• เรื่องเล่าจาก LinkedIn: เมื่อ AMD เตรียมปลุกชีพ GPU แบบหลายชิ้นส่วนอีกครั้ง

    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา AMD ได้สร้างชื่อจากการใช้สถาปัตยกรรม chiplet ใน CPU อย่าง Ryzen และ EPYC ซึ่งช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และปรับขนาดได้ง่าย แต่ในโลกของ GPU การใช้ chiplet ยังเป็นเรื่องท้าทาย เพราะกราฟิกต้องการการประมวลผลแบบขนานที่เร็วและแม่นยำมากกว่าการคำนวณทั่วไป

    ล่าสุดจากโปรไฟล์ LinkedIn ของ Laks Pappu ซึ่งเป็น Chief SoC Architect ของ AMD มีการเปิดเผยว่าเขากำลังพัฒนา GPU แบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี packaging แบบ 2.5D และ 3.5D โดยเฉพาะในสถาปัตยกรรม RDNA 5 (Navi 5x) และ Instinct MI500 สำหรับ data center และ cloud gaming

    สิ่งที่น่าสนใจคือ AMD อาจนำแนวคิด multi-tile GPU กลับมาใช้ในตลาด consumer อีกครั้ง ซึ่งเคยถูกจำกัดไว้เฉพาะใน data center เพราะปัญหาด้าน latency, coherency และการจัดการซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนมากในงานกราฟิก

    แต่ด้วยประสบการณ์จาก Navi 31 ที่ใช้ chiplet สำหรับ cache และ memory controller รวมถึงความก้าวหน้าด้าน interconnect อย่าง Infinity Fabric และ CoWoS ทำให้ AMD อาจพร้อมแล้วสำหรับการแยก compute core ออกเป็นหลาย tile และรวมกลับมาเป็น GPU เดียวที่ OS และเกมมองว่าเป็นชิ้นเดียว

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/according-to-a-linkedin-profile-amd-is-working-on-another-chiplet-based-gpu-udna-could-herald-the-return-of-2-5d-3-5d-chiplet-based-configuration
    🎙️ เรื่องเล่าจาก LinkedIn: เมื่อ AMD เตรียมปลุกชีพ GPU แบบหลายชิ้นส่วนอีกครั้ง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา AMD ได้สร้างชื่อจากการใช้สถาปัตยกรรม chiplet ใน CPU อย่าง Ryzen และ EPYC ซึ่งช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และปรับขนาดได้ง่าย แต่ในโลกของ GPU การใช้ chiplet ยังเป็นเรื่องท้าทาย เพราะกราฟิกต้องการการประมวลผลแบบขนานที่เร็วและแม่นยำมากกว่าการคำนวณทั่วไป ล่าสุดจากโปรไฟล์ LinkedIn ของ Laks Pappu ซึ่งเป็น Chief SoC Architect ของ AMD มีการเปิดเผยว่าเขากำลังพัฒนา GPU แบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี packaging แบบ 2.5D และ 3.5D โดยเฉพาะในสถาปัตยกรรม RDNA 5 (Navi 5x) และ Instinct MI500 สำหรับ data center และ cloud gaming สิ่งที่น่าสนใจคือ AMD อาจนำแนวคิด multi-tile GPU กลับมาใช้ในตลาด consumer อีกครั้ง ซึ่งเคยถูกจำกัดไว้เฉพาะใน data center เพราะปัญหาด้าน latency, coherency และการจัดการซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนมากในงานกราฟิก แต่ด้วยประสบการณ์จาก Navi 31 ที่ใช้ chiplet สำหรับ cache และ memory controller รวมถึงความก้าวหน้าด้าน interconnect อย่าง Infinity Fabric และ CoWoS ทำให้ AMD อาจพร้อมแล้วสำหรับการแยก compute core ออกเป็นหลาย tile และรวมกลับมาเป็น GPU เดียวที่ OS และเกมมองว่าเป็นชิ้นเดียว https://www.tomshardware.com/tech-industry/according-to-a-linkedin-profile-amd-is-working-on-another-chiplet-based-gpu-udna-could-herald-the-return-of-2-5d-3-5d-chiplet-based-configuration
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 3
    จะแสดงอภิมหาแสนยานุภาพทั้งที ต้องดูตาถี่ตาห่าง ทบทวนกันหน่อยว่าตอนนี้
    ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครเป็นพวกใคร น้ำหนักเท่าไหร่ ความไวเป็นอย่างไร จุดเป็น จุดตาย จุดอ่อนจุดแข็ง อยู่ตรงไหน โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว เห็นตัวอย่างจากการโตเร็วของอาเฮียแดนมังกรแล้ว ไม่ทำการบ้านให้ดี ถลาเข้ามาเดินเชิดหน้าพองขน ดันโดนรุมสกรัม พุ่งถลาหน้าแหก คงไม่สง่างามสมกับเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลก
    เอ้า วัดสัดส่วนเทียบทุกจุดแล้ว โผออกมาดังนี้
    1. กลุ่มที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกาและพวก คือ
    – จีน และ เกาหลีเหนือ สำหรับ กลุ่มพวกเอเซีย
    – อิหร่านและซีเรีย (และกลุ่มหัวรุนแรง ที่ไม่ประกาศสัญชาติ) สำหรับ กลุ่ม
    ตะวันออกกลาง
    – รัสเซีย สำหรับ กลุ่มเอเซีย และยุโรป
    2. คู่แข่งในการแสดงอำนาจและบารมีของอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ
    – จีน ในเอเซียตะวันออก เอเซียกลาง และอาฟริกา (โปรดสังเกต ไม่มีเอเซีย
    ตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าประเทศแถวนี้ มันหมูในอวย หรือลูกหาบตลอดการของนักล่า หือไม่ขึ้นแล้ว อาเฮียลื้ออย่ามาเกี้ยวให้เสียเวลาเลย ฮา !)
    – อิหร่าน ในตะวันออกกลาง
    – รัสเซีย ในเอเซียกลาง และบริเวณใกล้เคียง
    3. คู่แข่งในเรื่องกองทัพและอาวุธ
    – จีน และเกาหลีเหนือ
    – อิหร่าน
    (เอะ ! ทำไมตัวละครมันซ้ำ ๆ กันแบบนี้ คนทำการบ้านวิเคราะห์ถูกหรือเปล่านะ คนเล่า
    นิทานชักเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย)
    รู้มิตร รู้ศัตรู รู้หน้าตาคู่แข่ง พวกก้างขวางคอ แล้วอเมริกาจะจัดการอย่างไรกับฐานทัพและกองทัพ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก เพื่อรุกไปขย่มขวัญอาเฮียใน Asia Pacific และรับมือกับบรรดาก้างขวางคอ
    ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อบอกไม่มีปัญหา เรามีแผนจัดเป็นโปรแกรม โปรดเลือกเอาตาม
    สะดวก ชอบโปรแกรมไหน กดไป ใช้ได้เลย เสียดายไม่ยักกะมีเพลงประจำ แต่ละโปรแกรมมาด้วย
    – โปรแกรมขย่มขวัญ
    จัดให้เพื่อแสดงบทขย่มขวัญจีนและเกาหลีเหนือโดยเฉพาะ และให้พรรคพวกอุ่นใจ
    ว่านักล่ายังฟันคมกริบ กรงเล็บแข็ง ตะปบแม่น ถ้าอเมริกาต้องการแสดงแสนยานุภาพ
    ไปทางเอเซียอย่างเต็มที่ ! มันต้องยังงั้น ! ไปท้าทายเขาถึงหน้าบ้านเลย ดูซิว่าจีนกับเกาหลีเหนือ จะยืนเกาหัวมึนไป หรือนักล่าจะถูกดักตีหัวแบะเอง ให้มันรู้กันไป เป็นจิกโก๋ต้องใจสู้ เข้าไปท้าชิงในถิ่นเขาเลย !
    การจะใช้โปรแกรมขย่มขวัญ อเมริกาต้องขยายฐานทัพ และสร้างภาพให้โลก โดยเฉพาะ
    ผู้ที่อเมริกาอยากขย่มขวัญ เห็นว่าอเมริกามาแล้ว มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ (permanent presence) ดังนั้นควรมีการขยายฐานทัพ/สร้างฐานทัพ ของพวกลูกหาบ เช่น ในฟิลิปปินส์ ไทยแลนด์ (ของสมันน้อยไงจ๊ะ ! ) สิงคโปร์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น
    และหาทางเจรจาสร้างฐานทัพกับมาเลเซียเวียตนาม และอินโดนีเซีย (พวกผักชีโรยหน้า) เพื่อเป็นการรองรับปัญหาที่อาจจะมาจากกรณีทะเลจีนใต้ (ที่ตนเองไปเสี้ยมไว้) ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมรบร่วมกันทั้งทางอากาศและทางทะเล กับพวกลูกหาบให้บ่อยมากขึ้น
    ส่วนฐานทัพที่อยู่ในอเมริกาไม่ต้องทำอะไร แค่ดูให้มั่นใจว่ารับศึกที่จะมาคุกคาม พรรคพวกแถวยุโรปกับอาหรับได้เป็นพอ
    (เรียกว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ ค่าตั๋วน่าจะแพง กินงบประมาณแผ่นดินกันถ้วนหน้า ถ้าชิงรางวัลใหญ่ไม่ได้ อาจกลายเป็นเสียเมืองแทน
    พวกลูกหาบระวังตัวให้ดีแล้วกัน)
    – โปรแกรมรับมือ
    เป็นการเตรียมรับมือในกรณี เกิดความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง เพราะทะเลาะกันเอง
    หรือการเมือง เศรษฐกิจของหลายประเทศไม่มั่นคง (ก็เกิดจากการเสี้ยมของอเมริกานั่นแหละ ไม่ต้องวิเคราะห์มากให้ปวดหัว)
    รายการนี้ต้องใช้ฐานทัพและกองกำลังของอเมริกาเป็นตัวหลัก
    ยุทธศาสตร์นี้จะใช้ต่อเมื่อจีนไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบกับอเมริกา เหมือนเป็นกองกำลังกงเต๊ก ส่วนในยุโรปก็ไม่มีผู้ท้าชิง ในทางตรงกันข้าม อิหร่านเกิดบ้าเลือดมาแรง เผลอ ๆ จะได้เห็นนิวเคลียร์ยี่ห้ออิหร่านลงแอลเอ ! ดังนั้น กองกำลังที่อยู่ในยุโรปและในอเมริกาเองจะต้องปรับ เพื่อให้คล่องตัวในการเล่นศึกกับอิหร่าน สำหรับเอเซีย การปรับเปลี่ยนกองกำลังและฐานทัพ จะเป็นเช่นเดียวกับโปรแกรมขย่มขวัญ
    (โปรแกรมนี้ดูมันไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ก็อยากเห็น ระเบิดลงหัวนักล่า
    เหมือนกันแหละ !)
    – โปรแกรมนักล่าตัวจริง
    กรณีนี้ใช้สำหรับนักล่าตัวจริง หมายเลข 1 ของโลก ที่จะล่ามันไปทั่วทั้งบริเวณ
    East Asia, ยุโรป และตะวันออกกลาง และขยายฐานที่มีอยู่ใน Southeast Asia ไปจนถึงตะวันออกกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการเงิน
    ถ้าเลือกโปรแกรมนี้ นักล่าต้องฟิตหนัก เพราะต้องเตรียมตัวรับ กับ การขยายตัวทางการทหารจากจีน และเกาหลีเหนือ (ก็ยื่นหน้าไปเบ่งกล้ามใส่เขา คิดว่าเขา
    จะอยู่เฉยหรือไง !) และยังต้องมีกองกำลังในตะวันออกกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับอิหร่านอีกด้วย
    และต้องพร้อมที่จะชนะการปะทะแถวยุโรป เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ แถว Nato เห็นว่าลูกพี่ยังแน่อยู่
    กองทัพแถวยุโรป จึงต้องยังมีและพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม นักล่าต้องทำให้น่าเชื่อว่าตัวเอง ดูแลอย่างใกล้ชิดประเทศในแถบ GCC (Gulf Cooperation Council) สร้างภาพให้เป็นที่เชื่อถือ มีภาพตัวเองติดอยู่ในแถบ GCC (ติดรูปไว้ทุกเสาไฟฟ้าเลยนะ)
    และควรมีการทำข้อตกลงกับ Saudi Arabia และ India ที่จะใช้ฐานทัพในแถบนั้นได้ ในกรณีวิกฤติ (อันนี้ไม่ใช่ผักชีโรย แต่เป็นอาหารจานหลักนี่หว่า หลอกแขกชัด ๆ) ส่วนกองกำลังปะทะ (combat) และกองกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกา
    (นี่มันโปรแกรมฝันกลางวัน เอ ! หรือนักล่าเอาจริง ! )
    แล้วตกลงอเมริกาจะเลือกใช้โปรแกรมไหน น่าสังเกตว่าทุกโปรแกรม ยุโรปเหมือนเป็นตัว
    ประกอบราคาถูก หรือไม่กล้าใช้นายเหนืออีกทีกันแน่
    แต่ที่น่าสนใจฝ่ายวางแผนล่าเหยื่อบอกว่า อเมริกาต้องตัดสินใจ ว่าจะจัดการกับกองกำลังและฐานทัพที่เกลื่อนอยู่ทั่วโลกอย่างไร มันใช้เงินโขอยู่ ตอนนี้ก็ไม่ได้รวยอย่างที่โม้ไว้ เพราะฉะนั้นเลือกเลยว่า จะแค่ขย่มขวัญ รับมือ หรือเป็นนักล่าตัวจริง ใหญ่ค้ำโลก
    การเลือกของอเมริกาในเรื่องนี้ มันจะแสดงให้เห็นอนาคตของโลกนี้ว่า
    กระบวนยุทธครั้งนี้ของอเมริกา เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหม ขณะนี้อเมริกายังไม่พูดให้ชัดว่าจะเล่นแค่ Asia Pacific เป็นฉากหน้า แต่ของจริงล่าทั้งโลก ส่วนไอ้เรื่องโปรแกรมรับมือน่ะ ไม่มีทาง เขียนมาให้โวยเล่น นักล่าหรือจะคิดแค่รับมือ!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 3 จะแสดงอภิมหาแสนยานุภาพทั้งที ต้องดูตาถี่ตาห่าง ทบทวนกันหน่อยว่าตอนนี้ ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครเป็นพวกใคร น้ำหนักเท่าไหร่ ความไวเป็นอย่างไร จุดเป็น จุดตาย จุดอ่อนจุดแข็ง อยู่ตรงไหน โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว เห็นตัวอย่างจากการโตเร็วของอาเฮียแดนมังกรแล้ว ไม่ทำการบ้านให้ดี ถลาเข้ามาเดินเชิดหน้าพองขน ดันโดนรุมสกรัม พุ่งถลาหน้าแหก คงไม่สง่างามสมกับเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลก เอ้า วัดสัดส่วนเทียบทุกจุดแล้ว โผออกมาดังนี้ 1. กลุ่มที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกาและพวก คือ – จีน และ เกาหลีเหนือ สำหรับ กลุ่มพวกเอเซีย – อิหร่านและซีเรีย (และกลุ่มหัวรุนแรง ที่ไม่ประกาศสัญชาติ) สำหรับ กลุ่ม ตะวันออกกลาง – รัสเซีย สำหรับ กลุ่มเอเซีย และยุโรป 2. คู่แข่งในการแสดงอำนาจและบารมีของอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ – จีน ในเอเซียตะวันออก เอเซียกลาง และอาฟริกา (โปรดสังเกต ไม่มีเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าประเทศแถวนี้ มันหมูในอวย หรือลูกหาบตลอดการของนักล่า หือไม่ขึ้นแล้ว อาเฮียลื้ออย่ามาเกี้ยวให้เสียเวลาเลย ฮา !) – อิหร่าน ในตะวันออกกลาง – รัสเซีย ในเอเซียกลาง และบริเวณใกล้เคียง 3. คู่แข่งในเรื่องกองทัพและอาวุธ – จีน และเกาหลีเหนือ – อิหร่าน (เอะ ! ทำไมตัวละครมันซ้ำ ๆ กันแบบนี้ คนทำการบ้านวิเคราะห์ถูกหรือเปล่านะ คนเล่า นิทานชักเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย) รู้มิตร รู้ศัตรู รู้หน้าตาคู่แข่ง พวกก้างขวางคอ แล้วอเมริกาจะจัดการอย่างไรกับฐานทัพและกองทัพ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก เพื่อรุกไปขย่มขวัญอาเฮียใน Asia Pacific และรับมือกับบรรดาก้างขวางคอ ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อบอกไม่มีปัญหา เรามีแผนจัดเป็นโปรแกรม โปรดเลือกเอาตาม สะดวก ชอบโปรแกรมไหน กดไป ใช้ได้เลย เสียดายไม่ยักกะมีเพลงประจำ แต่ละโปรแกรมมาด้วย – โปรแกรมขย่มขวัญ จัดให้เพื่อแสดงบทขย่มขวัญจีนและเกาหลีเหนือโดยเฉพาะ และให้พรรคพวกอุ่นใจ ว่านักล่ายังฟันคมกริบ กรงเล็บแข็ง ตะปบแม่น ถ้าอเมริกาต้องการแสดงแสนยานุภาพ ไปทางเอเซียอย่างเต็มที่ ! มันต้องยังงั้น ! ไปท้าทายเขาถึงหน้าบ้านเลย ดูซิว่าจีนกับเกาหลีเหนือ จะยืนเกาหัวมึนไป หรือนักล่าจะถูกดักตีหัวแบะเอง ให้มันรู้กันไป เป็นจิกโก๋ต้องใจสู้ เข้าไปท้าชิงในถิ่นเขาเลย ! การจะใช้โปรแกรมขย่มขวัญ อเมริกาต้องขยายฐานทัพ และสร้างภาพให้โลก โดยเฉพาะ ผู้ที่อเมริกาอยากขย่มขวัญ เห็นว่าอเมริกามาแล้ว มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ (permanent presence) ดังนั้นควรมีการขยายฐานทัพ/สร้างฐานทัพ ของพวกลูกหาบ เช่น ในฟิลิปปินส์ ไทยแลนด์ (ของสมันน้อยไงจ๊ะ ! ) สิงคโปร์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น และหาทางเจรจาสร้างฐานทัพกับมาเลเซียเวียตนาม และอินโดนีเซีย (พวกผักชีโรยหน้า) เพื่อเป็นการรองรับปัญหาที่อาจจะมาจากกรณีทะเลจีนใต้ (ที่ตนเองไปเสี้ยมไว้) ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมรบร่วมกันทั้งทางอากาศและทางทะเล กับพวกลูกหาบให้บ่อยมากขึ้น ส่วนฐานทัพที่อยู่ในอเมริกาไม่ต้องทำอะไร แค่ดูให้มั่นใจว่ารับศึกที่จะมาคุกคาม พรรคพวกแถวยุโรปกับอาหรับได้เป็นพอ (เรียกว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ ค่าตั๋วน่าจะแพง กินงบประมาณแผ่นดินกันถ้วนหน้า ถ้าชิงรางวัลใหญ่ไม่ได้ อาจกลายเป็นเสียเมืองแทน พวกลูกหาบระวังตัวให้ดีแล้วกัน) – โปรแกรมรับมือ เป็นการเตรียมรับมือในกรณี เกิดความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง เพราะทะเลาะกันเอง หรือการเมือง เศรษฐกิจของหลายประเทศไม่มั่นคง (ก็เกิดจากการเสี้ยมของอเมริกานั่นแหละ ไม่ต้องวิเคราะห์มากให้ปวดหัว) รายการนี้ต้องใช้ฐานทัพและกองกำลังของอเมริกาเป็นตัวหลัก ยุทธศาสตร์นี้จะใช้ต่อเมื่อจีนไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบกับอเมริกา เหมือนเป็นกองกำลังกงเต๊ก ส่วนในยุโรปก็ไม่มีผู้ท้าชิง ในทางตรงกันข้าม อิหร่านเกิดบ้าเลือดมาแรง เผลอ ๆ จะได้เห็นนิวเคลียร์ยี่ห้ออิหร่านลงแอลเอ ! ดังนั้น กองกำลังที่อยู่ในยุโรปและในอเมริกาเองจะต้องปรับ เพื่อให้คล่องตัวในการเล่นศึกกับอิหร่าน สำหรับเอเซีย การปรับเปลี่ยนกองกำลังและฐานทัพ จะเป็นเช่นเดียวกับโปรแกรมขย่มขวัญ (โปรแกรมนี้ดูมันไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ก็อยากเห็น ระเบิดลงหัวนักล่า เหมือนกันแหละ !) – โปรแกรมนักล่าตัวจริง กรณีนี้ใช้สำหรับนักล่าตัวจริง หมายเลข 1 ของโลก ที่จะล่ามันไปทั่วทั้งบริเวณ East Asia, ยุโรป และตะวันออกกลาง และขยายฐานที่มีอยู่ใน Southeast Asia ไปจนถึงตะวันออกกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการเงิน ถ้าเลือกโปรแกรมนี้ นักล่าต้องฟิตหนัก เพราะต้องเตรียมตัวรับ กับ การขยายตัวทางการทหารจากจีน และเกาหลีเหนือ (ก็ยื่นหน้าไปเบ่งกล้ามใส่เขา คิดว่าเขา จะอยู่เฉยหรือไง !) และยังต้องมีกองกำลังในตะวันออกกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับอิหร่านอีกด้วย และต้องพร้อมที่จะชนะการปะทะแถวยุโรป เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ แถว Nato เห็นว่าลูกพี่ยังแน่อยู่ กองทัพแถวยุโรป จึงต้องยังมีและพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม นักล่าต้องทำให้น่าเชื่อว่าตัวเอง ดูแลอย่างใกล้ชิดประเทศในแถบ GCC (Gulf Cooperation Council) สร้างภาพให้เป็นที่เชื่อถือ มีภาพตัวเองติดอยู่ในแถบ GCC (ติดรูปไว้ทุกเสาไฟฟ้าเลยนะ) และควรมีการทำข้อตกลงกับ Saudi Arabia และ India ที่จะใช้ฐานทัพในแถบนั้นได้ ในกรณีวิกฤติ (อันนี้ไม่ใช่ผักชีโรย แต่เป็นอาหารจานหลักนี่หว่า หลอกแขกชัด ๆ) ส่วนกองกำลังปะทะ (combat) และกองกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกา (นี่มันโปรแกรมฝันกลางวัน เอ ! หรือนักล่าเอาจริง ! ) แล้วตกลงอเมริกาจะเลือกใช้โปรแกรมไหน น่าสังเกตว่าทุกโปรแกรม ยุโรปเหมือนเป็นตัว ประกอบราคาถูก หรือไม่กล้าใช้นายเหนืออีกทีกันแน่ แต่ที่น่าสนใจฝ่ายวางแผนล่าเหยื่อบอกว่า อเมริกาต้องตัดสินใจ ว่าจะจัดการกับกองกำลังและฐานทัพที่เกลื่อนอยู่ทั่วโลกอย่างไร มันใช้เงินโขอยู่ ตอนนี้ก็ไม่ได้รวยอย่างที่โม้ไว้ เพราะฉะนั้นเลือกเลยว่า จะแค่ขย่มขวัญ รับมือ หรือเป็นนักล่าตัวจริง ใหญ่ค้ำโลก การเลือกของอเมริกาในเรื่องนี้ มันจะแสดงให้เห็นอนาคตของโลกนี้ว่า กระบวนยุทธครั้งนี้ของอเมริกา เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหม ขณะนี้อเมริกายังไม่พูดให้ชัดว่าจะเล่นแค่ Asia Pacific เป็นฉากหน้า แต่ของจริงล่าทั้งโลก ส่วนไอ้เรื่องโปรแกรมรับมือน่ะ ไม่มีทาง เขียนมาให้โวยเล่น นักล่าหรือจะคิดแค่รับมือ! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก SGLang: เมื่อ DeepSeek ถูกเสิร์ฟด้วยศิลปะของการแยกงานและแบ่งผู้เชี่ยวชาญ

    DeepSeek เป็นโมเดล LLM ที่ทรงพลังและซับซ้อน ด้วยสถาปัตยกรรมที่ใช้ Multi-head Latent Attention (MLA) และ Mixture of Experts (MoE) ซึ่งทำให้การรัน inference แบบ real-time กลายเป็นความท้าทายระดับสูง แต่ทีม SGLang ได้โชว์ว่า ถ้าออกแบบระบบดีพอ ก็สามารถรัน DeepSeek-V3 บน 96 H100 GPUs ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

    หัวใจของความสำเร็จนี้คือการใช้เทคนิค PD Disaggregation (แยกงานระหว่าง prefill และ decode) ร่วมกับ Expert Parallelism (EP) ที่ปรับแต่งอย่างละเอียดผ่าน DeepEP, DeepGEMM และ EPLB เพื่อให้การจัดการ memory, communication และ workload balance เป็นไปอย่างไร้รอยต่อ

    ผลลัพธ์คือ throughput สูงถึง 52.3k input tokens/sec และ 22.3k output tokens/sec ต่อ node ซึ่งใกล้เคียงกับระบบ production ของ DeepSeek เอง แต่ใช้ต้นทุนเพียง 20% ของ API ทางการ

    สถาปัตยกรรมการรัน DeepSeek บน SGLang
    ใช้ 12 nodes × 8 H100 GPUs รวม 96 GPUs
    throughput สูงถึง 52.3k input และ 22.3k output tokens/sec ต่อ node
    ต้นทุน inference อยู่ที่ ~$0.20 ต่อ 1M output tokens

    เทคนิค Prefill-Decode Disaggregation (PD)
    แยกการรัน prefill และ decode ออกจากกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    ลดปัญหา prefill interrupt และ latency จากการจัด batch แบบรวม
    รองรับ dispatch mode ที่ต่างกันสำหรับแต่ละ phase

