• เริ่มเก็บเกี่ยว #พันธุ์ข้าว กข
    เริ่มเก็บเกี่ยว #พันธุ์ข้าว กข
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “สุชาติ” เผย นบข.เคาะช่วยชาวนาไร่ละ 1,000 บ. ทั้งนาปรัง นาปี เพิ่มโควตาส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยุโรป พร้อมตั้งทีมแก้ปัญหาพันธุ์ข้าวระยะยาว
    https://www.thai-tai.tv/news/20907/
    .
    #นบข #ช่วยเหลือชาวนา #ข้าวไทย #กระทรวงพาณิชย์ #ราคาข้าว #ไทยไท
    “สุชาติ” เผย นบข.เคาะช่วยชาวนาไร่ละ 1,000 บ. ทั้งนาปรัง นาปี เพิ่มโควตาส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยุโรป พร้อมตั้งทีมแก้ปัญหาพันธุ์ข้าวระยะยาว https://www.thai-tai.tv/news/20907/ . #นบข #ช่วยเหลือชาวนา #ข้าวไทย #กระทรวงพาณิชย์ #ราคาข้าว #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'กรุณพล' แฉ สส.เพื่อไทย ใช้ที่ทำการพรรคแลกเมล็ดพันธุ์ข้าว เอาทรัพยากรรัฐซื้อเสียงล่วงหน้า
    https://www.thai-tai.tv/news/19041/
    'กรุณพล' แฉ สส.เพื่อไทย ใช้ที่ทำการพรรคแลกเมล็ดพันธุ์ข้าว เอาทรัพยากรรัฐซื้อเสียงล่วงหน้า https://www.thai-tai.tv/news/19041/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • มนุษย์โลกพัฒนาพันธุ์ข้าวมานับพันๆ ปี จนได้ข้าวพันธุ์ดีมากมายทั่วโลก ทานข้าวแล้วมีสุขภาพดี สมองดี
    แต่ยุคนี้มีมนุษย์พวกหนึ่งกลับไปกินหญ้าหวานเลี้ยงชีพ อาศัยอยู่ประเทศทานหญ้าหวานบุรี แต่ไอ้..คนพูดและครอบครัวมันไม่ทานหญ้าหวาน แดกข้าวพันธุ์ดีมันจึงฉลาดหลอกควาย เขลาๆ ทางปัญญาได้ง่าย
    มนุษย์โลกพัฒนาพันธุ์ข้าวมานับพันๆ ปี จนได้ข้าวพันธุ์ดีมากมายทั่วโลก ทานข้าวแล้วมีสุขภาพดี สมองดี แต่ยุคนี้มีมนุษย์พวกหนึ่งกลับไปกินหญ้าหวานเลี้ยงชีพ อาศัยอยู่ประเทศทานหญ้าหวานบุรี แต่ไอ้..คนพูดและครอบครัวมันไม่ทานหญ้าหวาน แดกข้าวพันธุ์ดีมันจึงฉลาดหลอกควาย เขลาๆ ทางปัญญาได้ง่าย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • **การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืช (Seed Monopoly)**
    หมายถึงการที่บริษัทหรือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ควบคุมการผลิต จำหน่าย และสิทธิบัตรเมล็ดพันธุ์พืชจนกลายเป็นผู้กุมอำนาจหลักในตลาด ส่งผลให้เกษตรกร ผู้บริโภค และระบบนิเวศเกษตรได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง

    ---

    ### **สาเหตุของการผูกขาดเมล็ดพันธุ์**
    1. **สิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา**
    - บริษัทขนาดใหญ่เช่น **Monsanto (Bayer), Syngenta, Corteva** ใช้กฎหมายสิทธิบัตรเพื่อผูกขาดเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอ (GMO) หรือพันธุ์พืชปรับปรุงใหม่ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกต่อได้
    - เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกปี เนื่องจากเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ถูกออกแบบให้มีอายุสั้น (Terminator Seed Technology) หรือมีสัญญาผูกพันทางกฎหมายห้ามเก็บเมล็ดต่อ

    2. **การรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions)**
    - การควบรวมบริษัทเมล็ดพันธุ์และสารเคมีการเกษตร เช่น การซื้อ Monsanto โดย Bayer ในปี 2018 ทำให้เกิดการรวมอำนาจทั้งด้านเมล็ดพันธุ์และปัจจัยการผลิตอื่น ๆ (ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง)

    3. **การควบคุมสายพันธุ์เชิงพาณิชย์**
    - บริษัทเน้นพัฒนาพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูงแต่ต้องใช้สารเคมีร่วมด้วย ส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยว (Monoculture) ซึ่งทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ

    ---

    ### **ผลกระทบจากการผูกขาดเมล็ดพันธุ์**
    1. **เกษตรกรสูญเสียอำนาจต่อรอง**
    - เกษตรกรต้องพึ่งพาบริษัทในการซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกปี สูญเสียอิสระในการจัดการทรัพยากรพันธุ์พืชท้องถิ่น
    - มีคดีฟ้องร้องเกษตรกรหลายกรณีจากการละเมิดสิทธิบัตร เช่น กรณี **Percy Schmeiser** ในแคนาดาที่ถูก Monsanto ฟ้องร้อง

    2. **สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ**
    - เมล็ดพันธุ์ท้องถิ่นและพันธุ์พื้นเมืองถูกแทนที่ด้วยพันธุ์เชิงพาณิชย์ ทำให้พืชดั้งเดิมเสี่ยงสูญพันธุ์

    3. **ความเสี่ยงต่อความมั่นคงอาหาร**
    - การพึ่งพาพันธุ์พืชเพียงไม่กี่ชนิดเพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    4. **เพิ่มต้นทุนการผลิต**
    - เกษตรกรต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์และซื้อสารเคมีในราคาสูง

    ---

    ### **แนวทางแก้ไขและทางเลือก**
    1. **ส่งเสริมเมล็ดพันธุ์เปิด (Open Source Seeds)**
    - เมล็ดพันธุ์ที่อนุญาตให้เกษตรกรเก็บรักษาและแลกเปลี่ยนได้ฟรี เช่น โครงการ Open Source Seed Initiative (OSSI)

    2. **อนุรักษ์และฟื้นฟูเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่น**
    - สนับสนุนธนาคารเมล็ดพันธุ์ชุมชน และเครือข่ายเกษตรกรเพื่อแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชดั้งเดิม

    3. **กฎหมายควบคุมการผูกขาด**
    - รัฐบาลต้องออกกฎหมายป้องกันการผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์ และตรวจสอบการใช้อำนาจเหนือตลาดของบริษัทข้ามชาติ

    4. **สนับสนุนเกษตรอินทรีย์และวนเกษตร**
    - ลดการพึ่งพาเมล็ดพันธุ์เชิงพาณิชย์ด้วยระบบเกษตรที่เน้นความยั่งยืน

    5. **มาตรการระดับสากล**
    - อนุสัญญา ITPGRFA (International Treaty on Plant Genetic Resources for Food and Agriculture) ส่งเสริมการแบ่งปันทรัพยากรพันธุกรรมพืชอย่างเป็นธรรม

    ---

    ### **กรณีศึกษา**
    - **อินเดีย**: วิกฤตหนี้สินเกษตรกรปลูกฝ้าย Bt ของ Monsanto เนื่องจากราคาเมล็ดพันธุ์สูงและผลผลิตล้มเหลว
    - **เม็กซิโก**: การรุกรานของข้าวโพดจีเอ็มโอทำลายสายพันธุ์ข้าวโพดพื้นเมือง ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านบริษัทข้ามชาติ

    ---

    **สรุป**: การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืชเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบทั้งระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสังคม ทางออกคือการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนโดยให้เกษตรกรเป็นศูนย์กลาง และปกป้องสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียม
    **การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืช (Seed Monopoly)** หมายถึงการที่บริษัทหรือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ควบคุมการผลิต จำหน่าย และสิทธิบัตรเมล็ดพันธุ์พืชจนกลายเป็นผู้กุมอำนาจหลักในตลาด ส่งผลให้เกษตรกร ผู้บริโภค และระบบนิเวศเกษตรได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง --- ### **สาเหตุของการผูกขาดเมล็ดพันธุ์** 1. **สิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา** - บริษัทขนาดใหญ่เช่น **Monsanto (Bayer), Syngenta, Corteva** ใช้กฎหมายสิทธิบัตรเพื่อผูกขาดเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอ (GMO) หรือพันธุ์พืชปรับปรุงใหม่ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกต่อได้ - เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกปี เนื่องจากเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ถูกออกแบบให้มีอายุสั้น (Terminator Seed Technology) หรือมีสัญญาผูกพันทางกฎหมายห้ามเก็บเมล็ดต่อ 2. **การรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions)** - การควบรวมบริษัทเมล็ดพันธุ์และสารเคมีการเกษตร เช่น การซื้อ Monsanto โดย Bayer ในปี 2018 ทำให้เกิดการรวมอำนาจทั้งด้านเมล็ดพันธุ์และปัจจัยการผลิตอื่น ๆ (ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง) 3. **การควบคุมสายพันธุ์เชิงพาณิชย์** - บริษัทเน้นพัฒนาพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูงแต่ต้องใช้สารเคมีร่วมด้วย ส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยว (Monoculture) ซึ่งทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ --- ### **ผลกระทบจากการผูกขาดเมล็ดพันธุ์** 1. **เกษตรกรสูญเสียอำนาจต่อรอง** - เกษตรกรต้องพึ่งพาบริษัทในการซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกปี สูญเสียอิสระในการจัดการทรัพยากรพันธุ์พืชท้องถิ่น - มีคดีฟ้องร้องเกษตรกรหลายกรณีจากการละเมิดสิทธิบัตร เช่น กรณี **Percy Schmeiser** ในแคนาดาที่ถูก Monsanto ฟ้องร้อง 2. **สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ** - เมล็ดพันธุ์ท้องถิ่นและพันธุ์พื้นเมืองถูกแทนที่ด้วยพันธุ์เชิงพาณิชย์ ทำให้พืชดั้งเดิมเสี่ยงสูญพันธุ์ 3. **ความเสี่ยงต่อความมั่นคงอาหาร** - การพึ่งพาพันธุ์พืชเพียงไม่กี่ชนิดเพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 4. **เพิ่มต้นทุนการผลิต** - เกษตรกรต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์และซื้อสารเคมีในราคาสูง --- ### **แนวทางแก้ไขและทางเลือก** 1. **ส่งเสริมเมล็ดพันธุ์เปิด (Open Source Seeds)** - เมล็ดพันธุ์ที่อนุญาตให้เกษตรกรเก็บรักษาและแลกเปลี่ยนได้ฟรี เช่น โครงการ Open Source Seed Initiative (OSSI) 2. **อนุรักษ์และฟื้นฟูเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่น** - สนับสนุนธนาคารเมล็ดพันธุ์ชุมชน และเครือข่ายเกษตรกรเพื่อแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชดั้งเดิม 3. **กฎหมายควบคุมการผูกขาด** - รัฐบาลต้องออกกฎหมายป้องกันการผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์ และตรวจสอบการใช้อำนาจเหนือตลาดของบริษัทข้ามชาติ 4. **สนับสนุนเกษตรอินทรีย์และวนเกษตร** - ลดการพึ่งพาเมล็ดพันธุ์เชิงพาณิชย์ด้วยระบบเกษตรที่เน้นความยั่งยืน 5. **มาตรการระดับสากล** - อนุสัญญา ITPGRFA (International Treaty on Plant Genetic Resources for Food and Agriculture) ส่งเสริมการแบ่งปันทรัพยากรพันธุกรรมพืชอย่างเป็นธรรม --- ### **กรณีศึกษา** - **อินเดีย**: วิกฤตหนี้สินเกษตรกรปลูกฝ้าย Bt ของ Monsanto เนื่องจากราคาเมล็ดพันธุ์สูงและผลผลิตล้มเหลว - **เม็กซิโก**: การรุกรานของข้าวโพดจีเอ็มโอทำลายสายพันธุ์ข้าวโพดพื้นเมือง ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านบริษัทข้ามชาติ --- **สรุป**: การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืชเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบทั้งระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสังคม ทางออกคือการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนโดยให้เกษตรกรเป็นศูนย์กลาง และปกป้องสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 945 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว” พศ.๒๕๓๐
    แปลจาก "The One Straw Revolution"
    หนังสือเล่มนี้แหละ จุดประกายความคิดให้ฉันเข้าใจได้อย่างถูกต้องในเรื่องการทำการเกษตรธรรมชาติ สรุปว่า

    ชาวนา เดินตามนักวิชาการในระบบทุนสามานย์ที่หวังครอบครองปัจจัยการผลิตสำคัญ คือ #ที่ดิน โดยสร้างงานทางวิชาการ(จอมปลอม)หลอกเกษตรกรทั่วโลก ให้นิยมทำการเกษตรแบบเคมี..สร้างความหวัง(ต้อง)พึ่งพิง สารเคมี ยาปราบวัชพืช ยาปราบศัตรูพืช..ฯลฯ
    อีกทั้ง..ชาวนายังเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้อุตสาหกรรมเคมีทางการเกษตรเป็นจำนวนเงินมหาศาล เป็นน้ำเลี้ยงระบบอุบาทว์นี้ ยืดเยื้อ ยาวนาน มานานตลอดนับร้อยปี
    สิ่งที่บิดเบือนธรรมชาติ..มีดังนี้ คือ
    การไถหน้าดิน ซึ่งนักวิชาเกิน โม้..ว่าเป็นวิธีการทำให้ดินโปร่ง อากาศเข้าสู่รากพืชได้ดี..นั้น
    (ความจริง)เป็นหน้าที่ของระบบรากพืช ร่วมมือกับแมง แมลง ไส้เดือน และจุลินทรีย์ ทำหน้าที่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ค่ะ
    การไถยิ่งเป็นการหว่านรวมถึงการพลิกฟื้น(ช่วย)เมล็ดพันธุ์วัชพืชให้งอกได้ดีและมีจำนวนมากขึ้น. ➡ เคมีเกษตร(ขายดี)
    ประสบการณ์ที่ผ่านมา..พิสูจน์ว่า การใช้ปุ๋ยเคมี ทำให้พืชอ่อนแอ..ไม่ต้านทานโรค ➡ เคมีเกษตร(ขายดี)
    เป็นสาเหตุสำคัญของการลดลงของสิ่งที่มีชีวิตในดิน รวมถึงการลดลงของจุลินทรีย์ นั่นคือ..ทุกชีวิตในดิน(ตายเรียบ) นะคะ
    สารเคมีฆ่าแมลง ทำให้สัตว์เล็กๆ คือ ตัวห้ำ ตัวเบียฬ ที่มีบทบาทในการควบคุมแมลง(ลดลง)และหอย หนู งู ปู ปลา สูญพันธุ์ไปด้วย
    ยิ่งใช้เคมี..แมลงยิ่งดื้อยาและเพิ่มจำนวนขึ้น เป็นซะ..ง๊าน ➡ เคมีเกษตร(ขายดี)
    มีการเผาฟางเป็นการทำลายดิน..ดินสิ่งมีชีวิตและนิเวศน์ธรรมชาติ(ตายเรียบ) ที่ยากจะกลับคืนเป็นเหมือนเดิม เปรียบเสมือนกับเปิดโลกแห่งสารเคมีให้เจริญเติบโตบนแผ่นดินนี้.➡ เคมีเกษตร(ขายดี)
    การใช้ยากำจัดวัชพืช ทำให้วัชพืชตามธรรมชาติหายไป ซึ่งวัชพืชตามธรรมชาติเป็นพืชที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินและช่วยให้เกิดความ สมดุลในสิ่งแวดล้อมทางชีววิทยา (ตามหลักการพื้นฐาน) วัชพืชเป็นสิ่งที่ต้องควบคุม แต่ไม่ต้องกำจัด การใช้ฟางคลุม และปลูกพืชคลุมดินจำพวกถั่วปนไปกับพืชผล ตลอดจนการปล่อยน้ำเข้านาเป็นครั้งคราว เป็นวิธีควบคุมวัชพืชได้อย่างดีในนา..แว๊ว ค่ะ.
    ข้าวเป็นพืชครึ่งบกครึ่งน้ำ การปลูกข้าวในน้ำทำให้ต้นข้าวต้องเสียพลังงานในการปรับตัวดูดซึมและการหายใจทางราก วิธีการปลูกข้าวที่ถูกต้องน่าจะเป็นแบบเปียกสลับแห้ง น่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตในทุกช่วงวัยของข้าว เพราะว่าพิสูจน์แล้วว่า..แตกกอได้ดี ลำต้นอวบแข็งแรง ข้าวไม่ล้ม และผลผลิตสูงที่สุด.
    พันธุ์ข้าวดัดแปลง/ ลูกผสม จากบริษัทการเกษตรพันธสัญญายักษ์ใหญ่ ได้ถูกออกแบบให้สนองตอบต่อยาและสารเคมีที่กำหนดให้เท่านั้น ทำให้เกษตรกรถูกควบคุมเป็นตัวประกัน และแปรสภาพจากเจ้าของที่ดิน กลายเป็นลูกจ้างบนที่ดินเดิมนั้น.

    หากว่า..ชาวนา ไม่ปฏิวัติ หันมาผลิตข้าวนาเกษตรธรรมชาติ(ต้นทุนต่ำ) ร่วมกับทำสวนผสมให้มีรายได้เพิ่ม สม่ำเสมอทุกวัน ใช้จักรกลทางการเกษตรที่ลดค่าแรงงาน ลดความเสี่ยง เพิ่มรอบผลผลิต
    สุดท้าย..คือ สูญเสียที่ดินทำกิน.
    “ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว” พศ.๒๕๓๐ แปลจาก "The One Straw Revolution" หนังสือเล่มนี้แหละ จุดประกายความคิดให้ฉันเข้าใจได้อย่างถูกต้องในเรื่องการทำการเกษตรธรรมชาติ สรุปว่า ชาวนา เดินตามนักวิชาการในระบบทุนสามานย์ที่หวังครอบครองปัจจัยการผลิตสำคัญ คือ #ที่ดิน โดยสร้างงานทางวิชาการ(จอมปลอม)หลอกเกษตรกรทั่วโลก ให้นิยมทำการเกษตรแบบเคมี..สร้างความหวัง(ต้อง)พึ่งพิง สารเคมี ยาปราบวัชพืช ยาปราบศัตรูพืช..ฯลฯ อีกทั้ง..ชาวนายังเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้อุตสาหกรรมเคมีทางการเกษตรเป็นจำนวนเงินมหาศาล เป็นน้ำเลี้ยงระบบอุบาทว์นี้ ยืดเยื้อ ยาวนาน มานานตลอดนับร้อยปี สิ่งที่บิดเบือนธรรมชาติ..มีดังนี้ คือ 👉การไถหน้าดิน ซึ่งนักวิชาเกิน โม้..ว่าเป็นวิธีการทำให้ดินโปร่ง อากาศเข้าสู่รากพืชได้ดี..นั้น (ความจริง)เป็นหน้าที่ของระบบรากพืช ร่วมมือกับแมง แมลง ไส้เดือน และจุลินทรีย์ ทำหน้าที่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ค่ะ การไถยิ่งเป็นการหว่านรวมถึงการพลิกฟื้น(ช่วย)เมล็ดพันธุ์วัชพืชให้งอกได้ดีและมีจำนวนมากขึ้น. ➡ เคมีเกษตร(ขายดี) 👉 ประสบการณ์ที่ผ่านมา..พิสูจน์ว่า การใช้ปุ๋ยเคมี ทำให้พืชอ่อนแอ..ไม่ต้านทานโรค ➡ เคมีเกษตร(ขายดี) เป็นสาเหตุสำคัญของการลดลงของสิ่งที่มีชีวิตในดิน รวมถึงการลดลงของจุลินทรีย์ นั่นคือ..ทุกชีวิตในดิน(ตายเรียบ) นะคะ 👉สารเคมีฆ่าแมลง ทำให้สัตว์เล็กๆ คือ ตัวห้ำ ตัวเบียฬ ที่มีบทบาทในการควบคุมแมลง(ลดลง)และหอย หนู งู ปู ปลา สูญพันธุ์ไปด้วย ยิ่งใช้เคมี..แมลงยิ่งดื้อยาและเพิ่มจำนวนขึ้น เป็นซะ..ง๊าน ➡ เคมีเกษตร(ขายดี) 👉มีการเผาฟางเป็นการทำลายดิน..ดินสิ่งมีชีวิตและนิเวศน์ธรรมชาติ(ตายเรียบ) ที่ยากจะกลับคืนเป็นเหมือนเดิม เปรียบเสมือนกับเปิดโลกแห่งสารเคมีให้เจริญเติบโตบนแผ่นดินนี้.➡ เคมีเกษตร(ขายดี) 👉 การใช้ยากำจัดวัชพืช ทำให้วัชพืชตามธรรมชาติหายไป ซึ่งวัชพืชตามธรรมชาติเป็นพืชที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินและช่วยให้เกิดความ สมดุลในสิ่งแวดล้อมทางชีววิทยา (ตามหลักการพื้นฐาน) วัชพืชเป็นสิ่งที่ต้องควบคุม แต่ไม่ต้องกำจัด การใช้ฟางคลุม และปลูกพืชคลุมดินจำพวกถั่วปนไปกับพืชผล ตลอดจนการปล่อยน้ำเข้านาเป็นครั้งคราว เป็นวิธีควบคุมวัชพืชได้อย่างดีในนา..แว๊ว ค่ะ. 👉ข้าวเป็นพืชครึ่งบกครึ่งน้ำ การปลูกข้าวในน้ำทำให้ต้นข้าวต้องเสียพลังงานในการปรับตัวดูดซึมและการหายใจทางราก วิธีการปลูกข้าวที่ถูกต้องน่าจะเป็นแบบเปียกสลับแห้ง น่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตในทุกช่วงวัยของข้าว เพราะว่าพิสูจน์แล้วว่า..แตกกอได้ดี ลำต้นอวบแข็งแรง ข้าวไม่ล้ม และผลผลิตสูงที่สุด. 👉 พันธุ์ข้าวดัดแปลง/ ลูกผสม จากบริษัทการเกษตรพันธสัญญายักษ์ใหญ่ ได้ถูกออกแบบให้สนองตอบต่อยาและสารเคมีที่กำหนดให้เท่านั้น ทำให้เกษตรกรถูกควบคุมเป็นตัวประกัน และแปรสภาพจากเจ้าของที่ดิน กลายเป็นลูกจ้างบนที่ดินเดิมนั้น. หากว่า..ชาวนา ไม่ปฏิวัติ หันมาผลิตข้าวนาเกษตรธรรมชาติ(ต้นทุนต่ำ) ร่วมกับทำสวนผสมให้มีรายได้เพิ่ม สม่ำเสมอทุกวัน ใช้จักรกลทางการเกษตรที่ลดค่าแรงงาน ลดความเสี่ยง เพิ่มรอบผลผลิต สุดท้าย..คือ สูญเสียที่ดินทำกิน.
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 401 มุมมอง 0 รีวิว
  • ☆ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย (นาเฮียใช้)
    ☆เพจติดต่อ
    》》
    https://www.facebook.com/naherechai?mibextid=ZbWKwL
    《《
    ♡เข้าชมฟรี♡

    ■นาเฮียใช้หรือศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย
    ■ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี
    ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในจังหวัดสุพรรณบุรีที่รวบรวมเรื่องราวที่น่าสนใจและองค์ความรู้ใหม่ ๆ ในวิถีของเกษตรกรที่ทรงคุณค่าให้ได้ศึกษาและเรียนรู้
    ■สร้างขึ้นจากความจงรักภักดีและสำนึกในคุณงามความดีของในหลวงพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานอย่างหนักเพื่อประชาชนคนไทย
    ■ก่อตั้งโดย คุณนิทัศน์ เจริญธรรมรักษา ที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับชาวนาและข้าว
    ■ใช้ชีวิตภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร
    ■อีกทั้งยังเป็นสถานที่ศึกษาเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวให้ผู้สนใจได้เข้าชม
    ■■■■■■■■■■■■
    #ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย #นาเฮียใช้ #สุพรรณบุรี #เที่ยวไทยไปกับมะนาวก้าวเดิน #สุพรรณบุรี #มะนาวก้าวเดิน #ความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    ☆ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย (นาเฮียใช้) ☆เพจติดต่อ 》》 https://www.facebook.com/naherechai?mibextid=ZbWKwL 《《 ♡เข้าชมฟรี♡ ■นาเฮียใช้หรือศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย ■ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในจังหวัดสุพรรณบุรีที่รวบรวมเรื่องราวที่น่าสนใจและองค์ความรู้ใหม่ ๆ ในวิถีของเกษตรกรที่ทรงคุณค่าให้ได้ศึกษาและเรียนรู้ ■สร้างขึ้นจากความจงรักภักดีและสำนึกในคุณงามความดีของในหลวงพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานอย่างหนักเพื่อประชาชนคนไทย ■ก่อตั้งโดย คุณนิทัศน์ เจริญธรรมรักษา ที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับชาวนาและข้าว ■ใช้ชีวิตภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร ■อีกทั้งยังเป็นสถานที่ศึกษาเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวให้ผู้สนใจได้เข้าชม ■■■■■■■■■■■■ #ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย #นาเฮียใช้ #สุพรรณบุรี #เที่ยวไทยไปกับมะนาวก้าวเดิน #สุพรรณบุรี #มะนาวก้าวเดิน #ความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    Love
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2191 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาตินิยม...ที่ฝังอยู่ในสายเลือด...!!

    ดิฉันกำลังพูดถึงตัวเอง...ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับใคร หรือ เป็นเพราะการเลือกตั้งครั้งสำคัญของประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ทางโค้ง

    แต่ถ้ามีคนถาม...ก็จะตอบว่าไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่รู้สึก”กลัว” เท่ากับในครั้งนี้ ที่กลัวเพราะว่ามันเป็นการเลือกตั้งที่เรากำลังต่อสู้กับเงาอสูร หรือมือที่เรามองไม่เห็น
    ไม่ใช่การเลือกตั้งแบบครั้งก่อนๆที่เรารู้จักหน้าค่าตา รู้จักน้ำจิตน้ำใจ รู้จักนโยบาย
    ครั้งนี้...มองเห็นได้ชัดเจนว่าเราได้ถูกแทรกแซงจากแหล่งต่างๆ
    ที่มีทุนมหาศาล และ เขาได้สร้างนอมินีมาเป็นมือไม้ทำงานให้อย่างไม่ต้องลงแรง
    ส่วนนอมินีที่ว่านั้น....จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม...แต่พวกเขาได้รับการบ่มเพาะ ปลูกฝังมาในทางทฤษฎีให้เชื่อและคล้อยตาม
    คำว่า ชาตินิยม...กลายเป็นของแสลง เพราะเขาใช้คำว่า “คลั่งชาติ” มาตีกันเอาไว้ก่อน
    คำว่า “สลิ่ม” คือพวกที่อยู่ข้างสถาบัน ตามด้วยกิริยาว่า “โหนเจ้า”
    อีกทั้งหาพวกพ้องให้เกิดความแตกแยก โดยเรียกตัวเองว่า “ไพร่”
    ที่ต้องมาผนึกกำลังกันเรียกร้องหาความเสมอภาค

    คำเหล่านี้...คือการยุงยงปลุกปั่น สร้างความร้าวฉาน ทั้งๆที่ เราควรจะภูมิใจถ้าหากเราคลั่งชาติจริงๆ เพราะนี่คือทางออกทางเดียว
    ที่เห็นว่า เราจะแล้วรอดปลอดภัยจากนโยบายครองโลกของคนกลุ่มทุน

    เราปล่อยให้เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาออกอากาศว่า ฟังเพลงชาติแล้วจะอ้วก...หรือ...ไม่จำเป็นต้องทำตามระเบียบแบบแผนที่มีมาดั้งเดิม เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย
    เรามองเห็นมะเร็งร้ายที่เริ่มจากการก่อตัว จนมันได้ขยายออกไป
    ถึงขั้นสี่ ขั้นห้า...แล้วไม่ทำอะไรกันเลย ต่างเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
    เพราะความเป็นคนขี้รำคาญตามนิสัยคนไทย

    ดิฉันกลายมาเป็นคนชาตินิยมไปตั้งแต่เริ่มเข้าวัยกลางคน ทั้งที่อดีต
    เคยนิยมชาติอื่นอย่างมากมาย เพราะเขาให้สิทธิในการออกความเห็น แต่ไม่ใช่ว่าจะออกความเห็นได้อย่างเสรีที่เขาว่า เพราะกฏหมายเขาเอาจริง จะเที่ยวพูดสุ่มสี่สุ่มห้า หรืออารมณ์เมาไวน์พาไปก็ไม่ได้ จะต้องมี”ความรู้” จริง
    ต้องมีการเตรียมตัวพร้อมหลักฐานอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ต้องคิดไตร่ตรองถ้วนถี่ เพราะไม่เช่นนั้น อาจกลายเป็น “ปากพาจน”

    ถึงจะมีสามีเป็นฝรั่งเศส...แต่ไม่เคยที่จะเอามาเป็น”ตัวอ้างอิง”
    ทางความคิดเห็น ความเชื่อของเขากับดิฉันนั้น ต่างกันคนละสาย
    แต่เราไม่ก้าวก่ายกัน
    เขาแปลกใจที่เห็นดิฉัน รักเคารพบูชา เจ้าเหนือแผ่นดิน
    ในขณะที่ชาวฝรั่งเศสเห็นว่า เหนือกว่าอำมาตย์และชนชั้นฐานันดรนั้นคือ tyranny (มีบรรจุไว้ในเพลงชาติ La Marseillaise)
    เขาพร่ำสอนกันมาหลายร้อยปี ก็คงจะเปลี่ยนกันยาก
    นักวิชาการบางพวก...อาจจะเห่อหรือเอาใจเมีย หรืออยากจะอวดว่าเป็นคนที่มีความคิดเห็นแบบตะวันตก...เลยกลายเป็นคนที่ผีเจาะปากมาพูด

    แต่ในครอบครัวดิฉัน...เรื่องนี้...เราไม่ก้าวล่วงในความเชื่อของกันและกัน

    วันก่อน... เห็นมีคนเอาข่าวของการเผาไร่ข้าวโพดกว่าพันเอเคอร์ในฮังการีมาลง...แต่นั้นมันเป็นเรื่องหลายปีมาแล้ว ตั้งแต่ปี 2011
    ที่ชาวเกษตรอนุรักษ์นิยม ได้พบว่ามีเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด GMO หลงเข้ามา ซึ่งจะสร้างการแตกหน่อ ขยายแขนงไปจนเกิดโทษ
    จึงจัดการเผาผลผลิตทิ้งให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่เกสรที่อาจปลิวไป
    ผสมพันธ์ที่อื่น...
    ฮังการีเปิดศึกกับบริษัทมอนซานโตในทุกทาง
    เท่านั้นไม่พอ...นายกรัฐมนตรี Viktor Orban ได้สั่งให้ มหาวิทยาลัย
    CEU (Central European University) ย้ายออกไปจากประเทศ
    ทั้งๆที่มหาวิทยาลัยนี้ เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในภาพพื้นยุโรปตะวันออก ที่สอนในหลักสูตรเดียวกับสหรัฐอเมริกา และ ปริญญาทุกใบ จะรับรองมาตรฐานโดยกระทรวงศึกษาธิการแห่งสหรัฐ

    CEU เป็นมหาวิทยาลัยอินเตอร์ สอนด้วยภาษาอังกฤษ ก่อตั้งในปี 1990 จากทุนทรัพย์ส่วนตัวของนายจอร์จ โซรอส ที่ทุ่มลงมากว่า 800 ล้านยูเอส เพื่อให้เป็นตักศิลาทางการเมืองที่ทันสมัยที่สุด ใหญ่ที่สุด จนได้รับตำแหน่งว่าเป็นยูหนึ่งในร้อยที่ดีที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในสิบสาม ที่เด่นทางรัฐศาสตร์ และ ทางกฏหมาย
    จากนั้นก็เพิ่มสาขาขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงการเงินและธุรกิจ ตามด้วยวิชาปรัชญาเพื่อรองรับกับนโยบายของ Open Society ที่เป็นที่เพาะพันธุ์ของเหล่า NGO ต่างๆ

    ฮังการีภายใต้การนำของนายออร์บัน ได้ระงับการต่อสัญญากับมหาวิทยาลัย พูดง่ายๆคือ ให้ย้ายออกไปจากประเทศโดยไม่แคร์ว่านักศึกษาจะเคว้ง หรือไม่มีที่จะเรียน โดยเห็นว่า ถ้าปล่อยให้ทุนโซรอสเข้ามาครอบงำประชาชนรุ่นใหม่ที่เป็นกำลังของประเทศ
    นั่นหมายถึงการล่มสลาย...
    ดังนั้นจึงเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม...
    วันที่ 3 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา หลังจากที่การยื้อเวลาโดยใช้กลุ่ม อียูเข้ามาช่วยเจรจา หรือ ทางสหรัฐอเมริกาที่พยายามกดดันรัฐบาลทางการทูต....ไม่เป็นผลสำเร็จ
    ซ้ำร้าย....ฮังการีได้เปิดสงครามกับโซรอสโดยการปิดป้ายประจานไปทั่วเมืองนั้น...
    CEU ต้องถอยทัพ...ประกาศว่า จะย้ายมหาวิทยาลัยไปที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย...

    ผู้คนต่างก็ไม่พอใจ พากันเดินขบวนต่อต้านแบบมืดฟ้ามัวดิน เพราะการศึกษาคือเรื่องสำคัญต่ออนาคต
    แต่รัฐบาล....ต้องยอมให้ประชาชนก่นด่า ยอมให้ชาติต้องหยุดชะงัก
    ดีกว่าที่จะให้ เด็กฮังเกเรี่ยนมีหัวใจเป็นอเมริกัน มีสมองที่คิดแต่การเอาเปรียบ มีวิญญาณที่ซื้อได้ด้วยเงิน....

    จากนั้น...รัฐบาลได้ออกกฏหมายให้เหล่า NGO ทุกคนให้มาขึ้นบัญชี
    ที่ต้องแสดงรายได้ตามความเป็นจริง และต้องระบุด้วยว่า รับมาจากที่ใด...เล่นเอาเหล่า NGO ผู้ที่แอบแฝงมาในคราบต่างๆเกิดอาการร้อนๆหนาวๆขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน รัสเซียได้เขี่ยองค์กร
    ลํบหน้าปะจมูกพวกนี้ออกมาจนหมดสิ้น
    นี่ฮังการีก็เริ่มจะเขี่ยทิ้งอีก....
    อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างฮังการีกับรัสเซียที่แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน
    จากเมื่อยี่สิบปีก่อน ที่นายออร์บันคือผู้ที่ต่อต้านรัสเซียอย่างชัดเจน
    แต่ทกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อปูตินได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
    ดำเนินนโยบายแบบยอมหักแต่ไม่ยอมงอนั้น ทำให้เกิดความเลื่อมใส จนแทบจะเดินรอยตามในทุกเรื่อง
    แม้กระทั่งเรื่องผู้อพยพ...ที่เป็นชนวนให้ต้องมีการขับไล่กลุ่ม
    โซรอสออกไปให้พ้นๆ
    มิไยที่สหภาพยุโรปจะกดดัน หรือ ใช้มาตรการเข้ม...ก็ไม่เป็นผล
    ประโยชน์ของชาติต้องมาก่อน...

    แต่กลุ่มสหภาพยุโรปที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวในเรื่องการปฏิเสธการรับผู้อพยพของกลุ่มประเทศ ฮังการี, สโลเวเนีย และโปแลนด์ นั้น
    เริ่มที่จะเสียงแตก เพราะกลุ่มขวาจัดในรัฐบาลอื่นๆ เช่น ฝรั่งเศส และ เยอรมัน ต่างแสดงความเห็นใจประเทศที่ต้องโดนยัดเยียดเหล่านี้...
    ส่วนทางรัสเซีย...ที่ขยันออกคลิปของการ”ต้อนรับ” ผู้หลบหนีเข้าเมืองแบบถึงลูกถึงคนนั้น
    ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับกลุ่มสิทธิมนุษยชนในสภายุโรป
    จนเรียกร้องให้การ”คว่ำบาตร” รัสเซียดำเนินต่อไป...

    ฝรั่งเศส...เมื่อตอนที่นายมาครงขึ้นมาดำรงตำแหน่งในปี 2017
    เขาประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า การรับและโอบอุ้มผู้อพยพคือการแสดงถึงความมีมนุษยธรรม...
    เวลาผ่านไปปีเศษเอง เขาเปลี่ยนไปแล้ว คราวนี้คือ การไม่ต้อนรับและไม่ได้พูดถึงเรื่องมนุษยธรรมอีกเลย
    ซ้ำกระโจมผู้อพยพที่ตั้งเรียงรายนับหมื่นคนที่ท่า Calais นั่น
    ที่หวังจะให้อังกฤษช่วยรับไปก็แห้วอีก...เพราะอังกฤษกำลังจะออกจากอียูอยู่รอมร่อ....เพราะเขาไม่ต้องการการยัดเยียดให้รับชาวต่างชาติอพยพ……

    ทีนี้ก็ถึงคราวที่นายมาครงจะต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
    จะกลืนน้ำลายตัวเองต่อไป หรือจะให้เสื้อกั๊กเหลืองเพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน

    นี่คือตัวอย่างของการแทรกแซงที่ดิฉันรู้สึกว่าน่ากลัว....เพราะเห็นหน้าตากัน เชื้อชาติเดียวกัน พูดจาภาษาเดียวกัน
    แต่...ไม่ใช่ว่าเขามีจิตวิญญาณรักชาติ รักแผ่นดินเหมือนเรา...

    อย่างฮังการีกับโซรอสนั่นไง....ที่มาทำท่าเป็นพ่อพระเพื่อช่วยส่งเสริมการศึกษา แจกทุน ตั้งองค์กรด้วยเงินจำนวนมหาศาล....
    แต่ซ่อนมีดไว้ข้างหลัง....

    ทั้งๆที่เขาและบรรพบุรุษของเขา.....เป็นฮังเกเรี่ยนแท้ๆ เขายังทำได้ลงคอ....!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ชาตินิยม...ที่ฝังอยู่ในสายเลือด...!! ดิฉันกำลังพูดถึงตัวเอง...ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับใคร หรือ เป็นเพราะการเลือกตั้งครั้งสำคัญของประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ทางโค้ง แต่ถ้ามีคนถาม...ก็จะตอบว่าไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่รู้สึก”กลัว” เท่ากับในครั้งนี้ ที่กลัวเพราะว่ามันเป็นการเลือกตั้งที่เรากำลังต่อสู้กับเงาอสูร หรือมือที่เรามองไม่เห็น ไม่ใช่การเลือกตั้งแบบครั้งก่อนๆที่เรารู้จักหน้าค่าตา รู้จักน้ำจิตน้ำใจ รู้จักนโยบาย ครั้งนี้...มองเห็นได้ชัดเจนว่าเราได้ถูกแทรกแซงจากแหล่งต่างๆ ที่มีทุนมหาศาล และ เขาได้สร้างนอมินีมาเป็นมือไม้ทำงานให้อย่างไม่ต้องลงแรง ส่วนนอมินีที่ว่านั้น....จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม...แต่พวกเขาได้รับการบ่มเพาะ ปลูกฝังมาในทางทฤษฎีให้เชื่อและคล้อยตาม คำว่า ชาตินิยม...กลายเป็นของแสลง เพราะเขาใช้คำว่า “คลั่งชาติ” มาตีกันเอาไว้ก่อน คำว่า “สลิ่ม” คือพวกที่อยู่ข้างสถาบัน ตามด้วยกิริยาว่า “โหนเจ้า” อีกทั้งหาพวกพ้องให้เกิดความแตกแยก โดยเรียกตัวเองว่า “ไพร่” ที่ต้องมาผนึกกำลังกันเรียกร้องหาความเสมอภาค คำเหล่านี้...คือการยุงยงปลุกปั่น สร้างความร้าวฉาน ทั้งๆที่ เราควรจะภูมิใจถ้าหากเราคลั่งชาติจริงๆ เพราะนี่คือทางออกทางเดียว ที่เห็นว่า เราจะแล้วรอดปลอดภัยจากนโยบายครองโลกของคนกลุ่มทุน เราปล่อยให้เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาออกอากาศว่า ฟังเพลงชาติแล้วจะอ้วก...หรือ...ไม่จำเป็นต้องทำตามระเบียบแบบแผนที่มีมาดั้งเดิม เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย เรามองเห็นมะเร็งร้ายที่เริ่มจากการก่อตัว จนมันได้ขยายออกไป ถึงขั้นสี่ ขั้นห้า...แล้วไม่ทำอะไรกันเลย ต่างเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะความเป็นคนขี้รำคาญตามนิสัยคนไทย ดิฉันกลายมาเป็นคนชาตินิยมไปตั้งแต่เริ่มเข้าวัยกลางคน ทั้งที่อดีต เคยนิยมชาติอื่นอย่างมากมาย เพราะเขาให้สิทธิในการออกความเห็น แต่ไม่ใช่ว่าจะออกความเห็นได้อย่างเสรีที่เขาว่า เพราะกฏหมายเขาเอาจริง จะเที่ยวพูดสุ่มสี่สุ่มห้า หรืออารมณ์เมาไวน์พาไปก็ไม่ได้ จะต้องมี”ความรู้” จริง ต้องมีการเตรียมตัวพร้อมหลักฐานอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ต้องคิดไตร่ตรองถ้วนถี่ เพราะไม่เช่นนั้น อาจกลายเป็น “ปากพาจน” ถึงจะมีสามีเป็นฝรั่งเศส...แต่ไม่เคยที่จะเอามาเป็น”ตัวอ้างอิง” ทางความคิดเห็น ความเชื่อของเขากับดิฉันนั้น ต่างกันคนละสาย แต่เราไม่ก้าวก่ายกัน เขาแปลกใจที่เห็นดิฉัน รักเคารพบูชา เจ้าเหนือแผ่นดิน ในขณะที่ชาวฝรั่งเศสเห็นว่า เหนือกว่าอำมาตย์และชนชั้นฐานันดรนั้นคือ tyranny (มีบรรจุไว้ในเพลงชาติ La Marseillaise) เขาพร่ำสอนกันมาหลายร้อยปี ก็คงจะเปลี่ยนกันยาก นักวิชาการบางพวก...อาจจะเห่อหรือเอาใจเมีย หรืออยากจะอวดว่าเป็นคนที่มีความคิดเห็นแบบตะวันตก...เลยกลายเป็นคนที่ผีเจาะปากมาพูด แต่ในครอบครัวดิฉัน...เรื่องนี้...เราไม่ก้าวล่วงในความเชื่อของกันและกัน วันก่อน... เห็นมีคนเอาข่าวของการเผาไร่ข้าวโพดกว่าพันเอเคอร์ในฮังการีมาลง...แต่นั้นมันเป็นเรื่องหลายปีมาแล้ว ตั้งแต่ปี 2011 ที่ชาวเกษตรอนุรักษ์นิยม ได้พบว่ามีเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด GMO หลงเข้ามา ซึ่งจะสร้างการแตกหน่อ ขยายแขนงไปจนเกิดโทษ จึงจัดการเผาผลผลิตทิ้งให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่เกสรที่อาจปลิวไป ผสมพันธ์ที่อื่น... ฮังการีเปิดศึกกับบริษัทมอนซานโตในทุกทาง เท่านั้นไม่พอ...นายกรัฐมนตรี Viktor Orban ได้สั่งให้ มหาวิทยาลัย CEU (Central European University) ย้ายออกไปจากประเทศ ทั้งๆที่มหาวิทยาลัยนี้ เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในภาพพื้นยุโรปตะวันออก ที่สอนในหลักสูตรเดียวกับสหรัฐอเมริกา และ ปริญญาทุกใบ จะรับรองมาตรฐานโดยกระทรวงศึกษาธิการแห่งสหรัฐ CEU เป็นมหาวิทยาลัยอินเตอร์ สอนด้วยภาษาอังกฤษ ก่อตั้งในปี 1990 จากทุนทรัพย์ส่วนตัวของนายจอร์จ โซรอส ที่ทุ่มลงมากว่า 800 ล้านยูเอส เพื่อให้เป็นตักศิลาทางการเมืองที่ทันสมัยที่สุด ใหญ่ที่สุด จนได้รับตำแหน่งว่าเป็นยูหนึ่งในร้อยที่ดีที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในสิบสาม ที่เด่นทางรัฐศาสตร์ และ ทางกฏหมาย จากนั้นก็เพิ่มสาขาขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงการเงินและธุรกิจ ตามด้วยวิชาปรัชญาเพื่อรองรับกับนโยบายของ Open Society ที่เป็นที่เพาะพันธุ์ของเหล่า NGO ต่างๆ ฮังการีภายใต้การนำของนายออร์บัน ได้ระงับการต่อสัญญากับมหาวิทยาลัย พูดง่ายๆคือ ให้ย้ายออกไปจากประเทศโดยไม่แคร์ว่านักศึกษาจะเคว้ง หรือไม่มีที่จะเรียน โดยเห็นว่า ถ้าปล่อยให้ทุนโซรอสเข้ามาครอบงำประชาชนรุ่นใหม่ที่เป็นกำลังของประเทศ นั่นหมายถึงการล่มสลาย... ดังนั้นจึงเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม... วันที่ 3 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา หลังจากที่การยื้อเวลาโดยใช้กลุ่ม อียูเข้ามาช่วยเจรจา หรือ ทางสหรัฐอเมริกาที่พยายามกดดันรัฐบาลทางการทูต....ไม่เป็นผลสำเร็จ ซ้ำร้าย....ฮังการีได้เปิดสงครามกับโซรอสโดยการปิดป้ายประจานไปทั่วเมืองนั้น... CEU ต้องถอยทัพ...ประกาศว่า จะย้ายมหาวิทยาลัยไปที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย... ผู้คนต่างก็ไม่พอใจ พากันเดินขบวนต่อต้านแบบมืดฟ้ามัวดิน เพราะการศึกษาคือเรื่องสำคัญต่ออนาคต แต่รัฐบาล....ต้องยอมให้ประชาชนก่นด่า ยอมให้ชาติต้องหยุดชะงัก ดีกว่าที่จะให้ เด็กฮังเกเรี่ยนมีหัวใจเป็นอเมริกัน มีสมองที่คิดแต่การเอาเปรียบ มีวิญญาณที่ซื้อได้ด้วยเงิน.... จากนั้น...รัฐบาลได้ออกกฏหมายให้เหล่า NGO ทุกคนให้มาขึ้นบัญชี ที่ต้องแสดงรายได้ตามความเป็นจริง และต้องระบุด้วยว่า รับมาจากที่ใด...เล่นเอาเหล่า NGO ผู้ที่แอบแฝงมาในคราบต่างๆเกิดอาการร้อนๆหนาวๆขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน รัสเซียได้เขี่ยองค์กร ลํบหน้าปะจมูกพวกนี้ออกมาจนหมดสิ้น นี่ฮังการีก็เริ่มจะเขี่ยทิ้งอีก.... อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างฮังการีกับรัสเซียที่แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน จากเมื่อยี่สิบปีก่อน ที่นายออร์บันคือผู้ที่ต่อต้านรัสเซียอย่างชัดเจน แต่ทกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อปูตินได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ดำเนินนโยบายแบบยอมหักแต่ไม่ยอมงอนั้น ทำให้เกิดความเลื่อมใส จนแทบจะเดินรอยตามในทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องผู้อพยพ...ที่เป็นชนวนให้ต้องมีการขับไล่กลุ่ม โซรอสออกไปให้พ้นๆ มิไยที่สหภาพยุโรปจะกดดัน หรือ ใช้มาตรการเข้ม...ก็ไม่เป็นผล ประโยชน์ของชาติต้องมาก่อน... แต่กลุ่มสหภาพยุโรปที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวในเรื่องการปฏิเสธการรับผู้อพยพของกลุ่มประเทศ ฮังการี, สโลเวเนีย และโปแลนด์ นั้น เริ่มที่จะเสียงแตก เพราะกลุ่มขวาจัดในรัฐบาลอื่นๆ เช่น ฝรั่งเศส และ เยอรมัน ต่างแสดงความเห็นใจประเทศที่ต้องโดนยัดเยียดเหล่านี้... ส่วนทางรัสเซีย...ที่ขยันออกคลิปของการ”ต้อนรับ” ผู้หลบหนีเข้าเมืองแบบถึงลูกถึงคนนั้น ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับกลุ่มสิทธิมนุษยชนในสภายุโรป จนเรียกร้องให้การ”คว่ำบาตร” รัสเซียดำเนินต่อไป... ฝรั่งเศส...เมื่อตอนที่นายมาครงขึ้นมาดำรงตำแหน่งในปี 2017 เขาประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า การรับและโอบอุ้มผู้อพยพคือการแสดงถึงความมีมนุษยธรรม... เวลาผ่านไปปีเศษเอง เขาเปลี่ยนไปแล้ว คราวนี้คือ การไม่ต้อนรับและไม่ได้พูดถึงเรื่องมนุษยธรรมอีกเลย ซ้ำกระโจมผู้อพยพที่ตั้งเรียงรายนับหมื่นคนที่ท่า Calais นั่น ที่หวังจะให้อังกฤษช่วยรับไปก็แห้วอีก...เพราะอังกฤษกำลังจะออกจากอียูอยู่รอมร่อ....เพราะเขาไม่ต้องการการยัดเยียดให้รับชาวต่างชาติอพยพ…… ทีนี้ก็ถึงคราวที่นายมาครงจะต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง จะกลืนน้ำลายตัวเองต่อไป หรือจะให้เสื้อกั๊กเหลืองเพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน นี่คือตัวอย่างของการแทรกแซงที่ดิฉันรู้สึกว่าน่ากลัว....เพราะเห็นหน้าตากัน เชื้อชาติเดียวกัน พูดจาภาษาเดียวกัน แต่...ไม่ใช่ว่าเขามีจิตวิญญาณรักชาติ รักแผ่นดินเหมือนเรา... อย่างฮังการีกับโซรอสนั่นไง....ที่มาทำท่าเป็นพ่อพระเพื่อช่วยส่งเสริมการศึกษา แจกทุน ตั้งองค์กรด้วยเงินจำนวนมหาศาล.... แต่ซ่อนมีดไว้ข้างหลัง.... ทั้งๆที่เขาและบรรพบุรุษของเขา.....เป็นฮังเกเรี่ยนแท้ๆ เขายังทำได้ลงคอ....!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1407 มุมมอง 0 รีวิว
  • พรรค………นี้ออกจะยุ่งๆหน่อย...!!!

    ค่ะ ยุ่งจริงๆ เพราะเหล่าผองเพื่อนต่างกลับมาจากการพักเย็นที่เหมือนจะเป็นธรรมเนียมของคนฝรั่งเศส คือ หน้าร้อน ก็พักร้อน ไปเที่ยวกันไกลๆ
    หน้าหนาวก็ไปเล่นสกี หรือบินตามเกาะต่างๆที่มีอากาศอุ่นๆตามประสาความอู้ฟู่ของใครของมัน

    ดิฉันไม่มีฤดูกาลพักผ่อนอะไรกับเขาทั้งสิ้น เพราะขี้เกียจตัวเป็นขน
    อีกทั้งไปไหนไม่ได้นาน เพราะหมาสามตัวที่นั่งเฝ้าหน้าประตูคอยนั่นทำให้รู้สึก”ผิด” มากกว่าอาการค้อนควักของสามี...ที่คอยรับประทานดันบ่อยๆว่า “ชีวิตดี๊ ดี นะยะเธอ”
    ชั่งเหอะ...เข้าหูซ้ายออกหูขวา ไปลั้ลลา ตีกอล์ฟพร้อมอาหารกลางวัน น้ำชากาแฟยามบ่ายแทบทุกวัน
    ไม่ใช่ว่า...เลิศหรูอะไรหรอกค่ะ สนามกอล์ฟก็จ่ายสมาชิกรายปีอยู่แล้ว
    เพื่อนฝูงก็มากมาย ผลัดกันเป็นเจ้าภาพ มีเรื่องคุยกันแบบสามวันไม่มีจบ
    กลับถึงบ้าน...ก็หมดแรง

    แต่อ่านและติดตามข่าวเมืองไทยอย่างหายใจรดต้นคอเลยเชียว
    โค้งนี้และครั้งนี้...เป็นการเดิมพันที่น่าใจหายใจคว่ำ เพราะมันไม่ใช่การเมืองอย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีใครมาพูดถึงนโยบายแบบฉลาดๆ
    มีแต่คิดที่จะเลิกนั่นเลิกนี่ ทำแก้แค้นเอาคืนคนโน้นคนนี้ และ จะแจกนั่นแจกนี่ โดยที่ไม่ได้บอกว่าจะหาเงินมาจากไหนและอย่างไร

    ที่สำคัญที่สุด คือการแสดงออกชัดเจนว่า เรามีเพียงสองขั้วเท่านั้นที่จะเลือก คือ ขั้วเอาเจ้า กับ ไม่เอาเจ้า

    สายสีส้มออกมาโจมตีบ้านเมืองทุกวัน ไอ้นั่นก็ไม่ใช่ ไอ้นี่ก็ไม่ยุติธรรม
    ทุกอย่างที่หล่อเลี้ยงเขามาจนถึงบัดนี้ ก็เพราะประเทศเลวๆที่ไม่มีความสมดุลย์นี่แหละ...
    ยิ่งฟังก็ยิ่งมองเห็นเงาของกลุ่มอิลลูมินาติ กับ OSF (Open Society Foundation) ของ จอร์จ โซรอส ชัดแบบไม่ต้องใช้แว่นขยาย
    เพราะมันคือหลักการพื้นๆของเขาที่ใช้ในทุกประเทศ คือ สนับสนุนคนรุ่นใหม่วัยเยาว์, เชิดชูประชาธิปไตย, ล้างสมองให้เชื่อว่าสิทธิของมนุษยชนต้องเท่ากัน โดยใช้กลุ่ม NGO และ HRW เป็นพี่เลี้ยงให้ในทุกเวที,
    ต้องเปิดพรมแดน รับผู้ลี้ภัย, และต้องไม่”ชาตินิยม” ขนบธรรมเนียม
    อะไรเก่าๆทิ้งไป..เพราะมันไม่สร้างสรรค์ รวมถึงสถาบันกษัตริย์ที่ไม่จำเป็นต้องมี...

    ทั้งหมดทั้งมวล เห็นได้ในนโยบายของพรรคสีส้ม จนเหมือนกับว่า...พวกเขาคือสาวกที่ได้ขายวิญญาณไปแล้ว...
    ที่แน่ๆคือ...พวกเขาได้”ก้าวข้าม” นายทุนท่อน้ำเลี้ยง ณ.ทางไกลไปหลายก้าวแล้วด้วยซ้ำ...คือไม่อ้อมแอ้ม...กล้าที่จะประกาศว่า...ไม่เอาสถาบัน!!

    ที่เหลือก็อยู่ที่คนไทย...จะเลือกทางไหนก็แล้วแต่ แต่เชื่อได้ว่า ข่าวที่มีเรื่องข้าว เรื่องสารพาราควอท นั่น...มันมีมูล
    ฟังแล้วจะว่าเป็นข่าวลวง ลับ พรางอะไรก็ตามที แต่เคยเขียนถึง มอนซานโต้กับไบเออร์ให้อ่านกันแล้ว นั่นคือการทำงานของเขาล้วนๆ
    เรื่องข้าว...คือการนำเมล็ดพันธุ์ไปทำ GMO เพื่อคุณภาพจะได้ทนต่อแมลงและโรคติดต่อ และทำ DNA ในแต่ละสายพันธุ์ เพื่อไม่ให้มีการปลอมปน
    จกการลงทุนขนาดใหญ่นี้ หมายถึงว่า เขาจะเข้ามาควบคุมเมล็ดพันธุ์ข้าวทั้งหมด และใส่ถุงกลับมาขายให้ชาวนา ที่ต้องใช้ตามที่เขากำหนด
    เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว....จะส่งขายต่างประเทศไม่ได้………!!!!
    ข้าวคือสินค้าขาออกที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ที่มีอนาคตที่ล่อแหลมมาก
    ส่วนเรื่องสารพิษนั่น...ขอขำแปล๊บ...ก็ต้องขอต่ออายุให้ใช้ไปอีกระยะหนึ่ง ใครจะตายก็ชั่งมันปะไร เพราะนายทุนเขายังมีอยู่ในสต๊อก ก็ต้องให้เขาปล่อยให้หมดก่อน จะไปแบนได้ยังไง รับนาฬิ...เอ๊ย รับซองเขามาแล้ว...คิดได้ไม่ยากเลย..!!

    ดิฉันฟังนักวิชาการของพรรคสีส้มที่เขาพูดถึงสถาบัน การเมืองกับประชาธิปไตย ว่าเป็นสิ่งที่ย้อนแย้ง และไม่มีวันที่จะเข้ากันได้
    และเขาได้ยกตัวอย่างถึง ปฏิวัติฝรั่งเศส 1789 ที่………”เขาช่างกล้า”
    ยกเอาคำพูดการตัดสินของ Louis Antoine de Saint-Just หนึ่งในผู้นำบองคณะปฏิวัติ (Jacobin Club) ที่ประกาศชี้โทษให้ทำการใช้กิโยติน
    กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในวันที่ 21 มกราคม 1793

    การอภิปรายแบบนี้ ถือว่าพวกเขาได้แทรก”นัยยะ”ไว้ให้คนรุ่นใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับความทันสมัยของโลกเทคโนโลยี ทุกอย่างสั่งได้เหมือนพิซซ่า เด็กรุ่นนี้ไม่มีความเข้าใจถึงความซับซ้อนของการเมือง และการปกครอง
    เพราะขนาดที่ฝรั่งเศสเรียกร้องหาความเป็นประชาธิปไตย ถึงขนาดล้มล้างกษัตริย์ของตัวเอง เอาพระโอรสองค์เล็กของพระเจ้าหลุยส์ที่สิบหกที่มีอายุเพียงหกเจ็ดขวบ (ตามตำแหน่งคือ พระเจ้าหลุยส์ที่ สิบเจ็ด)ไปจองจำ ขังไว้จนสิ้นพระชนม์เมื่อมีพระชนมายุได้ สิบขวบ
    ต่อมาก็พระอนุชา (ตามตำแหน่งที่ชอบธรรมคือ พระเจ้าหลุยส์ที่สิบแปด) ที่ต้องเสด็จออกไปอยู่นอกประเทศ เยอรมันบ้าง อังกฤษบ้าง)
    ในช่วงนี้เองที่ นโปเลียนได้ก้าวขึ้นมาเป็นพระจักรพรรดิ เพราะกษัตริย์พระองค์จริงยังอยู่.………
    พอนโปเลียนไปถูกเนรเทศไปจองจำที่เกาะ Alba
    พระเจ้าหลุยส์ที่สิบแปดก็เสด็จกลับมาครองบัลลังก์ฝรั่งเศส
    นโปเลียนแหกเกาะออกมา...พระเจ้าหลุยส์ที่สิบแปดก็ออกไปนอกประเทศอีก
    พอนโปเลียนแพ้สงครามที่วอเตอร์ลู (กับอังกฤษ) พระเจ้าหลุยส์ที่สิบแปดก็กลับมาครองบัลลังก์ฝรั่งเศสเหมือนเดิมจนสิ้นพระชนม์ในปี 1824

    กษัตริย์ที่ครองบัลลังก์ต่อมา คือ พระเจ้าชารลส์ที่สิบ ( Charles X )
    ที่เป็นหลาน เพราะพระเจ้าหลุยส์ที่สิบแปดไม่มีรัชทายาท
    ฝรั่งเศสได้มีกษัตริย์องค์สุดท้ายคือ พระเจ้า Louis-Philippe (โดยตำแหน่ง) แต่พระองค์ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษเป็นส่วนใหญ่ สิ้นพระชนม์ในปี 1850

    ฝรั่งเศสได้มีประธานาธิบดีคนแรกในปี 1848 เขาคือ Louis-Napoléon Bonaparte หรือเป็นที่รู้จักกันใน Napoléon III ผู้ซึ่งเป็นหลานชายของ
    นโปเลียน

    ฉะนั้น ถ้าใครจะมาบังอาจเล่าเรื่องการปฏิวัติฝรั่งเศสก็ควรจะเล่าให้จบว่า หลังจากที่สำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์ที่สิบหกด้วยกิโยตินแล้ว ก็ไม่ใช่จะหลุดออกจากการปกครองของกษัตริย์และพระจักรพรรดิโดยสิ้นเชิงเสียเมื่อไหร่ กว่าประชาชนจะหาทางออกให้กับประเทศของตัวเอง จัดแจงการปกครองแบบใหม่ได้ก็ใช้เวลาร่วมร้อยปี
    ในช่วงของเกือบร้อยปีนั่น ต้องผ่านสงครามมากี่ครั้ง ทหารตายไปเท่าไหร่ อับอายขายหน้าที่ผู้นำประเทศ (นโปเลียนที่สาม) แพ้สงคราม ต้องโดนเยอรมันจับไปเป็นเชลย
    บ้านเมืองระส่ำระสาย ประชาชนแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า
    นี่ไง...ประชาธิปไตยของประเทศตัวอย่างที่ชอบอ้างกันนัก
    ที่ทุกวันนี้...ประชาชนต้องออกมาไล่ผู้นำติดต่อกันสิบสี่อาทิตย์แล้ว
    ทั้งๆที่เขามาจากการเลือกตั้ง....

    แล้วอย่านึกว่า ฝรั่งเศสมีเอกเทศในการปกครองนะคะ ทั้งยุโรปเรากำลังจะอยู่ควบรวมไว้ในหม้อเดียวกัน ในนามว่า Bilderberg Group
    จะมีการจัดตั้งกองกำลังยุโรปให้มีประสิทธิภาพเพื่อที่จะมีเขี้ยวเล็บให้น่าเกรงขาม
    เฉพาะที่ฝรั่งเศส เรามีคลังแสงของระเบิดนิวเคลียร์ขนาดใหญ่เป็นที่สามของโลกค่าาา พี่น้องงงงง....
    งบประมาณในการณ์นี้ คือ สามถึงสี่พันล้านยูโรต่อปี

    ในขณะที่ในบางประเทศคนหลายคนยังถามรัฐบาลตัวเองว่า มีทหารไว้ทำไม???

    ฟังแล้วเหมือนกับโดนลากมาตบกลางสี่แยกยังไงไม่รู้.……เมื่อก่อนหน้านั้นก็โดนไปทีนึงแล้ว ที่หนังสือพิมพ์ฝรั่งเขาขยี้เรื่องเด็กของเราใส่เสื้อ
    สวัสดิกะขึ้นเวที หลังจากที่ขอโทษขอโพยกันแล้ว เขายังเขียนว่า
    ผู้คนชาวไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้เรื่องความเป็นไปของโลก เพราะนักเรียนจะเรียนแค่ไทยทำสงครามกับพม่าเท่านั้น...!!!

    แค่พูดเบาๆยังเจ็บจี๊ดไปทั้งร่าง....!!!

    Wiwanda W. Vichit
    พรรค………นี้ออกจะยุ่งๆหน่อย...!!! ค่ะ ยุ่งจริงๆ เพราะเหล่าผองเพื่อนต่างกลับมาจากการพักเย็นที่เหมือนจะเป็นธรรมเนียมของคนฝรั่งเศส คือ หน้าร้อน ก็พักร้อน ไปเที่ยวกันไกลๆ หน้าหนาวก็ไปเล่นสกี หรือบินตามเกาะต่างๆที่มีอากาศอุ่นๆตามประสาความอู้ฟู่ของใครของมัน ดิฉันไม่มีฤดูกาลพักผ่อนอะไรกับเขาทั้งสิ้น เพราะขี้เกียจตัวเป็นขน อีกทั้งไปไหนไม่ได้นาน เพราะหมาสามตัวที่นั่งเฝ้าหน้าประตูคอยนั่นทำให้รู้สึก”ผิด” มากกว่าอาการค้อนควักของสามี...ที่คอยรับประทานดันบ่อยๆว่า “ชีวิตดี๊ ดี นะยะเธอ” ชั่งเหอะ...เข้าหูซ้ายออกหูขวา ไปลั้ลลา ตีกอล์ฟพร้อมอาหารกลางวัน น้ำชากาแฟยามบ่ายแทบทุกวัน ไม่ใช่ว่า...เลิศหรูอะไรหรอกค่ะ สนามกอล์ฟก็จ่ายสมาชิกรายปีอยู่แล้ว เพื่อนฝูงก็มากมาย ผลัดกันเป็นเจ้าภาพ มีเรื่องคุยกันแบบสามวันไม่มีจบ กลับถึงบ้าน...ก็หมดแรง แต่อ่านและติดตามข่าวเมืองไทยอย่างหายใจรดต้นคอเลยเชียว โค้งนี้และครั้งนี้...เป็นการเดิมพันที่น่าใจหายใจคว่ำ เพราะมันไม่ใช่การเมืองอย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีใครมาพูดถึงนโยบายแบบฉลาดๆ มีแต่คิดที่จะเลิกนั่นเลิกนี่ ทำแก้แค้นเอาคืนคนโน้นคนนี้ และ จะแจกนั่นแจกนี่ โดยที่ไม่ได้บอกว่าจะหาเงินมาจากไหนและอย่างไร ที่สำคัญที่สุด คือการแสดงออกชัดเจนว่า เรามีเพียงสองขั้วเท่านั้นที่จะเลือก คือ ขั้วเอาเจ้า กับ ไม่เอาเจ้า สายสีส้มออกมาโจมตีบ้านเมืองทุกวัน ไอ้นั่นก็ไม่ใช่ ไอ้นี่ก็ไม่ยุติธรรม ทุกอย่างที่หล่อเลี้ยงเขามาจนถึงบัดนี้ ก็เพราะประเทศเลวๆที่ไม่มีความสมดุลย์นี่แหละ... ยิ่งฟังก็ยิ่งมองเห็นเงาของกลุ่มอิลลูมินาติ กับ OSF (Open Society Foundation) ของ จอร์จ โซรอส ชัดแบบไม่ต้องใช้แว่นขยาย เพราะมันคือหลักการพื้นๆของเขาที่ใช้ในทุกประเทศ คือ สนับสนุนคนรุ่นใหม่วัยเยาว์, เชิดชูประชาธิปไตย, ล้างสมองให้เชื่อว่าสิทธิของมนุษยชนต้องเท่ากัน โดยใช้กลุ่ม NGO และ HRW เป็นพี่เลี้ยงให้ในทุกเวที, ต้องเปิดพรมแดน รับผู้ลี้ภัย, และต้องไม่”ชาตินิยม” ขนบธรรมเนียม อะไรเก่าๆทิ้งไป..เพราะมันไม่สร้างสรรค์ รวมถึงสถาบันกษัตริย์ที่ไม่จำเป็นต้องมี... ทั้งหมดทั้งมวล เห็นได้ในนโยบายของพรรคสีส้ม จนเหมือนกับว่า...พวกเขาคือสาวกที่ได้ขายวิญญาณไปแล้ว... ที่แน่ๆคือ...พวกเขาได้”ก้าวข้าม” นายทุนท่อน้ำเลี้ยง ณ.ทางไกลไปหลายก้าวแล้วด้วยซ้ำ...คือไม่อ้อมแอ้ม...กล้าที่จะประกาศว่า...ไม่เอาสถาบัน!! ที่เหลือก็อยู่ที่คนไทย...จะเลือกทางไหนก็แล้วแต่ แต่เชื่อได้ว่า ข่าวที่มีเรื่องข้าว เรื่องสารพาราควอท นั่น...มันมีมูล ฟังแล้วจะว่าเป็นข่าวลวง ลับ พรางอะไรก็ตามที แต่เคยเขียนถึง มอนซานโต้กับไบเออร์ให้อ่านกันแล้ว นั่นคือการทำงานของเขาล้วนๆ เรื่องข้าว...คือการนำเมล็ดพันธุ์ไปทำ GMO เพื่อคุณภาพจะได้ทนต่อแมลงและโรคติดต่อ และทำ DNA ในแต่ละสายพันธุ์ เพื่อไม่ให้มีการปลอมปน จกการลงทุนขนาดใหญ่นี้ หมายถึงว่า เขาจะเข้ามาควบคุมเมล็ดพันธุ์ข้าวทั้งหมด และใส่ถุงกลับมาขายให้ชาวนา ที่ต้องใช้ตามที่เขากำหนด เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว....จะส่งขายต่างประเทศไม่ได้………!!!! ข้าวคือสินค้าขาออกที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ที่มีอนาคตที่ล่อแหลมมาก ส่วนเรื่องสารพิษนั่น...ขอขำแปล๊บ...ก็ต้องขอต่ออายุให้ใช้ไปอีกระยะหนึ่ง ใครจะตายก็ชั่งมันปะไร เพราะนายทุนเขายังมีอยู่ในสต๊อก ก็ต้องให้เขาปล่อยให้หมดก่อน จะไปแบนได้ยังไง รับนาฬิ...เอ๊ย รับซองเขามาแล้ว...คิดได้ไม่ยากเลย..!! ดิฉันฟังนักวิชาการของพรรคสีส้มที่เขาพูดถึงสถาบัน การเมืองกับประชาธิปไตย ว่าเป็นสิ่งที่ย้อนแย้ง และไม่มีวันที่จะเข้ากันได้ และเขาได้ยกตัวอย่างถึง ปฏิวัติฝรั่งเศส 1789 ที่………”เขาช่างกล้า” ยกเอาคำพูดการตัดสินของ Louis Antoine de Saint-Just หนึ่งในผู้นำบองคณะปฏิวัติ (Jacobin Club) ที่ประกาศชี้โทษให้ทำการใช้กิโยติน กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในวันที่ 21 มกราคม 1793 การอภิปรายแบบนี้ ถือว่าพวกเขาได้แทรก”นัยยะ”ไว้ให้คนรุ่นใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับความทันสมัยของโลกเทคโนโลยี ทุกอย่างสั่งได้เหมือนพิซซ่า เด็กรุ่นนี้ไม่มีความเข้าใจถึงความซับซ้อนของการเมือง และการปกครอง เพราะขนาดที่ฝรั่งเศสเรียกร้องหาความเป็นประชาธิปไตย ถึงขนาดล้มล้างกษัตริย์ของตัวเอง เอาพระโอรสองค์เล็กของพระเจ้าหลุยส์ที่สิบหกที่มีอายุเพียงหกเจ็ดขวบ (ตามตำแหน่งคือ พระเจ้าหลุยส์ที่ สิบเจ็ด)ไปจองจำ ขังไว้จนสิ้นพระชนม์เมื่อมีพระชนมายุได้ สิบขวบ ต่อมาก็พระอนุชา (ตามตำแหน่งที่ชอบธรรมคือ พระเจ้าหลุยส์ที่สิบแปด) ที่ต้องเสด็จออกไปอยู่นอกประเทศ เยอรมันบ้าง อังกฤษบ้าง) ในช่วงนี้เองที่ นโปเลียนได้ก้าวขึ้นมาเป็นพระจักรพรรดิ เพราะกษัตริย์พระองค์จริงยังอยู่.……… พอนโปเลียนไปถูกเนรเทศไปจองจำที่เกาะ Alba พระเจ้าหลุยส์ที่สิบแปดก็เสด็จกลับมาครองบัลลังก์ฝรั่งเศส นโปเลียนแหกเกาะออกมา...พระเจ้าหลุยส์ที่สิบแปดก็ออกไปนอกประเทศอีก พอนโปเลียนแพ้สงครามที่วอเตอร์ลู (กับอังกฤษ) พระเจ้าหลุยส์ที่สิบแปดก็กลับมาครองบัลลังก์ฝรั่งเศสเหมือนเดิมจนสิ้นพระชนม์ในปี 1824 กษัตริย์ที่ครองบัลลังก์ต่อมา คือ พระเจ้าชารลส์ที่สิบ ( Charles X ) ที่เป็นหลาน เพราะพระเจ้าหลุยส์ที่สิบแปดไม่มีรัชทายาท ฝรั่งเศสได้มีกษัตริย์องค์สุดท้ายคือ พระเจ้า Louis-Philippe (โดยตำแหน่ง) แต่พระองค์ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษเป็นส่วนใหญ่ สิ้นพระชนม์ในปี 1850 ฝรั่งเศสได้มีประธานาธิบดีคนแรกในปี 1848 เขาคือ Louis-Napoléon Bonaparte หรือเป็นที่รู้จักกันใน Napoléon III ผู้ซึ่งเป็นหลานชายของ นโปเลียน ฉะนั้น ถ้าใครจะมาบังอาจเล่าเรื่องการปฏิวัติฝรั่งเศสก็ควรจะเล่าให้จบว่า หลังจากที่สำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์ที่สิบหกด้วยกิโยตินแล้ว ก็ไม่ใช่จะหลุดออกจากการปกครองของกษัตริย์และพระจักรพรรดิโดยสิ้นเชิงเสียเมื่อไหร่ กว่าประชาชนจะหาทางออกให้กับประเทศของตัวเอง จัดแจงการปกครองแบบใหม่ได้ก็ใช้เวลาร่วมร้อยปี ในช่วงของเกือบร้อยปีนั่น ต้องผ่านสงครามมากี่ครั้ง ทหารตายไปเท่าไหร่ อับอายขายหน้าที่ผู้นำประเทศ (นโปเลียนที่สาม) แพ้สงคราม ต้องโดนเยอรมันจับไปเป็นเชลย บ้านเมืองระส่ำระสาย ประชาชนแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า นี่ไง...ประชาธิปไตยของประเทศตัวอย่างที่ชอบอ้างกันนัก ที่ทุกวันนี้...ประชาชนต้องออกมาไล่ผู้นำติดต่อกันสิบสี่อาทิตย์แล้ว ทั้งๆที่เขามาจากการเลือกตั้ง.... แล้วอย่านึกว่า ฝรั่งเศสมีเอกเทศในการปกครองนะคะ ทั้งยุโรปเรากำลังจะอยู่ควบรวมไว้ในหม้อเดียวกัน ในนามว่า Bilderberg Group จะมีการจัดตั้งกองกำลังยุโรปให้มีประสิทธิภาพเพื่อที่จะมีเขี้ยวเล็บให้น่าเกรงขาม เฉพาะที่ฝรั่งเศส เรามีคลังแสงของระเบิดนิวเคลียร์ขนาดใหญ่เป็นที่สามของโลกค่าาา พี่น้องงงงง.... งบประมาณในการณ์นี้ คือ สามถึงสี่พันล้านยูโรต่อปี ในขณะที่ในบางประเทศคนหลายคนยังถามรัฐบาลตัวเองว่า มีทหารไว้ทำไม??? ฟังแล้วเหมือนกับโดนลากมาตบกลางสี่แยกยังไงไม่รู้.……เมื่อก่อนหน้านั้นก็โดนไปทีนึงแล้ว ที่หนังสือพิมพ์ฝรั่งเขาขยี้เรื่องเด็กของเราใส่เสื้อ สวัสดิกะขึ้นเวที หลังจากที่ขอโทษขอโพยกันแล้ว เขายังเขียนว่า ผู้คนชาวไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้เรื่องความเป็นไปของโลก เพราะนักเรียนจะเรียนแค่ไทยทำสงครามกับพม่าเท่านั้น...!!! แค่พูดเบาๆยังเจ็บจี๊ดไปทั้งร่าง....!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1457 มุมมอง 0 รีวิว