• Carry-On (2024) สัมภาระอันตราย
    Carry-On (2024) สัมภาระอันตราย
    0 Comments 0 Shares 11 Views 2 0 Reviews
  • ศบ.ทก.แถลงยันทุกด่านไทย-กัมพูชายังเปิดทำการ ไมได้ปิด แต่จำกัดการผ่านแดนเข้มงวดขึ้น เพื่อดูแลความปลอดภัยหลังประเมินสถานการณ์ ย้ำไม่มีนโยบายห้ามการส่งออกไฟฟ้า น้ำมัน และสัญญาณอินเทอร์เน็ต แต่ฝ่ายกัมพูชาตัดสินใจทำเอง ฝ่ายไทยมีจุดยืนไม่ดึงประชาชนมารับภาระจากปัญหาระหว่างรัฐ ชี้โซเชียลเขมรว่ากล่าวเชิงลบเป็นสิทธิ ขอคนไทยอย่าตอบโต้สุดโต่งสร้างความตึงเครียด

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000059465

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ศบ.ทก.แถลงยันทุกด่านไทย-กัมพูชายังเปิดทำการ ไมได้ปิด แต่จำกัดการผ่านแดนเข้มงวดขึ้น เพื่อดูแลความปลอดภัยหลังประเมินสถานการณ์ ย้ำไม่มีนโยบายห้ามการส่งออกไฟฟ้า น้ำมัน และสัญญาณอินเทอร์เน็ต แต่ฝ่ายกัมพูชาตัดสินใจทำเอง ฝ่ายไทยมีจุดยืนไม่ดึงประชาชนมารับภาระจากปัญหาระหว่างรัฐ ชี้โซเชียลเขมรว่ากล่าวเชิงลบเป็นสิทธิ ขอคนไทยอย่าตอบโต้สุดโต่งสร้างความตึงเครียด อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000059465 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 Reviews
  • วันนี้คงต้องตัดอะไรที่ดูซ้ำซ้อน ซ้ำซาก จำเจ และไม่ค่อยจำเป็นที่จะต้องเสพ ก็คงต้องตัดไป ถ้าอยากเสพ อาจจะต้องติดตาม Shorty Bluejowa ไว้ก่อน ช่องอื่นไม่ค่อยได้ว่างดูคลิป ภาระงานก็เยอะ อาจต้องหยุดเล่นบางเกมส์เพื่อรีเซ็ตแนวความคิดใหม่ วันนี้คงต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดแล้วสินะครับ เพราะที่ผ่านมาบางทีก็มีไฟล์ขยะเยอะเพราะใช้งานสารพัดแต่ก็ต้องหาทางลบไฟล์ขยะออก
    ได้เมาส์ใหม่ทั้งที ก็ต้องเคลียร์ให้เหลือแค่ของที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น
    วันนี้คงต้องตัดอะไรที่ดูซ้ำซ้อน ซ้ำซาก จำเจ และไม่ค่อยจำเป็นที่จะต้องเสพ ก็คงต้องตัดไป ถ้าอยากเสพ อาจจะต้องติดตาม Shorty Bluejowa ไว้ก่อน ช่องอื่นไม่ค่อยได้ว่างดูคลิป ภาระงานก็เยอะ อาจต้องหยุดเล่นบางเกมส์เพื่อรีเซ็ตแนวความคิดใหม่ วันนี้คงต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดแล้วสินะครับ เพราะที่ผ่านมาบางทีก็มีไฟล์ขยะเยอะเพราะใช้งานสารพัดแต่ก็ต้องหาทางลบไฟล์ขยะออก ได้เมาส์ใหม่ทั้งที ก็ต้องเคลียร์ให้เหลือแค่ของที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • ใครที่ใช้ลินุกซ์นาน ๆ คงรู้จัก X11 กันดี — ระบบแสดงผลกราฟิกที่อยู่คู่ลินุกซ์มานานนับหลายสิบปี แต่โลกหมุนไป Wayland กำลังกลายเป็นตัวเลือกหลักในดิสโทรรุ่นใหม่ เพราะ ปลอดภัยกว่า, เสถียรกว่า และรองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้ดีกว่า

    ทีม Kubuntu เลยตัดสินใจว่า... “ไม่อยากลากต่ออีกแล้ว” และขอ “ดึงปลาสเตอร์ออกตอนนี้ก่อนจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในรุ่น LTS ปีหน้า (26.04)” — นั่นคือเหตุผลที่ X11 จะไม่ถูกติดตั้งใน Kubuntu 25.10 ตั้งแต่ต้น

    แต่ข่าวดีคือ ใครที่ยังจำเป็นต้องใช้ X11 เช่น การ์ด NVIDIA รุ่นเก่า หรือแอปเก่า ๆ ที่ยังไม่รองรับ Wayland ก็สามารถติดตั้ง X11 เพิ่มทีหลังได้เองง่าย ๆ แค่สั่ง:

    ====================================
    sudo apt install plasma-session-x11
    ====================================

    จากนั้นจะมีตัวเลือก X11 ปรากฏในหน้าจอ login ทันที

    ดิสโทรลูกหลานในตระกูล Ubuntu ยังไม่เปลี่ยนตามทั้งหมดนะ เช่น Xubuntu, Ubuntu Budgie, Ubuntu Cinnamon ยังติดตั้ง X11 มาในดีฟอลต์อยู่ในรอบนี้

    ✅ Kubuntu 25.10 จะใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลค่าเริ่มต้น และไม่ติดตั้ง X11 มาด้วยอีกต่อไป  
    • เป็นการเปลี่ยนแปลงเฉพาะ “การติดตั้งใหม่” ไม่กระทบผู้ใช้ที่อัปเกรดจากรุ่นเก่า

    ✅ เหตุผลหลักคือเพื่อลดภาระดูแลโค้ด X11 และเร่งพัฒนา Wayland ให้เร็วขึ้น  
    • X11 ทำให้ยากในการใส่ฟีเจอร์ใหม่และมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัย

    ✅ ยังสามารถติดตั้ง X11 เพิ่มได้เองภายหลังด้วยคำสั่ง sudo apt install plasma-session-x11  
    • มีตัวเลือกให้สลับได้ใน login screen

    ✅ ดิสโทรอื่นในตระกูล Ubuntu เช่น Xubuntu และ Budgie ยังไม่ตัด X11 ในรุ่นปัจจุบัน  
    • ทำให้ยังมีทางเลือกสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่พร้อมย้าย

    ✅ KDE Plasma 6.5 จะมาพร้อม Wayland PiP และฟีเจอร์ใหม่ที่ใช้ได้เฉพาะ Wayland เท่านั้น  
    • ช่วยผลักดันให้ผู้ใช้เริ่มเปลี่ยนได้ราบรื่น

    https://www.neowin.net/news/end-of-an-era-kubuntu-is-removing-default-support-for-x11-in-new-installs/
    ใครที่ใช้ลินุกซ์นาน ๆ คงรู้จัก X11 กันดี — ระบบแสดงผลกราฟิกที่อยู่คู่ลินุกซ์มานานนับหลายสิบปี แต่โลกหมุนไป Wayland กำลังกลายเป็นตัวเลือกหลักในดิสโทรรุ่นใหม่ เพราะ ปลอดภัยกว่า, เสถียรกว่า และรองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้ดีกว่า ทีม Kubuntu เลยตัดสินใจว่า... “ไม่อยากลากต่ออีกแล้ว” และขอ “ดึงปลาสเตอร์ออกตอนนี้ก่อนจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในรุ่น LTS ปีหน้า (26.04)” — นั่นคือเหตุผลที่ X11 จะไม่ถูกติดตั้งใน Kubuntu 25.10 ตั้งแต่ต้น แต่ข่าวดีคือ ใครที่ยังจำเป็นต้องใช้ X11 เช่น การ์ด NVIDIA รุ่นเก่า หรือแอปเก่า ๆ ที่ยังไม่รองรับ Wayland ก็สามารถติดตั้ง X11 เพิ่มทีหลังได้เองง่าย ๆ แค่สั่ง: ==================================== sudo apt install plasma-session-x11 ==================================== จากนั้นจะมีตัวเลือก X11 ปรากฏในหน้าจอ login ทันที ดิสโทรลูกหลานในตระกูล Ubuntu ยังไม่เปลี่ยนตามทั้งหมดนะ เช่น Xubuntu, Ubuntu Budgie, Ubuntu Cinnamon ยังติดตั้ง X11 มาในดีฟอลต์อยู่ในรอบนี้ ✅ Kubuntu 25.10 จะใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลค่าเริ่มต้น และไม่ติดตั้ง X11 มาด้วยอีกต่อไป   • เป็นการเปลี่ยนแปลงเฉพาะ “การติดตั้งใหม่” ไม่กระทบผู้ใช้ที่อัปเกรดจากรุ่นเก่า ✅ เหตุผลหลักคือเพื่อลดภาระดูแลโค้ด X11 และเร่งพัฒนา Wayland ให้เร็วขึ้น   • X11 ทำให้ยากในการใส่ฟีเจอร์ใหม่และมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัย ✅ ยังสามารถติดตั้ง X11 เพิ่มได้เองภายหลังด้วยคำสั่ง sudo apt install plasma-session-x11   • มีตัวเลือกให้สลับได้ใน login screen ✅ ดิสโทรอื่นในตระกูล Ubuntu เช่น Xubuntu และ Budgie ยังไม่ตัด X11 ในรุ่นปัจจุบัน   • ทำให้ยังมีทางเลือกสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่พร้อมย้าย ✅ KDE Plasma 6.5 จะมาพร้อม Wayland PiP และฟีเจอร์ใหม่ที่ใช้ได้เฉพาะ Wayland เท่านั้น   • ช่วยผลักดันให้ผู้ใช้เริ่มเปลี่ยนได้ราบรื่น https://www.neowin.net/news/end-of-an-era-kubuntu-is-removing-default-support-for-x11-in-new-installs/
    WWW.NEOWIN.NET
    End of an era? Kubuntu is removing default support for X11 in new installs
    The Linux world is slowly moving away from X11 and leaning into Wayland. Kubuntu is now the latest distro to drop default support for X11 in new installs.
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • ..เขมรคือภัยคุกคามโลกและฮับมิจฉาชีพระดับโลก จริงๆจีนคือเจ้าหนี้รายใหญ่ของเขมรสมควรปราบปรามร่วมกับประเทศเอเชียและอาเชียนเป็นอย่างยิ่ง,เป็นเจ้าภาพหัวเรือเลยก็ว่า,ล็อกดาวน์ปิดประตูตีแมวได้สบายคือล็อกทางออกทางเข้าสาระพัดทางได้หมด,ไทยลาวเวียดนามบรูไน มาเลย์พร้อมร่วมมือลงแขกร่วมกันอยู่แล้วในการสกัดกั้นคนชั่วที่สิงในเขมรทั้งหมด,ตลอดอาจลงไประเบิดปิดทางอุโมงค์ลับใต้ดินทั้งหมดให้ด้วย,จะไม่มีคนชั่วคนไหนหนีรอดได้สักตัว,จะคนชั่วฝั่งฝรั่งฝั่งอาหรับทะเลทรายฝั่งแขกอินเดียฝั่งแอฟริกาหรือฝั่งเอเชียอาเชียนเราที่เป็นคนชั่วมาสุมหัวที่นี้ก็ตามแต่จะไม่รอดทั้งหมด,บันทึกทางdnaทุกๆตัวทันที,จีนอาจได้หน้าขนานใหญ่ไปเลยในฝั่งเอเชียเราที่ลงมือลงโทษประเทศค้ามนุษย์ค้าแรงงานจนหมดเสื่อมสภาพแล้วฆ่าค้าอวัยวะต่อยอดทำกำไรอีกนี้คือชาติชั่วเลวประจำโลกของจริงที่นานาชาติต้องกำจัดเพราะคือภัยคุกคามจริงของคนชาวโลก พวกมันจะลักพาตัวจับมนุษย์คนไหนจากทั่วโลกก็ได้ นี้ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดานะไม่ใช่ล่อเล่นด้วย,ของแท้เลย,มันสร้างเดอะแก๊งคอลเซ็นเตอร์สำเร็จฮับโจรกรรมดาต้าข้อมูลทั่วโลกก็ได้,ดูนายกฯไทยคลิปหลุดสิ,ฝ่ายตรงข้ามเราพะนะ,แล้วมันจะจัดส่งข้อมูลขายข้อมูลอะไรสาระพัดไม่ได้เหรอยิ่งมีข่าวในไทยมากมายว่ามีการหลุดข้อมูลคนไทย ขายข้อมูลคนไทยไปต่างประเทศและขายให้เอกชนต่างชาติหรือในไทยอีก,ดูพวกขายเทเลเซลล์ในอดีตเลย พวกขายประกันก็ว่าขายข้อมูลกันตรึม,ยุคนี้ยิ่งล้ำกว่าอีก,
    ..เขมรคือภัยอันตรายต่อคนทัังโลก,เด็กยิ่งโทรหลอกง่าย,คนแก่ก็ไม่เว้น,คนข้าราชการยังถูกดูดตัง,เพราะอะไรเพราะอีลิทสั่งการและควบคุม,ในมุกแบบผลักดันตังดิจิดัลก็กล่าวได้อีก วางสนุ๊คส่งมือมืดทำเลวชั่วว่าตังกระดาษไม่ปล่อยภัย แบงค์ช่วยอีก ขนาดแบงค์ยังไม่ปล่อยภัยว่าระบบปกป้องการดูดดีแค่ไหนยังไม่รอดมันอ้าง,หันมาใช้ตังดิจิดัลกันเถอะมันอ้าง,ดูดไม่ง่าย ติดตามได้พะนะว่าใครดูดใครทำผิด,เพื่อสุดท้ายสำเร็จคนยกเลิกตังกระดาษตังเหรียญโลหะสู่ทรัพย์สินดิจิดัลแล้วก็สุดท้ายอีก,คนๆนั้นจะไม่เหลืออะไรเลยเมื่อหันไปใช้ระบบตังดิจิดัลจริง,มันก็ทำภาระกิจสำเร็จนั่นเอง,แบบปลอมตังกระดาษนั้นล่ะก็ด้วย,จริงๆระบบตังกระดาษคือระบบอิสระภาพที่สุดไทที่สุด,ใช้จ่ายแลกเปลี่ยนได้ทุกที่ทุกเวลาไม่เกี่ยวกับพลังงานหมดใดๆแบตมือถือหมด แผ่นดินไหวน้ำท่วนพายุถล่มระบบไฟฟ้าฮับไฟฟ้าล่มระบบตังดิจิดัลใช้ไม่ได้แบบจีนล่าสุดปีที่แล้วสดๆร้อนๆให้เห็นชัดๆก็ว่า,ตลอดมันอายัดสิทธิคุณขึ้นบัญชีดำแบนคุณเรียลไทม์โน้น ยึดทรัพย์สินคุณเรียลไทม์หมดที่แปลงเป็นดิจิดัลตีตราสร้างมูลค่าใหม่แล้ว,นอกใต้ถนนใต้ต้นไม้นอกสถานที่ก็ว่า,จากมี2-3พันล้านบาทแมร่งอายัดทั้งหมดสิ้นเนื้อสินตัวเลย,อดีตแอบเก็บลงไหลงโอ่งได้ จำเป็นเอาออกมาใช้สัก100-200ล้านบาทยังทันไว้ยามฉุกเฉินก็ว่า,ตายายคนชราอาจใส่หัวหมอนไว้สักพันสองพันกันอิ่มวันหน้าได้,นี้มันอายัดตังตายายหลานหมดสิ้นก็ว่า เป็นต้น,เหมือนแบงค์เอาตังให้ฝ่ายตนเองไปปล่อยกู้นอกระบบทางลับนั้นล่ะ,คู่ขนานทำกำไรรายได้ทางกฎหมาย,เหมือนทำชั่วเพื่อตีกรอบสร้างกฎหมายว่าปล่อยภัยกว่าเก่า,ทั้วที่มันนั่นล่ะรวมหัวกันทำเอง,เพื่อลดขนาดคอกสัตว์ลงควบคุมง่ายตามกฎกติกามันสะดวก,แบบไทยเราเหี้ยลูกหนี้จ่ายหนี้ไม่ไหวเสือกยึดทรัพย์แบบบ้านเขาบังคับขายแล้วไม่พอ ไปบังคับยึดนั้นนี้อีกจนพอ,ในต่างประเทศยึดบ้านจบก็จบคดีความเพราะกู้ตังมาซื้อบ้านบ้านคือหนี้,กู้มาซื้อรถ รถคือหนี้ยึดรถจบ,กู้กยศ.ซื้อใบวุฒิการศึกษา ก็ยึดวุฒิการศึกษาเขาสิก็จบ555,เหี้ยไปตามยึดบ้านยึดที่ดินเขาขายให้จนพอใจแบงค์พอใจหน่วยงานตน,นี้คือวิถีปกครองวิถีกฎหมายที่ผิดพลาดและเลว อยุติธรรมก็ว่า.
    ..เขมร จีนต้องเป็นเจ้าภาพเพราะก็ย้ายมาจากพม่านั้นล่ะก็ด้วย.เขมรมีวันนี้ได้เพราะนานาชาติไม่รวมจัดการลงโทษโดยเฉพาะเอเชียเราอาเชียนเราก็ด้วย สุดยอดมากที่ปล่อยคนชั่วชาติชั่วมีที่ยืนบนเวทีโลก,เขมรอนาถทันทีหากนานาชาติร่วมกันแบนร่วมกันคว่ำบาตรเศรษฐกิจการค้า,ตังไม่มีมันจะรอดเหรอ.,ผู้นำชั่วต้องไร้ที่ยืนบนโลกใบนี้ได้แล้ว,ชาวโลกจะสงบสุขสันคิทันที,อาจผลิตอาวุธทำลายจริงก็แค่ปกป้องโลกจากต่างดาวอื่นรุกรานคุกคามนั่นล่ะ.

    ..https://youtu.be/y_WmnaLm2og?si=IIDwL9PFkn_YK6V1
    ..เขมรคือภัยคุกคามโลกและฮับมิจฉาชีพระดับโลก จริงๆจีนคือเจ้าหนี้รายใหญ่ของเขมรสมควรปราบปรามร่วมกับประเทศเอเชียและอาเชียนเป็นอย่างยิ่ง,เป็นเจ้าภาพหัวเรือเลยก็ว่า,ล็อกดาวน์ปิดประตูตีแมวได้สบายคือล็อกทางออกทางเข้าสาระพัดทางได้หมด,ไทยลาวเวียดนามบรูไน มาเลย์พร้อมร่วมมือลงแขกร่วมกันอยู่แล้วในการสกัดกั้นคนชั่วที่สิงในเขมรทั้งหมด,ตลอดอาจลงไประเบิดปิดทางอุโมงค์ลับใต้ดินทั้งหมดให้ด้วย,จะไม่มีคนชั่วคนไหนหนีรอดได้สักตัว,จะคนชั่วฝั่งฝรั่งฝั่งอาหรับทะเลทรายฝั่งแขกอินเดียฝั่งแอฟริกาหรือฝั่งเอเชียอาเชียนเราที่เป็นคนชั่วมาสุมหัวที่นี้ก็ตามแต่จะไม่รอดทั้งหมด,บันทึกทางdnaทุกๆตัวทันที,จีนอาจได้หน้าขนานใหญ่ไปเลยในฝั่งเอเชียเราที่ลงมือลงโทษประเทศค้ามนุษย์ค้าแรงงานจนหมดเสื่อมสภาพแล้วฆ่าค้าอวัยวะต่อยอดทำกำไรอีกนี้คือชาติชั่วเลวประจำโลกของจริงที่นานาชาติต้องกำจัดเพราะคือภัยคุกคามจริงของคนชาวโลก พวกมันจะลักพาตัวจับมนุษย์คนไหนจากทั่วโลกก็ได้ นี้ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดานะไม่ใช่ล่อเล่นด้วย,ของแท้เลย,มันสร้างเดอะแก๊งคอลเซ็นเตอร์สำเร็จฮับโจรกรรมดาต้าข้อมูลทั่วโลกก็ได้,ดูนายกฯไทยคลิปหลุดสิ,ฝ่ายตรงข้ามเราพะนะ,แล้วมันจะจัดส่งข้อมูลขายข้อมูลอะไรสาระพัดไม่ได้เหรอยิ่งมีข่าวในไทยมากมายว่ามีการหลุดข้อมูลคนไทย ขายข้อมูลคนไทยไปต่างประเทศและขายให้เอกชนต่างชาติหรือในไทยอีก,ดูพวกขายเทเลเซลล์ในอดีตเลย พวกขายประกันก็ว่าขายข้อมูลกันตรึม,ยุคนี้ยิ่งล้ำกว่าอีก, ..เขมรคือภัยอันตรายต่อคนทัังโลก,เด็กยิ่งโทรหลอกง่าย,คนแก่ก็ไม่เว้น,คนข้าราชการยังถูกดูดตัง,เพราะอะไรเพราะอีลิทสั่งการและควบคุม,ในมุกแบบผลักดันตังดิจิดัลก็กล่าวได้อีก วางสนุ๊คส่งมือมืดทำเลวชั่วว่าตังกระดาษไม่ปล่อยภัย แบงค์ช่วยอีก ขนาดแบงค์ยังไม่ปล่อยภัยว่าระบบปกป้องการดูดดีแค่ไหนยังไม่รอดมันอ้าง,หันมาใช้ตังดิจิดัลกันเถอะมันอ้าง,ดูดไม่ง่าย ติดตามได้พะนะว่าใครดูดใครทำผิด,เพื่อสุดท้ายสำเร็จคนยกเลิกตังกระดาษตังเหรียญโลหะสู่ทรัพย์สินดิจิดัลแล้วก็สุดท้ายอีก,คนๆนั้นจะไม่เหลืออะไรเลยเมื่อหันไปใช้ระบบตังดิจิดัลจริง,มันก็ทำภาระกิจสำเร็จนั่นเอง,แบบปลอมตังกระดาษนั้นล่ะก็ด้วย,จริงๆระบบตังกระดาษคือระบบอิสระภาพที่สุดไทที่สุด,ใช้จ่ายแลกเปลี่ยนได้ทุกที่ทุกเวลาไม่เกี่ยวกับพลังงานหมดใดๆแบตมือถือหมด แผ่นดินไหวน้ำท่วนพายุถล่มระบบไฟฟ้าฮับไฟฟ้าล่มระบบตังดิจิดัลใช้ไม่ได้แบบจีนล่าสุดปีที่แล้วสดๆร้อนๆให้เห็นชัดๆก็ว่า,ตลอดมันอายัดสิทธิคุณขึ้นบัญชีดำแบนคุณเรียลไทม์โน้น ยึดทรัพย์สินคุณเรียลไทม์หมดที่แปลงเป็นดิจิดัลตีตราสร้างมูลค่าใหม่แล้ว,นอกใต้ถนนใต้ต้นไม้นอกสถานที่ก็ว่า,จากมี2-3พันล้านบาทแมร่งอายัดทั้งหมดสิ้นเนื้อสินตัวเลย,อดีตแอบเก็บลงไหลงโอ่งได้ จำเป็นเอาออกมาใช้สัก100-200ล้านบาทยังทันไว้ยามฉุกเฉินก็ว่า,ตายายคนชราอาจใส่หัวหมอนไว้สักพันสองพันกันอิ่มวันหน้าได้,นี้มันอายัดตังตายายหลานหมดสิ้นก็ว่า เป็นต้น,เหมือนแบงค์เอาตังให้ฝ่ายตนเองไปปล่อยกู้นอกระบบทางลับนั้นล่ะ,คู่ขนานทำกำไรรายได้ทางกฎหมาย,เหมือนทำชั่วเพื่อตีกรอบสร้างกฎหมายว่าปล่อยภัยกว่าเก่า,ทั้วที่มันนั่นล่ะรวมหัวกันทำเอง,เพื่อลดขนาดคอกสัตว์ลงควบคุมง่ายตามกฎกติกามันสะดวก,แบบไทยเราเหี้ยลูกหนี้จ่ายหนี้ไม่ไหวเสือกยึดทรัพย์แบบบ้านเขาบังคับขายแล้วไม่พอ ไปบังคับยึดนั้นนี้อีกจนพอ,ในต่างประเทศยึดบ้านจบก็จบคดีความเพราะกู้ตังมาซื้อบ้านบ้านคือหนี้,กู้มาซื้อรถ รถคือหนี้ยึดรถจบ,กู้กยศ.ซื้อใบวุฒิการศึกษา ก็ยึดวุฒิการศึกษาเขาสิก็จบ555,เหี้ยไปตามยึดบ้านยึดที่ดินเขาขายให้จนพอใจแบงค์พอใจหน่วยงานตน,นี้คือวิถีปกครองวิถีกฎหมายที่ผิดพลาดและเลว อยุติธรรมก็ว่า. ..เขมร จีนต้องเป็นเจ้าภาพเพราะก็ย้ายมาจากพม่านั้นล่ะก็ด้วย.เขมรมีวันนี้ได้เพราะนานาชาติไม่รวมจัดการลงโทษโดยเฉพาะเอเชียเราอาเชียนเราก็ด้วย สุดยอดมากที่ปล่อยคนชั่วชาติชั่วมีที่ยืนบนเวทีโลก,เขมรอนาถทันทีหากนานาชาติร่วมกันแบนร่วมกันคว่ำบาตรเศรษฐกิจการค้า,ตังไม่มีมันจะรอดเหรอ.,ผู้นำชั่วต้องไร้ที่ยืนบนโลกใบนี้ได้แล้ว,ชาวโลกจะสงบสุขสันคิทันที,อาจผลิตอาวุธทำลายจริงก็แค่ปกป้องโลกจากต่างดาวอื่นรุกรานคุกคามนั่นล่ะ. ..https://youtu.be/y_WmnaLm2og?si=IIDwL9PFkn_YK6V1
    0 Comments 0 Shares 173 Views 0 Reviews
  • ช่วงนี้ Apple ไม่ได้พูดถึง AI แค่เรื่อง Siri หรือ iPhone เท่านั้น แต่กำลังใช้ GenAI เข้ามาเปลี่ยนวงในอย่าง “การออกแบบชิป” ที่เป็นหัวใจของอุปกรณ์ทุกตัวเลย

    Johny Srouji รองประธานอาวุโสของฝ่ายฮาร์ดแวร์ของ Apple เปิดเผยว่า Apple กำลังใช้ Generative AI ในซอฟต์แวร์ออกแบบชิป EDA เพื่อเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพของการพัฒนา Apple Silicon รุ่นต่อไป เช่น M-Series และ A-Series ซึ่งใช้ใน Mac และ iPhone ตามลำดับ

    เขาบอกเลยว่า “Generative AI สามารถเพิ่ม productivity ได้มหาศาล” เพราะเดิมทีการวางเลย์เอาต์ของชิป หรือการกำหนดวงจรใช้เวลานานและทำซ้ำบ่อยมาก แต่ถ้าให้ AI สร้างตัวเลือกอัตโนมัติ แล้ววิศวกรคัดกรอง ก็จะเร็วกว่าเดิมหลายเท่า

    ฝั่งบริษัท Cadence และ Synopsys ที่เป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์ EDA ก็เร่งเสริม GenAI เข้าไปในเครื่องมือของตัวเอง เพื่อให้รองรับแนวโน้มนี้ ซึ่งไม่ใช่แค่ Apple ที่ใช้นะครับ Google, Nvidia, AMD ก็เริ่มหันมาใช้กันหมด

    และไม่ใช่แค่ฝั่งตะวันตก — มีรายงานจากจีนว่าทีมนักวิจัยสามารถออกแบบซีพียูทั้งตัวโดยใช้ Large Language Model (LLM) แค่ตัวเดียวได้แล้วด้วย

    Apple เองเริ่มทางนี้ตั้งแต่สมัยเปลี่ยนมาใช้ Apple Silicon ใน MacBook Pro รุ่น M1 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในการเลิกใช้ชิป Intel และพัฒนาชิป Arm ของตนเองแบบเต็มตัว โดยเน้น performance + efficiency + ควบคุม ecosystem ทั้งหมด

    ✅ Apple เริ่มใช้ Generative AI เพื่อช่วยออกแบบชิปในกระบวนการ EDA (Electronic Design Automation)  • เพิ่ม productivity และลดเวลาทำงานของทีมออกแบบ  
    • เป็นการนำ AI มาใช้เบื้องหลัง ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์ในอุปกรณ์

    ✅ Johny Srouji ยืนยันว่า GenAI จะเป็นตัวช่วยสำคัญใน pipeline การพัฒนาชิป  
    • ช่วย generate layout, logic, simulation patterns  
    • ลดภาระงานซ้ำซ้อนให้วิศวกร

    ✅ บริษัท EDA ชั้นนำอย่าง Cadence และ Synopsys กำลังใส่ GenAI ในเครื่องมือของตัวเอง  
    • เป็นคลื่นเทคโนโลยีที่หลายผู้ผลิตชิปกำลังปรับตัวตาม

    ✅ Apple เคยทุ่มสุดตัวกับ Apple Silicon โดยไม่มีแผนสำรองตอนเปลี่ยนจาก Intel เป็น M1  
    • พร้อมพัฒนาระบบแปล x86 → Arm ผ่าน Rosetta 2

    ✅ แนวโน้มของโลก: จีนกำลังพัฒนา CPU ที่ออกแบบโดย LLM ล้วน ๆ แล้วเช่นกัน  
    • เป็นการยืนยันว่า AI เริ่มเข้ามามีบทบาทตั้งแต่ระดับสถาปัตยกรรม

    ‼️ AI ยังไม่สามารถแทนที่วิศวกรออกแบบชิปได้เต็มตัวในปัจจุบัน  
    • ความเข้าใจเรื่องสถาปัตยกรรมและข้อจำกัดเชิงฟิสิกส์ยังต้องพึ่งมนุษย์

    ‼️ การใช้ GenAI ในงานชิปต้องควบคุมคุณภาพสูง เพราะ error เล็กน้อยอาจทำให้ชิปทั้งตัวใช้ไม่ได้  
    • จึงต้องมีรอบตรวจสอบหลายชั้น แม้จะใช้ AI ร่วม

    ‼️ การพึ่งพา AI อย่างรวดเร็วใน R&D มีความเสี่ยงต่อการรั่วไหลของแนวคิดหรือทรัพย์สินทางปัญญา  
    • ต้องระวังในระดับการใช้งาน LLM ภายนอกที่อาจไม่ได้ควบคุมโมเดลเอง

    ‼️ แนวโน้มนี้จะเพิ่มการแข่งขันในตลาดชิปแบบ arm-on-silicon สูงขึ้น  
    • บริษัทที่ไม่เร่งใช้ AI ออกแบบ อาจตามไม่ทันรอบพัฒนาผลิตภัณฑ์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/apple-explores-using-generative-ai-to-design-its-chips-executive-says-it-can-be-a-huge-productivity-boost
    ช่วงนี้ Apple ไม่ได้พูดถึง AI แค่เรื่อง Siri หรือ iPhone เท่านั้น แต่กำลังใช้ GenAI เข้ามาเปลี่ยนวงในอย่าง “การออกแบบชิป” ที่เป็นหัวใจของอุปกรณ์ทุกตัวเลย Johny Srouji รองประธานอาวุโสของฝ่ายฮาร์ดแวร์ของ Apple เปิดเผยว่า Apple กำลังใช้ Generative AI ในซอฟต์แวร์ออกแบบชิป EDA เพื่อเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพของการพัฒนา Apple Silicon รุ่นต่อไป เช่น M-Series และ A-Series ซึ่งใช้ใน Mac และ iPhone ตามลำดับ เขาบอกเลยว่า “Generative AI สามารถเพิ่ม productivity ได้มหาศาล” เพราะเดิมทีการวางเลย์เอาต์ของชิป หรือการกำหนดวงจรใช้เวลานานและทำซ้ำบ่อยมาก แต่ถ้าให้ AI สร้างตัวเลือกอัตโนมัติ แล้ววิศวกรคัดกรอง ก็จะเร็วกว่าเดิมหลายเท่า ฝั่งบริษัท Cadence และ Synopsys ที่เป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์ EDA ก็เร่งเสริม GenAI เข้าไปในเครื่องมือของตัวเอง เพื่อให้รองรับแนวโน้มนี้ ซึ่งไม่ใช่แค่ Apple ที่ใช้นะครับ Google, Nvidia, AMD ก็เริ่มหันมาใช้กันหมด และไม่ใช่แค่ฝั่งตะวันตก — มีรายงานจากจีนว่าทีมนักวิจัยสามารถออกแบบซีพียูทั้งตัวโดยใช้ Large Language Model (LLM) แค่ตัวเดียวได้แล้วด้วย Apple เองเริ่มทางนี้ตั้งแต่สมัยเปลี่ยนมาใช้ Apple Silicon ใน MacBook Pro รุ่น M1 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในการเลิกใช้ชิป Intel และพัฒนาชิป Arm ของตนเองแบบเต็มตัว โดยเน้น performance + efficiency + ควบคุม ecosystem ทั้งหมด ✅ Apple เริ่มใช้ Generative AI เพื่อช่วยออกแบบชิปในกระบวนการ EDA (Electronic Design Automation)  • เพิ่ม productivity และลดเวลาทำงานของทีมออกแบบ   • เป็นการนำ AI มาใช้เบื้องหลัง ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์ในอุปกรณ์ ✅ Johny Srouji ยืนยันว่า GenAI จะเป็นตัวช่วยสำคัญใน pipeline การพัฒนาชิป   • ช่วย generate layout, logic, simulation patterns   • ลดภาระงานซ้ำซ้อนให้วิศวกร ✅ บริษัท EDA ชั้นนำอย่าง Cadence และ Synopsys กำลังใส่ GenAI ในเครื่องมือของตัวเอง   • เป็นคลื่นเทคโนโลยีที่หลายผู้ผลิตชิปกำลังปรับตัวตาม ✅ Apple เคยทุ่มสุดตัวกับ Apple Silicon โดยไม่มีแผนสำรองตอนเปลี่ยนจาก Intel เป็น M1   • พร้อมพัฒนาระบบแปล x86 → Arm ผ่าน Rosetta 2 ✅ แนวโน้มของโลก: จีนกำลังพัฒนา CPU ที่ออกแบบโดย LLM ล้วน ๆ แล้วเช่นกัน   • เป็นการยืนยันว่า AI เริ่มเข้ามามีบทบาทตั้งแต่ระดับสถาปัตยกรรม ‼️ AI ยังไม่สามารถแทนที่วิศวกรออกแบบชิปได้เต็มตัวในปัจจุบัน   • ความเข้าใจเรื่องสถาปัตยกรรมและข้อจำกัดเชิงฟิสิกส์ยังต้องพึ่งมนุษย์ ‼️ การใช้ GenAI ในงานชิปต้องควบคุมคุณภาพสูง เพราะ error เล็กน้อยอาจทำให้ชิปทั้งตัวใช้ไม่ได้   • จึงต้องมีรอบตรวจสอบหลายชั้น แม้จะใช้ AI ร่วม ‼️ การพึ่งพา AI อย่างรวดเร็วใน R&D มีความเสี่ยงต่อการรั่วไหลของแนวคิดหรือทรัพย์สินทางปัญญา   • ต้องระวังในระดับการใช้งาน LLM ภายนอกที่อาจไม่ได้ควบคุมโมเดลเอง ‼️ แนวโน้มนี้จะเพิ่มการแข่งขันในตลาดชิปแบบ arm-on-silicon สูงขึ้น   • บริษัทที่ไม่เร่งใช้ AI ออกแบบ อาจตามไม่ทันรอบพัฒนาผลิตภัณฑ์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/apple-explores-using-generative-ai-to-design-its-chips-executive-says-it-can-be-a-huge-productivity-boost
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Apple explores using generative AI to design its chips — executive says 'it can be a huge productivity boost'
    Generative AI in EDA tools will help Apple's silicon design teams run faster and more efficiently.
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • คุณอาจเคยได้ยินว่า AI เริ่มใช้ในการวินิจฉัยโรค หรือแต่งเนื้อเพลง…แต่ตอนนี้มันเดินเข้าศาลแล้วแบบจริงจัง! หลายคดีในสหรัฐฯ เริ่มเห็น GenAI ถูกใช้ในหลายรูปแบบ เช่น:

    - ผู้พิพากษาใช้ AI ช่วยค้นคว้าคำพิพากษาเก่า ๆ
    - ทนายใช้ ChatGPT หรือ AI ผู้ช่วยอย่าง LexisNexis Protege, CoCounsel จาก Thomson Reuters ช่วยร่างคำร้อง
    - ฝ่ายที่ไม่มีทนาย (pro se) ใช้ AI เขียนคำร้องเอง

    หนึ่งในกรณีที่สะเทือนอารมณ์ที่สุดคือคดีที่เหยื่อถูกยิงเสียชีวิต และญาติของเขาสร้าง “อวตาร AI” ขึ้นมาให้ผู้ตายกล่าวคำอำลาและแสดงความให้อภัยในศาลด้วยตัวเอง ผ่านหน้าจอ—ผู้พิพากษาถึงกับบอกว่า “มันรู้สึกเหมือนจริง” มาก

    แต่ในอีกมุม GenAI ก็มีปัญหาเหมือนกัน — มีคดีหนึ่งที่ทนายใช้ AI ช่วยร่างคำฟ้องจนเกิดการอ้างคำพิพากษาปลอม (hallucination) จนโดนปรับไปกว่า $31,000 แบบไม่มีข้อแก้ตัว

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าถึงแม้ GenAI จะช่วยให้คนเข้าถึงระบบยุติธรรมง่ายขึ้น โดยเฉพาะคนไม่มีทนาย แต่ระบบศาลต้องเตรียมรับมือกับ “คดีที่ถูกสร้างด้วยปุ่มเดียว” เพราะ GenAI ทำให้คนสามารถร่างคำฟ้องได้เร็วและมากขึ้นหลายเท่า ซึ่งอาจเพิ่มภาระให้กับศาลที่มีคดีล้นอยู่แล้ว

    ✅ GenAI เริ่มถูกใช้จริงจังในศาลสหรัฐฯ ทั้งโดยผู้พิพากษา ทนาย และประชาชนทั่วไป  
    • ผู้พิพากษาใช้เพื่อค้นข้อมูลทางกฎหมาย  
    • ทนายใช้ AI ผู้ช่วย เช่น LexisNexis Protege และ CoCounsel  
    • ผู้ที่ไม่มีทนายใช้ AI ยื่นคำร้องเอง

    ✅ มีการใช้ Avatar AI เป็นครั้งแรกในศาลอเมริกาเพื่อให้เหยื่อ “กล่าวคำอำลา” หลังเสียชีวิต  
    • เหยื่อถูกยิงเสียชีวิตในปี 2021  
    • พี่สาวสร้างวิดีโอ AI ให้พูดในศาลตอนตัดสินคนร้าย

    ✅ AI ช่วยลดภาระและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม  
    • โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่สามารถจ้างทนายได้  
    • อาจเพิ่มความเป็นธรรมและลดต้นทุนระบบ

    ✅ นักวิชาการเสนอให้ศาลเตรียมโครงสร้างพื้นฐานรองรับ AI อย่างจริงจัง  
    • เช่น การฝึกอบรมผู้พิพากษาให้เข้าใจ AI  
    • อาจช่วยให้คำพิพากษาแม่นยำและไม่ถูกยื่นอุทธรณ์ง่าย

    ‼️ GenAI ยังมีปัญหาเรื่อง “ความเที่ยงตรงของข้อมูล” (hallucination)  
    • มีกรณีอ้างคำพิพากษาปลอมแล้วศาลลงโทษจริง  
    • ต้องตรวจสอบทุกครั้งก่อนใช้เอกสารที่ AI สร้างขึ้น

    ‼️ การเปิดให้ใช้ AI อย่างเสรี อาจทำให้ “คดีที่ไม่มีเนื้อหา” ท่วมศาล  
    • คนสามารถสร้างคำฟ้องด้วย AI ได้ง่ายและเร็วเกินไป  
    • เพิ่มภาระต่อระบบที่มีทรัพยากรจำกัด

    ‼️ ผู้ที่ไม่มีทนายอาจเชื่อใจ AI มากเกินไปจนทำผิดพลาด  
    • โดยเฉพาะหากไม่เข้าใจว่า AI ไม่ใช่ที่ปรึกษาทางกฎหมาย

    ‼️ อาจเกิดการโน้มน้าวผู้พิพากษาจากข้อมูลที่ AI คัดเลือกมา “โดยไม่ได้ตั้งใจ”  
    • เช่น ถ้า AI เลือกคำพิพากษาเก่าที่บางเฉียบ แต่อิทธิพลสูง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/justice-at-stake-as-generative-ai-enters-the-courtroom
    คุณอาจเคยได้ยินว่า AI เริ่มใช้ในการวินิจฉัยโรค หรือแต่งเนื้อเพลง…แต่ตอนนี้มันเดินเข้าศาลแล้วแบบจริงจัง! หลายคดีในสหรัฐฯ เริ่มเห็น GenAI ถูกใช้ในหลายรูปแบบ เช่น: - ผู้พิพากษาใช้ AI ช่วยค้นคว้าคำพิพากษาเก่า ๆ - ทนายใช้ ChatGPT หรือ AI ผู้ช่วยอย่าง LexisNexis Protege, CoCounsel จาก Thomson Reuters ช่วยร่างคำร้อง - ฝ่ายที่ไม่มีทนาย (pro se) ใช้ AI เขียนคำร้องเอง หนึ่งในกรณีที่สะเทือนอารมณ์ที่สุดคือคดีที่เหยื่อถูกยิงเสียชีวิต และญาติของเขาสร้าง “อวตาร AI” ขึ้นมาให้ผู้ตายกล่าวคำอำลาและแสดงความให้อภัยในศาลด้วยตัวเอง ผ่านหน้าจอ—ผู้พิพากษาถึงกับบอกว่า “มันรู้สึกเหมือนจริง” มาก แต่ในอีกมุม GenAI ก็มีปัญหาเหมือนกัน — มีคดีหนึ่งที่ทนายใช้ AI ช่วยร่างคำฟ้องจนเกิดการอ้างคำพิพากษาปลอม (hallucination) จนโดนปรับไปกว่า $31,000 แบบไม่มีข้อแก้ตัว ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าถึงแม้ GenAI จะช่วยให้คนเข้าถึงระบบยุติธรรมง่ายขึ้น โดยเฉพาะคนไม่มีทนาย แต่ระบบศาลต้องเตรียมรับมือกับ “คดีที่ถูกสร้างด้วยปุ่มเดียว” เพราะ GenAI ทำให้คนสามารถร่างคำฟ้องได้เร็วและมากขึ้นหลายเท่า ซึ่งอาจเพิ่มภาระให้กับศาลที่มีคดีล้นอยู่แล้ว ✅ GenAI เริ่มถูกใช้จริงจังในศาลสหรัฐฯ ทั้งโดยผู้พิพากษา ทนาย และประชาชนทั่วไป   • ผู้พิพากษาใช้เพื่อค้นข้อมูลทางกฎหมาย   • ทนายใช้ AI ผู้ช่วย เช่น LexisNexis Protege และ CoCounsel   • ผู้ที่ไม่มีทนายใช้ AI ยื่นคำร้องเอง ✅ มีการใช้ Avatar AI เป็นครั้งแรกในศาลอเมริกาเพื่อให้เหยื่อ “กล่าวคำอำลา” หลังเสียชีวิต   • เหยื่อถูกยิงเสียชีวิตในปี 2021   • พี่สาวสร้างวิดีโอ AI ให้พูดในศาลตอนตัดสินคนร้าย ✅ AI ช่วยลดภาระและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม   • โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่สามารถจ้างทนายได้   • อาจเพิ่มความเป็นธรรมและลดต้นทุนระบบ ✅ นักวิชาการเสนอให้ศาลเตรียมโครงสร้างพื้นฐานรองรับ AI อย่างจริงจัง   • เช่น การฝึกอบรมผู้พิพากษาให้เข้าใจ AI   • อาจช่วยให้คำพิพากษาแม่นยำและไม่ถูกยื่นอุทธรณ์ง่าย ‼️ GenAI ยังมีปัญหาเรื่อง “ความเที่ยงตรงของข้อมูล” (hallucination)   • มีกรณีอ้างคำพิพากษาปลอมแล้วศาลลงโทษจริง   • ต้องตรวจสอบทุกครั้งก่อนใช้เอกสารที่ AI สร้างขึ้น ‼️ การเปิดให้ใช้ AI อย่างเสรี อาจทำให้ “คดีที่ไม่มีเนื้อหา” ท่วมศาล   • คนสามารถสร้างคำฟ้องด้วย AI ได้ง่ายและเร็วเกินไป   • เพิ่มภาระต่อระบบที่มีทรัพยากรจำกัด ‼️ ผู้ที่ไม่มีทนายอาจเชื่อใจ AI มากเกินไปจนทำผิดพลาด   • โดยเฉพาะหากไม่เข้าใจว่า AI ไม่ใช่ที่ปรึกษาทางกฎหมาย ‼️ อาจเกิดการโน้มน้าวผู้พิพากษาจากข้อมูลที่ AI คัดเลือกมา “โดยไม่ได้ตั้งใจ”   • เช่น ถ้า AI เลือกคำพิพากษาเก่าที่บางเฉียบ แต่อิทธิพลสูง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/justice-at-stake-as-generative-ai-enters-the-courtroom
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Justice at stake as generative AI enters the courtroom
    Generative artificial intelligence (GenAI) is making its way into courts despite early stumbles, raising questions about how it will influence the legal system and justice itself.
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • การสร้าง AI อย่าง ChatGPT หรือแผนที่ Google ต้องใช้ศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมา ซึ่งกินไฟเท่ากับทั้งประเทศเบลเยียมหรือโปแลนด์รวมกัน! และในปี 2030 ตัวเลขนี้อาจ "เบิ้ล" ขึ้นไปอีก โดย 40% ของไฟที่ดาต้าเซ็นเตอร์ใช้...หมดไปกับ "แอร์"

    Daniel Pope ผู้ก่อตั้งบริษัท Submer จึงเสนอวิธีสุดล้ำคือ “เอาเซิร์ฟเวอร์ทั้งก้อนจุ่มลงในของเหลวพิเศษ” ที่ไม่ติดไฟ ไม่นำไฟฟ้า และดูเหมือนเบบี้ออยล์ วิธีนี้ช่วยระบายความร้อนโดยตรงกับชิปได้ดีและใช้ไฟน้อยกว่าแอร์เย็นทั่วไป — ผลการศึกษาในเนเธอร์แลนด์พบว่า ลดพลังงานได้ถึง 50%

    ระบบนี้เรียกว่า Immersion Cooling มีคนใช้แล้วใน 17 ประเทศ รายใหญ่ เช่น Intel, Dell และแม้แต่ Microsoft ก็เริ่มสนใจ ใช้กับชิป Maia 100 และพัฒนา “ห้องน้ำเซิร์ฟเวอร์” แบบจุ่มทั้งเครื่องอยู่ด้วย

    แน่นอนว่าไม่ได้ง่าย เพราะของเหลวแบบนี้แพงกว่าระบบแอร์ประมาณ 25% ติดตั้งยาก ต้องดัดแปลงอาคารเดิม และยังไม่มีมาตรฐานอุตสาหกรรมชัดเจน แถมเวลาจะซ่อมเซิร์ฟเวอร์ก็ต้อง “ล้วงในน้ำ” แบบเปียก ๆ ด้วย

    ✅ ดาต้าเซ็นเตอร์ใช้พลังงานมหาศาล — มากกว่าประเทศเบลเยียมทั้งประเทศ  
    • และกำลังจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าภายในปี 2030  
    • 40% ของพลังงานในดาต้าเซ็นเตอร์ใช้กับระบบทำความเย็น

    ✅ Immersion Cooling คือการจุ่มทั้ง rack ลงในของเหลวพิเศษที่ไม่ติดไฟและไม่เป็นสื่อไฟฟ้า  
    • ของเหลวจาก Submer ทำจากปิโตรเลียมหรือปาล์ม และสามารถย่อยสลายได้  
    • ลดการใช้ไฟได้ >10% และสูงสุดถึง 50% จากบางงานวิจัย

    ✅ ประสิทธิภาพดีกว่าระบบแอร์: ระบายความร้อนตรงชิ้นส่วนโดยไม่ต้องเย็นทั้งห้อง  
    • รองรับเซิร์ฟเวอร์ยุคใหม่ที่ใช้ชิปแรง ๆ อย่าง NVIDIA B200 ที่กินไฟหนัก

    ✅ ลดการใช้น้ำ — ดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วไปใช้น้ำมากถึง 2 ล้านลิตร/วันในสหรัฐฯ  
    • Immersion cooling ไม่ต้องพึ่งน้ำหมุนเวียนจำนวนมาก

    ✅ ใช้พื้นที่น้อยลง — ช่วยลด footprint ของดาต้าเซ็นเตอร์  
    • เหมาะกับเมืองที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานหรือที่ดิน

    ✅ Submer มีรายได้ทะลุ €150 ล้านในปี 2023 (โตจากแค่ €600K ในปี 2018)  
    • ลูกค้าใน 17 ประเทศ และคู่ค้าระดับโลกเช่น Intel, Dell

    ‼️ ต้นทุนสูง — ติดตั้งระบบ immersion cooling อาจแพงกว่าระบบแอร์ถึง 25%  
    • คุ้มเฉพาะในดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีภาระความร้อนสูง

    ‼️ ต้องดัดแปลงอาคารเดิม — พื้นรองรับน้ำหนักของเหลว อาจไม่พร้อม  
    • ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม

    ‼️ ยังไม่มีมาตรฐานกลางในอุตสาหกรรม  
    • ทำให้ต้องระวังเรื่องความเข้ากันกับเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ในอนาคต

    ‼️ การซ่อมบำรุงลำบาก — ต้อง “ล้วงของ” ใต้น้ำ เปลี่ยนชิ้นส่วนได้ยุ่งยากกว่าเดิม  
    • เสี่ยงความผิดพลาดและต้องใช้บุคลากรที่มีความชำนาญเฉพาะทาง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/submerging-servers-in-liquid-helps-data-centres-cut-energy-use
    การสร้าง AI อย่าง ChatGPT หรือแผนที่ Google ต้องใช้ศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมา ซึ่งกินไฟเท่ากับทั้งประเทศเบลเยียมหรือโปแลนด์รวมกัน! และในปี 2030 ตัวเลขนี้อาจ "เบิ้ล" ขึ้นไปอีก โดย 40% ของไฟที่ดาต้าเซ็นเตอร์ใช้...หมดไปกับ "แอร์" Daniel Pope ผู้ก่อตั้งบริษัท Submer จึงเสนอวิธีสุดล้ำคือ “เอาเซิร์ฟเวอร์ทั้งก้อนจุ่มลงในของเหลวพิเศษ” ที่ไม่ติดไฟ ไม่นำไฟฟ้า และดูเหมือนเบบี้ออยล์ วิธีนี้ช่วยระบายความร้อนโดยตรงกับชิปได้ดีและใช้ไฟน้อยกว่าแอร์เย็นทั่วไป — ผลการศึกษาในเนเธอร์แลนด์พบว่า ลดพลังงานได้ถึง 50% ระบบนี้เรียกว่า Immersion Cooling มีคนใช้แล้วใน 17 ประเทศ รายใหญ่ เช่น Intel, Dell และแม้แต่ Microsoft ก็เริ่มสนใจ ใช้กับชิป Maia 100 และพัฒนา “ห้องน้ำเซิร์ฟเวอร์” แบบจุ่มทั้งเครื่องอยู่ด้วย แน่นอนว่าไม่ได้ง่าย เพราะของเหลวแบบนี้แพงกว่าระบบแอร์ประมาณ 25% ติดตั้งยาก ต้องดัดแปลงอาคารเดิม และยังไม่มีมาตรฐานอุตสาหกรรมชัดเจน แถมเวลาจะซ่อมเซิร์ฟเวอร์ก็ต้อง “ล้วงในน้ำ” แบบเปียก ๆ ด้วย ✅ ดาต้าเซ็นเตอร์ใช้พลังงานมหาศาล — มากกว่าประเทศเบลเยียมทั้งประเทศ   • และกำลังจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าภายในปี 2030   • 40% ของพลังงานในดาต้าเซ็นเตอร์ใช้กับระบบทำความเย็น ✅ Immersion Cooling คือการจุ่มทั้ง rack ลงในของเหลวพิเศษที่ไม่ติดไฟและไม่เป็นสื่อไฟฟ้า   • ของเหลวจาก Submer ทำจากปิโตรเลียมหรือปาล์ม และสามารถย่อยสลายได้   • ลดการใช้ไฟได้ >10% และสูงสุดถึง 50% จากบางงานวิจัย ✅ ประสิทธิภาพดีกว่าระบบแอร์: ระบายความร้อนตรงชิ้นส่วนโดยไม่ต้องเย็นทั้งห้อง   • รองรับเซิร์ฟเวอร์ยุคใหม่ที่ใช้ชิปแรง ๆ อย่าง NVIDIA B200 ที่กินไฟหนัก ✅ ลดการใช้น้ำ — ดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วไปใช้น้ำมากถึง 2 ล้านลิตร/วันในสหรัฐฯ   • Immersion cooling ไม่ต้องพึ่งน้ำหมุนเวียนจำนวนมาก ✅ ใช้พื้นที่น้อยลง — ช่วยลด footprint ของดาต้าเซ็นเตอร์   • เหมาะกับเมืองที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานหรือที่ดิน ✅ Submer มีรายได้ทะลุ €150 ล้านในปี 2023 (โตจากแค่ €600K ในปี 2018)   • ลูกค้าใน 17 ประเทศ และคู่ค้าระดับโลกเช่น Intel, Dell ‼️ ต้นทุนสูง — ติดตั้งระบบ immersion cooling อาจแพงกว่าระบบแอร์ถึง 25%   • คุ้มเฉพาะในดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีภาระความร้อนสูง ‼️ ต้องดัดแปลงอาคารเดิม — พื้นรองรับน้ำหนักของเหลว อาจไม่พร้อม   • ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม ‼️ ยังไม่มีมาตรฐานกลางในอุตสาหกรรม   • ทำให้ต้องระวังเรื่องความเข้ากันกับเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ในอนาคต ‼️ การซ่อมบำรุงลำบาก — ต้อง “ล้วงของ” ใต้น้ำ เปลี่ยนชิ้นส่วนได้ยุ่งยากกว่าเดิม   • เสี่ยงความผิดพลาดและต้องใช้บุคลากรที่มีความชำนาญเฉพาะทาง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/submerging-servers-in-liquid-helps-data-centres-cut-energy-use
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Submerging servers in liquid helps data centres cut energy use
    When Daniel Pope first floated the idea of submerging servers in liquid as an energy-efficient way to cool them a few years ago, his proposal was met with overwhelming scepticism from data centre equipment makers.
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • เมิงต้องโทษ "คณะอัปรีย์ดีย์" พ่อเมิงโน่นเลย ที่นำพาประชาธิปไตยซ่องโจรมาปล้นสถาบัน แล้วไปไม่รอด ต้องไปลากสองพระองค์มารับภาระ แล้วพวกมึงก็มาจ้องล้มล้างอีกที
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เมิงต้องโทษ "คณะอัปรีย์ดีย์" พ่อเมิงโน่นเลย ที่นำพาประชาธิปไตยซ่องโจรมาปล้นสถาบัน แล้วไปไม่รอด ต้องไปลากสองพระองค์มารับภาระ แล้วพวกมึงก็มาจ้องล้มล้างอีกที #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews
  • Path Tracing คือเทคนิคเรนเดอร์ขั้นเทพของโลกเกม ที่ให้ผลลัพธ์แสง–เงาสมจริงขั้นสุด แต่มัน กินแรงเครื่องมหาศาล ทำให้แม้แต่ AAA เกมก็ยังใช้ได้แบบจำกัด

    Intel เลยพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้ iGPU และ dGPU ราคาจับต้องได้สามารถรัน Path Tracing ได้จริง โดยใช้เทคนิคหลายด้าน ทั้ง:

    - Resampled Importance Sampling (RIS) แบบใหม่
    - Open Image Denoise 2 รุ่นล่าสุดที่ใช้ Neural Denoising
    - และ Neural Texture Compression (TSNC) ที่ช่วยลดภาระหน่วยความจำได้สูงสุด 47 เท่า

    พวกเขาทดสอบบนฉาก Jungle Ruins ขนาดใหญ่ แอนิเมชันซับซ้อน มีทุกอย่างทั้งต้นไม้, เงานุ่ม, พื้นผิวมัน และแสงสะท้อน — แถมใช้เพียง 1 Ray/Pixel และ 1 Sample/Pixel เท่านั้น! แล้วค่อย “ฟื้นคืนภาพ” ด้วยเทคนิค AI Denoising ที่ใกล้เคียงกับ NVIDIA Ray Reconstruction (DLSS 3.5/4) และ AMD Ray Regeneration (FSR 4 Redstone)

    Intel ยังเผยผลลัพธ์แบบตรง ๆ ว่า GPU Arc B580 รันได้ 30FPS ที่ 1440p พร้อมระบบ AI Denoising ที่จัดการกับปัญหายาก ๆ อย่าง เงา, แสงสะท้อน, Moiré pattern, และ ghosting ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ✅ Intel โชว์เดโม Path Tracing “1 ล้านล้านสามเหลี่ยม” บน Arc B580 ที่ 1440p/30FPS  
    • ใช้การเรนเดอร์ 1 sample/pixel พร้อม AI denoising

    ✅ เทคนิคใหม่ Resampled Importance Sampling (RIS) ช่วยลด noise 10 เท่า  
    • จัด sample เป็น histogram + ใช้ quasi Monte Carlo + blue noise  
    • ลดภาระเรนเดอร์แต่ได้คุณภาพใกล้ภาพจริง

    ✅ Intel เปิดตัว Open Image Denoise 2 แบบ cross-vendor  
    • รองรับการ์ด Intel/NVIDIA/AMD ได้ทั้งหมด  
    • เตรียมใช้ neural network รุ่นใหม่ในเวอร์ชันถัดไป

    ✅ Denoiser รองรับหลายอาการยาก ๆ เช่น:  
    • เงา, แสงสะท้อน, flickering, moiré, ghosting, และ disocclusion  
    • ใช้ spatiotemporal joint neural model ที่ทั้ง denoise + supersample พร้อมกัน

    ✅ Intel ใช้ Neural Texture Compression (TSNC) + DirectX Cooperative Vectors  
    • ลดภาระการโหลด texture ได้ 47 เท่าเมื่อเทียบกับ FMA  
    • ความเร็วสูงกว่า BC6 baseline แบบเดิม

    ✅ Arc B580 และ Arc 140V ใช้ TSNC ได้แล้วในไดรเวอร์ล่าสุด  
    • ลดการใช้ VRAM และเพิ่มประสิทธิภาพชัดเจน

    ✅ เทคนิคนี้จะถูกนำไปใช้ใน iGPU รุ่นถัดไปด้วย (Lunar Lake และ Battlemage)  
    • ช่วยให้ iGPU ทำ Path Tracing ได้จริงจังขึ้น

    ‼️ เทคนิค denoising แบบ neural ต้องใช้ training ที่หลากหลายเพื่อให้ได้ผลดี  
    • หากข้อมูลเทรนไม่ครอบคลุม จะทำให้เกิด ghosting, flicker หรือเบลอผิดจุด

    ‼️ การรัน path tracing ด้วย 1 spp มี noise สูงมาก ก่อน denoising  
    • หากไม่ได้ใช้ AI ช่วยจะมองแทบไม่รู้เรื่อง

    ‼️ คุณภาพที่ได้ยังไม่เท่า real-time Path Tracing เต็มรูปแบบ เช่นของ DLSS 4 หรือ RTX GI แบบสมบูรณ์  
    • เหมาะกับผู้ที่ยอม trade-off บางอย่างเพื่อให้รันบนเครื่องเบาได้

    ‼️ ยังไม่มี roadmap ชัดเจนว่าความสามารถนี้จะถูกใส่ในเกมจริงเมื่อใด  
    • ต้องรอติดตามว่าจะมี Engine ใดนำไปใช้จริงบ้าง

    https://wccftech.com/intel-enabling-high-fidelity-visuals-faster-performance-on-built-in-gpus-demos-ray-reconstruction-path-tracing-arc-b580/
    Path Tracing คือเทคนิคเรนเดอร์ขั้นเทพของโลกเกม ที่ให้ผลลัพธ์แสง–เงาสมจริงขั้นสุด แต่มัน กินแรงเครื่องมหาศาล ทำให้แม้แต่ AAA เกมก็ยังใช้ได้แบบจำกัด Intel เลยพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้ iGPU และ dGPU ราคาจับต้องได้สามารถรัน Path Tracing ได้จริง โดยใช้เทคนิคหลายด้าน ทั้ง: - Resampled Importance Sampling (RIS) แบบใหม่ - Open Image Denoise 2 รุ่นล่าสุดที่ใช้ Neural Denoising - และ Neural Texture Compression (TSNC) ที่ช่วยลดภาระหน่วยความจำได้สูงสุด 47 เท่า พวกเขาทดสอบบนฉาก Jungle Ruins ขนาดใหญ่ แอนิเมชันซับซ้อน มีทุกอย่างทั้งต้นไม้, เงานุ่ม, พื้นผิวมัน และแสงสะท้อน — แถมใช้เพียง 1 Ray/Pixel และ 1 Sample/Pixel เท่านั้น! แล้วค่อย “ฟื้นคืนภาพ” ด้วยเทคนิค AI Denoising ที่ใกล้เคียงกับ NVIDIA Ray Reconstruction (DLSS 3.5/4) และ AMD Ray Regeneration (FSR 4 Redstone) Intel ยังเผยผลลัพธ์แบบตรง ๆ ว่า GPU Arc B580 รันได้ 30FPS ที่ 1440p พร้อมระบบ AI Denoising ที่จัดการกับปัญหายาก ๆ อย่าง เงา, แสงสะท้อน, Moiré pattern, และ ghosting ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ Intel โชว์เดโม Path Tracing “1 ล้านล้านสามเหลี่ยม” บน Arc B580 ที่ 1440p/30FPS   • ใช้การเรนเดอร์ 1 sample/pixel พร้อม AI denoising ✅ เทคนิคใหม่ Resampled Importance Sampling (RIS) ช่วยลด noise 10 เท่า   • จัด sample เป็น histogram + ใช้ quasi Monte Carlo + blue noise   • ลดภาระเรนเดอร์แต่ได้คุณภาพใกล้ภาพจริง ✅ Intel เปิดตัว Open Image Denoise 2 แบบ cross-vendor   • รองรับการ์ด Intel/NVIDIA/AMD ได้ทั้งหมด   • เตรียมใช้ neural network รุ่นใหม่ในเวอร์ชันถัดไป ✅ Denoiser รองรับหลายอาการยาก ๆ เช่น:   • เงา, แสงสะท้อน, flickering, moiré, ghosting, และ disocclusion   • ใช้ spatiotemporal joint neural model ที่ทั้ง denoise + supersample พร้อมกัน ✅ Intel ใช้ Neural Texture Compression (TSNC) + DirectX Cooperative Vectors   • ลดภาระการโหลด texture ได้ 47 เท่าเมื่อเทียบกับ FMA   • ความเร็วสูงกว่า BC6 baseline แบบเดิม ✅ Arc B580 และ Arc 140V ใช้ TSNC ได้แล้วในไดรเวอร์ล่าสุด   • ลดการใช้ VRAM และเพิ่มประสิทธิภาพชัดเจน ✅ เทคนิคนี้จะถูกนำไปใช้ใน iGPU รุ่นถัดไปด้วย (Lunar Lake และ Battlemage)   • ช่วยให้ iGPU ทำ Path Tracing ได้จริงจังขึ้น ‼️ เทคนิค denoising แบบ neural ต้องใช้ training ที่หลากหลายเพื่อให้ได้ผลดี   • หากข้อมูลเทรนไม่ครอบคลุม จะทำให้เกิด ghosting, flicker หรือเบลอผิดจุด ‼️ การรัน path tracing ด้วย 1 spp มี noise สูงมาก ก่อน denoising   • หากไม่ได้ใช้ AI ช่วยจะมองแทบไม่รู้เรื่อง ‼️ คุณภาพที่ได้ยังไม่เท่า real-time Path Tracing เต็มรูปแบบ เช่นของ DLSS 4 หรือ RTX GI แบบสมบูรณ์   • เหมาะกับผู้ที่ยอม trade-off บางอย่างเพื่อให้รันบนเครื่องเบาได้ ‼️ ยังไม่มี roadmap ชัดเจนว่าความสามารถนี้จะถูกใส่ในเกมจริงเมื่อใด   • ต้องรอติดตามว่าจะมี Engine ใดนำไปใช้จริงบ้าง https://wccftech.com/intel-enabling-high-fidelity-visuals-faster-performance-on-built-in-gpus-demos-ray-reconstruction-path-tracing-arc-b580/
    WCCFTECH.COM
    Intel Talks How It Is Enabling High-Fidelity Visuals & Faster Performance on Built-in GPUs, Demos Ray Reconstruction-Like Denoiser For Path Tracing On Arc B580
    At SIGGRAPH & HPG 2025, Intel talked about its improvements to visual fidelity & performance for built-in and discrete GPUs.
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • หลายคนรู้ว่าโลกของ SSD แรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าจะใช้ SSD Gen5 แบบเต็มสปีดหลายตัวพร้อมกัน คุณอาจต้องใช้ RAID Card ตัวใหญ่ ยาวเต็มเคส แถมต้องต่อสายไฟเฉพาะ... ซึ่งมันไม่เหมาะกับ Workstation ขนาดเล็กเลย

    นี่แหละคือจุดเด่นของ HighPoint Rocket 7604A ตัวนี้ มัน เล็กกว่ารุ่นเดิมครึ่งหนึ่ง (เมื่อเทียบกับ Rocket 1608A), ติดตั้งใน ช่อง PCIe แบบครึ่งการ์ด (half-length) และที่สำคัญ... ไม่ต้องใช้สายไฟเพิ่มเลย! รับพลังงานจาก PCIe Slot ได้พอสำหรับ SSD Gen5 ถึง 4 ตัว

    TweakTown ทดสอบแล้วพบว่า ด้วย SSD Samsung 9100 Pro 4 ตัว มันทำความเร็วได้ 59.8 GB/s (CrystalDiskMark) และ 54 GB/s บน ATTO! เป็นการ์ดแบบ 4 ช่อง Gen5 x4 ใช้ RAID Controller จาก Broadcom รุ่น PEX89048A

    การ์ดรองรับ RAID 0, RAID 1 ผ่าน Windows และ RAID 10 ผ่านซอฟต์แวร์ของ HighPoint เอง

    ✅ HighPoint Rocket 7604A เป็นการ์ด RAID PCIe Gen5 แบบครึ่งการ์ด (half-length)  
    • ใช้ได้ใน Workstation เล็ก  
    • ไม่ต้องต่อสายไฟเพิ่ม (powered by PCIe slot เท่านั้น)

    ✅ ความเร็วทะลุ 59.8 GB/s เมื่อใช้ SSD Gen5 4 ตัว (Samsung 9100 Pro)  
    • ทดสอบผ่าน CrystalDiskMark / ATTO / Anvil  
    • เร็วกว่า Rocket 1608A ที่ใช้ SSD 8 ตัวเสียอีก

    ✅ รองรับทั้งแพลตฟอร์ม Intel และ AMD  
    • Intel ทำคะแนนดีกว่าใน Anvil / Blackmagic  
    • AMD ดีกว่าในงาน file transfer บางประเภท

    ✅ ใช้งานได้กับทั้ง SSD Gen5 และ Gen4 (แต่อัตราเร่งจะลดลงถ้าใช้ Gen4)  
    • มีช่อง M.2 แบบ x4 ทั้งหมด 4 ช่อง

    ✅ ราคา $999 (ลดจาก $1,999 เดิม)  
    • ถูกกว่า 1608A แต่ประสิทธิภาพพอ ๆ กัน

    ✅ รองรับ RAID 0 / 1 (ผ่าน Windows) และ RAID 10 ผ่าน HighPoint Utility  
    • เหมาะกับผู้ใช้งานมืออาชีพด้าน video, 3D, AI inferencing

    ‼️ รองรับเฉพาะ SSD แบบ “Bare” เท่านั้น (ไม่มีฮีตซิงค์)  
    • ต้องระวังเรื่องความร้อน หรือหาวิธีเสริม cooling แบบเฉพาะทาง

    ‼️ แม้ไม่ต้องใช้สายไฟ แต่ไฟจาก PCIe slot อาจไม่พอถ้า SSD ใช้ไฟสูงผิดปกติ  
    • ต้องเลือก SSD ที่กินไฟตามสเปกมาตรฐาน

    ‼️ RAID นี้เป็น software RAID — ไม่ได้ทำ hardware RAID ในตัว  
    • ส่งผลให้มีภาระโหลด CPU บางส่วน

    ‼️ ไม่รองรับ ECC หรือฟีเจอร์ระดับ enterprise  
    • ยังไม่เหมาะกับ mission-critical แบบ data center ที่ต้องการ RAS

    https://www.techradar.com/pro/a-masterpiece-of-engineering-highpoint-storage-aic-is-expensive-but-at-60gbps-sequential-throughput-it-will-quench-almost-anyones-thirst-for-speed
    หลายคนรู้ว่าโลกของ SSD แรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าจะใช้ SSD Gen5 แบบเต็มสปีดหลายตัวพร้อมกัน คุณอาจต้องใช้ RAID Card ตัวใหญ่ ยาวเต็มเคส แถมต้องต่อสายไฟเฉพาะ... ซึ่งมันไม่เหมาะกับ Workstation ขนาดเล็กเลย นี่แหละคือจุดเด่นของ HighPoint Rocket 7604A ตัวนี้ มัน เล็กกว่ารุ่นเดิมครึ่งหนึ่ง (เมื่อเทียบกับ Rocket 1608A), ติดตั้งใน ช่อง PCIe แบบครึ่งการ์ด (half-length) และที่สำคัญ... ไม่ต้องใช้สายไฟเพิ่มเลย! รับพลังงานจาก PCIe Slot ได้พอสำหรับ SSD Gen5 ถึง 4 ตัว TweakTown ทดสอบแล้วพบว่า ด้วย SSD Samsung 9100 Pro 4 ตัว มันทำความเร็วได้ 59.8 GB/s (CrystalDiskMark) และ 54 GB/s บน ATTO! เป็นการ์ดแบบ 4 ช่อง Gen5 x4 ใช้ RAID Controller จาก Broadcom รุ่น PEX89048A การ์ดรองรับ RAID 0, RAID 1 ผ่าน Windows และ RAID 10 ผ่านซอฟต์แวร์ของ HighPoint เอง ✅ HighPoint Rocket 7604A เป็นการ์ด RAID PCIe Gen5 แบบครึ่งการ์ด (half-length)   • ใช้ได้ใน Workstation เล็ก   • ไม่ต้องต่อสายไฟเพิ่ม (powered by PCIe slot เท่านั้น) ✅ ความเร็วทะลุ 59.8 GB/s เมื่อใช้ SSD Gen5 4 ตัว (Samsung 9100 Pro)   • ทดสอบผ่าน CrystalDiskMark / ATTO / Anvil   • เร็วกว่า Rocket 1608A ที่ใช้ SSD 8 ตัวเสียอีก ✅ รองรับทั้งแพลตฟอร์ม Intel และ AMD   • Intel ทำคะแนนดีกว่าใน Anvil / Blackmagic   • AMD ดีกว่าในงาน file transfer บางประเภท ✅ ใช้งานได้กับทั้ง SSD Gen5 และ Gen4 (แต่อัตราเร่งจะลดลงถ้าใช้ Gen4)   • มีช่อง M.2 แบบ x4 ทั้งหมด 4 ช่อง ✅ ราคา $999 (ลดจาก $1,999 เดิม)   • ถูกกว่า 1608A แต่ประสิทธิภาพพอ ๆ กัน ✅ รองรับ RAID 0 / 1 (ผ่าน Windows) และ RAID 10 ผ่าน HighPoint Utility   • เหมาะกับผู้ใช้งานมืออาชีพด้าน video, 3D, AI inferencing ‼️ รองรับเฉพาะ SSD แบบ “Bare” เท่านั้น (ไม่มีฮีตซิงค์)   • ต้องระวังเรื่องความร้อน หรือหาวิธีเสริม cooling แบบเฉพาะทาง ‼️ แม้ไม่ต้องใช้สายไฟ แต่ไฟจาก PCIe slot อาจไม่พอถ้า SSD ใช้ไฟสูงผิดปกติ   • ต้องเลือก SSD ที่กินไฟตามสเปกมาตรฐาน ‼️ RAID นี้เป็น software RAID — ไม่ได้ทำ hardware RAID ในตัว   • ส่งผลให้มีภาระโหลด CPU บางส่วน ‼️ ไม่รองรับ ECC หรือฟีเจอร์ระดับ enterprise   • ยังไม่เหมาะกับ mission-critical แบบ data center ที่ต้องการ RAS https://www.techradar.com/pro/a-masterpiece-of-engineering-highpoint-storage-aic-is-expensive-but-at-60gbps-sequential-throughput-it-will-quench-almost-anyones-thirst-for-speed
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • Texas Instruments เป็นผู้ผลิตชิปอนาล็อกรายใหญ่ระดับโลก (ใช้ควบคุมพลังงาน, สัญญาณ, sensor ต่าง ๆ) ซึ่งเจ้าใหญ่ ๆ อย่าง Apple, NVIDIA, Ford, Medtronic และ SpaceX ต่างเป็นลูกค้าหลัก คราวนี้ TI ออกมาประกาศว่าจะลงทุนรวมกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ใน “สายการผลิตขนาด 300 มม.” ทั้งหมด 7 แห่ง ทั่วสหรัฐฯ ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

    ไฮไลต์ของแผนคือ “การยกระดับ 3 mega-site” ได้แก่ที่เมือง Sherman (เทกซัส), Richardson (เทกซัส), และ Lehi (ยูทาห์) — โดยเฉพาะ ไซต์ Sherman ได้งบถึง 40,000 ล้านดอลลาร์! เพื่อสร้างโรงงาน SM1 และ SM2 ให้เสร็จ และวางแผนเริ่ม SM3 และ SM4 เพื่อรองรับ “ดีมานด์ในอนาคต”

    ฝั่ง Lehi กับ Richardson ก็ไม่น้อยหน้า — TI เตรียมอัปเกรดสายการผลิต พร้อมเร่งสร้างโรงงานน้องใหม่อย่าง LFAB2 ไปพร้อมกัน

    แม้ TI จะเคยได้รับคำสัญญาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะสนับสนุนเงิน $1.6 พันล้านภายใต้ CHIPS Act (เพื่อขยายไลน์ผลิตให้ทันสมัยขึ้น) แต่ครั้งนี้ TI ไม่ได้พูดถึงเงินสนับสนุนใด ๆ — ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่านี่อาจเป็น “เกมการเมืองล่วงหน้า” เพื่อแสดงความร่วมมือก่อนกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ตัดสินใจรอบใหม่ว่าจะจ่ายจริงหรือไม่

    แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แผนนี้จะสร้างงานหลายหมื่นตำแหน่ง และเป็นประโยชน์ต่อระบบการศึกษาในพื้นที่โดยตรง เช่น สนับสนุนโรงเรียนในพื้นที่ให้สร้าง pipeline ป้อนเด็กเข้าโรงงานของ TI โดยตรงเลย!

    ✅ Texas Instruments จะลงทุนกว่า $60 พันล้านในโรงงานผลิตชิป 7 แห่งในสหรัฐฯ  
    • ถือเป็นการลงทุนด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

    ✅ เน้นที่โรงงานขนาด 300 มม. (wafer)  
    • ใช้ผลิต “ชิปอนาล็อกพื้นฐาน” ที่จำเป็นกับอุตสาหกรรมเกือบทุกประเภท

    ✅ ไซต์หลัก 3 แห่ง: Sherman, Richardson (เทกซัส) และ Lehi (ยูทาห์)  
    • Sherman ได้งบกว่า $40B สร้าง SM1–SM4  
    • Lehi จะเร่งสร้าง LFAB2 และเร่งกำลังผลิต  
    • Richardson เพิ่ม output ของ fab ที่ 2

    ✅ มีลูกค้ารายใหญ่อย่าง Apple, NVIDIA, Medtronic, Ford, SpaceX ออกมาหนุน  
    • แสดงให้เห็นว่าแผนนี้ “ได้รับการสนับสนุนระดับ ecosystem”

    ✅ ตั้งเป้าเสริม supply chain ภายในประเทศ ไม่พึ่งพาต่างชาติ  
    • สอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ

    ‼️ ยังไม่ชัดว่าเงินทุนทั้งหมดจะมาจาก TI จริง หรือรอ CHIPS Act อนุมัติอยู่เบื้องหลัง  
    • มีผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสงสัยว่าแผนนี้อาจมี “กลยุทธ์การเมือง” แฝงอยู่

    ‼️ TI ไม่พูดถึงการพัฒนา node ขั้นสูง (เช่น sub-7nm หรือ AI chip)  
    • ชิปของ TI ยังอยู่ในหมวด “foundational analog” ซึ่งแม้จำเป็น แต่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเท่าคู่แข่ง

    ‼️ แรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในการตั้งโรงงานในประเทศ อาจสร้างภาระด้านต้นทุนกับบริษัท  
    • โดยเฉพาะหากต้องแข่งขันด้านราคากับผู้ผลิตในเอเชีย

    ‼️ ยังไม่มีไทม์ไลน์ชัดเจนสำหรับสายผลิตใหม่หลายแห่ง เช่น SM3/SM4 ที่อยู่ในขั้น “แผนล่วงหน้า”  
    • อาจล่าช้าหากเงินทุนไม่มากพอ หรือเงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/texas-instruments-commits-usd60-billion-to-u-s-semiconductor-manufacturing-includes-planned-expansions-to-texas-utah-fabs
    Texas Instruments เป็นผู้ผลิตชิปอนาล็อกรายใหญ่ระดับโลก (ใช้ควบคุมพลังงาน, สัญญาณ, sensor ต่าง ๆ) ซึ่งเจ้าใหญ่ ๆ อย่าง Apple, NVIDIA, Ford, Medtronic และ SpaceX ต่างเป็นลูกค้าหลัก คราวนี้ TI ออกมาประกาศว่าจะลงทุนรวมกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ใน “สายการผลิตขนาด 300 มม.” ทั้งหมด 7 แห่ง ทั่วสหรัฐฯ ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ไฮไลต์ของแผนคือ “การยกระดับ 3 mega-site” ได้แก่ที่เมือง Sherman (เทกซัส), Richardson (เทกซัส), และ Lehi (ยูทาห์) — โดยเฉพาะ ไซต์ Sherman ได้งบถึง 40,000 ล้านดอลลาร์! เพื่อสร้างโรงงาน SM1 และ SM2 ให้เสร็จ และวางแผนเริ่ม SM3 และ SM4 เพื่อรองรับ “ดีมานด์ในอนาคต” ฝั่ง Lehi กับ Richardson ก็ไม่น้อยหน้า — TI เตรียมอัปเกรดสายการผลิต พร้อมเร่งสร้างโรงงานน้องใหม่อย่าง LFAB2 ไปพร้อมกัน แม้ TI จะเคยได้รับคำสัญญาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะสนับสนุนเงิน $1.6 พันล้านภายใต้ CHIPS Act (เพื่อขยายไลน์ผลิตให้ทันสมัยขึ้น) แต่ครั้งนี้ TI ไม่ได้พูดถึงเงินสนับสนุนใด ๆ — ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่านี่อาจเป็น “เกมการเมืองล่วงหน้า” เพื่อแสดงความร่วมมือก่อนกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ตัดสินใจรอบใหม่ว่าจะจ่ายจริงหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แผนนี้จะสร้างงานหลายหมื่นตำแหน่ง และเป็นประโยชน์ต่อระบบการศึกษาในพื้นที่โดยตรง เช่น สนับสนุนโรงเรียนในพื้นที่ให้สร้าง pipeline ป้อนเด็กเข้าโรงงานของ TI โดยตรงเลย! ✅ Texas Instruments จะลงทุนกว่า $60 พันล้านในโรงงานผลิตชิป 7 แห่งในสหรัฐฯ   • ถือเป็นการลงทุนด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ✅ เน้นที่โรงงานขนาด 300 มม. (wafer)   • ใช้ผลิต “ชิปอนาล็อกพื้นฐาน” ที่จำเป็นกับอุตสาหกรรมเกือบทุกประเภท ✅ ไซต์หลัก 3 แห่ง: Sherman, Richardson (เทกซัส) และ Lehi (ยูทาห์)   • Sherman ได้งบกว่า $40B สร้าง SM1–SM4   • Lehi จะเร่งสร้าง LFAB2 และเร่งกำลังผลิต   • Richardson เพิ่ม output ของ fab ที่ 2 ✅ มีลูกค้ารายใหญ่อย่าง Apple, NVIDIA, Medtronic, Ford, SpaceX ออกมาหนุน   • แสดงให้เห็นว่าแผนนี้ “ได้รับการสนับสนุนระดับ ecosystem” ✅ ตั้งเป้าเสริม supply chain ภายในประเทศ ไม่พึ่งพาต่างชาติ   • สอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ‼️ ยังไม่ชัดว่าเงินทุนทั้งหมดจะมาจาก TI จริง หรือรอ CHIPS Act อนุมัติอยู่เบื้องหลัง   • มีผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสงสัยว่าแผนนี้อาจมี “กลยุทธ์การเมือง” แฝงอยู่ ‼️ TI ไม่พูดถึงการพัฒนา node ขั้นสูง (เช่น sub-7nm หรือ AI chip)   • ชิปของ TI ยังอยู่ในหมวด “foundational analog” ซึ่งแม้จำเป็น แต่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเท่าคู่แข่ง ‼️ แรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในการตั้งโรงงานในประเทศ อาจสร้างภาระด้านต้นทุนกับบริษัท   • โดยเฉพาะหากต้องแข่งขันด้านราคากับผู้ผลิตในเอเชีย ‼️ ยังไม่มีไทม์ไลน์ชัดเจนสำหรับสายผลิตใหม่หลายแห่ง เช่น SM3/SM4 ที่อยู่ในขั้น “แผนล่วงหน้า”   • อาจล่าช้าหากเงินทุนไม่มากพอ หรือเงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/texas-instruments-commits-usd60-billion-to-u-s-semiconductor-manufacturing-includes-planned-expansions-to-texas-utah-fabs
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Texas Instruments commits $60 billion to U.S. semiconductor manufacturing — includes planned expansions to Texas, Utah fabs
    Texas Instruments announces investments in seven upcoming U.S. 300mm fabs, though we already knew about five
    0 Comments 0 Shares 140 Views 0 Reviews
  • ..ถ้าทรัมป์มาเพื่อหยุดสงคราม เปลี่ยนแปลงอนาคต คงไม่ตกลงเข้าร่วมสงครามจากdeep stateยั่วยุหรอก,ส่วนทางเรา คำทำนายจากพระเกจิอาจารย์ต่างๆก็จะเกิดสงครามโลกแน่ เริ่มจากอาหรับตะออกกลางรบกัน,มโนแบบเราๆผีบ้าที่ติดตามพวกบ้าๆก็ว่าทรัมป์มาหยุดสงครามเปลี่ยนเส้นเวลาที่เคยพินาศเลวชั่วมิให้ซ้ำรอยก็ว่า,คือไม่ร่วมสงครามตามอีลิทเสนอทางเลือกให้,หากเมกาเข้าร่วม จีนรัสเชียมาแน่พร้อมเล่นละครนี้,มีการตายจริงเจ็บจริงอีกฉาก,ผู้ถูกเลือกที่ลงมาเพื่อรับบทเสียสละของฝ่ายแสงตายในสนามรบพะนะ,เพื่อภาระกิจทำลายทุกๆสัญลักษณ์ของอีลิทdeep stateหมดไปจากโลกเช่นเมกกะซาอุฯเตรียมระเบิดแน่,และสถานที่เชิงสัญลักษณ์ทั้งหมดทั่วโลกทั้งทางสายเอกและสายโทแบบไทยอาจอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้นล่ะ ตาปีศาจของซาตานที่อีลิทไทยสร้างบูชาซาตานส่งพลังงานเติมพลังงานให้ซาตานผ่านสถานที่เหล่านี้ที่มีการเคลื่อนไหวด้านพลังงานของคนไทยที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณนี้ตลอดเวลาทั้งหมด,ประเทศไทยจึงไม่เคยสงบสุขเพราะฝังสัญลักษณ์ปีศาจซาตานไว้,อนุสาวรีย์ชัยแค่บางสถานที่ยังมีอีกทั่วประเทศแน่นอน,แต่หลักๆในไทยที่เด่นชัดคือแหล่งนี้.,สองมุกทำลายโดมโลกที่ครอบโลกโดมนี้ คงอยากลองอาวุธว่าจะทำลายโดมนี้ได้มั้ย ยิงจรวดส่งดาวเทียมขึ้นไปหลายครั้งแมร่งกระทบโดมโลกตกลงมาทุกๆครั้ง ไม่ก็ระเบิดกลางอากาศแทนทันที.
    ..จะเกิดอะไรก็ตามแต่ คนไทยถ้ามีผู้นำกากๆ ก็รอดยาก,อาจพังพินาศดับอนาถทั้งประเทศพร้อมกันได้,มีผู้นำที่ฉลาดเก่งดีทันคนทันยุคทันความคิดหรือล้ำความคิดอ่านพวกก่อสงครามแบบนี้ ไทยเราก็รอดเพราะมีสาระพัดมุกวิธีนำพาคนไทยรับมือเอาตัวรอดด้วยกันไปพร้อมกันได้.,ปัจจุบันจะดีได้นั้นเอง,แต่ถ้ามีนายกฯแบยคลิปหลุดว่าทหารไทยไม่ใช่พวกเราเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเราและเขมร ,สงครามขี้หมาอะไรเกิดขึ้นหรือวิกฤติขี้แมวเกิดขึ้น ทั้งประเทศไทยก็พังง่ายๆแบบตึกสตง.นั้นล่ะ ยุคใครอนุมัติสร้าง ยุคตังให้อนุมัติยุคไหน กินกันยุคๆไหนยังลงโทษตัวจริงไม่ได้เลย,ตึกอื่นๆไม่ถล่มนะ ,ตึกสตง.มันถล่มตึกเดียวก็อันเดียวกันนั้นล่ะนี้คือคุณสมบัติผู้นำประเทศไทยที่กากที่สุด สมควรลบออกจากประวัติศาสตร์ประเทศไทยจริงๆ.,และแพ้การเลือกตั้งด้วย ไม่มีสถานะพอเข้าคุณสมบัติจัดตั้งรัฐบาล,นั้นคือคนมีอำนาจยุคที่เขียนกฎหมายการเลือกตั้งและคณะเขียนกฎหมายการเลืิกตั้งตลอดพวกยกมือลงมติให้กฎหมายนี้ผ่าน มันชั่วช้าเลวทรามมาก ส้นตีนแค่หลักการขั้นพื้นฐานว่า นายกฯต้องเลือกตั้งตรงจากประชาชนเท่านั้นเสือกไร้สมองคิดอ่านเขียนให้เป็นหลักให้มั่นไม่ได้,นี้คือความล้มเหลวของวิถีการปกครองเราโดยสายลึก,จึงไม่แปลกใจจะสร้างสิ่งทรามเลวระยำขึ้นมานำประเทศชาติให้เสียหายได้ จนมีวาทะว่า ทหารไทยคือฝ่ายตรงข้ามเราพะนะ.,นี้คือผลงานอันลุแก่อำนาจที่คนมีอำนาจยุคนั่นเขียนกฎหมายผีบ้าสืบทอดอำนาจตนเอง.แบบนายกฯไม่ต้องกาเลือกตั้งตรงจากประชาชนก็ได้และเหี้ยถึงปัจจุบัน สภาก็ไม่แก้ร่วมใจกันแก้ข้อกฎหมายนี้จนผ่านมาถึงปัจจุบัน.
    ..ถ้าทรัมป์มาเพื่อหยุดสงคราม เปลี่ยนแปลงอนาคต คงไม่ตกลงเข้าร่วมสงครามจากdeep stateยั่วยุหรอก,ส่วนทางเรา คำทำนายจากพระเกจิอาจารย์ต่างๆก็จะเกิดสงครามโลกแน่ เริ่มจากอาหรับตะออกกลางรบกัน,มโนแบบเราๆผีบ้าที่ติดตามพวกบ้าๆก็ว่าทรัมป์มาหยุดสงครามเปลี่ยนเส้นเวลาที่เคยพินาศเลวชั่วมิให้ซ้ำรอยก็ว่า,คือไม่ร่วมสงครามตามอีลิทเสนอทางเลือกให้,หากเมกาเข้าร่วม จีนรัสเชียมาแน่พร้อมเล่นละครนี้,มีการตายจริงเจ็บจริงอีกฉาก,ผู้ถูกเลือกที่ลงมาเพื่อรับบทเสียสละของฝ่ายแสงตายในสนามรบพะนะ,เพื่อภาระกิจทำลายทุกๆสัญลักษณ์ของอีลิทdeep stateหมดไปจากโลกเช่นเมกกะซาอุฯเตรียมระเบิดแน่,และสถานที่เชิงสัญลักษณ์ทั้งหมดทั่วโลกทั้งทางสายเอกและสายโทแบบไทยอาจอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้นล่ะ ตาปีศาจของซาตานที่อีลิทไทยสร้างบูชาซาตานส่งพลังงานเติมพลังงานให้ซาตานผ่านสถานที่เหล่านี้ที่มีการเคลื่อนไหวด้านพลังงานของคนไทยที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณนี้ตลอดเวลาทั้งหมด,ประเทศไทยจึงไม่เคยสงบสุขเพราะฝังสัญลักษณ์ปีศาจซาตานไว้,อนุสาวรีย์ชัยแค่บางสถานที่ยังมีอีกทั่วประเทศแน่นอน,แต่หลักๆในไทยที่เด่นชัดคือแหล่งนี้.,สองมุกทำลายโดมโลกที่ครอบโลกโดมนี้ คงอยากลองอาวุธว่าจะทำลายโดมนี้ได้มั้ย ยิงจรวดส่งดาวเทียมขึ้นไปหลายครั้งแมร่งกระทบโดมโลกตกลงมาทุกๆครั้ง ไม่ก็ระเบิดกลางอากาศแทนทันที. ..จะเกิดอะไรก็ตามแต่ คนไทยถ้ามีผู้นำกากๆ ก็รอดยาก,อาจพังพินาศดับอนาถทั้งประเทศพร้อมกันได้,มีผู้นำที่ฉลาดเก่งดีทันคนทันยุคทันความคิดหรือล้ำความคิดอ่านพวกก่อสงครามแบบนี้ ไทยเราก็รอดเพราะมีสาระพัดมุกวิธีนำพาคนไทยรับมือเอาตัวรอดด้วยกันไปพร้อมกันได้.,ปัจจุบันจะดีได้นั้นเอง,แต่ถ้ามีนายกฯแบยคลิปหลุดว่าทหารไทยไม่ใช่พวกเราเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเราและเขมร ,สงครามขี้หมาอะไรเกิดขึ้นหรือวิกฤติขี้แมวเกิดขึ้น ทั้งประเทศไทยก็พังง่ายๆแบบตึกสตง.นั้นล่ะ ยุคใครอนุมัติสร้าง ยุคตังให้อนุมัติยุคไหน กินกันยุคๆไหนยังลงโทษตัวจริงไม่ได้เลย,ตึกอื่นๆไม่ถล่มนะ ,ตึกสตง.มันถล่มตึกเดียวก็อันเดียวกันนั้นล่ะนี้คือคุณสมบัติผู้นำประเทศไทยที่กากที่สุด สมควรลบออกจากประวัติศาสตร์ประเทศไทยจริงๆ.,และแพ้การเลือกตั้งด้วย ไม่มีสถานะพอเข้าคุณสมบัติจัดตั้งรัฐบาล,นั้นคือคนมีอำนาจยุคที่เขียนกฎหมายการเลือกตั้งและคณะเขียนกฎหมายการเลืิกตั้งตลอดพวกยกมือลงมติให้กฎหมายนี้ผ่าน มันชั่วช้าเลวทรามมาก ส้นตีนแค่หลักการขั้นพื้นฐานว่า นายกฯต้องเลือกตั้งตรงจากประชาชนเท่านั้นเสือกไร้สมองคิดอ่านเขียนให้เป็นหลักให้มั่นไม่ได้,นี้คือความล้มเหลวของวิถีการปกครองเราโดยสายลึก,จึงไม่แปลกใจจะสร้างสิ่งทรามเลวระยำขึ้นมานำประเทศชาติให้เสียหายได้ จนมีวาทะว่า ทหารไทยคือฝ่ายตรงข้ามเราพะนะ.,นี้คือผลงานอันลุแก่อำนาจที่คนมีอำนาจยุคนั่นเขียนกฎหมายผีบ้าสืบทอดอำนาจตนเอง.แบบนายกฯไม่ต้องกาเลือกตั้งตรงจากประชาชนก็ได้และเหี้ยถึงปัจจุบัน สภาก็ไม่แก้ร่วมใจกันแก้ข้อกฎหมายนี้จนผ่านมาถึงปัจจุบัน.
    กองทัพสหรัฐฯพร้อมดำเนินการตอบสนองการตัดสินใจใดๆของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในเรื่องอิหร่าน จากคำยืนยันของ พีท เฮกเซ็ธ รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา (เพนตากอน) พร้อมบ่งชี้ว่าทิศทางของสหรัฐฯน่าจะมีความชัดเจนขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000057558

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • บริษัทใหญ่ ๆ ช่วงนี้มักพูดถึง AI อย่างตื่นเต้น—แต่หลายที่ก็หลบประเด็น “เรื่องตกงาน” เอาไว้ แต่ไม่ใช่กับ Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon ที่ออกจดหมายถึงพนักงานแบบตรงไปตรงมาเลยว่า…

    “เราจะต้องใช้คนน้อยลงในงานบางอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ และใช้คนมากขึ้นในงานแบบใหม่”

    เขาเล่าว่า Amazon มีโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับ Generative AI มากกว่า 1,000 รายการ และจะมีเพิ่มอีกเรื่อย ๆ สิ่งที่ชัดที่สุดคือ งานบางประเภทจะถูก AI มาแทน เพราะมันมีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุนกว่า

    แต่ใช่ว่าทุกคนจะได้ใช้ AI แล้วทำงานสนุกขึ้นนะครับ บางทีมวิศวกรถูกลดจำนวนครึ่งหนึ่ง และถูกกดดันให้ทำงานเร็วกว่าเดิม โดยต้องใช้เครื่องมือ AI อย่าง Copilot ของ Microsoft หรือ Assistant ของ Amazon เองเพื่อเร่งงานให้เสร็จเร็วแบบสายพาน!

    Jassy ยังแนะนำพนักงานแบบจริงใจ (หรือประชดแอบ ๆ?): “ให้ลองอยากรู้อยากเห็นเรื่อง AI, ไปอบรม, ทดลองใช้งาน, และเข้าร่วมระดมไอเดียในทีม” — ซึ่งฟังดูแล้วอาจหมายถึง “เตรียมตัวหางานใหม่ที่ใช้ AI ให้เป็น”

    ✅ Amazon เตรียมลดจำนวนพนักงานองค์กร (corporate workforce) ในอีกไม่กี่ปี  
    • ผลจากการใช้ AI อย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพสูง  
    • จดหมายจาก CEO ระบุชัดว่า “เราจะใช้คนน้อยลงในบางงาน”

    ✅ มีโปรเจกต์ด้าน AI ในองค์กรมากกว่า 1,000 รายการ  
    • ครอบคลุมทั้งด้านลูกค้า การพัฒนา การขาย และปฏิบัติการ  
    • บางระบบใช้ Agent หรือ GPT ช่วยตอบคำถาม สั่งซื้อ หรือสรุปรายงาน

    ✅ Jassy แนะพนักงานให้ “เรียนรู้ AI ให้มากที่สุด”  
    • สนับสนุนให้ไปอบรม ทดลองใช้งาน และเสนอไอเดียใหม่ในการใช้ AI  
    • ถือเป็นการ “เสริมความอยู่รอด” ในยุคที่ AI กำลังกลืนตำแหน่งงาน

    ✅ AI ไม่ได้แทนแค่คนออฟฟิศ แต่รวมถึงพนักงานคลังสินค้าและขนส่ง  
    • มีการใช้หุ่นยนต์กว่าแสนตัว และเริ่มทดลองหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์  
    • หุ่นยนต์บางรุ่นมี “ระบบรับรู้การสัมผัส” แล้ว

    ✅ มีเสียงสะท้อนจากวิศวกรว่า “เหมือนอยู่ในสายพาน AI”  
    • ถูกลดทีม พ่วงงานเพิ่ม พร้อมกดดันใช้ AI มาทำงานแทนมนุษย์

    ‼️ ตำแหน่งระดับต้นในสายขาวกำลังเสี่ยงสูงจากการเข้ามาของ AI  
    • CEO ของ Anthropic เคยคาดว่า 50% ของงานระดับ Entry จะหายไปภายใน 5 ปี

    ‼️ บางคนอาจถูกแทนที่ ไม่ใช่โดย AI แต่โดย “คนที่ใช้ AI ได้ดีกว่า”  
    • ต้องรีบ Upskill โดยไม่รอให้องค์กรจัดให้

    ‼️ การใช้งาน AI อย่างเร่งรีบ อาจกลายเป็นการเพิ่มภาระให้พนักงานแทนที่จะช่วยลด  
    • มีกรณีทีมวิศวกรใน Amazon ถูกลดครึ่ง แต่กำหนดส่งงานกลับไม่ลด

    ‼️ แม้จะมีสิทธิใช้ GPT ได้ในองค์กร แต่คนที่ไม่ปรับตัวจะถูกแซงทันที  
    • ช่องว่างระหว่าง “ผู้ใช้ AI อย่างรู้ทาง” กับ “คนที่ยังไม่เริ่ม” จะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

    https://www.techspot.com/news/108359-amazon-ceo-andy-jassy-tells-workers-ai-replace.html
    บริษัทใหญ่ ๆ ช่วงนี้มักพูดถึง AI อย่างตื่นเต้น—แต่หลายที่ก็หลบประเด็น “เรื่องตกงาน” เอาไว้ แต่ไม่ใช่กับ Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon ที่ออกจดหมายถึงพนักงานแบบตรงไปตรงมาเลยว่า… “เราจะต้องใช้คนน้อยลงในงานบางอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ และใช้คนมากขึ้นในงานแบบใหม่” เขาเล่าว่า Amazon มีโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับ Generative AI มากกว่า 1,000 รายการ และจะมีเพิ่มอีกเรื่อย ๆ สิ่งที่ชัดที่สุดคือ งานบางประเภทจะถูก AI มาแทน เพราะมันมีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุนกว่า แต่ใช่ว่าทุกคนจะได้ใช้ AI แล้วทำงานสนุกขึ้นนะครับ บางทีมวิศวกรถูกลดจำนวนครึ่งหนึ่ง และถูกกดดันให้ทำงานเร็วกว่าเดิม โดยต้องใช้เครื่องมือ AI อย่าง Copilot ของ Microsoft หรือ Assistant ของ Amazon เองเพื่อเร่งงานให้เสร็จเร็วแบบสายพาน! Jassy ยังแนะนำพนักงานแบบจริงใจ (หรือประชดแอบ ๆ?): “ให้ลองอยากรู้อยากเห็นเรื่อง AI, ไปอบรม, ทดลองใช้งาน, และเข้าร่วมระดมไอเดียในทีม” — ซึ่งฟังดูแล้วอาจหมายถึง “เตรียมตัวหางานใหม่ที่ใช้ AI ให้เป็น” ✅ Amazon เตรียมลดจำนวนพนักงานองค์กร (corporate workforce) ในอีกไม่กี่ปี   • ผลจากการใช้ AI อย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพสูง   • จดหมายจาก CEO ระบุชัดว่า “เราจะใช้คนน้อยลงในบางงาน” ✅ มีโปรเจกต์ด้าน AI ในองค์กรมากกว่า 1,000 รายการ   • ครอบคลุมทั้งด้านลูกค้า การพัฒนา การขาย และปฏิบัติการ   • บางระบบใช้ Agent หรือ GPT ช่วยตอบคำถาม สั่งซื้อ หรือสรุปรายงาน ✅ Jassy แนะพนักงานให้ “เรียนรู้ AI ให้มากที่สุด”   • สนับสนุนให้ไปอบรม ทดลองใช้งาน และเสนอไอเดียใหม่ในการใช้ AI   • ถือเป็นการ “เสริมความอยู่รอด” ในยุคที่ AI กำลังกลืนตำแหน่งงาน ✅ AI ไม่ได้แทนแค่คนออฟฟิศ แต่รวมถึงพนักงานคลังสินค้าและขนส่ง   • มีการใช้หุ่นยนต์กว่าแสนตัว และเริ่มทดลองหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์   • หุ่นยนต์บางรุ่นมี “ระบบรับรู้การสัมผัส” แล้ว ✅ มีเสียงสะท้อนจากวิศวกรว่า “เหมือนอยู่ในสายพาน AI”   • ถูกลดทีม พ่วงงานเพิ่ม พร้อมกดดันใช้ AI มาทำงานแทนมนุษย์ ‼️ ตำแหน่งระดับต้นในสายขาวกำลังเสี่ยงสูงจากการเข้ามาของ AI   • CEO ของ Anthropic เคยคาดว่า 50% ของงานระดับ Entry จะหายไปภายใน 5 ปี ‼️ บางคนอาจถูกแทนที่ ไม่ใช่โดย AI แต่โดย “คนที่ใช้ AI ได้ดีกว่า”   • ต้องรีบ Upskill โดยไม่รอให้องค์กรจัดให้ ‼️ การใช้งาน AI อย่างเร่งรีบ อาจกลายเป็นการเพิ่มภาระให้พนักงานแทนที่จะช่วยลด   • มีกรณีทีมวิศวกรใน Amazon ถูกลดครึ่ง แต่กำหนดส่งงานกลับไม่ลด ‼️ แม้จะมีสิทธิใช้ GPT ได้ในองค์กร แต่คนที่ไม่ปรับตัวจะถูกแซงทันที   • ช่องว่างระหว่าง “ผู้ใช้ AI อย่างรู้ทาง” กับ “คนที่ยังไม่เริ่ม” จะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ https://www.techspot.com/news/108359-amazon-ceo-andy-jassy-tells-workers-ai-replace.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Amazon CEO Andy Jassy tells workers: AI will replace some of you
    In a message sent to employees this week, Jassy said generative AI was a "once-in-a-lifetime" technology that completely changes what's possible for customers and businesses.
    0 Comments 0 Shares 66 Views 0 Reviews
  • ช่วงหลังมีงานวิจัยหลายชิ้นเตือนเรื่อง “เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป” ว่าทำให้เด็กเศร้า หวาดระแวง หรือเสี่ยงคิดสั้น แต่การศึกษาใหม่ในวารสาร JAMA ชี้ว่า เวลาอาจไม่ใช่ตัวการหลัก เพราะเด็กที่ใช้มือถือหรือโซเชียลแค่วันละนิด แต่ใช้แบบ “เลิกไม่ได้” ก็เสี่ยงสูงเช่นกัน

    ทีมนักวิจัยจาก Weill Cornell Medical College ตามข้อมูลเด็กกว่า 4,000 คน ตั้งแต่อายุ 10–14 ปี พบว่าเด็กที่มีพฤติกรรม “เสพติดมือถือ” (เช่น วางไม่ลง ขาดแล้วกระวนกระวาย หรือใช้เพิ่มเรื่อย ๆ) มีโอกาสคิดสั้นหรือทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้น 2–3 เท่า แม้จะไม่ได้ใช้หน้าจอนานมาก

    กลุ่มเสี่ยงมากที่สุดคือเด็กที่เริ่มติดตั้งแต่อายุ 11 ปี และยิ่งแย่ขึ้นในช่วงวัย 14 ปี ซึ่งสมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ โดยเฉพาะส่วน prefrontal cortex ที่คุมการหักห้ามใจ

    และที่น่าคิดคือ…การเอามือถือออกจากมือลูกแบบหักดิบ อาจไม่ได้ช่วย แถมสร้างความขัดแย้งในบ้านอีกต่างหาก นักวิจัยแนะนำให้เน้น “บำบัดพฤติกรรมเสพติด” เช่น Cognitive Behavioral Therapy (CBT) แทนการห้ามใช้อย่างเดียว

    ✅ งานวิจัยใหญ่ชี้ว่า “พฤติกรรมเสพติด” ไม่ใช่ “เวลาอยู่หน้าจอ” คือปัจจัยเสี่ยงหลักของสุขภาพจิตเด็ก  
    • การวางไม่ลง / ต้องใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสัญญาณอันตราย  
    • เด็กที่มีพฤติกรรมนี้เสี่ยงคิดสั้นมากขึ้น 2–3 เท่า

    ✅ เกือบครึ่งของเด็กในงานวิจัยมีพฤติกรรมติดมือถือระดับสูงตั้งแต่อายุ 11  
    • อีก 25% เริ่มติดภายหลังและพุ่งขึ้นเร็วในช่วงวัยรุ่น

    ✅ การวัด screen time อย่างเดียวอาจพลาดกลุ่มเสี่ยงที่ใช้ “น้อยแต่ติด”  
    • ต้องติดตามพฤติกรรมแบบ “ต่อเนื่อง” เพื่อจับสัญญาณก่อนสาย

    ✅ ทีมวิจัยแนะนำให้เน้นการบำบัดพฤติกรรมแทนการยึดมือถือ  
    • เช่น การใช้ CBT เพื่อช่วยเด็กควบคุมการใช้งาน  
    • พ่อแม่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่จัดการเองอย่างหักดิบ

    ✅ มีการเรียกร้องให้ผู้ให้บริการออกแบบแอป/อุปกรณ์ให้เหมาะกับวัย (Age-Appropriate Design)  
    • ลดกลไกดึงดูดแบบ loop ไม่มีที่สิ้นสุด เช่น infinite scroll  
    • อังกฤษมีการออกโค้ดแนวทางนี้แล้วตั้งแต่ปี 2020

    ✅ ความเสี่ยงติดมือถือพบบ่อยในกลุ่มครอบครัวยากจนหรือพ่อแม่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย  
    • เป็นภาระซ้อนของสภาพแวดล้อมทางสังคม

    ‼️ ผลวิจัยยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า “ติดมือถือทำให้คิดสั้น” หรือไม่  
    • เพราะเป็นงานแบบสังเกต ไม่ใช่ทดลองควบคุม  • แต่พบว่าพฤติกรรมเสพติดมาก่อนอาการทางจิตชัดเจน

    ‼️ การจำกัด screen time โดยไม่เข้าใจ “เหตุผลที่เด็กใช้งาน” อาจไม่แก้ปัญหา  
    • ต้องดูว่าเด็กใช้เพื่อหนีปัญหาในชีวิตจริงหรือไม่

    ‼️ การพูดเรื่อง screen time อย่างเดียว อาจโยนภาระทั้งหมดให้พ่อแม่  
    • ทั้งที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการออกแบบแอปให้ดึงดูดเกินพอดี

    ‼️ การตัดสินจากแค่ “ชั่วโมงหน้าจอ” อาจพลาดกลุ่มเด็กที่เสพติดเชิงพฤติกรรมแบบลึก ๆ  
    • เช่น ใช้น้อยแต่รู้สึกหงุดหงิดมากถ้าขาดมือถือ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/real-risk-to-youth-mental-health-is-addictive-use-not-screen-time-alone-study-finds
    ช่วงหลังมีงานวิจัยหลายชิ้นเตือนเรื่อง “เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป” ว่าทำให้เด็กเศร้า หวาดระแวง หรือเสี่ยงคิดสั้น แต่การศึกษาใหม่ในวารสาร JAMA ชี้ว่า เวลาอาจไม่ใช่ตัวการหลัก เพราะเด็กที่ใช้มือถือหรือโซเชียลแค่วันละนิด แต่ใช้แบบ “เลิกไม่ได้” ก็เสี่ยงสูงเช่นกัน ทีมนักวิจัยจาก Weill Cornell Medical College ตามข้อมูลเด็กกว่า 4,000 คน ตั้งแต่อายุ 10–14 ปี พบว่าเด็กที่มีพฤติกรรม “เสพติดมือถือ” (เช่น วางไม่ลง ขาดแล้วกระวนกระวาย หรือใช้เพิ่มเรื่อย ๆ) มีโอกาสคิดสั้นหรือทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้น 2–3 เท่า แม้จะไม่ได้ใช้หน้าจอนานมาก กลุ่มเสี่ยงมากที่สุดคือเด็กที่เริ่มติดตั้งแต่อายุ 11 ปี และยิ่งแย่ขึ้นในช่วงวัย 14 ปี ซึ่งสมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ โดยเฉพาะส่วน prefrontal cortex ที่คุมการหักห้ามใจ และที่น่าคิดคือ…การเอามือถือออกจากมือลูกแบบหักดิบ อาจไม่ได้ช่วย แถมสร้างความขัดแย้งในบ้านอีกต่างหาก นักวิจัยแนะนำให้เน้น “บำบัดพฤติกรรมเสพติด” เช่น Cognitive Behavioral Therapy (CBT) แทนการห้ามใช้อย่างเดียว ✅ งานวิจัยใหญ่ชี้ว่า “พฤติกรรมเสพติด” ไม่ใช่ “เวลาอยู่หน้าจอ” คือปัจจัยเสี่ยงหลักของสุขภาพจิตเด็ก   • การวางไม่ลง / ต้องใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสัญญาณอันตราย   • เด็กที่มีพฤติกรรมนี้เสี่ยงคิดสั้นมากขึ้น 2–3 เท่า ✅ เกือบครึ่งของเด็กในงานวิจัยมีพฤติกรรมติดมือถือระดับสูงตั้งแต่อายุ 11   • อีก 25% เริ่มติดภายหลังและพุ่งขึ้นเร็วในช่วงวัยรุ่น ✅ การวัด screen time อย่างเดียวอาจพลาดกลุ่มเสี่ยงที่ใช้ “น้อยแต่ติด”   • ต้องติดตามพฤติกรรมแบบ “ต่อเนื่อง” เพื่อจับสัญญาณก่อนสาย ✅ ทีมวิจัยแนะนำให้เน้นการบำบัดพฤติกรรมแทนการยึดมือถือ   • เช่น การใช้ CBT เพื่อช่วยเด็กควบคุมการใช้งาน   • พ่อแม่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่จัดการเองอย่างหักดิบ ✅ มีการเรียกร้องให้ผู้ให้บริการออกแบบแอป/อุปกรณ์ให้เหมาะกับวัย (Age-Appropriate Design)   • ลดกลไกดึงดูดแบบ loop ไม่มีที่สิ้นสุด เช่น infinite scroll   • อังกฤษมีการออกโค้ดแนวทางนี้แล้วตั้งแต่ปี 2020 ✅ ความเสี่ยงติดมือถือพบบ่อยในกลุ่มครอบครัวยากจนหรือพ่อแม่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย   • เป็นภาระซ้อนของสภาพแวดล้อมทางสังคม ‼️ ผลวิจัยยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า “ติดมือถือทำให้คิดสั้น” หรือไม่   • เพราะเป็นงานแบบสังเกต ไม่ใช่ทดลองควบคุม  • แต่พบว่าพฤติกรรมเสพติดมาก่อนอาการทางจิตชัดเจน ‼️ การจำกัด screen time โดยไม่เข้าใจ “เหตุผลที่เด็กใช้งาน” อาจไม่แก้ปัญหา   • ต้องดูว่าเด็กใช้เพื่อหนีปัญหาในชีวิตจริงหรือไม่ ‼️ การพูดเรื่อง screen time อย่างเดียว อาจโยนภาระทั้งหมดให้พ่อแม่   • ทั้งที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการออกแบบแอปให้ดึงดูดเกินพอดี ‼️ การตัดสินจากแค่ “ชั่วโมงหน้าจอ” อาจพลาดกลุ่มเด็กที่เสพติดเชิงพฤติกรรมแบบลึก ๆ   • เช่น ใช้น้อยแต่รู้สึกหงุดหงิดมากถ้าขาดมือถือ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/real-risk-to-youth-mental-health-is-addictive-use-not-screen-time-alone-study-finds
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Real risk to youth mental health is ‘addictive use’, not screen time alone, study finds
    Researchers found children with highly addictive use of phones, video games or social media were two to three times as likely to have thoughts of suicide or to harm themselves.
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • Data centre คือหัวใจของยุค AI เพราะใช้เก็บและประมวลผลข้อมูลจากทั้งแอปฯ แชต, รูป, โมเดลปัญญาประดิษฐ์ยักษ์ ๆ อย่าง GPT, Gemini และ Llama — และมันกินไฟมหาศาล!

    ทุกวันนี้ศูนย์ข้อมูลใหญ่ ๆ ของยุโรปกระจุกอยู่ใน 5 เมืองหลัก: แฟรงก์เฟิร์ต, ลอนดอน, อัมสเตอร์ดัม, ปารีส และดับลิน แต่ปัญหาคือ... จะเชื่อมศูนย์ข้อมูลใหม่เข้ากับระบบไฟฟ้าในเมืองเหล่านี้ ต้องใช้เวลา 7–13 ปี! ทำให้ผู้พัฒนาจำนวนมากหันไปหาประเทศที่วางแผนโครงสร้างพื้นฐานได้เร็วกว่า เช่น อิตาลี เชื่อมไฟได้ภายใน 3 ปีเท่านั้น

    รายงานเตือนว่า ถ้าแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2035 มีโอกาสสูงที่ศูนย์ข้อมูล ครึ่งหนึ่ง ของยุโรปจะย้ายไปอยู่นอกฮับหลักเดิมเลย — นี่หมายถึงการสูญเสียการลงทุนระดับพันล้านยูโรต่อประเทศ และตำแหน่งงานจำนวนมาก เช่นในเยอรมนี ปี 2024 ศูนย์ข้อมูลสร้าง GDP ได้กว่า €10.4B และคาดว่าจะมากกว่าสองเท่าในปี 2029 หากไม่มีอุปสรรค

    เฉพาะฝรั่งเศสเท่านั้นที่ยังรักษาเสถียรภาพได้ เพราะระบบสายส่งไฟยังไม่ติดคอขวดมากเท่าประเทศอื่น

    ✅ Ember ชี้การวางแผนระบบไฟฟ้าช้า กระทบการกระจายศูนย์ข้อมูลในยุโรป  
    • การเชื่อม Data Centre เข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าใช้เวลานาน 7–13 ปีในฮับหลัก  
    • ทำให้นักลงทุนเบนเข็มไปยังประเทศที่เชื่อมได้เร็ว เช่น อิตาลี ใช้แค่ 3 ปี

    ✅ คาดว่าภายในปี 2035 ครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลยุโรปจะอยู่นอกฮับหลักเดิม  
    • อาจกระทบเศรษฐกิจในประเทศอย่างเยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ

    ✅ ฝรั่งเศสอาจเป็นประเทศเดียวที่รักษาการลงทุนไว้ได้อย่างต่อเนื่อง  
    • เพราะระบบไฟฟ้าไม่ติดปัญหาขัดข้องเหมือนชาติอื่นในกลุ่ม

    ✅ ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในยุโรปเหนือและตะวันออก  
    • เช่น สวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก: คาดว่า demand จะ เพิ่ม 3 เท่าภายในปี 2030  
    • ออสเตรีย, กรีซ, ฟินแลนด์, ฮังการี, อิตาลี, โปรตุเกส, สโลวาเกีย: คาดว่า ไฟที่ใช้กับ data centre จะเพิ่ม 3–5 เท่าในปี 2035

    ✅ Ember ระบุว่า “โครงข่ายไฟ” คือเครื่องมือดึงดูดการลงทุนระดับชาติในยุค AI  
    • ไม่ใช่แค่ data centre — อุตสาหกรรมทุกชนิดที่ต้องการใช้พลังงานสูงจะได้รับผล

    ‼️ หากประเทศไม่เร่งลงทุนในโครงข่ายไฟและระบบอนุมัติ จะสูญเสียโอกาสหลายพันล้านยูโร  
    • ประเทศที่การเชื่อมไฟฟ้าช้า อาจถูกมองข้ามโดยผู้พัฒนา AI/data centre

    ‼️ การกระจุกตัวของ data centre ในไม่กี่เมืองกำลังถึงทางตัน  
    • เกิดปัญหาคอขวด การใช้ไฟฟ้าเกินพิกัด และต้นทุนที่สูงขึ้น

    ‼️ หากปล่อยให้ผู้พัฒนาเลือกที่ตั้งตามความสะดวกเรื่องไฟ โดยไม่มีแผนระดับภูมิภาค อาจเกิดการกระจายตัวแบบไม่สมดุล  
    • กระทบภาระด้านพลังงาน–สิ่งแวดล้อม และแผนเมืองในระยะยาว

    ‼️ ศูนย์ข้อมูลต้องใช้ไฟฟ้าอย่างมั่นคง หากไม่มีแผนสำรองอาจกลายเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์  
    • โดยเฉพาะเมื่อระบบ cloud และ AI เข้าไปอยู่ในทุกธุรกิจภาครัฐและการเงิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/poor-grid-planning-could-shift-europe039s-data-centre-geography-report-says
    Data centre คือหัวใจของยุค AI เพราะใช้เก็บและประมวลผลข้อมูลจากทั้งแอปฯ แชต, รูป, โมเดลปัญญาประดิษฐ์ยักษ์ ๆ อย่าง GPT, Gemini และ Llama — และมันกินไฟมหาศาล! ทุกวันนี้ศูนย์ข้อมูลใหญ่ ๆ ของยุโรปกระจุกอยู่ใน 5 เมืองหลัก: แฟรงก์เฟิร์ต, ลอนดอน, อัมสเตอร์ดัม, ปารีส และดับลิน แต่ปัญหาคือ... จะเชื่อมศูนย์ข้อมูลใหม่เข้ากับระบบไฟฟ้าในเมืองเหล่านี้ ต้องใช้เวลา 7–13 ปี! ทำให้ผู้พัฒนาจำนวนมากหันไปหาประเทศที่วางแผนโครงสร้างพื้นฐานได้เร็วกว่า เช่น อิตาลี เชื่อมไฟได้ภายใน 3 ปีเท่านั้น รายงานเตือนว่า ถ้าแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2035 มีโอกาสสูงที่ศูนย์ข้อมูล ครึ่งหนึ่ง ของยุโรปจะย้ายไปอยู่นอกฮับหลักเดิมเลย — นี่หมายถึงการสูญเสียการลงทุนระดับพันล้านยูโรต่อประเทศ และตำแหน่งงานจำนวนมาก เช่นในเยอรมนี ปี 2024 ศูนย์ข้อมูลสร้าง GDP ได้กว่า €10.4B และคาดว่าจะมากกว่าสองเท่าในปี 2029 หากไม่มีอุปสรรค เฉพาะฝรั่งเศสเท่านั้นที่ยังรักษาเสถียรภาพได้ เพราะระบบสายส่งไฟยังไม่ติดคอขวดมากเท่าประเทศอื่น ✅ Ember ชี้การวางแผนระบบไฟฟ้าช้า กระทบการกระจายศูนย์ข้อมูลในยุโรป   • การเชื่อม Data Centre เข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าใช้เวลานาน 7–13 ปีในฮับหลัก   • ทำให้นักลงทุนเบนเข็มไปยังประเทศที่เชื่อมได้เร็ว เช่น อิตาลี ใช้แค่ 3 ปี ✅ คาดว่าภายในปี 2035 ครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลยุโรปจะอยู่นอกฮับหลักเดิม   • อาจกระทบเศรษฐกิจในประเทศอย่างเยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ ✅ ฝรั่งเศสอาจเป็นประเทศเดียวที่รักษาการลงทุนไว้ได้อย่างต่อเนื่อง   • เพราะระบบไฟฟ้าไม่ติดปัญหาขัดข้องเหมือนชาติอื่นในกลุ่ม ✅ ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในยุโรปเหนือและตะวันออก   • เช่น สวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก: คาดว่า demand จะ เพิ่ม 3 เท่าภายในปี 2030   • ออสเตรีย, กรีซ, ฟินแลนด์, ฮังการี, อิตาลี, โปรตุเกส, สโลวาเกีย: คาดว่า ไฟที่ใช้กับ data centre จะเพิ่ม 3–5 เท่าในปี 2035 ✅ Ember ระบุว่า “โครงข่ายไฟ” คือเครื่องมือดึงดูดการลงทุนระดับชาติในยุค AI   • ไม่ใช่แค่ data centre — อุตสาหกรรมทุกชนิดที่ต้องการใช้พลังงานสูงจะได้รับผล ‼️ หากประเทศไม่เร่งลงทุนในโครงข่ายไฟและระบบอนุมัติ จะสูญเสียโอกาสหลายพันล้านยูโร   • ประเทศที่การเชื่อมไฟฟ้าช้า อาจถูกมองข้ามโดยผู้พัฒนา AI/data centre ‼️ การกระจุกตัวของ data centre ในไม่กี่เมืองกำลังถึงทางตัน   • เกิดปัญหาคอขวด การใช้ไฟฟ้าเกินพิกัด และต้นทุนที่สูงขึ้น ‼️ หากปล่อยให้ผู้พัฒนาเลือกที่ตั้งตามความสะดวกเรื่องไฟ โดยไม่มีแผนระดับภูมิภาค อาจเกิดการกระจายตัวแบบไม่สมดุล   • กระทบภาระด้านพลังงาน–สิ่งแวดล้อม และแผนเมืองในระยะยาว ‼️ ศูนย์ข้อมูลต้องใช้ไฟฟ้าอย่างมั่นคง หากไม่มีแผนสำรองอาจกลายเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์   • โดยเฉพาะเมื่อระบบ cloud และ AI เข้าไปอยู่ในทุกธุรกิจภาครัฐและการเงิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/poor-grid-planning-could-shift-europe039s-data-centre-geography-report-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Poor grid planning could shift Europe's data centre geography, report says
    PARIS (Reuters) -Europe's leading data centre hubs face a major shift as developers will go wherever connection times are shortest, unless there is more proactive electricity grid planning, a report on Thursday by energy think-tank Ember showed.
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • ถอดบทเรียน 'ครููมัท' สะท้อนโครงสร้างบิดเบี้ยว ความล้มเหลวของ ครูไทย
    .
    กรณีการเสียชีวิตของ นางสาวอนุสรา หรือครูมัท ชวนรัมย์ อายุ 39 ปี ข้าราชการครูสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ที่ต้องมาแบกภาระอื่นนอกเหนือจากงานการสอนนั้น ไม่ได้เป็นกรณีแรกที่เกิดขึ้นและจะไม่ได้เป็นกรณีสุดท้ายอย่างแน่นอน หากโครงสร้างระบบการศึกษาของประเทศไทยยังคงเละเทะอย่างในปัจจุบัน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000057228

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ถอดบทเรียน 'ครููมัท' สะท้อนโครงสร้างบิดเบี้ยว ความล้มเหลวของ ครูไทย . กรณีการเสียชีวิตของ นางสาวอนุสรา หรือครูมัท ชวนรัมย์ อายุ 39 ปี ข้าราชการครูสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ที่ต้องมาแบกภาระอื่นนอกเหนือจากงานการสอนนั้น ไม่ได้เป็นกรณีแรกที่เกิดขึ้นและจะไม่ได้เป็นกรณีสุดท้ายอย่างแน่นอน หากโครงสร้างระบบการศึกษาของประเทศไทยยังคงเละเทะอย่างในปัจจุบัน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000057228 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Sad
    4
    0 Comments 0 Shares 419 Views 0 Reviews
  • เพียงแค่ปิดด่านชั่วคราว ก็ช่วยลดคดีค้ามนุษย์ คอลเซ็นเตอร์ ลงได้เยอะ แถมลดภาระแพทย์พยาบาลในการรักษาชาวเหมนที่ไอ้สมเสร็จไม่มีปัญญาดูแล ลดการใช้จ่ายภาษีคนไทยรักษาคนทรยศ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #แสกมเมอร์กัมพูชา
    #แค่เลิกคบก็พบทางสว่าง
    เพียงแค่ปิดด่านชั่วคราว ก็ช่วยลดคดีค้ามนุษย์ คอลเซ็นเตอร์ ลงได้เยอะ แถมลดภาระแพทย์พยาบาลในการรักษาชาวเหมนที่ไอ้สมเสร็จไม่มีปัญญาดูแล ลดการใช้จ่ายภาษีคนไทยรักษาคนทรยศ #คิงส์โพธิ์แดง #แสกมเมอร์กัมพูชา #แค่เลิกคบก็พบทางสว่าง
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • ตอนนี้หลายคนเริ่มใช้ AI แบบจริงจังในการทำงาน เช่น ใช้ ChatGPT ทำสรุปรายงาน หรือ Copilot เขียนสไลด์ รายงานจาก Gallup พบว่าในปี 2025 พนักงานในสหรัฐฯ ที่ใช้ AI “อย่างน้อยไม่กี่ครั้งต่อปี” พุ่งจาก 21% → 40% ภายใน 2 ปี ส่วนคนที่ใช้ “ทุกสัปดาห์” เพิ่มเป็น 19% และใช้งาน “ทุกวัน” ก็ถึง 8% แล้ว

    พนักงานสายคอขาวอย่างเทคโนโลยี การเงิน และผู้บริหารนี่แหละที่ใช้มากสุด โดยเฉพาะผู้จัดการระดับสูงถึง 1 ใน 3 ใช้ AI หลายครั้งต่อสัปดาห์ แต่ที่น่าคิดคือ... มีแค่ 22% เท่านั้นที่บอกว่าองค์กรของตัวเอง “มีแผน AI ที่ชัดเจน” อีก 30% พอมีนโยบายบ้าง แต่เกือบครึ่ง "มึน" ว่าจะใช้ยังไงดี

    และปัญหาใหญ่ที่พนักงานเจอคือ AI ในที่ทำงาน “ไม่มีประโยชน์ชัดเจน” หลายคนโดนบังคับให้ใช้โดยไม่รู้ว่าได้อะไรกลับมา บางคนบอกตรง ๆ ว่า “เครื่องมือมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย”...

    ด้าน Salesforce ก็มองจากมุมเทคโนโลยี พบว่า AI agent (พวกที่สั่งแล้วทำงานให้ เช่นจัดข้อมูล ตอบอีเมล) แม้จะเก่งขึ้น แต่ยังมีข้อจำกัดเยอะ—โดยเฉพาะ งานที่มีหลายขั้นตอนหรือมีบริบทซับซ้อน เช่น ต้องถามกลับลูกค้า หรือเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่ง

    ยิ่งกว่านั้น ยังพบว่า AI Agent ส่วนใหญ่ “ไม่เข้าใจเรื่องข้อมูลลับ” ถ้าเราไม่สั่งให้ปฏิเสธแบบชัดเจน มันอาจเปิดเผยข้อมูลได้ทันที ซึ่งเป็นช่องโหว่ใหญ่ขององค์กร

    ✅ การใช้งาน AI ในที่ทำงานเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง  
    • คนใช้ AI อย่างน้อยปีละไม่กี่ครั้ง: เพิ่มจาก 21% (2023) → 40% (2025)  
    • พนักงานระดับผู้จัดการ ใช้งานบ่อยกว่าระดับปฏิบัติการเกือบเท่าตัว

    ✅ องค์กรยังขาดแนวทาง AI ที่ชัดเจน  
    • มีเพียง 22% เท่านั้นที่บอกว่า “องค์กรมีแผนเกี่ยวกับ AI”  
    • 70% ของพนักงานยังไม่มีนโยบายชัดเจนหรือการฝึกอบรมเรื่อง AI

    ✅ ความเชื่อมั่นต่อ AI สูงขึ้นในกลุ่มที่ได้ใช้งานจริง  
    • คนที่ใช้ AI ตอบลูกค้าโดยตรง เชื่อว่ามันช่วย 68%  
    • คนที่ไม่เคยใช้ กลับเห็นด้วยแค่ 13% ว่า AI มีประโยชน์

    ✅ จากฝั่งเทคโนโลยี: AI agent ทำงานเดี่ยว ๆ ได้ดี แต่ยังล้มเหลวกับงานซับซ้อน  
    • งานขั้นเดียว: สำเร็จเฉลี่ย 58%  
    • งานหลายขั้น เช่นถาม–ตอบต่อเนื่อง: สำเร็จเพียง 35%

    ✅ การใส่ prompt ให้ AI ระวังข้อมูลลับได้ผล แต่ลดความแม่นในการทำงาน  
    • ระบบจะลังเลหรือยอมปฏิเสธมากเกินไปเมื่อเจอข้อมูลอ่อนไหว

    ✅ AI ที่มีความสามารถด้านเหตุผลและกล้าถามเพื่อความเข้าใจ จะมีความแม่นยำมากกว่า  
    • โดยเฉพาะในงานที่ต้องวิเคราะห์ บริบท หรือวางแผนหลายขั้น

    ‼️ องค์กรที่ผลักดัน AI โดยไม่มี “เป้าหมาย” จะทำให้พนักงานสับสนและต่อต้าน  
    • ความล้มเหลวของการใช้งาน AI มักมาจากขาดการสื่อสารจากผู้นำ

    ‼️ เครื่องมือ AI ที่ไม่มีประโยชน์ชัดเจน อาจกลายเป็นภาระมากกว่าความช่วยเหลือ  
    • ผู้ใช้จะรู้สึกว่า “ถูกรบกวน” มากกว่า “ได้รับการสนับสนุน”

    ‼️ AI agent ปัจจุบันยังไม่ปลอดภัยเรื่องข้อมูลอ่อนไหว หากไม่มี prompt ป้องกันเฉพาะ  
    • อาจส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลที่ควรเป็นความลับ

    ‼️ AI ที่สื่อสารด้วยคำสั่งหลายขั้น มักพลาดหากไม่มี context หรือการถามกลับ  
    • มีความเสี่ยงที่ให้คำตอบผิด หรือทำงานไม่ตรงวัตถุประสงค์

    ‼️ องค์กรไม่ควรมอง AI เป็นของเล่น แต่ต้องสื่อสาร-ฝึกอบรมให้ใช้อย่างมีเป้าหมาย  
    • โดยเฉพาะพนักงานที่ไม่ได้อยู่สายเทคโนโลยี

    https://www.techspot.com/news/108350-more-workers-using-ai-but-businesses-struggle-make.html
    ตอนนี้หลายคนเริ่มใช้ AI แบบจริงจังในการทำงาน เช่น ใช้ ChatGPT ทำสรุปรายงาน หรือ Copilot เขียนสไลด์ รายงานจาก Gallup พบว่าในปี 2025 พนักงานในสหรัฐฯ ที่ใช้ AI “อย่างน้อยไม่กี่ครั้งต่อปี” พุ่งจาก 21% → 40% ภายใน 2 ปี ส่วนคนที่ใช้ “ทุกสัปดาห์” เพิ่มเป็น 19% และใช้งาน “ทุกวัน” ก็ถึง 8% แล้ว พนักงานสายคอขาวอย่างเทคโนโลยี การเงิน และผู้บริหารนี่แหละที่ใช้มากสุด โดยเฉพาะผู้จัดการระดับสูงถึง 1 ใน 3 ใช้ AI หลายครั้งต่อสัปดาห์ แต่ที่น่าคิดคือ... มีแค่ 22% เท่านั้นที่บอกว่าองค์กรของตัวเอง “มีแผน AI ที่ชัดเจน” อีก 30% พอมีนโยบายบ้าง แต่เกือบครึ่ง "มึน" ว่าจะใช้ยังไงดี และปัญหาใหญ่ที่พนักงานเจอคือ AI ในที่ทำงาน “ไม่มีประโยชน์ชัดเจน” หลายคนโดนบังคับให้ใช้โดยไม่รู้ว่าได้อะไรกลับมา บางคนบอกตรง ๆ ว่า “เครื่องมือมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย”... ด้าน Salesforce ก็มองจากมุมเทคโนโลยี พบว่า AI agent (พวกที่สั่งแล้วทำงานให้ เช่นจัดข้อมูล ตอบอีเมล) แม้จะเก่งขึ้น แต่ยังมีข้อจำกัดเยอะ—โดยเฉพาะ งานที่มีหลายขั้นตอนหรือมีบริบทซับซ้อน เช่น ต้องถามกลับลูกค้า หรือเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่ง ยิ่งกว่านั้น ยังพบว่า AI Agent ส่วนใหญ่ “ไม่เข้าใจเรื่องข้อมูลลับ” ถ้าเราไม่สั่งให้ปฏิเสธแบบชัดเจน มันอาจเปิดเผยข้อมูลได้ทันที ซึ่งเป็นช่องโหว่ใหญ่ขององค์กร ✅ การใช้งาน AI ในที่ทำงานเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง   • คนใช้ AI อย่างน้อยปีละไม่กี่ครั้ง: เพิ่มจาก 21% (2023) → 40% (2025)   • พนักงานระดับผู้จัดการ ใช้งานบ่อยกว่าระดับปฏิบัติการเกือบเท่าตัว ✅ องค์กรยังขาดแนวทาง AI ที่ชัดเจน   • มีเพียง 22% เท่านั้นที่บอกว่า “องค์กรมีแผนเกี่ยวกับ AI”   • 70% ของพนักงานยังไม่มีนโยบายชัดเจนหรือการฝึกอบรมเรื่อง AI ✅ ความเชื่อมั่นต่อ AI สูงขึ้นในกลุ่มที่ได้ใช้งานจริง   • คนที่ใช้ AI ตอบลูกค้าโดยตรง เชื่อว่ามันช่วย 68%   • คนที่ไม่เคยใช้ กลับเห็นด้วยแค่ 13% ว่า AI มีประโยชน์ ✅ จากฝั่งเทคโนโลยี: AI agent ทำงานเดี่ยว ๆ ได้ดี แต่ยังล้มเหลวกับงานซับซ้อน   • งานขั้นเดียว: สำเร็จเฉลี่ย 58%   • งานหลายขั้น เช่นถาม–ตอบต่อเนื่อง: สำเร็จเพียง 35% ✅ การใส่ prompt ให้ AI ระวังข้อมูลลับได้ผล แต่ลดความแม่นในการทำงาน   • ระบบจะลังเลหรือยอมปฏิเสธมากเกินไปเมื่อเจอข้อมูลอ่อนไหว ✅ AI ที่มีความสามารถด้านเหตุผลและกล้าถามเพื่อความเข้าใจ จะมีความแม่นยำมากกว่า   • โดยเฉพาะในงานที่ต้องวิเคราะห์ บริบท หรือวางแผนหลายขั้น ‼️ องค์กรที่ผลักดัน AI โดยไม่มี “เป้าหมาย” จะทำให้พนักงานสับสนและต่อต้าน   • ความล้มเหลวของการใช้งาน AI มักมาจากขาดการสื่อสารจากผู้นำ ‼️ เครื่องมือ AI ที่ไม่มีประโยชน์ชัดเจน อาจกลายเป็นภาระมากกว่าความช่วยเหลือ   • ผู้ใช้จะรู้สึกว่า “ถูกรบกวน” มากกว่า “ได้รับการสนับสนุน” ‼️ AI agent ปัจจุบันยังไม่ปลอดภัยเรื่องข้อมูลอ่อนไหว หากไม่มี prompt ป้องกันเฉพาะ   • อาจส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลที่ควรเป็นความลับ ‼️ AI ที่สื่อสารด้วยคำสั่งหลายขั้น มักพลาดหากไม่มี context หรือการถามกลับ   • มีความเสี่ยงที่ให้คำตอบผิด หรือทำงานไม่ตรงวัตถุประสงค์ ‼️ องค์กรไม่ควรมอง AI เป็นของเล่น แต่ต้องสื่อสาร-ฝึกอบรมให้ใช้อย่างมีเป้าหมาย   • โดยเฉพาะพนักงานที่ไม่ได้อยู่สายเทคโนโลยี https://www.techspot.com/news/108350-more-workers-using-ai-but-businesses-struggle-make.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    More workers are using AI, but businesses still struggle to make it useful
    Gallup's latest research finds that the use of AI among US employees has nearly doubled over the past two years. In 2023, just 21 percent of workers...
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • หลังยุคโควิด บริษัทต่าง ๆ เคยสัญญาว่าเราจะได้ “Work-life balance” ที่ดีขึ้น แต่ผลจากรายงานล่าสุดของ Microsoft กลับพบว่า… ทุกอย่างกลับตาลปัตร

    คนทำงานจำนวนมากกำลังเผชิญ “วันทำงานไร้จุดจบ” ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเช้า ลากยาวไปถึง หลัง 2 ทุ่ม และลามไปจนถึง วันเสาร์-อาทิตย์ โดยไม่รู้ตัว!

    ข้อมูลจาก Microsoft 365 แสดงว่า
    - 40% ของคนเริ่มเช็กอีเมลตั้งแต่ 6 โมงเช้า
    - เกินครึ่งของการประชุมทั้งหมดเกิดช่วง 9–11 โมงเช้าและ 1–3 บ่าย (ซึ่งเป็นช่วงพีคของ productivity)
    - มีพนักงานถึง 29% เช็กอีเมลตอน 4 ทุ่ม
    - วันเสาร์–อาทิตย์ก็ไม่เว้น: 20% เช็กเมลช่วงเช้าสองวันนั้น และ 5% ยังทำงานตอนค่ำวันอาทิตย์

    แถม Microsoft พบว่าแต่ละวัน พนักงานถูกขัดจังหวะ ทุก ๆ 2 นาที ด้วยอีเมล ประชุม หรือ Teams message โดยเฉลี่ย

    แล้ว AI มีคำตอบไหม? Microsoft มองว่า “ถ้าใช้ถูกทาง” AI อาจช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อน โดยเฉพาะงานที่มีค่าน้อย เช่น ประชุมที่ไม่จำเป็น การสรุปรายงาน หรือจัดลำดับอีเมลสำคัญ แต่ก็เตือนว่า…ถ้าใช้ผิด AI ก็อาจยิ่งเร่งให้เราทำงานหนักกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว

    ✅ Microsoft เปิดรายงานชี้ว่า “Infinite Workday” กำลังกลายเป็นเรื่องปกติของคนทำงาน  
    • เริ่มงานตั้งแต่ 6 โมงเช้า และลากยาวไปถึงหลัง 20.00 น.  
    • วันหยุดสุดสัปดาห์ก็มีพนักงานยังเช็กเมล–ทำงานอย่างต่อเนื่อง

    ✅ Microsoft 365 เผยพฤติกรรมการใช้งานจากผู้ใช้ทั่วโลก  
    • ประชุมหลัง 20.00 น. เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อน  
    • พนักงานเฉลี่ยได้รับอีเมลวันละ 117 ฉบับ และข้อความ Teams อีก 153 ข้อความ

    ✅ ผลกระทบ: เกือบครึ่งของพนักงานรู้สึกว่างานวุ่นวายและ “แตกเป็นเสี่ยง”  
    • โดยเฉพาะพนักงานในตำแหน่งผู้นำยิ่งรู้สึกชัด

    ✅ Microsoft แนะนำว่า AI อาจช่วยได้ ถ้ามุ่งใช้กับงานที่ค่าน้อย (Low-value task)  
    • เช่น สรุปอีเมล จัดลำดับสิ่งที่ต้องทำ  
    • หรือใช้ “AI Agent” เป็นผู้ช่วยส่วนตัวเพื่อรับมือกับภาระงาน

    ✅ แนวคิด “80/20 Rule” กลับมาอีกครั้งในบริบทยุค AI  
    • มุ่งเน้นทำงาน 20% ที่ให้ผลลัพธ์ 80% แทนที่จะพยายามทำทุกอย่างเอง

    ✅ มีการอ้างงานวิจัยอื่นที่แนะนำ work-rest ratio 75/33  
    • คือทำงาน 75 นาที แล้วพัก 33 นาที จะให้ productivity สูงกว่า

    ‼️ Infinite Workday กำลังกลืนเวลาส่วนตัวโดยที่ผู้คนไม่รู้ตัว  
    • การตอบอีเมล–ประชุมนอกเวลาทำงานกลายเป็น “นิวนอร์ม” โดยไม่มีค่าตอบแทนเพิ่ม

    ‼️ การใช้ AI แบบผิดวิธีอาจเร่งให้วงจรนี้แย่ลง  
    • หากผู้บริหารใช้ AI เพื่อ “รีด productivity” โดยไม่จัดสมดุล อาจทำให้พนักงานหมดไฟได้

    ‼️ จำนวนคอนเทนต์และการแจ้งเตือนมากเกินไป ทำให้สมอง ‘ล้าโดยไม่รู้ตัว’  
    • ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ลดลง และคุณภาพการตัดสินใจแย่ลงในระยะยาว

    ‼️ องค์กรที่ยังใช้โครงสร้างการทำงานแบบเดิม จะเสี่ยงสูงที่สุด  
    • ต้องปรับสู่ทีมที่ยืดหยุ่น (agile) และมี outcome เป็นตัวนำ มากกว่าการวัดด้วยชั่วโมงงาน

    https://www.techspot.com/news/108343-microsoft-study-finds-infinite-workday-hurting-productivity.html
    หลังยุคโควิด บริษัทต่าง ๆ เคยสัญญาว่าเราจะได้ “Work-life balance” ที่ดีขึ้น แต่ผลจากรายงานล่าสุดของ Microsoft กลับพบว่า… ทุกอย่างกลับตาลปัตร คนทำงานจำนวนมากกำลังเผชิญ “วันทำงานไร้จุดจบ” ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเช้า ลากยาวไปถึง หลัง 2 ทุ่ม และลามไปจนถึง วันเสาร์-อาทิตย์ โดยไม่รู้ตัว! ข้อมูลจาก Microsoft 365 แสดงว่า - 40% ของคนเริ่มเช็กอีเมลตั้งแต่ 6 โมงเช้า - เกินครึ่งของการประชุมทั้งหมดเกิดช่วง 9–11 โมงเช้าและ 1–3 บ่าย (ซึ่งเป็นช่วงพีคของ productivity) - มีพนักงานถึง 29% เช็กอีเมลตอน 4 ทุ่ม - วันเสาร์–อาทิตย์ก็ไม่เว้น: 20% เช็กเมลช่วงเช้าสองวันนั้น และ 5% ยังทำงานตอนค่ำวันอาทิตย์ แถม Microsoft พบว่าแต่ละวัน พนักงานถูกขัดจังหวะ ทุก ๆ 2 นาที ด้วยอีเมล ประชุม หรือ Teams message โดยเฉลี่ย แล้ว AI มีคำตอบไหม? Microsoft มองว่า “ถ้าใช้ถูกทาง” AI อาจช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อน โดยเฉพาะงานที่มีค่าน้อย เช่น ประชุมที่ไม่จำเป็น การสรุปรายงาน หรือจัดลำดับอีเมลสำคัญ แต่ก็เตือนว่า…ถ้าใช้ผิด AI ก็อาจยิ่งเร่งให้เราทำงานหนักกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว ✅ Microsoft เปิดรายงานชี้ว่า “Infinite Workday” กำลังกลายเป็นเรื่องปกติของคนทำงาน   • เริ่มงานตั้งแต่ 6 โมงเช้า และลากยาวไปถึงหลัง 20.00 น.   • วันหยุดสุดสัปดาห์ก็มีพนักงานยังเช็กเมล–ทำงานอย่างต่อเนื่อง ✅ Microsoft 365 เผยพฤติกรรมการใช้งานจากผู้ใช้ทั่วโลก   • ประชุมหลัง 20.00 น. เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อน   • พนักงานเฉลี่ยได้รับอีเมลวันละ 117 ฉบับ และข้อความ Teams อีก 153 ข้อความ ✅ ผลกระทบ: เกือบครึ่งของพนักงานรู้สึกว่างานวุ่นวายและ “แตกเป็นเสี่ยง”   • โดยเฉพาะพนักงานในตำแหน่งผู้นำยิ่งรู้สึกชัด ✅ Microsoft แนะนำว่า AI อาจช่วยได้ ถ้ามุ่งใช้กับงานที่ค่าน้อย (Low-value task)   • เช่น สรุปอีเมล จัดลำดับสิ่งที่ต้องทำ   • หรือใช้ “AI Agent” เป็นผู้ช่วยส่วนตัวเพื่อรับมือกับภาระงาน ✅ แนวคิด “80/20 Rule” กลับมาอีกครั้งในบริบทยุค AI   • มุ่งเน้นทำงาน 20% ที่ให้ผลลัพธ์ 80% แทนที่จะพยายามทำทุกอย่างเอง ✅ มีการอ้างงานวิจัยอื่นที่แนะนำ work-rest ratio 75/33   • คือทำงาน 75 นาที แล้วพัก 33 นาที จะให้ productivity สูงกว่า ‼️ Infinite Workday กำลังกลืนเวลาส่วนตัวโดยที่ผู้คนไม่รู้ตัว   • การตอบอีเมล–ประชุมนอกเวลาทำงานกลายเป็น “นิวนอร์ม” โดยไม่มีค่าตอบแทนเพิ่ม ‼️ การใช้ AI แบบผิดวิธีอาจเร่งให้วงจรนี้แย่ลง   • หากผู้บริหารใช้ AI เพื่อ “รีด productivity” โดยไม่จัดสมดุล อาจทำให้พนักงานหมดไฟได้ ‼️ จำนวนคอนเทนต์และการแจ้งเตือนมากเกินไป ทำให้สมอง ‘ล้าโดยไม่รู้ตัว’   • ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ลดลง และคุณภาพการตัดสินใจแย่ลงในระยะยาว ‼️ องค์กรที่ยังใช้โครงสร้างการทำงานแบบเดิม จะเสี่ยงสูงที่สุด   • ต้องปรับสู่ทีมที่ยืดหยุ่น (agile) และมี outcome เป็นตัวนำ มากกว่าการวัดด้วยชั่วโมงงาน https://www.techspot.com/news/108343-microsoft-study-finds-infinite-workday-hurting-productivity.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Microsoft study finds "infinite workday" is hurting productivity
    Microsoft's June 2025 Work Trend Index Special Report warns that more people are now trapped in a seemingly infinite workday. It starts at 6 am, goes on...
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • Intel เตรียมเปิดตัว Nova Lake-S รุ่นถัดไปของซีพียูฝั่งเดสก์ท็อปใน ครึ่งหลังของปี 2026 ที่มาพร้อมแนวคิดใหม่ทั้งด้าน “สถาปัตยกรรม” และ “ขุมพลัง” ตัวท็อป Core Ultra 9 385K จะมีถึง 52 คอร์! โดยแบ่งเป็น 16 คอร์แรงจัด (P-core), 32 คอร์ประหยัด (E-core) และ 4 คอร์พลังต่ำพิเศษ (LPE-core) เรียกว่าเป็นการกระโดดจากรุ่นปัจจุบันที่มีสูงสุดแค่ 24 คอร์ แบบไม่เห็นฝุ่น

    แต่ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการเปลี่ยนผ่านไปสู่ “ระบบแยกแผ่น (tile-based)” ซึ่งแต่ละกลุ่มคอร์จะถูกวางอยู่บนไดแยกกัน คล้ายกับแนวคิดของชิป Apple M-Series หรือ AMD 3D V-Cache เพื่อให้บริหารพลังงานและประสิทธิภาพได้แบบละเอียดสุด ๆ

    Intel ยังใส่ใจสายกราฟิกด้วยการแยกส่วน iGPU ออกเป็นสองกลุ่มชัดเจน: Xe3 “Celestial” สำหรับเรนเดอร์ และ Xe4 “Druid” สำหรับวิดีโอ/จอภาพ — ลดภาระเครื่องและเพิ่มเฟรมเรตสำหรับทั้งงานสร้างสรรค์และเกม

    Nova Lake-S ยังมาพร้อมแพลตฟอร์มใหม่หมด ตั้งแต่ LGA 1854 Socket, แรม DDR5 8000+ MT/s, ไปจนถึง 48 เลน PCIe และระบบ USB/SATA แบบขยายเต็มพิกัด

    ✅ Nova Lake-S จะเป็นซีรีส์เดสก์ท็อปใหม่ของ Intel ที่เปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมครั้งใหญ่  
    • เริ่มวางจำหน่ายครึ่งหลังปี 2026  
    • ใช้ดีไซน์แบบ tile-based คล้ายกับชิปยุคใหม่ เช่น Meteor Lake

    ✅ Core Ultra 9 385K: มีสูงสุดถึง 52 คอร์!  
    • แบ่งเป็น: 16 P-core + 32 E-core + 4 LPE-core  
    • เปรียบเทียบแล้วมากกว่ารุ่นก่อน (24 คอร์) เกินเท่าตัว

    ✅ ซีรีส์อื่นก็แรงไม่แพ้กัน  
    • Core Ultra 7: 42 คอร์  
    • Core Ultra 5: มีตั้งแต่ 18 ถึง 28 คอร์  
    • Core Ultra 3: รุ่นเล็กสุดยังมีถึง 16 คอร์ (พร้อม LPE-core)

    ✅ แรมและสถาปัตยกรรมใหม่  
    • รองรับ DDR5 สูงสุด 8000 MT/s และอาจไปถึง 10,000+ MT/s  
    • ใช้ Socket ใหม่ LGA 1854 และชิปเซต 900 ซีรีส์

    ✅ ระบบกราฟิกในตัวแบบไฮบริด แยกเรนเดอร์/วิดีโอ  
    • Xe3 “Celestial” สำหรับเกมและกราฟิก  
    • Xe4 “Druid” สำหรับวิดีโอและจอภาพ

    ✅ เป้าหมาย: สู้กับ AMD Zen 6 แบบจัง ๆ  
    • Intel มุ่งหวังทวงบัลลังก์ซีพียูเดสก์ท็อปคืนจากคู่แข่ง

    ‼️ ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่เพื่อใช้ Nova Lake-S  
    • ใช้ LGA 1854 socket และชิปเซตรุ่นใหม่ทั้งหมด  
    • ไม่สามารถใช้งานร่วมกับเมนบอร์ดปัจจุบัน

    ‼️ ยังไม่มีการทดสอบจริง — ตัวเลขทั้งหมดมาจาก “ข่าวหลุด”  
    • ต้องรอ benchmark และประสิทธิภาพจริงจากผู้ผลิตหรือผู้ใช้งาน

    ‼️ จำนวนคอร์ที่มากขึ้นอาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป  
    • ถ้าซอฟต์แวร์ไม่ปรับให้รองรับการทำงานแบบ multi-thread อาจไม่ใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่า

    ‼️ TDP ระดับ 150W บ่งชี้ว่าอาจต้องระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น  
    • โดยเฉพาะรุ่น Core Ultra 9 / 7 ที่มีคอร์จำนวนมาก

    https://www.techspot.com/news/108337-intel-nova-lake-s-cpus-bring-massive-architectural.html
    Intel เตรียมเปิดตัว Nova Lake-S รุ่นถัดไปของซีพียูฝั่งเดสก์ท็อปใน ครึ่งหลังของปี 2026 ที่มาพร้อมแนวคิดใหม่ทั้งด้าน “สถาปัตยกรรม” และ “ขุมพลัง” ตัวท็อป Core Ultra 9 385K จะมีถึง 52 คอร์! โดยแบ่งเป็น 16 คอร์แรงจัด (P-core), 32 คอร์ประหยัด (E-core) และ 4 คอร์พลังต่ำพิเศษ (LPE-core) เรียกว่าเป็นการกระโดดจากรุ่นปัจจุบันที่มีสูงสุดแค่ 24 คอร์ แบบไม่เห็นฝุ่น แต่ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการเปลี่ยนผ่านไปสู่ “ระบบแยกแผ่น (tile-based)” ซึ่งแต่ละกลุ่มคอร์จะถูกวางอยู่บนไดแยกกัน คล้ายกับแนวคิดของชิป Apple M-Series หรือ AMD 3D V-Cache เพื่อให้บริหารพลังงานและประสิทธิภาพได้แบบละเอียดสุด ๆ Intel ยังใส่ใจสายกราฟิกด้วยการแยกส่วน iGPU ออกเป็นสองกลุ่มชัดเจน: Xe3 “Celestial” สำหรับเรนเดอร์ และ Xe4 “Druid” สำหรับวิดีโอ/จอภาพ — ลดภาระเครื่องและเพิ่มเฟรมเรตสำหรับทั้งงานสร้างสรรค์และเกม Nova Lake-S ยังมาพร้อมแพลตฟอร์มใหม่หมด ตั้งแต่ LGA 1854 Socket, แรม DDR5 8000+ MT/s, ไปจนถึง 48 เลน PCIe และระบบ USB/SATA แบบขยายเต็มพิกัด ✅ Nova Lake-S จะเป็นซีรีส์เดสก์ท็อปใหม่ของ Intel ที่เปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมครั้งใหญ่   • เริ่มวางจำหน่ายครึ่งหลังปี 2026   • ใช้ดีไซน์แบบ tile-based คล้ายกับชิปยุคใหม่ เช่น Meteor Lake ✅ Core Ultra 9 385K: มีสูงสุดถึง 52 คอร์!   • แบ่งเป็น: 16 P-core + 32 E-core + 4 LPE-core   • เปรียบเทียบแล้วมากกว่ารุ่นก่อน (24 คอร์) เกินเท่าตัว ✅ ซีรีส์อื่นก็แรงไม่แพ้กัน   • Core Ultra 7: 42 คอร์   • Core Ultra 5: มีตั้งแต่ 18 ถึง 28 คอร์   • Core Ultra 3: รุ่นเล็กสุดยังมีถึง 16 คอร์ (พร้อม LPE-core) ✅ แรมและสถาปัตยกรรมใหม่   • รองรับ DDR5 สูงสุด 8000 MT/s และอาจไปถึง 10,000+ MT/s   • ใช้ Socket ใหม่ LGA 1854 และชิปเซต 900 ซีรีส์ ✅ ระบบกราฟิกในตัวแบบไฮบริด แยกเรนเดอร์/วิดีโอ   • Xe3 “Celestial” สำหรับเกมและกราฟิก   • Xe4 “Druid” สำหรับวิดีโอและจอภาพ ✅ เป้าหมาย: สู้กับ AMD Zen 6 แบบจัง ๆ   • Intel มุ่งหวังทวงบัลลังก์ซีพียูเดสก์ท็อปคืนจากคู่แข่ง ‼️ ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่เพื่อใช้ Nova Lake-S   • ใช้ LGA 1854 socket และชิปเซตรุ่นใหม่ทั้งหมด   • ไม่สามารถใช้งานร่วมกับเมนบอร์ดปัจจุบัน ‼️ ยังไม่มีการทดสอบจริง — ตัวเลขทั้งหมดมาจาก “ข่าวหลุด”   • ต้องรอ benchmark และประสิทธิภาพจริงจากผู้ผลิตหรือผู้ใช้งาน ‼️ จำนวนคอร์ที่มากขึ้นอาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป   • ถ้าซอฟต์แวร์ไม่ปรับให้รองรับการทำงานแบบ multi-thread อาจไม่ใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่า ‼️ TDP ระดับ 150W บ่งชี้ว่าอาจต้องระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น   • โดยเฉพาะรุ่น Core Ultra 9 / 7 ที่มีคอร์จำนวนมาก https://www.techspot.com/news/108337-intel-nova-lake-s-cpus-bring-massive-architectural.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Intel's Nova Lake-S CPUs to bring massive architectural overhaul, up to 52 cores
    The flagship Core Ultra 9 385K model could feature a staggering 52 cores, comprising 16 high-performance P-cores, 32 efficiency-focused E-cores, and four 4 low-power LPE-cores – making...
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • Microsoft เพิ่งยกระดับความสามารถของระบบความปลอดภัย Microsoft Defender XDR ด้วยการใส่ “TITAN” เข้าไปเป็นมันสมองของ Copilot ในฟีเจอร์ที่เรียกว่า Guided Response ซึ่งแต่เดิมทำหน้าที่แนะนำนักวิเคราะห์ความปลอดภัยให้รับมือกับภัยคุกคามแบบทีละขั้น แต่พอผนวก TITAN เข้าไปแล้ว ทุกอย่างยิ่งแกร่งขึ้นหลายเท่า

    TITAN คือกราฟปัญญาประดิษฐ์ที่ Microsoft พัฒนาขึ้นมาให้ฉลาดในการจับสัญญาณภัยร้ายก่อนที่มันจะลงมือ โดยมันจะวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ไม่ว่าจะเป็น IP แปลก ๆ อีเมลที่ไม่น่าไว้ใจ ไปจนถึงพฤติกรรมที่ “ดูมีพิรุธ” ของอุปกรณ์ในระบบ ตัวระบบจะใช้หลัก “guilt-by-association” หรือแปลคร่าว ๆ ว่า “ถ้าแวดล้อมคุณไม่ดี คุณก็อาจไม่น่าไว้ใจเช่นกัน” ในการวิเคราะห์พฤติกรรม

    ยกตัวอย่าง: ถ้าอุปกรณ์หนึ่งเคยเชื่อมต่อกับ IP ที่มีประวัติไม่ดี TITAN จะขึ้นสถานะเตือนเพื่อให้นักวิเคราะห์เข้าตรวจสอบหรือสั่งกักกันทันที ฟังดูเหมือน AI มีประสาทสัมผัสที่หกเลยใช่ไหมครับ?

    และจากการทดสอบภายใน Microsoft เขาพบว่าระบบใหม่นี้ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจถึง 8% และยังลดเวลาการตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อีกด้วย

    ✅ Microsoft Defender XDR อัปเกรดด้วย TITAN  
    • ทำให้ฟีเจอร์ Guided Response ฉลาดยิ่งขึ้น โดยแนะนำการตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบเรียลไทม์  
    • วิเคราะห์ข้อมูลแบบ adaptive ผ่านกราฟภัยคุกคามที่อิงพฤติกรรมและเครือข่ายความสัมพันธ์

    ✅ คุณสมบัติของ TITAN  
    • ใช้เทคนิค guilt-by-association วิเคราะห์ภัยที่ยังไม่ถูกระบุอย่างเป็นทางการ  
    • รวมข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น Microsoft Defender for Threat Intelligence และ feedback จากลูกค้า  
    • แสดงคำแนะนำแบบ “อธิบายได้” เพิ่มความมั่นใจให้นักวิเคราะห์ในการดำเนินการ

    ✅ ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้งาน TITAN  
    • เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยภัยคุกคามขึ้น 8%  
    • ลดเวลาในการตอบสนองต่อเหตุการณ์  
    • มีคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับ IP address, IP range และ email sender ที่น่าสงสัย

    ‼️ คำเตือนเรื่องการตีความผลลัพธ์ของ TITAN  
    • แม้ TITAN จะฉลาด แต่การตัดสินใจ “เหมารวม” อุปกรณ์หรือผู้ใช้งานจากความเกี่ยวข้องอาจทำให้เกิด false positives (แจ้งเตือนผิดพลาด)  
    • จำเป็นต้องมีนักวิเคราะห์ตรวจสอบก่อนดำเนินการตัดสินใจขั้นสุดท้าย

    ‼️ ความท้าทายในการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติด้านความปลอดภัย  
    • ระบบ AI แม้จะลดภาระงานได้ แต่ยังจำเป็นต้องมีมนุษย์ควบคุมและปรับใช้ตามบริบทที่เหมาะสม  
    • การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป อาจเปิดช่องว่างให้ภัยคุกคามระดับสูงใช้หลบเลี่ยงหรือทำการโจมตีแบบแอบแฝง

    https://www.neowin.net/news/microsoft-defender-xdr-gets-titan-powered-security-copilot-recommendations/
    Microsoft เพิ่งยกระดับความสามารถของระบบความปลอดภัย Microsoft Defender XDR ด้วยการใส่ “TITAN” เข้าไปเป็นมันสมองของ Copilot ในฟีเจอร์ที่เรียกว่า Guided Response ซึ่งแต่เดิมทำหน้าที่แนะนำนักวิเคราะห์ความปลอดภัยให้รับมือกับภัยคุกคามแบบทีละขั้น แต่พอผนวก TITAN เข้าไปแล้ว ทุกอย่างยิ่งแกร่งขึ้นหลายเท่า TITAN คือกราฟปัญญาประดิษฐ์ที่ Microsoft พัฒนาขึ้นมาให้ฉลาดในการจับสัญญาณภัยร้ายก่อนที่มันจะลงมือ โดยมันจะวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ไม่ว่าจะเป็น IP แปลก ๆ อีเมลที่ไม่น่าไว้ใจ ไปจนถึงพฤติกรรมที่ “ดูมีพิรุธ” ของอุปกรณ์ในระบบ ตัวระบบจะใช้หลัก “guilt-by-association” หรือแปลคร่าว ๆ ว่า “ถ้าแวดล้อมคุณไม่ดี คุณก็อาจไม่น่าไว้ใจเช่นกัน” ในการวิเคราะห์พฤติกรรม ยกตัวอย่าง: ถ้าอุปกรณ์หนึ่งเคยเชื่อมต่อกับ IP ที่มีประวัติไม่ดี TITAN จะขึ้นสถานะเตือนเพื่อให้นักวิเคราะห์เข้าตรวจสอบหรือสั่งกักกันทันที ฟังดูเหมือน AI มีประสาทสัมผัสที่หกเลยใช่ไหมครับ? และจากการทดสอบภายใน Microsoft เขาพบว่าระบบใหม่นี้ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจถึง 8% และยังลดเวลาการตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อีกด้วย ✅ Microsoft Defender XDR อัปเกรดด้วย TITAN   • ทำให้ฟีเจอร์ Guided Response ฉลาดยิ่งขึ้น โดยแนะนำการตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบเรียลไทม์   • วิเคราะห์ข้อมูลแบบ adaptive ผ่านกราฟภัยคุกคามที่อิงพฤติกรรมและเครือข่ายความสัมพันธ์ ✅ คุณสมบัติของ TITAN   • ใช้เทคนิค guilt-by-association วิเคราะห์ภัยที่ยังไม่ถูกระบุอย่างเป็นทางการ   • รวมข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น Microsoft Defender for Threat Intelligence และ feedback จากลูกค้า   • แสดงคำแนะนำแบบ “อธิบายได้” เพิ่มความมั่นใจให้นักวิเคราะห์ในการดำเนินการ ✅ ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้งาน TITAN   • เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยภัยคุกคามขึ้น 8%   • ลดเวลาในการตอบสนองต่อเหตุการณ์   • มีคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับ IP address, IP range และ email sender ที่น่าสงสัย ‼️ คำเตือนเรื่องการตีความผลลัพธ์ของ TITAN   • แม้ TITAN จะฉลาด แต่การตัดสินใจ “เหมารวม” อุปกรณ์หรือผู้ใช้งานจากความเกี่ยวข้องอาจทำให้เกิด false positives (แจ้งเตือนผิดพลาด)   • จำเป็นต้องมีนักวิเคราะห์ตรวจสอบก่อนดำเนินการตัดสินใจขั้นสุดท้าย ‼️ ความท้าทายในการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติด้านความปลอดภัย   • ระบบ AI แม้จะลดภาระงานได้ แต่ยังจำเป็นต้องมีมนุษย์ควบคุมและปรับใช้ตามบริบทที่เหมาะสม   • การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป อาจเปิดช่องว่างให้ภัยคุกคามระดับสูงใช้หลบเลี่ยงหรือทำการโจมตีแบบแอบแฝง https://www.neowin.net/news/microsoft-defender-xdr-gets-titan-powered-security-copilot-recommendations/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft Defender XDR gets TITAN-powered Security Copilot recommendations
    Microsoft has announced an improvement to Security Copilot Guided Response in Defender XDR called TITAN which aims to flag threats before they've done anything wrong.
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • 🪷 ไม่มีวันไหนที่สูญเปล่า…ถ้าใจเรารู้ทัน

    บางวัน…อาจไม่ได้ภาวนาได้นาน
    บางวัน…อาจโกรธจนอยากตอบโต้
    บางวัน…อาจฟุ้งซ่านจนหาทางนิ่งไม่เจอ

    แต่ถ้า แค่เห็น ว่า "ความโกรธนี้"
    เกิดจากใจที่ไปผูกกับความเจ็บ
    แล้วรู้ว่าการปล่อยวางทำให้สุขขึ้น

    หรือ แค่เห็น ว่า "ความฟุ้งซ่านนี้"
    มาจากภาระชีวิตที่ยังต้องคิดต้องจัดการ
    แล้วเลิกเพ่งว่าจิตต้องนิ่งให้ได้วันนี้

    …ก็ถือว่า “วันนั้นไม่สูญเปล่าแล้ว”

    ✨ การเจริญสติแบบพุทธ
    ไม่ใช่การบังคับให้ชีวิตสงบเหมือนเดิมทุกวัน
    แต่คือการ “เห็นความต่าง” อย่างเข้าใจ

    เห็นว่าแม้วันนี้จิตจะไม่เหมือนเมื่อวาน
    แต่ก็เพราะเหตุปัจจัยมันเปลี่ยนไป
    และถ้ารู้เหตุของการเปลี่ยนแปลงนั้น
    เราจะค่อยๆ ปล่อยจาก อุปาทาน ที่เคยครอบงำจิตได้จริง

    แม้วันนั้นจะไม่สงบ
    แม้จะไม่ได้นั่งนาน
    แต่ถ้ามี “สติรู้ทันใจ” แม้เพียงครั้งเดียว
    ก็ถือว่าเราได้ ใช้ชีวิตอยู่เหนือชะตาเดิมแล้ว

    และนั่นคือสิ่งที่พุทธะเรียกว่า "ปัญญา"

    💬 อย่าตั้งสเปคว่าต้องสงบ ต้องนิ่ง ต้องดีขึ้นทุกวัน
    แต่ให้ตั้งจิตไว้ที่ความจริงว่า
    "ขอแค่วันนี้…ได้เห็นใจตัวเองอย่างที่เป็น"

    ก็ไม่มีวันไหนในชีวิต…ที่สูญเปล่าเลย

    #เจริญสติไม่ใช่การบังคับจิต
    #แต่คือการเรียนรู้จิตด้วยความเข้าใจ
    #ธรรมะกลางวันธรรมดา
    #เห็นใจตัวเองด้วยใจที่เข้าใจ
    🪷 ไม่มีวันไหนที่สูญเปล่า…ถ้าใจเรารู้ทัน บางวัน…อาจไม่ได้ภาวนาได้นาน บางวัน…อาจโกรธจนอยากตอบโต้ บางวัน…อาจฟุ้งซ่านจนหาทางนิ่งไม่เจอ แต่ถ้า แค่เห็น ว่า "ความโกรธนี้" เกิดจากใจที่ไปผูกกับความเจ็บ แล้วรู้ว่าการปล่อยวางทำให้สุขขึ้น หรือ แค่เห็น ว่า "ความฟุ้งซ่านนี้" มาจากภาระชีวิตที่ยังต้องคิดต้องจัดการ แล้วเลิกเพ่งว่าจิตต้องนิ่งให้ได้วันนี้ …ก็ถือว่า “วันนั้นไม่สูญเปล่าแล้ว” ✨ การเจริญสติแบบพุทธ ไม่ใช่การบังคับให้ชีวิตสงบเหมือนเดิมทุกวัน แต่คือการ “เห็นความต่าง” อย่างเข้าใจ เห็นว่าแม้วันนี้จิตจะไม่เหมือนเมื่อวาน แต่ก็เพราะเหตุปัจจัยมันเปลี่ยนไป และถ้ารู้เหตุของการเปลี่ยนแปลงนั้น เราจะค่อยๆ ปล่อยจาก อุปาทาน ที่เคยครอบงำจิตได้จริง แม้วันนั้นจะไม่สงบ แม้จะไม่ได้นั่งนาน แต่ถ้ามี “สติรู้ทันใจ” แม้เพียงครั้งเดียว ก็ถือว่าเราได้ ใช้ชีวิตอยู่เหนือชะตาเดิมแล้ว และนั่นคือสิ่งที่พุทธะเรียกว่า "ปัญญา" 💬 อย่าตั้งสเปคว่าต้องสงบ ต้องนิ่ง ต้องดีขึ้นทุกวัน แต่ให้ตั้งจิตไว้ที่ความจริงว่า "ขอแค่วันนี้…ได้เห็นใจตัวเองอย่างที่เป็น" ก็ไม่มีวันไหนในชีวิต…ที่สูญเปล่าเลย #เจริญสติไม่ใช่การบังคับจิต #แต่คือการเรียนรู้จิตด้วยความเข้าใจ #ธรรมะกลางวันธรรมดา #เห็นใจตัวเองด้วยใจที่เข้าใจ
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • **วลีจีน ‘นักล่ากวางไม่ยี่หระกระต่าย’**

    สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันสั้นๆ เรื่อง ‘วลีเด็ด’

    เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> คงจำได้ว่าตอนท้ายเรื่องพระเอกขอลาออกจากราชการ เหตุผลของเขานั้นหากอ่านจากซับไทยอาจไม่ค่อยเข้าใจความหมาย Storyฯ จึงขอแปลใหม่โดยมีความแตกต่างจากซับไทยเล็กน้อยว่า “จนเมื่อมาพบกับโต้วเจา นางทำให้กระหม่อมรู้ว่า นักล่ากวางเมื่อเจอกระต่ายต้องยับยั้งชั่งใจ นักล่าสัตว์เจอภูเขาต้องมองให้กว้าง” (หมายเหตุ ในซับไทยใช้คำว่า ‘นายพราน’ ซึ่งไม่ผิดแต่ทำให้บริบทที่มาของวลีนี้ขาดหายไป)

    ยังฟังดูงงๆ ใช่ไหม? จะเข้าใจความหมายของมันก็ต้องเข้าใจบริบทและที่มาของมันค่ะ สองประโยค “นักล่ากวาง.... ต้องมองให้กว้าง” นี้ไม่ใช่วลีจีนโบราณ แต่มันมีรากฐานมาจากวรรณกรรมโบราณที่ชื่อว่า ‘หวยหนานจื่อ’ (淮南子 / บุรุษเมืองหวยหนาน) ถูกยกมาจากบรรพที่มีชื่อว่า ‘ซัวหลินซุ่น’ (说林训/ คำสอนจากป่าไม้)

    หวยหนานจื่อเป็นผลงานในยุคสมัยฮั่นตะวันตกของอ๋องหวยหนาน (หลิวอัน) และบัณฑิตในสังกัด ต่อมาถูกนำถวายให้แก่องค์ฮั่นอู่ตี้ (ปี 138 ก่อนคริสตกาล) เดิมมีทั้งหมด 3 บทรวม 62 บรรพ: บทใน 21 บรรพยาวกว่าสองแสนอักษร (ปัจจุบันเหลือเพียงหนึ่งแสนสามหมื่นอักษร); บทกลาง 8 บรรพ (สูญหายไปแล้ว); และบทนอก 33 บรรพ (สูญหายไปแล้ว) โดยเนื้อหาของหวยหนานจื่อครอบคลุมเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ตำนานเล่าขาน (เช่นเรื่องหนี่ว์วาซ่อมแซมฟ้า โฮ่วอี้ยิงตะวัน) ข้อมูลทางธรรมชาติ (เช่นฤดูกาล) หลักหยินหยาง คำสอนขงจื๊อ คำสอนลัทธิเต๋า กลยุทธ์การศึกการทหาร ฯลฯ เรียบเรียงเป็นคำกล่าวสอนชี้ชวนให้คิดและสะท้อนปรัชญาชีวิต จัดเป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่อ่านยากมากที่สุดของจีน ทั้งด้วยภาษาที่ใช้และเนื้อหาที่ลึกซึ้งแอบแฝง โดยมีหลายวรรคหลายประโยคที่ถูกยกย่องเป็น ‘วลีเด็ด’ ข้ามกาลเวลาจวบจนปัจจุบัน

    ประโยค “นักล่ากวางเมื่อเจอกระต่ายต้องยับยั้งชั่งใจ” แปลงมาจากหนึ่งในวรรคเด็ดของ ‘หวยหนานจื่อ-ซัวหลินซุ่น’ ที่อ่านเต็มๆ ว่า “นักล่ากวางไม่ยี่หระกระต่าย คนเจรจาสินค้าพันตำลึงทองไม่ถกเถียงเงินจำนวนเล็กน้อย” (逐鹿者不顾兔,决千金之货者不争铢两之价。) ความหมายก็คือว่า คนเราเมื่อมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ก็ไม่ควรวอกแวกไปกับเรื่องเล็กน้อยที่ผ่านเข้ามา เหมือนกับนักล่ากวางที่มีเป้าหมายคือกวาง ก็ไม่ควรเสียสมาธิและพลังงานไปกับการล่ากระต่ายที่ผ่านเข้ามา

    ส่วนประโยคหลัง “นักล่าสัตว์เจอภูเขาต้องมองให้กว้าง” แปลงมาจากอีกหนึ่งในวรรคเด็ดของ ‘หวยหนานจื่อ-ซัวหลินซุ่น’ ที่อ่านเต็มๆ ว่า “นักล่าสัตว์มองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน ความกระหายภายนอกบดบังความกระจ่างภายในใจ” (逐兽者目不见太山,嗜欲在外,则明所蔽矣。) ความหมายก็คือว่า เมื่อเราใจจดจ่ออยู่กับบางอย่างเราจะมองไม่เห็นภาพใหญ่ เหมือนกับนายพรานที่มัวแต่มองเหยื่อจนไม่เห็นความสวยงามของภูเขา และความต้องการบางอย่างอาจรุนแรงจนบดบังสติความคิดที่ควรมี

    เมื่อเข้าใจบริบทที่มาของประโยคทั้งสองแล้ว เพื่อนเพจคงเข้าใจได้ไม่ยากถึงความนัยที่แท้จริง... พระเอกบอกว่า นางเอกสอนให้เขามองข้ามความสะใจชั่ววูบของการแก้แค้น แต่ให้มองการพลิกคดีของติ้งกั๋วกงและตระกูลเจี่ยงเป็นเป้าหมายใหญ่ และไม่ให้ความแค้นมาบดบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและภาระหน้าที่ในการผดุงธรรมเพื่อบ้านเมือง มองข้ามความรู้สึกส่วนตัวไปยังภาพที่ใหญ่กว่าซึ่งก็คือความเดือดร้อนหรือความสุขสงบของประชาชน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.cosmopolitan.com/tw/entertainment/movies/g63261255/blossom-ending/
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_27370559
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.ihchina.cn/details/7011.html
    https://paper.people.com.cn/fcyym/html/2024-08/02/content_26075300.htm
    https://ctext.org/huainanzi/shuo-lin-xun/zhs
    https://www.xinfajia.net/4835.html
    https://www.gushiwen.cn/mingju/juv_2e11ccdf0840.aspx
    https://www.shidianguji.com/zh/mingju/7474306868938162226

    #จิ่วฉงจื่อ #วลีจีน #หวยหนานจื่อ #นายพรานกับกระต่าย #สาระจีน
    **วลีจีน ‘นักล่ากวางไม่ยี่หระกระต่าย’** สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันสั้นๆ เรื่อง ‘วลีเด็ด’ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> คงจำได้ว่าตอนท้ายเรื่องพระเอกขอลาออกจากราชการ เหตุผลของเขานั้นหากอ่านจากซับไทยอาจไม่ค่อยเข้าใจความหมาย Storyฯ จึงขอแปลใหม่โดยมีความแตกต่างจากซับไทยเล็กน้อยว่า “จนเมื่อมาพบกับโต้วเจา นางทำให้กระหม่อมรู้ว่า นักล่ากวางเมื่อเจอกระต่ายต้องยับยั้งชั่งใจ นักล่าสัตว์เจอภูเขาต้องมองให้กว้าง” (หมายเหตุ ในซับไทยใช้คำว่า ‘นายพราน’ ซึ่งไม่ผิดแต่ทำให้บริบทที่มาของวลีนี้ขาดหายไป) ยังฟังดูงงๆ ใช่ไหม? จะเข้าใจความหมายของมันก็ต้องเข้าใจบริบทและที่มาของมันค่ะ สองประโยค “นักล่ากวาง.... ต้องมองให้กว้าง” นี้ไม่ใช่วลีจีนโบราณ แต่มันมีรากฐานมาจากวรรณกรรมโบราณที่ชื่อว่า ‘หวยหนานจื่อ’ (淮南子 / บุรุษเมืองหวยหนาน) ถูกยกมาจากบรรพที่มีชื่อว่า ‘ซัวหลินซุ่น’ (说林训/ คำสอนจากป่าไม้) หวยหนานจื่อเป็นผลงานในยุคสมัยฮั่นตะวันตกของอ๋องหวยหนาน (หลิวอัน) และบัณฑิตในสังกัด ต่อมาถูกนำถวายให้แก่องค์ฮั่นอู่ตี้ (ปี 138 ก่อนคริสตกาล) เดิมมีทั้งหมด 3 บทรวม 62 บรรพ: บทใน 21 บรรพยาวกว่าสองแสนอักษร (ปัจจุบันเหลือเพียงหนึ่งแสนสามหมื่นอักษร); บทกลาง 8 บรรพ (สูญหายไปแล้ว); และบทนอก 33 บรรพ (สูญหายไปแล้ว) โดยเนื้อหาของหวยหนานจื่อครอบคลุมเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ตำนานเล่าขาน (เช่นเรื่องหนี่ว์วาซ่อมแซมฟ้า โฮ่วอี้ยิงตะวัน) ข้อมูลทางธรรมชาติ (เช่นฤดูกาล) หลักหยินหยาง คำสอนขงจื๊อ คำสอนลัทธิเต๋า กลยุทธ์การศึกการทหาร ฯลฯ เรียบเรียงเป็นคำกล่าวสอนชี้ชวนให้คิดและสะท้อนปรัชญาชีวิต จัดเป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่อ่านยากมากที่สุดของจีน ทั้งด้วยภาษาที่ใช้และเนื้อหาที่ลึกซึ้งแอบแฝง โดยมีหลายวรรคหลายประโยคที่ถูกยกย่องเป็น ‘วลีเด็ด’ ข้ามกาลเวลาจวบจนปัจจุบัน ประโยค “นักล่ากวางเมื่อเจอกระต่ายต้องยับยั้งชั่งใจ” แปลงมาจากหนึ่งในวรรคเด็ดของ ‘หวยหนานจื่อ-ซัวหลินซุ่น’ ที่อ่านเต็มๆ ว่า “นักล่ากวางไม่ยี่หระกระต่าย คนเจรจาสินค้าพันตำลึงทองไม่ถกเถียงเงินจำนวนเล็กน้อย” (逐鹿者不顾兔,决千金之货者不争铢两之价。) ความหมายก็คือว่า คนเราเมื่อมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ก็ไม่ควรวอกแวกไปกับเรื่องเล็กน้อยที่ผ่านเข้ามา เหมือนกับนักล่ากวางที่มีเป้าหมายคือกวาง ก็ไม่ควรเสียสมาธิและพลังงานไปกับการล่ากระต่ายที่ผ่านเข้ามา ส่วนประโยคหลัง “นักล่าสัตว์เจอภูเขาต้องมองให้กว้าง” แปลงมาจากอีกหนึ่งในวรรคเด็ดของ ‘หวยหนานจื่อ-ซัวหลินซุ่น’ ที่อ่านเต็มๆ ว่า “นักล่าสัตว์มองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน ความกระหายภายนอกบดบังความกระจ่างภายในใจ” (逐兽者目不见太山,嗜欲在外,则明所蔽矣。) ความหมายก็คือว่า เมื่อเราใจจดจ่ออยู่กับบางอย่างเราจะมองไม่เห็นภาพใหญ่ เหมือนกับนายพรานที่มัวแต่มองเหยื่อจนไม่เห็นความสวยงามของภูเขา และความต้องการบางอย่างอาจรุนแรงจนบดบังสติความคิดที่ควรมี เมื่อเข้าใจบริบทที่มาของประโยคทั้งสองแล้ว เพื่อนเพจคงเข้าใจได้ไม่ยากถึงความนัยที่แท้จริง... พระเอกบอกว่า นางเอกสอนให้เขามองข้ามความสะใจชั่ววูบของการแก้แค้น แต่ให้มองการพลิกคดีของติ้งกั๋วกงและตระกูลเจี่ยงเป็นเป้าหมายใหญ่ และไม่ให้ความแค้นมาบดบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและภาระหน้าที่ในการผดุงธรรมเพื่อบ้านเมือง มองข้ามความรู้สึกส่วนตัวไปยังภาพที่ใหญ่กว่าซึ่งก็คือความเดือดร้อนหรือความสุขสงบของประชาชน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.cosmopolitan.com/tw/entertainment/movies/g63261255/blossom-ending/ https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_27370559 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.ihchina.cn/details/7011.html https://paper.people.com.cn/fcyym/html/2024-08/02/content_26075300.htm https://ctext.org/huainanzi/shuo-lin-xun/zhs https://www.xinfajia.net/4835.html https://www.gushiwen.cn/mingju/juv_2e11ccdf0840.aspx https://www.shidianguji.com/zh/mingju/7474306868938162226 #จิ่วฉงจื่อ #วลีจีน #หวยหนานจื่อ #นายพรานกับกระต่าย #สาระจีน
    1 Comments 0 Shares 269 Views 0 Reviews
  • 🔐 องค์กรขนาดเล็กกำลังเผชิญวิกฤตความปลอดภัยไซเบอร์
    รายงานล่าสุดจาก World Economic Forum (WEF) ระบุว่า 71% ของผู้นำด้านไซเบอร์เชื่อว่าองค์กรขนาดเล็กกำลังถึงจุดวิกฤต เนื่องจาก งบประมาณที่จำกัด ทีม IT ที่ทำงานหนักเกินไป และภัยคุกคามที่ซับซ้อนขึ้น

    องค์กรขนาดเล็ก ขาดทรัพยากรและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ ทำให้ ความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามลดลงอย่างมาก

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - 71% ของผู้นำด้านไซเบอร์เชื่อว่าองค์กรขนาดเล็กกำลังถึงจุดวิกฤต
    - 35% ขององค์กรขนาดเล็กเชื่อว่าความสามารถในการป้องกันภัยไซเบอร์ของตนไม่เพียงพอ
    - ช่องว่างด้านทักษะไซเบอร์เพิ่มขึ้น 8% โดย 2 ใน 3 ขององค์กรขาดบุคลากรที่มีความสามารถ
    - องค์กรขนาดเล็กมักตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีแบบ supply chain attack
    - การใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์ เช่น phishing และ ransomware-as-a-service กำลังเพิ่มขึ้น

    ⚠️ ความเสี่ยงและข้อควรระวัง
    องค์กรขนาดเล็ก มักเข้าใจผิดว่าภัยไซเบอร์มุ่งเป้าไปที่องค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง พวกเขาเป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับแฮกเกอร์

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - องค์กรขนาดเล็กมักไม่มีทีมรักษาความปลอดภัยเฉพาะทาง ทำให้การตอบสนองต่อภัยคุกคามล่าช้า
    - การขาดการฝึกอบรมด้านไซเบอร์ทำให้พนักงานมีความเสี่ยงต่อ phishing และ social engineering
    - กฎระเบียบด้านไซเบอร์ เช่น NIS2 และ GDPR กำลังเพิ่มภาระให้กับองค์กรขนาดเล็ก
    - การใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์ทำให้ภัยคุกคามมีความซับซ้อนและยากต่อการตรวจจับมากขึ้น

    องค์กรขนาดเล็ก สามารถใช้บริการรักษาความปลอดภัยแบบ managed security services เพื่อช่วย ลดภาระของทีม IT และเพิ่มความสามารถในการป้องกันภัยไซเบอร์

    https://www.csoonline.com/article/4003892/smaller-organizations-nearing-cybersecurity-breaking-point.html
    🔐 องค์กรขนาดเล็กกำลังเผชิญวิกฤตความปลอดภัยไซเบอร์ รายงานล่าสุดจาก World Economic Forum (WEF) ระบุว่า 71% ของผู้นำด้านไซเบอร์เชื่อว่าองค์กรขนาดเล็กกำลังถึงจุดวิกฤต เนื่องจาก งบประมาณที่จำกัด ทีม IT ที่ทำงานหนักเกินไป และภัยคุกคามที่ซับซ้อนขึ้น องค์กรขนาดเล็ก ขาดทรัพยากรและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ ทำให้ ความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามลดลงอย่างมาก ✅ ข้อมูลจากข่าว - 71% ของผู้นำด้านไซเบอร์เชื่อว่าองค์กรขนาดเล็กกำลังถึงจุดวิกฤต - 35% ขององค์กรขนาดเล็กเชื่อว่าความสามารถในการป้องกันภัยไซเบอร์ของตนไม่เพียงพอ - ช่องว่างด้านทักษะไซเบอร์เพิ่มขึ้น 8% โดย 2 ใน 3 ขององค์กรขาดบุคลากรที่มีความสามารถ - องค์กรขนาดเล็กมักตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีแบบ supply chain attack - การใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์ เช่น phishing และ ransomware-as-a-service กำลังเพิ่มขึ้น ⚠️ ความเสี่ยงและข้อควรระวัง องค์กรขนาดเล็ก มักเข้าใจผิดว่าภัยไซเบอร์มุ่งเป้าไปที่องค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง พวกเขาเป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับแฮกเกอร์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - องค์กรขนาดเล็กมักไม่มีทีมรักษาความปลอดภัยเฉพาะทาง ทำให้การตอบสนองต่อภัยคุกคามล่าช้า - การขาดการฝึกอบรมด้านไซเบอร์ทำให้พนักงานมีความเสี่ยงต่อ phishing และ social engineering - กฎระเบียบด้านไซเบอร์ เช่น NIS2 และ GDPR กำลังเพิ่มภาระให้กับองค์กรขนาดเล็ก - การใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์ทำให้ภัยคุกคามมีความซับซ้อนและยากต่อการตรวจจับมากขึ้น องค์กรขนาดเล็ก สามารถใช้บริการรักษาความปลอดภัยแบบ managed security services เพื่อช่วย ลดภาระของทีม IT และเพิ่มความสามารถในการป้องกันภัยไซเบอร์ https://www.csoonline.com/article/4003892/smaller-organizations-nearing-cybersecurity-breaking-point.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Smaller organizations nearing cybersecurity breaking point
    Strained budgets, overstretched teams, and a rise in sophisticated threats is leading to plummeting security confidence among SMEs as cybercriminals increasingly target them in supply chain attacks.
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
More Results