• โจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ปรากฏตัวครั้งแรกต่อหน้าสาธารณชนนับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง

    พฤติกรรมของไบเดน "ยังคงเส้นคงวา" เขาเริ่มกล่าวประโยคแรกในขณะที่ เสียงเพลงยังไม่จบ ไบเดนจะรู้ไหมว่าเกิดเสียงเพลงยังไม่จบ และไม่มีใครได้ยินในสิ่งที่เขาพูด
    โจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ปรากฏตัวครั้งแรกต่อหน้าสาธารณชนนับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง พฤติกรรมของไบเดน "ยังคงเส้นคงวา" เขาเริ่มกล่าวประโยคแรกในขณะที่ เสียงเพลงยังไม่จบ ไบเดนจะรู้ไหมว่าเกิดเสียงเพลงยังไม่จบ และไม่มีใครได้ยินในสิ่งที่เขาพูด
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 72 Views 22 0 Reviews
  • ดาหน้ามาแฉอย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว ทั้งเพื่อนของ “แพท ณปภา ตันตระกูล” ที่ออกมาเล่านิทาน "นางพญาเด็กแว๊น" กับ "ดารา-นักร้องชาย" ที่เลิกจิ้นกัน แต่ฝ่ายนักร้องขอให้จิ้นต่อ เพื่อโกยเงินโกยทอง ด้านเพื่อนของ "แตงโม นิดา" ก็ออกมาแฉ พฤติกรรมของ "ไอ้ขี้เก๊ก" สมัยที่ยังเป็นสามีภรรยากับแตงโม

    ยังโดนแฉอย่างต่อเนื่องสำหรับ ”โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์“ “หมอของขวัญ ฟูจิตนิรันดร์“ ก็โพสต์ข้อความ เล่าเรื่องราว เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว สมัยที่เคยจ้าง "แพท ณปภา" และมาออกงานคู่กัน ซึ่งตอนนั้นทั้งคู่จิ้นกันอยู่

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000035753

    #MGROnline #โตโน่ภาคิน #ณิชา #โตโน่
    ดาหน้ามาแฉอย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว ทั้งเพื่อนของ “แพท ณปภา ตันตระกูล” ที่ออกมาเล่านิทาน "นางพญาเด็กแว๊น" กับ "ดารา-นักร้องชาย" ที่เลิกจิ้นกัน แต่ฝ่ายนักร้องขอให้จิ้นต่อ เพื่อโกยเงินโกยทอง ด้านเพื่อนของ "แตงโม นิดา" ก็ออกมาแฉ พฤติกรรมของ "ไอ้ขี้เก๊ก" สมัยที่ยังเป็นสามีภรรยากับแตงโม • ยังโดนแฉอย่างต่อเนื่องสำหรับ ”โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์“ “หมอของขวัญ ฟูจิตนิรันดร์“ ก็โพสต์ข้อความ เล่าเรื่องราว เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว สมัยที่เคยจ้าง "แพท ณปภา" และมาออกงานคู่กัน ซึ่งตอนนั้นทั้งคู่จิ้นกันอยู่ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000035753 • #MGROnline #โตโน่ภาคิน #ณิชา #โตโน่
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • Google กำลังใช้ AI และโทรศัพท์ Pixel เพื่อพัฒนาโมเดลที่สามารถ เข้าใจและสื่อสารกับโลมา โดยโครงการนี้ใช้ DolphinGemma ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่สามารถวิเคราะห์เสียงของโลมา เช่น เสียงหวีด, คลิก และ squawk

    ✅ Google ใช้ AI เพื่อศึกษาภาษาของโลมา
    - โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Google, Georgia Tech และ Wild Dolphin Project (WDP)
    - WDP มีข้อมูลเสียงของโลมามากกว่า 40 ปี ซึ่งใช้ในการฝึกโมเดล DolphinGemma

    ✅ DolphinGemma วิเคราะห์เสียงโลมาเพื่อเข้าใจพฤติกรรม
    - โลมามี เสียงหวีดเฉพาะตัว ที่ใช้เรียกกันเหมือนชื่อ
    - ใช้ เสียงคลิก "buzzes" ในการเกี้ยวพาราสีหรือขับไล่ฉลาม
    - ใช้ เสียง burst-pulse "squarks" ในระหว่างการต่อสู้

    ✅ Pixel phones ถูกใช้ในการบันทึกเสียงโลมา
    - โทรศัพท์ Pixel ใช้ SoundStream tokenizer เพื่อแปลงเสียงโลมาเป็นข้อมูลที่ AI สามารถวิเคราะห์ได้
    - DolphinGemma มี 400 ล้านพารามิเตอร์ และสามารถทำงานบน Pixel ได้โดยตรง

    ✅ CHAT: ระบบสื่อสารสองทางกับโลมา
    - CHAT (Cetacean Hearing Augmentation Telemetry) ใช้ Pixel 6 เพื่อสร้าง เสียงหวีดสังเคราะห์
    - นักวิจัยหวังว่าโลมาจะเลียนแบบเสียงเหล่านี้เพื่อขอสิ่งที่ต้องการ เช่น สาหร่ายทะเลหรือผ้าพันคอ
    - Google เตรียมเปิดตัว CHAT รุ่นใหม่บน Pixel 9 สำหรับฤดูร้อนปี 2025

    https://www.techspot.com/news/107552-how-google-plans-use-ai-pixel-phones-talk.html
    Google กำลังใช้ AI และโทรศัพท์ Pixel เพื่อพัฒนาโมเดลที่สามารถ เข้าใจและสื่อสารกับโลมา โดยโครงการนี้ใช้ DolphinGemma ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่สามารถวิเคราะห์เสียงของโลมา เช่น เสียงหวีด, คลิก และ squawk ✅ Google ใช้ AI เพื่อศึกษาภาษาของโลมา - โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Google, Georgia Tech และ Wild Dolphin Project (WDP) - WDP มีข้อมูลเสียงของโลมามากกว่า 40 ปี ซึ่งใช้ในการฝึกโมเดล DolphinGemma ✅ DolphinGemma วิเคราะห์เสียงโลมาเพื่อเข้าใจพฤติกรรม - โลมามี เสียงหวีดเฉพาะตัว ที่ใช้เรียกกันเหมือนชื่อ - ใช้ เสียงคลิก "buzzes" ในการเกี้ยวพาราสีหรือขับไล่ฉลาม - ใช้ เสียง burst-pulse "squarks" ในระหว่างการต่อสู้ ✅ Pixel phones ถูกใช้ในการบันทึกเสียงโลมา - โทรศัพท์ Pixel ใช้ SoundStream tokenizer เพื่อแปลงเสียงโลมาเป็นข้อมูลที่ AI สามารถวิเคราะห์ได้ - DolphinGemma มี 400 ล้านพารามิเตอร์ และสามารถทำงานบน Pixel ได้โดยตรง ✅ CHAT: ระบบสื่อสารสองทางกับโลมา - CHAT (Cetacean Hearing Augmentation Telemetry) ใช้ Pixel 6 เพื่อสร้าง เสียงหวีดสังเคราะห์ - นักวิจัยหวังว่าโลมาจะเลียนแบบเสียงเหล่านี้เพื่อขอสิ่งที่ต้องการ เช่น สาหร่ายทะเลหรือผ้าพันคอ - Google เตรียมเปิดตัว CHAT รุ่นใหม่บน Pixel 9 สำหรับฤดูร้อนปี 2025 https://www.techspot.com/news/107552-how-google-plans-use-ai-pixel-phones-talk.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google's AI is learning dolphin language - for real
    Google has announced a collaboration with researchers at Georgia Tech and the field research of the Wild Dolphin Project (WDP), the latter of which has been collecting...
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews
  • OpenAI กำลังพัฒนา แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตัวเอง ซึ่งอาจเป็นคู่แข่งของ X (เดิมคือ Twitter) โดยแพลตฟอร์มนี้จะเน้นการใช้ ChatGPT ในการสร้างภาพและเนื้อหา และอาจรวมเข้ากับ ChatGPT หรือเปิดตัวเป็นแอปใหม่

    ✅ OpenAI กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
    - แพลตฟอร์มนี้อยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา และยังไม่แน่ชัดว่าจะเป็นแอปใหม่หรือรวมเข้ากับ ChatGPT
    - มีการใช้ ChatGPT ในการสร้างภาพและเนื้อหา พร้อมฟีดแบบโซเชียล

    ✅ ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่าง Sam Altman และ Elon Musk
    - Musk เคยเสนอซื้อ OpenAI ในราคา 97.4 พันล้านดอลลาร์ แต่ถูก Altman ปฏิเสธ
    - OpenAI และ Musk ต่างก็มีคดีความต่อกันเกี่ยวกับการควบคุมเทคโนโลยี AI

    ✅ เป้าหมายของ OpenAI ในการสร้างแพลตฟอร์มนี้
    - OpenAI ต้องการ ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อฝึก AI แทนการพึ่งพาข้อมูลจากแพลตฟอร์มอื่น
    - แพลตฟอร์มนี้อาจช่วยให้ OpenAI มี แหล่งข้อมูลของตัวเอง เหมือนกับที่ Musk ใช้ X ในการฝึก Grok

    ✅ แนวโน้มของตลาดโซเชียลมีเดียที่ใช้ AI
    - Meta กำลังใช้ Llama models ในการฝึก AI ด้วยข้อมูลจาก Facebook และ Instagram
    - OpenAI อาจต้องแข่งขันกับแพลตฟอร์มที่มีฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่

    ℹ️ ความท้าทายในการเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่
    - OpenAI กำลังเผชิญกับหลายประเด็น เช่น การพัฒนาโมเดลใหม่, คดีความ และการขยายธุรกิจ
    - ต้องติดตามว่าแพลตฟอร์มนี้จะสามารถดึงดูดผู้ใช้ได้หรือไม่

    ℹ️ ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด AI
    - หาก OpenAI มีแพลตฟอร์มของตัวเอง อาจส่งผลต่อ การเข้าถึงข้อมูลของ AI คู่แข่ง
    - อาจมีการเปลี่ยนแปลงในแนวทางการพัฒนา AI ของบริษัทอื่น

    ℹ️ แนวโน้มของการใช้ AI ในโซเชียลมีเดีย
    - AI อาจมีบทบาทมากขึ้นในการสร้างเนื้อหาและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้
    - อาจมีการพัฒนา AI ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ในรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น

    https://www.neowin.net/news/openai-is-reportedly-working-on-its-own-social-media-platform-to-rival-the-likes-of-x/
    OpenAI กำลังพัฒนา แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตัวเอง ซึ่งอาจเป็นคู่แข่งของ X (เดิมคือ Twitter) โดยแพลตฟอร์มนี้จะเน้นการใช้ ChatGPT ในการสร้างภาพและเนื้อหา และอาจรวมเข้ากับ ChatGPT หรือเปิดตัวเป็นแอปใหม่ ✅ OpenAI กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย - แพลตฟอร์มนี้อยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา และยังไม่แน่ชัดว่าจะเป็นแอปใหม่หรือรวมเข้ากับ ChatGPT - มีการใช้ ChatGPT ในการสร้างภาพและเนื้อหา พร้อมฟีดแบบโซเชียล ✅ ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่าง Sam Altman และ Elon Musk - Musk เคยเสนอซื้อ OpenAI ในราคา 97.4 พันล้านดอลลาร์ แต่ถูก Altman ปฏิเสธ - OpenAI และ Musk ต่างก็มีคดีความต่อกันเกี่ยวกับการควบคุมเทคโนโลยี AI ✅ เป้าหมายของ OpenAI ในการสร้างแพลตฟอร์มนี้ - OpenAI ต้องการ ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อฝึก AI แทนการพึ่งพาข้อมูลจากแพลตฟอร์มอื่น - แพลตฟอร์มนี้อาจช่วยให้ OpenAI มี แหล่งข้อมูลของตัวเอง เหมือนกับที่ Musk ใช้ X ในการฝึก Grok ✅ แนวโน้มของตลาดโซเชียลมีเดียที่ใช้ AI - Meta กำลังใช้ Llama models ในการฝึก AI ด้วยข้อมูลจาก Facebook และ Instagram - OpenAI อาจต้องแข่งขันกับแพลตฟอร์มที่มีฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ ℹ️ ความท้าทายในการเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ - OpenAI กำลังเผชิญกับหลายประเด็น เช่น การพัฒนาโมเดลใหม่, คดีความ และการขยายธุรกิจ - ต้องติดตามว่าแพลตฟอร์มนี้จะสามารถดึงดูดผู้ใช้ได้หรือไม่ ℹ️ ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด AI - หาก OpenAI มีแพลตฟอร์มของตัวเอง อาจส่งผลต่อ การเข้าถึงข้อมูลของ AI คู่แข่ง - อาจมีการเปลี่ยนแปลงในแนวทางการพัฒนา AI ของบริษัทอื่น ℹ️ แนวโน้มของการใช้ AI ในโซเชียลมีเดีย - AI อาจมีบทบาทมากขึ้นในการสร้างเนื้อหาและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ - อาจมีการพัฒนา AI ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ในรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น https://www.neowin.net/news/openai-is-reportedly-working-on-its-own-social-media-platform-to-rival-the-likes-of-x/
    WWW.NEOWIN.NET
    OpenAI is reportedly working on its own social media platform to rival the likes of X
    OpenAI doesn't seem to be catching a break. A new report claims the company is quietly building a social media platform that could go head-to-head with X.
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • ญี่ปุ่นได้ออกคำสั่ง "หยุดและยุติ" ต่อ Google โดยกล่าวหาว่าบริษัทละเมิดกฎหมาย ต่อต้านการผูกขาด ด้วยการบังคับให้ เครื่องมือค้นหาของ Google เป็นค่าเริ่มต้นในสมาร์ทโฟน Android

    ✅ ญี่ปุ่นกล่าวหา Google ว่าละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด
    - คณะกรรมการการค้าแห่งญี่ปุ่น (JFTC) ระบุว่า Google ใช้อำนาจตลาดเพื่อให้ เครื่องมือค้นหาของตนเป็นค่าเริ่มต้นใน Android
    - คำสั่ง "หยุดและยุติ" เป็นมาตรการที่ใช้เพื่อบังคับให้บริษัทหยุดพฤติกรรมที่อาจเป็นการผูกขาด

    ✅ กรณีนี้คล้ายกับคดีในสหรัฐฯ และยุโรป
    - กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังดำเนินคดีเกี่ยวกับ การครอบงำตลาดของ Google
    - ในยุโรป Google เคยถูกปรับ 4.34 พันล้านยูโร ในปี 2018 เนื่องจากข้อจำกัดเกี่ยวกับ Android

    ✅ การสอบสวนของญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่ปี 2023
    - ญี่ปุ่นได้ปรึกษากับประเทศอื่นที่มีคดีเกี่ยวกับ Google ก่อนออกคำสั่งนี้
    - Google Japan แสดงความผิดหวังต่อคำสั่งดังกล่าว และอ้างว่าบริษัทมีส่วนช่วยพัฒนาเทคโนโลยีในญี่ปุ่น

    ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในญี่ปุ่น
    - หาก Google ต้องเปลี่ยนแปลงนโยบาย อาจส่งผลต่อ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและนักพัฒนาแอป
    - อาจมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ การตั้งค่าเริ่มต้นของเครื่องมือค้นหาใน Android

    ℹ️ ความท้าทายในการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด
    - คดีในสหรัฐฯ และยุโรปใช้เวลาหลายปีในการดำเนินการ
    - ญี่ปุ่นอาจต้องใช้เวลานานในการบังคับใช้คำสั่งนี้

    ℹ️ แนวโน้มของการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
    - หลายประเทศกำลังเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ บริษัทเทคโนโลยีที่มีอำนาจตลาดสูง
    - อาจมีการออกกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมพฤติกรรมของบริษัทเหล่านี้

    https://www.neowin.net/news/japan-hits-google-with-anti-monopoly-accusations-over-android-phones/
    ญี่ปุ่นได้ออกคำสั่ง "หยุดและยุติ" ต่อ Google โดยกล่าวหาว่าบริษัทละเมิดกฎหมาย ต่อต้านการผูกขาด ด้วยการบังคับให้ เครื่องมือค้นหาของ Google เป็นค่าเริ่มต้นในสมาร์ทโฟน Android ✅ ญี่ปุ่นกล่าวหา Google ว่าละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด - คณะกรรมการการค้าแห่งญี่ปุ่น (JFTC) ระบุว่า Google ใช้อำนาจตลาดเพื่อให้ เครื่องมือค้นหาของตนเป็นค่าเริ่มต้นใน Android - คำสั่ง "หยุดและยุติ" เป็นมาตรการที่ใช้เพื่อบังคับให้บริษัทหยุดพฤติกรรมที่อาจเป็นการผูกขาด ✅ กรณีนี้คล้ายกับคดีในสหรัฐฯ และยุโรป - กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังดำเนินคดีเกี่ยวกับ การครอบงำตลาดของ Google - ในยุโรป Google เคยถูกปรับ 4.34 พันล้านยูโร ในปี 2018 เนื่องจากข้อจำกัดเกี่ยวกับ Android ✅ การสอบสวนของญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่ปี 2023 - ญี่ปุ่นได้ปรึกษากับประเทศอื่นที่มีคดีเกี่ยวกับ Google ก่อนออกคำสั่งนี้ - Google Japan แสดงความผิดหวังต่อคำสั่งดังกล่าว และอ้างว่าบริษัทมีส่วนช่วยพัฒนาเทคโนโลยีในญี่ปุ่น ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในญี่ปุ่น - หาก Google ต้องเปลี่ยนแปลงนโยบาย อาจส่งผลต่อ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและนักพัฒนาแอป - อาจมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ การตั้งค่าเริ่มต้นของเครื่องมือค้นหาใน Android ℹ️ ความท้าทายในการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด - คดีในสหรัฐฯ และยุโรปใช้เวลาหลายปีในการดำเนินการ - ญี่ปุ่นอาจต้องใช้เวลานานในการบังคับใช้คำสั่งนี้ ℹ️ แนวโน้มของการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ - หลายประเทศกำลังเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ บริษัทเทคโนโลยีที่มีอำนาจตลาดสูง - อาจมีการออกกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมพฤติกรรมของบริษัทเหล่านี้ https://www.neowin.net/news/japan-hits-google-with-anti-monopoly-accusations-over-android-phones/
    WWW.NEOWIN.NET
    Japan hits Google with anti-monopoly accusations over Android phones
    Japan has slapped Google with an antitrust order over Android phones, accusing it of shutting out rivals in the search market.
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • ลุงนึกว่ามีแค่หน่วยราชการไทยที่ยังใช้ ActiveX อยู่นะเนี่ยะ

    Microsoft ได้ปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยใน Office apps โดยทำให้การเปิดใช้งาน ActiveX controls ยากขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ช่วยลดความเสี่ยงจากมัลแวร์และการโจมตีทางไซเบอร์

    ✅ ActiveX ถูกบล็อกโดยค่าเริ่มต้นใน Office apps
    - ก่อนหน้านี้ Office apps อนุญาตให้ผู้ใช้เปิดใช้งาน ActiveX ได้ง่ายผ่าน prompt
    - Microsoft พบว่าพฤติกรรมนี้เปิดช่องให้ มัลแวร์และโค้ดที่ไม่ได้รับอนุญาต สามารถรันบนระบบได้

    ✅ การเปลี่ยนแปลงในเวอร์ชันล่าสุด
    - ตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 เป็นต้นไป Word, Excel, PowerPoint และ Visio จะบล็อก ActiveX โดยอัตโนมัติ
    - เมื่อเปิดไฟล์ที่มี ActiveX ผู้ใช้จะเห็นข้อความ "BLOCKED CONTENT: The ActiveX content in this file is blocked."