    Expert Parallelism (EP) ด้วย DeepEP
    ใช้ normal dispatch สำหรับ prefill และ low-latency dispatch สำหรับ decode
    รองรับ auto mode ที่เลือก dispatch ตาม workload
    ลด latency และเพิ่ม throughput โดยใช้ expert routing ที่ปรับแต่งได้

    DeepGEMM สำหรับ MoE computation
    ใช้ Grouped GEMMs แบบ contiguous และ masked layout
    รองรับ CUDA Graph สำหรับ decode phase
    ใช้ Triton kernel เพื่อจัดเรียงข้อมูลให้เหมาะกับ GEMM kernel

    Two-Batch Overlap (TBO)
    แบ่ง batch เป็นสองส่วนเพื่อให้ computation และ communication overlap
    เพิ่ม throughput ได้ถึง 35% และลด peak memory usage
    ใช้ abstraction layer เพื่อจัดการ micro-batch อย่างสะอาดและ maintainable

    Expert Parallelism Load Balancer (EPLB)
    ใช้ expert redundancy เพื่อจัดวาง expert ให้สมดุล
    รองรับ parallelism size ที่ไม่จำกัดแค่ power-of-two เช่น 12 หรือ 72
    เพิ่ม utilization rate และลดการรอ GPU ที่ช้า

    Toolkits เสริมใน SGLang
    DisposableTensor สำหรับจัดการ memory ใน PyTorch โดยตรง
    Expert workload simulator เพื่อประเมิน performance ก่อน deploy จริง
    รองรับการ rebalancing แบบ staged เพื่อไม่ให้รบกวนระบบขณะทำงาน

    https://lmsys.org/blog/2025-05-05-large-scale-ep/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก SGLang: เมื่อ DeepSeek ถูกเสิร์ฟด้วยศิลปะของการแยกงานและแบ่งผู้เชี่ยวชาญ DeepSeek เป็นโมเดล LLM ที่ทรงพลังและซับซ้อน ด้วยสถาปัตยกรรมที่ใช้ Multi-head Latent Attention (MLA) และ Mixture of Experts (MoE) ซึ่งทำให้การรัน inference แบบ real-time กลายเป็นความท้าทายระดับสูง แต่ทีม SGLang ได้โชว์ว่า ถ้าออกแบบระบบดีพอ ก็สามารถรัน DeepSeek-V3 บน 96 H100 GPUs ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด หัวใจของความสำเร็จนี้คือการใช้เทคนิค PD Disaggregation (แยกงานระหว่าง prefill และ decode) ร่วมกับ Expert Parallelism (EP) ที่ปรับแต่งอย่างละเอียดผ่าน DeepEP, DeepGEMM และ EPLB เพื่อให้การจัดการ memory, communication และ workload balance เป็นไปอย่างไร้รอยต่อ ผลลัพธ์คือ throughput สูงถึง 52.3k input tokens/sec และ 22.3k output tokens/sec ต่อ node ซึ่งใกล้เคียงกับระบบ production ของ DeepSeek เอง แต่ใช้ต้นทุนเพียง 20% ของ API ทางการ ✅ สถาปัตยกรรมการรัน DeepSeek บน SGLang ➡️ ใช้ 12 nodes × 8 H100 GPUs รวม 96 GPUs ➡️ throughput สูงถึง 52.3k input และ 22.3k output tokens/sec ต่อ node ➡️ ต้นทุน inference อยู่ที่ ~$0.20 ต่อ 1M output tokens ✅ เทคนิค Prefill-Decode Disaggregation (PD) ➡️ แยกการรัน prefill และ decode ออกจากกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ลดปัญหา prefill interrupt และ latency จากการจัด batch แบบรวม ➡️ รองรับ dispatch mode ที่ต่างกันสำหรับแต่ละ phase ✅ Expert Parallelism (EP) ด้วย DeepEP ➡️ ใช้ normal dispatch สำหรับ prefill และ low-latency dispatch สำหรับ decode ➡️ รองรับ auto mode ที่เลือก dispatch ตาม workload ➡️ ลด latency และเพิ่ม throughput โดยใช้ expert routing ที่ปรับแต่งได้ ✅ DeepGEMM สำหรับ MoE computation ➡️ ใช้ Grouped GEMMs แบบ contiguous และ masked layout ➡️ รองรับ CUDA Graph สำหรับ decode phase ➡️ ใช้ Triton kernel เพื่อจัดเรียงข้อมูลให้เหมาะกับ GEMM kernel ✅ Two-Batch Overlap (TBO) ➡️ แบ่ง batch เป็นสองส่วนเพื่อให้ computation และ communication overlap ➡️ เพิ่ม throughput ได้ถึง 35% และลด peak memory usage ➡️ ใช้ abstraction layer เพื่อจัดการ micro-batch อย่างสะอาดและ maintainable ✅ Expert Parallelism Load Balancer (EPLB) ➡️ ใช้ expert redundancy เพื่อจัดวาง expert ให้สมดุล ➡️ รองรับ parallelism size ที่ไม่จำกัดแค่ power-of-two เช่น 12 หรือ 72 ➡️ เพิ่ม utilization rate และลดการรอ GPU ที่ช้า ✅ Toolkits เสริมใน SGLang ➡️ DisposableTensor สำหรับจัดการ memory ใน PyTorch โดยตรง ➡️ Expert workload simulator เพื่อประเมิน performance ก่อน deploy จริง ➡️ รองรับการ rebalancing แบบ staged เพื่อไม่ให้รบกวนระบบขณะทำงาน https://lmsys.org/blog/2025-05-05-large-scale-ep/
    LMSYS.ORG
    Deploying DeepSeek with PD Disaggregation and Large-Scale Expert Parallelism on 96 H100 GPUs | LMSYS Org
    DeepSeek is a popular open-source large language model (LLM) praised for its strong performance. However, its large size and unique architecture, which us...
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • สี จิ้นผิง เร่งเร้าผู้นำกว่า 20 ชาติในที่ประชุมซัมมิตองค์การเอสซีโอ ใช้ประโยชน์จากการเป็นตลาดขนาดใหญ่และสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี พร้อมเรียกร้องให้ร่วมกันต่อต้านแนวคิดแบบยุคสงครามเย็น การเผชิญหน้า และพฤติกรรมข่มเหงรังแก ของสหรัฐฯ ขณะที่ ปูติน ประกาศสนับสนุนเป้าหมายของประมุขแดนมังกรเต็มที่เพื่อสร้างระเบียบความมั่นคงและเศรษฐกิจโลกใหม่ที่ท้าทายอเมริกา ด้าน โมดี หารือชื่นมื่นกับผู้นำหมีขาว ตอกย้ำสัมพันธ์แนบแน่นอินเดีย-รัสเซีย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000083694

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    สี จิ้นผิง เร่งเร้าผู้นำกว่า 20 ชาติในที่ประชุมซัมมิตองค์การเอสซีโอ ใช้ประโยชน์จากการเป็นตลาดขนาดใหญ่และสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี พร้อมเรียกร้องให้ร่วมกันต่อต้านแนวคิดแบบยุคสงครามเย็น การเผชิญหน้า และพฤติกรรมข่มเหงรังแก ของสหรัฐฯ ขณะที่ ปูติน ประกาศสนับสนุนเป้าหมายของประมุขแดนมังกรเต็มที่เพื่อสร้างระเบียบความมั่นคงและเศรษฐกิจโลกใหม่ที่ท้าทายอเมริกา ด้าน โมดี หารือชื่นมื่นกับผู้นำหมีขาว ตอกย้ำสัมพันธ์แนบแน่นอินเดีย-รัสเซีย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000083694 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 293 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 25 : เหยื่อ (2)
    ปี ค.ศ. 1991 อเมริกาโดยประธานาธิบดี GHW Bush ประกาศ “New World Order” การจัดระเบียบโลกใหม่ ประกาศให้โลกรู้ว่า อเมริกากำลังเล่นบทนักล่าจักรวรรดินิยม ยุคใหม่อย่างจริงจัง ไม่ปิดบังเหนียมอายกันแล้ว อเมริกาจะครองโลก และจะทำทุกอย่างที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น และเพื่อให้ชัดเจน อำนาจของอเมริกาต้องแผ่ขยายควบคุม โดยเฉพาะกับญี่ปุ่น สภาพยุโรป (EU) และที่สำคัญคือ มังกรที่กำลังโตขึ้นเป็นคู่แข่ง คือจีน
    อเมริกาวางยุทธศาสตร์เบื้องต้นว่าจะต้อง “สร้าง” แผนปฎิบัติการอะไรบ้าง
    – ตั้งเป้าหมายให้รัสเซีย ยุโรปตะวันออก และส่วนอื่น ๆ ของโลกยอมรับกฎกติกาของ IMFและรับว่าดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลัก
    – ควบคุมทุกประเทศที่มีแหล่งพลังงาน หรือแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ
    – สร้างและประกาศให้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพของอเมริกา เอาไว้ใช้กับมันผู้ใดที่คัดค้านหรือท้าทาย กฎ กติกา ของอเมริกา
    กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย คือ คำที่เรียกว่ากันว่าโลกาภิวัฒน์ (globalization) ในช่วงนั้น ใครไม่รู้จักคำนี้ สมควรไปปลูกกระท่อมอยู่หลังเขา ใครอยากทันสมัยต้องพูดคำว่า โลกาภิวัฒน์ วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร รู้จักจริง ๆ ไหมว่าโลกภิวัฒน์คืออะไร และผลของมันเป็นอย่างไร แต่เราก็ท่องมนต์บ่นหา โลกาภิวัฒน์กันมาตั้งแต่ เขาเอามาหยอดใส่หูเรา เมื่อ 10 กว่าปี มานี้
    โลกาภิวัฒน์จะมีคนเขียนอธิบายว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับอเมริกา มันหมายถึง การดำเนินการที่จะไม่มีอะไรมาปิดกั้น อำนาจของอเมริกาได้อีกแล้ว การเมือง เศรษฐกิจ การทหาร ทุกอย่างรวมเป็นพลังอำนาจของอเมริกา ที่จะนำไปใช้กับทุกเป้าหมายและทุกจุดประสงค์ แต่หลังจาก ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา เศรษฐกิจของญี่ปุ่นแข็งแรงอย่างยิ่ง และทำท่าจะเป็นผู้นำโลกทางด้านเศรษฐกิจและการธนาคาร แล้วอเมริกาจะดูไปเฉย ๆ ได้อย่างไร ตั้งแต่เป็นประเทศอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบในช่วงปี 1960 กว่า เป็นต้นมา ไม่มีใครไม่รู้จัก Sony ไม่มีใครไม่รู้จักรถ Toyota เมื่อตอนที่พวกโคตรรวย Rockefeller ส่งเทียบไปเชิญญี่ปุ่นมาเข้าสมาคม Trilateral Commission น่ะ มันปรารถนาดีเต็มร้อยหรือไร สุภาษิตที่ว่ามีมิตรอยู่ใกล้ แต่ต้องให้ศัตรูอยู่ใกล้กว่าน่ะ ใช้ได้ทุกชาติ ทุกสมัย อเมริกาเอาญี่ปุ่นมาหนีบไว้ ญี่ปุ่นจะได้แหกคอกยากจะก้าวย่างไปทางไหน เจ้าของคอกก็ตามรอยได้ง่ายกว่า แล้วพวกสมันน้อยที่เขาเชิญ ๆ ไป เป็นสมาชิกน่ะ คิดกันในแง่นี้บ้างไหม หรือมัวแต่ภูมิใจว่าเขาให้เกียรติเราอย่างสูง ที่ให้ไปอยู่ในสมาคมชั้นสูงของพวกโคตรรวย !
    อเมริกาได้พยายามให้ญี่ปุ่นลดอัตราดอกเบี้ยมาตลอด มาสำเร็จเอาในปี ค.ศ. 1987 ญี่ปุ่นตกลงลดดอกเบี้ยเงินกู้เหลือเพียง 2.5% จนถึงปี ค.ศ. 1989 แค่ 2 ปี แต่ก็เพียงพอให้เงินราคาถูกไหลเข้าญี่ปุ่น อสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนมือหลายรอบ ยิ่งเปลี่ยนมือ ราคายิ่งแพงขึ้น ฟองสบู่ค่อย ๆ ลอยขึ้นมา แล้วเงินเย็นก็เริ่มร้อนสูงขึ้นไป 40% เมื่อเทียบกับดอลล่าร์ ธนาคารชั้นนำของโลก ก็พากันเดินแถวเข้าไปเปิดกิจการในญี่ปุ่น ขบวนการปั่นหุ้น ปั่นทรัพย์สินในญี่ปุ่น เกิดขึ้นอย่างเร่งรีบ แล้วทุกอย่างขึ้นถึงยอดเขาในปลายปี ค.ศ. 1989 แล้ว ก็หมุนย้อนลงไปสู่จุดตกต่ำ เมื่อต้นปี ค.ศ. 2003 มันเกิดขึ้นได้อย่างไร นักวิเคราะห์ชาวญี่ปุ่นพากันเป็นโรคมึน

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 25 : เหยื่อ (2) ปี ค.ศ. 1991 อเมริกาโดยประธานาธิบดี GHW Bush ประกาศ “New World Order” การจัดระเบียบโลกใหม่ ประกาศให้โลกรู้ว่า อเมริกากำลังเล่นบทนักล่าจักรวรรดินิยม ยุคใหม่อย่างจริงจัง ไม่ปิดบังเหนียมอายกันแล้ว อเมริกาจะครองโลก และจะทำทุกอย่างที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น และเพื่อให้ชัดเจน อำนาจของอเมริกาต้องแผ่ขยายควบคุม โดยเฉพาะกับญี่ปุ่น สภาพยุโรป (EU) และที่สำคัญคือ มังกรที่กำลังโตขึ้นเป็นคู่แข่ง คือจีน อเมริกาวางยุทธศาสตร์เบื้องต้นว่าจะต้อง “สร้าง” แผนปฎิบัติการอะไรบ้าง – ตั้งเป้าหมายให้รัสเซีย ยุโรปตะวันออก และส่วนอื่น ๆ ของโลกยอมรับกฎกติกาของ IMFและรับว่าดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลัก – ควบคุมทุกประเทศที่มีแหล่งพลังงาน หรือแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ – สร้างและประกาศให้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพของอเมริกา เอาไว้ใช้กับมันผู้ใดที่คัดค้านหรือท้าทาย กฎ กติกา ของอเมริกา กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย คือ คำที่เรียกว่ากันว่าโลกาภิวัฒน์ (globalization) ในช่วงนั้น ใครไม่รู้จักคำนี้ สมควรไปปลูกกระท่อมอยู่หลังเขา ใครอยากทันสมัยต้องพูดคำว่า โลกาภิวัฒน์ วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร รู้จักจริง ๆ ไหมว่าโลกภิวัฒน์คืออะไร และผลของมันเป็นอย่างไร แต่เราก็ท่องมนต์บ่นหา โลกาภิวัฒน์กันมาตั้งแต่ เขาเอามาหยอดใส่หูเรา เมื่อ 10 กว่าปี มานี้ โลกาภิวัฒน์จะมีคนเขียนอธิบายว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับอเมริกา มันหมายถึง การดำเนินการที่จะไม่มีอะไรมาปิดกั้น อำนาจของอเมริกาได้อีกแล้ว การเมือง เศรษฐกิจ การทหาร ทุกอย่างรวมเป็นพลังอำนาจของอเมริกา ที่จะนำไปใช้กับทุกเป้าหมายและทุกจุดประสงค์ แต่หลังจาก ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา เศรษฐกิจของญี่ปุ่นแข็งแรงอย่างยิ่ง และทำท่าจะเป็นผู้นำโลกทางด้านเศรษฐกิจและการธนาคาร แล้วอเมริกาจะดูไปเฉย ๆ ได้อย่างไร ตั้งแต่เป็นประเทศอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบในช่วงปี 1960 กว่า เป็นต้นมา ไม่มีใครไม่รู้จัก Sony ไม่มีใครไม่รู้จักรถ Toyota เมื่อตอนที่พวกโคตรรวย Rockefeller ส่งเทียบไปเชิญญี่ปุ่นมาเข้าสมาคม Trilateral Commission น่ะ มันปรารถนาดีเต็มร้อยหรือไร สุภาษิตที่ว่ามีมิตรอยู่ใกล้ แต่ต้องให้ศัตรูอยู่ใกล้กว่าน่ะ ใช้ได้ทุกชาติ ทุกสมัย อเมริกาเอาญี่ปุ่นมาหนีบไว้ ญี่ปุ่นจะได้แหกคอกยากจะก้าวย่างไปทางไหน เจ้าของคอกก็ตามรอยได้ง่ายกว่า แล้วพวกสมันน้อยที่เขาเชิญ ๆ ไป เป็นสมาชิกน่ะ คิดกันในแง่นี้บ้างไหม หรือมัวแต่ภูมิใจว่าเขาให้เกียรติเราอย่างสูง ที่ให้ไปอยู่ในสมาคมชั้นสูงของพวกโคตรรวย ! อเมริกาได้พยายามให้ญี่ปุ่นลดอัตราดอกเบี้ยมาตลอด มาสำเร็จเอาในปี ค.ศ. 1987 ญี่ปุ่นตกลงลดดอกเบี้ยเงินกู้เหลือเพียง 2.5% จนถึงปี ค.ศ. 1989 แค่ 2 ปี แต่ก็เพียงพอให้เงินราคาถูกไหลเข้าญี่ปุ่น อสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนมือหลายรอบ ยิ่งเปลี่ยนมือ ราคายิ่งแพงขึ้น ฟองสบู่ค่อย ๆ ลอยขึ้นมา แล้วเงินเย็นก็เริ่มร้อนสูงขึ้นไป 40% เมื่อเทียบกับดอลล่าร์ ธนาคารชั้นนำของโลก ก็พากันเดินแถวเข้าไปเปิดกิจการในญี่ปุ่น ขบวนการปั่นหุ้น ปั่นทรัพย์สินในญี่ปุ่น เกิดขึ้นอย่างเร่งรีบ แล้วทุกอย่างขึ้นถึงยอดเขาในปลายปี ค.ศ. 1989 แล้ว ก็หมุนย้อนลงไปสู่จุดตกต่ำ เมื่อต้นปี ค.ศ. 2003 มันเกิดขึ้นได้อย่างไร นักวิเคราะห์ชาวญี่ปุ่นพากันเป็นโรคมึน คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 25 : เหยื่อ (1)
    เมื่อหมดยุคประธานาธิบดี Reagan ในปี ค.ศ. 1988 นาย George H W Bush (ตัวพ่อ) ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป เป็นช่วงที่หมดยุคสงครามเย็น เยอรมันตัดสินใจทุบกำแพง Berlin ออก เยอรมันตะวันออกกับตะวันตก จับมือรวมชาติพัฒนาประเทศด้วยกัน การตัดสินในเช่นนี้ ลึก ๆ แน่นอน ย่อมมีคนคัดจมูก หายใจไม่คล่องอยู่บ้าง ถ้าเศรษฐกิจของเยอรมันแข็งแรงและขยายตัวเต็มยุโรป อำนาจของอเมริกาในยุโรปก็เหมือนถูกท้าทาย นี่คือปฏิกิริยาของอเมริกาที่มีต่อทุกประเทศ ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู อเมริกาจะมีปรอทวัดอาการของทุกชาติไว้อย่างถี่ถ้วน ถ้าชาติไหน เริ่มเจริญ ก้าวหน้าหรือมีความสำคัญ หรือเอนตัวผิดองศา ที่อเมริกาเห็นว่าน่าจะกลายเป็นคู่แข่ง หรืออุปสรรคต่ออเมริกาไม่ว่าทางใด ปรอทจะส่งสัญญาณเตือนทันที และกิจกรรมการเล่นกลก็จะเริ่มเกิดขึ้น
    อเมริกามองอาการของเยอรมันเหมือนสมัย ค.ศ. 1970 ช่วงที่อุตสาหกรรมกำลังบูม และความต้องการน้ำมันของประเทศผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมก็จะสูงตามไปด้วย ค.ศ.นี้ก็ไม่ต่างกัน เยอรมันและชาติที่กำลังทำอุตสาหกรรมก็ต้องหิวน้ำมัน เพราะฉะนั้นอเมริกาต้องรีบหาทาง “กัก” น้ำมันไม่ให้ไปถึงประเทศพวกนั้น คราวนี้ใครจะเป็นเป้าหมายในการเล่นกล เพื่อให้ได้ผลตามที่อเมริกาต้องการ แล้ว Saddam ก็เป็นเหยื่อ หลังจากเปลี้ยมาจากการรบกับอิหร่านเกือบสิบปี ช่วงปี ค.ศ. 1980 – 1988 แผนการก็แบบเดิม ๆ ยุให้เขาตีกันก่อน เพื่อตัวเองจะได้เข้าไปในประเทศเขา (สมันน้อยอ่านตรงนี้ซ้ำ ๆ หน่อยนะ)
    อเมริกาเล่นกล โดยใช้ Kuwait เป็นเหยื่อล่อ Iraq ให้มากินเบ็ด Iraq งับทันที บุกเข้า Kuwait เพราะมีกรณีค้างคาใจกันอยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่ร่วมมือกันรบอิหร่านแล้วเบี้ยวหนี้กัน ทะเลาะกันไปมาหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ Saddam แค้นคือ Saddam กล่าวหาว่า Kuwait ขะโมยขุดน้ำมันแถวชายแดนของ Iraq แถม Kuwait ยังเกเรผลิตน้ำมันเกินข้อตกลงกันระหว่างประเทศ OPEC ซึ่งทำให้การควบคุมราคาน้ำมันในกลุ่ม OPEC มีปัญหา
    Iraq ตัดสินใจบุกคูเวตวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1990 กองทัพของ Kuwait ต้านไม่ไหวหนีไปพึ่งใบบุญ Saudi Arabia กับ Bahrain Saddam จึงประกาศเอา Kuwait ผนวกกลับมาเป็นของ Iraq
    อะไรทำให้ Saddam ตัดสินใจทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ข่าววงในแจ้งว่า เรื่อง Saddam อยากจะเคี้ยว Kuwait ไม่ได้เป็นความลับอะไร ถึงขนาดฑูตอเมริกา ชื่อคุณนาย April Glaspie ไปเดินถามนายทหารระดับสูงของ Iraq ว่าอะไรกันค้า เตรียมรบอะไรกันค้า เห็นคุณทหาร Iraq ไปอยู่ตามชายแดนติดกับ Kuwait เต็มเลยค่า (นี่ข่าวของคุณนาย April เกี่ยวกับ Iraq นะ ไม่ใช่ของคุณนาย คริสตี้ เรื่องไทยแลนด์ แหม ! แต่มันเจ๋อเหมือนกันจัง) เสร็จแล้วคุณนาย April ก็ออกข่าวว่า เราไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกัน ระหว่าง Iraq กับ Kuwait เราไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความขัดแย้ง ระหว่างประเทศอาหรับด้วยกัน (“We have no opinion on the Arab-Arab conflicts”) ที่ยังงี้ละไม่ออกความเห็นนะ คุณนาย ความเห็นพวกฑูตนี้ มันแล้วแต่นายเขาสั่งมา แล้วเราจะต้องไปคอยถามคอยตอบทำไมนะ มันละครชัด ๆ ข่าวว่าการให้สัมภาษณ์ของคุณนาย ทำให้ Saddam เข้าใจว่าอเมริกา ไม่มีปัญหา (หรืออาจจะสนับสนุนด้วยซ้ำ) ที่ Iraq จะบุก Kuwait
    แต่เรื่องมันกลับตาลปัตร หลังจาก Saddam ถล่ม Kuwait ไปได้ 6 เดือน UN ก็ประกาศประฌาม Saddam พร้อมทั้งมีมติเอกฉันท์สั่งให้ Saddam ถอนกองทัพออกมา Saddam เฉย กลางเดือนมกราคม ค.ศ. 1991 Operation Desert Storm ของอเมริกาก็ปฎิบัติการ ชาวเราก็นั่งดูข่าวถ่ายทอดสดทาง CNN เหมือนดูหนังโรง แต่ของจริงเขาถล่มจริง ตายจริง มันเป็นเพียงการเริ่มต้นของการทำลายล้างประเทศ และประชาชนอย่างไม่มีความปราณี อยู่ 12 ปี แม้จะ (หลอกว่า) มี Operation Iraqi Freedom ตามมาให้เมื่อมีนาคม ค.ศ. 2003 จนหลาย ปีให้หลัง ยังไม่เห็นเสรีภาพของชนชาวอิรัค ทุกวันนี้พวกเขายังเรียกร้องหาประชาธิปไตยกันอยู่ เขาถูกย่ำยีจนไม่เหลือ ทั้งทรัพยากร ชีวิตผู้คนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไอ้พวกนักสิทธิมนุษย์ของสหประชาชาติ มันหายไปไหนหมด หรือมัวแต่ไปช่วยเขาหาบุคคลที่สมควรได้รับรางวัล Nobel สันติภาพกัน

