• แหกคอก ตอนที่ 5 – สร้างพระเจ้าองค์ใหม่
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 5 : สร้างพระเจ้าองค์ใหม่
    หลัง Anglo American Establishment กอดคอจับมือกันชัดเจน เมื่อประมาณ ค.ศ.1890 ทั้ง 2 ฝ่าย ร่วมกันสร้างกลไก สร้างระบบด้านการเงินการธนาคารเป็นอันดับแรก เพื่อเอาตัวเองนำหน้าชักใยรัฐบาล และลดบทบาทของประเทศ
    ระบบธนาคารกลาง เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1694 ที่อังกฤษ เป็นการรวมตัวกันของ เครือข่ายธนาคารกลางนานาชาติ ซึ่งไม่ได้เป็นของรัฐ แต่เป็นของเอกชน ! มีผู้ถือหุ้นเป็นเอกชนคนโคตรรวย ธนาคารกลางนี้เป็นผู้อนุญาตให้ รัฐบาล (จำกันให้ดี เงินเป็นใหญ่กว่ารัฐบาล มาตั้งแต่ ค.ศ.1694 แล้ว !) ในการพิมพ์ธนบัตร เงินสกุลต่างๆ ของแต่ละประเทศ โดยอนุญาตให้กำหนดอัตราดอกเบี้ย และทำกำไรจากดอกเบี้ยนั้น ธนาคารกลางเหล่านี้ เป็นผู้ให้เงินกู้แก่รัฐบาล และผู้ประกอบการอุตสาหกรรม เท่ากับควบคุมลูกค้าใหญ่ 2 กลุ่ม 2 ขาของประเทศไปพร้อมๆ กัน ต่อมาภายหลังประมาณ ปี ค.ศ.1930 ธนาคารกลางเหล่านี้ พร้อมใจกันอยู่ในระบบที่พวกตัว เองสร้างขึ้น เรียกว่า Bank for International Settlements (BIS) ตั้งอยู่ที่เมือง Basle ในสวิสเซอร์แลนด์ เป็นธนาคารของเอกชนเช่นเดียวกัน ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางของเหล่าสมาชิกซึ่งเป็นธนาคารกลางต่างๆ (เขียนแล้วมึนเอง คนอ่านก็คงมึน) เอาแบบง่ายๆ BIS ธนาคารกลางตัวแม่นี้ถือหุ้นโดย ธนาคารกลางตัว ลูกๆ ทั้งหลาย ธนาคารกลางตัวลูกก็ถือหุ้นโดยพวกเอกชนคนโคตรรวยอีกต่อหนึ่ง สรุปว่า พวกคนรวยลงทุนลงขันกันเอง เพื่อตั้งธนาคารกลาง และไม่ให้ใครมายุ่ง เขาดูแลเงินของเขากันเอง ตั้งกฎกติกาเอง โดยให้แม่ BIS คุม รัฐบาลได้แต่ทำตาปริบๆ ดู หน้าจ๋อย มือกุม ก้มหน้า รับคำสั่งรับอำนาจมาจากคนรวยอีกทีหนึ่ง เข้าใจไหม คนรวยใหญ่กว่ารัฐบาล ถึงพูดกันว่าเงินเป็นพระเจ้า
    ระบบธนาคารกลางนี้ หลังจากเกิดขึ้นครั้งแรกที่ London ไปได้สวย คนรวยติดใจ จึงขยายตัวข้ามมาในทวีปยุโรปตะวันตก และกระจายทั่วไปในทวีปยุโรป การปฏิวัติในฝรั่งเศส ทำให้นโปเลียนขึ้นมามีอำนาจ และยอมให้บรรดานายทุนที่รวมตัวกันให้เงินกู้นโปเลียนไปทำการปฏิวัตินั่นแหละ จับมือร่วมกันจัดตั้งธนาคารในฝรั่งเศสขึ้น เป็นธนาคารส่วนบุคคล ที่พวกนายทุนนี้ควบคุมกันเอง รัฐบาลไม่เกี่ยว ธนาคารนี้เป็นต้นกำเนิดของตระกูลโคตรรวยทางฝั่งยุโรป คือ ตระกูล Rothshilds ชาวยิวในยุโรป ซึ่งขยายธุรกิจการเงินของตระกูล โดยการตั้งธนาคารใน London, Paris, Frankfurt, Vienna และ Naples ทำให้ตระกูลนี้ยิ่งรวยเละขึ้นไปอีก และยิ่งรวยเพิ่มขึ้น จากการไปถือหางทุกฝ่ายในการรบทุกครั้งของนโปเลียน (ต้นกำเนิดของการถือไพ่ทุกใบในการต่อสู้ มีเงินซื้อไพ่ทุกใบ มีไพ่ให้เลือกเล่นแยะ เล่นยังไงก็ชนะ ยกเว้นโคตรโง่ หรือ โคตรเลว จนเทวดาบอกมีเงินมากมายมหาศาลแค่ไหนก็ช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้ ตัวอย่างกำลังมีให้เห็นในบ้านเรา !)
    นาย Carroll Quigley นักประวัติศาสตร์ นักทฤษฎี เจ้าความคิดกำเนิดแห่งศิวิไลย์ของมนุษยชาติ แห่งมหาวิทยาลัย Georgetown เขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งบรรดาสาวกทั้งหลายถือเป็นคัมภีร์ ชื่อ Tragedy and Hope บอกว่าในช่วง ค.ศ.18101850 พวกวาณิชธนกิจใน London ได้สร้าง ธนาคารแห่งอังกฤษ (Bank of England) ตลาดหุ้นและตลาดเงินแห่ง London และไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็ขยายธุรกิจ โดยการสร้างธนาคารย่อยในระดับเมือง ต่างๆ ดำเนินกิจการ ในรูปแบบของธนาคารพาณิชย์ และธนาคารออมสิน รวมทั้งทำธุรกิจประกันภัย ธุรกิจ 3 อย่างนี้ มันหมุนเงิน สร้างเงินในตัวของมันเองตามวงจร เขาจึงรวมธุรกิจพวกนี้ไว้ด้วยกัน ในระดับที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นระดับระหว่างประเทศ จากเมืองไปสู่ประเทศ และด้วยวิธีนี้พวกเขาสามารถชักใย ควบคุมการไหลเข้าออก ของเงินระหว่างประเทศ แน่นอนการดำเนินการแบบนี้ ถึงแม้ในบางครั้งอาจจะควบคุมไม่ได้เบ็ดเสร็จ แต่ก็เรียกว่ามีอิทธิพล เหนือทั้งรัฐบาลและธุรกิจอุตสาหกรรม เงินไม่มี กิจการต่างๆไม่ว่าทางการเมืองหรือธุรกิจก็เป็นง่อยเรียบร้อย ตรงไปตรงมา ไม่ต้องฉลาดมากก็คิดได้ ขอให้มีเงินไว้ก่อน !
    ในขณะเดียวกัน ทางอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ในอเมริกาก็มีการรวมตัวของกลุ่มธนาคารและธุรกิจอุตสาหกรรมในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน โดยพวก Morgans, Astors, Vanderbilts, Rockefellers และ Carnegies กลุ่มทุนพวกนี้ก็เริ่มครอบงำอุตสาหกรรมทั้งหมด ตลอดศตวรรษที่ 19 และต่อมาผลประโยชน์ของนายทุนทั้ง 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติคก็เชื่อมโยงกัน คนมีเงินก็ย่อมเลือกที่จะคบกับคนมีเงินด้วยกัน Anglo American Establishment ก็เกิดขึ้น
    คนรวยมีเงินแล้วก็อยากมีอำนาจ เป็นโรคเดียวกันทั้งนั้น ไม่มีใครต่างกัน กลับมาดูคนรวยที่อังกฤษ พวกคนรวยในอังกฤษเริ่มจับกลุ่มรวมตัวกัน เพื่อแสดงอิทธิพลของตนในระดับชาติ ช่วงนั้นนักล่าแถบนั้น กำลังรุมทิ้งเหยื่ออยู่แถวอาฟริกา ซึ่งเกือบทุกประเทศในอาฟริกา ยกเว้นเอธิโอเปีย ตกเป็นอาณานิคมของนักล่าผมทองจากอังกฤษและยุโรปทั้งสิ้น นักล่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้นคือ นาย Cecil Rhodes นักล่าชาวอังกฤษเป็นคนลงไม้ลงมือล่า แต่กระเป๋าที่อุดหนุนให้เขาปฏิบัติการล่า คือ ตระกูล Rothshilds ซึ่งในช่วงนั้น เป็นแหล่งเงินทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก นาย Cecil Rhodes เป็นคนสุดโต่งอีกคนหนึ่ง เขามองว่าอเมริกายังเป็นอาณานิ คมของจักรภพอังกฤษอยู่ จะปล่อยให้มาทำท่ารวยยะโส เดินหน้าเชิด เทียบชั้นกับอังกฤษ เจ้านายเก่าแบบนี้น่ะ มันจะมากไปหน่อยไหม นาย Rhodes มองตัวเองไม่ใช่แค่เป็นนักล่าเงินรางวัล แต่เขาเป็นนักสร้างอาณาจักร empire builder อย่าลืมเขาสร้างเมือง Rhodesia ในอาฟริกา ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Zimbabwe
    Carroll Quigley เล่าต่อไปว่า ค.ศ.1891 คนโคตรรวยอังกฤษ 3 หนุ่ม แอบพบกัน เพื่อสมคบกันสร้างสมาคมลับ 3 หนุ่มคือนาย Cecil Rhodes, William T. Stead พี่เบิ้มแห่งวงการหนังสือพิมพ์สมัยนั้น (น่าสังเกตว่า ถ้าจะทำอะไรให้ดังต้องมีสื่อยักษ์มาร่วม มิน่าเล่า มันถึงอยากเป็นสื่อใหญ่กันทั้งนั้น ถีบตัวเองขึ้นมา จนลืมจรรยาบรรณ ฐานันดรที่ 4) และนาย Reginald Baliol Brett ซึ่งเป็นพระสหายผู้ได้รับความไว้วางใจ จากพระราชินีวิกตอเรีย แห่งจักรภพอังกฤษ และต่อมาก็ได้เป็นที่ปรึกษาผู้ มีอิทธิพลต่อพระเจ้า Edward ที่ 7 และพระเจ้า George ที่ 5 ปู่ของพระราชินีElizabeth ที่ 2 ของอังกฤษคนปัจจุบัน สมาคมลับนี้มีนาย Rhodes เป็นหัวหน้า และพระอันดับอีก 3 คน คือ นาย Stead, นาย Brett และคนสุดท้ายแต่มาแรง คือ นาย Alfred Milner
    วัตถุประสงค์ของสมาคมลับนี้ ซึ่งต่อไปจะนำฝูงโดยนาย Alfred Milner คือจัดการให้อังกฤษปกครองไปทั่วโลก ด้วยระบบของอังกฤษ ไม่ว่าจะในด้านปกครองประชาชนหรือทำการค้า พูดให้ชัด เป้าหมายคือจัดการให้อเมริกากลับมาอยู่ในอาณานิคมของอังกฤษ ใช้ระบบอังกฤษดำเนินชีวิต และอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม Rothshilds และกลุ่มธนาคารต่างๆ เต็มที่อย่างลับๆ
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 5 – สร้างพระเจ้าองค์ใหม่ นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 5 : สร้างพระเจ้าองค์ใหม่ หลัง Anglo American Establishment กอดคอจับมือกันชัดเจน เมื่อประมาณ ค.ศ.1890 ทั้ง 2 ฝ่าย ร่วมกันสร้างกลไก สร้างระบบด้านการเงินการธนาคารเป็นอันดับแรก เพื่อเอาตัวเองนำหน้าชักใยรัฐบาล และลดบทบาทของประเทศ ระบบธนาคารกลาง เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1694 ที่อังกฤษ เป็นการรวมตัวกันของ เครือข่ายธนาคารกลางนานาชาติ ซึ่งไม่ได้เป็นของรัฐ แต่เป็นของเอกชน ! มีผู้ถือหุ้นเป็นเอกชนคนโคตรรวย ธนาคารกลางนี้เป็นผู้อนุญาตให้ รัฐบาล (จำกันให้ดี เงินเป็นใหญ่กว่ารัฐบาล มาตั้งแต่ ค.ศ.1694 แล้ว !) ในการพิมพ์ธนบัตร เงินสกุลต่างๆ ของแต่ละประเทศ โดยอนุญาตให้กำหนดอัตราดอกเบี้ย และทำกำไรจากดอกเบี้ยนั้น ธนาคารกลางเหล่านี้ เป็นผู้ให้เงินกู้แก่รัฐบาล และผู้ประกอบการอุตสาหกรรม เท่ากับควบคุมลูกค้าใหญ่ 2 กลุ่ม 2 ขาของประเทศไปพร้อมๆ กัน ต่อมาภายหลังประมาณ ปี ค.ศ.1930 ธนาคารกลางเหล่านี้ พร้อมใจกันอยู่ในระบบที่พวกตัว เองสร้างขึ้น เรียกว่า Bank for International Settlements (BIS) ตั้งอยู่ที่เมือง Basle ในสวิสเซอร์แลนด์ เป็นธนาคารของเอกชนเช่นเดียวกัน ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางของเหล่าสมาชิกซึ่งเป็นธนาคารกลางต่างๆ (เขียนแล้วมึนเอง คนอ่านก็คงมึน) เอาแบบง่ายๆ BIS ธนาคารกลางตัวแม่นี้ถือหุ้นโดย ธนาคารกลางตัว ลูกๆ ทั้งหลาย ธนาคารกลางตัวลูกก็ถือหุ้นโดยพวกเอกชนคนโคตรรวยอีกต่อหนึ่ง สรุปว่า พวกคนรวยลงทุนลงขันกันเอง เพื่อตั้งธนาคารกลาง และไม่ให้ใครมายุ่ง เขาดูแลเงินของเขากันเอง ตั้งกฎกติกาเอง โดยให้แม่ BIS คุม รัฐบาลได้แต่ทำตาปริบๆ ดู หน้าจ๋อย มือกุม ก้มหน้า รับคำสั่งรับอำนาจมาจากคนรวยอีกทีหนึ่ง เข้าใจไหม คนรวยใหญ่กว่ารัฐบาล ถึงพูดกันว่าเงินเป็นพระเจ้า ระบบธนาคารกลางนี้ หลังจากเกิดขึ้นครั้งแรกที่ London ไปได้สวย คนรวยติดใจ จึงขยายตัวข้ามมาในทวีปยุโรปตะวันตก และกระจายทั่วไปในทวีปยุโรป การปฏิวัติในฝรั่งเศส ทำให้นโปเลียนขึ้นมามีอำนาจ และยอมให้บรรดานายทุนที่รวมตัวกันให้เงินกู้นโปเลียนไปทำการปฏิวัตินั่นแหละ จับมือร่วมกันจัดตั้งธนาคารในฝรั่งเศสขึ้น เป็นธนาคารส่วนบุคคล ที่พวกนายทุนนี้ควบคุมกันเอง รัฐบาลไม่เกี่ยว ธนาคารนี้เป็นต้นกำเนิดของตระกูลโคตรรวยทางฝั่งยุโรป คือ ตระกูล Rothshilds ชาวยิวในยุโรป ซึ่งขยายธุรกิจการเงินของตระกูล โดยการตั้งธนาคารใน London, Paris, Frankfurt, Vienna และ Naples ทำให้ตระกูลนี้ยิ่งรวยเละขึ้นไปอีก และยิ่งรวยเพิ่มขึ้น จากการไปถือหางทุกฝ่ายในการรบทุกครั้งของนโปเลียน (ต้นกำเนิดของการถือไพ่ทุกใบในการต่อสู้ มีเงินซื้อไพ่ทุกใบ มีไพ่ให้เลือกเล่นแยะ เล่นยังไงก็ชนะ ยกเว้นโคตรโง่ หรือ โคตรเลว จนเทวดาบอกมีเงินมากมายมหาศาลแค่ไหนก็ช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้ ตัวอย่างกำลังมีให้เห็นในบ้านเรา !) นาย Carroll Quigley นักประวัติศาสตร์ นักทฤษฎี เจ้าความคิดกำเนิดแห่งศิวิไลย์ของมนุษยชาติ แห่งมหาวิทยาลัย Georgetown เขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งบรรดาสาวกทั้งหลายถือเป็นคัมภีร์ ชื่อ Tragedy and Hope บอกว่าในช่วง ค.ศ.18101850 พวกวาณิชธนกิจใน London ได้สร้าง ธนาคารแห่งอังกฤษ (Bank of England) ตลาดหุ้นและตลาดเงินแห่ง London และไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็ขยายธุรกิจ โดยการสร้างธนาคารย่อยในระดับเมือง ต่างๆ ดำเนินกิจการ ในรูปแบบของธนาคารพาณิชย์ และธนาคารออมสิน รวมทั้งทำธุรกิจประกันภัย ธุรกิจ 3 อย่างนี้ มันหมุนเงิน สร้างเงินในตัวของมันเองตามวงจร เขาจึงรวมธุรกิจพวกนี้ไว้ด้วยกัน ในระดับที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นระดับระหว่างประเทศ จากเมืองไปสู่ประเทศ และด้วยวิธีนี้พวกเขาสามารถชักใย ควบคุมการไหลเข้าออก ของเงินระหว่างประเทศ แน่นอนการดำเนินการแบบนี้ ถึงแม้ในบางครั้งอาจจะควบคุมไม่ได้เบ็ดเสร็จ แต่ก็เรียกว่ามีอิทธิพล เหนือทั้งรัฐบาลและธุรกิจอุตสาหกรรม เงินไม่มี กิจการต่างๆไม่ว่าทางการเมืองหรือธุรกิจก็เป็นง่อยเรียบร้อย ตรงไปตรงมา ไม่ต้องฉลาดมากก็คิดได้ ขอให้มีเงินไว้ก่อน ! ในขณะเดียวกัน ทางอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ในอเมริกาก็มีการรวมตัวของกลุ่มธนาคารและธุรกิจอุตสาหกรรมในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน โดยพวก Morgans, Astors, Vanderbilts, Rockefellers และ Carnegies กลุ่มทุนพวกนี้ก็เริ่มครอบงำอุตสาหกรรมทั้งหมด ตลอดศตวรรษที่ 19 และต่อมาผลประโยชน์ของนายทุนทั้ง 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติคก็เชื่อมโยงกัน คนมีเงินก็ย่อมเลือกที่จะคบกับคนมีเงินด้วยกัน Anglo American Establishment ก็เกิดขึ้น คนรวยมีเงินแล้วก็อยากมีอำนาจ เป็นโรคเดียวกันทั้งนั้น ไม่มีใครต่างกัน กลับมาดูคนรวยที่อังกฤษ พวกคนรวยในอังกฤษเริ่มจับกลุ่มรวมตัวกัน เพื่อแสดงอิทธิพลของตนในระดับชาติ ช่วงนั้นนักล่าแถบนั้น กำลังรุมทิ้งเหยื่ออยู่แถวอาฟริกา ซึ่งเกือบทุกประเทศในอาฟริกา ยกเว้นเอธิโอเปีย ตกเป็นอาณานิคมของนักล่าผมทองจากอังกฤษและยุโรปทั้งสิ้น นักล่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้นคือ นาย Cecil Rhodes นักล่าชาวอังกฤษเป็นคนลงไม้ลงมือล่า แต่กระเป๋าที่อุดหนุนให้เขาปฏิบัติการล่า คือ ตระกูล Rothshilds ซึ่งในช่วงนั้น เป็นแหล่งเงินทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก นาย Cecil Rhodes เป็นคนสุดโต่งอีกคนหนึ่ง เขามองว่าอเมริกายังเป็นอาณานิ คมของจักรภพอังกฤษอยู่ จะปล่อยให้มาทำท่ารวยยะโส เดินหน้าเชิด เทียบชั้นกับอังกฤษ เจ้านายเก่าแบบนี้น่ะ มันจะมากไปหน่อยไหม นาย Rhodes มองตัวเองไม่ใช่แค่เป็นนักล่าเงินรางวัล แต่เขาเป็นนักสร้างอาณาจักร empire builder อย่าลืมเขาสร้างเมือง Rhodesia ในอาฟริกา ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Zimbabwe Carroll Quigley เล่าต่อไปว่า ค.ศ.1891 คนโคตรรวยอังกฤษ 3 หนุ่ม แอบพบกัน เพื่อสมคบกันสร้างสมาคมลับ 3 หนุ่มคือนาย Cecil Rhodes, William T. Stead พี่เบิ้มแห่งวงการหนังสือพิมพ์สมัยนั้น (น่าสังเกตว่า ถ้าจะทำอะไรให้ดังต้องมีสื่อยักษ์มาร่วม มิน่าเล่า มันถึงอยากเป็นสื่อใหญ่กันทั้งนั้น ถีบตัวเองขึ้นมา จนลืมจรรยาบรรณ ฐานันดรที่ 4) และนาย Reginald Baliol Brett ซึ่งเป็นพระสหายผู้ได้รับความไว้วางใจ จากพระราชินีวิกตอเรีย แห่งจักรภพอังกฤษ และต่อมาก็ได้เป็นที่ปรึกษาผู้ มีอิทธิพลต่อพระเจ้า Edward ที่ 7 และพระเจ้า George ที่ 5 ปู่ของพระราชินีElizabeth ที่ 2 ของอังกฤษคนปัจจุบัน สมาคมลับนี้มีนาย Rhodes เป็นหัวหน้า และพระอันดับอีก 3 คน คือ นาย Stead, นาย Brett และคนสุดท้ายแต่มาแรง คือ นาย Alfred Milner วัตถุประสงค์ของสมาคมลับนี้ ซึ่งต่อไปจะนำฝูงโดยนาย Alfred Milner คือจัดการให้อังกฤษปกครองไปทั่วโลก ด้วยระบบของอังกฤษ ไม่ว่าจะในด้านปกครองประชาชนหรือทำการค้า พูดให้ชัด เป้าหมายคือจัดการให้อเมริกากลับมาอยู่ในอาณานิคมของอังกฤษ ใช้ระบบอังกฤษดำเนินชีวิต และอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม Rothshilds และกลุ่มธนาคารต่างๆ เต็มที่อย่างลับๆ คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • “Microsoft vs ValueLicensing: ศึกชี้ชะตาตลาดซอฟต์แวร์มือสองในยุโรป — เมื่อสิทธิ์การใช้งานกลายเป็นสนามรบ”

    คดีความระหว่าง Microsoft และ ValueLicensing กลับมาอีกครั้งในศาล Competition Appeal Tribunal ของสหราชอาณาจักร โดยมีประเด็นสำคัญคือ “การขายสิทธิ์ใช้งานซอฟต์แวร์มือสอง” เช่น Windows และ Office นั้นผิดกฎหมายหรือไม่ Microsoft ยืนยันว่าการขายสิทธิ์ใช้งานแบบ perpetual ที่เคยซื้อมาแล้วไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก เพราะองค์ประกอบบางส่วนของซอฟต์แวร์ เช่น graphical user interface (GUI) ไม่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของ European Software Directive

    ValueLicensing ซึ่งเป็นบริษัทรีเซลเลอร์ซอฟต์แวร์มือสองในสหราชอาณาจักร ยื่นฟ้อง Microsoft ตั้งแต่ปี 2021 โดยกล่าวหาว่า Microsoft ใช้กลยุทธ์กีดกันการแข่งขัน เช่น เสนอส่วนลดให้ลูกค้าองค์กรที่ยอมคืนสิทธิ์ perpetual license เพื่อเปลี่ยนไปใช้บริการแบบ subscription ซึ่งทำให้ตลาดมือสองขาดแคลนสิทธิ์ใช้งาน และบริษัทสูญเสียรายได้กว่า £270 ล้าน

    Microsoft เปลี่ยนแนวทางการป้องกันจากเดิมที่ปฏิเสธการกระทำผิด มาเป็นการโต้แย้งว่าตลาดซอฟต์แวร์มือสอง “ไม่ควรมีอยู่เลย” โดยอ้างสิทธิ์ในองค์ประกอบที่ไม่ใช่โค้ดโปรแกรม เช่น GUI และสื่อประกอบอื่น ๆ ซึ่งไม่อยู่ภายใต้สิทธิ์การขายต่อ

    หากศาลตัดสินตามแนวทางของ Microsoft อาจส่งผลให้ตลาดซอฟต์แวร์มือสองในยุโรปต้องปิดตัวลง และผู้ใช้งานทั่วไปที่เคยซื้อสิทธิ์ราคาถูกจากรีเซลเลอร์อาจไม่มีทางเลือกอีกต่อไป

    ประเด็นสำคัญในคดี Microsoft vs ValueLicensing
    Microsoft โต้แย้งว่าการขายสิทธิ์ใช้งานซอฟต์แวร์มือสองเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
    อ้างสิทธิ์ในองค์ประกอบที่ไม่ใช่โค้ด เช่น GUI ซึ่งไม่อยู่ภายใต้ European Software Directive
    ValueLicensing ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า £270 ล้าน จากการสูญเสียรายได้

    กลยุทธ์ที่ถูกกล่าวหา
    Microsoft เสนอส่วนลดให้ลูกค้าองค์กรที่คืนสิทธิ์ perpetual license เพื่อใช้ subscription
    ใส่เงื่อนไขในสัญญาที่จำกัดสิทธิ์การขายต่อ
    ส่งผลให้ตลาดมือสองขาดแคลนสิทธิ์ใช้งาน และรีเซลเลอร์ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    คดีนี้อ้างอิงคำตัดสินของศาลยุโรปในคดี UsedSoft ซึ่งเคยอนุญาตให้ขายซอฟต์แวร์มือสองได้
    ตลาดซอฟต์แวร์มือสองในยุโรปมีมูลค่าสูง และช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงซอฟต์แวร์ในราคาถูก
    การขายสิทธิ์แบบ perpetual เป็นทางเลือกที่สำคัญสำหรับองค์กรที่ไม่ต้องการ subscription
    หาก Microsoft ชนะคดี อาจมีผลกระทบต่อบริษัทรีเซลเลอร์กว่า 50 แห่งทั่วยุโรป

    https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-wants-to-ban-pre-owned-software-cheap-office-keys-and-windows-11-serials-but-is-that-a-lost-battle-already
    ⚖️ “Microsoft vs ValueLicensing: ศึกชี้ชะตาตลาดซอฟต์แวร์มือสองในยุโรป — เมื่อสิทธิ์การใช้งานกลายเป็นสนามรบ” คดีความระหว่าง Microsoft และ ValueLicensing กลับมาอีกครั้งในศาล Competition Appeal Tribunal ของสหราชอาณาจักร โดยมีประเด็นสำคัญคือ “การขายสิทธิ์ใช้งานซอฟต์แวร์มือสอง” เช่น Windows และ Office นั้นผิดกฎหมายหรือไม่ Microsoft ยืนยันว่าการขายสิทธิ์ใช้งานแบบ perpetual ที่เคยซื้อมาแล้วไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก เพราะองค์ประกอบบางส่วนของซอฟต์แวร์ เช่น graphical user interface (GUI) ไม่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของ European Software Directive ValueLicensing ซึ่งเป็นบริษัทรีเซลเลอร์ซอฟต์แวร์มือสองในสหราชอาณาจักร ยื่นฟ้อง Microsoft ตั้งแต่ปี 2021 โดยกล่าวหาว่า Microsoft ใช้กลยุทธ์กีดกันการแข่งขัน เช่น เสนอส่วนลดให้ลูกค้าองค์กรที่ยอมคืนสิทธิ์ perpetual license เพื่อเปลี่ยนไปใช้บริการแบบ subscription ซึ่งทำให้ตลาดมือสองขาดแคลนสิทธิ์ใช้งาน และบริษัทสูญเสียรายได้กว่า £270 ล้าน Microsoft เปลี่ยนแนวทางการป้องกันจากเดิมที่ปฏิเสธการกระทำผิด มาเป็นการโต้แย้งว่าตลาดซอฟต์แวร์มือสอง “ไม่ควรมีอยู่เลย” โดยอ้างสิทธิ์ในองค์ประกอบที่ไม่ใช่โค้ดโปรแกรม เช่น GUI และสื่อประกอบอื่น ๆ ซึ่งไม่อยู่ภายใต้สิทธิ์การขายต่อ หากศาลตัดสินตามแนวทางของ Microsoft อาจส่งผลให้ตลาดซอฟต์แวร์มือสองในยุโรปต้องปิดตัวลง และผู้ใช้งานทั่วไปที่เคยซื้อสิทธิ์ราคาถูกจากรีเซลเลอร์อาจไม่มีทางเลือกอีกต่อไป ✅ ประเด็นสำคัญในคดี Microsoft vs ValueLicensing ➡️ Microsoft โต้แย้งว่าการขายสิทธิ์ใช้งานซอฟต์แวร์มือสองเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ➡️ อ้างสิทธิ์ในองค์ประกอบที่ไม่ใช่โค้ด เช่น GUI ซึ่งไม่อยู่ภายใต้ European Software Directive ➡️ ValueLicensing ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า £270 ล้าน จากการสูญเสียรายได้ ✅ กลยุทธ์ที่ถูกกล่าวหา ➡️ Microsoft เสนอส่วนลดให้ลูกค้าองค์กรที่คืนสิทธิ์ perpetual license เพื่อใช้ subscription ➡️ ใส่เงื่อนไขในสัญญาที่จำกัดสิทธิ์การขายต่อ ➡️ ส่งผลให้ตลาดมือสองขาดแคลนสิทธิ์ใช้งาน และรีเซลเลอร์ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ คดีนี้อ้างอิงคำตัดสินของศาลยุโรปในคดี UsedSoft ซึ่งเคยอนุญาตให้ขายซอฟต์แวร์มือสองได้ ➡️ ตลาดซอฟต์แวร์มือสองในยุโรปมีมูลค่าสูง และช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงซอฟต์แวร์ในราคาถูก ➡️ การขายสิทธิ์แบบ perpetual เป็นทางเลือกที่สำคัญสำหรับองค์กรที่ไม่ต้องการ subscription ➡️ หาก Microsoft ชนะคดี อาจมีผลกระทบต่อบริษัทรีเซลเลอร์กว่า 50 แห่งทั่วยุโรป https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-wants-to-ban-pre-owned-software-cheap-office-keys-and-windows-11-serials-but-is-that-a-lost-battle-already
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • “SK hynix เปิดตัว ZUFS 4.1 — หน่วยความจำมือถือที่เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และพร้อมรองรับ AI บนเครื่องโดยตรง”

