• นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 1 : พี่เลี้ยงนางนม
    อเมริกาพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ที่วันนี้กำลังถูกท้าทาย จะรักษาตำแหน่งหมายเลขหนึ่งได้หรือไม่ ได้อีกนานเท่าไร ชาวโลกกำลังจับตามอง อเมริกา ขยับขา อ้าแขน แหกปาก ไม่ว่าจะทำอะไรเป็นข่าวไปทั่วโลก แต่เป็นข่าวในทางร้ายมากกว่าดี แต่ถึงอย่างนี้ก็ยังมีชาวโลกสวยชื่นชอบอเมริกา ผู้นำความเจริญมาสู่โลก ผู้นำเศรษฐกิจเสรี โลกาภิวัฒน์มันไปทุกอย่าง ไม่ ว่าการค้า การศึกษา วัฒนธรรม ฯลฯ ไม่มีอเมริกาเป็นเพื่อน ไม่มีอเมริกาตบหัวลูบหลัง หรืออเมริกาไม่เห็นด้วย ไม่ว่าเรื่องอะไร จะเป็นจะตายเสียให้ได้
    แต่ถ้าถามชาวแหกคอกไม่ว่าพันธ์เทศพันธ์ไทย ต่างบอก ถุด ! อเมริกา มันก็แค่นักล่า(อาณานิคม)รุ่นใหม่ กระสันอยากจะป็นจักรวรรดิอเมริกา แต่ใจไม่ถึงที่จะประกาศให้โลกรู้ ได้แต่ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก อย่างงี้นักเลงจริงเขาดูถูก (โปรดนึกถึงหน้าพี่ปูตินเวลาพูดกับนายโอบามาก็แล้วกัน) แล้วสมันน้อยว่าไงจ๊ะ เห็นอเมริกาเป็นพี่เบิ้ม ผู้นำ ผู้พิทักษ์ ผู้ปกครอง ฯลฯ หรือเป็นนักล่ารุ่นใหม่ ไม่ต่างกับจิ๊กโก๋ปากซอย กล้าเบ่งแต่กับผู้อ่อนแอกว่า เจอนักเลงใหญ่อย่างพี่ปู หรือแค่อาเฮียยืนหน้าเฉย อย่าติดเบรคใส่เกียร์ว่างก็แล้วกัน
    แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพึ่งลงมติ นี่ยังไม่ถึงตีสี่ มีเวลาตัดสินใจ อ่านนิทานกันไปเรื่อยๆก่อนแล้วกัน อ่านๆไปก็จะมองออกเองแหละ ว่าอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์ของโลกสวย หรือเป็นนักล่าของชาวแหกคอก รู้จักเขาให้ชัดเจน จะได้รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวเองหรือปฏิบัติกับอเมริกาอย่างไร
    นักวิเคราะห์การเมืองรุ่นใหม่(สมัยนั้น) ต่างประสานเสียงเชียร์ บอกว่าอเมริกาเป็นนักล่าแน่นอนที่สุดและไม่ได้เป็นนักล่าแบบอุบัติเหตุ ไม่ใช่ประเภทเป็นเด็กกำพร้าไม่มีใครเลี้ยงดู เลยต้องปากถีบตีนกัด ออกมาล่าเหยื่อเลี้ยงตัวเองตั้งกะเด็ก ไม่ใช่นะ อย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด อเมริกาเป็นลูกคนรวย ที่ถูกเลี้ยง ถูกฝึก ถูกเลือกให้เป็นนักล่าเหยื่อต่างหาก ถูกเลือก เข้าใจไหม (America was chosen to be an empire) มันมีการวางยุทธศาสตร์ หารือ วางแผนและปฏิบัติการให้อเมริกาเป็นนักล่าเป็น American Empire !
    เอาละซิ แล้วใครล่ะที่เป็นพี่เลี้ยงนางนม เป็นคนฝึก เป็นคนวางแผนให้อเมริกาเป็นนักล่า จะรู้ให้แน่ต้องแกะรอยเก่าของนักล่าย้อนไปให้เห็นภาพตั้งแต่ ยังเป็นละอ่อน เริ่มตั้งไข่ ดูว่าเขาหัดเดิน หัดคลานอย่างไร ใครเป็นพี่เลี้ยง เป็นพี่เลี้ยงแบบไหน ประเภทวิ่งไปตามเนินเขา แล้วร้องเพลง The Sound of Music หรือเปล่า (ท่านที่เกิดไม่ทันหนังเรื่องนี้ ขออำไพนะครับ ถึงไม่เคยดู ก็น่าจะเคยได้ยินเพลงบ้างน่า พระเอกมีลูกเป็นพรวน เมียตาย หรือไงเนี่ย ผมก็จำไม่ค่อยได้ จ้างนางเอกมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลเด็ก ในที่สุดพระเอกก็รักกับคุณพี่เลี้ยงตามฟอร์ม เด็กก็ดีใจไชโย เรื่องแสนจะธรรมดา สมัยนั้น ไม่มีอะไรซับซ้อนจนแบบเดาไมได้ ไม่ใช่หนังจบแล้ว หันหน้ามองกัน เลิกลั่ก มึนไปหมด ไม่มีครับ) หรือถ้าไม่เป็นพี่เลี้ยงแต่เป็นแม่เลี้ยง แบบแม่เลี้ยงใจร้ายของหนูน้อย Cinderella หนังการ์ตูนยอดฮิตของ Walt Disney ก่อนมาทำเป็นหนังใหญ่ เห็นไหมครับ ขนาดจะอธิบายเรื่องพี่เลี้ยง แม่เลี้ยง ยังต้องยกตัวอย่างหนัง Hollywood เลย เห็นอิทธิพลของเขาไหม จะให้ยกตัวอย่างเป็นปลาบู่ทอง จะมีใครรู้เรื่องบ้าง
    ผู้ที่ร่วมมือกัน ทำหน้าที่พี่เลี้ยง ป้อนนม ป้อนน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม จับอเมริกาตั้งไข่ หัดเดิน ซ้อมให้เป็นนักล่า ไม่ใช่ใครที่ไหนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่เป็นกลุ่มชนชั้นนำในสังคมอเมริกา คือ พวก Elites นั่นแหละ ที่ประกอบด้วย นายธนาคารและบรรดาบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอเมริกา (Americas Industrial Revolution) ในปลายศตวรรษที่ 19 รวมทั้งพวกมูลนิธิ ที่อ้างตัวว่าก่อตั้งขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ Philanthropic Foundations (พวกมูลนิธิแบบนี้น่ะในบ้านเราก็มีจับตากันให้ดี สอดไส้กันง่ายเหลือเกิน) สถาบันการศึกษาชั้นนำต่างๆ และสถาบันที่เป็นถังความคิด (Think Tank) รวมทั้งกลุ่มทุนธุรกิจ ซึ่งเดินกร่างอยู่บนเส้นทางของอำนาจ สรุปง่ายๆ ว่าเป็นกลุ่มคน ที่ถ้าเปรียบแบบฝรั่ง เขาก็จะบอกว่าเป็นเหมือนพวก cream หรือ topping ที่อยู่ชั้นบนสุดของขนมเค้กนั่นแหละ คือกลุ่มผู้ที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงนักล่า
    ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มต้น พี่เลี้ยงนักล่าที่เดินร้องเพลงเชียร์นำมาก่อนคือพวกนักยุทธศาสตร์อเมริกัน เริ่มประสานเสียงเรียกหา New Global American Empire จักรวรรดิอเมริกาที่จะครองโลกอ ยู่ไหน นำโดย Henry R. Luce บัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Yale ผู้ก่อตั้งหนังสือ Time Magazine, Life และ Fortune ซึ่งเป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการสำนักพิมพ์ ที่มีอิทธิพลในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 และเป็นหัวหน้ากองเชียร์ เสียงดังของพรรค Republican ซึ่งต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย ขนาดไปเป็นที่ปรึกษาให้กับพวกนักการเมืองเผด็จการทางฝั่งยุโรป เช่น Mussolini ของอิตาลีและพวกนาซีของเยอรมัน ด้วยความเชื่อว่าวิถีของเผด็จการ จะหยุดการแพร่พันธ์ของคอมมิวนิสต์ได้ เชื่อกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
    ในปี ค.ศ.1941 นาย Luce เขียนบทความดังเป็นพลุแตก (แบบนิทานจิกโก๋ปากซอย ฮา) ลงในนิตยสาร Life ชื่อ The American Century ศตวรรษของอเมริกา เขาบอกว่าศตวรรษที่ 20 นี้ จะเป็นเวลาของอเมริกา เป็นช่วงเวลาที่โลกจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้นำโลกตัวจริงมาแล้ว มันไม่เหมือนกับการเป็นจักรวรรดิแบบโรม หรือเจ็งกิสข่านหรือจักรภพอังกฤษ ที่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่จะเป็นจักรวรรดิเพื่อมนุษย์ชาติทั้งปวง ไม่ใช่เฉพาะแต่อเมริกันชนเท่านั้น ว่าเข้านั่น พูดแบบอเมริกันแท้ ไม่มีเทียมเลยคุณพี่ คุณพี่ Luce นี่นอกจากเชียร์สุดลิ่ม และยังเป็นนักฝันดีอีกด้วย
    ในขณะที่นาย Luce เป็นนักร้องนำ เขียนบทความสรรเสริญอเมริกา ลงทุนผ่านปากกา แต่ผู้ที่ลงแรง ลงมือ ลงขัน จัดการให้ ศตวรรษอเมริกาเกิดขึ้นจริงๆ ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด มาจากความคิดริเริ่มและการผลัก ดันของ the Council on Foreign Relations (CFR) กลุ่มนักคิด นักวางแผนโคตรชั่ว ตัวแสบนั่นเอง และนักยุทธศาสตร์คนสำคัญ CFR ที่เป็นหัวรถจักร ของรถไฟสายพี่เลี้ยง คือนาย Dean Acheson นาย Acheson นี้ มีประวัติน่าสนใจ เขาเป็นทนายความ ต่อมาเปลี่ยนเส้นทางมาเข้าวงการ เมือง ไต่กระไดขึ้นมาเรื่อย จนในที่สุดได้เป็น Secretary of State ช่วงปี ค.ศ.1949 – 1953 สมัยนาย Truman เป็นประธานาธิบดี เขามีส่วนสำคัญในการร่างนโยบาย ตปท. ของอเมริกาในช่วงสงครามเย็น (เอ! ใครเอาอย่างนะ จากทนายหน้าหอ มาเป็น รอ มอ ตอ ต่างประเทศ)
    ตั้งแต่ปี ค.ศ.1939 เมื่อเยอรมันบุกโปแลนด์ นาย Acheson เขียนหนังสือเรื่อง An American Attitude เป็นใบสั่งล่วงหน้าว่า หลัง สงครามโลกจบ อเมริกาจะต้องทำอะบ้าง (เขาสั่งกันได้ตั้งแต่ก่อนเข้าไปร่วมทำสงคราม) สิ่งที่สำคัญอเมริกาจะต้องทำคือ ทำให้โลกมีเสรีภาพในทางเศรษฐกิจการค้า หลังจากนั้นนาย Acheson ก็เป็นหนึ่งในคณะผู้ทำงานของ CFR ในการวางแผน ตั้งไข่ ให้แก่นักล่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
    แม้ว่าอเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการในปลายปี ค.ศ.1941 แต่ CFR วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า อเมริกาจะต้องเข้าสู่สงครามโลก เลิกยืนกอดอกดูอยู่ข้างสนามแบบนั้นมันจะไปได้เรื่องอะไร กระโดดลงไปในสนามรบได้แล้ว อันที่จริงพวกเขาวางแผนตั้งแต่ก่อนสงครามโลกจะเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ ที่จะให้อเมริกากระโจนลงไปในสนามรบ
    คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 1 : พี่เลี้ยงนางนม อเมริกาพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ที่วันนี้กำลังถูกท้าทาย จะรักษาตำแหน่งหมายเลขหนึ่งได้หรือไม่ ได้อีกนานเท่าไร ชาวโลกกำลังจับตามอง อเมริกา ขยับขา อ้าแขน แหกปาก ไม่ว่าจะทำอะไรเป็นข่าวไปทั่วโลก แต่เป็นข่าวในทางร้ายมากกว่าดี แต่ถึงอย่างนี้ก็ยังมีชาวโลกสวยชื่นชอบอเมริกา ผู้นำความเจริญมาสู่โลก ผู้นำเศรษฐกิจเสรี โลกาภิวัฒน์มันไปทุกอย่าง ไม่ ว่าการค้า การศึกษา วัฒนธรรม ฯลฯ ไม่มีอเมริกาเป็นเพื่อน ไม่มีอเมริกาตบหัวลูบหลัง หรืออเมริกาไม่เห็นด้วย ไม่ว่าเรื่องอะไร จะเป็นจะตายเสียให้ได้ แต่ถ้าถามชาวแหกคอกไม่ว่าพันธ์เทศพันธ์ไทย ต่างบอก ถุด ! อเมริกา มันก็แค่นักล่า(อาณานิคม)รุ่นใหม่ กระสันอยากจะป็นจักรวรรดิอเมริกา แต่ใจไม่ถึงที่จะประกาศให้โลกรู้ ได้แต่ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก อย่างงี้นักเลงจริงเขาดูถูก (โปรดนึกถึงหน้าพี่ปูตินเวลาพูดกับนายโอบามาก็แล้วกัน) แล้วสมันน้อยว่าไงจ๊ะ เห็นอเมริกาเป็นพี่เบิ้ม ผู้นำ ผู้พิทักษ์ ผู้ปกครอง ฯลฯ หรือเป็นนักล่ารุ่นใหม่ ไม่ต่างกับจิ๊กโก๋ปากซอย กล้าเบ่งแต่กับผู้อ่อนแอกว่า เจอนักเลงใหญ่อย่างพี่ปู หรือแค่อาเฮียยืนหน้าเฉย อย่าติดเบรคใส่เกียร์ว่างก็แล้วกัน แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพึ่งลงมติ นี่ยังไม่ถึงตีสี่ มีเวลาตัดสินใจ อ่านนิทานกันไปเรื่อยๆก่อนแล้วกัน อ่านๆไปก็จะมองออกเองแหละ ว่าอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์ของโลกสวย หรือเป็นนักล่าของชาวแหกคอก รู้จักเขาให้ชัดเจน จะได้รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวเองหรือปฏิบัติกับอเมริกาอย่างไร นักวิเคราะห์การเมืองรุ่นใหม่(สมัยนั้น) ต่างประสานเสียงเชียร์ บอกว่าอเมริกาเป็นนักล่าแน่นอนที่สุดและไม่ได้เป็นนักล่าแบบอุบัติเหตุ ไม่ใช่ประเภทเป็นเด็กกำพร้าไม่มีใครเลี้ยงดู เลยต้องปากถีบตีนกัด ออกมาล่าเหยื่อเลี้ยงตัวเองตั้งกะเด็ก ไม่ใช่นะ อย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด อเมริกาเป็นลูกคนรวย ที่ถูกเลี้ยง ถูกฝึก ถูกเลือกให้เป็นนักล่าเหยื่อต่างหาก ถูกเลือก เข้าใจไหม (America was chosen to be an empire) มันมีการวางยุทธศาสตร์ หารือ วางแผนและปฏิบัติการให้อเมริกาเป็นนักล่าเป็น American Empire ! เอาละซิ แล้วใครล่ะที่เป็นพี่เลี้ยงนางนม เป็นคนฝึก เป็นคนวางแผนให้อเมริกาเป็นนักล่า จะรู้ให้แน่ต้องแกะรอยเก่าของนักล่าย้อนไปให้เห็นภาพตั้งแต่ ยังเป็นละอ่อน เริ่มตั้งไข่ ดูว่าเขาหัดเดิน หัดคลานอย่างไร ใครเป็นพี่เลี้ยง เป็นพี่เลี้ยงแบบไหน ประเภทวิ่งไปตามเนินเขา แล้วร้องเพลง The Sound of Music หรือเปล่า (ท่านที่เกิดไม่ทันหนังเรื่องนี้ ขออำไพนะครับ ถึงไม่เคยดู ก็น่าจะเคยได้ยินเพลงบ้างน่า พระเอกมีลูกเป็นพรวน เมียตาย หรือไงเนี่ย ผมก็จำไม่ค่อยได้ จ้างนางเอกมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลเด็ก ในที่สุดพระเอกก็รักกับคุณพี่เลี้ยงตามฟอร์ม เด็กก็ดีใจไชโย เรื่องแสนจะธรรมดา สมัยนั้น ไม่มีอะไรซับซ้อนจนแบบเดาไมได้ ไม่ใช่หนังจบแล้ว หันหน้ามองกัน เลิกลั่ก มึนไปหมด ไม่มีครับ) หรือถ้าไม่เป็นพี่เลี้ยงแต่เป็นแม่เลี้ยง แบบแม่เลี้ยงใจร้ายของหนูน้อย Cinderella หนังการ์ตูนยอดฮิตของ Walt Disney ก่อนมาทำเป็นหนังใหญ่ เห็นไหมครับ ขนาดจะอธิบายเรื่องพี่เลี้ยง แม่เลี้ยง ยังต้องยกตัวอย่างหนัง Hollywood เลย เห็นอิทธิพลของเขาไหม จะให้ยกตัวอย่างเป็นปลาบู่ทอง จะมีใครรู้เรื่องบ้าง ผู้ที่ร่วมมือกัน ทำหน้าที่พี่เลี้ยง ป้อนนม ป้อนน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม จับอเมริกาตั้งไข่ หัดเดิน ซ้อมให้เป็นนักล่า ไม่ใช่ใครที่ไหนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่เป็นกลุ่มชนชั้นนำในสังคมอเมริกา คือ พวก Elites นั่นแหละ ที่ประกอบด้วย นายธนาคารและบรรดาบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอเมริกา (Americas Industrial Revolution) ในปลายศตวรรษที่ 19 รวมทั้งพวกมูลนิธิ ที่อ้างตัวว่าก่อตั้งขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ Philanthropic Foundations (พวกมูลนิธิแบบนี้น่ะในบ้านเราก็มีจับตากันให้ดี สอดไส้กันง่ายเหลือเกิน) สถาบันการศึกษาชั้นนำต่างๆ และสถาบันที่เป็นถังความคิด (Think Tank) รวมทั้งกลุ่มทุนธุรกิจ ซึ่งเดินกร่างอยู่บนเส้นทางของอำนาจ สรุปง่ายๆ ว่าเป็นกลุ่มคน ที่ถ้าเปรียบแบบฝรั่ง เขาก็จะบอกว่าเป็นเหมือนพวก cream หรือ topping ที่อยู่ชั้นบนสุดของขนมเค้กนั่นแหละ คือกลุ่มผู้ที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงนักล่า ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มต้น พี่เลี้ยงนักล่าที่เดินร้องเพลงเชียร์นำมาก่อนคือพวกนักยุทธศาสตร์อเมริกัน เริ่มประสานเสียงเรียกหา New Global American Empire จักรวรรดิอเมริกาที่จะครองโลกอ ยู่ไหน นำโดย Henry R. Luce บัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Yale ผู้ก่อตั้งหนังสือ Time Magazine, Life และ Fortune ซึ่งเป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการสำนักพิมพ์ ที่มีอิทธิพลในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 และเป็นหัวหน้ากองเชียร์ เสียงดังของพรรค Republican ซึ่งต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย ขนาดไปเป็นที่ปรึกษาให้กับพวกนักการเมืองเผด็จการทางฝั่งยุโรป เช่น Mussolini ของอิตาลีและพวกนาซีของเยอรมัน ด้วยความเชื่อว่าวิถีของเผด็จการ จะหยุดการแพร่พันธ์ของคอมมิวนิสต์ได้ เชื่อกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในปี ค.ศ.1941 นาย Luce เขียนบทความดังเป็นพลุแตก (แบบนิทานจิกโก๋ปากซอย ฮา) ลงในนิตยสาร Life ชื่อ The American Century ศตวรรษของอเมริกา เขาบอกว่าศตวรรษที่ 20 นี้ จะเป็นเวลาของอเมริกา เป็นช่วงเวลาที่โลกจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้นำโลกตัวจริงมาแล้ว มันไม่เหมือนกับการเป็นจักรวรรดิแบบโรม หรือเจ็งกิสข่านหรือจักรภพอังกฤษ ที่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่จะเป็นจักรวรรดิเพื่อมนุษย์ชาติทั้งปวง ไม่ใช่เฉพาะแต่อเมริกันชนเท่านั้น ว่าเข้านั่น พูดแบบอเมริกันแท้ ไม่มีเทียมเลยคุณพี่ คุณพี่ Luce นี่นอกจากเชียร์สุดลิ่ม และยังเป็นนักฝันดีอีกด้วย ในขณะที่นาย Luce เป็นนักร้องนำ เขียนบทความสรรเสริญอเมริกา ลงทุนผ่านปากกา แต่ผู้ที่ลงแรง ลงมือ ลงขัน จัดการให้ ศตวรรษอเมริกาเกิดขึ้นจริงๆ ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด มาจากความคิดริเริ่มและการผลัก ดันของ the Council on Foreign Relations (CFR) กลุ่มนักคิด นักวางแผนโคตรชั่ว ตัวแสบนั่นเอง และนักยุทธศาสตร์คนสำคัญ CFR ที่เป็นหัวรถจักร ของรถไฟสายพี่เลี้ยง คือนาย Dean Acheson นาย Acheson นี้ มีประวัติน่าสนใจ เขาเป็นทนายความ ต่อมาเปลี่ยนเส้นทางมาเข้าวงการ เมือง ไต่กระไดขึ้นมาเรื่อย จนในที่สุดได้เป็น Secretary of State ช่วงปี ค.ศ.1949 – 1953 สมัยนาย Truman เป็นประธานาธิบดี เขามีส่วนสำคัญในการร่างนโยบาย ตปท. ของอเมริกาในช่วงสงครามเย็น (เอ! ใครเอาอย่างนะ จากทนายหน้าหอ มาเป็น รอ มอ ตอ ต่างประเทศ) ตั้งแต่ปี ค.ศ.1939 เมื่อเยอรมันบุกโปแลนด์ นาย Acheson เขียนหนังสือเรื่อง An American Attitude เป็นใบสั่งล่วงหน้าว่า หลัง สงครามโลกจบ อเมริกาจะต้องทำอะบ้าง (เขาสั่งกันได้ตั้งแต่ก่อนเข้าไปร่วมทำสงคราม) สิ่งที่สำคัญอเมริกาจะต้องทำคือ ทำให้โลกมีเสรีภาพในทางเศรษฐกิจการค้า หลังจากนั้นนาย Acheson ก็เป็นหนึ่งในคณะผู้ทำงานของ CFR ในการวางแผน ตั้งไข่ ให้แก่นักล่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง แม้ว่าอเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการในปลายปี ค.ศ.1941 แต่ CFR วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า อเมริกาจะต้องเข้าสู่สงครามโลก เลิกยืนกอดอกดูอยู่ข้างสนามแบบนั้นมันจะไปได้เรื่องอะไร กระโดดลงไปในสนามรบได้แล้ว อันที่จริงพวกเขาวางแผนตั้งแต่ก่อนสงครามโลกจะเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ ที่จะให้อเมริกากระโจนลงไปในสนามรบ คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • รูปหล่อหลวงปู่ไข่ วัดเชิงเลน กรุงเทพ
    รูปหล่อหลวงปู่ไข่ เนื้อทองเหลือง ก้นอุดกริ่ง วัดเชิงเลน กรุงเทพ // พระดีพิธีใหญ๋ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ

    ** พุทธคุณเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย มหาอุด รวมทั้งไล่ภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย >>

    ** หลวงปู่ไข่ วัดเชิงเลน เกจิดังนักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เมตตาสูง ผู้สร้างพระเครื่องยอดนิยม หายาก พุทธคุณเลื่องชื่อรอบด้าน เมื่อท่านอายุได้ 6 ขวบโยมบิดาได้นำท่านไปฝากกับหลวงพ่อปาน วัดโสธรฯ เพื่อให้เรียนหนังสือ ต่อมาจึงได้บวชเป็นสามเณร ชื่อเสียงของหลวงปู่ไข่ วัดเชิงเลน นั้นโด่งดังมาหลายทศวรรษแล้ว เพราะเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้สร้าง พระปิดตา เนื้อผงคลุกรัก ที่มากด้วยพุทธคุณ และ เหรียญรูปเหมือน มีค่านิยมสูงในวงการพระเครื่อง นอกจากนี้ยังมีพระอรหัง กลีบบัวเคลือบ และไม่เคลือบ เครื่องราง เช่น ตะกรุด ผ้าประเจียด และรูปถ่าย แม้ หลวงปู่ไข่ ไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์ เป็นเพียงพระหลวงตาประจำวัด แต่การปฏิบัติและกิตติคุณของท่าน เป็นที่เลื่องลือว่าทรงวิทยาวรคุณ เป็นพระวิปัสสนาที่มีชื่อเสียง และมีคุณธรรมสูง เป็นที่ยอมรับในหมู่นักปฏิบัติธรรม >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    รูปหล่อหลวงปู่ไข่ วัดเชิงเลน กรุงเทพ รูปหล่อหลวงปู่ไข่ เนื้อทองเหลือง ก้นอุดกริ่ง วัดเชิงเลน กรุงเทพ // พระดีพิธีใหญ๋ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ ** พุทธคุณเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย มหาอุด รวมทั้งไล่ภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย >> ** หลวงปู่ไข่ วัดเชิงเลน เกจิดังนักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เมตตาสูง ผู้สร้างพระเครื่องยอดนิยม หายาก พุทธคุณเลื่องชื่อรอบด้าน เมื่อท่านอายุได้ 6 ขวบโยมบิดาได้นำท่านไปฝากกับหลวงพ่อปาน วัดโสธรฯ เพื่อให้เรียนหนังสือ ต่อมาจึงได้บวชเป็นสามเณร ชื่อเสียงของหลวงปู่ไข่ วัดเชิงเลน นั้นโด่งดังมาหลายทศวรรษแล้ว เพราะเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้สร้าง พระปิดตา เนื้อผงคลุกรัก ที่มากด้วยพุทธคุณ และ เหรียญรูปเหมือน มีค่านิยมสูงในวงการพระเครื่อง นอกจากนี้ยังมีพระอรหัง กลีบบัวเคลือบ และไม่เคลือบ เครื่องราง เช่น ตะกรุด ผ้าประเจียด และรูปถ่าย แม้ หลวงปู่ไข่ ไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์ เป็นเพียงพระหลวงตาประจำวัด แต่การปฏิบัติและกิตติคุณของท่าน เป็นที่เลื่องลือว่าทรงวิทยาวรคุณ เป็นพระวิปัสสนาที่มีชื่อเสียง และมีคุณธรรมสูง เป็นที่ยอมรับในหมู่นักปฏิบัติธรรม >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 13
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 13
    นาย Kenneth จัดหลักสูตรปรับพื้นสนามล่า ให้การอบรมแก่เหล่าสมุนนักล่าอยู่ 2 ปี หลังจากนั้นก็มีคนอื่นมารับหน้าที่ปรับพื้นสนามต่อ ตัวเขาย้ายกลับไปอยู่กระทรวงต่าง ประเทศ เดินแกว่งไปมาอีกรอบ จน ค.ศ. 1966 Pentagon มีงานพิเศษ Advanced Research Project Agency (ARPA) ต้องการได้ข้อมูลแบบละเอียดเหมือนทำสารานุกรม เกี่ยวกับพื้นที่แถวอีสานเหนือของไทย ที่อเมริกามาสร้างสนามบินไว้หลายแห่ง เพื่อให้เครื่องบินรบของอเมริกา บินไปถล่มเวียตมินท์ เวียตนาม หรือกัมพูชา ข้อมูลที่ Pentagon ต้องการอยู่แถวอีสาณตอนบน แถบ นครพนม มุกดาหาร และเส้นทางตามแม่น้ำโขง นั้นแหละ ซึ่งอเมริกาอ้างว่าต้องการข้อมูล เพิ่ม หัวหน้าทีม ชื่อ Wilfred Smith ถูกตามตัวมาจากอียิปต์ ( ! ? ) เพื่อมาคุมทีม ทางPentagon ขอให้นาย Kenneth มาด้วย พร้อมกับนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ ผู้ชำนาญด้านเกษตรกรรม และสภาพอากาศ นาย Smith ตามประวัติบอกว่าเกิดและโตที่เมือง จีน พ่อแม่เป็นมิชชั่น นารี (อีกแล้ว!) ต่อมาเป็นทหารอเมริกัน และล่าสุดสังกัดหน่วย OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้ชำนาญด้านระบอบคอมมิวนิสต์ ชนิดติดตามแบบวันต่อวัน ประธานาธิบดี Kennedy ประทับใจมาก ให้ไปจิกตัวกลับมาจากอียิปต์ เพื่อมาคุมงานนี้ แต่เพื่อไม่ให้สมันน้อยตกใจจับไต๋ได้ แทนที่จะมาในนาม ARPA เขาใช้ชื่อบริษัท Philco บังหน้า จึงเรียก Phico Project
    บริษัท Philco นี้ เป็นคู่สัญญากับกองทัพอเมริกา รับงานสร้างและติดตั้งเครื่องมือสื่อสาร ตั้งแต่ชิ้นส่วนเล็กไปจนถึงสร้างสถานีส่งเรดาห์สัญญาณสื่อ สารและดาวเทียม เขามาทำอะไรมาสำรวจอะไร นาย Kenneth ไม่ได้โม้ให้ฟัง บอกว่ามาสำรวจอยู่กว่า 3 เดือน และเขาได้พบกับนายพจน์ สารสิน (อีกแล้ว ! ) ซึ่งตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีด้านพัฒนาสังคมของเมืองไทย ซึ่งอำนวยความสะดวกให้คณะสำรวจอย่างดี
    ก็น่าสนใจการสำรวจคร้ังนี้ หัวหน้าทีมชำนาญด้าน คอมมิวนิสต์ มาสำรวจพื้นที่บ้านเรา แถบที่พวกเขามาสร้างสนามบินไว้ แต่หอบเอานักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์มาด้วย จะว่ามาสำรวจเพื่อสร้างสนามบินเพิ่ม มันก็จะมากไปหน่อย จะต้ังสนามบินแฝดหรือไง หรือว่ามีอะไรพิเศษที่นักล่าสนใจรู้เค้ามา แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะรู้เรื่องกับเขาหรือเปล่า
    ท่านผู้อ่านนิทานจะพอจำกันได้ไหม เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง อันลือชื่อของไทยเรา ถูกค้นพบโดยนาย Stephen Young ลูกชายของฑูต Kenneth Young ประจำประเทศไทย เมื่อปี ค.ศ. 1966 ตอนนั้นนาย Stephen เพิ่งอายุประมาณ 15 – 16 ปี ยังเรียนหนังสืออยู่มัธยม มันเหลือเชื่อน่าสงสัยขนาดไหน ลองไปหาอ่านกันดู นาย Stephen Young ล่าสุดดำรงตำแหน่ง Global Exclusive Director ของ Caux Round Table
    และหวังว่ายังคงไม่ลืมค่ายรามสูร (ถ้าจำไม่ได้ ช่วยกลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอยนะครับ) ที่นักล่าสร้างไว้ที่อุดร ใหญ่ชนิดมีสนามกอล์ฟและสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิก มีพนักงาน 2,000 คน เอาไว้ดักฟังสัญญาณต่างๆ ได้ถึงดาวอังคาร เมื่อสงครามเวียตนามเลิก อเมริกาบอกปิดค่ายรามสูรอพยพกลับบ้าน แต่ข่าววงในบอกว่าอพยพแต่เจ้าหน้าที่ แต่เครื่องมือย้ายมาอยู่แถวบางเขน บ้างก็ว่าอยู่ทุ่งมหาเมฆ แต่สรุปว่า เอาแค่ป้ายชื่อค่ายรามสูรออก ขนคนทำงานประเภทเสมียนกลับอเมริกา ส่วนคนไทยก็ปลดออก แล้วย้ายเรดาห์ทั้งหมดมาอยู่ในที่กรุงเทพแทน! แหม! ดักฟังได้ชัดเจนกว่า นายกรัฐมนตรีคนไหนของไทยจะกระแอม จะคุยกับอาเฮีย หรือ จะเรียก 20 เรียก 30 กับมันได้ยินกันหมด แล้วมันจะไม่อยู่ในมือเขาหรือ แล้วไอ้เรื่อง Philco Project นั้นมันจะเกี่ยวข้องกับบ้านเชียงหรือเปล่า มันน่าอัศจรรย์เกินบรรยาย กรมศิลปากรทั้งกรมค้นหามาไม่รู้กี่สิบปีไม่เจอซักกะหม้อ แหม พอหนุ่มน้อยอายุ 15-16 ปี เดินเล่นชมนกชมไม้ (ไปตามที่เครื่องมือของ Philco Project มันทำทางไว้ ! ?) ดันเจอหม้อไหอายุ 5000 ปี เต็มไปหมด เด็กอะไรมันเก่งขนาดนั้น แล้วมันจะเกี่ยวกับน้ำมัน ที่ภายหลังต่างชาติ โดยเฉพาะ Chevron เขาสำรวจเจอน้ำมัน ได้สัมปทานช่วงปี 1970 ต้นๆ เพียบเลยหรือเปล่า
    นี่ยังไม่นับรวมแร่ธาตุและทองอีกเพียบ ที่สำรวจเจอ แต่ปิดปากกันเงียบรู้กันเฉพาะวงในสุดๆ เช่น โปแตส ซึ่งเป็นแร่สำคัญ เป็นสารต้ังต้นของอุตสาหกรรมเกือบทุกชนิด เป็นส่วนผสมของการทำระเบิดขนาดเล็กไปถึงขนาดปรมาณู มีมากอยู่แถวอีสาณเหนือนั้นแหละ ใครวิ่ง ใครได้สัมปทาน ก็ไปสืบกันดู และไอ้เจ้าโปแตสนี้ มีอยู่มากที่อาฟกานิสถาน นักล่าถึงยังเล่นรบอยู่แถวน้ัน ไม่เลิกเสียที ก็ลองคิดนอกกรอบกันดูบ้างแล้วกัน

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 13 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 13 นาย Kenneth จัดหลักสูตรปรับพื้นสนามล่า ให้การอบรมแก่เหล่าสมุนนักล่าอยู่ 2 ปี หลังจากนั้นก็มีคนอื่นมารับหน้าที่ปรับพื้นสนามต่อ ตัวเขาย้ายกลับไปอยู่กระทรวงต่าง ประเทศ เดินแกว่งไปมาอีกรอบ จน ค.ศ. 1966 Pentagon มีงานพิเศษ Advanced Research Project Agency (ARPA) ต้องการได้ข้อมูลแบบละเอียดเหมือนทำสารานุกรม เกี่ยวกับพื้นที่แถวอีสานเหนือของไทย ที่อเมริกามาสร้างสนามบินไว้หลายแห่ง เพื่อให้เครื่องบินรบของอเมริกา บินไปถล่มเวียตมินท์ เวียตนาม หรือกัมพูชา ข้อมูลที่ Pentagon ต้องการอยู่แถวอีสาณตอนบน แถบ นครพนม มุกดาหาร และเส้นทางตามแม่น้ำโขง นั้นแหละ ซึ่งอเมริกาอ้างว่าต้องการข้อมูล เพิ่ม หัวหน้าทีม ชื่อ Wilfred Smith ถูกตามตัวมาจากอียิปต์ ( ! ? ) เพื่อมาคุมทีม ทางPentagon ขอให้นาย Kenneth มาด้วย พร้อมกับนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ ผู้ชำนาญด้านเกษตรกรรม และสภาพอากาศ นาย Smith ตามประวัติบอกว่าเกิดและโตที่เมือง จีน พ่อแม่เป็นมิชชั่น นารี (อีกแล้ว!) ต่อมาเป็นทหารอเมริกัน และล่าสุดสังกัดหน่วย OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้ชำนาญด้านระบอบคอมมิวนิสต์ ชนิดติดตามแบบวันต่อวัน ประธานาธิบดี Kennedy ประทับใจมาก ให้ไปจิกตัวกลับมาจากอียิปต์ เพื่อมาคุมงานนี้ แต่เพื่อไม่ให้สมันน้อยตกใจจับไต๋ได้ แทนที่จะมาในนาม ARPA เขาใช้ชื่อบริษัท Philco บังหน้า จึงเรียก Phico Project บริษัท Philco นี้ เป็นคู่สัญญากับกองทัพอเมริกา รับงานสร้างและติดตั้งเครื่องมือสื่อสาร ตั้งแต่ชิ้นส่วนเล็กไปจนถึงสร้างสถานีส่งเรดาห์สัญญาณสื่อ สารและดาวเทียม เขามาทำอะไรมาสำรวจอะไร นาย Kenneth ไม่ได้โม้ให้ฟัง บอกว่ามาสำรวจอยู่กว่า 3 เดือน และเขาได้พบกับนายพจน์ สารสิน (อีกแล้ว ! ) ซึ่งตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีด้านพัฒนาสังคมของเมืองไทย ซึ่งอำนวยความสะดวกให้คณะสำรวจอย่างดี ก็น่าสนใจการสำรวจคร้ังนี้ หัวหน้าทีมชำนาญด้าน คอมมิวนิสต์ มาสำรวจพื้นที่บ้านเรา แถบที่พวกเขามาสร้างสนามบินไว้ แต่หอบเอานักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์มาด้วย จะว่ามาสำรวจเพื่อสร้างสนามบินเพิ่ม มันก็จะมากไปหน่อย จะต้ังสนามบินแฝดหรือไง หรือว่ามีอะไรพิเศษที่นักล่าสนใจรู้เค้ามา แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะรู้เรื่องกับเขาหรือเปล่า ท่านผู้อ่านนิทานจะพอจำกันได้ไหม เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง อันลือชื่อของไทยเรา ถูกค้นพบโดยนาย Stephen Young ลูกชายของฑูต Kenneth Young ประจำประเทศไทย เมื่อปี ค.ศ. 1966 ตอนนั้นนาย Stephen เพิ่งอายุประมาณ 15 – 16 ปี ยังเรียนหนังสืออยู่มัธยม มันเหลือเชื่อน่าสงสัยขนาดไหน ลองไปหาอ่านกันดู นาย Stephen Young ล่าสุดดำรงตำแหน่ง Global Exclusive Director ของ Caux Round Table และหวังว่ายังคงไม่ลืมค่ายรามสูร (ถ้าจำไม่ได้ ช่วยกลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอยนะครับ) ที่นักล่าสร้างไว้ที่อุดร ใหญ่ชนิดมีสนามกอล์ฟและสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิก มีพนักงาน 2,000 คน เอาไว้ดักฟังสัญญาณต่างๆ ได้ถึงดาวอังคาร เมื่อสงครามเวียตนามเลิก อเมริกาบอกปิดค่ายรามสูรอพยพกลับบ้าน แต่ข่าววงในบอกว่าอพยพแต่เจ้าหน้าที่ แต่เครื่องมือย้ายมาอยู่แถวบางเขน บ้างก็ว่าอยู่ทุ่งมหาเมฆ แต่สรุปว่า เอาแค่ป้ายชื่อค่ายรามสูรออก ขนคนทำงานประเภทเสมียนกลับอเมริกา ส่วนคนไทยก็ปลดออก แล้วย้ายเรดาห์ทั้งหมดมาอยู่ในที่กรุงเทพแทน! แหม! ดักฟังได้ชัดเจนกว่า นายกรัฐมนตรีคนไหนของไทยจะกระแอม จะคุยกับอาเฮีย หรือ จะเรียก 20 เรียก 30 กับมันได้ยินกันหมด แล้วมันจะไม่อยู่ในมือเขาหรือ แล้วไอ้เรื่อง Philco Project นั้นมันจะเกี่ยวข้องกับบ้านเชียงหรือเปล่า มันน่าอัศจรรย์เกินบรรยาย กรมศิลปากรทั้งกรมค้นหามาไม่รู้กี่สิบปีไม่เจอซักกะหม้อ แหม พอหนุ่มน้อยอายุ 15-16 ปี เดินเล่นชมนกชมไม้ (ไปตามที่เครื่องมือของ Philco Project มันทำทางไว้ ! ?) ดันเจอหม้อไหอายุ 5000 ปี เต็มไปหมด เด็กอะไรมันเก่งขนาดนั้น แล้วมันจะเกี่ยวกับน้ำมัน ที่ภายหลังต่างชาติ โดยเฉพาะ Chevron เขาสำรวจเจอน้ำมัน ได้สัมปทานช่วงปี 1970 ต้นๆ เพียบเลยหรือเปล่า นี่ยังไม่นับรวมแร่ธาตุและทองอีกเพียบ ที่สำรวจเจอ แต่ปิดปากกันเงียบรู้กันเฉพาะวงในสุดๆ เช่น โปแตส ซึ่งเป็นแร่สำคัญ เป็นสารต้ังต้นของอุตสาหกรรมเกือบทุกชนิด เป็นส่วนผสมของการทำระเบิดขนาดเล็กไปถึงขนาดปรมาณู มีมากอยู่แถวอีสาณเหนือนั้นแหละ ใครวิ่ง ใครได้สัมปทาน ก็ไปสืบกันดู และไอ้เจ้าโปแตสนี้ มีอยู่มากที่อาฟกานิสถาน นักล่าถึงยังเล่นรบอยู่แถวน้ัน ไม่เลิกเสียที ก็ลองคิดนอกกรอบกันดูบ้างแล้วกัน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 5
    เมื่อครอบครัว Kenneth กลับมาถึงอเมริกา นาย Kenneth กลับไปทำปริญญาเอกต่อที่มหาวิทยาลัย Chicago เมื่อได้ปริญญา เขาก็รีบหางาน เพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังตกสะเก็ด งานที่เขาคิดจะทำและน่าจะสมประโยชน์ คือ ไปติดต่อมหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ให้ตั้งแผนก Southeast Asian Studies ด้วยหนังสือที่จะได้รับมาจากกรมพระยาดำรงฯ โดยเขาจะเป็นหัวหน้าแผนกวิชา เขาไปทุกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสี ยง เช่น Princeton, Columbia, Yale, Pennsylvania, Harvard และ Chicago ฯลฯ แต่ไม่เป็นผลไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้จัก สยาม รู้จักแต่จีนและเวียตนาม ส่วนใหญ่จะรู้จักประเทศที่เป็นอาณานิคม
    มหาวิทยาลัยต่างๆนี้มันอยู่ไกล กันคนละเมือง งานก็ไม่มีทำ เงินก็ไม่มี แล้วเดินทางได้ยังไง น่าสงสัยจริง แล้วนาย Kenneth ก็สารภาพมาเองว่า ที่เขาสามารถเดินทางไปติดต่อมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ เพราะเขาได้รับการเงินทุนสนับสนุน จาก the American Council of Learned Societies สมาคมนี้เป็นสมาคมเก่า ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1919 โดยผู้รักการศึกษาและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทางด้านมนุษย์วิทยาและสังคมวิทยา และเน้นหนักทางเอเซียตะวันออกและลาตินอเมริกา ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1930 กว่า สมาคมนี้มีผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ ชื่อนาย John D. Rockefeller (เขียนมาถึงตรงนี้ นักอ่านนิทานจมูกไว ร้องอ๋อกันเป็นแถว บอกไม่ต้องอ่านก็ต่อได้ แค่นี้ก็รู้เรื่องแล้ว เอาน่า อ่านต่อไปเถอะครับ มันอาจจะมีมากว่าที่นึกก็ได้)
    หมดท่าเข้านาย Kenneth จึงสมัครเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ชื่อ Earlham College ในปี ค.ศ. 1939 ขณะเดียวกัน ก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาปรัชญาจีนบ้าง อินเดียบ้าง ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ
    ขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเล่นยิงกันอยู่แถวยุโรป อเมริกายังสงวนท่าที ทำเป็นเฉยไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง วันหนึ่งประมาณปลายปี ค.ศ. 1941 ระหว่างที่ครอบครัว Kenneth ไปพักผ่อนที่ทะเลสาบแถว Michigan ขณะเขากำลังพายเรืออยู่กับลูกในทะเลสาบ เมียก็มาตะโกนบอกว่า มีโทรศัพท์ถึงเขาจากวอชิงตัน ให้เขาโทรกลับไป นาย Kenneth บอกไม่รู้จักใครเลยที่วอชิงตัน แต่เขาก็โทรกลับไป เขาบอกว่าโทรศัพท์ครั้งนี้ได้เปลี่ยนชีวิตเขาโดยสิ้นเชิง (เป็นไปตามแผน !?)
    เมื่อเขาโทรศัพท์ไปที่วอชิงตันตามหมายเลขที่ให้ไว้ คนที่รับโทรศัพท์บอกว่าเป็นนายพล Donovan และพูดในฐานะตัวแทนของประธานาธิบดี Roosevelt นาย Kenneth แทบหยุดหายใจ ท่านนายพลต้องการให้นาย Kenneth มากรุงวอชิงตันเดี๋ยวนี้เลย (โอ้พระเจ้า แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง มันเรื่องจริงหรือนี่ นาย Kenneth คงคิดอยู่ในใจ) เพื่อมารายงานเกี่ยวกับเรื่องญี่ปุ่นและอินโดจีนให้ประธานาธิบดีทราบ
    นาย Kenneth นี้ต้องเป็นคนรอบคอบ (เค็ม !) เอาเรื่อง ขนาดบอกประธานาธิบดีให้ไปพบ เขากลับถามว่าออกค่าใช้จ่ายให้เขาหรือเปล่า และต่อรองเรื่องค่าจ้างก่อนที่จะตอบตกลง เมื่อตกลงเรื่องค่าจ้างได้ เขาจึงตอบตกลงว่าจะไปพบ
    ประธานาธิบดี Roosevelt ต้องการรู้ว่า ญี่ปุ่นมีความคิดเกี่ยวกับอินโดจีนอย่างไร และมีความตั้งใจเกี่ยวกับประเทศไทยอย่างไร และถ้าญี่ปุ่นคิดจะบุกประเทศไทย จะบุกมาทางใดและช่วงเวลาไหน ฯลฯ คำถามแบบนี้ นาย Kenneth บอกหมูสะเต๊ะ เขารู้คำตอบตั้งแต่ก่อนจะถามแล้ว
    เรื่องมันจะบังเอิญไปหน่อยหรือเปล่านะ นาย Kenneth เล่าว่า เมื่อประธานาธิบดีต้องการรู้เช่น นั้น ลูกน้องก็ตาหูเหลือก ไม่มีใครรู้จักสยามเลย รู้จักญี่ปุ่นนิดหน่อย นาย Donovan (ชื่อเต็มคือนาย William Donovan หรือ Wild Bill Donovan) ซึ่งได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี ให้เป็นผู้วางแผนยุทธศาสตร์การรบ ก็ต้องไปเดินคลำหาคนที่รู้จักสยาม แห่งแรกที่เขาไป คือ ห้องสมุดรัฐสภา Library of Congress หัวหน้าห้องสมุดชื่อนาย Ernest Griffith บอกว่าที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องสยามกับอินโดจีนหรอก นู่น คุณลองไปถามที่ American Council of Learned Societies ดูซินะ มันพวกคงแก่เรียนทั้งนั้นที่นั่น แหละ ที่เดียวที่น่าจะรู้เรื่อง แหม ! ยังกะล็อคโผ ไปถามหานาย Mortimer Graves นะ เขาคงจะรู้ที่สุดแหละ คำตอบที่นาย Donovan ได้จากนาย Graves ก็คือ น่าจะมีคนเดียวนะ ชื่อนาย Kenneth Landon ไปติดต่อเขาดูแล้วกัน นาย Donovan บอกงั้นเขาจะให้ฝ่ายข่าวกรองตรวจสอบประวัตินาย Landon นี่ก่อน ว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงที่รู้เรื่องสยาม อินโดจีน และญี่ปุ่นหรือเปล่า
    (หมายเหตุคนเล่านิทาน : ผมเพิ่งไปอ่านเจอเอกสารฉบับหนึ่ง บอกว่านาย Donovan เป็นเครือข่ายของพวก CFR ! หน่วยงานที่อยากให้อเมริกา ค้าสงคราม เลยต้องทำความรู้จักเขาหน่อย นาย William J. Donovan จบกฏหมายจากมหาวิทยาลัย Columbia ตอนเรียนหนังสือมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อนาย Franklin Delano Roosevelt เมื่อเรียนจบมา ก่อนเปลี่ยนเข็มไปเป็นทหาร เขาทำอาชีพนักกฏหมายตามที่เรียนมาก่อน ประสพความสำเร็จอย่างสูงจากฝีมือ และฝีปาก ซึ่งดังไปเข้าหูนาย Rockefeller จึงจ้างเขาไปทำงาน “War Relief Mission” ในยุโรป พูดให้เฉพาะก็คือไปอยู่ที่ Belgium ประเทศที่มีเมืองหลวงชื่อ Brussel ที่เป็นที่ตั้งชุมทางนักล่าชั้น สูง สมาคม Bilderberg นั่นเหละ War Relief หรือ เรียกอีกชื่อว่า American Relief นี้ ไม่รู้ทำอะไรมั่ง จะต้องไปตามสืบต่อ แต่ทำให้นาย Donovan ต้องอยู่แถวยุโรปอยู่หลายปี และทำให้เขามีโอกาสรู้จักผู้ที่ ไปมาแถวยุโรปมากมาย คนหนึ่งคือนาย William Stephenson เป็นชาวแคนาดา ซึ่งเป็นสายลับตัวฉกาจ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำงานประสานระหว่างยุโรปกับอเมริกา เขาเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเองไว้ชื่อ The Man Called Intrepid (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำมาแปลเป็นไทย และทรงตั้งชื่อเรื่องว่า “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ”) ต่อมานักเขียนชื่อดัง Ian Fleming นำมาดัดแปลงเป็นบุคลิกของพระเอก James Bond สายลับ 007
    เมื่อนาย Donovan จะต้องตั้งหน่วยงาน OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Stephenson นี้มีส่วนช่วยอย่างสำคัญ เรื่องของนาย Donovan เองก็โลดโผนโจนทยานไม่น้อย เรียกว่าเอาไปเป็นพระเอกหนังบู๊ปนรักหักเหลี่ยมสายลับได้อย่างสบาย ไม่แพ้ James Bond เหมือนกัน ไม่รู้หลุดมือนักสร้างหนัง Hollywood มาได้ไง)
    เมื่อฝ่ายข่าวกรองโทรไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทุกมหาวิทยาลัยตอบเหมือนกันหมดว่า ถ้าจะมีคนรู้เรื่องสยามกับอินโดจีน ก็น่าจะเป็นนาย Kenneth นี่แหละ (ก็จะไม่ใช่ได้ยังไง เดินสายขอให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ตั้ง Southeast Asian Studies อยู่เป็นปี !) แล้วนาย Kenneth ก็ถูกโทรศัพท์ตามตัวจากทะเลสาบ Michigan ให้มาพบประธานาธิบดี Roosevelt
    ส่วนคำตอบของนาย Kenneth เกี่ยวกับญี่ปุ่นนั้น นาย Kenneth บอกเขาไม่รู้หรอกว่าญี่ปุ่นคิดอย่างไรกับไทย แต่รู้ว่าถ้าญี่ปุ่นจะบุกไทย ถ้าญี่ปุ่นฉลาด ญี่ปุ่นน่าจะมาช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายน เพราะก่อนหน้านั้นเป็นหน้ามรสุม ฝนตกชุก! ไม่น่ามีใครบ้าเคลื่อนทัพ และขนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ของหนัก ระหว่างฝนตกน้ำท่วม รถแท๊งค์ ปืนใหญ่จมโคลนหมด คำถามต่อไปว่า แล้วถ้าญี่ปุ่นจะมาทางรถ จะขับมาได้ถึงไหน นาย Kenneth บอกญี่ปุ่นไม่น่าจะใช้ทางหลวง เพราะเป็นเป้า น่าจะมาทางป่าและสามารถใช้จักรยานขี่ผ่านสวนยางไปตลอดทางใต้ถึงแหลมมาลายู ฯลฯ และเมื่อญี่ปุ่นบุกอินโดจีนจริงๆ ญี่ปุ่นไม่ได้ยกพลมาลงที่กรุงเทพ แต่ไปลงที่ Kota Baru ในมาลายู และขนเอาจักรยานมาด้วย ขี่ลงใต้ไปจนถึงแหลมมาลายู (ฟังดูแล้วคำถามของอเมริกานี่พื้นมาก ไม่น่าจะเป็นคำถามของพี่เบิ้มเลย ไม่รู้ว่านาย Kenneth อมข่าวหรือเต้าข่าวให้เราฟังกันแน่)


    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 5 เมื่อครอบครัว Kenneth กลับมาถึงอเมริกา นาย Kenneth กลับไปทำปริญญาเอกต่อที่มหาวิทยาลัย Chicago เมื่อได้ปริญญา เขาก็รีบหางาน เพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังตกสะเก็ด งานที่เขาคิดจะทำและน่าจะสมประโยชน์ คือ ไปติดต่อมหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ให้ตั้งแผนก Southeast Asian Studies ด้วยหนังสือที่จะได้รับมาจากกรมพระยาดำรงฯ โดยเขาจะเป็นหัวหน้าแผนกวิชา เขาไปทุกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสี ยง เช่น Princeton, Columbia, Yale, Pennsylvania, Harvard และ Chicago ฯลฯ แต่ไม่เป็นผลไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้จัก สยาม รู้จักแต่จีนและเวียตนาม ส่วนใหญ่จะรู้จักประเทศที่เป็นอาณานิคม มหาวิทยาลัยต่างๆนี้มันอยู่ไกล กันคนละเมือง งานก็ไม่มีทำ เงินก็ไม่มี แล้วเดินทางได้ยังไง น่าสงสัยจริง แล้วนาย Kenneth ก็สารภาพมาเองว่า ที่เขาสามารถเดินทางไปติดต่อมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ เพราะเขาได้รับการเงินทุนสนับสนุน จาก the American Council of Learned Societies สมาคมนี้เป็นสมาคมเก่า ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1919 โดยผู้รักการศึกษาและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทางด้านมนุษย์วิทยาและสังคมวิทยา และเน้นหนักทางเอเซียตะวันออกและลาตินอเมริกา ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1930 กว่า สมาคมนี้มีผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ ชื่อนาย John D. Rockefeller (เขียนมาถึงตรงนี้ นักอ่านนิทานจมูกไว ร้องอ๋อกันเป็นแถว บอกไม่ต้องอ่านก็ต่อได้ แค่นี้ก็รู้เรื่องแล้ว เอาน่า อ่านต่อไปเถอะครับ มันอาจจะมีมากว่าที่นึกก็ได้) หมดท่าเข้านาย Kenneth จึงสมัครเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ชื่อ Earlham College ในปี ค.ศ. 1939 ขณะเดียวกัน ก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาปรัชญาจีนบ้าง อินเดียบ้าง ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเล่นยิงกันอยู่แถวยุโรป อเมริกายังสงวนท่าที ทำเป็นเฉยไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง วันหนึ่งประมาณปลายปี ค.ศ. 1941 ระหว่างที่ครอบครัว Kenneth ไปพักผ่อนที่ทะเลสาบแถว Michigan ขณะเขากำลังพายเรืออยู่กับลูกในทะเลสาบ เมียก็มาตะโกนบอกว่า มีโทรศัพท์ถึงเขาจากวอชิงตัน ให้เขาโทรกลับไป นาย Kenneth บอกไม่รู้จักใครเลยที่วอชิงตัน แต่เขาก็โทรกลับไป เขาบอกว่าโทรศัพท์ครั้งนี้ได้เปลี่ยนชีวิตเขาโดยสิ้นเชิง (เป็นไปตามแผน !?) เมื่อเขาโทรศัพท์ไปที่วอชิงตันตามหมายเลขที่ให้ไว้ คนที่รับโทรศัพท์บอกว่าเป็นนายพล Donovan และพูดในฐานะตัวแทนของประธานาธิบดี Roosevelt นาย Kenneth แทบหยุดหายใจ ท่านนายพลต้องการให้นาย Kenneth มากรุงวอชิงตันเดี๋ยวนี้เลย (โอ้พระเจ้า แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง มันเรื่องจริงหรือนี่ นาย Kenneth คงคิดอยู่ในใจ) เพื่อมารายงานเกี่ยวกับเรื่องญี่ปุ่นและอินโดจีนให้ประธานาธิบดีทราบ นาย Kenneth นี้ต้องเป็นคนรอบคอบ (เค็ม !) เอาเรื่อง ขนาดบอกประธานาธิบดีให้ไปพบ เขากลับถามว่าออกค่าใช้จ่ายให้เขาหรือเปล่า และต่อรองเรื่องค่าจ้างก่อนที่จะตอบตกลง เมื่อตกลงเรื่องค่าจ้างได้ เขาจึงตอบตกลงว่าจะไปพบ ประธานาธิบดี Roosevelt ต้องการรู้ว่า ญี่ปุ่นมีความคิดเกี่ยวกับอินโดจีนอย่างไร และมีความตั้งใจเกี่ยวกับประเทศไทยอย่างไร และถ้าญี่ปุ่นคิดจะบุกประเทศไทย จะบุกมาทางใดและช่วงเวลาไหน ฯลฯ คำถามแบบนี้ นาย Kenneth บอกหมูสะเต๊ะ เขารู้คำตอบตั้งแต่ก่อนจะถามแล้ว เรื่องมันจะบังเอิญไปหน่อยหรือเปล่านะ นาย Kenneth เล่าว่า เมื่อประธานาธิบดีต้องการรู้เช่น นั้น ลูกน้องก็ตาหูเหลือก ไม่มีใครรู้จักสยามเลย รู้จักญี่ปุ่นนิดหน่อย นาย Donovan (ชื่อเต็มคือนาย William Donovan หรือ Wild Bill Donovan) ซึ่งได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี ให้เป็นผู้วางแผนยุทธศาสตร์การรบ ก็ต้องไปเดินคลำหาคนที่รู้จักสยาม แห่งแรกที่เขาไป คือ ห้องสมุดรัฐสภา Library of Congress หัวหน้าห้องสมุดชื่อนาย Ernest Griffith บอกว่าที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องสยามกับอินโดจีนหรอก นู่น คุณลองไปถามที่ American Council of Learned Societies ดูซินะ มันพวกคงแก่เรียนทั้งนั้นที่นั่น แหละ ที่เดียวที่น่าจะรู้เรื่อง แหม ! ยังกะล็อคโผ ไปถามหานาย Mortimer Graves นะ เขาคงจะรู้ที่สุดแหละ คำตอบที่นาย Donovan ได้จากนาย Graves ก็คือ น่าจะมีคนเดียวนะ ชื่อนาย Kenneth Landon ไปติดต่อเขาดูแล้วกัน นาย Donovan บอกงั้นเขาจะให้ฝ่ายข่าวกรองตรวจสอบประวัตินาย Landon นี่ก่อน ว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงที่รู้เรื่องสยาม อินโดจีน และญี่ปุ่นหรือเปล่า (หมายเหตุคนเล่านิทาน : ผมเพิ่งไปอ่านเจอเอกสารฉบับหนึ่ง บอกว่านาย Donovan เป็นเครือข่ายของพวก CFR ! หน่วยงานที่อยากให้อเมริกา ค้าสงคราม เลยต้องทำความรู้จักเขาหน่อย นาย William J. Donovan จบกฏหมายจากมหาวิทยาลัย Columbia ตอนเรียนหนังสือมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อนาย Franklin Delano Roosevelt เมื่อเรียนจบมา ก่อนเปลี่ยนเข็มไปเป็นทหาร เขาทำอาชีพนักกฏหมายตามที่เรียนมาก่อน ประสพความสำเร็จอย่างสูงจากฝีมือ และฝีปาก ซึ่งดังไปเข้าหูนาย Rockefeller จึงจ้างเขาไปทำงาน “War Relief Mission” ในยุโรป พูดให้เฉพาะก็คือไปอยู่ที่ Belgium ประเทศที่มีเมืองหลวงชื่อ Brussel ที่เป็นที่ตั้งชุมทางนักล่าชั้น สูง สมาคม Bilderberg นั่นเหละ War Relief หรือ เรียกอีกชื่อว่า American Relief นี้ ไม่รู้ทำอะไรมั่ง จะต้องไปตามสืบต่อ แต่ทำให้นาย Donovan ต้องอยู่แถวยุโรปอยู่หลายปี และทำให้เขามีโอกาสรู้จักผู้ที่ ไปมาแถวยุโรปมากมาย คนหนึ่งคือนาย William Stephenson เป็นชาวแคนาดา ซึ่งเป็นสายลับตัวฉกาจ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำงานประสานระหว่างยุโรปกับอเมริกา เขาเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเองไว้ชื่อ The Man Called Intrepid (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำมาแปลเป็นไทย และทรงตั้งชื่อเรื่องว่า “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ”) ต่อมานักเขียนชื่อดัง Ian Fleming นำมาดัดแปลงเป็นบุคลิกของพระเอก James Bond สายลับ 007 เมื่อนาย Donovan จะต้องตั้งหน่วยงาน OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Stephenson นี้มีส่วนช่วยอย่างสำคัญ เรื่องของนาย Donovan เองก็โลดโผนโจนทยานไม่น้อย เรียกว่าเอาไปเป็นพระเอกหนังบู๊ปนรักหักเหลี่ยมสายลับได้อย่างสบาย ไม่แพ้ James Bond เหมือนกัน ไม่รู้หลุดมือนักสร้างหนัง Hollywood มาได้ไง) เมื่อฝ่ายข่าวกรองโทรไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทุกมหาวิทยาลัยตอบเหมือนกันหมดว่า ถ้าจะมีคนรู้เรื่องสยามกับอินโดจีน ก็น่าจะเป็นนาย Kenneth นี่แหละ (ก็จะไม่ใช่ได้ยังไง เดินสายขอให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ตั้ง Southeast Asian Studies อยู่เป็นปี !) แล้วนาย Kenneth ก็ถูกโทรศัพท์ตามตัวจากทะเลสาบ Michigan ให้มาพบประธานาธิบดี Roosevelt ส่วนคำตอบของนาย Kenneth เกี่ยวกับญี่ปุ่นนั้น นาย Kenneth บอกเขาไม่รู้หรอกว่าญี่ปุ่นคิดอย่างไรกับไทย แต่รู้ว่าถ้าญี่ปุ่นจะบุกไทย ถ้าญี่ปุ่นฉลาด ญี่ปุ่นน่าจะมาช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายน เพราะก่อนหน้านั้นเป็นหน้ามรสุม ฝนตกชุก! ไม่น่ามีใครบ้าเคลื่อนทัพ และขนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ของหนัก ระหว่างฝนตกน้ำท่วม รถแท๊งค์ ปืนใหญ่จมโคลนหมด คำถามต่อไปว่า แล้วถ้าญี่ปุ่นจะมาทางรถ จะขับมาได้ถึงไหน นาย Kenneth บอกญี่ปุ่นไม่น่าจะใช้ทางหลวง เพราะเป็นเป้า น่าจะมาทางป่าและสามารถใช้จักรยานขี่ผ่านสวนยางไปตลอดทางใต้ถึงแหลมมาลายู ฯลฯ และเมื่อญี่ปุ่นบุกอินโดจีนจริงๆ ญี่ปุ่นไม่ได้ยกพลมาลงที่กรุงเทพ แต่ไปลงที่ Kota Baru ในมาลายู และขนเอาจักรยานมาด้วย ขี่ลงใต้ไปจนถึงแหลมมาลายู (ฟังดูแล้วคำถามของอเมริกานี่พื้นมาก ไม่น่าจะเป็นคำถามของพี่เบิ้มเลย ไม่รู้ว่านาย Kenneth อมข่าวหรือเต้าข่าวให้เราฟังกันแน่) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 4
    ระหว่างที่อยู่นครศรีธรรมราช นาย Kenneth อยู่กับสังคมชาวมิชชั่นนารี ซึ่งมีภาระกิจต่างๆ กัน ท่านสาธุคุณ E. P Dunlap ผู้ซึ่งชาวมิชชั่นนารีชื่นชมมากกว่าเป็นคนเดียวที่สามารถเข้าถึงกษัตริย์ไทย เพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงรัชกาลที่ 7 ให้ความสนิทสนมด้วย ถึงกับทรงนับว่าเป็นเพื่อน นอกจากนี้ยังมีท่านสาธุคุณ Frank L. Snyder กับครอบครัว ซึ่งครอบครัวนี้เดิมอยู่บางกอก นาย Snyder ทำหน้าที่ดูแลการเงินของพวกมิชชั่นนารี ซึ่งแน่นอนคนคุมเงินยอมมีอำนาจ นาย Snyder เข้าไปร่วมวงกับพวกคนจีน และรวมกันตั้งโบสถ์คริสเตียนร่วมกับคนจีน ต่อมาก็สร้างตึกให้กับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน วันหนึ่งนาย Snyder เขียนจดหมายไปถึงใครคนหนึ่งในอเมริกา ในจดหมายด่ารัฐบาลไทยเสียไม่เหลือ นาย Snyder คงไม่รู้ว่ารัฐบาลไทยก็ทำการตรวจสอบเป็นเหมือนกัน รัฐบาลไทยจึงมีคำสั่งให้นายSnyder เป็นบุคคลต้องห้าม Personna non grata และให้ออกนอกประเทศไป ต่อมาทางมิชชั่นนารีขอร้องรัฐบาลไทยยินยอมให้นาย Snyder กลับมาอยู่เมืองไทย แต่ไปอยู่ไกลหูไกลตา รัฐบาลไทยก็ยอม ทางคณะมิชชั่นนารีจึงส่งนาย Snyder มาประจำอยู่นครศรีธรรมราช สรุปว่า รัฐบาลไทยนี้ใจอ่อน มองแต่เสื้อคลุมเครื่องแบบไม่ไส่ใจเนื้อในของผู้ใส่ และนครศรีธรรมราชนี่น่าจะเป็นชุมทางสำคัญ !
    ระหว่างที่อยู่ที่นครศรีธรรมราช วันหนึ่งประมาณปี ค.ศ. 1929 หรือ 1930 นาง Margaret ไปเยี่ยมคุณหมอ Edwin Bruce Mcdaniel ซึ่งอยู่อีกฝากหนึ่งของนครศรีธรรมราช คุณหมอยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้ นาง Margaret ชื่อ “The English Governess at the Siamese Court” เขาบอกกับนาง Margaret ว่า หนังสือเล่มนี้ต้องห้ามนะ คนไทยไม่ชอบ แต่เอาไปอ่านเถอะ หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Anna Leonowens เป็นสำนวนวิกตอเรียนในยุค ค.ศ. 1860 สำหรับหลายๆ คน อาจเป็นหนังสือที่น่าเบื่อ อ่านแล้วง่วง เหมือนกินยานอนหลับ แต่สำหรับนาง Margaret กลับตรงกันข้าม มันเหมือนนางกินยาอีเข้าไปแทน นางเพลิดเพลินกับหนังสือจนอ่านแบบรวดเดียวจบ ลืมวันเวลาไปเลย คงนึกว่าตัวเองเป็นนาง Anna ?!
    ต่อมาคุณหมอ Edwin ก็ยื่นหนังสือให้นาง Margaret อีกเล่ม ชื่อ Romance of the Harem (คุณหมอนี่ช่างสะสมหนังสือ “ต้องห้าม” เสียจริง พวกมิชชั่นนารีนี่ถ้าจะชอบการผจญ “ภัย”)หนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ ติดอยูในใจของนาง Margaret มาตลอด จนเมื่อกลับมาที่อเมริกา นางตั้งใจจะหาหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ให้ได้ และตั้งใจจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับ Anna นาย Kenneth สาธยายชื่นชมเมียว่าเป็นคนช่างเขียน ช่างจดช่างจำ ละเอียดละออ เขียนอะไรก็ไพเราะไปหมด ไม่ว่าเขียนหนังสือธรรมดาหรือเขียนเป็นโคลง (น่าจะปลื้มเมียมากเอาการ) เขาพยายามหนุนให้เมียเขียนหนังสือ โดยเฉพาะเรื่อง Anna นี้อยู่ตลอดเวลา
    แล้ววันหนึ่งขณะที่เดินเข้าไป ในร้านหนังสือที่เมือง Chicago นาง Margaret ก็ไปเจอหนังสือชื่อ “English Governess” ในราคาถูกมาก หลังจากนั้นก็ไปเจอหนังสือ Harem อยู่ในกองหนังสือที่ขายแบบเลหลัง นาง Margaret บอกว่าแบบนี้แล้ว ฉันคงจะต้องเขียนหนังสือเรื่อง Anna แล้วละ ยังกับสวรรค์ประทาน ทำนองนั้น
    ระหว่างที่ประจำอยู่ที่ตรัง นาย Kenneth บอกว่าเขาต้องเดินทางตลอดเวลา เพื่อไปเยี่ยมและไปสอนศาสนาตามมิชชั่นนารีต่างๆ ที่มีอยู่หลายจังหวัดทางภาคใต้ วันหนึ่งเขาต้องเดินทางโดยเรือไปจากชุมพร แล่นเรือออกไปในเวลากลางคืน เรือแล่นไปสักพัก รู้สึกเรือแล่นได้ช้าลง และเครื่องยนต์ทำท่าจะไปไม่รอด ทะเลกลายเป็นสีดำ และเมื่อมองไปทางฝั่งและยอดคลื่น เขาเห็นแสงเรืองของฟอสฟอรัสสว่างไสวเต็มไปหมด มันเป็นภาพที่นาย Kenneth บอกว่าไม่มีวันจะลืม เรือแล่นไปบนทะเลสีดำ ด้านซ้ายมองเห็นประภาคารอยู่ไกลๆ ฟองน้ำแตกตามรอยเรือแล่น สว่างด้วยแสงฟอสฟอรัส และทั้งทะเลเหมือนประกายเพชรระยิบระยับ เขารู้สึกเหมือนเรือแล่นอยู่บนฟองน้ำมัน ทะเลทั้งผืนเหมือนเต็มไปด้วย น้ำมัน !
    ไม่กี่ปีต่อมา ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันในอ่าวไทย ก็เป็นข้อมูลที่อเมริกาให้ความสนใจยิ่ง ถึงขนาดเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เสร็จสิ้นลง ขณะที่อังกฤษกำลังฉวยโอกาส จากการที่ไทยประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกาตามญี่ปุ่น อังกฤษกะเล่นงานไทยกลับอย่างเจ็บแสบ ด้วยการยื่นข้อเรียกร้อง 21 ข้อ อเมริกากลับบอกไม่ติดใจ และเข้ามาช่วยไทยเจรจาอังกฤษ เรียกว่าอ้าแขนมาปกป้องไทยแลนด์สมันน้อย อย่างพี่เบิ้มใจดี ดีจนเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันก็เสนอความช่วยเหลือแก่ไทยหลังสงครามโลก สมัยจอมพล ป. คนใส่หมวกแล้วชาติเจริญ เป็นนายกรัฐมนตรี

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 4 ระหว่างที่อยู่นครศรีธรรมราช นาย Kenneth อยู่กับสังคมชาวมิชชั่นนารี ซึ่งมีภาระกิจต่างๆ กัน ท่านสาธุคุณ E. P Dunlap ผู้ซึ่งชาวมิชชั่นนารีชื่นชมมากกว่าเป็นคนเดียวที่สามารถเข้าถึงกษัตริย์ไทย เพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงรัชกาลที่ 7 ให้ความสนิทสนมด้วย ถึงกับทรงนับว่าเป็นเพื่อน นอกจากนี้ยังมีท่านสาธุคุณ Frank L. Snyder กับครอบครัว ซึ่งครอบครัวนี้เดิมอยู่บางกอก นาย Snyder ทำหน้าที่ดูแลการเงินของพวกมิชชั่นนารี ซึ่งแน่นอนคนคุมเงินยอมมีอำนาจ นาย Snyder เข้าไปร่วมวงกับพวกคนจีน และรวมกันตั้งโบสถ์คริสเตียนร่วมกับคนจีน ต่อมาก็สร้างตึกให้กับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน วันหนึ่งนาย Snyder เขียนจดหมายไปถึงใครคนหนึ่งในอเมริกา ในจดหมายด่ารัฐบาลไทยเสียไม่เหลือ นาย Snyder คงไม่รู้ว่ารัฐบาลไทยก็ทำการตรวจสอบเป็นเหมือนกัน รัฐบาลไทยจึงมีคำสั่งให้นายSnyder เป็นบุคคลต้องห้าม Personna non grata และให้ออกนอกประเทศไป ต่อมาทางมิชชั่นนารีขอร้องรัฐบาลไทยยินยอมให้นาย Snyder กลับมาอยู่เมืองไทย แต่ไปอยู่ไกลหูไกลตา รัฐบาลไทยก็ยอม ทางคณะมิชชั่นนารีจึงส่งนาย Snyder มาประจำอยู่นครศรีธรรมราช สรุปว่า รัฐบาลไทยนี้ใจอ่อน มองแต่เสื้อคลุมเครื่องแบบไม่ไส่ใจเนื้อในของผู้ใส่ และนครศรีธรรมราชนี่น่าจะเป็นชุมทางสำคัญ ! ระหว่างที่อยู่ที่นครศรีธรรมราช วันหนึ่งประมาณปี ค.ศ. 1929 หรือ 1930 นาง Margaret ไปเยี่ยมคุณหมอ Edwin Bruce Mcdaniel ซึ่งอยู่อีกฝากหนึ่งของนครศรีธรรมราช คุณหมอยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้ นาง Margaret ชื่อ “The English Governess at the Siamese Court” เขาบอกกับนาง Margaret ว่า หนังสือเล่มนี้ต้องห้ามนะ คนไทยไม่ชอบ แต่เอาไปอ่านเถอะ หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Anna Leonowens เป็นสำนวนวิกตอเรียนในยุค ค.ศ. 1860 สำหรับหลายๆ คน อาจเป็นหนังสือที่น่าเบื่อ อ่านแล้วง่วง เหมือนกินยานอนหลับ แต่สำหรับนาง Margaret กลับตรงกันข้าม มันเหมือนนางกินยาอีเข้าไปแทน นางเพลิดเพลินกับหนังสือจนอ่านแบบรวดเดียวจบ ลืมวันเวลาไปเลย คงนึกว่าตัวเองเป็นนาง Anna ?! ต่อมาคุณหมอ Edwin ก็ยื่นหนังสือให้นาง Margaret อีกเล่ม ชื่อ Romance of the Harem (คุณหมอนี่ช่างสะสมหนังสือ “ต้องห้าม” เสียจริง พวกมิชชั่นนารีนี่ถ้าจะชอบการผจญ “ภัย”)หนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ ติดอยูในใจของนาง Margaret มาตลอด จนเมื่อกลับมาที่อเมริกา นางตั้งใจจะหาหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ให้ได้ และตั้งใจจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับ Anna นาย Kenneth สาธยายชื่นชมเมียว่าเป็นคนช่างเขียน ช่างจดช่างจำ ละเอียดละออ เขียนอะไรก็ไพเราะไปหมด ไม่ว่าเขียนหนังสือธรรมดาหรือเขียนเป็นโคลง (น่าจะปลื้มเมียมากเอาการ) เขาพยายามหนุนให้เมียเขียนหนังสือ โดยเฉพาะเรื่อง Anna นี้อยู่ตลอดเวลา แล้ววันหนึ่งขณะที่เดินเข้าไป ในร้านหนังสือที่เมือง Chicago นาง Margaret ก็ไปเจอหนังสือชื่อ “English Governess” ในราคาถูกมาก หลังจากนั้นก็ไปเจอหนังสือ Harem อยู่ในกองหนังสือที่ขายแบบเลหลัง นาง Margaret บอกว่าแบบนี้แล้ว ฉันคงจะต้องเขียนหนังสือเรื่อง Anna แล้วละ ยังกับสวรรค์ประทาน ทำนองนั้น ระหว่างที่ประจำอยู่ที่ตรัง นาย Kenneth บอกว่าเขาต้องเดินทางตลอดเวลา เพื่อไปเยี่ยมและไปสอนศาสนาตามมิชชั่นนารีต่างๆ ที่มีอยู่หลายจังหวัดทางภาคใต้ วันหนึ่งเขาต้องเดินทางโดยเรือไปจากชุมพร แล่นเรือออกไปในเวลากลางคืน เรือแล่นไปสักพัก รู้สึกเรือแล่นได้ช้าลง และเครื่องยนต์ทำท่าจะไปไม่รอด ทะเลกลายเป็นสีดำ และเมื่อมองไปทางฝั่งและยอดคลื่น เขาเห็นแสงเรืองของฟอสฟอรัสสว่างไสวเต็มไปหมด มันเป็นภาพที่นาย Kenneth บอกว่าไม่มีวันจะลืม เรือแล่นไปบนทะเลสีดำ ด้านซ้ายมองเห็นประภาคารอยู่ไกลๆ ฟองน้ำแตกตามรอยเรือแล่น สว่างด้วยแสงฟอสฟอรัส และทั้งทะเลเหมือนประกายเพชรระยิบระยับ เขารู้สึกเหมือนเรือแล่นอยู่บนฟองน้ำมัน ทะเลทั้งผืนเหมือนเต็มไปด้วย น้ำมัน ! ไม่กี่ปีต่อมา ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันในอ่าวไทย ก็เป็นข้อมูลที่อเมริกาให้ความสนใจยิ่ง ถึงขนาดเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เสร็จสิ้นลง ขณะที่อังกฤษกำลังฉวยโอกาส จากการที่ไทยประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกาตามญี่ปุ่น อังกฤษกะเล่นงานไทยกลับอย่างเจ็บแสบ ด้วยการยื่นข้อเรียกร้อง 21 ข้อ อเมริกากลับบอกไม่ติดใจ และเข้ามาช่วยไทยเจรจาอังกฤษ เรียกว่าอ้าแขนมาปกป้องไทยแลนด์สมันน้อย อย่างพี่เบิ้มใจดี ดีจนเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันก็เสนอความช่วยเหลือแก่ไทยหลังสงครามโลก สมัยจอมพล ป. คนใส่หมวกแล้วชาติเจริญ เป็นนายกรัฐมนตรี คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 3

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
    ตอนที่ 3
    หลังจากอยู่กรุงเทพฯได้ 1 ปี นาย Kenneth และครอบครัว ก็ถูกให้ย้ายไปประจำที่นครศรีธรรมราช เขาอยู่ที่นั่น 1 ปี จากนั้นก็ย้ายมาประจำที่ตรัง รวมๆ แล้ว เขาอยู่แถวภาคใต้ของไทย ประมาณเกือบ 10 ปี ตอนที่อยู่ที่นครศรีธรรมราช เขาอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงเรียนสตรี ซึ่งเป็นของพวกมิชชั่นนารี ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นที่พระราชทานจากกรมพระยาดำรงราชานุภาพ แต่เมื่อมาอยู่ตรัง เขามีบ้านแยกต่างหากจากโรงเรียน ระหว่างที่เขาอยู่ตรังเขาเดินทาง ไปทั่ว ขึ้นมาจนทับสะแก (คือหัวหินในปัจจุบัน) และลงใต้ไปถึงแหลมมาลายู เขาบอกว่าในภาคใต้ของไทย มีคนจีนอาศัยอยู่มาก และส่วนมากเป็นพวกใช้แรงงาน หรือขายของชำ บ้างก็เปิดร้านค้าเล็กๆ ในตลาด ครอบครัวเขามีคนรับใช้และคนทำอาหารเป็นชาวจีน เขาจึงหัดพูดภาษาจีนกับคนรับใช้ทุกวัน
    จากการที่เขาคุยกับคนรับใช้ชาวจีน เขารู้ว่าคนจีนเหล่านั้นไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ ไม่มีโรงเรียนของคนจีน เขาจึงพยายามให้ทางคณะมิชชั่นนารีช่วยจัดตั้งโรงเรียนให้คนจีน โดยเอาครูมาจากกรุงเทพฯ สิงคโปร์ ปีนัง ส่วนค่าก่อสร้างเขาก็ขอรับบริจาคบ้างจากคนในจังหวัด เขาสามารถสร้างใด้ถึง 4 โรงเรียน การคลุกคลีกับคนจีน ทำให้เขาพูดภาษาจีนแต้จิ๋วได้และเทศน์เป็นภาษาจีนได้อีกด้วย การสอนภาษาของ นาย Kenneth ขยายไปตั้งแต่คอขอดกระจนถึงชายแดนมาลายู และทำให้เขาต้องเดินทางแถบนั้นบ่อยมาก โดยรถไฟ เกวียน ช้าง เรือข้ามฝั่ง เรือเล็กตามคลอง รวมทั้งที่จักรยาน และการเดินเท้าของตนเอง และเพื่อให้มีการติดต่อระหว่างสังคมไทยและจีน ซึ่งอยู่ห่างไกลกัน นาย Kenneth ลงทุนพิมพ์จดหมายเหตุรายเดือน เป็นภาษาไทยและจีน เพื่อให้คนเหล่านั้นได้ข้อมูลและข่าว (ตามที่เขาเขียน !) ต้องนับถือผู้ที่เลือกถิ่นที่ทำงานให้นาย Kenneth จริงๆ ภาคใต้น่าสนใจหลายอย่าง รวมทั้งภูมิศาสตร์ที่มีพื้นที่ยาวตลอดไป ตามอ่าวไทยของไทยจนไปถึงเขตแดนมลายู
    นาย Kenneth และครอบครัว ย้ายกลับไปอเมริกาใน ค.ศ. 1937 โดยอ้างว่า เบื่อที่จะเป็น มิชชั่นนารีแล้ว เพราะรายได้ไม่พอ (หรือภาระกิจสำเร็จได้ตามเป้า เลยเก็บฉากขนของกลับบ้านซะเฉยๆ งั้นแหละ !?) เมื่อเขากลับ เขาหอบหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่ออกเป็นงวด ที่เกี่ยวกับเมืองไทยที่เขาเก็บสะสมไว้ ตลอด 10 ปีที่อยู่เมืองกลับไปด้วย รวมทั้งแผนที่ของเมืองไทยแสดงอาณาบริเวณต่างๆ ทั่วประเทศอย่างละเอียด ยังไม่หมดยังหอบเอาหนังสือจากห้องสมุดของไทย ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ เท่าที่ตัวเองจะหาได้กลับไปด้วย ที่สำคัญ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย เมื่อปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) นาย Kenneth บอกว่าเป็นช่วงเหตุการณ์สำคัญของประวัติศาสตร์ไทย เขาเก็บเอกสารในช่วง 5 ปี ระหว่างนั้นไว้หมด โดยตั้งใจจะเขียนหนังสือ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย (นับว่าเป็นมิชชั่นนารี “ตัวอย่าง” จริงๆ ตกลงจะมาเผยแพร่ศาสนาหรือมาทำอะไรกันแน่)
    วันหนึ่งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475 ขณะที่เขาเริ่มเขียนหนังสือ เรื่อง Siam in Transition เขายังอยู่ที่ตรังกับครอบครัว มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนสนิทของนายปรีดี พนมยงค์ ตอนเป็นผู้สำเร็จราชการ เกิดอยากจะแต่งงานในโบสถ์คริสเตียน กับสาวตรังซึ่งเป็นคริสเตียน นายคนสนิทนี้ก็มาหา นาย Kenneth เพื่อขออนุญาตนาย Kenneth ให้คู่บ่าวสาวได้แต่งงานและทำพิธีในโบสถ์ นาย Kenneth ดีใจจนบอกไม่ถูก เห็นโอกาสทองลอยอยู่ข้างหน้า เขาบอกกับนายคนสนิทว่า ได้สิ ถ้าคุณหาเอกสารมาให้ผมชิ้นหนึ่ง เอกสารนั้นคือบทความเค้าโครงเศรษฐกิจ ฉบับที่นายปรีดีเขียน เพื่อจะนำมาใช้กับประเทศไทย หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงไม่เห็นด้วย ทรงเห็นว่านายปรีดีมีแนวความคิดเช่นลัทธิคอมมิวนิสม์ ต่อมาเอกสารนั้นก็ถูกเก็บ เป็นเอกสารต้องห้าม ไม่มีใครได้เห็นอีก (นาย Kenneth นี่ต้องนับว่าเป็นนักฉวยโอกาสตัวยงจริงๆ) คงจะเป็นเพราะกำลังหน้ามืดอยากแต่งงานเต็มแก่ นายคนสนิทลงทุนไปเอาเอกสารมาให้นาย Kenneth รวมทั้งแถมรายงานการประชุมคณะอภิรัฐมนตรี ซึ่งระบุว่านายปรีดี เป็นคอมมิวนิสต์และที่ประชุมเห็นว่านายปรีดี ควรลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ
    ภายหลังเมื่อนาย Kenneth ได้เขียนหนังสือ Siam in Transition เขาได้นำเอกสารทั้ง 2 ชิ้นมาแนบท้ายหนังสือไว้ด้วย แต่หนังสือนี้ถูกห้ามขายในประเทศไทย
    หลังจากเขาได้เอกสารนี้มาไม่นาน พระองค์เจ้าธานีฯ (นาย Kenneth เขียนชื่อไว้เช่นนั้น) ทรงทราบข่าวที่นาย Kenneth ได้เอกสารนี้มา ท่านสนใจมากถึงขนาดลงทุนเดินทางจากกรุงเทพมาหานาย Kenneth ที่ตรัง เพื่อขออ่านเอกสารทั้ง 2 ชิ้น (แสดงว่าเอกสาร 2 ชิ้นนี้ต้องมีความสำคัญมากสำหรับ การเมืองของไทย แล้วมิชชั่นนารี ซึ่งไม่น่าจะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองบ้านเรา ทำไมถึงให้ความสนใจจนลืมมรรยาท ถึงกับใช้วิธีการฉวยโอกาสอย่างคนไม่มีระดับถึงขนาดนี้!?) นาย Kenneth รู้ว่าเอกสารนี้ต้องห้าม เขาเลยเอาไปซ่อนไว้ในกองหนังสือพิมพ์ในห้องส้วมของเขาและ พระองค์เจ้าธานีฯ ก็ต้องไปนั่งอ่านเอกสาร โดยล็อคตัวเองอยู่ในส้วมของนาย Kenneth !
    หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เจ้านายหลายพระองค์ รวมทั้งกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ต้องเสด็จลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ กรมพระยาดำรงฯเสด็จไปอยู่ปีนัง เมื่อนาย Kenneth และครอบครัวจะกลับอเมริกา เขาเดินทางไปเยี่ยมท่านที่ปีนัง เขาอ้างว่าเป็นการเยี่ยมในฐานะเพื่อนเก่า ระหว่างคุยกัน เขาถามกรมพระยาดำรงฯ ว่าท่านจะยินยอมให้เขานำหนังสือที่ท่านทรงสะสมไว้ มอบให้แก่มหาวิทยาลัยในอเมริกาหรือไม่ เพราะกรมพระยาดำรงฯ ท่านเป็นเสนาบดีกระทรวงศึกษาฯ อยู่ช่วงหนึ่ง และท่านได้รับมอบหมายจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ให้ทรงจัดตั้งหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งกรมพระยาดำรงฯก็จัดตั้งเรียบร้อย โดยหนังสือทุกเล่มที่อยู่ในหอสมุด ท่านก็จะมีอีกชุดหนึ่งเก็บไว้ที่ท่านเอง รวมทั้งหนังสือที่ท่านทรงสะสม เอง ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วรรณคดี ศาสนา ฯลฯ ของไทยและเอเซียตะวันออก มีทั้งเป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส กรมพระยาดำรงฯ ตอบว่าท่านเสียดายที่หนังสือนั้นจะไม่มีใครสนใจอีกต่อไป แต่ถ้ามีมหาวิทยาลัยที่สนใจ มีคนได้ศึกษาและมีคนอย่างนาย Kenneth ดูแลท่านก็ยินดีที่จะยกให้
    แล้วนาย Kenneth ก็นำรายชื่อหนังสือประมาณ 600 เล่ม ของกรมพระยาดำรงกลับอเมริกาไปด้วย โดยเขาอ้างว่า เขาจะนำไปจัดทำห้องสมุดไทยหรือเอเซียตะวันออก ที่มหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ค่าเดินทางไปปีนังนี่มันคงไม่ใช่ราคาถูกๆ แต่คงจะเป็นการลงทุนที่เกินคุ้มหลายร้อยเท่า เมื่อเทียบกับรายชื่อหนังสือ 600 เล่ม ที่นาย Kenneth จะเอาไป อ้างว่าเป็นของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ อดีตเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยของเมืองไทยที่จะมอบให้นาย Kenneth ที่จะได้มาโดยการ “กล่อม” ซึ่งต่อมาเขาได้นำไปใช้ประโยชน์ให้แก่ตัวเองและสร้างประโยชน์ให้แก่อเมริกาอย่างมหาศาล ในการใช้เป็นต้นแบบเครื่องมือการล่าชนิดหนึ่ง!
    (หมายเหตุคนเล่านิทาน : เข้าใจว่า กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ท่านคงกำลังเศร้าพระทัย จากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และจากการที่คณะราษฎร์แสดงความไม่ประสงค์ดีต่อท่าน จนท่านถึงกับต้องเสด็จไปประทับอยู่ปีนัง ท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ สนใจศึกษาหาความรู้ ทรงเก็บสะสมหนังสือเกี่ยวกับเมืองไทยไว้แยะ เมื่อคณะราษฎร์ทำการปฏิวัติ เปลี่ยนการปกครอง ซึ่งอาจจะกระทบถึงวัฒนธรรมประเพณี รวมทั้งหลักสูตรการศึกษา ฯลฯ หนังสือต่างๆ เหล่านั้น คณะราษฎร์อาจไม่เห็นประโยชน์อีกต่อไป เมื่อนาย Kenneth เข้าไปขอในจังหวะนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจที่ท่านจะคล้อยตาม !)

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า” ตอนที่ 3 หลังจากอยู่กรุงเทพฯได้ 1 ปี นาย Kenneth และครอบครัว ก็ถูกให้ย้ายไปประจำที่นครศรีธรรมราช เขาอยู่ที่นั่น 1 ปี จากนั้นก็ย้ายมาประจำที่ตรัง รวมๆ แล้ว เขาอยู่แถวภาคใต้ของไทย ประมาณเกือบ 10 ปี ตอนที่อยู่ที่นครศรีธรรมราช เขาอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงเรียนสตรี ซึ่งเป็นของพวกมิชชั่นนารี ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นที่พระราชทานจากกรมพระยาดำรงราชานุภาพ แต่เมื่อมาอยู่ตรัง เขามีบ้านแยกต่างหากจากโรงเรียน ระหว่างที่เขาอยู่ตรังเขาเดินทาง ไปทั่ว ขึ้นมาจนทับสะแก (คือหัวหินในปัจจุบัน) และลงใต้ไปถึงแหลมมาลายู เขาบอกว่าในภาคใต้ของไทย มีคนจีนอาศัยอยู่มาก และส่วนมากเป็นพวกใช้แรงงาน หรือขายของชำ บ้างก็เปิดร้านค้าเล็กๆ ในตลาด ครอบครัวเขามีคนรับใช้และคนทำอาหารเป็นชาวจีน เขาจึงหัดพูดภาษาจีนกับคนรับใช้ทุกวัน จากการที่เขาคุยกับคนรับใช้ชาวจีน เขารู้ว่าคนจีนเหล่านั้นไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ ไม่มีโรงเรียนของคนจีน เขาจึงพยายามให้ทางคณะมิชชั่นนารีช่วยจัดตั้งโรงเรียนให้คนจีน โดยเอาครูมาจากกรุงเทพฯ สิงคโปร์ ปีนัง ส่วนค่าก่อสร้างเขาก็ขอรับบริจาคบ้างจากคนในจังหวัด เขาสามารถสร้างใด้ถึง 4 โรงเรียน การคลุกคลีกับคนจีน ทำให้เขาพูดภาษาจีนแต้จิ๋วได้และเทศน์เป็นภาษาจีนได้อีกด้วย การสอนภาษาของ นาย Kenneth ขยายไปตั้งแต่คอขอดกระจนถึงชายแดนมาลายู และทำให้เขาต้องเดินทางแถบนั้นบ่อยมาก โดยรถไฟ เกวียน ช้าง เรือข้ามฝั่ง เรือเล็กตามคลอง รวมทั้งที่จักรยาน และการเดินเท้าของตนเอง และเพื่อให้มีการติดต่อระหว่างสังคมไทยและจีน ซึ่งอยู่ห่างไกลกัน นาย Kenneth ลงทุนพิมพ์จดหมายเหตุรายเดือน เป็นภาษาไทยและจีน เพื่อให้คนเหล่านั้นได้ข้อมูลและข่าว (ตามที่เขาเขียน !) ต้องนับถือผู้ที่เลือกถิ่นที่ทำงานให้นาย Kenneth จริงๆ ภาคใต้น่าสนใจหลายอย่าง รวมทั้งภูมิศาสตร์ที่มีพื้นที่ยาวตลอดไป ตามอ่าวไทยของไทยจนไปถึงเขตแดนมลายู นาย Kenneth และครอบครัว ย้ายกลับไปอเมริกาใน ค.ศ. 1937 โดยอ้างว่า เบื่อที่จะเป็น มิชชั่นนารีแล้ว เพราะรายได้ไม่พอ (หรือภาระกิจสำเร็จได้ตามเป้า เลยเก็บฉากขนของกลับบ้านซะเฉยๆ งั้นแหละ !?) เมื่อเขากลับ เขาหอบหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่ออกเป็นงวด ที่เกี่ยวกับเมืองไทยที่เขาเก็บสะสมไว้ ตลอด 10 ปีที่อยู่เมืองกลับไปด้วย รวมทั้งแผนที่ของเมืองไทยแสดงอาณาบริเวณต่างๆ ทั่วประเทศอย่างละเอียด ยังไม่หมดยังหอบเอาหนังสือจากห้องสมุดของไทย ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ เท่าที่ตัวเองจะหาได้กลับไปด้วย ที่สำคัญ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย เมื่อปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) นาย Kenneth บอกว่าเป็นช่วงเหตุการณ์สำคัญของประวัติศาสตร์ไทย เขาเก็บเอกสารในช่วง 5 ปี ระหว่างนั้นไว้หมด โดยตั้งใจจะเขียนหนังสือ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย (นับว่าเป็นมิชชั่นนารี “ตัวอย่าง” จริงๆ ตกลงจะมาเผยแพร่ศาสนาหรือมาทำอะไรกันแน่) วันหนึ่งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475 ขณะที่เขาเริ่มเขียนหนังสือ เรื่อง Siam in Transition เขายังอยู่ที่ตรังกับครอบครัว มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนสนิทของนายปรีดี พนมยงค์ ตอนเป็นผู้สำเร็จราชการ เกิดอยากจะแต่งงานในโบสถ์คริสเตียน กับสาวตรังซึ่งเป็นคริสเตียน นายคนสนิทนี้ก็มาหา นาย Kenneth เพื่อขออนุญาตนาย Kenneth ให้คู่บ่าวสาวได้แต่งงานและทำพิธีในโบสถ์ นาย Kenneth ดีใจจนบอกไม่ถูก เห็นโอกาสทองลอยอยู่ข้างหน้า เขาบอกกับนายคนสนิทว่า ได้สิ ถ้าคุณหาเอกสารมาให้ผมชิ้นหนึ่ง เอกสารนั้นคือบทความเค้าโครงเศรษฐกิจ ฉบับที่นายปรีดีเขียน เพื่อจะนำมาใช้กับประเทศไทย หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงไม่เห็นด้วย ทรงเห็นว่านายปรีดีมีแนวความคิดเช่นลัทธิคอมมิวนิสม์ ต่อมาเอกสารนั้นก็ถูกเก็บ เป็นเอกสารต้องห้าม ไม่มีใครได้เห็นอีก (นาย Kenneth นี่ต้องนับว่าเป็นนักฉวยโอกาสตัวยงจริงๆ) คงจะเป็นเพราะกำลังหน้ามืดอยากแต่งงานเต็มแก่ นายคนสนิทลงทุนไปเอาเอกสารมาให้นาย Kenneth รวมทั้งแถมรายงานการประชุมคณะอภิรัฐมนตรี ซึ่งระบุว่านายปรีดี เป็นคอมมิวนิสต์และที่ประชุมเห็นว่านายปรีดี ควรลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ภายหลังเมื่อนาย Kenneth ได้เขียนหนังสือ Siam in Transition เขาได้นำเอกสารทั้ง 2 ชิ้นมาแนบท้ายหนังสือไว้ด้วย แต่หนังสือนี้ถูกห้ามขายในประเทศไทย หลังจากเขาได้เอกสารนี้มาไม่นาน พระองค์เจ้าธานีฯ (นาย Kenneth เขียนชื่อไว้เช่นนั้น) ทรงทราบข่าวที่นาย Kenneth ได้เอกสารนี้มา ท่านสนใจมากถึงขนาดลงทุนเดินทางจากกรุงเทพมาหานาย Kenneth ที่ตรัง เพื่อขออ่านเอกสารทั้ง 2 ชิ้น (แสดงว่าเอกสาร 2 ชิ้นนี้ต้องมีความสำคัญมากสำหรับ การเมืองของไทย แล้วมิชชั่นนารี ซึ่งไม่น่าจะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองบ้านเรา ทำไมถึงให้ความสนใจจนลืมมรรยาท ถึงกับใช้วิธีการฉวยโอกาสอย่างคนไม่มีระดับถึงขนาดนี้!?) นาย Kenneth รู้ว่าเอกสารนี้ต้องห้าม เขาเลยเอาไปซ่อนไว้ในกองหนังสือพิมพ์ในห้องส้วมของเขาและ พระองค์เจ้าธานีฯ ก็ต้องไปนั่งอ่านเอกสาร โดยล็อคตัวเองอยู่ในส้วมของนาย Kenneth ! หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เจ้านายหลายพระองค์ รวมทั้งกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ต้องเสด็จลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ กรมพระยาดำรงฯเสด็จไปอยู่ปีนัง เมื่อนาย Kenneth และครอบครัวจะกลับอเมริกา เขาเดินทางไปเยี่ยมท่านที่ปีนัง เขาอ้างว่าเป็นการเยี่ยมในฐานะเพื่อนเก่า ระหว่างคุยกัน เขาถามกรมพระยาดำรงฯ ว่าท่านจะยินยอมให้เขานำหนังสือที่ท่านทรงสะสมไว้ มอบให้แก่มหาวิทยาลัยในอเมริกาหรือไม่ เพราะกรมพระยาดำรงฯ ท่านเป็นเสนาบดีกระทรวงศึกษาฯ อยู่ช่วงหนึ่ง และท่านได้รับมอบหมายจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ให้ทรงจัดตั้งหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งกรมพระยาดำรงฯก็จัดตั้งเรียบร้อย โดยหนังสือทุกเล่มที่อยู่ในหอสมุด ท่านก็จะมีอีกชุดหนึ่งเก็บไว้ที่ท่านเอง รวมทั้งหนังสือที่ท่านทรงสะสม เอง ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วรรณคดี ศาสนา ฯลฯ ของไทยและเอเซียตะวันออก มีทั้งเป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส กรมพระยาดำรงฯ ตอบว่าท่านเสียดายที่หนังสือนั้นจะไม่มีใครสนใจอีกต่อไป แต่ถ้ามีมหาวิทยาลัยที่สนใจ มีคนได้ศึกษาและมีคนอย่างนาย Kenneth ดูแลท่านก็ยินดีที่จะยกให้ แล้วนาย Kenneth ก็นำรายชื่อหนังสือประมาณ 600 เล่ม ของกรมพระยาดำรงกลับอเมริกาไปด้วย โดยเขาอ้างว่า เขาจะนำไปจัดทำห้องสมุดไทยหรือเอเซียตะวันออก ที่มหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ค่าเดินทางไปปีนังนี่มันคงไม่ใช่ราคาถูกๆ แต่คงจะเป็นการลงทุนที่เกินคุ้มหลายร้อยเท่า เมื่อเทียบกับรายชื่อหนังสือ 600 เล่ม ที่นาย Kenneth จะเอาไป อ้างว่าเป็นของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ อดีตเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยของเมืองไทยที่จะมอบให้นาย Kenneth ที่จะได้มาโดยการ “กล่อม” ซึ่งต่อมาเขาได้นำไปใช้ประโยชน์ให้แก่ตัวเองและสร้างประโยชน์ให้แก่อเมริกาอย่างมหาศาล ในการใช้เป็นต้นแบบเครื่องมือการล่าชนิดหนึ่ง! (หมายเหตุคนเล่านิทาน : เข้าใจว่า กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ท่านคงกำลังเศร้าพระทัย จากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และจากการที่คณะราษฎร์แสดงความไม่ประสงค์ดีต่อท่าน จนท่านถึงกับต้องเสด็จไปประทับอยู่ปีนัง ท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ สนใจศึกษาหาความรู้ ทรงเก็บสะสมหนังสือเกี่ยวกับเมืองไทยไว้แยะ เมื่อคณะราษฎร์ทำการปฏิวัติ เปลี่ยนการปกครอง ซึ่งอาจจะกระทบถึงวัฒนธรรมประเพณี รวมทั้งหลักสูตรการศึกษา ฯลฯ หนังสือต่างๆ เหล่านั้น คณะราษฎร์อาจไม่เห็นประโยชน์อีกต่อไป เมื่อนาย Kenneth เข้าไปขอในจังหวะนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจที่ท่านจะคล้อยตาม !) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 1

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
    ตอนที่ 1
    เมื่อตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ. 1942 อเมริกาไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่จะไปทำสงคราม แต่เป้าหมายของอเมริกาไกลกว่านั้น เขามองถึงการเป็นพี่เบิ้มใหญ่ของโลกหลังสงคราม และอเมริกาก็ทำได้ตามเป้าหมายมาตลอด ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน กลยุทธใด แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นนักล่าหน้าใหม่ แต่ฝีไม้ลายมือในการล่าไม่เบา หลังจากเป็นผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกามองตัวเองว่าเป็นจักรวรรดิอเมริกา เพราะจักรวรรดิต่างๆ ได้ล่มสลายไปหมดเหลือไว้แต่ซากกับประวัติ อเมริกาหมดคู่แข่งชั่วคราว ผงาดตัวมาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง แม้ตอนนี้ แท่นยืนของนักล่าหมายเลขหนึ่ง จะออกอาการง่อนแง่น แท่นเอียง ขาเก เพราะโดนทั้งปลวกทั้งด้วงแมงแทะในบ้านอยู่ แถมหลายประเทศที่อเมริกาเคยใช้กลยุทธ โกหก ตอแหล สร้างเรื่องสาระพัด หลอกโลกและใช้หน่วยงานที่ตนเองชักใย รุมกันจนประเทศเหล่านั้นแตกเป็นเสี่ยง หรือโดนกองทัพอันเกรียงไกรของพี่เบิ้มบุกเข้าประเทศ ประหนึ่งขี่ช้างจับตั๊กแตน จนบ้างเมืองเขาพินาศ เหลือเป็นซากเศษอิฐ หรือที่เคยมองประเทศเหล่านั้นอย่างหยามเหยียดด้วยหางตา ประเทศเหล่านั้นเริ่มขยับมาตีเสมอ เผลอๆ จะจับมือกันร่วมหัว ร่วมท้าย ท้าทายอเมริกา กระแซะพี่เบิ้มให้ตกจากแท่นยืนในฐานะหมายเลขหนึ่งเอาเสียด้วย ซ้ำ แต่เกมการล่า การแข่งขันชิงแชมป์โลก ต้องมองกันนานๆ ดูกันไปยาวๆ อย่าเพิ่งตัดสินแค่ยกสองยก มวยใหญ่มันอึด มีท่วงทีลีลาน่าศึกษา แต่ที่สำคัญอยู่ที่ชั้นเชิง ไม่รู้ปล่อยกันออกมาหมดหรือยัง
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าสู่ยุคสงครามเย็น ระบอบคอมมิวนิสต์ออกดอกแพร่พันธ์ ไปหลายแห่งในโลก สายหนึ่งไปทางสหภาพโซเวียต สายหนึ่งมาทางเอเซีย สู่จีนและเวียตนาม ใครเป็นคนเอาพันธ์มาแพร่ ก็รู้ๆ กันอยู่ อเมริกาทำเป็นทนดูไม่ได้ แบบนี้เสียหน้าผู้พิทักษ์โลกสวยใบนี้หมด (แหม! ใช้ศัพท์สมัยใหม่เป็นเหมือนกันเหรอลุง ฮา!) ดังนั้น อเมริกาจึงทำทุกอย่างเพื่อหลอกให้ชาวโลกเชื่อว่า สงครามเท่านั้นแหละ ที่จะเป็นยาขจัดการแพร่พันธ์คอมมิวนิสต์อย่างชงัด
    เมื่ออเมริกาตัดสินใจทำมาหากินกับสงครามเวียตนาม ก็จำเป็นต้องมีเหยื่อเข้ามาร่วมกิจกรรม จะไปรบคนเดียวได้ยังไงเหงาตาย ไทยแลนด์สมันน้อยถูกผู้กำกับคัดตัวให้ไปเล่นบทตัวเอก แต่สมันน้อย อ่านบทไม่แตก ไม่ตัดสินใจเสียที อเมริกาจึงลงทุนประคองคุณป๋าสฤษดิ์บินไปอเมริกาเพื่อไปรักษาตัวตอนคุณป๋าป่วย พอไปถึงคุณป๋านอกจากจะถูกบรรดาหมอรุมกันรักษาแล้วคูณป๋ายังถูกอุ้มลงเปลเห่กล่อม ติวเข้มเกี่ยวกับภัยคอมมี่ กลับมาคุณป๋าร้องเฮ้ยเว้ย เอาไง เอากัน จะปล่อยให้คอมมี่มันบุกบ้านเรา บ้านพี่เมืองน้องเราได้ยังไง (ท่านที่ยังไม่เคยอ่านนิทานจิกโก๋ปากซอย ตอนนี้เป็นโอกาสดี เชิญแวะไปอ่านหน่อยนะครับ ทำลิงค์ไว้ให้แล้ว หาไม่เจอบอกมาจะลงให้ใหม่ จะได้อ่านนิทานเรื่องนี้แบบไม่ขาดลอย เพราะมันเกี่ยวเนื่องกันครับ แหม ! เอาใจคนอ่านจังนะลุง กลัวแฟนเพจไม่ถึงหมื่นหรือไง ฮา !)
    ขบวนการล่อเหยื่อ จับลงเปลเห่กล่อมเขาน่าสนใจ อเมริกาจะทำอะไร ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ จะทำวันนี้เขาคิดมา 20-30 ปีก่อนหน้าแล้ว วางแผนซับซ้อน วิธีการวางแผน หาข้อมูล ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ เหมือนพวกไอ้ป้อดอีแป้ดมันออกรุ่นใหม่ มีลูกเล่นมาหลอกให้เราซื้ออยู่เรื่อย แต่ลูกหลักมันก็ไม่ต่างกันหรอก เพราะฉะนั้นถึงแม้นักล่าจะเปลี่ยนลูกเล่นอยู่เรื่อย แต่ลูกหลักมันก็พอมองออก ถ้าหมั่นติดตาม
    แกะสะเก็ด แกะรอยเก่า รอยใหม่ เอาแว่นมาส่องดู ก็คงพอจะตามรอยมันได้บ้าง ตอนนี้นักล่าประกาศไปทั่วโลก ว่าจะกลับมาวิ่งเล่นลิงชิงหลักอยู่แถวเอเซีย ตามนโยบาย Rebalancing ไทยแลนด์แดนสมันน้อยก็ไม่แคล้วจะถูกคัดตัวมาเข้าฉากอีก แต่คราวนี้จะได้รับบทตัวเอก ตัวประกอบ หรือบทไหน เรายังไม่รู้แน่ แต่จะไปรอรู้เอาตอนจบ นอนนับศพนับซากในบ้านเรา มันจะไหวหรือ สมันน้อยตื่นตัว ตามศึกษาแกะรอยนักล่ากันหน่อย อย่าดูแค่ที่เห็นข้างหน้า หัดเหลียวหลังแลข้างบ้างน่าจะดีกว่านะ
    มารู้จักสามีภรรยาคู่หนึ่งกันหน่อย นาย Kenneth และนาง Margaret Landon เขา 2 คนนี้ น่าสนใจมาก เขาเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของไทยกับอเมริกา ช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นส่วนสำคัญในการช่วยสร้าง เครื่องมือการล่าเหยื่อของอเมริกาในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในเมืองไทย เครื่องมือการล่าเหยื่อชนิดนี้ยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ อุปกรณ์หลักเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนอุปกรณ์เสริมให้ทันตามสมัยนิยมเท่านั้นเอง
    นาง Margaret มีชื่อเสียงเพราะเป็นคนเขียนหนังสือ เรื่อง Anna and the King ซึ่งตอนหลังHollywood เอาไปสร้างหนังเรื่อง The King and I นำแสดงโดย Rex Harrison ตอนรุ่นแรก แต่มาดังตอนสร้างครั้งที่สองโดยเอานาย Yul Brynner มารับบทเป็น The King หนังเรื่องนี้ถูกห้ามฉายในประเทศไทย นอกจากนั้นหนังสือเรื่องนี้ยังถูกนำไปสร้างเป็นละคร Broadway ดังระเบิด เพลงเพราะ ฉากสวย แต่เนื้อเรื่องแต่งตามความคิดของฝรั่งมองไทย ที่รู้จักไทยอย่างครึ่งๆ กลางๆ แต่คิดเอาเองว่ารู้จักหมด แต่นิทานเรื้องนี้จะไม่เล่าเกี่ยวกับนาง Margaret แต่จะเล่าเกี่ยวกับสามีนาง Margaret ที่ชื่อนาย Kenneth ผู้สร้างรอยเก่าน่าสนใจตามแกะดู


    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า” ตอนที่ 1 เมื่อตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ. 1942 อเมริกาไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่จะไปทำสงคราม แต่เป้าหมายของอเมริกาไกลกว่านั้น เขามองถึงการเป็นพี่เบิ้มใหญ่ของโลกหลังสงคราม และอเมริกาก็ทำได้ตามเป้าหมายมาตลอด ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน กลยุทธใด แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นนักล่าหน้าใหม่ แต่ฝีไม้ลายมือในการล่าไม่เบา หลังจากเป็นผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกามองตัวเองว่าเป็นจักรวรรดิอเมริกา เพราะจักรวรรดิต่างๆ ได้ล่มสลายไปหมดเหลือไว้แต่ซากกับประวัติ อเมริกาหมดคู่แข่งชั่วคราว ผงาดตัวมาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง แม้ตอนนี้ แท่นยืนของนักล่าหมายเลขหนึ่ง จะออกอาการง่อนแง่น แท่นเอียง ขาเก เพราะโดนทั้งปลวกทั้งด้วงแมงแทะในบ้านอยู่ แถมหลายประเทศที่อเมริกาเคยใช้กลยุทธ โกหก ตอแหล สร้างเรื่องสาระพัด หลอกโลกและใช้หน่วยงานที่ตนเองชักใย รุมกันจนประเทศเหล่านั้นแตกเป็นเสี่ยง หรือโดนกองทัพอันเกรียงไกรของพี่เบิ้มบุกเข้าประเทศ ประหนึ่งขี่ช้างจับตั๊กแตน จนบ้างเมืองเขาพินาศ เหลือเป็นซากเศษอิฐ หรือที่เคยมองประเทศเหล่านั้นอย่างหยามเหยียดด้วยหางตา ประเทศเหล่านั้นเริ่มขยับมาตีเสมอ เผลอๆ จะจับมือกันร่วมหัว ร่วมท้าย ท้าทายอเมริกา กระแซะพี่เบิ้มให้ตกจากแท่นยืนในฐานะหมายเลขหนึ่งเอาเสียด้วย ซ้ำ แต่เกมการล่า การแข่งขันชิงแชมป์โลก ต้องมองกันนานๆ ดูกันไปยาวๆ อย่าเพิ่งตัดสินแค่ยกสองยก มวยใหญ่มันอึด มีท่วงทีลีลาน่าศึกษา แต่ที่สำคัญอยู่ที่ชั้นเชิง ไม่รู้ปล่อยกันออกมาหมดหรือยัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าสู่ยุคสงครามเย็น ระบอบคอมมิวนิสต์ออกดอกแพร่พันธ์ ไปหลายแห่งในโลก สายหนึ่งไปทางสหภาพโซเวียต สายหนึ่งมาทางเอเซีย สู่จีนและเวียตนาม ใครเป็นคนเอาพันธ์มาแพร่ ก็รู้ๆ กันอยู่ อเมริกาทำเป็นทนดูไม่ได้ แบบนี้เสียหน้าผู้พิทักษ์โลกสวยใบนี้หมด (แหม! ใช้ศัพท์สมัยใหม่เป็นเหมือนกันเหรอลุง ฮา!) ดังนั้น อเมริกาจึงทำทุกอย่างเพื่อหลอกให้ชาวโลกเชื่อว่า สงครามเท่านั้นแหละ ที่จะเป็นยาขจัดการแพร่พันธ์คอมมิวนิสต์อย่างชงัด เมื่ออเมริกาตัดสินใจทำมาหากินกับสงครามเวียตนาม ก็จำเป็นต้องมีเหยื่อเข้ามาร่วมกิจกรรม จะไปรบคนเดียวได้ยังไงเหงาตาย ไทยแลนด์สมันน้อยถูกผู้กำกับคัดตัวให้ไปเล่นบทตัวเอก แต่สมันน้อย อ่านบทไม่แตก ไม่ตัดสินใจเสียที อเมริกาจึงลงทุนประคองคุณป๋าสฤษดิ์บินไปอเมริกาเพื่อไปรักษาตัวตอนคุณป๋าป่วย พอไปถึงคุณป๋านอกจากจะถูกบรรดาหมอรุมกันรักษาแล้วคูณป๋ายังถูกอุ้มลงเปลเห่กล่อม ติวเข้มเกี่ยวกับภัยคอมมี่ กลับมาคุณป๋าร้องเฮ้ยเว้ย เอาไง เอากัน จะปล่อยให้คอมมี่มันบุกบ้านเรา บ้านพี่เมืองน้องเราได้ยังไง (ท่านที่ยังไม่เคยอ่านนิทานจิกโก๋ปากซอย ตอนนี้เป็นโอกาสดี เชิญแวะไปอ่านหน่อยนะครับ ทำลิงค์ไว้ให้แล้ว หาไม่เจอบอกมาจะลงให้ใหม่ จะได้อ่านนิทานเรื่องนี้แบบไม่ขาดลอย เพราะมันเกี่ยวเนื่องกันครับ แหม ! เอาใจคนอ่านจังนะลุง กลัวแฟนเพจไม่ถึงหมื่นหรือไง ฮา !) ขบวนการล่อเหยื่อ จับลงเปลเห่กล่อมเขาน่าสนใจ อเมริกาจะทำอะไร ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ จะทำวันนี้เขาคิดมา 20-30 ปีก่อนหน้าแล้ว วางแผนซับซ้อน วิธีการวางแผน หาข้อมูล ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ เหมือนพวกไอ้ป้อดอีแป้ดมันออกรุ่นใหม่ มีลูกเล่นมาหลอกให้เราซื้ออยู่เรื่อย แต่ลูกหลักมันก็ไม่ต่างกันหรอก เพราะฉะนั้นถึงแม้นักล่าจะเปลี่ยนลูกเล่นอยู่เรื่อย แต่ลูกหลักมันก็พอมองออก ถ้าหมั่นติดตาม แกะสะเก็ด แกะรอยเก่า รอยใหม่ เอาแว่นมาส่องดู ก็คงพอจะตามรอยมันได้บ้าง ตอนนี้นักล่าประกาศไปทั่วโลก ว่าจะกลับมาวิ่งเล่นลิงชิงหลักอยู่แถวเอเซีย ตามนโยบาย Rebalancing ไทยแลนด์แดนสมันน้อยก็ไม่แคล้วจะถูกคัดตัวมาเข้าฉากอีก แต่คราวนี้จะได้รับบทตัวเอก ตัวประกอบ หรือบทไหน เรายังไม่รู้แน่ แต่จะไปรอรู้เอาตอนจบ นอนนับศพนับซากในบ้านเรา มันจะไหวหรือ สมันน้อยตื่นตัว ตามศึกษาแกะรอยนักล่ากันหน่อย อย่าดูแค่ที่เห็นข้างหน้า หัดเหลียวหลังแลข้างบ้างน่าจะดีกว่านะ มารู้จักสามีภรรยาคู่หนึ่งกันหน่อย นาย Kenneth และนาง Margaret Landon เขา 2 คนนี้ น่าสนใจมาก เขาเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของไทยกับอเมริกา ช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นส่วนสำคัญในการช่วยสร้าง เครื่องมือการล่าเหยื่อของอเมริกาในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในเมืองไทย เครื่องมือการล่าเหยื่อชนิดนี้ยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ อุปกรณ์หลักเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนอุปกรณ์เสริมให้ทันตามสมัยนิยมเท่านั้นเอง นาง Margaret มีชื่อเสียงเพราะเป็นคนเขียนหนังสือ เรื่อง Anna and the King ซึ่งตอนหลังHollywood เอาไปสร้างหนังเรื่อง The King and I นำแสดงโดย Rex Harrison ตอนรุ่นแรก แต่มาดังตอนสร้างครั้งที่สองโดยเอานาย Yul Brynner มารับบทเป็น The King หนังเรื่องนี้ถูกห้ามฉายในประเทศไทย นอกจากนั้นหนังสือเรื่องนี้ยังถูกนำไปสร้างเป็นละคร Broadway ดังระเบิด เพลงเพราะ ฉากสวย แต่เนื้อเรื่องแต่งตามความคิดของฝรั่งมองไทย ที่รู้จักไทยอย่างครึ่งๆ กลางๆ แต่คิดเอาเองว่ารู้จักหมด แต่นิทานเรื้องนี้จะไม่เล่าเกี่ยวกับนาง Margaret แต่จะเล่าเกี่ยวกับสามีนาง Margaret ที่ชื่อนาย Kenneth ผู้สร้างรอยเก่าน่าสนใจตามแกะดู คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยนักล่า ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (2)
    ขณะที่เขียนนิทานนี้ การขับไล่รัฐบาลนังมารร้าย ของมวลมหาประชาชนยังไม่สำเร็จ มะม่วงแม้จะขั้วเน่า จุดดำขึ้นเต็มลูก ก็ยังไม่ร่วงหล่น ลุงกำนันใช้ลมปากเท่าใดก็ไม่เป็นผล และแม้จะมีนักวิชาการดาหน้ากันมาบอกว่า การเป็นรัฐบาลรักษาการของรัฐบาลนังมารร้ายได้สิ้นสุดไปแล้ว ก็เหมือนพูดกับคนหูหนวก ไม่รู้เรื่อง แถมนังมารร้ายออกมาพูดจาเลอะเทอะ ทำน้ำตาคลอ ดูอาการเหมือนคนใกล้จะวิปลาส และแม้จะมีศาลจะออกมาชี้มูลความผิด หรือแม้ว่าจะมีคุณหมอคนใดจริงใจและใจถึงออกมาบอกว่า นังมารร้ายวิปลาสไปแล้ว หล่อนก็ยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกาะเก้าอี้ห้อยต่องแต่งต่อไป จำเป็นจะต้องรอให้มีปัจจัยอื่น ที่จะมาปลิดมะม่วงให้หล่น
    ปัจจัยภายในคือคุณพี่ทหาร ซึ่งขณะนี้ได้แสดงท่าทีว่าจวนจะหาจุดยืนถูก “ที่” แล้ว รออีกสักหน่อย ตอนนี้ยังยุ่งกับการแต่งบังเกอร์ให้หวานแหววอยู่ ส่วนปัจจัยภายนอกคือนักล่า ซึ่งได้ปล่อยข่าวผ่านสำนักหมอ ดู CSIS (Centre for Strategic and International Studies) เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ไปแล้วว่า มันควรต้องมีการประนีประนอมด้วยการเจรจา และตกลงตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลาง เลือกเอาจากที่ผู้คนยอมรับนับถือแบบนายอานันท์ ปันยารชุน
    แหม ! ข่าวแบบนี้เล่นเอาร้านตัดเสื้องานเข้า เขาว่ามีคนแอบไปตัดชุดขาวหลายคน (แอบลุ้นกันทั้งนั้น) บางคนก็เอาชุดเดิมไปแก้ เพราะว่าคอมันคับไป แก่แล้ว น้ำหนักมันขึ้น (ฮา)
    แม้เราจะยังไม่แน่ใจว่า นักล่าจะเล่นไพ่ใบไหน มันกะล่อนจะตาย จะเชื่อกันง่าย ๆ ก็ ฉ.ห. กันหมด แต่เมื่อลองไปแกะรอย ตามดูว่านักล่าเดินไปทางไหน มันก็พอจะบอกอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง
    อเมริกามีหน่วยงานหนึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบ ทำรายงานเกี่ยวกับความเป็นไปของแต่ละประเทศแต่ละเหตุการณ์ในโลก เพื่อส่งให้สภาสูง เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอเมริกา เหมือนคุณครูประจำชั้นเขียนสมุดพก ประจำตัวนักเรียนแต่ละคน รายงานผู้ปกครอง สมัยเราเรียนหนังสือนั่นละ หน่วยงานที่ออกสมุดพกพวกนี้เรียกว่า Congressional Research Services (CRS) คุณครูจะออกสมุดพกของแต่ละประเทศ เป็นรายปีในกรณีปกติ หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับเหตุการณ์และความสำคัญ เช่นถ้าอเมริกากำลังวิ่งเล่นโยนระเบิดอยู่แถวอิรัค สมุดพกของอิรัคอาจออกเป็นรายชั่วโมง (ฮา) หรือของยูเครนตอนนี้คงออกเป็นรายครึ่งวัน เพราะลงทุนส่งสมุนไปปลุกเศกการปฏิวัติประชาชนซะจนประเทศเขากำลังจะแตกเป็นเสี่ยง
    สำหรับประเทศไทย ที่เปิดเผยคือสมุดพกออกเป็นราย ปี แต่ที่ปกปิด ตามรายงานของคุณนายฑูต อาจออกเป็นรายวัน ดูสมัยเสื้อแดงเผาเมือง ฑูตสมัยนั้นรายงานทุกวัน 3 เวลาหลังอาหาร (อ่านจาก Wikileaks ที่ได้อภินันทนาการแจกกันทั่วโลกครับ) สมุดพกที่ว่านี้ปรกติของนักเรียนไทยแต่ละปี จะออกช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน แต่สำหรับปีค.ศ. 2013 ที่ผ่านมา ผ่านไปครึ่งปีคุณครูคงยังไม่สามารถสรุป ความประพฤติของนักเรียนไทยได้ เพราะเริ่มมีอาการปวดหัว ตัวร้อน มีการโดดเรียน หรือเริ่มมั่วสุมนอกห้องเรียน เพราะหงุดหงิดจากพวกแก๊งขี้โกงเสนอร่างพรบ.นิรโทษกรรมเข้าไปพิจารณาในสภา คุณครู CRS เลยถ่วงเวลามาออกเอาเดือนสุดท้ายของปี คือออกรายงานเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013
    รายงานคราวนี้ยาวกว่าปรกติ โดยเฉพาะเรื่องสถานการณ์ด้านการเมือง คุณครูรายงานถี่ยิบ ใส่ทุกเรื่องทุกฝ่าย
    รายงานส่วนที่สำคัญบอกว่า ไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ. 1954 (นานจัง) และได้รับการชื่นชมมาโดยตลอดว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการดำรงความเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตย (อ้าว ! ไหนประนามกันเรื่อยว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย เดี๋ยวฟ้องคุณครูเลย ! ) สัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศแน่นแฟ้นในช่วงสงครามเย็น และได้ขยายไปทั้งด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของอเมริกา และการที่อเมริกาสามารถเข้าไปใช้บริการ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ของกองทัพไทย (เช่น สนามบิน ! ) ทำให้ประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาในการจะดำรงคงอยู่ในภูมิภาค Asia Pacific นี้ได้ (แหม ! จะหลอกใช้สนามบินของเค้าอีกแล้ว)
    คุณครูบอกว่าความมั่นคงและความเจริญเติบโตของประเทศไทย เริ่มสั่นคลอนหลังจากรัฐประหารในไทย เมื่อ ค.ศ. 2006 สร้างความแตกแยกในสังคมไทยอย่างร้าวลึกและยาวนาน และขณะนี้ได้ลุกลามไปจนกลายเป็น การประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และให้มีการปกครอง ที่มีบางส่วนอาจมองได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองของประเทศ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของไทย ก็ยังเติบโตแม้จะมีวิกฤติการเมือง และยังเป็นประเทศที่รายได้ของชนชั้นกลาง ยังมีการขยายต่อได้อีก และยังเป็นพันธมิตรที่มั่นคงของอเมริกา (แปลว่าเรื่องกระเป๋าตังค์นี่ เป็นประเด็นที่นักล่าสนใจนะ)
    ประเทศไทยที่สงบและมีความมั่นคง มีนัยอย่างสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกา เพราะประเทศไทยซึ่งมีสถานะเป็นพันธมิตรของอเมริกา ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินในบริเวณที่เหมาะสมของภูมิภาคอาเซียอาคเณย์นี้ (จุดได้เปรียบของไทย จำกันไว้ให้ดี !)
    คุณครูรายงานต่อไปว่า สภาสูงของอเมริกากำลังลำบากใจที่ต้องเผชิญกับภาวะที่ดูไม่ประชาธิปไตยของไทย และจะมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร กับประเด็นการดุลอำนาจระหว่างพลเรือนและทหารที่เป็นอยู่ในสังคมไทย (พูดง่าย ๆ ว่ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาพลเรือนนำทหาร หรือจะเอาทหารนำพลเรือนใช่ไหมคุณครู) นอกจากนี้ยังมีนักวิเคราะห์หลายรายบอกว่า การที่ไทยมัววุ่นอยู่กับปัญหาภายในประเทศของตนนานเกินไป ทำให้อิทธิพลของตนเองที่เคยมีอยู่ในภูมิภาคนี้ด้อยลงด้วย อย่างไรก็ตามแม้ในระดับการปฏิบัติการร่วมกัน ยังคงราบรื่นอยู่ แต่การริเริ่มใหม่ ๆ ดูเหมือนจะเฉื่อยชาไป (แหม ! นายท่านพวกกระผม กำลังวุ่นกับการไล่รัฐบาลโจร จะให้มัวไปเช็ดรองเท้าพวกท่านก็กรุณารอก่อนนะขอรับ ขอโทษครับ ขอเขียนแดกพวกขี้ข้าฝรั่งหน่อย อดไม่ได้)
    เมื่อรัฐบาล Obama ประกาศเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของอเมริกา (Rebalancing) โดยให้ความสำคัญกับ Asia Pacific เป็นอันดับสำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องมีการขับเคลื่อนร่วมมือจากประเทศที่เรียกว่าเป็นพันธมิตรในภูมิภาคนี้ด้วยนั้น เห็นชัดว่าอเมริกากับไทย ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ และประเทศไทยก็ไม่ได้ เข้าเป็นคู่สัญญาในการริเริ่มขบวนการตาม Trans Pacific Partnership (TPP) (ไทยตกรถไฟขบวน TPP น่าจะแปลว่าดีกับไทยนะ เพราะยังไม่เห็นประโยชน์อะไรกับไทยเลย !)
    แต่ประเด็นที่เป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการเมืองไทย ที่อเมริกาเป็นห่วง คือโอกาสที่ทักษิณจะกลับมาอยู่ในประเทศไทย มีมากน้อยเพียงใด (แปลว่าไม่อยากได้ทักษิณใช่ไหม ทักษิณเป็นตัวปัญหาใช่ไหม คุณครู) เพราะทักษิณยังเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ และตัวทักษิณเองได้พูดไปทั่วว่า ตนเองยังได้รับการสนับสนุนจากคนไทยอยู่มาก และจะกลับบ้านในเร็ว ๆ นี้ ร่างกฎหมาย นิรโทษกรรมที่จะล้างผิดให้ทักษิณเป็นต้นเหตุ ให้เกิดการประท้วงใหญ่ ตั้งแต่ตุลาคม ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา
    อีกประเด็นที่สำคัญคือคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระชนมายุ 86 แล้ว และมีรายงานว่าไม่ทรงแข็งแรง พระองค์ทรงเป็นที่เคารพอย่างสูงสุด ของประชาชนมาตลอด 60 ปี ที่ผ่านมา และสถาบันกษัตริย์เป็นที่ยอมรับว่า เป็นสถาบันที่มั่นคงที่สุดในไทย แต่ขณะนี้คำถามเกี่ยวกับการสืบสันตติวงศ์เริ่มใกล้เข้ามา ซึ่งทำให้ความมั่นคงของไทยในส่วนนี้ เป็นเรื่องที่ห่วงกันอยู่
    สาเหตุหลักที่อเมริกาจะต้องพยายามรักษาสัมพันธ์กับประเทศไทยไว้ คือ การแข่งขันในการมีอิทธิพลในอาเซียอาคเณย์ระหว่างอเมริกากับจีน (ฮั่นแน่ ! เรื่องสำคัญ มาแอบอยู่ตรงนี้เองแหละ) ไทยมีชื่อเสียงมานานในความสามารถรักษาสัมพันธ์กับทุกฝ่าย ไม่ว่าด้านธุรกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ไทยสามารถจัดการได้ดีทั้งกับจีนและอเมริกา
    ประเทศไทยที่แข็งแรง และมองออกไปนอกตัวเองมากขึ้น จะช่วยให้ได้รับการสนับสนุน ในการเข้าร่วมกระบวนการ “Rebalancing” ของอเมริกา วิกฤตการเมืองของไทย ทำให้ไทยเสียโอกาสอย่างมาก เพราะเมื่อรัฐบาล Obama ประกาศนโยบายต่างประเทศ Rebalancing ของอเมริกามาทางเอเซีย ไทยไม่ได้รับบทบาทสำคัญ (ไม่ได้เป็นพระเอก) และวอชิงตันได้มองไปที่ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และคบหุ้นส่วนใหม่ เช่น อินโดนีเซีย และเวียตนาม (พวกตัวประกอบผักชีโรยหน้า)
    อย่างไรก็ตามฝ่ายกองทัพของสหรัฐ ยังอยากที่จะคบค้าสานสัมพันธ์กับกองทัพไทยต่อไป (Mil to Mil relationship) โดยเฉพาะการสามารถเข้าไปใช้เครื่องมือเครื่องใช้อำนวยความสะดวก รวมทั้งฐานทัพของไทย ในกรณีที่เกิดปัญหาความตึงเครียดในภูมิภาคนี้
    นักวิเคราะห์ระดับภูมิภาคประโลมใจว่า แม้ประเทศไทยจะไม่วิเศษสมบูรณ์ แต่พันธมิตรที่เป็นประชาธิปไตยในภูมิภาค มีความสำคัญยิ่งในการแสดงให้เห็นถึงความผูกพันธ์ของอเมริกาในภูมิภาคนี้ (คุณนายฑูตคริสตี้ ช่วยอ่านรายงานคุณครู CRS ตอนนี้ให้เข้าไปในหัวหน่อย และถ้าคุณนายซึ่งเป็นฑูตตัวแทนประเทศตัวเอง แล้วยังตั้งหน้าตอแหลบิดเบือนต่อไปอีก ครูใหญ่ Obama ช่วยเรียกตัวกลับไปกวาดพื้นโรงเรียนประถมในอเมริกา จะเหมาะสมกับคุณนายมากกว่า และอาจจะทำให้อเมริกาถูกรังเกียจน้อยลงไปบ้าง)
    ขณะเดียวกัน มีผู้ท้วงติงว่า การที่อเมริกาพยายามจะให้ไทยใช้วิธีการบริหารประเทศ โดยให้พลเรือนควบคุมกองทัพ ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล ดูจากเหตุการณ์ไม่กี่ปีที่ผ่านมา (แปลว่าอยากได้ทหารเป็นผู้บริหารประเทศ มากกว่าพลเรือนหรือไง ?) และแม้ว่าการจะใช้สนามบินของไทยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับกองทัพอเมริกา ก็มีผู้สงสัยเช่นกันว่า ไทยจะยอมให้ใช้หรือไม่ หากมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น (เริ่มจะรู้ตัวแล้วหรือนักล่า ว่าสมันน้อยก็มีเขี้ยวเล็บเหมือนกัน)

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยนักล่า ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (2) ขณะที่เขียนนิทานนี้ การขับไล่รัฐบาลนังมารร้าย ของมวลมหาประชาชนยังไม่สำเร็จ มะม่วงแม้จะขั้วเน่า จุดดำขึ้นเต็มลูก ก็ยังไม่ร่วงหล่น ลุงกำนันใช้ลมปากเท่าใดก็ไม่เป็นผล และแม้จะมีนักวิชาการดาหน้ากันมาบอกว่า การเป็นรัฐบาลรักษาการของรัฐบาลนังมารร้ายได้สิ้นสุดไปแล้ว ก็เหมือนพูดกับคนหูหนวก ไม่รู้เรื่อง แถมนังมารร้ายออกมาพูดจาเลอะเทอะ ทำน้ำตาคลอ ดูอาการเหมือนคนใกล้จะวิปลาส และแม้จะมีศาลจะออกมาชี้มูลความผิด หรือแม้ว่าจะมีคุณหมอคนใดจริงใจและใจถึงออกมาบอกว่า นังมารร้ายวิปลาสไปแล้ว หล่อนก็ยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกาะเก้าอี้ห้อยต่องแต่งต่อไป จำเป็นจะต้องรอให้มีปัจจัยอื่น ที่จะมาปลิดมะม่วงให้หล่น ปัจจัยภายในคือคุณพี่ทหาร ซึ่งขณะนี้ได้แสดงท่าทีว่าจวนจะหาจุดยืนถูก “ที่” แล้ว รออีกสักหน่อย ตอนนี้ยังยุ่งกับการแต่งบังเกอร์ให้หวานแหววอยู่ ส่วนปัจจัยภายนอกคือนักล่า ซึ่งได้ปล่อยข่าวผ่านสำนักหมอ ดู CSIS (Centre for Strategic and International Studies) เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ไปแล้วว่า มันควรต้องมีการประนีประนอมด้วยการเจรจา และตกลงตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลาง เลือกเอาจากที่ผู้คนยอมรับนับถือแบบนายอานันท์ ปันยารชุน แหม ! ข่าวแบบนี้เล่นเอาร้านตัดเสื้องานเข้า เขาว่ามีคนแอบไปตัดชุดขาวหลายคน (แอบลุ้นกันทั้งนั้น) บางคนก็เอาชุดเดิมไปแก้ เพราะว่าคอมันคับไป แก่แล้ว น้ำหนักมันขึ้น (ฮา) แม้เราจะยังไม่แน่ใจว่า นักล่าจะเล่นไพ่ใบไหน มันกะล่อนจะตาย จะเชื่อกันง่าย ๆ ก็ ฉ.ห. กันหมด แต่เมื่อลองไปแกะรอย ตามดูว่านักล่าเดินไปทางไหน มันก็พอจะบอกอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง อเมริกามีหน่วยงานหนึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบ ทำรายงานเกี่ยวกับความเป็นไปของแต่ละประเทศแต่ละเหตุการณ์ในโลก เพื่อส่งให้สภาสูง เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอเมริกา เหมือนคุณครูประจำชั้นเขียนสมุดพก ประจำตัวนักเรียนแต่ละคน รายงานผู้ปกครอง สมัยเราเรียนหนังสือนั่นละ หน่วยงานที่ออกสมุดพกพวกนี้เรียกว่า Congressional Research Services (CRS) คุณครูจะออกสมุดพกของแต่ละประเทศ เป็นรายปีในกรณีปกติ หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับเหตุการณ์และความสำคัญ เช่นถ้าอเมริกากำลังวิ่งเล่นโยนระเบิดอยู่แถวอิรัค สมุดพกของอิรัคอาจออกเป็นรายชั่วโมง (ฮา) หรือของยูเครนตอนนี้คงออกเป็นรายครึ่งวัน เพราะลงทุนส่งสมุนไปปลุกเศกการปฏิวัติประชาชนซะจนประเทศเขากำลังจะแตกเป็นเสี่ยง สำหรับประเทศไทย ที่เปิดเผยคือสมุดพกออกเป็นราย ปี แต่ที่ปกปิด ตามรายงานของคุณนายฑูต อาจออกเป็นรายวัน ดูสมัยเสื้อแดงเผาเมือง ฑูตสมัยนั้นรายงานทุกวัน 3 เวลาหลังอาหาร (อ่านจาก Wikileaks ที่ได้อภินันทนาการแจกกันทั่วโลกครับ) สมุดพกที่ว่านี้ปรกติของนักเรียนไทยแต่ละปี จะออกช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน แต่สำหรับปีค.ศ. 2013 ที่ผ่านมา ผ่านไปครึ่งปีคุณครูคงยังไม่สามารถสรุป ความประพฤติของนักเรียนไทยได้ เพราะเริ่มมีอาการปวดหัว ตัวร้อน มีการโดดเรียน หรือเริ่มมั่วสุมนอกห้องเรียน เพราะหงุดหงิดจากพวกแก๊งขี้โกงเสนอร่างพรบ.นิรโทษกรรมเข้าไปพิจารณาในสภา คุณครู CRS เลยถ่วงเวลามาออกเอาเดือนสุดท้ายของปี คือออกรายงานเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013 รายงานคราวนี้ยาวกว่าปรกติ โดยเฉพาะเรื่องสถานการณ์ด้านการเมือง คุณครูรายงานถี่ยิบ ใส่ทุกเรื่องทุกฝ่าย รายงานส่วนที่สำคัญบอกว่า ไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ. 1954 (นานจัง) และได้รับการชื่นชมมาโดยตลอดว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการดำรงความเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตย (อ้าว ! ไหนประนามกันเรื่อยว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย เดี๋ยวฟ้องคุณครูเลย ! ) สัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศแน่นแฟ้นในช่วงสงครามเย็น และได้ขยายไปทั้งด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของอเมริกา และการที่อเมริกาสามารถเข้าไปใช้บริการ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ของกองทัพไทย (เช่น สนามบิน ! ) ทำให้ประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาในการจะดำรงคงอยู่ในภูมิภาค Asia Pacific นี้ได้ (แหม ! จะหลอกใช้สนามบินของเค้าอีกแล้ว) คุณครูบอกว่าความมั่นคงและความเจริญเติบโตของประเทศไทย เริ่มสั่นคลอนหลังจากรัฐประหารในไทย เมื่อ ค.ศ. 2006 สร้างความแตกแยกในสังคมไทยอย่างร้าวลึกและยาวนาน และขณะนี้ได้ลุกลามไปจนกลายเป็น การประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และให้มีการปกครอง ที่มีบางส่วนอาจมองได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองของประเทศ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของไทย ก็ยังเติบโตแม้จะมีวิกฤติการเมือง และยังเป็นประเทศที่รายได้ของชนชั้นกลาง ยังมีการขยายต่อได้อีก และยังเป็นพันธมิตรที่มั่นคงของอเมริกา (แปลว่าเรื่องกระเป๋าตังค์นี่ เป็นประเด็นที่นักล่าสนใจนะ) ประเทศไทยที่สงบและมีความมั่นคง มีนัยอย่างสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกา เพราะประเทศไทยซึ่งมีสถานะเป็นพันธมิตรของอเมริกา ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินในบริเวณที่เหมาะสมของภูมิภาคอาเซียอาคเณย์นี้ (จุดได้เปรียบของไทย จำกันไว้ให้ดี !) คุณครูรายงานต่อไปว่า สภาสูงของอเมริกากำลังลำบากใจที่ต้องเผชิญกับภาวะที่ดูไม่ประชาธิปไตยของไทย และจะมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร กับประเด็นการดุลอำนาจระหว่างพลเรือนและทหารที่เป็นอยู่ในสังคมไทย (พูดง่าย ๆ ว่ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาพลเรือนนำทหาร หรือจะเอาทหารนำพลเรือนใช่ไหมคุณครู) นอกจากนี้ยังมีนักวิเคราะห์หลายรายบอกว่า การที่ไทยมัววุ่นอยู่กับปัญหาภายในประเทศของตนนานเกินไป ทำให้อิทธิพลของตนเองที่เคยมีอยู่ในภูมิภาคนี้ด้อยลงด้วย อย่างไรก็ตามแม้ในระดับการปฏิบัติการร่วมกัน ยังคงราบรื่นอยู่ แต่การริเริ่มใหม่ ๆ ดูเหมือนจะเฉื่อยชาไป (แหม ! นายท่านพวกกระผม กำลังวุ่นกับการไล่รัฐบาลโจร จะให้มัวไปเช็ดรองเท้าพวกท่านก็กรุณารอก่อนนะขอรับ ขอโทษครับ ขอเขียนแดกพวกขี้ข้าฝรั่งหน่อย อดไม่ได้) เมื่อรัฐบาล Obama ประกาศเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของอเมริกา (Rebalancing) โดยให้ความสำคัญกับ Asia Pacific เป็นอันดับสำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องมีการขับเคลื่อนร่วมมือจากประเทศที่เรียกว่าเป็นพันธมิตรในภูมิภาคนี้ด้วยนั้น เห็นชัดว่าอเมริกากับไทย ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ และประเทศไทยก็ไม่ได้ เข้าเป็นคู่สัญญาในการริเริ่มขบวนการตาม Trans Pacific Partnership (TPP) (ไทยตกรถไฟขบวน TPP น่าจะแปลว่าดีกับไทยนะ เพราะยังไม่เห็นประโยชน์อะไรกับไทยเลย !) แต่ประเด็นที่เป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการเมืองไทย ที่อเมริกาเป็นห่วง คือโอกาสที่ทักษิณจะกลับมาอยู่ในประเทศไทย มีมากน้อยเพียงใด (แปลว่าไม่อยากได้ทักษิณใช่ไหม ทักษิณเป็นตัวปัญหาใช่ไหม คุณครู) เพราะทักษิณยังเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ และตัวทักษิณเองได้พูดไปทั่วว่า ตนเองยังได้รับการสนับสนุนจากคนไทยอยู่มาก และจะกลับบ้านในเร็ว ๆ นี้ ร่างกฎหมาย นิรโทษกรรมที่จะล้างผิดให้ทักษิณเป็นต้นเหตุ ให้เกิดการประท้วงใหญ่ ตั้งแต่ตุลาคม ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา อีกประเด็นที่สำคัญคือคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระชนมายุ 86 แล้ว และมีรายงานว่าไม่ทรงแข็งแรง พระองค์ทรงเป็นที่เคารพอย่างสูงสุด ของประชาชนมาตลอด 60 ปี ที่ผ่านมา และสถาบันกษัตริย์เป็นที่ยอมรับว่า เป็นสถาบันที่มั่นคงที่สุดในไทย แต่ขณะนี้คำถามเกี่ยวกับการสืบสันตติวงศ์เริ่มใกล้เข้ามา ซึ่งทำให้ความมั่นคงของไทยในส่วนนี้ เป็นเรื่องที่ห่วงกันอยู่ สาเหตุหลักที่อเมริกาจะต้องพยายามรักษาสัมพันธ์กับประเทศไทยไว้ คือ การแข่งขันในการมีอิทธิพลในอาเซียอาคเณย์ระหว่างอเมริกากับจีน (ฮั่นแน่ ! เรื่องสำคัญ มาแอบอยู่ตรงนี้เองแหละ) ไทยมีชื่อเสียงมานานในความสามารถรักษาสัมพันธ์กับทุกฝ่าย ไม่ว่าด้านธุรกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ไทยสามารถจัดการได้ดีทั้งกับจีนและอเมริกา ประเทศไทยที่แข็งแรง และมองออกไปนอกตัวเองมากขึ้น จะช่วยให้ได้รับการสนับสนุน ในการเข้าร่วมกระบวนการ “Rebalancing” ของอเมริกา วิกฤตการเมืองของไทย ทำให้ไทยเสียโอกาสอย่างมาก เพราะเมื่อรัฐบาล Obama ประกาศนโยบายต่างประเทศ Rebalancing ของอเมริกามาทางเอเซีย ไทยไม่ได้รับบทบาทสำคัญ (ไม่ได้เป็นพระเอก) และวอชิงตันได้มองไปที่ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และคบหุ้นส่วนใหม่ เช่น อินโดนีเซีย และเวียตนาม (พวกตัวประกอบผักชีโรยหน้า) อย่างไรก็ตามฝ่ายกองทัพของสหรัฐ ยังอยากที่จะคบค้าสานสัมพันธ์กับกองทัพไทยต่อไป (Mil to Mil relationship) โดยเฉพาะการสามารถเข้าไปใช้เครื่องมือเครื่องใช้อำนวยความสะดวก รวมทั้งฐานทัพของไทย ในกรณีที่เกิดปัญหาความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ นักวิเคราะห์ระดับภูมิภาคประโลมใจว่า แม้ประเทศไทยจะไม่วิเศษสมบูรณ์ แต่พันธมิตรที่เป็นประชาธิปไตยในภูมิภาค มีความสำคัญยิ่งในการแสดงให้เห็นถึงความผูกพันธ์ของอเมริกาในภูมิภาคนี้ (คุณนายฑูตคริสตี้ ช่วยอ่านรายงานคุณครู CRS ตอนนี้ให้เข้าไปในหัวหน่อย และถ้าคุณนายซึ่งเป็นฑูตตัวแทนประเทศตัวเอง แล้วยังตั้งหน้าตอแหลบิดเบือนต่อไปอีก ครูใหญ่ Obama ช่วยเรียกตัวกลับไปกวาดพื้นโรงเรียนประถมในอเมริกา จะเหมาะสมกับคุณนายมากกว่า และอาจจะทำให้อเมริกาถูกรังเกียจน้อยลงไปบ้าง) ขณะเดียวกัน มีผู้ท้วงติงว่า การที่อเมริกาพยายามจะให้ไทยใช้วิธีการบริหารประเทศ โดยให้พลเรือนควบคุมกองทัพ ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล ดูจากเหตุการณ์ไม่กี่ปีที่ผ่านมา (แปลว่าอยากได้ทหารเป็นผู้บริหารประเทศ มากกว่าพลเรือนหรือไง ?) และแม้ว่าการจะใช้สนามบินของไทยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับกองทัพอเมริกา ก็มีผู้สงสัยเช่นกันว่า ไทยจะยอมให้ใช้หรือไม่ หากมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น (เริ่มจะรู้ตัวแล้วหรือนักล่า ว่าสมันน้อยก็มีเขี้ยวเล็บเหมือนกัน) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ”
    ตอนที่ 2
    อย่าลืมเป้าหมายของนักล่า สำหรับศตวรรษใหม่ คือ Eurasia, ไทยแลนด์ของสมันน้อย แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่สถานที่ตั้งอยู่ในภูมิประเทศเหมาะเจาะ แถมยังมีทรัพยากรเหลืออื้อ โดยพวกสมันน้อยไม่มีปัญญา หรือไม่รู้จักดูแลเก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้นักล่าน้ำลายหก เวลาเอ่ยชื่อสมันน้อยหรือ มันน่าหม่ำออกยังงั้น อย่า อย่าเข้าใจผิดว่าพูดถึงนางสาวแสนโง่ คนนั้น คนละเรื่องกันครับ !
    นักล่าได้พยายามหาทาง เจาะเข้ามาดินแดนของสมันน้อย หลังจากทอดทิ้งไปหลังสงครามเวียตนาม มาเข้าทาง เมื่อหมาไน เห็นผิดเป็นชอบ วิ่งเข้าไปซบกลุ่มนักล่า นึกว่าเขาจะช่วยให้ตนกลับเข้าสู่อำนาจ แน่นอนนักล่าโอบอุ้มไว้ เอาไว้ใช้เป็นหมาก เข้าสู่อาหารจานใหญ่กว่า ที่นักล่าจะกินโดยไม่มีหมาไนมาขอแบ่ง ขบวนการ มันซับซ้อน จดจำไว้ นักล่าไม่เคยคิด หรือวางแผนแบบจอแบนมิติเดียว และไม่เคยเล่นไพ่ใบเดียว หรือหมากตัวเดียว
    นักล่าโอบอุ้มหมาไน ขบวนการโลกล้อมประเทศ หมาไนต้องการหรือ จัดให้ (โดยหมาไนต้องจ่ายเงินก้อนโต ฉลาดสมคำลือ) นึกว่าเพื่อประโยชน์โดด ๆ ของหมาไนหรือ คิดให้ดี ! เมื่อถึงเวลาอันควร ปฏิบัติการฝูงผึ้ง swarming ก็เกิดขึ้น
    ปฏิบัติการฝูงผึ้งออกแบบมา เพื่อให้องค์กรดอกเห็ดทำงาน องค์กรพวกนี้ หน้าฉากเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร (NGO) แต่แท้จริงแล้ว องค์กรเหล่านี้เกือบทั้งหมด ถูกตั้งขึ้นและได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลอเมริกัน หรือผู้ทรงอิทธิพล CFR หรือบุคคลที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
    เช่น George Soros หรือบรรดาบรรษัทข้ามชาติที่เป็นเครือข่ายของ CFR ทั้งสิ้น องค์กรดอกเห็ดที่มาเดินกันพล่านแถวบ้านเราที่ออกมาล่อ ให้ฝูงผึ้งปั่นป่วนเช่น !
    – National Endowment for Democracy (NED)
    – The International Republican Institute (IRI)
    – National Democratic Institute (NDI)
    – Gene Sharp Albert Einstein Institute (AEI)
    – International Center on Nonviolent Conflict (ICNC)
    – Freedom House
    – International Crisis Group (ICG)
    เป็นต้น
    ทฤษฎีฝูงผึ้ง (swarming) เป็นทฤษฎีที่ Rand Corporation ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นมันสมอง (Think Tank) ของฝ่ายกองทัพอเมริกัน คิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 2000 อันที่จริงทฤษฎีนี้ คิดขึ้นมาเพื่อวางรูปแบบการรบ การจัดตั้งกองกำลัง และวางแผนโจมตีหรือรับมือข้าศึก แต่ต่อมาได้มีการนำมาใช้ในด้านปฏิบัติการทางสังคม และโลกของ social media
    swarming มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ Arab Spring ก่อตัวได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง เขาทำกันอย่างไร
    เขาใช้วิธีการของทำงานของฝูงผึ้งเป็นรูปแบบ โดยการสร้างขบวนการนำทางความคิดขึ้นมาก่อน (หัวเชื้อ) หลังจากนั้นขบวนการทางสื่อจะช่วยโหม ประโคม แล้วความไม่สงบก็เกิดขึ้น
    ขั้นตอนดูเหมือนง่าย ๆ แต่การจะทำให้เกิดเป็นรูปธรรม ต้องใช้ศักยภาพและเวลา ในการสร้างกลุ่มคนให้ไปตามทิศทางที่ต้องการ ดังนั้นการนำแสดงคงไม่พ้น นักการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว และนักสื่อสารมวลชน
    เมื่อการทำงานภายใต้ทฤษฏี ล่อฝูงผึ้ง ไปในทิศทางที่ต้องการแล้ว ขบวนการทำให้ ผึ้งแตกรัง ก็ตามมา องค์กร เช่น Gene Sharp Albert Einstein Institute, Open Society Foundation พวกนี้จะมีส่วนสำคัญในการทำให้ผึ้งแตกรัง
    Gene Sharp เป็นผู้ที่น่าสนใจศึกษา เขาเป็นผู้ก่อตั้ง Albert Einstein Institute เป็นผู้ชำนาญด้านภูมิศาสตร์การเมือง ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้รับรางวัลโนเบล ด้านสันติภาพ ถึง 3 ครั้ง (มาอีกแล้ว พวกรางวัลโนเบล !) เขาเขียนหนังสือเรื่อง วิธีก่อการปฏิวัติ How to start a Revolution หนังสือเล่มนี้ อ้างกันว่าเหมือนเป็นคัมภีร์ของการปฏิวัติรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ ในกลุ่มพวก Arab Spring จะพกติดตัวกันเลย ปี ค.ศ. 2011 มีคนเอาเรื่องของเขาไปทำหนังสารคดีชื่อ How to Start a Revolution เป็นหนังสารคดีที่ได้รางวัล เขาเล่าว่าเหตุการณ์ประท้วงของผู้ต้องการประชาธิปไตยในพม่า ก็เป็นการ ช่วยเหลือ ของกลุ่มเขา รวมทั้งเหตุการณ์ในประเทศไทย ธิเบต Latvia Lithonia Estonia Belarus และSerbia ก็ฝีมือพวกเขาทั้งนั้น นาย Gene Sharp จะเป็นผู้คิดแผน ส่วนผู้ปฏิบัติการมือขวาของเขา ชื่อนาย Peter Ackerman ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 2002 ได้ก่อตั้ง International Center for Non Violent Conflict (ICNC) และ ICNC นี้เอง เป็นผู้ให้การฝึกอบรมแก่ activist ชาวอียิปต์และตูนีเซีย
    เขาเล่าในหนังสือ How to Start a Revolution ว่า พวกคุณ นึกหรือว่า Arab Spring มันจะเกิดขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแบบนั้น มันได้มีการออกแบบ วางแผน และอบรมกันล่วงหน้า 2 ปี ก่อนหน้าเหตุการณ์แล้ว.. เกือบลืมบอกไป นาย Peter Ackerman นั้นเป็น CFR ครับ

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ” ตอนที่ 2 อย่าลืมเป้าหมายของนักล่า สำหรับศตวรรษใหม่ คือ Eurasia, ไทยแลนด์ของสมันน้อย แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่สถานที่ตั้งอยู่ในภูมิประเทศเหมาะเจาะ แถมยังมีทรัพยากรเหลืออื้อ โดยพวกสมันน้อยไม่มีปัญญา หรือไม่รู้จักดูแลเก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้นักล่าน้ำลายหก เวลาเอ่ยชื่อสมันน้อยหรือ มันน่าหม่ำออกยังงั้น อย่า อย่าเข้าใจผิดว่าพูดถึงนางสาวแสนโง่ คนนั้น คนละเรื่องกันครับ ! นักล่าได้พยายามหาทาง เจาะเข้ามาดินแดนของสมันน้อย หลังจากทอดทิ้งไปหลังสงครามเวียตนาม มาเข้าทาง เมื่อหมาไน เห็นผิดเป็นชอบ วิ่งเข้าไปซบกลุ่มนักล่า นึกว่าเขาจะช่วยให้ตนกลับเข้าสู่อำนาจ แน่นอนนักล่าโอบอุ้มไว้ เอาไว้ใช้เป็นหมาก เข้าสู่อาหารจานใหญ่กว่า ที่นักล่าจะกินโดยไม่มีหมาไนมาขอแบ่ง ขบวนการ มันซับซ้อน จดจำไว้ นักล่าไม่เคยคิด หรือวางแผนแบบจอแบนมิติเดียว และไม่เคยเล่นไพ่ใบเดียว หรือหมากตัวเดียว นักล่าโอบอุ้มหมาไน ขบวนการโลกล้อมประเทศ หมาไนต้องการหรือ จัดให้ (โดยหมาไนต้องจ่ายเงินก้อนโต ฉลาดสมคำลือ) นึกว่าเพื่อประโยชน์โดด ๆ ของหมาไนหรือ คิดให้ดี ! เมื่อถึงเวลาอันควร ปฏิบัติการฝูงผึ้ง swarming ก็เกิดขึ้น ปฏิบัติการฝูงผึ้งออกแบบมา เพื่อให้องค์กรดอกเห็ดทำงาน องค์กรพวกนี้ หน้าฉากเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร (NGO) แต่แท้จริงแล้ว องค์กรเหล่านี้เกือบทั้งหมด ถูกตั้งขึ้นและได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลอเมริกัน หรือผู้ทรงอิทธิพล CFR หรือบุคคลที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง เช่น George Soros หรือบรรดาบรรษัทข้ามชาติที่เป็นเครือข่ายของ CFR ทั้งสิ้น องค์กรดอกเห็ดที่มาเดินกันพล่านแถวบ้านเราที่ออกมาล่อ ให้ฝูงผึ้งปั่นป่วนเช่น ! – National Endowment for Democracy (NED) – The International Republican Institute (IRI) – National Democratic Institute (NDI) – Gene Sharp Albert Einstein Institute (AEI) – International Center on Nonviolent Conflict (ICNC) – Freedom House – International Crisis Group (ICG) เป็นต้น ทฤษฎีฝูงผึ้ง (swarming) เป็นทฤษฎีที่ Rand Corporation ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นมันสมอง (Think Tank) ของฝ่ายกองทัพอเมริกัน คิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 2000 อันที่จริงทฤษฎีนี้ คิดขึ้นมาเพื่อวางรูปแบบการรบ การจัดตั้งกองกำลัง และวางแผนโจมตีหรือรับมือข้าศึก แต่ต่อมาได้มีการนำมาใช้ในด้านปฏิบัติการทางสังคม และโลกของ social media swarming มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ Arab Spring ก่อตัวได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง เขาทำกันอย่างไร เขาใช้วิธีการของทำงานของฝูงผึ้งเป็นรูปแบบ โดยการสร้างขบวนการนำทางความคิดขึ้นมาก่อน (หัวเชื้อ) หลังจากนั้นขบวนการทางสื่อจะช่วยโหม ประโคม แล้วความไม่สงบก็เกิดขึ้น ขั้นตอนดูเหมือนง่าย ๆ แต่การจะทำให้เกิดเป็นรูปธรรม ต้องใช้ศักยภาพและเวลา ในการสร้างกลุ่มคนให้ไปตามทิศทางที่ต้องการ ดังนั้นการนำแสดงคงไม่พ้น นักการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว และนักสื่อสารมวลชน เมื่อการทำงานภายใต้ทฤษฏี ล่อฝูงผึ้ง ไปในทิศทางที่ต้องการแล้ว ขบวนการทำให้ ผึ้งแตกรัง ก็ตามมา องค์กร เช่น Gene Sharp Albert Einstein Institute, Open Society Foundation พวกนี้จะมีส่วนสำคัญในการทำให้ผึ้งแตกรัง Gene Sharp เป็นผู้ที่น่าสนใจศึกษา เขาเป็นผู้ก่อตั้ง Albert Einstein Institute เป็นผู้ชำนาญด้านภูมิศาสตร์การเมือง ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้รับรางวัลโนเบล ด้านสันติภาพ ถึง 3 ครั้ง (มาอีกแล้ว พวกรางวัลโนเบล !) เขาเขียนหนังสือเรื่อง วิธีก่อการปฏิวัติ How to start a Revolution หนังสือเล่มนี้ อ้างกันว่าเหมือนเป็นคัมภีร์ของการปฏิวัติรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ ในกลุ่มพวก Arab Spring จะพกติดตัวกันเลย ปี ค.ศ. 2011 มีคนเอาเรื่องของเขาไปทำหนังสารคดีชื่อ How to Start a Revolution เป็นหนังสารคดีที่ได้รางวัล เขาเล่าว่าเหตุการณ์ประท้วงของผู้ต้องการประชาธิปไตยในพม่า ก็เป็นการ ช่วยเหลือ ของกลุ่มเขา รวมทั้งเหตุการณ์ในประเทศไทย ธิเบต Latvia Lithonia Estonia Belarus และSerbia ก็ฝีมือพวกเขาทั้งนั้น นาย Gene Sharp จะเป็นผู้คิดแผน ส่วนผู้ปฏิบัติการมือขวาของเขา ชื่อนาย Peter Ackerman ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 2002 ได้ก่อตั้ง International Center for Non Violent Conflict (ICNC) และ ICNC นี้เอง เป็นผู้ให้การฝึกอบรมแก่ activist ชาวอียิปต์และตูนีเซีย เขาเล่าในหนังสือ How to Start a Revolution ว่า พวกคุณ นึกหรือว่า Arab Spring มันจะเกิดขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแบบนั้น มันได้มีการออกแบบ วางแผน และอบรมกันล่วงหน้า 2 ปี ก่อนหน้าเหตุการณ์แล้ว.. เกือบลืมบอกไป นาย Peter Ackerman นั้นเป็น CFR ครับ คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เรื่องของคนโคตรรวย (2)
    นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 4 : เรื่องของคนโคตรรวย (2)
    เอ้า ! มารู้จักครอบครัวตัวอย่าง (คนโคตรรวย) กันหน่อย ใครเป็นใคร อ่านตอนหลังจะได้ไม่งง ตระกูล Rockefeller เป็นคนอเมริกัน เชื้อสายเยอรมัน ผู้นำครอบครัว ที่ทำให้ตระกูลเขามีอิทธิพล มีสายตายาวไกลมาก (นักมายากลตัวพ่อ) คือ นาย John Davison Rockefeller Senior สมาชิกตระกูลที่สืบทอด DNA ของคุณป๋าจอห์น ที่สำคัญมี
    – John Davison Rockefeller, Junior
    – David Rockefeller
    – Nelson A. Rockefeller
    – Laurence Rockefeller
    – John Davison Rockefeller III
    เมื่อรวยล้นฟ้าและมีอิทธิพลขนาดนี้ กลุ่มตระกูล Rockefeller จะอยู่เฉยได้ยังไง คนรวยมีเงิน ก็อยากมีอำนาจ สูตรสำเร็จเดิม ๆ จึงมีแนวคิดที่จะควบคุมนโยบายเศรษฐกิจการเมือง ของอเมริกาและแน่นอนถ้าคุมอเมริกาได้ก็คุมโลกได้ เพื่อให้รวยขึ้นและมีอำนาจอยู่ในมือมากขึ้นอย่างประมาณมิได้
    แล้วจะทำกันเฉพาะในครอบครัวมันคงไม่ใหญ่พอมั้ง มันก็ต้องโชว์พาว ว่าแล้วพี่น้องตระกูล Rockefeller ก็ทำการคัดเลือก เฉพาะคนรวยและชนชั้นนำในสังคม จำนวน 300 คน จากเพื่อนและพวกของตนที่มีอิทธิพลสูงในวงการต่างๆ ที่อยู่ในอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น และก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า Trilateral Commission ขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1973 เพื่อจะกำหนดทิศทางเดินของโลกเสียใหม่ ตามที่พวกตนต้องการ (ปัจจุบันนี้สมาคมผู้ทรงอิทธิพลมีสมาชิก จากประเทศแถบเอเซียเพิ่มขึ้นด้วย)
    ในจำนวนรายชื่อสมาชิกผู้ก่อตั้ง Trilateral Commission ของ David Rockefeller มีบุคคล เช่น Zbigniew Brzezinski (รายนี้สำคัญ จำกันไว้ให้ดี) และผู้ว่าการรัฐ Georgia คนทำไร่ถั่ว ชื่อ นาย James Earl “Jimmy” Carter (ผู้ซึ่งนาย David Rockefeller สนับสนุนให้เป็นประธานาธิบดี สมัย ค.ศ.1976 แทนนาย Gerald Ford) นาย George H. W Bush (ซึ่งก็ได้เป็นประธานาธิบดี โดยการสนับสนุนของกลุ่มคนรวย แถมยังมีบทบาทที่สำคัญมาก ๆ ต่อมาภายหลังอีกด้วย) Paul Volcker ผู้ซึ่งในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter ได้แต่งตั้งให้เป็นประธาน Federal Reserve นาย Alan Greenspan ซึ่งแม้ตอนนั้นจะเป็นเพียง นักวาณิชย์ธนกิจอยู่แถว Wall Street แต่มีแววโดดเด่นเข้าตากรรมการ รวมทั้งนายพล Alexander Haig, นาย Cyrus Vance และ นาย Ed Muskie (ทั้ง 3 คน ต่อมาได้รับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ นายพล Haig ได้เป็นสมัย นาย Ronald Reagan ส่วน 2 คนหลัง เป็นในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter คนหนึ่งเป็นช่วง ค.ศ. 1977 – 1980 อีกคนเป็นต่อ ค.ศ. 1980 – 1981) อืม! เข้าใจเล่นนะ พวกคนรวย
    ตอนนั้นนาย Brzezinski เพิ่งเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นที่แพร่หลาย แต่โดนใจพวก Rockefeller อย่างยิ่ง ชื่อ “Between Two Ages: America’s Role in the Technotronic Era พิมพ์ในปี ค.ศ. 1970
    เขาบอกว่า “สังคมควรจะต้องครอบงำ หรือปกครองโดยบุคคล ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) ซึ่งคนพวกนี้ ต้องไม่ลังเล ที่จะทำให้ได้มา ซึ่งอำนาจทางการเมือง โดยใช้เทคนิคใหม่ ๆ ให้มีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมสังคม รวมทั้งการจัดระเบียบสังคม ย้อมพฤติกรรมสังคม ซึ่งจะเป็นการกำหนดและควบคุมสังคมด้วย”
แม่เจ้าโว้ย ยังกะนั่งเขียนอยู่ในใจของนาย David Rockefeller เลยนะ
    นอกจากนี้ในหนังสือดังกล่าว นาย Brzezinski ยังได้เสนอความคิดว่า น่าจะได้มีการจับมือกันระหว่างบรรษัทและธนาคารที่มีอิทธิพลและเครือข่ายข้าม ชาติ ระหว่างนักธุรกิจชั้นนำของยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น เพื่อกำหนดนโยบายการทำธุรกิจร่วมกัน โดยการดำเนินการอย่างเป็นความลับ
    โอ้ย ไอ้หมอนี่ถ้าไม่เอามาใช้เป็นมือขวาก็ต้องมาเป็นมือซ้ายแน่นอน นาย David รำพึง
    แล้วนาย Bazezinski ก็ได้รับเลือกจากนาย David Rockefeller ให้เป็นกรรมการบริหารคนแรกของ Trilateral Commission

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เรื่องของคนโคตรรวย (2) นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 4 : เรื่องของคนโคตรรวย (2) เอ้า ! มารู้จักครอบครัวตัวอย่าง (คนโคตรรวย) กันหน่อย ใครเป็นใคร อ่านตอนหลังจะได้ไม่งง ตระกูล Rockefeller เป็นคนอเมริกัน เชื้อสายเยอรมัน ผู้นำครอบครัว ที่ทำให้ตระกูลเขามีอิทธิพล มีสายตายาวไกลมาก (นักมายากลตัวพ่อ) คือ นาย John Davison Rockefeller Senior สมาชิกตระกูลที่สืบทอด DNA ของคุณป๋าจอห์น ที่สำคัญมี – John Davison Rockefeller, Junior – David Rockefeller – Nelson A. Rockefeller – Laurence Rockefeller – John Davison Rockefeller III เมื่อรวยล้นฟ้าและมีอิทธิพลขนาดนี้ กลุ่มตระกูล Rockefeller จะอยู่เฉยได้ยังไง คนรวยมีเงิน ก็อยากมีอำนาจ สูตรสำเร็จเดิม ๆ จึงมีแนวคิดที่จะควบคุมนโยบายเศรษฐกิจการเมือง ของอเมริกาและแน่นอนถ้าคุมอเมริกาได้ก็คุมโลกได้ เพื่อให้รวยขึ้นและมีอำนาจอยู่ในมือมากขึ้นอย่างประมาณมิได้ แล้วจะทำกันเฉพาะในครอบครัวมันคงไม่ใหญ่พอมั้ง มันก็ต้องโชว์พาว ว่าแล้วพี่น้องตระกูล Rockefeller ก็ทำการคัดเลือก เฉพาะคนรวยและชนชั้นนำในสังคม จำนวน 300 คน จากเพื่อนและพวกของตนที่มีอิทธิพลสูงในวงการต่างๆ ที่อยู่ในอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น และก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า Trilateral Commission ขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1973 เพื่อจะกำหนดทิศทางเดินของโลกเสียใหม่ ตามที่พวกตนต้องการ (ปัจจุบันนี้สมาคมผู้ทรงอิทธิพลมีสมาชิก จากประเทศแถบเอเซียเพิ่มขึ้นด้วย) ในจำนวนรายชื่อสมาชิกผู้ก่อตั้ง Trilateral Commission ของ David Rockefeller มีบุคคล เช่น Zbigniew Brzezinski (รายนี้สำคัญ จำกันไว้ให้ดี) และผู้ว่าการรัฐ Georgia คนทำไร่ถั่ว ชื่อ นาย James Earl “Jimmy” Carter (ผู้ซึ่งนาย David Rockefeller สนับสนุนให้เป็นประธานาธิบดี สมัย ค.ศ.1976 แทนนาย Gerald Ford) นาย George H. W Bush (ซึ่งก็ได้เป็นประธานาธิบดี โดยการสนับสนุนของกลุ่มคนรวย แถมยังมีบทบาทที่สำคัญมาก ๆ ต่อมาภายหลังอีกด้วย) Paul Volcker ผู้ซึ่งในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter ได้แต่งตั้งให้เป็นประธาน Federal Reserve นาย Alan Greenspan ซึ่งแม้ตอนนั้นจะเป็นเพียง นักวาณิชย์ธนกิจอยู่แถว Wall Street แต่มีแววโดดเด่นเข้าตากรรมการ รวมทั้งนายพล Alexander Haig, นาย Cyrus Vance และ นาย Ed Muskie (ทั้ง 3 คน ต่อมาได้รับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ นายพล Haig ได้เป็นสมัย นาย Ronald Reagan ส่วน 2 คนหลัง เป็นในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter คนหนึ่งเป็นช่วง ค.ศ. 1977 – 1980 อีกคนเป็นต่อ ค.ศ. 1980 – 1981) อืม! เข้าใจเล่นนะ พวกคนรวย ตอนนั้นนาย Brzezinski เพิ่งเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นที่แพร่หลาย แต่โดนใจพวก Rockefeller อย่างยิ่ง ชื่อ “Between Two Ages: America’s Role in the Technotronic Era พิมพ์ในปี ค.ศ. 1970 เขาบอกว่า “สังคมควรจะต้องครอบงำ หรือปกครองโดยบุคคล ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) ซึ่งคนพวกนี้ ต้องไม่ลังเล ที่จะทำให้ได้มา ซึ่งอำนาจทางการเมือง โดยใช้เทคนิคใหม่ ๆ ให้มีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมสังคม รวมทั้งการจัดระเบียบสังคม ย้อมพฤติกรรมสังคม ซึ่งจะเป็นการกำหนดและควบคุมสังคมด้วย”
แม่เจ้าโว้ย ยังกะนั่งเขียนอยู่ในใจของนาย David Rockefeller เลยนะ นอกจากนี้ในหนังสือดังกล่าว นาย Brzezinski ยังได้เสนอความคิดว่า น่าจะได้มีการจับมือกันระหว่างบรรษัทและธนาคารที่มีอิทธิพลและเครือข่ายข้าม ชาติ ระหว่างนักธุรกิจชั้นนำของยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น เพื่อกำหนดนโยบายการทำธุรกิจร่วมกัน โดยการดำเนินการอย่างเป็นความลับ โอ้ย ไอ้หมอนี่ถ้าไม่เอามาใช้เป็นมือขวาก็ต้องมาเป็นมือซ้ายแน่นอน นาย David รำพึง แล้วนาย Bazezinski ก็ได้รับเลือกจากนาย David Rockefeller ให้เป็นกรรมการบริหารคนแรกของ Trilateral Commission คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 299 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องสมุดลับ: เมื่อหนังสือเวทมนตร์กว่า 2,000 เล่มถูกปลดปล่อยสู่โลกออนไลน์

    ลองจินตนาการว่าคุณได้เดินเข้าไปในห้องสมุดเก่าแก่กลางกรุงอัมสเตอร์ดัม ที่เต็มไปด้วยหนังสือเวทมนตร์ อัลเคมี โหราศาสตร์ และปรัชญาลึกลับจากยุคก่อนปี 1900… ตอนนี้คุณไม่ต้องจินตนาการอีกต่อไป เพราะ Ritman Library ได้เปิดให้ทุกคนเข้าถึงหนังสือเหล่านี้ผ่านระบบออนไลน์แล้ว!

    ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากการสนับสนุนของ Dan Brown ผู้เขียนนิยายชื่อดังอย่าง The Da Vinci Code ที่เคยใช้ห้องสมุดนี้เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือ เขาบริจาคเงินกว่า €300,000 เพื่อให้ Ritman Library สามารถสแกนและเผยแพร่หนังสือหายากเหล่านี้ภายใต้โครงการ “Hermetically Open”

    หนังสือกว่า 2,178 เล่มแรกถูกเผยแพร่แล้ว โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสตร์ลี้ลับหลากหลายแขนง เช่น การจับคู่พลังงานระหว่างพืช สัตว์ และดวงดาว, การวิเคราะห์ชื่อและตัวเลข, การแพทย์โบราณ, และบทกวีปรัชญาแบบลึกลับ ซึ่งหลายเล่มเขียนด้วยภาษาละติน เยอรมัน ดัตช์ และฝรั่งเศส

    แม้จะฟังดูเหมือนนิยาย แต่ในอดีตศาสตร์เหล่านี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของวิทยาศาสตร์และปรัชญา เช่น Isaac Newton ก็เคยเขียนสูตรสำหรับ “ศิลานักปราชญ์” และเชื่อในคำทำนายวันสิ้นโลก

    การเปิดคลังหนังสือลี้ลับออนไลน์
    Ritman Library เผยแพร่หนังสือกว่า 2,178 เล่มผ่านระบบออนไลน์
    หนังสือส่วนใหญ่เป็นของก่อนปี 1900 และเกี่ยวข้องกับอัลเคมี โหราศาสตร์ และเวทมนตร์
    โครงการนี้ชื่อว่า “Hermetically Open” เพื่อเปิดโลกแห่งความรู้ลี้ลับให้ทุกคนเข้าถึงได้

    การสนับสนุนจาก Dan Brown
    บริจาคเงินกว่า €300,000 เพื่อสนับสนุนการสแกนและเผยแพร่หนังสือ
    เคยใช้ Ritman Library เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายหลายเรื่อง
    เปิดศูนย์วัฒนธรรมใหม่เพื่อส่งเสริม “การคิดอย่างเสรี” ผ่านศิลปะ วิทยาศาสตร์ และจิตวิญญาณ

    เนื้อหาที่พบในหนังสือ
    การจับคู่พลังงานระหว่างธรรมชาติและจักรวาล
    การวิเคราะห์ชื่อ ตัวเลข และภาษาลึกลับ
    การแพทย์โบราณและการพิมพ์สูตรลับ
    ปรัชญาแบบลึกลับและบทกวีเชิงจิตวิญญาณ

    ความเชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์และปรัชญา
    นักวิทยาศาสตร์ยุคก่อน เช่น Newton ก็ศึกษาอัลเคมีและโหราศาสตร์
    นักปรัชญาอย่าง Henry More พยายามเชื่อมโยงคริสต์ศาสนากับปรัชญากรีกและกลไกธรรมชาติ

    หนังสือหลายเล่มเขียนด้วยภาษาละติน เยอรมัน ดัตช์ และฝรั่งเศส อาจอ่านยากสำหรับผู้ใช้ภาษาอังกฤษ
    ภาษาที่ใช้ในหนังสือเป็นภาษายุคเก่า มีคำศัพท์เฉพาะและรูปแบบการเขียนที่ไม่คุ้นเคย
    ระบบค้นหายังไม่สมบูรณ์ อาจต้องใช้เทคนิคในการกรองหนังสือภาษาอังกฤษ
    ยังไม่มีฟีเจอร์แปลภาษาในระบบออนไลน์ของห้องสมุด

    https://www.openculture.com/2025/08/2178-occult-books-now-digitized-put-online.html
    🧙‍♂️ เรื่องเล่าจากห้องสมุดลับ: เมื่อหนังสือเวทมนตร์กว่า 2,000 เล่มถูกปลดปล่อยสู่โลกออนไลน์ ลองจินตนาการว่าคุณได้เดินเข้าไปในห้องสมุดเก่าแก่กลางกรุงอัมสเตอร์ดัม ที่เต็มไปด้วยหนังสือเวทมนตร์ อัลเคมี โหราศาสตร์ และปรัชญาลึกลับจากยุคก่อนปี 1900… ตอนนี้คุณไม่ต้องจินตนาการอีกต่อไป เพราะ Ritman Library ได้เปิดให้ทุกคนเข้าถึงหนังสือเหล่านี้ผ่านระบบออนไลน์แล้ว! ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากการสนับสนุนของ Dan Brown ผู้เขียนนิยายชื่อดังอย่าง The Da Vinci Code ที่เคยใช้ห้องสมุดนี้เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือ เขาบริจาคเงินกว่า €300,000 เพื่อให้ Ritman Library สามารถสแกนและเผยแพร่หนังสือหายากเหล่านี้ภายใต้โครงการ “Hermetically Open” หนังสือกว่า 2,178 เล่มแรกถูกเผยแพร่แล้ว โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสตร์ลี้ลับหลากหลายแขนง เช่น การจับคู่พลังงานระหว่างพืช สัตว์ และดวงดาว, การวิเคราะห์ชื่อและตัวเลข, การแพทย์โบราณ, และบทกวีปรัชญาแบบลึกลับ ซึ่งหลายเล่มเขียนด้วยภาษาละติน เยอรมัน ดัตช์ และฝรั่งเศส แม้จะฟังดูเหมือนนิยาย แต่ในอดีตศาสตร์เหล่านี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของวิทยาศาสตร์และปรัชญา เช่น Isaac Newton ก็เคยเขียนสูตรสำหรับ “ศิลานักปราชญ์” และเชื่อในคำทำนายวันสิ้นโลก ✅ การเปิดคลังหนังสือลี้ลับออนไลน์ ➡️ Ritman Library เผยแพร่หนังสือกว่า 2,178 เล่มผ่านระบบออนไลน์ ➡️ หนังสือส่วนใหญ่เป็นของก่อนปี 1900 และเกี่ยวข้องกับอัลเคมี โหราศาสตร์ และเวทมนตร์ ➡️ โครงการนี้ชื่อว่า “Hermetically Open” เพื่อเปิดโลกแห่งความรู้ลี้ลับให้ทุกคนเข้าถึงได้ ✅ การสนับสนุนจาก Dan Brown ➡️ บริจาคเงินกว่า €300,000 เพื่อสนับสนุนการสแกนและเผยแพร่หนังสือ ➡️ เคยใช้ Ritman Library เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายหลายเรื่อง ➡️ เปิดศูนย์วัฒนธรรมใหม่เพื่อส่งเสริม “การคิดอย่างเสรี” ผ่านศิลปะ วิทยาศาสตร์ และจิตวิญญาณ ✅ เนื้อหาที่พบในหนังสือ ➡️ การจับคู่พลังงานระหว่างธรรมชาติและจักรวาล ➡️ การวิเคราะห์ชื่อ ตัวเลข และภาษาลึกลับ ➡️ การแพทย์โบราณและการพิมพ์สูตรลับ ➡️ ปรัชญาแบบลึกลับและบทกวีเชิงจิตวิญญาณ ✅ ความเชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์และปรัชญา ➡️ นักวิทยาศาสตร์ยุคก่อน เช่น Newton ก็ศึกษาอัลเคมีและโหราศาสตร์ ➡️ นักปรัชญาอย่าง Henry More พยายามเชื่อมโยงคริสต์ศาสนากับปรัชญากรีกและกลไกธรรมชาติ ⛔ หนังสือหลายเล่มเขียนด้วยภาษาละติน เยอรมัน ดัตช์ และฝรั่งเศส อาจอ่านยากสำหรับผู้ใช้ภาษาอังกฤษ ⛔ ภาษาที่ใช้ในหนังสือเป็นภาษายุคเก่า มีคำศัพท์เฉพาะและรูปแบบการเขียนที่ไม่คุ้นเคย ⛔ ระบบค้นหายังไม่สมบูรณ์ อาจต้องใช้เทคนิคในการกรองหนังสือภาษาอังกฤษ ⛔ ยังไม่มีฟีเจอร์แปลภาษาในระบบออนไลน์ของห้องสมุด https://www.openculture.com/2025/08/2178-occult-books-now-digitized-put-online.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอน 2

    จิ๊กโก๋ปากซอย สร้างวินมอ’ไซค์



    อเมริกาเป็นนักวางแผนตัวพ่อ อเมริกามีแผนสำหรับทุกประเทศเป้าหมาย ทุกขั้นตอน เขียนแผนอย่างละเอียด มีรายงานทุกเรื่องที่เห็นว่าสำคัญ ….เก็บเรื่องระบบทุนนิยมไว้ก่อน เด็กมันยังละอ่อนนัก เดี๋ยวมันตกใจ วิ่งหนีรอดตาข่าย จะกินอาหารอร่อยต้องใจเย็นๆ

    แผนหมายเลข 1 สำหรับการเคี้ยวไทยของอเมริกา ตาม Pax Americana เน้นเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคงนำหน้า ดังนั้น ต้องเปลี่ยนประเทศไทยจากที่เป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรมให้ได้ก่อน เรื่องความมั่นคงอย่าเพิ่งถาม เดี๋ยวจะเห็นว่ามาอย่างไร

    อเมริกา เป็นนักวางแผนที่มีจิตวิทยาสูง คนเราน่ะนะ จะให้ทำอะไร มันต้องให้สบายกระเป๋าก่อน มีเงินแล้วมันถึงจะพูดกันรู้เรื่อง แหม! มันเดินตามกันเปี๊ยบเลย ใครนะ ที่ใช้เงินเข้าล่อ แบบคุณพ่ออเมริกา

    ปี พ.ศ.2501 อเมริกาจึงส่งผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก เป็นของขวัญให้รัฐบาลสฤษดิ์ มาเป็นทีมใหญ่ ไทยแลนด์ดีใจเหมือนได้แก้ว

    กลุ่มผู้เชี่ยวชาญขนกันมาทำการสำรวจประเทศไทยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ดูทั้งบนดินใต้ดินใต้น้ำในทะเล ทุกซอก ทุกหลุม ประมาณว่าแทบจะถลกผ้านุ่งคุณยายดูยังงั้นเชียว สำรวจอยู่ 1 ปีจึงเสร็จ เสร็จแล้วก็ทำรายงานสำรวจชุดใหญ่ ส่งให้คุณพ่ออเมริกา ชุดเล็กก็เสนอให้คุณป๋าผ้าขะม้าไทย

    (แสดงว่ามันดูกันละเอียดจริง ไม่เหมือนข้าราชการบ้านเราไปดูงานบ้านเขาเลยนะ ไป 15 วัน ช้อปปิ้งเสีย 10 วัน เข้าบ่อนอีก 5 วัน อ้าว แล้วดูงานตอนไหน ก็ตอนขึ้นเครื่องกลับ หลับฝันเอาไง บ้านเรามันถึงเจริญ)

    ผลสำรวจสรุปว่า เพื่อทดแทนการนำเข้า ที่ทำให้ไทยแลนด์ขาดดุลการค้า ฝรั่งบอกว่า ไทยควรเปลี่ยนจากประเทศกสิกรรม ทำการเกษตร มาเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทำการผลิตสินค้าส่งออก เขียนตามโผที่ล็อกไว้เลย กองสลากเรายังล็อกโผไม่ได้เท่านี้

    รายงานสำรวจดังกล่าว เป็นไปตามใบสั่งคุณพ่ออเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย (ตอนนั้นเราก็เป็นประเทศด้อยนะ ไม่ต้องค้อน ตอนนี้ก็ยังด้อยอยู่อีกหลายเรื่อง) เปิดทางให้ทุนอเมริกัน เข้าไปลงทุนผลิตสินค้าอุตสาหกรรม นอกจากอเมริกา จะได้ประโยชน์ในการขยายการลงทุนแล้ว อเมริกาจะได้ขายเครื่อง จักร และสารพัดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในขบวนการผลิต เช่น พลังงานไฟฟ้า น้ำมัน เขื่อน อุปกรณ์เทคนิค อุปกรณ์การขนส่ง ฯลฯ ให้ไทยอีกด้วย

    สิ่งที่ไทยได้ขายคือ วัตถุดิบบางอย่างที่มีในประเทศและแรงงาน แค่นั้นเอง ….อืมมม คุ้มแสนคุ้ม…

    คุณป๋าไทยเมื่อได้รับรายงานสำรวจฯ ก็เนื้อเต้นไปหมด เห็นโอกาสทองทำเงินอยู่ข้างหน้า… งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข …คุณป๋าไทยรีบออกคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติทันที ในปี พ.ศ.2504 และนั่นคือกำเนิดสภาพัฒน์ฯ ที่เรารู้จัก

    สภาพัฒน์ฯ ทำหน้าที่วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2504 ถึงปัจจุบัน ตามแนวทางที่ฝรั่ง (หลอก) ให้ไทยเดิน

    ควรรู้ด้วยว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ฉบับที่ 1 ใช้รายงานธนาคารโลก ฉบับใบสั่งทั้งฉบับนั่นแหละ แปลเป็นไทย ทำเป็นแผนแม่บท ง่ายดีจัง

    ไม่ต้องเสียเวลา ไทยมีส่วนร่วมเพียงในฐานะผู้รับบัญชา ขอรับกระผม

    นอกจากนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึง 6 เดินตามแนวทางรายงานธนาคารโลกทั้งสิ้น ปัจจุบันเป็นฉบับที่ 12 ซึ่งก็ไม่มีแนวทางพัฒนาประเทศ ที่ชัดเจนเหมาะสมกับสภาพ และสภาวะของประเทศ แถม เละเทะเหมือนกินจับฉ่าย

    ควรรู้อีกด้วยว่าในรายงานของธนาคารโลก ไม่เน้นถึงการพัฒนาการปลูกข้าว ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทย ตรงกันข้ามดันมีข้อเสนอให้เก็บพรีเมี่ยมข้าว!

    พอจะเห็นกันบ้างหรือยังว่า สิ่งที่เรียกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯของขวัญจากคุณพ่ออเมริกา แท้จริงแล้ว เป็นบัวหิมะพันปีเพิ่มพลัง หรือ ยาละลายกระดูกสลายพลัง

    นักล่าอาณานิคมรุ่นใหม่นี่เยี่ยมจริงๆ

    หลังจากนั้น การพัฒนาประเทศไทยก็เดินตามแนวที่คุณพ่ออเมริกากำหนด หรือกำกับ ผ่านหน่วยงานธนาคารโลก (World Bank), IMF, IFC, ADB ฯลฯ ที่เราขยันกู้เขามาตลอด เริ่มเข้าใจหรือยังครับ ทำไมเขาถึงต้องตั้งธนาคารโลก, IMF ฯลฯ

    สัญญาเงินกู้ทุกฉบับของ World Bank, IMF , IFC จะมีข้อกำหนดบังคับผู้กู้ ตามที่คุณพ่ออเมริกาต้อง การ ให้โลกเดินไปในทิศทางที่คุณพ่อและพวกต้องการคือ ทุนนิยมเสรี นั่นเอง

    อเมริกาสามารถควบคุมธนาคารโลก, IMF, IFC ได้ในกำมือ เพราะอเมริกาจ่ายเงินสนับสนุนสูงที่สุดมากกว่าประเทศอื่นๆ

    พูดให้ชัดธนาคารโลก, IMF, IFC ก็เด็กในกระเป๋าอเมริกานั่นแหละ!

    แต่การพัฒนาประเทศ จะเดินตามใบสั่งของคุณพ่ออเมริกาไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าราชการที่จูงง่าย พร้อมเป็นขี้ข้า ไม่ว่าจะเป็นขี้ข้าฝรั่ง หรือนักการเมืองไทย เห็นๆ กันอยู่ตั้งกะสมัย 50 ปีก่อน จนถึงเดี๋ยวนี้ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง

    ข้าราชการที่มีความสามารถ แต่พร้อมที่จะถูกฝรั่งหลอกใช้ (เอ๊ะ หรือเต็มใจ!)ที่เรียกกันว่า technocrat (technocrat ต้นแบบก็อย่างนายเกษม จาติกวนิช นายอานันท์ ปันยารชุน นายอำนวย วีรวรรณ นั่นแหละ) ก็เป็นผู้รับแผนคุณพ่อฝรั่งมาดำเนินการ

    Technocrat เหล่านี้มาจากไหนล่ะ? อ้า! เดี๋ยวต้องหาที่มาแบบ CSI (Crime Scene Investigation สำหรับผู้ไม่ได้ดูหนัง ดูแต่ละคร ก็นึกถึงคุณหมอพรทิพย์หัวฟูคนเก่งของเราแล้วกัน ประเภทสืบจากศพอะไรทำนองนั้นแหละครับ)

    Technocrat เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากอังกฤษและอเมริกา มีความคุ้นเคยกับระบบการศึกษา ตำรับตำรา วิชาการ ความคิด ที่ฝรั่งแป๊ะติดใส่หัวเอาไว้ตั้งแต่สมัยไปเรียนหนังสือ ท่านเหล่านั้นก็มีวิชาความรู้เพิ่มพูน ฝรั่งสอนอะไรก็จด ฝรั่งพูดอะไรก็จำ ทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร (ฮา) กลับมาก็ฟิตเปรี๊ยะ เครื่องถ่ายอัดสำเนาไว้เต็ม

    คิดว่าบ้านเมืองเราจะเจริญได้ ต้องดูจากที่ฝรั่งเขาพัฒนาบ้านเมืองเขา ไม่เคยใช้สมองของตัวคิดบ้างว่า บ้านเขากับบ้านเราน่ะ มันต่างกันขนาดไหน

    ดูภูมิประเทศ อากาศ ทรัพยากร ความถนัด ประเพณี ฯลฯ โอ้ยสารพัด มันเหมือนกันตรงไหน ข้างหนึ่งหัวดำตัวเหลือง อีกข้างหนึ่งหัวทองตัวขาวเผือด ข้างหนึ่งหนาวหิมะตก ข้างหนึ่งเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วม ยังคิดก็อบปี้ตะบี้ตะบันท่าเดียว เพราะถูกทำให้เชื่อว่า ฝรั่งนั้นฉลาดกว่าเรา สิ่งที่เขาคิด ดีกว่าที่เราคิด มันฝังหัว ตั้งกะไปเรียน prep school หรือ public school กับฝรั่งมาแล้ว

    ดังนั้น เมื่อฝรั่งบอกเดินหน้าเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทุกท่านก็ลุย! เฮ้อ! เศร้าใจ

    การพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ผิดไปเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ไข คนอะไรเดินใส่เสื้อติดกระดุมเขย่งมาเกือบ 60 ปี ยังไม่รู้ตัว

    นิคมอุตสาหกรรม จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แล้วดอกเห็ดพวกนี้ไม่รู้เป็นอะไร ก็ชอบขึ้นอยู่ตามที่ลุ่ม ซึ่งเป็นทางเดินของน้ำ ดูนิคมบางชัน นิคมแถวอยุธยา บางปะอิน เป็นตัวอย่างแล้วกัน ยิ่งนานวันดอกเห็ดก็แผ่ขยายบานกินเมืองเข้าไปลึกขวางทางไหลหลากของน้ำ ซึ่งมาประจำปี

    ดังนั้น ปัญหาน้ำท่วมก็ยังจะมีอยู่ต่อไป ต้องใช้เรือดำน้ำกี่ลำ หญ้าแพรกเท่าไหร่ก็เอาไม่อยู่ ถ้ายังดันทุรังเดินใส่เสื้อกระดุมเขย่งกันอยู่อย่างนี้

    นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องท่าเรือแหลมฉบัง ผาแดง แทนทาลัม นิคมอุตสาหกรรมระยอง โรงไฟฟ้าบ้านกรูด การวางท่อแก๊ส ฯลฯ ที่ไม่เข้ากับสภาพภูมิประเทศ และความเป็นอยู่ของท้องถิ่นนะ แค่นี้ก็น่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว

    แหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ทั้งหลาย สร้างรายได้ให้กับผู้ถือหุ้นอย่างมหาศาล คนท้องถิ่นได้แต่ค่าแรงวันละไม่กี่บาท แล้วใครเป็นผู้ถือหุ้น… ก็คนต่างชาติส่วนใหญ่ บวกกับคนไทยขายชาติที่ถือหุ้นแทนฝรั่งไง

    คนท้องถิ่นไม่เคยได้เป็นผู้ถือหุ้น!

    ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ทำกิน และที่สำคัญ สุขอนามัยของชาวบ้าน ไม่เคยเป็นปัจจัยที่ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุนต่างชาติ ให้ความสนใจหรือห่วงใย

    ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุน ให้ความสนใจแต่ ผลผลิต และผลกำไรของพวกเขาเท่านั้น

    ส่วนนักการเมืองไทย ก็นึกแต่ค่าหัวคิว ใต้โต๊ะ บนโต๊ะ ที่จะได้รับ รับแล้วเอาไปซุกไว้ที่ไหนดีหนอ หลังบ้าน ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า หรือซุกไว้กับคนรถ คนใช้ ฯลฯ แล้วประเทศได้อะไร ประชาชนได้อะไร …เคยมีนักการเมืองหน้าไหนดูแลเราจริงๆ จังๆ บ้าง


    คนเล่านิทาน
    ตอน 2 จิ๊กโก๋ปากซอย สร้างวินมอ’ไซค์ อเมริกาเป็นนักวางแผนตัวพ่อ อเมริกามีแผนสำหรับทุกประเทศเป้าหมาย ทุกขั้นตอน เขียนแผนอย่างละเอียด มีรายงานทุกเรื่องที่เห็นว่าสำคัญ ….เก็บเรื่องระบบทุนนิยมไว้ก่อน เด็กมันยังละอ่อนนัก เดี๋ยวมันตกใจ วิ่งหนีรอดตาข่าย จะกินอาหารอร่อยต้องใจเย็นๆ แผนหมายเลข 1 สำหรับการเคี้ยวไทยของอเมริกา ตาม Pax Americana เน้นเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคงนำหน้า ดังนั้น ต้องเปลี่ยนประเทศไทยจากที่เป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรมให้ได้ก่อน เรื่องความมั่นคงอย่าเพิ่งถาม เดี๋ยวจะเห็นว่ามาอย่างไร อเมริกา เป็นนักวางแผนที่มีจิตวิทยาสูง คนเราน่ะนะ จะให้ทำอะไร มันต้องให้สบายกระเป๋าก่อน มีเงินแล้วมันถึงจะพูดกันรู้เรื่อง แหม! มันเดินตามกันเปี๊ยบเลย ใครนะ ที่ใช้เงินเข้าล่อ แบบคุณพ่ออเมริกา ปี พ.ศ.2501 อเมริกาจึงส่งผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก เป็นของขวัญให้รัฐบาลสฤษดิ์ มาเป็นทีมใหญ่ ไทยแลนด์ดีใจเหมือนได้แก้ว กลุ่มผู้เชี่ยวชาญขนกันมาทำการสำรวจประเทศไทยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ดูทั้งบนดินใต้ดินใต้น้ำในทะเล ทุกซอก ทุกหลุม ประมาณว่าแทบจะถลกผ้านุ่งคุณยายดูยังงั้นเชียว สำรวจอยู่ 1 ปีจึงเสร็จ เสร็จแล้วก็ทำรายงานสำรวจชุดใหญ่ ส่งให้คุณพ่ออเมริกา ชุดเล็กก็เสนอให้คุณป๋าผ้าขะม้าไทย (แสดงว่ามันดูกันละเอียดจริง ไม่เหมือนข้าราชการบ้านเราไปดูงานบ้านเขาเลยนะ ไป 15 วัน ช้อปปิ้งเสีย 10 วัน เข้าบ่อนอีก 5 วัน อ้าว แล้วดูงานตอนไหน ก็ตอนขึ้นเครื่องกลับ หลับฝันเอาไง บ้านเรามันถึงเจริญ) ผลสำรวจสรุปว่า เพื่อทดแทนการนำเข้า ที่ทำให้ไทยแลนด์ขาดดุลการค้า ฝรั่งบอกว่า ไทยควรเปลี่ยนจากประเทศกสิกรรม ทำการเกษตร มาเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทำการผลิตสินค้าส่งออก เขียนตามโผที่ล็อกไว้เลย กองสลากเรายังล็อกโผไม่ได้เท่านี้ รายงานสำรวจดังกล่าว เป็นไปตามใบสั่งคุณพ่ออเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย (ตอนนั้นเราก็เป็นประเทศด้อยนะ ไม่ต้องค้อน ตอนนี้ก็ยังด้อยอยู่อีกหลายเรื่อง) เปิดทางให้ทุนอเมริกัน เข้าไปลงทุนผลิตสินค้าอุตสาหกรรม นอกจากอเมริกา จะได้ประโยชน์ในการขยายการลงทุนแล้ว อเมริกาจะได้ขายเครื่อง จักร และสารพัดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในขบวนการผลิต เช่น พลังงานไฟฟ้า น้ำมัน เขื่อน อุปกรณ์เทคนิค อุปกรณ์การขนส่ง ฯลฯ ให้ไทยอีกด้วย สิ่งที่ไทยได้ขายคือ วัตถุดิบบางอย่างที่มีในประเทศและแรงงาน แค่นั้นเอง ….อืมมม คุ้มแสนคุ้ม… คุณป๋าไทยเมื่อได้รับรายงานสำรวจฯ ก็เนื้อเต้นไปหมด เห็นโอกาสทองทำเงินอยู่ข้างหน้า… งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข …คุณป๋าไทยรีบออกคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติทันที ในปี พ.ศ.2504 และนั่นคือกำเนิดสภาพัฒน์ฯ ที่เรารู้จัก สภาพัฒน์ฯ ทำหน้าที่วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2504 ถึงปัจจุบัน ตามแนวทางที่ฝรั่ง (หลอก) ให้ไทยเดิน ควรรู้ด้วยว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ฉบับที่ 1 ใช้รายงานธนาคารโลก ฉบับใบสั่งทั้งฉบับนั่นแหละ แปลเป็นไทย ทำเป็นแผนแม่บท ง่ายดีจัง ไม่ต้องเสียเวลา ไทยมีส่วนร่วมเพียงในฐานะผู้รับบัญชา ขอรับกระผม นอกจากนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึง 6 เดินตามแนวทางรายงานธนาคารโลกทั้งสิ้น ปัจจุบันเป็นฉบับที่ 12 ซึ่งก็ไม่มีแนวทางพัฒนาประเทศ ที่ชัดเจนเหมาะสมกับสภาพ และสภาวะของประเทศ แถม เละเทะเหมือนกินจับฉ่าย ควรรู้อีกด้วยว่าในรายงานของธนาคารโลก ไม่เน้นถึงการพัฒนาการปลูกข้าว ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทย ตรงกันข้ามดันมีข้อเสนอให้เก็บพรีเมี่ยมข้าว! พอจะเห็นกันบ้างหรือยังว่า สิ่งที่เรียกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯของขวัญจากคุณพ่ออเมริกา แท้จริงแล้ว เป็นบัวหิมะพันปีเพิ่มพลัง หรือ ยาละลายกระดูกสลายพลัง นักล่าอาณานิคมรุ่นใหม่นี่เยี่ยมจริงๆ หลังจากนั้น การพัฒนาประเทศไทยก็เดินตามแนวที่คุณพ่ออเมริกากำหนด หรือกำกับ ผ่านหน่วยงานธนาคารโลก (World Bank), IMF, IFC, ADB ฯลฯ ที่เราขยันกู้เขามาตลอด เริ่มเข้าใจหรือยังครับ ทำไมเขาถึงต้องตั้งธนาคารโลก, IMF ฯลฯ สัญญาเงินกู้ทุกฉบับของ World Bank, IMF , IFC จะมีข้อกำหนดบังคับผู้กู้ ตามที่คุณพ่ออเมริกาต้อง การ ให้โลกเดินไปในทิศทางที่คุณพ่อและพวกต้องการคือ ทุนนิยมเสรี นั่นเอง อเมริกาสามารถควบคุมธนาคารโลก, IMF, IFC ได้ในกำมือ เพราะอเมริกาจ่ายเงินสนับสนุนสูงที่สุดมากกว่าประเทศอื่นๆ พูดให้ชัดธนาคารโลก, IMF, IFC ก็เด็กในกระเป๋าอเมริกานั่นแหละ! แต่การพัฒนาประเทศ จะเดินตามใบสั่งของคุณพ่ออเมริกาไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าราชการที่จูงง่าย พร้อมเป็นขี้ข้า ไม่ว่าจะเป็นขี้ข้าฝรั่ง หรือนักการเมืองไทย เห็นๆ กันอยู่ตั้งกะสมัย 50 ปีก่อน จนถึงเดี๋ยวนี้ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ข้าราชการที่มีความสามารถ แต่พร้อมที่จะถูกฝรั่งหลอกใช้ (เอ๊ะ หรือเต็มใจ!)ที่เรียกกันว่า technocrat (technocrat ต้นแบบก็อย่างนายเกษม จาติกวนิช นายอานันท์ ปันยารชุน นายอำนวย วีรวรรณ นั่นแหละ) ก็เป็นผู้รับแผนคุณพ่อฝรั่งมาดำเนินการ Technocrat เหล่านี้มาจากไหนล่ะ? อ้า! เดี๋ยวต้องหาที่มาแบบ CSI (Crime Scene Investigation สำหรับผู้ไม่ได้ดูหนัง ดูแต่ละคร ก็นึกถึงคุณหมอพรทิพย์หัวฟูคนเก่งของเราแล้วกัน ประเภทสืบจากศพอะไรทำนองนั้นแหละครับ) Technocrat เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากอังกฤษและอเมริกา มีความคุ้นเคยกับระบบการศึกษา ตำรับตำรา วิชาการ ความคิด ที่ฝรั่งแป๊ะติดใส่หัวเอาไว้ตั้งแต่สมัยไปเรียนหนังสือ ท่านเหล่านั้นก็มีวิชาความรู้เพิ่มพูน ฝรั่งสอนอะไรก็จด ฝรั่งพูดอะไรก็จำ ทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร (ฮา) กลับมาก็ฟิตเปรี๊ยะ เครื่องถ่ายอัดสำเนาไว้เต็ม คิดว่าบ้านเมืองเราจะเจริญได้ ต้องดูจากที่ฝรั่งเขาพัฒนาบ้านเมืองเขา ไม่เคยใช้สมองของตัวคิดบ้างว่า บ้านเขากับบ้านเราน่ะ มันต่างกันขนาดไหน ดูภูมิประเทศ อากาศ ทรัพยากร ความถนัด ประเพณี ฯลฯ โอ้ยสารพัด มันเหมือนกันตรงไหน ข้างหนึ่งหัวดำตัวเหลือง อีกข้างหนึ่งหัวทองตัวขาวเผือด ข้างหนึ่งหนาวหิมะตก ข้างหนึ่งเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วม ยังคิดก็อบปี้ตะบี้ตะบันท่าเดียว เพราะถูกทำให้เชื่อว่า ฝรั่งนั้นฉลาดกว่าเรา สิ่งที่เขาคิด ดีกว่าที่เราคิด มันฝังหัว ตั้งกะไปเรียน prep school หรือ public school กับฝรั่งมาแล้ว ดังนั้น เมื่อฝรั่งบอกเดินหน้าเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทุกท่านก็ลุย! เฮ้อ! เศร้าใจ การพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ผิดไปเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ไข คนอะไรเดินใส่เสื้อติดกระดุมเขย่งมาเกือบ 60 ปี ยังไม่รู้ตัว นิคมอุตสาหกรรม จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แล้วดอกเห็ดพวกนี้ไม่รู้เป็นอะไร ก็ชอบขึ้นอยู่ตามที่ลุ่ม ซึ่งเป็นทางเดินของน้ำ ดูนิคมบางชัน นิคมแถวอยุธยา บางปะอิน เป็นตัวอย่างแล้วกัน ยิ่งนานวันดอกเห็ดก็แผ่ขยายบานกินเมืองเข้าไปลึกขวางทางไหลหลากของน้ำ ซึ่งมาประจำปี ดังนั้น ปัญหาน้ำท่วมก็ยังจะมีอยู่ต่อไป ต้องใช้เรือดำน้ำกี่ลำ หญ้าแพรกเท่าไหร่ก็เอาไม่อยู่ ถ้ายังดันทุรังเดินใส่เสื้อกระดุมเขย่งกันอยู่อย่างนี้ นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องท่าเรือแหลมฉบัง ผาแดง แทนทาลัม นิคมอุตสาหกรรมระยอง โรงไฟฟ้าบ้านกรูด การวางท่อแก๊ส ฯลฯ ที่ไม่เข้ากับสภาพภูมิประเทศ และความเป็นอยู่ของท้องถิ่นนะ แค่นี้ก็น่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว แหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ทั้งหลาย สร้างรายได้ให้กับผู้ถือหุ้นอย่างมหาศาล คนท้องถิ่นได้แต่ค่าแรงวันละไม่กี่บาท แล้วใครเป็นผู้ถือหุ้น… ก็คนต่างชาติส่วนใหญ่ บวกกับคนไทยขายชาติที่ถือหุ้นแทนฝรั่งไง คนท้องถิ่นไม่เคยได้เป็นผู้ถือหุ้น! ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ทำกิน และที่สำคัญ สุขอนามัยของชาวบ้าน ไม่เคยเป็นปัจจัยที่ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุนต่างชาติ ให้ความสนใจหรือห่วงใย ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุน ให้ความสนใจแต่ ผลผลิต และผลกำไรของพวกเขาเท่านั้น ส่วนนักการเมืองไทย ก็นึกแต่ค่าหัวคิว ใต้โต๊ะ บนโต๊ะ ที่จะได้รับ รับแล้วเอาไปซุกไว้ที่ไหนดีหนอ หลังบ้าน ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า หรือซุกไว้กับคนรถ คนใช้ ฯลฯ แล้วประเทศได้อะไร ประชาชนได้อะไร …เคยมีนักการเมืองหน้าไหนดูแลเราจริงๆ จังๆ บ้าง คนเล่านิทาน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 511 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปิดด่านรอบนี้ไม่มีข้อยกเว้น
    ห้ามข้ามมาเรียนหนังสือ
    ป่วยหนักก็รอวายบ้านเมิง
    ยาก็ไม่ส่งให้แมร่ง
    ให้ไอ้ฮุนเซนแก้ปัญหาเอง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ปิดด่านรอบนี้ไม่มีข้อยกเว้น ห้ามข้ามมาเรียนหนังสือ ป่วยหนักก็รอวายบ้านเมิง ยาก็ไม่ส่งให้แมร่ง ให้ไอ้ฮุนเซนแก้ปัญหาเอง #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผ่อนผันแรงงาน อยู่ต่อไม่เสียค่าธรรมเนียม : [NEWS UPDATE]

    พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา(ศบ.ทก.) เผย กระทรวงมหาดไทยจะผ่อนผันแรงงานต่างด้าวที่ใบอนุญาตหมดอายุและอยู่ในประเทศไทยอยู่ต่อเป็นกรณีพิเศษ โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ จนกว่าด่านชายแดนจะเข้าสู่สภาวะปกติ ขณะที่เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก มีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีกัมพูชาจะฟ้องร้องประเด็นชายแดน ไทย-กัมพูชา ต่อศาลโลก(ICJ) โดยขอให้เวียนหนังสือชี้แจงของไทยให้สมาชิกสหประชาชาติ 193 ประเทศ รับทราบ ยืนยัน ไม่นิ่งนอนใจ

    -รักษาการไร้อำนาจยุบสภา

    -การพนันไม่ช่วยเศรษฐกิจ

    -3 ข้อเสนอจัดระบบกัญชา

    -ค่าใช้จ่ายครัวเรือนพุ่ง
    ผ่อนผันแรงงาน อยู่ต่อไม่เสียค่าธรรมเนียม : [NEWS UPDATE] พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา(ศบ.ทก.) เผย กระทรวงมหาดไทยจะผ่อนผันแรงงานต่างด้าวที่ใบอนุญาตหมดอายุและอยู่ในประเทศไทยอยู่ต่อเป็นกรณีพิเศษ โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ จนกว่าด่านชายแดนจะเข้าสู่สภาวะปกติ ขณะที่เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก มีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีกัมพูชาจะฟ้องร้องประเด็นชายแดน ไทย-กัมพูชา ต่อศาลโลก(ICJ) โดยขอให้เวียนหนังสือชี้แจงของไทยให้สมาชิกสหประชาชาติ 193 ประเทศ รับทราบ ยืนยัน ไม่นิ่งนอนใจ -รักษาการไร้อำนาจยุบสภา -การพนันไม่ช่วยเศรษฐกิจ -3 ข้อเสนอจัดระบบกัญชา -ค่าใช้จ่ายครัวเรือนพุ่ง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 686 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน
    .
    ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด
    .
    ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ
    .
    หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน
    .
    ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น
    .
    ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้
    .
    ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว
    .
    ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว
    .
    หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน
    .
    ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา
    .
    ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ
    .
    ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น..
    .
    การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์
    .
    Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ
    .
    เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว...
    .
    พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง
    .
    หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น
    .
    ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว
    .
    แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย
    .
    เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected"
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) -
    .
    https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน . ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด . ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ . หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน . ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น . ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้ . ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว . ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว . หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน . ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา . ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ . ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น.. . การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์ . Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ . เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว... . พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง . หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น . ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว . แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย . เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected" . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) - . https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 941 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น
    .
    ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ
    .
    อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้
    .
    ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน
    .
    [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้]
    .
    เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus)
    .
    นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี
    .
    อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland
    .
    เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่
    .
    ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่
    .
    และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก
    .
    ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย)
    .
    ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด
    .
    คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน?
    .
    บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน
    .
    หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า
    .
    ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน
    .
    เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก
    .
    สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน
    ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้
    .
    คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที
    .
    เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น
    ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี
    ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“
    แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม
    .
    นี่รู้ไหม...
    มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า?
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] -
    .
    เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น . ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ . อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้ . ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน . [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้] . เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus) . นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี . อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland . เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่ . ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่ . และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก . ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย) . ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด . คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน? . บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน . หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า . ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน . เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก . สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้ . คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที . เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“ แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม . นี่รู้ไหม... มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า? . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] - .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 978 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..บ่อน้ำมัน บ่อทองคำ สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งบนแผ่นดินไทยเพื่อใครกันแน่,เพื่อคนไทย ประชาชนคนไทย เด็กๆเยาวชนลูกหลานคนไทยที่อยากเรียนหนังสือต้องเป็นหนี้ใช่หรือไม่,เราจะมีผู้นำผู้ปกครองเพื่อปกป้องบ่อน้ำมันบ่อทองคำเพื่อคนอื่นให้ร่ำรวยแทนลูกหลานคนไทยใช่มั้ย.
    ..การปกครองล้มเหลว
    ..วิถีปกครองที่ล้มเหลว
    ..รัฐฐะที่ล้มเหลว.
    ..การปกครองส่วนท้องถิ่นที่ล้มเหลว.
    ..อบต.อบท.อบจ.ที่ล้มเหลว
    ..นายอำเภอ&ผู้ว่าที่ล้มเหลว.

    https://youtube.com/shorts/uGJmPJsWn-g?si=2y97PFe8GIqOY21s
    ..บ่อน้ำมัน บ่อทองคำ สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งบนแผ่นดินไทยเพื่อใครกันแน่,เพื่อคนไทย ประชาชนคนไทย เด็กๆเยาวชนลูกหลานคนไทยที่อยากเรียนหนังสือต้องเป็นหนี้ใช่หรือไม่,เราจะมีผู้นำผู้ปกครองเพื่อปกป้องบ่อน้ำมันบ่อทองคำเพื่อคนอื่นให้ร่ำรวยแทนลูกหลานคนไทยใช่มั้ย. ..การปกครองล้มเหลว ..วิถีปกครองที่ล้มเหลว ..รัฐฐะที่ล้มเหลว. ..การปกครองส่วนท้องถิ่นที่ล้มเหลว. ..อบต.อบท.อบจ.ที่ล้มเหลว ..นายอำเภอ&ผู้ว่าที่ล้มเหลว. https://youtube.com/shorts/uGJmPJsWn-g?si=2y97PFe8GIqOY21s
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทีมงาน MAHA make America Healthy Again

    เร็วๆ นี้ คงได้ข่าวประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะข่าว การตั้งกำแพงภาษีหฤโหด ที่ไทยเราก็โดนด้วย
    ตอนแรกขึงขังกับ จีนมาก ประมาณว่า ดูท่า จะไม่ค้าขายกันอีก แต่ที่ไหนได้ตอนนี้ ทรัมป์กลับมาจูบปากกับ สี ตกลงเรื่องการค้ากันได้ กำแพงภาษีลดลงเหลือ 10%
    ไม่ใช่ แค่เรื่องของการค้า
    เรื่องของสงคราม ทรัมป์ ก็ช่วยให้มีการเจรจายุติสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน เร็วๆนี้ ก็ช่วยเจรจายุติสงครามระหว่างอินเดียกับ ปากีสถาน ซึ่งถ้าไม่ยุติ อาจกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ได้

    แต่เรื่องสำคัญที่ผม อยากให้สนใจ คือ เรื่องของ สุขภาพ
    MAHA “Make America Healthy Again”
    ซึ่งนำทัพ โดย Robert F Kennedy Jr

    ตามนโยบาย MAHA เรื่องที่ ทรัมป์ ทำไปแล้ว คือ
    1.ลาออกจากการเป็นสมาชิก องค์การอนามัยโลก WHO เลิกยุ่ง เลิกให้เงินสนับสนุน
    2. ประกาศชัดเจนว่า เชื้อโควิด เป็นฝีมือมนุษย์ รั่วมาจากแลป และกำลังตามไล่สอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ Anthony Fauci
    3.ออกคำสั่ง ห้ามให้ทุนวิจัยเพื่อสร้างเชื้อโรค “Gain of Function research”
    4.กดดันให้บริษัทยา ลดราคายา ห้ามเอาเปรียบคนไข้ ทำเอาหุ้นบริษัทยาร่วงระนาว

    แต่ ที่ต้องจับตามอง คือ เรื่องที่ RFK Jr และทีมงาน จะทำ RFK Jr ทำอะไรมาบ้าง ทีมงานเขาเป็นใครบ้างมาดูกัน

    Robert F Kennedy Jr เป็นหลานชายแท้ๆ ของประธานาธิบดี John F Kennedy, JFK. ที่ถูก CIA ลอบสังหาร ก่อนหน้าเขา รณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะต่อต้าน สารพิษ ยาฆ่าหญ้า กลุ่มไกลโฟเซต ยากลุ่มเดียวกับที่ อาจารย์หมอธีระวัฒน์เคย ออกมาต้าน
    ตอนหลังมาร่วม ตั้งองค์กรปกป้องสุขภาพของเด็ก
    https://childrenshealthdefense.org/authors/robert-f-kennedy-jr/
    เขายังเขียนหนังสือ ฉีกหน้ากาก Anthony Fauci “ The Real Anthony Fauci”
    ซึ่งเป็นหนังสือขายดีบน อเมซอน https://en.m.wikipedia.org/wiki/The_Real_Anthony_Fauci
    จนมีคนเอามาสร้างหนังสารคดี https://www.imdb.com/title/tt22644112/

    ต้องเข้าใจว่ากฎหมายหมิ่นประมาทในอเมริการุนแรงมาก ถ้าเขียนให้ร้ายใคร มีสิทธิ์โดนฟ้องเรียกค่าเสียหายจนหมดตัวได้ RFK Jr ตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้มา สี่ปีแล้ว ทำไม Fauci ไม่ฟ้อง?
    คำตอบง่ายมาก ฟ้องก็แพ้ เพราะว่า RFK Jr พูดความจริง

    ทีมงานคนสำคัญคนถัดมา คือ Professor Jay Battacharya, MD, PhD. ท่านเป็นศาสตราจารย์นายแพทย์ สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
    https://en.m.wikipedia.org/wiki/Jay_Bhattacharya ก่อนจะเข้ามารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติ National Institute of Health ตำแหน่งเดียวกับ Francis Collins เจ้านายเก่าของ Anthony Fauci
    Prof.Battacharya เป็นผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ มาตรการในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด๑๙ อย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการ เว้นระยะห่างทางสังคม และการปิดบ้านปิดเมือง เขาเป็นผู้ร่วมร่าง คำประกาศเกรทแบริงตัน Great Barrington declaration https://gbdeclaration.org/

    คนที่สามคือ Professor Vinayak Prasad ท่านเป็นศาสตราจารย์นายแพทย์ สอนอยู่ที่ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แห่งซานฟรานซิสโก (University of California, San Francisco, UCSF) มหาวิทยาลัยชื่อดัง (ไม่ใช่มหาวิทยาลัยห้องแถวที่ สว เราอ้างว่าจบมา)
    นอกจากนี้ยังเป็น ยูทูปเปอร์ ชื่อดังมีคนติดตามมากมาย https://youtube.com/@vprasadmdmph
    มีผลงานบทความทางวิชาการมากกว่า สามร้อยบทความ

    Prof.Vinay ได้รับแต่งตั้งให้เป็น ผู้อำนวยการศูนย์ วิจัยและประเมินยากลุ่มไบโอโลจิกส์ (Center for Biologics Evaluation and Research, CBER) ของ FDA
    https://www.fda.gov/about-fda/fda-organization/vinayak-prasad
    เขาเป็นคนที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ FDA ที่อนุญาตให้ใช้วัคซีนโควิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัคซีนกลุ่ม mRNA เป็นอย่างมาก ถึงขั้นให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ควรให้อภัยผู้ที่อนุญาตให้ใช้วัคซีนกลุ่มนี้ ทั้งยังระบุว่า จะอ้างว่า ไม่รู้ หรือ เป็นเหตุฉุกเฉินไม่ได้ เขาแสดงความคิดเห็นเหล่านี้ใน YouTube และ X (ทวิตเตอร์เดิม)
    https://x.com/vprasadmdmph

    คงจะพอเห็นนะครับว่า ทีมงานสามคนหลักของ MAHA มีแนวคิดเช่นไรกับ มาตรการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด๑๙ ที่ทำกัน ไม่นานคงมีการทบทวน และสอบสวนการกระทำผิด ทั้งที่ตั้งใจ และที่ผิดพลาด ของการบังคับใช้มาตรการต่างในการแก้ปัญหาโควิด๑๙ ในอเมริกา ซึ่งน่าจะส่งผลกระเทือนไปทั่วโลก

    บ้านเรา จะเป็นอย่างไรนั้น อีกไม่นานคงจะได้รับรู้ แต่สิ่งที่ยืนยันได้แน่นอน คือ

    “กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ”

    นิลฉงน นลเฉลย
    ทีมงาน MAHA make America Healthy Again เร็วๆ นี้ คงได้ข่าวประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะข่าว การตั้งกำแพงภาษีหฤโหด ที่ไทยเราก็โดนด้วย ตอนแรกขึงขังกับ จีนมาก ประมาณว่า ดูท่า จะไม่ค้าขายกันอีก แต่ที่ไหนได้ตอนนี้ ทรัมป์กลับมาจูบปากกับ สี ตกลงเรื่องการค้ากันได้ กำแพงภาษีลดลงเหลือ 10% ไม่ใช่ แค่เรื่องของการค้า เรื่องของสงคราม ทรัมป์ ก็ช่วยให้มีการเจรจายุติสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน เร็วๆนี้ ก็ช่วยเจรจายุติสงครามระหว่างอินเดียกับ ปากีสถาน ซึ่งถ้าไม่ยุติ อาจกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ได้ แต่เรื่องสำคัญที่ผม อยากให้สนใจ คือ เรื่องของ สุขภาพ MAHA “Make America Healthy Again” ซึ่งนำทัพ โดย Robert F Kennedy Jr ตามนโยบาย MAHA เรื่องที่ ทรัมป์ ทำไปแล้ว คือ 1.ลาออกจากการเป็นสมาชิก องค์การอนามัยโลก WHO เลิกยุ่ง เลิกให้เงินสนับสนุน 2. ประกาศชัดเจนว่า เชื้อโควิด เป็นฝีมือมนุษย์ รั่วมาจากแลป และกำลังตามไล่สอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ Anthony Fauci 3.ออกคำสั่ง ห้ามให้ทุนวิจัยเพื่อสร้างเชื้อโรค “Gain of Function research” 4.กดดันให้บริษัทยา ลดราคายา ห้ามเอาเปรียบคนไข้ ทำเอาหุ้นบริษัทยาร่วงระนาว แต่ ที่ต้องจับตามอง คือ เรื่องที่ RFK Jr และทีมงาน จะทำ RFK Jr ทำอะไรมาบ้าง ทีมงานเขาเป็นใครบ้างมาดูกัน 💥 Robert F Kennedy Jr เป็นหลานชายแท้ๆ ของประธานาธิบดี John F Kennedy, JFK. ที่ถูก CIA ลอบสังหาร ก่อนหน้าเขา รณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะต่อต้าน สารพิษ ยาฆ่าหญ้า กลุ่มไกลโฟเซต ยากลุ่มเดียวกับที่ อาจารย์หมอธีระวัฒน์เคย ออกมาต้าน ตอนหลังมาร่วม ตั้งองค์กรปกป้องสุขภาพของเด็ก https://childrenshealthdefense.org/authors/robert-f-kennedy-jr/ เขายังเขียนหนังสือ ฉีกหน้ากาก Anthony Fauci “ The Real Anthony Fauci” ซึ่งเป็นหนังสือขายดีบน อเมซอน https://en.m.wikipedia.org/wiki/The_Real_Anthony_Fauci จนมีคนเอามาสร้างหนังสารคดี https://www.imdb.com/title/tt22644112/ ต้องเข้าใจว่ากฎหมายหมิ่นประมาทในอเมริการุนแรงมาก ถ้าเขียนให้ร้ายใคร มีสิทธิ์โดนฟ้องเรียกค่าเสียหายจนหมดตัวได้ RFK Jr ตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้มา สี่ปีแล้ว ทำไม Fauci ไม่ฟ้อง? คำตอบง่ายมาก ฟ้องก็แพ้ เพราะว่า RFK Jr พูดความจริง 💥 ทีมงานคนสำคัญคนถัดมา คือ Professor Jay Battacharya, MD, PhD. ท่านเป็นศาสตราจารย์นายแพทย์ สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด https://en.m.wikipedia.org/wiki/Jay_Bhattacharya ก่อนจะเข้ามารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติ National Institute of Health ตำแหน่งเดียวกับ Francis Collins เจ้านายเก่าของ Anthony Fauci Prof.Battacharya เป็นผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ มาตรการในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด๑๙ อย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการ เว้นระยะห่างทางสังคม และการปิดบ้านปิดเมือง เขาเป็นผู้ร่วมร่าง คำประกาศเกรทแบริงตัน Great Barrington declaration https://gbdeclaration.org/ 💥 คนที่สามคือ Professor Vinayak Prasad ท่านเป็นศาสตราจารย์นายแพทย์ สอนอยู่ที่ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แห่งซานฟรานซิสโก (University of California, San Francisco, UCSF) มหาวิทยาลัยชื่อดัง (ไม่ใช่มหาวิทยาลัยห้องแถวที่ สว เราอ้างว่าจบมา😁) นอกจากนี้ยังเป็น ยูทูปเปอร์ ชื่อดังมีคนติดตามมากมาย https://youtube.com/@vprasadmdmph มีผลงานบทความทางวิชาการมากกว่า สามร้อยบทความ Prof.Vinay ได้รับแต่งตั้งให้เป็น ผู้อำนวยการศูนย์ วิจัยและประเมินยากลุ่มไบโอโลจิกส์ (Center for Biologics Evaluation and Research, CBER) ของ FDA https://www.fda.gov/about-fda/fda-organization/vinayak-prasad เขาเป็นคนที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ FDA ที่อนุญาตให้ใช้วัคซีนโควิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัคซีนกลุ่ม mRNA เป็นอย่างมาก ถึงขั้นให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ควรให้อภัยผู้ที่อนุญาตให้ใช้วัคซีนกลุ่มนี้ ทั้งยังระบุว่า จะอ้างว่า ไม่รู้ หรือ เป็นเหตุฉุกเฉินไม่ได้ เขาแสดงความคิดเห็นเหล่านี้ใน YouTube และ X (ทวิตเตอร์เดิม) https://x.com/vprasadmdmph คงจะพอเห็นนะครับว่า ทีมงานสามคนหลักของ MAHA มีแนวคิดเช่นไรกับ มาตรการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด๑๙ ที่ทำกัน ไม่นานคงมีการทบทวน และสอบสวนการกระทำผิด ทั้งที่ตั้งใจ และที่ผิดพลาด ของการบังคับใช้มาตรการต่างในการแก้ปัญหาโควิด๑๙ ในอเมริกา ซึ่งน่าจะส่งผลกระเทือนไปทั่วโลก บ้านเรา จะเป็นอย่างไรนั้น อีกไม่นานคงจะได้รับรู้ แต่สิ่งที่ยืนยันได้แน่นอน คือ “กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ” นิลฉงน นลเฉลย
    CHILDRENSHEALTHDEFENSE.ORG
    Robert F. Kennedy Jr.
    Help Children’s Health Defense and RFK, Jr. end the epidemic of poor health plaguing our children.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 833 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อเดือนที่แล้วผมเขียนเรื่อง "'ฮวงจุ้ย'ไม่ได้ทำให้ตึก สตง. พัง เพราะการมี'คุณธรรม'ต่างหากที่เหนือกว่าพลังใดๆ" แก่นสารของบทความนั้นก็คือ ฮวงจุ้ยไม่ใช่ที่สุดแห่งอำนาจ แต่พลังคุณธรรมต่างหากที่เหนือกว่า ดังคำกล่าวว่า "หนึ่งคือคุณธรรม สองคือชะตา สามคือฮวงจุ้ย" (一德,二命,三风水)" นั่นคือ ถ้าคนมีคุณธรรมก็ไม่ต้องกลัวฟ้ากลัวดิน เพราะคุณธรรมสามารถเปลี่ยน "สถานที่ร้าย" หรือ ชะตาร้าย" ให้กลายเป็น "สิ่งดีในชีวิต" หรือ "ชีวิตที่ดี" ได้

    มีตัวอย่างหนึ่งที่ผมไม่ได้เขียนถึงแต่สะท้อนหลักการนี้ได้ดี คือ ชีวิตของ ฟ่านจ้งเยียน (范仲淹) ขุนนางผู้ลือนามในสมัยราชวงศ์ซ่ง

    ฟ่านจ้งเยียน กำพร้าพ่อแต่เด็ก อยู่อย่างยากจน ต้องอาศัยวัดเป็นที่อ่านหนังสือ ในเวลานั้น เขาไม่มีอะไรกินเลยตอนที่เรียนหนังสือได้แต่ต้มโจ๊กกินทุกวัน แถมยังแบ่งโจ๊กในชามออกเป็น 4 ช่องและกินทีละช่องในแต่ละวัน

    แม้จะยากไร้ขนาดนี้ แต่ก็อดทนฟันฝ่าจนสอบได้เป็นข้าราชการ ได้รับการอบรมสั่งสอนจากมารดาให้คำนึงถึงประชาชนเป็นอันดับแรก และเขาก็ทำเช่นนั้นจริงๆ เมื่อได้เป็นอัครมหาเสนาบดีก็ใช้เงินเดือนของตนเลี้ยงดูครอบครัวมากกว่า 300 ครอบครัวตลอดชีวิตของเขา แม้เงินเดือนอัครมหาเสนาบดีจะมากโข แม้นเมื่อนำไปเลี้ยงคนอื่นเป็นร้อยครอบครัว จนตระกูลฟ่านไม่พอกิน แต่คนในครอบครัวก็ยินดีทำตามปณิธานของเขา

    ทั้งหมดนี้เพราะคำสั่งสอนของมารดาฟ่านจ้งเยียน และฟ่านจ้งเยียนสั่งสอนบุตรของตน

    เมื่อแม่ของเขาจากโลกนี้ไป ก็ต้องเลือก "ฮวงจุ้ย" เพื่อทำ "ฮวงซุ้ย" แต่ที่ที่เขามีนั้นไม่ดีเอาเลย อาจารย์ฮวงจุ้ยบอกกับฟ่านจ้งเยียนว่า “ที่ดินนี้หากทำสุสานจะทำให้สิ้นวงศ์ตระกูล หากฝังแม่ของท่านไว้ที่นี่จะส่งผลเสียต่อท่าน ท่านจะไม่มีลูกหลานไว้สืบสกุล จึงควรย้ายไปอยู่ที่อื่นเถอะ”

    ถ้าเป็นคนอื่นคงจะรีบย้ายสุสานแทบไม่ทัน แต่ฟ่านจ้งเยียนกลับยืนยันว่า “เราจะยึดผืนดินนี้ไว้ แล้วฝังแม่ข้าที่นี่เลย เพราะหากเป็นผืนดินที่จะทำให้สูญสิ้นวงศ์สกุล ข้าไม่ควรปล่อยให้คนอื่นต้องประสบกับโชคร้ายเช่นนี้ ข้าอยากแบกรับมันเองมากกว่า ถ้าชะตาของข้าถูกกำหนดไม่ให้มีลูกหลาน การย้ายหลุมศพจะมีประโยชน์อะไร”

    แต่ปรากฎว่าผลของมันตรงกันข้าม

    ฟ่านจ้งเยียนกลับได้ลูกชายถึง 4 คน ทั้งหมดมีปัญญาเฉลียวฉลาดและมีความสามารถมาก สามารถสอบเป็นขุนนาง ไต่เต้าเป็นอัครมหาเสนาบดี มหาเสนาบดี และเสนาบดี เหลนของตระกูลฟ่านล้วนเป็นปราชญ์และขุนนาง

    รวมแล้วตระกูลฟ่านมีลูกหลานสืบสกุลไม่ขาดสายยาวนานถึง 800 ปี ไม่ขาดตอนจนถึงทุกวันนี้ แถมยังมีอนุชนที่เป็นขุนนาง นักปราชญ์ ราชบัณฑิตอีกมากมาย

    นี่เป็นเพราะคุณธรรมของ ฟ่านจิ้งเยียน ที่ทำให้ "เรื่องร้าย" กลายเป็น "เรื่องดีหลายเท่าทวีคูณ"

    ต่อมา ฟ่านจ้งเยียนเป็นเจ้าเมืองซูโจวแล้วได้ที่ดินผืนหนึ่งในหนานหยวน ปรมาจารย์ด้านฮวงจุ้ยแนะนำให้เขาสร้างบ้านที่นี่ โดยพยากรณ์ว่าลูกหลานของฟ่านจ้งเยียนจะสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงและเป็นข้าราชการได้หลายชั่วอายุคน

    ฟ่านจ้งเยียนได้ยินเช่นนี้เขาก็รู้สึกยินดี แทนที่จะสั่งให้สร้างบ้านตรงนั้นเขากลับกล่าวว่า "จะให้ครอบครัวของเราเท่านั้นที่จะร่ำรวยและมีเกียรติยศอยู่ครอบครัวเดียวได้อย่างไร ทำไมไม่สร้างโรงเรียนที่นี่และให้เด็กๆ ในบริเวณใกล้เคียงมาเรียนหนังสือ คนอื่นๆ จะได้ร่ำรวยและมีเกียรติกันเยอะๆ ไม่ดีกว่าหรือ?"

    ฟ่านจ้งเยียนจึงสละฮวงจุ้ยอันประเสริฐแล้วสร้างโรงเรียนขึ้นทันที หลังจากนั้นที่นี่ก็กลายเป็นสถานศึกษาชั้นนำของประเทศ ในช่วงเกือบพันปีที่ผ่านมา มีบัณฑิตระดับจิ้นซื่อ (ผู้ผ่านการเข้าสอบในสนามสอบระดับพระนคร) เกือบ 400 คนและจอหงวน (ผู้สอบได้อันดับ 1 ในสนามสอบระดับพระนคร) มากกว่า 80 คน

    เราไม่รู้ว่าเพราะฮวงจุ้ยประเสริฐหรือไม่ โรงเรียนแห่งนี้จึงผลิตยอดคนออกมามากมาย หรือไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะพลังคุณธรรมและความฝันอันยิ่งใหญ่ของฟ่านจ้งเยียนมากกว่า

    เมื่อฟ่านจ้งเยียนเสียชีวิตครอบครัวของเขาไม่มีเงินพอสำหรับค่าใช้จ่ายในงานศพด้วยซ้ำ เนื่องจากฟ่านจ้งเยียนบริจาคเงินทั้งหมดของตนให้กับผู้อื่นไม่หยุดหย่อน

    แต่ปรากฏว่าความยากกลายเป็นสิ่งชั่วคราวหากมีผู้มีคุณธรรมคอยค้ำชูดวงชะตาของตระกูลอยู่ คงเพราะบารมีของฟ่านจ้งเยียนคนในตระกูลฟ่านกลายเป็นขุนนางเรื่อยมา หรือไม่ก็เป็นบัณฑิตผู้มีชื่อเสียง กล่าวกันว่ารับราชการมารุ่นต่อรุ่นจนกระทั่งถึงยุคสาธารณรัฐจีนด้วยซ้ำ

    ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าการที่เขาเลือกฮวงจุ้ยอัปมงคลเพื่อรับผลร้ายแทนประชาชน ไม่เพียงฮวงจุ้ยจะทำอะไรไม่ได้ แต่พลังคุณธรรมของเขายังเปลี่ยนสถานที่อันเลวร้ายกลายเป็นสถานที่เป็นมงคล ทำให้ตระกูลฟ่านรุ่งเรืองไม่ขาดสาย

    ในขณะที่ความใจกว้างของเขาที่อุทิศฮวงจุ้ยอันประเสริฐให้เป็นโรงเรียนสาธารณะ ก็ทำให้ซูโจวผลิตบัณฑิตได้มากมาย แถมโรงเรียนแห่งนั้นก็ยังเจริญรุ่งเรืองไม่ขาดสายด้วย เพราะเปิดดำเนินการสอนลูกหลานชาวซูโจวมาจนถึงทุกวันนี้!

    Kornkit Disthan
    เมื่อเดือนที่แล้วผมเขียนเรื่อง "'ฮวงจุ้ย'ไม่ได้ทำให้ตึก สตง. พัง เพราะการมี'คุณธรรม'ต่างหากที่เหนือกว่าพลังใดๆ" แก่นสารของบทความนั้นก็คือ ฮวงจุ้ยไม่ใช่ที่สุดแห่งอำนาจ แต่พลังคุณธรรมต่างหากที่เหนือกว่า ดังคำกล่าวว่า "หนึ่งคือคุณธรรม สองคือชะตา สามคือฮวงจุ้ย" (一德,二命,三风水)" นั่นคือ ถ้าคนมีคุณธรรมก็ไม่ต้องกลัวฟ้ากลัวดิน เพราะคุณธรรมสามารถเปลี่ยน "สถานที่ร้าย" หรือ ชะตาร้าย" ให้กลายเป็น "สิ่งดีในชีวิต" หรือ "ชีวิตที่ดี" ได้ มีตัวอย่างหนึ่งที่ผมไม่ได้เขียนถึงแต่สะท้อนหลักการนี้ได้ดี คือ ชีวิตของ ฟ่านจ้งเยียน (范仲淹) ขุนนางผู้ลือนามในสมัยราชวงศ์ซ่ง ฟ่านจ้งเยียน กำพร้าพ่อแต่เด็ก อยู่อย่างยากจน ต้องอาศัยวัดเป็นที่อ่านหนังสือ ในเวลานั้น เขาไม่มีอะไรกินเลยตอนที่เรียนหนังสือได้แต่ต้มโจ๊กกินทุกวัน แถมยังแบ่งโจ๊กในชามออกเป็น 4 ช่องและกินทีละช่องในแต่ละวัน แม้จะยากไร้ขนาดนี้ แต่ก็อดทนฟันฝ่าจนสอบได้เป็นข้าราชการ ได้รับการอบรมสั่งสอนจากมารดาให้คำนึงถึงประชาชนเป็นอันดับแรก และเขาก็ทำเช่นนั้นจริงๆ เมื่อได้เป็นอัครมหาเสนาบดีก็ใช้เงินเดือนของตนเลี้ยงดูครอบครัวมากกว่า 300 ครอบครัวตลอดชีวิตของเขา แม้เงินเดือนอัครมหาเสนาบดีจะมากโข แม้นเมื่อนำไปเลี้ยงคนอื่นเป็นร้อยครอบครัว จนตระกูลฟ่านไม่พอกิน แต่คนในครอบครัวก็ยินดีทำตามปณิธานของเขา ทั้งหมดนี้เพราะคำสั่งสอนของมารดาฟ่านจ้งเยียน และฟ่านจ้งเยียนสั่งสอนบุตรของตน เมื่อแม่ของเขาจากโลกนี้ไป ก็ต้องเลือก "ฮวงจุ้ย" เพื่อทำ "ฮวงซุ้ย" แต่ที่ที่เขามีนั้นไม่ดีเอาเลย อาจารย์ฮวงจุ้ยบอกกับฟ่านจ้งเยียนว่า “ที่ดินนี้หากทำสุสานจะทำให้สิ้นวงศ์ตระกูล หากฝังแม่ของท่านไว้ที่นี่จะส่งผลเสียต่อท่าน ท่านจะไม่มีลูกหลานไว้สืบสกุล จึงควรย้ายไปอยู่ที่อื่นเถอะ” ถ้าเป็นคนอื่นคงจะรีบย้ายสุสานแทบไม่ทัน แต่ฟ่านจ้งเยียนกลับยืนยันว่า “เราจะยึดผืนดินนี้ไว้ แล้วฝังแม่ข้าที่นี่เลย เพราะหากเป็นผืนดินที่จะทำให้สูญสิ้นวงศ์สกุล ข้าไม่ควรปล่อยให้คนอื่นต้องประสบกับโชคร้ายเช่นนี้ ข้าอยากแบกรับมันเองมากกว่า ถ้าชะตาของข้าถูกกำหนดไม่ให้มีลูกหลาน การย้ายหลุมศพจะมีประโยชน์อะไร” แต่ปรากฎว่าผลของมันตรงกันข้าม ฟ่านจ้งเยียนกลับได้ลูกชายถึง 4 คน ทั้งหมดมีปัญญาเฉลียวฉลาดและมีความสามารถมาก สามารถสอบเป็นขุนนาง ไต่เต้าเป็นอัครมหาเสนาบดี มหาเสนาบดี และเสนาบดี เหลนของตระกูลฟ่านล้วนเป็นปราชญ์และขุนนาง รวมแล้วตระกูลฟ่านมีลูกหลานสืบสกุลไม่ขาดสายยาวนานถึง 800 ปี ไม่ขาดตอนจนถึงทุกวันนี้ แถมยังมีอนุชนที่เป็นขุนนาง นักปราชญ์ ราชบัณฑิตอีกมากมาย นี่เป็นเพราะคุณธรรมของ ฟ่านจิ้งเยียน ที่ทำให้ "เรื่องร้าย" กลายเป็น "เรื่องดีหลายเท่าทวีคูณ" ต่อมา ฟ่านจ้งเยียนเป็นเจ้าเมืองซูโจวแล้วได้ที่ดินผืนหนึ่งในหนานหยวน ปรมาจารย์ด้านฮวงจุ้ยแนะนำให้เขาสร้างบ้านที่นี่ โดยพยากรณ์ว่าลูกหลานของฟ่านจ้งเยียนจะสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงและเป็นข้าราชการได้หลายชั่วอายุคน ฟ่านจ้งเยียนได้ยินเช่นนี้เขาก็รู้สึกยินดี แทนที่จะสั่งให้สร้างบ้านตรงนั้นเขากลับกล่าวว่า "จะให้ครอบครัวของเราเท่านั้นที่จะร่ำรวยและมีเกียรติยศอยู่ครอบครัวเดียวได้อย่างไร ทำไมไม่สร้างโรงเรียนที่นี่และให้เด็กๆ ในบริเวณใกล้เคียงมาเรียนหนังสือ คนอื่นๆ จะได้ร่ำรวยและมีเกียรติกันเยอะๆ ไม่ดีกว่าหรือ?" ฟ่านจ้งเยียนจึงสละฮวงจุ้ยอันประเสริฐแล้วสร้างโรงเรียนขึ้นทันที หลังจากนั้นที่นี่ก็กลายเป็นสถานศึกษาชั้นนำของประเทศ ในช่วงเกือบพันปีที่ผ่านมา มีบัณฑิตระดับจิ้นซื่อ (ผู้ผ่านการเข้าสอบในสนามสอบระดับพระนคร) เกือบ 400 คนและจอหงวน (ผู้สอบได้อันดับ 1 ในสนามสอบระดับพระนคร) มากกว่า 80 คน เราไม่รู้ว่าเพราะฮวงจุ้ยประเสริฐหรือไม่ โรงเรียนแห่งนี้จึงผลิตยอดคนออกมามากมาย หรือไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะพลังคุณธรรมและความฝันอันยิ่งใหญ่ของฟ่านจ้งเยียนมากกว่า เมื่อฟ่านจ้งเยียนเสียชีวิตครอบครัวของเขาไม่มีเงินพอสำหรับค่าใช้จ่ายในงานศพด้วยซ้ำ เนื่องจากฟ่านจ้งเยียนบริจาคเงินทั้งหมดของตนให้กับผู้อื่นไม่หยุดหย่อน แต่ปรากฏว่าความยากกลายเป็นสิ่งชั่วคราวหากมีผู้มีคุณธรรมคอยค้ำชูดวงชะตาของตระกูลอยู่ คงเพราะบารมีของฟ่านจ้งเยียนคนในตระกูลฟ่านกลายเป็นขุนนางเรื่อยมา หรือไม่ก็เป็นบัณฑิตผู้มีชื่อเสียง กล่าวกันว่ารับราชการมารุ่นต่อรุ่นจนกระทั่งถึงยุคสาธารณรัฐจีนด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าการที่เขาเลือกฮวงจุ้ยอัปมงคลเพื่อรับผลร้ายแทนประชาชน ไม่เพียงฮวงจุ้ยจะทำอะไรไม่ได้ แต่พลังคุณธรรมของเขายังเปลี่ยนสถานที่อันเลวร้ายกลายเป็นสถานที่เป็นมงคล ทำให้ตระกูลฟ่านรุ่งเรืองไม่ขาดสาย ในขณะที่ความใจกว้างของเขาที่อุทิศฮวงจุ้ยอันประเสริฐให้เป็นโรงเรียนสาธารณะ ก็ทำให้ซูโจวผลิตบัณฑิตได้มากมาย แถมโรงเรียนแห่งนั้นก็ยังเจริญรุ่งเรืองไม่ขาดสายด้วย เพราะเปิดดำเนินการสอนลูกหลานชาวซูโจวมาจนถึงทุกวันนี้! Kornkit Disthan
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 413 มุมมอง 0 รีวิว
  • พวกกบฏแบ่งแยกดินแดนยังคงตะแบงอย่างข้างๆ คูๆ และดูเหมือนคำอธิบายที่ผมพยายามเขียนอยู่หลายครั้งก็ดูจะไม่ค่อยไปถึงไหนไกล นี่คือวิทยาศาสตร์ที่ไม่อาจโต้แย้ง และมีแต่ประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องเท่านั้นที่จะพ้องกับวิทยาศาสตร์นี้อย่างลงตัว
    .
    หนึ่งในเรื่องราวที่มีคนรู้น้อยมาก อันที่จริงต้องพูดว่าคนส่วนใหญ่ไม่แยแสสนใจ เป็นเรื่องของชาวเล หรือที่มีชื่อว่าโอรังลาโว้ย (บ้างเรียก อูรักลาโว้ย) เป็นหนึ่งในชนพื้นเมืองเก่าแก่ที่เรียกว่า "โอรังอัสลิ" ที่ซึ่งอันที่จริงเป็นญาติข้างพี่จากสายพันธุ์ที่เป็นบรรพบุรุษของผู้คนในอุษาคเนย์และเกาะแก่งในอุษาสมุทรแทบทั้งหมด.
    .
    Orang หรือ โอรัง มาจากภาษามาเลย์ แปลว่า คน / Asli หรือ อัสลิ แปลว่า เก่าแก่ ดั้งเดิม. โอรังอัสลิ หมายถึง คนดั้งเดิม มีความหมายตามคำเช่นนั้นตามความเป็นจริง ในอุษาคเนย์ตอนกลางจนจรดคาบสมุทรมาเลย์และเกาะในอุษาสมุทร นอกจากพวกปาปัวและออสโตรอะบอริจิ้นแล้ว ไม่มีใครมีดีเอ็นเอเก่าแก่ไปกว่าพวกโอรังอัสลิ พวกที่มี time stamp ในดีเอ็นเอเก่าที่สุดเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในซาบาห์ เกาะบอร์เนียว
    .
    โอรังอัสลิประกอบด้วยชนเผ่ามากมาย ในประเทศไทยมีพวก โอรังลาโว้ย เซมัง มานิ.. อาศัยอยู่ในภาคใต้ ในประเทศมาเลเซีย มีพวกโอรังกัวลา โอรังคานาค จาคุน เตมูน เซเมไล...ฯ ชนพื้นเมืองหลายเผ่าปรับตัวเป็นคนเมืองเรียกรวมๆ ว่าเซนอย ซึ่งท้ายที่สุดกลายเป็นประชากรชาวมาเลย์ทั่วไป มีพวก เตมีอาร์ เชไม เซมัคบารี จาห์ฮัท มะห์เมรี...ฯ ในประเทศอินโดนีเซียมีพวก ดยัค...ฯ ในประเทศฟิลิปปินส์มีพวก บอนทอค อิฟูเกา...ฯ ในฟอร์โมซาหรือไต้หวันมีพวก อตายาล พูยูมะ...ฯ และที่คาดไม่ถึงคือบางส่วนบนเกาะโอกินาวา
    .
    ชนพื้นเมืองเก่าแก่ในประเทศไทยหลายพวกก็เป็นเชื้อสายอัสเลียน เช่น พวกมอญ พวกลั๊วะ (ข่าว้า, ละว้า) พวกข่าหลายเผ่าที่มีชื่อเรียกต่างกันไปเช่น กัมมุ มลาบรี..
    .
    ชนเผ่าพวกนี้ถือเป็นบรรพบุรุษของคนเอเชียที่อาศัยในเมนแลนด์อุษาคเนย์อย่างเรา
    .
    ไม่เพียงเท่านั้น ตอนที่บรรพบุรุษพวกนี้มาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นกว่าปีก่อน มีมนุษย์ที่เดินทางมาถึงก่อนแล้ว คือพวกอะบอริจิ้นิสท์ พวกนี้มาถึงซุนดาตั้งแต่เมื่อห้าหมื่นปีก่อน ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบผู้หญิงอะบอริจิ้นเลือกบรรพบุรุษอัสเลียนเป็นพ่อพันธุ์ บีบให้ผู้ชายอะบอริจิ้นกระจายออกจากเมนแลนด์ซุนดาไปสู่เกาะแก่งโดยรอบในอุษาสมุทร ด้วยเหตุที่คนเอเชียมีแม่พันธ์ใหญ่ถึงสี่สาแหรก ทำให้ประชากรชาวเอเชียขยายตัวไปมากกว่าสาแหรกครอบครัวใดในโลก เฉพาะมนุษย์ผู้ชาย มีจำนวนมากกว่า 75% ของชายชาวเอเชียในปัจจุบัน ใน 75% นี้ รวมถึงผู้ชายชาวจีนที่เป็นส่วนหนึ่งของประชากรโลกจำนวน 1400 ล้านคน ลองคิดดูว่าคนเอเชียจะมีจำนวนเท่าไหร่ในโลกนี้?
    .
    ที่อธิบายนี่ ต้องการให้เห็นภาพว่า
    ผู้คนในอุษาคเนย์ส่วนใหญ่ มีเชื้อทางพ่อเป็นโอรังอัสลิ และมีเชื้อทางแม่เป็นอะบอริจินิสท์ ดังนั้นหากมีคนใดก็ตามที่ดูถูกเหยียดหยามข่มเหงรังแกคนพื้นเมืองพวกนี้ ให้รู้ไว้เถอะว่า พวกแกกำลังรังแกโคตรพ่อโคตรแม่ของพวกแก
    .
    ผมยกเอาภาพจากหนังสือของอาจารย์ประทีป ชุมพล เรื่อง "เสียงเพรียกจากท้องน้ำ" มาโพสตรงนี้ ก็เพราะโศกนาฏกรรมที่มีต่อชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นบรรพบุรุษเราพวกนี้ถูกรังแกและเหยียดหยามเรื่อยมาจนทุกวันนี้ และคนที่เรียกตนเองว่ามาเลย์นี่แหละ มีไม่น้อยที่มีส่วนในการข่มเหงนี้ อ.ประทีป เขียนหนังสือเล่มนี้ในลักษณะนิยายที่สะท้อนความจริงที่น่าเศร้าซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และยังคงดำเนินต่อไป
    .
    ตั้งแต่ราวรัชกาลที่หกมาถึงรัชกาลที่เจ็ดได้มีการจัดสรรที่ทำกินให้ชนเผ่าพวกนี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่จะต้องร่อนเร่อยู่กลางทะเล แต่ "คนเมือง" ที่ซึ่งผมได้เกริ่นไปแต่ต้นว่าที่จริงเป็นพี่น้องลูกหลานมาแต่ชนเผ่าเหล่านี้ทั้งนั้น กลับใช้เล่ห์กลเอาเปรียบและแย่งชิงที่ดินของพวกเขาไป ซึ่งมันได้นำพาไปสู่โศกนาฏกรรมในที่สุด เมื่อชนพื้นเมืองพวกนี้กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งต้องคับแค้นใจจนพากันออกไปฆ่าตัวตายกลางทะเล อ.ประทีปได้กลั่นกรองความรู้สึกจากเรื่องราวเหล่านี้ถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือชื่อ เสียงเพรียกจากท้องน้ำ
    .
    นี่คือเหตุที่ทำไมผมตั้งคำถามกับพวกโจรแยกดินแดนที่ซึ่งล้วนเป็นเซนอยที่มาจากโอรังอัสลิทั้งสิ้นว่า.. แทนที่จะมาทำตัวเป็นอาหรับพลัดถิ่นหรือคนมาเลเซียพลัดถิ่น ถามว่าพวกแกปฏิบัติเช่นไรกับโคตรพ่อโคตรแม่ของพวกแกเหล่านี้? พวกแกได้ดูถูกกดขี่เหยียดหยามแย่งที่ทำกินพวกเขาหรือไม่ เคยเป็นห่วงต่อสู้สิทธิในความเป็นมนุษย์และสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของแผ่นดินแต่ดั้งเดิมของพวกเขาหรือไม่? ทำไมไม่เรียกร้อง..."คืนแผ่นดินให้เซมัง....คืนแผ่นดินให้มอเกน????"
    .
    ยังมีไอ้พวกโง่ตอแหลจากสำนักอีซิ่มพร พวกไอ้เฒ่าจิตตก ออกมาตีสำนวนอีกว่า ชาวมลายูอยู่มาก่อนสยาม โพสนี้ตอบคำถามทุกอย่างตามที่เล่า จงถอยกลับไปก่อนการมีประเทศมาเลเซียหรือแม้แต่เมืองท่ามะละกา เมืองท่าปัตตานี... บรรพบุรุษมนุษย์พวกหนึ่งที่จะพัฒนาเป็นคนในเมนแลนด์อุษาคเนย์และเกาะในอุษาสมุทร คนพวกนี้พูดภาษาอัสเลียน ผสมพันธุ์กับพวกออสโตรอะบอริจิ้น ทำให้แตกเป็นภาษาออสโตรนีเชียน และเป็นมาลาโยโพลีนีเชียนตามเกาะแก่ง.. ผสมพันธุ์กับชนเผ่าอื่นๆ ในเมนแลนด์ตอนบนแตกแขนงเป็นออสโตเอเชียติกหรือมอญ-เขมร.. เป็นกรอบเวลาที่ยังไม่มีมนุษย์ที่เรียกว่าคนมาเลย์หรือคนมาลายูเลย ฝรั่งเป็นคนตั้งชื่อดินแดนแถบนี้ว่ามาลายาเมื่อเดินทางมาถึง ในห้วงเวลานั้นดินแดนแถบนั้นไม่มีชื่อหรอก เมื่อเขียนบนแผนที่ก็เลยเป็นที่มาให้เรียกพวกชนชาติแถบนี้รวมๆ ว่าคนมาลายา [แม้แต่จักรวรรดิจีนอันยิ่งใหญ่ในอดีตก็ไม่ได้เรียกอาณาจักรของตนว่า "จีน" พวกเขาเรียกดินแดนพวกเขาว่า จงกั๋ว (จงหยวน) แต่ฝรั่งเอาแซ่ราชวงศ์จิ๋น (ฉิน) ของจิ๋นซีหวงตี้มาเรียกเป็นชื่อว่าอาณาจักรจิ๋น แล้วเขียนบนแผนที่ทำให้ชาวโลกเรียกอาณาจักรจีนว่า China มาจนทุกวันนี้.. ที่จริงจีนใช้ตัวละตินเขียนว่า Qin แต่ออกเสียง ฉิน] โดยข้อเท็จจริงแล้วประวัติศาสตร์ไม่เคยมีประชาชนมาลายา-มาลายู หรือประเทศมาลายา-มาลายู ไปค้นประวัติศาสตร์ของทุกชาติในเอเชียได้ เช่น บันทึกจีนโบราณ เป็นต้น จะไม่มีบันทึกของชาติใดปรากฏชื่อที่มีสถานะเป็นอาณาจักรหรือประชาชนในชื่อมาลายา-มาลายูอยู่เลย (ใครเจอลองเอามาให้ดูหน่อย) นอกจากหัวเมืองชายแดนอันแยกกันเป็นเอกเทศหลายเมืองที่ล้วนเคยเป็นหัวเมืองประเทศราชของสยามมาก่อน ประเทศมาเลเซียเองเพิ่งปรากฏขึ้นในโลกหลังจากได้เอกราชจากการเป็นอิสระจากอาณานิคมอังกฤษ คนในพื้นที่คาบสมุทรนี้ในยุคก่อนมีราชอาณาจักรสยาม เรียกตัวเองว่า โอรังทั้งนั้น เช่นโอรังบูกิต โอรังเชไม โอรังจาฮัท ฯ... ฝรั่งมันไม่จำหรอก เยอะ.. มันเรียกง่ายๆ ว่าคนมาลายู (ดูแผนที่โบราณที่ผมโพสในคอมเม้นท์ข้างล่างแล้วอ่านคำอธิบาย) เพราะฉนั้น ไม่ใช่แค่คนในอินโด-มาเลเซียที่เป็นพวกอัสเลียน พวกที่เคยเป็นอาณาจักรศรีโพธิ์ อาณาจักรศรีวิชัย พวกศรีธรรมโศกราช พวกพริบพรี พวกละโว้ พวกทวารวดี (ซึ่งต่อมาเป็นพวกสยาม..) พวกมอญ พวกขอม พวกเขมร พวกจาม... ล้วนสืบเชื้อโอรังอัสลิและแม่อะบอริจิ้นมาทั้งนั้น คลานออกมาจากมดลูกเดียวกันทั้งคาบสมุทร!! (เบื่ออธิบายกับพวกแกจริงๆ)
    .
    จะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง ในอุษาคเนย์ มีชนพื้นเมืองพวกหนึ่งคือพวกข่าว้าหรือพวกลั๊วะ (บางทีเรียก ว้า ละว้า ล้า) จากผลตรวจดีเอ็นเอทุกชนเผ่าในมณฑลหยุนหนานโดยโปรเฟสเซอร์จินลี (นักวิทยาศาสตร์จีน) พวกข่าว้านี้มียีนเก่าที่สุด พอๆ กับพวกปู้ยี (จ้วงเหนือ). มีคำปรำปราอันหนึ่งของชนเผ่าไทกล่าวว่า "สางสร้างฟ้า ล้าสร้างเมือง" แปลว่า "เทวดาสร้างสวรรค์ พวกละว้าสร้างเมือง" ชนเผ่าไทยกย่องอย่างนี้ว่า ล้าสร้างเมือง... ตำนานน้ำเต้าปุงเล่าว่า สางบันดาลน้ำเต้าลูกมหึมาลงมา ปู่ลางเซิงเอาเหล็กแหลมแทงน้ำเต้าแล้วผู้คนก็ไหลกรูกันออกมา ข่าออกมาก่อน แล้วก็ลาว แล้วก็ไท นี่..ไทก็นับว่าข่าเป็นพี่ลาวเป็นพี่... มีตำนานไทอีกอันเรื่องข้าสี่แสนหมอนม้า ชนเผ่าไทโบราณรบกับพวกละว้าแล้วก็ยึดเมืองจากพวกละว้าได้ ทำให้มีประเพณีที่เมื่อจ้าวไททำพิธีขึ้นกินเมืองจะให้พวกละว้าขึ้นนั่งพระแท่นก่อน แล้วเจ้าไทจึงมาไล่ลง เสร็จแล้วค่อยนั่งครองพระแท่นแทน ธรรมเนียมนี้แสดงว่าคนไทยอมรับว่าล้าสร้างเมืองและเป็นใหญ่มาก่อน แต่เกือบพันปีที่ผ่านมาไม่เคยมีพวกละว้าขอแบ่งแยกดินแดนจากไท-ไทยเลยสักสมัย มีแต่พวกละว้าในพม่าที่เจรจาขอแยกจากการเป็นส่วนหนึ่งของพม่าตอนที่ทำสนธิสัญญาปางโหลงกับนายพลอองซาน. เรื่องของเรื่องก็คือ... ถอยไปอีก พวกนี้ก็มาจากโอรังอัสลิเช่นเดียวกับพวกเซนอยมาลายู แต่เก่ากว่าเป็นพันปี
    .
    เดินไปโรงพยาบาลแล้วขอตรวจดีเอ็นเอ ไอ้พวกโง่ แล้วแกจะได้เห็นว่าแกมีเชื้อเดียวกับเซมัง มอเกน. ในดีเอ็นเอมนุษย์มี time stamp อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า genetic marker มันบอกอายุของดีเอ็นเอได้ว่าใครเก่ากว่ากัน และจะโยงพวกแกไปยังบรรพบุรุษเดียวกันในแอฟริกา ถึงตอนนั้นพวกแกจะแปลกใจว่าแกไม่ใช่คนมาลายูแล้ว แต่พวกแกเป็นคน "กอยซาน!!" เข้าใจไหม? คนอย่างไอ้เฒ่าจิตตกนั่นมันไม่รู้สี่รู้แปดอะไรหรอก เคยไปเล่าให้มันฟังแม่งนั่งอ้าปากหวอ
    .
    อย่างที่กล่าว
    คำว่า โอรังอัสลิ เป็นคำในภาษามาเลย์ของพวกแก แปลว่า คนดั้งเดิม
    พวกแกทำไมไม่สู้เพื่อพวกเขาบ้าง? นี่ต่างหาก คนดั้งเดิม
    แต่ไปที่ไหนก็ยังเห็นพวกแกดูถูกพวกเขาอยู่เสมอ
    หรือว่าลืมกำพืด อยากเป็นสุลต่านกัน?
    ถ้าพวกแกมีจิตวิญญาณของนักรบจริง
    ที่กาซ่า พี่น้องมุสลิมชาวปาเลสไตน์กำลังถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยพวกยิว
    ในฐานะมุสลิมด้วยกัน ไปสิ จับอาวุธแล้วไปต่อสู้เพื่อพวกเขา กล้าพอไหม?
    ไปชวนพี่น้องแกในมาเลเซียด้วย ถ้าที่นั่นยังมีนักรบนะ
    จิตสำนึกมุสลิมอันยิ่งใหญ่มีอยู่ไหมในมาเลเซีย
    พระเจ้าจะสรรเสริญพวกแกและรับพวกแกไปสู่ญันนะฮฺเมื่อได้สละชีพ
    คงไม่หรอก เพราะพวกแกฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กน้อยที่บริสุทธิ์
    ไม่ต่างอะไรกับพวกยิวอิสราเอล

    อัลลาฮฺอักบัร
    .
    #ปาตานี #แบ่งแยกดินแดน #คนมลายูอยู่มาก่อนสยาม #โอรังอัสลิ #โอรังลาโว้ย #เสียงเพรียกจากท้องน้ำ
    พวกกบฏแบ่งแยกดินแดนยังคงตะแบงอย่างข้างๆ คูๆ และดูเหมือนคำอธิบายที่ผมพยายามเขียนอยู่หลายครั้งก็ดูจะไม่ค่อยไปถึงไหนไกล นี่คือวิทยาศาสตร์ที่ไม่อาจโต้แย้ง และมีแต่ประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องเท่านั้นที่จะพ้องกับวิทยาศาสตร์นี้อย่างลงตัว . หนึ่งในเรื่องราวที่มีคนรู้น้อยมาก อันที่จริงต้องพูดว่าคนส่วนใหญ่ไม่แยแสสนใจ เป็นเรื่องของชาวเล หรือที่มีชื่อว่าโอรังลาโว้ย (บ้างเรียก อูรักลาโว้ย) เป็นหนึ่งในชนพื้นเมืองเก่าแก่ที่เรียกว่า "โอรังอัสลิ" ที่ซึ่งอันที่จริงเป็นญาติข้างพี่จากสายพันธุ์ที่เป็นบรรพบุรุษของผู้คนในอุษาคเนย์และเกาะแก่งในอุษาสมุทรแทบทั้งหมด. . Orang หรือ โอรัง มาจากภาษามาเลย์ แปลว่า คน / Asli หรือ อัสลิ แปลว่า เก่าแก่ ดั้งเดิม. โอรังอัสลิ หมายถึง คนดั้งเดิม มีความหมายตามคำเช่นนั้นตามความเป็นจริง ในอุษาคเนย์ตอนกลางจนจรดคาบสมุทรมาเลย์และเกาะในอุษาสมุทร นอกจากพวกปาปัวและออสโตรอะบอริจิ้นแล้ว ไม่มีใครมีดีเอ็นเอเก่าแก่ไปกว่าพวกโอรังอัสลิ พวกที่มี time stamp ในดีเอ็นเอเก่าที่สุดเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในซาบาห์ เกาะบอร์เนียว . โอรังอัสลิประกอบด้วยชนเผ่ามากมาย ในประเทศไทยมีพวก โอรังลาโว้ย เซมัง มานิ.. อาศัยอยู่ในภาคใต้ ในประเทศมาเลเซีย มีพวกโอรังกัวลา โอรังคานาค จาคุน เตมูน เซเมไล...ฯ ชนพื้นเมืองหลายเผ่าปรับตัวเป็นคนเมืองเรียกรวมๆ ว่าเซนอย ซึ่งท้ายที่สุดกลายเป็นประชากรชาวมาเลย์ทั่วไป มีพวก เตมีอาร์ เชไม เซมัคบารี จาห์ฮัท มะห์เมรี...ฯ ในประเทศอินโดนีเซียมีพวก ดยัค...ฯ ในประเทศฟิลิปปินส์มีพวก บอนทอค อิฟูเกา...ฯ ในฟอร์โมซาหรือไต้หวันมีพวก อตายาล พูยูมะ...ฯ และที่คาดไม่ถึงคือบางส่วนบนเกาะโอกินาวา . ชนพื้นเมืองเก่าแก่ในประเทศไทยหลายพวกก็เป็นเชื้อสายอัสเลียน เช่น พวกมอญ พวกลั๊วะ (ข่าว้า, ละว้า) พวกข่าหลายเผ่าที่มีชื่อเรียกต่างกันไปเช่น กัมมุ มลาบรี.. . ชนเผ่าพวกนี้ถือเป็นบรรพบุรุษของคนเอเชียที่อาศัยในเมนแลนด์อุษาคเนย์อย่างเรา . ไม่เพียงเท่านั้น ตอนที่บรรพบุรุษพวกนี้มาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นกว่าปีก่อน มีมนุษย์ที่เดินทางมาถึงก่อนแล้ว คือพวกอะบอริจิ้นิสท์ พวกนี้มาถึงซุนดาตั้งแต่เมื่อห้าหมื่นปีก่อน ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบผู้หญิงอะบอริจิ้นเลือกบรรพบุรุษอัสเลียนเป็นพ่อพันธุ์ บีบให้ผู้ชายอะบอริจิ้นกระจายออกจากเมนแลนด์ซุนดาไปสู่เกาะแก่งโดยรอบในอุษาสมุทร ด้วยเหตุที่คนเอเชียมีแม่พันธ์ใหญ่ถึงสี่สาแหรก ทำให้ประชากรชาวเอเชียขยายตัวไปมากกว่าสาแหรกครอบครัวใดในโลก เฉพาะมนุษย์ผู้ชาย มีจำนวนมากกว่า 75% ของชายชาวเอเชียในปัจจุบัน ใน 75% นี้ รวมถึงผู้ชายชาวจีนที่เป็นส่วนหนึ่งของประชากรโลกจำนวน 1400 ล้านคน ลองคิดดูว่าคนเอเชียจะมีจำนวนเท่าไหร่ในโลกนี้? . ที่อธิบายนี่ ต้องการให้เห็นภาพว่า ผู้คนในอุษาคเนย์ส่วนใหญ่ มีเชื้อทางพ่อเป็นโอรังอัสลิ และมีเชื้อทางแม่เป็นอะบอริจินิสท์ ดังนั้นหากมีคนใดก็ตามที่ดูถูกเหยียดหยามข่มเหงรังแกคนพื้นเมืองพวกนี้ ให้รู้ไว้เถอะว่า พวกแกกำลังรังแกโคตรพ่อโคตรแม่ของพวกแก . ผมยกเอาภาพจากหนังสือของอาจารย์ประทีป ชุมพล เรื่อง "เสียงเพรียกจากท้องน้ำ" มาโพสตรงนี้ ก็เพราะโศกนาฏกรรมที่มีต่อชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นบรรพบุรุษเราพวกนี้ถูกรังแกและเหยียดหยามเรื่อยมาจนทุกวันนี้ และคนที่เรียกตนเองว่ามาเลย์นี่แหละ มีไม่น้อยที่มีส่วนในการข่มเหงนี้ อ.ประทีป เขียนหนังสือเล่มนี้ในลักษณะนิยายที่สะท้อนความจริงที่น่าเศร้าซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และยังคงดำเนินต่อไป . ตั้งแต่ราวรัชกาลที่หกมาถึงรัชกาลที่เจ็ดได้มีการจัดสรรที่ทำกินให้ชนเผ่าพวกนี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่จะต้องร่อนเร่อยู่กลางทะเล แต่ "คนเมือง" ที่ซึ่งผมได้เกริ่นไปแต่ต้นว่าที่จริงเป็นพี่น้องลูกหลานมาแต่ชนเผ่าเหล่านี้ทั้งนั้น กลับใช้เล่ห์กลเอาเปรียบและแย่งชิงที่ดินของพวกเขาไป ซึ่งมันได้นำพาไปสู่โศกนาฏกรรมในที่สุด เมื่อชนพื้นเมืองพวกนี้กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งต้องคับแค้นใจจนพากันออกไปฆ่าตัวตายกลางทะเล อ.ประทีปได้กลั่นกรองความรู้สึกจากเรื่องราวเหล่านี้ถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือชื่อ เสียงเพรียกจากท้องน้ำ . นี่คือเหตุที่ทำไมผมตั้งคำถามกับพวกโจรแยกดินแดนที่ซึ่งล้วนเป็นเซนอยที่มาจากโอรังอัสลิทั้งสิ้นว่า.. แทนที่จะมาทำตัวเป็นอาหรับพลัดถิ่นหรือคนมาเลเซียพลัดถิ่น ถามว่าพวกแกปฏิบัติเช่นไรกับโคตรพ่อโคตรแม่ของพวกแกเหล่านี้? พวกแกได้ดูถูกกดขี่เหยียดหยามแย่งที่ทำกินพวกเขาหรือไม่ เคยเป็นห่วงต่อสู้สิทธิในความเป็นมนุษย์และสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของแผ่นดินแต่ดั้งเดิมของพวกเขาหรือไม่? ทำไมไม่เรียกร้อง..."คืนแผ่นดินให้เซมัง....คืนแผ่นดินให้มอเกน????" . ยังมีไอ้พวกโง่ตอแหลจากสำนักอีซิ่มพร พวกไอ้เฒ่าจิตตก ออกมาตีสำนวนอีกว่า ชาวมลายูอยู่มาก่อนสยาม โพสนี้ตอบคำถามทุกอย่างตามที่เล่า จงถอยกลับไปก่อนการมีประเทศมาเลเซียหรือแม้แต่เมืองท่ามะละกา เมืองท่าปัตตานี... บรรพบุรุษมนุษย์พวกหนึ่งที่จะพัฒนาเป็นคนในเมนแลนด์อุษาคเนย์และเกาะในอุษาสมุทร คนพวกนี้พูดภาษาอัสเลียน ผสมพันธุ์กับพวกออสโตรอะบอริจิ้น ทำให้แตกเป็นภาษาออสโตรนีเชียน และเป็นมาลาโยโพลีนีเชียนตามเกาะแก่ง.. ผสมพันธุ์กับชนเผ่าอื่นๆ ในเมนแลนด์ตอนบนแตกแขนงเป็นออสโตเอเชียติกหรือมอญ-เขมร.. เป็นกรอบเวลาที่ยังไม่มีมนุษย์ที่เรียกว่าคนมาเลย์หรือคนมาลายูเลย ฝรั่งเป็นคนตั้งชื่อดินแดนแถบนี้ว่ามาลายาเมื่อเดินทางมาถึง ในห้วงเวลานั้นดินแดนแถบนั้นไม่มีชื่อหรอก เมื่อเขียนบนแผนที่ก็เลยเป็นที่มาให้เรียกพวกชนชาติแถบนี้รวมๆ ว่าคนมาลายา [แม้แต่จักรวรรดิจีนอันยิ่งใหญ่ในอดีตก็ไม่ได้เรียกอาณาจักรของตนว่า "จีน" พวกเขาเรียกดินแดนพวกเขาว่า จงกั๋ว (จงหยวน) แต่ฝรั่งเอาแซ่ราชวงศ์จิ๋น (ฉิน) ของจิ๋นซีหวงตี้มาเรียกเป็นชื่อว่าอาณาจักรจิ๋น แล้วเขียนบนแผนที่ทำให้ชาวโลกเรียกอาณาจักรจีนว่า China มาจนทุกวันนี้.. ที่จริงจีนใช้ตัวละตินเขียนว่า Qin แต่ออกเสียง ฉิน] โดยข้อเท็จจริงแล้วประวัติศาสตร์ไม่เคยมีประชาชนมาลายา-มาลายู หรือประเทศมาลายา-มาลายู ไปค้นประวัติศาสตร์ของทุกชาติในเอเชียได้ เช่น บันทึกจีนโบราณ เป็นต้น จะไม่มีบันทึกของชาติใดปรากฏชื่อที่มีสถานะเป็นอาณาจักรหรือประชาชนในชื่อมาลายา-มาลายูอยู่เลย (ใครเจอลองเอามาให้ดูหน่อย) นอกจากหัวเมืองชายแดนอันแยกกันเป็นเอกเทศหลายเมืองที่ล้วนเคยเป็นหัวเมืองประเทศราชของสยามมาก่อน ประเทศมาเลเซียเองเพิ่งปรากฏขึ้นในโลกหลังจากได้เอกราชจากการเป็นอิสระจากอาณานิคมอังกฤษ คนในพื้นที่คาบสมุทรนี้ในยุคก่อนมีราชอาณาจักรสยาม เรียกตัวเองว่า โอรังทั้งนั้น เช่นโอรังบูกิต โอรังเชไม โอรังจาฮัท ฯ... ฝรั่งมันไม่จำหรอก เยอะ.. มันเรียกง่ายๆ ว่าคนมาลายู (ดูแผนที่โบราณที่ผมโพสในคอมเม้นท์ข้างล่างแล้วอ่านคำอธิบาย) เพราะฉนั้น ไม่ใช่แค่คนในอินโด-มาเลเซียที่เป็นพวกอัสเลียน พวกที่เคยเป็นอาณาจักรศรีโพธิ์ อาณาจักรศรีวิชัย พวกศรีธรรมโศกราช พวกพริบพรี พวกละโว้ พวกทวารวดี (ซึ่งต่อมาเป็นพวกสยาม..) พวกมอญ พวกขอม พวกเขมร พวกจาม... ล้วนสืบเชื้อโอรังอัสลิและแม่อะบอริจิ้นมาทั้งนั้น คลานออกมาจากมดลูกเดียวกันทั้งคาบสมุทร!! (เบื่ออธิบายกับพวกแกจริงๆ) . จะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง ในอุษาคเนย์ มีชนพื้นเมืองพวกหนึ่งคือพวกข่าว้าหรือพวกลั๊วะ (บางทีเรียก ว้า ละว้า ล้า) จากผลตรวจดีเอ็นเอทุกชนเผ่าในมณฑลหยุนหนานโดยโปรเฟสเซอร์จินลี (นักวิทยาศาสตร์จีน) พวกข่าว้านี้มียีนเก่าที่สุด พอๆ กับพวกปู้ยี (จ้วงเหนือ). มีคำปรำปราอันหนึ่งของชนเผ่าไทกล่าวว่า "สางสร้างฟ้า ล้าสร้างเมือง" แปลว่า "เทวดาสร้างสวรรค์ พวกละว้าสร้างเมือง" ชนเผ่าไทยกย่องอย่างนี้ว่า ล้าสร้างเมือง... ตำนานน้ำเต้าปุงเล่าว่า สางบันดาลน้ำเต้าลูกมหึมาลงมา ปู่ลางเซิงเอาเหล็กแหลมแทงน้ำเต้าแล้วผู้คนก็ไหลกรูกันออกมา ข่าออกมาก่อน แล้วก็ลาว แล้วก็ไท นี่..ไทก็นับว่าข่าเป็นพี่ลาวเป็นพี่... มีตำนานไทอีกอันเรื่องข้าสี่แสนหมอนม้า ชนเผ่าไทโบราณรบกับพวกละว้าแล้วก็ยึดเมืองจากพวกละว้าได้ ทำให้มีประเพณีที่เมื่อจ้าวไททำพิธีขึ้นกินเมืองจะให้พวกละว้าขึ้นนั่งพระแท่นก่อน แล้วเจ้าไทจึงมาไล่ลง เสร็จแล้วค่อยนั่งครองพระแท่นแทน ธรรมเนียมนี้แสดงว่าคนไทยอมรับว่าล้าสร้างเมืองและเป็นใหญ่มาก่อน แต่เกือบพันปีที่ผ่านมาไม่เคยมีพวกละว้าขอแบ่งแยกดินแดนจากไท-ไทยเลยสักสมัย มีแต่พวกละว้าในพม่าที่เจรจาขอแยกจากการเป็นส่วนหนึ่งของพม่าตอนที่ทำสนธิสัญญาปางโหลงกับนายพลอองซาน. เรื่องของเรื่องก็คือ... ถอยไปอีก พวกนี้ก็มาจากโอรังอัสลิเช่นเดียวกับพวกเซนอยมาลายู แต่เก่ากว่าเป็นพันปี . เดินไปโรงพยาบาลแล้วขอตรวจดีเอ็นเอ ไอ้พวกโง่ แล้วแกจะได้เห็นว่าแกมีเชื้อเดียวกับเซมัง มอเกน. ในดีเอ็นเอมนุษย์มี time stamp อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า genetic marker มันบอกอายุของดีเอ็นเอได้ว่าใครเก่ากว่ากัน และจะโยงพวกแกไปยังบรรพบุรุษเดียวกันในแอฟริกา ถึงตอนนั้นพวกแกจะแปลกใจว่าแกไม่ใช่คนมาลายูแล้ว แต่พวกแกเป็นคน "กอยซาน!!" เข้าใจไหม? คนอย่างไอ้เฒ่าจิตตกนั่นมันไม่รู้สี่รู้แปดอะไรหรอก เคยไปเล่าให้มันฟังแม่งนั่งอ้าปากหวอ . อย่างที่กล่าว คำว่า โอรังอัสลิ เป็นคำในภาษามาเลย์ของพวกแก แปลว่า คนดั้งเดิม พวกแกทำไมไม่สู้เพื่อพวกเขาบ้าง? นี่ต่างหาก คนดั้งเดิม แต่ไปที่ไหนก็ยังเห็นพวกแกดูถูกพวกเขาอยู่เสมอ หรือว่าลืมกำพืด อยากเป็นสุลต่านกัน? ถ้าพวกแกมีจิตวิญญาณของนักรบจริง ที่กาซ่า พี่น้องมุสลิมชาวปาเลสไตน์กำลังถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยพวกยิว ในฐานะมุสลิมด้วยกัน ไปสิ จับอาวุธแล้วไปต่อสู้เพื่อพวกเขา กล้าพอไหม? ไปชวนพี่น้องแกในมาเลเซียด้วย ถ้าที่นั่นยังมีนักรบนะ จิตสำนึกมุสลิมอันยิ่งใหญ่มีอยู่ไหมในมาเลเซีย พระเจ้าจะสรรเสริญพวกแกและรับพวกแกไปสู่ญันนะฮฺเมื่อได้สละชีพ คงไม่หรอก เพราะพวกแกฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กน้อยที่บริสุทธิ์ ไม่ต่างอะไรกับพวกยิวอิสราเอล อัลลาฮฺอักบัร . #ปาตานี #แบ่งแยกดินแดน #คนมลายูอยู่มาก่อนสยาม #โอรังอัสลิ #โอรังลาโว้ย #เสียงเพรียกจากท้องน้ำ
    4 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 892 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในท่ามกลางความตึงเครียดของการขึ้นภาษีของทรัมพ์ต่อชาวโลก โดยเฉพาะกับจีนที่ตามมาด้วยการตอบโต้อย่างถึงพริกถึงขิง
    เขาพูดกัน "นี่คือสงครามการค้า"
    เหล่าบรรดาข้าทาสผู้สวามิภักดิ์ใต้อุ้งตีนอเมริกาพากันถ่มถุย
    "จีนจะต้องย่อยยับในคราวนี้"......
    .
    พวกนี้ไม่ได้สำเหนียกในข้อเท็จจริงที่ว่า
    ประชากรจีนโพ้นทะเล กระจายไปในโลกตั้งแต่ยุคกลางของยุโรปแล้ว
    ก่อนยุคการล่าอาณานิคม ประชากรจีนโพ้นทะเลก็อยู่ในทุกแห่งหน
    ทำงานหนักและขยันขันแข็ง อดทน ไม่เกี่ยงความลำบาก
    พรสวรรค์ในด้านการค้าขายเป็นที่ประจักษ์เพราะฝังรากลึกอยู่ในทุกดินแดน
    เส้นทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกยุคโบราณคือเส้นทางสายไหมของจีน
    พวกเขาไม่ได้ไปด้วยการรุกราน ยึดครองดินแดนต่างๆ ด้วยแสนยานุภาพ
    แต่พวกเขาแพร่กระจายไปพร้อมกับแรงงานและการค้าขาย
    และมักตั้งตัวขึ้นมากลายเป็นนักธุรกิจที่มั่งคั่งกว่าชนชาติอื่นอยู่ในทุกทวีป
    .
    ก่อนการออกท่องสมุทรไปของพ่อค้าชาวยุโรปและอาหรับ
    นายพลเรือผู้หนึ่งของจีนนาม เจิ้งเหอ ออกเดินทางสมุทรยาตราด้วยกองเรือมหาสมบัติที่มีขนาดมหึมากว่าสามร้อยลำ ออกค้าขายไปทั่วทุกคาบสมุทร นักวิชาการหลายคนสันนิษฐานว่ากองเรือของเขาอาจไปถึงทวีปอเมริกาก่อนใคร แต่ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์จีนและประวัติศาสตร์ดินแดนที่เขาเดินทางไปถึงก็ชัดเจนแจ่มแจ้งมากพอถึงความยิ่งใหญ่ของความรู้และพรสวรรค์ทางการค้า
    .
    ตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1405 ในรัชกาลจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง.. เจิ้งเหอ ออกเดินทางเพื่อทำการค้าและสำรวจโลกทั้งสิ้น 7 ครั้ง ยาวนานและกินเวลาราว 28 ปี ไปถึงดินแดนต่างๆ ราว 37 ประเทศ ท่องมหาสมุทรไปมากกว่า 50,000 กิโลเมตร เรือสำเภา "เป่าฉวน" หรือที่เรียกว่าเรือมหาสมบัติของเขา ต่อขึ้นที่เมืองนานกิง มันมีขนาดราว 400 ฟุต ใหญ่กว่าเรือซานตามาเรียของโคลัมบัสซึ่งยาวแค่ 85 ฟุตถึง 5 เท่า กองเรือของเขาประกอบด้วยเรือขนาดใหญ่ 60 ลำ และเรือขนาดเล็กอีก 255 ลำ ประมาณว่ามีลูกเรือทั้งหมดกว่า 27,870 คน เดินทางผ่านชายฝั่งฟุเกี้ยน ท่องไปยังอาณาจักรต่างๆ เช่น จามปา เสียนหลอ (สยาม) มะละกา สมุทรา ชวา สุมาตรา ลังกา กาลิกัต... ผ่านทะเลอันดามัน เลาะฝั่งทะเลตะวันออกของชมพูทวีปเพื่อซื้อขายเครื่องเทศ ไปจนถึงเปอร์เซียและแอฟริกา หลักฐานปรากฏให้เห็นจากบันทึก ภาพเขียน และจากเครื่องบรรณาการที่เขานำกลับไปถวายจักรพรรดิหย่งเล่อ ซึ่งได้รวมเอา สิงโต เสือดาว นกกระจอกเทศ ม้าลาย และยีราฟ ซึ่งเป็นสัตว์จากดินแดนเหล่านั้น
    .
    เจิ้งเหอ เดิมแช่หม่า เป็นมุสลิมเชื้อสายตระกูลขุนนางใหญ่จากอุซเบกที่อาศัยในยูนนาน มีชื่อมุสลิมว่า มูฮัมมัด อับดุลญับบารฺ ต่อมาจักรพรรดิหย่งเล่อพระราชทานแซ่เจิ้ง จากบันทึกประมาณเวลาว่าเขามาถึงอยุธยาราวรัชสมัยสมเด็จพระรามราชาธิราช แต่คนไทยรู้จักในอีกชื่อว่า เจ้าพ่อซำปอกง ซึ่ง ซำปอกง นี้เป็นอีกชื่อหนึ่งของเขา วัดที่มีชื่อว่าวัดซำปอกงหรือวัดพนัญเชิงวรวิหารในจังหวัดอยุธยานี้ เขาเป็นผู้สร้างขึ้น นอกจากนั้นยังพบหลักฐานว่าเจิ้งเหอมีความเลื่อมใสในศาสนาพุทธด้วยการถวายพระสูตรให้แก่วัดเก้าแห่ง แต่กระนั้น เจิ้งเหอเมื่อวายชนม์ก็ยังมีสถานะเป็นมุสลิม เพราะมีสุสานอย่างมุสลิมอยู่บนภูเขาที่นานกิง เขาเสียชีวิตที่อินเดียในปี 1432 เชื่อกันว่า อาจเป็นเพราะทัศนคติที่เปิดกว้างทางศาสนาของเขา จึงทำให้เขาเข้าไปมีส่วนในการยุติความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างศาสนาอิสลามของพ่อค้าและศาสนาพื้นถิ่นตามเมืองท่าต่างๆ ที่เขาผ่านไปหลายแห่ง ทำให้เมืองท่าเหล่านั้นยอมรับในความหลากหลายทางศาสนามากขึ้น
    .
    เจิ้งเหอแม้จะเป็นขันที แต่พี่ชายของเขาได้ยกลูกชายและลูกสาวให้แก่เขา ปัจจุบันนี้มีทายาทในสกุลเจิ้งของเขาบางส่วนจากครอบครัวของทายาทรุ่นหลังที่ชื่อ เจิ้งชงหลิ่ง ยังอาศัยอยู่ในประเทศไทย พวกเขายังคงเป็นมุสลิม ในหลวงรัชกาลที่หกพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ เจิ้งชงหลิ่ง ว่า ขุนชวงเลียงฦๅเกียรติ ลูกหลานของเขาใช้นามสกุล วงศ์ลือเกียรติ
    .
    รูปปั้นหินที่เห็นจากภาพประกอบ เป็นอนุสาวรีย์ของเจิ้งเหอที่มะละกา ประเทศมาเลเซีย อย่างที่เคยเล่า มีหลักฐานว่าเมืองท่าโบราณแห่งนี้เขาเป็นคนตั้งขึ้น
    .
    เรื่องของเจิ้งเหอ ยังถูกหยิบมาค้นคว้าเพิ่มเติมโดยนายพลเรือดำน้ำคนหนึ่งของราชนาวีอังกฤษ ชื่อ Gavin Menzies ที่ซึ่งปกติเรือดำน้ำของเขามีหน้าที่ลาดตระเวณไปทั่วโลกด้วยการดำอย่างเงียบเชียบ แต่คิดว่าเขาคงจะว่างมากนั่นแหละในภาวะที่โลกในช่วงนั้นไม่มีความตึงเครียด เขาจึงเปลี่ยนมาลอยลำวิ่งบนผิวน้ำแล้วเริ่มวิเคราะห์ทัศนียภาพชายฝั่งเทียบกับแผนที่โบราณต่างๆ ซึ่งต่อมามันนำมาด้วยสมมุติฐานของเขาที่เขย่าโลกว่า นักเดินเรือฝรั่งในยุคแรกๆ ของ Maritime เช่น วาสโกเดอกามา เจ้าชายเฮนรี่ โคลัมบัส..ฯ ล้วนเดินเรือด้วยแผนที่ที่คัดลอกมาจากแผนที่ของกองเรือเจิ้งเหอ เขาเขียนหนังสือยาว 500 หน้าชื่อ 1421 และแน่นอนว่า นี่เป็นการทำให้ประวัติศาสตร์การท่องสมุทรของชาวยุโรปเสื่อมเสียไปจากค่านิยมเดิม เกวิน เมนซีส์ถูกถล่มจากนักวิชาการตะวันตกแบบรุมสกรัม แต่น้าแกไม่สน หนังสือของแกติดอันดับขายดีมากอย่างรวดเร็ว และเขายักไหล่ใส่ "พวกคุณจะต่อต้านอย่างไรก็ว่าไป แต่ประชาชนอยู่กับผม..."
    .
    กลับไปที่จั่วหัว...
    อย่างที่เห็น พรสวรรค์ในด้านการค้าของจีนนั้น เป็นที่ประจักษ์ในประวัติศาสตร์โลกนับพันปี ชาติยุโรปลืมข้อเท็จจริงว่านวัตกรรมมากมายที่พวกเขาใช้ มีต้นกำเนิดมาจากจีน โดยเฉพาะแสนยานุภาพที่พวกฝรั่งนำไปใช้พิชิตชนชาติที่อ่อนแอกว่าอย่างเช่น ดินปืน ถ้าไม่มีดินปืน ก็ไม่มีปืน ไม่มีระเบิด นอกจากนั้นพวกตะวันตกยังโขมยความรู้จากจีนทุกวิถีทางตั้งแต่ยุคของมาร์โคโปโล โขมยแม้กระทั่งใบชา และพวกยุโรปรู้ดีว่าไม่อาจเอาชนะจีนอย่างขาวสะอาดได้ จึงใช้กลยุทธอันต่ำช้าด้วยการมอมเมาจีนด้วยฝิ่น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นบทเรียนที่จีนไม่เคยลืม และเตรียมตัวให้พร้อมมาตลอดนับสิบปีของการปิดประเทศเพื่อฟื้นฟู
    .
    สงครามการค้าในตอนนี้ ที่ซึ่ง...
    - จีนถือครองพันธบัตรสหรัฐอยู่ 759,000 ล้านดอลลาร์
    - สหรัฐเป็นหนี้จีนอยู่อีกมหาศาลและไม่มีปัญญาใช้คืน
    - ซัพพลายเชนมากมายของสหรัฐมาจากจีนเป็นส่วนใหญ่
    - แรงงานในสหรัฐแทบไม่มีเลย แถมราคาแพงและไม่มีคุณภาพ
    จะผลิตอะไรเองก็ต้องใช้เวลาในการพัฒนาทักษะอีกนาน
    -ใครจะมาลงทุนเปิดโรงงานในอเมริกา ในเมื่อค่าแรงจะแพงมากแต่ด้อยทักษะ ง่อยและทำอะไรเองไม่เป็นมานานแล้ว
    - ถ้าแกผลิตเองไม่ได้แต่เที่ยวโขกภาษีจากคู่ค้าชาติอื่น สิ่งของที่คนอเมริกันต้องใช้ จะต้องจ่ายแพงทบทวี แม้กระทั่งกระดาษเช็ดขี้ที่พวกเอ็งเคยชักดิ้นชักงอเมื่อมันขาดตลาดตอนช่วงโควิดระบาด
    - ไอ้เบื้อกพวกนี้คงจำไม่ได้ว่าช่วงโควิด จีนห้ามเรือสินค้าต่างชาติเข้าเทียบท่า จนพวกนี้ไปออกันอยู่กลางทะเลหลายพันลำ เดือดร้อนชิบหายวายป่วง แต่จีนไม่เดือดร้อนอะไร
    - จีนมีประชากร 1400 ล้านคน เขาซื้อขายกันเองก็พอจะอยู่กันได้แล้ว แต่วันนี้จีนแบนไม่ให้หนังฮอลลีวู๊ดเข้าฉายในประเทศ ลูกค้า 1400 ล้านคนหายไปกับตา เดี๋ยวคงตามมาด้วยการแบนแบรนด์อื่นอย่าง KFC McDonald...
    - กลายเป็นว่า คนอเมริกันจะกลายเป็นผู้ใช้ iPhone ที่ต้องจ่ายแพงกว่าใครในโลก เพราะมันผลิตในจีน คิดว่าอินเดียจะพร้อมในการเปิดโรงงานใหม่ในปีนี้หรือ?
    - จีนผลิตไมโครชิพเองแล้ว มีขนาดเล็กกว่า มีประสิทธิภาพและความเร็วเหนือกว่าชิพของตะวันตก
    - จีนมีระบบปฏิบัติการโมบายล์ของจีนเองที่ทำงานได้ดีกว่าแอนดรอยด์เรียกว่า ฮาร์โมนี่
    - จีนพัฒนาระบบเชื่อมต่อดาวเทียมเป๋ยโต่ที่ล้ำหน้ากว่าจีพีเอสของตะวันตกมาก
    - จีนพัฒนาระบบชื่อ Near Link ที่ล้ำหน้าระบบ Bluetooth ไปไกลกว่าหลายเท่า
    - เอไอจีนแซงเอไอของตะวันตกไปแล้วเช่นกัน
    - แสนยานุภาพจีนกำลังแซงตะวันตกทุกนาทีที่ผ่านไป
    - เส้นทางการค้าใหม่ที่เรียก One Belt One Road ครอบคลุมเครือข่ายการค้าที่กว้างขวางที่สุดในโลก โดยที่จีนไม่จำเป็นต้องค้าขายกับอเมริกา
    - ความก้าวหน้าทางโลจิสติกของจีนแซงอเมริกาไปนานแล้ว ในโลกนี้ไม่มีใครมีระบบรถไฟความเร็วสูงที่ดีเท่าจีน
    - ตลาดรถไฟฟ้าในโลก จีนคืออันดับหนึ่ง
    - เทคโนโลยีอวกาศของจีนแซงนาซ่าไปแล้ว จีนมีสถานีอวกาศของตัวเองที่ทันสมัยและก้าวหน้ากว่าชาติตะวันตก ในเวลาเดียวกันนี้พวกเขากำลังสำรวจด้านมืดของดวงจันทร์ที่โลกไม่เคยมองเห็น
    blablablabla......
    .
    ที่ร่ายมานี่ สงครามนี้จะลงเอยยังไง คนไทยก็ซวยอยู่ดี ขอให้รู้ไว้เถอะ
    ยิ่งไปเลียมัน พวกแกก็ยิ่งเจ็บตัวหนัก
    แจกฟรีแล้วยังไม่ได้อะไรแบบเวียตนามเอาไหม
    เจ็บปวดหน่อย มันไม่ซื้อเรา ก็ไปขายคนอื่น
    ก็ให้มันเจ็บปวดบ้าง ด้วยการไม่ซื้อมัน
    เราตัวเล็ก ยักษ์ตีกันย่อมต้องโดนลูกหลง
    ต้องเอาความตัวเล็กมาเป็นความได้เปรียบ
    และเรามีความอุดมสมบูรณ์เป็นทรัพย์สมบัติ
    ใครมีไก่ มีไข่ มีผัก มีปลา คุณรอดแล้ว
    ให้พรุ่งนี้แม่งยิงปรมาณูกันก็เถอะ
    ส่วนไอ้พวกโง่ ไอ้พวกเด็กเมื่อวาน เชื่อแต่เรื่องไร้สาระ
    ไม่ดูแลป้องกันประเทศ ชักนำภัยเข้าสู่ชาติบ้านเมือง
    มึงตายแน่ มีสาเหตุให้มึงตายเป็นร้อยเหตุ
    ในท่ามกลางความตึงเครียดของการขึ้นภาษีของทรัมพ์ต่อชาวโลก โดยเฉพาะกับจีนที่ตามมาด้วยการตอบโต้อย่างถึงพริกถึงขิง เขาพูดกัน "นี่คือสงครามการค้า" เหล่าบรรดาข้าทาสผู้สวามิภักดิ์ใต้อุ้งตีนอเมริกาพากันถ่มถุย "จีนจะต้องย่อยยับในคราวนี้"...... . พวกนี้ไม่ได้สำเหนียกในข้อเท็จจริงที่ว่า ประชากรจีนโพ้นทะเล กระจายไปในโลกตั้งแต่ยุคกลางของยุโรปแล้ว ก่อนยุคการล่าอาณานิคม ประชากรจีนโพ้นทะเลก็อยู่ในทุกแห่งหน ทำงานหนักและขยันขันแข็ง อดทน ไม่เกี่ยงความลำบาก พรสวรรค์ในด้านการค้าขายเป็นที่ประจักษ์เพราะฝังรากลึกอยู่ในทุกดินแดน เส้นทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกยุคโบราณคือเส้นทางสายไหมของจีน พวกเขาไม่ได้ไปด้วยการรุกราน ยึดครองดินแดนต่างๆ ด้วยแสนยานุภาพ แต่พวกเขาแพร่กระจายไปพร้อมกับแรงงานและการค้าขาย และมักตั้งตัวขึ้นมากลายเป็นนักธุรกิจที่มั่งคั่งกว่าชนชาติอื่นอยู่ในทุกทวีป . ก่อนการออกท่องสมุทรไปของพ่อค้าชาวยุโรปและอาหรับ นายพลเรือผู้หนึ่งของจีนนาม เจิ้งเหอ ออกเดินทางสมุทรยาตราด้วยกองเรือมหาสมบัติที่มีขนาดมหึมากว่าสามร้อยลำ ออกค้าขายไปทั่วทุกคาบสมุทร นักวิชาการหลายคนสันนิษฐานว่ากองเรือของเขาอาจไปถึงทวีปอเมริกาก่อนใคร แต่ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์จีนและประวัติศาสตร์ดินแดนที่เขาเดินทางไปถึงก็ชัดเจนแจ่มแจ้งมากพอถึงความยิ่งใหญ่ของความรู้และพรสวรรค์ทางการค้า . ตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1405 ในรัชกาลจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง.. เจิ้งเหอ ออกเดินทางเพื่อทำการค้าและสำรวจโลกทั้งสิ้น 7 ครั้ง ยาวนานและกินเวลาราว 28 ปี ไปถึงดินแดนต่างๆ ราว 37 ประเทศ ท่องมหาสมุทรไปมากกว่า 50,000 กิโลเมตร เรือสำเภา "เป่าฉวน" หรือที่เรียกว่าเรือมหาสมบัติของเขา ต่อขึ้นที่เมืองนานกิง มันมีขนาดราว 400 ฟุต ใหญ่กว่าเรือซานตามาเรียของโคลัมบัสซึ่งยาวแค่ 85 ฟุตถึง 5 เท่า กองเรือของเขาประกอบด้วยเรือขนาดใหญ่ 60 ลำ และเรือขนาดเล็กอีก 255 ลำ ประมาณว่ามีลูกเรือทั้งหมดกว่า 27,870 คน เดินทางผ่านชายฝั่งฟุเกี้ยน ท่องไปยังอาณาจักรต่างๆ เช่น จามปา เสียนหลอ (สยาม) มะละกา สมุทรา ชวา สุมาตรา ลังกา กาลิกัต... ผ่านทะเลอันดามัน เลาะฝั่งทะเลตะวันออกของชมพูทวีปเพื่อซื้อขายเครื่องเทศ ไปจนถึงเปอร์เซียและแอฟริกา หลักฐานปรากฏให้เห็นจากบันทึก ภาพเขียน และจากเครื่องบรรณาการที่เขานำกลับไปถวายจักรพรรดิหย่งเล่อ ซึ่งได้รวมเอา สิงโต เสือดาว นกกระจอกเทศ ม้าลาย และยีราฟ ซึ่งเป็นสัตว์จากดินแดนเหล่านั้น . เจิ้งเหอ เดิมแช่หม่า เป็นมุสลิมเชื้อสายตระกูลขุนนางใหญ่จากอุซเบกที่อาศัยในยูนนาน มีชื่อมุสลิมว่า มูฮัมมัด อับดุลญับบารฺ ต่อมาจักรพรรดิหย่งเล่อพระราชทานแซ่เจิ้ง จากบันทึกประมาณเวลาว่าเขามาถึงอยุธยาราวรัชสมัยสมเด็จพระรามราชาธิราช แต่คนไทยรู้จักในอีกชื่อว่า เจ้าพ่อซำปอกง ซึ่ง ซำปอกง นี้เป็นอีกชื่อหนึ่งของเขา วัดที่มีชื่อว่าวัดซำปอกงหรือวัดพนัญเชิงวรวิหารในจังหวัดอยุธยานี้ เขาเป็นผู้สร้างขึ้น นอกจากนั้นยังพบหลักฐานว่าเจิ้งเหอมีความเลื่อมใสในศาสนาพุทธด้วยการถวายพระสูตรให้แก่วัดเก้าแห่ง แต่กระนั้น เจิ้งเหอเมื่อวายชนม์ก็ยังมีสถานะเป็นมุสลิม เพราะมีสุสานอย่างมุสลิมอยู่บนภูเขาที่นานกิง เขาเสียชีวิตที่อินเดียในปี 1432 เชื่อกันว่า อาจเป็นเพราะทัศนคติที่เปิดกว้างทางศาสนาของเขา จึงทำให้เขาเข้าไปมีส่วนในการยุติความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างศาสนาอิสลามของพ่อค้าและศาสนาพื้นถิ่นตามเมืองท่าต่างๆ ที่เขาผ่านไปหลายแห่ง ทำให้เมืองท่าเหล่านั้นยอมรับในความหลากหลายทางศาสนามากขึ้น . เจิ้งเหอแม้จะเป็นขันที แต่พี่ชายของเขาได้ยกลูกชายและลูกสาวให้แก่เขา ปัจจุบันนี้มีทายาทในสกุลเจิ้งของเขาบางส่วนจากครอบครัวของทายาทรุ่นหลังที่ชื่อ เจิ้งชงหลิ่ง ยังอาศัยอยู่ในประเทศไทย พวกเขายังคงเป็นมุสลิม ในหลวงรัชกาลที่หกพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ เจิ้งชงหลิ่ง ว่า ขุนชวงเลียงฦๅเกียรติ ลูกหลานของเขาใช้นามสกุล วงศ์ลือเกียรติ . รูปปั้นหินที่เห็นจากภาพประกอบ เป็นอนุสาวรีย์ของเจิ้งเหอที่มะละกา ประเทศมาเลเซีย อย่างที่เคยเล่า มีหลักฐานว่าเมืองท่าโบราณแห่งนี้เขาเป็นคนตั้งขึ้น . เรื่องของเจิ้งเหอ ยังถูกหยิบมาค้นคว้าเพิ่มเติมโดยนายพลเรือดำน้ำคนหนึ่งของราชนาวีอังกฤษ ชื่อ Gavin Menzies ที่ซึ่งปกติเรือดำน้ำของเขามีหน้าที่ลาดตระเวณไปทั่วโลกด้วยการดำอย่างเงียบเชียบ แต่คิดว่าเขาคงจะว่างมากนั่นแหละในภาวะที่โลกในช่วงนั้นไม่มีความตึงเครียด เขาจึงเปลี่ยนมาลอยลำวิ่งบนผิวน้ำแล้วเริ่มวิเคราะห์ทัศนียภาพชายฝั่งเทียบกับแผนที่โบราณต่างๆ ซึ่งต่อมามันนำมาด้วยสมมุติฐานของเขาที่เขย่าโลกว่า นักเดินเรือฝรั่งในยุคแรกๆ ของ Maritime เช่น วาสโกเดอกามา เจ้าชายเฮนรี่ โคลัมบัส..ฯ ล้วนเดินเรือด้วยแผนที่ที่คัดลอกมาจากแผนที่ของกองเรือเจิ้งเหอ เขาเขียนหนังสือยาว 500 หน้าชื่อ 1421 และแน่นอนว่า นี่เป็นการทำให้ประวัติศาสตร์การท่องสมุทรของชาวยุโรปเสื่อมเสียไปจากค่านิยมเดิม เกวิน เมนซีส์ถูกถล่มจากนักวิชาการตะวันตกแบบรุมสกรัม แต่น้าแกไม่สน หนังสือของแกติดอันดับขายดีมากอย่างรวดเร็ว และเขายักไหล่ใส่ "พวกคุณจะต่อต้านอย่างไรก็ว่าไป แต่ประชาชนอยู่กับผม..." . กลับไปที่จั่วหัว... อย่างที่เห็น พรสวรรค์ในด้านการค้าของจีนนั้น เป็นที่ประจักษ์ในประวัติศาสตร์โลกนับพันปี ชาติยุโรปลืมข้อเท็จจริงว่านวัตกรรมมากมายที่พวกเขาใช้ มีต้นกำเนิดมาจากจีน โดยเฉพาะแสนยานุภาพที่พวกฝรั่งนำไปใช้พิชิตชนชาติที่อ่อนแอกว่าอย่างเช่น ดินปืน ถ้าไม่มีดินปืน ก็ไม่มีปืน ไม่มีระเบิด นอกจากนั้นพวกตะวันตกยังโขมยความรู้จากจีนทุกวิถีทางตั้งแต่ยุคของมาร์โคโปโล โขมยแม้กระทั่งใบชา และพวกยุโรปรู้ดีว่าไม่อาจเอาชนะจีนอย่างขาวสะอาดได้ จึงใช้กลยุทธอันต่ำช้าด้วยการมอมเมาจีนด้วยฝิ่น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นบทเรียนที่จีนไม่เคยลืม และเตรียมตัวให้พร้อมมาตลอดนับสิบปีของการปิดประเทศเพื่อฟื้นฟู . สงครามการค้าในตอนนี้ ที่ซึ่ง... - จีนถือครองพันธบัตรสหรัฐอยู่ 759,000 ล้านดอลลาร์ - สหรัฐเป็นหนี้จีนอยู่อีกมหาศาลและไม่มีปัญญาใช้คืน - ซัพพลายเชนมากมายของสหรัฐมาจากจีนเป็นส่วนใหญ่ - แรงงานในสหรัฐแทบไม่มีเลย แถมราคาแพงและไม่มีคุณภาพ จะผลิตอะไรเองก็ต้องใช้เวลาในการพัฒนาทักษะอีกนาน -ใครจะมาลงทุนเปิดโรงงานในอเมริกา ในเมื่อค่าแรงจะแพงมากแต่ด้อยทักษะ ง่อยและทำอะไรเองไม่เป็นมานานแล้ว - ถ้าแกผลิตเองไม่ได้แต่เที่ยวโขกภาษีจากคู่ค้าชาติอื่น สิ่งของที่คนอเมริกันต้องใช้ จะต้องจ่ายแพงทบทวี แม้กระทั่งกระดาษเช็ดขี้ที่พวกเอ็งเคยชักดิ้นชักงอเมื่อมันขาดตลาดตอนช่วงโควิดระบาด - ไอ้เบื้อกพวกนี้คงจำไม่ได้ว่าช่วงโควิด จีนห้ามเรือสินค้าต่างชาติเข้าเทียบท่า จนพวกนี้ไปออกันอยู่กลางทะเลหลายพันลำ เดือดร้อนชิบหายวายป่วง แต่จีนไม่เดือดร้อนอะไร - จีนมีประชากร 1400 ล้านคน เขาซื้อขายกันเองก็พอจะอยู่กันได้แล้ว แต่วันนี้จีนแบนไม่ให้หนังฮอลลีวู๊ดเข้าฉายในประเทศ ลูกค้า 1400 ล้านคนหายไปกับตา เดี๋ยวคงตามมาด้วยการแบนแบรนด์อื่นอย่าง KFC McDonald... - กลายเป็นว่า คนอเมริกันจะกลายเป็นผู้ใช้ iPhone ที่ต้องจ่ายแพงกว่าใครในโลก เพราะมันผลิตในจีน คิดว่าอินเดียจะพร้อมในการเปิดโรงงานใหม่ในปีนี้หรือ? - จีนผลิตไมโครชิพเองแล้ว มีขนาดเล็กกว่า มีประสิทธิภาพและความเร็วเหนือกว่าชิพของตะวันตก - จีนมีระบบปฏิบัติการโมบายล์ของจีนเองที่ทำงานได้ดีกว่าแอนดรอยด์เรียกว่า ฮาร์โมนี่ - จีนพัฒนาระบบเชื่อมต่อดาวเทียมเป๋ยโต่ที่ล้ำหน้ากว่าจีพีเอสของตะวันตกมาก - จีนพัฒนาระบบชื่อ Near Link ที่ล้ำหน้าระบบ Bluetooth ไปไกลกว่าหลายเท่า - เอไอจีนแซงเอไอของตะวันตกไปแล้วเช่นกัน - แสนยานุภาพจีนกำลังแซงตะวันตกทุกนาทีที่ผ่านไป - เส้นทางการค้าใหม่ที่เรียก One Belt One Road ครอบคลุมเครือข่ายการค้าที่กว้างขวางที่สุดในโลก โดยที่จีนไม่จำเป็นต้องค้าขายกับอเมริกา - ความก้าวหน้าทางโลจิสติกของจีนแซงอเมริกาไปนานแล้ว ในโลกนี้ไม่มีใครมีระบบรถไฟความเร็วสูงที่ดีเท่าจีน - ตลาดรถไฟฟ้าในโลก จีนคืออันดับหนึ่ง - เทคโนโลยีอวกาศของจีนแซงนาซ่าไปแล้ว จีนมีสถานีอวกาศของตัวเองที่ทันสมัยและก้าวหน้ากว่าชาติตะวันตก ในเวลาเดียวกันนี้พวกเขากำลังสำรวจด้านมืดของดวงจันทร์ที่โลกไม่เคยมองเห็น blablablabla...... . ที่ร่ายมานี่ สงครามนี้จะลงเอยยังไง คนไทยก็ซวยอยู่ดี ขอให้รู้ไว้เถอะ ยิ่งไปเลียมัน พวกแกก็ยิ่งเจ็บตัวหนัก แจกฟรีแล้วยังไม่ได้อะไรแบบเวียตนามเอาไหม เจ็บปวดหน่อย มันไม่ซื้อเรา ก็ไปขายคนอื่น ก็ให้มันเจ็บปวดบ้าง ด้วยการไม่ซื้อมัน เราตัวเล็ก ยักษ์ตีกันย่อมต้องโดนลูกหลง ต้องเอาความตัวเล็กมาเป็นความได้เปรียบ และเรามีความอุดมสมบูรณ์เป็นทรัพย์สมบัติ ใครมีไก่ มีไข่ มีผัก มีปลา คุณรอดแล้ว ให้พรุ่งนี้แม่งยิงปรมาณูกันก็เถอะ ส่วนไอ้พวกโง่ ไอ้พวกเด็กเมื่อวาน เชื่อแต่เรื่องไร้สาระ ไม่ดูแลป้องกันประเทศ ชักนำภัยเข้าสู่ชาติบ้านเมือง มึงตายแน่ มีสาเหตุให้มึงตายเป็นร้อยเหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1154 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีคนถามผม ว่าผมใช้คำว่า sleeper บ่อยครั้ง หมายถึงอะไร?
    .
    ในกรณีนี้ หมายถึง จารชนชนิดหนึ่ง ทั้งที่เป็นเป็นคนต่างชาติและคนในชาติที่ถูกปล่อยให้กบดานไว้ในพื้นที่เป้าหมาย หากไม่มีการเรียกใช้งานก็ประกอบอาชีพใช้ชีวิตไปตามปกติ จนกว่าจะมีงานให้ทำก็จะถูกปลุกขึ้นมาใช้งาน (เรียกว่าสลีปเปอร์ก็เพราะเหตุนี้) งานที่ให้ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบสายลับในหนังนะ บางทีอาจง่ายๆ เช่นแค่ไปฟังเขาคุยกันแล้วมารายงานว่าได้ยินอะไรมา... ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาวางระเบิด (ซึ่งแบบนี้ก็มี) มีหลายรายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นสลีปเปอร์ ดังนั้นพวกนี้จึงมีหลายระดับ อาจจะผูกกันไว้ด้วยการสร้างบุญคุณต่อกันไว้ ช่วยเหลือการเงินการงานต่างๆ จนถึงพวกที่ถูกคัดกรองเข้ามาทำงานแต่ละด้านที่มีความเหมาะสมกับคนคนนั้นตามความถนัดต่างกัน ซึ่งมีมิติความซับซ้อนกว่าที่คนทั่วไปจะคาดคิด เช่น อาจเป็นพ่อค้าที่ต้องเดินทางไปหลายที่เพื่อส่งสินค้า ดังนั้นการเดินทางไปในพื้นที่ต่างๆ จึงดูมีเหตุผล คนที่มีอาชีพในลักษณะคล้ายกันนี้จึงเหมาะในการไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้กว้างขวางกว่า ก็อย่างเช่น นักมานุษยวิทยา นักทำสารคดี นักพูด วิทยากร นักวิชาการสำรวจภาคสนาม นักสร้างภาพยนตร์ เอ็นจีโอ อาสาสมัคร มิชชันนารี... ฯ ในระดับปฏิบัติการ อาจแฝงตัวมาสร้างความสัมพันธ์ให้คนทั่วไปรู้สึกไว้วางใจ จารชนประเภทนี้เขานิยามว่าสร้างความไว้วางใจนานหลายปีเพื่อทรยศเพียงครั้งเดียว แล้วก็ถอนตัวออกไป พวกนี้มีเครือข่ายกระจายไปทั่ว ฝังรากลึกมานาน
    .
    เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด ตัวอย่างเช่นสมัยพระนารายณ์มหาราช อยุธยา มีจารชนฝังตัวอยู่เต็มไปหมด มาในคราบทูต มาในคราบบาดหลวงสอนศาสนา บันทึกการเดินทางที่เรารู้จักกันมากมายตัวอย่างเช่น จดหมายเหตุลาลูแบร์ ที่จริงเป็นข้อมูลข่าวกรอง intelligence แจกแจงรายละเอียดทุกด้านของอยุธยาตั้งแต่ชีวิตความเป็นอยู่ จุดเด่น จุดด้อย สภาพแวดล้อมภูมิประเทศ แหล่งอาหาร ทรัพยากรต่างๆ ชัยภูมิทางการรบ เช่น ป้อม ค่ายคู กำลังทหาร และศักยภาพทางการรบ พืชพันธ์สัตว์ต่างๆ.... ทั้งหมดรวบรวมเพื่อยื่นต่อพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่กษัตริย์ฝรั่งเศส แน่นอนว่าลาลูแบร์ที่เป็นราชทูตนี่ก็เป็นจารชนนั่นแหละ มาต่อหน้าเป็นทูต แต่กระทำลับหลังในการประสานกับกองทหารฝรั่งเศสเตรียมการจะโจมตีสยาม ในเวลานั้นมีบาดหลวงนิกายเยซูอิตอีกหลายคนที่เป็นจารชนประเภทสลีปเปอร์นี่แหละ แฝงตัวทำทีเป็นสอนศาสนาไป พอลาลูแบร์มาถึง สลีปเปอร์พวกนี้ก็ทำการประสานส่งต่อข้อมูลรายงานข่าวกรองให้พวกตนทราบ ดังที่ปรากฏจดหมายลับที่ซ่อนอยู่ในหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศสอันเป็นเหตุให้นักเขียนฝรั่งคนหนึ่งที่ไปพบเข้า เขียนหนังสือเรื่อง "รุกสยามในนามพระเจ้า" ที่ผมเคยเล่าให้ฟังไปแล้ว
    .
    แต่โทษที อยากจะบอกว่า สยาม หาได้หมูไม่ ขณะที่นโยบายในการล้างสมองของพวกไอโอเยซูอิตกำลังพยายามหว่านล้อมชักจูงพระนารายณ์ให้ทรงเข้ารีต ท่านทรงตรัสตอบอย่างชาญฉลาดว่า โอ้พระเจ้าของท่านช่างวิเศษล้ำจริงๆ พวกท่านอย่าห่วงเลย หากพระเจ้าของท่านวิเศษอย่างที่ท่านกล่าว เชื่อว่ากฤษฎาภินิหารของท่านจะต้องบันดาลให้ฉันเปลี่ยนไปนับถือศาสนาของท่านแน่นอน... ป๊าด! เป็นคำตอบที่แสนจะอัจฉริยะ. ขณะเดียวกัน ฝั่ง counter strike พระเพทราชาและทีมอินเทลของท่านก็มีข้อมูลของจารชนพวกนี้ทุกอย่าง และทีมไอโอของพระเพทราชาท่านก็ไม่ใช่ไก่อ่อนในการที่จะต้านการครอบงำแทรกแซงของฝรั่งทั้งด้านงานจารกรรมและด้านยุทธศาสตร์ ผลก็คืองานของสลีปเปอร์และเจ้าหน้าที่สนามของฝรั่งเศสไม่ได้ผล จารชนสองหน้าอย่างกองสตองฟอลคอนจบด้วยความตาย แผนการโจมตีป้อมบางกอกล้มเหลว ม้วนเสื่อกลับไป นี่...จะเห็นว่างานจารกรรมและการใช้ไอโอไม่ได้เพิ่งจะมีในยุคนี้นะเธอ
    .
    ในงานลับลวงพรางพวกนี้ มีคนจำนวนหนึ่งถูกเลือกเป็นหัวโจก เขาเรียก recruiter เพราะมีหน้าที่คัดเลือกจัดหาสลีปเปอร์ มีการศึกษาข้อมูลบุคคลการล้วงลึก ลูกเต้าเหล่าใคร มีความคิด สติปัญญาระดับไหน มีแนวโน้มจะนิยมชาติที่วางแผนร้ายนี้มากกว่าชาติตัวเองไหม มีปม มีปัญหาส่วนตัวอย่างไร ทัศนคติ สภาพจิต ปูมหลัง คอนเน็คชั่น ศักยภาพในการทำหน้าที่ได้รับมอบหมาย ฯลฯ จะเฝ้าติดตามดูจนเห็นว่าน่าจะโอเค ก็จะชักชวนให้เข้าในเครือข่ายทีละนิด จากวงนอกๆ ก็จะขยับเข้าชั้นในมาเรื่อยๆ ตามการพิสูจน์ตัวเอง ในเมืองไทยมีมานานหลายสิบปีแล้ว มีกันอยู่หลายวง ผูกโยงกับหน่วยงานข้ามชาติในท้องถิ่นเล็กๆ ตั้งแต่มูลนิธินี่นั่น ไปจนถึงเอ็นจีโอ หน่วยงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย พวกหน่วยที่มีอักษรตัวย่อทั้งหลายแหล่ ไปจนถึงองค์กรที่ใหญ่ขึ้น จนถึงฟันดิ้งระดับโลก ตัวอย่างเช่น ฟุลไบร๊ท์ ร็อกกี้เฟลเลอร์...เป็นต้น
    .
    พวกนี้จะมีแหล่งนัดพบของเขาที่จะไปพบกันเป็นประจำ หัวหน้าจะเปิดเลี้ยงกินดื่มไม่อั้น มีการแชร์ข้อมูลแสดงผลงาน แนวคิด พรีเซนเตชั่น รุ่นพี่อาจเอารุ่นน้องหน้าใหม่มาเสนอตัวให้ recruiter พิจารณา ในบ้านเรามีอยู่หลายวงหลายสาย ไม่ใช่แค่สายผู้ดีสายลึงค์สายถั่ว... คนจมูกดีๆ จะรู้ว่ามีที่ไหนบ้าง เพราะขณะที่พวกมันสร้างสลีปเปอร์ อีกฝ่ายเขาก็เอาสลีปเปอร์เขาไปฝังอยู่ในพวกมึงเช่นกัน 5555
    .
    พวกที่อยู่มานานฝังรากลึก แน่นอนว่าผลประโยชน์มันมากมันเฟื่องฟู ดังนั้น การที่อยู่สุขสบายมาช้านาน จู่ๆ ท่อน้ำโดนตัด มันก็ต้องดิ้น เคยได้อยู่เท่านั้นเท่านี้จนติดสันดาน จู่ๆ หายไป มันกลับไปจุดเดิมยาก พอเสียจริตก็เผยตัว ไอ้พวกลูกกะจ้อยรองลงไปก็ยิ่งเดือดร้อนกว่า....
    .
    5555 ตอนนี้ก็จะเห็นมันออกมาดิ้นกันเยอะหน่อย
    .
    อย่ามาเล่นบทตอแหลเลยแกร....
    พวกมึงมีจารชน มีสลีปเปอร์ มีเจ้าหน้าสนามระดับปฏิบัติการ
    ประเทศไทยก็มีจารชน มีสลีปเปอร์ มีเจ้าหน้าที่สนามระดับปฏิบัติการ
    บางทีที่พวกมึงคิดว่าตัวเองหลับอยู่ซ่อนอยู่เขาคงไม่รู้... ที่จริงเขารู้
    บางทีที่พวกมึงคิดว่าเขาหลับอยู่ เขาอาจตื่นมาตามดูพวกมึงทุกวันจนรู้ว่ามึงขี้กี่ครั้ง
    อย่าว่าแต่จู่ๆ มึงก็พากันออกมาดิ้นโชว์ตัวให้ชาวบ้านเขารู้กันเองเลย
    .
    ไอ้พวกขายชาติ!
    .
    ลืมบอกไปว่า ในบรรดา sleeper มีพวก unclassified อยู่มากทีเดียว
    พวกกระจอกพวกนี้ จะพยายามอย่างมากที่จะยกระดับขึ้นไป
    แต่แม้จะพยายามเท่าใด ปัญญาและคุณสมบัติก็ไม่เ
    มีคนถามผม ว่าผมใช้คำว่า sleeper บ่อยครั้ง หมายถึงอะไร? . ในกรณีนี้ หมายถึง จารชนชนิดหนึ่ง ทั้งที่เป็นเป็นคนต่างชาติและคนในชาติที่ถูกปล่อยให้กบดานไว้ในพื้นที่เป้าหมาย หากไม่มีการเรียกใช้งานก็ประกอบอาชีพใช้ชีวิตไปตามปกติ จนกว่าจะมีงานให้ทำก็จะถูกปลุกขึ้นมาใช้งาน (เรียกว่าสลีปเปอร์ก็เพราะเหตุนี้) งานที่ให้ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบสายลับในหนังนะ บางทีอาจง่ายๆ เช่นแค่ไปฟังเขาคุยกันแล้วมารายงานว่าได้ยินอะไรมา... ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาวางระเบิด (ซึ่งแบบนี้ก็มี) มีหลายรายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นสลีปเปอร์ ดังนั้นพวกนี้จึงมีหลายระดับ อาจจะผูกกันไว้ด้วยการสร้างบุญคุณต่อกันไว้ ช่วยเหลือการเงินการงานต่างๆ จนถึงพวกที่ถูกคัดกรองเข้ามาทำงานแต่ละด้านที่มีความเหมาะสมกับคนคนนั้นตามความถนัดต่างกัน ซึ่งมีมิติความซับซ้อนกว่าที่คนทั่วไปจะคาดคิด เช่น อาจเป็นพ่อค้าที่ต้องเดินทางไปหลายที่เพื่อส่งสินค้า ดังนั้นการเดินทางไปในพื้นที่ต่างๆ จึงดูมีเหตุผล คนที่มีอาชีพในลักษณะคล้ายกันนี้จึงเหมาะในการไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้กว้างขวางกว่า ก็อย่างเช่น นักมานุษยวิทยา นักทำสารคดี นักพูด วิทยากร นักวิชาการสำรวจภาคสนาม นักสร้างภาพยนตร์ เอ็นจีโอ อาสาสมัคร มิชชันนารี... ฯ ในระดับปฏิบัติการ อาจแฝงตัวมาสร้างความสัมพันธ์ให้คนทั่วไปรู้สึกไว้วางใจ จารชนประเภทนี้เขานิยามว่าสร้างความไว้วางใจนานหลายปีเพื่อทรยศเพียงครั้งเดียว แล้วก็ถอนตัวออกไป พวกนี้มีเครือข่ายกระจายไปทั่ว ฝังรากลึกมานาน . เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด ตัวอย่างเช่นสมัยพระนารายณ์มหาราช อยุธยา มีจารชนฝังตัวอยู่เต็มไปหมด มาในคราบทูต มาในคราบบาดหลวงสอนศาสนา บันทึกการเดินทางที่เรารู้จักกันมากมายตัวอย่างเช่น จดหมายเหตุลาลูแบร์ ที่จริงเป็นข้อมูลข่าวกรอง intelligence แจกแจงรายละเอียดทุกด้านของอยุธยาตั้งแต่ชีวิตความเป็นอยู่ จุดเด่น จุดด้อย สภาพแวดล้อมภูมิประเทศ แหล่งอาหาร ทรัพยากรต่างๆ ชัยภูมิทางการรบ เช่น ป้อม ค่ายคู กำลังทหาร และศักยภาพทางการรบ พืชพันธ์สัตว์ต่างๆ.... ทั้งหมดรวบรวมเพื่อยื่นต่อพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่กษัตริย์ฝรั่งเศส แน่นอนว่าลาลูแบร์ที่เป็นราชทูตนี่ก็เป็นจารชนนั่นแหละ มาต่อหน้าเป็นทูต แต่กระทำลับหลังในการประสานกับกองทหารฝรั่งเศสเตรียมการจะโจมตีสยาม ในเวลานั้นมีบาดหลวงนิกายเยซูอิตอีกหลายคนที่เป็นจารชนประเภทสลีปเปอร์นี่แหละ แฝงตัวทำทีเป็นสอนศาสนาไป พอลาลูแบร์มาถึง สลีปเปอร์พวกนี้ก็ทำการประสานส่งต่อข้อมูลรายงานข่าวกรองให้พวกตนทราบ ดังที่ปรากฏจดหมายลับที่ซ่อนอยู่ในหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศสอันเป็นเหตุให้นักเขียนฝรั่งคนหนึ่งที่ไปพบเข้า เขียนหนังสือเรื่อง "รุกสยามในนามพระเจ้า" ที่ผมเคยเล่าให้ฟังไปแล้ว . แต่โทษที อยากจะบอกว่า สยาม หาได้หมูไม่ ขณะที่นโยบายในการล้างสมองของพวกไอโอเยซูอิตกำลังพยายามหว่านล้อมชักจูงพระนารายณ์ให้ทรงเข้ารีต ท่านทรงตรัสตอบอย่างชาญฉลาดว่า โอ้พระเจ้าของท่านช่างวิเศษล้ำจริงๆ พวกท่านอย่าห่วงเลย หากพระเจ้าของท่านวิเศษอย่างที่ท่านกล่าว เชื่อว่ากฤษฎาภินิหารของท่านจะต้องบันดาลให้ฉันเปลี่ยนไปนับถือศาสนาของท่านแน่นอน... ป๊าด! เป็นคำตอบที่แสนจะอัจฉริยะ. ขณะเดียวกัน ฝั่ง counter strike พระเพทราชาและทีมอินเทลของท่านก็มีข้อมูลของจารชนพวกนี้ทุกอย่าง และทีมไอโอของพระเพทราชาท่านก็ไม่ใช่ไก่อ่อนในการที่จะต้านการครอบงำแทรกแซงของฝรั่งทั้งด้านงานจารกรรมและด้านยุทธศาสตร์ ผลก็คืองานของสลีปเปอร์และเจ้าหน้าที่สนามของฝรั่งเศสไม่ได้ผล จารชนสองหน้าอย่างกองสตองฟอลคอนจบด้วยความตาย แผนการโจมตีป้อมบางกอกล้มเหลว ม้วนเสื่อกลับไป นี่...จะเห็นว่างานจารกรรมและการใช้ไอโอไม่ได้เพิ่งจะมีในยุคนี้นะเธอ . ในงานลับลวงพรางพวกนี้ มีคนจำนวนหนึ่งถูกเลือกเป็นหัวโจก เขาเรียก recruiter เพราะมีหน้าที่คัดเลือกจัดหาสลีปเปอร์ มีการศึกษาข้อมูลบุคคลการล้วงลึก ลูกเต้าเหล่าใคร มีความคิด สติปัญญาระดับไหน มีแนวโน้มจะนิยมชาติที่วางแผนร้ายนี้มากกว่าชาติตัวเองไหม มีปม มีปัญหาส่วนตัวอย่างไร ทัศนคติ สภาพจิต ปูมหลัง คอนเน็คชั่น ศักยภาพในการทำหน้าที่ได้รับมอบหมาย ฯลฯ จะเฝ้าติดตามดูจนเห็นว่าน่าจะโอเค ก็จะชักชวนให้เข้าในเครือข่ายทีละนิด จากวงนอกๆ ก็จะขยับเข้าชั้นในมาเรื่อยๆ ตามการพิสูจน์ตัวเอง ในเมืองไทยมีมานานหลายสิบปีแล้ว มีกันอยู่หลายวง ผูกโยงกับหน่วยงานข้ามชาติในท้องถิ่นเล็กๆ ตั้งแต่มูลนิธินี่นั่น ไปจนถึงเอ็นจีโอ หน่วยงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย พวกหน่วยที่มีอักษรตัวย่อทั้งหลายแหล่ ไปจนถึงองค์กรที่ใหญ่ขึ้น จนถึงฟันดิ้งระดับโลก ตัวอย่างเช่น ฟุลไบร๊ท์ ร็อกกี้เฟลเลอร์...เป็นต้น . พวกนี้จะมีแหล่งนัดพบของเขาที่จะไปพบกันเป็นประจำ หัวหน้าจะเปิดเลี้ยงกินดื่มไม่อั้น มีการแชร์ข้อมูลแสดงผลงาน แนวคิด พรีเซนเตชั่น รุ่นพี่อาจเอารุ่นน้องหน้าใหม่มาเสนอตัวให้ recruiter พิจารณา ในบ้านเรามีอยู่หลายวงหลายสาย ไม่ใช่แค่สายผู้ดีสายลึงค์สายถั่ว... คนจมูกดีๆ จะรู้ว่ามีที่ไหนบ้าง เพราะขณะที่พวกมันสร้างสลีปเปอร์ อีกฝ่ายเขาก็เอาสลีปเปอร์เขาไปฝังอยู่ในพวกมึงเช่นกัน 5555 . พวกที่อยู่มานานฝังรากลึก แน่นอนว่าผลประโยชน์มันมากมันเฟื่องฟู ดังนั้น การที่อยู่สุขสบายมาช้านาน จู่ๆ ท่อน้ำโดนตัด มันก็ต้องดิ้น เคยได้อยู่เท่านั้นเท่านี้จนติดสันดาน จู่ๆ หายไป มันกลับไปจุดเดิมยาก พอเสียจริตก็เผยตัว ไอ้พวกลูกกะจ้อยรองลงไปก็ยิ่งเดือดร้อนกว่า.... . 5555 ตอนนี้ก็จะเห็นมันออกมาดิ้นกันเยอะหน่อย . อย่ามาเล่นบทตอแหลเลยแกร.... พวกมึงมีจารชน มีสลีปเปอร์ มีเจ้าหน้าสนามระดับปฏิบัติการ ประเทศไทยก็มีจารชน มีสลีปเปอร์ มีเจ้าหน้าที่สนามระดับปฏิบัติการ บางทีที่พวกมึงคิดว่าตัวเองหลับอยู่ซ่อนอยู่เขาคงไม่รู้... ที่จริงเขารู้ บางทีที่พวกมึงคิดว่าเขาหลับอยู่ เขาอาจตื่นมาตามดูพวกมึงทุกวันจนรู้ว่ามึงขี้กี่ครั้ง อย่าว่าแต่จู่ๆ มึงก็พากันออกมาดิ้นโชว์ตัวให้ชาวบ้านเขารู้กันเองเลย . ไอ้พวกขายชาติ! . ลืมบอกไปว่า ในบรรดา sleeper มีพวก unclassified อยู่มากทีเดียว พวกกระจอกพวกนี้ จะพยายามอย่างมากที่จะยกระดับขึ้นไป แต่แม้จะพยายามเท่าใด ปัญญาและคุณสมบัติก็ไม่เ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 745 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลับมาอีกครั้งกับเรื่องราวใน <ตำนานหมิงหลัน> เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้จะเห็นว่ามีหลายฉากที่ดำเนินเรื่องผ่านการนั่งเรียนหนังสือของสามสาวตระกูลเสิ้ง ซึ่งพวกนางเข้าเรียนพร้อมพี่ชายในโรงเรียนส่วนบุคคลของครอบครัวสกุลเสิ้ง หรือที่เรียกว่า ‘เจียสู’ (家塾/Family School)

    เจียสูคืออะไร?

    เจียสูมีมาตั้งแต่สมัยชุนชิว (กว่าเจ็ดร้อยปีก่อนคริสตกาล) จวบจนสมัยราชวงศ์ชิงก็ยังมีอยู่ เป็นการจัดห้องเรียนขึ้นที่บ้าน เชิญอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาสอน โดยปกติแล้วอาจารย์จะพำนักอยู่ในเรือนตระกูลนั้นเลย มีค่าจ้าง ที่พักและอาหารครบทุกมื้อ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นเฉพาะตระกูลที่มีฐานะ (ปกติเป็นตระกูลขุนนาง) จึงจะมีกำลังทรัพย์พอที่จะทำอย่างนี้ได้

    ในละครเรื่อง <ตำนานหมิงหลัน> นี้ มีฉีเหิงและกู้ถิงเยี่ยซึ่งเป็นบุรุษนอกสกุลมาร่วมเรียนด้วย ในนิยายบอกว่าฉีเหิงมาร่วมเรียนเพราะเป็นศิษย์ของอาจารย์คนนี้อยู่แล้ว ในขณะที่กู้ถิงเยี่ยเป็นญาติของตระกูลเสิ้งจึงมาร่วมเรียนได้ และที่ยอมมาเรียนที่เจียสูของตระกูลเสิ้งที่เป็นขุนนางยศต่ำกว่าครอบครัวของพวกเขาก็เพราะอาจารย์ท่านนี้ดังมาก ปกติไม่รับสอนตามเจียสู แต่ที่มาสอนให้ตระกูลเสิ้งก็เพื่อทดแทนบุญคุณ

    แต่ Storyฯ เกิดความ ‘เอ๊ะ’ ว่าทำไมพวกเขาทำได้ในเมื่อสตรีตระกูลสูงศักดิ์สมัยโบราณต้องเก็บตัวเงียบอยู่ในเรือนห้ามพบปะผู้ชายนอกสกุล?

    ในบทประพันธ์ <ความฝันในหอแดง> ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนคลาสสิคมีการอธิบายโดยตัวละครเอกไว้ว่า คนในเครือวงศ์ตระกูลที่ไม่มีกำลังทรัพย์จ้างอาจารย์ส่วนตัวก็มาเรียนที่เจียสูได้ หรือหากใครมีญาติที่เป็นนักเรียนอยู่แล้วก็มาเรียนด้วยกันที่เจียสูนี้ได้ ซึ่งการเรียนในเจียสูเป็นการเรียนรวมคละวัยคละเพศชายหญิง

    เนื่องจากลูกหลานฝ่ายชายมีเป้าหมายคือลงสนามสอบราชบัณฑิตด้วย ดังนั้นหลักสูตรที่สอนจะเข้มข้นมาก แล้วเขาเรียนอะไร? หลักสูตรทั่วไปคือ ‘ซื่อซู อู่จิง’ (四书五经 / Four Books and Five Classics / สี่หนังสือห้าคัมภีร์) ซึ่ง ‘สี่หนังสือ’ นี้คือหนังสือว่าด้วยปรัชญาต่างๆ ของขงจื้อ ส่วน ‘ห้าคัมภีร์’ นั้นหมายถึง
    - ซือจิง (บทกวีและบทร้อยกรอง)
    - ซูจิง (บทความและประวัติศาสตร์)
    - อี้จิง (โหราศาสตร์)
    - ชุนชิว (บันทึกเหตุการณ์สำคัญและพงศาวดาร)
    - หลี่จี้ (พิธีกรรมและประเพณี)

    เจียสูเป็นหนึ่งในรูปแบบของการเรียนเอกชน นอกจากเจียสูนี้ เอกชนยังมีการลงขันเปิดเป็นโรงเรียนกันในหมู่บ้าน (เรียกว่า ชุนสู/村塾) หรืออาจมีเจ้าภาพที่ได้รับเงินบริจาคจัดตั้งเป็นโรงเรียนขึ้น (เรียกว่า อี้สู/义塾) หรืออาจเป็นตัวอาจารย์เองเปิดสอนหนังสือโดยเรียกเก็บค่าเล่าเรียนจากนักเรียน

    สตรีจีนโบราณไม่มีโอกาสได้เรียนในสำนักศึกษาหลวง และส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องจรรยาของสตรี โคลงกลอนและการดนตรี หากไม่ได้เรียนตามโรงเรียนเอกชนที่กล่าวมาข้างต้นก็จะเรียนกันที่บ้านตามมีตามเกิดหรือไม่ได้เรียน นอกจากนี้ ยังมีที่ศึกษาเองในระหว่างที่ออกบวชเป็นชี หรืออีกสุดขั้วหนึ่งคือการเรียนในหอนางโลมสำหรับนางโลมที่ต้องมีวิชาความรู้ติดตัวเพื่อทำมาหากิน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://kknews.cc/zh-my/entertainment/4k6q6zg.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.fxjyb.com/xiandai/276.html
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/77983438
    https://m.lunwendata.com/show.php?id=34312
    https://kknews.cc/history/pvkjmzj.html
    https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=e3ce1325253f66e731416fc1
    http://old-book.ru.ac.th/e-book/e/EF206(49)/EF206(49)-5.pdf
    #หมิงหลัน #การเรียนเอกชนจีนโบราณ #การเรียนสตรีจีนโบราณ #สี่หนังสือห้าคัมภีร์ #เจียสู
    กลับมาอีกครั้งกับเรื่องราวใน <ตำนานหมิงหลัน> เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้จะเห็นว่ามีหลายฉากที่ดำเนินเรื่องผ่านการนั่งเรียนหนังสือของสามสาวตระกูลเสิ้ง ซึ่งพวกนางเข้าเรียนพร้อมพี่ชายในโรงเรียนส่วนบุคคลของครอบครัวสกุลเสิ้ง หรือที่เรียกว่า ‘เจียสู’ (家塾/Family School) เจียสูคืออะไร? เจียสูมีมาตั้งแต่สมัยชุนชิว (กว่าเจ็ดร้อยปีก่อนคริสตกาล) จวบจนสมัยราชวงศ์ชิงก็ยังมีอยู่ เป็นการจัดห้องเรียนขึ้นที่บ้าน เชิญอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาสอน โดยปกติแล้วอาจารย์จะพำนักอยู่ในเรือนตระกูลนั้นเลย มีค่าจ้าง ที่พักและอาหารครบทุกมื้อ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นเฉพาะตระกูลที่มีฐานะ (ปกติเป็นตระกูลขุนนาง) จึงจะมีกำลังทรัพย์พอที่จะทำอย่างนี้ได้ ในละครเรื่อง <ตำนานหมิงหลัน> นี้ มีฉีเหิงและกู้ถิงเยี่ยซึ่งเป็นบุรุษนอกสกุลมาร่วมเรียนด้วย ในนิยายบอกว่าฉีเหิงมาร่วมเรียนเพราะเป็นศิษย์ของอาจารย์คนนี้อยู่แล้ว ในขณะที่กู้ถิงเยี่ยเป็นญาติของตระกูลเสิ้งจึงมาร่วมเรียนได้ และที่ยอมมาเรียนที่เจียสูของตระกูลเสิ้งที่เป็นขุนนางยศต่ำกว่าครอบครัวของพวกเขาก็เพราะอาจารย์ท่านนี้ดังมาก ปกติไม่รับสอนตามเจียสู แต่ที่มาสอนให้ตระกูลเสิ้งก็เพื่อทดแทนบุญคุณ แต่ Storyฯ เกิดความ ‘เอ๊ะ’ ว่าทำไมพวกเขาทำได้ในเมื่อสตรีตระกูลสูงศักดิ์สมัยโบราณต้องเก็บตัวเงียบอยู่ในเรือนห้ามพบปะผู้ชายนอกสกุล? ในบทประพันธ์ <ความฝันในหอแดง> ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนคลาสสิคมีการอธิบายโดยตัวละครเอกไว้ว่า คนในเครือวงศ์ตระกูลที่ไม่มีกำลังทรัพย์จ้างอาจารย์ส่วนตัวก็มาเรียนที่เจียสูได้ หรือหากใครมีญาติที่เป็นนักเรียนอยู่แล้วก็มาเรียนด้วยกันที่เจียสูนี้ได้ ซึ่งการเรียนในเจียสูเป็นการเรียนรวมคละวัยคละเพศชายหญิง เนื่องจากลูกหลานฝ่ายชายมีเป้าหมายคือลงสนามสอบราชบัณฑิตด้วย ดังนั้นหลักสูตรที่สอนจะเข้มข้นมาก แล้วเขาเรียนอะไร? หลักสูตรทั่วไปคือ ‘ซื่อซู อู่จิง’ (四书五经 / Four Books and Five Classics / สี่หนังสือห้าคัมภีร์) ซึ่ง ‘สี่หนังสือ’ นี้คือหนังสือว่าด้วยปรัชญาต่างๆ ของขงจื้อ ส่วน ‘ห้าคัมภีร์’ นั้นหมายถึง - ซือจิง (บทกวีและบทร้อยกรอง) - ซูจิง (บทความและประวัติศาสตร์) - อี้จิง (โหราศาสตร์) - ชุนชิว (บันทึกเหตุการณ์สำคัญและพงศาวดาร) - หลี่จี้ (พิธีกรรมและประเพณี) เจียสูเป็นหนึ่งในรูปแบบของการเรียนเอกชน นอกจากเจียสูนี้ เอกชนยังมีการลงขันเปิดเป็นโรงเรียนกันในหมู่บ้าน (เรียกว่า ชุนสู/村塾) หรืออาจมีเจ้าภาพที่ได้รับเงินบริจาคจัดตั้งเป็นโรงเรียนขึ้น (เรียกว่า อี้สู/义塾) หรืออาจเป็นตัวอาจารย์เองเปิดสอนหนังสือโดยเรียกเก็บค่าเล่าเรียนจากนักเรียน สตรีจีนโบราณไม่มีโอกาสได้เรียนในสำนักศึกษาหลวง และส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องจรรยาของสตรี โคลงกลอนและการดนตรี หากไม่ได้เรียนตามโรงเรียนเอกชนที่กล่าวมาข้างต้นก็จะเรียนกันที่บ้านตามมีตามเกิดหรือไม่ได้เรียน นอกจากนี้ ยังมีที่ศึกษาเองในระหว่างที่ออกบวชเป็นชี หรืออีกสุดขั้วหนึ่งคือการเรียนในหอนางโลมสำหรับนางโลมที่ต้องมีวิชาความรู้ติดตัวเพื่อทำมาหากิน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://kknews.cc/zh-my/entertainment/4k6q6zg.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.fxjyb.com/xiandai/276.html https://zhuanlan.zhihu.com/p/77983438 https://m.lunwendata.com/show.php?id=34312 https://kknews.cc/history/pvkjmzj.html https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=e3ce1325253f66e731416fc1 http://old-book.ru.ac.th/e-book/e/EF206(49)/EF206(49)-5.pdf #หมิงหลัน #การเรียนเอกชนจีนโบราณ #การเรียนสตรีจีนโบราณ #สี่หนังสือห้าคัมภีร์ #เจียสู
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 856 มุมมอง 0 รีวิว
  • 63 ปี "ครูรวม วงศ์พันธ์" จากลูกชาวนา สู่เป้าประหารชีวิต “คอมมิวนิสต์” คนแรกของไทย

    ย้อนไปสู่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ที่ยังคงสะเทือนใจคนรุ่นหลัง “ครูรวม วงศ์พันธ์” ครูผู้ใฝ่รู้ ผู้กลายเป็นนักโทษคอมมิวนิสต์คนแรกที่ถูกยิงเป้า ประหารชีวิตตามคำสั่งมาตรา 17 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

    จากลูกชาวนาแห่งสุพรรณบุรี สู่ผู้ต้องหาคดีคอมมิวนิสต์คนแรกของไทย ที่ถูกประหารชีวิต เรื่องราวสะท้อนยุคสมัย ที่อุดมการณ์นำมาสู่ชะตากรรม อันน่าเศร้า

    ช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย ในยุคสงครามเย็น มีบุคคลหนึ่งที่ชื่อ “รวม วงศ์พันธ์” ถูกจารึกไว้ว่าเป็น “ผู้กระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์” คนแรกที่ถูกประหารชีวิต ตามกฎหมายมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรปี พ.ศ. 2502

    จะพาย้อนกลับไป 63 ปี ที่ผ่านมา เพื่อศึกษาทั้งชีวิตของครูรวม เบื้องหลังคำสั่งประหาร และบริบทของการเมืองไทยยุคนั้น

    จากลูกชาวนา...สู่ครูใหญ่โรงเรียนจีน “รวม วงศ์พันธ์” เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2465 ที่บ้านมะขามล้ม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรชายของนายอยู่ และนางไร มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน เติบโตในครอบครัวชาวนาธรรมดา แต่เต็มไปด้วยความใฝ่เรียน

    เรียนหนังสือจากโรงเรียนวัดเล็กๆ ใกล้บ้าน ต่อมาได้เข้าเรียนโรงเรียนชื่อดังในกรุงเทพฯ อย่างสวนกุหลาบวิทยาลัย และพาณิชยการพระนคร ก่อนเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในยุคนั้น ถือเป็นแหล่งเพาะบ่มความคิดเสรี ของนักศึกษาไทย

    ความรักในการเรียน รักในการสอน ครูรวมเริ่มต้นอาชีพครูในโรงเรียนจีน “กวงกงสวย” ก่อนก้าวขึ้นเป็นครูใหญ่ฝ่ายไทย เป็นที่เคารพรักของนักเรียน และครูร่วมงานจำนวนมาก นอกจากนี้ยังได้แต่งงานกับ "ครูประดิษฐ์ สุทธิจิตร์" คู่ชีวิตผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุข ในชีวิตอุดมการณ์

    สถานการณ์โลกกับภัยคอมมิวนิสต์ ช่วงปี 2460–2500 โลกกำลังเผชิญกับ ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อรัสเซียกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ จีนถูกยึดครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ นำโดย "เหมา เจ๋อตง" และในหลายประเทศอุดมการณ์นี้แผ่ขยายเข้าสู่ สังคมชนบทและแรงงาน

    ความกลัวในสายตารัฐ ประเทศไทยในยุคนั้น อยู่ภายใต้ความตื่นกลัวต่อภัย “แดง” หรือภัยคอมมิวนิสต์จากต่างประเทศ รัฐบาลในหลายยุค รวมถึงยุคของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" จึงเลือกใช้มาตรการเด็ดขาด เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม

    แม้รัฐจะมีกฎหมายควบคุมแนวคิดคอมมิวนิสต์ มาตั้งแต่ปี 2476 แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการแพร่กระจายได้ โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นแรงงาน ชาวนา และครู ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าถึง ปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยตรง

    ครูรวมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เชื่อ ในอุดมการณ์ความเท่าเทียม และใช้วิธีการพูดคุย แบ่งปันความรู้กับชาวบ้านในชนบท รวมถึงสร้าง “ไร่รวม” ที่กาญจนบุรี เพื่อเป็นโรงเรียนการเมืองอย่างลับๆ

    การจับกุม คำพิพากษา และคำสั่งประหาร ในปี พ.ศ. 2505 รัฐบาลจับกุมครูรวม จากการสืบสวน และคำให้การของพยานร่วมกลุ่ม กล่าวหาว่า เป็นผู้นำเครือข่ายคอมมิวนิสต์ ลอบรับคำสั่งจากต่างชาติ และพยายามล้มล้างสถาบันชาติ

    จอมพลสฤษดิ์ใช้อำนาจตาม “มาตรา 17” สั่งให้ประหารชีวิตทันที โดยไม่ต้องขึ้นศาล

    ค่ำวันอังคารที่ 24 เมษายน 2505 เวลา 18.00 น. ที่เรือนจำกลางบางขวาง ครูรวมถูกยิงเป้าจนเสียชีวิต นับเป็นครั้งแรก ที่มีการประหารผู้ต้องหาคอมมิวนิสต์ ในประวัติศาสตร์ไทย

    วิเคราะห์คดีครูรวม ในบริบทสังคมไทย “ฮีโร่” หรือ “กบฏ”? กรณีของครูรวม สะท้อนถึงยุคสมัยที่ “ความเชื่อ” อาจถูกตีความว่าเป็น “ภัย” การกระทำของครูรวมในสายตารัฐ เป็นอันตรายต่อความมั่นคง แต่ในสายตาของชาวบ้าน และนักศึกษาในยุคต่อมา คือผู้จุดประกายความคิด เพื่อเสรีภาพ

    มรดกแห่งความทรงจำ กว่า 33 ปีหลังการประหาร ศพของครูรวมเพิ่งถูกพบ ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม โดยไร้ป้ายบอกชื่อ เป็นอีกหนึ่งเครื่องหมายคำถาม ที่สะท้อนว่า... เรื่องราวนี้ อาจไม่ได้รับความยุติธรรมเท่าที่ควร

    แม้จะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ชื่อของ “ครูรวม วงศ์พันธ์” ยังคงเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับคนรุ่นใหม่ ที่เชื่อในอุดมการณ์ เสรีภาพ และความเสมอภาค

    ครูรวมไม่ใช่แค่ครูธรรมดา แต่เป็นบุคคลหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตอย่างแน่วแน่ เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต

    แม้ถูกประหารในฐานะ “คอมมิวนิสต์” แต่ยังคงเป็น “ครูของประชาชน” ในความทรงจำของผู้คนมากมาย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241115 เม.ย. 2568

    #ครูรวมวงศ์พันธ์ #คอมมิวนิสต์ไทย #คดีประหารชีวิต #ประวัติศาสตร์การเมืองไทย #มาตรา17 #ยุคสงครามเย็น #การศึกษากับอุดมการณ์ #ครูไทยในอดีต #ประหารชีวิต #วีรบุรุษประชาชน
    63 ปี "ครูรวม วงศ์พันธ์" จากลูกชาวนา สู่เป้าประหารชีวิต “คอมมิวนิสต์” คนแรกของไทย 🔥 ย้อนไปสู่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ที่ยังคงสะเทือนใจคนรุ่นหลัง “ครูรวม วงศ์พันธ์” ครูผู้ใฝ่รู้ ผู้กลายเป็นนักโทษคอมมิวนิสต์คนแรกที่ถูกยิงเป้า ประหารชีวิตตามคำสั่งมาตรา 17 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ 🟦 จากลูกชาวนาแห่งสุพรรณบุรี สู่ผู้ต้องหาคดีคอมมิวนิสต์คนแรกของไทย ที่ถูกประหารชีวิต เรื่องราวสะท้อนยุคสมัย ที่อุดมการณ์นำมาสู่ชะตากรรม อันน่าเศร้า 🔶 ช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย ในยุคสงครามเย็น มีบุคคลหนึ่งที่ชื่อ “รวม วงศ์พันธ์” ถูกจารึกไว้ว่าเป็น “ผู้กระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์” คนแรกที่ถูกประหารชีวิต ตามกฎหมายมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรปี พ.ศ. 2502 ✍️ จะพาย้อนกลับไป 63 ปี ที่ผ่านมา เพื่อศึกษาทั้งชีวิตของครูรวม เบื้องหลังคำสั่งประหาร และบริบทของการเมืองไทยยุคนั้น 🕯️ 🟤 จากลูกชาวนา...สู่ครูใหญ่โรงเรียนจีน 👨‍🏫 “รวม วงศ์พันธ์” เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2465 ที่บ้านมะขามล้ม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรชายของนายอยู่ และนางไร มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน เติบโตในครอบครัวชาวนาธรรมดา แต่เต็มไปด้วยความใฝ่เรียน 📚 เรียนหนังสือจากโรงเรียนวัดเล็กๆ ใกล้บ้าน ต่อมาได้เข้าเรียนโรงเรียนชื่อดังในกรุงเทพฯ อย่างสวนกุหลาบวิทยาลัย และพาณิชยการพระนคร ก่อนเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในยุคนั้น ถือเป็นแหล่งเพาะบ่มความคิดเสรี ของนักศึกษาไทย 🇹🇭 ความรักในการเรียน รักในการสอน ครูรวมเริ่มต้นอาชีพครูในโรงเรียนจีน “กวงกงสวย” ก่อนก้าวขึ้นเป็นครูใหญ่ฝ่ายไทย เป็นที่เคารพรักของนักเรียน และครูร่วมงานจำนวนมาก นอกจากนี้ยังได้แต่งงานกับ "ครูประดิษฐ์ สุทธิจิตร์" คู่ชีวิตผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุข ในชีวิตอุดมการณ์ 💞 🟥 สถานการณ์โลกกับภัยคอมมิวนิสต์ 🌍 ช่วงปี 2460–2500 โลกกำลังเผชิญกับ ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อรัสเซียกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ จีนถูกยึดครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ นำโดย "เหมา เจ๋อตง" และในหลายประเทศอุดมการณ์นี้แผ่ขยายเข้าสู่ สังคมชนบทและแรงงาน 🛠️ ความกลัวในสายตารัฐ ประเทศไทยในยุคนั้น อยู่ภายใต้ความตื่นกลัวต่อภัย “แดง” หรือภัยคอมมิวนิสต์จากต่างประเทศ รัฐบาลในหลายยุค รวมถึงยุคของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" จึงเลือกใช้มาตรการเด็ดขาด เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ⛔ 🟩 แม้รัฐจะมีกฎหมายควบคุมแนวคิดคอมมิวนิสต์ มาตั้งแต่ปี 2476 แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการแพร่กระจายได้ โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นแรงงาน ชาวนา และครู ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าถึง ปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยตรง 👩‍🌾 ครูรวมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เชื่อ ในอุดมการณ์ความเท่าเทียม และใช้วิธีการพูดคุย แบ่งปันความรู้กับชาวบ้านในชนบท รวมถึงสร้าง “ไร่รวม” ที่กาญจนบุรี เพื่อเป็นโรงเรียนการเมืองอย่างลับๆ 🏕️ 🟦 การจับกุม คำพิพากษา และคำสั่งประหาร ⚖️ ในปี พ.ศ. 2505 รัฐบาลจับกุมครูรวม จากการสืบสวน และคำให้การของพยานร่วมกลุ่ม กล่าวหาว่า เป็นผู้นำเครือข่ายคอมมิวนิสต์ ลอบรับคำสั่งจากต่างชาติ และพยายามล้มล้างสถาบันชาติ จอมพลสฤษดิ์ใช้อำนาจตาม “มาตรา 17” สั่งให้ประหารชีวิตทันที โดยไม่ต้องขึ้นศาล ⛓️ 🕕 ค่ำวันอังคารที่ 24 เมษายน 2505 เวลา 18.00 น. ที่เรือนจำกลางบางขวาง ครูรวมถูกยิงเป้าจนเสียชีวิต นับเป็นครั้งแรก ที่มีการประหารผู้ต้องหาคอมมิวนิสต์ ในประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭⚰️ 🟨 วิเคราะห์คดีครูรวม ในบริบทสังคมไทย “ฮีโร่” หรือ “กบฏ”? กรณีของครูรวม สะท้อนถึงยุคสมัยที่ “ความเชื่อ” อาจถูกตีความว่าเป็น “ภัย” การกระทำของครูรวมในสายตารัฐ เป็นอันตรายต่อความมั่นคง แต่ในสายตาของชาวบ้าน และนักศึกษาในยุคต่อมา คือผู้จุดประกายความคิด เพื่อเสรีภาพ 🕊️ 🟪 มรดกแห่งความทรงจำ กว่า 33 ปีหลังการประหาร ศพของครูรวมเพิ่งถูกพบ ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม โดยไร้ป้ายบอกชื่อ เป็นอีกหนึ่งเครื่องหมายคำถาม ที่สะท้อนว่า... เรื่องราวนี้ อาจไม่ได้รับความยุติธรรมเท่าที่ควร ❗ แม้จะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ชื่อของ “ครูรวม วงศ์พันธ์” ยังคงเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับคนรุ่นใหม่ ที่เชื่อในอุดมการณ์ เสรีภาพ และความเสมอภาค 🧭 ครูรวมไม่ใช่แค่ครูธรรมดา แต่เป็นบุคคลหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตอย่างแน่วแน่ เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต ✊ แม้ถูกประหารในฐานะ “คอมมิวนิสต์” แต่ยังคงเป็น “ครูของประชาชน” ในความทรงจำของผู้คนมากมาย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241115 เม.ย. 2568 🔖 #ครูรวมวงศ์พันธ์ #คอมมิวนิสต์ไทย #คดีประหารชีวิต #ประวัติศาสตร์การเมืองไทย #มาตรา17 #ยุคสงครามเย็น #การศึกษากับอุดมการณ์ #ครูไทยในอดีต #ประหารชีวิต #วีรบุรุษประชาชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1291 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2568 เวลา 12.30 น. นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ ได้ถึงแก่กรรมอย่างสงบที่บ้านพัก สิริอายุ 99 ปี ทั้งนี้ นายแพทย์ เฉก ได้แสดงความประสงค์บริจาคร่างกายให้แก่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อใช้ในการศึกษาและเป็น ‘อาจารย์ใหญ่’ แก่นักศึกษาแพทย์ ตามเจตนารมณ์ในการอุทิศตนเพื่อวงการแพทย์และสาธารณประโยชน์ จึงงดการจัดพิธีสวดอภิธรรมและพิธีศพรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า นายแพทย์ เฉก เกิดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2468 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของหลวงจินดาสหกิจ (ละม้าย ธนะสิริ) กับนางประวัติ จินดาสหกิจ (สกุลเดิม สหัสสานนท์) สมรสกับแพทย์หญิง วิลิศ วีรานุวัตติ์ มีบุตรสาวชื่อ เฉลยลัคน์นายแพทย์ เฉก จบการศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ปริญญาตรีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ปริญญาโทคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และศึกษาต่อด้านสาธารณสุขศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ รัฐแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกานายแพทย์ เฉก รับราชการกองควบคุมกามโรคและคุดทะราด กรมอนามัย เป็นนายแพทย์อนามัยจังหวัดนครราชสีมา เป็นผู้อำนวยการสำนักอนามัย (นักบริหาร 10) กรุงเทพมหานคร และเป็นรองปลัดกรุงเทพมหานคร (นักบริหาร 10) เคยได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2516 กรรมการอำนวยการสภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการวางแผนสาธารณสุขแห่งชาติ กรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย นายกสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย นายกสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราช ผู้ก่อตั้งมูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์ไทยเดิม และได้รับรางวัลมหิดลทยากร จาก สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมหิดล ประจำปี พ.ศ. 2546 เจ้าของรางวัลนราธิป ประจำปี พ.ศ. 2549 และรางวัลผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2564 ของกรมกิจการผู้สูงอายุ และผู้เขียนหนังสือ ‘อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้’
    เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2568 เวลา 12.30 น. นายแพทย์ เฉก ธนะสิริ ได้ถึงแก่กรรมอย่างสงบที่บ้านพัก สิริอายุ 99 ปี ทั้งนี้ นายแพทย์ เฉก ได้แสดงความประสงค์บริจาคร่างกายให้แก่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อใช้ในการศึกษาและเป็น ‘อาจารย์ใหญ่’ แก่นักศึกษาแพทย์ ตามเจตนารมณ์ในการอุทิศตนเพื่อวงการแพทย์และสาธารณประโยชน์ จึงงดการจัดพิธีสวดอภิธรรมและพิธีศพรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า นายแพทย์ เฉก เกิดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2468 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของหลวงจินดาสหกิจ (ละม้าย ธนะสิริ) กับนางประวัติ จินดาสหกิจ (สกุลเดิม สหัสสานนท์) สมรสกับแพทย์หญิง วิลิศ วีรานุวัตติ์ มีบุตรสาวชื่อ เฉลยลัคน์นายแพทย์ เฉก จบการศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ปริญญาตรีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ปริญญาโทคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และศึกษาต่อด้านสาธารณสุขศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ รัฐแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกานายแพทย์ เฉก รับราชการกองควบคุมกามโรคและคุดทะราด กรมอนามัย เป็นนายแพทย์อนามัยจังหวัดนครราชสีมา เป็นผู้อำนวยการสำนักอนามัย (นักบริหาร 10) กรุงเทพมหานคร และเป็นรองปลัดกรุงเทพมหานคร (นักบริหาร 10) เคยได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2516 กรรมการอำนวยการสภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการวางแผนสาธารณสุขแห่งชาติ กรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย นายกสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย นายกสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราช ผู้ก่อตั้งมูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์ไทยเดิม และได้รับรางวัลมหิดลทยากร จาก สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมหิดล ประจำปี พ.ศ. 2546 เจ้าของรางวัลนราธิป ประจำปี พ.ศ. 2549 และรางวัลผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2564 ของกรมกิจการผู้สูงอายุ และผู้เขียนหนังสือ ‘อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้’
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 827 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts