่ เป็นอาคารสงเคราะห์เช่นเดิม หากแต่ย้ายไปที่ Avtovo ที่อยู่ทางใต้ของเลนินกราด แต่คราวนี้ เป็นห้องที่ใหญ่กว่าเดิม และปูตินได้มีห้องเป็นส่วนตัวในครั้งแรกในชีวิต ในย่านที่อยู่อาศัย ค่อนข้างหนาแน่น แม้แต่เจ้าหน้าที่ KGB อย่างปูตินก็ไม่มีสิทธิพิเศษแต่อย่างใด สิทธิอย่างเดียวที่เขามี คือ สามารถต่อรอง ทอนอำนาจกับตำรวจได้ในแทบทุกกรณี……และทางองค์กรจะเข้ามาดูแลให้ทั้งหมด…… เมื่อมีเวลา มีเงินเดือนใช้ ไปโน่นมานี่สะดวกเพราะมีรถใช้ เพื่อนฝูงเยอะ พ่อไม่คุมเข้มอย่างแต่ก่อน งานปะทะกับจิ๊กโก๋ตามสี่แยกก็มีตามมา เช่นครั้งหนึ่งเขาไปกับเพื่อนรัก Sergei Roldugin** เหตุเกิดคือ การที่อันธพาลคนหนึ่งทำทีว่ามาไถเงินซื้อบุหรี่ ท่าท่าไม่ดี ปูตินเริ่มก่อน เข้าชาร์ทก่อนจับทุ่มลงไปนอนกลางถนน…… ทั้งกลุ่มได้เข้ามาหมายรุม ……แต่ ปูตินชี้ไปที่รถ บอกว่า เพื่อนกูเป็นตำรวจ……!! ทั้งหมดจึงกระเจิงหายไป พอขึ้นรถได้…เซอร์เกปากคอสั่น……บอกว่า “เมริงง……กูเป็นนักดนตรีนะ ไม่ใช่ตำรวจ……” ตอนนั้นเซอร์เกเองก็ไม่เคยรู้ว่าเพื่อที่คบกันมานานนมนั้น ทำงานทำการอะไร แต่ท้าทายได้ในทุกองค์กร เช่นพาเขาเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามต่างๆได้ เช่นชั้นในของในพระวิหารสำคัญ หรือ ที่ทำการรัฐบาลหลายแห่ง และทุกครั้งปูตินจะแนะนำว่าเขาเป็นหมอบ้าง ตำรวจบ้าง…… จนในที่สุด ปูตินได้บอกกับเขาตามตรงว่า เขาเป็นเจ้าหน้าที่องค์กรหน่วยรักษาความปลอดภัยของประเทศ ที่เซอร์เกเองก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเป็นงานอะไร ปูตินตอบว่า……ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลย เอาเป็นว่า เราเป็นผู้เชี่ยวชาญในการอ่านมนุษย์ก็แล้วกัน…แต่ถ้าไปอยู่ในภาวะที่เลี่ยงการปะทะไม่ได้……เราจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไม่คอยให้เสียเวลา……” ปี 1979 ปูตินได้รับยศเป็นร้อยเอก และได้ถูกส่งไปยัง Felix Dzerzhinsky (เทียบเท่าโรงเรียนเสธ. KGB ) ที่กรุงมอสโคว์ ที่จะฝึกให้เขาเป็น มนุษย์ผู้มี a warm heart, a cool head and clean hands (หมายถึง ใจแน่ว , สตินิ่ง, มือปฏิบัติการที่ไร้ร่องรอย…) พอจบจากหลักสูตรนี้ เขาถูกส่งตัวกลับไปยังเลนินกราด เพื่อรับหน้าที่ในด้านการต่างประเทศ คือ สืบหาสายลับที่มาจากต่างแดน เพราะโซเวียตได้เปิดฉากสงครามกับอัฟกานิสถานในตอนปลายปี ที่โซเวียตสนับสนุนรัฐบาลโปรคอมมิวนิสต์ในกรุง Kabul (หมายเหตุ รัสเซียได้เสียทหารไปเป็นจำนวนมากในสงครามครั้งนี้…) พอเริ่มปี 1980 ที่โรนัล รีแกน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สงครามเย็นเริ่มตึงเครียด มีการพูดถึงระเบิดนิวเคลียร์ โซเวียตมีการตรียมตัวกดปุ่ม ในโค้ดปฏิบัติการว่า RYAN ที่เหล่าสายลับทั้งหลายในโลก……ทุกฝ่ายต่างทำงานกันอย่างเต็มสตรีม…… ปูตินเริ่มอึดอัด เพราะ เขามีอายุ 28 และยังเป็นโสด ซึ่งนับว่าเป็นอุปสรรคที่จะก้าวโตต่อไปในหน้าที่การงาน สำหรับการที่จะไปประจำอยู่ต่างประเทศ (ตามเจตนารมณ์ดั้งเดิม) เขาจัดว่าเป็นคนหน้าตาใช้ได้ ฉลาดเฉลียว แต่เรื่องผู้หญิง เขากลายเป็นคนไม่ประสีประสา จีบไม่เป็นบางครั้งเข้าขั้นพูดตะกุกตะกัก ติดอ่าง…… ในช่วงท้ายๆในมหาวิทยาลัย เขามีเพื่อนหญิงคนหนึ่ง ชื่อว่า Ludmila Khmarina (คนละคนกับลุดมิลาภริยาที่แต่งงาน) ที่เป็นน้องสาวของเพื่อนรัก ที่เขาได้ขอหมั้น และถึงขั้นที่ไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรส ครอบครัวเจ้าสาวไปเตรียมตัดชุดแต่งงาน ตัดสูท เตรียมแหวน แต่ในที่สุด ปูตินขอยกเลิกงานทั้งหมด โดยเขาให้เหตุผลว่า “เลิกกันตอนนี้ดีกว่า ที่เราทั้งคู่จะต้องทนอยู่ด้วยกันไปในอนาคต..” ไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริง เพราะปูตินไม่เคยปริปากบอกใคร แต่……เชื่อว่าไม่ใช่ความผิดของฝ่ายชายเพราะเขายังเป็นเพื่อนสนิทกับพี่ชายของฝ่ายหญิงอย่างไม่เปลี่ยนแปลง..!!!! ** Sergei Roldugin เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของปูติน จนถึงทุกวันนี้ เขาเป็นทั้งเพื่อน พ่อสื่อ และพ่อทูนหัวให้กับธิดาของปูติน ฐานะของเขาจากนักดนตรีสีเซลโล่ ปัจจุบันคือ อภิมหาเศรษฐีเข้าขั้นพันล้านคนหนึ่ง Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 568 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลาก่อนกาดสวนแก้ว ประกาศขาย 3 พันล้าน

    ทำเอาชาวเชียงใหม่ใจหายซ้ำสอง หลังธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศขายอุทยานการค้ากาดสวนแก้ว อดีตศูนย์การค้าเก่าแก่สูง 10 ชั้น บนเนื้อที่ 27 ไร่ 2 งาน 98 ตารางวา ริมถนนห้วยแก้ว เขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ในราคา 3,000 ล้านบาท หลังศูนย์การค้าฯ ปิดให้บริการชั่วคราวเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา แต่ที่สุดแล้วกลายเป็นการปิดถาวร เป็นที่น่าเสียดายแก่ชาวเชียงใหม่ยุค 80 และ 90 ที่เคยมีประสบการณ์กับสถานที่แห่งนี้

    อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2535 ก่อตั้งโดย ร.ต.ท.สุชัย เก่งการค้า อดีตสถาปนิกกรมตำรวจ ที่ผันตัวมาเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยด้านข้างยังมีโรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว สูง 13 ชั้น ขนาด 420 ห้อง โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านนา ตัวอาคารก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลเข้ม บุผนังด้านนอกอาคารทั้งหลัง จุดเด่นคือห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาแรกในต่างจังหวัด โรงภาพยนตร์วิสต้า ขนาด 7 โรง และโรงละครกาดเธียเตอร์ ชั้น 5 ความจุ 1,500 ที่นั่ง

    แม้จะเป็นศูนย์การค้ายอดนิยมของคนเชียงใหม่ยุคนั้น แต่ด้วยการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกที่สูงขึ้น กลุ่มทุนจากส่วนกลาง อาทิ เซ็นทรัลพัฒนา เปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ บริเวณสี่แยกศาลเด็ก เพิ่มเติมจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต รวมทั้งกลุ่มเอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น เปิดศูนย์การค้าเม-ญ่า ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ บริเวณสี่แยกรินคำ ไม่นับรวมห้างค้าปลีก คอมมูนิตีมอลล์จำนวนมาก แม้กาดสวนแก้วพยายามรีโนเวตให้ทันสมัย แต่ไม่อาจต้านทานได้

    อีกทั้งสถานการณ์โควิด 19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 ไม่มีนักท่องเที่ยว แม้จะช่วยลดค่าเช่า ค่าบริการ ผ่อนผันร้านค้าทุกวิถีทาง พร้อมกับปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่เนื่องจากการระบาดยังคงยืดเยื้อต่อเนื่อง อีกทั้งภาครัฐไม่มีนโยบายผ่อนปรนหรือช่วยเหลืออีกต่อไป จึงจำเป็นต้องปิดศูนย์การค้าฯ ชั่วคราว แต่ในที่สุดก็กลายเป็นการปิดถาวร

    อนึ่ง ก่อนหน้านี้กรมบังคับคดีเพิ่งประกาศจำหน่ายทรัพย์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ศูนย์การค้าพรอมเมนาดา เชียงใหม่ รีสอร์ตมอลล์ 24 แปลง เนื้อที่ประมาณ 54 ไร่ บริเวณแยกต่างระดับดอนจั่น ถนนวงแหวนรอบสอง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ 10 กิโลเมตร กำหนดราคาประเมิน 2,058 ล้านบาท จำหน่ายครั้งแรก 21 ต.ค. 2567 หลังศูนย์การค้าฯ ประกาศปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2565 และศาลล้มละลายกลาง พิพากษาให้ บริษัท อีซีซี เชียงใหม่ โครงการ 1 จำกัด ล้มละลายเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566

    #Newskit #กาดสวนแก้ว #เชียงใหม่
    ลาก่อนกาดสวนแก้ว ประกาศขาย 3 พันล้าน ทำเอาชาวเชียงใหม่ใจหายซ้ำสอง หลังธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศขายอุทยานการค้ากาดสวนแก้ว อดีตศูนย์การค้าเก่าแก่สูง 10 ชั้น บนเนื้อที่ 27 ไร่ 2 งาน 98 ตารางวา ริมถนนห้วยแก้ว เขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ในราคา 3,000 ล้านบาท หลังศูนย์การค้าฯ ปิดให้บริการชั่วคราวเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา แต่ที่สุดแล้วกลายเป็นการปิดถาวร เป็นที่น่าเสียดายแก่ชาวเชียงใหม่ยุค 80 และ 90 ที่เคยมีประสบการณ์กับสถานที่แห่งนี้ อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2535 ก่อตั้งโดย ร.ต.ท.สุชัย เก่งการค้า อดีตสถาปนิกกรมตำรวจ ที่ผันตัวมาเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยด้านข้างยังมีโรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว สูง 13 ชั้น ขนาด 420 ห้อง โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านนา ตัวอาคารก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลเข้ม บุผนังด้านนอกอาคารทั้งหลัง จุดเด่นคือห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาแรกในต่างจังหวัด โรงภาพยนตร์วิสต้า ขนาด 7 โรง และโรงละครกาดเธียเตอร์ ชั้น 5 ความจุ 1,500 ที่นั่ง แม้จะเป็นศูนย์การค้ายอดนิยมของคนเชียงใหม่ยุคนั้น แต่ด้วยการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกที่สูงขึ้น กลุ่มทุนจากส่วนกลาง อาทิ เซ็นทรัลพัฒนา เปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ บริเวณสี่แยกศาลเด็ก เพิ่มเติมจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต รวมทั้งกลุ่มเอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น เปิดศูนย์การค้าเม-ญ่า ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ บริเวณสี่แยกรินคำ ไม่นับรวมห้างค้าปลีก คอมมูนิตีมอลล์จำนวนมาก แม้กาดสวนแก้วพยายามรีโนเวตให้ทันสมัย แต่ไม่อาจต้านทานได้ อีกทั้งสถานการณ์โควิด 19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 ไม่มีนักท่องเที่ยว แม้จะช่วยลดค่าเช่า ค่าบริการ ผ่อนผันร้านค้าทุกวิถีทาง พร้อมกับปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่เนื่องจากการระบาดยังคงยืดเยื้อต่อเนื่อง อีกทั้งภาครัฐไม่มีนโยบายผ่อนปรนหรือช่วยเหลืออีกต่อไป จึงจำเป็นต้องปิดศูนย์การค้าฯ ชั่วคราว แต่ในที่สุดก็กลายเป็นการปิดถาวร อนึ่ง ก่อนหน้านี้กรมบังคับคดีเพิ่งประกาศจำหน่ายทรัพย์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ศูนย์การค้าพรอมเมนาดา เชียงใหม่ รีสอร์ตมอลล์ 24 แปลง เนื้อที่ประมาณ 54 ไร่ บริเวณแยกต่างระดับดอนจั่น ถนนวงแหวนรอบสอง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ 10 กิโลเมตร กำหนดราคาประเมิน 2,058 ล้านบาท จำหน่ายครั้งแรก 21 ต.ค. 2567 หลังศูนย์การค้าฯ ประกาศปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2565 และศาลล้มละลายกลาง พิพากษาให้ บริษัท อีซีซี เชียงใหม่ โครงการ 1 จำกัด ล้มละลายเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566 #Newskit #กาดสวนแก้ว #เชียงใหม่
    Like
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 883 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยที่ผมยังเด็ก...

    บ้านที่ผมอาศัยอยู่ กับร้านของเตี่ย อยู่ห่างจากกันไม่ไกลนัก ข้างๆร้านของเตี่ย (กรุงเทพอาภรณ์) นั้น เป็นร้านเก่าแก่ของเมืองนครพนม..

    " ร้าน ไทยสามัคคี"

    ครับ ร้านที่เป็นแลนด์มาร์คของเมืองนครพนม ตั้งอยู่หลัง หอนาฬิกา จังหวัดนครพนม ระหว่างถนนสุนทรวิจิตร กับถนนศรีเทพ
    ร้านไทยสามัคคี นั้น มีชื่อจีนกำกับบนป้ายร้าน ว่า "ฮั่วเพ้ง..."

    ร้านนี้ มีหน้าร้าน2ฟากถนนตามที่ได้เอ่ยไปข้างต้น
    ฟากหนึ่งฝั่ง ถนนศรีเทพ จะเป็นร้านอาหารตามสั่ง พูดถึงร้านอาหารตามสั่ง เราๆท่านๆในปัจจุบันอาจจะรู้สึกเฉยๆ แต่สมัยนั้น ร้านอาหารตามสั่งไม่ได้มีดาษดื่นเช่นทุกวันนี้ ผมยังจำได้เสมอว่า ข้าวผัดหมูจานแรกพร้อมพริกนำ้ปลาถ้วยเล็กๆนั้น มันอร่อยเพียงใด...

    แค่เตี่ยบอกว่า"ไปสั่งข้าวร้านข้างๆมากิน!" เท่านั้นแหละครับ เหมือนถูกหวยเลย!ผมจำได้เสมอ ถึงพ่อครัว2คน ที่ผลัดกัน ผัดอาหาร คนหนึ่งชื่อ ยงค์ หรือ ย้ง นี่แหละ!! คนนี้เสียชีวิตไปไม่นาน ...