    SK hynix ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่จากเกาหลีใต้ ประกาศเริ่มส่งมอบโซลูชัน NAND สำหรับมือถือรุ่นใหม่ในชื่อ ZUFS 4.1 ซึ่งถือเป็นการผลิตเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของเทคโนโลยีนี้ในโลก โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสมาร์ตโฟนที่ใช้ AI บนเครื่อง (on-device AI) และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่

    ZUFS ย่อมาจาก Zoned Universal Flash Storage ซึ่งเป็นการต่อยอดจากมาตรฐาน UFS โดยนำแนวคิด Zoned Storage มาใช้ — คือการจัดเก็บข้อมูลในโซนต่าง ๆ ตามลักษณะการใช้งาน เพื่อเพิ่มความเร็วและลดการเสื่อมของประสิทธิภาพเมื่อใช้งานไปนาน ๆ

    ZUFS 4.1 สามารถลดเวลาเปิดแอปทั่วไปได้ถึง 45% และลดเวลาเปิดแอป AI ได้ถึง 47% เมื่อเทียบกับ UFS แบบเดิม โดยใช้วิธีเขียนข้อมูลแบบเรียงลำดับ (sequential write) แทนการเขียนทับแบบเดิม ซึ่งช่วยให้ข้อมูลถูกจัดเก็บอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    นอกจากนี้ SK hynix ยังปรับปรุงระบบตรวจจับข้อผิดพลาดให้แม่นยำขึ้น และสามารถสื่อสารกับ CPU ได้ดีขึ้น ทำให้ระบบสามารถฟื้นตัวจากข้อผิดพลาดได้เร็วขึ้นและเสถียรขึ้น โดย ZUFS 4.1 ผ่านการทดสอบร่วมกับลูกค้าในเดือนมิถุนายน และเริ่มผลิตจริงในเดือนกรกฎาคม 2025

    จุดเด่นของ ZUFS 4.1 จาก SK hynix
    เป็นโซลูชัน NAND สำหรับมือถือที่ใช้เทคโนโลยี Zoned Storage
    ลดเวลาเปิดแอปทั่วไปได้ 45% และแอป AI ได้ 47%
    เขียนข้อมูลแบบ sequential แทนการเขียนทับ — ช่วยลดการเสื่อมของประสิทธิภาพ
    ปรับปรุงระบบตรวจจับข้อผิดพลาดและการสื่อสารกับ CPU เพื่อเพิ่มความเสถียร

    การพัฒนาและการผลิต
    ผ่านการทดสอบร่วมกับลูกค้าในเดือนมิถุนายน 2025
    เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนกรกฎาคม และเริ่มส่งมอบในเดือนกันยายน
    เป็นโซลูชันแรกที่พัฒนาเพื่อปรับแต่งการทำงานร่วมกับ Android OS โดยเฉพาะ
    รองรับการใช้งานในสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่เน้น on-device AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Zoned Storage เคยใช้ในเซิร์ฟเวอร์และ SSD ระดับองค์กรมาก่อน
    UFS 4.1 เป็นมาตรฐานล่าสุดที่เปิดตัวในปี 2025 โดย JEDEC
    SK hynix กำลังแข่งขันกับ Samsung และ Kioxia ในตลาด NAND สำหรับมือถือ
    การจัดเก็บแบบ zoned ช่วยลดการเขียนซ้ำและยืดอายุการใช้งานของหน่วยความจำ

    https://www.techpowerup.com/340882/sk-hynix-begins-supplying-mobile-nand-solution-zufs-4-1
    📱 “SK hynix เปิดตัว ZUFS 4.1 — หน่วยความจำมือถือที่เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และพร้อมรองรับ AI บนเครื่องโดยตรง” SK hynix ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่จากเกาหลีใต้ ประกาศเริ่มส่งมอบโซลูชัน NAND สำหรับมือถือรุ่นใหม่ในชื่อ ZUFS 4.1 ซึ่งถือเป็นการผลิตเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของเทคโนโลยีนี้ในโลก โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสมาร์ตโฟนที่ใช้ AI บนเครื่อง (on-device AI) และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ ZUFS ย่อมาจาก Zoned Universal Flash Storage ซึ่งเป็นการต่อยอดจากมาตรฐาน UFS โดยนำแนวคิด Zoned Storage มาใช้ — คือการจัดเก็บข้อมูลในโซนต่าง ๆ ตามลักษณะการใช้งาน เพื่อเพิ่มความเร็วและลดการเสื่อมของประสิทธิภาพเมื่อใช้งานไปนาน ๆ ZUFS 4.1 สามารถลดเวลาเปิดแอปทั่วไปได้ถึง 45% และลดเวลาเปิดแอป AI ได้ถึง 47% เมื่อเทียบกับ UFS แบบเดิม โดยใช้วิธีเขียนข้อมูลแบบเรียงลำดับ (sequential write) แทนการเขียนทับแบบเดิม ซึ่งช่วยให้ข้อมูลถูกจัดเก็บอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ SK hynix ยังปรับปรุงระบบตรวจจับข้อผิดพลาดให้แม่นยำขึ้น และสามารถสื่อสารกับ CPU ได้ดีขึ้น ทำให้ระบบสามารถฟื้นตัวจากข้อผิดพลาดได้เร็วขึ้นและเสถียรขึ้น โดย ZUFS 4.1 ผ่านการทดสอบร่วมกับลูกค้าในเดือนมิถุนายน และเริ่มผลิตจริงในเดือนกรกฎาคม 2025 ✅ จุดเด่นของ ZUFS 4.1 จาก SK hynix ➡️ เป็นโซลูชัน NAND สำหรับมือถือที่ใช้เทคโนโลยี Zoned Storage ➡️ ลดเวลาเปิดแอปทั่วไปได้ 45% และแอป AI ได้ 47% ➡️ เขียนข้อมูลแบบ sequential แทนการเขียนทับ — ช่วยลดการเสื่อมของประสิทธิภาพ ➡️ ปรับปรุงระบบตรวจจับข้อผิดพลาดและการสื่อสารกับ CPU เพื่อเพิ่มความเสถียร ✅ การพัฒนาและการผลิต ➡️ ผ่านการทดสอบร่วมกับลูกค้าในเดือนมิถุนายน 2025 ➡️ เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนกรกฎาคม และเริ่มส่งมอบในเดือนกันยายน ➡️ เป็นโซลูชันแรกที่พัฒนาเพื่อปรับแต่งการทำงานร่วมกับ Android OS โดยเฉพาะ ➡️ รองรับการใช้งานในสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่เน้น on-device AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Zoned Storage เคยใช้ในเซิร์ฟเวอร์และ SSD ระดับองค์กรมาก่อน ➡️ UFS 4.1 เป็นมาตรฐานล่าสุดที่เปิดตัวในปี 2025 โดย JEDEC ➡️ SK hynix กำลังแข่งขันกับ Samsung และ Kioxia ในตลาด NAND สำหรับมือถือ ➡️ การจัดเก็บแบบ zoned ช่วยลดการเขียนซ้ำและยืดอายุการใช้งานของหน่วยความจำ https://www.techpowerup.com/340882/sk-hynix-begins-supplying-mobile-nand-solution-zufs-4-1
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    SK hynix Begins Supplying Mobile NAND Solution ZUFS 4.1
    SK hynix Inc. announced today that it has begun supplying its high-performance mobile NAND solution ZUFS 4.1 to customers, marking the world's first mass production of this solution. The solution's adoption in the latest smartphones reinforces SK hynix's technological excellence in the global market...
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • “บริการป้องกัน DDoS กลายเป็นเหยื่อของการโจมตี DDoS ขนาดมหึมา — FastNetMon ตรวจจับได้ทันก่อนระบบล่ม”

    ในเหตุการณ์ที่ชวนให้ตั้งคำถามถึงความมั่นคงของโครงสร้างอินเทอร์เน็ต บริการป้องกัน DDoS รายหนึ่งในยุโรปตะวันตกกลับกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตี DDoS ขนาดใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยมีปริมาณการโจมตีสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps) ซึ่งเป็นการโจมตีแบบ UDP flood ที่มาจากอุปกรณ์ลูกค้าทั่วโลกกว่า 11,000 เครือข่าย2.

    แม้จะเป็นบริการที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการโจมตีลักษณะนี้ แต่ครั้งนี้ก็ต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจาก FastNetMon ซึ่งสามารถตรวจจับและบรรเทาการโจมตีได้ภายในไม่กี่วินาที ด้วยแพลตฟอร์มที่ใช้ algorithm แบบ C++ ที่ปรับแต่งมาเพื่อการวิเคราะห์ทราฟฟิกแบบเรียลไทม์

    สิ่งที่ทำให้การโจมตีครั้งนี้น่ากังวลคือการใช้ “อุปกรณ์ทั่วไปในบ้าน” เช่น เราเตอร์และ IoT ที่ถูกแฮกมาเป็นเครื่องมือโจมตี ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการ weaponize อุปกรณ์ผู้บริโภคในระดับมหาศาล โดย FastNetMon เตือนว่า หากไม่มีการกรองทราฟฟิกที่ระดับ ISP การโจมตีลักษณะนี้จะยิ่งขยายตัวและควบคุมได้ยาก

    แม้จะไม่ใช่การโจมตีที่ใหญ่ที่สุดในแง่ของ bandwidth (Cloudflare เคยรับมือกับการโจมตีขนาด 11.5 Tbps และ 5.1 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที) แต่การโจมตีครั้งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในระดับ packet-rate ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ และเป็นสัญญาณเตือนว่าโลกไซเบอร์กำลังเข้าสู่ยุคที่การโจมตีสามารถเกิดขึ้นจากอุปกรณ์ที่เราใช้อยู่ทุกวัน

    รายละเอียดของการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่
    เป้าหมายคือผู้ให้บริการ DDoS scrubbing ในยุโรปตะวันตก
    ปริมาณการโจมตีสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps)
    ใช้เทคนิค UDP flood จากอุปกรณ์ CPE ที่ถูกแฮก เช่น IoT และเราเตอร์
    มาจากกว่า 11,000 เครือข่ายทั่วโลก — สะท้อนการกระจายตัวระดับมหาศาล

    การตอบสนองของ FastNetMon
    ใช้แพลตฟอร์ม Advanced ที่เขียนด้วย C++ สำหรับการตรวจจับแบบเรียลไทม์
    ตรวจจับได้ภายในไม่กี่วินาที — ป้องกันระบบล่มได้ทัน
    ใช้ ACL บน edge routers เพื่อบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตราย
    เตือนให้มีการกรองทราฟฟิกที่ระดับ ISP เพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cloudflare เคยรับมือกับการโจมตีขนาด 11.5 Tbps และ 5.1 Bpps เพียงไม่กี่วันก่อนหน้า
    UDP เป็นโปรโตคอลที่นิยมใช้โจมตี เพราะไม่ต้องมี handshake แบบ TCP
    อุปกรณ์ CPE ที่ไม่ได้รับการอัปเดตหรือมีรหัสผ่านเริ่มต้น เป็นเป้าหมายหลักของการแฮก
    การโจมตีแบบ packet-rate flood มุ่งทำลาย state table และ buffer ของอุปกรณ์เครือข่าย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ddos-scrubbing-service-ironic-target-of-massive-attack-it-was-built-to-prevent-hit-with-1-5-billion-packets-per-second-from-more-than-11-000-distributed-networks
    🌐 “บริการป้องกัน DDoS กลายเป็นเหยื่อของการโจมตี DDoS ขนาดมหึมา — FastNetMon ตรวจจับได้ทันก่อนระบบล่ม” ในเหตุการณ์ที่ชวนให้ตั้งคำถามถึงความมั่นคงของโครงสร้างอินเทอร์เน็ต บริการป้องกัน DDoS รายหนึ่งในยุโรปตะวันตกกลับกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตี DDoS ขนาดใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยมีปริมาณการโจมตีสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps) ซึ่งเป็นการโจมตีแบบ UDP flood ที่มาจากอุปกรณ์ลูกค้าทั่วโลกกว่า 11,000 เครือข่าย2. แม้จะเป็นบริการที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการโจมตีลักษณะนี้ แต่ครั้งนี้ก็ต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจาก FastNetMon ซึ่งสามารถตรวจจับและบรรเทาการโจมตีได้ภายในไม่กี่วินาที ด้วยแพลตฟอร์มที่ใช้ algorithm แบบ C++ ที่ปรับแต่งมาเพื่อการวิเคราะห์ทราฟฟิกแบบเรียลไทม์ สิ่งที่ทำให้การโจมตีครั้งนี้น่ากังวลคือการใช้ “อุปกรณ์ทั่วไปในบ้าน” เช่น เราเตอร์และ IoT ที่ถูกแฮกมาเป็นเครื่องมือโจมตี ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการ weaponize อุปกรณ์ผู้บริโภคในระดับมหาศาล โดย FastNetMon เตือนว่า หากไม่มีการกรองทราฟฟิกที่ระดับ ISP การโจมตีลักษณะนี้จะยิ่งขยายตัวและควบคุมได้ยาก แม้จะไม่ใช่การโจมตีที่ใหญ่ที่สุดในแง่ของ bandwidth (Cloudflare เคยรับมือกับการโจมตีขนาด 11.5 Tbps และ 5.1 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที) แต่การโจมตีครั้งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในระดับ packet-rate ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ และเป็นสัญญาณเตือนว่าโลกไซเบอร์กำลังเข้าสู่ยุคที่การโจมตีสามารถเกิดขึ้นจากอุปกรณ์ที่เราใช้อยู่ทุกวัน ✅ รายละเอียดของการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่ ➡️ เป้าหมายคือผู้ให้บริการ DDoS scrubbing ในยุโรปตะวันตก ➡️ ปริมาณการโจมตีสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps) ➡️ ใช้เทคนิค UDP flood จากอุปกรณ์ CPE ที่ถูกแฮก เช่น IoT และเราเตอร์ ➡️ มาจากกว่า 11,000 เครือข่ายทั่วโลก — สะท้อนการกระจายตัวระดับมหาศาล ✅ การตอบสนองของ FastNetMon ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม Advanced ที่เขียนด้วย C++ สำหรับการตรวจจับแบบเรียลไทม์ ➡️ ตรวจจับได้ภายในไม่กี่วินาที — ป้องกันระบบล่มได้ทัน ➡️ ใช้ ACL บน edge routers เพื่อบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตราย ➡️ เตือนให้มีการกรองทราฟฟิกที่ระดับ ISP เพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cloudflare เคยรับมือกับการโจมตีขนาด 11.5 Tbps และ 5.1 Bpps เพียงไม่กี่วันก่อนหน้า ➡️ UDP เป็นโปรโตคอลที่นิยมใช้โจมตี เพราะไม่ต้องมี handshake แบบ TCP ➡️ อุปกรณ์ CPE ที่ไม่ได้รับการอัปเดตหรือมีรหัสผ่านเริ่มต้น เป็นเป้าหมายหลักของการแฮก ➡️ การโจมตีแบบ packet-rate flood มุ่งทำลาย state table และ buffer ของอุปกรณ์เครือข่าย https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ddos-scrubbing-service-ironic-target-of-massive-attack-it-was-built-to-prevent-hit-with-1-5-billion-packets-per-second-from-more-than-11-000-distributed-networks
    0 Comments 0 Shares 71 Views 0 Reviews
  • “ByteDance เปิดตัว Seedream 4.0 ท้าชน Nano Banana ของ Google — เมื่อ AI สร้างภาพกลายเป็นสนามแข่งระดับโลก”

    ByteDance เจ้าของ TikTok เปิดตัวเครื่องมือ AI สร้างภาพรุ่นใหม่ชื่อว่า “Seedream 4.0” โดยตั้งเป้าแข่งขันโดยตรงกับ Gemini 2.5 Flash Image ของ Google DeepMind ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อเล่นว่า “Nano Banana” ที่โด่งดังจากการสร้างภาพ 3D สุดสร้างสรรค์บนโซเชียล Seedream 4.0 ได้รับการพัฒนาโดยแผนก Seed ของ ByteDance และเปิดตัวเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025

    ByteDance อ้างว่า Seedream 4.0 มีประสิทธิภาพเหนือกว่า Nano Banana ในการสร้างภาพและแก้ไขภาพ โดยเฉพาะด้านความแม่นยำของ prompt, ความสอดคล้องขององค์ประกอบ และความสวยงามของภาพ ซึ่งวัดจาก benchmark ภายในชื่อว่า MagicBench แม้ผลการทดสอบจะยังไม่ถูกเผยแพร่ในรายงานทางเทคนิคอย่างเป็นทางการ

    Seedream 4.0 เป็นการรวมจุดแข็งของ Seedream 3.0 (ด้าน text-to-image) และ SeedEdit 3.0 (ด้าน image editing) เข้าด้วยกัน พร้อมปรับสถาปัตยกรรมใหม่ให้ inference เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 10 เท่า โดยยังคงราคาเดิมที่ $30 ต่อ 1,000 ภาพ และมีราคาต่อภาพต่ำกว่า Gemini 2.5 Flash Image บนแพลตฟอร์ม Fal.ai

    เครื่องมือนี้เปิดให้ใช้งานแล้วในจีนผ่านแอป Jimeng และ Doubao รวมถึงลูกค้าองค์กรผ่าน Volcano Engine ขณะที่ตลาด AI สร้างภาพในจีนกำลังร้อนแรง โดยมีคู่แข่งอย่าง Tencent, Kuaishou และ Vidu จาก Tsinghua University ที่เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับการสร้างภาพจากหลาย reference

    จุดเด่นของ Seedream 4.0 จาก ByteDance
    เปิดตัวเมื่อ 10 กันยายน 2025 โดยแผนก Seed ของ ByteDance
    รวมความสามารถของ Seedream 3.0 และ SeedEdit 3.0 เข้าด้วยกัน
    ปรับสถาปัตยกรรมใหม่ ทำให้ inference เร็วขึ้นกว่าเดิม 10 เท่า
    ราคา $30 ต่อ 1,000 ภาพ หรือ $0.03 ต่อภาพ บน Fal.ai — ถูกกว่า Nano Banana

    การเปรียบเทียบกับ Gemini 2.5 Flash Image (Nano Banana)
    ByteDance อ้างว่า Seedream 4.0 เหนือกว่าใน prompt adherence, alignment และ aesthetics
    ใช้ benchmark ภายในชื่อ MagicBench แต่ยังไม่มีรายงานเทคนิคเผยแพร่
    Nano Banana ได้รับความนิยมจากการสร้างภาพ 3D ที่แชร์ได้ง่ายและสนุก
    Gemini 2.5 ยังครองอันดับสูงสุดใน text-to-image และ image editing บน Artificial Analysis

    การใช้งานและการเข้าถึง
    เปิดให้ใช้งานในจีนผ่านแอป Jimeng และ Doubao
    ลูกค้าองค์กรสามารถใช้ผ่าน Volcano Engine ของ ByteDance
    ได้รับคำชมจากผู้ใช้เรื่องความแม่นยำในการแก้ไขภาพผ่าน text prompt
    รองรับการใช้งานแบบ bulk สำหรับลูกค้าเชิงพาณิชย์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ตลาด AI สร้างภาพในจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้เล่นหลายราย
    Vidu จาก Tsinghua University เปิดตัวฟีเจอร์สร้างภาพจาก 7 reference
    Gemini 2.5 รองรับการสร้างภาพจาก 9 reference
    รัฐบาลจีนรับรองลิขสิทธิ์ของภาพที่สร้างด้วย AI ตั้งแต่ปลายปี 2023 พร้อมบังคับติดป้ายกำกับ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/bytedance-unveils-new-ai-image-model-to-rival-google-deepminds-nano-banana
    🖼️ “ByteDance เปิดตัว Seedream 4.0 ท้าชน Nano Banana ของ Google — เมื่อ AI สร้างภาพกลายเป็นสนามแข่งระดับโลก” ByteDance เจ้าของ TikTok เปิดตัวเครื่องมือ AI สร้างภาพรุ่นใหม่ชื่อว่า “Seedream 4.0” โดยตั้งเป้าแข่งขันโดยตรงกับ Gemini 2.5 Flash Image ของ Google DeepMind ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อเล่นว่า “Nano Banana” ที่โด่งดังจากการสร้างภาพ 3D สุดสร้างสรรค์บนโซเชียล Seedream 4.0 ได้รับการพัฒนาโดยแผนก Seed ของ ByteDance และเปิดตัวเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 ByteDance อ้างว่า Seedream 4.0 มีประสิทธิภาพเหนือกว่า Nano Banana ในการสร้างภาพและแก้ไขภาพ โดยเฉพาะด้านความแม่นยำของ prompt, ความสอดคล้องขององค์ประกอบ และความสวยงามของภาพ ซึ่งวัดจาก benchmark ภายในชื่อว่า MagicBench แม้ผลการทดสอบจะยังไม่ถูกเผยแพร่ในรายงานทางเทคนิคอย่างเป็นทางการ Seedream 4.0 เป็นการรวมจุดแข็งของ Seedream 3.0 (ด้าน text-to-image) และ SeedEdit 3.0 (ด้าน image editing) เข้าด้วยกัน พร้อมปรับสถาปัตยกรรมใหม่ให้ inference เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 10 เท่า โดยยังคงราคาเดิมที่ $30 ต่อ 1,000 ภาพ และมีราคาต่อภาพต่ำกว่า Gemini 2.5 Flash Image บนแพลตฟอร์ม Fal.ai เครื่องมือนี้เปิดให้ใช้งานแล้วในจีนผ่านแอป Jimeng และ Doubao รวมถึงลูกค้าองค์กรผ่าน Volcano Engine ขณะที่ตลาด AI สร้างภาพในจีนกำลังร้อนแรง โดยมีคู่แข่งอย่าง Tencent, Kuaishou และ Vidu จาก Tsinghua University ที่เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับการสร้างภาพจากหลาย reference ✅ จุดเด่นของ Seedream 4.0 จาก ByteDance ➡️ เปิดตัวเมื่อ 10 กันยายน 2025 โดยแผนก Seed ของ ByteDance ➡️ รวมความสามารถของ Seedream 3.0 และ SeedEdit 3.0 เข้าด้วยกัน ➡️ ปรับสถาปัตยกรรมใหม่ ทำให้ inference เร็วขึ้นกว่าเดิม 10 เท่า ➡️ ราคา $30 ต่อ 1,000 ภาพ หรือ $0.03 ต่อภาพ บน Fal.ai — ถูกกว่า Nano Banana ✅ การเปรียบเทียบกับ Gemini 2.5 Flash Image (Nano Banana) ➡️ ByteDance อ้างว่า Seedream 4.0 เหนือกว่าใน prompt adherence, alignment และ aesthetics ➡️ ใช้ benchmark ภายในชื่อ MagicBench แต่ยังไม่มีรายงานเทคนิคเผยแพร่ ➡️ Nano Banana ได้รับความนิยมจากการสร้างภาพ 3D ที่แชร์ได้ง่ายและสนุก ➡️ Gemini 2.5 ยังครองอันดับสูงสุดใน text-to-image และ image editing บน Artificial Analysis ✅ การใช้งานและการเข้าถึง ➡️ เปิดให้ใช้งานในจีนผ่านแอป Jimeng และ Doubao ➡️ ลูกค้าองค์กรสามารถใช้ผ่าน Volcano Engine ของ ByteDance ➡️ ได้รับคำชมจากผู้ใช้เรื่องความแม่นยำในการแก้ไขภาพผ่าน text prompt ➡️ รองรับการใช้งานแบบ bulk สำหรับลูกค้าเชิงพาณิชย์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ตลาด AI สร้างภาพในจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้เล่นหลายราย ➡️ Vidu จาก Tsinghua University เปิดตัวฟีเจอร์สร้างภาพจาก 7 reference ➡️ Gemini 2.5 รองรับการสร้างภาพจาก 9 reference ➡️ รัฐบาลจีนรับรองลิขสิทธิ์ของภาพที่สร้างด้วย AI ตั้งแต่ปลายปี 2023 พร้อมบังคับติดป้ายกำกับ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/bytedance-unveils-new-ai-image-model-to-rival-google-deepminds-nano-banana
    WWW.THESTAR.COM.MY
    ByteDance unveils new AI image model to rival Google DeepMind’s ‘Nano Banana’
    ByteDance claims that Seedream 4.0 beat Gemini 2.5 Flash Image for image generation and editing on its internal evaluation benchmark.
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • “Ant Group เปิดตัวหุ่นยนต์ R1 — ก้าวแรกสู่ยุค AI ที่มีร่างกาย พร้อมท้าชน Tesla และ Unitree”

    Ant Group บริษัทฟินเทคชื่อดังที่ได้รับการสนับสนุนจาก Jack Ma ได้เปิดตัวหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์รุ่นแรกของตนในชื่อ “R1” ผ่านบริษัทลูก Robbyant ในงาน Inclusion Conference ที่เซี่ยงไฮ้เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 โดยถือเป็นการเข้าสู่สนามแข่งขันด้าน embodied AI อย่างเต็มตัว ซึ่งมีคู่แข่งระดับโลกอย่าง Tesla, Unitree Robotics และบริษัทสตาร์ทอัพอีกมากมาย

    หุ่นยนต์ R1 ถูกออกแบบให้มีความสามารถหลากหลาย เช่น เป็นไกด์นำเที่ยว, คัดแยกยาในร้านขายยา, ให้คำปรึกษาทางการแพทย์ และทำงานครัวพื้นฐาน โดยเน้นการพัฒนา “สมอง” มากกว่ารูปร่าง — Ant Group เชื่อว่าความฉลาดจากโมเดล AI ขนาดใหญ่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของหุ่นยนต์ มากกว่าการออกแบบฮาร์ดแวร์เพียงอย่างเดียว

    R1 มีน้ำหนักประมาณ 110 กิโลกรัม สูงราว 1.6–1.75 เมตร เคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วไม่เกิน 1.5 เมตรต่อวินาที และมีข้อต่อที่เคลื่อนไหวได้ถึง 34 จุด โดยใช้ชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์จีน เช่น Ti5 และ Galaxea AI ซึ่ง Ant Group เป็นผู้สนับสนุน

    นอกจากการเปิดตัว R1 แล้ว Ant ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโมเดลภาษา BaiLing ของตนเอง และทดลองฝึกด้วยชิปที่ผลิตในประเทศจีน เพื่อเสริมความเป็นอิสระด้านเทคโนโลยี AI ของประเทศ

    จุดเด่นของหุ่นยนต์ R1 จาก Ant Group
    เปิดตัวในงาน Inclusion Conference ที่เซี่ยงไฮ้ วันที่ 11 กันยายน 2025
    พัฒนาโดย Robbyant บริษัทลูกของ Ant Group
    มีความสามารถหลากหลาย เช่น ทำงานครัว, เป็นไกด์, คัดแยกยา, ให้คำปรึกษา
    เน้นการพัฒนา “สมอง” ด้วยโมเดล AI มากกว่าการออกแบบฮาร์ดแวร์

    สเปกและการใช้งานของ R1
    น้ำหนัก 110 กิโลกรัม สูง 1.6–1.75 เมตร เคลื่อนที่ได้ไม่เกิน 1.5 เมตร/วินาที
    มีข้อต่อเคลื่อนไหวได้ 34 จุด ใช้ชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์จีน
    อยู่ในขั้นตอนการผลิตและส่งมอบให้ลูกค้า เช่น พิพิธภัณฑ์เซี่ยงไฮ้
    ไม่ขายเป็นเครื่องเดี่ยว แต่เป็น “โซลูชันตามสถานการณ์”