    ✅ การเปิดใช้งาน ActiveX ใน Trust Center
    - หากต้องการเปิดใช้งาน ActiveX ผู้ใช้ต้องไปที่ File > Options > Trust Center
    - จากนั้นเลือก ActiveX Settings > Prompt me before enabling all controls with minimal restrictions

    ✅ การเปิดตัวใน Microsoft 365
    - ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานแล้วสำหรับ Microsoft 365 Insiders ใน Beta Channel
    - กำลังทยอยเปิดตัวใน Current Channel เวอร์ชัน 2504 (build 18730.20030 หรือใหม่กว่า)

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ที่ต้องใช้ ActiveX
    - ผู้ใช้ที่ต้องพึ่งพา ActiveX อาจต้องปรับการตั้งค่าใน Trust Center
    - อาจมีผลกระทบต่อ ไฟล์เก่าที่ใช้ ActiveX ซึ่งอาจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของ ActiveX
    - ActiveX เป็นเทคโนโลยีที่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสูง และมักถูกใช้ในการโจมตีแบบ social engineering
    - Microsoft แนะนำให้ใช้ เทคโนโลยีอื่นแทน ActiveX เช่น JavaScript หรือ HTML5

    ℹ️ แนวโน้มของการรักษาความปลอดภัยใน Office apps
    - Microsoft อาจเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมในอนาคต
    - อาจมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ VBA macros และ Add-ins เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์

    https://www.neowin.net/news/microsoft-makes-it-harder-to-enable-activex-in-office-apps-to-improve-security/
    ลุงนึกว่ามีแค่หน่วยราชการไทยที่ยังใช้ ActiveX อยู่นะเนี่ยะ Microsoft ได้ปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยใน Office apps โดยทำให้การเปิดใช้งาน ActiveX controls ยากขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ช่วยลดความเสี่ยงจากมัลแวร์และการโจมตีทางไซเบอร์ ✅ ActiveX ถูกบล็อกโดยค่าเริ่มต้นใน Office apps - ก่อนหน้านี้ Office apps อนุญาตให้ผู้ใช้เปิดใช้งาน ActiveX ได้ง่ายผ่าน prompt - Microsoft พบว่าพฤติกรรมนี้เปิดช่องให้ มัลแวร์และโค้ดที่ไม่ได้รับอนุญาต สามารถรันบนระบบได้ ✅ การเปลี่ยนแปลงในเวอร์ชันล่าสุด - ตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 เป็นต้นไป Word, Excel, PowerPoint และ Visio จะบล็อก ActiveX โดยอัตโนมัติ - เมื่อเปิดไฟล์ที่มี ActiveX ผู้ใช้จะเห็นข้อความ "BLOCKED CONTENT: The ActiveX content in this file is blocked." ✅ การเปิดใช้งาน ActiveX ใน Trust Center - หากต้องการเปิดใช้งาน ActiveX ผู้ใช้ต้องไปที่ File > Options > Trust Center - จากนั้นเลือก ActiveX Settings > Prompt me before enabling all controls with minimal restrictions ✅ การเปิดตัวใน Microsoft 365 - ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานแล้วสำหรับ Microsoft 365 Insiders ใน Beta Channel - กำลังทยอยเปิดตัวใน Current Channel เวอร์ชัน 2504 (build 18730.20030 หรือใหม่กว่า) ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ที่ต้องใช้ ActiveX - ผู้ใช้ที่ต้องพึ่งพา ActiveX อาจต้องปรับการตั้งค่าใน Trust Center - อาจมีผลกระทบต่อ ไฟล์เก่าที่ใช้ ActiveX ซึ่งอาจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของ ActiveX - ActiveX เป็นเทคโนโลยีที่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสูง และมักถูกใช้ในการโจมตีแบบ social engineering - Microsoft แนะนำให้ใช้ เทคโนโลยีอื่นแทน ActiveX เช่น JavaScript หรือ HTML5 ℹ️ แนวโน้มของการรักษาความปลอดภัยใน Office apps - Microsoft อาจเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมในอนาคต - อาจมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ VBA macros และ Add-ins เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ https://www.neowin.net/news/microsoft-makes-it-harder-to-enable-activex-in-office-apps-to-improve-security/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft makes it harder to enable ActiveX in Office apps to improve security
    ActiveX is a powerful technology for Office apps, but its inherent risks pose serious security threats. To combat this, Microsoft is making it harder to enable ActiveX.
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • เซเลนสกีไม่รู้จะทำอะไรดีในวันที่ 9 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันแห่งชัยชนะของรัสเซีย เลยตัดสินใจเชิญผู้นำสหภาพยุโรปไปเคียฟในวันเดียวกันนั้นเพื่อแสดงการตอบโต้ "ขบวนพาเหรดของวลาดิมีร์ ปูติน"

    มีรายงานว่า "อังเดรย์ ซิบิกา" รัฐมนตรีต่างประเทศของยูเครน ส่งคำเชิญไปให้เพื่อนสมาชิกยุโรปแล้วในระหว่างการประชุมที่ลักเซมเบิร์กวันนี้


    เมื่อวานนี้  Kaja Kallas หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป เพิ่งสั่งห้ามประเทศสมาชิกยุโรป รวมทั้งประเทศที่ต้องการสมัครเข้าเป็นสมาชิก "ห้าม" เข้าร่วมงานวันแห่งชัยชนะที่มอสโกโดยเด็ดขาด โดยให้เหตุผลว่า "รัสเซียมีพฤติกรรมไม่สอดคล้องกับค่านิยมของสหภาพยุโรป"
    เซเลนสกีไม่รู้จะทำอะไรดีในวันที่ 9 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันแห่งชัยชนะของรัสเซีย เลยตัดสินใจเชิญผู้นำสหภาพยุโรปไปเคียฟในวันเดียวกันนั้นเพื่อแสดงการตอบโต้ "ขบวนพาเหรดของวลาดิมีร์ ปูติน" มีรายงานว่า "อังเดรย์ ซิบิกา" รัฐมนตรีต่างประเทศของยูเครน ส่งคำเชิญไปให้เพื่อนสมาชิกยุโรปแล้วในระหว่างการประชุมที่ลักเซมเบิร์กวันนี้ เมื่อวานนี้  Kaja Kallas หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป เพิ่งสั่งห้ามประเทศสมาชิกยุโรป รวมทั้งประเทศที่ต้องการสมัครเข้าเป็นสมาชิก "ห้าม" เข้าร่วมงานวันแห่งชัยชนะที่มอสโกโดยเด็ดขาด โดยให้เหตุผลว่า "รัสเซียมีพฤติกรรมไม่สอดคล้องกับค่านิยมของสหภาพยุโรป"
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • จับสัญญาณเศรษฐกิจ ผ่านการใช้จ่ายบัตรเครดิต : คนเคาะข่าว 14-04-68
    : ประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี”
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    #คนเคาะข่าว #เศรษฐกิจไทย #การใช้จ่ายบัตรเครดิต #สัญญาณเศรษฐกิจ #KTC #ประณยานิถานานนท์ #การเงินส่วนบุคคล #ข่าวเศรษฐกิจ #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #นงวดีถนิมมาลย์ #พฤติกรรมผู้บริโภค #thaitimes #แนวโน้มการใช้จ่าย #ธุรกิจการเงิน
    จับสัญญาณเศรษฐกิจ ผ่านการใช้จ่ายบัตรเครดิต : คนเคาะข่าว 14-04-68 : ประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #เศรษฐกิจไทย #การใช้จ่ายบัตรเครดิต #สัญญาณเศรษฐกิจ #KTC #ประณยานิถานานนท์ #การเงินส่วนบุคคล #ข่าวเศรษฐกิจ #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #นงวดีถนิมมาลย์ #พฤติกรรมผู้บริโภค #thaitimes #แนวโน้มการใช้จ่าย #ธุรกิจการเงิน
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 216 Views 4 0 Reviews
  • นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์จาก Secure Annex ได้ค้นพบ ส่วนขยายของ Google Chrome ที่ไม่ได้ลงทะเบียนมากกว่า 30 รายการ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยต่อผู้ใช้กว่า 4 ล้านคน โดยส่วนขยายเหล่านี้มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น คุกกี้, แท็บเบราว์เซอร์ และการรับส่งข้อมูลบนเว็บ

    ✅ การค้นพบส่วนขยายที่อาจเป็นอันตราย
    - นักวิจัยพบว่า นักพัฒนาซอฟต์แวร์บางรายอาจซ่อนส่วนขยาย หากพบว่ามีปัญหาด้านการทำงาน
    - อย่างไรก็ตาม ผู้ไม่หวังดีอาจใช้วิธีนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากทีมรักษาความปลอดภัย

    ✅ สิทธิ์การเข้าถึงที่น่าสงสัย
    - ส่วนขยายบางตัว เช่น "Fire Shield Extension Protection" ขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
    - สามารถเข้าถึง คุกกี้, แท็บเบราว์เซอร์ และการรับส่งข้อมูลบนทุกเว็บไซต์

    ✅ การวิเคราะห์พฤติกรรมที่อาจเป็นอันตราย
    - นักวิจัยพบว่าบางส่วนขยายมี ลักษณะการทำงานคล้ายกับมัลแวร์
    - มีการเข้าถึงข้อมูลที่สามารถใช้ในการขโมยข้อมูลส่วนตัว

    ✅ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้
    - ควร ลบส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียน เพื่อป้องกันความเสี่ยง
    - หลีกเลี่ยงการติดตั้งส่วนขยายที่ไม่ได้รับการตรวจสอบจากแหล่งที่เชื่อถือได้

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล
    - ส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียนอาจถูกใช้เป็น เครื่องมือขโมยข้อมูล
    - แม้จะยังไม่มีรายงานว่ามีการขโมยข้อมูลการเข้าสู่ระบบหรือข้อมูลการชำระเงิน แต่ผู้ใช้ควรเฝ้าระวัง

    ℹ️ การควบคุมของ Google ต่อส่วนขยาย Chrome
    - Google อาจต้องปรับปรุง มาตรการตรวจสอบส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียน
    - ผู้ใช้ควรติดตามการอัปเดตด้านความปลอดภัยจาก Google

    ℹ️ แนวโน้มของภัยคุกคามไซเบอร์
    - การโจมตีผ่านส่วนขยายเบราว์เซอร์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
    - ผู้ใช้ควรใช้ เครื่องมือรักษาความปลอดภัย เช่น Microsoft Defender หรือ Malwarebytes เพื่อตรวจสอบภัยคุกคาม

    https://www.techradar.com/pro/security/millions-of-google-chrome-users-could-be-at-risk-from-these-dodgy-extensions
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์จาก Secure Annex ได้ค้นพบ ส่วนขยายของ Google Chrome ที่ไม่ได้ลงทะเบียนมากกว่า 30 รายการ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยต่อผู้ใช้กว่า 4 ล้านคน โดยส่วนขยายเหล่านี้มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น คุกกี้, แท็บเบราว์เซอร์ และการรับส่งข้อมูลบนเว็บ ✅ การค้นพบส่วนขยายที่อาจเป็นอันตราย - นักวิจัยพบว่า นักพัฒนาซอฟต์แวร์บางรายอาจซ่อนส่วนขยาย หากพบว่ามีปัญหาด้านการทำงาน - อย่างไรก็ตาม ผู้ไม่หวังดีอาจใช้วิธีนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากทีมรักษาความปลอดภัย ✅ สิทธิ์การเข้าถึงที่น่าสงสัย - ส่วนขยายบางตัว เช่น "Fire Shield Extension Protection" ขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน - สามารถเข้าถึง คุกกี้, แท็บเบราว์เซอร์ และการรับส่งข้อมูลบนทุกเว็บไซต์ ✅ การวิเคราะห์พฤติกรรมที่อาจเป็นอันตราย - นักวิจัยพบว่าบางส่วนขยายมี ลักษณะการทำงานคล้ายกับมัลแวร์ - มีการเข้าถึงข้อมูลที่สามารถใช้ในการขโมยข้อมูลส่วนตัว ✅ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ - ควร ลบส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียน เพื่อป้องกันความเสี่ยง - หลีกเลี่ยงการติดตั้งส่วนขยายที่ไม่ได้รับการตรวจสอบจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล - ส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียนอาจถูกใช้เป็น เครื่องมือขโมยข้อมูล - แม้จะยังไม่มีรายงานว่ามีการขโมยข้อมูลการเข้าสู่ระบบหรือข้อมูลการชำระเงิน แต่ผู้ใช้ควรเฝ้าระวัง ℹ️ การควบคุมของ Google ต่อส่วนขยาย Chrome - Google อาจต้องปรับปรุง มาตรการตรวจสอบส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียน - ผู้ใช้ควรติดตามการอัปเดตด้านความปลอดภัยจาก Google ℹ️ แนวโน้มของภัยคุกคามไซเบอร์ - การโจมตีผ่านส่วนขยายเบราว์เซอร์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น - ผู้ใช้ควรใช้ เครื่องมือรักษาความปลอดภัย เช่น Microsoft Defender หรือ Malwarebytes เพื่อตรวจสอบภัยคุกคาม https://www.techradar.com/pro/security/millions-of-google-chrome-users-could-be-at-risk-from-these-dodgy-extensions
    WWW.TECHRADAR.COM
    Millions of Google Chrome users could be at risk from these dodgy extensions
    Security researcher finds unlisted Chrome extensions with shady permissions
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • กรมคุมประพฤติ เผย สถิติคดีช่วงสงกรานต์วันที่สอง "เมาแล้วขับ" 982 คดี "ขับเสพ" 55 คดี รวม 1,037 คดี ติด EM จำนวน 6 ราย

    วันนี้ (13 เม.ย.) พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมคุมประพฤติ เปิดเผยถึงสถิติคดีที่เข้าสู่กระบวนการคุมความประพฤติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ประจำวันที่ 12 เม.ย.68 ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของมาตรการควบคุมเข้มข้น พบว่ามีคดีเข้าสู่ระบบรวมทั้งสิ้น 1,037 คดี และศาลสั่งติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) จำนวน 6 ราย โดยแยกเป็น ขับรถขณะเมาสุรา จำนวน 982 คดี คิดเป็นร้อยละ 94.70 ติดอุปกรณ์ EM 3 ราย และ ขับเสพ จำนวน 55 คดี คิดเป็นร้อยละ 5.30 ติดอุปกรณ์ EM 3 ราย เพื่อการเฝ้าระวังพฤติกรรมเป็นระยะเวลา 15-30 วัน

    พ.ต.ต.สุริยา เผยว่า ขณะที่ยอดคดีสะสมตลอด 2 วัน (11–12 เม.ย.68) รวมทั้งสิ้น 1,363 คดี ติดอุปกรณ์ EM จำนวนรวม 15 ราย แบ่งเป็น ขับรถขณะเมาสุรา จำนวน 1,258 คดี คิดเป็นร้อยละ 92.30 ติด EM 4 ราย , ขับรถประมาท จำนวน 3 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.22 และ ขับเสพ จำนวน 102 คดี คิดเป็นร้อยละ 7.48 ติด EM 11 ราย เมื่อเปรียบเทียบกับวันเดียวกันของปี 2567 ซึ่งมีคดีขับรถขณะเมาสุราจำนวน 1,131 คดี พบว่าในปี 2568 มีจำนวน 982 คดี ลดลง 149 คดี ส่วนจังหวัดที่มีสถิติคดีขับรถขณะเมาสุราสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.สมุทรปราการ จำนวน 123 คดี 2.กรุงเทพมหานคร จำนวน 115 คดี และ 3.นนทบุรี จำนวน 110 คดี

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000035207

    #MGROnline #กรมคุมประพฤติ #สงกรานต์ #เมาแล้วขับ
    กรมคุมประพฤติ เผย สถิติคดีช่วงสงกรานต์วันที่สอง "เมาแล้วขับ" 982 คดี "ขับเสพ" 55 คดี รวม 1,037 คดี ติด EM จำนวน 6 ราย • วันนี้ (13 เม.ย.) พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมคุมประพฤติ เปิดเผยถึงสถิติคดีที่เข้าสู่กระบวนการคุมความประพฤติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ประจำวันที่ 12 เม.ย.68 ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของมาตรการควบคุมเข้มข้น พบว่ามีคดีเข้าสู่ระบบรวมทั้งสิ้น 1,037 คดี และศาลสั่งติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) จำนวน 6 ราย โดยแยกเป็น ขับรถขณะเมาสุรา จำนวน 982 คดี คิดเป็นร้อยละ 94.70 ติดอุปกรณ์ EM 3 ราย และ ขับเสพ จำนวน 55 คดี คิดเป็นร้อยละ 5.30 ติดอุปกรณ์ EM 3 ราย เพื่อการเฝ้าระวังพฤติกรรมเป็นระยะเวลา 15-30 วัน • พ.ต.ต.สุริยา เผยว่า ขณะที่ยอดคดีสะสมตลอด 2 วัน (11–12 เม.ย.68) รวมทั้งสิ้น 1,363 คดี ติดอุปกรณ์ EM จำนวนรวม 15 ราย แบ่งเป็น ขับรถขณะเมาสุรา จำนวน 1,258 คดี คิดเป็นร้อยละ 92.30 ติด EM 4 ราย , ขับรถประมาท จำนวน 3 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.22 และ ขับเสพ จำนวน 102 คดี คิดเป็นร้อยละ 7.48 ติด EM 11 ราย เมื่อเปรียบเทียบกับวันเดียวกันของปี 2567 ซึ่งมีคดีขับรถขณะเมาสุราจำนวน 1,131 คดี พบว่าในปี 2568 มีจำนวน 982 คดี ลดลง 149 คดี ส่วนจังหวัดที่มีสถิติคดีขับรถขณะเมาสุราสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.สมุทรปราการ จำนวน 123 คดี 2.กรุงเทพมหานคร จำนวน 115 คดี และ 3.นนทบุรี จำนวน 110 คดี • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000035207 • #MGROnline #กรมคุมประพฤติ #สงกรานต์ #เมาแล้วขับ
    0 Comments 0 Shares 184 Views 0 Reviews
  • รีโพสต์บทความของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ “คานงัดประเทศไทยหลายประเทศมีการผลักดัน “การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนสามารถพลิกฟื้นตัวเองจากรัฐที่ตามหลัง (Following State) สู่รัฐที่ล้ำหน้า (Forefront State) อย่างจีน สิงค์โปร์ หรือ เกาหลีใต้ ผิดกับประเทศไทย ที่ปัจจุบันยังเป็นเพียงรัฐที่ตามหลัง และกำลังมีแนวโน้มถดถอยไปสู่รัฐที่กำลังล้มเหลว (Falling State)ที่ผ่านมา ประเทศไทยนั้นมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (Great Reform) เพียงครั้งเดียว คือในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แต่เงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้นกับในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไขที่มาจากปัจจัยภายในและภายนอก ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชการที่ 5 น้ำหนักจะอยู่ที่การพัฒนาเพื่อไปสู่ความทันสมัย เพื่อที่จะแสดงให้ประชาคมโลกตระหนักว่าประเทศของเรานั้นไม่ได้ล้าหลัง เนื่องจากต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคม ประเด็นท้าทายในยุคปัจจุบัน คือจะมุ่งการพัฒนาเพื่อไปสู่ความยั่งยืน ความเท่าเทียมในสังคม และความเท่าทันเทคโนโลยี ได้อย่างไร~แรงเฉื่อยต่อการเปลี่ยนแปลงหลังกระแสการล่าอาณานิคมผ่านพ้นไป ประเทศไทยไม่เคยต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรง เราเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล 2 น้อยมาก ดังนั้น ระบบและโครงสร้างเก่า แนวคิดและจารีตนิยมจึงไม่ได้ถูกทำลาย ทำให้อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชนยังคงอยู่ ระบบคุณค่าดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการพลิกโฉมประเทศไปสู่สังคมสมัยใหม่ ที่เน้นความเป็นระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ตระหนักในหน้าที่พลเมือง มีจิตอาสา กล้าที่จะเสนอความเห็น มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และความเสมอภาคระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังได้หล่อหลอมคนไทยให้เป็น “ปัจเจกบุคคลที่ไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม” (Anomic Individualism) สะท้อนผ่านพฤติกรรมตัวใครตัวมัน ไม่ชอบถูกบังคับ ไร้ระเบียบวินัย และขาดความรับผิดชอบ ผลข้างเคียงที่ตามมา คือคนไทยโดยส่วนใหญ่จะเรียกร้องสิทธิมากกว่าหน้าที่ เน้นถูกใจมากกว่าถูกต้อง เน้นมองเพื่อตัวเองมากกว่ามองเพื่อส่วนรวม เน้นชิงสุกก่อนห่ามมากกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เน้นรูปแบบมากกว่าสาระ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นมูลค่ามากกว่าคุณค่า และเน้นคอนเนคชั่นมากกว่าเนื้องานความไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม ทำให้คนไทยโดยส่วนใหญ่มักตัดสินใจเลือกเส้นทางหรือวิธีการที่ “มักง่าย” ทำให้เรื่องที่ “ผิดปกติ” กลายเป็นเรื่อง “ไม่ผิดปกติ” และกระทำลงไปโดยปราศจาก “ความรู้สึกผิด” อาทิ นักการเมืองโกงกินไม่เป็นไร ขอเพียงให้มีผลงานบ้าง การทำปฏิวัติรัฐประหาร การใช้กำลังยุติความขัดแย้ง เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ และความมหัศจรรย์ ไม่รักษาเวลา ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ ทิ้งงานโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น ~ค้นหาจุดคานงัด ทลายวงจรอุบาทว์หากพวกเราไม่คิดแก้ไขปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ยากที่ประเทศไทยจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ประเทศอื่น ๆ ในประชาคมโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ได้ในการทลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน จุดคานงัดของการเปลี่ยนแปลง (Leveraging Point) อาจจะอยู่ทึ่ “การปฏิรูประบบคุณค่า” (Value System Reform) ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่านิยม 2 ชุดหลักด้วยกัน คือชุดที่ 1: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมชุดที่ 2: บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยมบริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นด้านลบของระบอบทุนนิยม แต่ในด้านบวกของระบอบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันอย่างเสรี การยึดธรรมาภิบาล กฎกติกา กลับไม่ได้ถูกสังคมไทยนำมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะถูกอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมเข้าบดบังระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด ยังคงแทรกซึมลึกอยู่ในเกือบทุกอณูของสังคมไทย เป็น Counter-Productive Value ที่นอกจากจะไม่สอดรับกับรูปแบบการพัฒนาและโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมในโลกปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ระบบคุณค่าทั้งสองชุดได้ทำให้ธรรมาภิบาล โครงสร้าง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้คนในสังคม เกิดการบิดเบี้ยวเชิงระบบ ไม่ว่าจะเป็น• การบิดเบี้ยวเชิงการเมือง ที่ก่อให้เกิดการเมืองที่มีผู้มีอิทธิพลครอบงำ และก่อให้เกิดระบอบธนาธิปไตย และระบอบอมาตยาธิปไตย แทนที่จะเป็นระบอบประชาธิปไตย • การบิดเบี้ยวเชิงบริหารราชการแผ่นดิน ที่การบริหารจัดการภาครัฐถูกแทรกแซง บิดเบือน ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและระบบคุณธรรม • การบิดเบี้ยวเชิงสังคม ที่ก่อให้เกิด Contra-Individuals มากกว่า Collective Individuals รวมถึงเกิดความกระชับแน่นของคนในกลุ่มเดียวกัน (Bonding) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสัมพันธ์ของคนต่างกลุ่ม (Bridging) ลดลง เกิดเป็น “สังคมของพวกกู” มากกว่า “สังคมของพวกเรา”• ความบิดเบี้ยวเชิงเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดระบบทุนนิยมแบบพวกพ้อง (Crony Capitalism) นำมาสู่ระบบเศรษฐกิจปรสิต (Parasite Economy) และสังคมพึ่งพิงประชานิยม (Dependent Society) • ความบิดเบี้ยวของผู้นำ ที่ก่อให้เกิดการขาดแคลนผู้นำที่เป็นต้นแบบที่ดี มีแต่ผู้นำที่คิดอย่าง พูดอย่าง ทำอย่างอยู่มากมาย เกิดผู้นำที่ใส่ใจในวาระซ่อนเร้นของตน มากกว่า วาระของชาติ• ความบิดเบี้ยวเชิงสถาบัน ที่สถาบันต่าง ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามภารกิจอย่างเป็นอิสระ อย่างที่สังคมคาดหวังที่สำคัญ ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังก่อให้เกิดความย้อนแย้งระหว่างอำนาจที่แท้จริงและอำนาจทางการ หรือที่เรียกว่า “Power Paradox” กล่าวคือ การที่เรายังมองประชาชนเป็นผู้ถูกปกครอง โดยมีผู้ปกครองคือรัฐ ทั้งที่จริง ๆ แล้วรัฐต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน เป็นความย้อนแย้งระหว่างพฤตินัยและนิตินัยดังนั้น หากปราศจากการปรับเปลี่ยนระบบคุณค่า เพื่อทำให้เกิดความสอดคล้องกับธรรมาภิบาลและโครงสร้างส่วนอื่นๆของสังคม วาระการปฎิรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ จะไม่มีทางตอบโจทย์ประเด็นปัญหาฐานรากที่เกิดขึ้นในสังคมไทย~ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยม; บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นปฐมบทของการเกิดโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองแบบ Extractive Political Economy ที่มีผู้คนเพียงบางกลุ่ม ได้ประโยชน์จากอำนาจการปกครองและอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยความพยายามที่จะกีดกั้น เอารัดเอาเปรียบ และทำให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจและความมั่งคั่ง และนำพาสู่การอุบัติขึ้นของ ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ ในที่สุดโครงสร้าง Extractive Political Economy ได้นำพาประเทศไทยสู่ “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” เกิดสังคมที่ไม่ Clean & Clear ไม่ Free & Fair และไม่ Care & Share สังคมดังกล่าวนำมาซึ่งความเสื่อมถอยของทุนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นทุนมนุษย์ที่อ่อนแอ ทุนเศรษฐกิจที่อ่อนด้อย ทุนสังคมที่เปราะบาง ทุนคุณธรรมจริยธรรมที่เสื่อมทราม และทุนทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรมถึงเวลาปฎิรูประบบคุณค่า เพื่อใช้เป็นจุดคานงัดในการก้าวพ้นกับดัก และปรับเปลี่ยนไทยสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง”
    รีโพสต์บทความของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ “คานงัดประเทศไทยหลายประเทศมีการผลักดัน “การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนสามารถพลิกฟื้นตัวเองจากรัฐที่ตามหลัง (Following State) สู่รัฐที่ล้ำหน้า (Forefront State) อย่างจีน สิงค์โปร์ หรือ เกาหลีใต้ ผิดกับประเทศไทย ที่ปัจจุบันยังเป็นเพียงรัฐที่ตามหลัง และกำลังมีแนวโน้มถดถอยไปสู่รัฐที่กำลังล้มเหลว (Falling State)ที่ผ่านมา ประเทศไทยนั้นมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (Great Reform) เพียงครั้งเดียว คือในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แต่เงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้นกับในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไขที่มาจากปัจจัยภายในและภายนอก ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชการที่ 5 น้ำหนักจะอยู่ที่การพัฒนาเพื่อไปสู่ความทันสมัย เพื่อที่จะแสดงให้ประชาคมโลกตระหนักว่าประเทศของเรานั้นไม่ได้ล้าหลัง เนื่องจากต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคม ประเด็นท้าทายในยุคปัจจุบัน คือจะมุ่งการพัฒนาเพื่อไปสู่ความยั่งยืน ความเท่าเทียมในสังคม และความเท่าทันเทคโนโลยี ได้อย่างไร~แรงเฉื่อยต่อการเปลี่ยนแปลงหลังกระแสการล่าอาณานิคมผ่านพ้นไป ประเทศไทยไม่เคยต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรง เราเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล 2 น้อยมาก ดังนั้น ระบบและโครงสร้างเก่า แนวคิดและจารีตนิยมจึงไม่ได้ถูกทำลาย ทำให้อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชนยังคงอยู่ ระบบคุณค่าดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการพลิกโฉมประเทศไปสู่สังคมสมัยใหม่ ที่เน้นความเป็นระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ตระหนักในหน้าที่พลเมือง มีจิตอาสา กล้าที่จะเสนอความเห็น มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และความเสมอภาคระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังได้หล่อหลอมคนไทยให้เป็น “ปัจเจกบุคคลที่ไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม” (Anomic Individualism) สะท้อนผ่านพฤติกรรมตัวใครตัวมัน ไม่ชอบถูกบังคับ ไร้ระเบียบวินัย และขาดความรับผิดชอบ ผลข้างเคียงที่ตามมา คือคนไทยโดยส่วนใหญ่จะเรียกร้องสิทธิมากกว่าหน้าที่ เน้นถูกใจมากกว่าถูกต้อง เน้นมองเพื่อตัวเองมากกว่ามองเพื่อส่วนรวม เน้นชิงสุกก่อนห่ามมากกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เน้นรูปแบบมากกว่าสาระ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นมูลค่ามากกว่าคุณค่า และเน้นคอนเนคชั่นมากกว่าเนื้องานความไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม ทำให้คนไทยโดยส่วนใหญ่มักตัดสินใจเลือกเส้นทางหรือวิธีการที่ “มักง่าย” ทำให้เรื่องที่ “ผิดปกติ” กลายเป็นเรื่อง “ไม่ผิดปกติ” และกระทำลงไปโดยปราศจาก “ความรู้สึกผิด” อาทิ นักการเมืองโกงกินไม่เป็นไร ขอเพียงให้มีผลงานบ้าง การทำปฏิวัติรัฐประหาร การใช้กำลังยุติความขัดแย้ง เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ และความมหัศจรรย์ ไม่รักษาเวลา ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ ทิ้งงานโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น ~ค้นหาจุดคานงัด ทลายวงจรอุบาทว์หากพวกเราไม่คิดแก้ไขปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ยากที่ประเทศไทยจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ประเทศอื่น ๆ ในประชาคมโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ได้ในการทลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน จุดคานงัดของการเปลี่ยนแปลง (Leveraging Point) อาจจะอยู่ทึ่ “การปฏิรูประบบคุณค่า” (Value System Reform) ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่านิยม 2 ชุดหลักด้วยกัน คือชุดที่ 1: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมชุดที่ 2: บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยมบริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นด้านลบของระบอบทุนนิยม แต่ในด้านบวกของระบอบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันอย่างเสรี การยึดธรรมาภิบาล กฎกติกา กลับไม่ได้ถูกสังคมไทยนำมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะถูกอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมเข้าบดบังระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด ยังคงแทรกซึมลึกอยู่ในเกือบทุกอณูของสังคมไทย เป็น Counter-Productive Value ที่นอกจากจะไม่สอดรับกับรูปแบบการพัฒนาและโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมในโลกปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ระบบคุณค่าทั้งสองชุดได้ทำให้ธรรมาภิบาล โครงสร้าง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้คนในสังคม เกิดการบิดเบี้ยวเชิงระบบ ไม่ว่าจะเป็น• การบิดเบี้ยวเชิงการเมือง ที่ก่อให้เกิดการเมืองที่มีผู้มีอิทธิพลครอบงำ และก่อให้เกิดระบอบธนาธิปไตย และระบอบอมาตยาธิปไตย แทนที่จะเป็นระบอบประชาธิปไตย • การบิดเบี้ยวเชิงบริหารราชการแผ่นดิน ที่การบริหารจัดการภาครัฐถูกแทรกแซง บิดเบือน ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและระบบคุณธรรม • การบิดเบี้ยวเชิงสังคม ที่ก่อให้เกิด Contra-Individuals มากกว่า Collective Individuals รวมถึงเกิดความกระชับแน่นของคนในกลุ่มเดียวกัน (Bonding) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสัมพันธ์ของคนต่างกลุ่ม (Bridging) ลดลง เกิดเป็น “สังคมของพวกกู” มากกว่า “สังคมของพวกเรา”• ความบิดเบี้ยวเชิงเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดระบบทุนนิยมแบบพวกพ้อง (Crony Capitalism) นำมาสู่ระบบเศรษฐกิจปรสิต (Parasite Economy) และสังคมพึ่งพิงประชานิยม (Dependent Society) • ความบิดเบี้ยวของผู้นำ ที่ก่อให้เกิดการขาดแคลนผู้นำที่เป็นต้นแบบที่ดี มีแต่ผู้นำที่คิดอย่าง พูดอย่าง ทำอย่างอยู่มากมาย เกิดผู้นำที่ใส่ใจในวาระซ่อนเร้นของตน มากกว่า วาระของชาติ• ความบิดเบี้ยวเชิงสถาบัน ที่สถาบันต่าง ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามภารกิจอย่างเป็นอิสระ อย่างที่สังคมคาดหวังที่สำคัญ ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังก่อให้เกิดความย้อนแย้งระหว่างอำนาจที่แท้จริงและอำนาจทางการ หรือที่เรียกว่า “Power Paradox” กล่าวคือ การที่เรายังมองประชาชนเป็นผู้ถูกปกครอง โดยมีผู้ปกครองคือรัฐ ทั้งที่จริง ๆ แล้วรัฐต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน เป็นความย้อนแย้งระหว่างพฤตินัยและนิตินัยดังนั้น หากปราศจากการปรับเปลี่ยนระบบคุณค่า เพื่อทำให้เกิดความสอดคล้องกับธรรมาภิบาลและโครงสร้างส่วนอื่นๆของสังคม วาระการปฎิรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ จะไม่มีทางตอบโจทย์ประเด็นปัญหาฐานรากที่เกิดขึ้นในสังคมไทย~ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยม; บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นปฐมบทของการเกิดโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองแบบ Extractive Political Economy ที่มีผู้คนเพียงบางกลุ่ม ได้ประโยชน์จากอำนาจการปกครองและอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยความพยายามที่จะกีดกั้น เอารัดเอาเปรียบ และทำให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจและความมั่งคั่ง และนำพาสู่การอุบัติขึ้นของ ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ ในที่สุดโครงสร้าง Extractive Political Economy ได้นำพาประเทศไทยสู่ “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” เกิดสังคมที่ไม่ Clean & Clear ไม่ Free & Fair และไม่ Care & Share สังคมดังกล่าวนำมาซึ่งความเสื่อมถอยของทุนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นทุนมนุษย์ที่อ่อนแอ ทุนเศรษฐกิจที่อ่อนด้อย ทุนสังคมที่เปราะบาง ทุนคุณธรรมจริยธรรมที่เสื่อมทราม และทุนทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรมถึงเวลาปฎิรูประบบคุณค่า เพื่อใช้เป็นจุดคานงัดในการก้าวพ้นกับดัก และปรับเปลี่ยนไทยสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง”
    0 Comments 0 Shares 271 Views 0 Reviews
  • เปิดตัวอย่างเป็นทางการหนังสือ Fail Fast, Succeed More ล้มให้เร็ว สำเร็จให้สุด

    “เคล็ดลับสู่ความสำเร็จแบบก้าวกระโดด ด้วยการเรียนรู้จากความล้มเหลว
    เพราะความล้มเหลวคือจิ๊กซอร์หนึ่งของความสำเร็จ”

    ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล บรรณาธิการ Green Innovation & SD Manager Online กรรมการสถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์ (ท่านที่ 2 จากซ้าย) อาจารย์ทวีภูมิ วิบรรณ์ ผู้ก่อตั้ง ProActive Forum (ท่านที่ 1 จากซ้าย) พ.ต.ท. ดร.คมกริช ศิลาทอง นักวิเทศสัมพันธ์ชำนาญการ สำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน (ท่านที่ 1 จากขวา) ดร.ศรินนา แก้วสีเคน กรรมการเดชฤทธิ์ กรุ๊ป, 10X Consulting และผู้ก่อตั้งกิจการเพื่อสังคมสานฝันปันใจให้น้อง (ท่านที่ 2 จากขวา) คุณจารุวรรณ เวชตระกูล บรรณาธิการบริหาร สำนักพิมพ์วิช (ท่านที่ 3 จากขวา) คุณศิริรัตน์ ไชยาริพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายจัดจำหน่าย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) (ท่านที่ 4 จากขวา) ร่วมเป็นเกียรติในงานเปิดตัวผลงานหนังสือล่าสุดของ ศาสตราจารย์พิศิษฐ์ ดร.วสิษฐ์พรหมบุตร (ท่านที่ 3 จากซ้าย) ที่ปรึกษา โค้ช วิทยากร และนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การพัฒนาการจัดการองค์กร จากแบรนด์ 10X Consulting (www.10-xconsulting.com) ซึ่งมีผลงานการให้คำปรึกษาแนะนำเพื่อพัฒนาศักยภาพทั้งในระดับบุคคล ทีม และองค์กรชั้นนำกว่า 500 องค์กร ใน 21 อุตสาหกรรม ครอบคลุมกลุ่มบริษัท บริษัทมหาชน บริษัทจำกัดในอุตสาหกรรมผลิต พลังงาน การสื่อสาร - โทรคมนาคม เทคโนโลยีดิจิทัล ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ การบริการ/มหาวิทยาลัย/สถาบันการศึกษา/ รัฐวิสาหกิจ 10 อันดับแรกที่ส่งรายได้สูงสุด/หน่วยงานภาครัฐระดับกระทรวง และส่วนราชการในสังกัดทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น/สถาบันอิสระ/องค์กรไม่แสวงหากำไร/โครงการพระราชดำริ และเป็นที่ปรึกษา พี่เลี้ยง และโค้ชส่วนตัวแก่ผู้บริหาร และผู้นำมากกว่า 10,000 คน

    ในยุคที่สังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และผู้คนก็กระหายความสำเร็จ และมุ่งหวังความเจริญเติบโต การเรียนรู้จากการล้ม และการฝึกกระบวนการในการสร้างความสำเร็จจึงเป็นเรื่องจำเป็นและทั้งหมดนี้ต้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว รอช้าไม่ได้

    ปัจจุบันนี้ องค์กร หน่วยงาน ทีมต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวบุคคล ล้วนเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งการแข่งขันที่ดุเดือด เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การยึดติดกับวิธีการเดิมๆ หรือกลัวความล้มเหลว อาจทำให้ตัวคุณ ทีม หน่วยงาน และองค์กรตกขบวนได้

    หนังสือ "Fall Fast, Succeed More ล้มให้เร็ว สำเร็จให้สุด" ได้รับแรงบันดาลใจจากการได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับ ผู้นำทีม ผู้จัดการหน่วยงาน ผู้บริหารองค์กร ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ ผู้ก่อตั้งองค์กรทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งบุคคล ที่รัก และชื่นชอบการพัฒนาตนเอง นับหมื่นคนที่มอบโอกาสและความไว้วางใจให้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์ผลงาน ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการทดลองสิ่งใหม่ๆ การเรียนรู้จากความล้มเหลว และการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาสร้างการเติบโตนับ 10 เท่า (10X) และการปรับปรุง - พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้นำทีม ผู้จัดการ ผู้บริหาร เจ้าของธุรกิจ และผู้ก่อตั้ง ที่ต้องการพัฒนา ทีมงาน หน่วยงาน และองค์กร ควบคู่กับการพัฒนาตนเอง ให้เป็นผู้สร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยผู้อ่านจะได้เรียนรู้กลยุทธ์และเทคนิคในการ "ล้มให้เร็ว" และ "สำเร็จให้สุด" ภายในเล่ม ผู้อ่านจะได้พบกับ

    1. เครื่องมือและเทคนิค ที่จะช่วยให้คุณ "ล้ม" อุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความกลัวความล้มเหลว การขาดความคิดสร้างสรรค์ หรือวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เอื้อต่อต่อการเปลี่ยนแปลง
    2. กลยุทธ์ในการ "เร่ง" สู่ความสำเร็จในแบบ 10X ด้วยการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาศักยภาพของบุคคล ทีม หน่วยงาน และองค์กร

    ด้วยเนื้อหาที่เข้มขันแต่เข้าใจง่าย ผู้อ่านจะได้เรียนรู้วิธีคิดและวิธีปฏิบัติแบบใหม่ๆ ที่จะช่วย "ปลดล็อก" ศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในตัวคุณและองค์กร ไม่ว่าคุณจะกำลังเผชิญกับความท้าทายใดในชีวิต และธุรกิจการงาน

    หากคุณพร้อมที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ และพุ่งทะยานสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ด้วยการถอดแบบความสำเร็จแบบ "Fall Fast, Succeed More ล้มให้เร็ว สำเร็จให้สุด" ราคา 299 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน นี้เป็นต้นไป หรือสั่งซื้อทางออนไลน์ได้ที่ www.wishbookmaker.com สั่งซื้อจำนวนมากติดต่อที่ 02 – 418 - 2885

    ชมบรรยากาศการเปิดตัวหนังสือได้ที่ #FailFastSucceedMore

    #ล้มให้เร็วสำเร็จให้สุด
    #เพราะความล้มเหลวคือจิ๊กซอร์หนึ่งของความสำเร็จ
    #เผยเทคนิคล้มอย่างไรให้สำเร็จได้อย่างสุดๆ
    เปิดตัวอย่างเป็นทางการหนังสือ Fail Fast, Succeed More ล้มให้เร็ว สำเร็จให้สุด “เคล็ดลับสู่ความสำเร็จแบบก้าวกระโดด ด้วยการเรียนรู้จากความล้มเหลว เพราะความล้มเหลวคือจิ๊กซอร์หนึ่งของความสำเร็จ” ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล บรรณาธิการ Green Innovation & SD Manager Online กรรมการสถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์ (ท่านที่ 2 จากซ้าย) อาจารย์ทวีภูมิ วิบรรณ์ ผู้ก่อตั้ง ProActive Forum (ท่านที่ 1 จากซ้าย) พ.ต.ท. ดร.คมกริช ศิลาทอง นักวิเทศสัมพันธ์ชำนาญการ สำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน (ท่านที่ 1 จากขวา) ดร.ศรินนา แก้วสีเคน กรรมการเดชฤทธิ์ กรุ๊ป, 10X Consulting และผู้ก่อตั้งกิจการเพื่อสังคมสานฝันปันใจให้น้อง (ท่านที่ 2 จากขวา) คุณจารุวรรณ เวชตระกูล บรรณาธิการบริหาร สำนักพิมพ์วิช (ท่านที่ 3 จากขวา) คุณศิริรัตน์ ไชยาริพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายจัดจำหน่าย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) (ท่านที่ 4 จากขวา) ร่วมเป็นเกียรติในงานเปิดตัวผลงานหนังสือล่าสุดของ ศาสตราจารย์พิศิษฐ์ ดร.วสิษฐ์พรหมบุตร (ท่านที่ 3 จากซ้าย) ที่ปรึกษา โค้ช วิทยากร และนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การพัฒนาการจัดการองค์กร จากแบรนด์ 10X Consulting (www.10-xconsulting.com) ซึ่งมีผลงานการให้คำปรึกษาแนะนำเพื่อพัฒนาศักยภาพทั้งในระดับบุคคล ทีม และองค์กรชั้นนำกว่า 500 องค์กร ใน 21 อุตสาหกรรม ครอบคลุมกลุ่มบริษัท บริษัทมหาชน บริษัทจำกัดในอุตสาหกรรมผลิต พลังงาน การสื่อสาร - โทรคมนาคม เทคโนโลยีดิจิทัล ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ การบริการ/มหาวิทยาลัย/สถาบันการศึกษา/ รัฐวิสาหกิจ 10 อันดับแรกที่ส่งรายได้สูงสุด/หน่วยงานภาครัฐระดับกระทรวง และส่วนราชการในสังกัดทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น/สถาบันอิสระ/องค์กรไม่แสวงหากำไร/โครงการพระราชดำริ และเป็นที่ปรึกษา พี่เลี้ยง และโค้ชส่วนตัวแก่ผู้บริหาร และผู้นำมากกว่า 10,000 คน ในยุคที่สังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และผู้คนก็กระหายความสำเร็จ และมุ่งหวังความเจริญเติบโต การเรียนรู้จากการล้ม และการฝึกกระบวนการในการสร้างความสำเร็จจึงเป็นเรื่องจำเป็นและทั้งหมดนี้ต้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว รอช้าไม่ได้ ปัจจุบันนี้ องค์กร หน่วยงาน ทีมต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวบุคคล ล้วนเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งการแข่งขันที่ดุเดือด เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การยึดติดกับวิธีการเดิมๆ หรือกลัวความล้มเหลว อาจทำให้ตัวคุณ ทีม หน่วยงาน และองค์กรตกขบวนได้ หนังสือ "Fall Fast, Succeed More ล้มให้เร็ว สำเร็จให้สุด" ได้รับแรงบันดาลใจจากการได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับ ผู้นำทีม ผู้จัดการหน่วยงาน ผู้บริหารองค์กร ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ ผู้ก่อตั้งองค์กรทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งบุคคล ที่รัก และชื่นชอบการพัฒนาตนเอง นับหมื่นคนที่มอบโอกาสและความไว้วางใจให้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์ผลงาน ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการทดลองสิ่งใหม่ๆ การเรียนรู้จากความล้มเหลว และการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาสร้างการเติบโตนับ 10 เท่า (10X) และการปรับปรุง - พัฒนาอย่างต่อเนื่อง หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้นำทีม ผู้จัดการ ผู้บริหาร เจ้าของธุรกิจ และผู้ก่อตั้ง ที่ต้องการพัฒนา ทีมงาน หน่วยงาน และองค์กร ควบคู่กับการพัฒนาตนเอง ให้เป็นผู้สร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยผู้อ่านจะได้เรียนรู้กลยุทธ์และเทคนิคในการ "ล้มให้เร็ว" และ "สำเร็จให้สุด" ภายในเล่ม ผู้อ่านจะได้พบกับ 1. เครื่องมือและเทคนิค ที่จะช่วยให้คุณ "ล้ม" อุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความกลัวความล้มเหลว การขาดความคิดสร้างสรรค์ หรือวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เอื้อต่อต่อการเปลี่ยนแปลง 2. กลยุทธ์ในการ "เร่ง" สู่ความสำเร็จในแบบ 10X ด้วยการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาศักยภาพของบุคคล ทีม หน่วยงาน และองค์กร ด้วยเนื้อหาที่เข้มขันแต่เข้าใจง่าย ผู้อ่านจะได้เรียนรู้วิธีคิดและวิธีปฏิบัติแบบใหม่ๆ ที่จะช่วย "ปลดล็อก" ศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในตัวคุณและองค์กร ไม่ว่าคุณจะกำลังเผชิญกับความท้าทายใดในชีวิต และธุรกิจการงาน หากคุณพร้อมที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ และพุ่งทะยานสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ด้วยการถอดแบบความสำเร็จแบบ "Fall Fast, Succeed More ล้มให้เร็ว สำเร็จให้สุด" ราคา 299 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน นี้เป็นต้นไป หรือสั่งซื้อทางออนไลน์ได้ที่ www.wishbookmaker.com สั่งซื้อจำนวนมากติดต่อที่ 02 – 418 - 2885 ชมบรรยากาศการเปิดตัวหนังสือได้ที่ #FailFastSucceedMore #ล้มให้เร็วสำเร็จให้สุด #เพราะความล้มเหลวคือจิ๊กซอร์หนึ่งของความสำเร็จ #เผยเทคนิคล้มอย่างไรให้สำเร็จได้อย่างสุดๆ
    0 Comments 0 Shares 201 Views 0 Reviews
  • การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้โพสต์เตือน หลังโซเชียลฯ แชร์คลิปถมดินระหว่างราง เพื่อนำรถเกี่ยวข้าวข้ามทางรถไฟ พร้อมวอนประชาชนหยุดการกระทำดังกล่าว และเคารพกฎระเบียบ ร่วมกันสร้างวินัยจราจร เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน

    วันนี้ (12 เม.ย.) เพจ “ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย“ ได้โพสต์ข้อความเตือนระบุว่า “การรถไฟฯ เตือน หยุดพฤติกรรมอันตราย หลังพบโซเชียลฯ แพร่คลิปถมดินระหว่างราง เพื่อนำรถเกี่ยวข้าวข้ามทางรถไฟ วอนประชาชนเคารพกฎระเบียบ ร่วมกันสร้างวินัยจราจร เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน

    การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ขอเตือนพี่น้องประชาชนที่คิดจะทำพฤติกรรมเสี่ยงอันตรายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน ภายหลังพบคลิปถูกเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีการนำดินมาถมระหว่างรางรถไฟเพื่อจะขับรถเกี่ยวข้าวข้ามทางรถไฟ ซึ่งนอกจากจะเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุแล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อรางรถไฟ และยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้โดยสารที่อยู่ภายในขบวนรถอีกด้วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000035060

    #MGROnline #การรถไฟแห่งประเทศไทย
    การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้โพสต์เตือน หลังโซเชียลฯ แชร์คลิปถมดินระหว่างราง เพื่อนำรถเกี่ยวข้าวข้ามทางรถไฟ พร้อมวอนประชาชนหยุดการกระทำดังกล่าว และเคารพกฎระเบียบ ร่วมกันสร้างวินัยจราจร เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน • วันนี้ (12 เม.ย.) เพจ “ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย“ ได้โพสต์ข้อความเตือนระบุว่า “การรถไฟฯ เตือน หยุดพฤติกรรมอันตราย หลังพบโซเชียลฯ แพร่คลิปถมดินระหว่างราง เพื่อนำรถเกี่ยวข้าวข้ามทางรถไฟ วอนประชาชนเคารพกฎระเบียบ ร่วมกันสร้างวินัยจราจร เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ขอเตือนพี่น้องประชาชนที่คิดจะทำพฤติกรรมเสี่ยงอันตรายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน ภายหลังพบคลิปถูกเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีการนำดินมาถมระหว่างรางรถไฟเพื่อจะขับรถเกี่ยวข้าวข้ามทางรถไฟ ซึ่งนอกจากจะเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุแล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อรางรถไฟ และยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้โดยสารที่อยู่ภายในขบวนรถอีกด้วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000035060 • #MGROnline #การรถไฟแห่งประเทศไทย
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 Reviews
  • 24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต

    “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด

    ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้ 😢

    ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง

    ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป

    นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม 👮‍♂️

    ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด

    ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น

    ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง

    เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103

    เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น

    ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย🚔

    หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น

    นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต

    หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543

    นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้

    ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม

    ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง

    วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น

    ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง

    นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต 😔

    ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม

    ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์

    ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร

    ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป

    คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต

    แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย

    นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว

    หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา

    เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้

    ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด

    นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม

    การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด

    ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?”

    สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น

    เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ

    ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม

    “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก

    การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย

    อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น

    หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ

    ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต

    เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม

    แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา

    การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก 😔

    สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม

    ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง

    เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด

    นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง

    เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย 🤔 ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน

    ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า

    เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ

    สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568

    #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้ 😢 ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม 👮‍♂️ ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย🚔 หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543 นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้ ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต 😔 ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์ ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์ คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้ ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?” สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก 😔 สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย 🤔 ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์ จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568 #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • John Tucker ผู้ก่อตั้งบริษัท Secure Annex ได้ค้นพบส่วนขยาย Chrome ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงขณะช่วยลูกค้าตรวจสอบความปลอดภัย โดยพบว่ามีส่วนขยายที่ไม่ได้แสดงใน Chrome Web Store และสามารถดาวน์โหลดได้เฉพาะผ่าน URL โดยตรง ซึ่งเป็นวิธีที่มักใช้โดยผู้ไม่หวังดีเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ

    ส่วนขยายเหล่านี้ขอสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น แท็บเบราว์เซอร์ คุกกี้ และ API การจัดการ ซึ่งเป็นระดับการเข้าถึงที่สูงผิดปกติ นอกจากนี้ โค้ดของส่วนขยายยังถูกเข้ารหัสอย่างหนักเพื่อป้องกันการตรวจสอบ

    แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าส่วนขยายเหล่านี้ขโมยข้อมูล แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่อาจถูกใช้ในทางที่ผิด Tucker แนะนำให้ผู้ใช้ลบส่วนขยายเหล่านี้ทันที

    ✅ การค้นพบเครือข่ายส่วนขยาย Chrome ที่เสี่ยง
    - John Tucker ค้นพบส่วนขยาย Chrome ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงจำนวน 35 รายการ
    - ส่วนขยายบางตัวไม่ได้แสดงใน Chrome Web Store และต้องดาวน์โหลดผ่าน URL โดยตรง

    ✅ สิทธิ์การเข้าถึงที่ผิดปกติ
    - ส่วนขยายเหล่านี้ขอสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น แท็บเบราว์เซอร์และคุกกี้
    - โค้ดของส่วนขยายถูกเข้ารหัสอย่างหนักเพื่อป้องกันการตรวจสอบ

    ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    - Tucker แนะนำให้ลบส่วนขยายเหล่านี้ทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    - ส่วนขยายที่ไม่ได้แสดงใน Chrome Web Store อาจถูกใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ
    - การขอสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนอาจนำไปสู่การละเมิดความเป็นส่วนตัว

    ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้
    - ผู้ใช้ที่ติดตั้งส่วนขยายเหล่านี้อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์
    - การเข้ารหัสโค้ดทำให้ยากต่อการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา

    https://www.techspot.com/news/107515-researcher-uncovers-network-risky-chrome-extensions-over-4.html
    John Tucker ผู้ก่อตั้งบริษัท Secure Annex ได้ค้นพบส่วนขยาย Chrome ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงขณะช่วยลูกค้าตรวจสอบความปลอดภัย โดยพบว่ามีส่วนขยายที่ไม่ได้แสดงใน Chrome Web Store และสามารถดาวน์โหลดได้เฉพาะผ่าน URL โดยตรง ซึ่งเป็นวิธีที่มักใช้โดยผู้ไม่หวังดีเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ส่วนขยายเหล่านี้ขอสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น แท็บเบราว์เซอร์ คุกกี้ และ API การจัดการ ซึ่งเป็นระดับการเข้าถึงที่สูงผิดปกติ นอกจากนี้ โค้ดของส่วนขยายยังถูกเข้ารหัสอย่างหนักเพื่อป้องกันการตรวจสอบ แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าส่วนขยายเหล่านี้ขโมยข้อมูล แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่อาจถูกใช้ในทางที่ผิด Tucker แนะนำให้ผู้ใช้ลบส่วนขยายเหล่านี้ทันที ✅ การค้นพบเครือข่ายส่วนขยาย Chrome ที่เสี่ยง - John Tucker ค้นพบส่วนขยาย Chrome ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงจำนวน 35 รายการ - ส่วนขยายบางตัวไม่ได้แสดงใน Chrome Web Store และต้องดาวน์โหลดผ่าน URL โดยตรง ✅ สิทธิ์การเข้าถึงที่ผิดปกติ - ส่วนขยายเหล่านี้ขอสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น แท็บเบราว์เซอร์และคุกกี้ - โค้ดของส่วนขยายถูกเข้ารหัสอย่างหนักเพื่อป้องกันการตรวจสอบ ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ - Tucker แนะนำให้ลบส่วนขยายเหล่านี้ทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย - ส่วนขยายที่ไม่ได้แสดงใน Chrome Web Store อาจถูกใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ - การขอสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนอาจนำไปสู่การละเมิดความเป็นส่วนตัว ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ - ผู้ใช้ที่ติดตั้งส่วนขยายเหล่านี้อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์ - การเข้ารหัสโค้ดทำให้ยากต่อการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา https://www.techspot.com/news/107515-researcher-uncovers-network-risky-chrome-extensions-over-4.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Researcher uncovers network of risky Chrome extensions with over 4 million installs
    John Tucker, founder of browser security firm Secure Annex, discovered the suspicious extensions while assisting a client who had installed one or more for security monitoring. The...
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 6 การสอนเรื่องเงินแก่ลูกในเยาว์วัย
    .
    เรื่องเล่ามานานแล้วในสหรัฐอเมริกาว่า จอห์น ร็อกกี้เฟลเลอร์ มหาเศรษฐีผู้พ่อเข้าไปพักในโรงแรม เขาขอห้องพักราคาถูกที่สุด ผู้จัดการโรงแรมก็ถามว่าทำไมเล่า เวลาลูกท่านมาพักที่นี่ยังขอห้องที่ดีที่สุดเลย เขาตอบว่า มันต่างกัน เขาเป็นลูกมหาเศรษฐี ส่วนฉันเป็นลูกชาวนา
    .
    เรื่องเล่านี้สะท้อนให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างการมองโลกของพ่อ และลูกผู้เติบโตภายใต้สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ซึงเรื่องนี้เข้าลักษณะเดียวกันกับคนชั้นกลางจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยในปัจจุบัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสอนลูกอย่างถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องเงินในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยเรื่องของบริโภคนิยม และการไม่ใส่ใจในจริยธรรมคุณธรรม ซึ่งแตกต่างไปจากยุคของพ่อแม่
    .
    การสอนเรื่องการเงินให้แก่ลูกมีหลายประเด็นที่ควรพิจารณา ดังต่อไปนี้
    เป็นเรื่องปกติที่เด็กทุกคนอยากได้ทุกอย่างที่เห็นในโทรทัศน์และโทรศัพท์ จึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องอธิบายและสอนให้ลูกเข้าใจว่า ไม่มีใครที่ได้หรือมีทุกอย่างในโลก ทุกคนมีเงินจำกัดที่ต้องใช้จ่ายในสิ่งต่างๆมากมายด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นจึงต้องเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่คิดว่าจำเป็นและให้คุณค่า การโฆษณาทางสื่อต่างๆถือว่าเป็นการให้ข้อมูลของสินค้าที่ผู้ซื้อต้องใคร่ครวญให้ดี เพราะผู้ขายเป็นผู้ให้ข้อมูลและมีวัตถุประสงค์ในการชักชวนให้ซื้อสินค้านั้น
    .
    การทำงานหาเงินอย่างหนักจนมีเงินมากนับเป็นของดี แต่การมุ่งหาเงินอย่างปราศจากคุณค่าที่เหมาะสมกำกับอยู่ด้วย เช่น หาเงินด้วยความเจ้าเล่ห์เจ้ากล บ้าคลั่ง บริโภคนิยม สิ่งเหล่านี้เป็นของไม่ดี พ่อแม่จะต้องพยายามสร้างคุณค่าที่เหมาะสม เช่น ความซื่อสัตย์ สุจริต ความสมถะ ความศรัทธาในความดีงาม ใส่เข้าไปในสมองลูกด้วยการกระทำสิ่งต่อไปนี้
    .
    พ่อแม่ควรทำตัวให้เป็นตัวอย่าง โดยแสดงพฤติกรรมที่มีความสมดุลในการใช้จ่ายเงินสำหรับสิ่งที่จำเป็น ( Needs ) และสำหรับสิ่งที่ต้องการ ( Wants ) เช่น ไม่บ้าคลั่งซื้อของต่างๆอย่างไร้สาระจนทำให้ลูกสับสน หรือมองเห็นว่าทุกสิ่งจำเป็นไปหมด นอกจากนี้ต้องส่งเสริมให้ลูกคิดเป็น และมีวิจารณญานว่าอะไรเป็น needs อะไรเป็น wants ดดยเริ่มสอนไปทีละน้อย
    .
    ให้เงินลูกเป็นรายอาทิตย์หรือรายเดือนตั้งแต่ยังเล็กเมื่อเริ่มใช้เงินเป็น เพื่อสอนให้ลูกรู้จักวางแผนการใช้เงินและรู้จักอยู่กิน ไม่เกินรายได้ที่ตนเองได้รับ เงินที่ให้นี้บอกลูกให้ชัดเจนว่าเป็นเงินสำหรับสิ่งใด เช่น กินขนม ดูหนัง ซื้อหนังสืออ่านเล่น หรืออะไรอื่นๆ แต่สำหรับสิ่งของบางอย่างเช่น เสื้อผ้า หนังสือเรียน รองเท้า นั้น พ่อแม่จัดหาให้ การกำหนดชัดเจนเช่นนี้จะช่วยให้ลูกสามารถจัดการเรื่องเงินได้อย่างมีประสิมธิภาพมากขึ้น
    .
    ส่งเสริมให้ลูกรู้จักการให้ การสอนลูกในยามเป็นเด็ก ที่ใจเปิดรับจะทำให้เกิดความคิดในการช่วยเหลือคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคหรืองานอาสาสมัคร พ่อแม่อาจจัดหากระป๋องออมสินให้ 2 ใบ แต่ละใบใช้ใส่เงินสำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น ใบหนึ่งสำหรับการออม และอีกใบสำหรับการบริจาค การแบ่งเช่นนี้จะช่วยให้เด็กเห็นการออมและการให้ที่ชัดเจน และช่วยให้จัดการเรื่องเงินได้สะดวกขึ้น
    .
    พ่อแม่ต้องสอนลูกให้ลูกมีอำนาจเหนือเงิน กล่าวคือ ให้เป็นคนที่มีความอดกลั้น สามารถบังคับความต้องการของตนเองได้ จนไม่เป็นทาสของบริโภคนิยมที่เห็นอะไรก็อยากซื้อไปหมด ซึ่งจะทำให้ตลอดชีวิตมีแต่การหาเงินมาใช้จ่ายอย่างไร้สาระ พ่อแม่ต้องเน้นเรื่องคุณค่าของการออม และการมีความมั่งคงในด้านการเงินตลอดชีวิต การออมจะเกิดขึ้นได้อย่างสม่ำเสมอก็เพราะลูกมีความสามารถที่จะให้ตนมีอำนาจเหนือเงินเท่านั้น
    .
    พ่อแม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักคุณค่าของเงิน โดยแสดงให้เห็นว่าเงินทุกบาททุกสตางค์มีความหมาย ไม่ดูถูกเงิน ไม่ว่าจะมีจำนวนน้อยเพียงใด ลูกต้องรู้ว่า เงินได้มาจากการทำงาน ซึ่งเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน เงินไม่ได้ลอยมาจากฟ้าหรืออยู่ๆก็มีใครให้ ทุกคนต้องใช้น้ำพักน้ำแรงของตนเองเข้าแลก จึงจะมีเงิน สิ่งที่จะทำให้ได้เงินมากกว่า ถึงแม้จะออกแรงทำงานเท่ากันก็คือ การศึกษา
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 6 การสอนเรื่องเงินแก่ลูกในเยาว์วัย . เรื่องเล่ามานานแล้วในสหรัฐอเมริกาว่า จอห์น ร็อกกี้เฟลเลอร์ มหาเศรษฐีผู้พ่อเข้าไปพักในโรงแรม เขาขอห้องพักราคาถูกที่สุด ผู้จัดการโรงแรมก็ถามว่าทำไมเล่า เวลาลูกท่านมาพักที่นี่ยังขอห้องที่ดีที่สุดเลย เขาตอบว่า มันต่างกัน เขาเป็นลูกมหาเศรษฐี ส่วนฉันเป็นลูกชาวนา . เรื่องเล่านี้สะท้อนให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างการมองโลกของพ่อ และลูกผู้เติบโตภายใต้สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ซึงเรื่องนี้เข้าลักษณะเดียวกันกับคนชั้นกลางจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยในปัจจุบัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสอนลูกอย่างถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องเงินในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยเรื่องของบริโภคนิยม และการไม่ใส่ใจในจริยธรรมคุณธรรม ซึ่งแตกต่างไปจากยุคของพ่อแม่ . การสอนเรื่องการเงินให้แก่ลูกมีหลายประเด็นที่ควรพิจารณา ดังต่อไปนี้ เป็นเรื่องปกติที่เด็กทุกคนอยากได้ทุกอย่างที่เห็นในโทรทัศน์และโทรศัพท์ จึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องอธิบายและสอนให้ลูกเข้าใจว่า ไม่มีใครที่ได้หรือมีทุกอย่างในโลก ทุกคนมีเงินจำกัดที่ต้องใช้จ่ายในสิ่งต่างๆมากมายด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นจึงต้องเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่คิดว่าจำเป็นและให้คุณค่า การโฆษณาทางสื่อต่างๆถือว่าเป็นการให้ข้อมูลของสินค้าที่ผู้ซื้อต้องใคร่ครวญให้ดี เพราะผู้ขายเป็นผู้ให้ข้อมูลและมีวัตถุประสงค์ในการชักชวนให้ซื้อสินค้านั้น . การทำงานหาเงินอย่างหนักจนมีเงินมากนับเป็นของดี แต่การมุ่งหาเงินอย่างปราศจากคุณค่าที่เหมาะสมกำกับอยู่ด้วย เช่น หาเงินด้วยความเจ้าเล่ห์เจ้ากล บ้าคลั่ง บริโภคนิยม สิ่งเหล่านี้เป็นของไม่ดี พ่อแม่จะต้องพยายามสร้างคุณค่าที่เหมาะสม เช่น ความซื่อสัตย์ สุจริต ความสมถะ ความศรัทธาในความดีงาม ใส่เข้าไปในสมองลูกด้วยการกระทำสิ่งต่อไปนี้ . พ่อแม่ควรทำตัวให้เป็นตัวอย่าง โดยแสดงพฤติกรรมที่มีความสมดุลในการใช้จ่ายเงินสำหรับสิ่งที่จำเป็น ( Needs ) และสำหรับสิ่งที่ต้องการ ( Wants ) เช่น ไม่บ้าคลั่งซื้อของต่างๆอย่างไร้สาระจนทำให้ลูกสับสน หรือมองเห็นว่าทุกสิ่งจำเป็นไปหมด นอกจากนี้ต้องส่งเสริมให้ลูกคิดเป็น และมีวิจารณญานว่าอะไรเป็น needs อะไรเป็น wants ดดยเริ่มสอนไปทีละน้อย . ให้เงินลูกเป็นรายอาทิตย์หรือรายเดือนตั้งแต่ยังเล็กเมื่อเริ่มใช้เงินเป็น เพื่อสอนให้ลูกรู้จักวางแผนการใช้เงินและรู้จักอยู่กิน ไม่เกินรายได้ที่ตนเองได้รับ เงินที่ให้นี้บอกลูกให้ชัดเจนว่าเป็นเงินสำหรับสิ่งใด เช่น กินขนม ดูหนัง ซื้อหนังสืออ่านเล่น หรืออะไรอื่นๆ แต่สำหรับสิ่งของบางอย่างเช่น เสื้อผ้า หนังสือเรียน รองเท้า นั้น พ่อแม่จัดหาให้ การกำหนดชัดเจนเช่นนี้จะช่วยให้ลูกสามารถจัดการเรื่องเงินได้อย่างมีประสิมธิภาพมากขึ้น . ส่งเสริมให้ลูกรู้จักการให้ การสอนลูกในยามเป็นเด็ก ที่ใจเปิดรับจะทำให้เกิดความคิดในการช่วยเหลือคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคหรืองานอาสาสมัคร พ่อแม่อาจจัดหากระป๋องออมสินให้ 2 ใบ แต่ละใบใช้ใส่เงินสำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น ใบหนึ่งสำหรับการออม และอีกใบสำหรับการบริจาค การแบ่งเช่นนี้จะช่วยให้เด็กเห็นการออมและการให้ที่ชัดเจน และช่วยให้จัดการเรื่องเงินได้สะดวกขึ้น . พ่อแม่ต้องสอนลูกให้ลูกมีอำนาจเหนือเงิน กล่าวคือ ให้เป็นคนที่มีความอดกลั้น สามารถบังคับความต้องการของตนเองได้ จนไม่เป็นทาสของบริโภคนิยมที่เห็นอะไรก็อยากซื้อไปหมด ซึ่งจะทำให้ตลอดชีวิตมีแต่การหาเงินมาใช้จ่ายอย่างไร้สาระ พ่อแม่ต้องเน้นเรื่องคุณค่าของการออม และการมีความมั่งคงในด้านการเงินตลอดชีวิต การออมจะเกิดขึ้นได้อย่างสม่ำเสมอก็เพราะลูกมีความสามารถที่จะให้ตนมีอำนาจเหนือเงินเท่านั้น . พ่อแม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักคุณค่าของเงิน โดยแสดงให้เห็นว่าเงินทุกบาททุกสตางค์มีความหมาย ไม่ดูถูกเงิน ไม่ว่าจะมีจำนวนน้อยเพียงใด ลูกต้องรู้ว่า เงินได้มาจากการทำงาน ซึ่งเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน เงินไม่ได้ลอยมาจากฟ้าหรืออยู่ๆก็มีใครให้ ทุกคนต้องใช้น้ำพักน้ำแรงของตนเองเข้าแลก จึงจะมีเงิน สิ่งที่จะทำให้ได้เงินมากกว่า ถึงแม้จะออกแรงทำงานเท่ากันก็คือ การศึกษา
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • กลุ่มแฮกเกอร์ Shuckworm ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับหน่วยงานความมั่นคงของรัสเซีย (FSB) ได้กลับมาโจมตีอีกครั้ง โดยใช้มัลแวร์ GammaSteel เวอร์ชันใหม่ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เป้าหมายของการโจมตีครั้งนี้คือภารกิจทางทหารของประเทศตะวันตกในยูเครน

    ✅ ลักษณะการโจมตี:
    - การโจมตีเริ่มต้นด้วยไฟล์ลิงก์ (.lnk) ที่ถูกเปิดจากอุปกรณ์ภายนอก
    - ไฟล์ดังกล่าวเรียกใช้สคริปต์ที่ซับซ้อนและมัลแวร์ GammaSteel ผ่าน PowerShell

    ✅ ความสามารถของมัลแวร์ GammaSteel:
    - มัลแวร์สามารถขโมยไฟล์ที่มีนามสกุลเฉพาะ เช่น .doc, .xls, .pdf จากโฟลเดอร์ Desktop, Download และ Documents
    - ใช้ PowerShell web requests และ fallback ผ่าน Tor proxy เพื่อส่งข้อมูลออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม

    ✅ การปรับปรุงมัลแวร์:
    - GammaSteel เวอร์ชันใหม่มีการเพิ่มการเข้ารหัสและการใช้บริการเว็บที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อลดความเสี่ยงในการถูกตรวจจับ

    ✅ เป้าหมายของการโจมตี:
    - เป้าหมายรวมถึงการขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น แผนการปฏิบัติการทางทหารและรายงานการบาดเจ็บ

    ✅ การตอบสนองของผู้เชี่ยวชาญ:
    - นักวิจัยจาก Symantec พบว่าการโจมตีครั้งนี้มีความซับซ้อนมากขึ้น แม้ Shuckworm จะมีทักษะที่ด้อยกว่ากลุ่มแฮกเกอร์รัสเซียอื่น ๆ

    == ข้อเสนอแนะและคำเตือน ==
    ⚠️ ความเสี่ยงจากอุปกรณ์ภายนอก:
    - องค์กรควรเพิ่มมาตรการป้องกันการโจมตีผ่านอุปกรณ์ภายนอก เช่น USB

    ⚠️ การป้องกันมัลแวร์:
    - การใช้เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมมัลแวร์และการตรวจสอบเครือข่ายสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้

    ⚠️ การฝึกอบรมพนักงาน:
    - พนักงานควรได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการระบุไฟล์ที่น่าสงสัยและการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์

    https://www.csoonline.com/article/3959665/russian-shuckworm-apt-is-back-with-updated-gammasteel-malware.html
    กลุ่มแฮกเกอร์ Shuckworm ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับหน่วยงานความมั่นคงของรัสเซีย (FSB) ได้กลับมาโจมตีอีกครั้ง โดยใช้มัลแวร์ GammaSteel เวอร์ชันใหม่ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เป้าหมายของการโจมตีครั้งนี้คือภารกิจทางทหารของประเทศตะวันตกในยูเครน ✅ ลักษณะการโจมตี: - การโจมตีเริ่มต้นด้วยไฟล์ลิงก์ (.lnk) ที่ถูกเปิดจากอุปกรณ์ภายนอก - ไฟล์ดังกล่าวเรียกใช้สคริปต์ที่ซับซ้อนและมัลแวร์ GammaSteel ผ่าน PowerShell ✅ ความสามารถของมัลแวร์ GammaSteel: - มัลแวร์สามารถขโมยไฟล์ที่มีนามสกุลเฉพาะ เช่น .doc, .xls, .pdf จากโฟลเดอร์ Desktop, Download และ Documents - ใช้ PowerShell web requests และ fallback ผ่าน Tor proxy เพื่อส่งข้อมูลออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม ✅ การปรับปรุงมัลแวร์: - GammaSteel เวอร์ชันใหม่มีการเพิ่มการเข้ารหัสและการใช้บริการเว็บที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อลดความเสี่ยงในการถูกตรวจจับ ✅ เป้าหมายของการโจมตี: - เป้าหมายรวมถึงการขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น แผนการปฏิบัติการทางทหารและรายงานการบาดเจ็บ ✅ การตอบสนองของผู้เชี่ยวชาญ: - นักวิจัยจาก Symantec พบว่าการโจมตีครั้งนี้มีความซับซ้อนมากขึ้น แม้ Shuckworm จะมีทักษะที่ด้อยกว่ากลุ่มแฮกเกอร์รัสเซียอื่น ๆ == ข้อเสนอแนะและคำเตือน == ⚠️ ความเสี่ยงจากอุปกรณ์ภายนอก: - องค์กรควรเพิ่มมาตรการป้องกันการโจมตีผ่านอุปกรณ์ภายนอก เช่น USB ⚠️ การป้องกันมัลแวร์: - การใช้เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมมัลแวร์และการตรวจสอบเครือข่ายสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ ⚠️ การฝึกอบรมพนักงาน: - พนักงานควรได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการระบุไฟล์ที่น่าสงสัยและการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ https://www.csoonline.com/article/3959665/russian-shuckworm-apt-is-back-with-updated-gammasteel-malware.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Russian Shuckworm APT is back with updated GammaSteel malware
    The attack targeted the military mission of a Western country in Ukraine, with the goal of deploying a PowerShell-based version of the GammaSteel infostealer.
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • ความเชี่ยวชาญของคุณคืออะไร?

    ผมและทีม 10X Consulting และ Life Alignmentor 2 แบรนด์ ในเครือเดชฤทธิ์ กรุ๊ป มักจะได้รับคำถามทำนองนี้เมื่อเรานำเสนอว่าเราคือที่ปรึกษากลยุทธ์พัฒนาการจัดการองค์กร หรือ Management Development & Strategy Consultant

    ในทุกๆที่ซึ่ง 10X Consulting และ Life Alignmentor ได้รับความไว้วางใจเกือบ 100% ของผู้รับบริการจากเรามักบอกต่อ และเมื่อถามว่าอะไรคือสิ่งที่เราโดดเด่น พอประมวลเป็นภาพรวมๆได้ว่า ...

    เรามีสิ่งที่ผู้รับบริการชื่นชอบคือการนำพา และพา(จับมือ)ทำ กระทั่งสะเด็ดน้ำ - คนเกิดความเข้าใจร่วม ซึ่งผมมักพูดเป็นประจำว่าจากประสบการณ์กว่า 30 ปี ด้านนี้ คน ทีม และองค์กรจะพัฒนาเมื่อเกิดการประชุมพร้อมของ 3 อย่าง นี้ ... "คิดได้ ทำเป็น เห็นผล"

    และที่สำคัญควรอย่างยิ่งที่จะเชื่อมโยงเข้าถึง "โลกด้านใน"

    เพราะ ...

    -เป็นการมุ่งเป้าเพื่อความยั่งยืนในการเปลี่ยนแปลง
    -มิติภายในเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม
    -การเรียนรู้มิติภายในทำให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้อื่นได้ง่ายยิ่งขึ้น
    และนำไปสู่การรับมือที่สอดคล้องกัน
    -เป็นการมุ่งเป้าเพื่อให้ผู้เรียนเห็นความเชื่อมโยงและมีมุมมองที่กว้างไกลกว่าที่เป็นอยู่
    -มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการค้นหาการอยู่ร่วมกันด้วยสัมพันธภาพที่ดี
    -ทำให้ค้นพบศักยภาพในตนเอง และช่วยขยายศักยภาพและความสามารถ
    -ช่วยกระตุ้นการตื่นรู้ภายในตัว

    ซึ่งส่งผลให้ ...
    -เกิดพลังงานที่ขับเคลื่อนให้เราข้ามพ้นจุดที่ติดขัดภายในตนเอง
    -เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง
    -มีการส่งต่อพลังงานดีๆต่อไป
    -เกิดคุณภาพใหม่ ในการใช้ชีวิต
    -ความสัมพันธ์ต่อตนเอง และต่อผู้อื่นดีขึ้น

    การพัฒนาคน พัฒนาทีม พัฒนาองค์กร มีหลากหลายรูปแบบ จะใช้อะไร และใช้แบบไหนก็ขึ้นอยู่กับจริต ของคน ผู้นำ ผู้บริหาร ผู้ประกอบการ ผู้ก่อตั้ง ฯลฯ

    หากมองลุแก่น ไม่ว่าจะเป็นใครก็น่าจะต้องการให้วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน และพรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้

    มิติการพัฒนาจากโลกด้านในเป้นเรื่องใกล้ตัวเหมือนเส้นผมบังภูเขา ในหนังสือผลงานล่าสุดที่เพิ่งออก FAIL FAST, SUCCEED MORE "ล้มให้เร็วสำเร็จให้สุด" จึงเขียนคำอุทิศ แด่ผู้ที่สร้างโลกด้านใน

    ผู้สนใจมาติดตามอ่านต่อได้วันพรุ่งนี้ ส่งท้ายก่อนวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์กันครับ

    WWW.10-XCONSULTING.COM

    ชมบรรยากาศการเปิดตัวหนังสือได้ที่ #FailFastSucceedMore
    #ล้มให้เร็วสำเร็จให้สุด
    #เพราะความล้มเหลวคือจิ๊กซอร์หนึ่งของความสำเร็จ
    #เผยเทคนิคล้มอย่างไรให้สำเร็จได้อย่างสุดๆ
    ความเชี่ยวชาญของคุณคืออะไร? ผมและทีม 10X Consulting และ Life Alignmentor 2 แบรนด์ ในเครือเดชฤทธิ์ กรุ๊ป มักจะได้รับคำถามทำนองนี้เมื่อเรานำเสนอว่าเราคือที่ปรึกษากลยุทธ์พัฒนาการจัดการองค์กร หรือ Management Development & Strategy Consultant ในทุกๆที่ซึ่ง 10X Consulting และ Life Alignmentor ได้รับความไว้วางใจเกือบ 100% ของผู้รับบริการจากเรามักบอกต่อ และเมื่อถามว่าอะไรคือสิ่งที่เราโดดเด่น พอประมวลเป็นภาพรวมๆได้ว่า ... เรามีสิ่งที่ผู้รับบริการชื่นชอบคือการนำพา และพา(จับมือ)ทำ กระทั่งสะเด็ดน้ำ - คนเกิดความเข้าใจร่วม ซึ่งผมมักพูดเป็นประจำว่าจากประสบการณ์กว่า 30 ปี ด้านนี้ คน ทีม และองค์กรจะพัฒนาเมื่อเกิดการประชุมพร้อมของ 3 อย่าง นี้ ... "คิดได้ ทำเป็น เห็นผล" และที่สำคัญควรอย่างยิ่งที่จะเชื่อมโยงเข้าถึง "โลกด้านใน" เพราะ ... -เป็นการมุ่งเป้าเพื่อความยั่งยืนในการเปลี่ยนแปลง -มิติภายในเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม -การเรียนรู้มิติภายในทำให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้อื่นได้ง่ายยิ่งขึ้น และนำไปสู่การรับมือที่สอดคล้องกัน -เป็นการมุ่งเป้าเพื่อให้ผู้เรียนเห็นความเชื่อมโยงและมีมุมมองที่กว้างไกลกว่าที่เป็นอยู่ -มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการค้นหาการอยู่ร่วมกันด้วยสัมพันธภาพที่ดี -ทำให้ค้นพบศักยภาพในตนเอง และช่วยขยายศักยภาพและความสามารถ -ช่วยกระตุ้นการตื่นรู้ภายในตัว ซึ่งส่งผลให้ ... -เกิดพลังงานที่ขับเคลื่อนให้เราข้ามพ้นจุดที่ติดขัดภายในตนเอง -เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง -มีการส่งต่อพลังงานดีๆต่อไป -เกิดคุณภาพใหม่ ในการใช้ชีวิต -ความสัมพันธ์ต่อตนเอง และต่อผู้อื่นดีขึ้น การพัฒนาคน พัฒนาทีม พัฒนาองค์กร มีหลากหลายรูปแบบ จะใช้อะไร และใช้แบบไหนก็ขึ้นอยู่กับจริต ของคน ผู้นำ ผู้บริหาร ผู้ประกอบการ ผู้ก่อตั้ง ฯลฯ หากมองลุแก่น ไม่ว่าจะเป็นใครก็น่าจะต้องการให้วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน และพรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้ มิติการพัฒนาจากโลกด้านในเป้นเรื่องใกล้ตัวเหมือนเส้นผมบังภูเขา ในหนังสือผลงานล่าสุดที่เพิ่งออก FAIL FAST, SUCCEED MORE "ล้มให้เร็วสำเร็จให้สุด" จึงเขียนคำอุทิศ แด่ผู้ที่สร้างโลกด้านใน ผู้สนใจมาติดตามอ่านต่อได้วันพรุ่งนี้ ส่งท้ายก่อนวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์กันครับ WWW.10-XCONSULTING.COM ชมบรรยากาศการเปิดตัวหนังสือได้ที่ #FailFastSucceedMore #ล้มให้เร็วสำเร็จให้สุด #เพราะความล้มเหลวคือจิ๊กซอร์หนึ่งของความสำเร็จ #เผยเทคนิคล้มอย่างไรให้สำเร็จได้อย่างสุดๆ
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
  • รายงาน AI Index 2025 จาก Stanford University เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกของปัญญาประดิษฐ์ โดยต้นทุนการใช้งาน AI ลดลงอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่เป็นอันตรายกลับเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล

    🌐 ต้นทุนที่ลดลงและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น:
    - 📉 ต้นทุนการใช้งาน AI: ค่าใช้จ่ายในการใช้งานโมเดล AI ลดลงจาก $20 ต่อ 1 ล้านโทเค็น เหลือเพียง $0.07 ในเวลาเพียง 18 เดือน
    - 💡 การลงทุนมหาศาล: บริษัทใหญ่ เช่น OpenAI, Meta และ Google ลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 28 เท่า ในการฝึกโมเดล AI รุ่นใหม่

    ⚠️ เหตุการณ์อันตรายที่เพิ่มขึ้น:
    - 🚨 เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI: จำนวนเหตุการณ์อันตรายที่เกี่ยวข้องกับ AI เพิ่มขึ้นจาก 100 ครั้งในปี 2022 เป็น 233 ครั้งในปี 2024
    - 🛑 ตัวอย่างเหตุการณ์: การระบุผิดพลาดของ AI ในระบบป้องกันการขโมยสินค้า, การสร้างภาพลามกแบบ deepfake และการสนับสนุนพฤติกรรมอันตรายโดยแชทบอท

    🌟 การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ:
    - 🇺🇸 สหรัฐฯ ยังคงนำหน้า: สหรัฐฯ มีโมเดล AI ที่โดดเด่นถึง 40 โมเดล ในปี 2024 ขณะที่จีนมีเพียง 15 โมเดล
    - 🇨🇳 จีนไล่ตามอย่างใกล้ชิด: ความแตกต่างด้านประสิทธิภาพระหว่างโมเดล AI ของสหรัฐฯ และจีนลดลงจาก 9.26% ในปี 2024 เหลือเพียง 1.70% ในปี 2025

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-costs-drop-280-fold-but-harmful-incidents-rise-56-percent-in-last-year-stanford-2025-ai-report-highlights-china-us-competition
    รายงาน AI Index 2025 จาก Stanford University เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกของปัญญาประดิษฐ์ โดยต้นทุนการใช้งาน AI ลดลงอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่เป็นอันตรายกลับเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล 🌐 ต้นทุนที่ลดลงและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น: - 📉 ต้นทุนการใช้งาน AI: ค่าใช้จ่ายในการใช้งานโมเดล AI ลดลงจาก $20 ต่อ 1 ล้านโทเค็น เหลือเพียง $0.07 ในเวลาเพียง 18 เดือน - 💡 การลงทุนมหาศาล: บริษัทใหญ่ เช่น OpenAI, Meta และ Google ลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 28 เท่า ในการฝึกโมเดล AI รุ่นใหม่ ⚠️ เหตุการณ์อันตรายที่เพิ่มขึ้น: - 🚨 เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI: จำนวนเหตุการณ์อันตรายที่เกี่ยวข้องกับ AI เพิ่มขึ้นจาก 100 ครั้งในปี 2022 เป็น 233 ครั้งในปี 2024 - 🛑 ตัวอย่างเหตุการณ์: การระบุผิดพลาดของ AI ในระบบป้องกันการขโมยสินค้า, การสร้างภาพลามกแบบ deepfake และการสนับสนุนพฤติกรรมอันตรายโดยแชทบอท 🌟 การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ: - 🇺🇸 สหรัฐฯ ยังคงนำหน้า: สหรัฐฯ มีโมเดล AI ที่โดดเด่นถึง 40 โมเดล ในปี 2024 ขณะที่จีนมีเพียง 15 โมเดล - 🇨🇳 จีนไล่ตามอย่างใกล้ชิด: ความแตกต่างด้านประสิทธิภาพระหว่างโมเดล AI ของสหรัฐฯ และจีนลดลงจาก 9.26% ในปี 2024 เหลือเพียง 1.70% ในปี 2025 https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-costs-drop-280-fold-but-harmful-incidents-rise-56-percent-in-last-year-stanford-2025-ai-report-highlights-china-us-competition
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • Microsoft ได้ปลดพนักงานสองคนที่มีส่วนร่วมในการประท้วงระหว่างงานฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท โดยพนักงานเหล่านี้แสดงความไม่พอใจต่อการที่ Microsoft มีสัญญาทางธุรกิจกับรัฐบาลอิสราเอล ซึ่งพวกเขาอ้างว่าเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน

    🛑 การประท้วงในงานสำคัญ: พนักงานคนหนึ่งชื่อ Ibtihal Aboussad ขัดจังหวะการนำเสนอของหัวหน้าฝ่าย AI ของ Microsoft และส่งอีเมลถึงพนักงานหลายพันคน รวมถึงผู้บริหารระดับสูง เพื่อเรียกร้องให้ยุติสัญญากับรัฐบาลอิสราเอล

    🛑 การประท้วงเพิ่มเติม: พนักงานอีกคน Vaniya Agrawal ขัดจังหวะคำพูดของ CEO Satya Nadella ในงานอื่น พร้อมส่งอีเมลวิจารณ์ว่า Microsoft เป็น "ผู้ผลิตอาวุธดิจิทัล"

    📋 การละเมิดนโยบายบริษัท: Microsoft ระบุว่าการกระทำของพนักงานทั้งสองเป็นการละเมิดนโยบายที่ตั้งใจสร้างความวุ่นวายและดึงความสนใจในทางที่ไม่เหมาะสม

    ❌ การปลดพนักงานทันที: บริษัทตัดสินใจยุติสัญญาจ้างงานของพนักงานทั้งสองทันที โดยระบุว่าเป็นการตอบสนองที่เหมาะสมต่อพฤติกรรมดังกล่าว

    https://www.techspot.com/news/107478-microsoft-fires-engineers-who-protested-israeli-military-use.html
    Microsoft ได้ปลดพนักงานสองคนที่มีส่วนร่วมในการประท้วงระหว่างงานฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท โดยพนักงานเหล่านี้แสดงความไม่พอใจต่อการที่ Microsoft มีสัญญาทางธุรกิจกับรัฐบาลอิสราเอล ซึ่งพวกเขาอ้างว่าเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน 🛑 การประท้วงในงานสำคัญ: พนักงานคนหนึ่งชื่อ Ibtihal Aboussad ขัดจังหวะการนำเสนอของหัวหน้าฝ่าย AI ของ Microsoft และส่งอีเมลถึงพนักงานหลายพันคน รวมถึงผู้บริหารระดับสูง เพื่อเรียกร้องให้ยุติสัญญากับรัฐบาลอิสราเอล 🛑 การประท้วงเพิ่มเติม: พนักงานอีกคน Vaniya Agrawal ขัดจังหวะคำพูดของ CEO Satya Nadella ในงานอื่น พร้อมส่งอีเมลวิจารณ์ว่า Microsoft เป็น "ผู้ผลิตอาวุธดิจิทัล" 📋 การละเมิดนโยบายบริษัท: Microsoft ระบุว่าการกระทำของพนักงานทั้งสองเป็นการละเมิดนโยบายที่ตั้งใจสร้างความวุ่นวายและดึงความสนใจในทางที่ไม่เหมาะสม ❌ การปลดพนักงานทันที: บริษัทตัดสินใจยุติสัญญาจ้างงานของพนักงานทั้งสองทันที โดยระบุว่าเป็นการตอบสนองที่เหมาะสมต่อพฤติกรรมดังกล่าว https://www.techspot.com/news/107478-microsoft-fires-engineers-who-protested-israeli-military-use.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Microsoft fires engineers over AI protest at 50th-anniversary event
    One of the employees, Ibtihal Aboussad, interrupted a presentation by Mustafa Suleyman, Microsoft's head of AI, during the anniversary event. Following the incident, she sent an email...
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • การโจมตีแบบ Precision-validated phishing ใช้การตรวจสอบอีเมลแบบเรียลไทม์เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการขโมยข้อมูล เทคนิคนี้ทำให้การตรวจจับและป้องกันยากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้การยืนยันตัวตนที่ปลอดภัยกว่า เช่น Passkeys เพื่อป้องกันภัยคุกคามในอนาคต

    วิธีการทำงานของ Precision-validated phishing:
    ✅ การตรวจสอบอีเมลแบบเรียลไทม์:
    - เมื่อเป้าหมายพยายามเข้าสู่หน้าเว็บฟิชชิง อีเมลของพวกเขาจะถูกตรวจสอบกับฐานข้อมูลของผู้โจมตีผ่าน JavaScript-based validation scripts
    - หากอีเมลไม่ตรงกับฐานข้อมูล หน้าเว็บจะเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าเว็บที่ดูปลอดภัย แต่หากอีเมลตรงกัน หน้าเข้าสู่ระบบปลอมจะปรากฏขึ้นเพื่อขโมยข้อมูล

    ✅ ผลกระทบต่อการป้องกัน:
    - เทคนิคนี้ทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยไม่สามารถวิเคราะห์หน้าเว็บฟิชชิงได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากหน้าเว็บจะไม่แสดงเนื้อหาที่เป็นอันตรายต่อผู้ที่ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูล
    - เครื่องมือสแกน URL แบบดั้งเดิมอาจไม่สามารถตรวจจับการโจมตีได้

    ความท้าทายในการป้องกัน:
    💡 การเปลี่ยนไปใช้การวิเคราะห์พฤติกรรม:
    - การตรวจจับฟิชชิงแบบนี้ต้องอาศัยการวิเคราะห์พฤติกรรมและความผิดปกติ แทนการใช้บล็อกลิสต์แบบเดิม

    💡 การลดการพึ่งพารหัสผ่าน:
    - ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้วิธีการยืนยันตัวตนที่ปลอดภัยจากฟิชชิง เช่น Passkeys เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล

    https://www.csoonline.com/article/3958633/precision-validated-phishing-the-rise-of-sophisticated-credential-theft.html
    การโจมตีแบบ Precision-validated phishing ใช้การตรวจสอบอีเมลแบบเรียลไทม์เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการขโมยข้อมูล เทคนิคนี้ทำให้การตรวจจับและป้องกันยากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้การยืนยันตัวตนที่ปลอดภัยกว่า เช่น Passkeys เพื่อป้องกันภัยคุกคามในอนาคต วิธีการทำงานของ Precision-validated phishing: ✅ การตรวจสอบอีเมลแบบเรียลไทม์: - เมื่อเป้าหมายพยายามเข้าสู่หน้าเว็บฟิชชิง อีเมลของพวกเขาจะถูกตรวจสอบกับฐานข้อมูลของผู้โจมตีผ่าน JavaScript-based validation scripts - หากอีเมลไม่ตรงกับฐานข้อมูล หน้าเว็บจะเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าเว็บที่ดูปลอดภัย แต่หากอีเมลตรงกัน หน้าเข้าสู่ระบบปลอมจะปรากฏขึ้นเพื่อขโมยข้อมูล ✅ ผลกระทบต่อการป้องกัน: - เทคนิคนี้ทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยไม่สามารถวิเคราะห์หน้าเว็บฟิชชิงได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากหน้าเว็บจะไม่แสดงเนื้อหาที่เป็นอันตรายต่อผู้ที่ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูล - เครื่องมือสแกน URL แบบดั้งเดิมอาจไม่สามารถตรวจจับการโจมตีได้ ความท้าทายในการป้องกัน: 💡 การเปลี่ยนไปใช้การวิเคราะห์พฤติกรรม: - การตรวจจับฟิชชิงแบบนี้ต้องอาศัยการวิเคราะห์พฤติกรรมและความผิดปกติ แทนการใช้บล็อกลิสต์แบบเดิม 💡 การลดการพึ่งพารหัสผ่าน: - ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้วิธีการยืนยันตัวตนที่ปลอดภัยจากฟิชชิง เช่น Passkeys เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล https://www.csoonline.com/article/3958633/precision-validated-phishing-the-rise-of-sophisticated-credential-theft.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Precision-validated phishing: The rise of sophisticated credential theft
    How cybercriminals are using real-time email validation to evade detection and steal credentials.
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • Office of the Comptroller of the Currency (OCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารแห่งชาติในสหรัฐฯ แจ้ง Congress ถึงการเจาะระบบไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในระบบอีเมลขององค์กร โดยช่องโหว่นี้อนุญาตให้นักโจมตีเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ รวมถึงอีเมลกว่า

    ✅ วิธีการเจาะระบบ:
    - การโจมตีเริ่มจากการเข้าถึงบัญชีผู้ดูแลระบบในระบบ Office Automation Environment ของ OCC
    - พบพฤติกรรมการเข้าถึงบัญชีผู้ใช้งานในลักษณะผิดปกติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งยืนยันเป็นการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตในวันถัดมา

    ✅ การตอบสนองของ OCC:
    - OCC ได้ปิดการใช้งานบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกเจาะเข้าถึง และเริ่มต้นโปรโตคอลตอบสนองฉุกเฉินทันที
    - มีการร่วมมือกับ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจากภายนอก เพื่อประเมินความเสียหาย

    ✅ ความเสี่ยงที่ตามมา:
    - เหตุการณ์นี้อาจทำให้องค์กรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ OCC เสี่ยงต่อการถูกโจมตีไซเบอร์ในอนาคต หากนักโจมตีใช้ข้อมูลจากอีเมลเพื่อเจาะระบบเพิ่มเติม

    == บทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ==
    💡 ความจำเป็นในการลงทุนด้านความปลอดภัยไซเบอร์:
    - ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า OCC อาจไม่ได้รับทรัพยากรด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ แม้จะเป็นหน่วยงานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ

    💡 การสร้างระบบที่ปลอดภัยมากขึ้น:
    - มีความจำเป็นในการพัฒนากระบวนการป้องกันที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบที่เกี่ยวข้องกับการเงิน

    https://www.csoonline.com/article/3957698/occ-email-system-breach-described-as-stunning-serious.html
    Office of the Comptroller of the Currency (OCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารแห่งชาติในสหรัฐฯ แจ้ง Congress ถึงการเจาะระบบไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในระบบอีเมลขององค์กร โดยช่องโหว่นี้อนุญาตให้นักโจมตีเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ รวมถึงอีเมลกว่า ✅ วิธีการเจาะระบบ: - การโจมตีเริ่มจากการเข้าถึงบัญชีผู้ดูแลระบบในระบบ Office Automation Environment ของ OCC - พบพฤติกรรมการเข้าถึงบัญชีผู้ใช้งานในลักษณะผิดปกติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งยืนยันเป็นการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตในวันถัดมา ✅ การตอบสนองของ OCC: - OCC ได้ปิดการใช้งานบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกเจาะเข้าถึง และเริ่มต้นโปรโตคอลตอบสนองฉุกเฉินทันที - มีการร่วมมือกับ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจากภายนอก เพื่อประเมินความเสียหาย ✅ ความเสี่ยงที่ตามมา: - เหตุการณ์นี้อาจทำให้องค์กรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ OCC เสี่ยงต่อการถูกโจมตีไซเบอร์ในอนาคต หากนักโจมตีใช้ข้อมูลจากอีเมลเพื่อเจาะระบบเพิ่มเติม == บทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ == 💡 ความจำเป็นในการลงทุนด้านความปลอดภัยไซเบอร์: - ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า OCC อาจไม่ได้รับทรัพยากรด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ แม้จะเป็นหน่วยงานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ 💡 การสร้างระบบที่ปลอดภัยมากขึ้น: - มีความจำเป็นในการพัฒนากระบวนการป้องกันที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบที่เกี่ยวข้องกับการเงิน https://www.csoonline.com/article/3957698/occ-email-system-breach-described-as-stunning-serious.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    US bank regulator’s email system breached
    The agency that regulates all US national banks alerted Congress on Tuesday that hackers had access to staff emails.
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 Reviews
  • IBM เปิดตัวเมนเฟรม z17 ที่ผสานความสามารถด้าน AI ขั้นสูงและความปลอดภัยในระดับองค์กร โดยใช้ชิป Telum II และการ์ด Spyre Accelerator เพื่อการประมวลผลที่รวดเร็วและแม่นยำในต้นทุนที่คุ้มค่า เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการเพิ่มพลังงาน AI ในงานสำคัญ

    ✅ ประสิทธิภาพขั้นสูง:
    - ใช้ชิป Telum II Processor ที่มาพร้อม 8 คอร์ ความเร็ว 5.5 GHz พร้อมการจัดการแคชที่ใหญ่ขึ้นกว่า 40% ทำให้ตอบสนองงานที่ต้องการได้รวดเร็ว
    - สนับสนุน AI ที่เพิ่มขึ้นถึง 50% พร้อมความแม่นยำในการตรวจจับความผิดปกติและพฤติกรรมที่น่าสงสัย

    ✅ AI ที่ชาญฉลาด:
    - หน่วย AI ใน Telum II สามารถประมวลผลได้ถึง 24 ล้านล้านรายการต่อวินาที ด้วยเทคนิคที่รองรับ Machine Learning และ Large-Language Model เพื่อการวิเคราะห์เชิงลึกในเวลาที่แม่นยำ

    ✅ Spyre Accelerator:
    - IBM ยังเปิดตัวการ์ด AI Spyre ที่เพิ่มความสามารถในการประมวลผล AI ได้มากขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการพลังงาน AI ที่เหนือกว่า

    ✅ ความปลอดภัยและการจัดเก็บข้อมูล:
    - z17 มาพร้อมกับระบบ IBM Vault ที่ช่วยจัดการข้อมูลสำคัญ เช่น Credentials และ Keys รวมถึงการตรวจจับความผิดปกติในระดับฮาร์ดแวร์ นอกจากนี้ ระบบจัดเก็บข้อมูล DS8000 Gen10 ยังช่วยให้การทำธุรกรรมเร็วขึ้น และเพิ่มความเสถียรภาพของข้อมูล

    ✅ มุมมองอนาคตและการใช้งานที่หลากหลาย:
    - IBM z17 ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์สำหรับธุรกรรมและงานที่สำคัญเท่านั้น แต่ยังช่วยองค์กรปรับใช้ AI ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในต้นทุนที่เหมาะสม
    - ระบบปฏิบัติการใหม่ z/OS 3.2 ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 ของปี 2025 จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูลใน Cloud และ NoSQL

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/ibm-boosts-mainframes-with-50-percent-more-ai-performance-z17-features-telum-ii-chip-with-ai-accelerators
    IBM เปิดตัวเมนเฟรม z17 ที่ผสานความสามารถด้าน AI ขั้นสูงและความปลอดภัยในระดับองค์กร โดยใช้ชิป Telum II และการ์ด Spyre Accelerator เพื่อการประมวลผลที่รวดเร็วและแม่นยำในต้นทุนที่คุ้มค่า เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการเพิ่มพลังงาน AI ในงานสำคัญ ✅ ประสิทธิภาพขั้นสูง: - ใช้ชิป Telum II Processor ที่มาพร้อม 8 คอร์ ความเร็ว 5.5 GHz พร้อมการจัดการแคชที่ใหญ่ขึ้นกว่า 40% ทำให้ตอบสนองงานที่ต้องการได้รวดเร็ว - สนับสนุน AI ที่เพิ่มขึ้นถึง 50% พร้อมความแม่นยำในการตรวจจับความผิดปกติและพฤติกรรมที่น่าสงสัย ✅ AI ที่ชาญฉลาด: - หน่วย AI ใน Telum II สามารถประมวลผลได้ถึง 24 ล้านล้านรายการต่อวินาที ด้วยเทคนิคที่รองรับ Machine Learning และ Large-Language Model เพื่อการวิเคราะห์เชิงลึกในเวลาที่แม่นยำ ✅ Spyre Accelerator: - IBM ยังเปิดตัวการ์ด AI Spyre ที่เพิ่มความสามารถในการประมวลผล AI ได้มากขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการพลังงาน AI ที่เหนือกว่า ✅ ความปลอดภัยและการจัดเก็บข้อมูล: - z17 มาพร้อมกับระบบ IBM Vault ที่ช่วยจัดการข้อมูลสำคัญ เช่น Credentials และ Keys รวมถึงการตรวจจับความผิดปกติในระดับฮาร์ดแวร์ นอกจากนี้ ระบบจัดเก็บข้อมูล DS8000 Gen10 ยังช่วยให้การทำธุรกรรมเร็วขึ้น และเพิ่มความเสถียรภาพของข้อมูล ✅ มุมมองอนาคตและการใช้งานที่หลากหลาย: - IBM z17 ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์สำหรับธุรกรรมและงานที่สำคัญเท่านั้น แต่ยังช่วยองค์กรปรับใช้ AI ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในต้นทุนที่เหมาะสม - ระบบปฏิบัติการใหม่ z/OS 3.2 ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 ของปี 2025 จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูลใน Cloud และ NoSQL https://www.tomshardware.com/tech-industry/ibm-boosts-mainframes-with-50-percent-more-ai-performance-z17-features-telum-ii-chip-with-ai-accelerators
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 4 คนบริสุทธิ์ด้วยการงาน
    .
    งานไม่เคยทำร้ายหรือฆ่าใคร ยิ่งทำงานหลากหลายลักษณะที่ท้าทายความสามารถ รวมทั้งยิ่งทำงานหนัก ที่ก่อให้เกิดประโยชน์เพียงใด ก็ยิ่งทำให้บุคคลนั้นมีประสบการณ์และมีศักยภาพที่สูงขึ้นเพียงนั้น ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญอย่างหนึ่งนอกเหนือจากการมีความรู้ความสามารถในงานเป็นอย่างดี พร้อมทั้งใส่ใจหาความรู้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็คือ การมีเป้าหมายในชีวิต มีความบากบั่นมานะ พยายามให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ชัดเจนอย่างเด็ดเดี่ยวและมีคุณธรรม ซึ่งการมีวินัยบังคับตนเองเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งในการเดินทางสู่ความสำเร็จ
    .
    ชีวิตการทำงานของมนุษย์นั้นไม่ยาวนานนัก สูงสุดไม่เกิน 30ปีเศษ ก็ถึงวัยเกษียณ หากตลอดอายุการทำงานนั้นมิได้มีการวางแผนด้านรายได้และการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และรัดกุมแล้ว เงินทองที่หามาได้ก็จะหมดไปอย่างไม่มีความหมายนัก กล่าวคือ มีความสุขสบายในช่วงวัยทำงาน แต่เมื่อพ้นช่วงเวลานี้ไปแล้ว ก็ขาดรายได้ที่จะทำให้สามารถรักษาระดับความสุขและสะดวกสบายไว้ดังเดิมได้ ลักษณะเช่นนี้เรียกได้ว่า มีความสุขเพียงครึ่งเดียวของช่วงเวลา นั่นคือ สุขในวัยทำงานและทุกข์ในวัยพ้นทำงาน คำถามสำคัญก็คือ ทำอย่างไรบุคคลหนึ่งที่ทำงานมาตลอดชีวิต จะมีความสุขอันเกิดจากความมั่นคงทางการเงินไปตลอด มีมาตราฐานการครองชีพในระดับที่น่าพอใจอย่างคงที่ แม้จะพ้นจากวัยทำงานแล้วก็ตาม
    .
    การบรรลุคุณภาพชีวิตที่น่าพึงปรารถนาดังกล่าว เจ้าของรายได้ต้องเป็นผู้รับผิดชอบเองในเบื้องแรก ไม่อาจหวังพึ่งภาครัฐ หรือนายจ้าง เพราะไม่อาจวางใจได้ว่าตนเองจะได้รับความมั่นคงในชีวิตสมดังใจหวังได้ เจ้าของรายได้จะต้องเป็นที่พึ่งของตนเองด้วยการวางแผน การหารายได้ การใช้จ่าย และการออม เพราะการออมจะนำไปสู่การลงทุน และการเกิดของรายได้ทั้งในวัยทำงานและวันพ้นทำงานโดยไม่ต้องออกแรงทำงาน
    .
    เงินออม เป็นฐานสำคัญของการเป็นมิตรของเงิน และเงินออมของบุคคลจะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะมีสิ่งที่เรียกว่า ความมัธยัสถ์ ซึ่งหมายถึง การใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวัง ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่ใช้จ่ายอย่างโง่เขลาเบาปัญญา ในสิ่งที่ไม่ควรจ่าย เช่น เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ ตามแฟชั่น ทั้งๆที่ไม่จำเป็น
    .
    เงินออมของบุคคลใดๆ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรายจ่ายต่ำกว่ารายได้ และรายจ่ายจะต่ำกว่ารายได้ก็ต่อเมื่อมีความมัธยัสถ์เป็นอุปนิสัย การมัธยัสถ์มิใช่การเอาเปรียบหรือเห็นแก่ตัว หากเป็นแบบแผนหนึ่งของการดำรงชีวิตซึ่งใครก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ การที่บางคนชอบใช้เงินสิ้นเปลืองสุรุ่ยสุร่าย ซื้อของต่างๆโดยมิได้คำนึงถึงประโยชน์ของการใช้สอย ก็เป็นแบบแผนหนึ่งของการดำรงชีพ คนมัธยัสถ์ที่ใจกว้างรู้จักการให้อย่างมีความหมาย อาจมีจำนวนมากกว่าคนสุรุ่ยสุร่ายที่ใจแคบและไม่รู้จักการให้ก็เป็นได้
    .
    พฤติกรรมโดยรวมของบุคคลที่จะทำให้เงินเป็นมิตร ก็คือ “กินอยู่ต่ำกว่าฐานะ” หรือดังคำโบราณที่ว่า “จงมีเกินใช้ แต่อย่าใช้เกินมี” กล่าวคือ ไม่ว่าจะสามารถอยู่กินในระดับที่คนมีรายได้ขนาดเดียวกันอยู่กินได้อย่างไร ก็จงอยู่กินต่ำกว่าระดับนั้นเสมอ พฤติกรรมเช่นนี้จะทำให้มีเงินออม และมีโอกาสให้ “เงินทำงานรับใช้”
    .
    สำหรับความเป็นศัตรูของเงินนั้น หมายถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่เจ้าของเงิน อันเนื่องมาจากพฤติกรรมการใช้จ่าย ปรากฏการณ์ดังกล่าวมีข้อสังเกตหลายประการดังต่อไปนี้
    .
    ประการแรก : คือความปรารถนาที่จะบริโภคอย่างทันด่วนของผู้บริโภคโดยทั่วไป เป็นพฤติกรรมที่ทำให้ยินดีกู้ยืมจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูง เพียงเพื่อให้ได้สิ่งของที่ต้องใจ
    ประการที่สอง : การกู้ยืมเกิดขึ้นเพราะ ไม่มีเงินสดเพียงพอที่จะจับจ่าย ณ เวลานั้น จึงต้องกู้ยืม ซึ่งก็คือการนำรายได้ในอนาคตของตนมาใช้โดยต้องจ่ายต้นทุนสูง ต้นเหตุของการกู้ยืมส่วนใหญ่ก็มาจากรายจ่ายสูงกว่ารายได้ และเมือนั้นเงินก็กลายเป็นศัตรูตัวร้าย เพราะดอกเบี้ยจะทำงานตลอดเวลา และคอยทิ่มแทงเจ้าของไม่ว่าในยามหลับหรือตื่น
    .
    ต้นทุนของการกู้ยืมนั้นสูง ตัวอย่างเช่น กู้เงิน 100,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 9 ต่อปี ถ้ากู้เงินโดยไม่ชำระอย่างใดทั้งสิ้น ภายในเวลา 8 ปี ยอดเงินต้นและดอกเบี้ยรวมกัน จะเพิ่มอีกประมาณหนึ่งเท่าตัวเป็น 200,000 บาท และหากยังไม่ชำระอีก ในเวลา 8 ปีต่อมา ยอดเงินนี้ก็จะสูงขึ้นอีกเป็น 400,000 บาท หรือประมาณ 4 เท่าตัว ของเงินต้นในเวลา 16 ปี
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 4 คนบริสุทธิ์ด้วยการงาน . งานไม่เคยทำร้ายหรือฆ่าใคร ยิ่งทำงานหลากหลายลักษณะที่ท้าทายความสามารถ รวมทั้งยิ่งทำงานหนัก ที่ก่อให้เกิดประโยชน์เพียงใด ก็ยิ่งทำให้บุคคลนั้นมีประสบการณ์และมีศักยภาพที่สูงขึ้นเพียงนั้น ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญอย่างหนึ่งนอกเหนือจากการมีความรู้ความสามารถในงานเป็นอย่างดี พร้อมทั้งใส่ใจหาความรู้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็คือ การมีเป้าหมายในชีวิต มีความบากบั่นมานะ พยายามให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ชัดเจนอย่างเด็ดเดี่ยวและมีคุณธรรม ซึ่งการมีวินัยบังคับตนเองเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งในการเดินทางสู่ความสำเร็จ . ชีวิตการทำงานของมนุษย์นั้นไม่ยาวนานนัก สูงสุดไม่เกิน 30ปีเศษ ก็ถึงวัยเกษียณ หากตลอดอายุการทำงานนั้นมิได้มีการวางแผนด้านรายได้และการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และรัดกุมแล้ว เงินทองที่หามาได้ก็จะหมดไปอย่างไม่มีความหมายนัก กล่าวคือ มีความสุขสบายในช่วงวัยทำงาน แต่เมื่อพ้นช่วงเวลานี้ไปแล้ว ก็ขาดรายได้ที่จะทำให้สามารถรักษาระดับความสุขและสะดวกสบายไว้ดังเดิมได้ ลักษณะเช่นนี้เรียกได้ว่า มีความสุขเพียงครึ่งเดียวของช่วงเวลา นั่นคือ สุขในวัยทำงานและทุกข์ในวัยพ้นทำงาน คำถามสำคัญก็คือ ทำอย่างไรบุคคลหนึ่งที่ทำงานมาตลอดชีวิต จะมีความสุขอันเกิดจากความมั่นคงทางการเงินไปตลอด มีมาตราฐานการครองชีพในระดับที่น่าพอใจอย่างคงที่ แม้จะพ้นจากวัยทำงานแล้วก็ตาม . การบรรลุคุณภาพชีวิตที่น่าพึงปรารถนาดังกล่าว เจ้าของรายได้ต้องเป็นผู้รับผิดชอบเองในเบื้องแรก ไม่อาจหวังพึ่งภาครัฐ หรือนายจ้าง เพราะไม่อาจวางใจได้ว่าตนเองจะได้รับความมั่นคงในชีวิตสมดังใจหวังได้ เจ้าของรายได้จะต้องเป็นที่พึ่งของตนเองด้วยการวางแผน การหารายได้ การใช้จ่าย และการออม เพราะการออมจะนำไปสู่การลงทุน และการเกิดของรายได้ทั้งในวัยทำงานและวันพ้นทำงานโดยไม่ต้องออกแรงทำงาน . เงินออม เป็นฐานสำคัญของการเป็นมิตรของเงิน และเงินออมของบุคคลจะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะมีสิ่งที่เรียกว่า ความมัธยัสถ์ ซึ่งหมายถึง การใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวัง ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่ใช้จ่ายอย่างโง่เขลาเบาปัญญา ในสิ่งที่ไม่ควรจ่าย เช่น เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ ตามแฟชั่น ทั้งๆที่ไม่จำเป็น . เงินออมของบุคคลใดๆ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรายจ่ายต่ำกว่ารายได้ และรายจ่ายจะต่ำกว่ารายได้ก็ต่อเมื่อมีความมัธยัสถ์เป็นอุปนิสัย การมัธยัสถ์มิใช่การเอาเปรียบหรือเห็นแก่ตัว หากเป็นแบบแผนหนึ่งของการดำรงชีวิตซึ่งใครก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ การที่บางคนชอบใช้เงินสิ้นเปลืองสุรุ่ยสุร่าย ซื้อของต่างๆโดยมิได้คำนึงถึงประโยชน์ของการใช้สอย ก็เป็นแบบแผนหนึ่งของการดำรงชีพ คนมัธยัสถ์ที่ใจกว้างรู้จักการให้อย่างมีความหมาย อาจมีจำนวนมากกว่าคนสุรุ่ยสุร่ายที่ใจแคบและไม่รู้จักการให้ก็เป็นได้ . พฤติกรรมโดยรวมของบุคคลที่จะทำให้เงินเป็นมิตร ก็คือ “กินอยู่ต่ำกว่าฐานะ” หรือดังคำโบราณที่ว่า “จงมีเกินใช้ แต่อย่าใช้เกินมี” กล่าวคือ ไม่ว่าจะสามารถอยู่กินในระดับที่คนมีรายได้ขนาดเดียวกันอยู่กินได้อย่างไร ก็จงอยู่กินต่ำกว่าระดับนั้นเสมอ พฤติกรรมเช่นนี้จะทำให้มีเงินออม และมีโอกาสให้ “เงินทำงานรับใช้” . สำหรับความเป็นศัตรูของเงินนั้น หมายถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่เจ้าของเงิน อันเนื่องมาจากพฤติกรรมการใช้จ่าย ปรากฏการณ์ดังกล่าวมีข้อสังเกตหลายประการดังต่อไปนี้ . ประการแรก : คือความปรารถนาที่จะบริโภคอย่างทันด่วนของผู้บริโภคโดยทั่วไป เป็นพฤติกรรมที่ทำให้ยินดีกู้ยืมจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูง เพียงเพื่อให้ได้สิ่งของที่ต้องใจ ประการที่สอง : การกู้ยืมเกิดขึ้นเพราะ ไม่มีเงินสดเพียงพอที่จะจับจ่าย ณ เวลานั้น จึงต้องกู้ยืม ซึ่งก็คือการนำรายได้ในอนาคตของตนมาใช้โดยต้องจ่ายต้นทุนสูง ต้นเหตุของการกู้ยืมส่วนใหญ่ก็มาจากรายจ่ายสูงกว่ารายได้ และเมือนั้นเงินก็กลายเป็นศัตรูตัวร้าย เพราะดอกเบี้ยจะทำงานตลอดเวลา และคอยทิ่มแทงเจ้าของไม่ว่าในยามหลับหรือตื่น . ต้นทุนของการกู้ยืมนั้นสูง ตัวอย่างเช่น กู้เงิน 100,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 9 ต่อปี ถ้ากู้เงินโดยไม่ชำระอย่างใดทั้งสิ้น ภายในเวลา 8 ปี ยอดเงินต้นและดอกเบี้ยรวมกัน จะเพิ่มอีกประมาณหนึ่งเท่าตัวเป็น 200,000 บาท และหากยังไม่ชำระอีก ในเวลา 8 ปีต่อมา ยอดเงินนี้ก็จะสูงขึ้นอีกเป็น 400,000 บาท หรือประมาณ 4 เท่าตัว ของเงินต้นในเวลา 16 ปี
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • US Office of the Comptroller of the Currency (OCC) หน่วยงานที่กำกับดูแลธนาคารแห่งชาติในสหรัฐฯ ได้เผชิญการโจมตีไซเบอร์อย่างรุนแรงจนเกิดช่องโหว่ในระบบอีเมลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ทำให้มีการเข้าถึงข้อมูลสำคัญกว่า 150,000 อีเมล เหตุการณ์นี้ถูกจัดว่าเป็นการละเมิดที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อความปลอดภัยไซเบอร์

    ✅ จุดเริ่มต้นการละเมิด:
    - OCC พบ พฤติกรรมผิดปกติ ระหว่างบัญชีผู้ดูแลระบบ (Admin) และ Mailbox ของผู้ใช้งานในระบบ
    - การโจมตีนี้ถูกยืนยันว่าเป็น Unauthorized Activity และส่งผลให้มีการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

    ✅ การตอบสนองของ OCC:
    - หน่วยงานปิดบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกเจาะระบบทันที
    - เรียกทีมภายนอกมาตรวจสอบปัญหา พร้อมรายงานเหตุการณ์ให้กับ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA)
    - มีการแจ้งข้อมูลต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์

    ✅ บทเรียนที่สำคัญ:
    - มีการตั้งคำถามว่าหน่วยงานที่มีความสำคัญระดับนี้ได้รับ ทรัพยากรที่เพียงพอ ในการป้องกันภัยไซเบอร์หรือไม่ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า IT Team ของหน่วยงานอาจขาดแคลนงบประมาณและบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ

    David Shipley นักวิเคราะห์ความปลอดภัยไซเบอร์ชี้ว่า การละเมิดครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนสำคัญ ที่เน้นย้ำว่าความพยายามในการป้องกันภัยไซเบอร์ในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความกดดันมหาศาล ทั้งในด้านการลดทรัพยากรและการจัดการกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    Shipley กล่าวว่า “การโจมตีที่กล้าหาญแบบนี้ แสดงถึงความพยายามของผู้โจมตีที่มีความมั่นใจอย่างสูง รวมถึงความท้าทายที่ระบบป้องกันต้องเผชิญในการยับยั้งพฤติกรรมดังกล่าว”

    https://www.csoonline.com/article/3957698/occ-email-system-breach-described-as-stunning-serious.html
    US Office of the Comptroller of the Currency (OCC) หน่วยงานที่กำกับดูแลธนาคารแห่งชาติในสหรัฐฯ ได้เผชิญการโจมตีไซเบอร์อย่างรุนแรงจนเกิดช่องโหว่ในระบบอีเมลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ทำให้มีการเข้าถึงข้อมูลสำคัญกว่า 150,000 อีเมล เหตุการณ์นี้ถูกจัดว่าเป็นการละเมิดที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อความปลอดภัยไซเบอร์ ✅ จุดเริ่มต้นการละเมิด: - OCC พบ พฤติกรรมผิดปกติ ระหว่างบัญชีผู้ดูแลระบบ (Admin) และ Mailbox ของผู้ใช้งานในระบบ - การโจมตีนี้ถูกยืนยันว่าเป็น Unauthorized Activity และส่งผลให้มีการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ การตอบสนองของ OCC: - หน่วยงานปิดบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกเจาะระบบทันที - เรียกทีมภายนอกมาตรวจสอบปัญหา พร้อมรายงานเหตุการณ์ให้กับ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) - มีการแจ้งข้อมูลต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ✅ บทเรียนที่สำคัญ: - มีการตั้งคำถามว่าหน่วยงานที่มีความสำคัญระดับนี้ได้รับ ทรัพยากรที่เพียงพอ ในการป้องกันภัยไซเบอร์หรือไม่ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า IT Team ของหน่วยงานอาจขาดแคลนงบประมาณและบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ David Shipley นักวิเคราะห์ความปลอดภัยไซเบอร์ชี้ว่า การละเมิดครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนสำคัญ ที่เน้นย้ำว่าความพยายามในการป้องกันภัยไซเบอร์ในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความกดดันมหาศาล ทั้งในด้านการลดทรัพยากรและการจัดการกฎหมายที่เกี่ยวข้อง Shipley กล่าวว่า “การโจมตีที่กล้าหาญแบบนี้ แสดงถึงความพยายามของผู้โจมตีที่มีความมั่นใจอย่างสูง รวมถึงความท้าทายที่ระบบป้องกันต้องเผชิญในการยับยั้งพฤติกรรมดังกล่าว” https://www.csoonline.com/article/3957698/occ-email-system-breach-described-as-stunning-serious.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    OCC email system breach described as ‘stunning, serious’
    Agency that regulates all US national banks alerted Congress Tuesday about ‘unusual interactions’ involving system administrative account.
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
More Results