• “เพื่อไทย” ฉะ! ”เสรีพิศุทธ์”ยุให้มีปฏิวัติ (02/05/68) #news1 #เพื่อไทย #เสรีพิศุทธ์ #ปฏิวัติ
    “เพื่อไทย” ฉะ! ”เสรีพิศุทธ์”ยุให้มีปฏิวัติ (02/05/68) #news1 #เพื่อไทย #เสรีพิศุทธ์ #ปฏิวัติ
    Like
    Haha
    Love
    Angry
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 479 มุมมอง 22 0 รีวิว
  • คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ควงบุตรสาวสุดที่รัก "คิม จูแอ" ร่วมพิธีเปิดตัวเรือพิฆาตอเนกประสงค์ลำใหม่ของกองทัพโสมแดงซึ่งมีขนาด 5,000 ตัน และติดตั้ง “ระบบอาวุธอันทรงพลังที่สุด” ตามรายงานของสื่อวันนี้ (26 เม.ย.)

    โจ ชุน-รยอง เลขาธิการคนหนึ่งของพรรคแรงงานเกาหลีเหนือ ระบุว่า เรือรบลำนี้ “สร้างเสร็จภายในเวลาแค่ 400 วันด้วยพลังและเทคโนโลยีของเราเอง”

    ด้านผู้นำ คิม ระบุในสุนทรพจน์ระหว่างพิธีเปิดตัวเรือว่า เรือพิฆาตลำนี้จะถูกส่งมอบให้กับกองทัพเรือเกาหลีเหนือ และเริ่มประจำการภายในต้นปีหน้า

    พิธีเปิดตัวเรือเกิดขึ้นวานนี้ (25) ที่อู่ต่อเรือนัมโป และถือเป็นสัญลักษณ์ของ “ยุคสมัยแห่งการสร้างกองเรือรบที่ยิ่งใหญ่ในสไตล์ คิม จองอึน” ตามรายงานของ KCNA ซึ่งอ้างคำพูดของ พล.ร.ท. พัค กวางซอป

    เรือลำนี้ถูกจัดให้เป็นเรือพิฆาตชั้น ‘โชฮยอน’ (Choe Hyon-class) ซึ่งเป็นการขนานนามตามชื่อของอดีตนักรบและนักปฏิวัติต่อต้านญี่ปุ่น

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/around/detail/9680000039110

    #MGROnline #คิมจองอึน #ผู้นำเกาหลีเหนือ
    คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ควงบุตรสาวสุดที่รัก "คิม จูแอ" ร่วมพิธีเปิดตัวเรือพิฆาตอเนกประสงค์ลำใหม่ของกองทัพโสมแดงซึ่งมีขนาด 5,000 ตัน และติดตั้ง “ระบบอาวุธอันทรงพลังที่สุด” ตามรายงานของสื่อวันนี้ (26 เม.ย.) • โจ ชุน-รยอง เลขาธิการคนหนึ่งของพรรคแรงงานเกาหลีเหนือ ระบุว่า เรือรบลำนี้ “สร้างเสร็จภายในเวลาแค่ 400 วันด้วยพลังและเทคโนโลยีของเราเอง” • ด้านผู้นำ คิม ระบุในสุนทรพจน์ระหว่างพิธีเปิดตัวเรือว่า เรือพิฆาตลำนี้จะถูกส่งมอบให้กับกองทัพเรือเกาหลีเหนือ และเริ่มประจำการภายในต้นปีหน้า • พิธีเปิดตัวเรือเกิดขึ้นวานนี้ (25) ที่อู่ต่อเรือนัมโป และถือเป็นสัญลักษณ์ของ “ยุคสมัยแห่งการสร้างกองเรือรบที่ยิ่งใหญ่ในสไตล์ คิม จองอึน” ตามรายงานของ KCNA ซึ่งอ้างคำพูดของ พล.ร.ท. พัค กวางซอป • เรือลำนี้ถูกจัดให้เป็นเรือพิฆาตชั้น ‘โชฮยอน’ (Choe Hyon-class) ซึ่งเป็นการขนานนามตามชื่อของอดีตนักรบและนักปฏิวัติต่อต้านญี่ปุ่น • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/around/detail/9680000039110 • #MGROnline #คิมจองอึน #ผู้นำเกาหลีเหนือ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในงาน RSA 2025 มีคำถามสำคัญ 10 ข้อที่ผู้นำด้านความปลอดภัยควรพิจารณาเพื่อปรับกลยุทธ์และตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมความปลอดภัยไซเบอร์:

    1️⃣ Google-Wiz มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมความปลอดภัยอย่างไร?
    - การเข้าซื้อ Wiz ของ Alphabet มูลค่า 32 พันล้านดอลลาร์ส่งผลต่อกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยบนคลาวด์อย่างไร?

    2️⃣ Agentic AI เป็นความจริงหรือเพียงแค่ความหวัง?
    - AI ที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองจะมีบทบาทสำคัญในอนาคตหรือไม่?

    3️⃣ แพลตฟอร์มสามารถครองตลาดองค์กรได้หรือไม่?
    - การรวมระบบและการลดความซับซ้อนของแพลตฟอร์มจะตอบโจทย์องค์กรขนาดใหญ่ได้หรือไม่?

    4️⃣ การปฏิวัติระบบไร้รหัสผ่านมาถึงแล้วหรือยัง?
    - การเปลี่ยนผ่านจากรหัสผ่านไปสู่ passkeys และ FIDO2 จะเปลี่ยนแปลงวิธีการยืนยันตัวตนอย่างไร?

    5️⃣ การเดินทางของ Zero Trust จะไปในทิศทางใดในปี 2025?
    - Zero Trust จะพัฒนาไปพร้อมกับการนำ SASE และ FIDO2 มาใช้ได้อย่างไร?

    6️⃣ กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงกำลังพัฒนาไปอย่างไร?
    - การจัดการความเสี่ยงแบบต่อเนื่อง (CTEM) และการใช้ AI ในการจัดลำดับความสำคัญของสินทรัพย์จะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างไร?

    7️⃣ CISOs สามารถเรียนรู้อะไรจากนวัตกรรมของ MSSP?
    - ผู้ให้บริการความปลอดภัยที่มีการจัดการ (MSSP) ใช้ AI และระบบอัตโนมัติในการแก้ปัญหาความปลอดภัยอย่างไร?

    8️⃣ ความปลอดภัยเครือข่ายกำลังกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งหรือไม่?
    - การตรวจสอบการเคลื่อนไหวของข้อมูลในเครือข่ายยังคงมีความสำคัญในยุคของ EDR หรือไม่?

    9️⃣ ผู้ขายเข้าใจความเป็นจริงของ Cyber Resilience หรือไม่?
    - ความยืดหยุ่นทางไซเบอร์ (Cyber Resilience) เป็นเพียงคำโฆษณาหรือเป็นกลยุทธ์ที่แท้จริง?

    🔟 ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองส่งผลต่ออุตสาหกรรมอย่างไร?
    - การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมือง เช่น ภาษีและการลดงบประมาณ จะส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีความปลอดภัยอย่างไร?

    https://www.csoonline.com/article/3965415/10-key-questions-security-leaders-must-ask-at-rsa-2025.html
    ในงาน RSA 2025 มีคำถามสำคัญ 10 ข้อที่ผู้นำด้านความปลอดภัยควรพิจารณาเพื่อปรับกลยุทธ์และตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมความปลอดภัยไซเบอร์: 1️⃣ Google-Wiz มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมความปลอดภัยอย่างไร? - การเข้าซื้อ Wiz ของ Alphabet มูลค่า 32 พันล้านดอลลาร์ส่งผลต่อกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยบนคลาวด์อย่างไร? 2️⃣ Agentic AI เป็นความจริงหรือเพียงแค่ความหวัง? - AI ที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองจะมีบทบาทสำคัญในอนาคตหรือไม่? 3️⃣ แพลตฟอร์มสามารถครองตลาดองค์กรได้หรือไม่? - การรวมระบบและการลดความซับซ้อนของแพลตฟอร์มจะตอบโจทย์องค์กรขนาดใหญ่ได้หรือไม่? 4️⃣ การปฏิวัติระบบไร้รหัสผ่านมาถึงแล้วหรือยัง? - การเปลี่ยนผ่านจากรหัสผ่านไปสู่ passkeys และ FIDO2 จะเปลี่ยนแปลงวิธีการยืนยันตัวตนอย่างไร? 5️⃣ การเดินทางของ Zero Trust จะไปในทิศทางใดในปี 2025? - Zero Trust จะพัฒนาไปพร้อมกับการนำ SASE และ FIDO2 มาใช้ได้อย่างไร? 6️⃣ กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงกำลังพัฒนาไปอย่างไร? - การจัดการความเสี่ยงแบบต่อเนื่อง (CTEM) และการใช้ AI ในการจัดลำดับความสำคัญของสินทรัพย์จะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างไร? 7️⃣ CISOs สามารถเรียนรู้อะไรจากนวัตกรรมของ MSSP? - ผู้ให้บริการความปลอดภัยที่มีการจัดการ (MSSP) ใช้ AI และระบบอัตโนมัติในการแก้ปัญหาความปลอดภัยอย่างไร? 8️⃣ ความปลอดภัยเครือข่ายกำลังกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งหรือไม่? - การตรวจสอบการเคลื่อนไหวของข้อมูลในเครือข่ายยังคงมีความสำคัญในยุคของ EDR หรือไม่? 9️⃣ ผู้ขายเข้าใจความเป็นจริงของ Cyber Resilience หรือไม่? - ความยืดหยุ่นทางไซเบอร์ (Cyber Resilience) เป็นเพียงคำโฆษณาหรือเป็นกลยุทธ์ที่แท้จริง? 🔟 ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองส่งผลต่ออุตสาหกรรมอย่างไร? - การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมือง เช่น ภาษีและการลดงบประมาณ จะส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีความปลอดภัยอย่างไร? https://www.csoonline.com/article/3965415/10-key-questions-security-leaders-must-ask-at-rsa-2025.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    10 key questions security leaders must ask at RSA 2025
    Agentic AI, platform hype, identity management, and economic uncertainty will dominate the RSA agenda. But discussions with fellow attendees will provide the real payoff.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • 48 ปี ประหาร “เสธ.หลาด” พลเอกฉลาด หิรัญศิริ นักโทษกบฏคนสุดท้าย ที่ตายด้วยการยิงเป้า 🇹🇭⚖️ เสียงปืนสุดท้าย ของการปฏิวัติ ที่ไม่สำเร็จ

    ย้อนรอยคดีประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า ที่สะท้อนทั้งความหวัง ความกล้า และการถูกลืม

    🧭 บทเรียนจากอดีต ที่ไม่อาจมองข้าม บ่ายวันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2520 เวลา 15.24 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง เสียงปืนชุดหนึ่ง ดังก้องสะท้อนในความเงียบสงบ เป็นการสิ้นสุดชีวิตของ “เสธ. หลาด” หรือ "พลเอกฉลาด หิรัญศิริ" นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งถูกตัดสินประหารชีวิต ในข้อหากบฏ

    เสธ.หลาดเป็นคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารด้วยการยิงเป้า โดยคำสั่งตามมาตรา 21 แห่งรัฐธรรมนูญไทย ซึ่งเปิดช่องให้รัฐบาลในเวลานั้น สามารถออกคำสั่งให้ประหารชีวิตได้ โดยไม่ต้องผ่านศาล 👁️‍🗨️

    จะพาเจาะลึกตั้งแต่ชีวประวัติของ "พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ" เหตุการณ์รัฐประหารที่ล้มเหลว การตัดสินโทษ และคำถามที่ยังไร้คำตอบว่า... “ทำไมเสธ.หลาดต้องถูกประหาร?” 🤔

    👤 จากทหารกล้า สู่ผู้นำกบฏ "พล.อ. ฉลาด หิรัญศิริ" ถือกำเนิดในยุคสงครามโลก ครั้งที่สอง เริ่มรับราชการในปี พ.ศ. 2483 ที่อุดรธานี มีชีวิตในวงการทหารมายาวนาน ผ่านสงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม เป็นหนึ่งในผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็น “ทหารนักรบของจริง” 🪖

    เคยดำรงตำแหน่ง รองผู้บังคับกองร้อย เสนาธิการกรมยุทธศึกษาทหารบก ผู้บัญชาการกองกำลังทหารไทย ในเวียดนามใต้ (ผลัด 2) และผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก

    ชื่อเสียงของเสธ.หลาดในสนามรบ เป็นที่เลื่องลือ ถึงขนาดได้รับประกาศเกียรติคุณ จากประธานาธิบดีเวียดนามใต้ 🎖️

    อย่างไรก็ตาม เส้นทางในกองทัพ กลับไม่เป็นไปตามฝัน เมื่อการเมืองเข้ามาแทรกแซง ส่งผลให้ความทะเยอทะยานของเสธ.หลาด ในการก้าวสู่ตำแหน่ง "ผู้บัญชาการทหารบก" ต้องพังทลายลง

    ⚔️ ปฏิบัติการยึดอำนาจ 26 มีนาคม 2520 ความพยายามที่สิ้นสุดด้วยการล้อม เมื่อการเมืองไม่เอื้อ เสธ.หลาดเลือกเส้นทาง ของการก่อรัฐประหาร โดยในวันที่ 26 มีนาคม 2520 พล.อ. ฉลาด พร้อมพวก เข้ายึดศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก “สวนรื่นฤดี” โดยมีลูกชายของเขา "พ.ต. อัศวิน หิรัญศิริ" เป็นผู้บัญชาการกองกำลัง

    แผนการดูเหมือนจะประสบความสำเร็จในช่วงแรก แต่กลับถูกฝ่ายรัฐบาล ควบคุมสถานการณ์ได้ ในเวลาไม่นาน โดยมี "พ.ต. สุรยุทธ์ จุลานนท์" เป็นตัวกลางในการเจรจาให้ยอมแพ้ และเสนอให้ลี้ภัยไปไต้หวัน

    แต่ข้อตกลงนี้ กลับไม่สำเร็จ เมื่อการเดินทางไปไต้หวันล้มเหลว และผู้นำรัฐประหารทั้งหมด ถูกจับกุมทันที

    🔥 ทำไมต้องประหาร? คำถามที่ยังไร้คำตอบ การใช้ มาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519 คือประเด็นที่ถกเถียงมากที่สุดในกรณีนี้ เนื่องจากไม่ผ่านกระบวนการศาลปกติ แต่เป็นอำนาจตรงจากรัฐบาลในเวลานั้น

    นายกรัฐมนตรี "ธานินทร์ กรัยวิเชียร" กล่าวภายหลังว่า “ไม่เห็นควรใช้มาตรา 21 อย่างพร่ำเพรื่อ”

    แต่เสียงของนายกฯ แพ้เสียงทหาร ในที่ประชุมร่วมรัฐบาล-คณะปฏิรูป เพราะคะแนนเสียงห่างกัน 16 ต่อ 26 ทำให้คดีนี้ถูกนำไปสู่การตัดสินโทษประหารทันที

    ✨ ข้อสังเกตจาก "สุธรรม แสงประทุม" นักโทษการเมือง ฝ่ายทหารหวาดกลัวว่า เสธ.หลาด จะหลบหนี ดพราะเชื่อว่ายังมีอิทธิพลภายใน รวมถึงกังวลว่า จะถูกเปิดโปงภายในกองทัพ

    นี่คือการ "กำจัด" มากกว่าการ "ยุติธรรม"?

    🕊️ ช่วงสุดท้ายของชีวิต “เสธ. หลาด”
    เวลา 14.00 น. เสธ.หลาดถูกเบิกตัวจากแดนพิเศษ ไปยังห้องควบคุม เขาถามเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงว่า “ญาติมาเยี่ยมหรือ เขาอนุญาตให้เยี่ยมแล้วใช่ไหม?”

    ไม่มีคำตอบ เขารู้ในใจว่าชะตากำลังจะมาถึง

    เวลา 14.20 น. เสธ.หลาดฟังคำสั่งประหารอย่างสงบ พร้อมเซ็นชื่อรับทราบ แล้วเขียนพินัยกรรม 4 แผ่น ✍️ ปฏิเสธอาหารมื้อสุดท้าย และขอดื่มเพียง น้ำส้ม 1 ขวด

    เวลา 14.50 น. พระมหาเจียมเทศนาเรื่องกรรม เสธ.หลาดกล่าว "สาธุ" และก้มกราบ 3 ครั้ง พร้อมประเคนเงินจำนวน 100 บาท และนาฬิกาโอเมกา🙏

    เวลา 15.24 น. เสียงปืนจบชีวิต "เสธ.หลาด" ตรงศาลาแปดเหลี่ยม ในเรือนจำบางขวาง

    คำพูดสุดท้าย "ถ้าพร้อมแล้ว จะบอกนะ"

    จากนั้น...มือของเสธ.หลาดสั่นเบา ๆ เพื่อ "เขย่าดอกไม้ในมือ" เป็นสัญญาณให้เพชฌฆาตเหนี่ยวไก

    🪦 เสธ. หลาดในความทรงจำ ของนักโทษการเมือง "สุธรรม แสงประทุม" เล่าว่า เสธ.หลาด หรือ “ลุงหลาด” อยู่ตึกเดียวกันในบางขวาง โดย “ลุงหลาด” มักชอบพูดเสมอว่า

    “ลุงถูกหักหลัง” ใครคือผู้หักหลัง? ยังไม่มีใครรู้แน่ชัด... หรืออาจรู้ แต่ไม่มีใครกล้าพูด

    เสธ.หลาดยังถามสุธรรมซ้ำ ๆ ว่า "การต่อสู้ของลุง สมควรแก่เหตุหรือเปล่า?"

    สุธรรมตอบว่า "ก็พอสมควรแก่เหตุครับ"

    🧩 เสธ. หลาดในหน้าประวัติศาสตร์: วีรบุรุษ? กบฏ? หรือเหยื่อการเมือง? สิ่งที่ควรถามในวันนี้ไม่ใช่แค่ว่า “เขาผิดหรือไม่?”

    แต่คือ “เขาได้รับความยุติธรรมหรือเปล่า?”

    การประหารชีวิต ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการศาล

    การเจรจาที่หลอกให้เขายอมแพ้

    การกล่าวหาว่า เขามีอิทธิพลเกินไป

    ทั้งหมดนี้คือคำถาม ที่ยังไม่มีคำตอบ และอาจไม่เคยมีวันหนึ่ง ที่คำตอบเหล่านั้นจะถูกเปิดเผย...

    🔚 เสียงสะท้อนจากกระสุนในวันนั้น เรื่องราวของ “เสธ.หลาด” พลเอกฉลาด หิรัญศิริ ไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของคน คนหนึ่ง แต่มันสะท้อนถึง โครงสร้างอำนาจของไทยในอดีต สะท้อนถึงความเปราะบางของ “ความยุติธรรม” เมื่อ “อำนาจ” มาแทนที่ 📜⚖️

    48 ปี ผ่านไป คำถามยังคงอยู่...