    วิสัยทัศน์ของ Ant Group
    มองหุ่นยนต์เป็นช่องทางขยายบริการดิจิทัลสู่โลกจริง เช่น การเงินและสาธารณสุข
    พัฒนาโมเดลภาษา BaiLing เพื่อใช้กับหุ่นยนต์และบริการ AI
    ทดลองฝึกโมเดลด้วยชิปที่ผลิตในจีนเพื่อลดต้นทุนและพึ่งพาต่างประเทศ
    มุ่งเน้น embodied intelligence เพื่อสร้างหุ่นยนต์ที่เข้าใจและตอบสนองมนุษย์ได้ดีขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tesla อยู่ระหว่างพัฒนา Optimus รุ่น 3 ที่มีความคล่องตัวสูงและราคาต่ำ
    Unitree Robotics เป็นผู้นำด้านหุ่นยนต์เคลื่อนที่ในจีน
    Nvidia สนับสนุนหลายบริษัทด้วย Jetson modules และ Isaac Sim
    ตลาด embodied AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในภาคการผลิต, โลจิสติกส์ และการดูแลสุขภาพ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/11/jack-ma-backed-ants-first-humanoid-robot-sheds-light-on-its-ai-ambitions
    🤖 “Ant Group เปิดตัวหุ่นยนต์ R1 — ก้าวแรกสู่ยุค AI ที่มีร่างกาย พร้อมท้าชน Tesla และ Unitree” Ant Group บริษัทฟินเทคชื่อดังที่ได้รับการสนับสนุนจาก Jack Ma ได้เปิดตัวหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์รุ่นแรกของตนในชื่อ “R1” ผ่านบริษัทลูก Robbyant ในงาน Inclusion Conference ที่เซี่ยงไฮ้เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 โดยถือเป็นการเข้าสู่สนามแข่งขันด้าน embodied AI อย่างเต็มตัว ซึ่งมีคู่แข่งระดับโลกอย่าง Tesla, Unitree Robotics และบริษัทสตาร์ทอัพอีกมากมาย หุ่นยนต์ R1 ถูกออกแบบให้มีความสามารถหลากหลาย เช่น เป็นไกด์นำเที่ยว, คัดแยกยาในร้านขายยา, ให้คำปรึกษาทางการแพทย์ และทำงานครัวพื้นฐาน โดยเน้นการพัฒนา “สมอง” มากกว่ารูปร่าง — Ant Group เชื่อว่าความฉลาดจากโมเดล AI ขนาดใหญ่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของหุ่นยนต์ มากกว่าการออกแบบฮาร์ดแวร์เพียงอย่างเดียว R1 มีน้ำหนักประมาณ 110 กิโลกรัม สูงราว 1.6–1.75 เมตร เคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วไม่เกิน 1.5 เมตรต่อวินาที และมีข้อต่อที่เคลื่อนไหวได้ถึง 34 จุด โดยใช้ชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์จีน เช่น Ti5 และ Galaxea AI ซึ่ง Ant Group เป็นผู้สนับสนุน นอกจากการเปิดตัว R1 แล้ว Ant ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโมเดลภาษา BaiLing ของตนเอง และทดลองฝึกด้วยชิปที่ผลิตในประเทศจีน เพื่อเสริมความเป็นอิสระด้านเทคโนโลยี AI ของประเทศ ✅ จุดเด่นของหุ่นยนต์ R1 จาก Ant Group ➡️ เปิดตัวในงาน Inclusion Conference ที่เซี่ยงไฮ้ วันที่ 11 กันยายน 2025 ➡️ พัฒนาโดย Robbyant บริษัทลูกของ Ant Group ➡️ มีความสามารถหลากหลาย เช่น ทำงานครัว, เป็นไกด์, คัดแยกยา, ให้คำปรึกษา ➡️ เน้นการพัฒนา “สมอง” ด้วยโมเดล AI มากกว่าการออกแบบฮาร์ดแวร์ ✅ สเปกและการใช้งานของ R1 ➡️ น้ำหนัก 110 กิโลกรัม สูง 1.6–1.75 เมตร เคลื่อนที่ได้ไม่เกิน 1.5 เมตร/วินาที ➡️ มีข้อต่อเคลื่อนไหวได้ 34 จุด ใช้ชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์จีน ➡️ อยู่ในขั้นตอนการผลิตและส่งมอบให้ลูกค้า เช่น พิพิธภัณฑ์เซี่ยงไฮ้ ➡️ ไม่ขายเป็นเครื่องเดี่ยว แต่เป็น “โซลูชันตามสถานการณ์” ✅ วิสัยทัศน์ของ Ant Group ➡️ มองหุ่นยนต์เป็นช่องทางขยายบริการดิจิทัลสู่โลกจริง เช่น การเงินและสาธารณสุข ➡️ พัฒนาโมเดลภาษา BaiLing เพื่อใช้กับหุ่นยนต์และบริการ AI ➡️ ทดลองฝึกโมเดลด้วยชิปที่ผลิตในจีนเพื่อลดต้นทุนและพึ่งพาต่างประเทศ ➡️ มุ่งเน้น embodied intelligence เพื่อสร้างหุ่นยนต์ที่เข้าใจและตอบสนองมนุษย์ได้ดีขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tesla อยู่ระหว่างพัฒนา Optimus รุ่น 3 ที่มีความคล่องตัวสูงและราคาต่ำ ➡️ Unitree Robotics เป็นผู้นำด้านหุ่นยนต์เคลื่อนที่ในจีน ➡️ Nvidia สนับสนุนหลายบริษัทด้วย Jetson modules และ Isaac Sim ➡️ ตลาด embodied AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในภาคการผลิต, โลจิสติกส์ และการดูแลสุขภาพ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/11/jack-ma-backed-ants-first-humanoid-robot-sheds-light-on-its-ai-ambitions
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Jack Ma-backed Ant's first humanoid robot sheds light on its AI ambitions
    Jack Ma-backed Ant Group Co showcased its first humanoid robot on Sept 11, formally joining an intensifying effort by Chinese companies to compete with the US in commercialising a frontier technology.
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • “DDoS ระดับพันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที — FastNetMon ตรวจจับการโจมตีครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเปิดเผย”

    FastNetMon ผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยเครือข่าย ประกาศตรวจพบการโจมตีแบบ DDoS ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยมีอัตราการส่งข้อมูลสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps) ซึ่งเป็นการโจมตีแบบ UDP flood ที่มุ่งเป้าไปยังเว็บไซต์ของผู้ให้บริการ DDoS scrubbing รายใหญ่ในยุโรปตะวันตก

    สิ่งที่น่าตกใจคือการโจมตีนี้ไม่ได้ใช้ botnet แบบเดิม แต่ใช้ “อุปกรณ์ลูกค้า” (CPE) ที่ถูกแฮก เช่น เราเตอร์และอุปกรณ์ IoT จากกว่า 11,000 เครือข่ายทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มใหม่ของการใช้ฮาร์ดแวร์ทั่วไปเป็นอาวุธไซเบอร์

    FastNetMon ใช้แพลตฟอร์ม Advanced ที่เขียนด้วย C++ เพื่อวิเคราะห์ทราฟฟิกแบบเรียลไทม์ และสามารถตรวจจับการโจมตีได้ภายในไม่กี่วินาที พร้อมส่งสัญญาณเตือนและเริ่มกระบวนการบรรเทาทันที โดยใช้ ACL บน edge routers และระบบ scrubbing ของลูกค้า

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจาก Cloudflare รายงานการโจมตีแบบ volumetric ที่มีขนาดถึง 11.5 Tbps ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้โจมตีกำลังเพิ่มทั้ง “ปริมาณข้อมูล” และ “จำนวนแพ็กเก็ต” เพื่อเจาะระบบในหลายมิติพร้อมกัน

    Pavel Odintsov ผู้ก่อตั้ง FastNetMon เตือนว่า อุตสาหกรรมต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีตรวจจับที่ระดับ ISP เพื่อป้องกันการโจมตีจากอุปกรณ์ที่ถูกแฮกก่อนที่มันจะขยายตัวเป็นระดับมหึมา

    รายละเอียดการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่
    อัตราการโจมตีสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps)
    เป็นการโจมตีแบบ UDP flood ที่มุ่งเป้าไปยังผู้ให้บริการ DDoS scrubbing
    ใช้อุปกรณ์ CPE ที่ถูกแฮก เช่น เราเตอร์และ IoT จากกว่า 11,000 เครือข่าย
    FastNetMon ตรวจจับได้ภายในไม่กี่วินาที และเริ่มบรรเทาทันที

    เทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจจับ
    FastNetMon Advanced ใช้ C++ algorithm สำหรับการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์
    รองรับ Netflow/IPFIX, sFlow และ SPAN mode สำหรับเครือข่ายขนาดใหญ่
    ใช้ ACL บน edge routers เพื่อบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตราย
    ระบบสามารถใช้ CPU ได้เต็มประสิทธิภาพในการตรวจจับแบบ high-speed

    แนวโน้มและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    การโจมตีแบบ packet-rate flood กำลังเพิ่มขึ้นควบคู่กับ volumetric attack
    อุปกรณ์ทั่วไปถูกใช้เป็นอาวุธไซเบอร์ — ไม่ใช่แค่เซิร์ฟเวอร์หรือ botnet
    การตรวจจับที่ระดับ ISP เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหยุดการโจมตีตั้งแต่ต้นทาง
    Cloudflare รายงานการโจมตี 11.5 Tbps เพียงไม่กี่วันก่อนหน้านี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MikroTik routers และ IP cameras เป็นเป้าหมายหลักของการแฮก CPE
    การโจมตีแบบ Gpps มุ่งทำลาย state table และ buffer ของอุปกรณ์เครือข่าย
    FastNetMon Community Edition ก็สามารถตรวจจับได้ในระดับพื้นฐาน
    การโจมตีแบบนี้อาจทำให้ระบบที่มี bandwidth สูงแต่ CPU ต่ำล่มได้ทันที

    https://hackread.com/1-5-billion-packets-per-second-ddos-attack-detected-with-fastnetmon/
    🌐 “DDoS ระดับพันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที — FastNetMon ตรวจจับการโจมตีครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเปิดเผย” FastNetMon ผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยเครือข่าย ประกาศตรวจพบการโจมตีแบบ DDoS ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยมีอัตราการส่งข้อมูลสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps) ซึ่งเป็นการโจมตีแบบ UDP flood ที่มุ่งเป้าไปยังเว็บไซต์ของผู้ให้บริการ DDoS scrubbing รายใหญ่ในยุโรปตะวันตก สิ่งที่น่าตกใจคือการโจมตีนี้ไม่ได้ใช้ botnet แบบเดิม แต่ใช้ “อุปกรณ์ลูกค้า” (CPE) ที่ถูกแฮก เช่น เราเตอร์และอุปกรณ์ IoT จากกว่า 11,000 เครือข่ายทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มใหม่ของการใช้ฮาร์ดแวร์ทั่วไปเป็นอาวุธไซเบอร์ FastNetMon ใช้แพลตฟอร์ม Advanced ที่เขียนด้วย C++ เพื่อวิเคราะห์ทราฟฟิกแบบเรียลไทม์ และสามารถตรวจจับการโจมตีได้ภายในไม่กี่วินาที พร้อมส่งสัญญาณเตือนและเริ่มกระบวนการบรรเทาทันที โดยใช้ ACL บน edge routers และระบบ scrubbing ของลูกค้า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจาก Cloudflare รายงานการโจมตีแบบ volumetric ที่มีขนาดถึง 11.5 Tbps ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้โจมตีกำลังเพิ่มทั้ง “ปริมาณข้อมูล” และ “จำนวนแพ็กเก็ต” เพื่อเจาะระบบในหลายมิติพร้อมกัน Pavel Odintsov ผู้ก่อตั้ง FastNetMon เตือนว่า อุตสาหกรรมต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีตรวจจับที่ระดับ ISP เพื่อป้องกันการโจมตีจากอุปกรณ์ที่ถูกแฮกก่อนที่มันจะขยายตัวเป็นระดับมหึมา ✅ รายละเอียดการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่ ➡️ อัตราการโจมตีสูงถึง 1.5 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที (1.5 Gpps) ➡️ เป็นการโจมตีแบบ UDP flood ที่มุ่งเป้าไปยังผู้ให้บริการ DDoS scrubbing ➡️ ใช้อุปกรณ์ CPE ที่ถูกแฮก เช่น เราเตอร์และ IoT จากกว่า 11,000 เครือข่าย ➡️ FastNetMon ตรวจจับได้ภายในไม่กี่วินาที และเริ่มบรรเทาทันที ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจจับ ➡️ FastNetMon Advanced ใช้ C++ algorithm สำหรับการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ ➡️ รองรับ Netflow/IPFIX, sFlow และ SPAN mode สำหรับเครือข่ายขนาดใหญ่ ➡️ ใช้ ACL บน edge routers เพื่อบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตราย ➡️ ระบบสามารถใช้ CPU ได้เต็มประสิทธิภาพในการตรวจจับแบบ high-speed ✅ แนวโน้มและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ การโจมตีแบบ packet-rate flood กำลังเพิ่มขึ้นควบคู่กับ volumetric attack ➡️ อุปกรณ์ทั่วไปถูกใช้เป็นอาวุธไซเบอร์ — ไม่ใช่แค่เซิร์ฟเวอร์หรือ botnet ➡️ การตรวจจับที่ระดับ ISP เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหยุดการโจมตีตั้งแต่ต้นทาง ➡️ Cloudflare รายงานการโจมตี 11.5 Tbps เพียงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MikroTik routers และ IP cameras เป็นเป้าหมายหลักของการแฮก CPE ➡️ การโจมตีแบบ Gpps มุ่งทำลาย state table และ buffer ของอุปกรณ์เครือข่าย ➡️ FastNetMon Community Edition ก็สามารถตรวจจับได้ในระดับพื้นฐาน ➡️ การโจมตีแบบนี้อาจทำให้ระบบที่มี bandwidth สูงแต่ CPU ต่ำล่มได้ทันที https://hackread.com/1-5-billion-packets-per-second-ddos-attack-detected-with-fastnetmon/
    HACKREAD.COM
    1.5 billion packets per second DDoS attack detected with FastNetMon
    London, United Kingdom, 11th September 2025, CyberNewsWire
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • “ศาลสหรัฐฯ ตัดสิน Verizon ผิดฐานขายข้อมูลตำแหน่งลูกค้าโดยไม่ขออนุญาต — จุดเปลี่ยนสำคัญของสิทธิความเป็นส่วนตัวในยุคดิจิทัล”

    ในคดีที่อาจกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เขตที่ 2 ได้มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 ว่า Verizon กระทำผิดจริงจากการขายข้อมูลตำแหน่งของลูกค้าโดยไม่ได้รับความยินยอมอย่างชัดเจน โดยยืนยันคำสั่งปรับจาก FCC เป็นเงิน 46.9 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง Verizon พยายามยื่นอุทธรณ์เพื่อยกเลิกแต่ไม่สำเร็จ

    คดีนี้ย้อนกลับไปถึงปี 2018 เมื่อมีการเปิดเผยว่า Verizon และผู้ให้บริการรายใหญ่อื่น ๆ เช่น AT&T และ T-Mobile ได้ขายข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ของลูกค้าให้กับบริษัทตัวกลาง เช่น LocationSmart และ Zumigo ซึ่งนำข้อมูลไปขายต่อให้กับหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงบริษัทเอกชนและเจ้าหน้าที่รัฐ โดยไม่มีการตรวจสอบเอกสารหรือขออนุญาตจากลูกค้าอย่างเหมาะสม

    Verizon อ้างว่าข้อมูลตำแหน่งของอุปกรณ์ไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองตามกฎหมาย Communications Act แต่ศาลไม่เห็นด้วย โดยระบุว่าข้อมูลดังกล่าวถือเป็น “customer proprietary network information” ซึ่งต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และ Verizon เองก็เลือกที่จะจ่ายค่าปรับแทนที่จะขอสิทธิพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน ทำให้ข้ออ้างเรื่องการละเมิดสิทธิการพิจารณาคดีไม่สามารถนำมาใช้ได้

    แม้ AT&T จะชนะคดีในศาลเขตที่ 5 ซึ่งมีแนวโน้มอนุรักษ์นิยมมากกว่า แต่คำตัดสินที่แตกต่างกันในแต่ละเขตศาลทำให้คดีนี้อาจต้องขึ้นสู่ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ เพื่อวินิจฉัยให้ชัดเจนว่า FCC มีอำนาจในการลงโทษบริษัทโทรคมนาคมในกรณีละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่

    คำตัดสินของศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เขตที่ 2
    ยืนยันคำสั่งปรับ Verizon เป็นเงิน 46.9 ล้านดอลลาร์
    ปฏิเสธข้ออ้างเรื่องสิทธิการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน
    ระบุว่าข้อมูลตำแหน่งของอุปกรณ์อยู่ภายใต้การคุ้มครองตาม Communications Act
    Verizon เลือกจ่ายค่าปรับแทนการขอพิจารณาคดี ทำให้เสียสิทธิ์การโต้แย้ง

    พฤติกรรมที่นำไปสู่การลงโทษ
    Verizon ขายข้อมูลตำแหน่งผ่านตัวกลางโดยไม่ตรวจสอบเอกสารหรือขออนุญาต
    บริษัทตัวกลาง เช่น Securus Technologies เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าถึงข้อมูลโดยไม่มีหมายศาล
    มีกรณีที่นายอำเภอในรัฐ Missouri เข้าถึงข้อมูลลูกค้าโดยไม่มีเอกสารทางกฎหมาย
    ระบบการขออนุญาตถูก “มอบหมาย” ให้บริษัทตัวกลางแทนที่จะทำโดย Verizon เอง

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม
    FCC เคยปรับผู้ให้บริการรายใหญ่รวมเกือบ 200 ล้านดอลลาร์ในปี 2024
    AT&T ชนะคดีในศาลเขตที่ 5 ขณะที่ T-Mobile แพ้ในศาล DC Circuit
    ความขัดแย้งระหว่างเขตศาลอาจนำไปสู่การพิจารณาโดยศาลสูงสุด
    หากศาลสูงรับเรื่อง อาจเปลี่ยนขอบเขตอำนาจของ FCC ในการลงโทษ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ข้อมูลตำแหน่งเคยถูกใช้ในบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน, ป้องกันการค้ามนุษย์ และการตรวจจับการฉ้อโกง
    FCC ระบุว่าบริษัทโทรคมนาคมยังคงดำเนินโครงการโดยไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ
    การขายข้อมูลให้กับ bounty hunters และบริษัทเอกชนสร้างความไม่พอใจในสภาคองเกรส
    การเปิดเผยในปี 2018 โดย New York Times เป็นจุดเริ่มต้นของการสอบสวน

    https://arstechnica.com/tech-policy/2025/09/court-rejects-verizon-claim-that-selling-location-data-without-consent-is-legal/
    📍 “ศาลสหรัฐฯ ตัดสิน Verizon ผิดฐานขายข้อมูลตำแหน่งลูกค้าโดยไม่ขออนุญาต — จุดเปลี่ยนสำคัญของสิทธิความเป็นส่วนตัวในยุคดิจิทัล” ในคดีที่อาจกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เขตที่ 2 ได้มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 ว่า Verizon กระทำผิดจริงจากการขายข้อมูลตำแหน่งของลูกค้าโดยไม่ได้รับความยินยอมอย่างชัดเจน โดยยืนยันคำสั่งปรับจาก FCC เป็นเงิน 46.9 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง Verizon พยายามยื่นอุทธรณ์เพื่อยกเลิกแต่ไม่สำเร็จ คดีนี้ย้อนกลับไปถึงปี 2018 เมื่อมีการเปิดเผยว่า Verizon และผู้ให้บริการรายใหญ่อื่น ๆ เช่น AT&T และ T-Mobile ได้ขายข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ของลูกค้าให้กับบริษัทตัวกลาง เช่น LocationSmart และ Zumigo ซึ่งนำข้อมูลไปขายต่อให้กับหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงบริษัทเอกชนและเจ้าหน้าที่รัฐ โดยไม่มีการตรวจสอบเอกสารหรือขออนุญาตจากลูกค้าอย่างเหมาะสม Verizon อ้างว่าข้อมูลตำแหน่งของอุปกรณ์ไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองตามกฎหมาย Communications Act แต่ศาลไม่เห็นด้วย โดยระบุว่าข้อมูลดังกล่าวถือเป็น “customer proprietary network information” ซึ่งต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และ Verizon เองก็เลือกที่จะจ่ายค่าปรับแทนที่จะขอสิทธิพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน ทำให้ข้ออ้างเรื่องการละเมิดสิทธิการพิจารณาคดีไม่สามารถนำมาใช้ได้ แม้ AT&T จะชนะคดีในศาลเขตที่ 5 ซึ่งมีแนวโน้มอนุรักษ์นิยมมากกว่า แต่คำตัดสินที่แตกต่างกันในแต่ละเขตศาลทำให้คดีนี้อาจต้องขึ้นสู่ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ เพื่อวินิจฉัยให้ชัดเจนว่า FCC มีอำนาจในการลงโทษบริษัทโทรคมนาคมในกรณีละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ ✅ คำตัดสินของศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เขตที่ 2 ➡️ ยืนยันคำสั่งปรับ Verizon เป็นเงิน 46.9 ล้านดอลลาร์ ➡️ ปฏิเสธข้ออ้างเรื่องสิทธิการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน ➡️ ระบุว่าข้อมูลตำแหน่งของอุปกรณ์อยู่ภายใต้การคุ้มครองตาม Communications Act ➡️ Verizon เลือกจ่ายค่าปรับแทนการขอพิจารณาคดี ทำให้เสียสิทธิ์การโต้แย้ง ✅ พฤติกรรมที่นำไปสู่การลงโทษ ➡️ Verizon ขายข้อมูลตำแหน่งผ่านตัวกลางโดยไม่ตรวจสอบเอกสารหรือขออนุญาต ➡️ บริษัทตัวกลาง เช่น Securus Technologies เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าถึงข้อมูลโดยไม่มีหมายศาล ➡️ มีกรณีที่นายอำเภอในรัฐ Missouri เข้าถึงข้อมูลลูกค้าโดยไม่มีเอกสารทางกฎหมาย ➡️ ระบบการขออนุญาตถูก “มอบหมาย” ให้บริษัทตัวกลางแทนที่จะทำโดย Verizon เอง ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม ➡️ FCC เคยปรับผู้ให้บริการรายใหญ่รวมเกือบ 200 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 ➡️ AT&T ชนะคดีในศาลเขตที่ 5 ขณะที่ T-Mobile แพ้ในศาล DC Circuit ➡️ ความขัดแย้งระหว่างเขตศาลอาจนำไปสู่การพิจารณาโดยศาลสูงสุด ➡️ หากศาลสูงรับเรื่อง อาจเปลี่ยนขอบเขตอำนาจของ FCC ในการลงโทษ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ข้อมูลตำแหน่งเคยถูกใช้ในบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน, ป้องกันการค้ามนุษย์ และการตรวจจับการฉ้อโกง ➡️ FCC ระบุว่าบริษัทโทรคมนาคมยังคงดำเนินโครงการโดยไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ ➡️ การขายข้อมูลให้กับ bounty hunters และบริษัทเอกชนสร้างความไม่พอใจในสภาคองเกรส ➡️ การเปิดเผยในปี 2018 โดย New York Times เป็นจุดเริ่มต้นของการสอบสวน https://arstechnica.com/tech-policy/2025/09/court-rejects-verizon-claim-that-selling-location-data-without-consent-is-legal/
    ARSTECHNICA.COM
    Court rejects Verizon claim that selling location data without consent is legal
    Verizon and T-Mobile lost, but AT&T beat the FCC. SCOTUS may have to step in.
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • ..พล.อ.รังษี อย่าให้จีนมาถือการลงทุนมากกว่าไทยเลยนะ ไม่ดีแน่นอน นี้คือการครอบงำกิจการ ครอบงำการปฏิบัติงานอธิปไตยของชาตินะ จะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตจีนแล้วนะนั้น อันตรายมาก,แนวคิดนี้ท่านพลาดใหญ่หลวงเลยนะ,การดำรงอธิปไตยไทยได้ดีที่สุดคือเป็นเจ้าของ100% ให้บริการดูแลเขาเต็มที่ก็พอ เสมือนห้องประชุมงานเลี้ยงที่สถานที่คือของเรา100%ผลประโยชน์ด้านงานสถานที่คือรับเต็มๆ100%
    เราบริหารจัดการสั่งการบัญชาการอะไร ปรับปรุงแบบไหนอิสระเต็มที่ ไม่ต้องรออนุญาตอนุมัติจากใคร รอใครมาเห็นชอบด้วย บริหารจัดการได้100%.

    ..จะรถไฟระบบรางความเร็วสูงจะรีบร้อนอะไร เรามีกำลังเท่าไรก็ทำเองเท่านั้นก่อน,ที่ดินและระบบรางเป็นตังเป็นทุนของเราเองสร้าง ความเป็นเจ้าของเราก็100%เต็ม พื้นที่บริหารจัดการรางรถไฟทั้งหมดเราบริหารจัดการเอง,เชื่อมรถไฟจีน จีนแค่เอารถไฟจีนของตัวเองมาวิ่งแค่นั้น ห้ามมีสิทธิใดๆในอธิปไตยดินแดนบนแผ่นดินไทยเราให้บรืหารจัดการยุ่งยาก,ผลประโยชน์ทั้งหมดจะตกแก่คนไทยในชาติเราเอง,เช่นสถานีพักระหว่างทางขึ้นลง คนไทยสร้างศูนย์การค้าการตลาดประชาชนเองร่วมกัน นักท่องเที่ยวลงจอดแวะซื้อขายบนเขตพื้นที่บริหารจัดการเราผู้เดียว ตังก็หมุนเวียนทันทีภายในประเทศไทยเรา รถไฟจีนมาหน้าที่ขนคนขนสินค้าบริการตนตามเป้าหมายปลายทางแค่นั้น,ไทยไม่เป็นหนี้ตังจีนมาเร่งรีบลงทุนงานก่อสร้างด้วย,เราจัดการข้าราชการทุจริตจริงจังจบก็สบายทันที โปร่งใสสร้างความเชื่อถือได้แล้ว ไม่ยากอะไร,อย่าเป็นแบบลาว จีนสร้างเแ็นของจีนหมดตลอดที่ดินสร้างรางรถไฟ นี้เสียอธิปไตยบริหารจัดการบนแผ่นดินตนชัดเจน,ความโลภลักษณะนี้อันตรายต่อลูกหลานเราเองในคนรุ่นหลังๆเราอาจด่าโคตรเหง้าว่าขายชาติขายสิทธิอธิปไตยตนเองได้,

    ..ขุดคลองคิดกระก็ขุดเอง100%ห้ามต่างชาติมายุ่ง
    ..สร้างแลนด์บริดจ์ข้างคลองคอดกระทั้งสองข้างก็ห้ามใครมายุ่ง,ระดมทุนจากภาคประชาชนทั้งประเทศไทยได้ สร้างมันขึ้นมาสิ.,ตั้งเป็นกองทุนคลองไทยแห่งชาติก็ได้ สร้างบริษัทบริหารจัดการคลองคอดกระและแลนด์บริดจ์เอง,ไม่ต้องให้มหาอำนาจใดมาแดกตังมากอบโกยเม็ดเงินมหาศาลนี้ง่ายๆจะจีนจะอเมริกาก็ตามที่เป็นเขตราชอาณาจักรอธิปไตยไทยนี้,เม็ดเงินมหาศาลจากการบริหารจัดการคลองคอดกระ จากแลนด์บริดจ์อาจกว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปีได้ทั่วประ้ทศไทยเราโดยเฉพาะเขตคลองคอดกระและแลนด์บริดจ์นี้.,จะไปให้จีนถือมากกว่าไทยทำไม,ใช่ไม่ได้ เสมือนหมอบกราบสยบใต้ตีนจีนเกินไป ไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีเพราะนี้คือดินแดนแผ่นดินไทย เขตอธิปไตยไทยคลองไทยเราขุดเองระเบิดเองจะทำไม,จีนอเมริกามาบีบหมายบังคับจะแดกด้วยใช้ไม่ได้,ให้สามารถสร้างงานบริการเต็มที่ที่ลูกค้าทั่วโลกผ่านเข้าออกคลองไทยเรา,ต่างชาติจะมาแทรกแซงสั่งการใดๆไม่ได้ เราจะปิดจะเปิดคลองไทยมันคืออธิปไตยไทย100% รวมรางรถไฟความเร็วสูงด้วย ปิดระบบรางเพื่อความมั่นคงของไทยก็ได้ตลอดเวลาอีก ใครจะมาปรับเอาความเสียหายกับเราก็ไม่ได้,รางรถไฟเราสร้างเองไม่ต้องกู้ตังใครถูกต้องที่สุด ดำเนินทางสายกลางถูกแล้ว.

    ..จริงๆเราสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยเราทันทีได้ง่ายๆ พลิกหน้ามือมารอดมาตั้งหลักตั้งฐานได้ทันทีกันเลย นั้นคือ ยกเลิกสัมปทานปิโตรเลียมทั้งหมดที่ไม่ผ่านสภาประชาธิปไตยใดๆเลย ซึ่งเป็นกิจการความมั่นคงโดยตรงด้านพลังงานขับเคลื่อนทุกๆบริบทกิจกรรมภายในประเทศไทยเรา ต้องโมฆะทันที ยึดคืนสู่สามัญใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรมกว่าในอดีตๆที่ผ่านๆมา,เศรษฐกิจจะพลิกฟื้นทันที เราสามารถส่งทหารไปผลิตเองใช้ในประเทศก่อนได้ ขายน้ำมันราคาไม่แพงแก่ประชาชนแลัอุตสาหกรรมภายในประเทศที่เป็นของคนไทยก่อน สัญชาติไทย100%หุ้นไทยก่อน,ใครมีต่างชาติถือหุ้นด้วยก็อีกราคาต่างหาก,เกษตรกรสามารถซื้อน้ำมันราคาลิตรละ1-2บาทได้ ขนส่งก็อาจลิตรละ0.90บาท ,ค่าครองชีพค่าขนส่งจะลดลงทันที,ราคาสินค้าจะปรับฐานใหม่ภายในประเทศ ทุกๆอย่างจะปรับฐานใหม่หมดจะเชื่อมโยงกระทบทางที่ดีหมด,ราคาสินค้าเราจะต้นทุนต่ำ สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ทันที ข้าวจากตันละ400-600$,อาจลดเหลือ200-300$ ต้นทุนแค่10$ต่อตัน,กำไรกว่า100$พอใจมั้ย,คนซื้อก็พอใจประหยัดตังได้อีก,ความอุดมสมบูรณ์จะกลับคืนมาทันที,นักเรียนนักศึกษาจากปกติพกตังหลายร้อยบาทไปโรงเรียนไปมหาลัยตื๊ดๆทีก็หมดไปหลายร้อย,ปัจจุบันตื๊ดๆที ได้สินค้าอาหารกับข้าวกินจนอิ่มจนเหลือทุกๆวันเพราะ10-20บาทอาจเทียบกับพกตังไปในกระเป๋ากว่าพันกว่าหมื่นบาทกันเลย,ข้าวอาหารก๋วยเตี๋ยวอาจชามละ0.25บาทนั้นเอง,น้ำมันเติมมอไซค์ไปโรงเรียนไปมหาลัยอาจแค่ลิตรละ0.5-1บาทสำหรับนักเรียนนักศึกษาก็ได้,1บาทได้2ลิตรเกือบเต็มถัง.2บาท4ลิตรล้นถังมอไซค์แน่นอน,
    ..ต้นเหตุเศรษฐกิจจริงๆตอนนี้คือน้ำมันคือพลังงาน จะรบจะทำสงครามกันเครื่องจักรปัจจุบันกินน้ำมันหมด,
    ..ไทยเรายึดบ่อน้ำมันจากอีลิทต่างชาติdeep state หลายๆปัญหาจบแน่นอน,ยึดสัก20-30บ่อมาผลิตขายเองในไทยดูสิ จะเห็นผลทันที ทุกๆคนไทยใช้รถ ขนส่งสินค้าใช้รถ ราคาสินค้าบวกต้นทุนขนส่งหมด,ต้นทุนต้นน้ำแบบเกษตรกร โรงงานผู้ผลิตต่างๆลดลง กำไรเขาก็มากได้ ลดค่าใช้จ่ายรวมอีก,ต้นน้ำถูก ปลายน้ำก็ถูกทันที
    ..จริงๆปัญหาประเทศไทยตัวโคตรพ่อโคตรแมร่งจริงๆคือบ่อน้ำมันในไทยเรา,ยึดคืนมาทั้งหมดที่ถูกปล้นจากสัญญาสัมปทานเอาเปรียบประเทศไทยมานานก็จบแล้ว.,ไปเดินอ้อมปัญหาจริงๆทำไม.ลดค่าน้ำมันลิตรละ0.50-1บาทในไทย ลดค่าไฟฟ้า 0.15-0.25บาทต่อหน่วย ,เศรษฐกิจทั่วประเทศไทยฟื้นฟูทันที,จากนั้นค่อยแก้ไปทีละจุดๆต่อไป,ขายน้ำมันในราคาตลาดโลกเมื่อส่งออก,วิกฤติไทยแก้ได้แน่นอน.,ที่เขมรใช้1:200,000ก็ฝรั่งเศสอเมริกาหรือหลายชาติต่างอยากได้แดกบ่อน้ำมันในอ่าวไทยเรานี้ด้วยล่ะ,ก่อนไปพลังงานสะอาดอื่นๆที่สร้างค่าเสถียรการใช้งานปลอดภัยได้แล้ว.,แต่คงหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีกันเลย.


    https://youtube.com/watch?v=41WZaOg8ZFo&si=RViZxHzSvx9JtmUZ
    ..พล.อ.รังษี อย่าให้จีนมาถือการลงทุนมากกว่าไทยเลยนะ ไม่ดีแน่นอน นี้คือการครอบงำกิจการ ครอบงำการปฏิบัติงานอธิปไตยของชาตินะ จะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตจีนแล้วนะนั้น อันตรายมาก,แนวคิดนี้ท่านพลาดใหญ่หลวงเลยนะ,การดำรงอธิปไตยไทยได้ดีที่สุดคือเป็นเจ้าของ100% ให้บริการดูแลเขาเต็มที่ก็พอ เสมือนห้องประชุมงานเลี้ยงที่สถานที่คือของเรา100%ผลประโยชน์ด้านงานสถานที่คือรับเต็มๆ100% เราบริหารจัดการสั่งการบัญชาการอะไร ปรับปรุงแบบไหนอิสระเต็มที่ ไม่ต้องรออนุญาตอนุมัติจากใคร รอใครมาเห็นชอบด้วย บริหารจัดการได้100%. ..จะรถไฟระบบรางความเร็วสูงจะรีบร้อนอะไร เรามีกำลังเท่าไรก็ทำเองเท่านั้นก่อน,ที่ดินและระบบรางเป็นตังเป็นทุนของเราเองสร้าง ความเป็นเจ้าของเราก็100%เต็ม พื้นที่บริหารจัดการรางรถไฟทั้งหมดเราบริหารจัดการเอง,เชื่อมรถไฟจีน จีนแค่เอารถไฟจีนของตัวเองมาวิ่งแค่นั้น ห้ามมีสิทธิใดๆในอธิปไตยดินแดนบนแผ่นดินไทยเราให้บรืหารจัดการยุ่งยาก,ผลประโยชน์ทั้งหมดจะตกแก่คนไทยในชาติเราเอง,เช่นสถานีพักระหว่างทางขึ้นลง คนไทยสร้างศูนย์การค้าการตลาดประชาชนเองร่วมกัน นักท่องเที่ยวลงจอดแวะซื้อขายบนเขตพื้นที่บริหารจัดการเราผู้เดียว ตังก็หมุนเวียนทันทีภายในประเทศไทยเรา รถไฟจีนมาหน้าที่ขนคนขนสินค้าบริการตนตามเป้าหมายปลายทางแค่นั้น,ไทยไม่เป็นหนี้ตังจีนมาเร่งรีบลงทุนงานก่อสร้างด้วย,เราจัดการข้าราชการทุจริตจริงจังจบก็สบายทันที โปร่งใสสร้างความเชื่อถือได้แล้ว ไม่ยากอะไร,อย่าเป็นแบบลาว จีนสร้างเแ็นของจีนหมดตลอดที่ดินสร้างรางรถไฟ นี้เสียอธิปไตยบริหารจัดการบนแผ่นดินตนชัดเจน,ความโลภลักษณะนี้อันตรายต่อลูกหลานเราเองในคนรุ่นหลังๆเราอาจด่าโคตรเหง้าว่าขายชาติขายสิทธิอธิปไตยตนเองได้, ..ขุดคลองคิดกระก็ขุดเอง100%ห้ามต่างชาติมายุ่ง ..สร้างแลนด์บริดจ์ข้างคลองคอดกระทั้งสองข้างก็ห้ามใครมายุ่ง,ระดมทุนจากภาคประชาชนทั้งประเทศไทยได้ สร้างมันขึ้นมาสิ.,ตั้งเป็นกองทุนคลองไทยแห่งชาติก็ได้ สร้างบริษัทบริหารจัดการคลองคอดกระและแลนด์บริดจ์เอง,ไม่ต้องให้มหาอำนาจใดมาแดกตังมากอบโกยเม็ดเงินมหาศาลนี้ง่ายๆจะจีนจะอเมริกาก็ตามที่เป็นเขตราชอาณาจักรอธิปไตยไทยนี้,เม็ดเงินมหาศาลจากการบริหารจัดการคลองคอดกระ จากแลนด์บริดจ์อาจกว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปีได้ทั่วประ้ทศไทยเราโดยเฉพาะเขตคลองคอดกระและแลนด์บริดจ์นี้.,จะไปให้จีนถือมากกว่าไทยทำไม,ใช่ไม่ได้ เสมือนหมอบกราบสยบใต้ตีนจีนเกินไป ไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีเพราะนี้คือดินแดนแผ่นดินไทย เขตอธิปไตยไทยคลองไทยเราขุดเองระเบิดเองจะทำไม,จีนอเมริกามาบีบหมายบังคับจะแดกด้วยใช้ไม่ได้,ให้สามารถสร้างงานบริการเต็มที่ที่ลูกค้าทั่วโลกผ่านเข้าออกคลองไทยเรา,ต่างชาติจะมาแทรกแซงสั่งการใดๆไม่ได้ เราจะปิดจะเปิดคลองไทยมันคืออธิปไตยไทย100% รวมรางรถไฟความเร็วสูงด้วย ปิดระบบรางเพื่อความมั่นคงของไทยก็ได้ตลอดเวลาอีก ใครจะมาปรับเอาความเสียหายกับเราก็ไม่ได้,รางรถไฟเราสร้างเองไม่ต้องกู้ตังใครถูกต้องที่สุด ดำเนินทางสายกลางถูกแล้ว. ..จริงๆเราสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยเราทันทีได้ง่ายๆ พลิกหน้ามือมารอดมาตั้งหลักตั้งฐานได้ทันทีกันเลย นั้นคือ ยกเลิกสัมปทานปิโตรเลียมทั้งหมดที่ไม่ผ่านสภาประชาธิปไตยใดๆเลย ซึ่งเป็นกิจการความมั่นคงโดยตรงด้านพลังงานขับเคลื่อนทุกๆบริบทกิจกรรมภายในประเทศไทยเรา ต้องโมฆะทันที ยึดคืนสู่สามัญใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรมกว่าในอดีตๆที่ผ่านๆมา,เศรษฐกิจจะพลิกฟื้นทันที เราสามารถส่งทหารไปผลิตเองใช้ในประเทศก่อนได้ ขายน้ำมันราคาไม่แพงแก่ประชาชนแลัอุตสาหกรรมภายในประเทศที่เป็นของคนไทยก่อน สัญชาติไทย100%หุ้นไทยก่อน,ใครมีต่างชาติถือหุ้นด้วยก็อีกราคาต่างหาก,เกษตรกรสามารถซื้อน้ำมันราคาลิตรละ1-2บาทได้ ขนส่งก็อาจลิตรละ0.90บาท ,ค่าครองชีพค่าขนส่งจะลดลงทันที,ราคาสินค้าจะปรับฐานใหม่ภายในประเทศ ทุกๆอย่างจะปรับฐานใหม่หมดจะเชื่อมโยงกระทบทางที่ดีหมด,ราคาสินค้าเราจะต้นทุนต่ำ สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ทันที ข้าวจากตันละ400-600$,อาจลดเหลือ200-300$ ต้นทุนแค่10$ต่อตัน,กำไรกว่า100$พอใจมั้ย,คนซื้อก็พอใจประหยัดตังได้อีก,ความอุดมสมบูรณ์จะกลับคืนมาทันที,นักเรียนนักศึกษาจากปกติพกตังหลายร้อยบาทไปโรงเรียนไปมหาลัยตื๊ดๆทีก็หมดไปหลายร้อย,ปัจจุบันตื๊ดๆที ได้สินค้าอาหารกับข้าวกินจนอิ่มจนเหลือทุกๆวันเพราะ10-20บาทอาจเทียบกับพกตังไปในกระเป๋ากว่าพันกว่าหมื่นบาทกันเลย,ข้าวอาหารก๋วยเตี๋ยวอาจชามละ0.25บาทนั้นเอง,น้ำมันเติมมอไซค์ไปโรงเรียนไปมหาลัยอาจแค่ลิตรละ0.5-1บาทสำหรับนักเรียนนักศึกษาก็ได้,1บาทได้2ลิตรเกือบเต็มถัง.2บาท4ลิตรล้นถังมอไซค์แน่นอน, ..ต้นเหตุเศรษฐกิจจริงๆตอนนี้คือน้ำมันคือพลังงาน จะรบจะทำสงครามกันเครื่องจักรปัจจุบันกินน้ำมันหมด, ..ไทยเรายึดบ่อน้ำมันจากอีลิทต่างชาติdeep state หลายๆปัญหาจบแน่นอน,ยึดสัก20-30บ่อมาผลิตขายเองในไทยดูสิ จะเห็นผลทันที ทุกๆคนไทยใช้รถ ขนส่งสินค้าใช้รถ ราคาสินค้าบวกต้นทุนขนส่งหมด,ต้นทุนต้นน้ำแบบเกษตรกร โรงงานผู้ผลิตต่างๆลดลง กำไรเขาก็มากได้ ลดค่าใช้จ่ายรวมอีก,ต้นน้ำถูก ปลายน้ำก็ถูกทันที ..จริงๆปัญหาประเทศไทยตัวโคตรพ่อโคตรแมร่งจริงๆคือบ่อน้ำมันในไทยเรา,ยึดคืนมาทั้งหมดที่ถูกปล้นจากสัญญาสัมปทานเอาเปรียบประเทศไทยมานานก็จบแล้ว.,ไปเดินอ้อมปัญหาจริงๆทำไม.ลดค่าน้ำมันลิตรละ0.50-1บาทในไทย ลดค่าไฟฟ้า 0.15-0.25บาทต่อหน่วย ,เศรษฐกิจทั่วประเทศไทยฟื้นฟูทันที,จากนั้นค่อยแก้ไปทีละจุดๆต่อไป,ขายน้ำมันในราคาตลาดโลกเมื่อส่งออก,วิกฤติไทยแก้ได้แน่นอน.,ที่เขมรใช้1:200,000ก็ฝรั่งเศสอเมริกาหรือหลายชาติต่างอยากได้แดกบ่อน้ำมันในอ่าวไทยเรานี้ด้วยล่ะ,ก่อนไปพลังงานสะอาดอื่นๆที่สร้างค่าเสถียรการใช้งานปลอดภัยได้แล้ว.,แต่คงหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีกันเลย. https://youtube.com/watch?v=41WZaOg8ZFo&si=RViZxHzSvx9JtmUZ
    0 Comments 0 Shares 141 Views 0 Reviews
  • ⭕️ ต้องขอโทษลูกค้าก่อนเลยว่า สั่งไปทานแล้วอร่อยจนหยุดไม่ได้ .... นี่เลยมาลองทานและอัดคลิปรีวิวรสชาติปลากระพงทุบให้ลูกค้าดูว่า อร่อยจึ้ง อร่อยดีย์ อร่อยเกิ๊นน .. คือ เหมาะกับการทานกับข้าวต้มมากนะคะ หรือจะทานเล่นก็ดีงาม .. อันนี้คือเนื้อปลา 100% ไม่มีแป้งเด้ออออปลากระพงทุบ ใน TikTokhttps://vt.tiktok.com/ZSrNwrbfa/ปลากระพงทุบ ใน Shopeehttps://th.shp.ee/TJpZ2pJเลือกชมสินค้าอื่นๆของเราได้ทั้งสองช่องทาง1. Shopee : shopee.co.th/kinjubjibshop2. TikTok : https://www.tiktok.com/@kinjubjibshop?_t=ZS-8txYHQWejyM&_r=1เลือกช้อปได้ตามความชอบและคูปองของแต่ละช่องทางได้เลยค่ะ#คือจึ้งมาก #คือเจ๋งมาก #คืออร่อย #คือดีย์#ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #อร่อยดีบอกต่อ #ของอร่อยต้องลอง #ปลากระพงทุบ #ปลากระพงทุบ #อร่อยกี่โมง #กะปิเคย #หมึกกะตอย #ปลาทูมัน #ปลาทูหอม #ปลาซิวทอดกรอบ #ปลาเกล็ดขาว #ปลาจิ้งจั้งทอด #หมึกกะตอยแห้ง
    ♨️⭕️ ต้องขอโทษลูกค้าก่อนเลยว่า สั่งไปทานแล้วอร่อยจนหยุดไม่ได้ .... นี่เลยมาลองทานและอัดคลิปรีวิวรสชาติปลากระพงทุบให้ลูกค้าดูว่า อร่อยจึ้ง อร่อยดีย์ อร่อยเกิ๊นน .. คือ เหมาะกับการทานกับข้าวต้มมากนะคะ หรือจะทานเล่นก็ดีงาม .. อันนี้คือเนื้อปลา 100% ไม่มีแป้งเด้ออออปลากระพงทุบ 🙂 ใน TikTokhttps://vt.tiktok.com/ZSrNwrbfa/ปลากระพงทุบ 🙂 ใน Shopeehttps://th.shp.ee/TJpZ2pJเลือกชมสินค้าอื่นๆของเราได้ทั้งสองช่องทาง1. Shopee : shopee.co.th/kinjubjibshop2. TikTok : https://www.tiktok.com/@kinjubjibshop?_t=ZS-8txYHQWejyM&_r=1เลือกช้อปได้ตามความชอบและคูปองของแต่ละช่องทางได้เลยค่ะ#คือจึ้งมาก #คือเจ๋งมาก #คืออร่อย #คือดีย์#ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #อร่อยดีบอกต่อ #ของอร่อยต้องลอง #ปลากระพงทุบ #ปลากระพงทุบ #อร่อยกี่โมง #กะปิเคย #หมึกกะตอย #ปลาทูมัน #ปลาทูหอม #ปลาซิวทอดกรอบ #ปลาเกล็ดขาว #ปลาจิ้งจั้งทอด #หมึกกะตอยแห้ง
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 0 Reviews
  • “OpenAI ผนึก Broadcom สร้างชิป Titan — ยุทธศาสตร์ใหม่ลดพึ่งพา Nvidia ด้วยคำสั่งซื้อ $10 พันล้าน และเป้าหมายสู่ AGI”

    ในยุคที่การแข่งขันด้าน AI รุนแรงขึ้นทุกวัน OpenAI กำลังเดินเกมใหม่ที่อาจเปลี่ยนสมดุลของอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ ด้วยการร่วมมือกับ Broadcom เพื่อพัฒนาชิปประมวลผล AI แบบกำหนดเอง (custom ASIC) ภายใต้ชื่อ “Titan” โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพา GPU จาก Nvidia ซึ่งมีราคาสูงและขาดแคลนอย่างต่อเนื่อง

    Broadcom ซึ่งเคยเป็นผู้ผลิตชิปสำหรับสมาร์ตโฟน ได้ขยายเข้าสู่ตลาด data center และกลายเป็นผู้นำด้านการออกแบบ XPU สำหรับงาน AI โดยก่อนหน้านี้มีลูกค้าระดับยักษ์อย่าง Google, Meta และ ByteDance ล่าสุด OpenAI กลายเป็นลูกค้ารายที่สี่ พร้อมสั่งซื้อ rack ระบบ AI มูลค่ากว่า $10 พันล้าน ซึ่งจะเริ่มส่งมอบในไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ 20262

    ชิป Titan จะถูกใช้สำหรับงาน inference โดยเฉพาะ และนำโดย Richard Ho อดีตวิศวกรผู้ออกแบบ Google TPU ซึ่งแสดงให้เห็นว่า OpenAI ต้องการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานของตนเองอย่างจริงจัง เพื่อรองรับโมเดลขนาดใหญ่ เช่น GPT-4.5 และโครงการ Stargate ที่มีเป้าหมายสู่ AGI ภายใน 4 ปี

    การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจาก OpenAI ประสบปัญหาขาดแคลน GPU อย่างหนักในช่วงต้นปี 2025 ซึ่งส่งผลให้การเปิดตัว GPT-4.5 ล่าช้า แม้จะมีเงินทุนจาก Microsoft และการระดมทุนรอบ Series F และการขายหุ้นภายในที่ดันมูลค่าบริษัทขึ้นถึง $500 พันล้าน แต่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานยังเป็นภาระที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน

    ความร่วมมือระหว่าง OpenAI และ Broadcom
    OpenAI เป็นลูกค้ารายที่ 4 ของ Broadcom ในโครงการ custom XPU
    สั่งซื้อ rack ระบบ AI มูลค่า $10 พันล้าน เริ่มส่งมอบปี 2026
    ชิป Titan ออกแบบสำหรับงาน inference โดยเฉพาะ
    นำโดย Richard Ho อดีตวิศวกร Google TPU

    เหตุผลเบื้องหลังการพัฒนา Titan
    ลดการพึ่งพา Nvidia ที่มีราคาสูงและขาดแคลน
    รองรับโมเดลขนาดใหญ่ เช่น GPT-4.5 และโครงการ Stargate
    เพิ่มประสิทธิภาพและควบคุมต้นทุนโครงสร้างพื้นฐาน
    ตอบสนองความต้องการด้าน compute ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Broadcom ขยายจากตลาดสมาร์ตโฟนสู่ data center และ AI infrastructure
    Titan เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ AGI ภายใน 4 ปีของ OpenAI
    OpenAI เคยพึ่ง Azure cloud ของ Microsoft แต่ต้องการควบคุมระบบมากขึ้น
    การระดมทุน Series F และการขายหุ้นภายในดันมูลค่าบริษัทถึง $500 พันล้าน

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/nvidias-biggest-customers-are-lining-up-to-take-it-down-using-asics-and-broadcom-could-be-the-winner-of-that-battle
    💥 “OpenAI ผนึก Broadcom สร้างชิป Titan — ยุทธศาสตร์ใหม่ลดพึ่งพา Nvidia ด้วยคำสั่งซื้อ $10 พันล้าน และเป้าหมายสู่ AGI” ในยุคที่การแข่งขันด้าน AI รุนแรงขึ้นทุกวัน OpenAI กำลังเดินเกมใหม่ที่อาจเปลี่ยนสมดุลของอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ ด้วยการร่วมมือกับ Broadcom เพื่อพัฒนาชิปประมวลผล AI แบบกำหนดเอง (custom ASIC) ภายใต้ชื่อ “Titan” โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพา GPU จาก Nvidia ซึ่งมีราคาสูงและขาดแคลนอย่างต่อเนื่อง Broadcom ซึ่งเคยเป็นผู้ผลิตชิปสำหรับสมาร์ตโฟน ได้ขยายเข้าสู่ตลาด data center และกลายเป็นผู้นำด้านการออกแบบ XPU สำหรับงาน AI โดยก่อนหน้านี้มีลูกค้าระดับยักษ์อย่าง Google, Meta และ ByteDance ล่าสุด OpenAI กลายเป็นลูกค้ารายที่สี่ พร้อมสั่งซื้อ rack ระบบ AI มูลค่ากว่า $10 พันล้าน ซึ่งจะเริ่มส่งมอบในไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ 20262 ชิป Titan จะถูกใช้สำหรับงาน inference โดยเฉพาะ และนำโดย Richard Ho อดีตวิศวกรผู้ออกแบบ Google TPU ซึ่งแสดงให้เห็นว่า OpenAI ต้องการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานของตนเองอย่างจริงจัง เพื่อรองรับโมเดลขนาดใหญ่ เช่น GPT-4.5 และโครงการ Stargate ที่มีเป้าหมายสู่ AGI ภายใน 4 ปี การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจาก OpenAI ประสบปัญหาขาดแคลน GPU อย่างหนักในช่วงต้นปี 2025 ซึ่งส่งผลให้การเปิดตัว GPT-4.5 ล่าช้า แม้จะมีเงินทุนจาก Microsoft และการระดมทุนรอบ Series F และการขายหุ้นภายในที่ดันมูลค่าบริษัทขึ้นถึง $500 พันล้าน แต่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานยังเป็นภาระที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน ✅ ความร่วมมือระหว่าง OpenAI และ Broadcom ➡️ OpenAI เป็นลูกค้ารายที่ 4 ของ Broadcom ในโครงการ custom XPU ➡️ สั่งซื้อ rack ระบบ AI มูลค่า $10 พันล้าน เริ่มส่งมอบปี 2026 ➡️ ชิป Titan ออกแบบสำหรับงาน inference โดยเฉพาะ ➡️ นำโดย Richard Ho อดีตวิศวกร Google TPU ✅ เหตุผลเบื้องหลังการพัฒนา Titan ➡️ ลดการพึ่งพา Nvidia ที่มีราคาสูงและขาดแคลน ➡️ รองรับโมเดลขนาดใหญ่ เช่น GPT-4.5 และโครงการ Stargate ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพและควบคุมต้นทุนโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ ตอบสนองความต้องการด้าน compute ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Broadcom ขยายจากตลาดสมาร์ตโฟนสู่ data center และ AI infrastructure ➡️ Titan เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ AGI ภายใน 4 ปีของ OpenAI ➡️ OpenAI เคยพึ่ง Azure cloud ของ Microsoft แต่ต้องการควบคุมระบบมากขึ้น ➡️ การระดมทุน Series F และการขายหุ้นภายในดันมูลค่าบริษัทถึง $500 พันล้าน https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/nvidias-biggest-customers-are-lining-up-to-take-it-down-using-asics-and-broadcom-could-be-the-winner-of-that-battle
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • “เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยของแฮกเกอร์ — 80% ของแรนซัมแวร์ในปี 2025 ใช้ AI สร้างมัลแวร์ ปลอมเสียง และเจาะระบบแบบไร้รอย”

    ภัยไซเบอร์ในปี 2025 ไม่ได้มาในรูปแบบเดิมอีกต่อไป เพราะตอนนี้แฮกเกอร์ใช้ AI เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างแรนซัมแวร์ที่ทั้งฉลาดและอันตรายกว่าเดิม จากการศึกษาของ MIT Sloan และ Safe Security พบว่า 80% ของการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการใช้ AI เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างมัลแวร์อัตโนมัติ, ปลอมเสียงด้วย deepfake, หรือแม้แต่การเจาะระบบผ่าน CAPTCHA และรหัสผ่านด้วย LLM

    AI ไม่ได้แค่ช่วยให้แฮกเกอร์ทำงานเร็วขึ้น แต่ยังทำให้การโจมตีมีความแม่นยำและยากต่อการตรวจจับมากขึ้น เช่น การปลอมตัวเป็นฝ่ายบริการลูกค้าด้วยเสียงที่เหมือนจริง หรือการสร้างอีเมลฟิชชิ่งที่ดูน่าเชื่อถือจนแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญยังหลงกล

    Michael Siegel นักวิจัยจาก CAMS เตือนว่า “ผู้โจมตีต้องการแค่ช่องโหว่เดียว แต่ผู้ป้องกันต้องปิดทุกช่องทาง” ซึ่งกลายเป็นความท้าทายที่รุนแรงขึ้นเมื่อ AI ทำให้การโจมตีขยายตัวได้ในระดับที่มนุษย์ตามไม่ทัน

    เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ นักวิจัยเสนอแนวทางป้องกันแบบ 3 เสาหลัก ได้แก่

    1️⃣ ระบบ hygiene อัตโนมัติ เช่น โค้ดที่ซ่อมตัวเอง, ระบบ patch อัตโนมัติ และการตรวจสอบพื้นผิวการโจมตีแบบต่อเนื่อง

    2️⃣ ระบบป้องกันแบบหลอกล่อและอัตโนมัติ เช่น การเปลี่ยนเป้าหมายตลอดเวลา และการใช้ข้อมูลปลอมเพื่อหลอกแฮกเกอร์

    3️⃣ การรายงานและ oversight แบบ real-time เพื่อให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมของภัยคุกคามและตัดสินใจได้ทันเวลา

    สถานการณ์ภัยไซเบอร์ในปี 2025
    80% ของแรนซัมแวร์ใช้ AI ในการสร้างมัลแวร์ ฟิชชิ่ง และ deepfake
    ใช้ LLM ในการเจาะรหัสผ่าน, bypass CAPTCHA และเขียนโค้ดอัตโนมัติ
    ปลอมเสียงเป็นฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อหลอกเหยื่อผ่านโทรศัพท์
    AI ทำให้การโจมตีขยายตัวเร็วและแม่นยำกว่าที่เคย

    แนวทางป้องกันที่แนะนำ
    เสาหลักที่ 1: ระบบ hygiene อัตโนมัติ เช่น self-healing code และ zero-trust architecture
    เสาหลักที่ 2: ระบบป้องกันแบบหลอกล่อ เช่น moving-target defense และข้อมูลปลอม
    เสาหลักที่ 3: การ oversight แบบ real-time เพื่อให้ผู้บริหารตัดสินใจได้ทัน
    ต้องใช้หลายชั้นร่วมกัน ไม่ใช่แค่เครื่องมือ AI ฝั่งป้องกันอย่างเดียว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Deepfake phishing หรือ “vishing” เพิ่มขึ้น 1,633% ใน Q1 ปี 2025
    การโจมตีแบบ adversary-in-the-middle เพิ่มขึ้น — ขโมย session cookie เพื่อข้าม 2FA
    การโจมตีระบบ OT (Operational Technology) เช่นโรงงานและโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น
    จำนวนการโจมตี ransomware เพิ่มขึ้น 132% แม้ยอดจ่ายค่าไถ่จะลดลง

    https://www.techradar.com/pro/security/only-20-of-ransomware-is-not-powered-by-ai-but-expect-that-number-to-drop-even-further-in-2025
    🧨 “เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยของแฮกเกอร์ — 80% ของแรนซัมแวร์ในปี 2025 ใช้ AI สร้างมัลแวร์ ปลอมเสียง และเจาะระบบแบบไร้รอย” ภัยไซเบอร์ในปี 2025 ไม่ได้มาในรูปแบบเดิมอีกต่อไป เพราะตอนนี้แฮกเกอร์ใช้ AI เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างแรนซัมแวร์ที่ทั้งฉลาดและอันตรายกว่าเดิม จากการศึกษาของ MIT Sloan และ Safe Security พบว่า 80% ของการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการใช้ AI เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างมัลแวร์อัตโนมัติ, ปลอมเสียงด้วย deepfake, หรือแม้แต่การเจาะระบบผ่าน CAPTCHA และรหัสผ่านด้วย LLM AI ไม่ได้แค่ช่วยให้แฮกเกอร์ทำงานเร็วขึ้น แต่ยังทำให้การโจมตีมีความแม่นยำและยากต่อการตรวจจับมากขึ้น เช่น การปลอมตัวเป็นฝ่ายบริการลูกค้าด้วยเสียงที่เหมือนจริง หรือการสร้างอีเมลฟิชชิ่งที่ดูน่าเชื่อถือจนแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญยังหลงกล Michael Siegel นักวิจัยจาก CAMS เตือนว่า “ผู้โจมตีต้องการแค่ช่องโหว่เดียว แต่ผู้ป้องกันต้องปิดทุกช่องทาง” ซึ่งกลายเป็นความท้าทายที่รุนแรงขึ้นเมื่อ AI ทำให้การโจมตีขยายตัวได้ในระดับที่มนุษย์ตามไม่ทัน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ นักวิจัยเสนอแนวทางป้องกันแบบ 3 เสาหลัก ได้แก่ 1️⃣ ระบบ hygiene อัตโนมัติ เช่น โค้ดที่ซ่อมตัวเอง, ระบบ patch อัตโนมัติ และการตรวจสอบพื้นผิวการโจมตีแบบต่อเนื่อง 2️⃣ ระบบป้องกันแบบหลอกล่อและอัตโนมัติ เช่น การเปลี่ยนเป้าหมายตลอดเวลา และการใช้ข้อมูลปลอมเพื่อหลอกแฮกเกอร์ 3️⃣ การรายงานและ oversight แบบ real-time เพื่อให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมของภัยคุกคามและตัดสินใจได้ทันเวลา ✅ สถานการณ์ภัยไซเบอร์ในปี 2025 ➡️ 80% ของแรนซัมแวร์ใช้ AI ในการสร้างมัลแวร์ ฟิชชิ่ง และ deepfake ➡️ ใช้ LLM ในการเจาะรหัสผ่าน, bypass CAPTCHA และเขียนโค้ดอัตโนมัติ ➡️ ปลอมเสียงเป็นฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อหลอกเหยื่อผ่านโทรศัพท์ ➡️ AI ทำให้การโจมตีขยายตัวเร็วและแม่นยำกว่าที่เคย ✅ แนวทางป้องกันที่แนะนำ ➡️ เสาหลักที่ 1: ระบบ hygiene อัตโนมัติ เช่น self-healing code และ zero-trust architecture ➡️ เสาหลักที่ 2: ระบบป้องกันแบบหลอกล่อ เช่น moving-target defense และข้อมูลปลอม ➡️ เสาหลักที่ 3: การ oversight แบบ real-time เพื่อให้ผู้บริหารตัดสินใจได้ทัน ➡️ ต้องใช้หลายชั้นร่วมกัน ไม่ใช่แค่เครื่องมือ AI ฝั่งป้องกันอย่างเดียว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Deepfake phishing หรือ “vishing” เพิ่มขึ้น 1,633% ใน Q1 ปี 2025 ➡️ การโจมตีแบบ adversary-in-the-middle เพิ่มขึ้น — ขโมย session cookie เพื่อข้าม 2FA ➡️ การโจมตีระบบ OT (Operational Technology) เช่นโรงงานและโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น ➡️ จำนวนการโจมตี ransomware เพิ่มขึ้น 132% แม้ยอดจ่ายค่าไถ่จะลดลง https://www.techradar.com/pro/security/only-20-of-ransomware-is-not-powered-by-ai-but-expect-that-number-to-drop-even-further-in-2025
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • “Microsoft ผนึกกำลัง Nebius สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $17.4 พันล้าน — ขยายศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ รับยุค AI เต็มรูปแบบ”

    ในยุคที่ความต้องการด้านการประมวลผล AI พุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง Microsoft ได้ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่กับ Nebius บริษัทโครงสร้างพื้นฐาน AI สัญชาติเนเธอร์แลนด์ (อดีตส่วนหนึ่งของ Yandex) เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ในเมือง Vineland รัฐนิวเจอร์ซีย์ โดยมีมูลค่าสัญญาเบื้องต้นอยู่ที่ $17.4 พันล้าน และอาจขยายถึง $19.4 พันล้านหากมีการเพิ่มบริการหรือความจุในอนาคต

    ศูนย์ข้อมูลแห่งนี้จะให้บริการ GPU infrastructure สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่ง Microsoft ต้องการอย่างเร่งด่วนเพื่อรองรับการเติบโตของบริการ AI ทั้งภายในบริษัทและลูกค้าบน Azure โดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทเผชิญข้อจำกัดด้านความจุของศูนย์ข้อมูลเดิม

    Nebius ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในอัมสเตอร์ดัม และได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia และ Accel จะใช้เงินจากสัญญานี้ร่วมกับเงินกู้ระยะสั้นที่มีเงื่อนไขพิเศษจาก Microsoft เพื่อเร่งการก่อสร้างและขยายธุรกิจ AI cloud ของตน โดยคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2026 เป็นต้นไป

    ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนถึงการแข่งขันในตลาดโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่รุนแรงขึ้น โดยก่อนหน้านี้ Microsoft เคยพึ่งพา CoreWeave สำหรับ GPU capacity แต่ไม่ได้ทำสัญญาระยะยาวเช่นนี้ ทำให้ OpenAI เข้าซื้อสิทธิ์จาก CoreWeave ไปแทน

    รายละเอียดข้อตกลงระหว่าง Microsoft และ Nebius
    มูลค่าสัญญาเบื้องต้น $17.4 พันล้าน ขยายได้ถึง $19.4 พันล้าน
    ระยะเวลาสัญญายาวถึงปี 2031
    เริ่มต้นด้วยการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ใน Vineland, New Jersey
    ให้บริการ GPU infrastructure สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ

    จุดแข็งของ Nebius
    เป็นบริษัทที่แยกตัวจาก Yandex และมุ่งเน้นด้าน AI cloud infrastructure
    ได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia และ Accel
    มีศูนย์ R&D ในยุโรป อเมริกา และอิสราเอล
    มีแพลตฟอร์ม cloud ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับงาน AI เช่น training และ deployment

    ผลกระทบและการเติบโต
    หุ้นของ Nebius พุ่งขึ้นกว่า 40% หลังประกาศข้อตกลง
    รายได้ Q2 เพิ่มขึ้น 625% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
    Microsoft ได้รับความจุเพิ่มเติมเพื่อรองรับบริการ AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
    Nebius เตรียมขยายศูนย์ข้อมูลในหลายประเทศ เช่น ฟินแลนด์ อิสราเอล และอังกฤษ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Microsoft เผชิญข้อจำกัดด้านความจุของศูนย์ข้อมูลในปี 2025
    OpenAI ทำสัญญา multibillion กับ CoreWeave เพื่อ GPU capacity
    Nvidia คาดว่าโครงสร้างพื้นฐาน AI จะมีมูลค่ารวมถึง $3–4 พันล้านภายในปี 2030
    Microsoft กำลังสำรวจเทคโนโลยี optical computing เพื่อลดพลังงานในการประมวลผล AI

    https://www.techradar.com/pro/nebius-and-microsoft-to-collaborate-on-multi-billion-ai-infrastructure-agreement
    🌐 “Microsoft ผนึกกำลัง Nebius สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $17.4 พันล้าน — ขยายศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ รับยุค AI เต็มรูปแบบ” ในยุคที่ความต้องการด้านการประมวลผล AI พุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง Microsoft ได้ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่กับ Nebius บริษัทโครงสร้างพื้นฐาน AI สัญชาติเนเธอร์แลนด์ (อดีตส่วนหนึ่งของ Yandex) เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ในเมือง Vineland รัฐนิวเจอร์ซีย์ โดยมีมูลค่าสัญญาเบื้องต้นอยู่ที่ $17.4 พันล้าน และอาจขยายถึง $19.4 พันล้านหากมีการเพิ่มบริการหรือความจุในอนาคต ศูนย์ข้อมูลแห่งนี้จะให้บริการ GPU infrastructure สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่ง Microsoft ต้องการอย่างเร่งด่วนเพื่อรองรับการเติบโตของบริการ AI ทั้งภายในบริษัทและลูกค้าบน Azure โดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทเผชิญข้อจำกัดด้านความจุของศูนย์ข้อมูลเดิม Nebius ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในอัมสเตอร์ดัม และได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia และ Accel จะใช้เงินจากสัญญานี้ร่วมกับเงินกู้ระยะสั้นที่มีเงื่อนไขพิเศษจาก Microsoft เพื่อเร่งการก่อสร้างและขยายธุรกิจ AI cloud ของตน โดยคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2026 เป็นต้นไป ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนถึงการแข่งขันในตลาดโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่รุนแรงขึ้น โดยก่อนหน้านี้ Microsoft เคยพึ่งพา CoreWeave สำหรับ GPU capacity แต่ไม่ได้ทำสัญญาระยะยาวเช่นนี้ ทำให้ OpenAI เข้าซื้อสิทธิ์จาก CoreWeave ไปแทน ✅ รายละเอียดข้อตกลงระหว่าง Microsoft และ Nebius ➡️ มูลค่าสัญญาเบื้องต้น $17.4 พันล้าน ขยายได้ถึง $19.4 พันล้าน ➡️ ระยะเวลาสัญญายาวถึงปี 2031 ➡️ เริ่มต้นด้วยการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ใน Vineland, New Jersey ➡️ ให้บริการ GPU infrastructure สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ✅ จุดแข็งของ Nebius ➡️ เป็นบริษัทที่แยกตัวจาก Yandex และมุ่งเน้นด้าน AI cloud infrastructure ➡️ ได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia และ Accel ➡️ มีศูนย์ R&D ในยุโรป อเมริกา และอิสราเอล ➡️ มีแพลตฟอร์ม cloud ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับงาน AI เช่น training และ deployment ✅ ผลกระทบและการเติบโต ➡️ หุ้นของ Nebius พุ่งขึ้นกว่า 40% หลังประกาศข้อตกลง ➡️ รายได้ Q2 เพิ่มขึ้น 625% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ➡️ Microsoft ได้รับความจุเพิ่มเติมเพื่อรองรับบริการ AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ➡️ Nebius เตรียมขยายศูนย์ข้อมูลในหลายประเทศ เช่น ฟินแลนด์ อิสราเอล และอังกฤษ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Microsoft เผชิญข้อจำกัดด้านความจุของศูนย์ข้อมูลในปี 2025 ➡️ OpenAI ทำสัญญา multibillion กับ CoreWeave เพื่อ GPU capacity ➡️ Nvidia คาดว่าโครงสร้างพื้นฐาน AI จะมีมูลค่ารวมถึง $3–4 พันล้านภายในปี 2030 ➡️ Microsoft กำลังสำรวจเทคโนโลยี optical computing เพื่อลดพลังงานในการประมวลผล AI https://www.techradar.com/pro/nebius-and-microsoft-to-collaborate-on-multi-billion-ai-infrastructure-agreement
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • “Intel ยืนยันรีเฟรช Arrow Lake ปี 2026 ก่อนเปิดตัว Nova Lake ปลายปี — ยอมรับมีช่องโหว่ในตลาดเดสก์ท็อป แต่มั่นใจแผนระยะยาว”

    ในงานประชุมเทคโนโลยีของ Goldman Sachs ล่าสุด Intel ได้ออกมายืนยันแผนการเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ โดยจะเริ่มจากการรีเฟรช Arrow Lake ในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 ก่อนจะเปิดตัว Nova Lake ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมใหม่อย่างแท้จริงในช่วงปลายปีเดียวกัน และอาจลากยาวไปถึงต้นปี 2027

    John Pitzer รองประธานฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ของ Intel ยอมรับว่า “มีช่องโหว่ที่ต้องเติมเต็มในตลาดเดสก์ท็อป” โดยเฉพาะเมื่อ AMD ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้านประสิทธิภาพการเล่นเกมด้วย Ryzen 9000 และเตรียมเปิดตัว Zen 6 ภายในปีหน้า ซึ่งอาจทำให้ Intel ต้องเร่งสร้างความน่าสนใจให้กับ Arrow Lake รุ่นรีเฟรชให้มากขึ้น

    Arrow Lake Refresh จะยังคงใช้แพลตฟอร์ม LGA1851 เดิม และคาดว่าจะอยู่ในตระกูล Core Ultra Series 2 โดยมีการปรับปรุงด้าน binning และความเร็ว boost clock แต่ยังไม่เปลี่ยนแปลงจำนวนคอร์หลักมากนัก ส่วน Nova Lake จะใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA1954 และเป็น Core Ultra Series 4 ที่มาพร้อมสถาปัตยกรรมใหม่ทั้งหมด เช่น Coyote Cove P-core และ Arctic Wolf E-core รวมถึงการรองรับการประมวลผลแบบ multi-tile

    แม้จะมีข่าวลือว่า Nova Lake จะใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 2nm จาก TSMC แต่ Intel ก็ยังคงใช้ 18A node สำหรับบางรุ่น และเตรียมเปิดตัวเวอร์ชันโมบายในปี 2027 ตามหลังรุ่นเดสก์ท็อป

    แผนการเปิดตัวซีพียูของ Intel
    Arrow Lake Refresh เปิดตัวครึ่งแรกของปี 2026
    Nova Lake เปิดตัวปลายปี 2026 และต่อเนื่องถึงต้นปี 2027
    Arrow Lake ใช้แพลตฟอร์ม LGA1851 เดิม
    Nova Lake ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA1954 และสถาปัตยกรรมใหม่ทั้งหมด

    รายละเอียดทางเทคนิค
    Arrow Lake Refresh ปรับปรุง binning และ boost clock
    Nova Lake ใช้ Coyote Cove P-core และ Arctic Wolf E-core
    รองรับ multi-tile และกราฟิก Xe3 “Celestial”
    คาดว่าจะมีรุ่นสูงสุดถึง 52 คอร์ในเวอร์ชันเดสก์ท็อป

    สถานการณ์การแข่งขันกับ AMD
    AMD Ryzen 9000 ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้านเกม
    Zen 6 คาดว่าจะเปิดตัวก่อนสิ้นปี 2026
    AMD อาจเปิดตัวเวอร์ชันโมบายในปี 2027
    Intel ต้องเร่งสร้างความน่าสนใจให้กับ Arrow Lake Refresh

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Panther Lake จะเปิดตัวก่อน Arrow Lake Refresh สำหรับตลาดโน้ตบุ๊ก
    Nova Lake จะเป็นซีพียูรุ่นแรกของ Intel ที่ใช้ multi-compute die
    Intel อาจใช้ 14A node สำหรับลูกค้าภายนอกในอนาคต
    Core Ultra Series 3 จะใช้กับ Panther Lake และ Series 4 กับ Nova Lake

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-confirms-arrow-lake-refresh-set-for-2026-nova-lake-later-that-year-company-admits-there-are-holes-to-fill-on-the-desktop-front-says-it-is-confident-in-the-roadmap
    🧩 “Intel ยืนยันรีเฟรช Arrow Lake ปี 2026 ก่อนเปิดตัว Nova Lake ปลายปี — ยอมรับมีช่องโหว่ในตลาดเดสก์ท็อป แต่มั่นใจแผนระยะยาว” ในงานประชุมเทคโนโลยีของ Goldman Sachs ล่าสุด Intel ได้ออกมายืนยันแผนการเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ โดยจะเริ่มจากการรีเฟรช Arrow Lake ในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 ก่อนจะเปิดตัว Nova Lake ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมใหม่อย่างแท้จริงในช่วงปลายปีเดียวกัน และอาจลากยาวไปถึงต้นปี 2027 John Pitzer รองประธานฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ของ Intel ยอมรับว่า “มีช่องโหว่ที่ต้องเติมเต็มในตลาดเดสก์ท็อป” โดยเฉพาะเมื่อ AMD ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้านประสิทธิภาพการเล่นเกมด้วย Ryzen 9000 และเตรียมเปิดตัว Zen 6 ภายในปีหน้า ซึ่งอาจทำให้ Intel ต้องเร่งสร้างความน่าสนใจให้กับ Arrow Lake รุ่นรีเฟรชให้มากขึ้น Arrow Lake Refresh จะยังคงใช้แพลตฟอร์ม LGA1851 เดิม และคาดว่าจะอยู่ในตระกูล Core Ultra Series 2 โดยมีการปรับปรุงด้าน binning และความเร็ว boost clock แต่ยังไม่เปลี่ยนแปลงจำนวนคอร์หลักมากนัก ส่วน Nova Lake จะใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA1954 และเป็น Core Ultra Series 4 ที่มาพร้อมสถาปัตยกรรมใหม่ทั้งหมด เช่น Coyote Cove P-core และ Arctic Wolf E-core รวมถึงการรองรับการประมวลผลแบบ multi-tile แม้จะมีข่าวลือว่า Nova Lake จะใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 2nm จาก TSMC แต่ Intel ก็ยังคงใช้ 18A node สำหรับบางรุ่น และเตรียมเปิดตัวเวอร์ชันโมบายในปี 2027 ตามหลังรุ่นเดสก์ท็อป ✅ แผนการเปิดตัวซีพียูของ Intel ➡️ Arrow Lake Refresh เปิดตัวครึ่งแรกของปี 2026 ➡️ Nova Lake เปิดตัวปลายปี 2026 และต่อเนื่องถึงต้นปี 2027 ➡️ Arrow Lake ใช้แพลตฟอร์ม LGA1851 เดิม ➡️ Nova Lake ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA1954 และสถาปัตยกรรมใหม่ทั้งหมด ✅ รายละเอียดทางเทคนิค ➡️ Arrow Lake Refresh ปรับปรุง binning และ boost clock ➡️ Nova Lake ใช้ Coyote Cove P-core และ Arctic Wolf E-core ➡️ รองรับ multi-tile และกราฟิก Xe3 “Celestial” ➡️ คาดว่าจะมีรุ่นสูงสุดถึง 52 คอร์ในเวอร์ชันเดสก์ท็อป ✅ สถานการณ์การแข่งขันกับ AMD ➡️ AMD Ryzen 9000 ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้านเกม ➡️ Zen 6 คาดว่าจะเปิดตัวก่อนสิ้นปี 2026 ➡️ AMD อาจเปิดตัวเวอร์ชันโมบายในปี 2027 ➡️ Intel ต้องเร่งสร้างความน่าสนใจให้กับ Arrow Lake Refresh ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Panther Lake จะเปิดตัวก่อน Arrow Lake Refresh สำหรับตลาดโน้ตบุ๊ก ➡️ Nova Lake จะเป็นซีพียูรุ่นแรกของ Intel ที่ใช้ multi-compute die ➡️ Intel อาจใช้ 14A node สำหรับลูกค้าภายนอกในอนาคต ➡️ Core Ultra Series 3 จะใช้กับ Panther Lake และ Series 4 กับ Nova Lake https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-confirms-arrow-lake-refresh-set-for-2026-nova-lake-later-that-year-company-admits-there-are-holes-to-fill-on-the-desktop-front-says-it-is-confident-in-the-roadmap
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • “Patch Tuesday กันยายน 2025: ช่องโหว่ SAP NetWeaver และ Microsoft NTLM ที่ต้องรีบอุด — เมื่อการเจาะระบบไม่ต้องล็อกอินก็ล้มเซิร์ฟเวอร์ได้”

    ในรอบอัปเดตความปลอดภัยประจำเดือนกันยายน 2025 หรือที่เรียกว่า “Patch Tuesday” มีช่องโหว่ระดับวิกฤตหลายรายการที่ผู้ดูแลระบบต้องรีบจัดการ โดยเฉพาะใน SAP NetWeaver และ Microsoft Windows ซึ่งมีช่องโหว่ที่สามารถนำไปสู่การควบคุมระบบทั้งหมดได้ แม้ผู้โจมตีจะไม่ต้องล็อกอินก็ตาม.

    ช่องโหว่ที่ร้ายแรงที่สุดคือ CVE-2025-42944 ใน SAP NetWeaver AS Java ซึ่งเป็นช่องโหว่แบบ insecure deserialization ในโมดูล RMI-P4 ที่เปิดให้ผู้โจมตีส่ง payload ผ่านพอร์ตที่เปิดอยู่ และสามารถรันคำสั่งระบบปฏิบัติการได้ทันที — โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนเลยแม้แต่น้อย2. นักวิจัยจาก Onapsis เตือนว่า ช่องโหว่นี้คล้ายกับเทคนิคที่กลุ่มแฮกเกอร์ Scattered LAPSUS$ และ ShinyHunters เคยใช้มาก่อน และควรรีบอุดทันที

    อีกช่องโหว่ใน SAP ที่อันตรายไม่แพ้กันคือ CVE-2025-42922 ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ที่ไม่ใช่แอดมินสามารถอัปโหลดไฟล์อันตรายผ่าน HTTP และเมื่อไฟล์ถูกเรียกใช้งาน ก็สามารถควบคุมระบบได้เต็มรูปแบบ. แม้จะต้องล็อกอินก่อน แต่ก็ยังถือว่าเสี่ยงสูงมาก

    ฝั่ง Microsoft ก็มีช่องโหว่ที่ต้องจับตา โดยเฉพาะ CVE-2025-54918 ซึ่งเป็นช่องโหว่ในระบบ NTLM ที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตียกระดับสิทธิ์เป็น SYSTEM-level ได้ทั่วเครือข่าย และ Microsoft ยังระบุว่า “มีแนวโน้มจะถูกโจมตี” มากกว่าช่องโหว่อื่นๆ ในรอบนี้.

    นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ใน Hyper-V (CVE-2025-54098 และ CVE-2025-55224) ที่เปิดทางให้ผู้ใช้ใน guest VM หลบหนีออกมาและควบคุม host ได้ — เป็นภัยคุกคามต่อศูนย์ข้อมูลที่ใช้ virtualization อย่างหนัก

    ช่องโหว่ CVE-2025-55234 ใน SMB ก็สร้างความสับสน เพราะ Microsoft ระบุว่าเป็นช่องโหว่เพื่อ “ช่วยให้ลูกค้าประเมินความเข้ากันได้ก่อนปรับระบบ” มากกว่าจะเป็นช่องโหว่จริง ทำให้นักวิจัยบางคนตั้งคำถามว่า Microsoft ใช้ CVE เพื่อโปรโมตฟีเจอร์ใหม่หรือไม่

    ช่องโหว่สำคัญใน SAP NetWeaver
    CVE-2025-42944: ช่องโหว่ insecure deserialization ใน RMI-P4
    ไม่ต้องล็อกอินก็สามารถรันคำสั่ง OS ได้ทันที
    ควรใช้การกรองพอร์ต P4 ที่ระดับ ICM เป็นมาตรการชั่วคราว
    ช่องโหว่นี้คล้ายกับเทคนิคที่กลุ่ม Scattered LAPSUS$ เคยใช้

    ช่องโหว่ SAP อื่นที่ต้องอุด
    CVE-2025-42922: ช่องโหว่ file upload ผ่าน HTTP
    ผู้ใช้ทั่วไปสามารถอัปโหลดไฟล์อันตรายและรันได้
    CVE-2025-42958: ช่องโหว่ missing authentication check บน IBM i-series
    เปิดทางให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงเข้าถึงข้อมูลสำคัญ

    ช่องโหว่สำคัญใน Microsoft
    CVE-2025-54918: ช่องโหว่ NTLM ที่อาจยกระดับสิทธิ์เป็น SYSTEM
    Microsoft ระบุว่า “มีแนวโน้มถูกโจมตี” มากกว่าช่องโหว่อื่น
    CVE-2025-54098 และ CVE-2025-55224: ช่องโหว่ Hyper-V ที่เปิดทางให้ guest VM หลบหนี
    CVE-2025-55232: ช่องโหว่ใน HPC Pack ที่เปิดให้รันโค้ดผ่านเครือข่าย

    ช่องโหว่ SMB ที่สร้างข้อถกเถียง
    CVE-2025-55234: Microsoft ระบุว่าเป็นช่องโหว่เพื่อช่วยประเมินระบบก่อนปรับ
    นักวิจัยบางคนตั้งคำถามว่าเป็นการใช้ CVE เพื่อโปรโมตฟีเจอร์ใหม่
    การอัปเดตต้องทำหลายขั้นตอน เช่น audit, test compatibility, และ hardening

    https://www.csoonline.com/article/4054195/patch-tuesday-priorities-vulnerabilities-in-sap-netweaver-and-microsoft-ntlm-and-hyper-v.html
    🛠️ “Patch Tuesday กันยายน 2025: ช่องโหว่ SAP NetWeaver และ Microsoft NTLM ที่ต้องรีบอุด — เมื่อการเจาะระบบไม่ต้องล็อกอินก็ล้มเซิร์ฟเวอร์ได้” ในรอบอัปเดตความปลอดภัยประจำเดือนกันยายน 2025 หรือที่เรียกว่า “Patch Tuesday” มีช่องโหว่ระดับวิกฤตหลายรายการที่ผู้ดูแลระบบต้องรีบจัดการ โดยเฉพาะใน SAP NetWeaver และ Microsoft Windows ซึ่งมีช่องโหว่ที่สามารถนำไปสู่การควบคุมระบบทั้งหมดได้ แม้ผู้โจมตีจะไม่ต้องล็อกอินก็ตาม. ช่องโหว่ที่ร้ายแรงที่สุดคือ CVE-2025-42944 ใน SAP NetWeaver AS Java ซึ่งเป็นช่องโหว่แบบ insecure deserialization ในโมดูล RMI-P4 ที่เปิดให้ผู้โจมตีส่ง payload ผ่านพอร์ตที่เปิดอยู่ และสามารถรันคำสั่งระบบปฏิบัติการได้ทันที — โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนเลยแม้แต่น้อย2. นักวิจัยจาก Onapsis เตือนว่า ช่องโหว่นี้คล้ายกับเทคนิคที่กลุ่มแฮกเกอร์ Scattered LAPSUS$ และ ShinyHunters เคยใช้มาก่อน และควรรีบอุดทันที อีกช่องโหว่ใน SAP ที่อันตรายไม่แพ้กันคือ CVE-2025-42922 ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ที่ไม่ใช่แอดมินสามารถอัปโหลดไฟล์อันตรายผ่าน HTTP และเมื่อไฟล์ถูกเรียกใช้งาน ก็สามารถควบคุมระบบได้เต็มรูปแบบ. แม้จะต้องล็อกอินก่อน แต่ก็ยังถือว่าเสี่ยงสูงมาก ฝั่ง Microsoft ก็มีช่องโหว่ที่ต้องจับตา โดยเฉพาะ CVE-2025-54918 ซึ่งเป็นช่องโหว่ในระบบ NTLM ที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตียกระดับสิทธิ์เป็น SYSTEM-level ได้ทั่วเครือข่าย และ Microsoft ยังระบุว่า “มีแนวโน้มจะถูกโจมตี” มากกว่าช่องโหว่อื่นๆ ในรอบนี้. นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ใน Hyper-V (CVE-2025-54098 และ CVE-2025-55224) ที่เปิดทางให้ผู้ใช้ใน guest VM หลบหนีออกมาและควบคุม host ได้ — เป็นภัยคุกคามต่อศูนย์ข้อมูลที่ใช้ virtualization อย่างหนัก ช่องโหว่ CVE-2025-55234 ใน SMB ก็สร้างความสับสน เพราะ Microsoft ระบุว่าเป็นช่องโหว่เพื่อ “ช่วยให้ลูกค้าประเมินความเข้ากันได้ก่อนปรับระบบ” มากกว่าจะเป็นช่องโหว่จริง ทำให้นักวิจัยบางคนตั้งคำถามว่า Microsoft ใช้ CVE เพื่อโปรโมตฟีเจอร์ใหม่หรือไม่ ✅ ช่องโหว่สำคัญใน SAP NetWeaver ➡️ CVE-2025-42944: ช่องโหว่ insecure deserialization ใน RMI-P4 ➡️ ไม่ต้องล็อกอินก็สามารถรันคำสั่ง OS ได้ทันที ➡️ ควรใช้การกรองพอร์ต P4 ที่ระดับ ICM เป็นมาตรการชั่วคราว ➡️ ช่องโหว่นี้คล้ายกับเทคนิคที่กลุ่ม Scattered LAPSUS$ เคยใช้ ✅ ช่องโหว่ SAP อื่นที่ต้องอุด ➡️ CVE-2025-42922: ช่องโหว่ file upload ผ่าน HTTP ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปสามารถอัปโหลดไฟล์อันตรายและรันได้ ➡️ CVE-2025-42958: ช่องโหว่ missing authentication check บน IBM i-series ➡️ เปิดทางให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงเข้าถึงข้อมูลสำคัญ ✅ ช่องโหว่สำคัญใน Microsoft ➡️ CVE-2025-54918: ช่องโหว่ NTLM ที่อาจยกระดับสิทธิ์เป็น SYSTEM ➡️ Microsoft ระบุว่า “มีแนวโน้มถูกโจมตี” มากกว่าช่องโหว่อื่น ➡️ CVE-2025-54098 และ CVE-2025-55224: ช่องโหว่ Hyper-V ที่เปิดทางให้ guest VM หลบหนี ➡️ CVE-2025-55232: ช่องโหว่ใน HPC Pack ที่เปิดให้รันโค้ดผ่านเครือข่าย ✅ ช่องโหว่ SMB ที่สร้างข้อถกเถียง ➡️ CVE-2025-55234: Microsoft ระบุว่าเป็นช่องโหว่เพื่อช่วยประเมินระบบก่อนปรับ ➡️ นักวิจัยบางคนตั้งคำถามว่าเป็นการใช้ CVE เพื่อโปรโมตฟีเจอร์ใหม่ ➡️ การอัปเดตต้องทำหลายขั้นตอน เช่น audit, test compatibility, และ hardening https://www.csoonline.com/article/4054195/patch-tuesday-priorities-vulnerabilities-in-sap-netweaver-and-microsoft-ntlm-and-hyper-v.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Patch Tuesday priorities: Vulnerabilities in SAP NetWeaver and Microsoft NTLM and Hyper-V
    NetWeaver AS Java hole, rated severity 10, allows an unauthenticated attacker to execute arbitrary OS commands, and NTLM bug is rated likely for exploitation, warn security vendors.
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • ถุงพีพีหนาตราปู ใช้บรรจุอาหารร้อน ถุงหนา ใส ทำให้อาหารดูดี ดูน่ารับประทาน อาหารกรอบ ก็จะช่วยให้ไม่แตก … คุ้มค่ากว่านี้ จะหาที่ไหน … ใช้ถุงดี = กำไรแฝงแบบไม่รู้ตัว มาค่ะ~ ถุง PP หนาแบบนี้ ขายดีสุดในร้าน!วันนี้เปิดขาย 2 ขนาดที่ลูกค้าซื้อซ้ำมากที่สุด เหมาะมากสำหรับใส่อาหาร ใส่เค้ก หรือของชำร่วย ขนมจัดเบรกต่าง ๆตัวถุงใส แข็งแรง ก้นไม่ขาดง่าย วางตั้งได้ ไม่ย้วย ไม่ยวบใครทำขนมส่งลูกค้า หรือขายหน้าร้าน ต้องมีติดไว้เลยค่ะ!รีบเลยนะคะ~ ราคาน่ารัก คุณภาพเกินราคา ขายดีมากมีขายที่ ร้านกินจุ๊บจิ๊บเท่านั้นค่าา~⭕️ กดดูรายละเอียดสินค้าถุง PP ร้อน หนา ตราปูใน TikTok https://vt.tiktok.com/ZSkKMNv5n/ถุง PP ร้อน หนา ตราปู ใน Shopee https://th.shp.ee/zRdVepM https://th.shp.ee/T8nPT9Tเลือกชมสินค้าอื่นๆของเราได้ทั้งสองช่องทาง1. Shopee : shopee.co.th/kinjubjibshop2. TikTok : https://www.tiktok.com/@kinjubjibshop?_t=ZS-8txYHQWejyM&_เลือกช้อปได้ตามความชอบและคูปองของแต่ละช่องทางได้เลยค่ะ#ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #ถุงตราปู #ถุงหนา #ถุงร้อน #ถุงใส่กับข้าว #ถุงppหนา #ถุงพลาสติก #ถุงร้อน#ถุงเย็น #นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #ปลาจิ๊งจ๊างไม่งา #ปลาเกล็ดขาวอบกรอบ #กุนเชียงปลา #กุนเชียงหมู #ของอร่อยต้องลอง #อร่อยดีบอกต่อ #อร่อยกี่โมง #คือจึ้งมาก#นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #ปลาจิ๊งจ๊างไม่งา #ปลาเกล็ดขาวอบกรอบ #กุนเชียงปลา #กุนเชียงหมู #ของอร่อยต้องลอง #อร่อยดีบอกต่อ #อร่อยกี่โมง #ปลาซิวกรอบ #ปลากระพงทุบ #ปลาข้างเหลือง #หอยลายอบกรอบ #ปลาข้างเหลือง #ปลาซิวทอดกรอบ #หมึกกระตอย #หมึกกะตอยตากแห้ง
    ถุงพีพีหนาตราปู ใช้บรรจุอาหารร้อน ถุงหนา ใส ทำให้อาหารดูดี ดูน่ารับประทาน อาหารกรอบ ก็จะช่วยให้ไม่แตก … คุ้มค่ากว่านี้ จะหาที่ไหน … ใช้ถุงดี = กำไรแฝงแบบไม่รู้ตัว มาค่ะ~ ถุง PP หนาแบบนี้ ขายดีสุดในร้าน!วันนี้เปิดขาย 2 ขนาดที่ลูกค้าซื้อซ้ำมากที่สุด 📦เหมาะมากสำหรับใส่อาหาร ใส่เค้ก หรือของชำร่วย ขนมจัดเบรกต่าง ๆตัวถุงใส แข็งแรง ก้นไม่ขาดง่าย วางตั้งได้ ไม่ย้วย ไม่ยวบใครทำขนมส่งลูกค้า หรือขายหน้าร้าน ต้องมีติดไว้เลยค่ะ!รีบเลยนะคะ~ ราคาน่ารัก คุณภาพเกินราคา ขายดีมากมีขายที่ ร้านกินจุ๊บจิ๊บเท่านั้นค่าา~🌶️♨️⭕️ กดดูรายละเอียดสินค้าถุง PP ร้อน หนา ตราปูใน TikTok https://vt.tiktok.com/ZSkKMNv5n/ถุง PP ร้อน หนา ตราปู ใน Shopee https://th.shp.ee/zRdVepM https://th.shp.ee/T8nPT9Tเลือกชมสินค้าอื่นๆของเราได้ทั้งสองช่องทาง1. Shopee : shopee.co.th/kinjubjibshop2. TikTok : https://www.tiktok.com/@kinjubjibshop?_t=ZS-8txYHQWejyM&_เลือกช้อปได้ตามความชอบและคูปองของแต่ละช่องทางได้เลยค่ะ#ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #ถุงตราปู #ถุงหนา #ถุงร้อน #ถุงใส่กับข้าว #ถุงppหนา #ถุงพลาสติก #ถุงร้อน#ถุงเย็น #นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #ปลาจิ๊งจ๊างไม่งา #ปลาเกล็ดขาวอบกรอบ #กุนเชียงปลา #กุนเชียงหมู #ของอร่อยต้องลอง #อร่อยดีบอกต่อ #อร่อยกี่โมง #คือจึ้งมาก#นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #ปลาจิ๊งจ๊างไม่งา #ปลาเกล็ดขาวอบกรอบ #กุนเชียงปลา #กุนเชียงหมู #ของอร่อยต้องลอง #อร่อยดีบอกต่อ #อร่อยกี่โมง #ปลาซิวกรอบ #ปลากระพงทุบ #ปลาข้างเหลือง #หอยลายอบกรอบ #ปลาข้างเหลือง #ปลาซิวทอดกรอบ #หมึกกระตอย #หมึกกะตอยตากแห้ง
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 0 Reviews
  • “ศึกขายคีย์ Windows มือสองเดือด! Microsoft สู้คดีในศาลอังกฤษ อาจทำให้ตลาดคีย์ราคาถูกทั่วยุโรปพังทั้งระบบ”

    ถ้าคุณเคยซื้อคีย์ Windows หรือ Office ราคาถูกจากเว็บรีเซลเลอร์ในยุโรป — ตอนนี้สิ่งนั้นอาจกลายเป็นอดีต เพราะ Microsoft กำลังต่อสู้คดีครั้งสำคัญกับบริษัท ValueLicensing ในศาล Competition Appeal Tribunal ของสหราชอาณาจักร ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงกฎการขายซอฟต์แวร์มือสองทั้งทวีป

    คดีนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2021 เมื่อ ValueLicensing ฟ้อง Microsoft มูลค่า 270 ล้านปอนด์ โดยกล่าวหาว่า Microsoft ใช้กลยุทธ์ผูกขาด เช่น เสนอส่วนลดให้ลูกค้าองค์กรแลกกับการยกเลิกสิทธิ์ขายต่อของไลเซนส์แบบถาวร ทำให้ตลาดซอฟต์แวร์มือสองถูกบีบจนแทบหายไป

    แต่ในปี 2025 Microsoft เปลี่ยนแนวทางการป้องกันจาก “เราไม่ได้ทำ” เป็น “ตลาดนี้ไม่ควรมีตั้งแต่แรก” โดยอ้างว่ากฎหมายการขายต่อซอฟต์แวร์ในยุโรป (EU Software Directive) ใช้ได้เฉพาะกับ “โปรแกรม” เท่านั้น ไม่รวมส่วนที่ไม่ใช่โปรแกรม เช่น GUI หรือองค์ประกอบอื่นที่ยังอยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ — ถ้าศาลเห็นด้วย ตลาดรีเซลคีย์ทั้งหมดอาจกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

    การพิจารณาคดีเบื้องต้นเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 9 กันยายน และจะใช้เวลาสามวันเพื่อวินิจฉัยประเด็นลิขสิทธิ์ก่อนเข้าสู่การไต่สวนเต็มรูปแบบในปี 2026 ซึ่งจะเป็นการตัดสินว่าการขายคีย์มือสองในยุโรปนั้น “ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่”

    ผลกระทบอาจรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงที่ Windows 10 กำลังจะหมดการสนับสนุนในเดือนหน้า และผู้ใช้จำนวนมากต้องอัปเกรด — ถ้าคีย์ราคาถูกหายไป ราคาค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดอาจพุ่งขึ้นทันที

    ข้อมูลจากคดี Microsoft vs ValueLicensing
    คดีเริ่มต้นในปี 2021 ด้วยข้อกล่าวหาว่า Microsoft ผูกขาดตลาดซอฟต์แวร์มือสอง
    มูลค่าความเสียหายที่ ValueLicensing อ้างคือ 270 ล้านปอนด์
    Microsoft เสนอส่วนลดให้ลูกค้าองค์กรแลกกับการยกเลิกสิทธิ์ขายต่อ
    การพิจารณาคดีเบื้องต้นเริ่มวันที่ 9 กันยายน 2025

    ประเด็นทางกฎหมายที่ถกเถียง
    Microsoft อ้างว่ากฎหมาย EU Software Directive ใช้ได้เฉพาะ “โปรแกรม”
    ส่วนที่ไม่ใช่โปรแกรม เช่น GUI ยังอยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์
    ถ้าศาลเห็นด้วย ตลาดรีเซลคีย์อาจกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
    การตีความนี้อาจส่งผลต่อการขายซอฟต์แวร์มือสองทั่วทั้งยุโรปและสหราชอาณาจักร

    ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
    คีย์ราคาถูกเป็นที่นิยมในกลุ่ม DIY และผู้ประกอบคอมพิวเตอร์
    การอัปเกรดจาก Windows 10 อาจมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
    ผู้ใช้ที่ไม่ต้องการ Microsoft 365 อาจไม่มีทางเลือกอื่น
    ตลาดรีเซลอาจหายไปทั้งระบบ หากคำตัดสินเข้าข้าง Microsoft

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    คดีนี้อยู่ในศาล Competition Appeal Tribunal ของสหราชอาณาจักร
    ValueLicensing เคยกล่าวว่า “ถ้า Microsoft ชนะ ตลาดนี้ไม่ควรมีตั้งแต่แรก”
    Microsoft เคยใช้แนวทาง “เราไม่ได้ทำ” ก่อนเปลี่ยนเป็น “ตลาดนี้ผิดกฎหมาย”
    คดีเต็มรูปแบบจะเริ่มในปี 2026

    https://www.tomshardware.com/software/microsoft-resale-fight-heads-to-uk-court
    ⚖️ “ศึกขายคีย์ Windows มือสองเดือด! Microsoft สู้คดีในศาลอังกฤษ อาจทำให้ตลาดคีย์ราคาถูกทั่วยุโรปพังทั้งระบบ” ถ้าคุณเคยซื้อคีย์ Windows หรือ Office ราคาถูกจากเว็บรีเซลเลอร์ในยุโรป — ตอนนี้สิ่งนั้นอาจกลายเป็นอดีต เพราะ Microsoft กำลังต่อสู้คดีครั้งสำคัญกับบริษัท ValueLicensing ในศาล Competition Appeal Tribunal ของสหราชอาณาจักร ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงกฎการขายซอฟต์แวร์มือสองทั้งทวีป คดีนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2021 เมื่อ ValueLicensing ฟ้อง Microsoft มูลค่า 270 ล้านปอนด์ โดยกล่าวหาว่า Microsoft ใช้กลยุทธ์ผูกขาด เช่น เสนอส่วนลดให้ลูกค้าองค์กรแลกกับการยกเลิกสิทธิ์ขายต่อของไลเซนส์แบบถาวร ทำให้ตลาดซอฟต์แวร์มือสองถูกบีบจนแทบหายไป แต่ในปี 2025 Microsoft เปลี่ยนแนวทางการป้องกันจาก “เราไม่ได้ทำ” เป็น “ตลาดนี้ไม่ควรมีตั้งแต่แรก” โดยอ้างว่ากฎหมายการขายต่อซอฟต์แวร์ในยุโรป (EU Software Directive) ใช้ได้เฉพาะกับ “โปรแกรม” เท่านั้น ไม่รวมส่วนที่ไม่ใช่โปรแกรม เช่น GUI หรือองค์ประกอบอื่นที่ยังอยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ — ถ้าศาลเห็นด้วย ตลาดรีเซลคีย์ทั้งหมดอาจกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย การพิจารณาคดีเบื้องต้นเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 9 กันยายน และจะใช้เวลาสามวันเพื่อวินิจฉัยประเด็นลิขสิทธิ์ก่อนเข้าสู่การไต่สวนเต็มรูปแบบในปี 2026 ซึ่งจะเป็นการตัดสินว่าการขายคีย์มือสองในยุโรปนั้น “ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่” ผลกระทบอาจรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงที่ Windows 10 กำลังจะหมดการสนับสนุนในเดือนหน้า และผู้ใช้จำนวนมากต้องอัปเกรด — ถ้าคีย์ราคาถูกหายไป ราคาค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดอาจพุ่งขึ้นทันที ✅ ข้อมูลจากคดี Microsoft vs ValueLicensing ➡️ คดีเริ่มต้นในปี 2021 ด้วยข้อกล่าวหาว่า Microsoft ผูกขาดตลาดซอฟต์แวร์มือสอง ➡️ มูลค่าความเสียหายที่ ValueLicensing อ้างคือ 270 ล้านปอนด์ ➡️ Microsoft เสนอส่วนลดให้ลูกค้าองค์กรแลกกับการยกเลิกสิทธิ์ขายต่อ ➡️ การพิจารณาคดีเบื้องต้นเริ่มวันที่ 9 กันยายน 2025 ✅ ประเด็นทางกฎหมายที่ถกเถียง ➡️ Microsoft อ้างว่ากฎหมาย EU Software Directive ใช้ได้เฉพาะ “โปรแกรม” ➡️ ส่วนที่ไม่ใช่โปรแกรม เช่น GUI ยังอยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ ➡️ ถ้าศาลเห็นด้วย ตลาดรีเซลคีย์อาจกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ➡️ การตีความนี้อาจส่งผลต่อการขายซอฟต์แวร์มือสองทั่วทั้งยุโรปและสหราชอาณาจักร ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน ➡️ คีย์ราคาถูกเป็นที่นิยมในกลุ่ม DIY และผู้ประกอบคอมพิวเตอร์ ➡️ การอัปเกรดจาก Windows 10 อาจมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ➡️ ผู้ใช้ที่ไม่ต้องการ Microsoft 365 อาจไม่มีทางเลือกอื่น ➡️ ตลาดรีเซลอาจหายไปทั้งระบบ หากคำตัดสินเข้าข้าง Microsoft ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ คดีนี้อยู่ในศาล Competition Appeal Tribunal ของสหราชอาณาจักร ➡️ ValueLicensing เคยกล่าวว่า “ถ้า Microsoft ชนะ ตลาดนี้ไม่ควรมีตั้งแต่แรก” ➡️ Microsoft เคยใช้แนวทาง “เราไม่ได้ทำ” ก่อนเปลี่ยนเป็น “ตลาดนี้ผิดกฎหมาย” ➡️ คดีเต็มรูปแบบจะเริ่มในปี 2026 https://www.tomshardware.com/software/microsoft-resale-fight-heads-to-uk-court
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Microsoft key resale fight heads to court in the UK — case potentially puts cheap Windows keys at risk
    Tribunal weighs whether parts of Windows and Office fall outside Europe’s resale rules.
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • “Claude สร้างไฟล์ได้แล้ว! จากแค่ตอบคำถาม สู่ผู้ช่วยที่จัดการเอกสาร Excel, PDF, PowerPoint ได้ครบวงจร — แต่ต้องระวังเรื่องข้อมูลส่วนตัว”

    ถ้าคุณเคยใช้ Claude เพื่อถามคำถามหรือให้ช่วยเขียนข้อความ ตอนนี้คุณสามารถก้าวไปอีกขั้นได้แล้ว — เพราะ Claude ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ให้ผู้ใช้ “สร้างและแก้ไขไฟล์จริง” ได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็น Excel, Word, PowerPoint หรือ PDF ผ่าน Claude.ai และแอปเดสก์ท็อป

    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานในรูปแบบพรีวิวสำหรับผู้ใช้แผน Max, Team และ Enterprise ส่วนผู้ใช้ Pro จะได้รับสิทธิ์ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยผู้ใช้สามารถอัปโหลดข้อมูลดิบหรืออธิบายสิ่งที่ต้องการ แล้ว Claude จะสร้างไฟล์ที่มีสูตรคำนวณ, แผนภูมิ, การวิเคราะห์ และเนื้อหาที่จัดรูปแบบเรียบร้อยให้ทันที

    ตัวอย่างเช่น คุณสามารถให้ Claude สร้างโมเดลการเงินที่มีการวิเคราะห์สถานการณ์, เทมเพลตงบประมาณที่มีการคำนวณความคลาดเคลื่อน, หรือสไลด์นำเสนอจากรายงาน PDF ได้ในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องเขียนโค้ดหรือมีความรู้ด้านสถิติ

    เบื้องหลังคือ Claude ได้รับสิทธิ์เข้าถึง “สภาพแวดล้อมคอมพิวเตอร์ส่วนตัว” ที่สามารถเขียนโค้ดและรันโปรแกรมเพื่อสร้างไฟล์ตามคำสั่งของผู้ใช้ — เปลี่ยน Claude จากผู้ให้คำปรึกษาเป็นผู้ร่วมทำงานที่ลงมือจริง

    อย่างไรก็ตาม Anthropic เตือนว่า ฟีเจอร์นี้ทำให้ Claude เข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างและวิเคราะห์ไฟล์ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล ผู้ใช้ควรตรวจสอบการสนทนาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อทำงานกับข้อมูลที่อ่อนไหว

    ฟีเจอร์ใหม่ของ Claude
    สร้างและแก้ไขไฟล์ Excel, Word, PowerPoint และ PDF ได้โดยตรง
    ใช้งานผ่าน Claude.ai และแอปเดสก์ท็อป
    รองรับการอัปโหลดข้อมูลดิบหรือคำอธิบายจากผู้ใช้
    สร้างไฟล์ที่มีสูตร, แผนภูมิ, การวิเคราะห์ และเนื้อหาจัดรูปแบบครบ

    การใช้งานเบื้องต้น
    เปิดใช้งานฟีเจอร์ “Upgraded file creation and analysis” ใน Settings > Features > Experimental
    อัปโหลดไฟล์หรืออธิบายสิ่งที่ต้องการผ่านแชต
    ดาวน์โหลดไฟล์ที่เสร็จแล้ว หรือบันทึกลง Google Drive ได้ทันที
    เริ่มจากงานง่าย เช่น การทำความสะอาดข้อมูล ก่อนขยับไปสู่โมเดลการเงินหรือการวิเคราะห์เชิงลึก

    ความสามารถเบื้องหลัง
    Claude ใช้สภาพแวดล้อมคอมพิวเตอร์ส่วนตัวในการเขียนโค้ดและรันโปรแกรม
    ทำให้สามารถสร้างไฟล์และวิเคราะห์ข้อมูลได้หลายขั้นตอน
    เปลี่ยน Claude จากผู้ให้คำแนะนำเป็นผู้ร่วมทำงานที่ลงมือจริง
    ลดช่องว่างระหว่าง “ไอเดีย” กับ “การลงมือทำ” ให้เหลือแค่การสนทนา

    ตัวอย่างการใช้งาน
    สร้างโมเดลการเงิน, เทมเพลตงบประมาณ, ตัวติดตามโครงการ
    แปลง PDF เป็น PowerPoint, โน้ตประชุมเป็นเอกสาร, ใบแจ้งหนี้เป็น Excel
    วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า, พยากรณ์ยอดขาย, ติดตามงบประมาณ

    https://www.anthropic.com/news/create-files
    📂 “Claude สร้างไฟล์ได้แล้ว! จากแค่ตอบคำถาม สู่ผู้ช่วยที่จัดการเอกสาร Excel, PDF, PowerPoint ได้ครบวงจร — แต่ต้องระวังเรื่องข้อมูลส่วนตัว” ถ้าคุณเคยใช้ Claude เพื่อถามคำถามหรือให้ช่วยเขียนข้อความ ตอนนี้คุณสามารถก้าวไปอีกขั้นได้แล้ว — เพราะ Claude ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ให้ผู้ใช้ “สร้างและแก้ไขไฟล์จริง” ได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็น Excel, Word, PowerPoint หรือ PDF ผ่าน Claude.ai และแอปเดสก์ท็อป ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานในรูปแบบพรีวิวสำหรับผู้ใช้แผน Max, Team และ Enterprise ส่วนผู้ใช้ Pro จะได้รับสิทธิ์ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยผู้ใช้สามารถอัปโหลดข้อมูลดิบหรืออธิบายสิ่งที่ต้องการ แล้ว Claude จะสร้างไฟล์ที่มีสูตรคำนวณ, แผนภูมิ, การวิเคราะห์ และเนื้อหาที่จัดรูปแบบเรียบร้อยให้ทันที ตัวอย่างเช่น คุณสามารถให้ Claude สร้างโมเดลการเงินที่มีการวิเคราะห์สถานการณ์, เทมเพลตงบประมาณที่มีการคำนวณความคลาดเคลื่อน, หรือสไลด์นำเสนอจากรายงาน PDF ได้ในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องเขียนโค้ดหรือมีความรู้ด้านสถิติ เบื้องหลังคือ Claude ได้รับสิทธิ์เข้าถึง “สภาพแวดล้อมคอมพิวเตอร์ส่วนตัว” ที่สามารถเขียนโค้ดและรันโปรแกรมเพื่อสร้างไฟล์ตามคำสั่งของผู้ใช้ — เปลี่ยน Claude จากผู้ให้คำปรึกษาเป็นผู้ร่วมทำงานที่ลงมือจริง อย่างไรก็ตาม Anthropic เตือนว่า ฟีเจอร์นี้ทำให้ Claude เข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างและวิเคราะห์ไฟล์ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล ผู้ใช้ควรตรวจสอบการสนทนาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อทำงานกับข้อมูลที่อ่อนไหว ✅ ฟีเจอร์ใหม่ของ Claude ➡️ สร้างและแก้ไขไฟล์ Excel, Word, PowerPoint และ PDF ได้โดยตรง ➡️ ใช้งานผ่าน Claude.ai และแอปเดสก์ท็อป ➡️ รองรับการอัปโหลดข้อมูลดิบหรือคำอธิบายจากผู้ใช้ ➡️ สร้างไฟล์ที่มีสูตร, แผนภูมิ, การวิเคราะห์ และเนื้อหาจัดรูปแบบครบ ✅ การใช้งานเบื้องต้น ➡️ เปิดใช้งานฟีเจอร์ “Upgraded file creation and analysis” ใน Settings > Features > Experimental ➡️ อัปโหลดไฟล์หรืออธิบายสิ่งที่ต้องการผ่านแชต ➡️ ดาวน์โหลดไฟล์ที่เสร็จแล้ว หรือบันทึกลง Google Drive ได้ทันที ➡️ เริ่มจากงานง่าย เช่น การทำความสะอาดข้อมูล ก่อนขยับไปสู่โมเดลการเงินหรือการวิเคราะห์เชิงลึก ✅ ความสามารถเบื้องหลัง ➡️ Claude ใช้สภาพแวดล้อมคอมพิวเตอร์ส่วนตัวในการเขียนโค้ดและรันโปรแกรม ➡️ ทำให้สามารถสร้างไฟล์และวิเคราะห์ข้อมูลได้หลายขั้นตอน ➡️ เปลี่ยน Claude จากผู้ให้คำแนะนำเป็นผู้ร่วมทำงานที่ลงมือจริง ➡️ ลดช่องว่างระหว่าง “ไอเดีย” กับ “การลงมือทำ” ให้เหลือแค่การสนทนา ✅ ตัวอย่างการใช้งาน ➡️ สร้างโมเดลการเงิน, เทมเพลตงบประมาณ, ตัวติดตามโครงการ ➡️ แปลง PDF เป็น PowerPoint, โน้ตประชุมเป็นเอกสาร, ใบแจ้งหนี้เป็น Excel ➡️ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า, พยากรณ์ยอดขาย, ติดตามงบประมาณ https://www.anthropic.com/news/create-files
    WWW.ANTHROPIC.COM
    Claude can now create and use files
    Claude can now create and edit Excel spreadsheets, documents, PowerPoint slide decks, and PDFs directly in Claude.ai and the desktop app.
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • “Intel 14A: เทคโนโลยีสุดล้ำที่แรงกว่า 18A แต่แพงกว่า เพราะใช้เครื่องพิมพ์ชิประดับนาโนรุ่นใหม่จาก ASML!”

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังออกแบบชิปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและประหยัดพลังงานที่สุดในโลก แล้ว Intel บอกว่า “เรามี 14A node ที่แรงกว่า 18A ถึง 20% และกินไฟน้อยลงถึง 35%” — ฟังดูน่าสนใจใช่ไหม? แต่เบื้องหลังนั้นคือค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว เพราะต้องใช้เครื่องพิมพ์ชิปรุ่นใหม่ที่เรียกว่า High-NA EUV จาก ASML ซึ่งมีราคาสูงถึง $380 ล้านต่อเครื่อง!

    David Zinsner, CFO ของ Intel ยืนยันในงานประชุม Citi’s Global TMT ว่า 14A จะมีต้นทุนต่อแผ่นเวเฟอร์สูงกว่า 18A อย่างแน่นอน แม้จะไม่สูงมากในแง่การลงทุนรวม แต่เครื่องพิมพ์ Twinscan EXE:5200B ที่ใช้เลนส์ขนาด 0.55 NA (Numerical Aperture) ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยพุ่งขึ้น

    Intel 14A ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่หลายอย่าง เช่น RibbonFET 2 ที่เป็นโครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ gate-all-around รุ่นปรับปรุง และ PowerDirect ที่เป็นระบบส่งพลังงานจากด้านหลังของชิปโดยตรง ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนของการเดินสายไฟและเพิ่มประสิทธิภาพ

    นอกจากนี้ยังมี Turbo Cells ที่ช่วยเพิ่มความเร็วของ CPU และ GPU โดยไม่ต้องเพิ่มพื้นที่หรือพลังงานมากนัก — ทั้งหมดนี้ทำให้ 14A เป็น node ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทั้งผลิตภัณฑ์ของ Intel และลูกค้าภายนอกในอนาคต

    แต่ปัญหาคือ หาก Intel ไม่สามารถหาลูกค้าภายนอกมาใช้ 14A ได้ ก็อาจไม่คุ้มค่าการลงทุน และอาจต้องชะลอหรือยกเลิก node นี้ไปเลย ซึ่งจะส่งผลต่อแผนการฟื้นตัวของ Intel Foundry ที่กำลังพยายามกลับมาเป็นผู้นำในตลาดโลก

    Intel 14A node คืออะไร
    เป็นกระบวนการผลิตชิประดับ 1.4nm ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด
    ใช้เทคโนโลยี RibbonFET 2 และ PowerDirect เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    มี Turbo Cells ที่ช่วยเพิ่มความเร็วโดยไม่เพิ่มพื้นที่หรือพลังงาน
    ให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีกว่า 18A ถึง 15–20% และลดการใช้พลังงานได้ 25–35%

    เครื่องมือที่ใช้ใน 14A
    ใช้เครื่องพิมพ์ชิป High-NA EUV จาก ASML รุ่น Twinscan EXE:5200B
    ความละเอียดสูงถึง 8nm ต่อการยิงแสงครั้งเดียว
    ลดความจำเป็นในการใช้ multi-patterning ซึ่งช่วยเพิ่ม yield
    เครื่องมีราคาสูงถึง $380 ล้านต่อเครื่อง เทียบกับ $235 ล้านของรุ่นเดิม

    บริบททางธุรกิจและการลงทุน
    Intel ต้องการลูกค้าภายนอกเพื่อให้คุ้มค่าการลงทุนใน 14A
    หากไม่มีลูกค้ารายใหญ่ อาจต้องชะลอหรือยกเลิก node นี้
    Intel Foundry ต้องรักษาสัดส่วนการถือหุ้น 51% ตามข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ
    การพัฒนา 14A ใช้งบวิจัยหลายพันล้านดอลลาร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    14A-E เป็นเวอร์ชันปรับปรุงของ 14A ที่เพิ่มประสิทธิภาพอีก 5%
    Samsung และ TSMC กำลังพัฒนา 2nm node เพื่อแข่งขันกับ Intel
    Intel ได้รับสัญญาผลิตชิป 18A มูลค่า $15 พันล้านจาก Microsoft1
    High-NA EUV ยังมีข้อจำกัดด้านขนาด field ทำให้ต้องปรับการออกแบบชิปใหม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-cfo-confirms-that-14a-will-be-more-expensive-to-use-than-18a-intel-expects-14a-fabrication-process-to-offer-15-20-percent-better-performance-per-watt-or-25-35-percent-lower-power-consumption-compared-to-18a
    ⚙️ “Intel 14A: เทคโนโลยีสุดล้ำที่แรงกว่า 18A แต่แพงกว่า เพราะใช้เครื่องพิมพ์ชิประดับนาโนรุ่นใหม่จาก ASML!” ลองนึกภาพว่าคุณกำลังออกแบบชิปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและประหยัดพลังงานที่สุดในโลก แล้ว Intel บอกว่า “เรามี 14A node ที่แรงกว่า 18A ถึง 20% และกินไฟน้อยลงถึง 35%” — ฟังดูน่าสนใจใช่ไหม? แต่เบื้องหลังนั้นคือค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว เพราะต้องใช้เครื่องพิมพ์ชิปรุ่นใหม่ที่เรียกว่า High-NA EUV จาก ASML ซึ่งมีราคาสูงถึง $380 ล้านต่อเครื่อง! David Zinsner, CFO ของ Intel ยืนยันในงานประชุม Citi’s Global TMT ว่า 14A จะมีต้นทุนต่อแผ่นเวเฟอร์สูงกว่า 18A อย่างแน่นอน แม้จะไม่สูงมากในแง่การลงทุนรวม แต่เครื่องพิมพ์ Twinscan EXE:5200B ที่ใช้เลนส์ขนาด 0.55 NA (Numerical Aperture) ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยพุ่งขึ้น Intel 14A ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่หลายอย่าง เช่น RibbonFET 2 ที่เป็นโครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ gate-all-around รุ่นปรับปรุง และ PowerDirect ที่เป็นระบบส่งพลังงานจากด้านหลังของชิปโดยตรง ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนของการเดินสายไฟและเพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมี Turbo Cells ที่ช่วยเพิ่มความเร็วของ CPU และ GPU โดยไม่ต้องเพิ่มพื้นที่หรือพลังงานมากนัก — ทั้งหมดนี้ทำให้ 14A เป็น node ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทั้งผลิตภัณฑ์ของ Intel และลูกค้าภายนอกในอนาคต แต่ปัญหาคือ หาก Intel ไม่สามารถหาลูกค้าภายนอกมาใช้ 14A ได้ ก็อาจไม่คุ้มค่าการลงทุน และอาจต้องชะลอหรือยกเลิก node นี้ไปเลย ซึ่งจะส่งผลต่อแผนการฟื้นตัวของ Intel Foundry ที่กำลังพยายามกลับมาเป็นผู้นำในตลาดโลก ✅ Intel 14A node คืออะไร ➡️ เป็นกระบวนการผลิตชิประดับ 1.4nm ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด ➡️ ใช้เทคโนโลยี RibbonFET 2 และ PowerDirect เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ มี Turbo Cells ที่ช่วยเพิ่มความเร็วโดยไม่เพิ่มพื้นที่หรือพลังงาน ➡️ ให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีกว่า 18A ถึง 15–20% และลดการใช้พลังงานได้ 25–35% ✅ เครื่องมือที่ใช้ใน 14A ➡️ ใช้เครื่องพิมพ์ชิป High-NA EUV จาก ASML รุ่น Twinscan EXE:5200B ➡️ ความละเอียดสูงถึง 8nm ต่อการยิงแสงครั้งเดียว ➡️ ลดความจำเป็นในการใช้ multi-patterning ซึ่งช่วยเพิ่ม yield ➡️ เครื่องมีราคาสูงถึง $380 ล้านต่อเครื่อง เทียบกับ $235 ล้านของรุ่นเดิม ✅ บริบททางธุรกิจและการลงทุน ➡️ Intel ต้องการลูกค้าภายนอกเพื่อให้คุ้มค่าการลงทุนใน 14A ➡️ หากไม่มีลูกค้ารายใหญ่ อาจต้องชะลอหรือยกเลิก node นี้ ➡️ Intel Foundry ต้องรักษาสัดส่วนการถือหุ้น 51% ตามข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ การพัฒนา 14A ใช้งบวิจัยหลายพันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 14A-E เป็นเวอร์ชันปรับปรุงของ 14A ที่เพิ่มประสิทธิภาพอีก 5% ➡️ Samsung และ TSMC กำลังพัฒนา 2nm node เพื่อแข่งขันกับ Intel ➡️ Intel ได้รับสัญญาผลิตชิป 18A มูลค่า $15 พันล้านจาก Microsoft1 ➡️ High-NA EUV ยังมีข้อจำกัดด้านขนาด field ทำให้ต้องปรับการออกแบบชิปใหม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-cfo-confirms-that-14a-will-be-more-expensive-to-use-than-18a-intel-expects-14a-fabrication-process-to-offer-15-20-percent-better-performance-per-watt-or-25-35-percent-lower-power-consumption-compared-to-18a
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • “Sitecore โดนเจาะ! ช่องโหว่ ViewState เปิดทางให้มัลแวร์ WEEPSTEEL ยึดระบบแบบเงียบๆ”

    ลองนึกภาพว่าคุณเป็นผู้ดูแลระบบของเว็บไซต์องค์กรที่ใช้ Sitecore ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการเนื้อหายอดนิยมระดับโลก แล้วจู่ๆ มีแฮกเกอร์แอบเข้ามาในระบบโดยที่คุณไม่รู้ตัว ไม่ใช่เพราะโค้ดมีบั๊ก แต่เพราะคุณใช้ “คีย์ตัวอย่าง” จากเอกสารคู่มือที่ Sitecore เคยเผยแพร่ไว้ตั้งแต่ปี 2017!

    ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-53690 ซึ่งเกิดจากการใช้ machine key ที่ไม่ปลอดภัยในฟีเจอร์ ViewState ของ ASP.NET โดย ViewState เป็นกลไกที่ช่วยให้เว็บจำสถานะของผู้ใช้ระหว่างการใช้งาน แต่หากคีย์ที่ใช้ในการเข้ารหัส ViewState ถูกเปิดเผย แฮกเกอร์สามารถสร้าง payload ปลอมที่ดูเหมือนถูกต้อง และส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้รันโค้ดอันตรายได้ทันที — นี่คือ Remote Code Execution (RCE) แบบเต็มรูปแบบ

    มัลแวร์ที่ถูกใช้ในแคมเปญนี้ชื่อว่า WEEPSTEEL ซึ่งเป็น backdoor ที่ออกแบบมาเพื่อเก็บข้อมูลภายในระบบ เช่น รายชื่อผู้ใช้, โครงสร้างเครือข่าย, และไฟล์ config สำคัญ จากนั้นแฮกเกอร์จะใช้เครื่องมือโอเพ่นซอร์สอย่าง EARTHWORM, DWAGENT และ SHARPHOUND เพื่อขยายการควบคุมระบบ สร้างบัญชีผู้ดูแลใหม่ และขโมยข้อมูลแบบเงียบๆ

    สิ่งที่น่ากลัวคือ ช่องโหว่นี้ไม่ได้เกิดจากโค้ดของ ASP.NET แต่เกิดจาก “การคัดลอกคีย์ตัวอย่าง” จากเอกสารคู่มือมาใช้จริงใน production ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่หลายองค์กรทำโดยไม่รู้ตัว

    แม้ว่า Sitecore จะออกอัปเดตใหม่ที่สร้างคีย์แบบสุ่มโดยอัตโนมัติ และแจ้งเตือนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “ผลกระทบที่แท้จริงยังไม่ปรากฏ” และอาจมีการโจมตีเพิ่มเติมในอนาคต หากองค์กรไม่รีบแก้ไข

    ช่องโหว่ CVE-2025-53690 ใน Sitecore
    เกิดจากการใช้ machine key ตัวอย่างจากเอกสารคู่มือก่อนปี 2017
    เป็นช่องโหว่ ViewState deserialization ที่เปิดทางให้ Remote Code Execution (RCE)
    ส่งผลกระทบต่อ Sitecore XM, XP, XC และ Managed Cloud ที่ใช้คีย์แบบ static
    ไม่กระทบต่อ XM Cloud, Content Hub, CDP, Personalize, OrderCloud และ Commerce Server
    ViewState ถูกใช้ใน ASP.NET เพื่อเก็บสถานะของผู้ใช้ใน hidden field
    หาก machine key ถูกเปิดเผย เซิร์ฟเวอร์จะไม่สามารถแยกแยะ payload ที่ถูกต้องกับมัลแวร์ได้

    การโจมตีและมัลแวร์ WEEPSTEEL
    เริ่มจากการ probe หน้า /sitecore/blocked.aspx ที่มี ViewState แบบไม่ต้องล็อกอิน
    ใช้ ViewState payload ที่ฝัง WEEPSTEEL เพื่อเก็บข้อมูลระบบ
    ใช้ EARTHWORM สำหรับสร้าง tunnel, DWAGENT สำหรับ remote access, SHARPHOUND สำหรับสำรวจ Active Directory
    สร้างบัญชีผู้ดูแลใหม่ เช่น asp$ และ sawadmin เพื่อขโมย credentials
    dump ข้อมูลจาก SAM และ SYSTEM hives เพื่อขยายการเข้าถึง
    ใช้ GoTokenTheft เพื่อขโมย token และเปิดทางให้ RDP access
    ลบบัญชีที่สร้างไว้หลังจากได้สิทธิ์จากบัญชีอื่น เพื่อหลบการตรวจสอบ

    การตอบสนองและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    Sitecore ออกอัปเดตใหม่ที่สร้าง machine key แบบสุ่มโดยอัตโนมัติ
    แนะนำให้ผู้ดูแลระบบเปลี่ยนคีย์ทั้งหมดใน web.config และเข้ารหัส <machineKey>
    ควรหมุนเวียน machine key เป็นประจำเพื่อความปลอดภัย
    ตรวจสอบระบบย้อนหลังเพื่อหาสัญญาณการเจาะระบบ

    https://hackread.com/zero-day-sitecore-exploited-deploy-weepsteel-malware/
    🛡️ “Sitecore โดนเจาะ! ช่องโหว่ ViewState เปิดทางให้มัลแวร์ WEEPSTEEL ยึดระบบแบบเงียบๆ” ลองนึกภาพว่าคุณเป็นผู้ดูแลระบบของเว็บไซต์องค์กรที่ใช้ Sitecore ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการเนื้อหายอดนิยมระดับโลก แล้วจู่ๆ มีแฮกเกอร์แอบเข้ามาในระบบโดยที่คุณไม่รู้ตัว ไม่ใช่เพราะโค้ดมีบั๊ก แต่เพราะคุณใช้ “คีย์ตัวอย่าง” จากเอกสารคู่มือที่ Sitecore เคยเผยแพร่ไว้ตั้งแต่ปี 2017! ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-53690 ซึ่งเกิดจากการใช้ machine key ที่ไม่ปลอดภัยในฟีเจอร์ ViewState ของ ASP.NET โดย ViewState เป็นกลไกที่ช่วยให้เว็บจำสถานะของผู้ใช้ระหว่างการใช้งาน แต่หากคีย์ที่ใช้ในการเข้ารหัส ViewState ถูกเปิดเผย แฮกเกอร์สามารถสร้าง payload ปลอมที่ดูเหมือนถูกต้อง และส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้รันโค้ดอันตรายได้ทันที — นี่คือ Remote Code Execution (RCE) แบบเต็มรูปแบบ มัลแวร์ที่ถูกใช้ในแคมเปญนี้ชื่อว่า WEEPSTEEL ซึ่งเป็น backdoor ที่ออกแบบมาเพื่อเก็บข้อมูลภายในระบบ เช่น รายชื่อผู้ใช้, โครงสร้างเครือข่าย, และไฟล์ config สำคัญ จากนั้นแฮกเกอร์จะใช้เครื่องมือโอเพ่นซอร์สอย่าง EARTHWORM, DWAGENT และ SHARPHOUND เพื่อขยายการควบคุมระบบ สร้างบัญชีผู้ดูแลใหม่ และขโมยข้อมูลแบบเงียบๆ สิ่งที่น่ากลัวคือ ช่องโหว่นี้ไม่ได้เกิดจากโค้ดของ ASP.NET แต่เกิดจาก “การคัดลอกคีย์ตัวอย่าง” จากเอกสารคู่มือมาใช้จริงใน production ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่หลายองค์กรทำโดยไม่รู้ตัว แม้ว่า Sitecore จะออกอัปเดตใหม่ที่สร้างคีย์แบบสุ่มโดยอัตโนมัติ และแจ้งเตือนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “ผลกระทบที่แท้จริงยังไม่ปรากฏ” และอาจมีการโจมตีเพิ่มเติมในอนาคต หากองค์กรไม่รีบแก้ไข ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-53690 ใน Sitecore ➡️ เกิดจากการใช้ machine key ตัวอย่างจากเอกสารคู่มือก่อนปี 2017 ➡️ เป็นช่องโหว่ ViewState deserialization ที่เปิดทางให้ Remote Code Execution (RCE) ➡️ ส่งผลกระทบต่อ Sitecore XM, XP, XC และ Managed Cloud ที่ใช้คีย์แบบ static ➡️ ไม่กระทบต่อ XM Cloud, Content Hub, CDP, Personalize, OrderCloud และ Commerce Server ➡️ ViewState ถูกใช้ใน ASP.NET เพื่อเก็บสถานะของผู้ใช้ใน hidden field ➡️ หาก machine key ถูกเปิดเผย เซิร์ฟเวอร์จะไม่สามารถแยกแยะ payload ที่ถูกต้องกับมัลแวร์ได้ ✅ การโจมตีและมัลแวร์ WEEPSTEEL ➡️ เริ่มจากการ probe หน้า /sitecore/blocked.aspx ที่มี ViewState แบบไม่ต้องล็อกอิน ➡️ ใช้ ViewState payload ที่ฝัง WEEPSTEEL เพื่อเก็บข้อมูลระบบ ➡️ ใช้ EARTHWORM สำหรับสร้าง tunnel, DWAGENT สำหรับ remote access, SHARPHOUND สำหรับสำรวจ Active Directory ➡️ สร้างบัญชีผู้ดูแลใหม่ เช่น asp$ และ sawadmin เพื่อขโมย credentials ➡️ dump ข้อมูลจาก SAM และ SYSTEM hives เพื่อขยายการเข้าถึง ➡️ ใช้ GoTokenTheft เพื่อขโมย token และเปิดทางให้ RDP access ➡️ ลบบัญชีที่สร้างไว้หลังจากได้สิทธิ์จากบัญชีอื่น เพื่อหลบการตรวจสอบ ✅ การตอบสนองและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ Sitecore ออกอัปเดตใหม่ที่สร้าง machine key แบบสุ่มโดยอัตโนมัติ ➡️ แนะนำให้ผู้ดูแลระบบเปลี่ยนคีย์ทั้งหมดใน web.config และเข้ารหัส <machineKey> ➡️ ควรหมุนเวียน machine key เป็นประจำเพื่อความปลอดภัย ➡️ ตรวจสอบระบบย้อนหลังเพื่อหาสัญญาณการเจาะระบบ https://hackread.com/zero-day-sitecore-exploited-deploy-weepsteel-malware/
    HACKREAD.COM
    Zero-Day in Sitecore Exploited to Deploy WEEPSTEEL Malware
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 106 Views 0 Reviews
  • “MostereRAT: มัลแวร์สายลับยุคใหม่ ใช้ AnyDesk และ TightVNC ยึดเครื่อง Windows แบบเงียบๆ!”

    ลองจินตนาการว่าคุณเปิดอีเมลจากลูกค้าใหม่ที่ดูน่าเชื่อถือ มีไฟล์แนบเป็นเอกสาร Word ดูไม่มีพิษภัย แต่ทันทีที่คุณเปิดไฟล์นั้น…คุณได้เปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ามานั่งอยู่ในเครื่องคุณโดยไม่รู้ตัว

    นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อว่า “MostereRAT” ซึ่งถูกค้นพบโดยนักวิจัยจาก FortiGuard Labs และกำลังโจมตีผู้ใช้ Windows โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นผ่านแคมเปญฟิชชิ่งที่แนบเนียนมาก

    เมื่อเหยื่อคลิกลิงก์ในอีเมล มัลแวร์จะดาวน์โหลดไฟล์ Word ที่มี archive ซ่อนอยู่ภายใน และเมื่อเปิดไฟล์นั้น โปรแกรมอันตรายจะถูกติดตั้งทันที โดยใช้เทคนิคหลบเลี่ยงการตรวจจับขั้นสูง เช่น เขียนด้วยภาษา Easy Programming Language (EPL) ซึ่งเป็นภาษาสำหรับผู้ใช้จีนที่เครื่องมือวิเคราะห์มัลแวร์ทั่วไปไม่ค่อยรองรับ

    จากนั้น MostereRAT จะปิดการทำงานของโปรแกรมป้องกันไวรัส, บล็อกการอัปเดต Windows และใช้การเข้ารหัสแบบ mutual TLS (mTLS) เพื่อซ่อนการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ทำให้แทบไม่มีใครตรวจจับได้

    ที่น่ากลัวคือ มันใช้โปรแกรมที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่าง AnyDesk และ TightVNC เพื่อควบคุมเครื่องของเหยื่อแบบเต็มรูปแบบ พร้อมสร้างบัญชีผู้ใช้ลับที่มีสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบ เพื่อให้กลับเข้ามาได้แม้เหยื่อจะพยายามลบมัลแวร์ออกไปแล้ว

    ลักษณะของ MostereRAT
    เป็น Remote Access Trojan (RAT) ที่ให้แฮกเกอร์ควบคุมเครื่องจากระยะไกล
    ถูกส่งผ่านอีเมลฟิชชิ่งที่ปลอมเป็นธุรกิจจริง
    ใช้ไฟล์ Word ที่มี archive ซ่อนอยู่เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิด
    เขียนด้วยภาษา Easy Programming Language (EPL) เพื่อหลบการตรวจจับ
    ปิดการทำงานของโปรแกรมป้องกันและบล็อกการอัปเดต Windows
    ใช้การเข้ารหัสแบบ mTLS เพื่อซ่อนการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม
    ติดตั้งโปรแกรม AnyDesk และ TightVNC เพื่อควบคุมเครื่องเหยื่อ
    สร้างบัญชีผู้ใช้ลับที่มีสิทธิ์ระดับ admin เพื่อรักษาการเข้าถึง
    พัฒนามาจาก banking trojan ที่เคยพบในปี 2020

    คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    ควรตั้งค่าบราวเซอร์ให้ถามก่อนดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่รู้จัก
    จำกัดสิทธิ์ผู้ใช้ในระบบ ไม่ควรให้สิทธิ์ระดับ SYSTEM หรือ TrustedInstaller
    ใช้นโยบายควบคุมแอปพลิเคชันเพื่อป้องกันการรันโปรแกรมที่ไม่ได้รับอนุญาต
    อัปเดตระบบและโปรแกรมป้องกันไวรัสอย่างสม่ำเสมอ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Windows
    การคลิกลิงก์ในอีเมลที่ดูน่าเชื่อถืออาจเปิดทางให้มัลแวร์เข้ามา
    โปรแกรม AnyDesk และ TightVNC แม้จะถูกต้องตามกฎหมาย แต่สามารถถูกใช้ในทางร้ายได้
    การปิดการทำงานของ Windows Security โดยมัลแวร์จะทำให้ระบบไร้การป้องกัน
    บัญชีผู้ใช้ลับที่ถูกสร้างขึ้นอาจยังอยู่แม้จะลบมัลแวร์ไปแล้ว
    การใช้ภาษา EPL ทำให้เครื่องมือวิเคราะห์ทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้

    https://hackread.com/mostererat-windows-anydesk-tightvnc-access/
    🕵️‍♂️ “MostereRAT: มัลแวร์สายลับยุคใหม่ ใช้ AnyDesk และ TightVNC ยึดเครื่อง Windows แบบเงียบๆ!” ลองจินตนาการว่าคุณเปิดอีเมลจากลูกค้าใหม่ที่ดูน่าเชื่อถือ มีไฟล์แนบเป็นเอกสาร Word ดูไม่มีพิษภัย แต่ทันทีที่คุณเปิดไฟล์นั้น…คุณได้เปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ามานั่งอยู่ในเครื่องคุณโดยไม่รู้ตัว นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อว่า “MostereRAT” ซึ่งถูกค้นพบโดยนักวิจัยจาก FortiGuard Labs และกำลังโจมตีผู้ใช้ Windows โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นผ่านแคมเปญฟิชชิ่งที่แนบเนียนมาก เมื่อเหยื่อคลิกลิงก์ในอีเมล มัลแวร์จะดาวน์โหลดไฟล์ Word ที่มี archive ซ่อนอยู่ภายใน และเมื่อเปิดไฟล์นั้น โปรแกรมอันตรายจะถูกติดตั้งทันที โดยใช้เทคนิคหลบเลี่ยงการตรวจจับขั้นสูง เช่น เขียนด้วยภาษา Easy Programming Language (EPL) ซึ่งเป็นภาษาสำหรับผู้ใช้จีนที่เครื่องมือวิเคราะห์มัลแวร์ทั่วไปไม่ค่อยรองรับ จากนั้น MostereRAT จะปิดการทำงานของโปรแกรมป้องกันไวรัส, บล็อกการอัปเดต Windows และใช้การเข้ารหัสแบบ mutual TLS (mTLS) เพื่อซ่อนการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ทำให้แทบไม่มีใครตรวจจับได้ ที่น่ากลัวคือ มันใช้โปรแกรมที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่าง AnyDesk และ TightVNC เพื่อควบคุมเครื่องของเหยื่อแบบเต็มรูปแบบ พร้อมสร้างบัญชีผู้ใช้ลับที่มีสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบ เพื่อให้กลับเข้ามาได้แม้เหยื่อจะพยายามลบมัลแวร์ออกไปแล้ว ✅ ลักษณะของ MostereRAT ➡️ เป็น Remote Access Trojan (RAT) ที่ให้แฮกเกอร์ควบคุมเครื่องจากระยะไกล ➡️ ถูกส่งผ่านอีเมลฟิชชิ่งที่ปลอมเป็นธุรกิจจริง ➡️ ใช้ไฟล์ Word ที่มี archive ซ่อนอยู่เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิด ➡️ เขียนด้วยภาษา Easy Programming Language (EPL) เพื่อหลบการตรวจจับ ➡️ ปิดการทำงานของโปรแกรมป้องกันและบล็อกการอัปเดต Windows ➡️ ใช้การเข้ารหัสแบบ mTLS เพื่อซ่อนการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม ➡️ ติดตั้งโปรแกรม AnyDesk และ TightVNC เพื่อควบคุมเครื่องเหยื่อ ➡️ สร้างบัญชีผู้ใช้ลับที่มีสิทธิ์ระดับ admin เพื่อรักษาการเข้าถึง ➡️ พัฒนามาจาก banking trojan ที่เคยพบในปี 2020 ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ควรตั้งค่าบราวเซอร์ให้ถามก่อนดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่รู้จัก ➡️ จำกัดสิทธิ์ผู้ใช้ในระบบ ไม่ควรให้สิทธิ์ระดับ SYSTEM หรือ TrustedInstaller ➡️ ใช้นโยบายควบคุมแอปพลิเคชันเพื่อป้องกันการรันโปรแกรมที่ไม่ได้รับอนุญาต ➡️ อัปเดตระบบและโปรแกรมป้องกันไวรัสอย่างสม่ำเสมอ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Windows ⛔ การคลิกลิงก์ในอีเมลที่ดูน่าเชื่อถืออาจเปิดทางให้มัลแวร์เข้ามา ⛔ โปรแกรม AnyDesk และ TightVNC แม้จะถูกต้องตามกฎหมาย แต่สามารถถูกใช้ในทางร้ายได้ ⛔ การปิดการทำงานของ Windows Security โดยมัลแวร์จะทำให้ระบบไร้การป้องกัน ⛔ บัญชีผู้ใช้ลับที่ถูกสร้างขึ้นอาจยังอยู่แม้จะลบมัลแวร์ไปแล้ว ⛔ การใช้ภาษา EPL ทำให้เครื่องมือวิเคราะห์ทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ https://hackread.com/mostererat-windows-anydesk-tightvnc-access/
    HACKREAD.COM
    MostereRAT Targets Windows, Uses AnyDesk and TightVNC for Full Access
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก H100 ถึง GAIN AI Act: เมื่อชิปกลายเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่ต้องจัดลำดับความสำคัญ

    ในปี 2025 สหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ชื่อว่า GAIN AI Act (Guaranteeing Access and Innovation for National Artificial Intelligence) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100, H200, B300 และ AMD Instinct MI308 โดยเฉพาะไปยังประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “D:5” หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านความมั่นคง เช่นจีน

    ร่างกฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ผลิตชิป เช่น Nvidia และ AMD ต้องให้ “สิทธิ์ซื้อก่อน” กับลูกค้าในสหรัฐฯ ก่อนส่งออกไปยังต่างประเทศ แม้แต่ประเทศพันธมิตรอย่างยุโรปหรือสหราชอาณาจักร โดยต้องพิสูจน์ว่าไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ, ไม่มีการเสนอราคาที่ดีกว่าให้กับลูกค้าต่างชาติ และไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอเมริกัน

    Nvidia ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า “เราไม่เคยละเลยลูกค้าในสหรัฐฯ เพื่อไปบริการลูกค้าต่างประเทศ” และมองว่าร่างกฎหมายนี้พยายามแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง พร้อมเตือนว่าการจำกัดการส่งออกจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในอุตสาหกรรมที่ใช้ชิปทั่วไป ไม่ใช่แค่ AI

    ข้อมูลจาก Nvidia ระบุว่าในปีงบประมาณ 2024 ยอดขายในสหรัฐฯ คิดเป็น 49.9% ของทั้งหมด ขณะที่จีนอยู่ที่ 28% และสิงคโปร์ 18% ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัท

    ร่างกฎหมายยังระบุเกณฑ์ทางเทคนิคที่ชัดเจน เช่น GPU ที่มี TPP (Total Processing Performance) เกิน 2,400 หรือ bandwidth เกิน 1.4 TB/s จะถูกควบคุมการส่งออก และหาก TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ซึ่งครอบคลุมถึง H100 (TPP 16,000), B300 (TPP 60,000) และ MI308

    รายละเอียดของ GAIN AI Act
    เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติปี 2026
    กำหนดให้ผู้ผลิตชิปต้องให้สิทธิ์ซื้อก่อนกับลูกค้าในสหรัฐฯ
    ครอบคลุมทั้งประเทศคู่แข่งและพันธมิตร เช่นจีนและยุโรป

    ข้อกำหนดสำหรับการส่งออก
    ต้องไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ
    ห้ามเสนอราคาดีกว่าให้ลูกค้าต่างชาติ
    ห้ามส่งออกหากกระทบต่อการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ

    ชิปที่อยู่ภายใต้การควบคุม
    Nvidia H100, H200, B300 และ HGX H20
    AMD Instinct MI308
    ชิปที่มี TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด

    จุดยืนของ Nvidia
    ยืนยันว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักของบริษัท
    มองว่าร่างกฎหมายนี้แก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง
    เตือนว่าการควบคุมจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-says-we-never-deprive-american-customers-in-order-to-serve-the-rest-of-the-world-company-says-gain-ai-act-addresses-a-problem-that-doesnt-exist
    🎙️ เรื่องเล่าจาก H100 ถึง GAIN AI Act: เมื่อชิปกลายเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่ต้องจัดลำดับความสำคัญ ในปี 2025 สหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ชื่อว่า GAIN AI Act (Guaranteeing Access and Innovation for National Artificial Intelligence) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100, H200, B300 และ AMD Instinct MI308 โดยเฉพาะไปยังประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “D:5” หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านความมั่นคง เช่นจีน ร่างกฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ผลิตชิป เช่น Nvidia และ AMD ต้องให้ “สิทธิ์ซื้อก่อน” กับลูกค้าในสหรัฐฯ ก่อนส่งออกไปยังต่างประเทศ แม้แต่ประเทศพันธมิตรอย่างยุโรปหรือสหราชอาณาจักร โดยต้องพิสูจน์ว่าไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ, ไม่มีการเสนอราคาที่ดีกว่าให้กับลูกค้าต่างชาติ และไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอเมริกัน Nvidia ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า “เราไม่เคยละเลยลูกค้าในสหรัฐฯ เพื่อไปบริการลูกค้าต่างประเทศ” และมองว่าร่างกฎหมายนี้พยายามแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง พร้อมเตือนว่าการจำกัดการส่งออกจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในอุตสาหกรรมที่ใช้ชิปทั่วไป ไม่ใช่แค่ AI ข้อมูลจาก Nvidia ระบุว่าในปีงบประมาณ 2024 ยอดขายในสหรัฐฯ คิดเป็น 49.9% ของทั้งหมด ขณะที่จีนอยู่ที่ 28% และสิงคโปร์ 18% ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัท ร่างกฎหมายยังระบุเกณฑ์ทางเทคนิคที่ชัดเจน เช่น GPU ที่มี TPP (Total Processing Performance) เกิน 2,400 หรือ bandwidth เกิน 1.4 TB/s จะถูกควบคุมการส่งออก และหาก TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ซึ่งครอบคลุมถึง H100 (TPP 16,000), B300 (TPP 60,000) และ MI308 ✅ รายละเอียดของ GAIN AI Act ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติปี 2026 ➡️ กำหนดให้ผู้ผลิตชิปต้องให้สิทธิ์ซื้อก่อนกับลูกค้าในสหรัฐฯ ➡️ ครอบคลุมทั้งประเทศคู่แข่งและพันธมิตร เช่นจีนและยุโรป ✅ ข้อกำหนดสำหรับการส่งออก ➡️ ต้องไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ ➡️ ห้ามเสนอราคาดีกว่าให้ลูกค้าต่างชาติ ➡️ ห้ามส่งออกหากกระทบต่อการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ ✅ ชิปที่อยู่ภายใต้การควบคุม ➡️ Nvidia H100, H200, B300 และ HGX H20 ➡️ AMD Instinct MI308 ➡️ ชิปที่มี TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ✅ จุดยืนของ Nvidia ➡️ ยืนยันว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักของบริษัท ➡️ มองว่าร่างกฎหมายนี้แก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง ➡️ เตือนว่าการควบคุมจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-says-we-never-deprive-american-customers-in-order-to-serve-the-rest-of-the-world-company-says-gain-ai-act-addresses-a-problem-that-doesnt-exist
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • การต่อสู้ที่น่ารักมาก,สถานศึกษาเรามีปัญหาด้านการส่งต่อองค์รอบรู้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานเรามาก,ตลอดทั้งฝรั่งแทรกแซงการศึกษาเราก็ด้วยหรือต่างชาติที่ไม่หวังดีต่างๆนั้นล่ะ,แทรกแซงสถานการเรียนการสอนของเราให้เยาวชนไทยเราด้อยคุณค่าการเล่าเรียน,ต้นทุนการเล่าเรียนปั่นให้สูงขึ้น,ราคาต้องจ่ายมากขึันต่อความอยากเล่าเรียน,สร้างโปรแกรมผีบ้ามากมายหลอกค่าเรียนค่าเทอมผู้ปกครอง,อยากเรียนต้องเป็นหนี้แบบกยศ. แต่ให้เรียนฟรีแก่เด็กเขมร เด็กพม่า เด็กอิสลาม เด็กยิวหรือเด็กต่างชาติสาระพัดวิธี,ซึ่งภาระที่แท้จริงคือรัฐบาลต้องส่งเสริมเยาวชนไทยตนเองเรียนรู้สาระพัดวิชาให้ทันโลกทันชาติอื่นเพื่อกลับมาเป็นพลังสำคัญขับเคลื่อนประเทศไทยตนปกป้องร่วมสร้างชาติไทยตนให้เข้มแข็งมั่นคงต่ออริชาติชั่วเลวต่างๆที่หมายมาไม่ดีต่อชาติไทยเรา,เช่นเขมร อเมริกา ฝรั่งเศสซึ่งพวกมันพยายามอย่างมากมิให้คนไทยเล่าเรียนประวัติศาสตร์ตนเองแบบฝรั่งเศสมาปล้นชิงดินแดนไทยกี่ครั้งที่ไหนอย่างไรบ้าง,อเมริกาปล้นประเทศปล้นบ่อน้ำมันไทยทั้งประเทศแบบใดจนคนทัังชาติต้องยากจนมั่นคงดักดานขนาดนี้,วิชาตังวิชาเศรษฐกิจทำตัง วิชารู้เล่ห์เหลี่ยมทางอาชีพทำตังต่างๆจะกิจการ บริษัทแบบใดๆต่างๆสร้างอาชีพจริงๆสถานศึกษาแบบระดับมัธยมต้องเริ่มสอนนักเรียนเยาวชนเราจริงจังแล้ว,หรือวิชาทำเงินทำทองจริงๆในสังคมประเทศตนเมื่อจบการศึกษาไปต้องเจอทุกๆคนแน่นอน เยาวชนต้องมีภูมิรู้ภูมิเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้นทั้งระดับภายในประเทศและระดับตลาดค้าขายเศรษฐกิจระดับต่างประเทศ,
    ..โครงสร้างการศึกษาเราต้องเปลี่ยนทั้งหมดจริงๆสู่ยุคสมัยใหม่AIที่มาแน่นอน,แต่เรา..ประเทศไทยยังแบ่งชนชั้นกันอยู่ด้านการศึกษาชัดเจน,มาตราฐานเดียวกันต้องมีจริงๆ,รัฐต้องเข้ามากำกับดูแลทั่วประเทศ โปรแกรมค่าเทอมเป็น10,000เป็น100,000ต้องยกเลิกทั่วประเทศทันที สร้างภาระผู้ปกครองตลอดม.ต้น ม.ปลาย.หรือประถมกันเลย,นักเรียนไม่มีตังเป็นหมื่นๆก็เข้าเรียนห้องพิเศษนั้นไม่ได้,ม.ต้นก็จ่ายค่าเทอม ม.ปลายก็จ่ายค่าเทอม,ม.มหาลัย วิลัย ก็จ่ายค่าเทอม,โครงสร้างการศึกษาเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงจริงๆไม่นอมลงทุนด้านการศึกษาจริงต่อเยาวชนไทย นัยยะแฝงมุ่งให้เยาวชนตนเป็นทาสแรงงานกิจการเอกชนบริษัทหรือรัฐฐะ,องค์ความรู้จึงพยายามไม่ผลักดันเต็มที่ใครอยากเรียนสูงต้องเป็นนี้ คือนัยยะการสร้างกำแพงดีๆนี้เอง,แบบกีดกันทางภาษีนั้นล่ะ,ชัดเจนหน่อยก็กีดกันตำแหน่งการงานแบบกำแพงสอบ กพ.นั้นล่ะ,เสมือนกลุ่มโซนชนชั้นใครมัน เด็กจบมอใครมันแบบเดียวกัน,รุ่นมรึงรุ่นกูแบบเดียวกัน,สีกูสีมรึงแบบเดียวกัน,จึงอันตรายมาก.
    ..โครงสร้างการศึกษาเปลี่ยนแปลงสู่ยุคAIไม่พอ,เด็กๆเยาวชนเราต้องมีสัมมาอาชีพมั่นคงดูแลตัวเองและครอบครัวได้ด้วย มีรายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ยืนด้วยขาตนเองได้จริงในทุกๆเยาวชนไทยที่จบการเล่าเรียนออกไป มิใช่ทิ้งขวางเขาเธอเหล่านั้นในสังคมที่ดิ้นรนหาแดกใช้จ่ายจริงด้วยตังจากรายรับที่เข้ามาจริง จ่ายออกไปจริงในแต่ละวัน สถานศึกษาพยายามบิดงอบิดเบือนหักเหค่าจริงตรงจุดๆนี้ทั่วไทย,เพื่อสะท้อนว่าเด็กๆมิอาจมีภาระสำนึกคิดด้านนี้เมื่อเล่าเรียน ให้มุ่งแสวงหาความรู้ ,แต่ค่าจริงมิเป็นเช่นนั้น ค่าจริงคือมหาลัยผลิตคนตกงานเป็นจำนวนมากนั้นเอง,มหาลัย โรงเรียนตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม ต่างมีห้องพิเศษเป็นว่าเล่น หรือนัยยะแบบมหาลัยคือมุ่งทำตังทำรายได้แล้วนั้นเอง นักศึกษาคือลูกค้าของมหาลัยวิลัยของโรงเรียน,ได้ทั้งจากรัฐช่วยเหลือค่าหัวเด็กๆและเก็บสาระพัดมุกเอาแต่มีเรี่ยไรสไตล์ใดโปรแกรมพิเศษไหนเกิดขึ้นเพื่อแสวงหารายรับรายได้เข้าสถาบัน ส่วนมรึงๆจบไปแล้วจะได้งานจะตกงานเป็นเรื่องของมรึงก็ว่า,เอกชนไทยนำเข้าเครื่องจักรเอย แรงงานต่างด้าวเอยจำนวนมากเข้ามาตลอดถึงปัจจุบัน,ด้อยค่าคนเยาวชนในชาติตนแต่เสือกมาตั้งโรงงาน เปิดบริษัท ย้ายฐานผลิตมาสร้างบนแผ่นดินไทยแต่รับต่างด้าวเข้าทำงานแทนคนไทยเป็นอันมาก สารพัดข้ออ้างกดคนไทยตน อ้างด้อยค่าคุณภาพคนไทยตน,บางกิจการนำเข้าคนของตนแบบจีนมาทำงานที่โรงงานไทยของทุนจีนกันเต็มโรงงานเลย, สถานศึกษาต้องประมาณการกำลังคนแรงงานกับกรมแรงงานให้ได้ ออกหลักสูตรอาชีพที่สามารถใกล้เคียงการเติบโตของเนื้องาน,บริหารคนงาน เด็กจบใหม่คนไทยตนก่อนเอาต่างด้าวมาทำ กระตุ้นองค์รู้ทั่วไทยทำไมเราต้องส่งเสริมเยาวชนไทยเราก่อนกับกิจการในบนแผ่นดินไทย,ทั้งของคนไทยเราเองและต่างชาติมาลงทุน,กำลังคนกรมแรงงานต้องประสานชัดเจนออนไลน์ได้,รวมๆต้องพลิกบทบาทบริหารจัดการครั้งใหญ่จริงๆจะมาเหี้ยแบบเดิมๆไม่ได้อีกแล้ว,แล้วเราคนไทยจะรอดจากสงครามตังสงครามจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันเรื่องปากท้องได้,ไม่ดักดานยากจนอีกแน่นอน,โครงสร้างการปกครองจึงต้องร่วมเปลี่ยนแปลงด้วย,ผู้นำต้องไม่กากๆนั้นเอง.หรือยิ่งเป็นผู้เหนือมนุษย์มากบารมียิ่งดี ยอมให้ขึ้นปกครองประเทศไทยร้อยปีพันปีก็ได้,หยั่งรู้อีกยิ่งเยี่ยม อ่านจิตอ่านใจคนออกยิ่งโหด,มรึงหนาวแน่ ใครคตใครโกงภายในสำนักนายกฯท่านๆเรียกไปคุยด้วยมีหนาว อาจประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตก็ได้ ยึดทรัพย์กันอนาถ,เชื่อมจิตได้ด้วย มรึงคุยกับใครทำชั่วที่ไหนดิวอะไรไว้,เชื่อมโยงถึงตัวพ่อหมด,คำสั่งลงไป สั่งเด็ดหัวทั้งหมด,ประเทศไทยคือผู้นำจิตวิญญาณแน่นอนไม่ต้องสงสัย,มิใช่สื่อบางช่องผีบ้ากากๆผู้นำจิตวิญญาณโทนี่ไปดูไบพะนะหรือแบบเสื้อแดงพะนะ ทางความคิดแบบส้มชูสามนิ้วก็โน้น,นี้ใช้นิยมผู้นำแห่งจิตวิญญาณที่ผิด,ที่ถูกคือสไตล์ทางโลกแบบนั้น สร้างมิตรไมตรีจึงไม่ใช่เรื่องยาก ตลอดผู้นำทางสงครามก็ไม่ยาก แว๊บเดียวหายตัวยืนอยู่หน้าศัตรูเด็ดหัวเลยก็ได้,ศัตรูไม่เกรงกลัวย่อมไม่ได้,ตานแน่นอนนั้นเองหากยังไม่พยายามเป็นคนดี,เพราะผู้นำทางจิตวิญญาณถอดจิตท่องจักรวาลทั่วทุกๆดวงดาวได้จริง,เชื่อมมิติที่สูงกว่าได้ แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีล้ำๆจึงมิใช่เรื่องยากอะไร,เรา..ประเทศไทยคนเหนือมนุษย์มีมากไม่น้อย,แต่ไม่ออกมา,จริงๆถึงเวลาอันสมควรแล้วจะที่ไทยหรือทั่วโลก ยอดมนุษย์เหล่านี้ควรแก่เวลาต้องเปิดเผยตัวตนจริงๆได้แล้วเพื่ออัพเลเวลโลกนี้ขึ้นอีกระดับจริงๆร่วมกันทั่วโลก,อย่าทำตัวผีบ้าหลบซ่อนตัวตนอีกเลย.



    https://youtube.com/shorts/mw78-XhjAQw?si=C9z2vO_AOjZJECMx
    การต่อสู้ที่น่ารักมาก,สถานศึกษาเรามีปัญหาด้านการส่งต่อองค์รอบรู้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานเรามาก,ตลอดทั้งฝรั่งแทรกแซงการศึกษาเราก็ด้วยหรือต่างชาติที่ไม่หวังดีต่างๆนั้นล่ะ,แทรกแซงสถานการเรียนการสอนของเราให้เยาวชนไทยเราด้อยคุณค่าการเล่าเรียน,ต้นทุนการเล่าเรียนปั่นให้สูงขึ้น,ราคาต้องจ่ายมากขึันต่อความอยากเล่าเรียน,สร้างโปรแกรมผีบ้ามากมายหลอกค่าเรียนค่าเทอมผู้ปกครอง,อยากเรียนต้องเป็นหนี้แบบกยศ. แต่ให้เรียนฟรีแก่เด็กเขมร เด็กพม่า เด็กอิสลาม เด็กยิวหรือเด็กต่างชาติสาระพัดวิธี,ซึ่งภาระที่แท้จริงคือรัฐบาลต้องส่งเสริมเยาวชนไทยตนเองเรียนรู้สาระพัดวิชาให้ทันโลกทันชาติอื่นเพื่อกลับมาเป็นพลังสำคัญขับเคลื่อนประเทศไทยตนปกป้องร่วมสร้างชาติไทยตนให้เข้มแข็งมั่นคงต่ออริชาติชั่วเลวต่างๆที่หมายมาไม่ดีต่อชาติไทยเรา,เช่นเขมร อเมริกา ฝรั่งเศสซึ่งพวกมันพยายามอย่างมากมิให้คนไทยเล่าเรียนประวัติศาสตร์ตนเองแบบฝรั่งเศสมาปล้นชิงดินแดนไทยกี่ครั้งที่ไหนอย่างไรบ้าง,อเมริกาปล้นประเทศปล้นบ่อน้ำมันไทยทั้งประเทศแบบใดจนคนทัังชาติต้องยากจนมั่นคงดักดานขนาดนี้,วิชาตังวิชาเศรษฐกิจทำตัง วิชารู้เล่ห์เหลี่ยมทางอาชีพทำตังต่างๆจะกิจการ บริษัทแบบใดๆต่างๆสร้างอาชีพจริงๆสถานศึกษาแบบระดับมัธยมต้องเริ่มสอนนักเรียนเยาวชนเราจริงจังแล้ว,หรือวิชาทำเงินทำทองจริงๆในสังคมประเทศตนเมื่อจบการศึกษาไปต้องเจอทุกๆคนแน่นอน เยาวชนต้องมีภูมิรู้ภูมิเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้นทั้งระดับภายในประเทศและระดับตลาดค้าขายเศรษฐกิจระดับต่างประเทศ, ..โครงสร้างการศึกษาเราต้องเปลี่ยนทั้งหมดจริงๆสู่ยุคสมัยใหม่AIที่มาแน่นอน,แต่เรา..ประเทศไทยยังแบ่งชนชั้นกันอยู่ด้านการศึกษาชัดเจน,มาตราฐานเดียวกันต้องมีจริงๆ,รัฐต้องเข้ามากำกับดูแลทั่วประเทศ โปรแกรมค่าเทอมเป็น10,000เป็น100,000ต้องยกเลิกทั่วประเทศทันที สร้างภาระผู้ปกครองตลอดม.ต้น ม.ปลาย.หรือประถมกันเลย,นักเรียนไม่มีตังเป็นหมื่นๆก็เข้าเรียนห้องพิเศษนั้นไม่ได้,ม.ต้นก็จ่ายค่าเทอม ม.ปลายก็จ่ายค่าเทอม,ม.มหาลัย วิลัย ก็จ่ายค่าเทอม,โครงสร้างการศึกษาเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงจริงๆไม่นอมลงทุนด้านการศึกษาจริงต่อเยาวชนไทย นัยยะแฝงมุ่งให้เยาวชนตนเป็นทาสแรงงานกิจการเอกชนบริษัทหรือรัฐฐะ,องค์ความรู้จึงพยายามไม่ผลักดันเต็มที่ใครอยากเรียนสูงต้องเป็นนี้ คือนัยยะการสร้างกำแพงดีๆนี้เอง,แบบกีดกันทางภาษีนั้นล่ะ,ชัดเจนหน่อยก็กีดกันตำแหน่งการงานแบบกำแพงสอบ กพ.นั้นล่ะ,เสมือนกลุ่มโซนชนชั้นใครมัน เด็กจบมอใครมันแบบเดียวกัน,รุ่นมรึงรุ่นกูแบบเดียวกัน,สีกูสีมรึงแบบเดียวกัน,จึงอันตรายมาก. ..โครงสร้างการศึกษาเปลี่ยนแปลงสู่ยุคAIไม่พอ,เด็กๆเยาวชนเราต้องมีสัมมาอาชีพมั่นคงดูแลตัวเองและครอบครัวได้ด้วย มีรายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ยืนด้วยขาตนเองได้จริงในทุกๆเยาวชนไทยที่จบการเล่าเรียนออกไป มิใช่ทิ้งขวางเขาเธอเหล่านั้นในสังคมที่ดิ้นรนหาแดกใช้จ่ายจริงด้วยตังจากรายรับที่เข้ามาจริง จ่ายออกไปจริงในแต่ละวัน สถานศึกษาพยายามบิดงอบิดเบือนหักเหค่าจริงตรงจุดๆนี้ทั่วไทย,เพื่อสะท้อนว่าเด็กๆมิอาจมีภาระสำนึกคิดด้านนี้เมื่อเล่าเรียน ให้มุ่งแสวงหาความรู้ ,แต่ค่าจริงมิเป็นเช่นนั้น ค่าจริงคือมหาลัยผลิตคนตกงานเป็นจำนวนมากนั้นเอง,มหาลัย โรงเรียนตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม ต่างมีห้องพิเศษเป็นว่าเล่น หรือนัยยะแบบมหาลัยคือมุ่งทำตังทำรายได้แล้วนั้นเอง นักศึกษาคือลูกค้าของมหาลัยวิลัยของโรงเรียน,ได้ทั้งจากรัฐช่วยเหลือค่าหัวเด็กๆและเก็บสาระพัดมุกเอาแต่มีเรี่ยไรสไตล์ใดโปรแกรมพิเศษไหนเกิดขึ้นเพื่อแสวงหารายรับรายได้เข้าสถาบัน ส่วนมรึงๆจบไปแล้วจะได้งานจะตกงานเป็นเรื่องของมรึงก็ว่า,เอกชนไทยนำเข้าเครื่องจักรเอย แรงงานต่างด้าวเอยจำนวนมากเข้ามาตลอดถึงปัจจุบัน,ด้อยค่าคนเยาวชนในชาติตนแต่เสือกมาตั้งโรงงาน เปิดบริษัท ย้ายฐานผลิตมาสร้างบนแผ่นดินไทยแต่รับต่างด้าวเข้าทำงานแทนคนไทยเป็นอันมาก สารพัดข้ออ้างกดคนไทยตน อ้างด้อยค่าคุณภาพคนไทยตน,บางกิจการนำเข้าคนของตนแบบจีนมาทำงานที่โรงงานไทยของทุนจีนกันเต็มโรงงานเลย, สถานศึกษาต้องประมาณการกำลังคนแรงงานกับกรมแรงงานให้ได้ ออกหลักสูตรอาชีพที่สามารถใกล้เคียงการเติบโตของเนื้องาน,บริหารคนงาน เด็กจบใหม่คนไทยตนก่อนเอาต่างด้าวมาทำ กระตุ้นองค์รู้ทั่วไทยทำไมเราต้องส่งเสริมเยาวชนไทยเราก่อนกับกิจการในบนแผ่นดินไทย,ทั้งของคนไทยเราเองและต่างชาติมาลงทุน,กำลังคนกรมแรงงานต้องประสานชัดเจนออนไลน์ได้,รวมๆต้องพลิกบทบาทบริหารจัดการครั้งใหญ่จริงๆจะมาเหี้ยแบบเดิมๆไม่ได้อีกแล้ว,แล้วเราคนไทยจะรอดจากสงครามตังสงครามจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันเรื่องปากท้องได้,ไม่ดักดานยากจนอีกแน่นอน,โครงสร้างการปกครองจึงต้องร่วมเปลี่ยนแปลงด้วย,ผู้นำต้องไม่กากๆนั้นเอง.หรือยิ่งเป็นผู้เหนือมนุษย์มากบารมียิ่งดี ยอมให้ขึ้นปกครองประเทศไทยร้อยปีพันปีก็ได้,หยั่งรู้อีกยิ่งเยี่ยม อ่านจิตอ่านใจคนออกยิ่งโหด,มรึงหนาวแน่ ใครคตใครโกงภายในสำนักนายกฯท่านๆเรียกไปคุยด้วยมีหนาว อาจประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตก็ได้ ยึดทรัพย์กันอนาถ,เชื่อมจิตได้ด้วย มรึงคุยกับใครทำชั่วที่ไหนดิวอะไรไว้,เชื่อมโยงถึงตัวพ่อหมด,คำสั่งลงไป สั่งเด็ดหัวทั้งหมด,ประเทศไทยคือผู้นำจิตวิญญาณแน่นอนไม่ต้องสงสัย,มิใช่สื่อบางช่องผีบ้ากากๆผู้นำจิตวิญญาณโทนี่ไปดูไบพะนะหรือแบบเสื้อแดงพะนะ ทางความคิดแบบส้มชูสามนิ้วก็โน้น,นี้ใช้นิยมผู้นำแห่งจิตวิญญาณที่ผิด,ที่ถูกคือสไตล์ทางโลกแบบนั้น สร้างมิตรไมตรีจึงไม่ใช่เรื่องยาก ตลอดผู้นำทางสงครามก็ไม่ยาก แว๊บเดียวหายตัวยืนอยู่หน้าศัตรูเด็ดหัวเลยก็ได้,ศัตรูไม่เกรงกลัวย่อมไม่ได้,ตานแน่นอนนั้นเองหากยังไม่พยายามเป็นคนดี,เพราะผู้นำทางจิตวิญญาณถอดจิตท่องจักรวาลทั่วทุกๆดวงดาวได้จริง,เชื่อมมิติที่สูงกว่าได้ แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีล้ำๆจึงมิใช่เรื่องยากอะไร,เรา..ประเทศไทยคนเหนือมนุษย์มีมากไม่น้อย,แต่ไม่ออกมา,จริงๆถึงเวลาอันสมควรแล้วจะที่ไทยหรือทั่วโลก ยอดมนุษย์เหล่านี้ควรแก่เวลาต้องเปิดเผยตัวตนจริงๆได้แล้วเพื่ออัพเลเวลโลกนี้ขึ้นอีกระดับจริงๆร่วมกันทั่วโลก,อย่าทำตัวผีบ้าหลบซ่อนตัวตนอีกเลย. https://youtube.com/shorts/mw78-XhjAQw?si=C9z2vO_AOjZJECMx
    0 Comments 0 Shares 219 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากคำสัญญาสู่คำจำกัดความใหม่: เมื่อ Tesla เปลี่ยนความหมายของ FSD และยอมรับว่า “ขับเองจริง” ยังมาไม่ถึง

    ย้อนกลับไปปี 2016 Tesla เคยประกาศว่า รถทุกคันที่ผลิตจะสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อให้ขับเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุม และตั้งแต่ปี 2018 Elon Musk ก็พูดซ้ำทุกปีว่า “ภายในสิ้นปีนี้” ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะพร้อมใช้งานจริง

    Tesla ยังขายแพ็กเกจ “Full Self-Driving Capability” (FSD) ให้ลูกค้าราคา $15,000 พร้อมคำสัญญาว่าจะอัปเดตให้รถขับเองได้ในอนาคต แต่ในปี 2025 Tesla ยอมรับแล้วว่า รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเองโดยสมบูรณ์ และไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรด

    ล่าสุด Tesla ได้เปลี่ยนชื่อแพ็กเกจเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” พร้อมระบุในเงื่อนไขว่า “ไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ” และ “ไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต” ซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้ซื้อความสามารถขับเองแบบที่เคยสัญญาไว้

    ที่น่าจับตามองคือ Tesla ยังใช้คำว่า FSD ในแผนการจ่ายค่าตอบแทนให้ Elon Musk ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง $1 ล้านล้านดอลลาร์ หากบรรลุเป้าหมาย เช่น มีผู้สมัครใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย แต่ในเอกสารนั้น Tesla ได้เปลี่ยนคำจำกัดความของ FSD ให้คลุมเครือว่า “เป็นระบบช่วยขับที่สามารถทำงานคล้ายอัตโนมัติในบางสถานการณ์”

    นั่นหมายความว่า แม้ระบบจะยังต้องมีคนจับพวงมาลัยตลอดเวลา ก็ยังถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่ และ Musk ก็อาจได้รับหุ้นมูลค่ามหาศาลจากการเปลี่ยนคำจำกัดความนี้

    การเปลี่ยนแปลงของคำว่า FSD
    เดิมหมายถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องมีคนควบคุม
    ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” ที่ยังต้องมีคนจับพวงมาลัย
    Tesla ระบุชัดว่าไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ และไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต

    ผลกระทบต่อผู้ซื้อ FSD
    รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเอง
    ไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ให้กับรถรุ่นเก่า
    ผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้รับคำสัญญาแบบเดียวกับผู้ซื้อในอดีต

    แผนค่าตอบแทนของ Elon Musk
    Tesla เสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนสูงสุด $1 ล้านล้านดอลลาร์
    หนึ่งในเป้าหมายคือมีผู้ใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย
    คำจำกัดความของ FSD ในเอกสารถูกเปลี่ยนให้คลุมเครือ

    ความแตกต่างระหว่างการตลาดกับเอกสารทางกฎหมาย
    Tesla ใช้คำว่า “ขับเองได้” ในการขาย แต่ใช้คำว่า “ช่วยขับ” ในเอกสาร
    ระบบที่ยังต้องมีคนควบคุมก็ถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่
    อาจนำไปสู่การจ่ายหุ้นให้ Musk แม้ระบบยังไม่ขับเองจริง

    https://electrek.co/2025/09/05/tesla-changes-meaning-full-self-driving-give-up-promise-autonomy/
    🎙️ เรื่องเล่าจากคำสัญญาสู่คำจำกัดความใหม่: เมื่อ Tesla เปลี่ยนความหมายของ FSD และยอมรับว่า “ขับเองจริง” ยังมาไม่ถึง ย้อนกลับไปปี 2016 Tesla เคยประกาศว่า รถทุกคันที่ผลิตจะสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อให้ขับเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุม และตั้งแต่ปี 2018 Elon Musk ก็พูดซ้ำทุกปีว่า “ภายในสิ้นปีนี้” ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะพร้อมใช้งานจริง Tesla ยังขายแพ็กเกจ “Full Self-Driving Capability” (FSD) ให้ลูกค้าราคา $15,000 พร้อมคำสัญญาว่าจะอัปเดตให้รถขับเองได้ในอนาคต แต่ในปี 2025 Tesla ยอมรับแล้วว่า รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเองโดยสมบูรณ์ และไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรด ล่าสุด Tesla ได้เปลี่ยนชื่อแพ็กเกจเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” พร้อมระบุในเงื่อนไขว่า “ไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ” และ “ไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต” ซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้ซื้อความสามารถขับเองแบบที่เคยสัญญาไว้ ที่น่าจับตามองคือ Tesla ยังใช้คำว่า FSD ในแผนการจ่ายค่าตอบแทนให้ Elon Musk ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง $1 ล้านล้านดอลลาร์ หากบรรลุเป้าหมาย เช่น มีผู้สมัครใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย แต่ในเอกสารนั้น Tesla ได้เปลี่ยนคำจำกัดความของ FSD ให้คลุมเครือว่า “เป็นระบบช่วยขับที่สามารถทำงานคล้ายอัตโนมัติในบางสถานการณ์” นั่นหมายความว่า แม้ระบบจะยังต้องมีคนจับพวงมาลัยตลอดเวลา ก็ยังถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่ และ Musk ก็อาจได้รับหุ้นมูลค่ามหาศาลจากการเปลี่ยนคำจำกัดความนี้ ✅ การเปลี่ยนแปลงของคำว่า FSD ➡️ เดิมหมายถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องมีคนควบคุม ➡️ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” ที่ยังต้องมีคนจับพวงมาลัย ➡️ Tesla ระบุชัดว่าไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ และไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต ✅ ผลกระทบต่อผู้ซื้อ FSD ➡️ รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเอง ➡️ ไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ให้กับรถรุ่นเก่า ➡️ ผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้รับคำสัญญาแบบเดียวกับผู้ซื้อในอดีต ✅ แผนค่าตอบแทนของ Elon Musk ➡️ Tesla เสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนสูงสุด $1 ล้านล้านดอลลาร์ ➡️ หนึ่งในเป้าหมายคือมีผู้ใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย ➡️ คำจำกัดความของ FSD ในเอกสารถูกเปลี่ยนให้คลุมเครือ ✅ ความแตกต่างระหว่างการตลาดกับเอกสารทางกฎหมาย ➡️ Tesla ใช้คำว่า “ขับเองได้” ในการขาย แต่ใช้คำว่า “ช่วยขับ” ในเอกสาร ➡️ ระบบที่ยังต้องมีคนควบคุมก็ถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่ ➡️ อาจนำไปสู่การจ่ายหุ้นให้ Musk แม้ระบบยังไม่ขับเองจริง https://electrek.co/2025/09/05/tesla-changes-meaning-full-self-driving-give-up-promise-autonomy/
    ELECTREK.CO
    Tesla changes meaning of 'Full Self-Driving', gives up on promise of autonomy
    Tesla has changed the meaning of “Full Self-Driving”, also known as “FSD”, to give up on its original promise of...
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Snapdragon X ถึง 18A: เมื่อ Intel ถูกปฏิเสธกลางเวที foundry และ Qualcomm เลือก TSMC อย่างเด็ดขาด

    Cristiano Amon ซีอีโอของ Qualcomm ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2025 โดยกล่าวว่า “Intel ยังไม่ใช่ตัวเลือกในวันนี้” สำหรับการผลิตชิป Snapdragon X ที่ใช้ในโน้ตบุ๊กแบบบางเบา แม้จะเสริมว่า “เราก็อยากให้ Intel เป็นตัวเลือกในอนาคต” แต่คำพูดนี้ก็สะเทือนแผนการพลิกโฉมธุรกิจของ Intel อย่างจัง

    Snapdragon X ถูกผลิตโดย TSMC บนเทคโนโลยี N4 ซึ่งเป็นกระบวนการระดับ 4 นาโนเมตรที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง และเหมาะกับชิปที่มี GPU และ NPU ขนาดใหญ่ โดย Qualcomm ใช้ชิปนี้ในโน้ตบุ๊กสถาปัตยกรรม Arm ที่สามารถแข่งขันกับ Intel ได้อย่างสูสี หรือเหนือกว่าในบางกรณี

    Intel กำลังพยายามเปลี่ยนบทบาทจากผู้ผลิตชิปสำหรับตนเอง ไปสู่การเป็นผู้ผลิตให้กับบริษัทอื่น (foundry) โดยหวังว่าจะมีลูกค้ารายใหญ่จากภายนอกมาใช้เทคโนโลยี 18A ซึ่งเป็น node ที่ Intel วางไว้เป็นจุดกลับสู่ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม

    แต่ Qualcomm กลับเลือก TSMC อย่างชัดเจน และคำพูดของ Amon ก็ทำให้ Intel สูญเสียหนึ่งในโอกาสที่ดีที่สุดในการสร้างชื่อเสียงในฐานะ foundry ระดับสูง โดยเฉพาะเมื่อ Apple, Nvidia และ AMD ต่างก็ใช้ TSMC สำหรับชิประดับเรือธงของตน

    ที่น่าสนใจคือ Intel เองก็ยังต้องพึ่ง TSMC ในการผลิตบางส่วนของ Nova Lake ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ของ Intel โดยใช้ TSMC N2 สำหรับชิประดับสูง และ Intel 18A สำหรับชิประดับล่าง—สะท้อนถึงความย้อนแย้งในแผนการของบริษัท

    คำพูดของ CEO Qualcomm
    “Intel ยังไม่ใช่ตัวเลือกในวันนี้” สำหรับการผลิต Snapdragon X
    “แต่เราก็อยากให้ Intel เป็นตัวเลือกในอนาคต”
    สะท้อนถึงความไม่พร้อมของ Intel ในการเป็น foundry ระดับสูง

    การเลือกใช้ TSMC ของ Qualcomm
    Snapdragon X ผลิตบน TSMC N4 ซึ่งเหมาะกับ mobile SoC
    ใช้ในโน้ตบุ๊ก Arm ที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง
    แข่งขันกับ Intel ได้อย่างสูสี หรือเหนือกว่าในบางกรณี

    สถานการณ์ของ Intel
    พยายามเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ผลิตชิปให้บริษัทอื่น
    หวังให้ 18A เป็น node ที่นำกลับสู่ความเป็นผู้นำ
    Nova Lake ใช้ TSMC N2 สำหรับชิประดับสูง และ Intel 18A สำหรับชิประดับล่าง

    บริบทของตลาด foundry
    Apple, Nvidia, AMD ใช้ TSMC สำหรับชิประดับเรือธง
    TSMC ครองตลาด node ขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง
    Intel ยังไม่สามารถดึงลูกค้ารายใหญ่เข้ามาได้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/qualcomm-ceo-says-intel-not-an-option-for-chip-production
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Snapdragon X ถึง 18A: เมื่อ Intel ถูกปฏิเสธกลางเวที foundry และ Qualcomm เลือก TSMC อย่างเด็ดขาด Cristiano Amon ซีอีโอของ Qualcomm ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2025 โดยกล่าวว่า “Intel ยังไม่ใช่ตัวเลือกในวันนี้” สำหรับการผลิตชิป Snapdragon X ที่ใช้ในโน้ตบุ๊กแบบบางเบา แม้จะเสริมว่า “เราก็อยากให้ Intel เป็นตัวเลือกในอนาคต” แต่คำพูดนี้ก็สะเทือนแผนการพลิกโฉมธุรกิจของ Intel อย่างจัง Snapdragon X ถูกผลิตโดย TSMC บนเทคโนโลยี N4 ซึ่งเป็นกระบวนการระดับ 4 นาโนเมตรที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง และเหมาะกับชิปที่มี GPU และ NPU ขนาดใหญ่ โดย Qualcomm ใช้ชิปนี้ในโน้ตบุ๊กสถาปัตยกรรม Arm ที่สามารถแข่งขันกับ Intel ได้อย่างสูสี หรือเหนือกว่าในบางกรณี Intel กำลังพยายามเปลี่ยนบทบาทจากผู้ผลิตชิปสำหรับตนเอง ไปสู่การเป็นผู้ผลิตให้กับบริษัทอื่น (foundry) โดยหวังว่าจะมีลูกค้ารายใหญ่จากภายนอกมาใช้เทคโนโลยี 18A ซึ่งเป็น node ที่ Intel วางไว้เป็นจุดกลับสู่ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม แต่ Qualcomm กลับเลือก TSMC อย่างชัดเจน และคำพูดของ Amon ก็ทำให้ Intel สูญเสียหนึ่งในโอกาสที่ดีที่สุดในการสร้างชื่อเสียงในฐานะ foundry ระดับสูง โดยเฉพาะเมื่อ Apple, Nvidia และ AMD ต่างก็ใช้ TSMC สำหรับชิประดับเรือธงของตน ที่น่าสนใจคือ Intel เองก็ยังต้องพึ่ง TSMC ในการผลิตบางส่วนของ Nova Lake ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ของ Intel โดยใช้ TSMC N2 สำหรับชิประดับสูง และ Intel 18A สำหรับชิประดับล่าง—สะท้อนถึงความย้อนแย้งในแผนการของบริษัท ✅ คำพูดของ CEO Qualcomm ➡️ “Intel ยังไม่ใช่ตัวเลือกในวันนี้” สำหรับการผลิต Snapdragon X ➡️ “แต่เราก็อยากให้ Intel เป็นตัวเลือกในอนาคต” ➡️ สะท้อนถึงความไม่พร้อมของ Intel ในการเป็น foundry ระดับสูง ✅ การเลือกใช้ TSMC ของ Qualcomm ➡️ Snapdragon X ผลิตบน TSMC N4 ซึ่งเหมาะกับ mobile SoC ➡️ ใช้ในโน้ตบุ๊ก Arm ที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง ➡️ แข่งขันกับ Intel ได้อย่างสูสี หรือเหนือกว่าในบางกรณี ✅ สถานการณ์ของ Intel ➡️ พยายามเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ผลิตชิปให้บริษัทอื่น ➡️ หวังให้ 18A เป็น node ที่นำกลับสู่ความเป็นผู้นำ ➡️ Nova Lake ใช้ TSMC N2 สำหรับชิประดับสูง และ Intel 18A สำหรับชิประดับล่าง ✅ บริบทของตลาด foundry ➡️ Apple, Nvidia, AMD ใช้ TSMC สำหรับชิประดับเรือธง ➡️ TSMC ครองตลาด node ขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง ➡️ Intel ยังไม่สามารถดึงลูกค้ารายใหญ่เข้ามาได้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/qualcomm-ceo-says-intel-not-an-option-for-chip-production
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Qualcomm CEO says Intel ‘not an option’ for chip production — yet
    Cristiano Amon’s remarks underscore the gap between Intel’s ambitious foundry roadmap and reality.
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
More Results