• กองปราบประสาน ปปง.เร่งอายัดทรัพย์ "ทนายตั้ม" เดินหน้าลุยคดีโกง 39 ล้าน หลังพบคนสนิทถอนเงินห้างดังลาดพร้าว ผกก.บางซื่อ รับทนายคนดังโทรขอให้ช่วยรับลงบันทึกประจำวันถูกดูดเงินจากบัญชีบิทคอยน์ พบ"สารินี" ถอนเงินสดจากธนาคารย่านห้าแยกลาดพร้าว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000108003

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    กองปราบประสาน ปปง.เร่งอายัดทรัพย์ "ทนายตั้ม" เดินหน้าลุยคดีโกง 39 ล้าน หลังพบคนสนิทถอนเงินห้างดังลาดพร้าว ผกก.บางซื่อ รับทนายคนดังโทรขอให้ช่วยรับลงบันทึกประจำวันถูกดูดเงินจากบัญชีบิทคอยน์ พบ"สารินี" ถอนเงินสดจากธนาคารย่านห้าแยกลาดพร้าว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000108003 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Sad
    28
    2 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 1911 มุมมอง 1 รีวิว
  • คนใกล้ตัวตั้มแฉ ทนายคนดังหัวหมอ งัดสกุลเงินยูโรมาต่อรอง ขอกินฉี่เพียง 2 แก้ว จาก 2 ล้านยูโร ไม่กิน 71 แก้ว ตามสกุลเงินบาท 71 ล้าน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    คนใกล้ตัวตั้มแฉ ทนายคนดังหัวหมอ งัดสกุลเงินยูโรมาต่อรอง ขอกินฉี่เพียง 2 แก้ว จาก 2 ล้านยูโร ไม่กิน 71 แก้ว ตามสกุลเงินบาท 71 ล้าน #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 371 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานเข้าอี๊กกก! เพจดังชี้เป้าให้ตรวจสอบ"น้องชายทนายตั้ม"อ้างเป็นผู้ดูแลเว็บพนันให้ทนายคนดัง 02/11/67 #น้องชายทนายตั้ม #ผู้ดูแลเว็บพนัน #ทนายคนดัง
    งานเข้าอี๊กกก! เพจดังชี้เป้าให้ตรวจสอบ"น้องชายทนายตั้ม"อ้างเป็นผู้ดูแลเว็บพนันให้ทนายคนดัง 02/11/67 #น้องชายทนายตั้ม #ผู้ดูแลเว็บพนัน #ทนายคนดัง
    Like
    Haha
    Love
    14
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1168 มุมมอง 402 0 รีวิว
  • คุณอ้อยสบายใจ คดีทนายตั้มฉ้อโกงคืบ ย้ำไม่ยอมความให้ศาลตัดสิน
    .
    วันนี้ (1 พ.ย.) ที่อาคารประชาอารักษ์ กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ คุณอ้อย เศรษฐินีชาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งแจ้งความดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ข้อหาฉ้อโกง จากการชักชวนลงทุนแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ออนไลน์ เสียหายกว่า 71 ล้านบาท ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนที่มาเฝ้ารอสัมภาษณ์นานกว่า 11 ชั่วโมง หลังให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา ซึ่งการให้ปากคำยังไม่เสร็จสิ้น ยังคงต้องมาอีกครั้ง โดยพนักงานสอบสวนจะเป็นผู้นัดหมาย
    .
    คุณอ้อย กล่าวว่า รายละเอียดได้ให้ตำรวจไปหมดแล้ว ไม่อยากให้สัมภาษณ์อะไรมากเพราะจะกระทบรูปคดี แต่ยืนยันว่าไม่ได้ให้เงิน 71 ล้านบาทโดยเสน่หา ทั้งนี้ ตนมีความรู้สึกสบายใจมากขึ้น และรู้สึกดีมาก หลังจากเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย ไม่มีความกังวลใดๆ ส่วนนายษิทราติดต่อเข้ามาหาหรือไม่ คุณอ้อย กล่าวว่า ไม่ติดต่อมาเลย เพราะยื่นโนติสให้เขาแล้วแต่ไม่ติดต่อกลับมา พอเห็นว่านานมาแล้วจึงเรียกทนายความ
    .
    ถามว่า รู้สึกผิดหวังกับทนายคนดังไหม คุณอ้อย กล่าวว่า รู้สึกใจสลาย ถามว่าอยากจะฝากบอกอะไรถึงนายษิทรา คุณอ้อย กล่าวว่า เมื่อก่อนเคยช่วยเหลือทุกอย่าง การเดินทางท่องเที่ยว เหมือนคนในครอบครัว ถามว่าจุดแตกหักคือเรื่องเงินหรือเรื่องรถ คุณอ้อยกล่าวว่า รู้ระแคะระคาย รายละเอียดเดี๋ยวให้ทนายความชี้แจง ถามว่าถ้านายษิทรามาเจรจาหรือขอคืนเงิน คุณอ้อย กล่าวว่า ไม่ เพราะให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่มียอมความ
    .
    ด้านนายสมชาติ พินิจอักษร ทนายความ เปิดเผยว่า การให้ปากคำในวันนี้เนื้อหาไม่แตกต่างจากเมื่อวาน แต่มีการข้อมูลเพิ่มเติมให้พนักงานสอบสวน ลงลึกในรายละเอียดมากขึ้น ซึ่งการให้ปากคำตลอด 2 วันที่ผ่านมา ถือว่าคืบหน้าไปแล้ว 60% นอกจากนี้ ยังได้นำพยานหลักฐานซึ่งเป็นเอกสารมาให้พนักงานสอบสวนด้วย ส่วนปมแตกหักระหว่างคุณอ้อยและนายษิทรานั้น มีปัญหาบาดหมางระหองระแหง แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดว่าเป็นเรื่องใด คุณอ้อยยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด นั่นหมายถึงให้ศาลฯ เป็นผู้พิพากษา
    .
    ส่วนกรณีที่นายษิทราออกมายืนยันว่า จะไม่มีทางคืนเงิน 71 ล้านบาท พร้อมต่อสู้ในชั้นศาลฯ ก็เป็นแนวทางการต่อสู้ของเขา แต่ทางเรามีพยานหลักฐานและมีแนวทางการต่อสู้คดีเหมือนกัน ไม่ใช่ให้เงินโดยเสน่หาอย่างแน่นอน
    .
    ส่วนกรณีรถเบนซ์สีดำ ก่อนหน้านี้คุณอ้อยเป็นเจ้าของรถ แต่มีการหยิบยืมไปใช้บ้างเป็นครั้งคราว ส่วนกระแสข่าวคนใช้รถตัวจริงไม่ใช่คู่กรณี แต่มีการนำไปให้ชาวต่างชาติ หรือกลุ่มจีนเทาเป็นผู้ใช้รถนั้น ยอมรับว่าตนได้ข้อมูลเหมือนกับสื่อมวลชน ซึ่งเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ส่วนกรณีที่มีคนพบว่านายษิทรา คู่กรณีมีการไปยื่นขอหนังสือเดินทางเพื่อไปยุโรปนั้น ตนยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว แต่ยืนยันว่าต่อให้หลบหนีไปต่างประเทศก็ไม่ทำให้หนักใจ เพราะเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ
    ..............
    Sondhi X
    คุณอ้อยสบายใจ คดีทนายตั้มฉ้อโกงคืบ ย้ำไม่ยอมความให้ศาลตัดสิน . วันนี้ (1 พ.ย.) ที่อาคารประชาอารักษ์ กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ คุณอ้อย เศรษฐินีชาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งแจ้งความดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ข้อหาฉ้อโกง จากการชักชวนลงทุนแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ออนไลน์ เสียหายกว่า 71 ล้านบาท ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนที่มาเฝ้ารอสัมภาษณ์นานกว่า 11 ชั่วโมง หลังให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา ซึ่งการให้ปากคำยังไม่เสร็จสิ้น ยังคงต้องมาอีกครั้ง โดยพนักงานสอบสวนจะเป็นผู้นัดหมาย . คุณอ้อย กล่าวว่า รายละเอียดได้ให้ตำรวจไปหมดแล้ว ไม่อยากให้สัมภาษณ์อะไรมากเพราะจะกระทบรูปคดี แต่ยืนยันว่าไม่ได้ให้เงิน 71 ล้านบาทโดยเสน่หา ทั้งนี้ ตนมีความรู้สึกสบายใจมากขึ้น และรู้สึกดีมาก หลังจากเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย ไม่มีความกังวลใดๆ ส่วนนายษิทราติดต่อเข้ามาหาหรือไม่ คุณอ้อย กล่าวว่า ไม่ติดต่อมาเลย เพราะยื่นโนติสให้เขาแล้วแต่ไม่ติดต่อกลับมา พอเห็นว่านานมาแล้วจึงเรียกทนายความ . ถามว่า รู้สึกผิดหวังกับทนายคนดังไหม คุณอ้อย กล่าวว่า รู้สึกใจสลาย ถามว่าอยากจะฝากบอกอะไรถึงนายษิทรา คุณอ้อย กล่าวว่า เมื่อก่อนเคยช่วยเหลือทุกอย่าง การเดินทางท่องเที่ยว เหมือนคนในครอบครัว ถามว่าจุดแตกหักคือเรื่องเงินหรือเรื่องรถ คุณอ้อยกล่าวว่า รู้ระแคะระคาย รายละเอียดเดี๋ยวให้ทนายความชี้แจง ถามว่าถ้านายษิทรามาเจรจาหรือขอคืนเงิน คุณอ้อย กล่าวว่า ไม่ เพราะให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่มียอมความ . ด้านนายสมชาติ พินิจอักษร ทนายความ เปิดเผยว่า การให้ปากคำในวันนี้เนื้อหาไม่แตกต่างจากเมื่อวาน แต่มีการข้อมูลเพิ่มเติมให้พนักงานสอบสวน ลงลึกในรายละเอียดมากขึ้น ซึ่งการให้ปากคำตลอด 2 วันที่ผ่านมา ถือว่าคืบหน้าไปแล้ว 60% นอกจากนี้ ยังได้นำพยานหลักฐานซึ่งเป็นเอกสารมาให้พนักงานสอบสวนด้วย ส่วนปมแตกหักระหว่างคุณอ้อยและนายษิทรานั้น มีปัญหาบาดหมางระหองระแหง แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดว่าเป็นเรื่องใด คุณอ้อยยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด นั่นหมายถึงให้ศาลฯ เป็นผู้พิพากษา . ส่วนกรณีที่นายษิทราออกมายืนยันว่า จะไม่มีทางคืนเงิน 71 ล้านบาท พร้อมต่อสู้ในชั้นศาลฯ ก็เป็นแนวทางการต่อสู้ของเขา แต่ทางเรามีพยานหลักฐานและมีแนวทางการต่อสู้คดีเหมือนกัน ไม่ใช่ให้เงินโดยเสน่หาอย่างแน่นอน . ส่วนกรณีรถเบนซ์สีดำ ก่อนหน้านี้คุณอ้อยเป็นเจ้าของรถ แต่มีการหยิบยืมไปใช้บ้างเป็นครั้งคราว ส่วนกระแสข่าวคนใช้รถตัวจริงไม่ใช่คู่กรณี แต่มีการนำไปให้ชาวต่างชาติ หรือกลุ่มจีนเทาเป็นผู้ใช้รถนั้น ยอมรับว่าตนได้ข้อมูลเหมือนกับสื่อมวลชน ซึ่งเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ส่วนกรณีที่มีคนพบว่านายษิทรา คู่กรณีมีการไปยื่นขอหนังสือเดินทางเพื่อไปยุโรปนั้น ตนยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว แต่ยืนยันว่าต่อให้หลบหนีไปต่างประเทศก็ไม่ทำให้หนักใจ เพราะเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ .............. Sondhi X
    Like
    Love
    21
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 639 มุมมอง 3 รีวิว
  • ย้อนประวัติ “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด (30/10/67) #news1 #ทนายตั้ม #ษิทราเบี้ยบังเกิด #ทนายคนดัง
    ย้อนประวัติ “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด (30/10/67) #news1 #ทนายตั้ม #ษิทราเบี้ยบังเกิด #ทนายคนดัง
    Like
    Haha
    21
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2115 มุมมอง 776 0 รีวิว
  • ย้อนประวัติ “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด (30/10/67) #news1 #ทนายตั้ม #ษิทราเบี้ยบังเกิด #ทนายคนดัง
    ย้อนประวัติ “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด (30/10/67) #news1 #ทนายตั้ม #ษิทราเบี้ยบังเกิด #ทนายคนดัง
    Like
    Haha
    Yay
    Love
    Sad
    23
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2071 มุมมอง 760 0 รีวิว
  • "ทนายอั๋น" ร้อง บช.ก.ตรวจสอบเส้นทางการเงิน "ทนายตัั้ม" เอี่ยวรับเงินเว็บพนันเครือข่ายมินนี่ - หลานสาวอดีต สว.แฉ ทนายคนดังพาแห่หาแสงก่อนเทกลางทางจนแพ้คดีถูกล่วงละเมิดทางเพศ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000104530

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "ทนายอั๋น" ร้อง บช.ก.ตรวจสอบเส้นทางการเงิน "ทนายตัั้ม" เอี่ยวรับเงินเว็บพนันเครือข่ายมินนี่ - หลานสาวอดีต สว.แฉ ทนายคนดังพาแห่หาแสงก่อนเทกลางทางจนแพ้คดีถูกล่วงละเมิดทางเพศ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000104530 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    16
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2872 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ลุงพล” เผยช่วงคดีน้องชมพู่ แฟนคลับลงขันจ้างทนายตั้มช่วยความให้ 3 ล้านบาท ต่อรองเหลือ 2 ล้านบาท แต่จู่ๆ ทนายตั้มขอถอนตัว เพราะไม่พอใจที่ยูทูปเบอร์พูดขณะไลฟ์ว่าหากเจองูกับทนายให้ตีทนายก่อน พร้อมฝากคำคมถึงทนายคนดัง “เรียนเนติอย่างเนรคุณ”

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000104433

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “ลุงพล” เผยช่วงคดีน้องชมพู่ แฟนคลับลงขันจ้างทนายตั้มช่วยความให้ 3 ล้านบาท ต่อรองเหลือ 2 ล้านบาท แต่จู่ๆ ทนายตั้มขอถอนตัว เพราะไม่พอใจที่ยูทูปเบอร์พูดขณะไลฟ์ว่าหากเจองูกับทนายให้ตีทนายก่อน พร้อมฝากคำคมถึงทนายคนดัง “เรียนเนติอย่างเนรคุณ” อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000104433 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Wow
    19
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2811 มุมมอง 1 รีวิว
  • เล็งพิจารณาหลักฐาน “ทนายตั้ม“ หลอกเงิน “มาดามอ้อย” ส่ออุปโลกน์หนี้ 39 ล้าน
    .