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221706 เม.ย. 2568

    📱 #เสธหลาด #ฉลาดหิรัญศิริ #กบฏ2520 #ประหารชีวิต #ประวัติศาสตร์ไทย #คดีดังไทย #รัฐประหาร #การเมืองไทย #บางขวาง #มาตรา21
    48 ปี ประหาร “เสธ.หลาด” พลเอกฉลาด หิรัญศิริ นักโทษกบฏคนสุดท้าย ที่ตายด้วยการยิงเป้า 🇹🇭⚖️ เสียงปืนสุดท้าย ของการปฏิวัติ ที่ไม่สำเร็จ ย้อนรอยคดีประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า ที่สะท้อนทั้งความหวัง ความกล้า และการถูกลืม 🧭 บทเรียนจากอดีต ที่ไม่อาจมองข้าม บ่ายวันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2520 เวลา 15.24 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง เสียงปืนชุดหนึ่ง ดังก้องสะท้อนในความเงียบสงบ เป็นการสิ้นสุดชีวิตของ “เสธ. หลาด” หรือ "พลเอกฉลาด หิรัญศิริ" นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งถูกตัดสินประหารชีวิต ในข้อหากบฏ เสธ.หลาดเป็นคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารด้วยการยิงเป้า โดยคำสั่งตามมาตรา 21 แห่งรัฐธรรมนูญไทย ซึ่งเปิดช่องให้รัฐบาลในเวลานั้น สามารถออกคำสั่งให้ประหารชีวิตได้ โดยไม่ต้องผ่านศาล 👁️‍🗨️ จะพาเจาะลึกตั้งแต่ชีวประวัติของ "พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ" เหตุการณ์รัฐประหารที่ล้มเหลว การตัดสินโทษ และคำถามที่ยังไร้คำตอบว่า... “ทำไมเสธ.หลาดต้องถูกประหาร?” 🤔 👤 จากทหารกล้า สู่ผู้นำกบฏ "พล.อ. ฉลาด หิรัญศิริ" ถือกำเนิดในยุคสงครามโลก ครั้งที่สอง เริ่มรับราชการในปี พ.ศ. 2483 ที่อุดรธานี มีชีวิตในวงการทหารมายาวนาน ผ่านสงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม เป็นหนึ่งในผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็น “ทหารนักรบของจริง” 🪖 เคยดำรงตำแหน่ง รองผู้บังคับกองร้อย เสนาธิการกรมยุทธศึกษาทหารบก ผู้บัญชาการกองกำลังทหารไทย ในเวียดนามใต้ (ผลัด 2) และผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ชื่อเสียงของเสธ.หลาดในสนามรบ เป็นที่เลื่องลือ ถึงขนาดได้รับประกาศเกียรติคุณ จากประธานาธิบดีเวียดนามใต้ 🎖️ อย่างไรก็ตาม เส้นทางในกองทัพ กลับไม่เป็นไปตามฝัน เมื่อการเมืองเข้ามาแทรกแซง ส่งผลให้ความทะเยอทะยานของเสธ.หลาด ในการก้าวสู่ตำแหน่ง "ผู้บัญชาการทหารบก" ต้องพังทลายลง ⚔️ ปฏิบัติการยึดอำนาจ 26 มีนาคม 2520 ความพยายามที่สิ้นสุดด้วยการล้อม เมื่อการเมืองไม่เอื้อ เสธ.หลาดเลือกเส้นทาง ของการก่อรัฐประหาร โดยในวันที่ 26 มีนาคม 2520 พล.อ. ฉลาด พร้อมพวก เข้ายึดศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก “สวนรื่นฤดี” โดยมีลูกชายของเขา "พ.ต. อัศวิน หิรัญศิริ" เป็นผู้บัญชาการกองกำลัง แผนการดูเหมือนจะประสบความสำเร็จในช่วงแรก แต่กลับถูกฝ่ายรัฐบาล ควบคุมสถานการณ์ได้ ในเวลาไม่นาน โดยมี "พ.ต. สุรยุทธ์ จุลานนท์" เป็นตัวกลางในการเจรจาให้ยอมแพ้ และเสนอให้ลี้ภัยไปไต้หวัน แต่ข้อตกลงนี้ กลับไม่สำเร็จ เมื่อการเดินทางไปไต้หวันล้มเหลว และผู้นำรัฐประหารทั้งหมด ถูกจับกุมทันที 🔥 ทำไมต้องประหาร? คำถามที่ยังไร้คำตอบ การใช้ มาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519 คือประเด็นที่ถกเถียงมากที่สุดในกรณีนี้ เนื่องจากไม่ผ่านกระบวนการศาลปกติ แต่เป็นอำนาจตรงจากรัฐบาลในเวลานั้น นายกรัฐมนตรี "ธานินทร์ กรัยวิเชียร" กล่าวภายหลังว่า “ไม่เห็นควรใช้มาตรา 21 อย่างพร่ำเพรื่อ” แต่เสียงของนายกฯ แพ้เสียงทหาร ในที่ประชุมร่วมรัฐบาล-คณะปฏิรูป เพราะคะแนนเสียงห่างกัน 16 ต่อ 26 ทำให้คดีนี้ถูกนำไปสู่การตัดสินโทษประหารทันที ✨ ข้อสังเกตจาก "สุธรรม แสงประทุม" นักโทษการเมือง ฝ่ายทหารหวาดกลัวว่า เสธ.หลาด จะหลบหนี ดพราะเชื่อว่ายังมีอิทธิพลภายใน รวมถึงกังวลว่า จะถูกเปิดโปงภายในกองทัพ นี่คือการ "กำจัด" มากกว่าการ "ยุติธรรม"? 🕊️ ช่วงสุดท้ายของชีวิต “เสธ. หลาด” เวลา 14.00 น. เสธ.หลาดถูกเบิกตัวจากแดนพิเศษ ไปยังห้องควบคุม เขาถามเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงว่า “ญาติมาเยี่ยมหรือ เขาอนุญาตให้เยี่ยมแล้วใช่ไหม?” ไม่มีคำตอบ เขารู้ในใจว่าชะตากำลังจะมาถึง เวลา 14.20 น. เสธ.หลาดฟังคำสั่งประหารอย่างสงบ พร้อมเซ็นชื่อรับทราบ แล้วเขียนพินัยกรรม 4 แผ่น ✍️ ปฏิเสธอาหารมื้อสุดท้าย และขอดื่มเพียง น้ำส้ม 1 ขวด เวลา 14.50 น. พระมหาเจียมเทศนาเรื่องกรรม เสธ.หลาดกล่าว "สาธุ" และก้มกราบ 3 ครั้ง พร้อมประเคนเงินจำนวน 100 บาท และนาฬิกาโอเมกา🙏 เวลา 15.24 น. เสียงปืนจบชีวิต "เสธ.หลาด" ตรงศาลาแปดเหลี่ยม ในเรือนจำบางขวาง คำพูดสุดท้าย "ถ้าพร้อมแล้ว จะบอกนะ" จากนั้น...มือของเสธ.หลาดสั่นเบา ๆ เพื่อ "เขย่าดอกไม้ในมือ" เป็นสัญญาณให้เพชฌฆาตเหนี่ยวไก 🪦 เสธ. หลาดในความทรงจำ ของนักโทษการเมือง "สุธรรม แสงประทุม" เล่าว่า เสธ.หลาด หรือ “ลุงหลาด” อยู่ตึกเดียวกันในบางขวาง โดย “ลุงหลาด” มักชอบพูดเสมอว่า “ลุงถูกหักหลัง” ใครคือผู้หักหลัง? ยังไม่มีใครรู้แน่ชัด... หรืออาจรู้ แต่ไม่มีใครกล้าพูด เสธ.หลาดยังถามสุธรรมซ้ำ ๆ ว่า "การต่อสู้ของลุง สมควรแก่เหตุหรือเปล่า?" สุธรรมตอบว่า "ก็พอสมควรแก่เหตุครับ" 🧩 เสธ. หลาดในหน้าประวัติศาสตร์: วีรบุรุษ? กบฏ? หรือเหยื่อการเมือง? สิ่งที่ควรถามในวันนี้ไม่ใช่แค่ว่า “เขาผิดหรือไม่?” แต่คือ “เขาได้รับความยุติธรรมหรือเปล่า?” การประหารชีวิต ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการศาล การเจรจาที่หลอกให้เขายอมแพ้ การกล่าวหาว่า เขามีอิทธิพลเกินไป ทั้งหมดนี้คือคำถาม ที่ยังไม่มีคำตอบ และอาจไม่เคยมีวันหนึ่ง ที่คำตอบเหล่านั้นจะถูกเปิดเผย... 🔚 เสียงสะท้อนจากกระสุนในวันนั้น เรื่องราวของ “เสธ.หลาด” พลเอกฉลาด หิรัญศิริ ไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของคน คนหนึ่ง แต่มันสะท้อนถึง โครงสร้างอำนาจของไทยในอดีต สะท้อนถึงความเปราะบางของ “ความยุติธรรม” เมื่อ “อำนาจ” มาแทนที่ 📜⚖️ 48 ปี ผ่านไป คำถามยังคงอยู่... ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221706 เม.ย. 2568 📱 #เสธหลาด #ฉลาดหิรัญศิริ #กบฏ2520 #ประหารชีวิต #ประวัติศาสตร์ไทย #คดีดังไทย #รัฐประหาร #การเมืองไทย #บางขวาง #มาตรา21
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 343 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทวิเคราะห์ของ สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีคลัง “นโยบายปรับภาษี (Tariff) ของ Trump จะทำให้โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วพัฒนาการของการค้าโลกในช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งองค์การด้านการค้าโลกขึ้น เริ่มด้วยการตั้ง GATTS แล้วต่อมาปรับเป็น WTO (World Trade Organization) เพื่อสร้างกฎเกณฑ์การค้าขายระหว่างประเทศและกำกับให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามแนวทางการค้าเสรี ช่วงนี้จะมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ประเทศใหญ่ๆในยุโรป และประเทศญี่ปุ่นได้ปรับตัวให้ตนเองมั่งคั่งและสะสมความร่ำรวย เข้าไปควบคุมตลาดเงินและสกุลเงินตราสำคัญ รวมทั้งควบคุมตลาดการค้าหลักๆให้เป็นระเบียบและเอื้อต่อการขยายตัวของการค้าขายของแต่ละประเทศเพื่อประโยชน์ต่อตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ .แต่แล้วในช่วงดังกล่าวนี้ประเทศจีนเสือหลับแห่งเอเชีย ที่ได้ผู้นำประเทศที่ขึ้นมาพลิกผันประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมได้รวดเร็วและต่อเนื่อง ชื่อ เติ้ง เสี่ยวผิง เติ้งได้ทำการปฏิวัติและปฏิรูปประเทศในทุกด้านโดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมตั้งแต่แบบเก่าจนแบบที่ต้องใช้เทคนิคล้ำหน้า จนขณะนี้จีนภายใต้ผู้นำชื่อ สี จิ้น ผิง ที่เข้มแข็ง มือสะอาด มีฝีมือ มีคุณธรรม มีความตั้งใจจริง เข้ามาบริหารประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดให้ใหญ่โตจนทัดเทียมกับประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกด้าน จนผู้นำของสหรัฐอย่าง Trump รู้สึกเสียหน้ามาก. ที่มาของการใช้มาตรการทำสงครามการค้าของ Trump ความแข็งแกร่งของจีนในขณะนี้ Trump ได้เฝ้าดูแลมาร่วม 8 ปี เมื่อเขาสามารถเข้ามาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอีกครั้งก็ไม่รีรอที่จะลงมือนำนโยบายปรับภาษีสินค้านำเข้าและส่งออก (Tariff) ชนิดสุดโต่งและจำเพาะเจาะจงมาใช้กับประเทศจีนโดยทันที ขณะเดียวกันก็ได้ประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ทั่วโลกด้วย แต่มาตรการจะเบากว่าที่ใช้กับจีน. สิ่งที่เห็นตามที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ก็คือ การเกิดแรงกระแทกอย่างมากต่อวิถีการค้าระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ทั่วโลก ไม่ต้องถามว่าทำไม Trump ต้องทำแบบนี้ เพราะเขาเองเห็นชัดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาของเขากำลังตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดดุลการค้าอย่างมากที่เกิดต่อเนื่องมานานและมีหนี้สาธารณะสูงมาก .Trump ยังได้เห็นชัดว่า ฝ่ายของจีนมีพวกพ้องมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งกลุ่ม BRICS ประกอบด้วย Brazil, Russia, India, China และ South Africa รวมหัวกันทำการค้าต่อกันอย่างใกล้ชิด คิดใช้สกุลเงินตราของตนเอง โดยหันหน้าหนีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ.เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่ม BRICS ยังค่อยๆลดการลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐที่แต่ละประเทศถือไว้มากมายลงไปโดยการขายออก และหันไปซื้อทองคำหรือกระจายการลงทุนเป็นอย่างอื่น ขณะเดียวกันนักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ ในตลาดเงินก็ทำการทิ้งพันธบัตรสหรัฐตามกันไปด้วย มีผลทำให้พันธบัตรซึ่งเป็นสินทรัพย์ในอนาคตจำนวนมากของสหรัฐด้อยค่าลงมากอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน.สรุปได้ว่า Trump ได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาตอนนี้ได้ต่ำต้อยลงอย่างรวดเร็วมาก ตัวเองจึงจำเป็นต้องทำตัวเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามากู้ประเทศให้พลิกผันให้สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งอย่างเต็มตัวต่อไป ที่ Trump ตั้งใจจะทำก่อนและให้แรงมากคือเล่นงานด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าของสินค้าจีนอย่างบ้าระห่ำ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยมาตรการทำนองเดียวกัน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน นี่เป็นแค่ยกแรกแค่นั้น.ประเทศน้อยใหญ่ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศทั้งหลายต่างก็มองการกระทำของ Trump ในแง่ลบ แม้แต่ประธาน Federal Reserve ของสหรัฐเองอย่าง Jerome Powell เองก็มีอาการกึ่งช็อคกึ่งหัวหมุนกับนโยบายประเภทบ้าบิ่นที่ประธานาธิบดีของเขาจัดมาเป็นชุดๆ Powell ถึงกับกล่าวว่านโยบายของ Trump ที่นำออกมาใช้นี้จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจจะตกต่ำและการว่างงานจะมีมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้นก็จะปั่นป่วนมาก ความตั้งใจที่ Fed จะลดดอกเบี้ยลงจึงทำได้ยากขึ้นซึ่งความเห็นของประธาน Fed ดังกล่าว Trump ไม่พอใจมากเพราะเขาอยากให้มีการลดดอกเบี้ยถึงกับเอ่ยออกมาว่าคงต้องคิดเรื่องการเด้งประธาน Fed ซะแล้ว ฟังคล้ายกำลังจะเอาอย่างประเทศไทย.แนวทางของไทยที่จะรับมือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประเทศทุกประเทศที่โดนผลกระทบในเรื่องการขึ้น Tariff ของ Trump ต่างก็กำลังระดมความคิดและเตรียมตัวที่จะส่งผู้แทนไปเจรจา ยกเว้นจีนประเทศเดียวที่ขึ้นป้ายจะสู้กับสหรัฐอย่างแน่วแน่.สำหรับประเทศไทย ยังฟังไม่ได้ศัพท์จากฝ่ายรัฐบาลว่าจะมีกลยุทธ์ในการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ชี้ให้เห็นชัดว่าศักยภาพของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาใหญ่ต่ำมาก ฟังความได้อย่างเดียวจากท่านนายกรัฐมนตรีว่าจะใช้นโยบายและแนวทางเหมือนกับประเทศอาเซียนอื่นๆเท่านั้นตอนนี้ก็เห็นภาพชัดขึ้นอีกจากคณะผู้แทนที่เตรียมการจะไปเจรจา โดยจะไปบอกทางสหรัฐว่าไทยเราจะซื้อสินค้าจากเขามากขึ้น เช่น LNG ข้าวโพด ถั่วเหลือง เป็นต้น ถ้าจะเดาก็จะขอให้ทางสหรัฐบันยะบันยังกับการเพิ่มภาษีสินค้าที่นำเข้าจากไทยที่มีมูลค่าถึง 18 % ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด.ส่วนผลกระทบต่อไทย เท่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามจะบอกพอสังเขป สรุปได้ว่าการส่งออกของไทยจะโดนกระทบมากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป และจะทำให้การเติบโตของ GDP ในปีนี้ลดต่ำกว่าเป้าเหลือโตไม่ถึง 2.5 % และอัตราเงินเฟ้อของไทยก็จะชะลอลงด้วย นี่ยังไม่พูดถึงผลกระทบในปีหน้าและต่อๆไป ว่าจะรุนแรงสักแค่ไหน เชื่อได้เถอะครับมันแรงเกินคาด.ความเห็นผมนั้น เห็นว่าไทยเราจะโดนหนักกว่าที่รัฐบาลและหน่วยราชการไทยประเมินไว้มาก เกินศักยภาพของรัฐบาลไทยชุดนี้จะรับมือได้ วิกฤตที่จะเกิดขึ้นจากเรื่อง Tariff หนนี้ ไม่ใช่ Covid 19 นะครับ มันเป็นเรื่องประเทศใครประเทศมัน ใครมีผู้นำเก่งก็ทำให้เบาได้ สามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้.แนวทางในการคิดแก้วิกฤตของประเทศขนาดเล็กผมอยากนำท่านผู้อ่านไปดูว่าผู้นำของสิงคโปร์อย่างอดีตนายกลี เซียนลุง ได้พูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ซึ่งดีมาก เขาเริ่มบอกประชาชนรวมทั้งคณะรัฐมนตรีที่บริหารประเทศและนักธุรกิจ นักลงทุนของเขาว่าแม้จะมีความไม่แน่นอนในช่วง 90 วันที่ Trump จะให้ประเทศอื่นๆ นอกจากจีนไปคิดกันให้ดี แต่ก็ต้องมองให้ออกว่าทุกอย่างจะไม่กลับไปเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ดังนั้น เราต้องกังวลและคิดให้ตกว่ามันจะส่งผลกับเรามากแค่ไหน ต้องตระหนักให้ได้ว่าวิกฤตที่จะเกิดทั่วโลกนี้ บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมันแตกต่างไปจากเดิมมาก .ลี เซียนลุง ชี้ให้เห็นชัดว่า การขึ้นภาษีหรือ Tariff ไปทั่วโลกครั้งนี้มันจะก่อกวนต่อการผลิตมากกว่าที่คิด เพราะ Supply Chain หรือ ห่วงโซ่การผลิตทุกอย่างจะหยุดชะงัก แผนการผลิตเดิมทุกอย่างจะหายไป และจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Recession) อย่างรวดเร็ว และขอให้คาดหวังไว้ได้เลยว่า ปัญหานี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน.หลังจากลี เซียนลุง พูดเรื่องนี้ได้ไม่กี่วัน นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ที่มีเสียงสนับสนุนหนาแน่นอยู่ได้ประเทศยุบสภาไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน นี้เอง เหตุผลเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเลือกผู้นำใหม่ขึ้นมา นี่คือสิงคโปร์ นี่คือสิ่งที่เขาเป็นชาติที่เจริญได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงจนเราไม่สามารถแหงนหน้าขึ้นไปมองเขาได้แล้ว.ทางรอดของไทยจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดนี้ เรามาดูว่าประเทศไทยเราจะมีทางรอดแค่ไหนก่อนเราต้องส่องกระจกดูตัวเอง และต้องฟังดูว่ามีใครมองเราอย่างไรบ้างให้ชัดก่อน เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองได้มีการชี้แนะจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศแห่งหนึ่งว่า “ประเทศไทยนั้นมีเรื่องคอร์รัปชั่นเป็นตัวหลักที่ทำให้การบริหารประเทศในทุกด้านเดินหน้าไม่ได้” และเมื่อมีนาคม 2568 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยน่าห่วงเทียบได้เป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย”เป็นคนป่วยยังไงหรือ ทางด้านเศรษฐกิจก็เห็นกันชัดอยู่แล้วว่าไทยเรา กำลังเผชิญกับหนี้สาธารณะสูงมาก ภาษีเก็บได้น้อย ช่องทางในการหาเงินมาบริหารประเทศยังชักหน้าไม่ถึงหลัง อนาคตด้านการคลังริบหรี่ ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจเรื่องหนี้ครัวเรือนก็ไม่มีทางจะแก้ให้เบาบางลงได้ แม้ไม่มีเรื่องการปรับ Tariff ของ Trump ประเทศไทยเราก็มีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากเกินอยู่แล้ว นี่คืออาการของคนป่วยเรื้อรังแห่งเอเชีย.ไม่ต้องสาธยายกันมาก อีกเรื่องทุกคนก็รู้ดีอยู่ว่า การเมืองของไทยยักแย่ยักยันอยู่ในปลักโคลนตมเดิมจนโงหัวไม่ขึ้นมานานแล้ว การเล่นการเมืองของนักการเมืองไทยเด็กๆก็รู้ว่าเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น ใครจะเห็นต่างกี่คนก็บอกมา.เมื่อองคาพยพของการเมืองไทยซึ่งมีการแต่งตั้งคณะรัฐบาลมาบริหารประเทศจากรากเหง้าเก่าๆที่รู้กันอยู่ เมื่อเจอกับปัญหาใหญ่ระดับโลกชนิดที่ว่าหันไปทางไหนก็มากระทบเราทั้งนั้น ท่านผู้ที่ได้ใช้สิทธิใช้เสียงเลือกพวกเขาเข้ามาบริหารประเทศ เชื่อและมั่นใจหรือไม่ว่าเขาจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมากระทบประเทศเราได้ .หันไปดูนโยบายของพรรคการเมืองผู้กุมอำนาจบริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ก็จะเห็นชัดเจนว่า ตอนนี้นโยบายของพวกเขาเหล่านั้น มันเน่าบูดกันแทบหมดแล้วครับ ถ้าจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมีแรงกระแทกก่อให้เกิดวิกฤตที่ใหญ่เกินคาด ด้วยการปรับ ครม. แต่ยังดันทุรังคงสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ไว้ น่าจะไม่เป็นการกระทำของผู้นำที่รักชาติจริง”
    บทวิเคราะห์ของ สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีคลัง “นโยบายปรับภาษี (Tariff) ของ Trump จะทำให้โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วพัฒนาการของการค้าโลกในช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งองค์การด้านการค้าโลกขึ้น เริ่มด้วยการตั้ง GATTS แล้วต่อมาปรับเป็น WTO (World Trade Organization) เพื่อสร้างกฎเกณฑ์การค้าขายระหว่างประเทศและกำกับให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามแนวทางการค้าเสรี ช่วงนี้จะมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ประเทศใหญ่ๆในยุโรป และประเทศญี่ปุ่นได้ปรับตัวให้ตนเองมั่งคั่งและสะสมความร่ำรวย เข้าไปควบคุมตลาดเงินและสกุลเงินตราสำคัญ รวมทั้งควบคุมตลาดการค้าหลักๆให้เป็นระเบียบและเอื้อต่อการขยายตัวของการค้าขายของแต่ละประเทศเพื่อประโยชน์ต่อตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ .แต่แล้วในช่วงดังกล่าวนี้ประเทศจีนเสือหลับแห่งเอเชีย ที่ได้ผู้นำประเทศที่ขึ้นมาพลิกผันประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมได้รวดเร็วและต่อเนื่อง ชื่อ เติ้ง เสี่ยวผิง เติ้งได้ทำการปฏิวัติและปฏิรูปประเทศในทุกด้านโดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมตั้งแต่แบบเก่าจนแบบที่ต้องใช้เทคนิคล้ำหน้า จนขณะนี้จีนภายใต้ผู้นำชื่อ สี จิ้น ผิง ที่เข้มแข็ง มือสะอาด มีฝีมือ มีคุณธรรม มีความตั้งใจจริง เข้ามาบริหารประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดให้ใหญ่โตจนทัดเทียมกับประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกด้าน จนผู้นำของสหรัฐอย่าง Trump รู้สึกเสียหน้ามาก. ที่มาของการใช้มาตรการทำสงครามการค้าของ Trump ความแข็งแกร่งของจีนในขณะนี้ Trump ได้เฝ้าดูแลมาร่วม 8 ปี เมื่อเขาสามารถเข้ามาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอีกครั้งก็ไม่รีรอที่จะลงมือนำนโยบายปรับภาษีสินค้านำเข้าและส่งออก (Tariff) ชนิดสุดโต่งและจำเพาะเจาะจงมาใช้กับประเทศจีนโดยทันที ขณะเดียวกันก็ได้ประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ทั่วโลกด้วย แต่มาตรการจะเบากว่าที่ใช้กับจีน. สิ่งที่เห็นตามที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ก็คือ การเกิดแรงกระแทกอย่างมากต่อวิถีการค้าระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ทั่วโลก ไม่ต้องถามว่าทำไม Trump ต้องทำแบบนี้ เพราะเขาเองเห็นชัดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาของเขากำลังตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดดุลการค้าอย่างมากที่เกิดต่อเนื่องมานานและมีหนี้สาธารณะสูงมาก .Trump ยังได้เห็นชัดว่า ฝ่ายของจีนมีพวกพ้องมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งกลุ่ม BRICS ประกอบด้วย Brazil, Russia, India, China และ South Africa รวมหัวกันทำการค้าต่อกันอย่างใกล้ชิด คิดใช้สกุลเงินตราของตนเอง โดยหันหน้าหนีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ.เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่ม BRICS ยังค่อยๆลดการลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐที่แต่ละประเทศถือไว้มากมายลงไปโดยการขายออก และหันไปซื้อทองคำหรือกระจายการลงทุนเป็นอย่างอื่น ขณะเดียวกันนักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ ในตลาดเงินก็ทำการทิ้งพันธบัตรสหรัฐตามกันไปด้วย มีผลทำให้พันธบัตรซึ่งเป็นสินทรัพย์ในอนาคตจำนวนมากของสหรัฐด้อยค่าลงมากอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน.สรุปได้ว่า Trump ได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาตอนนี้ได้ต่ำต้อยลงอย่างรวดเร็วมาก ตัวเองจึงจำเป็นต้องทำตัวเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามากู้ประเทศให้พลิกผันให้สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งอย่างเต็มตัวต่อไป ที่ Trump ตั้งใจจะทำก่อนและให้แรงมากคือเล่นงานด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าของสินค้าจีนอย่างบ้าระห่ำ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยมาตรการทำนองเดียวกัน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน นี่เป็นแค่ยกแรกแค่นั้น.ประเทศน้อยใหญ่ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศทั้งหลายต่างก็มองการกระทำของ Trump ในแง่ลบ แม้แต่ประธาน Federal Reserve ของสหรัฐเองอย่าง Jerome Powell เองก็มีอาการกึ่งช็อคกึ่งหัวหมุนกับนโยบายประเภทบ้าบิ่นที่ประธานาธิบดีของเขาจัดมาเป็นชุดๆ Powell ถึงกับกล่าวว่านโยบายของ Trump ที่นำออกมาใช้นี้จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจจะตกต่ำและการว่างงานจะมีมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้นก็จะปั่นป่วนมาก ความตั้งใจที่ Fed จะลดดอกเบี้ยลงจึงทำได้ยากขึ้นซึ่งความเห็นของประธาน Fed ดังกล่าว Trump ไม่พอใจมากเพราะเขาอยากให้มีการลดดอกเบี้ยถึงกับเอ่ยออกมาว่าคงต้องคิดเรื่องการเด้งประธาน Fed ซะแล้ว ฟังคล้ายกำลังจะเอาอย่างประเทศไทย.แนวทางของไทยที่จะรับมือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประเทศทุกประเทศที่โดนผลกระทบในเรื่องการขึ้น Tariff ของ Trump ต่างก็กำลังระดมความคิดและเตรียมตัวที่จะส่งผู้แทนไปเจรจา ยกเว้นจีนประเทศเดียวที่ขึ้นป้ายจะสู้กับสหรัฐอย่างแน่วแน่.สำหรับประเทศไทย ยังฟังไม่ได้ศัพท์จากฝ่ายรัฐบาลว่าจะมีกลยุทธ์ในการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ชี้ให้เห็นชัดว่าศักยภาพของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาใหญ่ต่ำมาก ฟังความได้อย่างเดียวจากท่านนายกรัฐมนตรีว่าจะใช้นโยบายและแนวทางเหมือนกับประเทศอาเซียนอื่นๆเท่านั้นตอนนี้ก็เห็นภาพชัดขึ้นอีกจากคณะผู้แทนที่เตรียมการจะไปเจรจา โดยจะไปบอกทางสหรัฐว่าไทยเราจะซื้อสินค้าจากเขามากขึ้น เช่น LNG ข้าวโพด ถั่วเหลือง เป็นต้น ถ้าจะเดาก็จะขอให้ทางสหรัฐบันยะบันยังกับการเพิ่มภาษีสินค้าที่นำเข้าจากไทยที่มีมูลค่าถึง 18 % ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด.ส่วนผลกระทบต่อไทย เท่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามจะบอกพอสังเขป สรุปได้ว่าการส่งออกของไทยจะโดนกระทบมากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป และจะทำให้การเติบโตของ GDP ในปีนี้ลดต่ำกว่าเป้าเหลือโตไม่ถึง 2.5 % และอัตราเงินเฟ้อของไทยก็จะชะลอลงด้วย นี่ยังไม่พูดถึงผลกระทบในปีหน้าและต่อๆไป ว่าจะรุนแรงสักแค่ไหน เชื่อได้เถอะครับมันแรงเกินคาด.ความเห็นผมนั้น เห็นว่าไทยเราจะโดนหนักกว่าที่รัฐบาลและหน่วยราชการไทยประเมินไว้มาก เกินศักยภาพของรัฐบาลไทยชุดนี้จะรับมือได้ วิกฤตที่จะเกิดขึ้นจากเรื่อง Tariff หนนี้ ไม่ใช่ Covid 19 นะครับ มันเป็นเรื่องประเทศใครประเทศมัน ใครมีผู้นำเก่งก็ทำให้เบาได้ สามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้.แนวทางในการคิดแก้วิกฤตของประเทศขนาดเล็กผมอยากนำท่านผู้อ่านไปดูว่าผู้นำของสิงคโปร์อย่างอดีตนายกลี เซียนลุง ได้พูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ซึ่งดีมาก เขาเริ่มบอกประชาชนรวมทั้งคณะรัฐมนตรีที่บริหารประเทศและนักธุรกิจ นักลงทุนของเขาว่าแม้จะมีความไม่แน่นอนในช่วง 90 วันที่ Trump จะให้ประเทศอื่นๆ นอกจากจีนไปคิดกันให้ดี แต่ก็ต้องมองให้ออกว่าทุกอย่างจะไม่กลับไปเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ดังนั้น เราต้องกังวลและคิดให้ตกว่ามันจะส่งผลกับเรามากแค่ไหน ต้องตระหนักให้ได้ว่าวิกฤตที่จะเกิดทั่วโลกนี้ บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมันแตกต่างไปจากเดิมมาก .ลี เซียนลุง ชี้ให้เห็นชัดว่า การขึ้นภาษีหรือ Tariff ไปทั่วโลกครั้งนี้มันจะก่อกวนต่อการผลิตมากกว่าที่คิด เพราะ Supply Chain หรือ ห่วงโซ่การผลิตทุกอย่างจะหยุดชะงัก แผนการผลิตเดิมทุกอย่างจะหายไป และจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Recession) อย่างรวดเร็ว และขอให้คาดหวังไว้ได้เลยว่า ปัญหานี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน.หลังจากลี เซียนลุง พูดเรื่องนี้ได้ไม่กี่วัน นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ที่มีเสียงสนับสนุนหนาแน่นอยู่ได้ประเทศยุบสภาไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน นี้เอง เหตุผลเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเลือกผู้นำใหม่ขึ้นมา นี่คือสิงคโปร์ นี่คือสิ่งที่เขาเป็นชาติที่เจริญได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงจนเราไม่สามารถแหงนหน้าขึ้นไปมองเขาได้แล้ว.ทางรอดของไทยจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดนี้ เรามาดูว่าประเทศไทยเราจะมีทางรอดแค่ไหนก่อนเราต้องส่องกระจกดูตัวเอง และต้องฟังดูว่ามีใครมองเราอย่างไรบ้างให้ชัดก่อน เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองได้มีการชี้แนะจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศแห่งหนึ่งว่า “ประเทศไทยนั้นมีเรื่องคอร์รัปชั่นเป็นตัวหลักที่ทำให้การบริหารประเทศในทุกด้านเดินหน้าไม่ได้” และเมื่อมีนาคม 2568 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยน่าห่วงเทียบได้เป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย”เป็นคนป่วยยังไงหรือ ทางด้านเศรษฐกิจก็เห็นกันชัดอยู่แล้วว่าไทยเรา กำลังเผชิญกับหนี้สาธารณะสูงมาก ภาษีเก็บได้น้อย ช่องทางในการหาเงินมาบริหารประเทศยังชักหน้าไม่ถึงหลัง อนาคตด้านการคลังริบหรี่ ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจเรื่องหนี้ครัวเรือนก็ไม่มีทางจะแก้ให้เบาบางลงได้ แม้ไม่มีเรื่องการปรับ Tariff ของ Trump ประเทศไทยเราก็มีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากเกินอยู่แล้ว นี่คืออาการของคนป่วยเรื้อรังแห่งเอเชีย.ไม่ต้องสาธยายกันมาก อีกเรื่องทุกคนก็รู้ดีอยู่ว่า การเมืองของไทยยักแย่ยักยันอยู่ในปลักโคลนตมเดิมจนโงหัวไม่ขึ้นมานานแล้ว การเล่นการเมืองของนักการเมืองไทยเด็กๆก็รู้ว่าเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น ใครจะเห็นต่างกี่คนก็บอกมา.เมื่อองคาพยพของการเมืองไทยซึ่งมีการแต่งตั้งคณะรัฐบาลมาบริหารประเทศจากรากเหง้าเก่าๆที่รู้กันอยู่ เมื่อเจอกับปัญหาใหญ่ระดับโลกชนิดที่ว่าหันไปทางไหนก็มากระทบเราทั้งนั้น ท่านผู้ที่ได้ใช้สิทธิใช้เสียงเลือกพวกเขาเข้ามาบริหารประเทศ เชื่อและมั่นใจหรือไม่ว่าเขาจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมากระทบประเทศเราได้ .หันไปดูนโยบายของพรรคการเมืองผู้กุมอำนาจบริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ก็จะเห็นชัดเจนว่า ตอนนี้นโยบายของพวกเขาเหล่านั้น มันเน่าบูดกันแทบหมดแล้วครับ ถ้าจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมีแรงกระแทกก่อให้เกิดวิกฤตที่ใหญ่เกินคาด ด้วยการปรับ ครม. แต่ยังดันทุรังคงสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ไว้ น่าจะไม่เป็นการกระทำของผู้นำที่รักชาติจริง”
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 464 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..เราก้าวมาถึงทางตันเลยก็ว่าหรือผู้นำนั้นล่ะพาเดินมาทางตัน ,หลงทาง ออกจากเขาวงกตไม่ได้ และเจตจาพามาฆ่าสังหารทำให้ตายแล้วยึดชิงปล้นทรัพย์เต็มที่ไร้การขัดขืนใดๆอีก.

    ..ปฏิวัตอย่างเดียว ทหารคือหนทางออกกับนักการเมืองอีลิทdeep stateควบคุมนี้,ล้มเหลว&ตกประเมินด้านไปทางพ้นยากจนด้วย,เจริญเพียงเดอะแก๊งdeep state ,จะมองคาสิโนมองบ่อน้ำมันมองแลนด์บริจด์ล้วนdeep stateข้ามชาติต้องการอยากได้หมด.

    ..เรามันยุคปฏิวัติรุ่นน้ำหมากจริงๆ,คนหนุ่มสาวไร้สติปัญญากำลังไร้สมองบวกถูกล้างสมองสิ้น,โน้นdeep stateพาชูสามนิ้วแทรกแซงมุกปั่นป่วนสร้างก่อโกลาหลมันก็พากันไปตรึม.ดีนะที่ยังมีคนรุ่นน้ำหมากรุ่นสุดท้ายยังเหลือ,ชาติไทยจึงต้องจบและเริ่มกวาดล้างสิ้นซากมิให้คนพวกนี้มีชีวิตจึงสำคัญมากๆ.
    ..และทำไมจึงรอนานจังหวะมาขนาดนี้,เราไม่ยินดีในทหารยึดอำนาจแบบๆยุคอดีตซึ่งทั้งหมดเป็นฝ่ายของdeep stateเล่นบททำเองแต่งชงกินเองทั้งสิ้น,เราต้องการทหารพระราชาจริงๆ.บ้านเมืองชาติไหนจะเป็นแบบใดไม่ใส่ใจ บ้านเมืองเราต้องดีขึ้นคู่ขนานทั้งกายวัตถุธาตุภายนอกและเจริญล้ำทางจิตวิญญาณที่ทรงคุณค่าสถานเดียวจริงๆและสมควรเป็นเช่นนั้นนานมาแล้ว.
    ..การปกครองจริงๆเพราะอำนาจการปกครองคนดีต้องได้ครอบครอง.

    https://youtube.com/watch?v=6a5e8msRYLE&si=MDVkuZBrEh4QXq8B
    ..เราก้าวมาถึงทางตันเลยก็ว่าหรือผู้นำนั้นล่ะพาเดินมาทางตัน ,หลงทาง ออกจากเขาวงกตไม่ได้ และเจตจาพามาฆ่าสังหารทำให้ตายแล้วยึดชิงปล้นทรัพย์เต็มที่ไร้การขัดขืนใดๆอีก. ..ปฏิวัตอย่างเดียว ทหารคือหนทางออกกับนักการเมืองอีลิทdeep stateควบคุมนี้,ล้มเหลว&ตกประเมินด้านไปทางพ้นยากจนด้วย,เจริญเพียงเดอะแก๊งdeep state ,จะมองคาสิโนมองบ่อน้ำมันมองแลนด์บริจด์ล้วนdeep stateข้ามชาติต้องการอยากได้หมด. ..เรามันยุคปฏิวัติรุ่นน้ำหมากจริงๆ,คนหนุ่มสาวไร้สติปัญญากำลังไร้สมองบวกถูกล้างสมองสิ้น,โน้นdeep stateพาชูสามนิ้วแทรกแซงมุกปั่นป่วนสร้างก่อโกลาหลมันก็พากันไปตรึม.ดีนะที่ยังมีคนรุ่นน้ำหมากรุ่นสุดท้ายยังเหลือ,ชาติไทยจึงต้องจบและเริ่มกวาดล้างสิ้นซากมิให้คนพวกนี้มีชีวิตจึงสำคัญมากๆ. ..และทำไมจึงรอนานจังหวะมาขนาดนี้,เราไม่ยินดีในทหารยึดอำนาจแบบๆยุคอดีตซึ่งทั้งหมดเป็นฝ่ายของdeep stateเล่นบททำเองแต่งชงกินเองทั้งสิ้น,เราต้องการทหารพระราชาจริงๆ.บ้านเมืองชาติไหนจะเป็นแบบใดไม่ใส่ใจ บ้านเมืองเราต้องดีขึ้นคู่ขนานทั้งกายวัตถุธาตุภายนอกและเจริญล้ำทางจิตวิญญาณที่ทรงคุณค่าสถานเดียวจริงๆและสมควรเป็นเช่นนั้นนานมาแล้ว. ..การปกครองจริงๆเพราะอำนาจการปกครองคนดีต้องได้ครอบครอง. https://youtube.com/watch?v=6a5e8msRYLE&si=MDVkuZBrEh4QXq8B
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉีกหน้ากาก”โกงซ้อนโกง” ตึก สตง.ถล่ม
    ปลอมลายเซ็นวิศวกร บิดเบือนไม่รับผิดชอบ
    .
    เรื่องตึก สตง.(สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน)ถล่ม อีกสิบปีก็พูดได้ว่ามันเป็นมหากาพย์การโกง ผมว่ามันโคตรจะระยำตำบอนเลย ผม 78 ปี ปีนี้ ผมทำข่าวมาห้าสิบกว่าปี ผมไม่เคยเจอขบวนการคอร์รัปชันที่ยิ่งใหญ่และลึกลับซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ว่าได้ เรื่องขบวนการทุจริตในการจัดจ้างเพื่อก่อสร้างและตกแต่งอาคาร สตง. แห่งใหม่ ในเขตจตุจักร อย่างที่ผมฟันธงและบอกไปแล้วว่ามันมีเงื่อนงำในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ
    .
    จริงๆ เรื่องนี้ต้องทำเป็นกรณีศึกษา Case study สถาบันการศึกษา อาจารย์น่าจะเอาข้อมูลพวกนี้ แล้วมาสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาว่ามันโกงกันอย่างไร ความเป็น สตง. นี่ไงที่ผมบอกว่าผมจะฟ้องท่านผู้ชม ให้จารึกลงในประวัติศาสตร์ ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานมันพูดถึงคน สตง. เลวๆ ที่มันระยำตำบอนและโกงชาติบ้านเมือง ทำผิดคุณธรรม จริยธรรม ในหน้าที่ที่ตัวเองต้องตรวจสอบการทุจริต แต่กลับทุจริตเสียเอง
    .
    ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความไม่ชอบมาพากลในการจัดจ้างเพื่อก่อสร้างโครงการนี้ยิ่งขึ้นไปอีก คือมันมีการปลอมลายเซ็นสำหรับกรณีวิศวกรทั้งสองคนที่มีชื่อไปเกี่ยวข้องและรับผิดชอบเกี่ยวกับการควบคุมการก่อสร้างและออกแบบอาคาร คือ หนึ่ง คุณสมเกียรติ ชูแสงสุข ที่ถูกอ้างชื่อและปลอมลายเซ็นว่าเป็นผู้ควบคุมงานของกิจการร่วมค้า PWK สอง คือคุณพิมล เจริญยิ่ง วิศวกรอายุ 85 ปี ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้ออกแบบอาคาร 2 สตง. จริงหรือไม่ เจ้าตัวกลับปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องด้วย และไม่ได้ทำงานออกแบบมาหลายปีแล้ว ท่านผู้ชมครับเห็นหรือยังครับ มหากาพย์ของการโกง โกงกันตั้งแต่เริ่มออกแบบแล้ว ตรงนี้มันมีพิรุธไหม ? เพราะกรมโยธาธิการฯได้แจ้งว่า ที่ขอมาขอให้มีการเร่งออกแบบตึก สตง.ที่มีงบสองพันล้านบาทภายใน 180 วันไม่ทัน ก็เป็นสิทธิ์หน่วยงานนี้จะเอาสิทธิ์ตรงนั้นไปแจ้งบริษัทเอกชนออกแบบแทน นี่คือการเจตนาที่จะทุจริตที่เห็นได้ชัดเจน
    .
    มีคนหนึ่งที่ผมอยากให้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ใจแทบขาด เพราะน่าจะเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง คือ คุณปฏิวัติ ศิริไทย ซีอีโอ และเจ้าของบริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด ซึ่งบริษัทนี้เป็นหนึ่งในสามบริษัทที่ไปรวมตัวกันเป็นกิจการร่วมค้า PKWได้งานควบคุมก่อสร้างตึก สตง. ในวงเงิน 74.65 ล้านบาท
    .
    คุณปฏิวัติครับ คุณอย่านั่งนิ่งเฉย เพราะผมได้ยินว่าคุณเป็นผู้กว้างขวาง รู้จักคุณประจักษ์ บุญยัง อดีตผู้ว่าฯ สตง. รู้จักนายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าฯ สตง. มือไม้ของคุณประจักษ์ รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างประธาน คตง. คือ พล.อ.ชนะทัพ อินทามระ ประธาน คตง. หรือประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เรื่อยไปจนถึงคนใกล้ชิด ทั้งทหาร ตำรวจ พลเรือน ซึ่งเป็นเครือญาติและคนใกล้ชิด พล.อ.ชนะทัพ ด้วย แม้หน่วยงานโคตรอภิสิทธิ์อย่าง สตง. ยืนยันที่ทำนั้น ล้วนแต่ดำเนินด้วยความถูกต้องบริสุทธิ์ผูดผ่องทั้งสิ้น
    .
    แต่ถ้ามันเน่าข้างในหมดแล้ว จะเอาหนังอะไรมากลบ ใส่เสื้อกี่ตัว กลิ่นมันออก พอกลิ่นมันออก ถอดเสื้อออกก็เหม็นเสื้อเชิ้ตก็เหม็น ถอดเสื้อเชิ้ตออก เสื้อเชิ้ตก็เหม็น ถอดคอกลมออก คอกลมก็เหม็น พอถอดออกหมดแล้ว อ้าว ตายห่า มันเน่าหมดแล้วนี่ มันเน่าก็คือว่า ทำมาหาแดกกันทุกระดับ ตั้งแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ใน สตง. จะเป็นใครก็ตาม ท่านผู้ชมเดาเอาเองก็แล้วกัน
    ฉีกหน้ากาก”โกงซ้อนโกง” ตึก สตง.ถล่ม ปลอมลายเซ็นวิศวกร บิดเบือนไม่รับผิดชอบ . เรื่องตึก สตง.(สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน)ถล่ม อีกสิบปีก็พูดได้ว่ามันเป็นมหากาพย์การโกง ผมว่ามันโคตรจะระยำตำบอนเลย ผม 78 ปี ปีนี้ ผมทำข่าวมาห้าสิบกว่าปี ผมไม่เคยเจอขบวนการคอร์รัปชันที่ยิ่งใหญ่และลึกลับซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ว่าได้ เรื่องขบวนการทุจริตในการจัดจ้างเพื่อก่อสร้างและตกแต่งอาคาร สตง. แห่งใหม่ ในเขตจตุจักร อย่างที่ผมฟันธงและบอกไปแล้วว่ามันมีเงื่อนงำในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ . จริงๆ เรื่องนี้ต้องทำเป็นกรณีศึกษา Case study สถาบันการศึกษา อาจารย์น่าจะเอาข้อมูลพวกนี้ แล้วมาสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาว่ามันโกงกันอย่างไร ความเป็น สตง. นี่ไงที่ผมบอกว่าผมจะฟ้องท่านผู้ชม ให้จารึกลงในประวัติศาสตร์ ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานมันพูดถึงคน สตง. เลวๆ ที่มันระยำตำบอนและโกงชาติบ้านเมือง ทำผิดคุณธรรม จริยธรรม ในหน้าที่ที่ตัวเองต้องตรวจสอบการทุจริต แต่กลับทุจริตเสียเอง . ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความไม่ชอบมาพากลในการจัดจ้างเพื่อก่อสร้างโครงการนี้ยิ่งขึ้นไปอีก คือมันมีการปลอมลายเซ็นสำหรับกรณีวิศวกรทั้งสองคนที่มีชื่อไปเกี่ยวข้องและรับผิดชอบเกี่ยวกับการควบคุมการก่อสร้างและออกแบบอาคาร คือ หนึ่ง คุณสมเกียรติ ชูแสงสุข ที่ถูกอ้างชื่อและปลอมลายเซ็นว่าเป็นผู้ควบคุมงานของกิจการร่วมค้า PWK สอง คือคุณพิมล เจริญยิ่ง วิศวกรอายุ 85 ปี ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้ออกแบบอาคาร 2 สตง. จริงหรือไม่ เจ้าตัวกลับปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องด้วย และไม่ได้ทำงานออกแบบมาหลายปีแล้ว ท่านผู้ชมครับเห็นหรือยังครับ มหากาพย์ของการโกง โกงกันตั้งแต่เริ่มออกแบบแล้ว ตรงนี้มันมีพิรุธไหม ? เพราะกรมโยธาธิการฯได้แจ้งว่า ที่ขอมาขอให้มีการเร่งออกแบบตึก สตง.ที่มีงบสองพันล้านบาทภายใน 180 วันไม่ทัน ก็เป็นสิทธิ์หน่วยงานนี้จะเอาสิทธิ์ตรงนั้นไปแจ้งบริษัทเอกชนออกแบบแทน นี่คือการเจตนาที่จะทุจริตที่เห็นได้ชัดเจน . มีคนหนึ่งที่ผมอยากให้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ใจแทบขาด เพราะน่าจะเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง คือ คุณปฏิวัติ ศิริไทย ซีอีโอ และเจ้าของบริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด ซึ่งบริษัทนี้เป็นหนึ่งในสามบริษัทที่ไปรวมตัวกันเป็นกิจการร่วมค้า PKWได้งานควบคุมก่อสร้างตึก สตง. ในวงเงิน 74.65 ล้านบาท . คุณปฏิวัติครับ คุณอย่านั่งนิ่งเฉย เพราะผมได้ยินว่าคุณเป็นผู้กว้างขวาง รู้จักคุณประจักษ์ บุญยัง อดีตผู้ว่าฯ สตง. รู้จักนายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าฯ สตง. มือไม้ของคุณประจักษ์ รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างประธาน คตง. คือ พล.อ.ชนะทัพ อินทามระ ประธาน คตง. หรือประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เรื่อยไปจนถึงคนใกล้ชิด ทั้งทหาร ตำรวจ พลเรือน ซึ่งเป็นเครือญาติและคนใกล้ชิด พล.อ.ชนะทัพ ด้วย แม้หน่วยงานโคตรอภิสิทธิ์อย่าง สตง. ยืนยันที่ทำนั้น ล้วนแต่ดำเนินด้วยความถูกต้องบริสุทธิ์ผูดผ่องทั้งสิ้น . แต่ถ้ามันเน่าข้างในหมดแล้ว จะเอาหนังอะไรมากลบ ใส่เสื้อกี่ตัว กลิ่นมันออก พอกลิ่นมันออก ถอดเสื้อออกก็เหม็นเสื้อเชิ้ตก็เหม็น ถอดเสื้อเชิ้ตออก เสื้อเชิ้ตก็เหม็น ถอดคอกลมออก คอกลมก็เหม็น พอถอดออกหมดแล้ว อ้าว ตายห่า มันเน่าหมดแล้วนี่ มันเน่าก็คือว่า ทำมาหาแดกกันทุกระดับ ตั้งแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ใน สตง. จะเป็นใครก็ตาม ท่านผู้ชมเดาเอาเองก็แล้วกัน
    Like
    Love
    25
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1226 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดภาพ พิธีลงนามสัญญาจ้างควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้จัดให้มีพิธีลงนามในสัญญาจ้างควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ โดยมีนายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ลงนามในสัญญา กับ กิจการร่วมค้า PKW ซึ่งเป็นผู้ชนะการยื่นข้อเสนองานจ้างควบคุมงาน ในวงเงิน 74.65 ล้านบาท ณ ห้องดำริอิศรานุวรรต สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ดำเนินการจัดทำร่างขอบเขตของงานจ้างควบคุมงานโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานแห่งใหม่ โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการและการจ่ายเงินค่าจ้างเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 เป็นระยะเวลาควบคุมงานก่อสร้างจนแล้วเสร็จ (3 ปี) และระยะที่ 2 เป็นระยะเวลาควบคุมงานสำหรับงานรับประกันความชำรุดบกพร่องของผู้รับจ้างก่อสร้าง (2 ปี) ทำให้มีระยะเวลาผูกพันตามสัญญาจ้างเป็นระยะเวลาทั้งหมด 5 ปี และได้ดำเนินการจัดหาผู้ให้บริการควบคุมงานก่อสร้างตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยวิธีคัดเลือกผู้ให้บริการควบคุมงานจ้างก่อสร้าง3 บริษัท ควบคุมงาน ตึก สตง. เอกชนที่ได้รับงานควบคุมงานก่อสร้างอาคาร สตง.วงเงิน 74.65 ล้านบาท 1. บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2554 ทุนจดทะเบียนล่าสุด 8,000,000 บาท ตั้งอยู่เลขที่ 63/123 ตำบลบางแม่นาง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี แจ้งประกอบธุรกิจการก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย ปรากฏชื่อ นาย ปฏิวัติ ศิริไทย นาง พรรณนภา ศิริไทย นาย นัฏพร กฤษฎานุภาพ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ณ วันที่ 29 เมษายน 2567 นาย ปฏิวัติ ศิริไทย ถือหุ้นใหญ่สุด หุ้นที่เหลืออยู่ในชื่อ นาง พรรณภา ศิริไทย นาย นัฏพร กฤษฎานุภาพ 2.บริษัท ว.และสหายคอนซัลแตนตส์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2526 ทุนจดทะเบียนล่าสุด 4,000,000 บาท ตั้งอยู่เลขที่ 55 ซอยรามคำแหง 18 (แม้นเขียน 3) ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ จังหวัดกรุงเทพมหานคร แจ้งประกอบธุรกิจกิจกรรมงานวิศวกรรมและการให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิค ที่เกี่ยวข้อง ปรากฏชื่อ นาย โชควิชิต ลักษณากร นาย พลเดช เทอดพิทักษ์วานิช นาง ปราณีต แสงอลังการ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2567 นาย โชควิชิต ลักษณากร ถือหุ้นใหญ่สุด หุ้นที่เหลืออยู่ในชื่อ นาง พิมลดา ลักษณากร นาย วิชัย ลักษณากร นาย วิทู รักษ์วนิชพงศ์3. บริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2548 ทุนจดทะเบียนล่าสุด 2,000,000 บาท ตั้งอยู่เลขที่ 76/2 ถนนรามคำแหง แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี จังหวัดกรุงเทพมหานคร แจ้งประกอบธุรกิจการก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย ปรากฏชื่อ นาย กฤตภัฏ ปล่องกระโทก นาย ศิริศักดิ์ วดีศิริศักดิ์ นาย มนตรี สุดรักษ์ นาย ณัฐวุฒิ เลิศศรีดำรงค์กุล เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 นาย กฤตภัฏ ปล่องกระโทก ถือหุ้นใหญ่สุด หุ้นที่เหลืออยู่ในชื่อ นาย ศิริศักดิ์ วดีศิริศักดิ์ นาย มนตรี สุดรักษ์ นาย ณัฐวุฒิ เลิศศรีดำรงค์กุล นางสาว พนิดดา พิทักษ์เกียรติยศหลังจากมีการขยายสัญญา ครม.ชุดปัจจุบันนี้เพิ่งอนุมัติเพิ่มวงเงินค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคาร เป็นวงเงิน 84.3 ล้าน มีการแก้ไขแบบก่อสร้าง จำเป็นขยายระยะเวลาก่อสร้าง 155 วัน จาก 1,080 วัน เป็น 1,235 วัน และโครงการอยู่ใน “ข้อตกลงคุณธรรม” รัฐ-ผู้รับเหมา-ผู้ควบคุมงานก่อสร้าง.. จนเกิดเหตุกาณ์แผ่นดินไหว ตึกถล่มดังกล่าว .ที่มา : ศูนย์ปฏิบัติการSTRONGประเทศไทย
    เปิดภาพ พิธีลงนามสัญญาจ้างควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2564 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้จัดให้มีพิธีลงนามในสัญญาจ้างควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ โดยมีนายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ลงนามในสัญญา กับ กิจการร่วมค้า PKW ซึ่งเป็นผู้ชนะการยื่นข้อเสนองานจ้างควบคุมงาน ในวงเงิน 74.65 ล้านบาท ณ ห้องดำริอิศรานุวรรต สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ดำเนินการจัดทำร่างขอบเขตของงานจ้างควบคุมงานโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานแห่งใหม่ โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการและการจ่ายเงินค่าจ้างเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 เป็นระยะเวลาควบคุมงานก่อสร้างจนแล้วเสร็จ (3 ปี) และระยะที่ 2 เป็นระยะเวลาควบคุมงานสำหรับงานรับประกันความชำรุดบกพร่องของผู้รับจ้างก่อสร้าง (2 ปี) ทำให้มีระยะเวลาผูกพันตามสัญญาจ้างเป็นระยะเวลาทั้งหมด 5 ปี และได้ดำเนินการจัดหาผู้ให้บริการควบคุมงานก่อสร้างตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยวิธีคัดเลือกผู้ให้บริการควบคุมงานจ้างก่อสร้าง3 บริษัท ควบคุมงาน ตึก สตง. เอกชนที่ได้รับงานควบคุมงานก่อสร้างอาคาร สตง.วงเงิน 74.65 ล้านบาท 1. บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2554 ทุนจดทะเบียนล่าสุด 8,000,000 บาท ตั้งอยู่เลขที่ 63/123 ตำบลบางแม่นาง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี แจ้งประกอบธุรกิจการก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย ปรากฏชื่อ นาย ปฏิวัติ ศิริไทย นาง พรรณนภา ศิริไทย นาย นัฏพร กฤษฎานุภาพ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ณ วันที่ 29 เมษายน 2567 นาย ปฏิวัติ ศิริไทย ถือหุ้นใหญ่สุด หุ้นที่เหลืออยู่ในชื่อ นาง พรรณภา ศิริไทย นาย นัฏพร กฤษฎานุภาพ 2.บริษัท ว.และสหายคอนซัลแตนตส์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2526 ทุนจดทะเบียนล่าสุด 4,000,000 บาท ตั้งอยู่เลขที่ 55 ซอยรามคำแหง 18 (แม้นเขียน 3) ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ จังหวัดกรุงเทพมหานคร แจ้งประกอบธุรกิจกิจกรรมงานวิศวกรรมและการให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิค ที่เกี่ยวข้อง ปรากฏชื่อ นาย โชควิชิต ลักษณากร นาย พลเดช เทอดพิทักษ์วานิช นาง ปราณีต แสงอลังการ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2567 นาย โชควิชิต ลักษณากร ถือหุ้นใหญ่สุด หุ้นที่เหลืออยู่ในชื่อ นาง พิมลดา ลักษณากร นาย วิชัย ลักษณากร นาย วิทู รักษ์วนิชพงศ์3. บริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2548 ทุนจดทะเบียนล่าสุด 2,000,000 บาท ตั้งอยู่เลขที่ 76/2 ถนนรามคำแหง แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี จังหวัดกรุงเทพมหานคร แจ้งประกอบธุรกิจการก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย ปรากฏชื่อ นาย กฤตภัฏ ปล่องกระโทก นาย ศิริศักดิ์ วดีศิริศักดิ์ นาย มนตรี สุดรักษ์ นาย ณัฐวุฒิ เลิศศรีดำรงค์กุล เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 นาย กฤตภัฏ ปล่องกระโทก ถือหุ้นใหญ่สุด หุ้นที่เหลืออยู่ในชื่อ นาย ศิริศักดิ์ วดีศิริศักดิ์ นาย มนตรี สุดรักษ์ นาย ณัฐวุฒิ เลิศศรีดำรงค์กุล นางสาว พนิดดา พิทักษ์เกียรติยศหลังจากมีการขยายสัญญา ครม.ชุดปัจจุบันนี้เพิ่งอนุมัติเพิ่มวงเงินค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคาร เป็นวงเงิน 84.3 ล้าน มีการแก้ไขแบบก่อสร้าง จำเป็นขยายระยะเวลาก่อสร้าง 155 วัน จาก 1,080 วัน เป็น 1,235 วัน และโครงการอยู่ใน “ข้อตกลงคุณธรรม” รัฐ-ผู้รับเหมา-ผู้ควบคุมงานก่อสร้าง.. จนเกิดเหตุกาณ์แผ่นดินไหว ตึกถล่มดังกล่าว .ที่มา : ศูนย์ปฏิบัติการSTRONGประเทศไทย
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 383 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์บทความของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ “คานงัดประเทศไทยหลายประเทศมีการผลักดัน “การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนสามารถพลิกฟื้นตัวเองจากรัฐที่ตามหลัง (Following State) สู่รัฐที่ล้ำหน้า (Forefront State) อย่างจีน สิงค์โปร์ หรือ เกาหลีใต้ ผิดกับประเทศไทย ที่ปัจจุบันยังเป็นเพียงรัฐที่ตามหลัง และกำลังมีแนวโน้มถดถอยไปสู่รัฐที่กำลังล้มเหลว (Falling State)ที่ผ่านมา ประเทศไทยนั้นมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (Great Reform) เพียงครั้งเดียว คือในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แต่เงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้นกับในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไขที่มาจากปัจจัยภายในและภายนอก ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชการที่ 5 น้ำหนักจะอยู่ที่การพัฒนาเพื่อไปสู่ความทันสมัย เพื่อที่จะแสดงให้ประชาคมโลกตระหนักว่าประเทศของเรานั้นไม่ได้ล้าหลัง เนื่องจากต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคม ประเด็นท้าทายในยุคปัจจุบัน คือจะมุ่งการพัฒนาเพื่อไปสู่ความยั่งยืน ความเท่าเทียมในสังคม และความเท่าทันเทคโนโลยี ได้อย่างไร~แรงเฉื่อยต่อการเปลี่ยนแปลงหลังกระแสการล่าอาณานิคมผ่านพ้นไป ประเทศไทยไม่เคยต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรง เราเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล 2 น้อยมาก ดังนั้น ระบบและโครงสร้างเก่า แนวคิดและจารีตนิยมจึงไม่ได้ถูกทำลาย ทำให้อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชนยังคงอยู่ ระบบคุณค่าดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการพลิกโฉมประเทศไปสู่สังคมสมัยใหม่ ที่เน้นความเป็นระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ตระหนักในหน้าที่พลเมือง มีจิตอาสา กล้าที่จะเสนอความเห็น มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และความเสมอภาคระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังได้หล่อหลอมคนไทยให้เป็น “ปัจเจกบุคคลที่ไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม” (Anomic Individualism) สะท้อนผ่านพฤติกรรมตัวใครตัวมัน ไม่ชอบถูกบังคับ ไร้ระเบียบวินัย และขาดความรับผิดชอบ ผลข้างเคียงที่ตามมา คือคนไทยโดยส่วนใหญ่จะเรียกร้องสิทธิมากกว่าหน้าที่ เน้นถูกใจมากกว่าถูกต้อง เน้นมองเพื่อตัวเองมากกว่ามองเพื่อส่วนรวม เน้นชิงสุกก่อนห่ามมากกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เน้นรูปแบบมากกว่าสาระ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นมูลค่ามากกว่าคุณค่า และเน้นคอนเนคชั่นมากกว่าเนื้องานความไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม ทำให้คนไทยโดยส่วนใหญ่มักตัดสินใจเลือกเส้นทางหรือวิธีการที่ “มักง่าย” ทำให้เรื่องที่ “ผิดปกติ” กลายเป็นเรื่อง “ไม่ผิดปกติ” และกระทำลงไปโดยปราศจาก “ความรู้สึกผิด” อาทิ นักการเมืองโกงกินไม่เป็นไร ขอเพียงให้มีผลงานบ้าง การทำปฏิวัติรัฐประหาร การใช้กำลังยุติความขัดแย้ง เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ และความมหัศจรรย์ ไม่รักษาเวลา ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ ทิ้งงานโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น ~ค้นหาจุดคานงัด ทลายวงจรอุบาทว์หากพวกเราไม่คิดแก้ไขปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ยากที่ประเทศไทยจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ประเทศอื่น ๆ ในประชาคมโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ได้ในการทลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน จุดคานงัดของการเปลี่ยนแปลง (Leveraging Point) อาจจะอยู่ทึ่ “การปฏิรูประบบคุณค่า” (Value System Reform) ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่านิยม 2 ชุดหลักด้วยกัน คือชุดที่ 1: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมชุดที่ 2: บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยมบริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นด้านลบของระบอบทุนนิยม แต่ในด้านบวกของระบอบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันอย่างเสรี การยึดธรรมาภิบาล กฎกติกา กลับไม่ได้ถูกสังคมไทยนำมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะถูกอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมเข้าบดบังระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด ยังคงแทรกซึมลึกอยู่ในเกือบทุกอณูของสังคมไทย เป็น Counter-Productive Value ที่นอกจากจะไม่สอดรับกับรูปแบบการพัฒนาและโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมในโลกปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ระบบคุณค่าทั้งสองชุดได้ทำให้ธรรมาภิบาล โครงสร้าง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้คนในสังคม เกิดการบิดเบี้ยวเชิงระบบ ไม่ว่าจะเป็น• การบิดเบี้ยวเชิงการเมือง ที่ก่อให้เกิดการเมืองที่มีผู้มีอิทธิพลครอบงำ และก่อให้เกิดระบอบธนาธิปไตย และระบอบอมาตยาธิปไตย แทนที่จะเป็นระบอบประชาธิปไตย • การบิดเบี้ยวเชิงบริหารราชการแผ่นดิน ที่การบริหารจัดการภาครัฐถูกแทรกแซง บิดเบือน ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและระบบคุณธรรม • การบิดเบี้ยวเชิงสังคม ที่ก่อให้เกิด Contra-Individuals มากกว่า Collective Individuals รวมถึงเกิดความกระชับแน่นของคนในกลุ่มเดียวกัน (Bonding) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสัมพันธ์ของคนต่างกลุ่ม (Bridging) ลดลง เกิดเป็น “สังคมของพวกกู” มากกว่า “สังคมของพวกเรา”• ความบิดเบี้ยวเชิงเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดระบบทุนนิยมแบบพวกพ้อง (Crony Capitalism) นำมาสู่ระบบเศรษฐกิจปรสิต (Parasite Economy) และสังคมพึ่งพิงประชานิยม (Dependent Society) • ความบิดเบี้ยวของผู้นำ ที่ก่อให้เกิดการขาดแคลนผู้นำที่เป็นต้นแบบที่ดี มีแต่ผู้นำที่คิดอย่าง พูดอย่าง ทำอย่างอยู่มากมาย เกิดผู้นำที่ใส่ใจในวาระซ่อนเร้นของตน มากกว่า วาระของชาติ• ความบิดเบี้ยวเชิงสถาบัน ที่สถาบันต่าง ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามภารกิจอย่างเป็นอิสระ อย่างที่สังคมคาดหวังที่สำคัญ ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังก่อให้เกิดความย้อนแย้งระหว่างอำนาจที่แท้จริงและอำนาจทางการ หรือที่เรียกว่า “Power Paradox” กล่าวคือ การที่เรายังมองประชาชนเป็นผู้ถูกปกครอง โดยมีผู้ปกครองคือรัฐ ทั้งที่จริง ๆ แล้วรัฐต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน เป็นความย้อนแย้งระหว่างพฤตินัยและนิตินัยดังนั้น หากปราศจากการปรับเปลี่ยนระบบคุณค่า เพื่อทำให้เกิดความสอดคล้องกับธรรมาภิบาลและโครงสร้างส่วนอื่นๆของสังคม วาระการปฎิรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ จะไม่มีทางตอบโจทย์ประเด็นปัญหาฐานรากที่เกิดขึ้นในสังคมไทย~ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยม; บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นปฐมบทของการเกิดโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองแบบ Extractive Political Economy ที่มีผู้คนเพียงบางกลุ่ม ได้ประโยชน์จากอำนาจการปกครองและอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยความพยายามที่จะกีดกั้น เอารัดเอาเปรียบ และทำให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจและความมั่งคั่ง และนำพาสู่การอุบัติขึ้นของ ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ ในที่สุดโครงสร้าง Extractive Political Economy ได้นำพาประเทศไทยสู่ “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” เกิดสังคมที่ไม่ Clean & Clear ไม่ Free & Fair และไม่ Care & Share สังคมดังกล่าวนำมาซึ่งความเสื่อมถอยของทุนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นทุนมนุษย์ที่อ่อนแอ ทุนเศรษฐกิจที่อ่อนด้อย ทุนสังคมที่เปราะบาง ทุนคุณธรรมจริยธรรมที่เสื่อมทราม และทุนทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรมถึงเวลาปฎิรูประบบคุณค่า เพื่อใช้เป็นจุดคานงัดในการก้าวพ้นกับดัก และปรับเปลี่ยนไทยสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง”
    รีโพสต์บทความของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ “คานงัดประเทศไทยหลายประเทศมีการผลักดัน “การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนสามารถพลิกฟื้นตัวเองจากรัฐที่ตามหลัง (Following State) สู่รัฐที่ล้ำหน้า (Forefront State) อย่างจีน สิงค์โปร์ หรือ เกาหลีใต้ ผิดกับประเทศไทย ที่ปัจจุบันยังเป็นเพียงรัฐที่ตามหลัง และกำลังมีแนวโน้มถดถอยไปสู่รัฐที่กำลังล้มเหลว (Falling State)ที่ผ่านมา ประเทศไทยนั้นมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (Great Reform) เพียงครั้งเดียว คือในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แต่เงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้นกับในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไขที่มาจากปัจจัยภายในและภายนอก ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชการที่ 5 น้ำหนักจะอยู่ที่การพัฒนาเพื่อไปสู่ความทันสมัย เพื่อที่จะแสดงให้ประชาคมโลกตระหนักว่าประเทศของเรานั้นไม่ได้ล้าหลัง เนื่องจากต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคม ประเด็นท้าทายในยุคปัจจุบัน คือจะมุ่งการพัฒนาเพื่อไปสู่ความยั่งยืน ความเท่าเทียมในสังคม และความเท่าทันเทคโนโลยี ได้อย่างไร~แรงเฉื่อยต่อการเปลี่ยนแปลงหลังกระแสการล่าอาณานิคมผ่านพ้นไป ประเทศไทยไม่เคยต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรง เราเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล 2 น้อยมาก ดังนั้น ระบบและโครงสร้างเก่า แนวคิดและจารีตนิยมจึงไม่ได้ถูกทำลาย ทำให้อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชนยังคงอยู่ ระบบคุณค่าดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการพลิกโฉมประเทศไปสู่สังคมสมัยใหม่ ที่เน้นความเป็นระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ตระหนักในหน้าที่พลเมือง มีจิตอาสา กล้าที่จะเสนอความเห็น มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และความเสมอภาคระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังได้หล่อหลอมคนไทยให้เป็น “ปัจเจกบุคคลที่ไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม” (Anomic Individualism) สะท้อนผ่านพฤติกรรมตัวใครตัวมัน ไม่ชอบถูกบังคับ ไร้ระเบียบวินัย และขาดความรับผิดชอบ ผลข้างเคียงที่ตามมา คือคนไทยโดยส่วนใหญ่จะเรียกร้องสิทธิมากกว่าหน้าที่ เน้นถูกใจมากกว่าถูกต้อง เน้นมองเพื่อตัวเองมากกว่ามองเพื่อส่วนรวม เน้นชิงสุกก่อนห่ามมากกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เน้นรูปแบบมากกว่าสาระ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นมูลค่ามากกว่าคุณค่า และเน้นคอนเนคชั่นมากกว่าเนื้องานความไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม ทำให้คนไทยโดยส่วนใหญ่มักตัดสินใจเลือกเส้นทางหรือวิธีการที่ “มักง่าย” ทำให้เรื่องที่ “ผิดปกติ” กลายเป็นเรื่อง “ไม่ผิดปกติ” และกระทำลงไปโดยปราศจาก “ความรู้สึกผิด” อาทิ นักการเมืองโกงกินไม่เป็นไร ขอเพียงให้มีผลงานบ้าง การทำปฏิวัติรัฐประหาร การใช้กำลังยุติความขัดแย้ง เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ และความมหัศจรรย์ ไม่รักษาเวลา ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ ทิ้งงานโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น ~ค้นหาจุดคานงัด ทลายวงจรอุบาทว์หากพวกเราไม่คิดแก้ไขปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ยากที่ประเทศไทยจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ประเทศอื่น ๆ ในประชาคมโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ได้ในการทลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน จุดคานงัดของการเปลี่ยนแปลง (Leveraging Point) อาจจะอยู่ทึ่ “การปฏิรูประบบคุณค่า” (Value System Reform) ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่านิยม 2 ชุดหลักด้วยกัน คือชุดที่ 1: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมชุดที่ 2: บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยมบริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นด้านลบของระบอบทุนนิยม แต่ในด้านบวกของระบอบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันอย่างเสรี การยึดธรรมาภิบาล กฎกติกา กลับไม่ได้ถูกสังคมไทยนำมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะถูกอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมเข้าบดบังระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด ยังคงแทรกซึมลึกอยู่ในเกือบทุกอณูของสังคมไทย เป็น Counter-Productive Value ที่นอกจากจะไม่สอดรับกับรูปแบบการพัฒนาและโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมในโลกปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ระบบคุณค่าทั้งสองชุดได้ทำให้ธรรมาภิบาล โครงสร้าง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้คนในสังคม เกิดการบิดเบี้ยวเชิงระบบ ไม่ว่าจะเป็น• การบิดเบี้ยวเชิงการเมือง ที่ก่อให้เกิดการเมืองที่มีผู้มีอิทธิพลครอบงำ และก่อให้เกิดระบอบธนาธิปไตย และระบอบอมาตยาธิปไตย แทนที่จะเป็นระบอบประชาธิปไตย • การบิดเบี้ยวเชิงบริหารราชการแผ่นดิน ที่การบริหารจัดการภาครัฐถูกแทรกแซง บิดเบือน ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและระบบคุณธรรม • การบิดเบี้ยวเชิงสังคม ที่ก่อให้เกิด Contra-Individuals มากกว่า Collective Individuals รวมถึงเกิดความกระชับแน่นของคนในกลุ่มเดียวกัน (Bonding) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสัมพันธ์ของคนต่างกลุ่ม (Bridging) ลดลง เกิดเป็น “สังคมของพวกกู” มากกว่า “สังคมของพวกเรา”• ความบิดเบี้ยวเชิงเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดระบบทุนนิยมแบบพวกพ้อง (Crony Capitalism) นำมาสู่ระบบเศรษฐกิจปรสิต (Parasite Economy) และสังคมพึ่งพิงประชานิยม (Dependent Society) • ความบิดเบี้ยวของผู้นำ ที่ก่อให้เกิดการขาดแคลนผู้นำที่เป็นต้นแบบที่ดี มีแต่ผู้นำที่คิดอย่าง พูดอย่าง ทำอย่างอยู่มากมาย เกิดผู้นำที่ใส่ใจในวาระซ่อนเร้นของตน มากกว่า วาระของชาติ• ความบิดเบี้ยวเชิงสถาบัน ที่สถาบันต่าง ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามภารกิจอย่างเป็นอิสระ อย่างที่สังคมคาดหวังที่สำคัญ ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังก่อให้เกิดความย้อนแย้งระหว่างอำนาจที่แท้จริงและอำนาจทางการ หรือที่เรียกว่า “Power Paradox” กล่าวคือ การที่เรายังมองประชาชนเป็นผู้ถูกปกครอง โดยมีผู้ปกครองคือรัฐ ทั้งที่จริง ๆ แล้วรัฐต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน เป็นความย้อนแย้งระหว่างพฤตินัยและนิตินัยดังนั้น หากปราศจากการปรับเปลี่ยนระบบคุณค่า เพื่อทำให้เกิดความสอดคล้องกับธรรมาภิบาลและโครงสร้างส่วนอื่นๆของสังคม วาระการปฎิรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ จะไม่มีทางตอบโจทย์ประเด็นปัญหาฐานรากที่เกิดขึ้นในสังคมไทย~ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยม; บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นปฐมบทของการเกิดโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองแบบ Extractive Political Economy ที่มีผู้คนเพียงบางกลุ่ม ได้ประโยชน์จากอำนาจการปกครองและอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยความพยายามที่จะกีดกั้น เอารัดเอาเปรียบ และทำให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจและความมั่งคั่ง และนำพาสู่การอุบัติขึ้นของ ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ ในที่สุดโครงสร้าง Extractive Political Economy ได้นำพาประเทศไทยสู่ “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” เกิดสังคมที่ไม่ Clean & Clear ไม่ Free & Fair และไม่ Care & Share สังคมดังกล่าวนำมาซึ่งความเสื่อมถอยของทุนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นทุนมนุษย์ที่อ่อนแอ ทุนเศรษฐกิจที่อ่อนด้อย ทุนสังคมที่เปราะบาง ทุนคุณธรรมจริยธรรมที่เสื่อมทราม และทุนทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรมถึงเวลาปฎิรูประบบคุณค่า เพื่อใช้เป็นจุดคานงัดในการก้าวพ้นกับดัก และปรับเปลี่ยนไทยสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 636 มุมมอง 0 รีวิว
  • **การลื้อล้างแล้วสร้างใหม่ (Demolition and Rebuilding)**
    หมายถึงกระบวนการทำลายโครงสร้างหรือระบบเดิมเพื่อสร้างสิ่งใหม่ขึ้นแทนที่ อาจเกิดขึ้นได้ในหลายบริบท ทั้งทางกายภาพ สังคม เศรษฐกิจ หรือการเมือง

    ---

    ### **บริบทการนำไปใช้**
    1. **การพัฒนาเมือง**
    - **ตัวอย่าง**: การรื้ออาคารเก่าเพื่อสร้างตึกระฟ้า ถนนหนทางใหม่ หรือระบบขนส่งมวลชน
    - **ประโยชน์**: ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่
    - **ข้อโต้แย้ง**: อาจทำลายมรดกทางวัฒนธรรม หรือกระทบชุมชนเดิม

    2. **การปฏิรูปเศรษฐกิจ/องค์กร**
    - **ตัวอย่าง**: การยกเลิกนโยบายเก่า ปรับโครงสร้างบริษัท หรือเปลี่ยนระบบการทำงาน
    - **ประโยชน์**: สร้างนวัตกรรม เพิ่มความคล่องตัว
    - **ความเสี่ยง**: การต่อต้านจากผู้เสียประโยชน์ หรือความไม่แน่นอนชั่วคราว

    3. **การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง**
    - **ตัวอย่าง**: การปฏิวัติที่ล้มล้างระบอบเดิมเพื่อสร้างระบบการปกครองใหม่
    - **ประโยชน์**: ขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม
    - **ความท้าทาย**: อาจเกิดความวุ่นวายหรือสูญเสียเสถียรภาพ

    4. **สิ่งแวดล้อม**
    - **ตัวอย่าง**: ทดแทนอุตสาหกรรมเก่าด้วยเทคโนโลยีสะอาด
    - **ประโยชน์**: ลดมลภาวะ สร้างความยั่งยืน
    - **ข้อจำกัด**: ต้นทุนสูงและต้องใช้เวลาปรับตัว

    ---

    ### **ประเด็นสำคัญ**
    - **ความสมดุล**: ระหว่างความก้าวหน้า vs. การอนุรักษ์
    - **ผลกระทบทางสังคม**: การโยกย้ายชุมชน การสูญเสียอัตลักษณ์ท้องถิ่น
    - **การมีส่วนร่วม**: ควรรับฟังความเห็นผู้เกี่ยวข้องเพื่อลดความขัดแย้ง

    ---

    ### **ตัวอย่างในประวัติศาสตร์**
    - **ปารีสสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 3**: ปรับผังเมืองให้เป็นถนนกว้างแบบปัจจุบัน
    - **จีนสมัยเติ้งเสี่ยวผิง**: เปลี่ยนจากระบบวางแผนสู่เศรษฐกิจตลาด
    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมสีเขียว**: แทนที่พลังงานฟอสซิลด้วยพลังงานหมุนเวียน

    ---

    ### **สรุป**
    การลื้อล้างแล้วสร้างใหม่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการพัฒนา แต่ต้องคำนึงถึงบริบททางวัฒนธรรม สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้ความก้าวหน้าสร้างบาดแผลให้สังคมในระยะยาว
    **การลื้อล้างแล้วสร้างใหม่ (Demolition and Rebuilding)** หมายถึงกระบวนการทำลายโครงสร้างหรือระบบเดิมเพื่อสร้างสิ่งใหม่ขึ้นแทนที่ อาจเกิดขึ้นได้ในหลายบริบท ทั้งทางกายภาพ สังคม เศรษฐกิจ หรือการเมือง --- ### **บริบทการนำไปใช้** 1. **การพัฒนาเมือง** - **ตัวอย่าง**: การรื้ออาคารเก่าเพื่อสร้างตึกระฟ้า ถนนหนทางใหม่ หรือระบบขนส่งมวลชน - **ประโยชน์**: ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ - **ข้อโต้แย้ง**: อาจทำลายมรดกทางวัฒนธรรม หรือกระทบชุมชนเดิม 2. **การปฏิรูปเศรษฐกิจ/องค์กร** - **ตัวอย่าง**: การยกเลิกนโยบายเก่า ปรับโครงสร้างบริษัท หรือเปลี่ยนระบบการทำงาน - **ประโยชน์**: สร้างนวัตกรรม เพิ่มความคล่องตัว - **ความเสี่ยง**: การต่อต้านจากผู้เสียประโยชน์ หรือความไม่แน่นอนชั่วคราว 3. **การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง** - **ตัวอย่าง**: การปฏิวัติที่ล้มล้างระบอบเดิมเพื่อสร้างระบบการปกครองใหม่ - **ประโยชน์**: ขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม - **ความท้าทาย**: อาจเกิดความวุ่นวายหรือสูญเสียเสถียรภาพ 4. **สิ่งแวดล้อม** - **ตัวอย่าง**: ทดแทนอุตสาหกรรมเก่าด้วยเทคโนโลยีสะอาด - **ประโยชน์**: ลดมลภาวะ สร้างความยั่งยืน - **ข้อจำกัด**: ต้นทุนสูงและต้องใช้เวลาปรับตัว --- ### **ประเด็นสำคัญ** - **ความสมดุล**: ระหว่างความก้าวหน้า vs. การอนุรักษ์ - **ผลกระทบทางสังคม**: การโยกย้ายชุมชน การสูญเสียอัตลักษณ์ท้องถิ่น - **การมีส่วนร่วม**: ควรรับฟังความเห็นผู้เกี่ยวข้องเพื่อลดความขัดแย้ง --- ### **ตัวอย่างในประวัติศาสตร์** - **ปารีสสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 3**: ปรับผังเมืองให้เป็นถนนกว้างแบบปัจจุบัน - **จีนสมัยเติ้งเสี่ยวผิง**: เปลี่ยนจากระบบวางแผนสู่เศรษฐกิจตลาด - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมสีเขียว**: แทนที่พลังงานฟอสซิลด้วยพลังงานหมุนเวียน --- ### **สรุป** การลื้อล้างแล้วสร้างใหม่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการพัฒนา แต่ต้องคำนึงถึงบริบททางวัฒนธรรม สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้ความก้าวหน้าสร้างบาดแผลให้สังคมในระยะยาว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครกันแน่จะปกป้องบ่อนเถื่อน ชาวบ้านแถวซอยไผ่สิงโต ตรงแยกคลองเตย เห็นคนว่างงานหลังโดนปฏิวัติ เข้าๆ ออกๆ บ่อนเถื่อนแถวนั้นประจำ มีกาสิโนบ่อนก็ไม่หมด เหมือนมีหวยบนดินก็ยังมีหวยใต้ดิน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ใครกันแน่จะปกป้องบ่อนเถื่อน ชาวบ้านแถวซอยไผ่สิงโต ตรงแยกคลองเตย เห็นคนว่างงานหลังโดนปฏิวัติ เข้าๆ ออกๆ บ่อนเถื่อนแถวนั้นประจำ มีกาสิโนบ่อนก็ไม่หมด เหมือนมีหวยบนดินก็ยังมีหวยใต้ดิน #คิงส์โพธิ์แดง
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • Rapidus บริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำจากญี่ปุ่น กำลังเร่งแผนการผลิตชิป 2nm ที่คาดว่าจะปฏิวัติวงการด้วยเทคโนโลยี BSPDN (Backside Power Delivery Network) และ GAA (Gate-All-Around) ซึ่งยังไม่เคยถูกใช้งานมาก่อนในอุตสาหกรรม การพัฒนานี้เกิดขึ้นท่ามกลางความสนใจจากบริษัทเทคโนโลยีชื่อดัง เช่น Google และ Apple โดยมีเป้าหมายเข้าสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ภายในปี 2027

    ✅ เทคโนโลยี BSPDN และ GAA:
    - BSPDN ช่วยให้การจ่ายพลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นเดียวกับ GAA ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมทรานซิสเตอร์ โดยก่อนหน้านี้มีเพียง Intel ที่ใช้ BSPDN ในกระบวนการ 18A Process

    ✅ การลงทุนด้านอุปกรณ์:
    - Rapidus ลงทุนซื้อเครื่อง EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) จาก ASML แม้จะเผชิญปัญหาด้าน yield rate ในการผลิตชิปที่ซับซ้อน

    ✅ ความสนใจจากพันธมิตรระดับโลก:
    - Rapidus ได้รับการติดต่อจาก Google และ Apple เพื่อช่วยผลิตชิป 2nm ซึ่งอาจใช้ในการพัฒนาอุปกรณ์ที่ล้ำหน้าขึ้น

    https://wccftech.com/rapidus-accelerates-efforts-on-2nm-process-amid-interest-from-google-apple/
    Rapidus บริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำจากญี่ปุ่น กำลังเร่งแผนการผลิตชิป 2nm ที่คาดว่าจะปฏิวัติวงการด้วยเทคโนโลยี BSPDN (Backside Power Delivery Network) และ GAA (Gate-All-Around) ซึ่งยังไม่เคยถูกใช้งานมาก่อนในอุตสาหกรรม การพัฒนานี้เกิดขึ้นท่ามกลางความสนใจจากบริษัทเทคโนโลยีชื่อดัง เช่น Google และ Apple โดยมีเป้าหมายเข้าสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ภายในปี 2027 ✅ เทคโนโลยี BSPDN และ GAA: - BSPDN ช่วยให้การจ่ายพลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นเดียวกับ GAA ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมทรานซิสเตอร์ โดยก่อนหน้านี้มีเพียง Intel ที่ใช้ BSPDN ในกระบวนการ 18A Process ✅ การลงทุนด้านอุปกรณ์: - Rapidus ลงทุนซื้อเครื่อง EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) จาก ASML แม้จะเผชิญปัญหาด้าน yield rate ในการผลิตชิปที่ซับซ้อน ✅ ความสนใจจากพันธมิตรระดับโลก: - Rapidus ได้รับการติดต่อจาก Google และ Apple เพื่อช่วยผลิตชิป 2nm ซึ่งอาจใช้ในการพัฒนาอุปกรณ์ที่ล้ำหน้าขึ้น https://wccftech.com/rapidus-accelerates-efforts-on-2nm-process-amid-interest-from-google-apple/
    WCCFTECH.COM
    Japanese Semiconductor Giant Rapidus Accelerates Efforts On 2nm Process Amid Interest From Google & Apple; Mass-Production Expected By 2027
    Rapidus plans to scale up its 2nm efforts tremendously in the upcoming years, as the firm sees massive interest.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Galax ได้เปิดตัว GeForce RTX 5090D Luna และ GeForce RTX 5090D Nox ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดรุ่นพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อเจาะตลาดในประเทศจีน จุดเด่นของกราฟิกการ์ดรุ่นนี้คือ ระบบชิลด์แม่เหล็ก (Magnetic Shroud) ที่สามารถถอดได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้ไขควง นับเป็นการปฏิวัติรูปแบบการบำรุงรักษาและปรับแต่งตัวการ์ดสำหรับผู้ใช้งาน

    ✅ ดีไซน์ที่ง่ายต่อการบำรุงรักษา:
    - แทนที่จะต้องยึดส่วนชิลด์ด้วยสกรู Galax ใช้แม่เหล็กเพื่อยึดส่วนนี้ ทำให้การบำรุงรักษาและทำความสะอาดสะดวกยิ่งขึ้น

    ✅ โครงสร้างและประสิทธิภาพสูง:
    - มาพร้อมแผงวงจรพิมพ์ (PCB) 14 ชั้น และระบบจ่ายไฟแบบ 16+6+7-phase ซึ่งรองรับการจ่ายพลังงานสูงถึง 575 วัตต์

    ✅ หลากหลายตัวเลือกให้เลือก:
    - มีรุ่นมาตรฐานและรุ่นโอเวอร์คล็อก โดยรุ่นมาตรฐานมีความเร็วเพิ่มขึ้นที่ 2,407 MHz และรุ่นโอเวอร์คล็อกเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 2,452 MHz

    ✅ การออกแบบที่เหมาะสำหรับการใช้งานหนัก:
    -
    ดีไซน์แบบ สามพัดลม (Triple-Fan) และรูปแบบการ์ด สามสล็อต (Triple-Slot) พร้อมการรองรับกำลังไฟฟ้าที่แนะนำที่ 1,000 วัตต์

    ✅ เฉพาะตลาดจีน:
    - GeForce RTX 5090D Luna และ Nox มีโอกาสจำกัดเฉพาะการวางจำหน่ายในประเทศจีน ขณะที่ราคายังไม่ได้รับการเปิดเผย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-rtx-5090d-gpu-features-a-magnetic-shroud-and-fans-for-easy-maintenance
    บริษัท Galax ได้เปิดตัว GeForce RTX 5090D Luna และ GeForce RTX 5090D Nox ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดรุ่นพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อเจาะตลาดในประเทศจีน จุดเด่นของกราฟิกการ์ดรุ่นนี้คือ ระบบชิลด์แม่เหล็ก (Magnetic Shroud) ที่สามารถถอดได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้ไขควง นับเป็นการปฏิวัติรูปแบบการบำรุงรักษาและปรับแต่งตัวการ์ดสำหรับผู้ใช้งาน ✅ ดีไซน์ที่ง่ายต่อการบำรุงรักษา: - แทนที่จะต้องยึดส่วนชิลด์ด้วยสกรู Galax ใช้แม่เหล็กเพื่อยึดส่วนนี้ ทำให้การบำรุงรักษาและทำความสะอาดสะดวกยิ่งขึ้น ✅ โครงสร้างและประสิทธิภาพสูง: - มาพร้อมแผงวงจรพิมพ์ (PCB) 14 ชั้น และระบบจ่ายไฟแบบ 16+6+7-phase ซึ่งรองรับการจ่ายพลังงานสูงถึง 575 วัตต์ ✅ หลากหลายตัวเลือกให้เลือก: - มีรุ่นมาตรฐานและรุ่นโอเวอร์คล็อก โดยรุ่นมาตรฐานมีความเร็วเพิ่มขึ้นที่ 2,407 MHz และรุ่นโอเวอร์คล็อกเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 2,452 MHz ✅ การออกแบบที่เหมาะสำหรับการใช้งานหนัก: - ดีไซน์แบบ สามพัดลม (Triple-Fan) และรูปแบบการ์ด สามสล็อต (Triple-Slot) พร้อมการรองรับกำลังไฟฟ้าที่แนะนำที่ 1,000 วัตต์ ✅ เฉพาะตลาดจีน: - GeForce RTX 5090D Luna และ Nox มีโอกาสจำกัดเฉพาะการวางจำหน่ายในประเทศจีน ขณะที่ราคายังไม่ได้รับการเปิดเผย https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-rtx-5090d-gpu-features-a-magnetic-shroud-and-fans-for-easy-maintenance
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Nvidia RTX 5090D GPU features a magnetic shroud and fans for easy maintenance
    You don't need a screwdriver to remove the GeForce RTX 5090D Luna's shroud.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี Peter Diamandis นักวิทยาศาสตร์อนาคตผู้ก่อตั้ง XPRIZE Foundation ได้เผยถึงความเป็นไปได้ที่เทคโนโลยีจะช่วยชะลอ หยุด หรือแม้กระทั่งย้อนเวลากระบวนการชรา โดยอาศัยความก้าวหน้าที่ก่อเกิดจากการรวมตัวของ AI, เซ็นเซอร์, การคำนวณ, และชีววิทยาเซลล์เดียว ซึ่งเขาเรียกช่วงเวลานี้ว่า "การปฏิวัติสุขภาพช่วงชีวิต" (Healthspan Revolution)

    ✅ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล
    - AI กำลังขับเคลื่อนความสามารถในการจัดการข้อมูลชีวภาพขนาดมหาศาล เพื่อเปิดเผยความลับของกระบวนการชราผ่านการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้ง

    ✅ การปรับเปลี่ยน Epigenome
    - Diamandis เชื่อมั่นว่า การรีโปรแกรม Epigenome ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการทำงานของยีนในเซลล์ จะสามารถทำให้เซลล์กลับคืนสู่สภาพที่อ่อนเยาว์

    ✅ "ความเร็วหลบหนีของอายุยืน" (Longevity Escape Velocity)
    - เขาคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปี เราอาจเข้าสู่จุดที่เทคโนโลยีสามารถยืดอายุคนได้มากกว่าหนึ่งปีสำหรับทุกปีที่เราอยู่ ซึ่งหมายความว่ากระบวนการชราจะถูกชะลอจนถึงขั้นหยุดนิ่ง

    ✅ มุมมองที่ต้องวิเคราะห์เพิ่ม:
    - แม้ว่าการทำนายของ Diamandis จะน่าตื่นเต้น แต่มีนักวิจารณ์ที่เตือนให้เราระมัดระวัง เนื่องจากคำพูดของนักวิทยาศาสตร์อนาคตบางคนมักมีแนวโน้มที่จะ มองโลกในแง่ดีเกินไป และเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ

    https://www.techspot.com/news/107440-futurist-key-living-longer-making-2030s-ndash-ai.html
    ในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี Peter Diamandis นักวิทยาศาสตร์อนาคตผู้ก่อตั้ง XPRIZE Foundation ได้เผยถึงความเป็นไปได้ที่เทคโนโลยีจะช่วยชะลอ หยุด หรือแม้กระทั่งย้อนเวลากระบวนการชรา โดยอาศัยความก้าวหน้าที่ก่อเกิดจากการรวมตัวของ AI, เซ็นเซอร์, การคำนวณ, และชีววิทยาเซลล์เดียว ซึ่งเขาเรียกช่วงเวลานี้ว่า "การปฏิวัติสุขภาพช่วงชีวิต" (Healthspan Revolution) ✅ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล - AI กำลังขับเคลื่อนความสามารถในการจัดการข้อมูลชีวภาพขนาดมหาศาล เพื่อเปิดเผยความลับของกระบวนการชราผ่านการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้ง ✅ การปรับเปลี่ยน Epigenome - Diamandis เชื่อมั่นว่า การรีโปรแกรม Epigenome ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการทำงานของยีนในเซลล์ จะสามารถทำให้เซลล์กลับคืนสู่สภาพที่อ่อนเยาว์ ✅ "ความเร็วหลบหนีของอายุยืน" (Longevity Escape Velocity) - เขาคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปี เราอาจเข้าสู่จุดที่เทคโนโลยีสามารถยืดอายุคนได้มากกว่าหนึ่งปีสำหรับทุกปีที่เราอยู่ ซึ่งหมายความว่ากระบวนการชราจะถูกชะลอจนถึงขั้นหยุดนิ่ง ✅ มุมมองที่ต้องวิเคราะห์เพิ่ม: - แม้ว่าการทำนายของ Diamandis จะน่าตื่นเต้น แต่มีนักวิจารณ์ที่เตือนให้เราระมัดระวัง เนื่องจากคำพูดของนักวิทยาศาสตร์อนาคตบางคนมักมีแนวโน้มที่จะ มองโลกในแง่ดีเกินไป และเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ https://www.techspot.com/news/107440-futurist-key-living-longer-making-2030s-ndash-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Futurist says the key to living longer is making it to the 2030s – AI will take it from there
    On a recent Apple Podcast, Diamandis expanded upon a tweet in which he advised people to stay alive until the next decade and not die from "something...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจาก MIT กำลังปฏิวัติวงการควอนตัมคอมพิวเตอร์ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ที่ช่วยให้ ชิปควอนตัมสามารถสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องใช้การเชื่อมต่อทางกายภาพ เทคนิคใหม่นี้นับเป็นความก้าวหน้าสำคัญในโลกควอนตัม โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาใหญ่ของการแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยประมวลผลในระบบควอนตัมคอมพิวเตอร์

    == หัวใจของเทคโนโลยีนี้ ==
    ✅ การใช้ Microwave Photons เป็นตัวกลาง
    - ระบบใหม่ใช้ คลื่นไมโครเวฟ (Microwave Photons) ในการส่งข้อมูลระหว่างชิปควอนตัมโดยตรง
    - ด้วยการสร้าง waveguide ซึ่งเป็นสายไฟแบบ superconducting ที่ทำหน้าที่เหมือนถนนควอนตัม ช่วยให้ชิปสื่อสารกันได้โดยไม่มี "ตัวกลาง"

    ✅ กระบวนการสร้าง Remote Entanglement
    - Remote Entanglement เป็นหลักการทางควอนตัมที่ช่วยให้สองชิปสามารถสร้างความสัมพันธ์เชิงควอนตัมแบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกัน
    - วิธีการใหม่ทำให้การส่งและรับโฟตอนเกิดขึ้นได้ในสถานะ “ครึ่งหนึ่ง” ซึ่งโฟตอนอยู่ในสถานะที่ปล่อยและเก็บไว้พร้อมกัน

    ✅ การปรับรูปทรงโฟตอนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
    - การเดินทางของโฟตอนผ่าน waveguide อาจเกิดความผิดเพี้ยน นักวิจัยจึงใช้ อัลกอริทึมเพื่อปรับแต่งรูปร่างของโฟตอน ส่งผลให้อัตราความสำเร็จในการสร้าง Entanglement สูงถึง 60%

    == ผลกระทบต่อโลกควอนตัมและเทคโนโลยีในอนาคต ==
    ✅ เปิดประตูสู่ Quantum Supercomputer ขนาดใหญ่
    - ระบบใหม่รองรับ “All-to-All Connectivity” ซึ่งช่วยให้หน่วยประมวลผลทุกชิปสามารถสื่อสารกันได้โดยตรง
    - อนาคตอาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มเติม เช่น 3D Integration หรือ โปรโตคอลที่เร็วขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    ✅ การสนับสนุนจากหน่วยงานสำคัญ
    - โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนโดยหน่วยงานเช่น US Army Research Office, AWS Center for Quantum Computing และ US Air Force Office of Scientific Research

    ✅ ความสำคัญต่อ Quantum Internet
    - นอกจากการพัฒนา Quantum Computer ระบบใหม่นี้ยังสามารถขยายไปยัง Quantum Internet ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงควอนตัมคอมพิวเตอร์ทั่วโลก

    https://www.techspot.com/news/107436-mit-showcases-quantum-chip-communication-without-physical-contact.html
    นักวิจัยจาก MIT กำลังปฏิวัติวงการควอนตัมคอมพิวเตอร์ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ที่ช่วยให้ ชิปควอนตัมสามารถสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องใช้การเชื่อมต่อทางกายภาพ เทคนิคใหม่นี้นับเป็นความก้าวหน้าสำคัญในโลกควอนตัม โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาใหญ่ของการแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยประมวลผลในระบบควอนตัมคอมพิวเตอร์ == หัวใจของเทคโนโลยีนี้ == ✅ การใช้ Microwave Photons เป็นตัวกลาง - ระบบใหม่ใช้ คลื่นไมโครเวฟ (Microwave Photons) ในการส่งข้อมูลระหว่างชิปควอนตัมโดยตรง - ด้วยการสร้าง waveguide ซึ่งเป็นสายไฟแบบ superconducting ที่ทำหน้าที่เหมือนถนนควอนตัม ช่วยให้ชิปสื่อสารกันได้โดยไม่มี "ตัวกลาง" ✅ กระบวนการสร้าง Remote Entanglement - Remote Entanglement เป็นหลักการทางควอนตัมที่ช่วยให้สองชิปสามารถสร้างความสัมพันธ์เชิงควอนตัมแบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกัน - วิธีการใหม่ทำให้การส่งและรับโฟตอนเกิดขึ้นได้ในสถานะ “ครึ่งหนึ่ง” ซึ่งโฟตอนอยู่ในสถานะที่ปล่อยและเก็บไว้พร้อมกัน ✅ การปรับรูปทรงโฟตอนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด - การเดินทางของโฟตอนผ่าน waveguide อาจเกิดความผิดเพี้ยน นักวิจัยจึงใช้ อัลกอริทึมเพื่อปรับแต่งรูปร่างของโฟตอน ส่งผลให้อัตราความสำเร็จในการสร้าง Entanglement สูงถึง 60% == ผลกระทบต่อโลกควอนตัมและเทคโนโลยีในอนาคต == ✅ เปิดประตูสู่ Quantum Supercomputer ขนาดใหญ่ - ระบบใหม่รองรับ “All-to-All Connectivity” ซึ่งช่วยให้หน่วยประมวลผลทุกชิปสามารถสื่อสารกันได้โดยตรง - อนาคตอาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มเติม เช่น 3D Integration หรือ โปรโตคอลที่เร็วขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ การสนับสนุนจากหน่วยงานสำคัญ - โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนโดยหน่วยงานเช่น US Army Research Office, AWS Center for Quantum Computing และ US Air Force Office of Scientific Research ✅ ความสำคัญต่อ Quantum Internet - นอกจากการพัฒนา Quantum Computer ระบบใหม่นี้ยังสามารถขยายไปยัง Quantum Internet ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงควอนตัมคอมพิวเตอร์ทั่วโลก https://www.techspot.com/news/107436-mit-showcases-quantum-chip-communication-without-physical-contact.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    MIT showcases quantum chip communication without physical contact
    Current quantum-computing systems rely on clunky "point-to-point" connections, where data is transferred in a chain and has to jump between nodes. Unfortunately, each hop also increases the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 1 รีวิว
  • อิหร่านจะไม่ยอมโอนอ่อนต่อแรงกดดันของต่างชาติ และพร้อมสำหรับตอบโต้การรุกรานไม่ว่ารูปแบบใดก็ตาม จากคำประกาศกร้าวของพลตรีฮุสเซน ซาลามี ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน(IRGC) เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000032958
    อิหร่านจะไม่ยอมโอนอ่อนต่อแรงกดดันของต่างชาติ และพร้อมสำหรับตอบโต้การรุกรานไม่ว่ารูปแบบใดก็ตาม จากคำประกาศกร้าวของพลตรีฮุสเซน ซาลามี ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน(IRGC) เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000032958
    Like
    Haha
    Yay
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 931 มุมมอง 0 รีวิว
  • Kirill Dmitriev ทูตพิเศษของประธานาธิบดีรัสเซียด้านการลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แสดงความเห็นว่า การประท้วงต่อต้านทรัมป์ในสหรัฐฯ อาจเป็นความพยายามของรัฐลึก(Deep state) ที่กำลังใช้รูปแบบเดียวกับการปฏิวัติสี (color revolution) ซึ่งเคยใช้ได้ผลมาแล้วในหลายประเทศ
    Kirill Dmitriev ทูตพิเศษของประธานาธิบดีรัสเซียด้านการลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แสดงความเห็นว่า การประท้วงต่อต้านทรัมป์ในสหรัฐฯ อาจเป็นความพยายามของรัฐลึก(Deep state) ที่กำลังใช้รูปแบบเดียวกับการปฏิวัติสี (color revolution) ซึ่งเคยใช้ได้ผลมาแล้วในหลายประเทศ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย้อนปม “กระทรวงรถไฟจีน” ที่เคยยิ่งใหญ่และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศจีน แต่หลังจากเกิดเหตุรถไฟความเร็วสูงชนกัน และตรวจสอบพบการทุจริต จนรัฐมนตรีถูกตัดสินประหารชีวิต ก็ถูกรัฐบาลสั่งยุบในปี 56 ส่วนหน่วยงานย่อยกลายมาเป็นรัฐวิสาหกิจ ไชน่าเรลเวย์ เอนจิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น บริษัทแม่ของ “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์เท็น” รับงานก่อสร้างทั้งในจีนและต่างประเทศ รวมถึงตึก สตง.ในไทย

    ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 4 เมษายน 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงความเป็นมาของ บริษัท China Railway No.10 ซึ่งเป็นพันธมิตรในกิจการร่วมค้า “ไอทีดี-ซีอาร์อีซีนัมเบอร์เทน (ไทย)” คู่สัญญารับเหมาก่อสร้างตึกของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ที่ถล่มลงมาระหว่างเกิดแผ่นดินไหววันศุกร์ที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งในอดีตก็คือหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการรถไฟแห่งประเทศจีน ที่ถูกสั่งยุบไปเมื่อปี 2556 หรือ 12 ปีที่แล้ว เนื่องจากมีการคอร์รับชั่นกันอย่างมโหฬาร ถึงขนาดที่อดีตรัฐมนตรีถูกดำเนินคดีและถูกตัดสินโทษประหารชีวิต

    ทั้งนี้ ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาประเทศจีนให้ความสำคัญกับการสร้างทางรถไฟอย่างมาก มีการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อรับผิดชอบโดยเฉพาะตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง จนถึงเมื่อมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยพรรคก๊กมินตั๋ง เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ก็ยังเน้นการสร้างชาติด้วยการสร้างทางรถไฟ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000032804

    #MGROnline #กระทรวงรถไฟจีน
    ย้อนปม “กระทรวงรถไฟจีน” ที่เคยยิ่งใหญ่และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศจีน แต่หลังจากเกิดเหตุรถไฟความเร็วสูงชนกัน และตรวจสอบพบการทุจริต จนรัฐมนตรีถูกตัดสินประหารชีวิต ก็ถูกรัฐบาลสั่งยุบในปี 56 ส่วนหน่วยงานย่อยกลายมาเป็นรัฐวิสาหกิจ ไชน่าเรลเวย์ เอนจิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น บริษัทแม่ของ “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์เท็น” รับงานก่อสร้างทั้งในจีนและต่างประเทศ รวมถึงตึก สตง.ในไทย • ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 4 เมษายน 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงความเป็นมาของ บริษัท China Railway No.10 ซึ่งเป็นพันธมิตรในกิจการร่วมค้า “ไอทีดี-ซีอาร์อีซีนัมเบอร์เทน (ไทย)” คู่สัญญารับเหมาก่อสร้างตึกของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ที่ถล่มลงมาระหว่างเกิดแผ่นดินไหววันศุกร์ที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งในอดีตก็คือหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการรถไฟแห่งประเทศจีน ที่ถูกสั่งยุบไปเมื่อปี 2556 หรือ 12 ปีที่แล้ว เนื่องจากมีการคอร์รับชั่นกันอย่างมโหฬาร ถึงขนาดที่อดีตรัฐมนตรีถูกดำเนินคดีและถูกตัดสินโทษประหารชีวิต • ทั้งนี้ ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาประเทศจีนให้ความสำคัญกับการสร้างทางรถไฟอย่างมาก มีการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อรับผิดชอบโดยเฉพาะตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง จนถึงเมื่อมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยพรรคก๊กมินตั๋ง เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ก็ยังเน้นการสร้างชาติด้วยการสร้างทางรถไฟ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000032804 • #MGROnline #กระทรวงรถไฟจีน
    Love
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 375 มุมมอง 0 รีวิว
  • วาทกรรมของโดนัล ทรัมป์ ที่ประเมินว่าจีนจะเจ็บตัวมากกว่าสหรัฐฯ เพราะสหรัฐอเมริกาตกเป็นผู้ถูกกระทำในช่วงที่ผ่านมาว่า “ จีนได้รับผลกระทบหนักกว่าสหรัฐฯ มาก แบบเทียบกันไม่ติดพวกเขา และอีกหลายประเทศ ปฏิบัติต่อเราอย่างเลวร้ายเกินจะรับไหว ที่ผ่านมาเราเคยเป็นเหมือนกระสอบทราย ที่โง่เขลาและไร้ทางสู้ แต่ไม่ใช่อีกต่อไปแล้วตอนนี้เรากำลังดึงงานและธุรกิจกลับคืนมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจนถึงตอนนี้ มีการลงทุนกลับเข้ามาแล้วกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 173 ล้านล้านบาท) และยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนี่คือการปฏิวัติเศรษฐกิจ และเราจะชนะ !อดทนไว้ มันจะไม่ง่าย แต่ผลลัพธ์สุดท้ายจะกลายเป็นประวัติศาสตร์พวกเราจะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง !!!”
    วาทกรรมของโดนัล ทรัมป์ ที่ประเมินว่าจีนจะเจ็บตัวมากกว่าสหรัฐฯ เพราะสหรัฐอเมริกาตกเป็นผู้ถูกกระทำในช่วงที่ผ่านมาว่า “ จีนได้รับผลกระทบหนักกว่าสหรัฐฯ มาก แบบเทียบกันไม่ติดพวกเขา และอีกหลายประเทศ ปฏิบัติต่อเราอย่างเลวร้ายเกินจะรับไหว ที่ผ่านมาเราเคยเป็นเหมือนกระสอบทราย ที่โง่เขลาและไร้ทางสู้ แต่ไม่ใช่อีกต่อไปแล้วตอนนี้เรากำลังดึงงานและธุรกิจกลับคืนมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจนถึงตอนนี้ มีการลงทุนกลับเข้ามาแล้วกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 173 ล้านล้านบาท) และยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนี่คือการปฏิวัติเศรษฐกิจ และเราจะชนะ !อดทนไว้ มันจะไม่ง่าย แต่ผลลัพธ์สุดท้ายจะกลายเป็นประวัติศาสตร์พวกเราจะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง !!!”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel นำแคมเปญ "Intel Inside" กลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ ที่เน้นการเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของผู้ใช้ แทนที่จะเน้นแค่ชิปโปรเซสเซอร์ แคมเปญเดิมจากปี 1991 เคยช่วยให้ Intel กลายเป็นแบรนด์ระดับโลก และปัจจุบันบริษัทต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันกับ AMD รวมถึงเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ ๆ การรีแบรนด์นี้สะท้อนให้เห็นว่า Intel ไม่ใช่แค่แบรนด์ฮาร์ดแวร์ แต่เป็นส่วนหนึ่งของโลก ICT

    ✅ แคมเปญ Intel Inside เคยปฏิวัติการตลาดของชิปในปี 1991
    - ก่อนหน้าปี 1991 ผู้ผลิตชิปมักโปรโมทผลิตภัณฑ์ให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์โดยตรง
    - Intel เปลี่ยนเกมด้วยการ สื่อสารกับผู้บริโภคโดยตรง ทำให้ผู้ใช้ตระหนักถึงบทบาทของโปรเซสเซอร์

    ✅ บทบาทของ Intel Inside เปลี่ยนไปตามยุคสมัย
    - ในยุค 90s Intel Inside เป็นจุดเด่นของ Pentium และ Celeron ที่กำหนดมาตรฐานตลาดพีซี
    - ในยุค 2000s แคมเปญนี้ช่วย ขับเคลื่อนแพลตฟอร์ม Centrino และ Core Series
    - ปัจจุบัน Intel ขยายแนวคิดจาก ประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ไปสู่การเชื่อมโยงชีวิตประจำวัน

    ✅ Brett Hannath (CMO ของ Intel) ชี้แจงแนวคิดเบื้องหลังแคมเปญใหม่
    - Intel ต้องการแสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีของตนช่วยเปิดโอกาสให้กับผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็น พนักงาน, นักเรียน, นักพัฒนา หรือองค์กร
    - การสื่อสารนี้ช่วยให้แบรนด์ Intel มีอิทธิพลต่อชีวิตมากกว่าการเป็นผู้ผลิตชิปเพียงอย่างเดียว

    ✅ Intel เผชิญการแข่งขันจาก AMD ที่มีการรับรู้แบรนด์แข็งแกร่งขึ้น
    - ในอดีต Intel Inside ช่วยให้ Intel เป็นผู้นำในตลาด แต่ปัจจุบัน AMD มีความแข็งแกร่งมากขึ้น
    - การรีแบรนด์ครั้งนี้อาจเป็นกลยุทธ์ เพื่อรักษาความได้เปรียบ และปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย

    ✅ อุตสาหกรรม ICT มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังยุคพีซี
    - จากเดิมที่ Intel โดดเด่นในตลาด พีซีและแล็ปท็อป ปัจจุบันบริษัทต้องขยายอิทธิพลไปสู่ AI, Data Centers และอุปกรณ์ IoT
    - การรีแบรนด์ครั้งนี้เน้นให้เห็นว่า Intel เป็นส่วนสำคัญของเทคโนโลยีรอบตัวเรา ไม่ใช่แค่ชิปในคอมพิวเตอร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-refreshes-iconic-brand-with-thats-the-power-of-intel-inside-campaign
    Intel นำแคมเปญ "Intel Inside" กลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ ที่เน้นการเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของผู้ใช้ แทนที่จะเน้นแค่ชิปโปรเซสเซอร์ แคมเปญเดิมจากปี 1991 เคยช่วยให้ Intel กลายเป็นแบรนด์ระดับโลก และปัจจุบันบริษัทต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันกับ AMD รวมถึงเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ ๆ การรีแบรนด์นี้สะท้อนให้เห็นว่า Intel ไม่ใช่แค่แบรนด์ฮาร์ดแวร์ แต่เป็นส่วนหนึ่งของโลก ICT ✅ แคมเปญ Intel Inside เคยปฏิวัติการตลาดของชิปในปี 1991 - ก่อนหน้าปี 1991 ผู้ผลิตชิปมักโปรโมทผลิตภัณฑ์ให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์โดยตรง - Intel เปลี่ยนเกมด้วยการ สื่อสารกับผู้บริโภคโดยตรง ทำให้ผู้ใช้ตระหนักถึงบทบาทของโปรเซสเซอร์ ✅ บทบาทของ Intel Inside เปลี่ยนไปตามยุคสมัย - ในยุค 90s Intel Inside เป็นจุดเด่นของ Pentium และ Celeron ที่กำหนดมาตรฐานตลาดพีซี - ในยุค 2000s แคมเปญนี้ช่วย ขับเคลื่อนแพลตฟอร์ม Centrino และ Core Series - ปัจจุบัน Intel ขยายแนวคิดจาก ประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ไปสู่การเชื่อมโยงชีวิตประจำวัน ✅ Brett Hannath (CMO ของ Intel) ชี้แจงแนวคิดเบื้องหลังแคมเปญใหม่ - Intel ต้องการแสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีของตนช่วยเปิดโอกาสให้กับผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็น พนักงาน, นักเรียน, นักพัฒนา หรือองค์กร - การสื่อสารนี้ช่วยให้แบรนด์ Intel มีอิทธิพลต่อชีวิตมากกว่าการเป็นผู้ผลิตชิปเพียงอย่างเดียว ✅ Intel เผชิญการแข่งขันจาก AMD ที่มีการรับรู้แบรนด์แข็งแกร่งขึ้น - ในอดีต Intel Inside ช่วยให้ Intel เป็นผู้นำในตลาด แต่ปัจจุบัน AMD มีความแข็งแกร่งมากขึ้น - การรีแบรนด์ครั้งนี้อาจเป็นกลยุทธ์ เพื่อรักษาความได้เปรียบ และปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย ✅ อุตสาหกรรม ICT มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังยุคพีซี - จากเดิมที่ Intel โดดเด่นในตลาด พีซีและแล็ปท็อป ปัจจุบันบริษัทต้องขยายอิทธิพลไปสู่ AI, Data Centers และอุปกรณ์ IoT - การรีแบรนด์ครั้งนี้เน้นให้เห็นว่า Intel เป็นส่วนสำคัญของเทคโนโลยีรอบตัวเรา ไม่ใช่แค่ชิปในคอมพิวเตอร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-refreshes-iconic-brand-with-thats-the-power-of-intel-inside-campaign
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple ฉลองครบรอบ 49 ปี จากบริษัทเล็ก ๆ ในโรงรถจนกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกที่เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมาตลอดหลายทศวรรษ Macintosh และ iPhone เป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อการใช้คอมพิวเตอร์และมือถือ ขณะที่ระบบนิเวศของ Apple ทำให้ทุกอุปกรณ์ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว ล่าสุด Apple มุ่งหน้าสู่เทคโนโลยี AR และชิปเซ็ตที่พัฒนาเอง ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในอนาคต

    ✅ Apple I จุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนวงการคอมพิวเตอร์
    - Steve Jobs และ Steve Wozniak สร้าง Apple I ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ท้าทายแนวคิดเดิมของวงการเทคโนโลยี

    ✅ Macintosh—GUI ที่นำไปสู่ยุคใหม่ของคอมพิวเตอร์
    - Macintosh ทำให้ การใช้งานคอมพิวเตอร์ง่ายขึ้น ด้วย กราฟิกอินเทอร์เฟซ (GUI) ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรม

    ✅ iPod และ iPhone ปฏิวัติวิธีการฟังเพลงและสื่อสาร
    - iPod ทำให้การพกพาเพลงเป็นเรื่องง่ายด้วยแนวคิด "1000 เพลงในกระเป๋า"
    - iPhone เปิดตัวในปี 2007 และกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงวิธีการใช้โทรศัพท์มือถือ ทั้งด้านการถ่ายภาพ, แอปพลิเคชัน และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

    ✅ Apple สร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์แบบ
    - ระบบปฏิบัติการ iOS, macOS, watchOS, visionOS และ iPadOS ทำให้ทุกอุปกรณ์สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
    - เปิดตัวบริการ Apple Music, iCloud, Apple TV+ และ Apple News เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ในหลายด้าน

    ✅ Apple พัฒนาเทคโนโลยีของตนเองแทนการพึ่งพาซัพพลายเออร์
    - เปิดตัวชิป M-series ที่ให้ประสิทธิภาพสูงและใช้พลังงานน้อย
    - เปิดตัว C1 Modem เพื่อลดการพึ่งพาชิปสื่อสารจากผู้ผลิตภายนอก

    ✅ Vision Pro—ก้าวเข้าสู่เทคโนโลยี AR และอนาคตของคอมพิวเตอร์
    - Apple เปิดตัว Vision Pro ซึ่งเป็นอุปกรณ์ AR ที่แสดงถึงศักยภาพของเทคโนโลยีในอนาคต
    - นักวิเคราะห์มองว่า Apple อาจนำ AR มาใช้ในผลิตภัณฑ์อีกหลายตัว

    https://wccftech.com/apple-turns-49-today-innovation-and-vision/
    Apple ฉลองครบรอบ 49 ปี จากบริษัทเล็ก ๆ ในโรงรถจนกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกที่เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมาตลอดหลายทศวรรษ Macintosh และ iPhone เป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อการใช้คอมพิวเตอร์และมือถือ ขณะที่ระบบนิเวศของ Apple ทำให้ทุกอุปกรณ์ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว ล่าสุด Apple มุ่งหน้าสู่เทคโนโลยี AR และชิปเซ็ตที่พัฒนาเอง ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในอนาคต ✅ Apple I จุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนวงการคอมพิวเตอร์ - Steve Jobs และ Steve Wozniak สร้าง Apple I ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ท้าทายแนวคิดเดิมของวงการเทคโนโลยี ✅ Macintosh—GUI ที่นำไปสู่ยุคใหม่ของคอมพิวเตอร์ - Macintosh ทำให้ การใช้งานคอมพิวเตอร์ง่ายขึ้น ด้วย กราฟิกอินเทอร์เฟซ (GUI) ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรม ✅ iPod และ iPhone ปฏิวัติวิธีการฟังเพลงและสื่อสาร - iPod ทำให้การพกพาเพลงเป็นเรื่องง่ายด้วยแนวคิด "1000 เพลงในกระเป๋า" - iPhone เปิดตัวในปี 2007 และกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงวิธีการใช้โทรศัพท์มือถือ ทั้งด้านการถ่ายภาพ, แอปพลิเคชัน และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ✅ Apple สร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์แบบ - ระบบปฏิบัติการ iOS, macOS, watchOS, visionOS และ iPadOS ทำให้ทุกอุปกรณ์สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น - เปิดตัวบริการ Apple Music, iCloud, Apple TV+ และ Apple News เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ในหลายด้าน ✅ Apple พัฒนาเทคโนโลยีของตนเองแทนการพึ่งพาซัพพลายเออร์ - เปิดตัวชิป M-series ที่ให้ประสิทธิภาพสูงและใช้พลังงานน้อย - เปิดตัว C1 Modem เพื่อลดการพึ่งพาชิปสื่อสารจากผู้ผลิตภายนอก ✅ Vision Pro—ก้าวเข้าสู่เทคโนโลยี AR และอนาคตของคอมพิวเตอร์ - Apple เปิดตัว Vision Pro ซึ่งเป็นอุปกรณ์ AR ที่แสดงถึงศักยภาพของเทคโนโลยีในอนาคต - นักวิเคราะห์มองว่า Apple อาจนำ AR มาใช้ในผลิตภัณฑ์อีกหลายตัว https://wccftech.com/apple-turns-49-today-innovation-and-vision/
    WCCFTECH.COM
    From A Small Garage To A Global Icon, Apple Turns 49 Today, Changing The Tech World Forever With Its Vision, Innovation, And Unstoppable Momentum
    Apple turns 49 today, and it has changed the entire world as we know it in terms of innovation, design, and the relentless pursuit of excellence.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 419 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน

    ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌

    จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา

    📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭

    🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍

    นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅

    ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา

    📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈

    แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌

    ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง

    📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞

    วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร

    พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง

    🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮

    นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง

    📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸

    แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨

    📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉

    ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน

    🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑

    พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย

    🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า...

    “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์”

    ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱

    💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน

    เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘

    📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐

    เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞

    และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568

    📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌 จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา 📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭 🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍 นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅 ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา 📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈 แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌ ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง 📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞 วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง 🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮 นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง 📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨ 📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉 ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน 🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑 พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย 🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า... “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์” ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱ 💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘 📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐 เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞 และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568 📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1135 มุมมอง 0 รีวิว
  • CEO ของ Nvidia ชี้ว่าการใช้เทคโนโลยี GAA ในอนาคตจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU ได้ถึง 20% แต่ยังยืนยันว่าการพัฒนาสถาปัตยกรรมและนวัตกรรมซอฟต์แวร์คือปัจจัยสำคัญที่แท้จริง ในยุคที่ศูนย์ข้อมูลมุ่งเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์ Nvidia ได้ปรับบทบาทมาเน้นการเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI และอัลกอริทึมอย่างเต็มที่

    มุมมองต่อการพัฒนาเทคโนโลยี:
    - Huang ยอมรับว่าการปรับปรุงจากเทคโนโลยีใหม่ เช่น GAA มีความสำคัญ แต่มองว่าไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่ "ปฏิวัติวงการ" โดยเฉพาะในยุคที่การเติบโตของกฎของมัวร์ (Moore’s Law) ช้าลงอย่างชัดเจน.

    การใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพในยุค AI:
    - ขณะที่ศูนย์ข้อมูลต่าง ๆ เน้นที่ประสิทธิภาพต่อวัตต์ (performance per watt) Nvidia มุ่งไปที่การจัดการประสิทธิภาพของระบบโดยรวมมากกว่าที่จะเน้นเฉพาะการปรับปรุงความเร็วหรือพลังงานของแต่ละหน่วยประมวลผล.

    การคาดการณ์สำหรับอนาคต:
    - Nvidia คาดว่า GPU รุ่นใหม่ในอนาคต (ชื่อรหัส Feynman) อาจใช้เทคโนโลยี GAA เช่น N2P หรือ A16 ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2028 โดยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 20% หรือมากกว่านั้น ทั้งนี้ต้องพิจารณาความสมดุลระหว่างพลังงานและประสิทธิภาพตามความต้องการของตลาด AI.

    การเปลี่ยนแปลงบทบาทของ Nvidia:
    - Huang ย้ำว่า Nvidia กำลังเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเพียงบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ ไปสู่การเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ โดยเน้นการพัฒนาสูตรอัลกอริทึมในด้านกราฟิก คอมพิวเตอร์ และโรโบติกส์.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/nvidias-jesnen-huang-expects-gaa-based-technologies-to-bring-a-20-percent-performance-uplift
    CEO ของ Nvidia ชี้ว่าการใช้เทคโนโลยี GAA ในอนาคตจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU ได้ถึง 20% แต่ยังยืนยันว่าการพัฒนาสถาปัตยกรรมและนวัตกรรมซอฟต์แวร์คือปัจจัยสำคัญที่แท้จริง ในยุคที่ศูนย์ข้อมูลมุ่งเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์ Nvidia ได้ปรับบทบาทมาเน้นการเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI และอัลกอริทึมอย่างเต็มที่ มุมมองต่อการพัฒนาเทคโนโลยี: - Huang ยอมรับว่าการปรับปรุงจากเทคโนโลยีใหม่ เช่น GAA มีความสำคัญ แต่มองว่าไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่ "ปฏิวัติวงการ" โดยเฉพาะในยุคที่การเติบโตของกฎของมัวร์ (Moore’s Law) ช้าลงอย่างชัดเจน. การใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพในยุค AI: - ขณะที่ศูนย์ข้อมูลต่าง ๆ เน้นที่ประสิทธิภาพต่อวัตต์ (performance per watt) Nvidia มุ่งไปที่การจัดการประสิทธิภาพของระบบโดยรวมมากกว่าที่จะเน้นเฉพาะการปรับปรุงความเร็วหรือพลังงานของแต่ละหน่วยประมวลผล. การคาดการณ์สำหรับอนาคต: - Nvidia คาดว่า GPU รุ่นใหม่ในอนาคต (ชื่อรหัส Feynman) อาจใช้เทคโนโลยี GAA เช่น N2P หรือ A16 ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2028 โดยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 20% หรือมากกว่านั้น ทั้งนี้ต้องพิจารณาความสมดุลระหว่างพลังงานและประสิทธิภาพตามความต้องการของตลาด AI. การเปลี่ยนแปลงบทบาทของ Nvidia: - Huang ย้ำว่า Nvidia กำลังเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเพียงบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ ไปสู่การเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ โดยเน้นการพัฒนาสูตรอัลกอริทึมในด้านกราฟิก คอมพิวเตอร์ และโรโบติกส์. https://www.tomshardware.com/tech-industry/nvidias-jesnen-huang-expects-gaa-based-technologies-to-bring-a-20-percent-performance-uplift
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกฯ ลุกแจงข้อหาหลบเลี่ยงภาษี-โอนหนี้-ที่ดินอัลไพน์ ยันตั๋วพีเอ็นติดอากรแสตมป์ถูกต้อง ยังไม่เสียภาษีเพราะยังยังไม่ชำระเงิน ครอบครัวซื้อที่ดินมีโฉนดออกโดยรัฐทุกแปลง ลั่นทรัพย์สินของครอบครัวถูกตรวจสอบเข้มตั้งแต่โดนปฏิวัติปี 49 เหน็บแม้อายุน้อยแต่จ่ายภาษีมากกว่าคนอภิปรายแน่นอน ซัดคนมีวุฒิภาวะไม่ควรพูดสร้างความเกลียดชังทำแตกแยก

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000028043
    นายกฯ ลุกแจงข้อหาหลบเลี่ยงภาษี-โอนหนี้-ที่ดินอัลไพน์ ยันตั๋วพีเอ็นติดอากรแสตมป์ถูกต้อง ยังไม่เสียภาษีเพราะยังยังไม่ชำระเงิน ครอบครัวซื้อที่ดินมีโฉนดออกโดยรัฐทุกแปลง ลั่นทรัพย์สินของครอบครัวถูกตรวจสอบเข้มตั้งแต่โดนปฏิวัติปี 49 เหน็บแม้อายุน้อยแต่จ่ายภาษีมากกว่าคนอภิปรายแน่นอน ซัดคนมีวุฒิภาวะไม่ควรพูดสร้างความเกลียดชังทำแตกแยก อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000028043
    Angry
    Haha
    3
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 701 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google กำลังเดินหน้าปฏิวัติโลกเกม Android ด้วยการทำให้ Vulkan เป็น API กราฟิกหลัก ซึ่งหมายความว่าเราจะได้เห็นเกมที่มีภาพสมจริงยิ่งขึ้น เช่น Ray Tracing และประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในทุกอุปกรณ์ นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือใหม่ ๆ อย่าง GPU Profiler และการอัปเดต ADPF เพื่อให้การเล่นเกมลื่นและยาวนานขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น Google ยังเริ่มนำเกม PC มาปรับให้เล่นบนมือถือ เช่น TABS และ DREDGE

    ความได้เปรียบของ Vulkan:
    - Vulkan ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถใช้งาน GPU ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการจัดการกราฟิกในระดับต่ำโดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วและลดเวลาแฝงของเกม.
    - เกมที่ใช้ Vulkan เช่น Diablo Immortal สามารถแสดงเอฟเฟกต์สมจริงทั้งไฟระเบิดและน้ำแข็งได้อย่างลื่นไหล ในขณะที่เกมเล็ก เช่น Pokémon TCG Pocket ก็ได้รับการปรับประสิทธิภาพให้เหมาะกับทุกอุปกรณ์.

    การปรับปรุง API อื่น ๆ:
    - Android จะใช้ตัวแปลงชื่อว่า ANGLE ที่ช่วยแปลงคำสั่ง OpenGL ให้ทำงานผ่าน Vulkan ได้ โดยนักพัฒนาควรเริ่มทดสอบเกมของตนบน ANGLE เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง.

    เครื่องมือใหม่สำหรับนักพัฒนา:
    - Google ร่วมมือกับศูนย์วิจัย Samsung Austin เพื่อพัฒนา GPU Profiler Toolchain ซึ่งจะเปิดตัวในปลายปี เพื่อช่วยนักพัฒนาวิเคราะห์และปรับแต่งการใช้งาน GPU, หน่วยความจำ และงาน AI/ML อย่างมีประสิทธิภาพ.

    การพัฒนากรอบการทำงาน (ADPF):
    - Android ได้อัปเดต Dynamic Performance Framework (ADPF) ที่ช่วยให้เกมปรับประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์ตามสถานะความร้อนของอุปกรณ์ เช่น เกม MMORPG Lineage W สามารถทำงานลื่นไหลบนอุปกรณ์เป้าหมายได้ยาวนานยิ่งขึ้น.

    ขยายสู่เกม PC:
    - Google เริ่มโปรแกรมนำเกม PC มาลงมือถือ เช่น DREDGE และ TABS Mobile พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้พัฒนาเข้าร่วมโครงการสำหรับการเปลี่ยนผ่านนี้.

    https://www.techpowerup.com/334356/google-making-vulkan-the-official-graphics-api-on-android
    Google กำลังเดินหน้าปฏิวัติโลกเกม Android ด้วยการทำให้ Vulkan เป็น API กราฟิกหลัก ซึ่งหมายความว่าเราจะได้เห็นเกมที่มีภาพสมจริงยิ่งขึ้น เช่น Ray Tracing และประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในทุกอุปกรณ์ นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือใหม่ ๆ อย่าง GPU Profiler และการอัปเดต ADPF เพื่อให้การเล่นเกมลื่นและยาวนานขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น Google ยังเริ่มนำเกม PC มาปรับให้เล่นบนมือถือ เช่น TABS และ DREDGE ความได้เปรียบของ Vulkan: - Vulkan ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถใช้งาน GPU ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการจัดการกราฟิกในระดับต่ำโดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วและลดเวลาแฝงของเกม. - เกมที่ใช้ Vulkan เช่น Diablo Immortal สามารถแสดงเอฟเฟกต์สมจริงทั้งไฟระเบิดและน้ำแข็งได้อย่างลื่นไหล ในขณะที่เกมเล็ก เช่น Pokémon TCG Pocket ก็ได้รับการปรับประสิทธิภาพให้เหมาะกับทุกอุปกรณ์. การปรับปรุง API อื่น ๆ: - Android จะใช้ตัวแปลงชื่อว่า ANGLE ที่ช่วยแปลงคำสั่ง OpenGL ให้ทำงานผ่าน Vulkan ได้ โดยนักพัฒนาควรเริ่มทดสอบเกมของตนบน ANGLE เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง. เครื่องมือใหม่สำหรับนักพัฒนา: - Google ร่วมมือกับศูนย์วิจัย Samsung Austin เพื่อพัฒนา GPU Profiler Toolchain ซึ่งจะเปิดตัวในปลายปี เพื่อช่วยนักพัฒนาวิเคราะห์และปรับแต่งการใช้งาน GPU, หน่วยความจำ และงาน AI/ML อย่างมีประสิทธิภาพ. การพัฒนากรอบการทำงาน (ADPF): - Android ได้อัปเดต Dynamic Performance Framework (ADPF) ที่ช่วยให้เกมปรับประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์ตามสถานะความร้อนของอุปกรณ์ เช่น เกม MMORPG Lineage W สามารถทำงานลื่นไหลบนอุปกรณ์เป้าหมายได้ยาวนานยิ่งขึ้น. ขยายสู่เกม PC: - Google เริ่มโปรแกรมนำเกม PC มาลงมือถือ เช่น DREDGE และ TABS Mobile พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้พัฒนาเข้าร่วมโครงการสำหรับการเปลี่ยนผ่านนี้. https://www.techpowerup.com/334356/google-making-vulkan-the-official-graphics-api-on-android
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Google Making Vulkan the Official Graphics API on Android
    We're stepping up our multiplatform gaming offering with exciting news dropping at this year's Game Developers Conference (GDC). We're bringing users more games, more ways to play your games across devices, and improved gameplay. You can read all about the updates for users from The Keyword. At GDC,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts