• อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สัมมาทิฏฐิโดยปริยายสองอย่าง(โลกิยะ - โลกุตตระ)
    สัทธรรมลำดับที่ : 707
    ชื่อบทธรรม :- สัมมาทิฏฐิโดยปริยายสองอย่าง
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=707
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สัมมาทิฏฐิโดยปริยายสองอย่าง--(โลกิยะ - โลกุตตระ)
    --ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! เรากล่าวแม้ สัมมาทิฏฐิว่ามีอยู่โดยส่วนสอง คือ
    ๑.สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ (สาสว)*--๑ เป็นส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิย)
    มีอุปธิเป็นวิบาก (อุปธิเวกฺก) ก็มีอยู่,
    ๒.สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ (อริย) ไม่มีอาสวะ (อนาสว) เป็นโลกุตตระ (โลกุตฺตร)
    เป็นองค์แห่งมรรค (มคฺคงฺค) ก็มีอยู่.
    --ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ
    เป็นส่วนแห่งบุญมีอุปธิเป็นวิบาก นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? คือสัมมาทิฏฐิที่ว่า
    “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล). ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล). การบูชาที่บูชาแล้วมี (ผล).
    ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี.
    โลกนี้ มี. โลกอื่น มี. มารดา มี. บิดา มี.
    โอปปาติกะสัตว์ มี.
    สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ
    ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง
    และประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มีอยู่”
    ดังนี้.
    +--ภิกษุ ท. ! นี้คือ #สัมมาทิฏฐิที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ
    เป็นส่วนแห่งบุญ มีอุปธิเป็นวิบาก.

    --ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ
    เป็นโลกุตตระ เป็นองค์แห่งมรรค นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
    คือ สัมมาทิฏฐิ ที่ได้แก่ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์
    และสัมมาทิฏฐิที่เป็นองค์แห่งมรรค ของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอนาสวจิต
    ของผู้เป็นอริยมัคคสมังคี ผู้เจริญอยู่ซึ่งอริยมรรค.
    +--ภิกษุ ท. ! นี้คือ #สัมมาทิฏฐิอันเป็นอริยะไม่มีอาสวะ
    เป็นโลกุตตระ เป็นองค์แห่งมรรค.-

    *--๑. คำแปลของคำบัญญัติอันลึกซึ้ง เช่นคำว่า สาสว เป็นต้น เหล่านี้
    ในที่นี้แปลไว้อย่างย่อ ๆ ตามที่เคยแปลกัน
    บางทีก็แปลอย่างขยายความให้แจ่มแจ้งชัดเจนก็มี
    ผู้สนใจหาดูได้จากคำแปลของคำเหล่านี้
    อันมีอยู่ในหัวข้อว่า “#การทำหน้าที่สัมพันธ์กันของบริขารเจ็ด“
    แห่งหมวดสัมมาสมาธิ แห่งพุทธธัมม​เจดีย์ลำดับถัดไป.