    ตำรวจกองปราบปราม เล็งพิจารณาหลักฐาน ทนายตั้มหลอกเงิน “มาดามอ้อย” หลังพยานยันชัดโดนหลอกหลายเคส เสียหายรวม 100 ล้าน หากพบพฤติกรรมเข้าข่าย “ฉ้อโกงปกติธุระ” อาจบานปลายถึงขั้นโดน “ฟอกเงิน”
    .
    เมื่อวันที่ 29 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานที่ผ่านมา (28 ต.ค.) พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ รอง ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ จิราวัสน์ ผกก.3 บก.ป. นำคณะพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. เดินทางลงพื้นที่ไปยัง จ.นครราชสีมา เพื่อทำการสอบปากคำ “มาดามอ้อย” หรือ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหายในคดีถูกนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ทนายความชื่อดัง ฉ้อโกงเงิน จำนวน 71 ล้านบาท แต่ด้วยเนื้อหาทางคดีที่ค่อนข้างซับซ้อนและมีรายละเอียดมาก รวมไปถึงพยานบุคคลที่ต้องสอบปากคำมีจำนวนหลายปาก ทำให้จนถึงตอนนี้การสอบปากคำมาดามอ้อย รวมไปถึงพยานคนอื่นๆ จึงยังไม่แล้วเสร็จ แม้จะกินเวลามาเกือบ 2 วันแล้วก็ตาม
    .
    ขณะเดียวกัน ทางพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการซื้อรถเบนซ์ G-Class สีดำ ที่ผู้เสียหายฝากให้ทนายคนดังกล่าวซื้อให้เพื่อใช้ตอนที่กลับมาไทย หลังพบว่าทนายคนดังกล่าวมีการเบิกเงินจากผู้เสียหายไปจำนวน 13-14 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อรถ แต่รถคันดังกล่าวจริงๆ นั้นราคาเพียงแค่ 8 ล้านบาท ทำให้เกิดส่วนต่าง 5-6 ล้านบาท
    .
    นอกจากนี้ จากการสอบปากคำมาดามอ้อย เจ้าหน้าที่ยังทราบว่า นอกเหนือจากการหลอกเงินลงทุนแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ 71 ล้านบาท กับ ซื้อรถเบนซ์ G-Class แพงเกินราคาแล้ว ยังพบว่ามีการหลอกให้นำเงินไปช่วยใช้หนี้ให้กับคนใกล้ชิดอีก จำนวน 39 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของกรณีนี้ยังพบว่ามีการอุปโลกน์หรือสร้างตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือด้วยอีกหลายคน อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าบุคคลเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
    .
    อย่างไรก็ตาม หากผู้เสียหายมีความประสงค์ที่จะดำเนินคดีกับกรณีรถเบนซ์ รวมไปถึงกรณีหลอกให้ช่วยใช้หนี้ให้กับคนใกล้ชิดของทนายดังเพิ่มเติมอีก 2 คดี ก็จะทำให้พฤติกรรมของทนายคนดังกล่าวเข้าข่ายความผิด ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐาน แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งจะมีเรื่องของการยึดทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิดตามมา
    ..............
    Sondhi X
    เล็งพิจารณาหลักฐาน “ทนายตั้ม“ หลอกเงิน “มาดามอ้อย” ส่ออุปโลกน์หนี้ 39 ล้าน . ตำรวจกองปราบปราม เล็งพิจารณาหลักฐาน ทนายตั้มหลอกเงิน “มาดามอ้อย” หลังพยานยันชัดโดนหลอกหลายเคส เสียหายรวม 100 ล้าน หากพบพฤติกรรมเข้าข่าย “ฉ้อโกงปกติธุระ” อาจบานปลายถึงขั้นโดน “ฟอกเงิน” . เมื่อวันที่ 29 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานที่ผ่านมา (28 ต.ค.) พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ รอง ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ จิราวัสน์ ผกก.3 บก.ป. นำคณะพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. เดินทางลงพื้นที่ไปยัง จ.นครราชสีมา เพื่อทำการสอบปากคำ “มาดามอ้อย” หรือ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหายในคดีถูกนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ทนายความชื่อดัง ฉ้อโกงเงิน จำนวน 71 ล้านบาท แต่ด้วยเนื้อหาทางคดีที่ค่อนข้างซับซ้อนและมีรายละเอียดมาก รวมไปถึงพยานบุคคลที่ต้องสอบปากคำมีจำนวนหลายปาก ทำให้จนถึงตอนนี้การสอบปากคำมาดามอ้อย รวมไปถึงพยานคนอื่นๆ จึงยังไม่แล้วเสร็จ แม้จะกินเวลามาเกือบ 2 วันแล้วก็ตาม . ขณะเดียวกัน ทางพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการซื้อรถเบนซ์ G-Class สีดำ ที่ผู้เสียหายฝากให้ทนายคนดังกล่าวซื้อให้เพื่อใช้ตอนที่กลับมาไทย หลังพบว่าทนายคนดังกล่าวมีการเบิกเงินจากผู้เสียหายไปจำนวน 13-14 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อรถ แต่รถคันดังกล่าวจริงๆ นั้นราคาเพียงแค่ 8 ล้านบาท ทำให้เกิดส่วนต่าง 5-6 ล้านบาท . นอกจากนี้ จากการสอบปากคำมาดามอ้อย เจ้าหน้าที่ยังทราบว่า นอกเหนือจากการหลอกเงินลงทุนแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ 71 ล้านบาท กับ ซื้อรถเบนซ์ G-Class แพงเกินราคาแล้ว ยังพบว่ามีการหลอกให้นำเงินไปช่วยใช้หนี้ให้กับคนใกล้ชิดอีก จำนวน 39 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของกรณีนี้ยังพบว่ามีการอุปโลกน์หรือสร้างตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือด้วยอีกหลายคน อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าบุคคลเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ . อย่างไรก็ตาม หากผู้เสียหายมีความประสงค์ที่จะดำเนินคดีกับกรณีรถเบนซ์ รวมไปถึงกรณีหลอกให้ช่วยใช้หนี้ให้กับคนใกล้ชิดของทนายดังเพิ่มเติมอีก 2 คดี ก็จะทำให้พฤติกรรมของทนายคนดังกล่าวเข้าข่ายความผิด ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐาน แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งจะมีเรื่องของการยึดทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิดตามมา .............. Sondhi X
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 772 มุมมอง 0 รีวิว
  • แซนแฉ“ทนายคนดัง”วางแผนให้รับสารภาพทำ “แตงโม” ตาย (28/10/67) #news1 #ทนายคนดัง #คดีเเตงโม #แซนวิศาพัช
    แซนแฉ“ทนายคนดัง”วางแผนให้รับสารภาพทำ “แตงโม” ตาย (28/10/67) #news1 #ทนายคนดัง #คดีเเตงโม #แซนวิศาพัช
    Like
    Haha
    Love
    Yay
    Sad
    16
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1986 มุมมอง 709 0 รีวิว
  • "พี่อ้อย" เศรษฐีนีหมื่นล้านเตรียมเข้าให้ปากคำตำรวจกองปราบเอาผิด "ทนายตั้ม" โกง 71 ล้านบาท ด้านทนายผู้เสียหายยันมีหลักฐานเอาผิดทนายคนดังได้แน่นอน

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000103213

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "พี่อ้อย" เศรษฐีนีหมื่นล้านเตรียมเข้าให้ปากคำตำรวจกองปราบเอาผิด "ทนายตั้ม" โกง 71 ล้านบาท ด้านทนายผู้เสียหายยันมีหลักฐานเอาผิดทนายคนดังได้แน่นอน อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000103213 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    Yay
    Wow
    Angry
    38
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3123 มุมมอง 2 รีวิว
  • บอสพอล สั่งจากคุก เอาผิด "ทนายตั้ม" กรรโชกทรัพย์ 7 ล้าน
    .
    กรณีที่การตรวจสอบการทำธุรกิจของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด ถือว่าเป็นโอกาสและวิกฤติของเหล่าบรรดานักร้องเรียนและทนายความชื่อดังในเวลาเดียว แม้ช่วงหนึ่งทั้งนักร้องเรียนและทนายความที่มีแสงจะได้พาผู้เสียหายเข้าไปแจ้งความ แต่ปรากฎว่าต่อเหล่านักร้องเรียนและทนายความต้องกลายมาเป็นผู้ถูกกล่าวหาแทนอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
    .
    โดยนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ได้เดินหน้าเอาผิดนักร้องเรียนและทนายความ แยกออกเป็น 4 กรณี ได้แก่ เรื่องที่ 1.แจ้งความเอาผิดนักร้องสาว ก. กรณีบอสพอลถูกกรรโชกทรัพย์ทรัพย์ 10 ล้านบาท เพื่อแลกกับการไม่ร้องเรียนบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด
    .
    เรื่องที่ 2 อยู่ระหว่างการตรวจสอบและพิจารณาที่จะดำเนินคดีกับทางนานเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และพยานเท็จ ที่อ้างว่าเป็นคนสนิทใกล้ชิดกับบอสพอล และนำข้อมูลที่อ้างว่าบอสพอลมีการเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งทางตำรวจได้มีการออกมายืนยันแล้วว่าข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลนี้เชื่อถือไม่ได้
    .
    เรื่องที่ 3 บอสพอลก็มีการสั่งให้รวบรวมข้อมูล ในการดำเนินคดีกับทนายความชื่อดังคนหนึ่ง ที่เป็นหนึ่งในทนายดรีมทีม ซึ่งก่อนหน้าที่เหล่าบอสจะถูกจับกุมดำเนินคดี ทนายคนดังกล่าวมีการโทรศัพท์หาทางบอสพอลเพื่อเจรจาต่อรอง โดยกล่าวว่าให้ทางบอสพอลจ่ายเงิน 7 ล้านบาท เพื่อแลกกับการที่จะไม่นำผู้เสียหายกลุ่มนี้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับดิไอคอน โดยบอสพอลยังไม่ได้จ่ายจำนวนดังกล่าวไปแต่อย่างใด
    .
    ทีมทนายก็จะต้องไปตรวจสอบดูว่าจำนวนเงินดังกล่าวตรงกับความเสียหายของผู้เสียหายกลุ่มนี้หรือไม่ ทั้งนี้เลขาของบอสพอลได้มีการบันทึกเสียงขณะเจรจากันไว้ หากตนได้คลิปเสียงดังกล่าวจะดูความเหมาะสมแล้วจะเปิดเผยอีกครั้ง
    .
    ตอนนี้ทนายคนดังกล่าวก็คือ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด โดยได้ออกมายอมรับเองแล้ว แต่แถว่าเรียกเงินให้ผู้เสียหาย
    .
    เรื่องที่ 4 จะรวบรวมรายชื่อแม่ข่ายที่มีพฤติกรรมไปเชิญชวนผู้เสียหายเป็นตัวแทนจำหน่าย จากนั้นแม่ข่ายขัดผลประโยชน์กับบริษัทดิไอคอนกรุ๊ปจำกัด แต่มาแอบอ้างว่าเป็นผู้เสียหายด้วย โดยจะนำเอกสารรายชื่อมาให้กับทางพนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบต่อไป
    ..............
    Sondhi X
    บอสพอล สั่งจากคุก เอาผิด "ทนายตั้ม" กรรโชกทรัพย์ 7 ล้าน . กรณีที่การตรวจสอบการทำธุรกิจของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด ถือว่าเป็นโอกาสและวิกฤติของเหล่าบรรดานักร้องเรียนและทนายความชื่อดังในเวลาเดียว แม้ช่วงหนึ่งทั้งนักร้องเรียนและทนายความที่มีแสงจะได้พาผู้เสียหายเข้าไปแจ้งความ แต่ปรากฎว่าต่อเหล่านักร้องเรียนและทนายความต้องกลายมาเป็นผู้ถูกกล่าวหาแทนอย่างที่เห็นในปัจจุบัน . โดยนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ได้เดินหน้าเอาผิดนักร้องเรียนและทนายความ แยกออกเป็น 4 กรณี ได้แก่ เรื่องที่ 1.แจ้งความเอาผิดนักร้องสาว ก. กรณีบอสพอลถูกกรรโชกทรัพย์ทรัพย์ 10 ล้านบาท เพื่อแลกกับการไม่ร้องเรียนบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด . เรื่องที่ 2 อยู่ระหว่างการตรวจสอบและพิจารณาที่จะดำเนินคดีกับทางนานเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และพยานเท็จ ที่อ้างว่าเป็นคนสนิทใกล้ชิดกับบอสพอล และนำข้อมูลที่อ้างว่าบอสพอลมีการเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งทางตำรวจได้มีการออกมายืนยันแล้วว่าข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลนี้เชื่อถือไม่ได้ . เรื่องที่ 3 บอสพอลก็มีการสั่งให้รวบรวมข้อมูล ในการดำเนินคดีกับทนายความชื่อดังคนหนึ่ง ที่เป็นหนึ่งในทนายดรีมทีม ซึ่งก่อนหน้าที่เหล่าบอสจะถูกจับกุมดำเนินคดี ทนายคนดังกล่าวมีการโทรศัพท์หาทางบอสพอลเพื่อเจรจาต่อรอง โดยกล่าวว่าให้ทางบอสพอลจ่ายเงิน 7 ล้านบาท เพื่อแลกกับการที่จะไม่นำผู้เสียหายกลุ่มนี้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับดิไอคอน โดยบอสพอลยังไม่ได้จ่ายจำนวนดังกล่าวไปแต่อย่างใด . ทีมทนายก็จะต้องไปตรวจสอบดูว่าจำนวนเงินดังกล่าวตรงกับความเสียหายของผู้เสียหายกลุ่มนี้หรือไม่ ทั้งนี้เลขาของบอสพอลได้มีการบันทึกเสียงขณะเจรจากันไว้ หากตนได้คลิปเสียงดังกล่าวจะดูความเหมาะสมแล้วจะเปิดเผยอีกครั้ง . ตอนนี้ทนายคนดังกล่าวก็คือ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด โดยได้ออกมายอมรับเองแล้ว แต่แถว่าเรียกเงินให้ผู้เสียหาย . เรื่องที่ 4 จะรวบรวมรายชื่อแม่ข่ายที่มีพฤติกรรมไปเชิญชวนผู้เสียหายเป็นตัวแทนจำหน่าย จากนั้นแม่ข่ายขัดผลประโยชน์กับบริษัทดิไอคอนกรุ๊ปจำกัด แต่มาแอบอ้างว่าเป็นผู้เสียหายด้วย โดยจะนำเอกสารรายชื่อมาให้กับทางพนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบต่อไป .............. Sondhi X
    Like
    Wow
    17
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1056 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักธุรกิจสาวอดีตลูกความ "ทนายตั้ม-ษิทรา" แจ้งความทนายดัง "ฉ้อโกง" ฮุบเงิน 71 ล้าน! เผยถูกหลอกให้ลงทุนซื้อแพลตฟอร์ม "หวยออนไลน์" เจ้าตัวร้อนตัวรีบชิงออกสื่ออ้างได้มาโดยเสน่หา
    .
    แหล่งข่าวเชื่อถือได้เปิดเผย "ผู้จัดการรายวัน" ว่า เมื่อเร็วๆ นี้นางสาวจตุพร อุบลเลิศ นักธุรกิจสาวที่มีกิจการในต่างประเทศและในไทยในฐานะผู้เสียหายได้มอบอำนาจให้ทนายความเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรปากช่องจังหวัดนครราชสีมา โดยแจ้งข้อกล่าวหานายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ทนายความชื่อดังฉ้อโกง
    .
    ทั้งนี้ ทนายความผู้เสียหายได้ให้ปากคำถึงพฤติการณ์ของทนายตั้ม โดยเริ่มจากผู้เสียหายได้ว่าจ้าง บริษัทษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด ของทนายตั้มเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจโดยทำสัญญาตกลงว่าจ้างกันเดือนละ 300,000 บาท
    .
    หลังจากที่ว่าจ้างกันแล้วก็ไปมาหาสู่ดูแลกันฉันมิตรจนเกิดความไว้วางใจและเชื่อใจต่อตัวทนายตั้มและภรรยา ผู้เสียหายได้ดูแลการเดินทางไปต่างประเทศพร้อมกับท่องเที่ยวของทนายตั้มและครอบครัวหลายต่อหลายครั้ง
    .
    นายษิทรายังเคยพาผู้เสียหายไปเจอกับนักการเมืองระดับประเทศที่ฮ่องกง และ เคยบอกว่า สามารถเอาโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาลมาลงทุนเพื่อแสวงหากำไรได้รวมถึงสัมปทานกับหน่วยงานราชการอื่นๆ โดยนายษิทรากล่าวอ้างว่ารู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่หรือนักการเมืองหลายคน
    .
    ต่อมาเมื่อปลายปี 2565 ต่อเนื่องต้นปี 2566 นายษิทรามาบอกกับผู้เสียหายว่าได้รับโควตาสลากกินแบ่งมาจากผู้ใหญ่ที่นับถือให้มาจำหน่ายทางออนไลน์ซึ่งทนายตั้ม อ้างว่า รับปากกับผู้ใหญ่ไว้แล้วสามารถทำได้ทั้งๆ ที่ยังไม่มีเงินลงทุนจึงมาปรึกษาผู้เสียหายว่าหากตัวเขาได้ทำธุรกิจนี้จะทำให้สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้
    .
    นักธุรกิจสาว เห็นว่า การขายสลากออนไลน์เป็นโอกาสจึงซักถามถึงวิธีการและขอทราบรายละเอียดอื่นๆ
    .
    ทนายษิทราได้อธิบายว่า หากจะทำจะต้องมี แอปพลิเคชั่น และ รายละเอียดอื่นๆ เช่น โปรแกรม และ ระบบ โดยตัวเองรู้จักผู้เชี่ยวชาญที่พัฒนาเว็บไซต์และระบบโปรแกรม
    .
    ผู้เสียหายหลังจากได้ปรึกษาครอบครัวเห็นว่าโครงการดังกล่าวน่าจะเป็นไปได้ ขณะเดียวกันก็ตรงกับความตั้งใจของผู้เสียหายที่จะลงทุนอะไรสักอย่างไว้เอาไว้ให้บุตรชายจึงตอบตกลงจะทำหวยออนไลน์และให้ทนายตั้มไปติดต่อว่าจ้างโปรแกรมเมอร์และให้ทำรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษรมาซึ่งทนายตั้มตอบตกลง
    .
    ต่อมาก็ได้นำสัญญาใบเสนอราคามาให้ผู้เสียหายดู และผู้เสียหายได้ลงนามในสัญญาเรียบร้อย ทนายตั้มก็รับปากว่าจะดำเนินการตามสัญญา
    .
    ต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้เสียหายโอนเงินชำระค่าจ้างเขียนแบบโปรแกรมให้กับคู่สัญญาแต่ในวันดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการโอนเงินได้เนื่องจากเป็นเวลาที่ธนาคารปิดทำการแล้วจึงนัดทนายตั้มให้มาดูแลจัดการโอนชำระเงิน แต่นายษิทราก็ไม่ได้บอกกล่าวรายละเอียดกับผู้เสียหายว่าต้องโอนชำระให้คู่สัญญาภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จึงนัดมาดำเนินการโอนเงินในวันรุ่งขึ้นคือ 16 กุมภาพันธ์ 2566
    .
    ต่อมาในวันดังกล่าวเมื่อทนายตั้มเดินทางมาถึงธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัส ปากช่อง ได้บอกกับผู้เสียหายให้โอนเงินมาที่ตัวเองก่อนเขาจะนำเงินไปชำระให้คู่สัญญาด้วยตัวเอง พร้อมกับเจรจาตกลงกับคู่สัญญาถึงปัญหาดังกล่าวเอง
    .
    โดยทนายตั้มได้เปิดบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่อง ในชื่อนายษิทธา เบี้ยบังเกิด ขึ้นมาเพื่อโอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายไปยังบัญชีของทนายตั้ม เป็นจำนวน 71 ล้านบาทเศษ
    .
    หลังจากที่จ่ายเงินค่าจ้างเขียนโปรแกรมไปแล้วผู้เสียหายก็ได้ติดตามความคืบหน้าการซื้อระบบโปรแกรมสลากออนไลน์จากทนายตั้มเรื่อยมา แต่ได้รับคำตอบว่ายังทำไม่แล้วเสร็จ จึงเป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ในเวลาต่อมาผู้เสียหายได้ยกเลิกสัญญาจ้างบริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม เป็นที่ปรึกษา โดยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างที่ปรึกษา ลงวันที่ 25 มกราคม 2567
    .
    จนกระทั่งวันที่ 1 กันยายน 2567 ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดการส่งมอบงานตามสัญญา ฝ่ายผู้เสียหายยังไม่ได้รับการตอบรับหรือรับมอบระบบโปรแกรมตามสัญญา ดังนั้นในวันที่ 8 กันยายน 2567 ผู้เสียหายจึงมอบอำนาจให้ทนายติดตามทวงเงินจำนวน 71 ล้านบาทคืนจากทนายตั้ม
    .
    ทนายตั้มได้รับหนังสือดังกล่าวแต่เมื่อถึงกำหนดเวลาให้คืนเงินตามหนังสือทวงหนี้ทนายตั้มก็ไม่ได้คืนเงินให้กับผู้เสียหายและไม่ได้ติดต่อกลับมา จึงมอบอำนาจให้ทนายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ต้องหาอย่างถึงที่สุด
    .
    ขณะเดียวกัน เจ้าของผู้พัฒนาระบบหวยออนไลน์ที่มีชื่อเรียกว่า "นาคี" ซึ่งเป็นลูกความว่าจ้างบริษัทษิทราฯ เป็นที่ปรึกษากฎหมาย และ เป็นคู่สัญญากับผู้เสียหายหรือนักธุรกิจสาว ให้การเป็นพยานยืนยันว่า บริษัทตนเองพัฒนาโปรแกรม "นาคี" เพื่อเสนอขายระบบให้ลูกค้าและบุคคลทั่วไป โดยตั้งราคาขายไว้ที่ 20 ล้านบาท ซึ่งราคานี้รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ เช่น เครื่องสแกนล็อตเตอรี่เข้าระบบตู้เซฟที่เก็บลอตเตอรี่รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ เมื่อซื้อไปแล้วสามารถใช้งานได้ทันที
    .
    แต่ช่วงที่พัฒนาแล้วเสร็จปรากฏว่า บรรดาแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ อาทิ มังกรฟ้า สลากพลัส ถูกทางการตรวจสอบ จึงทำให้ไม่กล้าทำการตลาดหรือเปิดตัวแนะนำ จึงนำเรื่องมาปรึกษาทนายตั๊ม ได้รับคำตอบว่า รอให้เรื่องเงียบค่อยทำการตลาดเพื่อเปิดตัวนาคี จากเหตุการณ์นี้ทำให้ทนายตั้มรู้ว่าบริษัทฯ มีระบบโปรแกรมนาคีอยู่ในครอบครอง
    .
    ต่อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ทนายตั้มได้นัดให้บริษัทผู้พัฒนานาคีไปที่ร้านอาหารในห้างสยามพารากอนและทนายตั้มได้บอกว่าหานายทุนที่จะมาซื้อระบบโปรแกรมนาคีได้แล้วจึงให้ไปเตรียมสัญญาจ้างเขียนและพัฒนาโปรแกรมเอาไว้ 2 ชุดโดยทนายตั้มบอกว่า จะทำหน้าที่ติดต่อกับผู้ซื้อด้วยตนเองเพราะต้องลงชื่อและสั่งกำชับไม่ให้ติดต่อกับนายทุนผู้ซื้อโดยตรง
    .
    ต่อมาทนายตั้มบอกให้นำสัญญาที่ลงลายมือชื่อเอามามอบให้เขาโดยที่เขาจะส่งมอบสัญญาและให้อีกฝ่ายลงชื่อ แต่หลังจากที่มอบสัญญาให้ทนายตั้ม ทนายคนดังก็ไม่เคยส่งคู่ฉบับสัญญากลับคืนและไม่มีความคืบหน้าใดๆ ของโครงการเกิดขึ้น
    .
    จนเมื่อถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดการชำระเงินค่าจ้างเขียนโปรแกรมตามสัญญา บริษัทก็ไม่ได้รับการชำระเงินจากคู่สัญญาแต่อย่างใด จึงโทรหาทนายตั้มเพื่อแจ้งเรื่องดังกล่าว ซึ่งนายษิทราตอบกลับมาว่า ลูกค้ายกเลิกโครงการแล้วโดยที่ไม่บอกกล่าวให้เจ้าของแพลตฟอร์มนาคีให้ทราบมาก่อน
    .
    ดังนั้นวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 จึงพากันเดินทางไปที่สถานีตำรวจภูธรแก่งคอย บันทึกรายงานประจำวันไว้เป็นหลักฐานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าบริษัทไม่ได้เป็นฝ่ายผิดเงื่อนไขตามสัญญา
    .
    ในตอนแรก บริษัทเจ้าของ "นาคี" ไม่ทราบว่านายทุนได้ชำระเงินแล้วต่อมาได้ทราบว่า นักธุรกิจสาวได้จ่ายเงินค่าจ้างตามสัญญาให้กับทนายตั๊ม 71 ล้านบาทแต่นายษิทราไม่ได้นำเงินมาจ่ายให้กับบริษัทผู้พัฒนาโปรแกรมดังกล่าว
    .
    เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่เรื่องราวนี้จะเปิดเผยขึ้น ในรายการโหนกระแสวันนี้(23 ตุลาคม) ซึ่งได้เชิญนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้มมาเป็นแขกรับเชิญ ช่วงหนึ่ง นายกรรชัย กำเนิดพลอย หรือ หนุ่ม ได้ถามนายษิทรา ถึงที่มาของความร่ำรวยที่หลายคนสงสัยว่า ร่ำรวยมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่รายได้จากค่าทนายไม่ได้มากเป็นทนายสายโจร หรือ ทนายสีเทาหรือไม่?!
    .
    นายษิทราได้ตอบว่า แต่ละปีบริษัทของตัวเองมีรายได้ประมาณ 20 ล้านบาท แต่ก็มีรายได้ที่ได้มาโดยเสน่หาจากลูกความที่เป็นมหาเศรษฐีซึ่งอยู่ต่างประเทศว่าจ้างเป็นที่ปรึกษา จากเดือนละ 300,000บาท ต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็นให้ทุน 2 ล้านยูโร หรือ ประมาณ 70 ล้านบาท
    .
    คำตอบดังกล่าวถึงกลับทำให้ “หนุ่ม-กรรชัย” แสดงท่าทางตกใจและถามย้ำว่า เป็นไปได้หรือจะมีคนให้เงินทนายตั้มจำนวนมากเช่นนั้นซึ่งทนายคนดังยืนยันว่าได้เงินมาจริง
    ..............
    Sondhi X
    นักธุรกิจสาวอดีตลูกความ "ทนายตั้ม-ษิทรา" แจ้งความทนายดัง "ฉ้อโกง" ฮุบเงิน 71 ล้าน! เผยถูกหลอกให้ลงทุนซื้อแพลตฟอร์ม "หวยออนไลน์" เจ้าตัวร้อนตัวรีบชิงออกสื่ออ้างได้มาโดยเสน่หา . แหล่งข่าวเชื่อถือได้เปิดเผย "ผู้จัดการรายวัน" ว่า เมื่อเร็วๆ นี้นางสาวจตุพร อุบลเลิศ นักธุรกิจสาวที่มีกิจการในต่างประเทศและในไทยในฐานะผู้เสียหายได้มอบอำนาจให้ทนายความเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรปากช่องจังหวัดนครราชสีมา โดยแจ้งข้อกล่าวหานายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ทนายความชื่อดังฉ้อโกง . ทั้งนี้ ทนายความผู้เสียหายได้ให้ปากคำถึงพฤติการณ์ของทนายตั้ม โดยเริ่มจากผู้เสียหายได้ว่าจ้าง บริษัทษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด ของทนายตั้มเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจโดยทำสัญญาตกลงว่าจ้างกันเดือนละ 300,000 บาท . หลังจากที่ว่าจ้างกันแล้วก็ไปมาหาสู่ดูแลกันฉันมิตรจนเกิดความไว้วางใจและเชื่อใจต่อตัวทนายตั้มและภรรยา ผู้เสียหายได้ดูแลการเดินทางไปต่างประเทศพร้อมกับท่องเที่ยวของทนายตั้มและครอบครัวหลายต่อหลายครั้ง . นายษิทรายังเคยพาผู้เสียหายไปเจอกับนักการเมืองระดับประเทศที่ฮ่องกง และ เคยบอกว่า สามารถเอาโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาลมาลงทุนเพื่อแสวงหากำไรได้รวมถึงสัมปทานกับหน่วยงานราชการอื่นๆ โดยนายษิทรากล่าวอ้างว่ารู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่หรือนักการเมืองหลายคน . ต่อมาเมื่อปลายปี 2565 ต่อเนื่องต้นปี 2566 นายษิทรามาบอกกับผู้เสียหายว่าได้รับโควตาสลากกินแบ่งมาจากผู้ใหญ่ที่นับถือให้มาจำหน่ายทางออนไลน์ซึ่งทนายตั้ม อ้างว่า รับปากกับผู้ใหญ่ไว้แล้วสามารถทำได้ทั้งๆ ที่ยังไม่มีเงินลงทุนจึงมาปรึกษาผู้เสียหายว่าหากตัวเขาได้ทำธุรกิจนี้จะทำให้สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้ . นักธุรกิจสาว เห็นว่า การขายสลากออนไลน์เป็นโอกาสจึงซักถามถึงวิธีการและขอทราบรายละเอียดอื่นๆ . ทนายษิทราได้อธิบายว่า หากจะทำจะต้องมี แอปพลิเคชั่น และ รายละเอียดอื่นๆ เช่น โปรแกรม และ ระบบ โดยตัวเองรู้จักผู้เชี่ยวชาญที่พัฒนาเว็บไซต์และระบบโปรแกรม . ผู้เสียหายหลังจากได้ปรึกษาครอบครัวเห็นว่าโครงการดังกล่าวน่าจะเป็นไปได้ ขณะเดียวกันก็ตรงกับความตั้งใจของผู้เสียหายที่จะลงทุนอะไรสักอย่างไว้เอาไว้ให้บุตรชายจึงตอบตกลงจะทำหวยออนไลน์และให้ทนายตั้มไปติดต่อว่าจ้างโปรแกรมเมอร์และให้ทำรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษรมาซึ่งทนายตั้มตอบตกลง . ต่อมาก็ได้นำสัญญาใบเสนอราคามาให้ผู้เสียหายดู และผู้เสียหายได้ลงนามในสัญญาเรียบร้อย ทนายตั้มก็รับปากว่าจะดำเนินการตามสัญญา . ต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้เสียหายโอนเงินชำระค่าจ้างเขียนแบบโปรแกรมให้กับคู่สัญญาแต่ในวันดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการโอนเงินได้เนื่องจากเป็นเวลาที่ธนาคารปิดทำการแล้วจึงนัดทนายตั้มให้มาดูแลจัดการโอนชำระเงิน แต่นายษิทราก็ไม่ได้บอกกล่าวรายละเอียดกับผู้เสียหายว่าต้องโอนชำระให้คู่สัญญาภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จึงนัดมาดำเนินการโอนเงินในวันรุ่งขึ้นคือ 16 กุมภาพันธ์ 2566 . ต่อมาในวันดังกล่าวเมื่อทนายตั้มเดินทางมาถึงธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัส ปากช่อง ได้บอกกับผู้เสียหายให้โอนเงินมาที่ตัวเองก่อนเขาจะนำเงินไปชำระให้คู่สัญญาด้วยตัวเอง พร้อมกับเจรจาตกลงกับคู่สัญญาถึงปัญหาดังกล่าวเอง . โดยทนายตั้มได้เปิดบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่อง ในชื่อนายษิทธา เบี้ยบังเกิด ขึ้นมาเพื่อโอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายไปยังบัญชีของทนายตั้ม เป็นจำนวน 71 ล้านบาทเศษ . หลังจากที่จ่ายเงินค่าจ้างเขียนโปรแกรมไปแล้วผู้เสียหายก็ได้ติดตามความคืบหน้าการซื้อระบบโปรแกรมสลากออนไลน์จากทนายตั้มเรื่อยมา แต่ได้รับคำตอบว่ายังทำไม่แล้วเสร็จ จึงเป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ในเวลาต่อมาผู้เสียหายได้ยกเลิกสัญญาจ้างบริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม เป็นที่ปรึกษา โดยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างที่ปรึกษา ลงวันที่ 25 มกราคม 2567 . จนกระทั่งวันที่ 1 กันยายน 2567 ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดการส่งมอบงานตามสัญญา ฝ่ายผู้เสียหายยังไม่ได้รับการตอบรับหรือรับมอบระบบโปรแกรมตามสัญญา ดังนั้นในวันที่ 8 กันยายน 2567 ผู้เสียหายจึงมอบอำนาจให้ทนายติดตามทวงเงินจำนวน 71 ล้านบาทคืนจากทนายตั้ม . ทนายตั้มได้รับหนังสือดังกล่าวแต่เมื่อถึงกำหนดเวลาให้คืนเงินตามหนังสือทวงหนี้ทนายตั้มก็ไม่ได้คืนเงินให้กับผู้เสียหายและไม่ได้ติดต่อกลับมา จึงมอบอำนาจให้ทนายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ต้องหาอย่างถึงที่สุด . ขณะเดียวกัน เจ้าของผู้พัฒนาระบบหวยออนไลน์ที่มีชื่อเรียกว่า "นาคี" ซึ่งเป็นลูกความว่าจ้างบริษัทษิทราฯ เป็นที่ปรึกษากฎหมาย และ เป็นคู่สัญญากับผู้เสียหายหรือนักธุรกิจสาว ให้การเป็นพยานยืนยันว่า บริษัทตนเองพัฒนาโปรแกรม "นาคี" เพื่อเสนอขายระบบให้ลูกค้าและบุคคลทั่วไป โดยตั้งราคาขายไว้ที่ 20 ล้านบาท ซึ่งราคานี้รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ เช่น เครื่องสแกนล็อตเตอรี่เข้าระบบตู้เซฟที่เก็บลอตเตอรี่รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ เมื่อซื้อไปแล้วสามารถใช้งานได้ทันที . แต่ช่วงที่พัฒนาแล้วเสร็จปรากฏว่า บรรดาแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ อาทิ มังกรฟ้า สลากพลัส ถูกทางการตรวจสอบ จึงทำให้ไม่กล้าทำการตลาดหรือเปิดตัวแนะนำ จึงนำเรื่องมาปรึกษาทนายตั๊ม ได้รับคำตอบว่า รอให้เรื่องเงียบค่อยทำการตลาดเพื่อเปิดตัวนาคี จากเหตุการณ์นี้ทำให้ทนายตั้มรู้ว่าบริษัทฯ มีระบบโปรแกรมนาคีอยู่ในครอบครอง . ต่อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ทนายตั้มได้นัดให้บริษัทผู้พัฒนานาคีไปที่ร้านอาหารในห้างสยามพารากอนและทนายตั้มได้บอกว่าหานายทุนที่จะมาซื้อระบบโปรแกรมนาคีได้แล้วจึงให้ไปเตรียมสัญญาจ้างเขียนและพัฒนาโปรแกรมเอาไว้ 2 ชุดโดยทนายตั้มบอกว่า จะทำหน้าที่ติดต่อกับผู้ซื้อด้วยตนเองเพราะต้องลงชื่อและสั่งกำชับไม่ให้ติดต่อกับนายทุนผู้ซื้อโดยตรง . ต่อมาทนายตั้มบอกให้นำสัญญาที่ลงลายมือชื่อเอามามอบให้เขาโดยที่เขาจะส่งมอบสัญญาและให้อีกฝ่ายลงชื่อ แต่หลังจากที่มอบสัญญาให้ทนายตั้ม ทนายคนดังก็ไม่เคยส่งคู่ฉบับสัญญากลับคืนและไม่มีความคืบหน้าใดๆ ของโครงการเกิดขึ้น . จนเมื่อถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดการชำระเงินค่าจ้างเขียนโปรแกรมตามสัญญา บริษัทก็ไม่ได้รับการชำระเงินจากคู่สัญญาแต่อย่างใด จึงโทรหาทนายตั้มเพื่อแจ้งเรื่องดังกล่าว ซึ่งนายษิทราตอบกลับมาว่า ลูกค้ายกเลิกโครงการแล้วโดยที่ไม่บอกกล่าวให้เจ้าของแพลตฟอร์มนาคีให้ทราบมาก่อน . ดังนั้นวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 จึงพากันเดินทางไปที่สถานีตำรวจภูธรแก่งคอย บันทึกรายงานประจำวันไว้เป็นหลักฐานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าบริษัทไม่ได้เป็นฝ่ายผิดเงื่อนไขตามสัญญา . ในตอนแรก บริษัทเจ้าของ "นาคี" ไม่ทราบว่านายทุนได้ชำระเงินแล้วต่อมาได้ทราบว่า นักธุรกิจสาวได้จ่ายเงินค่าจ้างตามสัญญาให้กับทนายตั๊ม 71 ล้านบาทแต่นายษิทราไม่ได้นำเงินมาจ่ายให้กับบริษัทผู้พัฒนาโปรแกรมดังกล่าว . เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่เรื่องราวนี้จะเปิดเผยขึ้น ในรายการโหนกระแสวันนี้(23 ตุลาคม) ซึ่งได้เชิญนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้มมาเป็นแขกรับเชิญ ช่วงหนึ่ง นายกรรชัย กำเนิดพลอย หรือ หนุ่ม ได้ถามนายษิทรา ถึงที่มาของความร่ำรวยที่หลายคนสงสัยว่า ร่ำรวยมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่รายได้จากค่าทนายไม่ได้มากเป็นทนายสายโจร หรือ ทนายสีเทาหรือไม่?! . นายษิทราได้ตอบว่า แต่ละปีบริษัทของตัวเองมีรายได้ประมาณ 20 ล้านบาท แต่ก็มีรายได้ที่ได้มาโดยเสน่หาจากลูกความที่เป็นมหาเศรษฐีซึ่งอยู่ต่างประเทศว่าจ้างเป็นที่ปรึกษา จากเดือนละ 300,000บาท ต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็นให้ทุน 2 ล้านยูโร หรือ ประมาณ 70 ล้านบาท . คำตอบดังกล่าวถึงกลับทำให้ “หนุ่ม-กรรชัย” แสดงท่าทางตกใจและถามย้ำว่า เป็นไปได้หรือจะมีคนให้เงินทนายตั้มจำนวนมากเช่นนั้นซึ่งทนายคนดังยืนยันว่าได้เงินมาจริง .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Angry
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 912 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ฝากพี่เดทนายที่ดังที่สุดในประเทศณเวลานี้ครับ
    พี่เดคือทนายความที่ชนะมาทุกคดี
    ไม่เคยแพ้ แม้ซักครั้งเดียว
    คือที่สุดแห่งการว่าความ
    เก่งเหนือใครในสภาทนายความ
    ดังนั้น จึงฝากพี่เดช่วยดูคนนี้นิดนึงครับ
    มีการกล่าวหาแน๊กชาลี ให้ร้ายหลายกรรมหลายวาระมาก
    ส่วนค่าทนาย เก็บที่คุณ โจ มณฑานี
    เป็นลูกพี่ใหญ่ของนางครับ
    ด้วยความเคารพรักครับพี่เด
    #ทนายจุ๊กกรู
    #ทนายคนดัง
    #ทนายของแทร่
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ฝากพี่เดทนายที่ดังที่สุดในประเทศณเวลานี้ครับ พี่เดคือทนายความที่ชนะมาทุกคดี ไม่เคยแพ้ แม้ซักครั้งเดียว คือที่สุดแห่งการว่าความ เก่งเหนือใครในสภาทนายความ ดังนั้น จึงฝากพี่เดช่วยดูคนนี้นิดนึงครับ มีการกล่าวหาแน๊กชาลี ให้ร้ายหลายกรรมหลายวาระมาก ส่วนค่าทนาย เก็บที่คุณ โจ มณฑานี เป็นลูกพี่ใหญ่ของนางครับ ด้วยความเคารพรักครับพี่เด #ทนายจุ๊กกรู #ทนายคนดัง #ทนายของแทร่ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Love
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1559 มุมมอง 0 รีวิว