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 25 : เหยื่อ (1) เมื่อหมดยุคประธานาธิบดี Reagan ในปี ค.ศ. 1988 นาย George H W Bush (ตัวพ่อ) ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป เป็นช่วงที่หมดยุคสงครามเย็น เยอรมันตัดสินใจทุบกำแพง Berlin ออก เยอรมันตะวันออกกับตะวันตก จับมือรวมชาติพัฒนาประเทศด้วยกัน การตัดสินในเช่นนี้ ลึก ๆ แน่นอน ย่อมมีคนคัดจมูก หายใจไม่คล่องอยู่บ้าง ถ้าเศรษฐกิจของเยอรมันแข็งแรงและขยายตัวเต็มยุโรป อำนาจของอเมริกาในยุโรปก็เหมือนถูกท้าทาย นี่คือปฏิกิริยาของอเมริกาที่มีต่อทุกประเทศ ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู อเมริกาจะมีปรอทวัดอาการของทุกชาติไว้อย่างถี่ถ้วน ถ้าชาติไหน เริ่มเจริญ ก้าวหน้าหรือมีความสำคัญ หรือเอนตัวผิดองศา ที่อเมริกาเห็นว่าน่าจะกลายเป็นคู่แข่ง หรืออุปสรรคต่ออเมริกาไม่ว่าทางใด ปรอทจะส่งสัญญาณเตือนทันที และกิจกรรมการเล่นกลก็จะเริ่มเกิดขึ้น อเมริกามองอาการของเยอรมันเหมือนสมัย ค.ศ. 1970 ช่วงที่อุตสาหกรรมกำลังบูม และความต้องการน้ำมันของประเทศผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมก็จะสูงตามไปด้วย ค.ศ.นี้ก็ไม่ต่างกัน เยอรมันและชาติที่กำลังทำอุตสาหกรรมก็ต้องหิวน้ำมัน เพราะฉะนั้นอเมริกาต้องรีบหาทาง “กัก” น้ำมันไม่ให้ไปถึงประเทศพวกนั้น คราวนี้ใครจะเป็นเป้าหมายในการเล่นกล เพื่อให้ได้ผลตามที่อเมริกาต้องการ แล้ว Saddam ก็เป็นเหยื่อ หลังจากเปลี้ยมาจากการรบกับอิหร่านเกือบสิบปี ช่วงปี ค.ศ. 1980 – 1988 แผนการก็แบบเดิม ๆ ยุให้เขาตีกันก่อน เพื่อตัวเองจะได้เข้าไปในประเทศเขา (สมันน้อยอ่านตรงนี้ซ้ำ ๆ หน่อยนะ) อเมริกาเล่นกล โดยใช้ Kuwait เป็นเหยื่อล่อ Iraq ให้มากินเบ็ด Iraq งับทันที บุกเข้า Kuwait เพราะมีกรณีค้างคาใจกันอยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่ร่วมมือกันรบอิหร่านแล้วเบี้ยวหนี้กัน ทะเลาะกันไปมาหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ Saddam แค้นคือ Saddam กล่าวหาว่า Kuwait ขะโมยขุดน้ำมันแถวชายแดนของ Iraq แถม Kuwait ยังเกเรผลิตน้ำมันเกินข้อตกลงกันระหว่างประเทศ OPEC ซึ่งทำให้การควบคุมราคาน้ำมันในกลุ่ม OPEC มีปัญหา Iraq ตัดสินใจบุกคูเวตวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1990 กองทัพของ Kuwait ต้านไม่ไหวหนีไปพึ่งใบบุญ Saudi Arabia กับ Bahrain Saddam จึงประกาศเอา Kuwait ผนวกกลับมาเป็นของ Iraq อะไรทำให้ Saddam ตัดสินใจทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ข่าววงในแจ้งว่า เรื่อง Saddam อยากจะเคี้ยว Kuwait ไม่ได้เป็นความลับอะไร ถึงขนาดฑูตอเมริกา ชื่อคุณนาย April Glaspie ไปเดินถามนายทหารระดับสูงของ Iraq ว่าอะไรกันค้า เตรียมรบอะไรกันค้า เห็นคุณทหาร Iraq ไปอยู่ตามชายแดนติดกับ Kuwait เต็มเลยค่า (นี่ข่าวของคุณนาย April เกี่ยวกับ Iraq นะ ไม่ใช่ของคุณนาย คริสตี้ เรื่องไทยแลนด์ แหม ! แต่มันเจ๋อเหมือนกันจัง) เสร็จแล้วคุณนาย April ก็ออกข่าวว่า เราไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกัน ระหว่าง Iraq กับ Kuwait เราไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความขัดแย้ง ระหว่างประเทศอาหรับด้วยกัน (“We have no opinion on the Arab-Arab conflicts”) ที่ยังงี้ละไม่ออกความเห็นนะ คุณนาย ความเห็นพวกฑูตนี้ มันแล้วแต่นายเขาสั่งมา แล้วเราจะต้องไปคอยถามคอยตอบทำไมนะ มันละครชัด ๆ ข่าวว่าการให้สัมภาษณ์ของคุณนาย ทำให้ Saddam เข้าใจว่าอเมริกา ไม่มีปัญหา (หรืออาจจะสนับสนุนด้วยซ้ำ) ที่ Iraq จะบุก Kuwait แต่เรื่องมันกลับตาลปัตร หลังจาก Saddam ถล่ม Kuwait ไปได้ 6 เดือน UN ก็ประกาศประฌาม Saddam พร้อมทั้งมีมติเอกฉันท์สั่งให้ Saddam ถอนกองทัพออกมา Saddam เฉย กลางเดือนมกราคม ค.ศ. 1991 Operation Desert Storm ของอเมริกาก็ปฎิบัติการ ชาวเราก็นั่งดูข่าวถ่ายทอดสดทาง CNN เหมือนดูหนังโรง แต่ของจริงเขาถล่มจริง ตายจริง มันเป็นเพียงการเริ่มต้นของการทำลายล้างประเทศ และประชาชนอย่างไม่มีความปราณี อยู่ 12 ปี แม้จะ (หลอกว่า) มี Operation Iraqi Freedom ตามมาให้เมื่อมีนาคม ค.ศ. 2003 จนหลาย ปีให้หลัง ยังไม่เห็นเสรีภาพของชนชาวอิรัค ทุกวันนี้พวกเขายังเรียกร้องหาประชาธิปไตยกันอยู่ เขาถูกย่ำยีจนไม่เหลือ ทั้งทรัพยากร ชีวิตผู้คนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไอ้พวกนักสิทธิมนุษย์ของสหประชาชาติ มันหายไปไหนหมด หรือมัวแต่ไปช่วยเขาหาบุคคลที่สมควรได้รับรางวัล Nobel สันติภาพกัน คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 203 Views 0 Reviews
  • กองทัพบกเผยหลักฐานจากโทรศัพท์ทหารกัมพูชาที่เก็บได้ ตรวจสอบ metadata ยืนยันภาพถ่าย คลิปเสียง เป็นของจริง ไม่ได้สร้างขึ้นหรือจัดฉาก ย้ำชัดไทยไม่ได้สร้างข่าวปลอมตามที่ พลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชากล่าวหา พร้อมท้าทายให้ไปชี้แจงต่อในเวทีออตตาวา ยันยังมีหลักฐานอีกจำนวนมากรอเปิดเผย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000082278

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    กองทัพบกเผยหลักฐานจากโทรศัพท์ทหารกัมพูชาที่เก็บได้ ตรวจสอบ metadata ยืนยันภาพถ่าย คลิปเสียง เป็นของจริง ไม่ได้สร้างขึ้นหรือจัดฉาก ย้ำชัดไทยไม่ได้สร้างข่าวปลอมตามที่ พลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชากล่าวหา พร้อมท้าทายให้ไปชี้แจงต่อในเวทีออตตาวา ยันยังมีหลักฐานอีกจำนวนมากรอเปิดเผย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000082278 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Angry
    4
    0 Comments 0 Shares 522 Views 0 Reviews
  • จากเด็กมัธยมสู่ผู้พิชิต GPU ของ Apple ด้วยโอเพ่นซอร์ส

    เรื่องราวเริ่มต้นในปี 2020 เมื่อ Apple เปิดตัวชิป M1 พร้อม GPU แบบ custom ที่ไม่มีใครรู้จักภายใน ทีม Asahi Linux นำโดย Hector Martin เริ่มต้นโปรเจกต์เพื่อให้ Linux รันบน Mac M1 ได้ และ Alyssa Rosenzweig ซึ่งเคยทำงานกับไดรเวอร์ Panfrost สำหรับ Arm Mali GPU ก็ตอบรับคำเชิญเข้าร่วม

    จากแค่ “จะให้คำแนะนำเบื้องต้น” Alyssa กลับซื้อ Mac M1 เป็นของขวัญคริสต์มาสให้ตัวเอง และเริ่ม reverse-engineer instruction set ของ GPU จนสามารถ “วาดสามเหลี่ยม” ได้ — ซึ่งในโลกกราฟิก 3D ถือเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง

    เธอพัฒนา shader compiler และไดรเวอร์ OpenGL ที่สามารถรันบน macOS ได้ ก่อนที่ Asahi Lina จะเขียน kernel driver สำหรับ GPU ของ Apple เพื่อให้ระบบทำงานบน Linux ได้เต็มรูปแบบ

    ในปี 2022 ทีม Asahi Linux สามารถเปิดใช้งานกราฟิก acceleration บน Linux ได้สำเร็จ และ Alyssa ก็เดินหน้าต่อไปด้วยเป้าหมายที่ใหญ่กว่า: ทำให้ Apple GPU รองรับ OpenGL และ Vulkan อย่าง “conformant” ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม

    เธอพัฒนา geometry และ tessellation shader emulation ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อนในโลกโอเพ่นซอร์ส และในปี 2024 ก็ผ่านการรับรอง OpenGL 4.6 และ Vulkan 1.4 ได้สำเร็จ พร้อมรองรับ Proton สำหรับเล่นเกม Windows บน Linux

    หลังจากพิชิตเป้าหมายทั้งหมด Alyssa ประกาศว่า “ถึงเวลาไปต่อ” และย้ายไปทำงานกับ Intel เพื่อพัฒนาไดรเวอร์ GPU สำหรับ Linux ต่อไป

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Alyssa Rosenzweig เริ่ม reverse-engineer GPU ของ Apple M1 ตั้งแต่ปี 2020
    พัฒนา shader compiler และไดรเวอร์ OpenGL ที่สามารถรันบน macOS ได้
    Asahi Lina เขียน kernel driver เพื่อให้ระบบทำงานบน Linux ได้เต็มรูปแบบ
    ปี 2022 เปิดใช้งานกราฟิก acceleration บน Asahi Linux
    พัฒนา geometry และ tessellation shader emulation สำหรับ OpenGL และ Vulkan
    ปี 2024 ผ่านการรับรอง OpenGL 4.6 และ Vulkan 1.4 บน Apple GPU
    รองรับ Proton สำหรับเล่นเกม Windows บน Linux บน Mac M1
    ไดรเวอร์ทั้งหมดถูก upstream เข้า Mesa แล้ว
    Alyssa ย้ายไปทำงานกับ Intel เพื่อพัฒนาไดรเวอร์ GPU สำหรับ Linux
    โครงการนี้พิสูจน์ว่า Apple GPU สามารถรองรับ Vulkan ได้อย่างเต็มรูปแบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Panfrost เริ่มต้นจากโปรเจกต์เล็ก ๆ ของ Alyssa ตอนมัธยม ก่อนกลายเป็นไดรเวอร์ระดับมืออาชีพ
    Proton เป็นเทคโนโลยีจาก Valve ที่ช่วยให้เกม Windows รันบน Linux ได้
    Mesa3D เป็นไลบรารีกราฟิกโอเพ่นซอร์สที่ใช้ใน Linux สำหรับ OpenGL และ Vulkan
    LunarG กำลังนำ Vulkan ที่พัฒนาโดย Alyssa ไปใช้บน macOS ผ่านโปรเจกต์ KosmicKrisp
    การ reverse-engineer GPU โดยไม่มีเอกสารจากผู้ผลิตถือเป็นงานที่ซับซ้อนและท้าทายมาก

    https://rosenzweig.io/blog/asahi-gpu-part-n.html
    🧠 จากเด็กมัธยมสู่ผู้พิชิต GPU ของ Apple ด้วยโอเพ่นซอร์ส เรื่องราวเริ่มต้นในปี 2020 เมื่อ Apple เปิดตัวชิป M1 พร้อม GPU แบบ custom ที่ไม่มีใครรู้จักภายใน ทีม Asahi Linux นำโดย Hector Martin เริ่มต้นโปรเจกต์เพื่อให้ Linux รันบน Mac M1 ได้ และ Alyssa Rosenzweig ซึ่งเคยทำงานกับไดรเวอร์ Panfrost สำหรับ Arm Mali GPU ก็ตอบรับคำเชิญเข้าร่วม จากแค่ “จะให้คำแนะนำเบื้องต้น” Alyssa กลับซื้อ Mac M1 เป็นของขวัญคริสต์มาสให้ตัวเอง และเริ่ม reverse-engineer instruction set ของ GPU จนสามารถ “วาดสามเหลี่ยม” ได้ — ซึ่งในโลกกราฟิก 3D ถือเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง เธอพัฒนา shader compiler และไดรเวอร์ OpenGL ที่สามารถรันบน macOS ได้ ก่อนที่ Asahi Lina จะเขียน kernel driver สำหรับ GPU ของ Apple เพื่อให้ระบบทำงานบน Linux ได้เต็มรูปแบบ ในปี 2022 ทีม Asahi Linux สามารถเปิดใช้งานกราฟิก acceleration บน Linux ได้สำเร็จ และ Alyssa ก็เดินหน้าต่อไปด้วยเป้าหมายที่ใหญ่กว่า: ทำให้ Apple GPU รองรับ OpenGL และ Vulkan อย่าง “conformant” ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เธอพัฒนา geometry และ tessellation shader emulation ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อนในโลกโอเพ่นซอร์ส และในปี 2024 ก็ผ่านการรับรอง OpenGL 4.6 และ Vulkan 1.4 ได้สำเร็จ พร้อมรองรับ Proton สำหรับเล่นเกม Windows บน Linux หลังจากพิชิตเป้าหมายทั้งหมด Alyssa ประกาศว่า “ถึงเวลาไปต่อ” และย้ายไปทำงานกับ Intel เพื่อพัฒนาไดรเวอร์ GPU สำหรับ Linux ต่อไป 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ Alyssa Rosenzweig เริ่ม reverse-engineer GPU ของ Apple M1 ตั้งแต่ปี 2020 ➡️ พัฒนา shader compiler และไดรเวอร์ OpenGL ที่สามารถรันบน macOS ได้ ➡️ Asahi Lina เขียน kernel driver เพื่อให้ระบบทำงานบน Linux ได้เต็มรูปแบบ ➡️ ปี 2022 เปิดใช้งานกราฟิก acceleration บน Asahi Linux ➡️ พัฒนา geometry และ tessellation shader emulation สำหรับ OpenGL และ Vulkan ➡️ ปี 2024 ผ่านการรับรอง OpenGL 4.6 และ Vulkan 1.4 บน Apple GPU ➡️ รองรับ Proton สำหรับเล่นเกม Windows บน Linux บน Mac M1 ➡️ ไดรเวอร์ทั้งหมดถูก upstream เข้า Mesa แล้ว ➡️ Alyssa ย้ายไปทำงานกับ Intel เพื่อพัฒนาไดรเวอร์ GPU สำหรับ Linux ➡️ โครงการนี้พิสูจน์ว่า Apple GPU สามารถรองรับ Vulkan ได้อย่างเต็มรูปแบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Panfrost เริ่มต้นจากโปรเจกต์เล็ก ๆ ของ Alyssa ตอนมัธยม ก่อนกลายเป็นไดรเวอร์ระดับมืออาชีพ ➡️ Proton เป็นเทคโนโลยีจาก Valve ที่ช่วยให้เกม Windows รันบน Linux ได้ ➡️ Mesa3D เป็นไลบรารีกราฟิกโอเพ่นซอร์สที่ใช้ใน Linux สำหรับ OpenGL และ Vulkan ➡️ LunarG กำลังนำ Vulkan ที่พัฒนาโดย Alyssa ไปใช้บน macOS ผ่านโปรเจกต์ KosmicKrisp ➡️ การ reverse-engineer GPU โดยไม่มีเอกสารจากผู้ผลิตถือเป็นงานที่ซับซ้อนและท้าทายมาก https://rosenzweig.io/blog/asahi-gpu-part-n.html
    0 Comments 0 Shares 145 Views 0 Reviews
  • SET ก้าวข้ามความท้าทาย (27/08/68) #news1 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย
    SET ก้าวข้ามความท้าทาย (27/08/68) #news1 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 283 Views 0 0 Reviews
  • เมื่อซีพียูทะลุ 9 GHz และมนุษย์ยังไม่หยุดท้าทายขีดจำกัด

    ในโลกของการโอเวอร์คล็อก ซีพียูที่เร็วที่สุดไม่ใช่แค่เรื่องของประสิทธิภาพ แต่เป็นการแสดงออกถึงความกล้าท้าทายขีดจำกัดของเทคโนโลยี และล่าสุด นักโอเวอร์คล็อกจากจีนชื่อ wytiwx ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยการดัน Intel Core i9-14900KF ไปถึง 9,130.33 MHz หรือ 9.13 GHz ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดที่เคยมีการบันทึกอย่างเป็นทางการ

    การทำลายสถิตินี้ใช้เทคนิคสุดขั้ว — ระบายความร้อนด้วย “ฮีเลียมเหลว” ซึ่งเย็นกว่าลิควิดไนโตรเจน และต้องใช้แรงดันไฟสูงถึง 1.388V เพื่อให้ซีพียูเสถียรในสภาวะสุดโต่งนี้ โดยใช้เมนบอร์ด ASUS ROG Maximus Z790 Apex ที่ออกแบบมาเพื่อการโอเวอร์คล็อกโดยเฉพาะ พร้อมแรม DDR5-5744 จาก Corsair และการ์ดจอ RTX 3050 เพื่อให้ระบบทำงานครบถ้วน

    ก่อนหน้านี้ สถิติสูงสุดอยู่ที่ 9.117 GHz โดย Elmor และ 9.121 GHz โดย wytiwx เองในรอบก่อน แต่ครั้งนี้เขาแซงตัวเองไปอีก 13 MHz ซึ่งในโลกของโอเวอร์คล็อก นั่นถือว่า “เยอะมาก”

    แม้จะเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่ง แต่ก็มีข้อจำกัดที่ต้องเข้าใจ — การโอเวอร์คล็อกระดับนี้ไม่สามารถใช้งานจริงในชีวิตประจำวันได้ และอาจทำให้ชิปเสียหายถาวมหากไม่ควบคุมอย่างถูกต้อง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    wytiwx นักโอเวอร์คล็อกจากจีนทำลายสถิติโลกด้วยการดัน Core i9-14900KF ไปถึง 9.13 GHz
    ใช้ฮีเลียมเหลวในการระบายความร้อน ซึ่งเย็นกว่าลิควิดไนโตรเจน
    ใช้แรงดันไฟ 1.388V เพื่อให้ซีพียูเสถียรในสภาวะสุดขั้ว
    เมนบอร์ดที่ใช้คือ ASUS ROG Maximus Z790 Apex พร้อมแรม Corsair DDR5-5744
    การ์ดจอที่ใช้คือ RTX 3050 และพาวเวอร์ซัพพลาย Corsair HX1200i
    สถิติใหม่แซงสถิติเดิมของ Core i9-14900KS ไป 13 MHz
    สถิตินี้ได้รับการรับรองโดย HWBot และ CPU-Z
    ซีพียูรุ่น Raptor Lake Refresh มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงกว่ารุ่นก่อน
    AMD เคยครองสถิติด้วย FX-8370 ที่ 8.722 GHz นานถึง 9 ปี
    Intel Raptor Lake ยังเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักโอเวอร์คล็อกทั่วโลก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฮีเลียมเหลวมีจุดเดือดต่ำกว่าลิควิดไนโตรเจนมาก ทำให้สามารถลดอุณหภูมิได้ถึง -269°C
    HWBot เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้บันทึกและรับรองสถิติการโอเวอร์คล็อกระดับโลก
    การโอเวอร์คล็อกระดับ extreme ต้องใช้ระบบไฟฟ้าและความเย็นที่ออกแบบเฉพาะ
    CPU-Z เป็นเครื่องมือมาตรฐานในการตรวจสอบความเร็วและแรงดันของซีพียู
    การโอเวอร์คล็อกแบบนี้มักใช้ Windows 7 เพราะมี latency ต่ำและเสถียรกว่าในบางกรณี

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/core-i9-14900kf-overclocked-to-9-13-ghz-to-become-the-highest-clocked-cpu-of-all-time-13-mhz-faster-than-the-previous-record-holder
    ⚡ เมื่อซีพียูทะลุ 9 GHz และมนุษย์ยังไม่หยุดท้าทายขีดจำกัด ในโลกของการโอเวอร์คล็อก ซีพียูที่เร็วที่สุดไม่ใช่แค่เรื่องของประสิทธิภาพ แต่เป็นการแสดงออกถึงความกล้าท้าทายขีดจำกัดของเทคโนโลยี และล่าสุด นักโอเวอร์คล็อกจากจีนชื่อ wytiwx ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยการดัน Intel Core i9-14900KF ไปถึง 9,130.33 MHz หรือ 9.13 GHz ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดที่เคยมีการบันทึกอย่างเป็นทางการ การทำลายสถิตินี้ใช้เทคนิคสุดขั้ว — ระบายความร้อนด้วย “ฮีเลียมเหลว” ซึ่งเย็นกว่าลิควิดไนโตรเจน และต้องใช้แรงดันไฟสูงถึง 1.388V เพื่อให้ซีพียูเสถียรในสภาวะสุดโต่งนี้ โดยใช้เมนบอร์ด ASUS ROG Maximus Z790 Apex ที่ออกแบบมาเพื่อการโอเวอร์คล็อกโดยเฉพาะ พร้อมแรม DDR5-5744 จาก Corsair และการ์ดจอ RTX 3050 เพื่อให้ระบบทำงานครบถ้วน ก่อนหน้านี้ สถิติสูงสุดอยู่ที่ 9.117 GHz โดย Elmor และ 9.121 GHz โดย wytiwx เองในรอบก่อน แต่ครั้งนี้เขาแซงตัวเองไปอีก 13 MHz ซึ่งในโลกของโอเวอร์คล็อก นั่นถือว่า “เยอะมาก” แม้จะเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่ง แต่ก็มีข้อจำกัดที่ต้องเข้าใจ — การโอเวอร์คล็อกระดับนี้ไม่สามารถใช้งานจริงในชีวิตประจำวันได้ และอาจทำให้ชิปเสียหายถาวมหากไม่ควบคุมอย่างถูกต้อง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ wytiwx นักโอเวอร์คล็อกจากจีนทำลายสถิติโลกด้วยการดัน Core i9-14900KF ไปถึง 9.13 GHz ➡️ ใช้ฮีเลียมเหลวในการระบายความร้อน ซึ่งเย็นกว่าลิควิดไนโตรเจน ➡️ ใช้แรงดันไฟ 1.388V เพื่อให้ซีพียูเสถียรในสภาวะสุดขั้ว ➡️ เมนบอร์ดที่ใช้คือ ASUS ROG Maximus Z790 Apex พร้อมแรม Corsair DDR5-5744 ➡️ การ์ดจอที่ใช้คือ RTX 3050 และพาวเวอร์ซัพพลาย Corsair HX1200i ➡️ สถิติใหม่แซงสถิติเดิมของ Core i9-14900KS ไป 13 MHz ➡️ สถิตินี้ได้รับการรับรองโดย HWBot และ CPU-Z ➡️ ซีพียูรุ่น Raptor Lake Refresh มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงกว่ารุ่นก่อน ➡️ AMD เคยครองสถิติด้วย FX-8370 ที่ 8.722 GHz นานถึง 9 ปี ➡️ Intel Raptor Lake ยังเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักโอเวอร์คล็อกทั่วโลก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฮีเลียมเหลวมีจุดเดือดต่ำกว่าลิควิดไนโตรเจนมาก ทำให้สามารถลดอุณหภูมิได้ถึง -269°C ➡️ HWBot เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้บันทึกและรับรองสถิติการโอเวอร์คล็อกระดับโลก ➡️ การโอเวอร์คล็อกระดับ extreme ต้องใช้ระบบไฟฟ้าและความเย็นที่ออกแบบเฉพาะ ➡️ CPU-Z เป็นเครื่องมือมาตรฐานในการตรวจสอบความเร็วและแรงดันของซีพียู ➡️ การโอเวอร์คล็อกแบบนี้มักใช้ Windows 7 เพราะมี latency ต่ำและเสถียรกว่าในบางกรณี https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/core-i9-14900kf-overclocked-to-9-13-ghz-to-become-the-highest-clocked-cpu-of-all-time-13-mhz-faster-than-the-previous-record-holder
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน ผู้ดีขี้ขโมย
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 19 : ผู้ดีขี้ขโมย
    คงจำกันได้ อิหร่านพบน้ำมันตั้งแต่ยังใช้ชื่อประเทศว่าเปอร์เซีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1908 อังกฤษไม่มีน้ำมันของตนเอง จึงโดดเข้าไปคว้าข้อมือมาทำสัญญา ยังไม่หยุดแค่นั้น กลิ่นน้ำมันมันแรงเกินห้ามใจ อังกฤษบุกเข้าไปในอิหร่าน และบังคับให้อิหร่านให้สัญญาสัมปทานกับ Royal Dutch Shell ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นร่วมอยู่ด้วย
    วันดีคืนดี ปี ค.ศ. 1944 คนรักชาติ ชื่อนาย Mohammad Mossadegh ทนไม่ไหว ลุกขึ้นเสนอให้อิหร่านออกกฎหมาย ห้ามเจรจาขายน้ำมันกับบริษัทต่างชาติ (สมันน้อยอ่านเรื่องอิหร่าน หลายหนหน่อยนะ เผื่อต้องใช้) อังกฤษโมโหจนหน้ามืด ยกทัพบุกเข้าไปในอิหร่านต่อสู้กันอยู่พักใหญ่ ค.ศ. 1948 อังกฤษก็ถอนทัพออกมา แต่บอกว่า ประเทศยูอยู่ในความควบคุมของไอแล้วนะ ผ่านการควบคุม โดย Anglo Iranian Oil Company แหล่งน้ำมันอิหร่าน ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในโลกขณะนั้น เออ ! หน้าด้าน ๆ แบบนั้นแหละ
    ระหว่างการต่อสู้ ปีค.ศ. 1947 รัฐบาลอิหร่านกระซิบเบา ๆ บอกอังกฤษว่า นายท่าน Venezuela ที่เขาทำสัญญากับ Standard Oil น่ะนะ เขาให้ส่วนแบ่ง 50:50 นะ นายท่านฉุนขาด บังอาจมาก ไม่ตกลงโว้ย คุณ Mossadegh แกก็อดทน รอไว้ก่อนวันหน้ายังมี ก็รบแพ้เขานี่ แล้วแกก็ตัดสินใจเข้าสู่การเมือง
เมื่อได้เป็นผู้แทนก็พยายามอภิปรายหว่านล้อมสภา จนสภามีมติให้ไปเจรจาขอส่วนแบ่ง 50:50 กับอังกฤษต่อ
    อังกฤษปฏิเสธเหมือนเดิม แต่คราวนี้โลกมันคงหมุนกลับทาง คุณ Mossadegh ได้เป็นนายกรัฐมนตรี งานแรกที่คุณ Mossadegh ทำคือ ยึดคืนบริษัท Anglo Iranian Oil Company (คนเล่านิทานขอสดุดี) โดยยอมจ่ายค่าเสียหายให้อังกฤษ (สุภาพบุรุษมาก) แต่อังกฤษไม่เป็นสุภาพบุรุษด้วย กลับใช้วิธีขี้แพ้ชั้นเลวตอบโต้ อังกฤษไม่รอช้า เริ่มใช้วิธีคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอิหร่าน (Economic Sanction) และห้ามการซื้อขายน้ำมันตามมา (Oil Embargo) นอกจากนี้ ทรัพย์สินของอิหร่านที่ฝากอยู่ในธนาคารอังกฤษถูกอายัด ค่ายน้ำมันฝั่ง Anglo – American ต่างสนับสนุนมาตรการคว่ำบาตรของอังกฤษ เศรษฐกิจอิหร่านพังทลาย จากที่มีรายได้จากขายน้ำมัน ในปีค.ศ. 1950 จำนวน 400 ล้านเหรียญ เหลือเพียง 2 ล้าน (อ่านว่าสองล้าน) เหรียญในปีค.ศ. 1951 ! มันโหดจริง ๆ นะ น้ำมันก็ของเขา อยู่ในบ้านเขา พอเขาไม่ยอมให้โกงต่อไป มันก็ใช้อำนาจข่มขู่
    มันไม่ใช่แค่นั้น อเมริกาช่วยส่งนักจัดรายการยี่ห้อ CIA บวก SIS ของอังกฤษเข้าไปร่วมกระชับวงล้อม ผลคงเดากันออก คุณ Mossadegh ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง และมีการอุ้ม Shah Reza Pahlavi เข้ามาในตำแหน่งแทน การคว่ำบาตรยกเลิก หงายบาตรรับเงินต่อไป อเมริกาและอังกฤษก็ได้เข้าไปทำการค้าควบคุมเหมือนเดิม ผ่านไป 30 ปี วงจรอุบาทย์ก็กลับมาใหม่ โดยคนกำกับการแสดงรายเก่า นักจัดรายการยี่ห้อเก่า แต่เหยื่อเปลี่ยนจากคุณ Mossadegh เป็นท่าน Shah เฮ้อ ! โลกมันเป็นอย่างนี้แหละ น้ำมันมันมีค่าถึงขนาดนี้เชียวหรือ เรามาพากันรณณรงค์ใช้น้ำมันหมู หรือน้ำมันมะพร้าวกันดีไหม สมันน้อย พวกมันจะได้ไม่ยุ่งกับเรา 555
    เรื่องของอิหร่านไม่จบง่าย ๆ อังกฤษพยายามทำเป็นลืมเรื่อง 50:50 กับอิหร่าน แต่มันก็มีคนมากระตุก ทำให้โลหิตกระอักขึ้นมาใหม่
    ประมาณปีค.ศ. 1957 มีบริษัทน้ำมันอิตาเลี่ยนเกิดขึ้นมาใหม่ ชื่อ Azienda Generale Italiana Petroli ชื่อยาวจัง แต่ที่เรารู้จักเขาในนาม AGIP น่ะ ผู้ก่อตั้งชื่อ Enrico Mattei คุณ Mattei นี้ไม่ธรรมดา แกพยายามหาแหล่งน้ำมันให้ประเทศแก แต่ไม่สำเร็จ เพราะตอนที่ Anglo American คว่ำบาตรอิหร่าน คุณ Mattei แสดงความไม่เห็นด้วย แน่นอนแกย่อมถูกขึ้นบัญชีดำไว้ คุณ Mattei ไม่ย่อท้อ พยายามเดินเรื่องให้มีการออกกฎหมายใหม่ และในที่สุดอิตาลี ก็ตั้งบริษัทน้ำมันแบบรัฐถือหุ้นร่วมด้วย ชื่อ Ente Nazionale Idrocarburi (ENI) โดยมี AGIP เป็นบริษัทลูก
    แล้วคุณ Mattei ก็เดินเข้าไปขอเจรจาขุดเจาะน้ำมันกับอิหร่านโดยเสนอส่วนแบ่งให้อิหร่าน 75 และผู้ขุดเอา 25 มันกลับทางจากที่อิหร่านได้อยู่จากอังกฤษ เป็นไปได้ยังไง ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ พวกเราก็รวยน้อยลงซินะ พวกนายท่านต่างไม่พอใจ เรื่องนี้ต้องจบ เข้าใจไหม
    คุณ Mattei นอกจากบอกว่าไม่เข้าใจ และยังไม่สนใจ เขาเดินหน้าต่อ ท้าทายบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายหนักเข้าไปอีก ด้วยการเข้าไปติดต่อกับแหล่งน้ำมันในประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของนายท่าน ด้วยเงื่อนไขที่ดีกว่านายท่านแบ่งมาให้ ท้าทายแค่นี้คงยังไม่สะใจ (เฮ้อ ! อยากได้คุณ Mattei พันธ์ไทยสักคน)
    ปีค.ศ. 1960 คุณ Mattei ได้กระทำการที่นายท่านบอกว่า พอกันที มันไม่ใช่แค่หยามหน้าเราแล้วนะ แต่มันกำลังเหยียบหน้าเรา เพราะคุณ Mattei เข้าไปเจรจากับโซเวียตเจ้าของแหล่งน้ำมัน ที่นายท่านโคตรรวยทั้งหลายอยากได้แต่ไม่ได้น่ะ เขาทำสัญญาตกลงซื้อน้ำมันดิบปีละ 2.4 ล้านตัน จากโซเวียตเป็นเวลา 5 ปี โดยไม่ต้องจ่ายเป็นเงิน แต่ตกลงจะสร้างท่อส่งน้ำมัน ที่โซเวียตอยากได้หนักหนาแทนให้ มันจะเป็นท่อส่งน้ำมันที่เป็น network ระหว่างน้ำมันในรัสเซียไปยัง Czechoslovakia Poland และ Hungary จำนวน 15 ล้านตันต่อปี เมื่อเสร็จสมบูรณ์
    หลังจากทำสัญญาได้ 1 เดือน คุณ Mattei ก็ตาย ตายจริง ๆ เนื่องจากเครื่องบินส่วนตัวตก หลังจากขึ้นบินไปไม่นาน สัญญาที่คุณ Mattei สร้างประวัติศาสตร์ไว้มีกับ อิหร่าน รัสเซีย โมรอคโค ซูดาน แทนซาเนีย กานา อินเดีย และอาร์เจนตินา แน่นอนสัญญาเหล่านี้ ทำให้พวกโคตรรวย นายท่าน ทั้งหลาย กลายเป็นผู้ร้ายแทนผู้ดีโคตรรวย !

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน ผู้ดีขี้ขโมย นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 19 : ผู้ดีขี้ขโมย คงจำกันได้ อิหร่านพบน้ำมันตั้งแต่ยังใช้ชื่อประเทศว่าเปอร์เซีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1908 อังกฤษไม่มีน้ำมันของตนเอง จึงโดดเข้าไปคว้าข้อมือมาทำสัญญา ยังไม่หยุดแค่นั้น กลิ่นน้ำมันมันแรงเกินห้ามใจ อังกฤษบุกเข้าไปในอิหร่าน และบังคับให้อิหร่านให้สัญญาสัมปทานกับ Royal Dutch Shell ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นร่วมอยู่ด้วย วันดีคืนดี ปี ค.ศ. 1944 คนรักชาติ ชื่อนาย Mohammad Mossadegh ทนไม่ไหว ลุกขึ้นเสนอให้อิหร่านออกกฎหมาย ห้ามเจรจาขายน้ำมันกับบริษัทต่างชาติ (สมันน้อยอ่านเรื่องอิหร่าน หลายหนหน่อยนะ เผื่อต้องใช้) อังกฤษโมโหจนหน้ามืด ยกทัพบุกเข้าไปในอิหร่านต่อสู้กันอยู่พักใหญ่ ค.ศ. 1948 อังกฤษก็ถอนทัพออกมา แต่บอกว่า ประเทศยูอยู่ในความควบคุมของไอแล้วนะ ผ่านการควบคุม โดย Anglo Iranian Oil Company แหล่งน้ำมันอิหร่าน ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในโลกขณะนั้น เออ ! หน้าด้าน ๆ แบบนั้นแหละ ระหว่างการต่อสู้ ปีค.ศ. 1947 รัฐบาลอิหร่านกระซิบเบา ๆ บอกอังกฤษว่า นายท่าน Venezuela ที่เขาทำสัญญากับ Standard Oil น่ะนะ เขาให้ส่วนแบ่ง 50:50 นะ นายท่านฉุนขาด บังอาจมาก ไม่ตกลงโว้ย คุณ Mossadegh แกก็อดทน รอไว้ก่อนวันหน้ายังมี ก็รบแพ้เขานี่ แล้วแกก็ตัดสินใจเข้าสู่การเมือง
เมื่อได้เป็นผู้แทนก็พยายามอภิปรายหว่านล้อมสภา จนสภามีมติให้ไปเจรจาขอส่วนแบ่ง 50:50 กับอังกฤษต่อ อังกฤษปฏิเสธเหมือนเดิม แต่คราวนี้โลกมันคงหมุนกลับทาง คุณ Mossadegh ได้เป็นนายกรัฐมนตรี งานแรกที่คุณ Mossadegh ทำคือ ยึดคืนบริษัท Anglo Iranian Oil Company (คนเล่านิทานขอสดุดี) โดยยอมจ่ายค่าเสียหายให้อังกฤษ (สุภาพบุรุษมาก) แต่อังกฤษไม่เป็นสุภาพบุรุษด้วย กลับใช้วิธีขี้แพ้ชั้นเลวตอบโต้ อังกฤษไม่รอช้า เริ่มใช้วิธีคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอิหร่าน (Economic Sanction) และห้ามการซื้อขายน้ำมันตามมา (Oil Embargo) นอกจากนี้ ทรัพย์สินของอิหร่านที่ฝากอยู่ในธนาคารอังกฤษถูกอายัด ค่ายน้ำมันฝั่ง Anglo – American ต่างสนับสนุนมาตรการคว่ำบาตรของอังกฤษ เศรษฐกิจอิหร่านพังทลาย จากที่มีรายได้จากขายน้ำมัน ในปีค.ศ. 1950 จำนวน 400 ล้านเหรียญ เหลือเพียง 2 ล้าน (อ่านว่าสองล้าน) เหรียญในปีค.ศ. 1951 ! มันโหดจริง ๆ นะ น้ำมันก็ของเขา อยู่ในบ้านเขา พอเขาไม่ยอมให้โกงต่อไป มันก็ใช้อำนาจข่มขู่ มันไม่ใช่แค่นั้น อเมริกาช่วยส่งนักจัดรายการยี่ห้อ CIA บวก SIS ของอังกฤษเข้าไปร่วมกระชับวงล้อม ผลคงเดากันออก คุณ Mossadegh ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง และมีการอุ้ม Shah Reza Pahlavi เข้ามาในตำแหน่งแทน การคว่ำบาตรยกเลิก หงายบาตรรับเงินต่อไป อเมริกาและอังกฤษก็ได้เข้าไปทำการค้าควบคุมเหมือนเดิม ผ่านไป 30 ปี วงจรอุบาทย์ก็กลับมาใหม่ โดยคนกำกับการแสดงรายเก่า นักจัดรายการยี่ห้อเก่า แต่เหยื่อเปลี่ยนจากคุณ Mossadegh เป็นท่าน Shah เฮ้อ ! โลกมันเป็นอย่างนี้แหละ น้ำมันมันมีค่าถึงขนาดนี้เชียวหรือ เรามาพากันรณณรงค์ใช้น้ำมันหมู หรือน้ำมันมะพร้าวกันดีไหม สมันน้อย พวกมันจะได้ไม่ยุ่งกับเรา 555 เรื่องของอิหร่านไม่จบง่าย ๆ อังกฤษพยายามทำเป็นลืมเรื่อง 50:50 กับอิหร่าน แต่มันก็มีคนมากระตุก ทำให้โลหิตกระอักขึ้นมาใหม่ ประมาณปีค.ศ. 1957 มีบริษัทน้ำมันอิตาเลี่ยนเกิดขึ้นมาใหม่ ชื่อ Azienda Generale Italiana Petroli ชื่อยาวจัง แต่ที่เรารู้จักเขาในนาม AGIP น่ะ ผู้ก่อตั้งชื่อ Enrico Mattei คุณ Mattei นี้ไม่ธรรมดา แกพยายามหาแหล่งน้ำมันให้ประเทศแก แต่ไม่สำเร็จ เพราะตอนที่ Anglo American คว่ำบาตรอิหร่าน คุณ Mattei แสดงความไม่เห็นด้วย แน่นอนแกย่อมถูกขึ้นบัญชีดำไว้ คุณ Mattei ไม่ย่อท้อ พยายามเดินเรื่องให้มีการออกกฎหมายใหม่ และในที่สุดอิตาลี ก็ตั้งบริษัทน้ำมันแบบรัฐถือหุ้นร่วมด้วย ชื่อ Ente Nazionale Idrocarburi (ENI) โดยมี AGIP เป็นบริษัทลูก แล้วคุณ Mattei ก็เดินเข้าไปขอเจรจาขุดเจาะน้ำมันกับอิหร่านโดยเสนอส่วนแบ่งให้อิหร่าน 75 และผู้ขุดเอา 25 มันกลับทางจากที่อิหร่านได้อยู่จากอังกฤษ เป็นไปได้ยังไง ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ พวกเราก็รวยน้อยลงซินะ พวกนายท่านต่างไม่พอใจ เรื่องนี้ต้องจบ เข้าใจไหม คุณ Mattei นอกจากบอกว่าไม่เข้าใจ และยังไม่สนใจ เขาเดินหน้าต่อ ท้าทายบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายหนักเข้าไปอีก ด้วยการเข้าไปติดต่อกับแหล่งน้ำมันในประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของนายท่าน ด้วยเงื่อนไขที่ดีกว่านายท่านแบ่งมาให้ ท้าทายแค่นี้คงยังไม่สะใจ (เฮ้อ ! อยากได้คุณ Mattei พันธ์ไทยสักคน) ปีค.ศ. 1960 คุณ Mattei ได้กระทำการที่นายท่านบอกว่า พอกันที มันไม่ใช่แค่หยามหน้าเราแล้วนะ แต่มันกำลังเหยียบหน้าเรา เพราะคุณ Mattei เข้าไปเจรจากับโซเวียตเจ้าของแหล่งน้ำมัน ที่นายท่านโคตรรวยทั้งหลายอยากได้แต่ไม่ได้น่ะ เขาทำสัญญาตกลงซื้อน้ำมันดิบปีละ 2.4 ล้านตัน จากโซเวียตเป็นเวลา 5 ปี โดยไม่ต้องจ่ายเป็นเงิน แต่ตกลงจะสร้างท่อส่งน้ำมัน ที่โซเวียตอยากได้หนักหนาแทนให้ มันจะเป็นท่อส่งน้ำมันที่เป็น network ระหว่างน้ำมันในรัสเซียไปยัง Czechoslovakia Poland และ Hungary จำนวน 15 ล้านตันต่อปี เมื่อเสร็จสมบูรณ์ หลังจากทำสัญญาได้ 1 เดือน คุณ Mattei ก็ตาย ตายจริง ๆ เนื่องจากเครื่องบินส่วนตัวตก หลังจากขึ้นบินไปไม่นาน สัญญาที่คุณ Mattei สร้างประวัติศาสตร์ไว้มีกับ อิหร่าน รัสเซีย โมรอคโค ซูดาน แทนซาเนีย กานา อินเดีย และอาร์เจนตินา แน่นอนสัญญาเหล่านี้ ทำให้พวกโคตรรวย นายท่าน ทั้งหลาย กลายเป็นผู้ร้ายแทนผู้ดีโคตรรวย ! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • เรา..ประชาชนสามารถเข้าใจและพร้อมกับฟันธงได้เลยทันทีว่านอกจากที่เรา..เชื่อว่ามีไส้ศึกในส่วนอื่นๆแล้ว ตัวพ่ออีกตัวคือ กต.นี้เอง เธอมีองค์ข้อมูลสาระพัดกับดิวต่างประเทศทั้งหมด อะไรที่เกี่ยวกับอธิปไตยไทยต่อต่างชาติเธอคนนี้รับรู้ข้อมูลทั้งหมดก่อนใครเพื่อน นักการเมืองจะขายชาติจะแย่งเอาบ่อน้ำมันจากอ่าวไทยเธอในเรื่องอะไรจะไม่รู้ลึกรู้หนารู้ตื้น ช่องทางใดต่างชาติได้เปรียบหรือไม่ได้เปรียบไทยเธอก็รับรู้รายละเอียดความในเราหมดสิ้นมีช่องว่างอะไรที่จะช่วยต่างชาติชนะเราได้,เรามีอะไรปิดช่องนั้นก็ได้อีก สามารถเสนอทางตัดตอนเด็ดขาดก็ได้หรือไม่เด็ดขาดโอนอ่อนผ่อนตามก็ได้อีก,จะเสียดินแดนเสียอธิปไตยไทย กต.มีส่วนเกี่ยวข้องทุกๆเรื่องราวสืบทอดเชื่อมโยงแต่ละรัฐบาลได้นั้นเอง,ปลัดกระทรวงกต.จึงเสมือนกลไกให้คุณให้โทษเต็มที่ต่อการเสียอธิปไตยไทยแก่ต่างชาติใดๆหรือไม่ก็ได้ นอกจากมาจากฝ่ายนักการเมืองด้วย ตัวอันตรายที่สุดนอกจากฝ่ายนักการเมือง ปลัดกระทรวงอธิบดีทบวงกรมก็อันตรายไม่แพ้กัน เขียนสัญญาข้อตกลงได้เสียหมดที่กระทำการใดๆกับต่างชาตินอกอาณาจักรเราทั้งหมด,
    ..คนไทยเรากำลังเล่นงานผิดคนก็ด้วยนอกจากนักการเมือง,คนของกระทรวงต่างประเทศด้วยคือตัวอันตรายตัวจริงอีกตัว,แค่แถลงชี้เป้า แบบสไตล์ผู้ว่าฯสระแก้วก็พอเข้าใจแนวรบของพวกขายชาติไส้ศึกแล้ว จึงพยายามยืนยันทุกๆรูปแบบ ทุกๆช่องทาง ตีหลายด้าน ในที่นี้คือผ่านกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ใช้เรือกะรุกขุนเลย เดินเรือค้าขายพาณิชย์มานานกับต่างชาติกะค้ำประกันยืนยันเข้าข้างต่างชาติเสียสะงันว่าต้องใช้1:200,000แน่นอน แม้ ในหลวงร.9เราถือใช้กางออกร่วมกับทหารแนวพรมแดนก็เป็นตกไป กระทรวงการต่างประเทศใหญ่กว่าในหลวงเรา ร.9เราที่ทรงใช้แผนที่1:50,000ตลอดการครองราชพระองค์ท่าน กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าเสียเองแล้ว เป็นเจ้าของแผ่นดินไทยนี้เสียแล้ว เป็นผู้กำหนดแผ่นดินเขตแดนราชอาณาจักรไทยแล้วว่าต้องใช้อัตราเขตแดน1:200,000นะเพื่อเป็นประโยชน์แก่เขมร เป็นประโยชน์แก่อเมริกาฝรั่งเศสลากเส้นเขตแดนแดกบ่อน้ำมันในอ่าวไทยได้ รับตังมาแล้วต้องเร่งรีบตามแผนเดี๋ยวต่างชาติอเมริกาฝรั่งเศสdeep stateเอากูตาย ,ข้ามีอำนาจเต็มใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับต่างประเทศตลอดข้อตกลงต่างๆข้าเท่านั้นเป็นผู้อนุมัตและกำหนดกฎกติกาเงื่อนไขใดๆจะเข้าข้างต่างชาติจะทำไมทำอะไรกูได้เพราะกูมีอำนาจเต็มมือแล้วตอนนี้ คำโพสต์คำยืนยัน คำใดๆประกาศผ่านกูคือราชโองการโว้ย เขตแดนทั่วราชอาณาจักรไทยกูจะขีดจะรับกฎกติกาสมยอมเลียตีนใครก็เรื่องของกูเพราะกูใหญ่ กูจึงประกาศชัดเจนในที่นี้ว่าต้องใช้1:200,000เท่านั้น,ในประเทศไทยนี้ใครใหญ่กว่ากูตอนนี้ กูบอกยืนยันใช้ต้องใช้ตามกูบอก ,กูมีอเมริกาฝรั่งเศสหนุนหลังด้วยเรือจอดท่าเรียมแล้วเช่นนั้นกูไม่กล้าเจาะจงโพสต์วันนี้หรอกมันว่า.

    ..ในหลวงเรา ร.9 เสด็จพระราชกรณียกิจทั่วประเทศกางแผนที่กับทหารทั่วประเทศก็ใช้1:50,000 สคส.ก็ขีดวาดแผนที่1:50,000 แสดงว่ากระทรวงต่างประเทศไทยขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์สำเร็จราชการบนแผ่นดินไทยแน่นอนแล้ว สามารถสั่งการหนักแน่นว่าต้องใช้1:200,000เท่านั้น,ทั้งที่ปี2505เราประกาศไม่ยอมรับการตัดสินศาลผีบ้านี้แล้วพร้อมเสือกยื่นเสนอฝ่ายเดียวด้วย,ต้องโมฆะแผนที่นั้นอัตโนมัติตั้งแต่ปี2505แล้วซึ่งต้องเป็นไปในแบบนั้นถึงปัจจุบัน.
    ..สรุปใครก็ตามที่มีแนวคิดและโพสต์ความคิดเห็น แสดงวาจาว่าต้องใช้1:200,000 มันผู้นั้นคือศัตรูภัยร้ายทำลายแผ่นดินไทยประเทศไทยที่แท้จริง,มิอาจให้มันอยู่ร่วมแผ่นดินไทยนี้ต่อไปได้ กบฎทรยศอธิปไตยชาติไทยชัดเจน เจตนาทำให้สูญเสียดินแดนเขตอธิปไตยไทยแน่นอนแล้ว.,เพราะนั้นคือแผ่นดินไทยที่หายไปถึง1:150,000เลย,ซึ่งในหลวง ร.9เราใช้1:50,000 ,กระทรวงการต่างประเทศบกพร่องโดยทุจริตในใจชัดเจน ไม่ซื่อสัตย์ ซื่อตรงต่อประเทศชาติตน ไม่แสวงข้อเท็จจริงใดๆที่กูรูไทยมากมายรู้ต้นรู้ปลายสาเหตุและเกิดผลของปัญหา ขาดฝีมือมือไม่ถึง ขลาดเขลาหวาดกลัวต่อนักการเมืองและต่างชาติเสมือนพร้อมทรยศหักหลังทั้งสามารถเป็นหนอนบ่อนไส้เสียเองโดยง่ายให้ศัตรูรู้ความภายในตน, ไร้เกียรติไร้ศักดิ์สุดอัปยศและอัปรีย์จัญไรกว่าใดๆยุดใดสมัยใดที่มีกระทรวงการต่างประเทศในไทยเรา.,ไม่มีก็ได้ในเวลานี้กระทรวงแบบนี้,ยุบไปเลย,เรา..ประชาชนทั่วไทยมีคนเก่งมากความสามารถทั่วประเทศในเวลานี้ยุคนี้สามารถตั้งเป็นกระทรวงใหม่เพื่อเจรจาความต่างๆเชื่อมสัมพันธไมตรีต่อต่างชาติต่างประเทศทั่วโลกใหม่ได้และอาจรุ่งเรืองรุ่งโรจน์โคตรๆกว่าปัจจุบันอีก,เพราะรากเหง้าอิทธิพลทรามหยาบหนามึนคงเต็มกระทรวงเดิมแล้ว สามารถล้างบางทั้งหมดในคราวเดียวกัน,ตั้งชื่อกระทรวงว่า กระทรวงการรวมเพื่อนทั่วโลก ก็ว่าไป อนาคตใครคือศัตรูตัดสายสัมพันธ์เลย มีแต่เพื่อนๆร่วมปฏิสัมพันธ์กันเท่านั้น,ผีบ้าแบบปัจจุบันเป็นศัตรูแท้ๆก็ยังคบหาอยู่ ไม่เลือกคบนั้นเองจึงนำภัยวุ่นวายเข้าสู่ประเทศตนเองไม่ขาดสายมิใช่ความเจริญรุ่งเรืองสงบสันติสุขอะไรเลย,เจรจาผีบ้าผีบ้าก็ตกลงไปทั่วไร้สติปัญญาความามารถ แยกแยะถูกผิดชั่วเลวไม่เป็น,อะไรตนเสียเปรียบ อะไรตนเอาเปรียบเขาเกินงามก็ไม่กระทำเป็นต้น,เพื่อนมิตรประเทศแม้เขาเสียเปรียบไม่รู้ เราผู้รู้ก็ไม่สามารถเอาเปรียบเอาแต่ได้ในสิ่งที่รู้ได้,มิตรที่ดีก็ระวังภัยให้มิตรได้,แบบอเมริการู้ว่าเรามีน้ำมันมากมาย แต่ก็เอาเปรียบมากมายกับเราในสิ่งที่รู้,
    ..ยุบทิ้งกระทรวงการต่างประเทศเลย
    #กระทรวงการต่างประเทศมีไว้ทำไม.
    ..ใครที่เกี่ยวข้องในการสมยอมสนับสนุบใช้1:200,000 จัดอยู่ในโหมด ม.119ได้เลยสามารถให้ทนายแผ่นดินไทยฟ้องร้องดำเนินคดีเอาผิดไว้ก่อนได้เลย.ยิ่งเกี่ยวข้องในอำนาจหน้าที่ของตนแบบผู้ว่าฯสระแก้ว ที่กล้ามากเก่งมากต่อดินแดนอธิปไตยตนคนเหล่านี้ต้องพร้อมจ่ายราคาที่ตนกระทำออกมาอย่างแสนแพง,ยิ่งรับรู้และเก็บรวบรวมข้อมูลมามาดมายหลายทศวรรตยิ่งต้องจ่ายราคาแพงและแสนแพงในผลการกระทำของตนที่กล้าหาญท้าทายพระราชอำนาจกษัตริย์เราที่ใช้1:50,000ทั่วราชอาณาจักร,ใดๆทั้งหมดทั้งสิ้นต้องตกไปทั้งหมดแม้อำนาจศาลสูงสุดขึ้นบัลลังก์ว่าความ อื่นๆใดก็ต้องตกไป ไม่สามารถใช้บังคับได้ นอกจาก1:50,000เท่านั้น.เพราะนี้คืออัตราส่วนที่ในหลวงเรา ร.9ใช้จริงบนผืนแผ่นดินไทยเรานี้ทุกๆพระองค์ท่านแน่นอน.

    https://youtube.com/watch?v=vTKbeqvv0RA&si=QtfSpJJWdJy9bEa5
    เรา..ประชาชนสามารถเข้าใจและพร้อมกับฟันธงได้เลยทันทีว่านอกจากที่เรา..เชื่อว่ามีไส้ศึกในส่วนอื่นๆแล้ว ตัวพ่ออีกตัวคือ กต.นี้เอง เธอมีองค์ข้อมูลสาระพัดกับดิวต่างประเทศทั้งหมด อะไรที่เกี่ยวกับอธิปไตยไทยต่อต่างชาติเธอคนนี้รับรู้ข้อมูลทั้งหมดก่อนใครเพื่อน นักการเมืองจะขายชาติจะแย่งเอาบ่อน้ำมันจากอ่าวไทยเธอในเรื่องอะไรจะไม่รู้ลึกรู้หนารู้ตื้น ช่องทางใดต่างชาติได้เปรียบหรือไม่ได้เปรียบไทยเธอก็รับรู้รายละเอียดความในเราหมดสิ้นมีช่องว่างอะไรที่จะช่วยต่างชาติชนะเราได้,เรามีอะไรปิดช่องนั้นก็ได้อีก สามารถเสนอทางตัดตอนเด็ดขาดก็ได้หรือไม่เด็ดขาดโอนอ่อนผ่อนตามก็ได้อีก,จะเสียดินแดนเสียอธิปไตยไทย กต.มีส่วนเกี่ยวข้องทุกๆเรื่องราวสืบทอดเชื่อมโยงแต่ละรัฐบาลได้นั้นเอง,ปลัดกระทรวงกต.จึงเสมือนกลไกให้คุณให้โทษเต็มที่ต่อการเสียอธิปไตยไทยแก่ต่างชาติใดๆหรือไม่ก็ได้ นอกจากมาจากฝ่ายนักการเมืองด้วย ตัวอันตรายที่สุดนอกจากฝ่ายนักการเมือง ปลัดกระทรวงอธิบดีทบวงกรมก็อันตรายไม่แพ้กัน เขียนสัญญาข้อตกลงได้เสียหมดที่กระทำการใดๆกับต่างชาตินอกอาณาจักรเราทั้งหมด, ..คนไทยเรากำลังเล่นงานผิดคนก็ด้วยนอกจากนักการเมือง,คนของกระทรวงต่างประเทศด้วยคือตัวอันตรายตัวจริงอีกตัว,แค่แถลงชี้เป้า แบบสไตล์ผู้ว่าฯสระแก้วก็พอเข้าใจแนวรบของพวกขายชาติไส้ศึกแล้ว จึงพยายามยืนยันทุกๆรูปแบบ ทุกๆช่องทาง ตีหลายด้าน ในที่นี้คือผ่านกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ใช้เรือกะรุกขุนเลย เดินเรือค้าขายพาณิชย์มานานกับต่างชาติกะค้ำประกันยืนยันเข้าข้างต่างชาติเสียสะงันว่าต้องใช้1:200,000แน่นอน แม้ ในหลวงร.9เราถือใช้กางออกร่วมกับทหารแนวพรมแดนก็เป็นตกไป กระทรวงการต่างประเทศใหญ่กว่าในหลวงเรา ร.9เราที่ทรงใช้แผนที่1:50,000ตลอดการครองราชพระองค์ท่าน กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าเสียเองแล้ว เป็นเจ้าของแผ่นดินไทยนี้เสียแล้ว เป็นผู้กำหนดแผ่นดินเขตแดนราชอาณาจักรไทยแล้วว่าต้องใช้อัตราเขตแดน1:200,000นะเพื่อเป็นประโยชน์แก่เขมร เป็นประโยชน์แก่อเมริกาฝรั่งเศสลากเส้นเขตแดนแดกบ่อน้ำมันในอ่าวไทยได้ รับตังมาแล้วต้องเร่งรีบตามแผนเดี๋ยวต่างชาติอเมริกาฝรั่งเศสdeep stateเอากูตาย ,ข้ามีอำนาจเต็มใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับต่างประเทศตลอดข้อตกลงต่างๆข้าเท่านั้นเป็นผู้อนุมัตและกำหนดกฎกติกาเงื่อนไขใดๆจะเข้าข้างต่างชาติจะทำไมทำอะไรกูได้เพราะกูมีอำนาจเต็มมือแล้วตอนนี้ คำโพสต์คำยืนยัน คำใดๆประกาศผ่านกูคือราชโองการโว้ย เขตแดนทั่วราชอาณาจักรไทยกูจะขีดจะรับกฎกติกาสมยอมเลียตีนใครก็เรื่องของกูเพราะกูใหญ่ กูจึงประกาศชัดเจนในที่นี้ว่าต้องใช้1:200,000เท่านั้น,ในประเทศไทยนี้ใครใหญ่กว่ากูตอนนี้ กูบอกยืนยันใช้ต้องใช้ตามกูบอก ,กูมีอเมริกาฝรั่งเศสหนุนหลังด้วยเรือจอดท่าเรียมแล้วเช่นนั้นกูไม่กล้าเจาะจงโพสต์วันนี้หรอกมันว่า. ..ในหลวงเรา ร.9 เสด็จพระราชกรณียกิจทั่วประเทศกางแผนที่กับทหารทั่วประเทศก็ใช้1:50,000 สคส.ก็ขีดวาดแผนที่1:50,000 แสดงว่ากระทรวงต่างประเทศไทยขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์สำเร็จราชการบนแผ่นดินไทยแน่นอนแล้ว สามารถสั่งการหนักแน่นว่าต้องใช้1:200,000เท่านั้น,ทั้งที่ปี2505เราประกาศไม่ยอมรับการตัดสินศาลผีบ้านี้แล้วพร้อมเสือกยื่นเสนอฝ่ายเดียวด้วย,ต้องโมฆะแผนที่นั้นอัตโนมัติตั้งแต่ปี2505แล้วซึ่งต้องเป็นไปในแบบนั้นถึงปัจจุบัน. ..สรุปใครก็ตามที่มีแนวคิดและโพสต์ความคิดเห็น แสดงวาจาว่าต้องใช้1:200,000 มันผู้นั้นคือศัตรูภัยร้ายทำลายแผ่นดินไทยประเทศไทยที่แท้จริง,มิอาจให้มันอยู่ร่วมแผ่นดินไทยนี้ต่อไปได้ กบฎทรยศอธิปไตยชาติไทยชัดเจน เจตนาทำให้สูญเสียดินแดนเขตอธิปไตยไทยแน่นอนแล้ว.,เพราะนั้นคือแผ่นดินไทยที่หายไปถึง1:150,000เลย,ซึ่งในหลวง ร.9เราใช้1:50,000 ,กระทรวงการต่างประเทศบกพร่องโดยทุจริตในใจชัดเจน ไม่ซื่อสัตย์ ซื่อตรงต่อประเทศชาติตน ไม่แสวงข้อเท็จจริงใดๆที่กูรูไทยมากมายรู้ต้นรู้ปลายสาเหตุและเกิดผลของปัญหา ขาดฝีมือมือไม่ถึง ขลาดเขลาหวาดกลัวต่อนักการเมืองและต่างชาติเสมือนพร้อมทรยศหักหลังทั้งสามารถเป็นหนอนบ่อนไส้เสียเองโดยง่ายให้ศัตรูรู้ความภายในตน, ไร้เกียรติไร้ศักดิ์สุดอัปยศและอัปรีย์จัญไรกว่าใดๆยุดใดสมัยใดที่มีกระทรวงการต่างประเทศในไทยเรา.,ไม่มีก็ได้ในเวลานี้กระทรวงแบบนี้,ยุบไปเลย,เรา..ประชาชนทั่วไทยมีคนเก่งมากความสามารถทั่วประเทศในเวลานี้ยุคนี้สามารถตั้งเป็นกระทรวงใหม่เพื่อเจรจาความต่างๆเชื่อมสัมพันธไมตรีต่อต่างชาติต่างประเทศทั่วโลกใหม่ได้และอาจรุ่งเรืองรุ่งโรจน์โคตรๆกว่าปัจจุบันอีก,เพราะรากเหง้าอิทธิพลทรามหยาบหนามึนคงเต็มกระทรวงเดิมแล้ว สามารถล้างบางทั้งหมดในคราวเดียวกัน,ตั้งชื่อกระทรวงว่า กระทรวงการรวมเพื่อนทั่วโลก ก็ว่าไป อนาคตใครคือศัตรูตัดสายสัมพันธ์เลย มีแต่เพื่อนๆร่วมปฏิสัมพันธ์กันเท่านั้น,ผีบ้าแบบปัจจุบันเป็นศัตรูแท้ๆก็ยังคบหาอยู่ ไม่เลือกคบนั้นเองจึงนำภัยวุ่นวายเข้าสู่ประเทศตนเองไม่ขาดสายมิใช่ความเจริญรุ่งเรืองสงบสันติสุขอะไรเลย,เจรจาผีบ้าผีบ้าก็ตกลงไปทั่วไร้สติปัญญาความามารถ แยกแยะถูกผิดชั่วเลวไม่เป็น,อะไรตนเสียเปรียบ อะไรตนเอาเปรียบเขาเกินงามก็ไม่กระทำเป็นต้น,เพื่อนมิตรประเทศแม้เขาเสียเปรียบไม่รู้ เราผู้รู้ก็ไม่สามารถเอาเปรียบเอาแต่ได้ในสิ่งที่รู้ได้,มิตรที่ดีก็ระวังภัยให้มิตรได้,แบบอเมริการู้ว่าเรามีน้ำมันมากมาย แต่ก็เอาเปรียบมากมายกับเราในสิ่งที่รู้, ..ยุบทิ้งกระทรวงการต่างประเทศเลย #กระทรวงการต่างประเทศมีไว้ทำไม. ..ใครที่เกี่ยวข้องในการสมยอมสนับสนุบใช้1:200,000 จัดอยู่ในโหมด ม.119ได้เลยสามารถให้ทนายแผ่นดินไทยฟ้องร้องดำเนินคดีเอาผิดไว้ก่อนได้เลย.ยิ่งเกี่ยวข้องในอำนาจหน้าที่ของตนแบบผู้ว่าฯสระแก้ว ที่กล้ามากเก่งมากต่อดินแดนอธิปไตยตนคนเหล่านี้ต้องพร้อมจ่ายราคาที่ตนกระทำออกมาอย่างแสนแพง,ยิ่งรับรู้และเก็บรวบรวมข้อมูลมามาดมายหลายทศวรรตยิ่งต้องจ่ายราคาแพงและแสนแพงในผลการกระทำของตนที่กล้าหาญท้าทายพระราชอำนาจกษัตริย์เราที่ใช้1:50,000ทั่วราชอาณาจักร,ใดๆทั้งหมดทั้งสิ้นต้องตกไปทั้งหมดแม้อำนาจศาลสูงสุดขึ้นบัลลังก์ว่าความ อื่นๆใดก็ต้องตกไป ไม่สามารถใช้บังคับได้ นอกจาก1:50,000เท่านั้น.เพราะนี้คืออัตราส่วนที่ในหลวงเรา ร.9ใช้จริงบนผืนแผ่นดินไทยเรานี้ทุกๆพระองค์ท่านแน่นอน. https://youtube.com/watch?v=vTKbeqvv0RA&si=QtfSpJJWdJy9bEa5
    0 Comments 0 Shares 272 Views 0 Reviews
  • เมื่อ CyberOps ไม่ใช่แค่คนเฝ้าแจ้งเตือน แต่เป็น “ทีมมนุษย์-เอเจนต์” ที่ทำงานร่วมกัน

    ในอดีต การทำงานของทีมรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ (CyberOps) คือการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบ manual — แต่วันนี้ AI เข้ามาเปลี่ยนทุกอย่าง

    ไม่ใช่แค่ machine learning ที่ช่วยวิเคราะห์ log หรือตรวจจับ anomaly แบบเดิม แต่เป็น generative AI และ agentic AI ที่สามารถ “คิด วิเคราะห์ และลงมือทำ” ได้เองในระดับที่ใกล้เคียงมนุษย์

    ตัวอย่างเช่น ใน Security Operations Center (SOC) ตอนนี้ AI สามารถจัดการงานระดับ 1 ได้เกือบทั้งหมด เช่น การจัดการ ticket, การ triage, และการ route ไปยังทีมที่เกี่ยวข้อง โดยปล่อยให้มนุษย์โฟกัสกับงานระดับสูง เช่น threat modeling หรือ incident response

    AI ยังช่วยให้ทีมเล็กๆ ที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ เช่น การวิเคราะห์ phishing หรือการจัดการ vulnerability โดยใช้ agent ที่เรียนรู้จากข้อมูลและให้คำแนะนำแบบ real-time

    แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า “มนุษย์จะถูกแทนที่” — กลับกัน AI กลายเป็น “force multiplier” ที่ช่วยให้ทีมทำงานได้มากขึ้น เร็วขึ้น และแม่นยำขึ้น โดยยังคงต้องมีมนุษย์คอยตรวจสอบและตัดสินใจในจุดสำคัญ

    อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ใน CyberOps ก็มีความท้าทาย ทั้งเรื่อง governance, ความเร็วในการปรับตัว และการจัดการความเสี่ยงจาก AI ที่ถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้าม

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    AI โดยเฉพาะ generative และ agentic AI กำลังเปลี่ยนวิธีการทำงานของทีม CyberOps
    AI ช่วยจัดการงานระดับ 1 ใน SOC เช่น ticket triage และ routing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    AI ช่วยยกระดับทักษะของทีม โดยทำให้พนักงานใหม่เรียนรู้เร็วขึ้น และพนักงานเก่าทำงานได้ดีขึ้น
    AI สามารถสร้าง case study และคำแนะนำให้ SOC worker ทำงานระดับสูงได้ง่ายขึ้น
    การใช้ AI ใน threat modeling ช่วยให้ทีมเล็กๆ สามารถวิเคราะห์และป้องกันภัยล่วงหน้าได้
    การใช้ AI ทำให้ทีม CyberOps มีขนาดเล็กลง แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    บทบาทใหม่ของทีมคือ “ผู้จัดการเอเจนต์” มากกว่าการเป็นผู้ลงมือทำทุกอย่างเอง
    ทักษะใหม่ที่จำเป็นคือ AI governance, prompt engineering และ data science
    การใช้ AI ต้องมีมนุษย์อยู่ใน loop เพื่อควบคุมคุณภาพและความถูกต้อง
    การใช้ AI ในองค์กรยังล่าช้า โดยมีเพียง 22% ที่มีนโยบายและการฝึกอบรมด้าน AI อย่างชัดเจน
    มีเพียง 25% ขององค์กรที่ใช้ encryption และ access control อย่างเต็มรูปแบบในการปกป้องข้อมูล
    83% ขององค์กรยังไม่มีระบบ cloud security ที่มี monitoring และ response แบบครบวงจร
    Gartner แนะนำให้ใช้แนวทาง AI TRiSM (Trust, Risk, Security Management) เพื่อจัดการความเสี่ยงจาก AI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Agentic AI คือระบบที่สามารถตัดสินใจและลงมือทำได้เอง โดยมีเป้าหมายและ autonomy
    SOC ที่ใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพสามารถลด false positive ได้มากถึง 70%
    Prompt engineering กลายเป็นทักษะสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมของ AI agent
    การใช้ AI ใน cybersecurity ต้องมีระบบ audit และ explainability เพื่อให้ตรวจสอบได้
    ฝ่ายตรงข้าม (threat actors) ก็ใช้ AI ในการสร้าง malware ที่เปลี่ยนรูปแบบได้ตลอดเวลา
    การใช้ AI ใน offensive security เช่น red teaming กำลังเติบโตในหลายองค์กร

    https://www.csoonline.com/article/4042494/how-ai-is-reshaping-cybersecurity-operations.html
    🎙️ เมื่อ CyberOps ไม่ใช่แค่คนเฝ้าแจ้งเตือน แต่เป็น “ทีมมนุษย์-เอเจนต์” ที่ทำงานร่วมกัน ในอดีต การทำงานของทีมรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ (CyberOps) คือการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบ manual — แต่วันนี้ AI เข้ามาเปลี่ยนทุกอย่าง ไม่ใช่แค่ machine learning ที่ช่วยวิเคราะห์ log หรือตรวจจับ anomaly แบบเดิม แต่เป็น generative AI และ agentic AI ที่สามารถ “คิด วิเคราะห์ และลงมือทำ” ได้เองในระดับที่ใกล้เคียงมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ใน Security Operations Center (SOC) ตอนนี้ AI สามารถจัดการงานระดับ 1 ได้เกือบทั้งหมด เช่น การจัดการ ticket, การ triage, และการ route ไปยังทีมที่เกี่ยวข้อง โดยปล่อยให้มนุษย์โฟกัสกับงานระดับสูง เช่น threat modeling หรือ incident response AI ยังช่วยให้ทีมเล็กๆ ที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ เช่น การวิเคราะห์ phishing หรือการจัดการ vulnerability โดยใช้ agent ที่เรียนรู้จากข้อมูลและให้คำแนะนำแบบ real-time แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า “มนุษย์จะถูกแทนที่” — กลับกัน AI กลายเป็น “force multiplier” ที่ช่วยให้ทีมทำงานได้มากขึ้น เร็วขึ้น และแม่นยำขึ้น โดยยังคงต้องมีมนุษย์คอยตรวจสอบและตัดสินใจในจุดสำคัญ อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ใน CyberOps ก็มีความท้าทาย ทั้งเรื่อง governance, ความเร็วในการปรับตัว และการจัดการความเสี่ยงจาก AI ที่ถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้าม 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ AI โดยเฉพาะ generative และ agentic AI กำลังเปลี่ยนวิธีการทำงานของทีม CyberOps ➡️ AI ช่วยจัดการงานระดับ 1 ใน SOC เช่น ticket triage และ routing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ AI ช่วยยกระดับทักษะของทีม โดยทำให้พนักงานใหม่เรียนรู้เร็วขึ้น และพนักงานเก่าทำงานได้ดีขึ้น ➡️ AI สามารถสร้าง case study และคำแนะนำให้ SOC worker ทำงานระดับสูงได้ง่ายขึ้น ➡️ การใช้ AI ใน threat modeling ช่วยให้ทีมเล็กๆ สามารถวิเคราะห์และป้องกันภัยล่วงหน้าได้ ➡️ การใช้ AI ทำให้ทีม CyberOps มีขนาดเล็กลง แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ บทบาทใหม่ของทีมคือ “ผู้จัดการเอเจนต์” มากกว่าการเป็นผู้ลงมือทำทุกอย่างเอง ➡️ ทักษะใหม่ที่จำเป็นคือ AI governance, prompt engineering และ data science ➡️ การใช้ AI ต้องมีมนุษย์อยู่ใน loop เพื่อควบคุมคุณภาพและความถูกต้อง ➡️ การใช้ AI ในองค์กรยังล่าช้า โดยมีเพียง 22% ที่มีนโยบายและการฝึกอบรมด้าน AI อย่างชัดเจน ➡️ มีเพียง 25% ขององค์กรที่ใช้ encryption และ access control อย่างเต็มรูปแบบในการปกป้องข้อมูล ➡️ 83% ขององค์กรยังไม่มีระบบ cloud security ที่มี monitoring และ response แบบครบวงจร ➡️ Gartner แนะนำให้ใช้แนวทาง AI TRiSM (Trust, Risk, Security Management) เพื่อจัดการความเสี่ยงจาก AI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Agentic AI คือระบบที่สามารถตัดสินใจและลงมือทำได้เอง โดยมีเป้าหมายและ autonomy ➡️ SOC ที่ใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพสามารถลด false positive ได้มากถึง 70% ➡️ Prompt engineering กลายเป็นทักษะสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมของ AI agent ➡️ การใช้ AI ใน cybersecurity ต้องมีระบบ audit และ explainability เพื่อให้ตรวจสอบได้ ➡️ ฝ่ายตรงข้าม (threat actors) ก็ใช้ AI ในการสร้าง malware ที่เปลี่ยนรูปแบบได้ตลอดเวลา ➡️ การใช้ AI ใน offensive security เช่น red teaming กำลังเติบโตในหลายองค์กร https://www.csoonline.com/article/4042494/how-ai-is-reshaping-cybersecurity-operations.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How AI is reshaping cybersecurity operations
    AI’s emergence as a transformative force is spurring CISOs to rethink how their teams operate to harness the technology’s potential and better defend its use across the organization.
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews

  • เทคโนโลยีขนาดใหญ่วางแผนที่จะใช้ชิปสมองเพื่ออ่านผู้ใช้’ ความคิด: การศึกษา

    25 สิงหาคม 2568

    Big Tech กําลังวางแผนที่จะปรับใช้ชิปสมองที่สามารถอ่านความคิดของผู้ใช้’ ตามการศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเกี่ยวกับการปลูกถ่ายระบบประสาทหรือที่เรียกว่าอินเทอร์เฟซคอมพิวเตอร์สมอง (BCI) ซึ่งอาจเปิดเผยความลับภายในสุดในขณะที่ปลอมตัวเป็นตัวช่วยสําหรับบุคคลที่เป็นอัมพาตในการ สื่อสาร

    ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ เซลล์การวิจัยแสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์เหล่านี้ถอดรหัสสัญญาณสมองเพื่อสร้างคําพูดสังเคราะห์ด้วยความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อนและความพยายามเพียงเล็กน้อย ทําให้เกิดสัญญาณเตือนเกี่ยวกับการบุกรุกความเป็นส่วนตัวในขณะที่บริษัทอย่าง Neuralink ผลักดันให้มีการนําไปใช้อย่างกว้างขวาง ในขณะที่ผู้เสนอเสนอผลประโยชน์สําหรับผู้พิการ นักวิจารณ์เตือนว่าการบูรณาการที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจทําให้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีสามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลประสาทเพื่อการเฝ้าระวัง การจัดการ หรือผลกําไร โดยเปลี่ยนการรับรู้ส่วนบุคคลให้เป็นทรัพยากรที่เป็นสินค้าโดยไม่ได้รับความยินยอม

    ความทันสมัย.ข่าวสาร รายงาน: BCI ทํางานโดยใช้อาร์เรย์อิเล็กโทรดขนาดเล็กเพื่อตรวจสอบกิจกรรมในเยื่อหุ้มสมองสั่งการของสมอง, ภูมิภาคที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการพูด จนถึงขณะนี้ เทคโนโลยีนี้อาศัยสัญญาณจากบุคคลที่เป็นอัมพาตที่พยายามพูดอย่างแข็งขัน อย่างไรก็ตาม ทีมงานสแตนฟอร์ดค้นพบว่าแม้แต่คําพูดในจินตนาการก็ยังสร้างสัญญาณที่คล้ายกันในเยื่อหุ้มสมองสั่งการ แม้ว่าจะอ่อนแอกว่าก็ตาม ด้วยความช่วยเหลือของปัญญาประดิษฐ์, พวกเขาแปลสัญญาณจาง ๆ เหล่านั้นเป็นคําที่มีความแม่นยําสูงสุด 74% จากคําศัพท์ 125,000 คํา

    “เรากําลังบันทึกสัญญาณขณะที่พวกเขากําลังพยายามพูดและแปลสัญญาณประสาทเหล่านั้นเป็นคําที่พวกเขาพยายามจะพูด ” erin Kunz นักวิจัยหลังปริญญาเอกจาก Neural Prosthetics Translational Laboratory ของ Stanford กล่าว

    แต่การก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีนี้ทําให้เกิดธงแดงในหมู่นักวิจารณ์ที่เตือนถึงอนาคตดิสโทเปียที่ความคิดส่วนตัวของคุณอาจถูกเปิดเผย

    Nita Farahany ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายและปรัชญาของมหาวิทยาลัย Duke และผู้เขียน การต่อสู้เพื่อสมองของคุณ, ส่งเสียงสัญญาณเตือนภัยบอก เอ็นพีอาร์, “ยิ่งเราผลักดันงานวิจัยนี้ไปข้างหน้า สมองของเราก็จะโปร่งใสมากขึ้นเท่านั้น”

    ฟาราฮานีแสดงความกังวลว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple, Google และ Meta สามารถใช้ประโยชน์จาก BCI เพื่อเข้าถึงจิตใจของผู้บริโภคโดยไม่ได้รับความยินยอม โดยเรียกร้องให้มีการป้องกัน เช่น รหัสผ่าน เพื่อปกป้องความคิดที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เป็นส่วนตัว

    “เราต้องตระหนักว่ายุคใหม่ของความโปร่งใสของสมองนี้เป็นขอบเขตใหม่สําหรับเราจริงๆ,” Farahany กล่าว

    ในขณะที่โลกจับจ้องไปที่ปัญญาประดิษฐ์ผู้หวดที่หนักที่สุดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีบางคนกําลังทุ่มเงินหลายพันล้านให้กับ BCI Elon Musk ชายที่ร่ํารวยที่สุดในโลกได้ระดมทุน 1.2 พันล้านดอลลาร์สําหรับกิจการ Neuralink ของเขาซึ่งขณะนี้กําลังดําเนินการทดลองทางคลินิกร่วมกับสถาบันชั้นนําเช่น Barrow Neurological Institute, The Miami Project to Cure Paralysis และ Cleveland Clinic Abu Dhabi

    ตอนนี้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอีกคนกําลังเข้าสู่การต่อสู้

    Sam Altman ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI กําลังเปิดตัว Merge Labs เพื่อท้าทาย Neuralink ของ Musk Merge Labs ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทร่วมทุนของ OpenAI และมีมูลค่า 850 ล้านดอลลาร์ โดยกําลังมองหาเงินทุน 250 ล้านดอลลาร์ ไฟแนนเชียลไทมส์● แม้ว่าอัลท์แมนจะทําหน้าที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งร่วมกับอเล็กซ์ บลาเนียในโครงการสแกนม่านตาโลก แต่แหล่งข่าวระบุว่าเขาจะไม่รับบทบาทปฏิบัติการ



    เทคโนโลยีขนาดใหญ่วางแผนที่จะใช้ชิปสมองเพื่ออ่านผู้ใช้’ ความคิด: การศึกษา 25 สิงหาคม 2568 Big Tech กําลังวางแผนที่จะปรับใช้ชิปสมองที่สามารถอ่านความคิดของผู้ใช้’ ตามการศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเกี่ยวกับการปลูกถ่ายระบบประสาทหรือที่เรียกว่าอินเทอร์เฟซคอมพิวเตอร์สมอง (BCI) ซึ่งอาจเปิดเผยความลับภายในสุดในขณะที่ปลอมตัวเป็นตัวช่วยสําหรับบุคคลที่เป็นอัมพาตในการ สื่อสาร ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ เซลล์การวิจัยแสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์เหล่านี้ถอดรหัสสัญญาณสมองเพื่อสร้างคําพูดสังเคราะห์ด้วยความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อนและความพยายามเพียงเล็กน้อย ทําให้เกิดสัญญาณเตือนเกี่ยวกับการบุกรุกความเป็นส่วนตัวในขณะที่บริษัทอย่าง Neuralink ผลักดันให้มีการนําไปใช้อย่างกว้างขวาง ในขณะที่ผู้เสนอเสนอผลประโยชน์สําหรับผู้พิการ นักวิจารณ์เตือนว่าการบูรณาการที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจทําให้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีสามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลประสาทเพื่อการเฝ้าระวัง การจัดการ หรือผลกําไร โดยเปลี่ยนการรับรู้ส่วนบุคคลให้เป็นทรัพยากรที่เป็นสินค้าโดยไม่ได้รับความยินยอม ความทันสมัย.ข่าวสาร รายงาน: BCI ทํางานโดยใช้อาร์เรย์อิเล็กโทรดขนาดเล็กเพื่อตรวจสอบกิจกรรมในเยื่อหุ้มสมองสั่งการของสมอง, ภูมิภาคที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการพูด จนถึงขณะนี้ เทคโนโลยีนี้อาศัยสัญญาณจากบุคคลที่เป็นอัมพาตที่พยายามพูดอย่างแข็งขัน อย่างไรก็ตาม ทีมงานสแตนฟอร์ดค้นพบว่าแม้แต่คําพูดในจินตนาการก็ยังสร้างสัญญาณที่คล้ายกันในเยื่อหุ้มสมองสั่งการ แม้ว่าจะอ่อนแอกว่าก็ตาม ด้วยความช่วยเหลือของปัญญาประดิษฐ์, พวกเขาแปลสัญญาณจาง ๆ เหล่านั้นเป็นคําที่มีความแม่นยําสูงสุด 74% จากคําศัพท์ 125,000 คํา “เรากําลังบันทึกสัญญาณขณะที่พวกเขากําลังพยายามพูดและแปลสัญญาณประสาทเหล่านั้นเป็นคําที่พวกเขาพยายามจะพูด ” erin Kunz นักวิจัยหลังปริญญาเอกจาก Neural Prosthetics Translational Laboratory ของ Stanford กล่าว แต่การก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีนี้ทําให้เกิดธงแดงในหมู่นักวิจารณ์ที่เตือนถึงอนาคตดิสโทเปียที่ความคิดส่วนตัวของคุณอาจถูกเปิดเผย Nita Farahany ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายและปรัชญาของมหาวิทยาลัย Duke และผู้เขียน การต่อสู้เพื่อสมองของคุณ, ส่งเสียงสัญญาณเตือนภัยบอก เอ็นพีอาร์, “ยิ่งเราผลักดันงานวิจัยนี้ไปข้างหน้า สมองของเราก็จะโปร่งใสมากขึ้นเท่านั้น” ฟาราฮานีแสดงความกังวลว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple, Google และ Meta สามารถใช้ประโยชน์จาก BCI เพื่อเข้าถึงจิตใจของผู้บริโภคโดยไม่ได้รับความยินยอม โดยเรียกร้องให้มีการป้องกัน เช่น รหัสผ่าน เพื่อปกป้องความคิดที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เป็นส่วนตัว “เราต้องตระหนักว่ายุคใหม่ของความโปร่งใสของสมองนี้เป็นขอบเขตใหม่สําหรับเราจริงๆ,” Farahany กล่าว ในขณะที่โลกจับจ้องไปที่ปัญญาประดิษฐ์ผู้หวดที่หนักที่สุดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีบางคนกําลังทุ่มเงินหลายพันล้านให้กับ BCI Elon Musk ชายที่ร่ํารวยที่สุดในโลกได้ระดมทุน 1.2 พันล้านดอลลาร์สําหรับกิจการ Neuralink ของเขาซึ่งขณะนี้กําลังดําเนินการทดลองทางคลินิกร่วมกับสถาบันชั้นนําเช่น Barrow Neurological Institute, The Miami Project to Cure Paralysis และ Cleveland Clinic Abu Dhabi ตอนนี้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอีกคนกําลังเข้าสู่การต่อสู้ Sam Altman ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI กําลังเปิดตัว Merge Labs เพื่อท้าทาย Neuralink ของ Musk Merge Labs ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทร่วมทุนของ OpenAI และมีมูลค่า 850 ล้านดอลลาร์ โดยกําลังมองหาเงินทุน 250 ล้านดอลลาร์ ไฟแนนเชียลไทมส์● แม้ว่าอัลท์แมนจะทําหน้าที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งร่วมกับอเล็กซ์ บลาเนียในโครงการสแกนม่านตาโลก แต่แหล่งข่าวระบุว่าเขาจะไม่รับบทบาทปฏิบัติการ
    0 Comments 0 Shares 211 Views 0 Reviews
  • เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI : คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี

    ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส

    เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต

    เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout และการซื้อขายออนไลน์ เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น แพทย์ นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า

    เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม

    ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน

    ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร

    ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI

    เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป

    1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป

    2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา

    3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer

    เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ

    สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI 🤖: 📚 คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี 🙎‍♂️ ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง🤞 การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก🌏 รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส 🌞 เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" ⁉️ มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย 🙏 ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย 👴 ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ📉 ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต 🔮 เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout 🏧 และการซื้อขายออนไลน์ 🌐 เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot 🤖 และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ 🚗 และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น 🧑‍⚕️ แพทย์ 👩‍🔬นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ 👩‍🏫 ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา 🧘 การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม 💪 ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน 💷💶💵 ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง 📊 ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร 🧍‍♂️ ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด 🏫 มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th 🌐 ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane 🕸️ นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป 1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ 👩‍💻 เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป 2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ 👨‍🏭 ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา 3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก 🏓 โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ 🗝️ สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 303 Views 0 Reviews
  • เมื่อ DRAM ไม่แบนอีกต่อไป – ก้าวสู่ยุคหน่วยความจำแนวตั้ง 3D

    ลองจินตนาการว่าหน่วยความจำในคอมพิวเตอร์ของคุณไม่ใช่แผ่นเรียบ ๆ อีกต่อไป แต่เป็นตึกสูงที่มีหลายชั้นซ้อนกันอย่างแม่นยำ — นั่นคือสิ่งที่นักวิจัยจาก imec และมหาวิทยาลัย Ghent ได้ทำสำเร็จ พวกเขาสร้างโครงสร้างซ้อนชั้นของซิลิกอน (Si) และซิลิกอนเจอร์เมเนียม (SiGe) ได้ถึง 120 ชั้นบนเวเฟอร์ขนาด 300 มม. ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสู่การผลิต 3D DRAM ที่มีความหนาแน่นสูง

    ความท้าทายหลักคือ “lattice mismatch” หรือความไม่เข้ากันของโครงสร้างผลึกระหว่าง Si และ SiGe ที่ทำให้ชั้นต่าง ๆ มีแนวโน้มจะบิดเบี้ยวหรือเกิดข้อบกพร่องที่เรียกว่า “misfit dislocations” ซึ่งอาจทำให้ชิปหน่วยความจำเสียหายได้

    ทีมวิจัยแก้ปัญหานี้ด้วยการปรับสัดส่วนเจอร์เมเนียมในชั้น SiGe และเติมคาร์บอนเพื่อช่วยลดความเครียดระหว่างชั้น พร้อมควบคุมอุณหภูมิในกระบวนการ deposition อย่างแม่นยำ เพื่อให้ทุกชั้นเติบโตอย่างสม่ำเสมอ

    กระบวนการนี้ใช้เทคนิค epitaxial deposition ที่เปรียบเสมือนการ “วาดภาพด้วยก๊าซ” โดยใช้ silane และ germane ที่แตกตัวบนพื้นผิวเวเฟอร์เพื่อสร้างชั้นบางระดับนาโนเมตรอย่างแม่นยำ

    การสร้างโครงสร้างแนวตั้งนี้ช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์หน่วยความจำในพื้นที่เดียวกันได้มหาศาล โดยไม่ต้องขยายขนาดชิป และยังเปิดทางให้กับเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น 3D transistors, stacked logic และแม้แต่สถาปัตยกรรมควอนตัม

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    นักวิจัยจาก imec และมหาวิทยาลัย Ghent สร้างโครงสร้าง 3D DRAM ได้ถึง 120 ชั้น
    ใช้วัสดุซ้อนชั้นระหว่างซิลิกอน (Si) และซิลิกอนเจอร์เมเนียม (SiGe) บนเวเฟอร์ 300 มม.
    ปรับสัดส่วนเจอร์เมเนียมและเติมคาร์บอนเพื่อลดความเครียดระหว่างชั้น
    ใช้เทคนิค epitaxial deposition ด้วยก๊าซ silane และ germane
    ควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำเพื่อป้องกันการเติบโตไม่สม่ำเสมอ
    โครงสร้างแนวตั้งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของเซลล์หน่วยความจำโดยไม่เพิ่มขนาดชิป
    การซ้อนชั้น 120 bilayers ถือเป็นหลักฐานว่าการ scale แนวตั้งสามารถทำได้จริง
    โครงสร้างนี้สามารถนำไปใช้กับ 3D transistors และสถาปัตยกรรมควอนตัม
    Samsung มี roadmap สำหรับ 3D DRAM และมีศูนย์วิจัยเฉพาะด้านนี้
    การควบคุมระดับอะตอมช่วยให้พัฒนา GAAFET และ CFET ได้แม่นยำยิ่งขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โครงสร้างที่ใช้ Si0.8Ge0.2 มีความสามารถในการกัดกรดแบบเลือกได้สูง
    การซ้อนชั้นแบบนี้มีมากถึง 241 sublayers รวมความหนาเกิน 8 ไมโครเมตร
    การควบคุมความเครียดในชั้นกลางของเวเฟอร์ช่วยลดข้อบกพร่องบริเวณขอบ
    การใช้ carbon doping ช่วยลด lattice mismatch ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    การเติบโตบน quartz reactor อาจทำให้อุณหภูมิผันผวน ต้องควบคุมอย่างระมัดระวัง
    การพัฒนา 3D DRAM เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มการเปลี่ยนจาก planar DRAM สู่ stacked DRAM

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/next-generation-3d-dram-approaches-reality-as-scientists-achieve-120-layer-stack-using-advanced-deposition-techniques
    🎙️ เมื่อ DRAM ไม่แบนอีกต่อไป – ก้าวสู่ยุคหน่วยความจำแนวตั้ง 3D ลองจินตนาการว่าหน่วยความจำในคอมพิวเตอร์ของคุณไม่ใช่แผ่นเรียบ ๆ อีกต่อไป แต่เป็นตึกสูงที่มีหลายชั้นซ้อนกันอย่างแม่นยำ — นั่นคือสิ่งที่นักวิจัยจาก imec และมหาวิทยาลัย Ghent ได้ทำสำเร็จ พวกเขาสร้างโครงสร้างซ้อนชั้นของซิลิกอน (Si) และซิลิกอนเจอร์เมเนียม (SiGe) ได้ถึง 120 ชั้นบนเวเฟอร์ขนาด 300 มม. ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสู่การผลิต 3D DRAM ที่มีความหนาแน่นสูง ความท้าทายหลักคือ “lattice mismatch” หรือความไม่เข้ากันของโครงสร้างผลึกระหว่าง Si และ SiGe ที่ทำให้ชั้นต่าง ๆ มีแนวโน้มจะบิดเบี้ยวหรือเกิดข้อบกพร่องที่เรียกว่า “misfit dislocations” ซึ่งอาจทำให้ชิปหน่วยความจำเสียหายได้ ทีมวิจัยแก้ปัญหานี้ด้วยการปรับสัดส่วนเจอร์เมเนียมในชั้น SiGe และเติมคาร์บอนเพื่อช่วยลดความเครียดระหว่างชั้น พร้อมควบคุมอุณหภูมิในกระบวนการ deposition อย่างแม่นยำ เพื่อให้ทุกชั้นเติบโตอย่างสม่ำเสมอ กระบวนการนี้ใช้เทคนิค epitaxial deposition ที่เปรียบเสมือนการ “วาดภาพด้วยก๊าซ” โดยใช้ silane และ germane ที่แตกตัวบนพื้นผิวเวเฟอร์เพื่อสร้างชั้นบางระดับนาโนเมตรอย่างแม่นยำ การสร้างโครงสร้างแนวตั้งนี้ช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์หน่วยความจำในพื้นที่เดียวกันได้มหาศาล โดยไม่ต้องขยายขนาดชิป และยังเปิดทางให้กับเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น 3D transistors, stacked logic และแม้แต่สถาปัตยกรรมควอนตัม 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ นักวิจัยจาก imec และมหาวิทยาลัย Ghent สร้างโครงสร้าง 3D DRAM ได้ถึง 120 ชั้น ➡️ ใช้วัสดุซ้อนชั้นระหว่างซิลิกอน (Si) และซิลิกอนเจอร์เมเนียม (SiGe) บนเวเฟอร์ 300 มม. ➡️ ปรับสัดส่วนเจอร์เมเนียมและเติมคาร์บอนเพื่อลดความเครียดระหว่างชั้น ➡️ ใช้เทคนิค epitaxial deposition ด้วยก๊าซ silane และ germane ➡️ ควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำเพื่อป้องกันการเติบโตไม่สม่ำเสมอ ➡️ โครงสร้างแนวตั้งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของเซลล์หน่วยความจำโดยไม่เพิ่มขนาดชิป ➡️ การซ้อนชั้น 120 bilayers ถือเป็นหลักฐานว่าการ scale แนวตั้งสามารถทำได้จริง ➡️ โครงสร้างนี้สามารถนำไปใช้กับ 3D transistors และสถาปัตยกรรมควอนตัม ➡️ Samsung มี roadmap สำหรับ 3D DRAM และมีศูนย์วิจัยเฉพาะด้านนี้ ➡️ การควบคุมระดับอะตอมช่วยให้พัฒนา GAAFET และ CFET ได้แม่นยำยิ่งขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โครงสร้างที่ใช้ Si0.8Ge0.2 มีความสามารถในการกัดกรดแบบเลือกได้สูง ➡️ การซ้อนชั้นแบบนี้มีมากถึง 241 sublayers รวมความหนาเกิน 8 ไมโครเมตร ➡️ การควบคุมความเครียดในชั้นกลางของเวเฟอร์ช่วยลดข้อบกพร่องบริเวณขอบ ➡️ การใช้ carbon doping ช่วยลด lattice mismatch ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ การเติบโตบน quartz reactor อาจทำให้อุณหภูมิผันผวน ต้องควบคุมอย่างระมัดระวัง ➡️ การพัฒนา 3D DRAM เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มการเปลี่ยนจาก planar DRAM สู่ stacked DRAM https://www.tomshardware.com/tech-industry/next-generation-3d-dram-approaches-reality-as-scientists-achieve-120-layer-stack-using-advanced-deposition-techniques
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • เมื่อดร.มัลลิกาถูกท้าทาย เก่งนักไปลง ส.ส. ผลลัพธ์คือ… (22/8/68)

    #TruthFromThailand
    #การเมืองไทย
    #เลือกตั้ง
    #มัลลิกา
    #thaitimes
    #news1
    #shorts
    #การเมือง
    #ข่าวการเมือง
    #ดรมัลลิกา
    #เลือกตั้งไทย
    #ข่าวด่วน
    เมื่อดร.มัลลิกาถูกท้าทาย เก่งนักไปลง ส.ส. ผลลัพธ์คือ… (22/8/68) #TruthFromThailand #การเมืองไทย #เลือกตั้ง #มัลลิกา #thaitimes #news1 #shorts #การเมือง #ข่าวการเมือง #ดรมัลลิกา #เลือกตั้งไทย #ข่าวด่วน
    Like
    Haha
    3
    0 Comments 0 Shares 198 Views 0 0 Reviews
  • Jaguar Shores – ชิป AI ตัวใหม่ของ Intel ที่อาจเป็นเดิมพันสุดท้าย

    ในโลกที่ NVIDIA และ AMD ครองตลาด AI อย่างมั่นคง Intel กลับต้องดิ้นรนเพื่อหาที่ยืน และตอนนี้พวกเขากำลังวางเดิมพันครั้งใหญ่กับ “Jaguar Shores” – ชิป AI รุ่นใหม่ที่ไม่ใช่แค่ชิป แต่เป็นแพลตฟอร์มระดับ rack-scale ที่อาจเปลี่ยนเกมได้

    หลังจากยกเลิกโครงการ Falcon Shores ที่เคยถูกคาดหวังไว้สูง Intel หันมาโฟกัสกับ Jaguar Shores อย่างเต็มตัว โดยชิปนี้ถูกออกแบบให้รองรับงาน AI ในระดับ data center โดยเฉพาะ มีขนาดแพ็กเกจใหญ่ถึง 92.5mm x 92.5mm และใช้หน่วยความจำ HBM4 จาก SK Hynix ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีล่าสุดในวงการ

    Jaguar Shores จะรวม CPU Xeon รุ่นใหม่ Diamond Rapids, GPU, IPU, DPU และ interconnect แบบ silicon photonics เข้าไว้ในระบบเดียว เพื่อให้สามารถประมวลผลงาน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยใช้กระบวนการผลิต 18A ที่มีเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต่อวัตต์อย่างมาก

    แต่แม้จะดูน่าตื่นเต้น Intel ก็ยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งการขาดแคลนบุคลากร ความล่าช้าในการพัฒนา และแรงกดดันจากคู่แข่งที่นำหน้าไปไกลแล้ว หาก Jaguar Shores ล้มเหลว ก็อาจเป็นจุดจบของความหวังในตลาด AI ของ Intel

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Jaguar Shores เป็นแพลตฟอร์ม AI รุ่นใหม่ของ Intel ที่ทำงานในระดับ rack-scale
    ใช้กระบวนการผลิต 18A พร้อมเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia
    ขนาดแพ็กเกจชิปใหญ่ถึง 92.5mm x 92.5mm พร้อม 4 tiles และ 8 HBM sites
    ใช้หน่วยความจำ HBM4 จาก SK Hynix สำหรับงาน HPC และ AI inference
    รวม CPU Xeon Diamond Rapids, GPU, IPU, DPU และ silicon photonics
    ถูกใช้เป็น test vehicle โดยทีมวิศวกรรมความร้อนของ Intel
    เป็นการเปลี่ยนแผนจาก Falcon Shores ที่ถูกยกเลิกไป
    คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 เพื่อแข่งขันกับ NVIDIA และ AMD

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Falcon Shores ถูกลดบทบาทเป็นแพลตฟอร์มต้นแบบเพื่อทดสอบเทคโนโลยี
    Jaguar Shores ถูกออกแบบให้รองรับงาน AI inference และ model deployment
    Modular design รองรับการปรับแต่งสำหรับองค์กรที่มี workload เฉพาะ
    Silicon photonics ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างชิ้นส่วนใน rack มี latency ต่ำมาก
    Intel หวังใช้ Jaguar Shores เป็นจุดเปลี่ยนเพื่อกลับมานำในตลาด AI

    https://wccftech.com/intel-next-gen-ai-chip-jaguar-shores-test-vehicle-surfaces-online/
    🎙️ Jaguar Shores – ชิป AI ตัวใหม่ของ Intel ที่อาจเป็นเดิมพันสุดท้าย ในโลกที่ NVIDIA และ AMD ครองตลาด AI อย่างมั่นคง Intel กลับต้องดิ้นรนเพื่อหาที่ยืน และตอนนี้พวกเขากำลังวางเดิมพันครั้งใหญ่กับ “Jaguar Shores” – ชิป AI รุ่นใหม่ที่ไม่ใช่แค่ชิป แต่เป็นแพลตฟอร์มระดับ rack-scale ที่อาจเปลี่ยนเกมได้ หลังจากยกเลิกโครงการ Falcon Shores ที่เคยถูกคาดหวังไว้สูง Intel หันมาโฟกัสกับ Jaguar Shores อย่างเต็มตัว โดยชิปนี้ถูกออกแบบให้รองรับงาน AI ในระดับ data center โดยเฉพาะ มีขนาดแพ็กเกจใหญ่ถึง 92.5mm x 92.5mm และใช้หน่วยความจำ HBM4 จาก SK Hynix ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีล่าสุดในวงการ Jaguar Shores จะรวม CPU Xeon รุ่นใหม่ Diamond Rapids, GPU, IPU, DPU และ interconnect แบบ silicon photonics เข้าไว้ในระบบเดียว เพื่อให้สามารถประมวลผลงาน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยใช้กระบวนการผลิต 18A ที่มีเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต่อวัตต์อย่างมาก แต่แม้จะดูน่าตื่นเต้น Intel ก็ยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งการขาดแคลนบุคลากร ความล่าช้าในการพัฒนา และแรงกดดันจากคู่แข่งที่นำหน้าไปไกลแล้ว หาก Jaguar Shores ล้มเหลว ก็อาจเป็นจุดจบของความหวังในตลาด AI ของ Intel 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Jaguar Shores เป็นแพลตฟอร์ม AI รุ่นใหม่ของ Intel ที่ทำงานในระดับ rack-scale ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 18A พร้อมเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia ➡️ ขนาดแพ็กเกจชิปใหญ่ถึง 92.5mm x 92.5mm พร้อม 4 tiles และ 8 HBM sites ➡️ ใช้หน่วยความจำ HBM4 จาก SK Hynix สำหรับงาน HPC และ AI inference ➡️ รวม CPU Xeon Diamond Rapids, GPU, IPU, DPU และ silicon photonics ➡️ ถูกใช้เป็น test vehicle โดยทีมวิศวกรรมความร้อนของ Intel ➡️ เป็นการเปลี่ยนแผนจาก Falcon Shores ที่ถูกยกเลิกไป ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 เพื่อแข่งขันกับ NVIDIA และ AMD ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Falcon Shores ถูกลดบทบาทเป็นแพลตฟอร์มต้นแบบเพื่อทดสอบเทคโนโลยี ➡️ Jaguar Shores ถูกออกแบบให้รองรับงาน AI inference และ model deployment ➡️ Modular design รองรับการปรับแต่งสำหรับองค์กรที่มี workload เฉพาะ ➡️ Silicon photonics ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างชิ้นส่วนใน rack มี latency ต่ำมาก ➡️ Intel หวังใช้ Jaguar Shores เป็นจุดเปลี่ยนเพื่อกลับมานำในตลาด AI https://wccftech.com/intel-next-gen-ai-chip-jaguar-shores-test-vehicle-surfaces-online/
    WCCFTECH.COM
    Intel’s Next-Gen AI Chip Jaguar Shores ‘Test Vehicle’ Surfaces Online, Showcasing A Gigantic Chip Package That Could Mark A 'Make-Or-Break' Moment For Its AI Business
    Intel's next-gen AI architecture is reportedly under preparation by the company, as the respective 'testing vehicle' surfaces online.
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย
    นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 6 : ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย
    Trilateral Commission เป็นองค์กรส่วนบุคคล เป็นการร่วมตัวของกลุ่มบุคคลในหลาย ๆ วงการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) มีวัตถุประสงค์ที่จะกำหนดยุทธศาสตร์โลก ผ่านเครือข่ายนานาชาติที่เชื่อมโยงกัน ในฐานะคู่ค้าหรือหุ้นส่วนทางการค้า โดยมีตระกูล Rockefeller เป็นผู้นำกลุ่ม ซึ่งเมื่อรวมทรัพย์สิน และอิทธิพลทางการเมือง และเศรษฐกิจของพวกเขาแล้ว ไม่มีใครจะมีรัศมีและบารมี (เหนือประชาธิปไตย) มาทาบได้
    ความปรารถนาของพวกเขาคือ ต้องการจะสถาปนา สิ่งซึ่ง George H. W Bush เรียกภายหลังว่า การจัดระเบียบโลกใหม่หรือ New World Order ซึ่งมุ่งเน้นที่จะสร้างและขยายความมั่งคั่ง ภายใต้นโยบายเดียวกัน ทิศทางเดียวกัน หลักเกณฑ์เดียวกัน เสมือนมีรัฐบาลเดียว คือ Global government โดยมี Trilateral Commission เป็นผู้ปูทาง วางรูปแบบกฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งต่อมาในยุค ค.ศ.1990 เป็นที่รู้จักกันในนาม “Globalization” หรือ “โลกาภิวัฒน์”
    พวกเขาบอกว่า ปัจจัยที่จะทำให้อเมริกาจะเป็นมหาอำนาจครองโลกนั้น จะต้องพร้อมด้วย แก้ว 3 ประการ
    – กองทัพอันเกรียงไกร ที่ไม่มีผู้ใดจะกล้ามาท้าทาย
    – เงินสกุลดอลล่าร์ จะต้องเป็นสกุลเงินที่ใช้เป็นทุนสำรอง
    – การมีอำนาจควบคุมน้ำมันและอาหาร
    ปี ค.ศ.1973 ขณะที่บางซีกของโลกกำลังขาดแคลนอาหาร อเมริกามีอาหารเหลือกิน ประธานาธิบดี Nixon ก็กำลังยืนหน้าเขียวพิงเชือก ถูกกรรมการนับ จากสงครามเวียตนาม ทำท่าจะหลุดจากเชือกลงมากองกับพื้นเสียด้วยซ้ำ
พอดีผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจัดส่งนาย Henry Kissinger มาให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาด้านความมั่นคง
    นาย Kissinger ไม่รอช้า เสนอความเห็นกับนาย Nixon ว่า เราควรจะใช้อาหารเป็นพระเอกในด้านการฑูตนะ ควบคู่กับการแสวงหาน้ำมันไปกับภูมิศาสตร์การเมือง
    อืม! เด็กเรามันใช้ได้จริงๆ นะ ไม่เสียเวลาเลย นาย David รำพึง
    ลืมบอกไปว่าในปี ค.ศ.1950 นาย David Rockefeller เป็นคนไปคัดเลือกตัว นาย Kissinger ตั้งแต่นาย Kissinger ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Harvard เพื่อให้มาทำงานในโครงการสำคัญของมูลนิธิ Rockefeller
    เริ่มเห็นภาพกันหรือยังท่านผู้อ่านนิทาน นาย Kissinger ตกลงไม่ใช่คนขี้โม้ และไม่ใช่หมอดู แต่เป็นอะไรนะ คนอ่านนิทานตอบได้น่า
    แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อเป็นการสนองนโยบาย (ใครไม่รู้) นาย Kissinger เห็นว่า นโยบายเกี่ยวกับการเกษตรนั้นสำคัญยิ่ง ไม่ควรทิ้งให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงการเกษตรเลย เขาเลยนำมากำกับดูแลเอง โดยบอกว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ
    เราต้องใช้อาหารเป็นเครื่องมือสำหรับให้รางวัลเพื่อน และลงโทษศัตรู นโยบายแบบนี้วอชิงตันก็ชอบ นาย David Rockefeller ก็พอใจ มันสมกับเป็นนักการฑูตผู้ยิ่งใหญ่จริง ๆ ไอ้คนนี้มีเสน่ห์เพราะอำนาจ ! ? !

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 6 : ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย Trilateral Commission เป็นองค์กรส่วนบุคคล เป็นการร่วมตัวของกลุ่มบุคคลในหลาย ๆ วงการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) มีวัตถุประสงค์ที่จะกำหนดยุทธศาสตร์โลก ผ่านเครือข่ายนานาชาติที่เชื่อมโยงกัน ในฐานะคู่ค้าหรือหุ้นส่วนทางการค้า โดยมีตระกูล Rockefeller เป็นผู้นำกลุ่ม ซึ่งเมื่อรวมทรัพย์สิน และอิทธิพลทางการเมือง และเศรษฐกิจของพวกเขาแล้ว ไม่มีใครจะมีรัศมีและบารมี (เหนือประชาธิปไตย) มาทาบได้ ความปรารถนาของพวกเขาคือ ต้องการจะสถาปนา สิ่งซึ่ง George H. W Bush เรียกภายหลังว่า การจัดระเบียบโลกใหม่หรือ New World Order ซึ่งมุ่งเน้นที่จะสร้างและขยายความมั่งคั่ง ภายใต้นโยบายเดียวกัน ทิศทางเดียวกัน หลักเกณฑ์เดียวกัน เสมือนมีรัฐบาลเดียว คือ Global government โดยมี Trilateral Commission เป็นผู้ปูทาง วางรูปแบบกฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งต่อมาในยุค ค.ศ.1990 เป็นที่รู้จักกันในนาม “Globalization” หรือ “โลกาภิวัฒน์” พวกเขาบอกว่า ปัจจัยที่จะทำให้อเมริกาจะเป็นมหาอำนาจครองโลกนั้น จะต้องพร้อมด้วย แก้ว 3 ประการ – กองทัพอันเกรียงไกร ที่ไม่มีผู้ใดจะกล้ามาท้าทาย – เงินสกุลดอลล่าร์ จะต้องเป็นสกุลเงินที่ใช้เป็นทุนสำรอง – การมีอำนาจควบคุมน้ำมันและอาหาร ปี ค.ศ.1973 ขณะที่บางซีกของโลกกำลังขาดแคลนอาหาร อเมริกามีอาหารเหลือกิน ประธานาธิบดี Nixon ก็กำลังยืนหน้าเขียวพิงเชือก ถูกกรรมการนับ จากสงครามเวียตนาม ทำท่าจะหลุดจากเชือกลงมากองกับพื้นเสียด้วยซ้ำ
พอดีผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจัดส่งนาย Henry Kissinger มาให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาด้านความมั่นคง นาย Kissinger ไม่รอช้า เสนอความเห็นกับนาย Nixon ว่า เราควรจะใช้อาหารเป็นพระเอกในด้านการฑูตนะ ควบคู่กับการแสวงหาน้ำมันไปกับภูมิศาสตร์การเมือง อืม! เด็กเรามันใช้ได้จริงๆ นะ ไม่เสียเวลาเลย นาย David รำพึง ลืมบอกไปว่าในปี ค.ศ.1950 นาย David Rockefeller เป็นคนไปคัดเลือกตัว นาย Kissinger ตั้งแต่นาย Kissinger ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Harvard เพื่อให้มาทำงานในโครงการสำคัญของมูลนิธิ Rockefeller เริ่มเห็นภาพกันหรือยังท่านผู้อ่านนิทาน นาย Kissinger ตกลงไม่ใช่คนขี้โม้ และไม่ใช่หมอดู แต่เป็นอะไรนะ คนอ่านนิทานตอบได้น่า แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อเป็นการสนองนโยบาย (ใครไม่รู้) นาย Kissinger เห็นว่า นโยบายเกี่ยวกับการเกษตรนั้นสำคัญยิ่ง ไม่ควรทิ้งให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงการเกษตรเลย เขาเลยนำมากำกับดูแลเอง โดยบอกว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ เราต้องใช้อาหารเป็นเครื่องมือสำหรับให้รางวัลเพื่อน และลงโทษศัตรู นโยบายแบบนี้วอชิงตันก็ชอบ นาย David Rockefeller ก็พอใจ มันสมกับเป็นนักการฑูตผู้ยิ่งใหญ่จริง ๆ ไอ้คนนี้มีเสน่ห์เพราะอำนาจ ! ? ! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 232 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าใหม่: อินเดียเตรียมแบนเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริง – เมื่อความสนุกกลายเป็นภัยเงียบ

    ลองนึกภาพว่าคุณเล่นเกมแฟนตาซีคริกเก็ตบนมือถือ จ่ายเงินแค่ 10 เซ็นต์เพื่อสร้างทีม แล้วลุ้นเงินรางวัลหลักหมื่นรูปี ฟังดูน่าสนุกใช่ไหม? แต่สำหรับรัฐบาลอินเดีย นี่คือปัญหาที่กำลังลุกลาม

    ในเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลอินเดียเสนอร่างกฎหมาย “Promotion and Regulation of Online Gaming Act” ที่จะห้ามเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเกมที่อิงจากทักษะหรือโชค โดยให้เหตุผลว่าเกมเหล่านี้ส่งผลเสียทั้งด้านจิตใจและการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและผู้มีรายได้น้อย

    เกมเหล่านี้มักใช้เทคนิคการออกแบบที่กระตุ้นให้เล่นซ้ำ เช่น อัลกอริธึมที่สร้างความรู้สึกใกล้ชนะ หรือการแจกรางวัลแบบสุ่ม ซึ่งส่งผลให้ผู้เล่นติดเกมและเสียเงินจำนวนมาก บางกรณีถึงขั้นเกิดเหตุสลด เช่น การฆ่าตัวตายหลังจากสูญเงินไปกับเกม

    อุตสาหกรรมเกมเงินจริงในอินเดียมีมูลค่ากว่า $2.4 พันล้าน และคาดว่าจะโตถึง $3.6 พันล้านภายในปี 2029 โดยมีบริษัทใหญ่เช่น Dream11 และ Mobile Premier League ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ แต่หากกฎหมายนี้ผ่าน จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจเหล่านี้ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ

    ร่างกฎหมายยังระบุโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี และปรับสูงสุด ₹10 ล้าน สำหรับผู้ให้บริการเกมเงินจริง และแม้แต่คนดังที่โฆษณาเกมเหล่านี้ก็อาจถูกลงโทษเช่นกัน

    ข้อมูลในข่าว
    รัฐบาลอินเดียเสนอร่างกฎหมายแบนเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริงทั้งหมด
    ร่างกฎหมายชื่อ Promotion and Regulation of Online Gaming Act 2025
    ห้ามโฆษณาเกมเงินจริง และห้ามสถาบันการเงินทำธุรกรรมเกี่ยวข้อง
    ผู้ฝ่าฝืนอาจถูกจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือปรับ ₹10 ล้าน
    คนดังที่โฆษณาเกมเงินจริงอาจถูกปรับ ₹5 ล้าน หรือจำคุก 2 ปี
    อุตสาหกรรมเกมเงินจริงมีมูลค่ากว่า $2.4 พันล้านในปี 2024
    Dream11 มีมูลค่าบริษัท $8 พันล้าน ส่วน Mobile Premier League อยู่ที่ $2.5 พันล้าน
    เกมเหล่านี้ได้รับความนิยมสูงช่วงการแข่งขัน IPL
    กระทรวง IT ของอินเดียจะเป็นหน่วยงานกำกับดูแลตามร่างกฎหมาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เกมเงินจริงมักใช้เทคนิค “near win” และ “variable rewards” เพื่อกระตุ้นให้เล่นต่อ
    การติดเกมสามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและปัญหาทางการเงิน
    อินเดียเคยเก็บภาษีเกมออนไลน์ 28% ตั้งแต่ปี 2023 และอาจเพิ่มเป็น 40%
    รัฐบาลอินเดียเคยบล็อกเว็บไซต์พนันกว่า 1,400 แห่งระหว่างปี 2022–2025
    การควบคุมเกมออนไลน์เป็นเรื่องท้าทาย เพราะบางแพลตฟอร์มตั้งเซิร์ฟเวอร์นอกประเทศ
    หลายประเทศ เช่น จีนและเกาหลีใต้ ก็มีมาตรการควบคุมเกมเงินจริงอย่างเข้มงวด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/india-plans-to-ban-online-games-played-with-money-citing-addiction-risks
    🎯 เรื่องเล่าใหม่: อินเดียเตรียมแบนเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริง – เมื่อความสนุกกลายเป็นภัยเงียบ ลองนึกภาพว่าคุณเล่นเกมแฟนตาซีคริกเก็ตบนมือถือ จ่ายเงินแค่ 10 เซ็นต์เพื่อสร้างทีม แล้วลุ้นเงินรางวัลหลักหมื่นรูปี ฟังดูน่าสนุกใช่ไหม? แต่สำหรับรัฐบาลอินเดีย นี่คือปัญหาที่กำลังลุกลาม ในเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลอินเดียเสนอร่างกฎหมาย “Promotion and Regulation of Online Gaming Act” ที่จะห้ามเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเกมที่อิงจากทักษะหรือโชค โดยให้เหตุผลว่าเกมเหล่านี้ส่งผลเสียทั้งด้านจิตใจและการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและผู้มีรายได้น้อย เกมเหล่านี้มักใช้เทคนิคการออกแบบที่กระตุ้นให้เล่นซ้ำ เช่น อัลกอริธึมที่สร้างความรู้สึกใกล้ชนะ หรือการแจกรางวัลแบบสุ่ม ซึ่งส่งผลให้ผู้เล่นติดเกมและเสียเงินจำนวนมาก บางกรณีถึงขั้นเกิดเหตุสลด เช่น การฆ่าตัวตายหลังจากสูญเงินไปกับเกม อุตสาหกรรมเกมเงินจริงในอินเดียมีมูลค่ากว่า $2.4 พันล้าน และคาดว่าจะโตถึง $3.6 พันล้านภายในปี 2029 โดยมีบริษัทใหญ่เช่น Dream11 และ Mobile Premier League ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ แต่หากกฎหมายนี้ผ่าน จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจเหล่านี้ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ ร่างกฎหมายยังระบุโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี และปรับสูงสุด ₹10 ล้าน สำหรับผู้ให้บริการเกมเงินจริง และแม้แต่คนดังที่โฆษณาเกมเหล่านี้ก็อาจถูกลงโทษเช่นกัน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ รัฐบาลอินเดียเสนอร่างกฎหมายแบนเกมออนไลน์ที่ใช้เงินจริงทั้งหมด ➡️ ร่างกฎหมายชื่อ Promotion and Regulation of Online Gaming Act 2025 ➡️ ห้ามโฆษณาเกมเงินจริง และห้ามสถาบันการเงินทำธุรกรรมเกี่ยวข้อง ➡️ ผู้ฝ่าฝืนอาจถูกจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือปรับ ₹10 ล้าน ➡️ คนดังที่โฆษณาเกมเงินจริงอาจถูกปรับ ₹5 ล้าน หรือจำคุก 2 ปี ➡️ อุตสาหกรรมเกมเงินจริงมีมูลค่ากว่า $2.4 พันล้านในปี 2024 ➡️ Dream11 มีมูลค่าบริษัท $8 พันล้าน ส่วน Mobile Premier League อยู่ที่ $2.5 พันล้าน ➡️ เกมเหล่านี้ได้รับความนิยมสูงช่วงการแข่งขัน IPL ➡️ กระทรวง IT ของอินเดียจะเป็นหน่วยงานกำกับดูแลตามร่างกฎหมาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เกมเงินจริงมักใช้เทคนิค “near win” และ “variable rewards” เพื่อกระตุ้นให้เล่นต่อ ➡️ การติดเกมสามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและปัญหาทางการเงิน ➡️ อินเดียเคยเก็บภาษีเกมออนไลน์ 28% ตั้งแต่ปี 2023 และอาจเพิ่มเป็น 40% ➡️ รัฐบาลอินเดียเคยบล็อกเว็บไซต์พนันกว่า 1,400 แห่งระหว่างปี 2022–2025 ➡️ การควบคุมเกมออนไลน์เป็นเรื่องท้าทาย เพราะบางแพลตฟอร์มตั้งเซิร์ฟเวอร์นอกประเทศ ➡️ หลายประเทศ เช่น จีนและเกาหลีใต้ ก็มีมาตรการควบคุมเกมเงินจริงอย่างเข้มงวด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/india-plans-to-ban-online-games-played-with-money-citing-addiction-risks
    WWW.THESTAR.COM.MY
    India plans to ban online games played with money, citing addiction risks
    NEW DELHI (Reuters) -India's government plans to ban online games played with money, a proposed bill showed on Tuesday, in what would be a heavy blow for an industry that has attracted billions of dollars of foreign investment.
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • แนวคิดของ Agentic AI กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าวงการไซเบอร์ซีเคียวริตี้อย่างรวดเร็ว—แต่ก็ไม่ใช่โดยปราศจากข้อควรระวัง บทความจาก CSO Online และข้อมูลเสริมจากแหล่งอื่นๆ ชี้ให้เห็นว่าแม้เทคโนโลยีนี้จะมีศักยภาพมหาศาลในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระงานของผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ต้องจัดการอย่างรอบคอบ

    ลองนึกภาพว่า AI ไม่ได้แค่ตอบคำถามหรือวิเคราะห์ข้อมูล แต่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยอัตโนมัติ—นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Agentic AI ซึ่งต่างจาก AI แบบเดิมที่ต้องอาศัยคำสั่งจากมนุษย์ Agentic AI คือระบบที่มี “agency” หรือความสามารถในการลงมือทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง เช่น ตรวจสอบช่องโหว่ในระบบ สร้างแพตช์ หรือแม้แต่ประสานงานตอบโต้ภัยคุกคามแบบเรียลไทม์

    แต่ความสามารถนี้ก็มาพร้อมกับคำถามใหญ่: เราจะไว้ใจให้ AI ตัดสินใจแทนเราได้แค่ไหน? จะเกิดอะไรขึ้นถ้า AI “หลอน” หรือทำผิดพลาด? และข้อมูลที่เราป้อนให้มันจะถูกส่งต่อไปที่ไหน?

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าองค์กรต้องมี “รั้วกั้น” ที่ชัดเจน เช่น การกำหนดสิทธิ์ การตรวจสอบย้อนกลับ และการควบคุมการเข้าถึงข้อมูล เพื่อป้องกันไม่ให้ AI กลายเป็นภัยเสียเอง

    ในขณะเดียวกัน บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Cisco, Microsoft และ IBM ก็กำลังปรับโครงสร้างระบบความปลอดภัยใหม่ทั้งหมด เพื่อรองรับการทำงานของ AI ที่มีความเป็นอิสระมากขึ้น โดยเน้นการสร้างระบบที่สามารถตรวจสอบและควบคุมการตัดสินใจของ AI ได้อย่างโปร่งใส

    และแม้ว่า Agentic AI จะไม่แทนที่มนุษย์ในสายงานไซเบอร์ซีเคียวริตี้ แต่ก็จะเปลี่ยนแปลงทักษะที่จำเป็นอย่างสิ้นเชิง ผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ปรับตัวอาจพบว่าตำแหน่งงานของตนถูกลดความสำคัญลง

    การเปลี่ยนแปลงในวงการไซเบอร์ซีเคียวริตี้
    Agentic AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระงานของผู้เชี่ยวชาญ
    สามารถสร้างแพตช์ได้เร็วกว่าเจ้าหน้าที่มนุษย์ถึง 1,000 เท่า
    ไม่ใช่การลดจำนวนพนักงาน แต่เป็นการเปลี่ยนทักษะที่จำเป็น

    ความหมายของ Agentic AI
    คือระบบที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เอง
    ใช้ LLM ร่วมกับ MCP เพื่อเชื่อมต่อกับเครื่องมือภายนอก
    ยังไม่มีนิยามที่ชัดเจนในวงกว้าง

    การใช้งานในองค์กร
    CISOs ต้องตั้งคำถามก่อนนำ AI เข้ามาใช้งาน
    ต้องมีระบบตรวจสอบย้อนกลับและควบคุมสิทธิ์
    การปฏิเสธ AI ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป ต้อง “ยอมรับแบบมีรั้วกั้น”

    ความเสี่ยงของ Agentic AI
    อาจเกิดการ “หลอน” หรือให้คำตอบผิดพลาด
    ข้อมูลอาจถูกส่งต่อไปยังผู้ให้บริการ AI รายอื่นโดยไม่ตั้งใจ
    MCP มีความเสี่ยงคล้าย API ที่เคยมีปัญหาเรื่องความปลอดภัยมาก่อน

    ความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐาน
    ระบบความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถรับมือกับ AI ที่มีอิสระได้
    การอัปเกรดเครือข่ายเพื่อรองรับ AI อาจละเลยเรื่องความปลอดภัย
    การเชื่อมต่อระบบ OT กับ IT เพิ่มความเสี่ยงในอุตสาหกรรม

    https://www.csoonline.com/article/4040145/agentic-ai-promises-a-cybersecurity-revolution-with-asterisks.html
    แนวคิดของ Agentic AI กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าวงการไซเบอร์ซีเคียวริตี้อย่างรวดเร็ว—แต่ก็ไม่ใช่โดยปราศจากข้อควรระวัง บทความจาก CSO Online และข้อมูลเสริมจากแหล่งอื่นๆ ชี้ให้เห็นว่าแม้เทคโนโลยีนี้จะมีศักยภาพมหาศาลในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระงานของผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ต้องจัดการอย่างรอบคอบ ลองนึกภาพว่า AI ไม่ได้แค่ตอบคำถามหรือวิเคราะห์ข้อมูล แต่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยอัตโนมัติ—นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Agentic AI ซึ่งต่างจาก AI แบบเดิมที่ต้องอาศัยคำสั่งจากมนุษย์ Agentic AI คือระบบที่มี “agency” หรือความสามารถในการลงมือทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง เช่น ตรวจสอบช่องโหว่ในระบบ สร้างแพตช์ หรือแม้แต่ประสานงานตอบโต้ภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ แต่ความสามารถนี้ก็มาพร้อมกับคำถามใหญ่: เราจะไว้ใจให้ AI ตัดสินใจแทนเราได้แค่ไหน? จะเกิดอะไรขึ้นถ้า AI “หลอน” หรือทำผิดพลาด? และข้อมูลที่เราป้อนให้มันจะถูกส่งต่อไปที่ไหน? ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าองค์กรต้องมี “รั้วกั้น” ที่ชัดเจน เช่น การกำหนดสิทธิ์ การตรวจสอบย้อนกลับ และการควบคุมการเข้าถึงข้อมูล เพื่อป้องกันไม่ให้ AI กลายเป็นภัยเสียเอง ในขณะเดียวกัน บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Cisco, Microsoft และ IBM ก็กำลังปรับโครงสร้างระบบความปลอดภัยใหม่ทั้งหมด เพื่อรองรับการทำงานของ AI ที่มีความเป็นอิสระมากขึ้น โดยเน้นการสร้างระบบที่สามารถตรวจสอบและควบคุมการตัดสินใจของ AI ได้อย่างโปร่งใส และแม้ว่า Agentic AI จะไม่แทนที่มนุษย์ในสายงานไซเบอร์ซีเคียวริตี้ แต่ก็จะเปลี่ยนแปลงทักษะที่จำเป็นอย่างสิ้นเชิง ผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ปรับตัวอาจพบว่าตำแหน่งงานของตนถูกลดความสำคัญลง ✅ การเปลี่ยนแปลงในวงการไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ➡️ Agentic AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระงานของผู้เชี่ยวชาญ ➡️ สามารถสร้างแพตช์ได้เร็วกว่าเจ้าหน้าที่มนุษย์ถึง 1,000 เท่า ➡️ ไม่ใช่การลดจำนวนพนักงาน แต่เป็นการเปลี่ยนทักษะที่จำเป็น ✅ ความหมายของ Agentic AI ➡️ คือระบบที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เอง ➡️ ใช้ LLM ร่วมกับ MCP เพื่อเชื่อมต่อกับเครื่องมือภายนอก ➡️ ยังไม่มีนิยามที่ชัดเจนในวงกว้าง ✅ การใช้งานในองค์กร ➡️ CISOs ต้องตั้งคำถามก่อนนำ AI เข้ามาใช้งาน ➡️ ต้องมีระบบตรวจสอบย้อนกลับและควบคุมสิทธิ์ ➡️ การปฏิเสธ AI ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป ต้อง “ยอมรับแบบมีรั้วกั้น” ‼️ ความเสี่ยงของ Agentic AI ⛔ อาจเกิดการ “หลอน” หรือให้คำตอบผิดพลาด ⛔ ข้อมูลอาจถูกส่งต่อไปยังผู้ให้บริการ AI รายอื่นโดยไม่ตั้งใจ ⛔ MCP มีความเสี่ยงคล้าย API ที่เคยมีปัญหาเรื่องความปลอดภัยมาก่อน ‼️ ความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐาน ⛔ ระบบความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถรับมือกับ AI ที่มีอิสระได้ ⛔ การอัปเกรดเครือข่ายเพื่อรองรับ AI อาจละเลยเรื่องความปลอดภัย ⛔ การเชื่อมต่อระบบ OT กับ IT เพิ่มความเสี่ยงในอุตสาหกรรม https://www.csoonline.com/article/4040145/agentic-ai-promises-a-cybersecurity-revolution-with-asterisks.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Agentic AI promises a cybersecurity revolution — with asterisks
    Experts say agentic AI will rapidly change cybersecurity, freeing up talent to focus on more dynamic work. But with AI agents still in their infancy, they also urge CISOs to ask a lot of questions before committing to this new security paradigm.
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews
  • ฟื้นคืนชีพฟลอปปี้ดิสก์ในปี 2025: เมื่อความหลงใหลชนะข้อจำกัดของเทคโนโลยี

    ในยุคที่ SSD ขนาดเท่าหัวแม่มือสามารถเก็บข้อมูลได้หลายเทราไบต์ การกลับไปสร้างแผ่นฟลอปปี้ดิสก์อาจฟังดูไร้สาระ แต่สำหรับ Polymatt มันคือความท้าทายและการเคารพต่อยุคบุกเบิกของคอมพิวเตอร์

    เขาเริ่มจากการออกแบบโครงสร้างของแผ่นดิสก์ด้วย Shapr3D และ MakeraCAM แล้วใช้เครื่อง CNC ตัดอะลูมิเนียมเพื่อสร้างโครงที่แม่นยำ จากนั้นใช้เลเซอร์ตัดแผ่น PET film และเคลือบด้วยสารแขวนลอยของผงเหล็กออกไซด์ เพื่อสร้างพื้นผิวแม่เหล็กที่สามารถบันทึกข้อมูลได้