    ส่วนอีกคนนั้น ผมเรียกตามเตี่ยผมว่า "เฮียอ่าง" ผมมักจะเลือกไปสั่งอาหารตอนเฮียอ่างอยู่หน้าเตา เพราะรู้สึกว่า เฮียอ่างผัดอร่อยกว่า
    ปัจจุบัน เฮียอ่าง ได้มาเปิดร้านขายสลากกินแบ่งรัฐบาล อยู่ถนนเฟื่องนคร ชื่อร้านคือ "โชควิทยา"

    ส่วนอีกฟากถนนสุนทรวิจิตรนั้น จะเป็นส่วนของร้านกาแฟ ร้านกาแฟนี้ ในสมัยเมื่อ 40 ปีที่แล้วนั้น มักจะมี ข้าราชการน้อยใหญ่มานั่งกินกาแฟ ไข่ลวก ทุกๆเช้า ภาพหนึ่งที่เห็นตอนเช้า ควันไฟจากเตาต้มนำ้ร้อนนั้น อ้อยอิ่งกระทบแสงแดดยามเช้า พร้อมกับกลิ่นกาแฟหอมๆที่ลอยมากับลมอ่อนๆ

    ผมมักจะขอตังอาม่าของผมไปซื้อ นมเย็น ที่ร้านประจำ คนชงนั้นถ้าจำไม่ผิด จะเป็นเจ้าของร้านตัวเล็กๆ หวีผมเสยพร้อมนำ้มันใส่ผม เรียบแปร้...

    คนรุ่นผมน่าจะคุ้นเคยกับการชงกาแฟ หรืออะไรก็ตามใส่กระป๋องนม แล้วเอาเชือกฟางร้อยรูบนฝากระป๋อง ซึ่งผมมักจะบอกคนชงว่า "ชงใส่กระป๋องให้ด้วย..."และผมยังคิดถึงหม้อต้มนำ้เพื่อชงกาแฟที่ทำด้วยทองแดง ไม่ก็ทองเหลืองทรงโบราณอยู่เสมอ...

    อีกภาพที่คุ้นตามากๆ สำหรับ "ร้านไทยสามัคคี" คือ หลังหอนาฬิกา จะมีที่นั่ง ทำด้วยหินขัดเป็นแนวยาวสีครีมเข้มๆ ที่นั่งนี้ จะเต็มไปด้วยคนถีบสามล้อ ที่ไปนั่งเฝ้านอนเฝ้า รอฟังผลหวยออก ซึ่งแน่นอน บริเวณนั้นก็จะเต็มไปด้วยรถสามล้อเช่นกัน...

    ระหว่างที่รอฟังหวย นั้น ถ้าหวยออกตัวไหน เจ้าของร้าน ก็จะเอากระดานสังกะสี ของเป๊บซี่ มาเขียนเลขที่ออกด้วยชอล์กสีขาว ออกตัวไหน ก็จะมีเสียงฮือฮา ของสมาคมสามล้อถีบในบริเวณนั้นเป็นระยะๆ จวบจน "หวยออกครบ" แปลว่า สมาคมย่อยๆนั้น ก็สลายไปพร้อมๆ กับเสียงบ่นพึมพำ ที่ค่อยๆจางลง.....
    จางลง.....
    สมัยที่ผมยังเด็ก... บ้านที่ผมอาศัยอยู่ กับร้านของเตี่ย อยู่ห่างจากกันไม่ไกลนัก ข้างๆร้านของเตี่ย (กรุงเทพอาภรณ์) นั้น เป็นร้านเก่าแก่ของเมืองนครพนม.. " ร้าน ไทยสามัคคี" ครับ ร้านที่เป็นแลนด์มาร์คของเมืองนครพนม ตั้งอยู่หลัง หอนาฬิกา จังหวัดนครพนม ระหว่างถนนสุนทรวิจิตร กับถนนศรีเทพ ร้านไทยสามัคคี นั้น มีชื่อจีนกำกับบนป้ายร้าน ว่า "ฮั่วเพ้ง..." ร้านนี้ มีหน้าร้าน2ฟากถนนตามที่ได้เอ่ยไปข้างต้น ฟากหนึ่งฝั่ง ถนนศรีเทพ จะเป็นร้านอาหารตามสั่ง พูดถึงร้านอาหารตามสั่ง เราๆท่านๆในปัจจุบันอาจจะรู้สึกเฉยๆ แต่สมัยนั้น ร้านอาหารตามสั่งไม่ได้มีดาษดื่นเช่นทุกวันนี้ ผมยังจำได้เสมอว่า ข้าวผัดหมูจานแรกพร้อมพริกนำ้ปลาถ้วยเล็กๆนั้น มันอร่อยเพียงใด... แค่เตี่ยบอกว่า"ไปสั่งข้าวร้านข้างๆมากิน!" เท่านั้นแหละครับ เหมือนถูกหวยเลย!ผมจำได้เสมอ ถึงพ่อครัว2คน ที่ผลัดกัน ผัดอาหาร คนหนึ่งชื่อ ยงค์ หรือ ย้ง นี่แหละ!! คนนี้เสียชีวิตไปไม่นาน ... ส่วนอีกคนนั้น ผมเรียกตามเตี่ยผมว่า "เฮียอ่าง" ผมมักจะเลือกไปสั่งอาหารตอนเฮียอ่างอยู่หน้าเตา เพราะรู้สึกว่า เฮียอ่างผัดอร่อยกว่า ปัจจุบัน เฮียอ่าง ได้มาเปิดร้านขายสลากกินแบ่งรัฐบาล อยู่ถนนเฟื่องนคร ชื่อร้านคือ "โชควิทยา" ส่วนอีกฟากถนนสุนทรวิจิตรนั้น จะเป็นส่วนของร้านกาแฟ ร้านกาแฟนี้ ในสมัยเมื่อ 40 ปีที่แล้วนั้น มักจะมี ข้าราชการน้อยใหญ่มานั่งกินกาแฟ ไข่ลวก ทุกๆเช้า ภาพหนึ่งที่เห็นตอนเช้า ควันไฟจากเตาต้มนำ้ร้อนนั้น อ้อยอิ่งกระทบแสงแดดยามเช้า พร้อมกับกลิ่นกาแฟหอมๆที่ลอยมากับลมอ่อนๆ ผมมักจะขอตังอาม่าของผมไปซื้อ นมเย็น ที่ร้านประจำ คนชงนั้นถ้าจำไม่ผิด จะเป็นเจ้าของร้านตัวเล็กๆ หวีผมเสยพร้อมนำ้มันใส่ผม เรียบแปร้... คนรุ่นผมน่าจะคุ้นเคยกับการชงกาแฟ หรืออะไรก็ตามใส่กระป๋องนม แล้วเอาเชือกฟางร้อยรูบนฝากระป๋อง ซึ่งผมมักจะบอกคนชงว่า "ชงใส่กระป๋องให้ด้วย..."และผมยังคิดถึงหม้อต้มนำ้เพื่อชงกาแฟที่ทำด้วยทองแดง ไม่ก็ทองเหลืองทรงโบราณอยู่เสมอ... อีกภาพที่คุ้นตามากๆ สำหรับ "ร้านไทยสามัคคี" คือ หลังหอนาฬิกา จะมีที่นั่ง ทำด้วยหินขัดเป็นแนวยาวสีครีมเข้มๆ ที่นั่งนี้ จะเต็มไปด้วยคนถีบสามล้อ ที่ไปนั่งเฝ้านอนเฝ้า รอฟังผลหวยออก ซึ่งแน่นอน บริเวณนั้นก็จะเต็มไปด้วยรถสามล้อเช่นกัน... ระหว่างที่รอฟังหวย นั้น ถ้าหวยออกตัวไหน เจ้าของร้าน ก็จะเอากระดานสังกะสี ของเป๊บซี่ มาเขียนเลขที่ออกด้วยชอล์กสีขาว ออกตัวไหน ก็จะมีเสียงฮือฮา ของสมาคมสามล้อถีบในบริเวณนั้นเป็นระยะๆ จวบจน "หวยออกครบ" แปลว่า สมาคมย่อยๆนั้น ก็สลายไปพร้อมๆ กับเสียงบ่นพึมพำ ที่ค่อยๆจางลง..... จางลง.....
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยที่ผมยังเด็ก...

       บ้านไม้เก่าแก่หลังหนึ่ง ตั้งอยู่ริมน้ำสายใหญ่ เป็นบ้านไม้ที่ทีอายุร่วม 80 ปี ด้านหน้าบ้าน ติดถนนเลียบริมนำ้ หันไปทางทิศ ตะวันตก ส่วนหลังบ้าน ติดแม่นำสายใหญ่ และแน่นอน ฉันเองก็เติบโตขึ้นมา ในบ้านหลังนี้ ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มานาน ตั้งแต่อาก๋ง อาม่า รวมถึงพ่อ แม่ และพี่น้องของฉันด้วย

    มันเป็นบ้านไม้ ชั้นเดียวเป็นเรื่องปกติที่ บ้านไม้อายุขนาดนี้ คงไม่มีการจัดแบ่ง พื้นที่ใช้สอยได้ดีนัก ตัวบ้านแบ่งเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ โดยเป็นโถง ขนาดพอสมควร ซึ่งปัจจุบัน คงจะเรียกกันตามภาษาฝรั่งว่า ลิฟวิ่งรูม ก็คงจะำงบึได้ แต่เอาเถอะไม่ว่าจะเรียกอย่างไร มันก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันมาตลอด 10 กว่าปี ของการเติบโตในบ้านหลังนั้น แต่น่าจะเป็นเรื่องตลกที่บ้านโบราณจะมี ลิฟวิ่งรูม ชิ้นที่2
    เนื่องจากว่าพื้นที่ๆถัดจากโถง ลงไป1 ก้าว มันเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ ชิ้นที่ 2 พวกเราได้ใช้พื้นที่นี้ เป็นส่วนทานอาหาร สำหรับอาม่าใช้เป็น ห้องสมุด และสำหรับแม่ มันกลายเป็น พื้นที่เย็บปักถักร้อย และทำงานอื่นๆ พูดถึงพื้นที่ทานอาหารแล้ว น่าจะเป็นส่วนรับประทานอาหารที่สวยที่สุดในโลก...
       เพราะทุกมื้อเช้าของพวกเราจะต้องทานอาหารเช้าไปพร้อมกับ แสงอ่อนๆของอาทิตย์ยามเช้า แต่ อาจจะเป็นเพราะว่าฉันยังเด็ก เกินกว่าจะมองเห็นความสวยงามของธรรมชาติ ฉันเองกลับคิดว่า มันแย่จังที่มีแสงแดดมาแยงตายามเช้าและมันยังร้อนมากอีกด้วย...

    สุดพื้นที่อเนกประสงค์ เป็นหน้าต่างกระจก กรอบบานเป็นไม้ วางเรียงกันไปตลอดแนวของตัวบ้าน และส่วนริมหน้าต่างนี่เอง ถ้ามองออกไปที่หน้าต่างจะมองเห็น แม่น้ำสายใหญ่ ถัดจากหน้าต่างออกไป จะเป็นส่วนของระเบียง ซึ่งกลายเป็น สวนดอกไม้ลอยฟ้า ของอาม่าฉันเอง
    ภายในตัวบ้าน ด้านซ้ายมือของทางเดินจะเป็นส่วนที่ฉัน หวาดกลัวที่สุด ฉันเรียกมันว่า ห้องมืด จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่ ห้อง อย่าเรียกว่า ห้องดีกว่า น่าจะเป็นพื้นที่เก็บของ เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ ฉันได้เข้าไปนั้น น้อยครั้งเหลือเกินที่จะมีการเปิดไฟส่องสว่าง ทำให้ในความรู้สึกของเด็กน้อยอย่างฉัน รู้สึกหวาดกลัวทุกครั้งที่เฉียดใกล้ ถ้าเดินผ่านส่วนห้องมืดไป ติดกันนั้นจะเป็นห้องนอนของอาม่า ซึ่งยาวไปจนสุดตัวบ้านติดริมน้ำแต่ แต่ห้องอาม่าจะถูกแบ่งช่วงสุดท้ายเป็นห้องเก็บของเล็กๆจะมีตู้กับข้าว อาหารแห้ง และเป็นพื้นที่ทางสัญจร ไปที่ที่สำหรับตากผ้า ริมหน้าต่าง และยังมีส่วนของห้องนอนแม่บ้านซึ่งอยู่ติดกับห้องมืด

    ทางด้านขวา ของตัวบ้านส่วนแรกจะเป็น ห้องเก็บของ(อีกแล้ว) ซึ่งแต่เดิม ห้องส่วนนี้ เคยเป็นห้องนอนของ บีเอ 2 ห้อง แล้วต่อมาก็เลยกลายมาเป็นห้องเก็บของ
    เข้ามาก็เป็นห้องนอน ของพ่อ และแม่ ของฉัน ถัดมาก็เป็นส่วนของห้องนอนเด็กๆ
    และสุดท้ายก็เป็น ส่วนของห้องน้ำ

    คงจะงงแล้วสิว่าห้องครัวอยู่ตรงไหน มันอยู่ชั้นล่างครับ ไม่ผิดแน่ครับ ชั้นล่างแน่นอน !
    อ้าว ไหนบอกว่าเป็นบ้านชั้นเดียวไงหละ!!!

        คือมันเป็นอย่างนี้ บังเอิญว่า บ้านหลังนี้อยู่ริมแม่น้ำ ดังนั้น ตัวบ้านจริงๆเป็นบ้านชั้นเดียว แต่มีการต่อเติม บนส่วนของตลิ่ง นานวันเข้าเลยกลายเป็นส่วนถาวร ของบ้านไป ชั้นล่างนี้แหละ เป็นส่วนครัว และส่วนเก็บอุปกรณ์ และผลิตผลทางการเกษตร

         ส่วนพื้นที่ใช้สอยนี้ ในส่วนตัวของฉันคิดว่า บ้านที่อยู่ริมน้ำน่าจะมีแทบทุกบ้าน เหตุเพราะว่าหลังผ่านฤดูน้ำหลากแล้ว ช่วงน้ำลด น้ำจะพาเอาดินที่อุดม มาทับถมที่ตลิ่ง แล้วตลิ่งแถวบ้านฉันก็เป็นตลิ่งที่ค่อนข้างกว้าง หลังช่วงออกพรรษาแล้ว ลมหนาวเริ่มโชยมาก็จะเห็นชาวบ้านลงไปทำสวน ปลูกผัก กันอยู่ครึกโครม ซึ่งบ้านของฉันก็รวมอยู่ในนั้นด้วย.....
    สมัยที่ผมยังเด็ก...    บ้านไม้เก่าแก่หลังหนึ่ง ตั้งอยู่ริมน้ำสายใหญ่ เป็นบ้านไม้ที่ทีอายุร่วม 80 ปี ด้านหน้าบ้าน ติดถนนเลียบริมนำ้ หันไปทางทิศ ตะวันตก ส่วนหลังบ้าน ติดแม่นำสายใหญ่ และแน่นอน ฉันเองก็เติบโตขึ้นมา ในบ้านหลังนี้ ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มานาน ตั้งแต่อาก๋ง อาม่า รวมถึงพ่อ แม่ และพี่น้องของฉันด้วย มันเป็นบ้านไม้ ชั้นเดียวเป็นเรื่องปกติที่ บ้านไม้อายุขนาดนี้ คงไม่มีการจัดแบ่ง พื้นที่ใช้สอยได้ดีนัก ตัวบ้านแบ่งเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ โดยเป็นโถง ขนาดพอสมควร ซึ่งปัจจุบัน คงจะเรียกกันตามภาษาฝรั่งว่า ลิฟวิ่งรูม ก็คงจะำงบึได้ แต่เอาเถอะไม่ว่าจะเรียกอย่างไร มันก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันมาตลอด 10 กว่าปี ของการเติบโตในบ้านหลังนั้น แต่น่าจะเป็นเรื่องตลกที่บ้านโบราณจะมี ลิฟวิ่งรูม ชิ้นที่2 เนื่องจากว่าพื้นที่ๆถัดจากโถง ลงไป1 ก้าว มันเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ ชิ้นที่ 2 พวกเราได้ใช้พื้นที่นี้ เป็นส่วนทานอาหาร สำหรับอาม่าใช้เป็น ห้องสมุด และสำหรับแม่ มันกลายเป็น พื้นที่เย็บปักถักร้อย และทำงานอื่นๆ พูดถึงพื้นที่ทานอาหารแล้ว น่าจะเป็นส่วนรับประทานอาหารที่สวยที่สุดในโลก...    เพราะทุกมื้อเช้าของพวกเราจะต้องทานอาหารเช้าไปพร้อมกับ แสงอ่อนๆของอาทิตย์ยามเช้า แต่ อาจจะเป็นเพราะว่าฉันยังเด็ก เกินกว่าจะมองเห็นความสวยงามของธรรมชาติ ฉันเองกลับคิดว่า มันแย่จังที่มีแสงแดดมาแยงตายามเช้าและมันยังร้อนมากอีกด้วย... สุดพื้นที่อเนกประสงค์ เป็นหน้าต่างกระจก กรอบบานเป็นไม้ วางเรียงกันไปตลอดแนวของตัวบ้าน และส่วนริมหน้าต่างนี่เอง ถ้ามองออกไปที่หน้าต่างจะมองเห็น แม่น้ำสายใหญ่ ถัดจากหน้าต่างออกไป จะเป็นส่วนของระเบียง ซึ่งกลายเป็น สวนดอกไม้ลอยฟ้า ของอาม่าฉันเอง ภายในตัวบ้าน ด้านซ้ายมือของทางเดินจะเป็นส่วนที่ฉัน หวาดกลัวที่สุด ฉันเรียกมันว่า ห้องมืด จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่ ห้อง อย่าเรียกว่า ห้องดีกว่า น่าจะเป็นพื้นที่เก็บของ เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ ฉันได้เข้าไปนั้น น้อยครั้งเหลือเกินที่จะมีการเปิดไฟส่องสว่าง ทำให้ในความรู้สึกของเด็กน้อยอย่างฉัน รู้สึกหวาดกลัวทุกครั้งที่เฉียดใกล้ ถ้าเดินผ่านส่วนห้องมืดไป ติดกันนั้นจะเป็นห้องนอนของอาม่า ซึ่งยาวไปจนสุดตัวบ้านติดริมน้ำแต่ แต่ห้องอาม่าจะถูกแบ่งช่วงสุดท้ายเป็นห้องเก็บของเล็กๆจะมีตู้กับข้าว อาหารแห้ง และเป็นพื้นที่ทางสัญจร ไปที่ที่สำหรับตากผ้า ริมหน้าต่าง และยังมีส่วนของห้องนอนแม่บ้านซึ่งอยู่ติดกับห้องมืด ทางด้านขวา ของตัวบ้านส่วนแรกจะเป็น ห้องเก็บของ(อีกแล้ว) ซึ่งแต่เดิม ห้องส่วนนี้ เคยเป็นห้องนอนของ บีเอ 2 ห้อง แล้วต่อมาก็เลยกลายมาเป็นห้องเก็บของ เข้ามาก็เป็นห้องนอน ของพ่อ และแม่ ของฉัน ถัดมาก็เป็นส่วนของห้องนอนเด็กๆ และสุดท้ายก็เป็น ส่วนของห้องน้ำ คงจะงงแล้วสิว่าห้องครัวอยู่ตรงไหน มันอยู่ชั้นล่างครับ ไม่ผิดแน่ครับ ชั้นล่างแน่นอน ! อ้าว ไหนบอกว่าเป็นบ้านชั้นเดียวไงหละ!!!     คือมันเป็นอย่างนี้ บังเอิญว่า บ้านหลังนี้อยู่ริมแม่น้ำ ดังนั้น ตัวบ้านจริงๆเป็นบ้านชั้นเดียว แต่มีการต่อเติม บนส่วนของตลิ่ง นานวันเข้าเลยกลายเป็นส่วนถาวร ของบ้านไป ชั้นล่างนี้แหละ เป็นส่วนครัว และส่วนเก็บอุปกรณ์ และผลิตผลทางการเกษตร      ส่วนพื้นที่ใช้สอยนี้ ในส่วนตัวของฉันคิดว่า บ้านที่อยู่ริมน้ำน่าจะมีแทบทุกบ้าน เหตุเพราะว่าหลังผ่านฤดูน้ำหลากแล้ว ช่วงน้ำลด น้ำจะพาเอาดินที่อุดม มาทับถมที่ตลิ่ง แล้วตลิ่งแถวบ้านฉันก็เป็นตลิ่งที่ค่อนข้างกว้าง หลังช่วงออกพรรษาแล้ว ลมหนาวเริ่มโชยมาก็จะเห็นชาวบ้านลงไปทำสวน ปลูกผัก กันอยู่ครึกโครม ซึ่งบ้านของฉันก็รวมอยู่ในนั้นด้วย.....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • ของคาวไปแล้ว มาต่อกันที่ของหวาน ขอแนะนำ ขนมเปี๊ยะอื้อเล่งเฮง
    ร้านขนมเปี๊ยะเก่าแก่คู่เยาวราชต้องยกให้ร้านนี้เลย ร้านใหญ่และเด่นมากกก มีขนมหลากหลายรูปแบบ
    ขนมเปี๊ยะหลายไส้ ส่วนตัวชอบไส้ถั่วไข่ฟักนาจา เราว่าเหมาะกับการซื้อไปเป็นของฝากก็ดูดีไปอีกแบบ
    จริงๆไม่ค่อยได้กินเองเน้นซื้อไปฝากมากกว่าเลยเคยลองแค่ไม่กี่รส ใครเคยลองแล้วรสไหนเด็ดแนะนำมาได้เลยนะครับ
    #ขนมเปี๊ย #ของหวาน #แนะนำของกิน #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    ของคาวไปแล้ว มาต่อกันที่ของหวาน ขอแนะนำ ขนมเปี๊ยะอื้อเล่งเฮง ร้านขนมเปี๊ยะเก่าแก่คู่เยาวราชต้องยกให้ร้านนี้เลย ร้านใหญ่และเด่นมากกก มีขนมหลากหลายรูปแบบ ขนมเปี๊ยะหลายไส้ ส่วนตัวชอบไส้ถั่วไข่ฟักนาจา เราว่าเหมาะกับการซื้อไปเป็นของฝากก็ดูดีไปอีกแบบ จริงๆไม่ค่อยได้กินเองเน้นซื้อไปฝากมากกว่าเลยเคยลองแค่ไม่กี่รส ใครเคยลองแล้วรสไหนเด็ดแนะนำมาได้เลยนะครับ #ขนมเปี๊ย #ของหวาน #แนะนำของกิน #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 601 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ จากหมดราคาสู่ไร้ค่า ให้ฟรียังไม่มีใครเอา พรรคการเมืองเก่าแก่ที่ยังหลงเหลือ และกำลังจะสูญสิ้น
    #7ดอกจิก
    ♣ จากหมดราคาสู่ไร้ค่า ให้ฟรียังไม่มีใครเอา พรรคการเมืองเก่าแก่ที่ยังหลงเหลือ และกำลังจะสูญสิ้น #7ดอกจิก
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • สูตรยาดองมรณะ ผิดที่ผสมเมทานอล

    คลัสเตอร์ยาดอง ที่ชาวบ้านในพื้นที่เขตคลองสามวา และเขตมีนบุรี กรุงเทพฯ ซื้อยาดองตามร้านริมทางดื่ม กระทั่งหลายคนมีอาการเลือดเป็นกรดอย่างรุนแรง มีอาการเหนื่อยหอบง่าย ซึม อ่อนเพลีย ตาพร่ามัว วิงเวียนศีรษะและอาเจียน เข้ารักษาตัวที่โรงพยาลนพรัตนราชธานี และโรงพยาบาลใกล้เคียง ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่แล้ว (22 ส.ค.) ยังคงดำเนินการสืบหาความจริงต่อไป

    ตำรวจชุดคลี่คลายคดี ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ร่วมตรวจสอบร้านยาดองในเขตพื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 (บก.น.3) จำนวน 17 ร้าน และในซอยอ่อนนุช 77 อีก 1 ร้าน พร้อมตรวจยึดยาดองจากทุกร้านไปตรวจสอบ ทุกร้านให้การว่ารับมาจาก "เจ๊ปู" ลูกสาวป๋าเหน่ที่เสียชีวิตไปแล้ว

    ต่อมาตำรวจเชิญตัว น.ส.ภัสส์รศา อารีจิตสุขศิริ หรือเจ๊ปู อายุ 49 ปี ผู้ผสมยาดองมาสอบปากคำ เจ๊ปูให้การว่า รับสุราขาวมาจากนายสุรศักดิ์ อินสาม หรือเอส อายุ 46 ปี และนายสุรชัย อินสาม หรืออาร์ท อายุ 44 ปี ซึ่งเป็นพี่น้องกัน ส่วนวัตถุดิบที่ใส่ลงไปในเหล้าเป็นสิ่งของธรรมชาติ เป็นสูตรเก่าแก่ของบิดา

    จากนั้นชุดคลี่คลายคดีเดินทางไปยังบ้านหลังหนึ่งในซอยกาญจนาภิเษก 25 แยก 1-3 แขวงทับช้าง เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ พบทั้งคู่พร้อมของกลางเมทานอล และอุปกรณ์การผลิตสุราเถื่อนจำนวนมาก ทั้งสองอ้างว่าผสมน้ำเปล่าเพื่อเจือจางให้เหลือ 35 ดีกรี ใส่แกลลอนนำไปส่งให้กับเจ๊ปู จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.บางชัน

    จากการสอบปากคำ ทั้งสองรับสารภาพกับตำรวจว่าทำมาประมาณปีกว่า โดยหาข้อมูลผสมเหล้าเถื่อนจากอินเทอร์เน็ต ก่อนส่งขายไปตามซุ้มยาดองต่างๆ โดยเมทานอลรับมาจากโรงงานย่านลาดกระบัง เอามาผสมกับน้ำเปล่าเพื่อให้ไม่เกิน 35-40 ดีกรี จากนั้นบรรจุใส่แกลลอนเพื่อนำไปขายต่อ ซึ่งแต่ละร้านก็จะนำไปผสมยาดองอีกที

    ที่ สน.มีนบุรี เมื่อวันที่ 26 ส.ค. เจ๊ปูชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งน้ำตาว่า ครอบครัวทำยาดองขายมากว่า 30 ปี ตั้งแต่รุ่นพ่อไม่เคยมีปัญหา ที่ผ่านมาไม่เคยรับสุราขาวจากเจ้าอื่น เพราะรับจากเจ้าประจำที่พ่อสั่งตลอด แต่เมื่อ 1 ปีที่แล้ว นายสุรศักดิ์และนายสุรชัย สองพี่น้องซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของแฟนบอกว่า งานน้อยลง อยากหารายได้ มีสูตรเหล้าขาวที่ไปเรียนทำมาอยากให้ช่วยซื้อ

    เจ๊ปูจึงให้ลองทำว่าผ่านหรือไม่ เมื่อชิมแล้วพบว่าดีกรีได้ รสชาติคล้ายเจ้าเก่า จึงช่วยสั่งด้วยความสงสาร ซื้อมา 25 ลิตร 900 บาท เท่ากันกับเจ้าเก่า ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ทำเองชิมเองตลอดก็ไม่เคยมีปัญหา

    แต่ช่วงหลังลูกค้าตำหนิว่าเหล้าจืด ไม่แรง และมีรสชาติซ่าๆ ตนสอบถามนายสุรศักดิ์และนายสุรชัยว่าทำไมรสชาติมันเปลี่ยน และถามว่าเปลี่ยนวัตถุดิบหรือไม่ ก็ไม่ตอบ บอกแค่ว่าจะปรับปรุง และเมื่อตนทำแล้วชิมพบว่ารสชาติจางลง คิดว่าไม่เป็นอะไร เพราะพ่อสอนมาว่า ยาดองนั้นต้องมีกลิ่นยาจีนนำกลิ่นสุราอยู่แล้ว

    ส่วนล็อตล่าสุดที่ทำมานั้น มีอาการท้องเสียเล็กน้อยมา 3 วัน แต่เมื่อทราบว่ามีผู้เสียชีวิตก็ตกใจมาก รู้สึกผิดและเสียใจ ไม่ได้อยากจะทำให้ใครตาย ตนก็อยากเยียวยาผู้เสียหาย เพราะหนึ่งในผู้เสียชีวิตก็เป็นเพื่อนของตน อยากไปเยี่ยมทุกคนที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ก็ไม่กล้ากลัวว่าทุกคนจะไม่เข้าใจ ยืนยันไม่ได้ตั้งใจทำให้ใครเสียชีวิต

    สำหรับสูตรการทำยาดองของเจ๊ปู ใช้หม้อเบอร์ 32 ใส่น้ำ ต้มยาจีนหม้อละ 2 ห่อ กานพลู 1 ห่อ และชะเอม 5-6 ก้าน ต้มครั้งแรก 40 นาที จากนั้นจะใส่ดอกคำฝอยและกระชายอย่างละ 4 ขีด ต้มต่ออีก 40 นาที แล้วใส่มะตูมครึ่งกิโลกรัม ต้มอีก 40 นาที ใส่น้ำตาลทราย 2.5 กิโลกรัม คนให้ละลาย แล้วผสมเหล้าขาว เทใส่โอ่ง หมักไว้ 1-2 คืน แล้วนำมาแบ่งใส่แกลลอน

    โดย 1 โอ่ง แบ่งได้ 23-24 แกลลอน ส่งขายตามซุ้มยาดอง แกลลอนละ 400 บาท ซุ้มละ 10 แกลลอน มีโปรโมชันซื้อ 10 แถม 1 แกลลอน ในใจอยากทำธุรกิจนี้ต่อเพราะเป็นความฝันของพ่อที่เสียชีวิตไป อยากจะทำให้ถูกต้อง จดทะเบียนตามกฎหมาย

    ตำรวจ สน.บางชัน นำตัวนายสุรศักดิ์ และนายสุรชัย สองพี่น้องผลิตสุราเถื่อนไปฝากขังที่ศาลอาญามีนบุรี ในข้อหาร่วมกันผลิตสุราโดยไม่ได้รับอนุญาตและมีไว้เพื่อขายซึ่งสุราที่ผลิตขึ้นโดยฝ่าฝน ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ส่วน สน.มีนบุรี ดำเนินคดีกับ น.ส.ภัสส์รศา ฐานผลิตและจำหน่ายสุราโดยไม่ได้รับอนุญาต และกระทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

    สำหรับสารเมทานอล เป็นสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ เช่น สารทำละลาย สารป้องกันความเย็น สารสกัด สารเชื้อเพลิง มีคุณสมบัติเป็นของเหลว ใส ไม่มีสี มีกลิ่นแอลกอฮอล์ คล้ายผลไม้ ระเหยง่าย และติดไฟง่าย สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง ได้แก่ ทางหายใจ ทางผิวหนัง และทางเดินอาหาร เกิดความเป็นพิษเริ่มจากผิวหนังอักเสบเป็นผื่นแดงหรือเป็นสะเก็ด เกิดการระคายเคืองผิวหนังและเยื่อบุอ่อน ระคายเคืองตา มีผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการคล้ายเมาสุรา ทำลายตับ ไต และอวัยวะอื่นๆ ถ้าสัมผัสสารนี้ปริมาณมาก อาจทำให้ตาบอดถาวร หมดสติ และเสียชีวิตได้ แต่ไม่เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์

    ส่วนสถานการณ์ล่าสุดมีผู้เสียชีวิต 3 ราย ผู้ป่วยจำแนกกลุ่มอาการรุนแรง (สีแดง) 12 ราย กลุ่มอาการสีเหลือง 3 ราย และกลุ่มอาการสีเขียว 9 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 22 ถึง 69 ปี อาการเจ็บป่วยโดยส่วนใหญ่พบภาวะเลือดเป็นกรด หายใจเหนื่อย ภาวะไตวาย ตาพร่ามัว ชัก หมดสติ ส่วน 7 รายไม่มีอาการใดๆ

    นพ.ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ผู้ป่วยจากการดื่มสุราเถื่อนในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีประมาณ 50-100 ราย แต่ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง เนื่องจากเป็นสารเมทานอลที่เกิดจากการกลั่นสุรา แต่ในครั้งนี้พบว่าสารเมทานอลที่พบในสุราเถื่อน เป็นลักษณะที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม และมีปริมาณสูงถึง 100,000 ppm ทั้งที่มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกำหนดไว้ว่า ปริมาณเมทานอลในสุราทุกประเภท จะต้องไม่มีอยู่เลย

    #Newskit #ยาดอง #เมทานอล
    สูตรยาดองมรณะ ผิดที่ผสมเมทานอล คลัสเตอร์ยาดอง ที่ชาวบ้านในพื้นที่เขตคลองสามวา และเขตมีนบุรี กรุงเทพฯ ซื้อยาดองตามร้านริมทางดื่ม กระทั่งหลายคนมีอาการเลือดเป็นกรดอย่างรุนแรง มีอาการเหนื่อยหอบง่าย ซึม อ่อนเพลีย ตาพร่ามัว วิงเวียนศีรษะและอาเจียน เข้ารักษาตัวที่โรงพยาลนพรัตนราชธานี และโรงพยาบาลใกล้เคียง ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่แล้ว (22 ส.ค.) ยังคงดำเนินการสืบหาความจริงต่อไป ตำรวจชุดคลี่คลายคดี ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ร่วมตรวจสอบร้านยาดองในเขตพื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 (บก.น.3) จำนวน 17 ร้าน และในซอยอ่อนนุช 77 อีก 1 ร้าน พร้อมตรวจยึดยาดองจากทุกร้านไปตรวจสอบ ทุกร้านให้การว่ารับมาจาก "เจ๊ปู" ลูกสาวป๋าเหน่ที่เสียชีวิตไปแล้ว ต่อมาตำรวจเชิญตัว น.ส.ภัสส์รศา อารีจิตสุขศิริ หรือเจ๊ปู อายุ 49 ปี ผู้ผสมยาดองมาสอบปากคำ เจ๊ปูให้การว่า รับสุราขาวมาจากนายสุรศักดิ์ อินสาม หรือเอส อายุ 46 ปี และนายสุรชัย อินสาม หรืออาร์ท อายุ 44 ปี ซึ่งเป็นพี่น้องกัน ส่วนวัตถุดิบที่ใส่ลงไปในเหล้าเป็นสิ่งของธรรมชาติ เป็นสูตรเก่าแก่ของบิดา จากนั้นชุดคลี่คลายคดีเดินทางไปยังบ้านหลังหนึ่งในซอยกาญจนาภิเษก 25 แยก 1-3 แขวงทับช้าง เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ พบทั้งคู่พร้อมของกลางเมทานอล และอุปกรณ์การผลิตสุราเถื่อนจำนวนมาก ทั้งสองอ้างว่าผสมน้ำเปล่าเพื่อเจือจางให้เหลือ 35 ดีกรี ใส่แกลลอนนำไปส่งให้กับเจ๊ปู จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.บางชัน จากการสอบปากคำ ทั้งสองรับสารภาพกับตำรวจว่าทำมาประมาณปีกว่า โดยหาข้อมูลผสมเหล้าเถื่อนจากอินเทอร์เน็ต ก่อนส่งขายไปตามซุ้มยาดองต่างๆ โดยเมทานอลรับมาจากโรงงานย่านลาดกระบัง เอามาผสมกับน้ำเปล่าเพื่อให้ไม่เกิน 35-40 ดีกรี จากนั้นบรรจุใส่แกลลอนเพื่อนำไปขายต่อ ซึ่งแต่ละร้านก็จะนำไปผสมยาดองอีกที ที่ สน.มีนบุรี เมื่อวันที่ 26 ส.ค. เจ๊ปูชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งน้ำตาว่า ครอบครัวทำยาดองขายมากว่า 30 ปี ตั้งแต่รุ่นพ่อไม่เคยมีปัญหา ที่ผ่านมาไม่เคยรับสุราขาวจากเจ้าอื่น เพราะรับจากเจ้าประจำที่พ่อสั่งตลอด แต่เมื่อ 1 ปีที่แล้ว นายสุรศักดิ์และนายสุรชัย สองพี่น้องซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของแฟนบอกว่า งานน้อยลง อยากหารายได้ มีสูตรเหล้าขาวที่ไปเรียนทำมาอยากให้ช่วยซื้อ เจ๊ปูจึงให้ลองทำว่าผ่านหรือไม่ เมื่อชิมแล้วพบว่าดีกรีได้ รสชาติคล้ายเจ้าเก่า จึงช่วยสั่งด้วยความสงสาร ซื้อมา 25 ลิตร 900 บาท เท่ากันกับเจ้าเก่า ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ทำเองชิมเองตลอดก็ไม่เคยมีปัญหา แต่ช่วงหลังลูกค้าตำหนิว่าเหล้าจืด ไม่แรง และมีรสชาติซ่าๆ ตนสอบถามนายสุรศักดิ์และนายสุรชัยว่าทำไมรสชาติมันเปลี่ยน และถามว่าเปลี่ยนวัตถุดิบหรือไม่ ก็ไม่ตอบ บอกแค่ว่าจะปรับปรุง และเมื่อตนทำแล้วชิมพบว่ารสชาติจางลง คิดว่าไม่เป็นอะไร เพราะพ่อสอนมาว่า ยาดองนั้นต้องมีกลิ่นยาจีนนำกลิ่นสุราอยู่แล้ว ส่วนล็อตล่าสุดที่ทำมานั้น มีอาการท้องเสียเล็กน้อยมา 3 วัน แต่เมื่อทราบว่ามีผู้เสียชีวิตก็ตกใจมาก รู้สึกผิดและเสียใจ ไม่ได้อยากจะทำให้ใครตาย ตนก็อยากเยียวยาผู้เสียหาย เพราะหนึ่งในผู้เสียชีวิตก็เป็นเพื่อนของตน อยากไปเยี่ยมทุกคนที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ก็ไม่กล้ากลัวว่าทุกคนจะไม่เข้าใจ ยืนยันไม่ได้ตั้งใจทำให้ใครเสียชีวิต สำหรับสูตรการทำยาดองของเจ๊ปู ใช้หม้อเบอร์ 32 ใส่น้ำ ต้มยาจีนหม้อละ 2 ห่อ กานพลู 1 ห่อ และชะเอม 5-6 ก้าน ต้มครั้งแรก 40 นาที จากนั้นจะใส่ดอกคำฝอยและกระชายอย่างละ 4 ขีด ต้มต่ออีก 40 นาที แล้วใส่มะตูมครึ่งกิโลกรัม ต้มอีก 40 นาที ใส่น้ำตาลทราย 2.5 กิโลกรัม คนให้ละลาย แล้วผสมเหล้าขาว เทใส่โอ่ง หมักไว้ 1-2 คืน แล้วนำมาแบ่งใส่แกลลอน โดย 1 โอ่ง แบ่งได้ 23-24 แกลลอน ส่งขายตามซุ้มยาดอง แกลลอนละ 400 บาท ซุ้มละ 10 แกลลอน มีโปรโมชันซื้อ 10 แถม 1 แกลลอน ในใจอยากทำธุรกิจนี้ต่อเพราะเป็นความฝันของพ่อที่เสียชีวิตไป อยากจะทำให้ถูกต้อง จดทะเบียนตามกฎหมาย ตำรวจ สน.บางชัน นำตัวนายสุรศักดิ์ และนายสุรชัย สองพี่น้องผลิตสุราเถื่อนไปฝากขังที่ศาลอาญามีนบุรี ในข้อหาร่วมกันผลิตสุราโดยไม่ได้รับอนุญาตและมีไว้เพื่อขายซึ่งสุราที่ผลิตขึ้นโดยฝ่าฝน ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ส่วน สน.มีนบุรี ดำเนินคดีกับ น.ส.ภัสส์รศา ฐานผลิตและจำหน่ายสุราโดยไม่ได้รับอนุญาต และกระทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย สำหรับสารเมทานอล เป็นสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ เช่น สารทำละลาย สารป้องกันความเย็น สารสกัด สารเชื้อเพลิง มีคุณสมบัติเป็นของเหลว ใส ไม่มีสี มีกลิ่นแอลกอฮอล์ คล้ายผลไม้ ระเหยง่าย และติดไฟง่าย สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง ได้แก่ ทางหายใจ ทางผิวหนัง และทางเดินอาหาร เกิดความเป็นพิษเริ่มจากผิวหนังอักเสบเป็นผื่นแดงหรือเป็นสะเก็ด เกิดการระคายเคืองผิวหนังและเยื่อบุอ่อน ระคายเคืองตา มีผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการคล้ายเมาสุรา ทำลายตับ ไต และอวัยวะอื่นๆ ถ้าสัมผัสสารนี้ปริมาณมาก อาจทำให้ตาบอดถาวร หมดสติ และเสียชีวิตได้ แต่ไม่เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ส่วนสถานการณ์ล่าสุดมีผู้เสียชีวิต 3 ราย ผู้ป่วยจำแนกกลุ่มอาการรุนแรง (สีแดง) 12 ราย กลุ่มอาการสีเหลือง 3 ราย และกลุ่มอาการสีเขียว 9 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 22 ถึง 69 ปี อาการเจ็บป่วยโดยส่วนใหญ่พบภาวะเลือดเป็นกรด หายใจเหนื่อย ภาวะไตวาย ตาพร่ามัว ชัก หมดสติ ส่วน 7 รายไม่มีอาการใดๆ นพ.ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ผู้ป่วยจากการดื่มสุราเถื่อนในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีประมาณ 50-100 ราย แต่ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง เนื่องจากเป็นสารเมทานอลที่เกิดจากการกลั่นสุรา แต่ในครั้งนี้พบว่าสารเมทานอลที่พบในสุราเถื่อน เป็นลักษณะที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม และมีปริมาณสูงถึง 100,000 ppm ทั้งที่มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกำหนดไว้ว่า ปริมาณเมทานอลในสุราทุกประเภท จะต้องไม่มีอยู่เลย #Newskit #ยาดอง #เมทานอล
    Sad
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 905 มุมมอง 0 รีวิว
  • สุดยอด "ธรรมาสน์สังเค็ด" ศิลปะอยุธยา ที่ควรค่าแก่การชมด้วยตาเนื้อ ธรรมาสน์สังเค็ดไม้หลังนี้เป็นของเก่าแก่จากวัดใหญ่สุวรรณาราม จ.เพชรบุรี ในสมัยรัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จทอดพระเนตร ณ วัดใหญ่สุวรรณาราม และทรงบันทึกเอาไว้ว่าเป็นธรรมาสน์สังเค็ดที่งามยิ่ง

    #misctoday
    สุดยอด "ธรรมาสน์สังเค็ด" ศิลปะอยุธยา ที่ควรค่าแก่การชมด้วยตาเนื้อ ธรรมาสน์สังเค็ดไม้หลังนี้เป็นของเก่าแก่จากวัดใหญ่สุวรรณาราม จ.เพชรบุรี ในสมัยรัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จทอดพระเนตร ณ วัดใหญ่สุวรรณาราม และทรงบันทึกเอาไว้ว่าเป็นธรรมาสน์สังเค็ดที่งามยิ่ง #misctoday
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • การค้นพบงานกระเบื้องโมเสคในพื้นที่เมืองโบราณซุกมา (Zeugma) ประเทศตุรกี ที่มีอายุเก่าแก่ถึง ๒,๐๐๐ กว่าปี และยังคงมีลวดลาย สีสันที่คมชัดทุกตารางนิ้ว ทำให้รู้ว่าเมืองโบราณแห่งนี้มีภูมิปัญญาในการสร้างสรรค์งานศิลปะโมเสคได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ ครับ

    cr.📷 Ancient Library
    การค้นพบงานกระเบื้องโมเสคในพื้นที่เมืองโบราณซุกมา (Zeugma) ประเทศตุรกี ที่มีอายุเก่าแก่ถึง ๒,๐๐๐ กว่าปี และยังคงมีลวดลาย สีสันที่คมชัดทุกตารางนิ้ว ทำให้รู้ว่าเมืองโบราณแห่งนี้มีภูมิปัญญาในการสร้างสรรค์งานศิลปะโมเสคได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ ครับ cr.📷 Ancient Library
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวปาเลสรวมตัวกันที่มัสยิดโอมารีใหญ่ในขณะที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังค้นหาผู้รอดชีวิตที่ยังไม่ทราบว่ายังมีอยู่หรือไม่ บริเวณที่ทหารเอลโจมตีอาคารที่พักอาศัยและทำลายร้านค้าในตลาดคิสซาริยาอันเก่าแก่ หรือตลาดทองคำ ในเมืองเก่าของกาซา โดยการกระทำนี้นับเป้นการทำลายวัฒนธรรมและศิลปะที่สืบทอดกันมาของชาวปาเลสอย่างรุนแรง ราวกับเจตนาจะลบพวกเขาออกจากประวัติศาสตร์
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #มัสยิดโบราณ
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    ชาวปาเลสรวมตัวกันที่มัสยิดโอมารีใหญ่ในขณะที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังค้นหาผู้รอดชีวิตที่ยังไม่ทราบว่ายังมีอยู่หรือไม่ บริเวณที่ทหารเอลโจมตีอาคารที่พักอาศัยและทำลายร้านค้าในตลาดคิสซาริยาอันเก่าแก่ หรือตลาดทองคำ ในเมืองเก่าของกาซา โดยการกระทำนี้นับเป้นการทำลายวัฒนธรรมและศิลปะที่สืบทอดกันมาของชาวปาเลสอย่างรุนแรง ราวกับเจตนาจะลบพวกเขาออกจากประวัติศาสตร์ . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #มัสยิดโบราณ #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 442 มุมมอง 0 รีวิว