    #ทุกขมรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/146/256-257.
    http://etipitaka.com/read/thai/14/146/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%96
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๑๘๑/๒๕๖-๒๕๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/181/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%96
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=707
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=51&id=707
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=51
    ลำดับสาธยายธรรม : 51 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_51.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สัมมาทิฏฐิโดยปริยายสองอย่าง(โลกิยะ - โลกุตตระ) สัทธรรมลำดับที่ : 707 ชื่อบทธรรม :- สัมมาทิฏฐิโดยปริยายสองอย่าง https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=707 เนื้อความทั้งหมด :- --สัมมาทิฏฐิโดยปริยายสองอย่าง--(โลกิยะ - โลกุตตระ) --ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! เรากล่าวแม้ สัมมาทิฏฐิว่ามีอยู่โดยส่วนสอง คือ ๑.สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ (สาสว)*--๑ เป็นส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิย) มีอุปธิเป็นวิบาก (อุปธิเวกฺก) ก็มีอยู่, ๒.สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ (อริย) ไม่มีอาสวะ (อนาสว) เป็นโลกุตตระ (โลกุตฺตร) เป็นองค์แห่งมรรค (มคฺคงฺค) ก็มีอยู่. --ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญมีอุปธิเป็นวิบาก นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? คือสัมมาทิฏฐิที่ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล). ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล). การบูชาที่บูชาแล้วมี (ผล). ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี. โลกนี้ มี. โลกอื่น มี. มารดา มี. บิดา มี. โอปปาติกะสัตว์ มี. สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง และประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มีอยู่” ดังนี้. +--ภิกษุ ท. ! นี้คือ #สัมมาทิฏฐิที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีอุปธิเป็นวิบาก. --ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ เป็นองค์แห่งมรรค นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? คือ สัมมาทิฏฐิ ที่ได้แก่ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ และสัมมาทิฏฐิที่เป็นองค์แห่งมรรค ของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอนาสวจิต ของผู้เป็นอริยมัคคสมังคี ผู้เจริญอยู่ซึ่งอริยมรรค. +--ภิกษุ ท. ! นี้คือ #สัมมาทิฏฐิอันเป็นอริยะไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ เป็นองค์แห่งมรรค.- *--๑. คำแปลของคำบัญญัติอันลึกซึ้ง เช่นคำว่า สาสว เป็นต้น เหล่านี้ ในที่นี้แปลไว้อย่างย่อ ๆ ตามที่เคยแปลกัน บางทีก็แปลอย่างขยายความให้แจ่มแจ้งชัดเจนก็มี ผู้สนใจหาดูได้จากคำแปลของคำเหล่านี้ อันมีอยู่ในหัวข้อว่า “#การทำหน้าที่สัมพันธ์กันของบริขารเจ็ด“ แห่งหมวดสัมมาสมาธิ แห่งพุทธธัมม​เจดีย์ลำดับถัดไป. #ทุกขมรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์​ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/146/256-257. http://etipitaka.com/read/thai/14/146/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%96 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๑๘๑/๒๕๖-๒๕๗. http://etipitaka.com/read/pali/14/181/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%96 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=707 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=51&id=707 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=51 ลำดับสาธยายธรรม : 51 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_51.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - สัมมาทิฏฐิโดยปริยายสองอย่าง
    -สัมมาทิฏฐิโดยปริยายสองอย่าง (โลกิยะ - โลกุตตระ) ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! เรากล่าวแม้ สัมมาทิฏฐิว่ามีอยู่โดยส่วนสอง คือ สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ (สาสว)๑ เป็นส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิย) มีอุปธิเป็นวิบาก (อุปธิเวกฺก) ก็มีอยู่, สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ (อริย) ไม่มีอาสวะ (อนาสว) เป็นโลกุตตระ (โลกุตฺตร) เป็นองค์แห่งมรรค (มคฺคงฺค) ก็มีอยู่. ๑. คำแปลของคำบัญญัติอันลึกซึ้ง เช่นคำว่า สาสว เป็นต้น เหล่านี้ ในที่นี้แปลไว้อย่างย่อ ๆ ตามที่เคยแปลกัน บางทีก็แปลอย่างขยายความให้แจ่มแจ้งชัดเจนก็มี ผู้สนใจหาดูได้จากคำแปลของคำเหล่านี้ อันมีอยู่ในหัวข้อว่า “การทำหน้าที่สัมพันธ์กันของบริขารเจ็ด“ แห่งหมวดสัมมาสมาธิ แห่งหนังสือเล่มนี้ ที่หน้า ๑๒๘๗ บรรทัดที่แปด ไป. ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญมีอุปธิเป็นวิบาก นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? คือสัมมาทิฏฐิที่ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล). ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล) การบูชาที่บูชาแล้วมี (ผล). ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี. โลกนี้ มี. โลกอื่น มี. มารดา มี. บิดา มี. โอปปาติกะสัตว์ มี. สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง และประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มีอยู่” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! นี้คือ สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นไปกับด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีอุปธิเป็นวิบาก. ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ เป็นองค์แห่งมรรค นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? คือสัมมาทิฏฐิที่ได้แก่ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ และสัมมาทิฏฐิที่เป็นองค์แห่งมรรค ของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอนาสวจิต ของผู้เป็นอริยมัคคสมังคี ผู้เจริญอยู่ซึ่งอริยมรรค. ภิกษุ ท. ! นี้คือ สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ เป็นองค์แห่งมรรค.
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • “เพียรเพื่อความเห็นแจ้ง” ไม่ใช่เพียงเพียรเพื่อความสำเร็จ

    คนเราขยันเพียรทำงานเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว
    ขยันเพียรนั่งสมาธิเพื่อความสงบสุข
    แต่นั่นยังไม่ใช่ "วิริยะ" ในความหมายของ "โพชฌงค์"

    โพชฌงค์ คือองค์ประกอบของ "การรู้แจ้ง"
    วิริยะในโพชฌงค์ จึงหมายถึง
    เพียรเพื่อ "ธัมมวิจัย"
    เพียรเพื่อเห็น "ความจริงของกายใจ"
    เพียรเพื่อ "รู้ความเกิดดับของสรรพสิ่ง"

    ตัวอย่างง่ายๆ เช่น
    ขณะเห็นลมหายใจเกิดขึ้น แล้วดับไป
    ใจจะไม่ถอดถอน
    ใจจะไม่เบื่อหน่าย
    ใจจะไม่เห็นว่านี่คือเรื่องเล็ก

    กลับกัน ใจจะ "ยกให้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด"
    เรื่องที่ "ไม่สำคัญอื่นใดเท่า"
    เหมือนเห็นทุกลมหายใจคือโอกาส
    ที่จะจับความจริงทันแบบไม่คลาดเคลื่อน

    วิริยะในโพชฌงค์
    จะปรากฏให้เห็นชัดเมื่อ…

    แม้อารมณ์ฟุ้งซ่านดึงใจออกไป
    แม้เรื่องอื่นในโลกมาแทรกแซง
    ก็จะมี "สติอีกชั้นหนึ่ง"
    ที่ดึงใจกลับมา "ประคองอารมณ์เดิม"
    และ "วิจัยธรรม" ต่อไป

    มันคือการ เพียรแบบไม่ยอมเสียของ
    ไม่ยอมเสียโอกาสเห็นความจริง
    ไม่ยอมเสียเวลาไปกับอะไรที่ไม่ใช่ธรรมะ

    เปรียบเหมือนอัดดินร่วนๆ ให้แน่นเป็นผืนเรียบ
    ใจจะมั่นคง หนักแน่น
    ไม่หวั่นไหวกับสิ่งเย้ายวน
    หรือแม้แต่ความเหนื่อยล้า

    ถ้าปฏิบัติถูกทาง
    ความต่อเนื่องนั่นแหละ…คือ “ความก้าวหน้า”
    และแก่นของความต่อเนื่อง ก็คือ “วิริยะในโพชฌงค์” นั่นเอง

    #ธรรมะเข้าใจง่ายแต่ลึกถึงใจ
    #วิริยะในโพชฌงค์
    #เพียรเพื่อความเห็นแจ้ง
    #ไม่ใช่แค่เพียรเพื่อความสงบ
    #ธัมมวิจัย
    #ปฏิบัติเพื่อรู้แจ้งไม่ใช่แค่นั่งเฉย
    🌬️ “เพียรเพื่อความเห็นแจ้ง” ไม่ใช่เพียงเพียรเพื่อความสำเร็จ คนเราขยันเพียรทำงานเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว ขยันเพียรนั่งสมาธิเพื่อความสงบสุข แต่นั่นยังไม่ใช่ "วิริยะ" ในความหมายของ "โพชฌงค์" โพชฌงค์ คือองค์ประกอบของ "การรู้แจ้ง" วิริยะในโพชฌงค์ จึงหมายถึง เพียรเพื่อ "ธัมมวิจัย" เพียรเพื่อเห็น "ความจริงของกายใจ" เพียรเพื่อ "รู้ความเกิดดับของสรรพสิ่ง" ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ขณะเห็นลมหายใจเกิดขึ้น แล้วดับไป ใจจะไม่ถอดถอน ใจจะไม่เบื่อหน่าย ใจจะไม่เห็นว่านี่คือเรื่องเล็ก กลับกัน ใจจะ "ยกให้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด" เรื่องที่ "ไม่สำคัญอื่นใดเท่า" เหมือนเห็นทุกลมหายใจคือโอกาส ที่จะจับความจริงทันแบบไม่คลาดเคลื่อน วิริยะในโพชฌงค์ จะปรากฏให้เห็นชัดเมื่อ… 🌀 แม้อารมณ์ฟุ้งซ่านดึงใจออกไป 🌀 แม้เรื่องอื่นในโลกมาแทรกแซง ก็จะมี "สติอีกชั้นหนึ่ง" ที่ดึงใจกลับมา "ประคองอารมณ์เดิม" และ "วิจัยธรรม" ต่อไป มันคือการ เพียรแบบไม่ยอมเสียของ ไม่ยอมเสียโอกาสเห็นความจริง ไม่ยอมเสียเวลาไปกับอะไรที่ไม่ใช่ธรรมะ 🧱 เปรียบเหมือนอัดดินร่วนๆ ให้แน่นเป็นผืนเรียบ ใจจะมั่นคง หนักแน่น ไม่หวั่นไหวกับสิ่งเย้ายวน หรือแม้แต่ความเหนื่อยล้า ✨ ถ้าปฏิบัติถูกทาง ความต่อเนื่องนั่นแหละ…คือ “ความก้าวหน้า” และแก่นของความต่อเนื่อง ก็คือ “วิริยะในโพชฌงค์” นั่นเอง #ธรรมะเข้าใจง่ายแต่ลึกถึงใจ #วิริยะในโพชฌงค์ #เพียรเพื่อความเห็นแจ้ง #ไม่ใช่แค่เพียรเพื่อความสงบ #ธัมมวิจัย #ปฏิบัติเพื่อรู้แจ้งไม่ใช่แค่นั่งเฉย
    0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews