• งูสวัดมีเรื่อง อันตรายอีกเยอะนอกจากผื่น.

    • ไนตำแหน่งหน้า ศีรษะ คอ บ่าไหล่ ไม่ว่าจะอายุเท่าไร เป็นภูมิคุ้มกันปกติก็ตาม
    เป็นเรื่องต้องให้การรักษาทันที โอกาศไวรัสลามเข้าสมองผ่านทางเส้นเลือดสูงมาก

    ถ้ามาช้า และเริ่มผิดปกติมากกว่านอกจากที่ผิวหนัง มีไข้ ปวดหัว ไม่ต้องรอให้โคม่า หรือตาบอด หรือเส้นเลือดอักเสบตัน ให้เป็น IV acyclovir 10 mg/kg ทุก 8 ชั่วโมงทันที ไป 14 วัน

    ในขณะที่ตำแหน่งอื่นอาจใช้เป็นยากินแทน
    และ acyclovir กิน แม้ว่าต้องกินวันละห้าครั้งทุก 4 ชั่วโมงไปเป็นเวลาอย่างน้อยเจ็ดวันและอาจถึง 14 วัน ประสิทธิภาพดีกว่า ยาที่ทาน วันละสองครั้ง เพราะสามารถควบคุมไม่ให้ไวรัสวิ่งย้อนกลับเข้าไปตามเส้นประสาทเข้าในไขสันหลัง หรือสมอง

    ยกเว้นการมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ต้องเป็นยาฉีดทั้งหมด

    • และงูสวัดไม่ว่าอยู่ตำแหน่งใดของร่างกายมีความเสี่ยงอัมพฤกษ์ เส้นเลือดหัวใจตัน ถึง 6 เดือน จนถึงหลายปี

    ประการสำคัญ การรักษาไม่ใช่พอใจที่ทายาพอกที่ผื่น แม้ว่าทาแล้วหายเร็ว ก็ตาม
    อยู่ที่การป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบที่ปมประสาท และจะเจ็บปวดไปหลายเดือน ปี หรือไม่หาย
    และเพื่อต้องกันไม่ให้ไวรัสย้อนกลับตามเส้นประสาทเข้าไปที่ไขสันหลัง เกิตขาอัมพาต เข้าสมอง ติดเกิดเส้นเลือดอักเสบ และไวรัสทะลักเข้าไปติดเชื้อในสมอง

    • ย้ำๆๆๆ ไม่ว่างูสวัดขึ้นที่ใดต้องรักษาทั้งสิ้น ไม่ใช่เพื่อผื่นหายอย่างเดียวเท่านั้นเช่นจาก ยาทา พอก หรือกินยาสมุนไพร ต้องกันที่ร้ายแรงกว่านั้นอีกเยอะ

    • ในปัจจุบันมีวัคซีนงูสวัดที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงที่เป็นโปรตีนสับยูนิต และสามารถใช้ได้กับคนที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ต่างจากวัคซีนยุคแรกที่เป็นเชื้ออ่อนกำลัง แต่อย่างไรก็ตามสารที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันดีมาก จนอาจทำให้มีปฏิกิริยาข้างเคียง ระดับน้อยจนรุนแรงแต่ไม่ได้เกิดทุกคน และในบางกรณีเกิดการกระตุ้นทำให้เกิดเส้นประสาทอักเสบได้
    • ดังนั้นการได้วัคซีน ควรต้องให้แพทย์ ให้คำแนะนำ และถ้าเกิดมีปฏิกิริยาข้างเคียงจะได้รีบรักษาได้ทัน

    ลักษณะอาการของงูสวัดและผลแทรกซ้อนไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในระยะนั้นอย่างเดียว จะเกิดขึ้นตามหลังได้อย่างน้อยหกเดือนและอาจเป็นปีโดยเฉพาะออกอาการเป็นเส้นเลือดในสมองและเส้นเลือดในหัวใจตัน

    เพราะฉะนั้นถ้าเกิดมีอาการของเส้นเลือดหัวใจเจ็บหน้าอก หรือเส้นเลือดสมองอัมพฤกษ์ ต้องบอกคุณหมอว่าเคยเป็นงูสวัดในช่วงก่อนหน้า ซึ่งต้องพิจารณาว่าควรต้องรักษางูสวัดควบคู่กันไปด้วย ให้ทางเส้นเลือด ร่วมกับการรักษาสมองหรือหัวใจที่ผิดปกติ
    ทั้งนี้เนื่องจากยังมีความเป็นไปได้ว่าไวรัสยังไม่ได้สงบเสงี่ยมนิ่งอยู่กับที่ แต่ ยังมีการกระตุ้นการอักเสบอยู่เรื่อยๆ จนเกิดเส้นเลือดหัวใจหรือสมองตัน

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    และ
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    งูสวัดมีเรื่อง อันตรายอีกเยอะนอกจากผื่น. • ไนตำแหน่งหน้า ศีรษะ คอ บ่าไหล่ ไม่ว่าจะอายุเท่าไร เป็นภูมิคุ้มกันปกติก็ตาม เป็นเรื่องต้องให้การรักษาทันที โอกาศไวรัสลามเข้าสมองผ่านทางเส้นเลือดสูงมาก ถ้ามาช้า และเริ่มผิดปกติมากกว่านอกจากที่ผิวหนัง มีไข้ ปวดหัว ไม่ต้องรอให้โคม่า หรือตาบอด หรือเส้นเลือดอักเสบตัน ให้เป็น IV acyclovir 10 mg/kg ทุก 8 ชั่วโมงทันที ไป 14 วัน ในขณะที่ตำแหน่งอื่นอาจใช้เป็นยากินแทน และ acyclovir กิน แม้ว่าต้องกินวันละห้าครั้งทุก 4 ชั่วโมงไปเป็นเวลาอย่างน้อยเจ็ดวันและอาจถึง 14 วัน ประสิทธิภาพดีกว่า ยาที่ทาน วันละสองครั้ง เพราะสามารถควบคุมไม่ให้ไวรัสวิ่งย้อนกลับเข้าไปตามเส้นประสาทเข้าในไขสันหลัง หรือสมอง ยกเว้นการมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ต้องเป็นยาฉีดทั้งหมด • และงูสวัดไม่ว่าอยู่ตำแหน่งใดของร่างกายมีความเสี่ยงอัมพฤกษ์ เส้นเลือดหัวใจตัน ถึง 6 เดือน จนถึงหลายปี ประการสำคัญ การรักษาไม่ใช่พอใจที่ทายาพอกที่ผื่น แม้ว่าทาแล้วหายเร็ว ก็ตาม อยู่ที่การป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบที่ปมประสาท และจะเจ็บปวดไปหลายเดือน ปี หรือไม่หาย และเพื่อต้องกันไม่ให้ไวรัสย้อนกลับตามเส้นประสาทเข้าไปที่ไขสันหลัง เกิตขาอัมพาต เข้าสมอง ติดเกิดเส้นเลือดอักเสบ และไวรัสทะลักเข้าไปติดเชื้อในสมอง • ย้ำๆๆๆ ไม่ว่างูสวัดขึ้นที่ใดต้องรักษาทั้งสิ้น ไม่ใช่เพื่อผื่นหายอย่างเดียวเท่านั้นเช่นจาก ยาทา พอก หรือกินยาสมุนไพร ต้องกันที่ร้ายแรงกว่านั้นอีกเยอะ • ในปัจจุบันมีวัคซีนงูสวัดที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงที่เป็นโปรตีนสับยูนิต และสามารถใช้ได้กับคนที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ต่างจากวัคซีนยุคแรกที่เป็นเชื้ออ่อนกำลัง แต่อย่างไรก็ตามสารที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันดีมาก จนอาจทำให้มีปฏิกิริยาข้างเคียง ระดับน้อยจนรุนแรงแต่ไม่ได้เกิดทุกคน และในบางกรณีเกิดการกระตุ้นทำให้เกิดเส้นประสาทอักเสบได้ • ดังนั้นการได้วัคซีน ควรต้องให้แพทย์ ให้คำแนะนำ และถ้าเกิดมีปฏิกิริยาข้างเคียงจะได้รีบรักษาได้ทัน ลักษณะอาการของงูสวัดและผลแทรกซ้อนไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในระยะนั้นอย่างเดียว จะเกิดขึ้นตามหลังได้อย่างน้อยหกเดือนและอาจเป็นปีโดยเฉพาะออกอาการเป็นเส้นเลือดในสมองและเส้นเลือดในหัวใจตัน เพราะฉะนั้นถ้าเกิดมีอาการของเส้นเลือดหัวใจเจ็บหน้าอก หรือเส้นเลือดสมองอัมพฤกษ์ ต้องบอกคุณหมอว่าเคยเป็นงูสวัดในช่วงก่อนหน้า ซึ่งต้องพิจารณาว่าควรต้องรักษางูสวัดควบคู่กันไปด้วย ให้ทางเส้นเลือด ร่วมกับการรักษาสมองหรือหัวใจที่ผิดปกติ ทั้งนี้เนื่องจากยังมีความเป็นไปได้ว่าไวรัสยังไม่ได้สงบเสงี่ยมนิ่งอยู่กับที่ แต่ ยังมีการกระตุ้นการอักเสบอยู่เรื่อยๆ จนเกิดเส้นเลือดหัวใจหรือสมองตัน ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    0 Comments 1 Shares 60 Views 0 Reviews
  • 258 ปี สิ้น “ขุนหลวงขี้เรื้อน” จุดจบราชวงศ์บ้านพลูหลวง 👑 ราชบัลลังก์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา และชะตากรรมที่โลกไม่ลืม

    เส้นทางชีวิตของพระเจ้าเอกทัศ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กับบทสรุปแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผู้ที่ถูกเรียกขานว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” 📜

    ประวัติศาสตร์ไทยต้องจารึก การสิ้นสุดของราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผ่านพระเจ้าเอกทัศ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม “ขุนหลวงขี้เรื้อน” กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กับเรื่องราวชีวิตที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง โรคร้าย และโศกนาฏกรรมแห่งชาติ 🇹🇭📖

    🕰️ ประวัติศาสตร์ไม่เคยหลับใหล 🕰️ 258 ปี ผ่านไป นับแต่วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2310 เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก ครั้งที่สอง ชาติไทยได้สูญเสียสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ นั่นคือเอกราชแห่งแผ่นดิน และราชวงศ์ที่ปกครองสืบเนื่อง มายาวนานกว่า 400 ปี

    หนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญในห้วงเวลานี้คือ “พระเจ้าเอกทัศ” หรือที่ราษฎรทั่วไปเรียกว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” ชื่อที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด เย้ยหยัน และประวัติศาสตร์ที่แสนซับซ้อน ของกษัตริย์องค์สุดท้าย แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผู้สิ้นราชย์ ในห้วงยามแห่งความล่มสลายของชาติ 💔

    👑กษัตริย์ที่ราชบัลลังก์ไม่เคยพร้อมให้ครอง "พระเจ้าเอกทัศ" หรือสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 ทรงมีพระนามหลากหลาย ทั้ง "พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์" และ "ขุนหลวงขี้เรื้อน" ซึ่งเป็นคำเรียกขานโดยราษฎร เนื่องจากพระองค์มีอาการประชวร ด้วยโรคผิวหนัง ที่สันนิษฐานว่าอาจเป็นโรคเรื้อน หรือกลากเกลื้อนเรื้อรัง 🩺

    จุดเริ่มต้นของการขึ้นครองราชย์ หลังการสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ รัชทายาทที่เหมาะสมตามสายพระโลหิตคือ “เจ้าฟ้าอุทุมพร” แต่ด้วยแรงปรารถนาจะขึ้นครองราชย์อย่างแรงกล้า เจ้าฟ้าเอกทัศซึ่งเป็นเชษฐา ได้เสด็จกลับจากการผนวช และปรี่ขึ้นประทับบนพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ ดั่งการตีตราจองราชบัลลังก์ ไว้ด้วยพระองค์เอง 🤴

    เจ้าฟ้าอุทุมพรจึงสละราชสมบัติให้ หลังครองราชย์เพียง 10 วัน แล้วเสด็จออกผนวชเป็น “ขุนหลวงหาวัด” หวังหลีกเร้นจากวังวนอำนาจ 👣

    สาเหตุการสิ้นพระชนม์ของขุนหลวงขี้เรื้อน ☠️

    หลักฐานไทย บันทึกของฝ่ายไทยกล่าวว่า พระองค์หนีภัยสงครามไปหลบซ่อนที่บ้านจิก ใกล้วัดสังฆาวาส และสิ้นพระชนม์เพราะอดพระกระยาหารนานเกิน 10 วัน

    พงศาวดารพม่า 🐘 กล่าวว่าพระองค์ถูกยิงเสียชีวิต ขณะหลบหนีระหว่างกรุงแตก บริเวณประตูท้ายวัง

    คำให้การของฝรั่ง "แอนโทนี โกยาตัน" บันทึกว่า พระเจ้าเอกทัศถูกปลงพระชนม์โดยชาวสยาม หรืออาจทรงวางยาพิษพระองค์เอง 🧪

    พระศพและพิธีพระเพลิง นายทองสุกนำพระบรมศพ ไปฝังที่โคกพระเมรุ หน้าพระวิหารพระมงคลบพิตร ก่อนจะถูกอัญเชิญถวายพระเพลิง ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

    😇 ขุนหลวงหาวัด กับขุนหลวงขี้เรื้อน 😈

    "พระเจ้าอุทุมพร" กษัตริย์ผู้สละบัลลังก์เพื่อความสงบ พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท แต่เลือกสละราชสมบัติ เพื่อความสงบภายใน พระองค์จึงกลายเป็น "ขุนหลวงหาวัด" ผู้ปลีกวิเวกที่พระตำหนักคำหยาด จังหวัดอ่างทอง 🏯

    "พระเจ้าเอกทัศ" กษัตริย์ผู้ไม่ยอมเสียราชบัลลังก์ ตรงกันข้าม พระเจ้าเอกทัศมีความกระหายอำนาจ แม้จะมีข้อจำกัดจากพระวรกาย ทรงใช้บัลลังก์เป็นตราจองอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อบ้านเมือง

    "ขุนหลวงขี้เรื้อน" เป็นโรคเรื้อนจริงหรือแค่คำเล่าลือ? 🧬

    หลักฐานจากตะวันตก ฝรั่งเศส "สังฆราชปีแยร์ บรีโกต์" ระบุว่า พระองค์มีอาการของโรคเรื้อน และไม่ทรงปรากฏพระวรกายต่อผู้ใด ส่วนดัตช์รายงานของ "นิโกลาส บัง" ใช้คำว่า "ลาซารัส" อันเป็นคำเปรียบเทียบถึงโรคเรื้อน

    แต่...โรคเรื้อนห้ามบวช! พระวินัยระบุว่า ผู้ที่เป็นโรคเรื้อนห้ามบวช ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลที่ว่า พระเจ้าเอกทัศเคยออกผนวช จึงอาจหมายถึงโรคผิวหนังอื่น ที่คล้ายคลึงกัน เช่น กลากเกลื้อน หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง 😕

    ความขัดแย้งในแผ่นดิน การแตกความสามัคคีในยุคปลายอยุธยา ⚔️ ขุนนางฉ้อฉล ข่มเหงประชาชน พระเจ้าเอกทัศไม่แสดงพระองค์แก่ประชาชน ฝ่ายในมีอำนาจครอบงำการเมือง ราษฎรถูกรีดไถ จนหมดศรัทธา

    ถึงแม้จะมีหลักฐาน ที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระองค์ ในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม แต่ภาพรวมกลับเป็นลบ ต่อสายตาประวัติศาสตร์

    📖 คำให้การจากผู้ถูกกวาดต้อน มุมมองที่แตกต่าง ใน "คำให้การของชาวกรุงเก่า" พระเจ้าเอกทัศกลับถูกยกย่องว่า

    “...ทรงพระกรุณากับอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง แผ่เมตตาไปทั่วสารพัดสัตว์ทั้งปวง”

    คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ยังเสริมว่า พระองค์มีศีลธรรม ทศพิธราชธรรม และทำนุบำรุงบ้านเมือง พัฒนามาตราฐานตวงวัด และยกเลิกภาษี 3 ปี 🎯

    🏚️ จุดจบราชวงศ์บ้านพลูหลวง และบทเรียนจากความล่มสลาย พระเจ้าเอกทัศถูกมองว่า เป็นต้นเหตุการเสียกรุง ทั้งจากราษฎรไทยในสมัยธนบุรี ไปจนถึงกษัตริย์ยุคต่อมา เช่น รัชกาลที่ 5 ที่ทรงกลัวจะถูกกล่าวขานในแบบเดียวกัน

    ประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่แค่การจดจำบุคคล แต่เป็นกระจกสะท้อนสังคม วัฒนธรรม และการเมืองในยุคที่ความมั่นคง พังทลายด้วยความทะยานอยากของอำนาจ ⚖️

    🕯️ กษัตริย์ผู้ถูกลืม หรือถูกจำในมุมผิด? “ขุนหลวงขี้เรื้อน” อาจเป็นเพียงนามที่ประชาชนผู้สิ้นศรัทธา ใช้เรียกผู้มีอำนาจที่ไร้ความสามารถ แต่ในอีกแง่หนึ่ง พระเจ้าเอกทัศอาจเป็นเพียงเหยื่อของช่วงเวลา แรงกดดัน และความไม่พร้อมของแผ่นดิน

    เรื่องราวของพระองค์ จึงไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของความพ่ายแพ้ แต่คือบทเรียนของการเมืองไทย ที่วนเวียนไม่รู้จบ 🌪️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171927 เม.ย. 2568

    📢 #ขุนหลวงขี้เรื้อน #กรุงศรีอยุธยา #ประวัติศาสตร์ไทย #พระเจ้าเอกทัศ #ราชวงศ์บ้านพลูหลวง #ขุนหลวงหาวัด #คำให้การชาวกรุงเก่า #กษัตริย์ไทย #โบราณสถาน #พระตำหนักคำหยาด
    258 ปี สิ้น “ขุนหลวงขี้เรื้อน” จุดจบราชวงศ์บ้านพลูหลวง 👑 ราชบัลลังก์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา และชะตากรรมที่โลกไม่ลืม เส้นทางชีวิตของพระเจ้าเอกทัศ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กับบทสรุปแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผู้ที่ถูกเรียกขานว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” 📜 ประวัติศาสตร์ไทยต้องจารึก การสิ้นสุดของราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผ่านพระเจ้าเอกทัศ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม “ขุนหลวงขี้เรื้อน” กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กับเรื่องราวชีวิตที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง โรคร้าย และโศกนาฏกรรมแห่งชาติ 🇹🇭📖 🕰️ ประวัติศาสตร์ไม่เคยหลับใหล 🕰️ 258 ปี ผ่านไป นับแต่วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2310 เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก ครั้งที่สอง ชาติไทยได้สูญเสียสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ นั่นคือเอกราชแห่งแผ่นดิน และราชวงศ์ที่ปกครองสืบเนื่อง มายาวนานกว่า 400 ปี หนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญในห้วงเวลานี้คือ “พระเจ้าเอกทัศ” หรือที่ราษฎรทั่วไปเรียกว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” ชื่อที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด เย้ยหยัน และประวัติศาสตร์ที่แสนซับซ้อน ของกษัตริย์องค์สุดท้าย แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผู้สิ้นราชย์ ในห้วงยามแห่งความล่มสลายของชาติ 💔 👑กษัตริย์ที่ราชบัลลังก์ไม่เคยพร้อมให้ครอง "พระเจ้าเอกทัศ" หรือสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 ทรงมีพระนามหลากหลาย ทั้ง "พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์" และ "ขุนหลวงขี้เรื้อน" ซึ่งเป็นคำเรียกขานโดยราษฎร เนื่องจากพระองค์มีอาการประชวร ด้วยโรคผิวหนัง ที่สันนิษฐานว่าอาจเป็นโรคเรื้อน หรือกลากเกลื้อนเรื้อรัง 🩺 จุดเริ่มต้นของการขึ้นครองราชย์ หลังการสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ รัชทายาทที่เหมาะสมตามสายพระโลหิตคือ “เจ้าฟ้าอุทุมพร” แต่ด้วยแรงปรารถนาจะขึ้นครองราชย์อย่างแรงกล้า เจ้าฟ้าเอกทัศซึ่งเป็นเชษฐา ได้เสด็จกลับจากการผนวช และปรี่ขึ้นประทับบนพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ ดั่งการตีตราจองราชบัลลังก์ ไว้ด้วยพระองค์เอง 🤴 เจ้าฟ้าอุทุมพรจึงสละราชสมบัติให้ หลังครองราชย์เพียง 10 วัน แล้วเสด็จออกผนวชเป็น “ขุนหลวงหาวัด” หวังหลีกเร้นจากวังวนอำนาจ 👣 สาเหตุการสิ้นพระชนม์ของขุนหลวงขี้เรื้อน ☠️ หลักฐานไทย บันทึกของฝ่ายไทยกล่าวว่า พระองค์หนีภัยสงครามไปหลบซ่อนที่บ้านจิก ใกล้วัดสังฆาวาส และสิ้นพระชนม์เพราะอดพระกระยาหารนานเกิน 10 วัน พงศาวดารพม่า 🐘 กล่าวว่าพระองค์ถูกยิงเสียชีวิต ขณะหลบหนีระหว่างกรุงแตก บริเวณประตูท้ายวัง คำให้การของฝรั่ง "แอนโทนี โกยาตัน" บันทึกว่า พระเจ้าเอกทัศถูกปลงพระชนม์โดยชาวสยาม หรืออาจทรงวางยาพิษพระองค์เอง 🧪 พระศพและพิธีพระเพลิง นายทองสุกนำพระบรมศพ ไปฝังที่โคกพระเมรุ หน้าพระวิหารพระมงคลบพิตร ก่อนจะถูกอัญเชิญถวายพระเพลิง ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี 😇 ขุนหลวงหาวัด กับขุนหลวงขี้เรื้อน 😈 "พระเจ้าอุทุมพร" กษัตริย์ผู้สละบัลลังก์เพื่อความสงบ พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท แต่เลือกสละราชสมบัติ เพื่อความสงบภายใน พระองค์จึงกลายเป็น "ขุนหลวงหาวัด" ผู้ปลีกวิเวกที่พระตำหนักคำหยาด จังหวัดอ่างทอง 🏯 "พระเจ้าเอกทัศ" กษัตริย์ผู้ไม่ยอมเสียราชบัลลังก์ ตรงกันข้าม พระเจ้าเอกทัศมีความกระหายอำนาจ แม้จะมีข้อจำกัดจากพระวรกาย ทรงใช้บัลลังก์เป็นตราจองอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อบ้านเมือง "ขุนหลวงขี้เรื้อน" เป็นโรคเรื้อนจริงหรือแค่คำเล่าลือ? 🧬 หลักฐานจากตะวันตก ฝรั่งเศส "สังฆราชปีแยร์ บรีโกต์" ระบุว่า พระองค์มีอาการของโรคเรื้อน และไม่ทรงปรากฏพระวรกายต่อผู้ใด ส่วนดัตช์รายงานของ "นิโกลาส บัง" ใช้คำว่า "ลาซารัส" อันเป็นคำเปรียบเทียบถึงโรคเรื้อน แต่...โรคเรื้อนห้ามบวช! พระวินัยระบุว่า ผู้ที่เป็นโรคเรื้อนห้ามบวช ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลที่ว่า พระเจ้าเอกทัศเคยออกผนวช จึงอาจหมายถึงโรคผิวหนังอื่น ที่คล้ายคลึงกัน เช่น กลากเกลื้อน หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง 😕 ความขัดแย้งในแผ่นดิน การแตกความสามัคคีในยุคปลายอยุธยา ⚔️ ขุนนางฉ้อฉล ข่มเหงประชาชน พระเจ้าเอกทัศไม่แสดงพระองค์แก่ประชาชน ฝ่ายในมีอำนาจครอบงำการเมือง ราษฎรถูกรีดไถ จนหมดศรัทธา ถึงแม้จะมีหลักฐาน ที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระองค์ ในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม แต่ภาพรวมกลับเป็นลบ ต่อสายตาประวัติศาสตร์ 📖 คำให้การจากผู้ถูกกวาดต้อน มุมมองที่แตกต่าง ใน "คำให้การของชาวกรุงเก่า" พระเจ้าเอกทัศกลับถูกยกย่องว่า “...ทรงพระกรุณากับอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง แผ่เมตตาไปทั่วสารพัดสัตว์ทั้งปวง” คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ยังเสริมว่า พระองค์มีศีลธรรม ทศพิธราชธรรม และทำนุบำรุงบ้านเมือง พัฒนามาตราฐานตวงวัด และยกเลิกภาษี 3 ปี 🎯 🏚️ จุดจบราชวงศ์บ้านพลูหลวง และบทเรียนจากความล่มสลาย พระเจ้าเอกทัศถูกมองว่า เป็นต้นเหตุการเสียกรุง ทั้งจากราษฎรไทยในสมัยธนบุรี ไปจนถึงกษัตริย์ยุคต่อมา เช่น รัชกาลที่ 5 ที่ทรงกลัวจะถูกกล่าวขานในแบบเดียวกัน ประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่แค่การจดจำบุคคล แต่เป็นกระจกสะท้อนสังคม วัฒนธรรม และการเมืองในยุคที่ความมั่นคง พังทลายด้วยความทะยานอยากของอำนาจ ⚖️ 🕯️ กษัตริย์ผู้ถูกลืม หรือถูกจำในมุมผิด? “ขุนหลวงขี้เรื้อน” อาจเป็นเพียงนามที่ประชาชนผู้สิ้นศรัทธา ใช้เรียกผู้มีอำนาจที่ไร้ความสามารถ แต่ในอีกแง่หนึ่ง พระเจ้าเอกทัศอาจเป็นเพียงเหยื่อของช่วงเวลา แรงกดดัน และความไม่พร้อมของแผ่นดิน เรื่องราวของพระองค์ จึงไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของความพ่ายแพ้ แต่คือบทเรียนของการเมืองไทย ที่วนเวียนไม่รู้จบ 🌪️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171927 เม.ย. 2568 📢 #ขุนหลวงขี้เรื้อน #กรุงศรีอยุธยา #ประวัติศาสตร์ไทย #พระเจ้าเอกทัศ #ราชวงศ์บ้านพลูหลวง #ขุนหลวงหาวัด #คำให้การชาวกรุงเก่า #กษัตริย์ไทย #โบราณสถาน #พระตำหนักคำหยาด
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • โอกาสมาแล้ว! กทม.ชวนส่งเสียงบ่น ‘แก้ พ.ร.บ.กรุงเทพฯ’ ล้าหลัง40ปี หวังจบปัญหาปวดเฮด
    https://www.thai-tai.tv/news/18195/
    โอกาสมาแล้ว! กทม.ชวนส่งเสียงบ่น ‘แก้ พ.ร.บ.กรุงเทพฯ’ ล้าหลัง40ปี หวังจบปัญหาปวดเฮด https://www.thai-tai.tv/news/18195/
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • อ่านข่าวนี้ลุงนี่ใจหาย กลัวขึ้นมาเลย

    การศึกษาใหม่จาก UC San Francisco พบว่า การใช้ CT scan อาจเป็นสาเหตุของมะเร็งใหม่ถึง 103,000 รายในสหรัฐฯ ต่อปี โดยนักวิจัยเตือนว่าความเสี่ยงจากรังสีไอออไนซ์ของ CT scan อาจสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้

    ✅ CT scan อาจเป็นสาเหตุของมะเร็งถึง 5% ของผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละปี
    - การศึกษานี้ตีพิมพ์ใน JAMA Internal Medicine และได้รับทุนสนับสนุนจาก National Institutes of Health
    - นักวิจัยพบว่า CT scan มีความเสี่ยงต่อสุขภาพเทียบเท่ากับการบริโภคแอลกอฮอล์และน้ำหนักเกิน

    ✅ จำนวนการใช้ CT scan ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมาก
    - ตั้งแต่ปี 2007 จำนวนการตรวจ CT scan เพิ่มขึ้น 30%
    - ในปี 2023 มีการตรวจ CT scan 93 ล้านครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่ 103,000 รายของมะเร็งใหม่

    ✅ ผลกระทบต่อกลุ่มอายุที่แตกต่างกัน
    - ผู้ใหญ่ช่วงอายุ 50-59 ปี มีอัตราการเกิดมะเร็งจาก CT scan สูงสุด
    - เด็กที่ได้รับ CT scan มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะ ทารกที่มีโอกาสเกิดมะเร็งสูงกว่ากลุ่มอื่นถึง 10 เท่า

    ✅ ประเภทของมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับ CT scan
    - ผู้ใหญ่: มะเร็งปอด, ลำไส้ใหญ่, มะเร็งเม็ดเลือดขาว, กระเพาะปัสสาวะ และเต้านม
    - เด็ก: มะเร็งไทรอยด์, ปอด และเต้านม

    ✅ นักวิจัยแนะนำให้ลดจำนวนการใช้ CT scan ที่ไม่จำเป็น
    - CT scan ที่ใช้ตรวจ การติดเชื้อทางเดินหายใจหรืออาการปวดศีรษะโดยไม่มีอาการรุนแรง อาจไม่จำเป็น
    - ควรพิจารณาทางเลือกอื่นหรือใช้ CT scan ที่มีปริมาณรังสีต่ำกว่า

    https://www.techspot.com/news/107564-study-finds-ct-scans-could-responsible-103000-new.html
    อ่านข่าวนี้ลุงนี่ใจหาย กลัวขึ้นมาเลย การศึกษาใหม่จาก UC San Francisco พบว่า การใช้ CT scan อาจเป็นสาเหตุของมะเร็งใหม่ถึง 103,000 รายในสหรัฐฯ ต่อปี โดยนักวิจัยเตือนว่าความเสี่ยงจากรังสีไอออไนซ์ของ CT scan อาจสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ✅ CT scan อาจเป็นสาเหตุของมะเร็งถึง 5% ของผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละปี - การศึกษานี้ตีพิมพ์ใน JAMA Internal Medicine และได้รับทุนสนับสนุนจาก National Institutes of Health - นักวิจัยพบว่า CT scan มีความเสี่ยงต่อสุขภาพเทียบเท่ากับการบริโภคแอลกอฮอล์และน้ำหนักเกิน ✅ จำนวนการใช้ CT scan ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมาก - ตั้งแต่ปี 2007 จำนวนการตรวจ CT scan เพิ่มขึ้น 30% - ในปี 2023 มีการตรวจ CT scan 93 ล้านครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่ 103,000 รายของมะเร็งใหม่ ✅ ผลกระทบต่อกลุ่มอายุที่แตกต่างกัน - ผู้ใหญ่ช่วงอายุ 50-59 ปี มีอัตราการเกิดมะเร็งจาก CT scan สูงสุด - เด็กที่ได้รับ CT scan มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะ ทารกที่มีโอกาสเกิดมะเร็งสูงกว่ากลุ่มอื่นถึง 10 เท่า ✅ ประเภทของมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับ CT scan - ผู้ใหญ่: มะเร็งปอด, ลำไส้ใหญ่, มะเร็งเม็ดเลือดขาว, กระเพาะปัสสาวะ และเต้านม - เด็ก: มะเร็งไทรอยด์, ปอด และเต้านม ✅ นักวิจัยแนะนำให้ลดจำนวนการใช้ CT scan ที่ไม่จำเป็น - CT scan ที่ใช้ตรวจ การติดเชื้อทางเดินหายใจหรืออาการปวดศีรษะโดยไม่มีอาการรุนแรง อาจไม่จำเป็น - ควรพิจารณาทางเลือกอื่นหรือใช้ CT scan ที่มีปริมาณรังสีต่ำกว่า https://www.techspot.com/news/107564-study-finds-ct-scans-could-responsible-103000-new.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Study finds CT scans could be responsible for 103,000 new cancer cases in the US each year
    "CT can save lives, but its potential harms are often overlooked," said Dr. Rebecca Smith-Bindman, the study's lead author and a UCSF radiologist. Smith-Bindman, who also serves...
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ Syntis Bio ได้พัฒนาเม็ดยาลดน้ำหนักที่สามารถเลียนแบบผลของการผ่าตัดลดกระเพาะอาหาร (gastric bypass) โดยไม่ต้องพึ่งพาการผ่าตัดจริง ยานี้มีศักยภาพในการช่วยลดความหิว คงมวลกล้ามเนื้อ และส่งเสริมการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน

    ✅ SYNT-101: เม็ดยาที่เลียนแบบผลของการผ่าตัดลดกระเพาะอาหาร
    - ยาทำงานโดยเคลือบลำไส้เล็กชั่วคราว ช่วยเปลี่ยนเส้นทางดูดซึมสารอาหาร
    - เคลือบนี้ช่วยกระตุ้นฮอร์โมนความอิ่ม (GLP-1) ตามธรรมชาติของร่างกาย
    - ยานี้ต่างจากยา GLP-1 แบบฉีด เช่น Ozempic และ Wegovy ที่อาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน

    ✅ ผลการทดลองเบื้องต้น
    - การทดลองในสัตว์แสดงให้เห็นว่า สามารถลดน้ำหนัก 1% ต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 6 สัปดาห์
    - การทดลองในมนุษย์ระยะเริ่มต้น ผู้เข้าร่วม 9 คน ไม่พบผลข้างเคียงร้ายแรง
    - ตรวจเลือดพบการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่สนับสนุนการลดน้ำหนัก

    ✅ เทคโนโลยีเบื้องหลัง
    - พัฒนาโดยนักวิจัยจาก MIT ซึ่งร่วมก่อตั้ง Syntis Bio
    - ใช้สารเคมีที่มีปฏิสัมพันธ์กับเอนไซม์ในลำไส้เล็กเพื่อสร้างสารเคลือบที่ปลอดภัย

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ข้อกังวลเรื่องผลข้างเคียง
    - แม้ทดลองแรกจะไม่พบผลข้างเคียง แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าอาจมีอาการท้องอืดหรือปวดท้อง
    - ต้องมีการทดลองทางคลินิกขนาดใหญ่เพิ่มเติม

    ℹ️ เปรียบเทียบกับยา GLP-1 ในตลาดปัจจุบัน
    - ยา GLP-1 มีข้อดีในประสิทธิภาพ แต่มีราคาสูง และอาจทำให้สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
    - SYNT-101 อาจเป็นตัวเลือกใหม่ที่ปลอดภัยขึ้น แต่ต้องรอผลการทดลองระยะยาว

    ℹ️ แนวโน้มการนำไปใช้จริง
    - Syntis Bio เตรียมยื่นขออนุญาตทดลองทางคลินิกจาก FDA
    - หากผ่านการรับรอง อาจเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการรักษาโรคอ้วน

    https://www.techspot.com/news/107527-biotech-firm-creates-weight-loss-pill-mimics-effects.html
    บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ Syntis Bio ได้พัฒนาเม็ดยาลดน้ำหนักที่สามารถเลียนแบบผลของการผ่าตัดลดกระเพาะอาหาร (gastric bypass) โดยไม่ต้องพึ่งพาการผ่าตัดจริง ยานี้มีศักยภาพในการช่วยลดความหิว คงมวลกล้ามเนื้อ และส่งเสริมการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน ✅ SYNT-101: เม็ดยาที่เลียนแบบผลของการผ่าตัดลดกระเพาะอาหาร - ยาทำงานโดยเคลือบลำไส้เล็กชั่วคราว ช่วยเปลี่ยนเส้นทางดูดซึมสารอาหาร - เคลือบนี้ช่วยกระตุ้นฮอร์โมนความอิ่ม (GLP-1) ตามธรรมชาติของร่างกาย - ยานี้ต่างจากยา GLP-1 แบบฉีด เช่น Ozempic และ Wegovy ที่อาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ✅ ผลการทดลองเบื้องต้น - การทดลองในสัตว์แสดงให้เห็นว่า สามารถลดน้ำหนัก 1% ต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 6 สัปดาห์ - การทดลองในมนุษย์ระยะเริ่มต้น ผู้เข้าร่วม 9 คน ไม่พบผลข้างเคียงร้ายแรง - ตรวจเลือดพบการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่สนับสนุนการลดน้ำหนัก ✅ เทคโนโลยีเบื้องหลัง - พัฒนาโดยนักวิจัยจาก MIT ซึ่งร่วมก่อตั้ง Syntis Bio - ใช้สารเคมีที่มีปฏิสัมพันธ์กับเอนไซม์ในลำไส้เล็กเพื่อสร้างสารเคลือบที่ปลอดภัย ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ข้อกังวลเรื่องผลข้างเคียง - แม้ทดลองแรกจะไม่พบผลข้างเคียง แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าอาจมีอาการท้องอืดหรือปวดท้อง - ต้องมีการทดลองทางคลินิกขนาดใหญ่เพิ่มเติม ℹ️ เปรียบเทียบกับยา GLP-1 ในตลาดปัจจุบัน - ยา GLP-1 มีข้อดีในประสิทธิภาพ แต่มีราคาสูง และอาจทำให้สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ - SYNT-101 อาจเป็นตัวเลือกใหม่ที่ปลอดภัยขึ้น แต่ต้องรอผลการทดลองระยะยาว ℹ️ แนวโน้มการนำไปใช้จริง - Syntis Bio เตรียมยื่นขออนุญาตทดลองทางคลินิกจาก FDA - หากผ่านการรับรอง อาจเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการรักษาโรคอ้วน https://www.techspot.com/news/107527-biotech-firm-creates-weight-loss-pill-mimics-effects.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Biotech firm creates weight loss pill that mimics the effects of gastric bypass surgery
    SYNT-101 offers a novel approach to weight loss by temporarily altering nutrient absorption in the small intestine. Unlike GLP-1 drugs, which are administered via injection and often...
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • ไม่ได้ขึ้นกระบะบรรทุกถังสาดหลังกระบะไปมามาหลายปีแล้ว เพราะผมมีอะไรที่ต้องลงมือทำและฝึกฝนอีกเยอะแยะ แต่ถ้าจะให้ Work-learn-life-study-relax balance ยังไงก็ต้องทำให้ได้ แม้จะขัดใจคนที่คาดหวังกับผมมากเกินไปก็เหอะ แต่อย่าไปสนใจมัน กลับบ้านชุมพรแม่ก็เหมือนจะไล่ แต่ผมขอไปเรื่มต้นชีวิตใหม่ที่บางแสนหรือพัทยา ดีกว่าไปใช้ชีวิตเยี่ยงทาสในบ่อน คิดแล้วโคตรเจ็บปวด
    ไม่ได้ขึ้นกระบะบรรทุกถังสาดหลังกระบะไปมามาหลายปีแล้ว เพราะผมมีอะไรที่ต้องลงมือทำและฝึกฝนอีกเยอะแยะ แต่ถ้าจะให้ Work-learn-life-study-relax balance ยังไงก็ต้องทำให้ได้ แม้จะขัดใจคนที่คาดหวังกับผมมากเกินไปก็เหอะ แต่อย่าไปสนใจมัน กลับบ้านชุมพรแม่ก็เหมือนจะไล่ แต่ผมขอไปเรื่มต้นชีวิตใหม่ที่บางแสนหรือพัทยา ดีกว่าไปใช้ชีวิตเยี่ยงทาสในบ่อน คิดแล้วโคตรเจ็บปวด
    สงกรานต์ "ถนนข้าวสาร" เริ่มแล้ว : [News story]

    เปิดไฮไลต์สงกรานต์ข้าวสาร 2568 อีกหนึ่งสถานที่เล่นน้ำสงกรานต์ยอดนิยมที่หนึ่งในกรุงเทพ พร้อมกฎข้อบังคับให้นักท่องเที่ยวได้เตรียมตัว และเล่นน้ำอย่างปลอดภัยในปีนี้
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 93 Views 28 0 Reviews
  • วันนี้ได้เสพบรรยากาศทำงานในวันหยุดกับทีมงานที่ผมชื่นชอบทั้งวัน แต่คืนนี้นอนบ้าน กลับค่ำหน่อย นึกว่างานจะหนักตอนเย็น เห้อ นึกว่างานจะเข้าเสียแล้ว Microsoft Office License ศิษย์เก่า สจล.ดันใช้ไม่ได้ซะงั้น จะใช้ Canva แทนเลยดีไหม ส่วนตัวผมว่าจะใช้ Canva ทำงานกราฟฟิกเผื่อองค์กรเขาใช้ Canva กันทั้งองค์กร และวันนี้ก็ได้ความรู้ใหม่และเทคนิคใหม่ๆที่จะช่วยให้ผมซึมซับความสุขที่ขาดหายไปได้มากขึ้นและหาทางที่ไม่ต้องมาทรมานเครื่องให้ร้อนจนเกินไป ไม่ได้เปลี่ยนซิลิโคนโน้ตบุ๊กนานละ แต่ก็อยากไปให้ร้านแกะเครื่องล้างฝุ่นเปลี่ยนซิลิโคนและเปลี่ยนการ์ดไวไฟแบบอัพเกรดให้ดีกว่าเดิม จะได้หากินกับ Livestream หมดกังวลไวไฟหลุด เพราะไวไฟชอบหลุดตอน Livestream เพราะอัพเดทหลังๆนี้ผมรู้สึกไม่ไว้ใจวินโดว์ได้ บางทีเจ็บใจที่ต้องทำงานกับองค์กรที่เข้มงวดกับสิ่งที่ผมไม่ได้เรียนจบมาและผมไม่ได้ชอบเท่านั้นไม่พอ ผมรังเกียจอีกด้วย คืองานเอกสารวนลูป ซ้ำๆเดิมๆ ซ้ำซากจนจะเบิร์นเอาต์มามากเกินเบอร์ละ ส่วนฟรีแลนซ์ผมว่าควรรับงานลูกค้าที่อยากได้เวอร์ชั่นล่าสุด ถ้าให้เปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่นเก่ากูไม่รับแม่งหรอก ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ สูญเปล่าชิบหาย สูญเปล่าเหี้ยๆ วันนี้เจอสตูดิโอชื่อดังแล้วผมนี่มีไฟขึ้นมาทันที แรงบันดาลใจไม่ต้อง แต่ถ้าแรงบัาลใจตลอดกาลก็ขอเชื่อมั่นในศักยภาพและความสามารถของเราก็พอแล้ว แต่ก็ต้องพัฒนาอีกยาวไกล ให้ทำงานเทศบาลนครรังสิตพอรับได้ แต่ให้ทำงาน กทม. สพฐ. โรงเรียน กกต. ปปช. สตง. ผผ. คงไม่ได้ เพราะผมไม่ชอบสภาพแวดล้อมแบบนั้น ถ้ายิ่งโรงเรียนครูเหมือนจะไม่ค่อยรับฟังเด็กๆ รับฟังแต่ทางฝ่ายบริหาร ผมละหัวจะปวด อย่าเป็นครูเลย เพราะสภาพจิตใจบวกกับความต้องการนั้นยังไม่ตรงความต้องการของผมเลย ส่วน ปค. อันนี้ผมไม่แน่ใจ แต่ ปค. ดีขึ้นเยอะเลย บรรยากาศก็พอๆกับ พช. ปภ. และกรมโยธาธิการและผังเมือง
    วันนี้ได้เสพบรรยากาศทำงานในวันหยุดกับทีมงานที่ผมชื่นชอบทั้งวัน แต่คืนนี้นอนบ้าน กลับค่ำหน่อย นึกว่างานจะหนักตอนเย็น เห้อ นึกว่างานจะเข้าเสียแล้ว Microsoft Office License ศิษย์เก่า สจล.ดันใช้ไม่ได้ซะงั้น จะใช้ Canva แทนเลยดีไหม ส่วนตัวผมว่าจะใช้ Canva ทำงานกราฟฟิกเผื่อองค์กรเขาใช้ Canva กันทั้งองค์กร และวันนี้ก็ได้ความรู้ใหม่และเทคนิคใหม่ๆที่จะช่วยให้ผมซึมซับความสุขที่ขาดหายไปได้มากขึ้นและหาทางที่ไม่ต้องมาทรมานเครื่องให้ร้อนจนเกินไป ไม่ได้เปลี่ยนซิลิโคนโน้ตบุ๊กนานละ แต่ก็อยากไปให้ร้านแกะเครื่องล้างฝุ่นเปลี่ยนซิลิโคนและเปลี่ยนการ์ดไวไฟแบบอัพเกรดให้ดีกว่าเดิม จะได้หากินกับ Livestream หมดกังวลไวไฟหลุด เพราะไวไฟชอบหลุดตอน Livestream เพราะอัพเดทหลังๆนี้ผมรู้สึกไม่ไว้ใจวินโดว์ได้ บางทีเจ็บใจที่ต้องทำงานกับองค์กรที่เข้มงวดกับสิ่งที่ผมไม่ได้เรียนจบมาและผมไม่ได้ชอบเท่านั้นไม่พอ ผมรังเกียจอีกด้วย คืองานเอกสารวนลูป ซ้ำๆเดิมๆ ซ้ำซากจนจะเบิร์นเอาต์มามากเกินเบอร์ละ ส่วนฟรีแลนซ์ผมว่าควรรับงานลูกค้าที่อยากได้เวอร์ชั่นล่าสุด ถ้าให้เปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่นเก่ากูไม่รับแม่งหรอก ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ สูญเปล่าชิบหาย สูญเปล่าเหี้ยๆ วันนี้เจอสตูดิโอชื่อดังแล้วผมนี่มีไฟขึ้นมาทันที แรงบันดาลใจไม่ต้อง แต่ถ้าแรงบัาลใจตลอดกาลก็ขอเชื่อมั่นในศักยภาพและความสามารถของเราก็พอแล้ว แต่ก็ต้องพัฒนาอีกยาวไกล ให้ทำงานเทศบาลนครรังสิตพอรับได้ แต่ให้ทำงาน กทม. สพฐ. โรงเรียน กกต. ปปช. สตง. ผผ. คงไม่ได้ เพราะผมไม่ชอบสภาพแวดล้อมแบบนั้น ถ้ายิ่งโรงเรียนครูเหมือนจะไม่ค่อยรับฟังเด็กๆ รับฟังแต่ทางฝ่ายบริหาร ผมละหัวจะปวด อย่าเป็นครูเลย เพราะสภาพจิตใจบวกกับความต้องการนั้นยังไม่ตรงความต้องการของผมเลย ส่วน ปค. อันนี้ผมไม่แน่ใจ แต่ ปค. ดีขึ้นเยอะเลย บรรยากาศก็พอๆกับ พช. ปภ. และกรมโยธาธิการและผังเมือง
    0 Comments 0 Shares 167 Views 0 Reviews
  • 24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต

    “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด

    ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้ 😢

    ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง

    ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป

    นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม 👮‍♂️

    ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด

    ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น

    ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง

    เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103

    เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น

    ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย🚔

    หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น

    นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต

    หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543

    นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้

    ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม

    ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง

    วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น

    ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง

    นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต 😔

    ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม

    ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์

    ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร

    ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป

    คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต

    แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย

    นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว

    หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา

    เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้

    ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด

    นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม

    การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด

    ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?”

    สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น

    เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ

    ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม

    “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก

    การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย

    อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น

    หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ

    ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต

    เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม

    แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา

    การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก 😔

    สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม

    ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง

    เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด

    นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง

    เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย 🤔 ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน

    ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า

    เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ

    สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568

    #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้ 😢 ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม 👮‍♂️ ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย🚔 หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543 นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้ ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต 😔 ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์ ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์ คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้ ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?” สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก 😔 สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย 🤔 ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์ จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568 #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    0 Comments 0 Shares 427 Views 0 Reviews
  • ส่วนตัวหลังจากนี้คงอาจจะลดโพสต์ที่ดูซ้ำซากลง ไม่ก็หยุดโพสต์เลย เพราะจะได้มีเวลาเสพให้ฉ่ำจิตใจได้เต็มที่ ที่ผ่านมาก็เจ็บปวดมามากพอแล้วกับการที่ต้องทำตามความคาดหวังที่พวกเขาหวังไว้สูงจนผมเริ่มอยากจะทำอะไรที่เป็นแบบของตัวเอง ไม่ต้องตามใคร เพราะบางทีผมคงต้องอิสระกว่านี้ แต่บางทีควรปล่อยให้ผมค้นหาตัวเอง ไม่ใช่มาบีบบังคับเพราะความเป็นห่วงที่มากเกินไปและสุดโต่ง จะให้ผมสานต่อเจนที่ไม่ตรงความต้องการผม ณ ตอนนี้ ตลอดไปมันไม่ได้นะ โซตัสมันหมดยุคแล้ว ยุคโลกาภิวัฒน์กำลังรุ่ง แต่ผู้ใหญ่แบบนี้ที่ยังคาดหวังกับลูกหลายมากจนเกินไปจนลูกหลานเสียความรู้สึก เจ็บปวด จนต้องระเบิดอารมณ์ออกมา จนสุดท้ายต้องมาทะเลาะกับคนรอบข้างไม่ว่าจะคนสนิทหรือคนรอบข้างก็ตาม แต่ผมไม่เลือกที่จะทะเลาะกับครอบครัวเพียงเพราะเรื่องกะโหลกกะลาแค่นี้ แต่บางทีผมคิดเองได้ ไม่ต้องตามความคิดคนอื่น ไม่จำเป็นต้องตามแรงบันดาลใจใคร แค่ทำตามฝันและทำในสิ่งที่ผมมีใจรักก็พอแล้ว ที่ผ่านมาผมระบมกับจ็อบที่ต้องทำเกือบปี สุดท้ายก็ต้องแคนเซิ่ล เพราะโดนบีบให้แก้งานรัวๆๆ คือไม่รู้เขาวางงานยากๆให้ผมทำ แก้ และกดค่าจ้างผมหรือเปล่า ส่วนตัวผมว่ามีแต่ แต่โกงค่าจ้างฟรีแลนซ์ผมผมโดนมาแล้ว เจอเรื่องที่ไม่แฟร์กับเรา และอีกปัจจัยคือต้องย้ายทะเบียนบ้านบ่อยเกินไปจนผมแทบจะทะเลาะกับครอบครัวแล้วครับ
    ส่วนตัวหลังจากนี้คงอาจจะลดโพสต์ที่ดูซ้ำซากลง ไม่ก็หยุดโพสต์เลย เพราะจะได้มีเวลาเสพให้ฉ่ำจิตใจได้เต็มที่ ที่ผ่านมาก็เจ็บปวดมามากพอแล้วกับการที่ต้องทำตามความคาดหวังที่พวกเขาหวังไว้สูงจนผมเริ่มอยากจะทำอะไรที่เป็นแบบของตัวเอง ไม่ต้องตามใคร เพราะบางทีผมคงต้องอิสระกว่านี้ แต่บางทีควรปล่อยให้ผมค้นหาตัวเอง ไม่ใช่มาบีบบังคับเพราะความเป็นห่วงที่มากเกินไปและสุดโต่ง จะให้ผมสานต่อเจนที่ไม่ตรงความต้องการผม ณ ตอนนี้ ตลอดไปมันไม่ได้นะ โซตัสมันหมดยุคแล้ว ยุคโลกาภิวัฒน์กำลังรุ่ง แต่ผู้ใหญ่แบบนี้ที่ยังคาดหวังกับลูกหลายมากจนเกินไปจนลูกหลานเสียความรู้สึก เจ็บปวด จนต้องระเบิดอารมณ์ออกมา จนสุดท้ายต้องมาทะเลาะกับคนรอบข้างไม่ว่าจะคนสนิทหรือคนรอบข้างก็ตาม แต่ผมไม่เลือกที่จะทะเลาะกับครอบครัวเพียงเพราะเรื่องกะโหลกกะลาแค่นี้ แต่บางทีผมคิดเองได้ ไม่ต้องตามความคิดคนอื่น ไม่จำเป็นต้องตามแรงบันดาลใจใคร แค่ทำตามฝันและทำในสิ่งที่ผมมีใจรักก็พอแล้ว ที่ผ่านมาผมระบมกับจ็อบที่ต้องทำเกือบปี สุดท้ายก็ต้องแคนเซิ่ล เพราะโดนบีบให้แก้งานรัวๆๆ คือไม่รู้เขาวางงานยากๆให้ผมทำ แก้ และกดค่าจ้างผมหรือเปล่า ส่วนตัวผมว่ามีแต่ แต่โกงค่าจ้างฟรีแลนซ์ผมผมโดนมาแล้ว เจอเรื่องที่ไม่แฟร์กับเรา และอีกปัจจัยคือต้องย้ายทะเบียนบ้านบ่อยเกินไปจนผมแทบจะทะเลาะกับครอบครัวแล้วครับ
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • ความถี่โซลเฟจจิโอเป็นชุดเสียงเฉพาะที่ใช้ในการบำบัดด้วยดนตรีและเสียง ซึ่งเชื่อกันว่ามีคุณสมบัติในการรักษาร่างกายและจิตใจโดยเฉพาะ ความถี่เหล่านี้มีรากฐานมาจากแนวทางดนตรีโบราณ และได้รับการนำกลับมาใช้ใหม่ในชุมชนสุขภาพองค์รวมสมัยใหม่

    ต่อไปนี้คือความถี่โซลเฟจจิโอหลักและประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง:

    174 เฮิรตซ์ | มักถูกมองว่าเป็นความถี่ในการบรรเทาความเจ็บปวด เชื่อกันว่าช่วยลดความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและทางพลังงาน ให้ความรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจ

    285 เฮิรตซ์ | เกี่ยวข้องกับการรักษาและฟื้นฟูเซลล์ เชื่อกันว่าช่วยเพิ่มความสามารถของร่างกายในการรักษาและฟื้นฟูตัวเอง โดยเฉพาะในระดับเซลล์

    396 เฮิรตซ์ | รู้จักกันในการปลดปล่อยความรู้สึกผิดและความกลัว เชื่อกันว่าความถี่นี้ช่วยปลดปล่อยการอุดตันทางอารมณ์และความเจ็บปวดในอดีต

    417 เฮิรตซ์ | ความถี่นี้เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขสถานการณ์ เชื่อกันว่าช่วยขจัดพลังงานเชิงลบเพื่อนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก

    528 Hz | มักเรียกกันว่าความถี่ "ปาฏิหาริย์" หรือความถี่ "ซ่อมแซม DNA" เชื่อกันว่าช่วยส่งเสริมการรักษาและการสร้าง DNA ขึ้นใหม่ และนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงและปาฏิหาริย์ในชีวิตอย่างล้ำลึก

    639 Hz | ความถี่นี้เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงและสร้างสมดุลความสัมพันธ์ เชื่อกันว่าช่วยเพิ่มการสื่อสาร ความเข้าใจ และความรัก

    741 Hz | เป็นที่รู้จักจากความสามารถในการทำความสะอาดและล้างพิษเซลล์และอวัยวะ เชื่อกันว่านำไปสู่ชีวิตที่แข็งแรงและมั่นคงยิ่งขึ้น

    852 Hz | ความถี่นี้เกี่ยวข้องกับการปลุกสัญชาตญาณและปรับตัวเองให้สอดคล้องกับระเบียบทางจิตวิญญาณ เชื่อกันว่าช่วยปลุกความเข้มแข็งภายในและการตระหนักรู้ในตนเอง

    963 Hz | มักเรียกกันว่าความถี่ของเทพเจ้า เชื่อกันว่าสร้างพื้นที่สำหรับความสามัคคีและความเป็นหนึ่งเดียว และเชื่อมโยงบุคคลกับแหล่งที่มาของตนอีกครั้ง

    - Ron Wilson
    ความถี่โซลเฟจจิโอเป็นชุดเสียงเฉพาะที่ใช้ในการบำบัดด้วยดนตรีและเสียง ซึ่งเชื่อกันว่ามีคุณสมบัติในการรักษาร่างกายและจิตใจโดยเฉพาะ ความถี่เหล่านี้มีรากฐานมาจากแนวทางดนตรีโบราณ และได้รับการนำกลับมาใช้ใหม่ในชุมชนสุขภาพองค์รวมสมัยใหม่ ต่อไปนี้คือความถี่โซลเฟจจิโอหลักและประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง: 174 เฮิรตซ์ | มักถูกมองว่าเป็นความถี่ในการบรรเทาความเจ็บปวด เชื่อกันว่าช่วยลดความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและทางพลังงาน ให้ความรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจ 285 เฮิรตซ์ | เกี่ยวข้องกับการรักษาและฟื้นฟูเซลล์ เชื่อกันว่าช่วยเพิ่มความสามารถของร่างกายในการรักษาและฟื้นฟูตัวเอง โดยเฉพาะในระดับเซลล์ 396 เฮิรตซ์ | รู้จักกันในการปลดปล่อยความรู้สึกผิดและความกลัว เชื่อกันว่าความถี่นี้ช่วยปลดปล่อยการอุดตันทางอารมณ์และความเจ็บปวดในอดีต 417 เฮิรตซ์ | ความถี่นี้เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขสถานการณ์ เชื่อกันว่าช่วยขจัดพลังงานเชิงลบเพื่อนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก 528 Hz | มักเรียกกันว่าความถี่ "ปาฏิหาริย์" หรือความถี่ "ซ่อมแซม DNA" เชื่อกันว่าช่วยส่งเสริมการรักษาและการสร้าง DNA ขึ้นใหม่ และนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงและปาฏิหาริย์ในชีวิตอย่างล้ำลึก 639 Hz | ความถี่นี้เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงและสร้างสมดุลความสัมพันธ์ เชื่อกันว่าช่วยเพิ่มการสื่อสาร ความเข้าใจ และความรัก 741 Hz | เป็นที่รู้จักจากความสามารถในการทำความสะอาดและล้างพิษเซลล์และอวัยวะ เชื่อกันว่านำไปสู่ชีวิตที่แข็งแรงและมั่นคงยิ่งขึ้น 852 Hz | ความถี่นี้เกี่ยวข้องกับการปลุกสัญชาตญาณและปรับตัวเองให้สอดคล้องกับระเบียบทางจิตวิญญาณ เชื่อกันว่าช่วยปลุกความเข้มแข็งภายในและการตระหนักรู้ในตนเอง 963 Hz | มักเรียกกันว่าความถี่ของเทพเจ้า เชื่อกันว่าสร้างพื้นที่สำหรับความสามัคคีและความเป็นหนึ่งเดียว และเชื่อมโยงบุคคลกับแหล่งที่มาของตนอีกครั้ง - Ron Wilson
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 0 Reviews
  • รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผยเรือนจำพิเศษธนบุรี รับตัว "ไฮโซเก๊" ทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ ใส่อุปกรณ์ประคองกระดูกสันหลังจากเหตุตกตึก เฝ้าระวังทำร้ายตัวเอง

    วันนี้ (10 เม.ย.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผบ.เรือนจำจังหวัดนนทบุรี และในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยการรับตัว นายธัญเทพ ศิริทรัพย์เดชากุล หรือ "นายฮอต" อ้างตัวเป็นไฮโซสร้างโปรไฟล์หรูดูดี หลอกลวงหญิงสาวหลายราย ซึ่งตำรวจ สน.โคกคราม คุมตัว "นายฮอต" ออกจากโรงพยาบาลไปส่งศาลอาญาตลิ่งชัน เนื่องจากมีหมายจับคดีฉ้อโกงปี 64 และมาฝากขังเรือนจำพิเศษธนบุรี ว่า วานนี้ (9 เม.ย.) เวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษธนบุรีได้รับตัว นายธัญเทพ ก็มีขั้นตอนปฏิบัติตามระเบียบ ทั้ง ตรวจสุขภาพร่างกายและจิตใจ พิมพ์ลายนิ้วมือ และสอบถามเรื่องโรคประจำตัวแต่ได้ปฏิเสธ

    นางกนกวรรณ กล่าวว่า ก่อนถูกส่งเข้าเรือนจำฯ นายธัญเทพ มีประวัติกระโดดจากตึก 3 ชั้น ตามที่ปรากฎตามข่าวและได้รับการรักษามาก่อนเข้าเรือนจำ จึงตรวจพบแผลถลอกเล็กน้อย ได้ใส่อุปกรณ์ประคองกระดูกสันหลัง ซึ่งเรือนจำฯ อนุญาตให้นำยามารับประทานตามใบรับรองแพทย์ และตอนนี้เจ้าตัวยังลุกเดินไม่ได้ต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลา เนื่องจากแจ้งว่ามีอาการปวดหลังและขาอ่อนแรง โดยเรือนจำฯ จึงนำตัวไปแยกกักโรคโควิด-19 ไว้ที่อาคารสถานพยาบาล ชั้น 1 เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้าย และในวันนี้จะส่งพบแพทย์ซึ่งเข้าตรวจในเรือนจำทุกวัน เพื่อพิจารณาแนวทางดูแลรักษาต่อไป

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000034259

    #MGROnline #ไฮโซเก๊
    รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผยเรือนจำพิเศษธนบุรี รับตัว "ไฮโซเก๊" ทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ ใส่อุปกรณ์ประคองกระดูกสันหลังจากเหตุตกตึก เฝ้าระวังทำร้ายตัวเอง • วันนี้ (10 เม.ย.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผบ.เรือนจำจังหวัดนนทบุรี และในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยการรับตัว นายธัญเทพ ศิริทรัพย์เดชากุล หรือ "นายฮอต" อ้างตัวเป็นไฮโซสร้างโปรไฟล์หรูดูดี หลอกลวงหญิงสาวหลายราย ซึ่งตำรวจ สน.โคกคราม คุมตัว "นายฮอต" ออกจากโรงพยาบาลไปส่งศาลอาญาตลิ่งชัน เนื่องจากมีหมายจับคดีฉ้อโกงปี 64 และมาฝากขังเรือนจำพิเศษธนบุรี ว่า วานนี้ (9 เม.ย.) เวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษธนบุรีได้รับตัว นายธัญเทพ ก็มีขั้นตอนปฏิบัติตามระเบียบ ทั้ง ตรวจสุขภาพร่างกายและจิตใจ พิมพ์ลายนิ้วมือ และสอบถามเรื่องโรคประจำตัวแต่ได้ปฏิเสธ • นางกนกวรรณ กล่าวว่า ก่อนถูกส่งเข้าเรือนจำฯ นายธัญเทพ มีประวัติกระโดดจากตึก 3 ชั้น ตามที่ปรากฎตามข่าวและได้รับการรักษามาก่อนเข้าเรือนจำ จึงตรวจพบแผลถลอกเล็กน้อย ได้ใส่อุปกรณ์ประคองกระดูกสันหลัง ซึ่งเรือนจำฯ อนุญาตให้นำยามารับประทานตามใบรับรองแพทย์ และตอนนี้เจ้าตัวยังลุกเดินไม่ได้ต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลา เนื่องจากแจ้งว่ามีอาการปวดหลังและขาอ่อนแรง โดยเรือนจำฯ จึงนำตัวไปแยกกักโรคโควิด-19 ไว้ที่อาคารสถานพยาบาล ชั้น 1 เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้าย และในวันนี้จะส่งพบแพทย์ซึ่งเข้าตรวจในเรือนจำทุกวัน เพื่อพิจารณาแนวทางดูแลรักษาต่อไป • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000034259 • #MGROnline #ไฮโซเก๊
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews
  • นี่คือเหตุผลว่า ทำไมครีมนวด ดร.ออย ถึงเป็นที่ต้องการในตลาดอย่างมากเพราะทุกวันนี้คนปวดเมื่อยกันเยอะมาก
    https://www.youtube.com/watch?v=UCooGNYmMzQ
    #ครีมนวดดรรออย #t1team
    นี่คือเหตุผลว่า ทำไมครีมนวด ดร.ออย ถึงเป็นที่ต้องการในตลาดอย่างมากเพราะทุกวันนี้คนปวดเมื่อยกันเยอะมาก https://www.youtube.com/watch?v=UCooGNYmMzQ #ครีมนวดดรรออย #t1team
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • นี่คือเหตุผลว่า ทำไมครีมนวด ดร.ออย ถึงเป็นที่ต้องการในตลาดอย่างมากเพราะทุกวันนี้คนปวดเมื่อยกันเยอะมาก
    https://www.youtube.com/watch?v=UCooGNYmMzQ
    #ครีมนวดดรรออย #t1team
    นี่คือเหตุผลว่า ทำไมครีมนวด ดร.ออย ถึงเป็นที่ต้องการในตลาดอย่างมากเพราะทุกวันนี้คนปวดเมื่อยกันเยอะมาก https://www.youtube.com/watch?v=UCooGNYmMzQ #ครีมนวดดรรออย #t1team
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • สุขสันต์วันครบรอบวันเกิด ปีที่..... จุ๊ๆ🤫🤫น้องขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และบารมีของหลวงพ่อกล้วย จงปกปักรักษาคุ้มครอง ให้พี่มีสุขภาพแข็งแรง ปลอดโรค ปลอดภัย ผ่านพ้นอุปสรรคทุกอย่าง ขอให้ราบรื่นในทุกเวลา ขอบคุณที่คอยดูแลน้อง สัญญาว่าจะดื้อให้พี่ปวดหัวเล่น ฮ่าๆๆๆ 🤣🤣
    Many thanks to Have me in your life 💞
    And Happy birthday to my better half 💋❤️👼🏻
    #SoGladToHaveYouInMyLife
    #mylovelychef
    #hugchef
    #chefandranya
    สุขสันต์วันครบรอบวันเกิด ปีที่..... จุ๊ๆ🤫🤫น้องขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และบารมีของหลวงพ่อกล้วย จงปกปักรักษาคุ้มครอง ให้พี่มีสุขภาพแข็งแรง ปลอดโรค ปลอดภัย ผ่านพ้นอุปสรรคทุกอย่าง ขอให้ราบรื่นในทุกเวลา ขอบคุณที่คอยดูแลน้อง สัญญาว่าจะดื้อให้พี่ปวดหัวเล่น ฮ่าๆๆๆ 🤣🤣 Many thanks to Have me in your life 💞 And Happy birthday to my better half 💋❤️👼🏻 #SoGladToHaveYouInMyLife #mylovelychef #hugchef #chefandranya
    Love
    2
    1 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • 4 ปี ทุ่งสังหาร “พะโค” ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หงสาวดี 82 ศพ แสงไฟฉายจากมือถือ ฤาจะสู้เปลวไฟจากไรเฟิล บทบาทของโลกที่เงียบงัน

    ✍️ เหตุการณ์ที่พะโคเมื่อ 9 เมษายน 2564 คือหนึ่งในความรุนแรง หลังรัฐประหารเมียนมา ที่โลกไม่ควรลืม กับการสังหารหมู่พลเรือน 82 ราย ภายใต้เงียบสงัดของประชาคมโลก และการประท้วงด้วยแสงไฟจากมือถือ ที่ไม่อาจสู้เปลวไฟจากปืนไรเฟิลได้ พะโคต้องไม่ใช่แค่บทเรียนที่ถูกลืม 🔥

    🧭 เสียงเงียบที่กลบเสียงปืน เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2564 ประชาชนในเมืองพะโค ประเทศเมียนมา ตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงปืนดังสนั่น 🚨 ไม่นานจากเหตุการณ์รัฐประหารในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ กองทัพพม่าเริ่มปฏิบัติการ กวาดล้างการต่อต้านอย่างรุนแรง เหตุการณ์ที่เมืองพะโคในวันนั้น กลายเป็นการสังหารหมู่ที่ร้ายแรงที่สุดในช่วงหลังรัฐประหาร ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 82 ศพ ในวันเดียว 😢

    แต่สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่ากระสุน คือ “ความเงียบ” ของโลก 🌍 ที่ไม่มีเสียงเรียกร้องความยุติธรรมที่เพียงพอ

    🏞️ "พะโค" (Bago) หรือหงสาวดี เป็นเมืองสำคัญทางภาคใต้ของเมียนมา ห่างจากย่างกุ้งเพียง 91 กิโลเมตร 🌏 เคยเป็นเมืองหลวง ของอาณาจักรมอญและตองอู ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่สำคัญ อยู่ใกล้เส้นทางยุทธศาสตร์ และง่ายต่อการเคลื่อนย้ายกำลังพลของกองทัพ

    จุดยุทธศาสตร์นี้เอง ทำให้พะโคกลายเป็นพื้นที่สำคัญ ที่ประชาชนใช้ประท้วง และกองทัพใช้เพื่อ “แสดงพลัง” 💣

    🔫 เหตุการณ์ 9 เมษายน 2564 วันที่ไฟจากไรเฟิลกลืนชีวิต

    ⏰ เวลาเริ่มต้น ตี 4 กองทัพเมียนมาส่งทหาร 250 นาย เข้าบุกบ้านเรือนในย่านชินสอบู, นันตอว์ยา, มอว์กัน และปนนาซู ใกล้พระราชวังกัมโพชธานี

    ⚔️ เวลา 05.00 น. ทหาร 5 หน่วย เริ่มกราดยิงผู้ชุมนุมโดยไม่เลือกหน้า ใช้อาวุธสงครามเต็มรูปแบบ ประชาชนสู้กลับด้วยระเบิดปิงปอง และขว้างสิ่งของ ✊

    เจ้าหน้าที่ทหาร เข้าควบคุมสถานการณ์ได้ในช่วง 10.00 น.

    🩸 ผลที่ตามมา มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 82 ราย บุคลากรแพทย์ถูกขัดขวาง ไม่ให้เข้าช่วยเหลือ บางศพถูกกองรวมไว้ในเจดีย์เสยะมุนี บางศพถูกเผาทิ้ง...เพื่อปิดบังหลักฐาน

    📈 ลำดับเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
    9 เม.ย. 64 ช่วงเช้า ทหารบุกบ้านเรือน ยิงสดประชาชน
    9 เม.ย. 64 ช่วงสาย นำศพมากองรวมในเจดีย์ ปิดล้อมพื้นที่
    10 เม.ย. 64 เอเอพีพีรายงานยอดเสียชีวิต 82 ราย
    11 เม.ย. 64 UN เรียกร้องให้ยุติความรุนแรงทันที

    💣 อาวุธที่ใช้: ปืนไรเฟิล, ระเบิดแรงสูง, ยิงใส่ผู้ชุมนุมแบบสุ่ม

    📷 วิดีโอจาก AFP แสดงให้เห็นผู้ชุมนุม ใช้กระสอบทรายเป็นเกราะกำบัง

    💡 บทบาทของชาวพะโค และการต่อต้านด้วย “แสงไฟ” เมื่ออาวุธหนักเป็นของทหาร... แต่ประชาชนมีเพียงโทรศัพท์มือถือ พวกเขาเลือกใช้ แสงไฟแฟลช 📱 เป็นเครื่องมือแห่งการต่อต้าน ✨ Flash Strike หรือ “การชุมนุมเงียบ” ในช่วงค่ำคืน

    คนเมียนมาเปิดไฟฉายมือถือ ร้องเพลงต้านรัฐประหาร เป็นสัญลักษณ์ของ “แสงแห่งเสรีภาพ” ที่สู้กับ “เปลวไฟจากกระสุน” แม้รู้ว่าจะโดนยิง...แต่ยังคงยืนหยัด

    🧯 การตอบสนองของรัฐบาลทหาร ปฏิเสธข้อเท็จจริง

    📺 ทางการเมียนมารายงานว่า มีผู้เสียชีวิตเพียง “1 ราย” ในเหตุการณ์พะโค

    📵 อินเทอร์เน็ตถูกตัดขาด ข้อมูลถูกปิดกั้น

    ⛔ ความจริงที่พยายามลบล้าง ขัดขวางไม่ให้หน่วยแพทย์เข้าถึงพื้นที่ ขนศพขึ้นรถบรรทุกไปซ่อน เผาศพทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน นี่คือการบิดเบือนความจริง อย่างเป็นระบบ 🧠

    🧊 ความเงียบของประชาคมโลก = การสมรู้ร่วมคิด? แม้มีหลักฐานจำนวนมากจากคลิปวิดีโอ 📹 และรายงานจาก NGOs แต่… ประชาคมโลกกลับเลือก “นิ่งเงียบ” 🫥

    🌐 คำถามที่คาใจ
    ทำไมไม่มีการแทรกแซงจาก UN?
    การเรียกร้องความช่วยเหลือถูกละเลยหรือไม่?
    การคว่ำบาตรเศรษฐกิจเพียงพอหรือเปล่า?

    เสียงจากคนตาย...อาจเงียบ แต่ “ความเงียบของโลก” ดังกว่า

    🌍 องค์กรสิทธิมนุษยชน และความพยายามในการเปิดโปงความจริง องค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น AAPP หรือสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง, Myanmar Now, AFP, BBC Burmese, Amnesty International 📣 ได้รายงานเหตุการณ์นี้ให้โลกได้รับรู้ แต่ยังขาด “กลไกที่มีผลบังคับ” ในการดำเนินคดี ต่อผู้นำกองทัพเมียนมา

    🕯️ พะโคในความทรงจำของชาวเมียนมา “แสงจากมือถือ...อาจไม่ชนะไฟจากปืน แต่แสงนั้นจะไม่มีวันดับในใจเรา” ผู้ประท้วงนิรนามในพะโค

    พะโคกลายเป็น “สัญลักษณ์แห่งการเสียสละ” เป็นคำเตือนว่า เสรีภาพไม่ได้ได้มาโดยง่าย และไม่ควรถูกลืม

    ✅ พะโคต้องไม่ใช่แค่บทเรียนที่ถูกลืม 4 ปีผ่านไป...ความยุติธรรมยังไม่มา 🕰️ แต่ความหวังยังอยู่ในแสงแฟลชของประชาชน

    พะโคไม่ใช่แค่ “เหตุการณ์” แต่คือ “หน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่ต้องเขียนด้วยความจริง”

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 090953 เม.ย. 2568

    📱 #พะโค #เมียนมา #FlashStrike #รัฐประหารเมียนมา #สังหารหมู่ #สิทธิมนุษยชน #ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ #UN #SaveMyanmar #BagoMassacre
    4 ปี ทุ่งสังหาร “พะโค” ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หงสาวดี 82 ศพ แสงไฟฉายจากมือถือ ฤาจะสู้เปลวไฟจากไรเฟิล บทบาทของโลกที่เงียบงัน ✍️ เหตุการณ์ที่พะโคเมื่อ 9 เมษายน 2564 คือหนึ่งในความรุนแรง หลังรัฐประหารเมียนมา ที่โลกไม่ควรลืม กับการสังหารหมู่พลเรือน 82 ราย ภายใต้เงียบสงัดของประชาคมโลก และการประท้วงด้วยแสงไฟจากมือถือ ที่ไม่อาจสู้เปลวไฟจากปืนไรเฟิลได้ พะโคต้องไม่ใช่แค่บทเรียนที่ถูกลืม 🔥 🧭 เสียงเงียบที่กลบเสียงปืน เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2564 ประชาชนในเมืองพะโค ประเทศเมียนมา ตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงปืนดังสนั่น 🚨 ไม่นานจากเหตุการณ์รัฐประหารในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ กองทัพพม่าเริ่มปฏิบัติการ กวาดล้างการต่อต้านอย่างรุนแรง เหตุการณ์ที่เมืองพะโคในวันนั้น กลายเป็นการสังหารหมู่ที่ร้ายแรงที่สุดในช่วงหลังรัฐประหาร ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 82 ศพ ในวันเดียว 😢 แต่สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่ากระสุน คือ “ความเงียบ” ของโลก 🌍 ที่ไม่มีเสียงเรียกร้องความยุติธรรมที่เพียงพอ 🏞️ "พะโค" (Bago) หรือหงสาวดี เป็นเมืองสำคัญทางภาคใต้ของเมียนมา ห่างจากย่างกุ้งเพียง 91 กิโลเมตร 🌏 เคยเป็นเมืองหลวง ของอาณาจักรมอญและตองอู ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่สำคัญ อยู่ใกล้เส้นทางยุทธศาสตร์ และง่ายต่อการเคลื่อนย้ายกำลังพลของกองทัพ จุดยุทธศาสตร์นี้เอง ทำให้พะโคกลายเป็นพื้นที่สำคัญ ที่ประชาชนใช้ประท้วง และกองทัพใช้เพื่อ “แสดงพลัง” 💣 🔫 เหตุการณ์ 9 เมษายน 2564 วันที่ไฟจากไรเฟิลกลืนชีวิต ⏰ เวลาเริ่มต้น ตี 4 กองทัพเมียนมาส่งทหาร 250 นาย เข้าบุกบ้านเรือนในย่านชินสอบู, นันตอว์ยา, มอว์กัน และปนนาซู ใกล้พระราชวังกัมโพชธานี ⚔️ เวลา 05.00 น. ทหาร 5 หน่วย เริ่มกราดยิงผู้ชุมนุมโดยไม่เลือกหน้า ใช้อาวุธสงครามเต็มรูปแบบ ประชาชนสู้กลับด้วยระเบิดปิงปอง และขว้างสิ่งของ ✊ เจ้าหน้าที่ทหาร เข้าควบคุมสถานการณ์ได้ในช่วง 10.00 น. 🩸 ผลที่ตามมา มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 82 ราย บุคลากรแพทย์ถูกขัดขวาง ไม่ให้เข้าช่วยเหลือ บางศพถูกกองรวมไว้ในเจดีย์เสยะมุนี บางศพถูกเผาทิ้ง...เพื่อปิดบังหลักฐาน 📈 ลำดับเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ 9 เม.ย. 64 ช่วงเช้า ทหารบุกบ้านเรือน ยิงสดประชาชน 9 เม.ย. 64 ช่วงสาย นำศพมากองรวมในเจดีย์ ปิดล้อมพื้นที่ 10 เม.ย. 64 เอเอพีพีรายงานยอดเสียชีวิต 82 ราย 11 เม.ย. 64 UN เรียกร้องให้ยุติความรุนแรงทันที 💣 อาวุธที่ใช้: ปืนไรเฟิล, ระเบิดแรงสูง, ยิงใส่ผู้ชุมนุมแบบสุ่ม 📷 วิดีโอจาก AFP แสดงให้เห็นผู้ชุมนุม ใช้กระสอบทรายเป็นเกราะกำบัง 💡 บทบาทของชาวพะโค และการต่อต้านด้วย “แสงไฟ” เมื่ออาวุธหนักเป็นของทหาร... แต่ประชาชนมีเพียงโทรศัพท์มือถือ พวกเขาเลือกใช้ แสงไฟแฟลช 📱 เป็นเครื่องมือแห่งการต่อต้าน ✨ Flash Strike หรือ “การชุมนุมเงียบ” ในช่วงค่ำคืน คนเมียนมาเปิดไฟฉายมือถือ ร้องเพลงต้านรัฐประหาร เป็นสัญลักษณ์ของ “แสงแห่งเสรีภาพ” ที่สู้กับ “เปลวไฟจากกระสุน” แม้รู้ว่าจะโดนยิง...แต่ยังคงยืนหยัด 🧯 การตอบสนองของรัฐบาลทหาร ปฏิเสธข้อเท็จจริง 📺 ทางการเมียนมารายงานว่า มีผู้เสียชีวิตเพียง “1 ราย” ในเหตุการณ์พะโค 📵 อินเทอร์เน็ตถูกตัดขาด ข้อมูลถูกปิดกั้น ⛔ ความจริงที่พยายามลบล้าง ขัดขวางไม่ให้หน่วยแพทย์เข้าถึงพื้นที่ ขนศพขึ้นรถบรรทุกไปซ่อน เผาศพทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน นี่คือการบิดเบือนความจริง อย่างเป็นระบบ 🧠 🧊 ความเงียบของประชาคมโลก = การสมรู้ร่วมคิด? แม้มีหลักฐานจำนวนมากจากคลิปวิดีโอ 📹 และรายงานจาก NGOs แต่… ประชาคมโลกกลับเลือก “นิ่งเงียบ” 🫥 🌐 คำถามที่คาใจ ทำไมไม่มีการแทรกแซงจาก UN? การเรียกร้องความช่วยเหลือถูกละเลยหรือไม่? การคว่ำบาตรเศรษฐกิจเพียงพอหรือเปล่า? เสียงจากคนตาย...อาจเงียบ แต่ “ความเงียบของโลก” ดังกว่า 🌍 องค์กรสิทธิมนุษยชน และความพยายามในการเปิดโปงความจริง องค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น AAPP หรือสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง, Myanmar Now, AFP, BBC Burmese, Amnesty International 📣 ได้รายงานเหตุการณ์นี้ให้โลกได้รับรู้ แต่ยังขาด “กลไกที่มีผลบังคับ” ในการดำเนินคดี ต่อผู้นำกองทัพเมียนมา 🕯️ พะโคในความทรงจำของชาวเมียนมา “แสงจากมือถือ...อาจไม่ชนะไฟจากปืน แต่แสงนั้นจะไม่มีวันดับในใจเรา” ผู้ประท้วงนิรนามในพะโค พะโคกลายเป็น “สัญลักษณ์แห่งการเสียสละ” เป็นคำเตือนว่า เสรีภาพไม่ได้ได้มาโดยง่าย และไม่ควรถูกลืม ✅ พะโคต้องไม่ใช่แค่บทเรียนที่ถูกลืม 4 ปีผ่านไป...ความยุติธรรมยังไม่มา 🕰️ แต่ความหวังยังอยู่ในแสงแฟลชของประชาชน พะโคไม่ใช่แค่ “เหตุการณ์” แต่คือ “หน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่ต้องเขียนด้วยความจริง” ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 090953 เม.ย. 2568 📱 #พะโค #เมียนมา #FlashStrike #รัฐประหารเมียนมา #สังหารหมู่ #สิทธิมนุษยชน #ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ #UN #SaveMyanmar #BagoMassacre
    0 Comments 0 Shares 286 Views 0 Reviews
  • วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่ตอนนี้มีเยอะมากโดยเฉพาะจากฝั่งตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี) แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร คือเรื่องแนวฟีลกู๊ดประเภทสถานที่เยียวยาจิตใจ ไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกจิตใจหยาบกระด้างหรือชอบเสพแต่ความดาร์กและความสยอง แต่เพราะผมมองว่าตัวเองพอดักทางได้ว่าเรื่องพวกนั้นมี "สาร" อย่างไร ต้องการสอนผู้อ่านอย่างไร ทั้งนี้ก็จะมีบางเรื่องที่เป็นข้อยกเว้น หนึ่งในนั้นคือคาเฟ่ของแม่หมอมานูล

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' โดย อัตสึกิ โอโตะ เป็นนิยายแบบที่ผมคงไม่สนใจในแวบแรก ถ้าไม่ใช่เพราะโดนล่อตาล่อใจจากของแถมที่ทาง สนพ. บอกว่ามีเฉพาะในรอบพิมพ์ครั้งแรกเท่านั้น นั่นคือ ไพ่ทาโรต์ขนาดเล็ก ๆ 5 ใบที่เป็นภาพคุณมานูล แมวหมอดูตัวเอกประจำเรื่อง ข้อนี้เลยเป็นตัวแปรสำคัญให้ผมเปิดใจรับหนังสือเล่มนี้มาบรรจุเข้าชั้นที่บ้าน

    ไหน ๆ ก็พูดถึงหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมก็เห็นว่ามันควรค่าแก่การรีวิวในแบบของไพ่เราเผาเรื่อง แต่รอบนี้จะต่างจากครั้งอื่น ๆ ตรงที่ผมจะไม่ใช้ไพ่ทาโรต์หรือไพ่พยากรณ์สำรับใด ๆ ในคลัง แต่จะใช้ไพ่แถม 5 ใบที่มากับหนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือประกอบการ "เผาเรื่อง" โดยสับไพ่แล้วสุ่มหยิบตามลำดับ

    ขอเชิญรับชม #ไพ่เราเผาหนังสือ 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' ด้วยไพ่แถมสุดน่ารักทั้ง 5 ใบ ได้ ณ บัดนี้ครับ

    ----------

    "เรื่องจบในตอนพร้อมข้อคิดดี ๆ"
    🃏The Sun + 🃏The World

    ในไพ่ทาโรต์ 78 ใบ The Sun เป็นไพ่ที่ความหมายดีรอบด้านในอันดับต้น ๆ แต่ไพ่ใบนี้ยังสื่อถึง "ความจริง" และ "ข้อคิดที่เป็นประโยชน์" ได้ด้วย ส่วน The World ในฐานะไพ่ใบสุดท้ายของไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) จึงมักสื่อความถึง "จุดสิ้นสุด" และ "ความสมบูรณ์" แต่มันไม่ใช่การตัดจบแบบบริบูรณ์หรือ Happily Ever After ทว่าเป็นการจบลงของบทหนึ่งเพื่อที่จะเข้าสู่บทถัดไป

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' มีลักษณะการเขียนแบบที่มักเจอใน Fiction ประเภทสถานที่ที่ช่วยให้ผู้คนได้ฮีลใจ นั่นคือเป็นนวนิยายแบบเนื้อเรื่องจบในตอน (Episodic novel) โดยแต่ละตอนมักจะมีข้อคิดจรรโลงใจหรือมุมมองที่น่าสนใจแตกต่างกัน บางครั้งต่างตอนก็มีสารหรือข้อคิดสำหรับคนต่างกลุ่มต่างจำพวก

    หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 5 บท แต่ละบทสามารถอ่านแยกในฐานะเรื่องสั้นที่จบสมบูรณ์ในตัวเองได้ แต่ตอนหลัง ๆ ก็จะมีรายละเอียดบางอย่างที่ต่อเนื่องจากตอนก่อน ๆ ตัวละครดำเนินเรื่องในแต่ละตอนมีช่วงอายุ บทบาท และปัญหาคาใจแตกต่างกัน มีทั้งเด็กมัธยมที่หาทาง fit in ในสังคมห้องเรียน อินฟลูเอนเซอร์สาว ซิงเกิลมัม ไปจนถึงวัยกลางคนที่กำลังสับสนกับทิศทางชีวิตและหน้าที่การงานของตัวเอง จากนั้นโชคชะตาหรือพล็อตเรื่องก็จะพาตัวละครไปเจอกับคุณมานูลและคาเฟมาร์เนิล

    คุณมานูล ศูนย์กลางของเรื่อง เดิมเคยเป็นมนุษย์ชื่อ คาวาตานิ ไอซาวะ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง นางเลือก 'ลาออก' จากการเป็นมนุษย์ มาอยู่ในร่างของแมวมานูล (Manul) หรืออีกชื่อคือแมวพัลลาส (Pallas's cat) และรับดูดวงด้วยสารพัดวิธี ไม่ว่าจะใช้ไพ่ ลูกแก้ว หรือเครื่องเสี่ยงเซียมซีรูเลตต์ พร้อมทั้งเปิดคาเฟ่ร่วมกับคนที่น่าจะเป็นสามีและลูกสาว (ส่วนชื่อคาเฟ่ ทำไมถึงชื่อ "มาร์เนิล" แทนที่จะเป็น "มานูล" ตรงนี้ในหนังสือมีอธิบายไว้ แต่สั้น ๆ คือเป็นมุกที่เล่นกับตัวเขียนญี่ปุ่นแบบคาตาคานะ ซึ่งต้องขอชื่นชมผู้แปลที่พยายามเรียบเรียงเป็นไทยให้ใกล้เคียงโดยไม่เสียอรรถรสของต้นฉบับ)

    เนื้อเรื่องแต่ละตอนดำเนินไปอย่างค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ เริ่มจากแนะนำตัวละครและชีวิตประจำวันที่เจ้าตัวไม่พึงพอใจเท่าไร จากนั้นตัวละครก็จะได้เจอคุณมานูลช่วยทำนายดวงชะตาพร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบคร่าว ๆ เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งตัวละครจะทำตามและอะไร ๆ ก็ดูจะดีขึ้นจริง ๆ แต่แล้วก็จะมีเหตุสักอย่างให้ชีวิตตัวละครกลับไปเป็นแบบตอนต้นเรื่องหรือเผลอ ๆ เหมือนจะดูแย่ลง และทำให้ตัวละครได้รับการชี้แนะจากคุณมานูลเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้เรื่องก็จะดูจบตอนแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชวนให้นึกถึงโดราเอมอนแแบบอนิเมะในทีวีที่ฉายเป็นตอน ๆ หรือการ์ตูนต่อสู้อย่างเซเลอร์มูนช่วงแรก ๆ ที่จะมีตัวร้ายประจำสัปดาห์ (Monster of the week) มาให้ตัวเอกปราบ

    นิยายประเภทสถานที่ฮีลใจมักมีตัวละครประจำตอนที่แแตกต่างกันทั้งช่วงอายุและอาชีพ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของคนอ่านในกลุ่มต่าง ๆ นิยายเล่มนี้ก็เช่นกัน ทั้ง 5 ตอนมีตัวละครตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ผู้เขียนคคาดหวังว่าจะรวมอยู่ในหมู่คนอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย และถึงแม้ปัญหาที่ตัวละครในเรื่องเผชิญอาจไม่ตรงกับเรื่องที่คนอ่านในช่วงวัยเดียวกันเจอในชีวิตจริงทั้งหมด แต่ข้อคิดและคำแนะนำจากคุณมานููลในแต่ละตอนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน

    ----------

    "เยียวยาจิตใจในสถานที่ที่มอบความสุข"
    🃏The Star + 🃏Ten of Cups

    The Star คือดวงดาว จึงเป็นไพ่ตัวแทนหลายสิ่งหลายอย่างที่คนเรามักเชื่อมโยงกับดาว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความโด่งดัง หรือความหวัง แต่มันก็มีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือ "การเยียวยา" ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่วนไพ่ 10 ถ้วย โดยทั่วไปมักหมายถึงบ้านหรือครอบครัว แต่บางกรณีก็สื่อถึง "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม" โดยเป็นความสุขที่มาจากกลุ่มคนที่อยู่กันสนิทชิดเชื้อเหมือนเป็นครอบครัว (แบบใน "แฟ้มเมอะหลี่" ของพี่ดอม ทอร์เรตโต แห่งซีรีส์ Fast & Furious) หรือจากาสถานที่มีผู้พร้อมจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่น

    คาเฟ่มาร์เนิลของคุณมานูลลงล็อกพอดีกับคำจำกัดความของสถานที่แบบที่ว่า แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ข้างบน ๆ นิยายเรื่องนี้ผลิตซ้ำ Trope ของสถานที่ที่ให้ความช่วยเหลือผู้คนในการแก้ปัญหาและเยียวยาจิตใจ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมกันในวงการวรรณกรรมฝั่งเอเชียตะวันออก แต่ละเรื่องอาจมีสถานที่ต่างกันไป บางเรื่องเป็นคาเฟ่ บางเรื่องเป็นร้านเบเกอรี่ บ้างเรื่องเป็นร้านหนังสือหรือห้องสมุด แต่ทุกเรื่องจบลงที่ตัวละครซึ่งไปเยือนสถานที่นั้น ๆ ได้เยียวยาบาดแผลหรือปมปัญหาในใจ หรือได้ปลดล็อกอะไรสักอย่างที่ติดค้างอยู่

    น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ในชีวิตจริงซึ่งไม่ได้มีมนตร์วิเศษอยู่ (อย่างน้อยก็ในแบบที่มักเกิลอย่างเรา ๆ จับต้องและพิสูจน์ได้) คนเราก็มีสถานที่สำหรับเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำและแตกร้าว นอกจากกลับบ้านไปหาครอบครัวแล้ว ที่อื่นที่คนมักไปเพื่อฮีลใจตัวเอง เช่น คาเฟ่ ซุ้มหมอดู (หรือบางคนก็ทักไปหาหมอดูทางออนไลน์) และที่ใดก็ตามที่มีแมวอยู่ กล่าวอีกอย่างคือ คาเฟ่ การดูดวง และแมว คือ Top 3 แห่งเครื่องเยียวยาจิตใจของมนุษย์ในปัจจุบัน (ซึ่งจะเรียกว่าเป็นยุคทุนนิยมหรือยุคโพสต์โมเดิร์นก็ตามแต่)

    และสามอย่างที่ว่านี้ นอกจากในนิยายซีรีส์ "ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง" แล้ว ก็มีคุณมานูลในนิยายเรื่องนี้ที่รวมทุกอย่างไว้ในตัว เหมือนผู้เขียนจงใจ หรือไม่ก็สร้างไว้ให้คนอ่านที่ชอบ Overanalyze ได้สังเกตและทึกทักเอา

    ----------

    "โชคชะตาไม่สำคัญเมื่อเธอนั้นกลายเป็นแมว"
    🃏Wheel of Fortune

    ไพ่วงล้อแห่งโชคชะตาเป็นใบหนึ่งที่ท้าทายสกิลการอ่านและตีความไพ่ของผู้อ่านไพ่มากที่สุด บางบริบท มันสื่อถึงการที่โชคชะตากำลังดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าช่วงนั้นดวงกกำลังดี ๆ อยู่ มันก็อาจเป็นคำเตือนในระวังถึงขาลงของชีวิตที่ส่อแววมาแต่ไกล โดยรวมแล้ว ไพ่ใบนี้สื่อถึง "โชคชะตา" ในภาพรวม ซึ่งโดยตัวมันเองไม่มีดีหรือร้าย แต่ที่เรามองว่าดีหรือร้ายก็เพราะเรามองจากมุมมองของตัวเรา ถ้าเรามองเรื่องที่เกิดกับคนอื่น หรือมองตัวเองอย่างเป็นภววิสัย เราก็คงมองว่าททุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ เดี๋ยวมีดี เดี๋ยวมีร้าย ไม่แน่ไม่นอน เผลอ ๆ คาดเดาไม่ได้ (หากเราเชื่อตาม Chaos Theory) และด้วยเหตุนี้ ไพ่ใบนี้จึงหมายรวมถึงการพยากรณ์ การดูดวง หรือการตรวจสอบดวงชะตาเช่นกัน

    ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไหม ตอนเห็นชื่อหนังสือฉบับแปลไทยครั้งแรก ก็คิดว่าคุณมานูลน่าจะเป็นตัวละครประเภทกวน ๆ ที่ทำนายดวงตรงมั่งมั่วมั่ง (แต่สุดท้ายก็ช่วยให้ตัวละครในแต่ละตอนได้มีความสุขอยู่ดี ตามแนวทางของนิยายฮีลใจแบบนี้) แต่พอได้อ่านจริงก็พบว่านางเป็นคาแรกเตอร์ประเภทกวน ๆ จริง กวนแบบน่ารัก ๆ ชนิดที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะอยากมีเพื่อนสนิทแบบนี้สักคนสองคน ทว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะหายไปคือการทำนายแบบมั่ว ๆ เพราะเท่าที่อ่านเจอในเรื่อง คุณมานูลไม่เคยทำนายดวงชะตาให้ตัวละครไหนแบบมั่ว ๆ เลย อย่างมากคือทำนายแบบส่งเดช พอให้เห็นว่ามีการใช้อุปกรณ์ทำนาย (อันนี้พูดในฐานะคนที่ทุกวันนี้รายรอบด้วยคนในวงการนักพยากรณ์ และเคยเจอหมอดูที่ทำนายแบบมั่วซั่วมาจนมากเกินจะนับด้วยนิ้วมือรวมนิ้วเท้าได้) อันที่จริงชื่อต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นของนิยายเรื่องนี้แปลตรงตัวแค่ว่า "คุณมานูลผู้ลาออกจากการเป็นมนุษย์จะทำนายดวงชะตาให้คุณ" ด้วยซ้ำ

    อย่างไรก็ตาม คุณมานูลตลอดทั้งเรื่องจะเล่นอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่หมอดูทุกศาสตร์ทุกแขนงควรเป็นในตัว (ถ้ายังไม่เป็นก็ควรฝึกตัวเองให้เป็น หรือไป take course เสียโดยด่วน โปรดรู้ว่าสังคมทุกวันนี้กำลังต้องการมาก) นั่นคือการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตใจและสังคม เนื้อเรื่องไม่เคยฟันธงว่าคุณมานูลดูดวงเป็นจริง ๆ หรือไม่ แต่เรื่องแสดงให้เห็นว่านางดูคนเป็น เข้าใจว่าแต่ละคนกำลังขาดหรือล้นเกินในเรื่องอะไร ซึ่งก็น่าจะเป็นทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยนางยังเป็นมนุษย์ และจากตรงนี้ นางจึงให้คำแนะนำแบบแมว ๆ ให้แต่ละตัวละครรับไปหาทางแก้ปัญหาของตัวเองอย่างตรงจุด

    เนื้อเรื่องไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้คุณไอซาวะลาออกจากการเป็นมนุษย์แล้วผันตัวมาเป็นแมวมานูล แต่เมื่อดูจากคำใบ้ในแต่ละตอน (โดยเฉพาะตอนสุดท้าย) ผมมองว่านางคงเบื่อชีวิตมนุษย์ที่วัน ๆ ได้แต่ไหลไปตามสิ่งรอบข้างอย่างกระแสสังคม ความควาดหวังและแรงกดดันจากคนรอบข้าง (ซึ่งไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่เรารับมากระทำกับตัวเราเอง) ตลอดจนการยอมจำนนต่อ "โชคชะตา" เดี๋ยวดวงดี เดี๋ยวดวงซวย ช่วงนี้ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงกาลกิณี ฯลฯ

    ในเมื่อมีแต่มนุษย์ที่ปวดหัววุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ แต่แมวใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องนำพาต่อสิ่งเหล่านี้ นางก็เลยเลิกเป็นมนุษย์แล้วเป็นแมวซะดื้อ ๆ แต่ครั้นจะเป็นแมวพันธุ์ธรรมดา ๆ พื้น ๆ ก็ไม่เอา เลยขอเป็นพันธุ์หายากอย่างแมวมานูล และพอเป็นแมวแล้ว นางเลยสามารถมองเรื่องราววุ่น ๆ ของมนุษย์ได้อย่างเป็นกลาง พร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบชิล ๆ แต่ตรงประเด็นได้

    ถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะขึ้นชื่อว่ามีหมอดูอยู่ แต่เนื้อเรื่องแทบไม่เกี่ยวกับการทำนายดวงชะตา (จริง ๆ) เลย กลับกัน มันแนะแนววิธีการใช้ชีวิตแบบไม่แคร์ดวง เหมือนที่แมวไม่แคร์วิถีชีวิตของมนุษย์ แต่พร้อมกันนั้น มันก็ให้คำแนะนำที่ดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นหมอดูและอยากเป็นหมอดูครับ

    ----------

    Final Verdict: 🃏The Sun + 🃏The World + 🃏The Star + 🃏Ten of Cups + 🃏Wheel of Fortune

    'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' จะช่วยให้คุณเข้าใจความจริงว่า ต่อให้โลกนี้จะหมุนไปและชีวิตนำพาอะไรมาให้คุณ แต่คุณก็สามารถเฉิดฉายในแบบของตัวเองและมีความสุขทุกวันได้ ขอแค่คุณปล่อยจอยกับชีวิต คิดเสียว่าลาออกจากการมนุษย์แล้วทำตัวเหมือนเป็นแมวเสีย เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แค่เวลาจำกัด แล้วทำไม เราต้องปล่อยให้เรื่องชั่วประเดี๋ยวประด๋าว (เมื่อเทียบกับเวลาของจักรวาล) มาขัดจังหวะการเก็บเกี่ยวความสุขในแต่ละวันของเราด้วย จริงไหม?

    🃏🃏🃏🃏🃏
    แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่งคาเฟมาร์เนิล (2025)
    • แปลจาก: 人間やめたマヌルさんが、あなたの人生占います (2023)
    • ผู้เขียน: ฮัตสึกิ โอโตะ
    • ผู้แปล: วิลาสินี จงสถิตวัฒนา
    • สำนักพิมพ์: Lumi (ในเครือนานมีบุ๊คส์)
    ไพ่ที่ใช้: ไพ่ทาโรต์แถมพิเศษเฉพาะฉบับพิมพ์ครั้งแรกของนิยายเรื่องนี้
    วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่ตอนนี้มีเยอะมากโดยเฉพาะจากฝั่งตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี) แต่ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร คือเรื่องแนวฟีลกู๊ดประเภทสถานที่เยียวยาจิตใจ ไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกจิตใจหยาบกระด้างหรือชอบเสพแต่ความดาร์กและความสยอง แต่เพราะผมมองว่าตัวเองพอดักทางได้ว่าเรื่องพวกนั้นมี "สาร" อย่างไร ต้องการสอนผู้อ่านอย่างไร ทั้งนี้ก็จะมีบางเรื่องที่เป็นข้อยกเว้น หนึ่งในนั้นคือคาเฟ่ของแม่หมอมานูล 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' โดย อัตสึกิ โอโตะ เป็นนิยายแบบที่ผมคงไม่สนใจในแวบแรก ถ้าไม่ใช่เพราะโดนล่อตาล่อใจจากของแถมที่ทาง สนพ. บอกว่ามีเฉพาะในรอบพิมพ์ครั้งแรกเท่านั้น นั่นคือ ไพ่ทาโรต์ขนาดเล็ก ๆ 5 ใบที่เป็นภาพคุณมานูล แมวหมอดูตัวเอกประจำเรื่อง ข้อนี้เลยเป็นตัวแปรสำคัญให้ผมเปิดใจรับหนังสือเล่มนี้มาบรรจุเข้าชั้นที่บ้าน ไหน ๆ ก็พูดถึงหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมก็เห็นว่ามันควรค่าแก่การรีวิวในแบบของไพ่เราเผาเรื่อง แต่รอบนี้จะต่างจากครั้งอื่น ๆ ตรงที่ผมจะไม่ใช้ไพ่ทาโรต์หรือไพ่พยากรณ์สำรับใด ๆ ในคลัง แต่จะใช้ไพ่แถม 5 ใบที่มากับหนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือประกอบการ "เผาเรื่อง" โดยสับไพ่แล้วสุ่มหยิบตามลำดับ ขอเชิญรับชม #ไพ่เราเผาหนังสือ 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' ด้วยไพ่แถมสุดน่ารักทั้ง 5 ใบ ได้ ณ บัดนี้ครับ ---------- "เรื่องจบในตอนพร้อมข้อคิดดี ๆ" 🃏The Sun + 🃏The World ในไพ่ทาโรต์ 78 ใบ The Sun เป็นไพ่ที่ความหมายดีรอบด้านในอันดับต้น ๆ แต่ไพ่ใบนี้ยังสื่อถึง "ความจริง" และ "ข้อคิดที่เป็นประโยชน์" ได้ด้วย ส่วน The World ในฐานะไพ่ใบสุดท้ายของไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) จึงมักสื่อความถึง "จุดสิ้นสุด" และ "ความสมบูรณ์" แต่มันไม่ใช่การตัดจบแบบบริบูรณ์หรือ Happily Ever After ทว่าเป็นการจบลงของบทหนึ่งเพื่อที่จะเข้าสู่บทถัดไป 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' มีลักษณะการเขียนแบบที่มักเจอใน Fiction ประเภทสถานที่ที่ช่วยให้ผู้คนได้ฮีลใจ นั่นคือเป็นนวนิยายแบบเนื้อเรื่องจบในตอน (Episodic novel) โดยแต่ละตอนมักจะมีข้อคิดจรรโลงใจหรือมุมมองที่น่าสนใจแตกต่างกัน บางครั้งต่างตอนก็มีสารหรือข้อคิดสำหรับคนต่างกลุ่มต่างจำพวก หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 5 บท แต่ละบทสามารถอ่านแยกในฐานะเรื่องสั้นที่จบสมบูรณ์ในตัวเองได้ แต่ตอนหลัง ๆ ก็จะมีรายละเอียดบางอย่างที่ต่อเนื่องจากตอนก่อน ๆ ตัวละครดำเนินเรื่องในแต่ละตอนมีช่วงอายุ บทบาท และปัญหาคาใจแตกต่างกัน มีทั้งเด็กมัธยมที่หาทาง fit in ในสังคมห้องเรียน อินฟลูเอนเซอร์สาว ซิงเกิลมัม ไปจนถึงวัยกลางคนที่กำลังสับสนกับทิศทางชีวิตและหน้าที่การงานของตัวเอง จากนั้นโชคชะตาหรือพล็อตเรื่องก็จะพาตัวละครไปเจอกับคุณมานูลและคาเฟมาร์เนิล คุณมานูล ศูนย์กลางของเรื่อง เดิมเคยเป็นมนุษย์ชื่อ คาวาตานิ ไอซาวะ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง นางเลือก 'ลาออก' จากการเป็นมนุษย์ มาอยู่ในร่างของแมวมานูล (Manul) หรืออีกชื่อคือแมวพัลลาส (Pallas's cat) และรับดูดวงด้วยสารพัดวิธี ไม่ว่าจะใช้ไพ่ ลูกแก้ว หรือเครื่องเสี่ยงเซียมซีรูเลตต์ พร้อมทั้งเปิดคาเฟ่ร่วมกับคนที่น่าจะเป็นสามีและลูกสาว (ส่วนชื่อคาเฟ่ ทำไมถึงชื่อ "มาร์เนิล" แทนที่จะเป็น "มานูล" ตรงนี้ในหนังสือมีอธิบายไว้ แต่สั้น ๆ คือเป็นมุกที่เล่นกับตัวเขียนญี่ปุ่นแบบคาตาคานะ ซึ่งต้องขอชื่นชมผู้แปลที่พยายามเรียบเรียงเป็นไทยให้ใกล้เคียงโดยไม่เสียอรรถรสของต้นฉบับ) เนื้อเรื่องแต่ละตอนดำเนินไปอย่างค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ เริ่มจากแนะนำตัวละครและชีวิตประจำวันที่เจ้าตัวไม่พึงพอใจเท่าไร จากนั้นตัวละครก็จะได้เจอคุณมานูลช่วยทำนายดวงชะตาพร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบคร่าว ๆ เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งตัวละครจะทำตามและอะไร ๆ ก็ดูจะดีขึ้นจริง ๆ แต่แล้วก็จะมีเหตุสักอย่างให้ชีวิตตัวละครกลับไปเป็นแบบตอนต้นเรื่องหรือเผลอ ๆ เหมือนจะดูแย่ลง และทำให้ตัวละครได้รับการชี้แนะจากคุณมานูลเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้เรื่องก็จะดูจบตอนแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชวนให้นึกถึงโดราเอมอนแแบบอนิเมะในทีวีที่ฉายเป็นตอน ๆ หรือการ์ตูนต่อสู้อย่างเซเลอร์มูนช่วงแรก ๆ ที่จะมีตัวร้ายประจำสัปดาห์ (Monster of the week) มาให้ตัวเอกปราบ นิยายประเภทสถานที่ฮีลใจมักมีตัวละครประจำตอนที่แแตกต่างกันทั้งช่วงอายุและอาชีพ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของคนอ่านในกลุ่มต่าง ๆ นิยายเล่มนี้ก็เช่นกัน ทั้ง 5 ตอนมีตัวละครตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ผู้เขียนคคาดหวังว่าจะรวมอยู่ในหมู่คนอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย และถึงแม้ปัญหาที่ตัวละครในเรื่องเผชิญอาจไม่ตรงกับเรื่องที่คนอ่านในช่วงวัยเดียวกันเจอในชีวิตจริงทั้งหมด แต่ข้อคิดและคำแนะนำจากคุณมานููลในแต่ละตอนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน ---------- "เยียวยาจิตใจในสถานที่ที่มอบความสุข" 🃏The Star + 🃏Ten of Cups The Star คือดวงดาว จึงเป็นไพ่ตัวแทนหลายสิ่งหลายอย่างที่คนเรามักเชื่อมโยงกับดาว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความโด่งดัง หรือความหวัง แต่มันก็มีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือ "การเยียวยา" ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่วนไพ่ 10 ถ้วย โดยทั่วไปมักหมายถึงบ้านหรือครอบครัว แต่บางกรณีก็สื่อถึง "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม" โดยเป็นความสุขที่มาจากกลุ่มคนที่อยู่กันสนิทชิดเชื้อเหมือนเป็นครอบครัว (แบบใน "แฟ้มเมอะหลี่" ของพี่ดอม ทอร์เรตโต แห่งซีรีส์ Fast & Furious) หรือจากาสถานที่มีผู้พร้อมจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่น คาเฟ่มาร์เนิลของคุณมานูลลงล็อกพอดีกับคำจำกัดความของสถานที่แบบที่ว่า แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ข้างบน ๆ นิยายเรื่องนี้ผลิตซ้ำ Trope ของสถานที่ที่ให้ความช่วยเหลือผู้คนในการแก้ปัญหาและเยียวยาจิตใจ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมกันในวงการวรรณกรรมฝั่งเอเชียตะวันออก แต่ละเรื่องอาจมีสถานที่ต่างกันไป บางเรื่องเป็นคาเฟ่ บางเรื่องเป็นร้านเบเกอรี่ บ้างเรื่องเป็นร้านหนังสือหรือห้องสมุด แต่ทุกเรื่องจบลงที่ตัวละครซึ่งไปเยือนสถานที่นั้น ๆ ได้เยียวยาบาดแผลหรือปมปัญหาในใจ หรือได้ปลดล็อกอะไรสักอย่างที่ติดค้างอยู่ น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ในชีวิตจริงซึ่งไม่ได้มีมนตร์วิเศษอยู่ (อย่างน้อยก็ในแบบที่มักเกิลอย่างเรา ๆ จับต้องและพิสูจน์ได้) คนเราก็มีสถานที่สำหรับเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำและแตกร้าว นอกจากกลับบ้านไปหาครอบครัวแล้ว ที่อื่นที่คนมักไปเพื่อฮีลใจตัวเอง เช่น คาเฟ่ ซุ้มหมอดู (หรือบางคนก็ทักไปหาหมอดูทางออนไลน์) และที่ใดก็ตามที่มีแมวอยู่ กล่าวอีกอย่างคือ คาเฟ่ การดูดวง และแมว คือ Top 3 แห่งเครื่องเยียวยาจิตใจของมนุษย์ในปัจจุบัน (ซึ่งจะเรียกว่าเป็นยุคทุนนิยมหรือยุคโพสต์โมเดิร์นก็ตามแต่) และสามอย่างที่ว่านี้ นอกจากในนิยายซีรีส์ "ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง" แล้ว ก็มีคุณมานูลในนิยายเรื่องนี้ที่รวมทุกอย่างไว้ในตัว เหมือนผู้เขียนจงใจ หรือไม่ก็สร้างไว้ให้คนอ่านที่ชอบ Overanalyze ได้สังเกตและทึกทักเอา ---------- "โชคชะตาไม่สำคัญเมื่อเธอนั้นกลายเป็นแมว" 🃏Wheel of Fortune ไพ่วงล้อแห่งโชคชะตาเป็นใบหนึ่งที่ท้าทายสกิลการอ่านและตีความไพ่ของผู้อ่านไพ่มากที่สุด บางบริบท มันสื่อถึงการที่โชคชะตากำลังดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าช่วงนั้นดวงกกำลังดี ๆ อยู่ มันก็อาจเป็นคำเตือนในระวังถึงขาลงของชีวิตที่ส่อแววมาแต่ไกล โดยรวมแล้ว ไพ่ใบนี้สื่อถึง "โชคชะตา" ในภาพรวม ซึ่งโดยตัวมันเองไม่มีดีหรือร้าย แต่ที่เรามองว่าดีหรือร้ายก็เพราะเรามองจากมุมมองของตัวเรา ถ้าเรามองเรื่องที่เกิดกับคนอื่น หรือมองตัวเองอย่างเป็นภววิสัย เราก็คงมองว่าททุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ เดี๋ยวมีดี เดี๋ยวมีร้าย ไม่แน่ไม่นอน เผลอ ๆ คาดเดาไม่ได้ (หากเราเชื่อตาม Chaos Theory) และด้วยเหตุนี้ ไพ่ใบนี้จึงหมายรวมถึงการพยากรณ์ การดูดวง หรือการตรวจสอบดวงชะตาเช่นกัน ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไหม ตอนเห็นชื่อหนังสือฉบับแปลไทยครั้งแรก ก็คิดว่าคุณมานูลน่าจะเป็นตัวละครประเภทกวน ๆ ที่ทำนายดวงตรงมั่งมั่วมั่ง (แต่สุดท้ายก็ช่วยให้ตัวละครในแต่ละตอนได้มีความสุขอยู่ดี ตามแนวทางของนิยายฮีลใจแบบนี้) แต่พอได้อ่านจริงก็พบว่านางเป็นคาแรกเตอร์ประเภทกวน ๆ จริง กวนแบบน่ารัก ๆ ชนิดที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะอยากมีเพื่อนสนิทแบบนี้สักคนสองคน ทว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะหายไปคือการทำนายแบบมั่ว ๆ เพราะเท่าที่อ่านเจอในเรื่อง คุณมานูลไม่เคยทำนายดวงชะตาให้ตัวละครไหนแบบมั่ว ๆ เลย อย่างมากคือทำนายแบบส่งเดช พอให้เห็นว่ามีการใช้อุปกรณ์ทำนาย (อันนี้พูดในฐานะคนที่ทุกวันนี้รายรอบด้วยคนในวงการนักพยากรณ์ และเคยเจอหมอดูที่ทำนายแบบมั่วซั่วมาจนมากเกินจะนับด้วยนิ้วมือรวมนิ้วเท้าได้) อันที่จริงชื่อต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นของนิยายเรื่องนี้แปลตรงตัวแค่ว่า "คุณมานูลผู้ลาออกจากการเป็นมนุษย์จะทำนายดวงชะตาให้คุณ" ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม คุณมานูลตลอดทั้งเรื่องจะเล่นอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่หมอดูทุกศาสตร์ทุกแขนงควรเป็นในตัว (ถ้ายังไม่เป็นก็ควรฝึกตัวเองให้เป็น หรือไป take course เสียโดยด่วน โปรดรู้ว่าสังคมทุกวันนี้กำลังต้องการมาก) นั่นคือการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตใจและสังคม เนื้อเรื่องไม่เคยฟันธงว่าคุณมานูลดูดวงเป็นจริง ๆ หรือไม่ แต่เรื่องแสดงให้เห็นว่านางดูคนเป็น เข้าใจว่าแต่ละคนกำลังขาดหรือล้นเกินในเรื่องอะไร ซึ่งก็น่าจะเป็นทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยนางยังเป็นมนุษย์ และจากตรงนี้ นางจึงให้คำแนะนำแบบแมว ๆ ให้แต่ละตัวละครรับไปหาทางแก้ปัญหาของตัวเองอย่างตรงจุด เนื้อเรื่องไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้คุณไอซาวะลาออกจากการเป็นมนุษย์แล้วผันตัวมาเป็นแมวมานูล แต่เมื่อดูจากคำใบ้ในแต่ละตอน (โดยเฉพาะตอนสุดท้าย) ผมมองว่านางคงเบื่อชีวิตมนุษย์ที่วัน ๆ ได้แต่ไหลไปตามสิ่งรอบข้างอย่างกระแสสังคม ความควาดหวังและแรงกดดันจากคนรอบข้าง (ซึ่งไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่เรารับมากระทำกับตัวเราเอง) ตลอดจนการยอมจำนนต่อ "โชคชะตา" เดี๋ยวดวงดี เดี๋ยวดวงซวย ช่วงนี้ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อหลีกเลี่ยงกาลกิณี ฯลฯ ในเมื่อมีแต่มนุษย์ที่ปวดหัววุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ แต่แมวใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องนำพาต่อสิ่งเหล่านี้ นางก็เลยเลิกเป็นมนุษย์แล้วเป็นแมวซะดื้อ ๆ แต่ครั้นจะเป็นแมวพันธุ์ธรรมดา ๆ พื้น ๆ ก็ไม่เอา เลยขอเป็นพันธุ์หายากอย่างแมวมานูล และพอเป็นแมวแล้ว นางเลยสามารถมองเรื่องราววุ่น ๆ ของมนุษย์ได้อย่างเป็นกลาง พร้อมทั้งให้คำแนะนำแบบชิล ๆ แต่ตรงประเด็นได้ ถึงแม้นิยายเรื่องนี้จะขึ้นชื่อว่ามีหมอดูอยู่ แต่เนื้อเรื่องแทบไม่เกี่ยวกับการทำนายดวงชะตา (จริง ๆ) เลย กลับกัน มันแนะแนววิธีการใช้ชีวิตแบบไม่แคร์ดวง เหมือนที่แมวไม่แคร์วิถีชีวิตของมนุษย์ แต่พร้อมกันนั้น มันก็ให้คำแนะนำที่ดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นหมอดูและอยากเป็นหมอดูครับ ---------- Final Verdict: 🃏The Sun + 🃏The World + 🃏The Star + 🃏Ten of Cups + 🃏Wheel of Fortune 'แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่คาเฟมาร์เนิล' จะช่วยให้คุณเข้าใจความจริงว่า ต่อให้โลกนี้จะหมุนไปและชีวิตนำพาอะไรมาให้คุณ แต่คุณก็สามารถเฉิดฉายในแบบของตัวเองและมีความสุขทุกวันได้ ขอแค่คุณปล่อยจอยกับชีวิต คิดเสียว่าลาออกจากการมนุษย์แล้วทำตัวเหมือนเป็นแมวเสีย เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แค่เวลาจำกัด แล้วทำไม เราต้องปล่อยให้เรื่องชั่วประเดี๋ยวประด๋าว (เมื่อเทียบกับเวลาของจักรวาล) มาขัดจังหวะการเก็บเกี่ยวความสุขในแต่ละวันของเราด้วย จริงไหม? 🃏🃏🃏🃏🃏 แมวหมอดูผู้ทำนายมั่ว ๆ แห่งคาเฟมาร์เนิล (2025) • แปลจาก: 人間やめたマヌルさんが、あなたの人生占います (2023) • ผู้เขียน: ฮัตสึกิ โอโตะ • ผู้แปล: วิลาสินี จงสถิตวัฒนา • สำนักพิมพ์: Lumi (ในเครือนานมีบุ๊คส์) ไพ่ที่ใช้: ไพ่ทาโรต์แถมพิเศษเฉพาะฉบับพิมพ์ครั้งแรกของนิยายเรื่องนี้
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 336 Views 0 Reviews
  • สำหรับผม ญี่ปุ่นและไทยคล้ายคลึงกันมากในปริมณฑลเรื่องเหนือธรรมชาติ ไทยเรามีภูตผีหลากหลายดีไซน์มากพอ ๆ กับโยไคของญี่ปุ่น ต่างกันแค่ผีญี่ปุ่นยังมีการรวมตัวเดินขบวนพาเหรดเป็น "ขบวนแห่ร้อยอสูร" (百鬼夜行 - เฮียกกิยาเกียว) จนเมื่อได้อ่านนิยายเล่มนี้เองที่ได้เจอเรื่องราวของขบวนแห่แบบที่ว่าในรูปผสมผสานสองเชื้อชาติ

    'เฮียกกิยาเกียว ขบวนแห่ร้อยผีแห่งเดือนเพ็ญพิศวง' โดย กันตชาต ชวนะวิรัช เป็นนวนิยายที่ได้รับคัดเลือกจาก บ.อมรินทร์ให้ตีพิมพ์ในโปรเจกต์ "ไทยเล่าไทยหลอน" เนื้อเรื่องเกิดขึ้นในที่ที่เป็นไปได้มากว่าจะอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช มีตำนานท้องถิ่นกล่าวถึงขบวนแห่ร้อยผีที่มีผู้ร่วมขบวนทั้งผีไทยและผีญี่ปุ่น มีผู้นำขบวนคือ เทพอาคันตุกะ หรือนูราริเฮียง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งโยไคของญี่ปุ่น เล่ากันว่าหากคนทั่วไปที่ไม่ได้มีสัมผัสพิเศษมองเห็นขบวนแห่ร้อยผีเข้า ก็จะโดนทั้งขบวนตามล่าเพื่อนำวิญญาณไปร่วมขบวนด้วย ในเนื้อเรื่อง อัญรินทร์เห็นขบวนแห่นี้และโดนหมายหัว อัคร น้องชายวัย ม.ปลาย ซึ่งมองเห็นวิญญาณได้ จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อพาพี่สาวหลบหนีจากขบวนแห่ร้อยผี แม้กระทั่งต้องเข้าไปซ่อนในบ้านเด็กกำพร้าผีสิงก็ตาม

    ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องผี มีคำว่า "ผี" อยู่ในชื่อเรื่อง แต่โทนเรื่องโดยรวมไม่ได้เน้นความน่ากลัวสยองขวัญเท่าไร (สำหรับผมอะนะ) ออกจะเป็นแฟนตาซีที่แฝงกลิ่นอายลึกลับแบบ Spirited Away ของสตูดิโอจิบลิมากกว่า คงเพราะมีผีญี่ปุ่นอยู่ในเรื่องด้วย (แต่ก็น่าเสียดายนิดหน่อยที่เอาจริง ๆ ถ้าเทียบแอร์ไทม์แล้ว ผีในขบวนแห่ร้อยผีกลับมีบทบาทน้อยกว่าผีที่ไม่ได้อยู่ในขบวนแห่เสียอีก) ทั้งนี้ ตอนจบทั้งสวยงามและปวดตับอย่างยิ่ง ต่อให้คุณพอจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ผมเชื่อว่าบทสุดท้ายก็น่าจะกระชากอารมณ์คุณไม่มากก็น้อย ยกเว้นก็แต่คุณจะอารมณ์ตายด้านไปแล้วหรือไม่ก็เป็นไซโคพาธ อี๋ย์ ไปให้พ้น ชิ่ว ๆ

    อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่พื้นที่ที่ผมจะรีวิวหนังสือ แต่ผมจะให้ไพ่ทาโรต์หรือไพ่พยากรณ์ในคลังของผมกำหนดประเด็นที่จะรีวิว วิจารณ์ หรือหยิบยกมาพูด แล้วผมจะนำมาแปลและถ่ายทอดต่ออีกที โดยสุ่มจับไพ่ 4 ใบ และใช้ไพ่ใต้กองอีก 1 ใบ

    สำหรับนิยายเล่มนี้ ซึ่งมีภูตผีญี่ปุ่นมาเกี่ยวข้อง ผมก็คิดว่าน่าจะเหมาะสมถ้าใช้ไพ่ที่มีธีมเป็นผีญี่ปุ่นมาทำการ "เผาเรื่อง" นั่นคือไพ่ชุด 'Yokai Tarot' โดย สนพ.Lo Scarabeo จากอิตาลี

    ขอเชิญรับชม #ไพ่เราเผาหนังสือ 'เฮียกกิยาเกียว ขบวนแห่ร้อยผีแห่งเดือนเพ็ญพิศวง' ด้วย 'Yokai Tarot' ได้ ณ บัดนี้ครับ

    ----------

    "หลอกลวงคนอ่านอย่าง(เกือบ)แนบเนียน"
    🃏I-The Magician + 🃏XIV-Temperance

    ไพ่ Magician ของ Yokai Tarot เลือกหน้าไพ่เป็นปีศาจทานุกิ ซึ่งเป็นโยไคที่ขึ้นชื่อเรื่องการแปลงร่างไปหลอกลวงหรือแกล้งมนุษย์ ตรงกับความหมายในแง่ "การหลอกลวง" ของไพ่นักมายากล ส่วนไพ่ Temperance มีหน้าไพ่เป็น "นิงเกียว" หรือก็คือนางเงือกแบบญี่ปุ่น เชื่อกันว่าเนื้อของเงือกญี่ปุ่นจะทำให้อายุยืนยาวหรือถึงขั้นเป็นอมตะ แต่เฉพาะในบริบทของไพ่แห่งความพอดี เงือกคือตัวตนที่แสดงถึงความสอดประสานกันอย่างลงตัว กลมเกลียว และ "แนบเนียน" ระหว่างสิ่งตรงข้าม ไม่ว่าจะคนและปลา หรือบกและน้ำ

    'เฮียกกิยาเกียว' เป็นนิยายที่ไม่ได้ใส่ผีมาหลอกตัวละครในเรื่องอย่างเดียว แต่ตัวมันยังพยายามหลอกคนอ่านอย่างเราให้เข้าใจผิดเกือบตลอดเวลา ซึ่งก็มาพร้อมกับ Plot twists หรือการหักมุมหลายตลบ แต่ก็ไม่ได้เป็นการหักแบบคอพับ 180 องศาชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ย ระหว่างทาง เนื้อเรื่องจะแอบหยอดรายละเอียดที่ค่อย ๆ นำไปสู่การเฉลยปมหักมุมแต่ละเรื่อง ดังนั้นสำหรับผู้อ่านที่ช่างสังเกตและช่างคิด รวมถึงมีชั่วโมงบินเยอะ ก็อาจคาดเดาจุดหักมุมแต่ละจุดได้ไม่ยาก รวมถึง Plot twist ใหญ่ในหน้า 226

    นอกจากนี้ ผมชอบเป็นพิเศษที่ไพ่ Temperance ขึ้นมาในหัวข้อนี้พอดี ความหมายหลักอย่างหนึ่งของไพ่ใบนี้คือ "ความกลมเกลียว" และ "การสอดประสานกันอย่างลงตัว" ซึ่งเป็นคำที่ใช้อธิบายได้ดีอย่างยิ่งกับความสัมพันธ์ระหว่างสังคมมนุษย์กับสังคมผีในนิยายเรื่องนี้ เนื้อเรื่องบรรยายว่าชุมชนในเรื่องเป็นที่ที่ผีและคนอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด จนบางครั้งพรมแดนระหว่าง 2 ภพก็พร่าเลือนโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรืออาจจะทั้ง 2 ฝ่ายไม่รู้ตัว ซึ่งนี่ก็เป็นกลวิธีอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนใช้หลอกลวงคนอ่านด้วย (แน่นอนว่าตรงนี้ไม่ได้สปอยล์สาระสำคัญของเรื่องแต่อย่างใด ;) )

    ----------

    "บูรณาการตำนาน(ผี)จากสองชาติ"
    🃏Queen of Coins (Queen of Pentacles) + 🃏3 of Coins (3 of Pentacles)

    โยไคบนหน้าไพ่ราชินีเหรียญของชุด Yokai Tarot คือ "ยามะฮิเมะ" (เจ้าหญิงแห่งขุนเขา) ซึ่งมีบทบาทคล้าย ๆ วิญญาณเจ้าป่าเจ้าเขาในไทยเรา เป็นผู้ปกปักรักษาสิ่งต่าง ๆ ในพื้นที่ภูเขาของตน ทั้งป่าดงพงไพร พืช สัตว์ รวมถึงมนุษย์ที่อาศัยในบริเวณนั้นและเคารพบูชานาง บทบาทตามตำนานความเชื่อของโยไคตนนี้ตรงกับความหมายของไพ่ราชินีเหรียญในแง่การเป็นผูปกปักรักษา บำรุงเลี้ยงดู ขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงกับความหมายด้านธรรมชาติของไพ่ใบนี้ด้วย ส่วนในบริบทของนิยายเรื่องนี้ ผมตีความว่าไพ่ใบนี้สื่อถึงสิ่งที่เป็นเสมือนธรรมชาติเก่าแก่ในชุมชนท้องที่ต่าง ๆ ซึ่งก็คือวัฒนธรรม ตำนาน คติชน และเรื่องเล่าต่าง ๆ ที่มีมาแต่โบราณในท้องที่นั้น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในท้องถิ่นหวนแหนและดูแลสืบต่อไปยังชนรุ่นหลัง

    ส่วนไพ่ 3 เหรียญเป็นภาพของ "อิปปงดาตาระ" โยไคตาเดียวขาเดียวที่ว่ากันว่าเคยเป็นช่างฝีมือมาก่อน แต่แกทุ่มเทให้กับงานที่ทำมากเกินไปจนสูญเสียดวงตากับขาไปอย่างละข้าง ไพ่ชุดนี้นำโยไคตนนี้มาเชื่อมโยงกับไพ่ 3 เหรียญในแง่ที่ตัวมันเป็นภูตที่มีที่มาจากช่างฝีมือ ซึ่งเป็นความหมายหนึ่งของไพ่ใบนี้ ส่วนอีกความหมายที่รู้จักกันมากกว่าคือ "การร่วมมือ" (รวมถึงงานประเภทคอลแลบฯ ระหว่างศิลปิน) และ "การบูรณาการ"

    ไพ่สองใบนี้รวมกัน จึงสื่อถึง การบูรณาการของตำนานความเชื่อเก่าแก่ ซึ่งในบริบทของ 'เฮียกกิยาเกียว' มันก็คือการบูรณาการความเชื่อเกี่ยวกับภูตผีของไทยและญี่ปุ่น จนกลายมาเป็นขบวนแห่ร้อยผีประจำนิยายเรื่องนี้ ซึ่งเป็นจุดเด่นของเรื่องที่ต้องชื่นชมความช่างคิดของผู้เขียนจริง ๆ

    ในขบวนแห่ร้อยผี นอกจากจะมีโยไคญี่ปุ่นอย่างนูราริเฮียงแล้ว ยังมีผีไทยที่คนภาคกลางอาจไม่คุ้นเคยเท่าไร เช่น ผีม้าบ้อง ซึ่งมีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งม้าคล้ายเซนทอร์ของกรีก (ในนิยายเล่มนี้เรียกผีม้าบ้องว่า "เซนทอร์แห่งล้านนา" ด้วยซ้ำ) หรือแมวจะกละ แมวดำที่ทำให้มนุษย์ที่ได้สัมผัสร่างต้องพบความตายอย่างน่าสยดสยอง นอกจากนั้นยังมีผีบางตนที่มีอยู่ในทั้งเรื่องผีของไทยและญี่ปุ่นอย่างผีกระสือ ซึ่งเวอร์ชันของญี่ปุ่นเรียกว่า "นูเกะคูบิ"

    นอกจากนั้น นิยายเรื่องนี้ยังบูรณาการเรื่องจริงที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ไทยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องด้วย โดยเชื่อมโยงกับชีวิตของยามาดะ นางามาสะ หรือ ออกญาเสนาภิมุข (ซึ่งตรงนี้ทำให้ผมค่อนข้างเชื่อว่า ฉากท้องเรื่องของเรื่องนี้อยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช)

    ----------

    "บางสิ่งที่ไม่อาจหนีพ้น"
    ใต้กอง: 🃏Judgement

    ไพ่ใต้กองของการเปิดไพ่ "เผาเรื่อง" ครั้งนี้คือไพ่ Judgement ซึ่งเป็นภาพของโยไคชื่อ "คิโยะฮิเมะ" นางเป็นปีศาจงูที่ไปตกหลุมรักพระรูปหนึ่งอย่างจัง แต่พระหนุ่มไม่เล่นด้วย ทิ้งนางอย่างไม่ไยดี นางจึงตามล่าพระหนุ่มไปทั่วญี่ปุ่น จนในที่สุด พระหนุ่มไปหลบซ่อนในระฆังวัด แต่นางก็หาเจอ และคลายขนดหางออกมารัดระฆัง ก่อนจะพ่นไฟออกมาย่างสดพระหนุ่ม โหดฉิบ แต่ใด ๆ คือ ไพ่ชุดนี้เลือกวีรกรรมการตามล่าเหยื่ออย่างไม่ลดไม่ละของนางมาเชื่อมโยงกับความหมายของไพ่ Judgement ในด้านการมาถึงของบางสิ่งที่เราไม่อาจหนีพ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม อาจเป็นความจริงหรือสัจธรรมของจักรวาล

    การถูกตามล่าโดยบางสิ่งที่ไม่อาจหนีพ้น คือแก่นเรื่องของ 'เฮียกกิยาเกียว' ใครก็ตามที่มองเห็นขบวนแห่ร้อยผี (ยกเว้นผู้มีตาทิพย์หรือสัมผัสพิเศษ) จะต้องถูกตามล่าไปตลอดกาล จนกว่าภูตผีในขบวนจะจับตัวและพาไปร่วมขบวนได้ อาจมีบางช่วงเวลาหรือเงื่อนไขที่ช่วยให้ยืดเวลาหรือหลบหนีจากขบวนแห่ร้อยผีได้ แต่ก็ทำได้แค่ชั่วคราว

    เมื่ออ่านนิยายเล่มนี้ไปเรื่อย ๆ คนอ่านจะพบว่า ไม่ได้มีแค่อัครและอัญรินทร์ สองตัวละครเอกที่พยายามหนีจากขบวนแห่ร้อยผี มีคนอื่นที่เคยพบเจอและพยายามหนีจากพวกมันด้วย รวมทั้งมีตัวละครอื่นที่พยายามหลบหนีจากอะไรอย่างอื่น แต่ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่มีทางหลบหนีพ้น ดังนั้นจึงมีทางเลือกแค่หาทางหนีประวิงเวลาไปเรื่อย ๆ หรือยอมจำนน

    ----------

    Final Verdict: 🃏I-The Magician + 🃏XIV-Temperance + 🃏Queen of Coins (Queen of Pentacles) + 🃏3 of Coins (3 of Pentacles) + 🃏Judgement (ใต้กอง)

    'เฮียกกิยาเกียว' เป็นเรื่องที่นำตำนานความเชื่อและเรื่องเหล่าอันแตกต่างหลากหลายมาผสมผสานและบูรณาการเข้าด้วยกันอย่าชาญฉลาดและลงตัว พร้อมกับทำให้ปิดเล่มไปด้วยความจรรโลงใจและการตระหนักซึ่งในสัจธรรมบางประการ

    🃏🃏🃏🃏🃏
    เฮียกกิยาเกียว ขบวนแห่ร้อยผีแห่งเดือนเพ็ญพิศวง (2025)
    • ผู้เขียน: กันตชาต ชวนะวิรัช
    • สำนักพิมพ์: Prism (ในเครืออมรินทร์)
    ไพ่ที่ใช้: Yokai Tarot (2024) ผลิตและจัดจำหน่ายโดย Lo Scarabeo Tarot
    สำหรับผม ญี่ปุ่นและไทยคล้ายคลึงกันมากในปริมณฑลเรื่องเหนือธรรมชาติ ไทยเรามีภูตผีหลากหลายดีไซน์มากพอ ๆ กับโยไคของญี่ปุ่น ต่างกันแค่ผีญี่ปุ่นยังมีการรวมตัวเดินขบวนพาเหรดเป็น "ขบวนแห่ร้อยอสูร" (百鬼夜行 - เฮียกกิยาเกียว) จนเมื่อได้อ่านนิยายเล่มนี้เองที่ได้เจอเรื่องราวของขบวนแห่แบบที่ว่าในรูปผสมผสานสองเชื้อชาติ 'เฮียกกิยาเกียว ขบวนแห่ร้อยผีแห่งเดือนเพ็ญพิศวง' โดย กันตชาต ชวนะวิรัช เป็นนวนิยายที่ได้รับคัดเลือกจาก บ.อมรินทร์ให้ตีพิมพ์ในโปรเจกต์ "ไทยเล่าไทยหลอน" เนื้อเรื่องเกิดขึ้นในที่ที่เป็นไปได้มากว่าจะอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช มีตำนานท้องถิ่นกล่าวถึงขบวนแห่ร้อยผีที่มีผู้ร่วมขบวนทั้งผีไทยและผีญี่ปุ่น มีผู้นำขบวนคือ เทพอาคันตุกะ หรือนูราริเฮียง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งโยไคของญี่ปุ่น เล่ากันว่าหากคนทั่วไปที่ไม่ได้มีสัมผัสพิเศษมองเห็นขบวนแห่ร้อยผีเข้า ก็จะโดนทั้งขบวนตามล่าเพื่อนำวิญญาณไปร่วมขบวนด้วย ในเนื้อเรื่อง อัญรินทร์เห็นขบวนแห่นี้และโดนหมายหัว อัคร น้องชายวัย ม.ปลาย ซึ่งมองเห็นวิญญาณได้ จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อพาพี่สาวหลบหนีจากขบวนแห่ร้อยผี แม้กระทั่งต้องเข้าไปซ่อนในบ้านเด็กกำพร้าผีสิงก็ตาม ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องผี มีคำว่า "ผี" อยู่ในชื่อเรื่อง แต่โทนเรื่องโดยรวมไม่ได้เน้นความน่ากลัวสยองขวัญเท่าไร (สำหรับผมอะนะ) ออกจะเป็นแฟนตาซีที่แฝงกลิ่นอายลึกลับแบบ Spirited Away ของสตูดิโอจิบลิมากกว่า คงเพราะมีผีญี่ปุ่นอยู่ในเรื่องด้วย (แต่ก็น่าเสียดายนิดหน่อยที่เอาจริง ๆ ถ้าเทียบแอร์ไทม์แล้ว ผีในขบวนแห่ร้อยผีกลับมีบทบาทน้อยกว่าผีที่ไม่ได้อยู่ในขบวนแห่เสียอีก) ทั้งนี้ ตอนจบทั้งสวยงามและปวดตับอย่างยิ่ง ต่อให้คุณพอจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ผมเชื่อว่าบทสุดท้ายก็น่าจะกระชากอารมณ์คุณไม่มากก็น้อย ยกเว้นก็แต่คุณจะอารมณ์ตายด้านไปแล้วหรือไม่ก็เป็นไซโคพาธ อี๋ย์ ไปให้พ้น ชิ่ว ๆ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่พื้นที่ที่ผมจะรีวิวหนังสือ แต่ผมจะให้ไพ่ทาโรต์หรือไพ่พยากรณ์ในคลังของผมกำหนดประเด็นที่จะรีวิว วิจารณ์ หรือหยิบยกมาพูด แล้วผมจะนำมาแปลและถ่ายทอดต่ออีกที โดยสุ่มจับไพ่ 4 ใบ และใช้ไพ่ใต้กองอีก 1 ใบ สำหรับนิยายเล่มนี้ ซึ่งมีภูตผีญี่ปุ่นมาเกี่ยวข้อง ผมก็คิดว่าน่าจะเหมาะสมถ้าใช้ไพ่ที่มีธีมเป็นผีญี่ปุ่นมาทำการ "เผาเรื่อง" นั่นคือไพ่ชุด 'Yokai Tarot' โดย สนพ.Lo Scarabeo จากอิตาลี ขอเชิญรับชม #ไพ่เราเผาหนังสือ 'เฮียกกิยาเกียว ขบวนแห่ร้อยผีแห่งเดือนเพ็ญพิศวง' ด้วย 'Yokai Tarot' ได้ ณ บัดนี้ครับ ---------- "หลอกลวงคนอ่านอย่าง(เกือบ)แนบเนียน" 🃏I-The Magician + 🃏XIV-Temperance ไพ่ Magician ของ Yokai Tarot เลือกหน้าไพ่เป็นปีศาจทานุกิ ซึ่งเป็นโยไคที่ขึ้นชื่อเรื่องการแปลงร่างไปหลอกลวงหรือแกล้งมนุษย์ ตรงกับความหมายในแง่ "การหลอกลวง" ของไพ่นักมายากล ส่วนไพ่ Temperance มีหน้าไพ่เป็น "นิงเกียว" หรือก็คือนางเงือกแบบญี่ปุ่น เชื่อกันว่าเนื้อของเงือกญี่ปุ่นจะทำให้อายุยืนยาวหรือถึงขั้นเป็นอมตะ แต่เฉพาะในบริบทของไพ่แห่งความพอดี เงือกคือตัวตนที่แสดงถึงความสอดประสานกันอย่างลงตัว กลมเกลียว และ "แนบเนียน" ระหว่างสิ่งตรงข้าม ไม่ว่าจะคนและปลา หรือบกและน้ำ 'เฮียกกิยาเกียว' เป็นนิยายที่ไม่ได้ใส่ผีมาหลอกตัวละครในเรื่องอย่างเดียว แต่ตัวมันยังพยายามหลอกคนอ่านอย่างเราให้เข้าใจผิดเกือบตลอดเวลา ซึ่งก็มาพร้อมกับ Plot twists หรือการหักมุมหลายตลบ แต่ก็ไม่ได้เป็นการหักแบบคอพับ 180 องศาชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ย ระหว่างทาง เนื้อเรื่องจะแอบหยอดรายละเอียดที่ค่อย ๆ นำไปสู่การเฉลยปมหักมุมแต่ละเรื่อง ดังนั้นสำหรับผู้อ่านที่ช่างสังเกตและช่างคิด รวมถึงมีชั่วโมงบินเยอะ ก็อาจคาดเดาจุดหักมุมแต่ละจุดได้ไม่ยาก รวมถึง Plot twist ใหญ่ในหน้า 226 นอกจากนี้ ผมชอบเป็นพิเศษที่ไพ่ Temperance ขึ้นมาในหัวข้อนี้พอดี ความหมายหลักอย่างหนึ่งของไพ่ใบนี้คือ "ความกลมเกลียว" และ "การสอดประสานกันอย่างลงตัว" ซึ่งเป็นคำที่ใช้อธิบายได้ดีอย่างยิ่งกับความสัมพันธ์ระหว่างสังคมมนุษย์กับสังคมผีในนิยายเรื่องนี้ เนื้อเรื่องบรรยายว่าชุมชนในเรื่องเป็นที่ที่ผีและคนอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด จนบางครั้งพรมแดนระหว่าง 2 ภพก็พร่าเลือนโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรืออาจจะทั้ง 2 ฝ่ายไม่รู้ตัว ซึ่งนี่ก็เป็นกลวิธีอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนใช้หลอกลวงคนอ่านด้วย (แน่นอนว่าตรงนี้ไม่ได้สปอยล์สาระสำคัญของเรื่องแต่อย่างใด ;) ) ---------- "บูรณาการตำนาน(ผี)จากสองชาติ" 🃏Queen of Coins (Queen of Pentacles) + 🃏3 of Coins (3 of Pentacles) โยไคบนหน้าไพ่ราชินีเหรียญของชุด Yokai Tarot คือ "ยามะฮิเมะ" (เจ้าหญิงแห่งขุนเขา) ซึ่งมีบทบาทคล้าย ๆ วิญญาณเจ้าป่าเจ้าเขาในไทยเรา เป็นผู้ปกปักรักษาสิ่งต่าง ๆ ในพื้นที่ภูเขาของตน ทั้งป่าดงพงไพร พืช สัตว์ รวมถึงมนุษย์ที่อาศัยในบริเวณนั้นและเคารพบูชานาง บทบาทตามตำนานความเชื่อของโยไคตนนี้ตรงกับความหมายของไพ่ราชินีเหรียญในแง่การเป็นผูปกปักรักษา บำรุงเลี้ยงดู ขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงกับความหมายด้านธรรมชาติของไพ่ใบนี้ด้วย ส่วนในบริบทของนิยายเรื่องนี้ ผมตีความว่าไพ่ใบนี้สื่อถึงสิ่งที่เป็นเสมือนธรรมชาติเก่าแก่ในชุมชนท้องที่ต่าง ๆ ซึ่งก็คือวัฒนธรรม ตำนาน คติชน และเรื่องเล่าต่าง ๆ ที่มีมาแต่โบราณในท้องที่นั้น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในท้องถิ่นหวนแหนและดูแลสืบต่อไปยังชนรุ่นหลัง ส่วนไพ่ 3 เหรียญเป็นภาพของ "อิปปงดาตาระ" โยไคตาเดียวขาเดียวที่ว่ากันว่าเคยเป็นช่างฝีมือมาก่อน แต่แกทุ่มเทให้กับงานที่ทำมากเกินไปจนสูญเสียดวงตากับขาไปอย่างละข้าง ไพ่ชุดนี้นำโยไคตนนี้มาเชื่อมโยงกับไพ่ 3 เหรียญในแง่ที่ตัวมันเป็นภูตที่มีที่มาจากช่างฝีมือ ซึ่งเป็นความหมายหนึ่งของไพ่ใบนี้ ส่วนอีกความหมายที่รู้จักกันมากกว่าคือ "การร่วมมือ" (รวมถึงงานประเภทคอลแลบฯ ระหว่างศิลปิน) และ "การบูรณาการ" ไพ่สองใบนี้รวมกัน จึงสื่อถึง การบูรณาการของตำนานความเชื่อเก่าแก่ ซึ่งในบริบทของ 'เฮียกกิยาเกียว' มันก็คือการบูรณาการความเชื่อเกี่ยวกับภูตผีของไทยและญี่ปุ่น จนกลายมาเป็นขบวนแห่ร้อยผีประจำนิยายเรื่องนี้ ซึ่งเป็นจุดเด่นของเรื่องที่ต้องชื่นชมความช่างคิดของผู้เขียนจริง ๆ ในขบวนแห่ร้อยผี นอกจากจะมีโยไคญี่ปุ่นอย่างนูราริเฮียงแล้ว ยังมีผีไทยที่คนภาคกลางอาจไม่คุ้นเคยเท่าไร เช่น ผีม้าบ้อง ซึ่งมีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งม้าคล้ายเซนทอร์ของกรีก (ในนิยายเล่มนี้เรียกผีม้าบ้องว่า "เซนทอร์แห่งล้านนา" ด้วยซ้ำ) หรือแมวจะกละ แมวดำที่ทำให้มนุษย์ที่ได้สัมผัสร่างต้องพบความตายอย่างน่าสยดสยอง นอกจากนั้นยังมีผีบางตนที่มีอยู่ในทั้งเรื่องผีของไทยและญี่ปุ่นอย่างผีกระสือ ซึ่งเวอร์ชันของญี่ปุ่นเรียกว่า "นูเกะคูบิ" นอกจากนั้น นิยายเรื่องนี้ยังบูรณาการเรื่องจริงที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ไทยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องด้วย โดยเชื่อมโยงกับชีวิตของยามาดะ นางามาสะ หรือ ออกญาเสนาภิมุข (ซึ่งตรงนี้ทำให้ผมค่อนข้างเชื่อว่า ฉากท้องเรื่องของเรื่องนี้อยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช) ---------- "บางสิ่งที่ไม่อาจหนีพ้น" ใต้กอง: 🃏Judgement ไพ่ใต้กองของการเปิดไพ่ "เผาเรื่อง" ครั้งนี้คือไพ่ Judgement ซึ่งเป็นภาพของโยไคชื่อ "คิโยะฮิเมะ" นางเป็นปีศาจงูที่ไปตกหลุมรักพระรูปหนึ่งอย่างจัง แต่พระหนุ่มไม่เล่นด้วย ทิ้งนางอย่างไม่ไยดี นางจึงตามล่าพระหนุ่มไปทั่วญี่ปุ่น จนในที่สุด พระหนุ่มไปหลบซ่อนในระฆังวัด แต่นางก็หาเจอ และคลายขนดหางออกมารัดระฆัง ก่อนจะพ่นไฟออกมาย่างสดพระหนุ่ม โหดฉิบ แต่ใด ๆ คือ ไพ่ชุดนี้เลือกวีรกรรมการตามล่าเหยื่ออย่างไม่ลดไม่ละของนางมาเชื่อมโยงกับความหมายของไพ่ Judgement ในด้านการมาถึงของบางสิ่งที่เราไม่อาจหนีพ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม อาจเป็นความจริงหรือสัจธรรมของจักรวาล การถูกตามล่าโดยบางสิ่งที่ไม่อาจหนีพ้น คือแก่นเรื่องของ 'เฮียกกิยาเกียว' ใครก็ตามที่มองเห็นขบวนแห่ร้อยผี (ยกเว้นผู้มีตาทิพย์หรือสัมผัสพิเศษ) จะต้องถูกตามล่าไปตลอดกาล จนกว่าภูตผีในขบวนจะจับตัวและพาไปร่วมขบวนได้ อาจมีบางช่วงเวลาหรือเงื่อนไขที่ช่วยให้ยืดเวลาหรือหลบหนีจากขบวนแห่ร้อยผีได้ แต่ก็ทำได้แค่ชั่วคราว เมื่ออ่านนิยายเล่มนี้ไปเรื่อย ๆ คนอ่านจะพบว่า ไม่ได้มีแค่อัครและอัญรินทร์ สองตัวละครเอกที่พยายามหนีจากขบวนแห่ร้อยผี มีคนอื่นที่เคยพบเจอและพยายามหนีจากพวกมันด้วย รวมทั้งมีตัวละครอื่นที่พยายามหลบหนีจากอะไรอย่างอื่น แต่ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่มีทางหลบหนีพ้น ดังนั้นจึงมีทางเลือกแค่หาทางหนีประวิงเวลาไปเรื่อย ๆ หรือยอมจำนน ---------- Final Verdict: 🃏I-The Magician + 🃏XIV-Temperance + 🃏Queen of Coins (Queen of Pentacles) + 🃏3 of Coins (3 of Pentacles) + 🃏Judgement (ใต้กอง) 'เฮียกกิยาเกียว' เป็นเรื่องที่นำตำนานความเชื่อและเรื่องเหล่าอันแตกต่างหลากหลายมาผสมผสานและบูรณาการเข้าด้วยกันอย่าชาญฉลาดและลงตัว พร้อมกับทำให้ปิดเล่มไปด้วยความจรรโลงใจและการตระหนักซึ่งในสัจธรรมบางประการ 🃏🃏🃏🃏🃏 เฮียกกิยาเกียว ขบวนแห่ร้อยผีแห่งเดือนเพ็ญพิศวง (2025) • ผู้เขียน: กันตชาต ชวนะวิรัช • สำนักพิมพ์: Prism (ในเครืออมรินทร์) ไพ่ที่ใช้: Yokai Tarot (2024) ผลิตและจัดจำหน่ายโดย Lo Scarabeo Tarot
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 308 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยืนกรานทำถูกต้องในการกำหนดรีดภาษีอย่างครอบคลุมเล่นงานประเทศต่างๆทั่วโลก เตือนพลเมืองอเมริกาความเจ็บปวดรออยู่เบื้องหน้า แต่รับปากมันจะก่อการลงทุนและความรุ่งเรืองครั้งประวัติการณ์
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000032718
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยืนกรานทำถูกต้องในการกำหนดรีดภาษีอย่างครอบคลุมเล่นงานประเทศต่างๆทั่วโลก เตือนพลเมืองอเมริกาความเจ็บปวดรออยู่เบื้องหน้า แต่รับปากมันจะก่อการลงทุนและความรุ่งเรืองครั้งประวัติการณ์ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000032718
    Like
    Love
    Haha
    11
    0 Comments 0 Shares 1063 Views 0 Reviews
  • ** โฉมงามอวี๋ บุปผาวสันต์ จันทราสารทฤดู **

    สวัสดีค่ะ ก่อนอื่น Storyฯ ขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมาและหวังเพื่อนเพจทั้งหลายแคล้วคลาดปลอดภัย

    สัปดาห์ที่แล้วคุยถึงสีแดงจากเรื่อง <ต้นตำนานอาภรณ์จักรพรรดิ> มีการกล่าวถึงบทกวีที่มีชื่อว่า ‘อวี๋เหม่ยเหริน’ (虞美人) หรือ ‘โฉมงามอวี๋’ Storyฯ เคยเขียนถึงบทกวีนี้เมื่อนานมากแล้วแต่บทความถูกลบไป (อาจด้วยมีลิ้งค์ที่ต้องห้าม) วันนี้เลยแก้ไขแล้วเอามาลงใหม่ให้อ่านกัน

    ‘อวี๋เหม่ยเหริน’ เป็นบทกวีเลื่องชื่อของจีน และถูกกล่าวถึงในละครเรื่อง <บุปผาวสันต์ จันทราสารทฤดู> โดยชื่อของนางเอกพระเอก ‘ชุนฮวา’ และ ‘ชิวเยวี่ย’ มาจากวลีหนึ่งในบทกวีนี้ ซึ่งก็คือ ‘ชุนฮวาชิวเยวี่ยเหอสือเหลี่ยว หว่างซื่อจือตัวส่าว?’ (春花秋月何时了,往事知多少?) แปลตรงตัวว่า ‘บุปผาวสันต์จันทราสารทฤดูสิ้นสุดไปเมื่อใด มีเรื่องราวมากน้อยเท่าไรให้รำลึกถึง?’ โดยในซีรีส์เรื่องนี้มีการกล่าวถึงวรรคแรกของวลีนี้อยู่บ่อยครั้ง

    ฟังดูเหงาๆ โรแมนติก เป็นวลีฮอตฮิตยามชมจันทร์ ละครเรื่องนี้ก็เป็นแนวรักตลก จะมีเพื่อนเพจกี่ท่านที่ทราบถึงความเจ็บปวดที่แฝงไว้อยู่ในบทกวีนี้?

    บทกวี ‘อวี๋เหม่ยเหริน’ เป็นบทประพันธ์ขององค์หลี่อวี้ (ค.ศ. 937-978) ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์ถังปลายในช่วงยุคสมัยห้าราชวงศ์สิบแคว้น (คือคนเดียวกับที่สั่งให้จิตรกรไปวาดภาพงานเลี้ยงราตรีของหานซีจ่ายที่ Storyฯ เคยเล่าถึง)

    พระองค์ทรงมีชื่อเสียงในฐานะกวีที่มีผลงานน่ายกย่องหลายชิ้น แต่ก็ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่อ่อนแอที่สุดของจีน ภายหลังจากอาณาจักรถังปลายล่มสลาย องค์หลี่อวี้ถูกจับกุมเป็นเชลยศึกและกักบริเวณอยู่ที่เมืองตงจิง (เมืองหลวงของราชวงศ์ซ่ง คือเมืองไคเฟิงปัจจุบัน) โดยองค์เจ้าควงอิ้งปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซ่ง หลี่อวี้ได้รับการอวยบรรดาศักดิ์ให้ใหม่เป็นระดับโหว นามว่า ‘เหวยมิ่งโหว’ (ก็คือถูกถอดยศกษัตริย์เนื่องจากชาติล่มสลายไปแล้ว) เขาถูกกักบริเวณอยู่ด้วยกันกับมเหสีองค์ที่สองผู้ซึ่งมาจากสกุลโจวเช่นเดียวกับพระมเหสีองค์แรก นามจริงไม่ปรากฏ เรียกกันในประวัติศาสตร์ว่า ‘เสี่ยวโจวโฮ่ว’ (มเหสีสกุลโจวเล็ก) ว่ากันว่าเขารักนางมาก

    ต่อมาเข้าสู่รัชสมัยขององค์เจ้ากวงอี้ (ฮ่องเต้องค์ที่สองของราชวงศ์ซ่ง) หลี่อวี้ได้ประพันธ์บทกวี ‘อวี๋เหม่ยเหริน’ นี้ขึ้น ความหมายของบทกวีแปลได้ประมาณว่า: วันเวลาที่สวยงามสิ้นสุดไปแล้วอย่างรวดเร็ว เมื่อคืนนี้ลมบูรพาโชยมาอีกครา ภายใต้ดวงจันทร์ที่ทอแสงสุกสกาว จะทำอย่างไรให้ลืมความทุกข์ของการที่บ้านเมืองล่มสลาย? สถานที่ที่งดงามคงยังอยู่ แต่คนที่อยู่ในห้วงคะนึงหาคงล้วนแก่ชรากันไปตามเวลาแล้ว หากจะถามว่าใจข้าทุกข์เพียงใด... คงเปรียบได้ดั่งคลื่นนทีที่ไหล่รินสู่ทิศบูรพา

    จะเห็นได้ว่า ‘อวี๋เหม่ยเหริน’ เป็นบทกวีที่บรรยายถึงความทุกข์ขมขื่นในยามที่มองจันทร์ แต่ถูกองค์เจ้ากวงอี้ตีความหมายว่าหลี่อวี้คิดไม่ซื่อกับราชสำนักซ่ง หวังจะพลิกฟื้นราชวงศ์เดิมขึ้นใหม่ จึงพระราชทานยาพิษให้หลี่อวี้ฆ่าตัวตาย

    แต่มีเรื่องเล่าขานกันว่านี่เป็นเพียงข้ออ้าง ว่ากันว่าองค์เจ้ากวงอี้ทรงรอจังหวะหาข้ออ้างสังหารหลี่อวี้อยู่แล้วเพราะทรงหลงไหลในชายาเสี่ยวโจวของหลี่อวี้ผู้ซึ่งงามพิลาส ถึงกับทรงล่อลวงนางเข้าวังแล้วขืนใจและหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ในวัง จากนั้นมีการบังคับขืนใจนางอีกหลายครั้งครา มีการเล่าขานว่าทรงถึงขนาดให้จิตรกรมาวาดภาพขณะกำลังย่ำยีนางเพื่อส่งให้หลี่อวี้ดูเป็นการขยี้ใจ จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจของบทกวีนี้ขึ้น... ข้อเท็จจริงใช่อย่างนี้หรือไม่? ไม่มีใครยืนยันได้ มีการกล่าวไว้เพียงว่าบทกวีอวี๋เหม่ยเหรินนี้ทำให้หลี่อวี้ถูกพระราชทานยาพิษตาย แต่ก็มีเอกสารเรื่องเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ในสมัยหมิงที่กล่าวถึงภาพวาดที่องค์เจ้ากวงอี้ได้ทรงให้คนวาดขึ้นนี้

    นอกจากชื่อบทกวีแล้ว ‘อวี๋เหม่ยเหริน’ ยังเป็นชื่อเรียกดอกป๊อปปี้ ซึ่งเป็นดอกไม้ที่มีความหมายถึงความทุกข์และการตายจากพลัดพรากมาแต่จีนโบราณอีกด้วย

    วันนี้จบกันแบบสั้นๆ เศร้าๆ อย่างนี้แล

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://image.tmdb.org/t/p/original/enj2s0CNvp2oaf84j87H8Vsdbr0.jpg
    https://bowuguan.bucm.edu.cn/kpzl/zyyzs/57214.htm
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.lllst.com/guoxuejingdian/scmj/271349.html
    https://baike.baidu.com/item/虞美人·春花秋月何时了/10926799
    https://www.jianshu.com/p/8ff00c387fbe
    https://baike.sogou.com/v6849891.htm
    https://www.guwenxuexi.com/classical/24854.html
    https://k.sina.cn/article_1659337544_62e77b48001003bvc.html

    #บุปผาวสันต์ #จันทราสารทฤดู #ชุนฮวาชิวเยวี่ย #อวี๋เหม่ยเหริน #หลี่อวี
    ** โฉมงามอวี๋ บุปผาวสันต์ จันทราสารทฤดู ** สวัสดีค่ะ ก่อนอื่น Storyฯ ขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมาและหวังเพื่อนเพจทั้งหลายแคล้วคลาดปลอดภัย สัปดาห์ที่แล้วคุยถึงสีแดงจากเรื่อง <ต้นตำนานอาภรณ์จักรพรรดิ> มีการกล่าวถึงบทกวีที่มีชื่อว่า ‘อวี๋เหม่ยเหริน’ (虞美人) หรือ ‘โฉมงามอวี๋’ Storyฯ เคยเขียนถึงบทกวีนี้เมื่อนานมากแล้วแต่บทความถูกลบไป (อาจด้วยมีลิ้งค์ที่ต้องห้าม) วันนี้เลยแก้ไขแล้วเอามาลงใหม่ให้อ่านกัน ‘อวี๋เหม่ยเหริน’ เป็นบทกวีเลื่องชื่อของจีน และถูกกล่าวถึงในละครเรื่อง <บุปผาวสันต์ จันทราสารทฤดู> โดยชื่อของนางเอกพระเอก ‘ชุนฮวา’ และ ‘ชิวเยวี่ย’ มาจากวลีหนึ่งในบทกวีนี้ ซึ่งก็คือ ‘ชุนฮวาชิวเยวี่ยเหอสือเหลี่ยว หว่างซื่อจือตัวส่าว?’ (春花秋月何时了,往事知多少?) แปลตรงตัวว่า ‘บุปผาวสันต์จันทราสารทฤดูสิ้นสุดไปเมื่อใด มีเรื่องราวมากน้อยเท่าไรให้รำลึกถึง?’ โดยในซีรีส์เรื่องนี้มีการกล่าวถึงวรรคแรกของวลีนี้อยู่บ่อยครั้ง ฟังดูเหงาๆ โรแมนติก เป็นวลีฮอตฮิตยามชมจันทร์ ละครเรื่องนี้ก็เป็นแนวรักตลก จะมีเพื่อนเพจกี่ท่านที่ทราบถึงความเจ็บปวดที่แฝงไว้อยู่ในบทกวีนี้? บทกวี ‘อวี๋เหม่ยเหริน’ เป็นบทประพันธ์ขององค์หลี่อวี้ (ค.ศ. 937-978) ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์ถังปลายในช่วงยุคสมัยห้าราชวงศ์สิบแคว้น (คือคนเดียวกับที่สั่งให้จิตรกรไปวาดภาพงานเลี้ยงราตรีของหานซีจ่ายที่ Storyฯ เคยเล่าถึง) พระองค์ทรงมีชื่อเสียงในฐานะกวีที่มีผลงานน่ายกย่องหลายชิ้น แต่ก็ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่อ่อนแอที่สุดของจีน ภายหลังจากอาณาจักรถังปลายล่มสลาย องค์หลี่อวี้ถูกจับกุมเป็นเชลยศึกและกักบริเวณอยู่ที่เมืองตงจิง (เมืองหลวงของราชวงศ์ซ่ง คือเมืองไคเฟิงปัจจุบัน) โดยองค์เจ้าควงอิ้งปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซ่ง หลี่อวี้ได้รับการอวยบรรดาศักดิ์ให้ใหม่เป็นระดับโหว นามว่า ‘เหวยมิ่งโหว’ (ก็คือถูกถอดยศกษัตริย์เนื่องจากชาติล่มสลายไปแล้ว) เขาถูกกักบริเวณอยู่ด้วยกันกับมเหสีองค์ที่สองผู้ซึ่งมาจากสกุลโจวเช่นเดียวกับพระมเหสีองค์แรก นามจริงไม่ปรากฏ เรียกกันในประวัติศาสตร์ว่า ‘เสี่ยวโจวโฮ่ว’ (มเหสีสกุลโจวเล็ก) ว่ากันว่าเขารักนางมาก ต่อมาเข้าสู่รัชสมัยขององค์เจ้ากวงอี้ (ฮ่องเต้องค์ที่สองของราชวงศ์ซ่ง) หลี่อวี้ได้ประพันธ์บทกวี ‘อวี๋เหม่ยเหริน’ นี้ขึ้น ความหมายของบทกวีแปลได้ประมาณว่า: วันเวลาที่สวยงามสิ้นสุดไปแล้วอย่างรวดเร็ว เมื่อคืนนี้ลมบูรพาโชยมาอีกครา ภายใต้ดวงจันทร์ที่ทอแสงสุกสกาว จะทำอย่างไรให้ลืมความทุกข์ของการที่บ้านเมืองล่มสลาย? สถานที่ที่งดงามคงยังอยู่ แต่คนที่อยู่ในห้วงคะนึงหาคงล้วนแก่ชรากันไปตามเวลาแล้ว หากจะถามว่าใจข้าทุกข์เพียงใด... คงเปรียบได้ดั่งคลื่นนทีที่ไหล่รินสู่ทิศบูรพา จะเห็นได้ว่า ‘อวี๋เหม่ยเหริน’ เป็นบทกวีที่บรรยายถึงความทุกข์ขมขื่นในยามที่มองจันทร์ แต่ถูกองค์เจ้ากวงอี้ตีความหมายว่าหลี่อวี้คิดไม่ซื่อกับราชสำนักซ่ง หวังจะพลิกฟื้นราชวงศ์เดิมขึ้นใหม่ จึงพระราชทานยาพิษให้หลี่อวี้ฆ่าตัวตาย แต่มีเรื่องเล่าขานกันว่านี่เป็นเพียงข้ออ้าง ว่ากันว่าองค์เจ้ากวงอี้ทรงรอจังหวะหาข้ออ้างสังหารหลี่อวี้อยู่แล้วเพราะทรงหลงไหลในชายาเสี่ยวโจวของหลี่อวี้ผู้ซึ่งงามพิลาส ถึงกับทรงล่อลวงนางเข้าวังแล้วขืนใจและหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ในวัง จากนั้นมีการบังคับขืนใจนางอีกหลายครั้งครา มีการเล่าขานว่าทรงถึงขนาดให้จิตรกรมาวาดภาพขณะกำลังย่ำยีนางเพื่อส่งให้หลี่อวี้ดูเป็นการขยี้ใจ จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจของบทกวีนี้ขึ้น... ข้อเท็จจริงใช่อย่างนี้หรือไม่? ไม่มีใครยืนยันได้ มีการกล่าวไว้เพียงว่าบทกวีอวี๋เหม่ยเหรินนี้ทำให้หลี่อวี้ถูกพระราชทานยาพิษตาย แต่ก็มีเอกสารเรื่องเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ในสมัยหมิงที่กล่าวถึงภาพวาดที่องค์เจ้ากวงอี้ได้ทรงให้คนวาดขึ้นนี้ นอกจากชื่อบทกวีแล้ว ‘อวี๋เหม่ยเหริน’ ยังเป็นชื่อเรียกดอกป๊อปปี้ ซึ่งเป็นดอกไม้ที่มีความหมายถึงความทุกข์และการตายจากพลัดพรากมาแต่จีนโบราณอีกด้วย วันนี้จบกันแบบสั้นๆ เศร้าๆ อย่างนี้แล (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://image.tmdb.org/t/p/original/enj2s0CNvp2oaf84j87H8Vsdbr0.jpg https://bowuguan.bucm.edu.cn/kpzl/zyyzs/57214.htm Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.lllst.com/guoxuejingdian/scmj/271349.html https://baike.baidu.com/item/虞美人·春花秋月何时了/10926799 https://www.jianshu.com/p/8ff00c387fbe https://baike.sogou.com/v6849891.htm https://www.guwenxuexi.com/classical/24854.html https://k.sina.cn/article_1659337544_62e77b48001003bvc.html #บุปผาวสันต์ #จันทราสารทฤดู #ชุนฮวาชิวเยวี่ย #อวี๋เหม่ยเหริน #หลี่อวี
    0 Comments 0 Shares 410 Views 0 Reviews
  • 04-04-68/04 : หมี CNN / "FRIDAY JASON" ศุกร์ สยิวกิ้ว! EP13

    อย่าคิดว่าคนไม่รู้ทันมรึง อีเหลี่ยมจัด! อยู่ดีดี จัดวาระแทรก "กาสิโอ๊ะ" เพื่อเรียกแขกเพื่อ? สับขาหลอก เบี่ยงเบนประเด็นกงศุลเหี้ยที่เชียงใหม่..พ่องดิ? หลังแผ่นดินไหว หลายฝ่ายจับโป๊ะ 9/11 ใครกำกับ MADE IN C HIA ก่อนมรึงจะสาวไส้ไปถึงผู้อยู่เบื้องหลังฝังระเบิดรากฐานตึกสตง. ชิงตัดตอนก่อนด้วย "กาสิโอ๊ะ" งานเผาน่ะมรึง? ล่อ คปท.ช่วยออกมาไล่ ในทางกลับกัน มรึงยิ่งเปิดเผยโฉมหน้าแท้จริงออกมา ยิ่งดิ้น ยิ่งหลุด รู้หรือไม่ กลุ่มคปท.(เฉพาะกิจ) มีเพ่น้องเสื้อแดง เข้าร่วมด้วย กลายร่างเป็นเสื้อหลากสี เค้าจะไปเอาคืนมรึงที่ตอแหลทั้งตระกูล หน่วยข่าวกรองเค้ารู้นานแล้ว ว่าจะมีการก่อวินาศกรรมในกทม. โดยอาศัย HAARP นำ แล้วจัดฉากระเบิดตึก เหมือนที่มรึงทำให้นิวยอร์คนั่นแหละ เป้าหมายให้สภาไปวนอยู่ในอ่างที่มรึงเตรียมรอไว้ กู้ภัย หน่วยแพทย์ทำงาน เป้าหมายเดียว ยิงปืนนัดเดียว เหี้ยได้เกิดเป็นฝูง 1.ทำลายเศรษฐกิจอาเซียน 2.สร้างสถานการณ์เบิกงบแดร๊กต่อ 3.บิดเบือน ปิดบังการมีอยู่จริงของกงศุลเหี้ยที่เชียงใหม่ ที่ซ่อนไอ้เครื่องเหี้ยเอาไว้ 4.สร้างความตื่นตระหนก เพิ่มอำนาจต่อรองให้วอชิงตัน ไม่อยากโดนอีก สวามิภักดิ์กูซะ 5.ส่งสัญญาน WWIII ท้าทายจีน รัสเซีย สั่งสอนชาติอาเซียนที่ปั่นใจ ลองมาดูฝั่งขั้วใหม่กันบ้าง จีนใช้โอกาสนี้ คุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ในอโยธยา ถึงเวลารึยัง? ที่ต้องจริงจังกับการปราบปรามคอรัปชั่นทั้งแผ่นดิน ศรีธนญชัยเงียบ พูดแค่สั้นๆ "รอเปลี่ยนหัวก่อน" เอาให้เหี้ยหนีตายเผ่นออกนอกให้หมด ทุกอย่างจะ RE-SET 0 ทันที โดยเฉพาะต้นน้ำขบวนการยุติธรรมที่มันเหี้ยกันจนสุดซอย ประชาชนไร้ที่พึ่งพิง ภาคประชาชนต้องออกมาทำหน้าที่แทนอีตำหนวด เพราะแดร๊กภาษีประชาชนแต่ทำงานให้เหี้ยทุนสีเทาทั้งโลก ความสวยงามจะเกิดขึ้นได้ ด้วยความสามัคคี พ่อสอนเอาไว้ จำได้มั้ย? เมื่อคนไทยทั้งแผ่นดิน ไม่มีสีอื่นใด นอกจากสีธงไตร์รงค์แล้วไซร้ ควายจะกลายร่าง สิตจะกลับคืนมา แล้วเวลาของเหี้ยจะสิ้นสุดลง หอคอยเค้ารอเวลาที่ใช่ จังหวะที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียโดยใช่เหตุ เงื่อนไขเดียวที่วังยอมไฟเขียว คือความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชน หากใครแตะต้องสิ่งนี้ กองทัพจะออกมาเคลียร์ปัญหาทั้งหมดให้เอง โดยที่อีกากีเสนียดจัญไร จะถูกพักงานทันที ซื้อตำแหน่งมา แล้วใครมันจะทำเพื่อประชาชนแท้จริง เข้ามาก็ถอนทุนคืน หมายังรู้?

    อยู่ดีดี อีโมดี้จะมาเยือนไทย ใครสั่งรึจ๊ะ? งัดกันอยู่ ด้วยแรงมหาอำนาจโลก อีโมดี้มา ต้องมีเรื่องขอร้อง มันไม่มาเสียเวลาที่นี่ดอก หากไม่จำเป็น เดาไม่ยาก จีนสร้างเส้นทางสายไหมผ่านไทย อีแขกภาระตะก็ไม่ยอมสิจ๊ะ เดี๋ยวสร้างเส้นทางโรตีผ่านไทยบ้าง เอาให้มันชัดไปเลย จะแดร๊กโรตี หรือจะแดร๊กเป็ดปักกิ่ง เลือกเอา? ใครสั่งให้มรึงเข้าหากันล่ะ ทุกวันนี้ อีแขกภาระตะเสียหมาไปยกใหญ่ หลังเสือกหน้าด้านอยู่ทั้ง BRICS และกระโดดไปอยู่กลุ่มความมั่นคงแปซิฟิคของเหี้ย มันย้อนแย้งกันมั้ยล่ะ? ลีลาอีแขกภาระตะไม่มีอะไรมาก เต้นไป รำไป 10 บาทไป 120 บาทมา หาแดร๊กกับดอกเบี้ย อาเซียนไทยคือฮับ จุดยุทธศาสตร์หลักสำคัญ นี่คือเรื่องการถ่วงดุลอำนาจ ช่วงหลังจีนไม่ทนกับความเน่าเฟะของข้าราชการไทย เพราะมรึงทำความเสียหายต่อภูมิภาค ไม่ใช่แค่แผ่นดินสยามเท่านั้น แผนใครล่ะ? อีโมดี้ หางโผล่ทันที เตรียมเสนอขายอาวุธให้ไทยด้วย ขอซ้อมรบด้วย นั่นแค่หน้าฉาก หลังฉากคือเส้นทางการค้า และโลจิสติคที่อีแขกต้องใช้ไทยในอนาคต หากมหาสมุทรอินเดียมีภัยเกิดขึ้น กูก็ต้องมีทางออกเช่นกัน เพราะทุกวันนี้ เหี้ยพยายามปิดช่องมหาสมุทรอินเดียไม่ให้จีนออกได้นั่นเอง แต่สายไปเสียแล้ว หยวนดิจิตอลกำลังจะมา อีแขกไม่รอช้า เอา รูปีดิจิตอลมั้ยจ๊ะ เพราะไทยบาทเสถียรที่สุดในบรรดาค่าเงินอาเซียน ไม่นับอีลอดช่อง ที่เหี้ยวอชิงตันแบ็คอัพอยู่ ค่าเงินแข็งโป๊ก เพราะผูกกับดอลล่าร์ไงล่ะ ลองย้ายออกสิ ตกทันที หมายังรู้? รอดูละครอีโมดี้ เยือนไทย มันไม่ธรรมดาดอก มาตอนนี้ เพราะถูกเร่งให้มาหา ใครหนอ ที่สั่งมรึงได้?

    ประโคมกันหย่าย "ยักษ์ตื่น" เดี๋ยวมีแผ่นดินไหวมาอีก อยู่เป็น 100 ปี มีไม่บ่อย มาไม่มาก ทำไมเฉพาะช่วงนี้ วิกฤตขาลงเหี้ย มาถี่ยับล่ะ? มันใช่ธรรมชาติเหรอ? มันสั่งได้เหรอ? เครื่องฝังอยู่เชียงใหม่เหรอ? หน่วยข่าวกรองรู้ตัวคนสั่งแล้ว รู้ที่ซ่อนเครื่องจักรสังหารแล้ว แล้วยังไงต่อ? แกล้งหลับต่อเหรอ? จีนก็มีทีเด็ดเหมือนกัน ระวังเดี๋ยวมรึงอาจร้องเสียงหลง หากอีหินเหลืองเกิดสำลักควันขึ้นมา ไอรุนแรงหนักที่สุดในรอบ 100 ปี อันนี้ ช่วยไม่ได้ เพราะมรึงแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง อะไรน่ะ แผนเปลี่ยนเมืองหลวงอโยธยา จากบางกอก เป็นโคราช จริงดิ? อนาคต ใครบอกมรึงว่าอโยธยาจะมีเมืองหลวงแค่แห่งเดียวกันล่ะ? ทุกอย่างมันมีเหตุและผล และเค้าเตรียมการล่วงหน้าเอาไว้แล้ว ถึงได้ทำรถไฟฟ้าความเร็วสูงเข้าอีสาน แต่ในขณะที่ ถนนสู่ภาคใต้ พังแล้วพังอีก มันมีนัยยะแฝงเสมอ ไม่มีอะไรหลบซ่อนในกอไผ่ได้นานดอกน่ะ อีสานจะกลายเป็นฮับด้านคมนาคม โลจิสติค ภาคใต้คือฮับพลังงาน ภาคเหนือคือฮับท่องเที่ยว ภาคกลางคือฮับศูนย์กลางอาหารโลก ทุกอย่างมีพิมพ์เขียว โลกกำหนดทิศทางไทย เราจะอยู่กันอย่างไร อยู่ที่การตัดสินครั้งสำคัญนี้ เมื่อการเปลี่ยนแปลงเข้ามา เราต้องแน่วแน่เด็ดขาด ว่าจะเดินไปทิศทางไหน เราเสียเวลากับปชต.ตอแหลมากว่า 93 ปีแล้ว จากนี้ คือเดินในแบบที่เป็นของตัวเราเองได้ แต่ต้องทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ก่อน ทุกอย่างที่พูดถึงจะเกิดขึ้นได้จริง การต่อสู้ของขั้วอำนาจโลก ที่แฝงตัวอยู่ในไทย จะทำให้เกิดแรงต่อต้านของสังคมวงกว้าง ใครจะหลอกใช้เราก็ดี หรือจะดันเราขึ้นสู่เวทีโลกก็ดี ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราเองทั้งสิ้น อยากจะเกิด หรืออยากจะดับกันล่ะ?

    ไวรัลทั่วโลก SOFT POWER ไทยมาเต็ม เกณฑ์ไทย ฮาแตกที่สุดใน 3 โลก มาหมด พระ สาว(สอง) กองเชียร์ ชุดใหญ่ไฟกระพริบ นี่มันงานคอนเสริต์เหรอ? ฝรั่งงง.. หเกิดแผ่นดินไหว รถติดกันทั้งกทม. คนขับ TAXI ปวดขี้ ถามฝรั่ง "ขับเป็นบ่?" YES ปุ๊บ มรึงมาขับ กูจะไปขี้ ฝรั่งอึ้ง เกิดมาเพิ่งเคยเจอ ไอ้สัส! ถ่ายคลิปเล่าประสบการณ์ AMAZING THAILAND นี่แหละ เสน่ห์ของไทย วิถีไทย อะไรก็ได้ กฎเกณฑ์ไม่ต้อง ตามสบายไทยแลนด์ ยังไม่พอ หนังกำลังจะออกฉาย "พระเครื่อง" นี่ก็ส่งสัญญาน พระไทยโกอินเตอร์น่ะมรึง ล่อกันที องค์ละ 20 ล้าน แท้ ปลอม ใครพิสูจน์? แต่ที่แน่ๆ ฟอกเงินกันมันส์ ใครคิดแผนนี้ล่ะ? เหี้ยมันก็คอยจะจ้องแต่ฟอกเงิน แปลว่าธุรกิจสีเทา มันโตเร็วเกินไป เงินมี แต่ใช้ไม่ได้ ต้องเอามาฟอกก่อนจ๊ะ? กาสิโอ๊ะ ไม่ได้เปิดดอก อย่ากังวล มันผิดกฎหมายมาตั้งแต่ต้น หากมันทำได้ คงมีไปนานแล้ว สังคมไทยเริ่มตระหนักถึงพิษร้ายของสิ่งอบายมุก ส่วนควายไทย เอาหมด หากสดชื่น จ่ายสด งดเชื่อ เบื่อทวง กู YES ทันที สุดท้าย สิ่งเดียวที่ยังค้ำจุนจิตใจคนไทยอยู่ ณ ตอนนี้ นอกจากเรื่องเหี้ยๆ บัดซบทั้งหลาย คงเหลือแต่ "หวย" ความหวังของคนทั้งชาติ ใครบอก คนไทยไม่ติดการพนัน กูเถียงใจขาด? 555+

    ปล.ไอ้สัส! เป็นไง ราคาคุย? ออกตัวเกียร์ 5 แรงจัด จุดจบเกียร์ถอยหลัง เพียง 72 ชั่วโมง กระจอกกว่าที่คิด กองเรือเหี้ยกระจุย กระจาย แตกทัพหนีหางจุกตูดตามเดิม โดนจัดหนัก โดรนพิฆาต ขีปนาวุธร่อน ล่อเป้าอย่างเมามันส์ อีทรัมปป์หน้าแหกยับ ช่วยด้วยเจ้านาย? เยเมนประกาศลั่น 600000 ตรีน พร้อมรอกระตืบมรึงอยู่ มาให้ไว ส่งมาอีก กำลังเครื่องร้อน? ช็อคแดร๊ก! อีทรัมปป์ประกาศกำแพงภาษีวันเดียว ตลาดหุ้นร่วง แดงทั้งกระดาน โลกเมินสหรัฐ หันไปค้าขายกันเอง กูล่ะเบื่อมรึงฉิบหาย? ทั้งหมดที่มรึงทำ ก็เพื่อโดดเดี่ยวอเมริกาสิน่ะ แตกแผ่นดิน แยกกันไปเลย อีลา อีช้าง อยู่ร่วมแผ่นดินกันไม่ได้อีกต่อไป CIVIL WAR จะมา ก็เมื่อปากท้องควายมันร้องไงล่ะ? กระแสเรียกแขกมาเต็ม พรรคเพื่อพ่อมรึง ตายคาตรีนโซเชี่ยล สับแหลกตามฟอร์ม มันไม่สนดอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น เป้าหมายเดียวที่รับงานอียิวเหี้ยมา คือทำลายความสามัคคีคนในชาติ เหมือนที่มรึงทำมาสำเร็จเมื่อ 17 ปีก่อน แบ่งคน กับควาย แยกจากกัน แต่วันนึง ควายจะกลับมาอยู่กับคนอีกครั้ง เพราะไม่มีที่ไป? อีมาครง ห้าวเป้ง ใบสั่งเยรูซาเล็ม ประกาศท้ารบสงครามการค้ากับอีทรัมปป์ ดึง EU ฉิบหายตามกัน หลังไม่มีจะแดร๊กมานานแล้ว ฝั่งยุโรปตะวันออกเตรียมยิ้ม กูกลับบ้านดีกว่า อยู่กับพวกมรึงมีแต่เสนียดจัญไร? อีเบียร์หมดสภาพ เงินคงคลังแทบไม่เหลือ หมดไปกับค่าพลังงานควายล้ม ไม่ต้องทำมาหาแดร๊กอะไรอีกแล้ว เชิญมรึงไปตายในสงครามปาหี่ต่อเหอะ ไอ้สัส! มากันหย่าย ชี้เป้าเหรอจ๊ะ รอยเลื่อนใต้ รอยเลื่อนเหนือ รอยเลื่อนอีสาน เอาที่สบายใจล่ะกัน ไอ้สัส! ชงให้สื่อตีกันนัว เพื่อข่มขวัญ เพื่อชี้เป้า ว่าใครคือรายต่อไปสิน่ะ? สงครามปราสาทแดร๊กมีจริง กูถามจริงเหอะ ใครอยู่มาเป็น 100 ปี มีแบบนี้กี่ครั้ง แล้วเวลามันมา มันจะบอกมรึงล่วงหน้าด้วยน่ะเนี่ย โง่กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว? แค่ปิดกงศุลเหี้ยที่เชียงใหม่ ไทยปลอดภัยทันที เรื่องง่ายๆ ที่ผู้ใหญ่ไม่ทำ ไม่เอา เพราะควายไม่ตายก่อน แผ่นดินจะสูงขึ้นได้อย่างไร? โปรดเข้าใจ ศรีธนญชัยบ้าง!

    หมี CNN(เมษาเลือด ยังมีอะไรรอช็อคอยู่อีกเยอะ เพราะดวงเมืองมันมาถึงสุดทางแล้วจ๊ะ มันต้องระเบิดออก มันต้องปะทะ ดวงเมืองต้องใช้โลหิตเหี้ยและควายไทยบัดซบล้างตรีนผู้กอบกู้แผ่นดิน ล้างมนต์สะกดเหี้ย และสิ่งอัปรียจัญไรทั้งหลายให้ออกไปจากดินแดนสุวรรณภูมิ ไม่เขื่อ อย่าลบหลู่ มีเหี้ยเล่นของใส่วัง เล่นของใส่ศาลหลักเมือง แต่เบื้องบนเค้ารู้ แก้ปุ๊บทันที ส่งเสนียดย้อนกลับตัวคนทำทันที ไม่รู้ว่ามีแบบนี้ด้วย จนพรรคพวก ขาไสยศาสตร์ ชี้เป้าให้ดวงตาเห็นธรรม ของจากอีขะแมร์ทั้งนั้น ของพม่าไม่เท่าไหร่ ศาสตรารบ การศึก พิธีกรรม คือเรื่องมองข้ามไม่ได้เลย เอาล่ะจิ แสงทำงานเต็มกำลัง ความชั่วมืดบอดทั้งหลาย มรึงตายห่าคาตรีนแน่)
    04 เมษายน 68
    17.45 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)**
    ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    04-04-68/04 : หมี CNN / "FRIDAY JASON" ศุกร์ สยิวกิ้ว! EP13 อย่าคิดว่าคนไม่รู้ทันมรึง อีเหลี่ยมจัด! อยู่ดีดี จัดวาระแทรก "กาสิโอ๊ะ" เพื่อเรียกแขกเพื่อ? สับขาหลอก เบี่ยงเบนประเด็นกงศุลเหี้ยที่เชียงใหม่..พ่องดิ? หลังแผ่นดินไหว หลายฝ่ายจับโป๊ะ 9/11 ใครกำกับ MADE IN C HIA ก่อนมรึงจะสาวไส้ไปถึงผู้อยู่เบื้องหลังฝังระเบิดรากฐานตึกสตง. ชิงตัดตอนก่อนด้วย "กาสิโอ๊ะ" งานเผาน่ะมรึง? ล่อ คปท.ช่วยออกมาไล่ ในทางกลับกัน มรึงยิ่งเปิดเผยโฉมหน้าแท้จริงออกมา ยิ่งดิ้น ยิ่งหลุด รู้หรือไม่ กลุ่มคปท.(เฉพาะกิจ) มีเพ่น้องเสื้อแดง เข้าร่วมด้วย กลายร่างเป็นเสื้อหลากสี เค้าจะไปเอาคืนมรึงที่ตอแหลทั้งตระกูล หน่วยข่าวกรองเค้ารู้นานแล้ว ว่าจะมีการก่อวินาศกรรมในกทม. โดยอาศัย HAARP นำ แล้วจัดฉากระเบิดตึก เหมือนที่มรึงทำให้นิวยอร์คนั่นแหละ เป้าหมายให้สภาไปวนอยู่ในอ่างที่มรึงเตรียมรอไว้ กู้ภัย หน่วยแพทย์ทำงาน เป้าหมายเดียว ยิงปืนนัดเดียว เหี้ยได้เกิดเป็นฝูง 1.ทำลายเศรษฐกิจอาเซียน 2.สร้างสถานการณ์เบิกงบแดร๊กต่อ 3.บิดเบือน ปิดบังการมีอยู่จริงของกงศุลเหี้ยที่เชียงใหม่ ที่ซ่อนไอ้เครื่องเหี้ยเอาไว้ 4.สร้างความตื่นตระหนก เพิ่มอำนาจต่อรองให้วอชิงตัน ไม่อยากโดนอีก สวามิภักดิ์กูซะ 5.ส่งสัญญาน WWIII ท้าทายจีน รัสเซีย สั่งสอนชาติอาเซียนที่ปั่นใจ ลองมาดูฝั่งขั้วใหม่กันบ้าง จีนใช้โอกาสนี้ คุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ในอโยธยา ถึงเวลารึยัง? ที่ต้องจริงจังกับการปราบปรามคอรัปชั่นทั้งแผ่นดิน ศรีธนญชัยเงียบ พูดแค่สั้นๆ "รอเปลี่ยนหัวก่อน" เอาให้เหี้ยหนีตายเผ่นออกนอกให้หมด ทุกอย่างจะ RE-SET 0 ทันที โดยเฉพาะต้นน้ำขบวนการยุติธรรมที่มันเหี้ยกันจนสุดซอย ประชาชนไร้ที่พึ่งพิง ภาคประชาชนต้องออกมาทำหน้าที่แทนอีตำหนวด เพราะแดร๊กภาษีประชาชนแต่ทำงานให้เหี้ยทุนสีเทาทั้งโลก ความสวยงามจะเกิดขึ้นได้ ด้วยความสามัคคี พ่อสอนเอาไว้ จำได้มั้ย? เมื่อคนไทยทั้งแผ่นดิน ไม่มีสีอื่นใด นอกจากสีธงไตร์รงค์แล้วไซร้ ควายจะกลายร่าง สิตจะกลับคืนมา แล้วเวลาของเหี้ยจะสิ้นสุดลง หอคอยเค้ารอเวลาที่ใช่ จังหวะที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียโดยใช่เหตุ เงื่อนไขเดียวที่วังยอมไฟเขียว คือความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชน หากใครแตะต้องสิ่งนี้ กองทัพจะออกมาเคลียร์ปัญหาทั้งหมดให้เอง โดยที่อีกากีเสนียดจัญไร จะถูกพักงานทันที ซื้อตำแหน่งมา แล้วใครมันจะทำเพื่อประชาชนแท้จริง เข้ามาก็ถอนทุนคืน หมายังรู้? อยู่ดีดี อีโมดี้จะมาเยือนไทย ใครสั่งรึจ๊ะ? งัดกันอยู่ ด้วยแรงมหาอำนาจโลก อีโมดี้มา ต้องมีเรื่องขอร้อง มันไม่มาเสียเวลาที่นี่ดอก หากไม่จำเป็น เดาไม่ยาก จีนสร้างเส้นทางสายไหมผ่านไทย อีแขกภาระตะก็ไม่ยอมสิจ๊ะ เดี๋ยวสร้างเส้นทางโรตีผ่านไทยบ้าง เอาให้มันชัดไปเลย จะแดร๊กโรตี หรือจะแดร๊กเป็ดปักกิ่ง เลือกเอา? ใครสั่งให้มรึงเข้าหากันล่ะ ทุกวันนี้ อีแขกภาระตะเสียหมาไปยกใหญ่ หลังเสือกหน้าด้านอยู่ทั้ง BRICS และกระโดดไปอยู่กลุ่มความมั่นคงแปซิฟิคของเหี้ย มันย้อนแย้งกันมั้ยล่ะ? ลีลาอีแขกภาระตะไม่มีอะไรมาก เต้นไป รำไป 10 บาทไป 120 บาทมา หาแดร๊กกับดอกเบี้ย อาเซียนไทยคือฮับ จุดยุทธศาสตร์หลักสำคัญ นี่คือเรื่องการถ่วงดุลอำนาจ ช่วงหลังจีนไม่ทนกับความเน่าเฟะของข้าราชการไทย เพราะมรึงทำความเสียหายต่อภูมิภาค ไม่ใช่แค่แผ่นดินสยามเท่านั้น แผนใครล่ะ? อีโมดี้ หางโผล่ทันที เตรียมเสนอขายอาวุธให้ไทยด้วย ขอซ้อมรบด้วย นั่นแค่หน้าฉาก หลังฉากคือเส้นทางการค้า และโลจิสติคที่อีแขกต้องใช้ไทยในอนาคต หากมหาสมุทรอินเดียมีภัยเกิดขึ้น กูก็ต้องมีทางออกเช่นกัน เพราะทุกวันนี้ เหี้ยพยายามปิดช่องมหาสมุทรอินเดียไม่ให้จีนออกได้นั่นเอง แต่สายไปเสียแล้ว หยวนดิจิตอลกำลังจะมา อีแขกไม่รอช้า เอา รูปีดิจิตอลมั้ยจ๊ะ เพราะไทยบาทเสถียรที่สุดในบรรดาค่าเงินอาเซียน ไม่นับอีลอดช่อง ที่เหี้ยวอชิงตันแบ็คอัพอยู่ ค่าเงินแข็งโป๊ก เพราะผูกกับดอลล่าร์ไงล่ะ ลองย้ายออกสิ ตกทันที หมายังรู้? รอดูละครอีโมดี้ เยือนไทย มันไม่ธรรมดาดอก มาตอนนี้ เพราะถูกเร่งให้มาหา ใครหนอ ที่สั่งมรึงได้? ประโคมกันหย่าย "ยักษ์ตื่น" เดี๋ยวมีแผ่นดินไหวมาอีก อยู่เป็น 100 ปี มีไม่บ่อย มาไม่มาก ทำไมเฉพาะช่วงนี้ วิกฤตขาลงเหี้ย มาถี่ยับล่ะ? มันใช่ธรรมชาติเหรอ? มันสั่งได้เหรอ? เครื่องฝังอยู่เชียงใหม่เหรอ? หน่วยข่าวกรองรู้ตัวคนสั่งแล้ว รู้ที่ซ่อนเครื่องจักรสังหารแล้ว แล้วยังไงต่อ? แกล้งหลับต่อเหรอ? จีนก็มีทีเด็ดเหมือนกัน ระวังเดี๋ยวมรึงอาจร้องเสียงหลง หากอีหินเหลืองเกิดสำลักควันขึ้นมา ไอรุนแรงหนักที่สุดในรอบ 100 ปี อันนี้ ช่วยไม่ได้ เพราะมรึงแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง อะไรน่ะ แผนเปลี่ยนเมืองหลวงอโยธยา จากบางกอก เป็นโคราช จริงดิ? อนาคต ใครบอกมรึงว่าอโยธยาจะมีเมืองหลวงแค่แห่งเดียวกันล่ะ? ทุกอย่างมันมีเหตุและผล และเค้าเตรียมการล่วงหน้าเอาไว้แล้ว ถึงได้ทำรถไฟฟ้าความเร็วสูงเข้าอีสาน แต่ในขณะที่ ถนนสู่ภาคใต้ พังแล้วพังอีก มันมีนัยยะแฝงเสมอ ไม่มีอะไรหลบซ่อนในกอไผ่ได้นานดอกน่ะ อีสานจะกลายเป็นฮับด้านคมนาคม โลจิสติค ภาคใต้คือฮับพลังงาน ภาคเหนือคือฮับท่องเที่ยว ภาคกลางคือฮับศูนย์กลางอาหารโลก ทุกอย่างมีพิมพ์เขียว โลกกำหนดทิศทางไทย เราจะอยู่กันอย่างไร อยู่ที่การตัดสินครั้งสำคัญนี้ เมื่อการเปลี่ยนแปลงเข้ามา เราต้องแน่วแน่เด็ดขาด ว่าจะเดินไปทิศทางไหน เราเสียเวลากับปชต.ตอแหลมากว่า 93 ปีแล้ว จากนี้ คือเดินในแบบที่เป็นของตัวเราเองได้ แต่ต้องทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ก่อน ทุกอย่างที่พูดถึงจะเกิดขึ้นได้จริง การต่อสู้ของขั้วอำนาจโลก ที่แฝงตัวอยู่ในไทย จะทำให้เกิดแรงต่อต้านของสังคมวงกว้าง ใครจะหลอกใช้เราก็ดี หรือจะดันเราขึ้นสู่เวทีโลกก็ดี ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราเองทั้งสิ้น อยากจะเกิด หรืออยากจะดับกันล่ะ? ไวรัลทั่วโลก SOFT POWER ไทยมาเต็ม เกณฑ์ไทย ฮาแตกที่สุดใน 3 โลก มาหมด พระ สาว(สอง) กองเชียร์ ชุดใหญ่ไฟกระพริบ นี่มันงานคอนเสริต์เหรอ? ฝรั่งงง.. หเกิดแผ่นดินไหว รถติดกันทั้งกทม. คนขับ TAXI ปวดขี้ ถามฝรั่ง "ขับเป็นบ่?" YES ปุ๊บ มรึงมาขับ กูจะไปขี้ ฝรั่งอึ้ง เกิดมาเพิ่งเคยเจอ ไอ้สัส! ถ่ายคลิปเล่าประสบการณ์ AMAZING THAILAND นี่แหละ เสน่ห์ของไทย วิถีไทย อะไรก็ได้ กฎเกณฑ์ไม่ต้อง ตามสบายไทยแลนด์ ยังไม่พอ หนังกำลังจะออกฉาย "พระเครื่อง" นี่ก็ส่งสัญญาน พระไทยโกอินเตอร์น่ะมรึง ล่อกันที องค์ละ 20 ล้าน แท้ ปลอม ใครพิสูจน์? แต่ที่แน่ๆ ฟอกเงินกันมันส์ ใครคิดแผนนี้ล่ะ? เหี้ยมันก็คอยจะจ้องแต่ฟอกเงิน แปลว่าธุรกิจสีเทา มันโตเร็วเกินไป เงินมี แต่ใช้ไม่ได้ ต้องเอามาฟอกก่อนจ๊ะ? กาสิโอ๊ะ ไม่ได้เปิดดอก อย่ากังวล มันผิดกฎหมายมาตั้งแต่ต้น หากมันทำได้ คงมีไปนานแล้ว สังคมไทยเริ่มตระหนักถึงพิษร้ายของสิ่งอบายมุก ส่วนควายไทย เอาหมด หากสดชื่น จ่ายสด งดเชื่อ เบื่อทวง กู YES ทันที สุดท้าย สิ่งเดียวที่ยังค้ำจุนจิตใจคนไทยอยู่ ณ ตอนนี้ นอกจากเรื่องเหี้ยๆ บัดซบทั้งหลาย คงเหลือแต่ "หวย" ความหวังของคนทั้งชาติ ใครบอก คนไทยไม่ติดการพนัน กูเถียงใจขาด? 555+ ปล.ไอ้สัส! เป็นไง ราคาคุย? ออกตัวเกียร์ 5 แรงจัด จุดจบเกียร์ถอยหลัง เพียง 72 ชั่วโมง กระจอกกว่าที่คิด กองเรือเหี้ยกระจุย กระจาย แตกทัพหนีหางจุกตูดตามเดิม โดนจัดหนัก โดรนพิฆาต ขีปนาวุธร่อน ล่อเป้าอย่างเมามันส์ อีทรัมปป์หน้าแหกยับ ช่วยด้วยเจ้านาย? เยเมนประกาศลั่น 600000 ตรีน พร้อมรอกระตืบมรึงอยู่ มาให้ไว ส่งมาอีก กำลังเครื่องร้อน? ช็อคแดร๊ก! อีทรัมปป์ประกาศกำแพงภาษีวันเดียว ตลาดหุ้นร่วง แดงทั้งกระดาน โลกเมินสหรัฐ หันไปค้าขายกันเอง กูล่ะเบื่อมรึงฉิบหาย? ทั้งหมดที่มรึงทำ ก็เพื่อโดดเดี่ยวอเมริกาสิน่ะ แตกแผ่นดิน แยกกันไปเลย อีลา อีช้าง อยู่ร่วมแผ่นดินกันไม่ได้อีกต่อไป CIVIL WAR จะมา ก็เมื่อปากท้องควายมันร้องไงล่ะ? กระแสเรียกแขกมาเต็ม พรรคเพื่อพ่อมรึง ตายคาตรีนโซเชี่ยล สับแหลกตามฟอร์ม มันไม่สนดอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น เป้าหมายเดียวที่รับงานอียิวเหี้ยมา คือทำลายความสามัคคีคนในชาติ เหมือนที่มรึงทำมาสำเร็จเมื่อ 17 ปีก่อน แบ่งคน กับควาย แยกจากกัน แต่วันนึง ควายจะกลับมาอยู่กับคนอีกครั้ง เพราะไม่มีที่ไป? อีมาครง ห้าวเป้ง ใบสั่งเยรูซาเล็ม ประกาศท้ารบสงครามการค้ากับอีทรัมปป์ ดึง EU ฉิบหายตามกัน หลังไม่มีจะแดร๊กมานานแล้ว ฝั่งยุโรปตะวันออกเตรียมยิ้ม กูกลับบ้านดีกว่า อยู่กับพวกมรึงมีแต่เสนียดจัญไร? อีเบียร์หมดสภาพ เงินคงคลังแทบไม่เหลือ หมดไปกับค่าพลังงานควายล้ม ไม่ต้องทำมาหาแดร๊กอะไรอีกแล้ว เชิญมรึงไปตายในสงครามปาหี่ต่อเหอะ ไอ้สัส! มากันหย่าย ชี้เป้าเหรอจ๊ะ รอยเลื่อนใต้ รอยเลื่อนเหนือ รอยเลื่อนอีสาน เอาที่สบายใจล่ะกัน ไอ้สัส! ชงให้สื่อตีกันนัว เพื่อข่มขวัญ เพื่อชี้เป้า ว่าใครคือรายต่อไปสิน่ะ? สงครามปราสาทแดร๊กมีจริง กูถามจริงเหอะ ใครอยู่มาเป็น 100 ปี มีแบบนี้กี่ครั้ง แล้วเวลามันมา มันจะบอกมรึงล่วงหน้าด้วยน่ะเนี่ย โง่กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว? แค่ปิดกงศุลเหี้ยที่เชียงใหม่ ไทยปลอดภัยทันที เรื่องง่ายๆ ที่ผู้ใหญ่ไม่ทำ ไม่เอา เพราะควายไม่ตายก่อน แผ่นดินจะสูงขึ้นได้อย่างไร? โปรดเข้าใจ ศรีธนญชัยบ้าง! หมี CNN(เมษาเลือด ยังมีอะไรรอช็อคอยู่อีกเยอะ เพราะดวงเมืองมันมาถึงสุดทางแล้วจ๊ะ มันต้องระเบิดออก มันต้องปะทะ ดวงเมืองต้องใช้โลหิตเหี้ยและควายไทยบัดซบล้างตรีนผู้กอบกู้แผ่นดิน ล้างมนต์สะกดเหี้ย และสิ่งอัปรียจัญไรทั้งหลายให้ออกไปจากดินแดนสุวรรณภูมิ ไม่เขื่อ อย่าลบหลู่ มีเหี้ยเล่นของใส่วัง เล่นของใส่ศาลหลักเมือง แต่เบื้องบนเค้ารู้ แก้ปุ๊บทันที ส่งเสนียดย้อนกลับตัวคนทำทันที ไม่รู้ว่ามีแบบนี้ด้วย จนพรรคพวก ขาไสยศาสตร์ ชี้เป้าให้ดวงตาเห็นธรรม ของจากอีขะแมร์ทั้งนั้น ของพม่าไม่เท่าไหร่ ศาสตรารบ การศึก พิธีกรรม คือเรื่องมองข้ามไม่ได้เลย เอาล่ะจิ แสงทำงานเต็มกำลัง ความชั่วมืดบอดทั้งหลาย มรึงตายห่าคาตรีนแน่) 04 เมษายน 68 17.45 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)** ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    LINE.ME
    title
    description
    0 Comments 0 Shares 676 Views 0 Reviews
  • 🎖️ 124 ปี อุบลฯ ปราบกบฏผีบุญองค์มั่น ศรัทธา คือ อาวุธ! ผีบุญขุขันธ์ ใหญ่สุดในอีสาน ไม่มีให้จดจำ ไม่ทำให้ลืมเลือน

    “ความศรัทธา” เปลี่ยนเป็น “การลุกฮือ” เมื่อประชาชนหมดหวังในรัฐ ย้อนรอยประวัติศาสตร์ “ศึกโนนโพธิ์” กับคำถามที่ไม่ควรหายไปจากแผ่นดิน

    🕰️ เสียงปืนใหญ่ที่โลกไม่เคยได้ยิน ย้อนกลับไปในวันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2444 เสียงปืนใหญ่ดังกึกก้องจากป่าบ้านสะพือ จังหวัดอุบลราชธานี ปืนของทหารสยาม ไม่ได้ยิงใส่ข้าศึกจากภายนอก… แต่มุ่งตรงไปยังกลุ่มชาวบ้าน ผู้มีศรัทธาในชายผู้ถูกเรียกว่า “องค์มั่น” ผู้นำแห่งขบวนการ “ผู้มีบุญ”

    การปะทะในวันนั้น จบลงด้วยศพกว่า 300 ราย แต่อุดมการณ์ ยังดังก้องข้ามศตวรรษ 🕊️

    🤔 ผู้มีบุญคือใคร? ก่อนจะไปถึงการสู้รบ... ต้องย้อนกลับมาที่คำว่า “ผู้มีบุญ” หรือที่รัฐไทยเรียกแบบดูหมิ่นว่า “ผีบุญ” 👻

    ผู้มีบุญ = คนที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็น “ผู้วิเศษ” หรือ “พระศรีอริยเมตไตรย” ผู้จะมากู้โลกในยุคที่รัฐล้มเหลว ผู้มีบุญจึงไม่ใช่กบฏธรรมดา แต่คือ "ผู้นำจิตวิญญาณ" ของชาวบ้านที่สิ้นหวังในอำนาจรัฐกลาง ที่ดูห่างไกล เย็นชา และกดขี่

    🧾 จากกบฏถึงความหวัง บันทึก 260 ปี "กบฏผีบุญอีสาน" ภาคอีสานถูกจารึกว่า เป็นพื้นที่ที่มีกบฏผีบุญมากที่สุดในประเทศ

    2242 กบฏบุญกว้าง
    2334 กบฏเชียงแก้ว
    2360 กบฏสาเกียดโง้ง
    2442-44 กบฏสามโบก
    2444-45 กบฏผีบุญอีสาน ครั้งองค์มั่น 🟠
    2467 กบฏหนองหมากแก้ว
    2479 กบฏหมอลำน้อยชาดา
    2483 กบฏหมอลำโสภา พลตรี
    2502 กบฏศิลา วงศ์สิน

    🎯 ครั้งปี 2444-2445 นั้นถือเป็น การลุกฮือใหญ่ที่สุด มีผู้มีบุญมากถึง 60 คน ครอบคลุม 13 จังหวัด ในอีสาน

    "ผีบุญองค์มั่น" โด่งดังสุดในภาคอีสาน นอกจากองค์มั่นแล้ว ยังมีผู้นำรองๆ อีก 5 คน เป็นแกนนำ คือ องค์เขียว องค์ลิ้นก่าน องค์พระบาท องค์พระเมตไตร และองค์เหลือง ฝ่ายกบฏได้ปลุกระดมราษฎรทั้ง 2 ฝั่งโขง ในฝั่งขวา คือฝั่งอีสาน ได้กำลังจากอำเภอโขงเจียม อำเภอตระการพืชผล ในที่สุด ในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2444 กลุ่มผีบุญเข้ายึดเมืองเขมราฐ จับเจ้าเมืองไว้เป็นตัวประกัน และเป็นเครื่องมือแห่แหนให้คนเข้าเป็นพวก แต่ฆ่าท้าวกุลบุตร ท้าวโพธิสาร กรมการเมืองที่ไม่ยอมเข้ากับฝ่ายกบฏ

    รวมถึงได้เผาเมืองเขมราฐ ปล่อยนักโทษจากคุก แล้วเคลื่อนกำลังมุ่งตรงมายังเมืองอุบลราชธานี มาตั้งทัพระดมพลอีกครั้งที่บ้านสะพือใหญ่ อำเภอตระการพืชผล มีคนมาเข้ากับองค์มั่น 2,500 คน แต่อาวุธไม่ทันสมัย มีปืนคาบศิลา ปืนแก๊ป มีดพร้า ฝ่ายกบฏได้สะสมเสบียงอาหารด้วย ฝ่ายกบฏได้ฆ่านายอำเภอพนานิคม ซึ่งไม่ยอมเข้ากับฝ่ายกบฏด้วย

    แต่... "ผีบุญขุขันธ์" ใหญ่สุดในภาคอีสาน กบฏกลุ่มบุญจันเมืองขุขันธ์ กลุ่มนี้เป็นกบฏผู้มีบุญอีสานที่ใหญ่ที่สุด มีสมาชิกที่มาเข้าร่วมถึง 6,000 คน หัวหน้ากบฏชื่อบุญจัน เป็นบุตรเจ้าเมืองขุขันธ์คนก่อน และเป็นน้องชายของผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์ในขณะนั้น ไม่ถูกกับพี่ชาย ในเรื่องตำแหน่งเจ้าเมืองมากกว่าสาเหตุอื่น ได้ตั้งตัวเป็นผู้มีบุญซ่องสุมกำลังอยู่ที่ภูฝ้าย ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน

    การเคลื่อนไหวของผีบุญ ขยายวงกว้าง รวดเร็ว เพราะมีการเชื่อมโยงระหว่างหมู่บ้าน และอาศัยระบบวัฒนธรรม แบบปากต่อปาก 🗣️

    จุดแข็งของเครือข่ายนี้อยู่ที่ “ความศรัทธา” ไม่ใช่กำลังพล หรืออาวุธ

    🔥 จุดระเบิด เมื่อภาษี 4 บาท กลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย 💸 ภาษีส่วยที่ชาวอีสานรับไม่ไหว รัฐสยามในยุครัชกาลที่ 5 มีนโยบายปฏิรูปการปกครองแบบรวมศูนย์ ส่งคนมาเก็บภาษีตรงจากประชาชน โดยเฉพาะภาษี ชายฉกรรจ์ 4 บาท ต่อคน ต่อปี เทียบค่าเงินปัจจุบันราว 3,500-4,000 บาท

    แต่ในยุคนั้น คนอีสานส่วนใหญ่ไม่ใช้เงิน และใช้ชีวิตพอเพียง เลี้ยงไก่ ปลูกข้าว ใช้ระบบแลกเปลี่ยน เงิน 4 บาท จึงเท่ากับความเดือดร้อนทั้งบ้าน 💔

    ☠️ “ฝูงไทยใจฮ้าย ตายสิ้นบ่หลอ” เสียงหมอลำตอกย้ำความเจ็บปวด ชี้ให้เห็นความไม่ยุติธรรม และปลุกใจชาวบ้าน
    บางพื้นที่ ถึงกับมีคำปลุกระดมชัดเจน เช่น

    “ไล่ไทยเอาดินคืนมา… ฆ่าไทยเสียให้หมด!”

    👑 จากชายธรรมดาสู่ผู้นำกองทัพศรัทธา "องค์มั่น" หรืออ้ายมาน เป็นผู้นำผู้มีบุญที่โดดเด่นที่สุด ตั้งตนเป็น "พระยาธรรมิกราช" หรือ "องค์ปราสาททอง" ✨

    👥 กลุ่มผู้ติดตามที่แข็งแกร่ง มีคนเข้าร่วมกว่า 2,500 คน ครอบคลุมพื้นที่ อุบลราชธานี, อำนาจเจริญ, ลาวใต้ มีแกนนำร่วม เช่น องค์เขียว, องค์พระบาท, องค์เมตไตรย ฯลฯ

    ⚔️ ศึกโนนโพธิ์ ปืนใหญ่ที่ดับความหวัง วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2444 ตรงกับวันนี้ครบ 124 ปี พอดี และเป็นวันศุกร์เหมือนกัน กองทัพจากเมืองอุบลฯ ภายใต้การนำของ "พันตรีหลวงสุรกิจพิศาล" ใช้ ปืนใหญ่ 2 กระบอก ซุ่มโจมตีที่ “บ้านสะพือใหญ่” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “โนนโพธิ์”

    🔥 ปืนใหญ่ยิงถล่มตรงกลางกลุ่มกบฏ

    💀 เสียชีวิตทันที 200-300 คน

    😭 บาดเจ็บกว่า 500 คน

    องค์มั่นหนีไปได้ แต่ลูกน้อง 400 คนถูกจับ ศาลตัดสินประหาร “องค์” ทุกคน ✝️

    🧵 จดหมายลูกโซ่ หมอลำ และพลัง Soft Power แห่งยุค การปลุกระดมของผู้มีบุญ ไม่ได้เกิดจากอาวุธ แต่เกิดจาก...

    📜 จดหมายลูกโซ่ ที่คัดลอกคำพยากรณ์ต่อๆ กัน

    🎤 หมอลำ ที่ลำเกี่ยวกับความทุกข์ โจมตีรัฐ และปลุกใจ

    👄 การเล่าปากต่อปาก ที่ขยายความศรัทธาไปทั่วแผ่นดิน

    ในยุคที่คนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ "เสียง" คือพลังที่สุด!

    🛕 การต่อสู้ของคนที่ “ไม่มีเจ้า” หนึ่งในข้อมูลจากเอกสารสอบสวนผู้มีบุญ ระบุว่า “ถ้ายึดเมืองต่างๆ ได้ จะไม่มีเจ้าไม่มีนาย ทุกคนจะเท่ากัน” นี่คือความฝัน ที่ชาวบ้านไม่เคยได้จากรัฐ ยุคพระศรีอาริย์ ที่ไม่มีการกดขี่ มีแต่ความอุดมสมบูรณ์

    🏞️ พื้นที่ความทรงจำ ในวันนี้ โนนโพธิ์ไม่ได้เป็นสนามรบแล้ว แต่กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวบ้านเดินทางมาทำบุญ
    มีการวางแผนสร้าง อนุสรณ์สถานศึกโนนโพธิ์ ให้ลูกหลานได้เรียนรู้

    🎨 ภายในวัดมีภาพฝาผนังวาดเหตุการณ์

    🪔 ชาวบ้านมาร่วมงานบุญ แจกข้าวให้ผู้ล่วงลับ

    📖 เด็กนักเรียนเคยเก็บข้อมูล สัมภาษณ์คนเฒ่าคนแก่

    🪦 มีหลุมศพกลางทุ่ง ที่ไถนาก็ยังเจอกระโหลก

    🧑‍🏫 เมื่อรัฐหายไป ประวัติศาสตร์จึงถูกเล่าด้วยเสียงของชาวบ้าน “กบฏผีบุญ” คือคำที่รัฐใช้เรียก แต่ “ผู้มีบุญ” คือคำที่ชาวบ้านจดจำ และตอนนี้… คนรุ่นใหม่กำลังฟื้นเสียงนั้นกลับคืนมา

    📌 “การทำอนุสรณ์สถานไม่ใช่การปลุกระดม แต่คือการคืนความทรงจำให้กับแผ่นดิน”

    📌 จากเสียงหมอลำ สู่เสียงประวัติศาสตร์ที่ควรถูกฟัง “ผู้มีบุญ” = ผู้นำทางจิตวิญญาณของประชาชนที่สิ้นหวัง "องค์มั่น" เป็นผู้นำที่ชัดเจนที่สุด มีอิทธิพลมากที่สุด “ศึกโนนโพธิ์” คือตัวแทนของการปะทะระหว่าง รัฐรวมศูนย์ และ ชาวบ้านชายขอบ

    ปัจจุบันโนนโพธิ์ เริ่มกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ ความหวังคือ... การพูดถึงอย่างเปิดเผย จะทำให้ประวัติศาสตร์ไม่เงียบอีกต่อไป

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 041010 เม.ย. 2568

    📌 #กบฏผีบุญ #124ปีศึกโนนโพธิ์ #องค์มั่น #ผู้มีบุญ #บ้านสะพือ #ประวัติศาสตร์อีสาน #ศรัทธาคืออาวุธ #อนุสรณ์สถานผีบุญ #เสียงจากชายขอบ #หมอลำคือพลัง

    🎖️ 124 ปี อุบลฯ ปราบกบฏผีบุญองค์มั่น ศรัทธา คือ อาวุธ! ผีบุญขุขันธ์ ใหญ่สุดในอีสาน ไม่มีให้จดจำ ไม่ทำให้ลืมเลือน “ความศรัทธา” เปลี่ยนเป็น “การลุกฮือ” เมื่อประชาชนหมดหวังในรัฐ ย้อนรอยประวัติศาสตร์ “ศึกโนนโพธิ์” กับคำถามที่ไม่ควรหายไปจากแผ่นดิน 🕰️ เสียงปืนใหญ่ที่โลกไม่เคยได้ยิน ย้อนกลับไปในวันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2444 เสียงปืนใหญ่ดังกึกก้องจากป่าบ้านสะพือ จังหวัดอุบลราชธานี ปืนของทหารสยาม ไม่ได้ยิงใส่ข้าศึกจากภายนอก… แต่มุ่งตรงไปยังกลุ่มชาวบ้าน ผู้มีศรัทธาในชายผู้ถูกเรียกว่า “องค์มั่น” ผู้นำแห่งขบวนการ “ผู้มีบุญ” การปะทะในวันนั้น จบลงด้วยศพกว่า 300 ราย แต่อุดมการณ์ ยังดังก้องข้ามศตวรรษ 🕊️ 🤔 ผู้มีบุญคือใคร? ก่อนจะไปถึงการสู้รบ... ต้องย้อนกลับมาที่คำว่า “ผู้มีบุญ” หรือที่รัฐไทยเรียกแบบดูหมิ่นว่า “ผีบุญ” 👻 ผู้มีบุญ = คนที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็น “ผู้วิเศษ” หรือ “พระศรีอริยเมตไตรย” ผู้จะมากู้โลกในยุคที่รัฐล้มเหลว ผู้มีบุญจึงไม่ใช่กบฏธรรมดา แต่คือ "ผู้นำจิตวิญญาณ" ของชาวบ้านที่สิ้นหวังในอำนาจรัฐกลาง ที่ดูห่างไกล เย็นชา และกดขี่ 🧾 จากกบฏถึงความหวัง บันทึก 260 ปี "กบฏผีบุญอีสาน" ภาคอีสานถูกจารึกว่า เป็นพื้นที่ที่มีกบฏผีบุญมากที่สุดในประเทศ 2242 กบฏบุญกว้าง 2334 กบฏเชียงแก้ว 2360 กบฏสาเกียดโง้ง 2442-44 กบฏสามโบก 2444-45 กบฏผีบุญอีสาน ครั้งองค์มั่น 🟠 2467 กบฏหนองหมากแก้ว 2479 กบฏหมอลำน้อยชาดา 2483 กบฏหมอลำโสภา พลตรี 2502 กบฏศิลา วงศ์สิน 🎯 ครั้งปี 2444-2445 นั้นถือเป็น การลุกฮือใหญ่ที่สุด มีผู้มีบุญมากถึง 60 คน ครอบคลุม 13 จังหวัด ในอีสาน "ผีบุญองค์มั่น" โด่งดังสุดในภาคอีสาน นอกจากองค์มั่นแล้ว ยังมีผู้นำรองๆ อีก 5 คน เป็นแกนนำ คือ องค์เขียว องค์ลิ้นก่าน องค์พระบาท องค์พระเมตไตร และองค์เหลือง ฝ่ายกบฏได้ปลุกระดมราษฎรทั้ง 2 ฝั่งโขง ในฝั่งขวา คือฝั่งอีสาน ได้กำลังจากอำเภอโขงเจียม อำเภอตระการพืชผล ในที่สุด ในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2444 กลุ่มผีบุญเข้ายึดเมืองเขมราฐ จับเจ้าเมืองไว้เป็นตัวประกัน และเป็นเครื่องมือแห่แหนให้คนเข้าเป็นพวก แต่ฆ่าท้าวกุลบุตร ท้าวโพธิสาร กรมการเมืองที่ไม่ยอมเข้ากับฝ่ายกบฏ รวมถึงได้เผาเมืองเขมราฐ ปล่อยนักโทษจากคุก แล้วเคลื่อนกำลังมุ่งตรงมายังเมืองอุบลราชธานี มาตั้งทัพระดมพลอีกครั้งที่บ้านสะพือใหญ่ อำเภอตระการพืชผล มีคนมาเข้ากับองค์มั่น 2,500 คน แต่อาวุธไม่ทันสมัย มีปืนคาบศิลา ปืนแก๊ป มีดพร้า ฝ่ายกบฏได้สะสมเสบียงอาหารด้วย ฝ่ายกบฏได้ฆ่านายอำเภอพนานิคม ซึ่งไม่ยอมเข้ากับฝ่ายกบฏด้วย แต่... "ผีบุญขุขันธ์" ใหญ่สุดในภาคอีสาน กบฏกลุ่มบุญจันเมืองขุขันธ์ กลุ่มนี้เป็นกบฏผู้มีบุญอีสานที่ใหญ่ที่สุด มีสมาชิกที่มาเข้าร่วมถึง 6,000 คน หัวหน้ากบฏชื่อบุญจัน เป็นบุตรเจ้าเมืองขุขันธ์คนก่อน และเป็นน้องชายของผู้ว่าราชการเมืองขุขันธ์ในขณะนั้น ไม่ถูกกับพี่ชาย ในเรื่องตำแหน่งเจ้าเมืองมากกว่าสาเหตุอื่น ได้ตั้งตัวเป็นผู้มีบุญซ่องสุมกำลังอยู่ที่ภูฝ้าย ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน การเคลื่อนไหวของผีบุญ ขยายวงกว้าง รวดเร็ว เพราะมีการเชื่อมโยงระหว่างหมู่บ้าน และอาศัยระบบวัฒนธรรม แบบปากต่อปาก 🗣️ จุดแข็งของเครือข่ายนี้อยู่ที่ “ความศรัทธา” ไม่ใช่กำลังพล หรืออาวุธ 🔥 จุดระเบิด เมื่อภาษี 4 บาท กลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย 💸 ภาษีส่วยที่ชาวอีสานรับไม่ไหว รัฐสยามในยุครัชกาลที่ 5 มีนโยบายปฏิรูปการปกครองแบบรวมศูนย์ ส่งคนมาเก็บภาษีตรงจากประชาชน โดยเฉพาะภาษี ชายฉกรรจ์ 4 บาท ต่อคน ต่อปี เทียบค่าเงินปัจจุบันราว 3,500-4,000 บาท แต่ในยุคนั้น คนอีสานส่วนใหญ่ไม่ใช้เงิน และใช้ชีวิตพอเพียง เลี้ยงไก่ ปลูกข้าว ใช้ระบบแลกเปลี่ยน เงิน 4 บาท จึงเท่ากับความเดือดร้อนทั้งบ้าน 💔 ☠️ “ฝูงไทยใจฮ้าย ตายสิ้นบ่หลอ” เสียงหมอลำตอกย้ำความเจ็บปวด ชี้ให้เห็นความไม่ยุติธรรม และปลุกใจชาวบ้าน บางพื้นที่ ถึงกับมีคำปลุกระดมชัดเจน เช่น “ไล่ไทยเอาดินคืนมา… ฆ่าไทยเสียให้หมด!” 👑 จากชายธรรมดาสู่ผู้นำกองทัพศรัทธา "องค์มั่น" หรืออ้ายมาน เป็นผู้นำผู้มีบุญที่โดดเด่นที่สุด ตั้งตนเป็น "พระยาธรรมิกราช" หรือ "องค์ปราสาททอง" ✨ 👥 กลุ่มผู้ติดตามที่แข็งแกร่ง มีคนเข้าร่วมกว่า 2,500 คน ครอบคลุมพื้นที่ อุบลราชธานี, อำนาจเจริญ, ลาวใต้ มีแกนนำร่วม เช่น องค์เขียว, องค์พระบาท, องค์เมตไตรย ฯลฯ ⚔️ ศึกโนนโพธิ์ ปืนใหญ่ที่ดับความหวัง วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2444 ตรงกับวันนี้ครบ 124 ปี พอดี และเป็นวันศุกร์เหมือนกัน กองทัพจากเมืองอุบลฯ ภายใต้การนำของ "พันตรีหลวงสุรกิจพิศาล" ใช้ ปืนใหญ่ 2 กระบอก ซุ่มโจมตีที่ “บ้านสะพือใหญ่” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “โนนโพธิ์” 🔥 ปืนใหญ่ยิงถล่มตรงกลางกลุ่มกบฏ 💀 เสียชีวิตทันที 200-300 คน 😭 บาดเจ็บกว่า 500 คน องค์มั่นหนีไปได้ แต่ลูกน้อง 400 คนถูกจับ ศาลตัดสินประหาร “องค์” ทุกคน ✝️ 🧵 จดหมายลูกโซ่ หมอลำ และพลัง Soft Power แห่งยุค การปลุกระดมของผู้มีบุญ ไม่ได้เกิดจากอาวุธ แต่เกิดจาก... 📜 จดหมายลูกโซ่ ที่คัดลอกคำพยากรณ์ต่อๆ กัน 🎤 หมอลำ ที่ลำเกี่ยวกับความทุกข์ โจมตีรัฐ และปลุกใจ 👄 การเล่าปากต่อปาก ที่ขยายความศรัทธาไปทั่วแผ่นดิน ในยุคที่คนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ "เสียง" คือพลังที่สุด! 🛕 การต่อสู้ของคนที่ “ไม่มีเจ้า” หนึ่งในข้อมูลจากเอกสารสอบสวนผู้มีบุญ ระบุว่า “ถ้ายึดเมืองต่างๆ ได้ จะไม่มีเจ้าไม่มีนาย ทุกคนจะเท่ากัน” นี่คือความฝัน ที่ชาวบ้านไม่เคยได้จากรัฐ ยุคพระศรีอาริย์ ที่ไม่มีการกดขี่ มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ 🏞️ พื้นที่ความทรงจำ ในวันนี้ โนนโพธิ์ไม่ได้เป็นสนามรบแล้ว แต่กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวบ้านเดินทางมาทำบุญ มีการวางแผนสร้าง อนุสรณ์สถานศึกโนนโพธิ์ ให้ลูกหลานได้เรียนรู้ 🎨 ภายในวัดมีภาพฝาผนังวาดเหตุการณ์ 🪔 ชาวบ้านมาร่วมงานบุญ แจกข้าวให้ผู้ล่วงลับ 📖 เด็กนักเรียนเคยเก็บข้อมูล สัมภาษณ์คนเฒ่าคนแก่ 🪦 มีหลุมศพกลางทุ่ง ที่ไถนาก็ยังเจอกระโหลก 🧑‍🏫 เมื่อรัฐหายไป ประวัติศาสตร์จึงถูกเล่าด้วยเสียงของชาวบ้าน “กบฏผีบุญ” คือคำที่รัฐใช้เรียก แต่ “ผู้มีบุญ” คือคำที่ชาวบ้านจดจำ และตอนนี้… คนรุ่นใหม่กำลังฟื้นเสียงนั้นกลับคืนมา 📌 “การทำอนุสรณ์สถานไม่ใช่การปลุกระดม แต่คือการคืนความทรงจำให้กับแผ่นดิน” 📌 จากเสียงหมอลำ สู่เสียงประวัติศาสตร์ที่ควรถูกฟัง “ผู้มีบุญ” = ผู้นำทางจิตวิญญาณของประชาชนที่สิ้นหวัง "องค์มั่น" เป็นผู้นำที่ชัดเจนที่สุด มีอิทธิพลมากที่สุด “ศึกโนนโพธิ์” คือตัวแทนของการปะทะระหว่าง รัฐรวมศูนย์ และ ชาวบ้านชายขอบ ปัจจุบันโนนโพธิ์ เริ่มกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ ความหวังคือ... การพูดถึงอย่างเปิดเผย จะทำให้ประวัติศาสตร์ไม่เงียบอีกต่อไป ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 041010 เม.ย. 2568 📌 #กบฏผีบุญ #124ปีศึกโนนโพธิ์ #องค์มั่น #ผู้มีบุญ #บ้านสะพือ #ประวัติศาสตร์อีสาน #ศรัทธาคืออาวุธ #อนุสรณ์สถานผีบุญ #เสียงจากชายขอบ #หมอลำคือพลัง
    0 Comments 0 Shares 525 Views 0 Reviews
  • เมื่อเสียงสมน้ำหน้า เคล้าก่นด่า ดังกว่า... ตึก สตง. ถล่ม! วิกฤตศรัทธาหน่วยตรวจ ลืมสำรวจตัวเอง? ไม่ใช่แค่ตึกที่พัง แต่ความเชื่อมั่น ในกระบวนการของภาครัฐเอง ก็สั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ 😓

    🏢 เหตุการณ์ถล่ม ของตึกเดียวในประเทศไทย จากแผ่นดินไหว จุดชนวนคำถามถึงความโปร่งใส ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ และทำให้หน่วยงาน “ผู้ตรวจ” กลายเป็น “ผู้ถูกตรวจสอบ” เสียเอง

    🔎 เมื่อคำถามไม่ได้มีแค่ “ทำไมตึกถล่ม” แต่เป็น “ใครจะรับผิดชอบ?” 28 มีนาคม 2568 เวลา 14.37 น. กรุงเทพฯ สะเทือนจากแรงแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ศูนย์กลางที่เมียนมา 🌏 ในขณะที่อาคารสูงทั่วกรุงเทพฯ แกว่งไกวเล็กน้อยเพียงชั่วครู่ แต่กลับมีตึกหนึ่งที่ “พังลงทั้งหลัง” 😱 ตึกแห่งนั้นคือ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

    เสียงระเบิดของโครงสร้างถล่มลงมา เสียงผู้รอดชีวิตร้องขอความช่วยเหลือ... และเสียง “ประชาชน” ที่เริ่มตั้งคำถามดังยิ่งกว่าเสียงไหน ๆ

    ทำไมตึกเดียวในไทยถึงถล่มทั้งหลัง?

    สตง. ไม่ตรวจสอบโครงการของตนเองหรือ?

    หรือระบบรัฐไทยล้มเหลวในระดับโครงสร้าง... ทั้งจริง ๆ และเชิงเปรียบเทียบ?

    📘 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือ Office of the Auditor General of Thailand คือหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ 🇹🇭 มีภารกิจสำคัญในการตรวจสอบ การใช้เงินของภาครัฐให้ถูกต้อง โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

    📌 ภารกิจหลักของ สตง.
    1. ตรวจสอบงบประมาณหน่วยงานรัฐ (Financial Audit)
    2. ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย (Compliance Audit)
    3. ตรวจสอบประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Performance Audit)

    นอกจากบทบาทในการตรวจสอบ สตง. ยังเสนอแนะการบริหาร และใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมจัดทำรายงานประจำปีต่อรัฐสภา และประชาชนผ่านเว็บไซต์ www.audit.go.th เพื่อให้เกิด “ธรรมาภิบาล” ที่แท้จริง

    สตง. ทำหน้าที่เป็น “ผู้ตรวจสอบความโปร่งใสของรัฐ” แต่เมื่อสำนักงานของตัวเองถล่ม... ใครจะตรวจสอบ “ผู้ตรวจสอบ”?

    🧱 โครงการตึกใหม่ สตง. ต้นทุน 2,560 ล้านบาท แลกกับภาพลักษณ์องค์กร

    🏗️ ข้อมูลโครงการ
    สร้างที่:ถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร

    ขนาดอาคาร 30 ชั้น บนพื้นที่ 11 ไร่

    งบประมาณรวม 2,560 ล้านบาท

    ผู้รับเหมาคือ กิจการร่วมค้า ITD-CREC เป็นบริษัทร่วมลงทุนระหว่างบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) และบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด

    บริษัทควบคุมงานคือ กิจการร่วมค้าพีเคดับเบิลยู (PKW) ที่ร่วมทุนระหว่างบริษัทพี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จํากัด, บริษัท ว.และ สหาย คอนซัลแตนตส์ จํากัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้น จํากัด

    การก่อสร้างเริ่มตั้งแต่ปี 2563 คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2569 โดยตั้งเป้าเป็นอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รองรับการขยายตัวขององค์กรในอนาคต 🌱

    แต่ในวันที่ 28 มีนาคม 2568 หลังจากสร้างมาได้เพียง 30%... ตึกก็ถล่มทั้งหลัง 😰

    💣 สาเหตุ? อุบัติเหตุ? หรือสะท้อนปัญหาลึกของระบบ?

    📍 แรงแผ่นดินไหว หรือโครงสร้างอ่อนแอ? แม้แผ่นดินไหวขนาด 8.2 จะถือว่ารุนแรง แต่บริเวณกรุงเทพฯ โดยเฉพาะจตุจักร ได้รับแรงสั่นสะเทือนประมาณ 5.1 เท่านั้น ซึ่งถือว่า ไม่แรงพอที่จะทำให้อาคารพังราบทั้งหลัง ตามมาตรฐานของกรมโยธาธิการและผังเมือง

    แล้วอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้อาคารพัง?

    วัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน? 🧱

    โครงสร้างไม่รองรับแรงสั่น?

    ขั้นตอนตรวจสอบขาดความรัดกุม?

    จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เหล็กเส้นที่ใช้ในอาคารส่วนใหญ่ มาจากบริษัทต่างชาติ ที่ถูกสั่งปิดโรงงานในปลายปี 2567 เนื่องจากไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย ‼️

    🧪 ตรวจสอบวัสดุจริง กับข้อเท็จจริงที่น่าหวั่นใจ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ สวทช. และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้เข้าตรวจสอบเหล็กเส้น จากสถานที่เกิดเหตุ พบว่า เหล็ก 5 จาก 6 ประเภท มาจากโรงงานเดียวกัน โรงงานนี้เคยมีประวัติการระเบิด และเครนหล่น อีกทั้งยังเคยถูกสั่งปิดชั่วคราว จากเหตุผลด้านความปลอดภัย

    ❗ คำถามคือ เหล็กจากแหล่งที่ไม่มีคุณภาพเหล่านี้ ผ่านการอนุมัติเข้าโครงการระดับพันล้าน ได้อย่างไร?

    🧠 เมื่อ “ผู้ตรวจ” ลืม “ตรวจสอบตัวเอง”? กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐไทย แม้จะมีกฎหมายและระเบียบที่รัดกุม แต่ในทางปฏิบัติ กลับพบว่า…

    การประมูลมักให้น้ำหนักกับ “ราคาถูก” มากกว่าคุณภาพ ผู้รับเหมาจึงใช้วัสดุราคาต่ำกว่ามาตรฐาน การกำกับดูแลไม่ทั่วถึง เพราะผู้ควบคุมโครงการ ก็อยู่ภายใต้งบจำกัด

    น่าเจ็บปวดที่เหตุการณ์นี้เกิดกับ “สตง.” ผู้ที่ควรจะเป็นต้นแบบของความโปร่งใส

    ⚖️ การเมืองในองค์กรอิสระ: อิสระจริง หรือเลือกกันเอง? โครงสร้าง คตง. และการสรรหา คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) มาจากการสรรหาโดย ส.ว. ปัจจุบันผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้รับการแต่งตั้งโดย ส.ว. ชุดพิเศษ การแต่งตั้งกรรมการหลายคน มีข้อครหาว่าไม่โปร่งใส และถูกฟ้องต่อศาลปกครอง

    ⛔ จุดนี้เองที่ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึง “อิสรภาพ” ขององค์กรที่ควรเป็นอิสระจากการเมือง

    📣 กระแสโซเชียล & ประชาชน “เสียงสมน้ำหน้า” ดังยิ่งกว่าความเศร้า ในขณะที่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ยังรอการกู้ร่างในซากตึก โลกออนไลน์กลับเต็มไปด้วยเสียงแดกดัน เช่น

    “ผู้ตรวจ ลืมตรวจตึกตัวเอง”

    “สมน้ำหน้าที่พังเพราะไม่โปร่งใส”

    “เงินภาษีคนไทยพังลงต่อหน้า”

    คำพูดเหล่านี้อาจดูโหดร้าย แต่ก็สะท้อนความรู้สึกของคนจำนวนมาก ที่รู้สึกว่า “แม้แต่หน่วยงานตรวจสอบ ก็ยังไม่รอดจากระบบที่พัง”

    📉 วิกฤตศรัทธา & บทเรียนราคาแพง สิ่งที่สูญเสียไม่ใช่แค่งบประมาณ หรือชีวิต… แต่คือ ความเชื่อมั่นต่อระบบรัฐ

    🚨 บทเรียนสำคัญที่รัฐต้องรับให้ได้ การคัดเลือกผู้รับเหมา ควรมีระบบที่ยึด “คุณภาพ” เป็นหลัก ต้องมีการตรวจสอบหลายชั้น โดยอิสระจริง ๆ ปฏิรูประบบจัดซื้อจัดจ้าง ให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพิ่มบทลงโทษกรณีวัสดุหรือผู้รับเหมาไม่ได้มาตรฐาน

    📌 จากตึกถล่ม สู่การตรวจสอบศรัทธาประชาชน เหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่เจ็บปวดของประเทศไทย 🕯️ แต่ในขณะเดียวกัน... นี่อาจเป็นโอกาสในการทบทวนระบบราชการ และการบริหารงบประมาณของรัฐอย่างแท้จริง

    อย่าให้เสียง “สมน้ำหน้า” ดังกลบเสียงของผู้เสียชีวิต อย่าให้ตึกที่พัง เป็นเพียงข่าวแค่ไม่กี่วัน แต่ให้มันเป็นบทเรียนที่สร้าง “การเปลี่ยนแปลง”

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 021119 เม.ย. 2568

    📢#ตึกสตงถล่ม #ผู้ตรวจถูกตรวจ #แผ่นดินไหว2568 #ข่าวด่วน #เหล็กไม่ได้มาตรฐาน #สตงคือใคร #ความโปร่งใสภาครัฐ #อาคารถล่มกรุงเทพ #ITDCREC #ข่าวไทย
    เมื่อเสียงสมน้ำหน้า เคล้าก่นด่า ดังกว่า... ตึก สตง. ถล่ม! วิกฤตศรัทธาหน่วยตรวจ ลืมสำรวจตัวเอง? ไม่ใช่แค่ตึกที่พัง แต่ความเชื่อมั่น ในกระบวนการของภาครัฐเอง ก็สั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ 😓 🏢 เหตุการณ์ถล่ม ของตึกเดียวในประเทศไทย จากแผ่นดินไหว จุดชนวนคำถามถึงความโปร่งใส ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ และทำให้หน่วยงาน “ผู้ตรวจ” กลายเป็น “ผู้ถูกตรวจสอบ” เสียเอง 🔎 เมื่อคำถามไม่ได้มีแค่ “ทำไมตึกถล่ม” แต่เป็น “ใครจะรับผิดชอบ?” 28 มีนาคม 2568 เวลา 14.37 น. กรุงเทพฯ สะเทือนจากแรงแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ศูนย์กลางที่เมียนมา 🌏 ในขณะที่อาคารสูงทั่วกรุงเทพฯ แกว่งไกวเล็กน้อยเพียงชั่วครู่ แต่กลับมีตึกหนึ่งที่ “พังลงทั้งหลัง” 😱 ตึกแห่งนั้นคือ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เสียงระเบิดของโครงสร้างถล่มลงมา เสียงผู้รอดชีวิตร้องขอความช่วยเหลือ... และเสียง “ประชาชน” ที่เริ่มตั้งคำถามดังยิ่งกว่าเสียงไหน ๆ ทำไมตึกเดียวในไทยถึงถล่มทั้งหลัง? สตง. ไม่ตรวจสอบโครงการของตนเองหรือ? หรือระบบรัฐไทยล้มเหลวในระดับโครงสร้าง... ทั้งจริง ๆ และเชิงเปรียบเทียบ? 📘 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือ Office of the Auditor General of Thailand คือหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ 🇹🇭 มีภารกิจสำคัญในการตรวจสอบ การใช้เงินของภาครัฐให้ถูกต้อง โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน 📌 ภารกิจหลักของ สตง. 1. ตรวจสอบงบประมาณหน่วยงานรัฐ (Financial Audit) 2. ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย (Compliance Audit) 3. ตรวจสอบประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Performance Audit) นอกจากบทบาทในการตรวจสอบ สตง. ยังเสนอแนะการบริหาร และใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมจัดทำรายงานประจำปีต่อรัฐสภา และประชาชนผ่านเว็บไซต์ www.audit.go.th เพื่อให้เกิด “ธรรมาภิบาล” ที่แท้จริง สตง. ทำหน้าที่เป็น “ผู้ตรวจสอบความโปร่งใสของรัฐ” แต่เมื่อสำนักงานของตัวเองถล่ม... ใครจะตรวจสอบ “ผู้ตรวจสอบ”? 🧱 โครงการตึกใหม่ สตง. ต้นทุน 2,560 ล้านบาท แลกกับภาพลักษณ์องค์กร 🏗️ ข้อมูลโครงการ สร้างที่:ถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ขนาดอาคาร 30 ชั้น บนพื้นที่ 11 ไร่ งบประมาณรวม 2,560 ล้านบาท ผู้รับเหมาคือ กิจการร่วมค้า ITD-CREC เป็นบริษัทร่วมลงทุนระหว่างบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) และบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทควบคุมงานคือ กิจการร่วมค้าพีเคดับเบิลยู (PKW) ที่ร่วมทุนระหว่างบริษัทพี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จํากัด, บริษัท ว.และ สหาย คอนซัลแตนตส์ จํากัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้น จํากัด การก่อสร้างเริ่มตั้งแต่ปี 2563 คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2569 โดยตั้งเป้าเป็นอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รองรับการขยายตัวขององค์กรในอนาคต 🌱 แต่ในวันที่ 28 มีนาคม 2568 หลังจากสร้างมาได้เพียง 30%... ตึกก็ถล่มทั้งหลัง 😰 💣 สาเหตุ? อุบัติเหตุ? หรือสะท้อนปัญหาลึกของระบบ? 📍 แรงแผ่นดินไหว หรือโครงสร้างอ่อนแอ? แม้แผ่นดินไหวขนาด 8.2 จะถือว่ารุนแรง แต่บริเวณกรุงเทพฯ โดยเฉพาะจตุจักร ได้รับแรงสั่นสะเทือนประมาณ 5.1 เท่านั้น ซึ่งถือว่า ไม่แรงพอที่จะทำให้อาคารพังราบทั้งหลัง ตามมาตรฐานของกรมโยธาธิการและผังเมือง แล้วอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้อาคารพัง? วัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน? 🧱 โครงสร้างไม่รองรับแรงสั่น? ขั้นตอนตรวจสอบขาดความรัดกุม? จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เหล็กเส้นที่ใช้ในอาคารส่วนใหญ่ มาจากบริษัทต่างชาติ ที่ถูกสั่งปิดโรงงานในปลายปี 2567 เนื่องจากไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย ‼️ 🧪 ตรวจสอบวัสดุจริง กับข้อเท็จจริงที่น่าหวั่นใจ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ สวทช. และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้เข้าตรวจสอบเหล็กเส้น จากสถานที่เกิดเหตุ พบว่า เหล็ก 5 จาก 6 ประเภท มาจากโรงงานเดียวกัน โรงงานนี้เคยมีประวัติการระเบิด และเครนหล่น อีกทั้งยังเคยถูกสั่งปิดชั่วคราว จากเหตุผลด้านความปลอดภัย ❗ คำถามคือ เหล็กจากแหล่งที่ไม่มีคุณภาพเหล่านี้ ผ่านการอนุมัติเข้าโครงการระดับพันล้าน ได้อย่างไร? 🧠 เมื่อ “ผู้ตรวจ” ลืม “ตรวจสอบตัวเอง”? กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐไทย แม้จะมีกฎหมายและระเบียบที่รัดกุม แต่ในทางปฏิบัติ กลับพบว่า… การประมูลมักให้น้ำหนักกับ “ราคาถูก” มากกว่าคุณภาพ ผู้รับเหมาจึงใช้วัสดุราคาต่ำกว่ามาตรฐาน การกำกับดูแลไม่ทั่วถึง เพราะผู้ควบคุมโครงการ ก็อยู่ภายใต้งบจำกัด น่าเจ็บปวดที่เหตุการณ์นี้เกิดกับ “สตง.” ผู้ที่ควรจะเป็นต้นแบบของความโปร่งใส ⚖️ การเมืองในองค์กรอิสระ: อิสระจริง หรือเลือกกันเอง? โครงสร้าง คตง. และการสรรหา คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) มาจากการสรรหาโดย ส.ว. ปัจจุบันผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้รับการแต่งตั้งโดย ส.ว. ชุดพิเศษ การแต่งตั้งกรรมการหลายคน มีข้อครหาว่าไม่โปร่งใส และถูกฟ้องต่อศาลปกครอง ⛔ จุดนี้เองที่ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึง “อิสรภาพ” ขององค์กรที่ควรเป็นอิสระจากการเมือง 📣 กระแสโซเชียล & ประชาชน “เสียงสมน้ำหน้า” ดังยิ่งกว่าความเศร้า ในขณะที่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ยังรอการกู้ร่างในซากตึก โลกออนไลน์กลับเต็มไปด้วยเสียงแดกดัน เช่น “ผู้ตรวจ ลืมตรวจตึกตัวเอง” “สมน้ำหน้าที่พังเพราะไม่โปร่งใส” “เงินภาษีคนไทยพังลงต่อหน้า” คำพูดเหล่านี้อาจดูโหดร้าย แต่ก็สะท้อนความรู้สึกของคนจำนวนมาก ที่รู้สึกว่า “แม้แต่หน่วยงานตรวจสอบ ก็ยังไม่รอดจากระบบที่พัง” 📉 วิกฤตศรัทธา & บทเรียนราคาแพง สิ่งที่สูญเสียไม่ใช่แค่งบประมาณ หรือชีวิต… แต่คือ ความเชื่อมั่นต่อระบบรัฐ 🚨 บทเรียนสำคัญที่รัฐต้องรับให้ได้ การคัดเลือกผู้รับเหมา ควรมีระบบที่ยึด “คุณภาพ” เป็นหลัก ต้องมีการตรวจสอบหลายชั้น โดยอิสระจริง ๆ ปฏิรูประบบจัดซื้อจัดจ้าง ให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพิ่มบทลงโทษกรณีวัสดุหรือผู้รับเหมาไม่ได้มาตรฐาน 📌 จากตึกถล่ม สู่การตรวจสอบศรัทธาประชาชน เหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่เจ็บปวดของประเทศไทย 🕯️ แต่ในขณะเดียวกัน... นี่อาจเป็นโอกาสในการทบทวนระบบราชการ และการบริหารงบประมาณของรัฐอย่างแท้จริง อย่าให้เสียง “สมน้ำหน้า” ดังกลบเสียงของผู้เสียชีวิต อย่าให้ตึกที่พัง เป็นเพียงข่าวแค่ไม่กี่วัน แต่ให้มันเป็นบทเรียนที่สร้าง “การเปลี่ยนแปลง” ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 021119 เม.ย. 2568 📢#ตึกสตงถล่ม #ผู้ตรวจถูกตรวจ #แผ่นดินไหว2568 #ข่าวด่วน #เหล็กไม่ได้มาตรฐาน #สตงคือใคร #ความโปร่งใสภาครัฐ #อาคารถล่มกรุงเทพ #ITDCREC #ข่าวไทย
    0 Comments 0 Shares 646 Views 0 Reviews
  • "ไม่เป็นความจริงค่ะ" แปลว่า ความเท็จทั้งหลายที่เขาอภิปรายในสภานั้น..เป็นความจริง จึงโต้แย้งว่า "ไม่จริง..ปวดหมองเลย..งงงงงง
    "ไม่เป็นความจริงค่ะ" แปลว่า ความเท็จทั้งหลายที่เขาอภิปรายในสภานั้น..เป็นความจริง จึงโต้แย้งว่า "ไม่จริง..ปวดหมองเลย..งงงงงง
    ใครสอนให้ตอบอย่างนั้น มโนกรรมทุจริตชัด ๆ..เพราะเห็นผิด(มิจฉาทิฏฐิ) จึงเห็นผิดเป็นชอบ ที่ครอบครัวทำธุรกิจในที่ดินวัด เห็นว่า เป็นธุรกิจชอบด้วยกฎหมาย ไม่สะดุ้ง ไม่ละอาย ไม่เกรงกลัวบาป ไม่เชื่อเรื่องกรรม

    เคียดแค้นพยาบาท ใครทำไม่ถูกใจ ก็ทำลายล้าง

    โลภเพ่งเล็งในอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของชาติ โกง ทุจริตทุกช่องทาง รายการยาวเหมือนหางว่าว

    ตอบได้คำเดียว.."ไม่เป็นความจริงค่ะ"..
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีอารมณ์หลากหลายมาก ตั้งแต่
    วิตก กังวล กลัว ในใจคิดไปถึง Worst-case scenario ว่าจะทำอย่างไรดีถ้าต้องเจอเหตุการณ์ในรูปแบบต่างๆ

    ส่วนตัวรู้สึกว่าโชคดีที่ในอดีตเคยเป็น แอร์โอสเตสมาก่อน ซึ่งอาชีพนี้สอนให้เราเตรียมพร้อมกับการเจอสถานการณ์ฉุกเฉินในหลายรูปแบบอย่างมีสติ

    แม้แต่เพื่อนร่วมอาชีพ ที่อยู่คอนโดสูง
    และเจอภาวะตึกสั่นไหวอย่างรุนแรง
    ก็ยังมีสติพอที่จะหลบเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะ
    ตามที่เราถูกสอนมาว่าจะรับมือกับสถานการณ์ แผ่นดินไหวอย่างไร?

    ส่วนตัวโชคดีที่ไม่ได้ติดอยู่ในอาคารสูง
    แต่ติดอยู่ในรถ และติดอยู่ในท้องถนน
    ตัดสินใจกลับมาตั้งหลักที่คอนโด ตอนราวบ่ายสอง (เพราะการจราจรเริ่มติดแล้วตั้งแต่บ่ายสอง )
    จากนั้นก็มารวมพลที่ล้อบบี้คอนโด ในใจก็คาดเดาสถานการณ์ไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากนั้น แต่ที่แน่แน่ พยายามเซฟแบตเตอรี่มือถือไว้ให้มากที่สุด (ดูข้อมูลแต่ที่จำเป็น/ เลยไม่มีเวลาตอบ LINE กับผู้ที่ส่งความห่วงใยมาในวันแรกครบทุกคน)
    ในใจก็เริ่มคิดว่า ถ้าเกิด after shock และไม่สามารถกลับขึ้นไปนอนคอนโดได้ เราจะไปนอนที่ไหน?

    เพื่อนบ้าน หลายหลายคน ( คิดว่าเกินครึ่ง) เริ่มอพยพออกจากอาคาร
    บ้างก็ไปเช่าโรงแรม ( low rise)
    บ้างก็ไปอยู่บ้านญาติ

    ส่วนตัวก็คิดอยู่ว่า ถ้าคืนนี้ไม่สามารถกลับขึ้นไปไปนอนคอนโดได้ เราจะไปอยู่บ้านใคร ? แต่ไม่ว่าจะไปอยู่บ้านใครมันก็ต้องเดินทาง ประเด็นคือการจราจรเป็นอัมพาต ไม่สามารถพาเราไปถึงจุดหมายได้แน่นอน จึงตัดสินใจไม่ไปไหน รอดูท่าทีอยู่ที่คอนโด สุดท้ายตอนค่ำ ทางคอนโดมีข้อความถึงลูกบ้านว่าสามารถกลับเข้าตึกได้ แต่ลิฟท์ที่ตึกไม่สามารถใช้ได้ จึงต้องเดินขึ้นบันไดหลายสิบชั้น และมีเหตุให้ต้องเดินขึ้นลงอยู่หลายรอบ จึงมีอาการปวดน่องมาก ( เชื่อว่าหลายคน ประสบเหตุการณ์แบบเดียวกัน😅)

    เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    ✨ ต้องกลับไปออกกำลังกายให้ฟิตกว่านี้ 💪
    ✨มีกระเป๋าพร้อม สำหรับการอพยพแบบฉุกเฉิน เช่น เสื้อผ้า, ไฟฉาย, น้ำขวดเล็ก, ลูกอม สำหรับให้พลังงานเมื่อยามต้องอดอาหาร, Power bank, เป็นต้น (1ชุดไว้ที่บ้าน/ 1 ชุดทิ้งไว้ในรถ)
    ปล. ลองปรับดูว่าอะไรสำคัญกับชีวิตคุณและคิดว่าต้องมีก็จัดสิ่งนั้นไว้
    ข้อแนะนำคือ ชุดที่ไว้ในรถไม่ควรมี Power bank เพราะถ้าเจอแดด อาจจะอันตรายได้)

    จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ เรียนรู้ได้เลยว่า
    มนุษย์เรานั้นตัวเล็กนิดเดียว
    ไม่สามารถสู้กับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ได้
    เราควรใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีสติ และไม่ทำลายโลกให้มากไปกว่านี้
    แม้จะทำไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็พยายามจะทำให้มากขึ้นและมากขึ้น

    ขอบคุณที่เรารอดปลอดภัย
    และขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่สูญเสียทุกคน

    We shall pass this together.🌈💕

    #earthquake
    #savethailand
    #togetherwewin
    #simplytally
    #simplyugo



    จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีอารมณ์หลากหลายมาก ตั้งแต่ วิตก กังวล กลัว ในใจคิดไปถึง Worst-case scenario ว่าจะทำอย่างไรดีถ้าต้องเจอเหตุการณ์ในรูปแบบต่างๆ ส่วนตัวรู้สึกว่าโชคดีที่ในอดีตเคยเป็น แอร์โอสเตสมาก่อน ซึ่งอาชีพนี้สอนให้เราเตรียมพร้อมกับการเจอสถานการณ์ฉุกเฉินในหลายรูปแบบอย่างมีสติ แม้แต่เพื่อนร่วมอาชีพ ที่อยู่คอนโดสูง และเจอภาวะตึกสั่นไหวอย่างรุนแรง ก็ยังมีสติพอที่จะหลบเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะ ตามที่เราถูกสอนมาว่าจะรับมือกับสถานการณ์ แผ่นดินไหวอย่างไร? ส่วนตัวโชคดีที่ไม่ได้ติดอยู่ในอาคารสูง แต่ติดอยู่ในรถ และติดอยู่ในท้องถนน ตัดสินใจกลับมาตั้งหลักที่คอนโด ตอนราวบ่ายสอง (เพราะการจราจรเริ่มติดแล้วตั้งแต่บ่ายสอง ) จากนั้นก็มารวมพลที่ล้อบบี้คอนโด ในใจก็คาดเดาสถานการณ์ไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากนั้น แต่ที่แน่แน่ พยายามเซฟแบตเตอรี่มือถือไว้ให้มากที่สุด (ดูข้อมูลแต่ที่จำเป็น/ เลยไม่มีเวลาตอบ LINE กับผู้ที่ส่งความห่วงใยมาในวันแรกครบทุกคน) ในใจก็เริ่มคิดว่า ถ้าเกิด after shock และไม่สามารถกลับขึ้นไปนอนคอนโดได้ เราจะไปนอนที่ไหน? เพื่อนบ้าน หลายหลายคน ( คิดว่าเกินครึ่ง) เริ่มอพยพออกจากอาคาร บ้างก็ไปเช่าโรงแรม ( low rise) บ้างก็ไปอยู่บ้านญาติ ส่วนตัวก็คิดอยู่ว่า ถ้าคืนนี้ไม่สามารถกลับขึ้นไปไปนอนคอนโดได้ เราจะไปอยู่บ้านใคร ? แต่ไม่ว่าจะไปอยู่บ้านใครมันก็ต้องเดินทาง ประเด็นคือการจราจรเป็นอัมพาต ไม่สามารถพาเราไปถึงจุดหมายได้แน่นอน จึงตัดสินใจไม่ไปไหน รอดูท่าทีอยู่ที่คอนโด สุดท้ายตอนค่ำ ทางคอนโดมีข้อความถึงลูกบ้านว่าสามารถกลับเข้าตึกได้ แต่ลิฟท์ที่ตึกไม่สามารถใช้ได้ จึงต้องเดินขึ้นบันไดหลายสิบชั้น และมีเหตุให้ต้องเดินขึ้นลงอยู่หลายรอบ จึงมีอาการปวดน่องมาก ( เชื่อว่าหลายคน ประสบเหตุการณ์แบบเดียวกัน😅) เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ✨ ต้องกลับไปออกกำลังกายให้ฟิตกว่านี้ 💪 ✨มีกระเป๋าพร้อม สำหรับการอพยพแบบฉุกเฉิน เช่น เสื้อผ้า, ไฟฉาย, น้ำขวดเล็ก, ลูกอม สำหรับให้พลังงานเมื่อยามต้องอดอาหาร, Power bank, เป็นต้น (1ชุดไว้ที่บ้าน/ 1 ชุดทิ้งไว้ในรถ) ปล. ลองปรับดูว่าอะไรสำคัญกับชีวิตคุณและคิดว่าต้องมีก็จัดสิ่งนั้นไว้ ข้อแนะนำคือ ชุดที่ไว้ในรถไม่ควรมี Power bank เพราะถ้าเจอแดด อาจจะอันตรายได้) จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ เรียนรู้ได้เลยว่า มนุษย์เรานั้นตัวเล็กนิดเดียว ไม่สามารถสู้กับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ได้ เราควรใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีสติ และไม่ทำลายโลกให้มากไปกว่านี้ แม้จะทำไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็พยายามจะทำให้มากขึ้นและมากขึ้น ขอบคุณที่เรารอดปลอดภัย และขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่สูญเสียทุกคน We shall pass this together.🌈💕 #earthquake #savethailand #togetherwewin #simplytally #simplyugo
    0 Comments 0 Shares 442 Views 0 Reviews
  • "เราแสดงออกอย่างชัดเจนถึงแผนการของเรา ฮามาสจะต้องถูกปลดอาวุธ ผู้นำฮามาสจะได้รับอนุญาตให้ออกจากฉนวนกาซาโดยไม่มีวันได้กลับมาอีก อิสราเอลจะรับประกันความปลอดภัยเหนือฉนวนกาซาทั้งหมดด้วยการเข้าควบคุมแทนที่ฮามาส และแผนอพยพของทรัมป์จะต้องถูกนำมาใช้อย่างจริงจัง(คือการอพยพชาวกาซาออกไปจากดินแดนทั้งหมด) นี่คือแผนของเรา เราไม่เคยปิดบังมัน"

    นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เนทันยาฮู กล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรี:

    นอจกากนี้ เนรทันยาฮูยังกล่าวอีกว่า
    “แรงกดดันทางการทหารควบคู่ไปกับการเจรจาเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ได้ตัวประกันกลับมา นี่ไม่ใช่แค่คำพูดเลื่อนลอยอย่างไร้สาระ”


    “เช้านี้ ผมอยากพูดถึง 3H: อันดับแรกคือฮามาส จากนั้นคือฮิซบอลเลาะห์ และสุดท้ายคือฮูตี”

    👉เกี่ยวกับฮามาสในฉนวนกาซา:

    “แรงกดดันทางการทหารมันใช้ได้ผล เพราะมันทำลายศักยภาพทางการทหารและการปกครองของฮามาสไปพร้อมกัน และยังสร้างเงื่อนไขสำหรับการปล่อยตัวตัวประกันของเรา นั่นคือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่”

    “นอกจากนี้ ที่ประชุมด้านความมั่นคงมีมติเพิ่มแรงกดดันทางทหารให้หนักหน่วงกว่าเดิมขุ้นไปอีกเพื่อทำลายฮามาสให้มากขึ้น และเพิ่มเงื่อนไขสำหรับการปล่อยตัวตัวประกันของเราให้มากที่สุด”

    “ผมขอโต้แย้งถึงคำหลอกลวง 3 ข้อที่มุ่งเป้าใส่ร้ายมาที่เรามาอย่างต่อเนื่องซึ่งมันยังคงดำเนินอยู่:”

    1. “เราไม่คิดจริงจังเรื่องการเจรจา?” “มันไม่จริเลยง เราแค่กำลังเจรจาภายใต้การโจมตีและกดดันทางทหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้การเจรจาได้ผล ตอนนี้เรากำลังเริ่มเห็นความแตกแยกในฮามาสและกาซา” (หมายถึงชาวกาซาส่วนหนึ่งกำลังประท้วงให้ฮามาสออกนอกพื้นที่ ซึ่งในความเป็นจริง ชาวกาซาประท้วงไม่เอาสงคราม ต้องการขับไล่ทั้งฮามาสและอิสราเอล)


    2. “เราไม่จริงใจในการเจรจาขั้นต่อไป?”
    “นี่ไม่ใช่เรื่องจริงเช่นกัน เรายินดีเจรจา และเราแสดงออกอย่างชัดเจนถึงแผนการของเรา ฮามาสจะต้องถูกปลดอาวุธ ผู้นำฮามาสจะได้รับอนุญาตให้ออกจากฉนวนกาซาโดยไม่มีวันได้กลับมาอีก อิสราเอลจะรับประกันความปลอดภัยเหนือฉนวนกาซาทั้งหมดด้วยการเข้าควบคุมแทนที่ฮามาส และแผนอพยพของทรัมป์จะต้องถูกนำมาใช้อย่างจริงจัง(คือการอพยพชาวกาซาออกไปจากดินแดนทั้งหมด) นี่คือแผนของเรา เราไม่เคยปิดบังมัน”


    3. “เราไม่สนใจตัวประกัน?”
    “ไม่จริงเช่นกัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราเพิ่งไปพบปะพูดคุยกันอย่างลึกซึ้งกับครอบครัวสี่ครอบครัวของตัวประกัน เราไปรับรู้ความเจ็บปวดของพวกเขา ซึ่งมันยิ่งใหญ่มาก การอ้างว่าเราไม่สนใจนั้นสะท้อนให้เห็นการโฆษณาชวนเชื่อของฮามาสที่ตั้งใจแบ่งแยกเราและบิดเบือนความเป็นจริง”

    “เราให้คำมั่นที่จะนำตัวประกันกลับบ้านและกำลังดำเนินการอย่างจริงจัง จนถึงขณะนี้ มีเพียงแรงกดดันทางการทหารและการทูตเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่คำขวัญลมๆ แล้งๆ จากผู้เชี่ยวชาญที่ประกาศตนเป็นผู้เชี่ยวชาญ”
    .

    👉เกี่ยวกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์:
    “ในเลบานอน คำสั่งจากผม รัฐมนตรีกลาโหม และคณะรัฐมนตรี และกองทัพอิสราเอล คือการบังคับใช้กฎของเราอย่างเข้มงวดและไม่มีการประนีประนอม เราไม่ยอมให้มีการ “แทรกแซง” ใดๆ และไม่มีการผ่อนปรน”

    “เราบอกไปถึงเลบานอน จะต้องคอยดูแลรับผิดชอบในดินแดนของพวกเขา และต้องแน่ใจว่าจะไม่มีการปล่อยให้ใครโจมตีอิสราเอล”


    👉เกี่ยวกับกลุ่มฮูตี:

    “ผมซาบซึ้งอย่างยิ่งต่อการกระทำของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพันธมิตรของเรา พวกเขากำลังจัดการกับกลุ่มฮูตีด้วยกำลังที่ยิ่งใหญ่ แน่นอนว่า เรายังดำเนินการเพื่อปกป้องตัวเองด้วย ดังที่เห็นเมื่อเร็วๆ นี้”

    “เราให้ความสำคัญกับพันธมิตรของเราเสมอ เรามีพันธมิตรกับมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งสนับสนุนเราอย่างแข็งแกร่ง ทั้งที่นี่และในเวทีอื่นๆ อย่างไม่มีเงื่อนไข ”
    "เราแสดงออกอย่างชัดเจนถึงแผนการของเรา ฮามาสจะต้องถูกปลดอาวุธ ผู้นำฮามาสจะได้รับอนุญาตให้ออกจากฉนวนกาซาโดยไม่มีวันได้กลับมาอีก อิสราเอลจะรับประกันความปลอดภัยเหนือฉนวนกาซาทั้งหมดด้วยการเข้าควบคุมแทนที่ฮามาส และแผนอพยพของทรัมป์จะต้องถูกนำมาใช้อย่างจริงจัง(คือการอพยพชาวกาซาออกไปจากดินแดนทั้งหมด) นี่คือแผนของเรา เราไม่เคยปิดบังมัน" นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เนทันยาฮู กล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรี: นอจกากนี้ เนรทันยาฮูยังกล่าวอีกว่า “แรงกดดันทางการทหารควบคู่ไปกับการเจรจาเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ได้ตัวประกันกลับมา นี่ไม่ใช่แค่คำพูดเลื่อนลอยอย่างไร้สาระ” “เช้านี้ ผมอยากพูดถึง 3H: อันดับแรกคือฮามาส จากนั้นคือฮิซบอลเลาะห์ และสุดท้ายคือฮูตี” 👉เกี่ยวกับฮามาสในฉนวนกาซา: “แรงกดดันทางการทหารมันใช้ได้ผล เพราะมันทำลายศักยภาพทางการทหารและการปกครองของฮามาสไปพร้อมกัน และยังสร้างเงื่อนไขสำหรับการปล่อยตัวตัวประกันของเรา นั่นคือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่” “นอกจากนี้ ที่ประชุมด้านความมั่นคงมีมติเพิ่มแรงกดดันทางทหารให้หนักหน่วงกว่าเดิมขุ้นไปอีกเพื่อทำลายฮามาสให้มากขึ้น และเพิ่มเงื่อนไขสำหรับการปล่อยตัวตัวประกันของเราให้มากที่สุด” “ผมขอโต้แย้งถึงคำหลอกลวง 3 ข้อที่มุ่งเป้าใส่ร้ายมาที่เรามาอย่างต่อเนื่องซึ่งมันยังคงดำเนินอยู่:” 1. “เราไม่คิดจริงจังเรื่องการเจรจา?” “มันไม่จริเลยง เราแค่กำลังเจรจาภายใต้การโจมตีและกดดันทางทหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้การเจรจาได้ผล ตอนนี้เรากำลังเริ่มเห็นความแตกแยกในฮามาสและกาซา” (หมายถึงชาวกาซาส่วนหนึ่งกำลังประท้วงให้ฮามาสออกนอกพื้นที่ ซึ่งในความเป็นจริง ชาวกาซาประท้วงไม่เอาสงคราม ต้องการขับไล่ทั้งฮามาสและอิสราเอล) 2. “เราไม่จริงใจในการเจรจาขั้นต่อไป?” “นี่ไม่ใช่เรื่องจริงเช่นกัน เรายินดีเจรจา และเราแสดงออกอย่างชัดเจนถึงแผนการของเรา ฮามาสจะต้องถูกปลดอาวุธ ผู้นำฮามาสจะได้รับอนุญาตให้ออกจากฉนวนกาซาโดยไม่มีวันได้กลับมาอีก อิสราเอลจะรับประกันความปลอดภัยเหนือฉนวนกาซาทั้งหมดด้วยการเข้าควบคุมแทนที่ฮามาส และแผนอพยพของทรัมป์จะต้องถูกนำมาใช้อย่างจริงจัง(คือการอพยพชาวกาซาออกไปจากดินแดนทั้งหมด) นี่คือแผนของเรา เราไม่เคยปิดบังมัน” 3. “เราไม่สนใจตัวประกัน?” “ไม่จริงเช่นกัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราเพิ่งไปพบปะพูดคุยกันอย่างลึกซึ้งกับครอบครัวสี่ครอบครัวของตัวประกัน เราไปรับรู้ความเจ็บปวดของพวกเขา ซึ่งมันยิ่งใหญ่มาก การอ้างว่าเราไม่สนใจนั้นสะท้อนให้เห็นการโฆษณาชวนเชื่อของฮามาสที่ตั้งใจแบ่งแยกเราและบิดเบือนความเป็นจริง” “เราให้คำมั่นที่จะนำตัวประกันกลับบ้านและกำลังดำเนินการอย่างจริงจัง จนถึงขณะนี้ มีเพียงแรงกดดันทางการทหารและการทูตเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่คำขวัญลมๆ แล้งๆ จากผู้เชี่ยวชาญที่ประกาศตนเป็นผู้เชี่ยวชาญ” . 👉เกี่ยวกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์: “ในเลบานอน คำสั่งจากผม รัฐมนตรีกลาโหม และคณะรัฐมนตรี และกองทัพอิสราเอล คือการบังคับใช้กฎของเราอย่างเข้มงวดและไม่มีการประนีประนอม เราไม่ยอมให้มีการ “แทรกแซง” ใดๆ และไม่มีการผ่อนปรน” “เราบอกไปถึงเลบานอน จะต้องคอยดูแลรับผิดชอบในดินแดนของพวกเขา และต้องแน่ใจว่าจะไม่มีการปล่อยให้ใครโจมตีอิสราเอล” 👉เกี่ยวกับกลุ่มฮูตี: “ผมซาบซึ้งอย่างยิ่งต่อการกระทำของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพันธมิตรของเรา พวกเขากำลังจัดการกับกลุ่มฮูตีด้วยกำลังที่ยิ่งใหญ่ แน่นอนว่า เรายังดำเนินการเพื่อปกป้องตัวเองด้วย ดังที่เห็นเมื่อเร็วๆ นี้” “เราให้ความสำคัญกับพันธมิตรของเราเสมอ เรามีพันธมิตรกับมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งสนับสนุนเราอย่างแข็งแกร่ง ทั้งที่นี่และในเวทีอื่นๆ อย่างไม่มีเงื่อนไข ”
    0 Comments 0 Shares 578 Views 0 Reviews
More Results