    ขั้นตอนที่ยากที่สุดคือการทำให้สารเคลือบติดแน่นกับแผ่น PET โดยต้องปรับสูตรหลายครั้ง ใช้สาร PVA, แอลกอฮอล์, กลีเซอรีน และสารลดแรงตึงผิว Tween 20 พร้อมทั้งอบด้วยเครื่องพิมพ์ 3D เพื่อให้ความหนาและความเรียบเท่ากัน

    สุดท้ายเขาสามารถประกอบแผ่นดิสก์เข้ากับโครงอะลูมิเนียม ทดสอบในไดรฟ์จริง และสามารถอ่านเขียนข้อมูลได้ แม้จะเป็นระดับพื้นฐาน แต่ถือเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งในยุคที่เทคโนโลยีนี้ถูกประกาศว่า “ตาย” ไปแล้วตั้งแต่ปี 2010

    https://www.techradar.com/pro/security/remember-floppy-disks-this-youtuber-set-out-to-build-his-own-from-scratch-see-how-he-got-on
    🧠 ฟื้นคืนชีพฟลอปปี้ดิสก์ในปี 2025: เมื่อความหลงใหลชนะข้อจำกัดของเทคโนโลยี ในยุคที่ SSD ขนาดเท่าหัวแม่มือสามารถเก็บข้อมูลได้หลายเทราไบต์ การกลับไปสร้างแผ่นฟลอปปี้ดิสก์อาจฟังดูไร้สาระ แต่สำหรับ Polymatt มันคือความท้าทายและการเคารพต่อยุคบุกเบิกของคอมพิวเตอร์ เขาเริ่มจากการออกแบบโครงสร้างของแผ่นดิสก์ด้วย Shapr3D และ MakeraCAM แล้วใช้เครื่อง CNC ตัดอะลูมิเนียมเพื่อสร้างโครงที่แม่นยำ จากนั้นใช้เลเซอร์ตัดแผ่น PET film และเคลือบด้วยสารแขวนลอยของผงเหล็กออกไซด์ เพื่อสร้างพื้นผิวแม่เหล็กที่สามารถบันทึกข้อมูลได้ ขั้นตอนที่ยากที่สุดคือการทำให้สารเคลือบติดแน่นกับแผ่น PET โดยต้องปรับสูตรหลายครั้ง ใช้สาร PVA, แอลกอฮอล์, กลีเซอรีน และสารลดแรงตึงผิว Tween 20 พร้อมทั้งอบด้วยเครื่องพิมพ์ 3D เพื่อให้ความหนาและความเรียบเท่ากัน สุดท้ายเขาสามารถประกอบแผ่นดิสก์เข้ากับโครงอะลูมิเนียม ทดสอบในไดรฟ์จริง และสามารถอ่านเขียนข้อมูลได้ แม้จะเป็นระดับพื้นฐาน แต่ถือเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งในยุคที่เทคโนโลยีนี้ถูกประกาศว่า “ตาย” ไปแล้วตั้งแต่ปี 2010 https://www.techradar.com/pro/security/remember-floppy-disks-this-youtuber-set-out-to-build-his-own-from-scratch-see-how-he-got-on
    0 Comments 0 Shares 157 Views 0 Reviews
  • เมื่ออดีตพันธมิตรถูกแปรเปลี่ยนเป็นศัตรู: Elon Musk vs Sam Altman กับสงคราม AI ที่ลุกลามสู่โลกโซเชียล

    ในเดือนสิงหาคม 2025 ความขัดแย้งระหว่าง Elon Musk และ Sam Altman กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากที่ Musk กล่าวหาว่า Apple ลำเอียงในการจัดอันดับแอปใน App Store โดยให้ ChatGPT ของ OpenAI อยู่เหนือกว่า Grok ซึ่งเป็นแชตบอทของ xAI บริษัทที่ Musk ก่อตั้งขึ้น

    Musk ระบุว่า Apple กระทำการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดอย่างชัดเจน และประกาศว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายทันที ขณะที่ Altman ตอบโต้ด้วยการกล่าวหาว่า Musk เองก็เคยปรับอัลกอริธึมของแพลตฟอร์ม X เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและบริษัทในเครือ

    การโต้ตอบกันบนแพลตฟอร์ม X กลายเป็นการปะทะกันอย่างดุเดือด โดย Muskเรียก Altman ว่า “คนโกหก” และอ้างว่าโพสต์ของ Altman ได้รับยอดวิวมากกว่าโพสต์ของเขา แม้จะมีผู้ติดตามมากกว่าถึง 50 เท่า Altman ตอบกลับด้วยการท้าทายให้ Musk เซ็นรับรองว่าไม่เคยปรับอัลกอริธึมเพื่อทำร้ายคู่แข่ง

    เบื้องหลังของความขัดแย้งนี้ย้อนกลับไปถึงปี 2018 เมื่อ Musk ถอนตัวจากบอร์ดของ OpenAI และกล่าวหาว่าองค์กรละทิ้งพันธกิจเดิมในการสร้าง AI เพื่อมนุษยชาติ โดยหันไปเน้นผลกำไรร่วมกับ Microsoft

    นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ Musk แชร์ภาพหน้าจอจาก ChatGPT ที่ตอบว่า “Elon Musk” น่าเชื่อถือกว่า Altman แต่ผู้ใช้หลายคนพบว่า หากตั้งคำถามใหม่หรือปรับบริบทก่อนถาม คำตอบจะเปลี่ยนเป็น “Sam Altman” ซึ่งสะท้อนถึงความอ่อนไหวของ AI ต่อการตั้งคำถาม

    จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง
    Musk และ Altman ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015
    Musk ถอนตัวจากบอร์ดในปี 2018 ด้วยเหตุผลด้านทิศทางองค์กร
    ความขัดแย้งทวีความรุนแรงเมื่อ OpenAI ร่วมมือกับ Microsoft

    เหตุการณ์ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2025
    Musk กล่าวหา Apple ว่าลำเอียงต่อ ChatGPT ใน App Store
    Altman ตอบโต้โดยกล่าวหาว่า Musk ปรับอัลกอริธึม X เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
    การโต้ตอบกลายเป็นการด่าทอกันอย่างเปิดเผยบนโซเชียล

    ประเด็นเรื่องความน่าเชื่อถือของ AI
    Musk แชร์ภาพ ChatGPT ตอบว่าเขาน่าเชื่อถือกว่า Altman
    ผู้ใช้หลายคนพบว่า AI เปลี่ยนคำตอบตามบริบทของคำถาม
    สะท้อนถึงความอ่อนไหวของโมเดลต่อการตั้งคำถามและการ “ป้อนคำ”

    การเปรียบเทียบ Grok กับ ChatGPT
    Musk อ้างว่า Grok ดีกว่า GPT-5
    Altmanไม่ตอบตรง แต่เน้นโจมตีพฤติกรรมของ Musk
    Grok เคยถูกวิจารณ์เรื่องการให้ข้อมูลเท็จและเนื้อหาขัดแย้ง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/039you-liar039-elon-musk-and-sam-altman039s-ai-battle-erupts-on-social-media
    🧠 เมื่ออดีตพันธมิตรถูกแปรเปลี่ยนเป็นศัตรู: Elon Musk vs Sam Altman กับสงคราม AI ที่ลุกลามสู่โลกโซเชียล ในเดือนสิงหาคม 2025 ความขัดแย้งระหว่าง Elon Musk และ Sam Altman กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากที่ Musk กล่าวหาว่า Apple ลำเอียงในการจัดอันดับแอปใน App Store โดยให้ ChatGPT ของ OpenAI อยู่เหนือกว่า Grok ซึ่งเป็นแชตบอทของ xAI บริษัทที่ Musk ก่อตั้งขึ้น Musk ระบุว่า Apple กระทำการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดอย่างชัดเจน และประกาศว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายทันที ขณะที่ Altman ตอบโต้ด้วยการกล่าวหาว่า Musk เองก็เคยปรับอัลกอริธึมของแพลตฟอร์ม X เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและบริษัทในเครือ การโต้ตอบกันบนแพลตฟอร์ม X กลายเป็นการปะทะกันอย่างดุเดือด โดย Muskเรียก Altman ว่า “คนโกหก” และอ้างว่าโพสต์ของ Altman ได้รับยอดวิวมากกว่าโพสต์ของเขา แม้จะมีผู้ติดตามมากกว่าถึง 50 เท่า Altman ตอบกลับด้วยการท้าทายให้ Musk เซ็นรับรองว่าไม่เคยปรับอัลกอริธึมเพื่อทำร้ายคู่แข่ง เบื้องหลังของความขัดแย้งนี้ย้อนกลับไปถึงปี 2018 เมื่อ Musk ถอนตัวจากบอร์ดของ OpenAI และกล่าวหาว่าองค์กรละทิ้งพันธกิจเดิมในการสร้าง AI เพื่อมนุษยชาติ โดยหันไปเน้นผลกำไรร่วมกับ Microsoft นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ Musk แชร์ภาพหน้าจอจาก ChatGPT ที่ตอบว่า “Elon Musk” น่าเชื่อถือกว่า Altman แต่ผู้ใช้หลายคนพบว่า หากตั้งคำถามใหม่หรือปรับบริบทก่อนถาม คำตอบจะเปลี่ยนเป็น “Sam Altman” ซึ่งสะท้อนถึงความอ่อนไหวของ AI ต่อการตั้งคำถาม ✅ จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง ➡️ Musk และ Altman ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015 ➡️ Musk ถอนตัวจากบอร์ดในปี 2018 ด้วยเหตุผลด้านทิศทางองค์กร ➡️ ความขัดแย้งทวีความรุนแรงเมื่อ OpenAI ร่วมมือกับ Microsoft ✅ เหตุการณ์ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2025 ➡️ Musk กล่าวหา Apple ว่าลำเอียงต่อ ChatGPT ใน App Store ➡️ Altman ตอบโต้โดยกล่าวหาว่า Musk ปรับอัลกอริธึม X เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ➡️ การโต้ตอบกลายเป็นการด่าทอกันอย่างเปิดเผยบนโซเชียล ✅ ประเด็นเรื่องความน่าเชื่อถือของ AI ➡️ Musk แชร์ภาพ ChatGPT ตอบว่าเขาน่าเชื่อถือกว่า Altman ➡️ ผู้ใช้หลายคนพบว่า AI เปลี่ยนคำตอบตามบริบทของคำถาม ➡️ สะท้อนถึงความอ่อนไหวของโมเดลต่อการตั้งคำถามและการ “ป้อนคำ” ✅ การเปรียบเทียบ Grok กับ ChatGPT ➡️ Musk อ้างว่า Grok ดีกว่า GPT-5 ➡️ Altmanไม่ตอบตรง แต่เน้นโจมตีพฤติกรรมของ Musk ➡️ Grok เคยถูกวิจารณ์เรื่องการให้ข้อมูลเท็จและเนื้อหาขัดแย้ง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/039you-liar039-elon-musk-and-sam-altman039s-ai-battle-erupts-on-social-media
    0 Comments 0 Shares 255 Views 0 Reviews
  • เมื่ออัจฉริยะรวมตัวกัน: Meta กับภารกิจสร้าง AI เหนือมนุษย์ และความท้าทายในการบริหารทีมระดับเทพ

    ในปี 2025 Meta ได้เปิดตัว “Superintelligence Lab” โดยรวบรวมสุดยอดนักวิจัย AI จาก OpenAI, DeepMind, Anthropic และ Scale AI เพื่อเร่งพัฒนา AI ที่มีความสามารถใกล้เคียงหรือเหนือกว่ามนุษย์ หรือที่เรียกว่า Artificial General Intelligence (AGI)

    Mark Zuckerberg ทุ่มงบมหาศาล พร้อมเสนอค่าตอบแทนระดับ $100–300 ล้านต่อคน เพื่อดึงตัวนักวิจัยระดับโลกมาร่วมทีม โดยมี Alexandr Wang อดีต CEO ของ Scale AI และ Nat Friedman อดีต CEO ของ GitHub เป็นผู้นำทีม

    แต่การรวมตัวของอัจฉริยะจำนวนมากไม่ได้หมายถึงความสำเร็จเสมอไป งานวิจัยจาก Harvard และ MIT ชี้ว่า ทีมที่มีแต่คนเก่งอาจเกิดความขัดแย้ง อีโก้ชนกัน และประสิทธิภาพลดลง หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี

    นักวิชาการแนะนำว่า การบริหารทีมระดับสูงต้องมี “การแบ่งหน้าที่ชัดเจน” และ “โครงสร้างอำนาจที่โปร่งใส” เพื่อป้องกันการแย่งอำนาจและความขัดแย้งภายใน นอกจากนี้ยังต้องสร้าง “เคมีของทีม” ผ่านความไว้วางใจและเป้าหมายร่วมกัน

    Meta ยังต้องรับมือกับความท้าทายด้านวัฒนธรรมองค์กร การรวมคนจากหลากหลายประเทศและภูมิหลัง เช่น ทีมที่มีสมาชิกเชื้อสายจีนกว่า 50% และถือ PhD ถึง 75% อาจเกิดความขัดแย้งเชิงวัฒนธรรมและการสื่อสาร

    การสร้างทีม Superintelligence ของ Meta
    รวมตัวนักวิจัยจาก OpenAI, DeepMind, Anthropic และ Scale AI
    นำโดย Alexandr Wang และ Nat Friedman
    เป้าหมายคือสร้าง AGI ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์

    กลยุทธ์การดึงตัวบุคลากร
    เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $300 ล้านต่อคน
    Zuckerberg เข้าร่วมกระบวนการสรรหาด้วยตัวเอง
    ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI เพื่อดึง Wang มาร่วมทีม

    ความท้าทายด้านการบริหารทีมอัจฉริยะ
    ทีมที่มีแต่คนเก่งอาจเกิดความขัดแย้งและประสิทธิภาพลดลง
    ต้องมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจนและโครงสร้างอำนาจที่โปร่งใส
    การสร้างเคมีของทีมต้องใช้เวลาและความอดทนจากผู้นำ

    ข้อเสนอจากนักวิชาการด้านการบริหารทีม
    กำหนด “เลน” ของแต่ละคนให้ชัดเจน
    สร้างโครงสร้างอำนาจที่ยืดหยุ่นแต่ชัดเจน
    สร้างความไว้วางใจและเป้าหมายร่วมกันในทีม

    ความหลากหลายของทีมและผลกระทบ
    ทีมมีสมาชิกเชื้อสายจีนกว่า 50% และถือ PhD ถึง 75%
    ความหลากหลายช่วยเพิ่มมุมมอง แต่ต้องจัดการความขัดแย้งทางวัฒนธรรม
    การสื่อสารและความเข้าใจระหว่างสมาชิกเป็นหัวใจสำคัญ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/metas-superintelligence-dream-team-will-be-management-challenge-of-the-century
    🧠 เมื่ออัจฉริยะรวมตัวกัน: Meta กับภารกิจสร้าง AI เหนือมนุษย์ และความท้าทายในการบริหารทีมระดับเทพ ในปี 2025 Meta ได้เปิดตัว “Superintelligence Lab” โดยรวบรวมสุดยอดนักวิจัย AI จาก OpenAI, DeepMind, Anthropic และ Scale AI เพื่อเร่งพัฒนา AI ที่มีความสามารถใกล้เคียงหรือเหนือกว่ามนุษย์ หรือที่เรียกว่า Artificial General Intelligence (AGI) Mark Zuckerberg ทุ่มงบมหาศาล พร้อมเสนอค่าตอบแทนระดับ $100–300 ล้านต่อคน เพื่อดึงตัวนักวิจัยระดับโลกมาร่วมทีม โดยมี Alexandr Wang อดีต CEO ของ Scale AI และ Nat Friedman อดีต CEO ของ GitHub เป็นผู้นำทีม แต่การรวมตัวของอัจฉริยะจำนวนมากไม่ได้หมายถึงความสำเร็จเสมอไป งานวิจัยจาก Harvard และ MIT ชี้ว่า ทีมที่มีแต่คนเก่งอาจเกิดความขัดแย้ง อีโก้ชนกัน และประสิทธิภาพลดลง หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี นักวิชาการแนะนำว่า การบริหารทีมระดับสูงต้องมี “การแบ่งหน้าที่ชัดเจน” และ “โครงสร้างอำนาจที่โปร่งใส” เพื่อป้องกันการแย่งอำนาจและความขัดแย้งภายใน นอกจากนี้ยังต้องสร้าง “เคมีของทีม” ผ่านความไว้วางใจและเป้าหมายร่วมกัน Meta ยังต้องรับมือกับความท้าทายด้านวัฒนธรรมองค์กร การรวมคนจากหลากหลายประเทศและภูมิหลัง เช่น ทีมที่มีสมาชิกเชื้อสายจีนกว่า 50% และถือ PhD ถึง 75% อาจเกิดความขัดแย้งเชิงวัฒนธรรมและการสื่อสาร ✅ การสร้างทีม Superintelligence ของ Meta ➡️ รวมตัวนักวิจัยจาก OpenAI, DeepMind, Anthropic และ Scale AI ➡️ นำโดย Alexandr Wang และ Nat Friedman ➡️ เป้าหมายคือสร้าง AGI ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ ✅ กลยุทธ์การดึงตัวบุคลากร ➡️ เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $300 ล้านต่อคน ➡️ Zuckerberg เข้าร่วมกระบวนการสรรหาด้วยตัวเอง ➡️ ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI เพื่อดึง Wang มาร่วมทีม ✅ ความท้าทายด้านการบริหารทีมอัจฉริยะ ➡️ ทีมที่มีแต่คนเก่งอาจเกิดความขัดแย้งและประสิทธิภาพลดลง ➡️ ต้องมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจนและโครงสร้างอำนาจที่โปร่งใส ➡️ การสร้างเคมีของทีมต้องใช้เวลาและความอดทนจากผู้นำ ✅ ข้อเสนอจากนักวิชาการด้านการบริหารทีม ➡️ กำหนด “เลน” ของแต่ละคนให้ชัดเจน ➡️ สร้างโครงสร้างอำนาจที่ยืดหยุ่นแต่ชัดเจน ➡️ สร้างความไว้วางใจและเป้าหมายร่วมกันในทีม ✅ ความหลากหลายของทีมและผลกระทบ ➡️ ทีมมีสมาชิกเชื้อสายจีนกว่า 50% และถือ PhD ถึง 75% ➡️ ความหลากหลายช่วยเพิ่มมุมมอง แต่ต้องจัดการความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ➡️ การสื่อสารและความเข้าใจระหว่างสมาชิกเป็นหัวใจสำคัญ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/metas-superintelligence-dream-team-will-be-management-challenge-of-the-century
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta’s superintelligence dream team will be management challenge of the century
    Without expert management, too much talent in one group can lead to diminishing returns – or even outright failure – if egos clash and the chemistry is poor enough.
    0 Comments 0 Shares 255 Views 0 Reviews
  • DeepSeek R2: โมเดล AI ที่สะดุดเพราะชิป Huawei

    DeepSeek บริษัท AI สัญชาติจีนที่เคยสร้างชื่อจากโมเดล R1 กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการพัฒนา R2 ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะใช้ชิป Ascend 910C ของ Huawei ในการฝึกโมเดล เพื่อสนับสนุนแนวทาง “พึ่งพาตนเอง” ของรัฐบาลจีน แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามแผน

    แม้ Huawei จะส่งทีมวิศวกรไปช่วย DeepSeek โดยตรง แต่ชิป Ascend กลับมีปัญหาหลายด้าน เช่น ความร้อนสูง, การเชื่อมต่อระหว่างชิปที่ช้า, และซอฟต์แวร์ที่ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA ทำให้ DeepSeek ไม่สามารถฝึกโมเดล R2 ได้สำเร็จ

    สุดท้าย DeepSeek ต้องหันกลับมาใช้ชิป NVIDIA H20 ในการฝึกโมเดล และใช้ชิป Huawei เฉพาะในขั้นตอน inference เท่านั้น ซึ่งเป็นการประนีประนอมระหว่างประสิทธิภาพและนโยบายรัฐ

    นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ R2 ล่าช้า เช่น การติดป้ายข้อมูล (data labeling) ที่ใช้เวลานานกว่าคาด และความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป NVIDIA ที่อาจมีระบบติดตามตำแหน่ง ทำให้รัฐบาลจีนลังเลที่จะอนุมัติการใช้งานในวงกว้าง

    แม้ DeepSeek จะยังไม่ประกาศวันเปิดตัวใหม่อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าโมเดล R2 จะเปิดตัวภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยต้องแข่งกับคู่แข่งอย่าง Qwen3 จาก Alibaba ที่กำลังมาแรง

    DeepSeek ล่าช้าในการเปิดตัวโมเดล R2
    เดิมตั้งใจเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม แต่เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด
    ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุงและทดสอบประสิทธิภาพ

    ปัญหาจากการใช้ชิป Huawei Ascend 910C
    มีปัญหาความร้อนสูงและการเชื่อมต่อระหว่างชิปที่ช้า
    ซอฟต์แวร์ CANN ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA
    ไม่สามารถฝึกโมเดลขนาดใหญ่ได้สำเร็จ

    การเปลี่ยนกลับมาใช้ชิป NVIDIA
    ใช้ NVIDIA H20 ในการฝึกโมเดล R2
    ใช้ Huawei เฉพาะในขั้นตอน inference เพื่อประหยัดต้นทุน
    เป็นแนวทางแบบ hybrid ที่หลายบริษัทจีนเริ่มนำมาใช้

    ปัจจัยอื่นที่ทำให้ R2 ล่าช้า
    การติดป้ายข้อมูลใช้เวลานานกว่าคาด
    ผู้ก่อตั้งไม่พอใจกับความก้าวหน้า และต้องการคุณภาพสูงกว่าคู่แข่ง
    รัฐบาลจีนยังลังเลเรื่องการอนุมัติชิป NVIDIA เพราะข้อกังวลด้านความปลอดภัย

    https://wccftech.com/deepseek-r2-ai-model-is-reportedly-delayed-after-chinese-authorities-encouraged-the-firm-to-use-huawei-ai-chips/
    🧠 DeepSeek R2: โมเดล AI ที่สะดุดเพราะชิป Huawei DeepSeek บริษัท AI สัญชาติจีนที่เคยสร้างชื่อจากโมเดล R1 กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการพัฒนา R2 ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะใช้ชิป Ascend 910C ของ Huawei ในการฝึกโมเดล เพื่อสนับสนุนแนวทาง “พึ่งพาตนเอง” ของรัฐบาลจีน แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามแผน แม้ Huawei จะส่งทีมวิศวกรไปช่วย DeepSeek โดยตรง แต่ชิป Ascend กลับมีปัญหาหลายด้าน เช่น ความร้อนสูง, การเชื่อมต่อระหว่างชิปที่ช้า, และซอฟต์แวร์ที่ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA ทำให้ DeepSeek ไม่สามารถฝึกโมเดล R2 ได้สำเร็จ สุดท้าย DeepSeek ต้องหันกลับมาใช้ชิป NVIDIA H20 ในการฝึกโมเดล และใช้ชิป Huawei เฉพาะในขั้นตอน inference เท่านั้น ซึ่งเป็นการประนีประนอมระหว่างประสิทธิภาพและนโยบายรัฐ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ R2 ล่าช้า เช่น การติดป้ายข้อมูล (data labeling) ที่ใช้เวลานานกว่าคาด และความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป NVIDIA ที่อาจมีระบบติดตามตำแหน่ง ทำให้รัฐบาลจีนลังเลที่จะอนุมัติการใช้งานในวงกว้าง แม้ DeepSeek จะยังไม่ประกาศวันเปิดตัวใหม่อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าโมเดล R2 จะเปิดตัวภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยต้องแข่งกับคู่แข่งอย่าง Qwen3 จาก Alibaba ที่กำลังมาแรง ✅ DeepSeek ล่าช้าในการเปิดตัวโมเดล R2 ➡️ เดิมตั้งใจเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม แต่เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด ➡️ ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุงและทดสอบประสิทธิภาพ ✅ ปัญหาจากการใช้ชิป Huawei Ascend 910C ➡️ มีปัญหาความร้อนสูงและการเชื่อมต่อระหว่างชิปที่ช้า ➡️ ซอฟต์แวร์ CANN ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA ➡️ ไม่สามารถฝึกโมเดลขนาดใหญ่ได้สำเร็จ ✅ การเปลี่ยนกลับมาใช้ชิป NVIDIA ➡️ ใช้ NVIDIA H20 ในการฝึกโมเดล R2 ➡️ ใช้ Huawei เฉพาะในขั้นตอน inference เพื่อประหยัดต้นทุน ➡️ เป็นแนวทางแบบ hybrid ที่หลายบริษัทจีนเริ่มนำมาใช้ ✅ ปัจจัยอื่นที่ทำให้ R2 ล่าช้า ➡️ การติดป้ายข้อมูลใช้เวลานานกว่าคาด ➡️ ผู้ก่อตั้งไม่พอใจกับความก้าวหน้า และต้องการคุณภาพสูงกว่าคู่แข่ง ➡️ รัฐบาลจีนยังลังเลเรื่องการอนุมัติชิป NVIDIA เพราะข้อกังวลด้านความปลอดภัย https://wccftech.com/deepseek-r2-ai-model-is-reportedly-delayed-after-chinese-authorities-encouraged-the-firm-to-use-huawei-ai-chips/
    WCCFTECH.COM
    DeepSeek's R2 AI Model Is Reportedly Delayed After Chinese Authorities Encouraged the Firm to Use Huawei's AI Chips; Beijing Is Still in Need of NVIDIA's Alternatives
    Well, relying on Huawei's AI chips didn't go well for DeepSeek, as the AI firm has failed to train the R2 model on Chinese chips.
    0 Comments 0 Shares 246 Views 0 Reviews
More Results