• ตำรวจคุมตัวมือยิงรอง สวป.สน.สายไหมเสียชีวิต ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เผยขอโทษไม่ได้ตั้งใจ เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาฆ่าเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่ ก่อนคุมตัวไปฝากขัง

    จากกรณี ร.ต.ท.บรรรัง เกษาพร อายุ 55 ปี รอง สวป. สน.สายไหม ปฏิบัติหน้าที่สายตรวจเดินเท้า ถูกนายอรรณพ ศรีสืบ หรือช่างสันต์ อายุ 41 ปี ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ ใช้อาวุธปืน ขนาด 9 มม. กระหน่ำยิง 7 นัด เสียชีวิตขณะเข้าระงับเหตุทะเลาะวิวาท เหตุเกิดบริเวณหน้าร้านตัดผมชาย บริเวณเชิงสะพานเฉลิมพงศ์ ถนนเฉลิมพงศ์ แขวงและเขตสายไหม กทม. ใกล้ รพ.สายไหม เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. วันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังก่อเหตุผู้ต้องหาหลบหนีเข้าไปอยู่ในร้านซ่อมรถจยย.ของตัวเอง ตั้งอยู่ตรงข้ามฝั่งถนนที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่เข้าจับกุม แต่ไม่พบปืนที่ใช้ก่อเหตุ ก่อนควบคุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามที่เสนอข่าวไปนั่น

    ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (4 ม.ค.) พ.ต.ท.สัญชัย คีรีรัตน์ รอง ผกก.ป.สน.สายไหม พร้อมด้วย พ.ต.ท.นุกูล กิ่งเกล้า สวป.สน.สายไหม พร้อมพนักงานสอบสวนสน.สายไหม คุมตัว นายอรรณพหรือ มาบริเวณหน้าร้านตัดผมสุชินบาร์เบอร์ ถนนเฉลิมพงษ์ แขวงสายไหม เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร ทำแผนประกอบคำรับสารภาพหลังใช้อาวุธปืนยิง ร.ต.ท.บรรรัง เสียชีวิตบริเวณดังกล่าว

    ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจควบคุมตัวลงจากรถห้องขัง นายอรรณพเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวสั้นๆว่า ขอโทษไม่ได้ตั้งใจ ขณะเดียวกันมีญาติ เพื่อน และคนที่รู้จักผู้ตายตะโกนด่าสาปแช่งและปรี่จะเข้าทำร้ายใช้กรวยยางจราจรเข้าตี แต่เจ้าหน้าที่ห้ามไว้ได้ โดยใช้เวลาทำแผนประมาณ 15 นาที ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะควบคุมตัวฝากขังที่ศาลอาญามีนบุรี

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000000927

    #MGROnline #ตํารวจ #ชายคลั่ง #สายไหม #ยิงตำรวจ
    ตำรวจคุมตัวมือยิงรอง สวป.สน.สายไหมเสียชีวิต ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เผยขอโทษไม่ได้ตั้งใจ เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาฆ่าเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่ ก่อนคุมตัวไปฝากขัง • จากกรณี ร.ต.ท.บรรรัง เกษาพร อายุ 55 ปี รอง สวป. สน.สายไหม ปฏิบัติหน้าที่สายตรวจเดินเท้า ถูกนายอรรณพ ศรีสืบ หรือช่างสันต์ อายุ 41 ปี ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ ใช้อาวุธปืน ขนาด 9 มม. กระหน่ำยิง 7 นัด เสียชีวิตขณะเข้าระงับเหตุทะเลาะวิวาท เหตุเกิดบริเวณหน้าร้านตัดผมชาย บริเวณเชิงสะพานเฉลิมพงศ์ ถนนเฉลิมพงศ์ แขวงและเขตสายไหม กทม. ใกล้ รพ.สายไหม เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. วันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังก่อเหตุผู้ต้องหาหลบหนีเข้าไปอยู่ในร้านซ่อมรถจยย.ของตัวเอง ตั้งอยู่ตรงข้ามฝั่งถนนที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่เข้าจับกุม แต่ไม่พบปืนที่ใช้ก่อเหตุ ก่อนควบคุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามที่เสนอข่าวไปนั่น • ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (4 ม.ค.) พ.ต.ท.สัญชัย คีรีรัตน์ รอง ผกก.ป.สน.สายไหม พร้อมด้วย พ.ต.ท.นุกูล กิ่งเกล้า สวป.สน.สายไหม พร้อมพนักงานสอบสวนสน.สายไหม คุมตัว นายอรรณพหรือ มาบริเวณหน้าร้านตัดผมสุชินบาร์เบอร์ ถนนเฉลิมพงษ์ แขวงสายไหม เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร ทำแผนประกอบคำรับสารภาพหลังใช้อาวุธปืนยิง ร.ต.ท.บรรรัง เสียชีวิตบริเวณดังกล่าว • ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจควบคุมตัวลงจากรถห้องขัง นายอรรณพเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวสั้นๆว่า ขอโทษไม่ได้ตั้งใจ ขณะเดียวกันมีญาติ เพื่อน และคนที่รู้จักผู้ตายตะโกนด่าสาปแช่งและปรี่จะเข้าทำร้ายใช้กรวยยางจราจรเข้าตี แต่เจ้าหน้าที่ห้ามไว้ได้ โดยใช้เวลาทำแผนประมาณ 15 นาที ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะควบคุมตัวฝากขังที่ศาลอาญามีนบุรี • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000000927 • #MGROnline #ตํารวจ #ชายคลั่ง #สายไหม #ยิงตำรวจ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชื่อของ 'บรรยิน' กลับมาอยู่ในพื้นที่สื่ออีกครั้ง หลังมีพระบรมราชโองการ ให้ถอดยศข้าราชการตํารวจ

    #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #บรรยินตั้งภากรณ์ #ถอดยศข้าราชการตํารวจ
    ชื่อของ 'บรรยิน' กลับมาอยู่ในพื้นที่สื่ออีกครั้ง หลังมีพระบรมราชโองการ ให้ถอดยศข้าราชการตํารวจ #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #บรรยินตั้งภากรณ์ #ถอดยศข้าราชการตํารวจ
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 787 มุมมอง 39 0 รีวิว
  • เมื่อวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยการจํากัดความเร็วและห้ามใช้เสียง ในเขตกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2567

    ….คำสั่งสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ที่ 22/2566 ลงวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2566 แต่งตั้งผู้บัญชาการตํารวจนครบาล หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติราชการแทน เป็นหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร จึงได้ออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้

    ข้อ 1 ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยการจํากัดความเร็วและห้ามใช้เสียง ในเขตกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2567”

    ข้อ 2 ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

    ข้อ 3 จํากัดอัตราความเร็วของรถ ไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และห้ามใช้เสียงบริเวณโดยรอบเขตพระราชฐาน ดังต่อไปนี้

    ถนนราชดําเนินใน
    ถนนหน้าพระธาตุ
    ถนนพระจันทร์
    ถนนหน้าพระลาน
    ถนนสนามไชย
    ถนนกัลยาณไมตรี
    ถนนท้ายวัง
    ถนนมหาราช
    ถนนราชินี
    ถนนเศรษฐการ
    ข้อ 4 จํากัดอัตราความเร็วของรถ ไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนถนนทุกสายในเขต กรุงเทพมหานคร ยกเว้น ถนนดังต่อไปนี้

    ถนนวิภาวดีรังสิต
    ถนนบางนา-ตราด
    ถนนศรีนครินทร์
    ถนนพหลโยธิน
    ถนนรามอินทรา
    ถนนราชพฤกษ์
    ถนนบรมราชชนนี
    ถนนกัลปพฤกษ์
    ถนนร่มเกล้า
    ถนนสุวินทวงศ์
    ถนนแจ้งวัฒนะ
    ถนนพระรามที่ 3
    ถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า (ตัดใหม่)
    ข้อ 5 ข้อบังคับนี้มิให้ใช้บังคับกับรถที่กําหนดอัตราความเร็วในกฎกระทรวงไม่เกิน 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    ข้อ 6 บรรดา ข้อบังคับ ประกาศ ระเบียบใดที่ขัดหรือแย้งกับข้อบังคับนี้ ให้ยกเลิกโดยใช้ข้อบังคับนี้แทน ยกเว้นข้อบังคับ ดังต่อไปนี้

    6.1 ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในเขตกรุงเทพมหานครว่าด้วยการกําหนดอัตราความเร็วของรถ พ.ศ.2561

    6.2 ข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรในเขตกรุงเทพมหานครว่าด้วยการจํากัดความเร็ว และห้ามใช้เสียงบริเวณโดยรอบเขตพระราชฐาน (901 แลนด์) พ.ศ.2564
    เมื่อวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยการจํากัดความเร็วและห้ามใช้เสียง ในเขตกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2567 ….คำสั่งสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ที่ 22/2566 ลงวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2566 แต่งตั้งผู้บัญชาการตํารวจนครบาล หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติราชการแทน เป็นหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร จึงได้ออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยการจํากัดความเร็วและห้ามใช้เสียง ในเขตกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2567” ข้อ 2 ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ 3 จํากัดอัตราความเร็วของรถ ไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และห้ามใช้เสียงบริเวณโดยรอบเขตพระราชฐาน ดังต่อไปนี้ ถนนราชดําเนินใน ถนนหน้าพระธาตุ ถนนพระจันทร์ ถนนหน้าพระลาน ถนนสนามไชย ถนนกัลยาณไมตรี ถนนท้ายวัง ถนนมหาราช ถนนราชินี ถนนเศรษฐการ ข้อ 4 จํากัดอัตราความเร็วของรถ ไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนถนนทุกสายในเขต กรุงเทพมหานคร ยกเว้น ถนนดังต่อไปนี้ ถนนวิภาวดีรังสิต ถนนบางนา-ตราด ถนนศรีนครินทร์ ถนนพหลโยธิน ถนนรามอินทรา ถนนราชพฤกษ์ ถนนบรมราชชนนี ถนนกัลปพฤกษ์ ถนนร่มเกล้า ถนนสุวินทวงศ์ ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนพระรามที่ 3 ถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า (ตัดใหม่) ข้อ 5 ข้อบังคับนี้มิให้ใช้บังคับกับรถที่กําหนดอัตราความเร็วในกฎกระทรวงไม่เกิน 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ข้อ 6 บรรดา ข้อบังคับ ประกาศ ระเบียบใดที่ขัดหรือแย้งกับข้อบังคับนี้ ให้ยกเลิกโดยใช้ข้อบังคับนี้แทน ยกเว้นข้อบังคับ ดังต่อไปนี้ 6.1 ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรในเขตกรุงเทพมหานครว่าด้วยการกําหนดอัตราความเร็วของรถ พ.ศ.2561 6.2 ข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรในเขตกรุงเทพมหานครว่าด้วยการจํากัดความเร็ว และห้ามใช้เสียงบริเวณโดยรอบเขตพระราชฐาน (901 แลนด์) พ.ศ.2564
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • โกทรมีโอกาสรอด เพราะบทเรียนในอดีตเปิดช่องโหว่
    ถึงเวลาที่โกทร เจ้าพ่อปราจีนจะสิ้นอิสรภาพเข้าไปอยู่ในคู่กับมือปูน ติดตามทั้งหกเนื่องจากไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างสู้คดี กรณีคดีจ้างวานคิล ที่มีเจ้าพ่ออยู่เบื้องหลังคําสั่งคิล ย่อมผ่านการวางแผนมาเป็นอย่างดี ที่สําคัญหลังเหยื่อตุยคดีความจะเป็นไปในทิศทางไหนก็ต้องมีการเตรียมพร้อมรับมือไว้แล้วจึงเชื่อกันว่า เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล มีโอกาสที่โกธรจะหลุดจากคดีเนื่องจากมือปืนของโกธร 2 คนให้การสารภาพในลักษณะสมอ้างว่า
    ลงมือรัวคิลสอจอโต้งด้วยเรื่องส่วนตัวเหตุจากความบันดาลโทสะถูก สอจอโต้งตบหัวขณะที่มือปูนอีกสี่คนก็ให้การสอดรับไปในทางเดียวกัน โดยกันตัวโกธรไปจากฉากนองเลือ.ดอ้างว่าตอนเกิดเหตุโกธรเข้าไปนอนแล้วไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย แม้ในทางสืบสวนรูปคดีส่อเค้าว่าการสังหาน สจโต้งคือการวางแผน รวมค่ายอย่างแยบยลถึงขั้นลงทุนใช้บ้านตัวเองเป็นสถานที่ลงมือ
    แต่การพิสูจน์ในศาลเป็นอีกเรื่องหนึ่งการนําเสนอให้ศาลเชื่อในน้ำหนักของพยานหลักฐานในเมื่อพยานทุกคนในที่เกิดเหตุให้การไปในทางเดียวกัน ในลักษณะเตี๊ยมกันมาแล้วเป็นเรื่องที่ยากพอสมควรที่จะสาวไปถึงคนบงการโดยเฉพาะสองมือปูนของโกธรพร้อมจะรับการติดคุกเองด้วยการยอมรับผิดเอง ไม่ยอมเปิดปากซัดทอดใครทั้งสิ้น
    ในอดีตก็เคยมีคดีดังซึ่งมือปูนยอมติดคุกเอง ไม่ยอมพาดพิงถึงผู้จ้างวานเป็นผลให้กฎหมายทําอะไรคนสั่งการไม่ได้ต่อให้รู้ทั้งรู้ก็ตาม ย้อนไปเมื่อปี2533 เคยเกิดคดีดังสนั่นเมือง
    เมื่อนายบุญสิทธิ์อายุ 47 ปีเจ้าของกิจการบางกอกแฮมตราหมูตัวเดียว ถูกมือปูนชุดยีนส์รัวคิลด้วยปูนจุดสามห้าเจ็ดแม็กนั่ม กระสุ.นเจาะเกราะ รถเปอโย ขณะเสี่ยบางกอกแฮมนั่งรถของทนายความประจําตัวออกจากบ้าน มือปูนสาดกระสูนจากกระจกหน้าต่างฝั่งซ้ายกระสูนเจาะร่างเสี่ยดัง
    ทั้งที่ปกติเสี่ยบุญสิทธิ์ระวังตัวมาตลอดเพราะรู้ว่าอริจ้องเอาชีวิต ถึงขั้นเตรียมกระเป๋าเจมส์บอนด์เสริมเหล็กไว้ป้องกันกระสูนปูนแต่วันนั้นไม่ทันยกกันเลยจบชีวิต
    หลังการลงมือตํารวจนครบาลรู้ในทันที สาเหตุเป็นเรื่องการคิลล้างแค้นอย่างแน่นอนเป็นผลต่อเนื่องมาจากคดียิ..งป๋าตงเจ็บ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทฟลาวเวอร์เอ็กซ์เพรสส่งออกดอกไม้ประดิษฐ์คู่แข่งอีกธุรกิจของเสี่ยบุญสิทธิ์ จึงทำให้นายบุญสิทธิ์ใช้ปูนเป็นเครื่องมือกําจัดคู่แข่ง ส่งมือปูนสองคนใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะ ปืนจุดสามห้าเจ็ดแม็กนั่มเป็นอาวุธถล่มยิ.งป๋าตง ใจกลางกรุงกระสุนเจาะขมับป๋าตงแม้ไม่ถึงตุย
    แต่ก็พิการตาบอดสนิททั้งสองข้างต้องอยู่ในโลกมืดไปชั่วชีวิตต่อมาตํารวจจับมือปูนและคนบงการได้ซึ่งก็คือน้องชายของนายบุญสิทธิ์ ซึ่งเป็นโปรโมเตอร์มวยชื่อดังรวมถึงตัวนายบุญสิทธิ์เองด้วย แต่มือปูนไม่ซัดทอดศาลก็เลยยกฟ้องในส่วนของคนจ้างวานจากปี 2530 มาถึงปี 2531 ดังนั้นเหตุการณ์ของโกทร ก็คงไม่แตกต่างกับเรื่องในอดีตอย่างแน่นอน
    ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ

    โกทรมีโอกาสรอด เพราะบทเรียนในอดีตเปิดช่องโหว่ ถึงเวลาที่โกทร เจ้าพ่อปราจีนจะสิ้นอิสรภาพเข้าไปอยู่ในคู่กับมือปูน ติดตามทั้งหกเนื่องจากไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างสู้คดี กรณีคดีจ้างวานคิล ที่มีเจ้าพ่ออยู่เบื้องหลังคําสั่งคิล ย่อมผ่านการวางแผนมาเป็นอย่างดี ที่สําคัญหลังเหยื่อตุยคดีความจะเป็นไปในทิศทางไหนก็ต้องมีการเตรียมพร้อมรับมือไว้แล้วจึงเชื่อกันว่า เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล มีโอกาสที่โกธรจะหลุดจากคดีเนื่องจากมือปืนของโกธร 2 คนให้การสารภาพในลักษณะสมอ้างว่า ลงมือรัวคิลสอจอโต้งด้วยเรื่องส่วนตัวเหตุจากความบันดาลโทสะถูก สอจอโต้งตบหัวขณะที่มือปูนอีกสี่คนก็ให้การสอดรับไปในทางเดียวกัน โดยกันตัวโกธรไปจากฉากนองเลือ.ดอ้างว่าตอนเกิดเหตุโกธรเข้าไปนอนแล้วไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย แม้ในทางสืบสวนรูปคดีส่อเค้าว่าการสังหาน สจโต้งคือการวางแผน รวมค่ายอย่างแยบยลถึงขั้นลงทุนใช้บ้านตัวเองเป็นสถานที่ลงมือ แต่การพิสูจน์ในศาลเป็นอีกเรื่องหนึ่งการนําเสนอให้ศาลเชื่อในน้ำหนักของพยานหลักฐานในเมื่อพยานทุกคนในที่เกิดเหตุให้การไปในทางเดียวกัน ในลักษณะเตี๊ยมกันมาแล้วเป็นเรื่องที่ยากพอสมควรที่จะสาวไปถึงคนบงการโดยเฉพาะสองมือปูนของโกธรพร้อมจะรับการติดคุกเองด้วยการยอมรับผิดเอง ไม่ยอมเปิดปากซัดทอดใครทั้งสิ้น ในอดีตก็เคยมีคดีดังซึ่งมือปูนยอมติดคุกเอง ไม่ยอมพาดพิงถึงผู้จ้างวานเป็นผลให้กฎหมายทําอะไรคนสั่งการไม่ได้ต่อให้รู้ทั้งรู้ก็ตาม ย้อนไปเมื่อปี2533 เคยเกิดคดีดังสนั่นเมือง เมื่อนายบุญสิทธิ์อายุ 47 ปีเจ้าของกิจการบางกอกแฮมตราหมูตัวเดียว ถูกมือปูนชุดยีนส์รัวคิลด้วยปูนจุดสามห้าเจ็ดแม็กนั่ม กระสุ.นเจาะเกราะ รถเปอโย ขณะเสี่ยบางกอกแฮมนั่งรถของทนายความประจําตัวออกจากบ้าน มือปูนสาดกระสูนจากกระจกหน้าต่างฝั่งซ้ายกระสูนเจาะร่างเสี่ยดัง ทั้งที่ปกติเสี่ยบุญสิทธิ์ระวังตัวมาตลอดเพราะรู้ว่าอริจ้องเอาชีวิต ถึงขั้นเตรียมกระเป๋าเจมส์บอนด์เสริมเหล็กไว้ป้องกันกระสูนปูนแต่วันนั้นไม่ทันยกกันเลยจบชีวิต หลังการลงมือตํารวจนครบาลรู้ในทันที สาเหตุเป็นเรื่องการคิลล้างแค้นอย่างแน่นอนเป็นผลต่อเนื่องมาจากคดียิ..งป๋าตงเจ็บ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทฟลาวเวอร์เอ็กซ์เพรสส่งออกดอกไม้ประดิษฐ์คู่แข่งอีกธุรกิจของเสี่ยบุญสิทธิ์ จึงทำให้นายบุญสิทธิ์ใช้ปูนเป็นเครื่องมือกําจัดคู่แข่ง ส่งมือปูนสองคนใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะ ปืนจุดสามห้าเจ็ดแม็กนั่มเป็นอาวุธถล่มยิ.งป๋าตง ใจกลางกรุงกระสุนเจาะขมับป๋าตงแม้ไม่ถึงตุย แต่ก็พิการตาบอดสนิททั้งสองข้างต้องอยู่ในโลกมืดไปชั่วชีวิตต่อมาตํารวจจับมือปูนและคนบงการได้ซึ่งก็คือน้องชายของนายบุญสิทธิ์ ซึ่งเป็นโปรโมเตอร์มวยชื่อดังรวมถึงตัวนายบุญสิทธิ์เองด้วย แต่มือปูนไม่ซัดทอดศาลก็เลยยกฟ้องในส่วนของคนจ้างวานจากปี 2530 มาถึงปี 2531 ดังนั้นเหตุการณ์ของโกทร ก็คงไม่แตกต่างกับเรื่องในอดีตอย่างแน่นอน ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Sad
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 390 มุมมอง 0 รีวิว
  • กี่ปีผ่านไป วิถีก็เหมือนเดิม จุดจบนักเลงตัวตึง
    หลายคนอาจคิดว่าเจ้าพ่อมาเฟียเมืองไทย ไม่มีแล้วในพศ. นี้ แต่ก็ต้องสะดุ้งตื่นจากฝันไปตามๆ กันเพราะคดีสังห..าร สจโต้ง ปราจีนบุรี เป็นหลักฐานยืนยันชัดเจนเจ้าพ่อเมืองไทยยังอยู่ยังไม่ไปไหน เมื่อความขัดแย้งเดินมาถึงจุดที่คุยกันไม่รู้เรื่องก็ต้องใช้อํานาจปื.น ผ่าทางตัน
    เมื่อเจ้าพ่อปราจีนอย่าง โกธร จําต้องใช้บ้านของตัวเองเป็นสถานที่ปิดประตูตีแมว อย่างไม่มีทางเลี่ยงเพราะถ้าปล่อย สจ โต้งก้าวพ้นประตูบ้านไปในคืนนั้นก็จะเหมือนปล่อยเสือเข้าป่า
    การสังหา.รอริในบ้านตัวเอง มีดีกรีความอุกอาจสมศักดิ์ศรีเจ้าพ่อทุกประการ ใครไม่เคยรู้จักตัวตนแท้จริงของ โกธร ก็ได้รู้กันคราวนี้ เทียบเคียงกับคดีเก่าๆ ที่เกิดขึ้นตามประกาศิตสั่งตุยจากเจ้าพ่อ ก็จะเห็นถึงความดุเดือดเลือดพล่านท้าทายกฎหมายไม่ต่างกัน
    ย้อนไปเมื่อปี 2531เจ้าพ่อน้อยดาวรุ่งอย่างโหงว ห้าพลังถูกมือปื..นยิ.งถล่มเบ้าตาทะลุ คาสนามมวยลุมพินีระหว่างการพักยกสี่ของมวยคู่เอก เกิดการดวลปูนกันสนั่นหวั่นไหวระหว่างกลุ่มมือปูนสังหานกับมือปูนคุ้มกันโหงว 5 พลังราวกับเมืองไทยเป็นบ้านป่าเมืองเถื่..อน
    ก่อนถูกสั่งเก็บโหงว 5พลัง เพิ่งขึ้นเวทีมวยไปจับไมโครโฟนยืนร่วมกับเจ้าพ่อนครบาลอย่างเฮียเหลา นายแคล้ว ธนิกุล โดยโหงวมีตําแหน่งเป็นนายกสมาคมมวยอาชีพ
    ส่วนแคล้วเป็นนายกสมาคมมวยสมัครเล่น แต่พอลงจากเวทีไม่เท่าไหร่มือปูนก็ถล่มโหงวห้าพลังกันตรงนั้นเลย ไม่รอไปจัดการกันข้างนอกสนามมวยตํารวจจับมือปูนในที่เกิดเหตุได้สองคนล้วนแต่เป็นคนของแคล้ว ธนิกุล แต่แคล้วปฏิเสธไม่รู้เห็นใดๆทั้งสิ้น ทั้งหลุดคําพูดว่าโหงวไม่ได้วัดรอยเท้าผม ผมช่วยเค้าทุกอย่างผมรักโหงวเหมือนน้อง และเขาก็รักผมเหมือนพี่
    คําพูดแบบนี้แทบจะเหมือนกันเป๊ะกับคําพูดของโกธรที่พูดออกมาหลังตกเป็นผู้ต้องหาค่าสจ โต้ง โดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยโกธร กล่าวถึง สจ โต้ง ว่ารักเหมือนลูกหลาน จะคิลทําไมบ้าบอ ผมอุตส่าห์ช่วยเขามาตลอดจะว่าโกธรจงใจก๊อปปี้คําพูดของเฮียเหลาก็คงไม่ใช่
    ต้องบอกว่า วงจรกลุ่มมือปูน ดูท่าจะคล้ายๆกันไปหมด ไม่ว่าจะเป้นการยืมมือลูกน้องจัดการ เหตุผลของเงิน อำนาจ บารมี ล้วนแล้วแต่เป็นจุดแตกหักของวิถีนักเลง มือปูนไม่ว่าจะผ่านมาสักกี่ยุคก็ตาม ติดตามข่าวซีพๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    กี่ปีผ่านไป วิถีก็เหมือนเดิม จุดจบนักเลงตัวตึง หลายคนอาจคิดว่าเจ้าพ่อมาเฟียเมืองไทย ไม่มีแล้วในพศ. นี้ แต่ก็ต้องสะดุ้งตื่นจากฝันไปตามๆ กันเพราะคดีสังห..าร สจโต้ง ปราจีนบุรี เป็นหลักฐานยืนยันชัดเจนเจ้าพ่อเมืองไทยยังอยู่ยังไม่ไปไหน เมื่อความขัดแย้งเดินมาถึงจุดที่คุยกันไม่รู้เรื่องก็ต้องใช้อํานาจปื.น ผ่าทางตัน เมื่อเจ้าพ่อปราจีนอย่าง โกธร จําต้องใช้บ้านของตัวเองเป็นสถานที่ปิดประตูตีแมว อย่างไม่มีทางเลี่ยงเพราะถ้าปล่อย สจ โต้งก้าวพ้นประตูบ้านไปในคืนนั้นก็จะเหมือนปล่อยเสือเข้าป่า การสังหา.รอริในบ้านตัวเอง มีดีกรีความอุกอาจสมศักดิ์ศรีเจ้าพ่อทุกประการ ใครไม่เคยรู้จักตัวตนแท้จริงของ โกธร ก็ได้รู้กันคราวนี้ เทียบเคียงกับคดีเก่าๆ ที่เกิดขึ้นตามประกาศิตสั่งตุยจากเจ้าพ่อ ก็จะเห็นถึงความดุเดือดเลือดพล่านท้าทายกฎหมายไม่ต่างกัน ย้อนไปเมื่อปี 2531เจ้าพ่อน้อยดาวรุ่งอย่างโหงว ห้าพลังถูกมือปื..นยิ.งถล่มเบ้าตาทะลุ คาสนามมวยลุมพินีระหว่างการพักยกสี่ของมวยคู่เอก เกิดการดวลปูนกันสนั่นหวั่นไหวระหว่างกลุ่มมือปูนสังหานกับมือปูนคุ้มกันโหงว 5 พลังราวกับเมืองไทยเป็นบ้านป่าเมืองเถื่..อน ก่อนถูกสั่งเก็บโหงว 5พลัง เพิ่งขึ้นเวทีมวยไปจับไมโครโฟนยืนร่วมกับเจ้าพ่อนครบาลอย่างเฮียเหลา นายแคล้ว ธนิกุล โดยโหงวมีตําแหน่งเป็นนายกสมาคมมวยอาชีพ ส่วนแคล้วเป็นนายกสมาคมมวยสมัครเล่น แต่พอลงจากเวทีไม่เท่าไหร่มือปูนก็ถล่มโหงวห้าพลังกันตรงนั้นเลย ไม่รอไปจัดการกันข้างนอกสนามมวยตํารวจจับมือปูนในที่เกิดเหตุได้สองคนล้วนแต่เป็นคนของแคล้ว ธนิกุล แต่แคล้วปฏิเสธไม่รู้เห็นใดๆทั้งสิ้น ทั้งหลุดคําพูดว่าโหงวไม่ได้วัดรอยเท้าผม ผมช่วยเค้าทุกอย่างผมรักโหงวเหมือนน้อง และเขาก็รักผมเหมือนพี่ คําพูดแบบนี้แทบจะเหมือนกันเป๊ะกับคําพูดของโกธรที่พูดออกมาหลังตกเป็นผู้ต้องหาค่าสจ โต้ง โดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยโกธร กล่าวถึง สจ โต้ง ว่ารักเหมือนลูกหลาน จะคิลทําไมบ้าบอ ผมอุตส่าห์ช่วยเขามาตลอดจะว่าโกธรจงใจก๊อปปี้คําพูดของเฮียเหลาก็คงไม่ใช่ ต้องบอกว่า วงจรกลุ่มมือปูน ดูท่าจะคล้ายๆกันไปหมด ไม่ว่าจะเป้นการยืมมือลูกน้องจัดการ เหตุผลของเงิน อำนาจ บารมี ล้วนแล้วแต่เป็นจุดแตกหักของวิถีนักเลง มือปูนไม่ว่าจะผ่านมาสักกี่ยุคก็ตาม ติดตามข่าวซีพๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักตํารวจสอบสวนกลางหรือCIB เนื่องจากเป็นหน่วยงานหลักในการทําคดีการทําธุรกิจของบริษัท ดิไอคอนก่อนหน้านี้
    รวมทั้งเข้ามาทําคดีอาชญากรรมสําคัญมากมาย
    โดยเฉพาะล่าสุดเพิ่งเข้าทลายกลุ่มบุคคลที่หลอกลวงเหยื่อไปอยู่ในขบวนการค้.ามนุ..ษย์เพื่อขายบริก..ารทางเ.พ..ศ
    ในโลกออนไลน์จึงเริ่มมีกระแสอยากเห็นภาพบรรยากาศห้องขังของตํารวจ CIB
    ปรากฏว่ากองบัญชาการตํารวจสอบสวนกลางได้โพสต์คลิปวิดีโอผ่านทางโซเชียลมีเดียพร้อมระบุว่ารีวิวห้องขัง cib ตามคําเรียกร้อง
    ตํารวจสอบสวนกลาง cibมืออาชีพเป็นการเคียงข้างประชาชน
    เนื้อหาในคลิประบุว่า ห้องพักฟรีที่ใครก็ไม่อยากมามีทั้งระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม
    ไม่ต้องเหงามีเราอยู่เป็นเพื่อน
    ที่พักรองรับได้ทั้งชายและหญิงพร้อมรับทุกคดี
    พื้นที่กว้างและไม่อ้างว้างอย่างแน่นอน
    บริการห้องน้ําสบายแบบ openair คิดถึงก็มาเยี่ยมกันได้ เช้าเที่ยง เย็น
    อาหาร3 มื้อ รับรองไม่มีอดและนี่คือการรีวิวห้องขังของ cibทางที่ดีอย่ามาดีกว่า
    โดยหากมีผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีต่างๆ
    ทางพนักงานสอบสวนจะมีอํานาจหน้าที่ในการควบคุมผู้ต้องหาเป็นเวลาไม่เกิน2 วัน หรือ 48ชั่วโมง
    เพื่อทําการสอบสวนผู้ต้องหาให้เสร็จสิ้น
    หากพนักงานสอบสวนไม่ให้ผู้ต้องหาประกันตัวก็อาจจะนําตัวผู้ต้องหาส่งสารเพื่อฝากขังต่อไป
    และหากผู้ต้องหาถูกฝากขังที่ซีไอบีจะมีอาหารฟรีถึง 3 มื้อและสิ่งอื่นๆ
    ที่ผู้ต้องหาพึงจะต้องได้รับ ตอนนี้เราก็มาลุ้นกันว่าบอสนั้นในวงการจะได้เข้ารับบริการที่นี่คนต่อไป
    ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดํา
    ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักตํารวจสอบสวนกลางหรือCIB เนื่องจากเป็นหน่วยงานหลักในการทําคดีการทําธุรกิจของบริษัท ดิไอคอนก่อนหน้านี้ รวมทั้งเข้ามาทําคดีอาชญากรรมสําคัญมากมาย โดยเฉพาะล่าสุดเพิ่งเข้าทลายกลุ่มบุคคลที่หลอกลวงเหยื่อไปอยู่ในขบวนการค้.ามนุ..ษย์เพื่อขายบริก..ารทางเ.พ..ศ ในโลกออนไลน์จึงเริ่มมีกระแสอยากเห็นภาพบรรยากาศห้องขังของตํารวจ CIB ปรากฏว่ากองบัญชาการตํารวจสอบสวนกลางได้โพสต์คลิปวิดีโอผ่านทางโซเชียลมีเดียพร้อมระบุว่ารีวิวห้องขัง cib ตามคําเรียกร้อง ตํารวจสอบสวนกลาง cibมืออาชีพเป็นการเคียงข้างประชาชน เนื้อหาในคลิประบุว่า ห้องพักฟรีที่ใครก็ไม่อยากมามีทั้งระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม ไม่ต้องเหงามีเราอยู่เป็นเพื่อน ที่พักรองรับได้ทั้งชายและหญิงพร้อมรับทุกคดี พื้นที่กว้างและไม่อ้างว้างอย่างแน่นอน บริการห้องน้ําสบายแบบ openair คิดถึงก็มาเยี่ยมกันได้ เช้าเที่ยง เย็น อาหาร3 มื้อ รับรองไม่มีอดและนี่คือการรีวิวห้องขังของ cibทางที่ดีอย่ามาดีกว่า โดยหากมีผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีต่างๆ ทางพนักงานสอบสวนจะมีอํานาจหน้าที่ในการควบคุมผู้ต้องหาเป็นเวลาไม่เกิน2 วัน หรือ 48ชั่วโมง เพื่อทําการสอบสวนผู้ต้องหาให้เสร็จสิ้น หากพนักงานสอบสวนไม่ให้ผู้ต้องหาประกันตัวก็อาจจะนําตัวผู้ต้องหาส่งสารเพื่อฝากขังต่อไป และหากผู้ต้องหาถูกฝากขังที่ซีไอบีจะมีอาหารฟรีถึง 3 มื้อและสิ่งอื่นๆ ที่ผู้ต้องหาพึงจะต้องได้รับ ตอนนี้เราก็มาลุ้นกันว่าบอสนั้นในวงการจะได้เข้ารับบริการที่นี่คนต่อไป ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดํา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทนายเดชา เจ้าของฉายา ปากม๋าเป็นปกติธุระ
    ทนายเดชา ปกติก็โดนทัวร์ลงเป็นปกติธุระอยู่แล้ว จากจุดยืนเลือกข้างทนายตั้ม แต่สถานการณ์ล่าสุดกลับเลวร้ายกว่าเดิม ทัวร์ลงเพจทนายคลายทุกข์จนแทบลุกเป็นไฟ เมื่อวันพ่อ 5 ธันวาคม เพราะดันไปหาเรื่องเอง ไปโพสต์ล่อแหลมถึงพ่อ จนคนจํานวนมากไม่พอใจมองว่ามีเจตนาไม่ดีดูยังไงก็เหมือนแซะสถาบัน โดนกระหน่ําด่า จนทนายเดชาต้องลบโพสต์เจ้าปัญหาทิ้ง
    แล้วก็ไลฟ์สดด่าคนที่มาทัวร์ลงด้วยถ้อยคําหยาบคาย อย่างจัญไร ไอ้ควาย ทั้งสาปแช่งให้ตกนรกออกอาการสติแตกออกปากหยาบคายเช่นนี้ ตรงตามที่บิ๊กเต่า พลตํารวจตรีจรุญเกียรติ ปานแก้ว ตอบกลับทนายบางคน โดยนิยามให้เป็นอินฟลูปากหมา แค่คํานี้คําเดียวบิ๊กเต่า ก็สอบผ่านฉลุย เป็นอินฟลูตํารวจตามนโยบาย ผบ ตร ทันที
    ปฏิกิริยาตอบกลับแบบไม่เกรงใจบอกให้รู้ว่า ในสายตาบิ๊กเต่าคนอย่างทนายเดชาไม่มีราคาเอาเสียเลย คํานิยามจากบิ๊กเต่านับว่าเข้ากันเป๊ะกับสถานการณ์ล่าสุดของทนายเดชาที่ดันมาโพสต์แซะพ่อ จนสียศูนย์ ด่ากราดคนอย่างหยาบคาย
    การที่ทนายเดชาแกว่งปากใส่บิ๊กเต่าก่อน โดยเตือนให้ระวังติดคุกเพราะการแถลงข่าวบ่อยถือเป็นคําพูดที่ไม่เข้าท่าเพราะสื่อจะรู้อยู่แล้วตํารวจบิ๊กๆ ในสอบสวนกลางล้วนแต่ให้สัมภาษณ์อย่างระมัดระวังสุดขีดไม่เคยหลุดข้อมูลเชิงลึกให้เสียรูปคดี นักข่าวล่อหลอกถามเท่าไหร่ก็รู้ทันหมดไม่ว่าจะบิ๊กก้องพลตํารวจโท จิรภพ ภูริเดช บิ๊กหมูพลตํารวจตรีสุวัฒน์ แสงนุ่ม และก็ตัวบิ๊กเต่าเองล้วนแต่รู้วิธีการให้ข่าวว่าแค่ไหนคือพอดี
    คนละแนวกับทนายเดชาต่อให้รู้น้อยก็พูดเหมือนรู้มาก อย่างพูดว่าทนายตั้มจะใช้ทีมทนายของบิ๊กโจ๊กก็ถูกทางทีมทนายของบิ๊กโจ๊กปฏิเสธหน้าแหก เคยบอกว่าตํารวจสอบสวนกลางไม่ออกหมายจับเจ๊พัฒน์คดีตบทรัพย์ เจ๊พัฒน์จะได้ลอยกระทง แต่สุดท้ายตํารวจก็ออกหมายจับเจ๊พัฒน์ในวันลอยกระทง ช่างกล้าพูดว่าสื่อไม่สามารถเจาะข่าวทางลึกของตํารวจได้ทั้งที่สื่อสามารถขุดคุ้ยข้อมูลลึกของทนายตั้มแบบรายวันนําเสนอกันเป็นเดือนแล้ว
    ขณะที่ตํารวจ CIB กําลังเป็นขาขึ้นเป็นขวัญใจประชาชน คนที่กระแสตกสวนทางตํารวจก็มีแต่ทนายเดชานี่แหละยอดไลค์ทุกวันนี้ไม่ได้สัมพันธ์กับผู้ติดตามเป็นล้านๆคนเลยไหนยังเป็นทนายคนแรกที่ประชาชนไม่เกรงใจคอมเม้นแจก ค กันเป็นร้อยๆ กลายเป็นเจ้าพ่อควายไปเรียบร้อยแล้ว สะท้อนเครดิตความน่าเชื่อถือของทนายเดชาเองว่ากําลังดําดิ่งเจ้าตัวควรจะรู้ตัวได้แล้วไม่ใช่แค่เป็นแชมป์คอควายเท่านั้น
    ล่าสุดมีรายงานข่าวจากสภาทนายความแห่งประเทศไทยระบุว่าทนายเดชามีคดีถูกร้องเรียนมรรยาททนายความจํานวนมาก ครองแชมป์การถูกร้องเรียนทิ้งห่างคนอื่นๆแบบไม่เห็นฝุ่นถือเป็นทนายเหนือทนายของจริง ติดตามข่าวซีพๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    ทนายเดชา เจ้าของฉายา ปากม๋าเป็นปกติธุระ ทนายเดชา ปกติก็โดนทัวร์ลงเป็นปกติธุระอยู่แล้ว จากจุดยืนเลือกข้างทนายตั้ม แต่สถานการณ์ล่าสุดกลับเลวร้ายกว่าเดิม ทัวร์ลงเพจทนายคลายทุกข์จนแทบลุกเป็นไฟ เมื่อวันพ่อ 5 ธันวาคม เพราะดันไปหาเรื่องเอง ไปโพสต์ล่อแหลมถึงพ่อ จนคนจํานวนมากไม่พอใจมองว่ามีเจตนาไม่ดีดูยังไงก็เหมือนแซะสถาบัน โดนกระหน่ําด่า จนทนายเดชาต้องลบโพสต์เจ้าปัญหาทิ้ง แล้วก็ไลฟ์สดด่าคนที่มาทัวร์ลงด้วยถ้อยคําหยาบคาย อย่างจัญไร ไอ้ควาย ทั้งสาปแช่งให้ตกนรกออกอาการสติแตกออกปากหยาบคายเช่นนี้ ตรงตามที่บิ๊กเต่า พลตํารวจตรีจรุญเกียรติ ปานแก้ว ตอบกลับทนายบางคน โดยนิยามให้เป็นอินฟลูปากหมา แค่คํานี้คําเดียวบิ๊กเต่า ก็สอบผ่านฉลุย เป็นอินฟลูตํารวจตามนโยบาย ผบ ตร ทันที ปฏิกิริยาตอบกลับแบบไม่เกรงใจบอกให้รู้ว่า ในสายตาบิ๊กเต่าคนอย่างทนายเดชาไม่มีราคาเอาเสียเลย คํานิยามจากบิ๊กเต่านับว่าเข้ากันเป๊ะกับสถานการณ์ล่าสุดของทนายเดชาที่ดันมาโพสต์แซะพ่อ จนสียศูนย์ ด่ากราดคนอย่างหยาบคาย การที่ทนายเดชาแกว่งปากใส่บิ๊กเต่าก่อน โดยเตือนให้ระวังติดคุกเพราะการแถลงข่าวบ่อยถือเป็นคําพูดที่ไม่เข้าท่าเพราะสื่อจะรู้อยู่แล้วตํารวจบิ๊กๆ ในสอบสวนกลางล้วนแต่ให้สัมภาษณ์อย่างระมัดระวังสุดขีดไม่เคยหลุดข้อมูลเชิงลึกให้เสียรูปคดี นักข่าวล่อหลอกถามเท่าไหร่ก็รู้ทันหมดไม่ว่าจะบิ๊กก้องพลตํารวจโท จิรภพ ภูริเดช บิ๊กหมูพลตํารวจตรีสุวัฒน์ แสงนุ่ม และก็ตัวบิ๊กเต่าเองล้วนแต่รู้วิธีการให้ข่าวว่าแค่ไหนคือพอดี คนละแนวกับทนายเดชาต่อให้รู้น้อยก็พูดเหมือนรู้มาก อย่างพูดว่าทนายตั้มจะใช้ทีมทนายของบิ๊กโจ๊กก็ถูกทางทีมทนายของบิ๊กโจ๊กปฏิเสธหน้าแหก เคยบอกว่าตํารวจสอบสวนกลางไม่ออกหมายจับเจ๊พัฒน์คดีตบทรัพย์ เจ๊พัฒน์จะได้ลอยกระทง แต่สุดท้ายตํารวจก็ออกหมายจับเจ๊พัฒน์ในวันลอยกระทง ช่างกล้าพูดว่าสื่อไม่สามารถเจาะข่าวทางลึกของตํารวจได้ทั้งที่สื่อสามารถขุดคุ้ยข้อมูลลึกของทนายตั้มแบบรายวันนําเสนอกันเป็นเดือนแล้ว ขณะที่ตํารวจ CIB กําลังเป็นขาขึ้นเป็นขวัญใจประชาชน คนที่กระแสตกสวนทางตํารวจก็มีแต่ทนายเดชานี่แหละยอดไลค์ทุกวันนี้ไม่ได้สัมพันธ์กับผู้ติดตามเป็นล้านๆคนเลยไหนยังเป็นทนายคนแรกที่ประชาชนไม่เกรงใจคอมเม้นแจก ค กันเป็นร้อยๆ กลายเป็นเจ้าพ่อควายไปเรียบร้อยแล้ว สะท้อนเครดิตความน่าเชื่อถือของทนายเดชาเองว่ากําลังดําดิ่งเจ้าตัวควรจะรู้ตัวได้แล้วไม่ใช่แค่เป็นแชมป์คอควายเท่านั้น ล่าสุดมีรายงานข่าวจากสภาทนายความแห่งประเทศไทยระบุว่าทนายเดชามีคดีถูกร้องเรียนมรรยาททนายความจํานวนมาก ครองแชมป์การถูกร้องเรียนทิ้งห่างคนอื่นๆแบบไม่เห็นฝุ่นถือเป็นทนายเหนือทนายของจริง ติดตามข่าวซีพๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 482 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในหลวง เสด็จฯไปในพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณ ทหารราชวัลลภฯ พระราชินี ทรงดำรงตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม”

    วันนี้ (3 ธ.ค.) เมื่อเวลา 17.20 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปในพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 “ราชวัลลภ เทิดไท้จอมราชา72 พรรษามหามงคล” ณ พระลานพระราชวังดุสิต

    ในการนี้พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณพระบรมราชินี ทรงนำการสวนสนามของทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์และทหารรักษาพระองค์สามเหล่าทัพในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม” พร้อมด้วยพลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ร่วมสวนสนาม ทรงม้านำขบวนกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ ในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับกองพันทหารม้ารักษาพระองค์“

    ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงเฝ้ารอเฝ้าฯรับเสด็จฯ ณ พลับพลาที่ประทับ

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต ทางประตูภูธรลีลาศ ถึงยังพระลานพระราชวังดุสิต พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ที่ทรงดำรงตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม” ทรงสั่งกองผสมถวายความเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    จากนั้นองค์ผู้บังคับกองผสม ทรงวิ่งจากแถวหน้า บก.กองผสม ไปยังจุดถวายความเคารพ องค์ผู้บังคับกองผสมถวายความเคารพ กราบบังคมทูลรายงาน และกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯทรงตรวจพลสวนสนาม
    เมื่อองค์ผู้บังคับกองผสม กราบบังคมทูลรายงานจบแล้ว เสด็จฯไปยังรถยนต์พระที่นั่ง ประทับยืนบนรถยนต์พระที่นั่งตรวจพล

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับยืนบนรถยนต์พระที่นั่ง ทรงตรวจพลสวนสนามโดยรถยนต์พระที่นั่งจำนวน 4 กรม 10 กองพัน ซึ่งประกอบด้วย กรมทหารรักษาวังมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์, กรมนักเรียนนายร้อยรักษาพระองค์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, กรมนักเรียนนายเรือรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรือ, กรมนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช, กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ , กองพันทหารอากาศโยธิน 3 กรมทหารอากาศโยธิน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน , กองพันทหารม้าที่ 25 กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์, กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่21 รักษาพระองค์, กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 102 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 รักษาพระองค์, กองพันทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 และกองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน

    เมื่อทรงตรวจพลสวนสนามเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นพลับพลาที่ประทับ ทรงรับการถวายความเคารพของผู้มาเฝ้าฯ ประทับพระราชอาสน์ ณ พระที่นั่งชุมสาย

    พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงวิ่งกลับมาประจำจุดยืนหน้าแถว บก.กองผสม และทรงสั่ง กองผสมเรียบ-อาวุธ แตรเดี่ยวเป่าสัญญาณเตรียมตัว 2 จบแล้ว องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงสั่งกองผสมจัดแถวเตรียมสวนสนาม ทรงสั่งกองผสมแบก-อาวุธ แตรเดี่ยวเป่าสัญญาณหน้าเดิน 2 จบ ขณะนั้นวงดุริยางค์บรรเลงเพลงมาร์ชราชวัลลภ อันอันเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 7 ในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใน พ.ศ. 2491 ชื่อ "ราชวัลลภ" และพระราชทานให้เป็นเพลงประจำกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ เพื่อไว้ใช้ในพิธีสวนสนาม แล้วองค์ผู้บังคับกองผสม และพลสวนสนามจึงเริ่มเดินพร้อมกัน

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับยืน ณ มุขพลับพลาพิธี หน้าพระที่นั่งชุมสาย ทรงรับการถวายความเคารพจากองค์ผู้บังคับกองผสม ธงชัยเฉลิมพล และกำลังพลสวนสนาม สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงร่วมประทับยืน ณ มุขพลับพลาพิธีหน้าพระที่นั่งชุมสาย

    พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงสวนสนามผ่านพลับพลาที่ประทับ เสด็จขึ้นพลับพลาที่ประทับ แล้วประทับยืน ณ หน้าพระที่นั่งชุมสาย ทรงรับการถวายความเคารพจากแถวทหาร กรมสวนสนาม จำนวน 4 กรม 10 กองพัน ตามลำดับ

    พลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับกองพันทหารม้ารักษาพระองค์” ทรงม้า “Fürst Henry” (ฟรุ๊ต เฮนรี่) อายุ 14 ปี เพศผู้ตอน สีดำ สายพันธุ์ ดัตช์ วอร์มบลัด (KWPN) จากประเทศเนเธอร์แลนด์ นำขบวนกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ 1 กองพันเข้ามายังหน้าพลับพลาพิธี

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ประทับพระราชอาสน์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พลโทรัฐพล ธูปประสม เจ้ากรมสารบรรณทหาร เข้าเฝ้าฯทูเกล้าถวายสูจิบัตร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พันโทหญิงวลัยลักษณ์ อาวรณ์ หัวหน้าปรับปรุงโครงการ สำนักงานปลัดบัญชีทหาร เข้าเฝ้าฯทูลเกล้าฯถวายสูจิบัตร แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี

    สําหรับพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตน ของทหารรักษาพระองค์นั้น เป็นพิธีที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อ ทหารรักษาพระองค์ทุกเหล่าทัพ ที่จะเป็นโอกาสพิเศษใน การถวายความจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริย์ผู้เป็นจอมทัพไทย โดยได้จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อ พุทธศักราช 2496 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดําเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปพระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่หน่วยทหาร ในโอกาสครบรอบ วันคล้ายวันสถาปนากรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ณ พระลานพระราชวังดุสิต ซึ่งพระองค์เสด็จพระราชดําเนินทรงตรวจ พลสวนสนาม ทรงตรวจพลสวนสนาม รับการถวายความเคารพจาก ขบวนทหารจํานวน 4 กองพัน โดยทรงพระดําเนินในฉลองพระองค์ เครื่องแบบเต็มยศของกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ นับเป็นจุดเริ่มต้นของพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของ ทหารรักษาพระองค์ ที่จัดขึ้นเป็นประจําทุกปีอย่างต่อเนื่องนับแต่ นั้นมา

    ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร รามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการจัดพิธีสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหาร-ตํารวจ เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในปีพุทธศักราช 2562 และวันกองทัพไทย ณ ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร จังหวัดสระบุรี นับเป็นครั้งแรกที่มีการสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณตนร่วมกัน ระหว่างกําลังพลของทหารและตํารวจ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

    เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิม พระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ครบ 6 รอบ จึงถือเป็นโอกาสอันสําคัญยิ่งของหน่วยทหารรักษาพระองค์ จากเหล่าทัพต่าง ๆ ที่พร้อมใจกันกระทําพิธีสวนสนามและถวาย สัตย์ปฏิญาณตนเพื่อถวายความจงรักภักดีต่อหน้าพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นการแสดงให้ประชาชน ชาวไทยได้ประจักษ์ว่า ทหารรักษาพระองค์จะปฏิบัติหน้าที่ ดํารงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ และถวายพระเกียรติยศสูงสุด แด่พระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต

    #MGROnline #พิธีสวนสนาม #ถวายสัตย์ปฏิญาณ #ทหารราชวัลลภฯ
    ในหลวง เสด็จฯไปในพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณ ทหารราชวัลลภฯ พระราชินี ทรงดำรงตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม” • วันนี้ (3 ธ.ค.) เมื่อเวลา 17.20 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปในพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 “ราชวัลลภ เทิดไท้จอมราชา72 พรรษามหามงคล” ณ พระลานพระราชวังดุสิต • ในการนี้พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณพระบรมราชินี ทรงนำการสวนสนามของทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์และทหารรักษาพระองค์สามเหล่าทัพในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม” พร้อมด้วยพลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ร่วมสวนสนาม ทรงม้านำขบวนกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ ในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับกองพันทหารม้ารักษาพระองค์“ • ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงเฝ้ารอเฝ้าฯรับเสด็จฯ ณ พลับพลาที่ประทับ • เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต ทางประตูภูธรลีลาศ ถึงยังพระลานพระราชวังดุสิต พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ที่ทรงดำรงตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม” ทรงสั่งกองผสมถวายความเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว • จากนั้นองค์ผู้บังคับกองผสม ทรงวิ่งจากแถวหน้า บก.กองผสม ไปยังจุดถวายความเคารพ องค์ผู้บังคับกองผสมถวายความเคารพ กราบบังคมทูลรายงาน และกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯทรงตรวจพลสวนสนาม เมื่อองค์ผู้บังคับกองผสม กราบบังคมทูลรายงานจบแล้ว เสด็จฯไปยังรถยนต์พระที่นั่ง ประทับยืนบนรถยนต์พระที่นั่งตรวจพล • พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับยืนบนรถยนต์พระที่นั่ง ทรงตรวจพลสวนสนามโดยรถยนต์พระที่นั่งจำนวน 4 กรม 10 กองพัน ซึ่งประกอบด้วย กรมทหารรักษาวังมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์, กรมนักเรียนนายร้อยรักษาพระองค์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, กรมนักเรียนนายเรือรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรือ, กรมนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช, กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ , กองพันทหารอากาศโยธิน 3 กรมทหารอากาศโยธิน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน , กองพันทหารม้าที่ 25 กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์, กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่21 รักษาพระองค์, กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 102 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 รักษาพระองค์, กองพันทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 และกองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน • เมื่อทรงตรวจพลสวนสนามเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นพลับพลาที่ประทับ ทรงรับการถวายความเคารพของผู้มาเฝ้าฯ ประทับพระราชอาสน์ ณ พระที่นั่งชุมสาย • พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงวิ่งกลับมาประจำจุดยืนหน้าแถว บก.กองผสม และทรงสั่ง กองผสมเรียบ-อาวุธ แตรเดี่ยวเป่าสัญญาณเตรียมตัว 2 จบแล้ว องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงสั่งกองผสมจัดแถวเตรียมสวนสนาม ทรงสั่งกองผสมแบก-อาวุธ แตรเดี่ยวเป่าสัญญาณหน้าเดิน 2 จบ ขณะนั้นวงดุริยางค์บรรเลงเพลงมาร์ชราชวัลลภ อันอันเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 7 ในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใน พ.ศ. 2491 ชื่อ "ราชวัลลภ" และพระราชทานให้เป็นเพลงประจำกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ เพื่อไว้ใช้ในพิธีสวนสนาม แล้วองค์ผู้บังคับกองผสม และพลสวนสนามจึงเริ่มเดินพร้อมกัน • พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับยืน ณ มุขพลับพลาพิธี หน้าพระที่นั่งชุมสาย ทรงรับการถวายความเคารพจากองค์ผู้บังคับกองผสม ธงชัยเฉลิมพล และกำลังพลสวนสนาม สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงร่วมประทับยืน ณ มุขพลับพลาพิธีหน้าพระที่นั่งชุมสาย • พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงสวนสนามผ่านพลับพลาที่ประทับ เสด็จขึ้นพลับพลาที่ประทับ แล้วประทับยืน ณ หน้าพระที่นั่งชุมสาย ทรงรับการถวายความเคารพจากแถวทหาร กรมสวนสนาม จำนวน 4 กรม 10 กองพัน ตามลำดับ • พลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับกองพันทหารม้ารักษาพระองค์” ทรงม้า “Fürst Henry” (ฟรุ๊ต เฮนรี่) อายุ 14 ปี เพศผู้ตอน สีดำ สายพันธุ์ ดัตช์ วอร์มบลัด (KWPN) จากประเทศเนเธอร์แลนด์ นำขบวนกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ 1 กองพันเข้ามายังหน้าพลับพลาพิธี • พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ประทับพระราชอาสน์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พลโทรัฐพล ธูปประสม เจ้ากรมสารบรรณทหาร เข้าเฝ้าฯทูเกล้าถวายสูจิบัตร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พันโทหญิงวลัยลักษณ์ อาวรณ์ หัวหน้าปรับปรุงโครงการ สำนักงานปลัดบัญชีทหาร เข้าเฝ้าฯทูลเกล้าฯถวายสูจิบัตร แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี • สําหรับพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตน ของทหารรักษาพระองค์นั้น เป็นพิธีที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อ ทหารรักษาพระองค์ทุกเหล่าทัพ ที่จะเป็นโอกาสพิเศษใน การถวายความจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริย์ผู้เป็นจอมทัพไทย โดยได้จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อ พุทธศักราช 2496 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดําเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปพระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่หน่วยทหาร ในโอกาสครบรอบ วันคล้ายวันสถาปนากรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ณ พระลานพระราชวังดุสิต ซึ่งพระองค์เสด็จพระราชดําเนินทรงตรวจ พลสวนสนาม ทรงตรวจพลสวนสนาม รับการถวายความเคารพจาก ขบวนทหารจํานวน 4 กองพัน โดยทรงพระดําเนินในฉลองพระองค์ เครื่องแบบเต็มยศของกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ นับเป็นจุดเริ่มต้นของพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของ ทหารรักษาพระองค์ ที่จัดขึ้นเป็นประจําทุกปีอย่างต่อเนื่องนับแต่ นั้นมา • ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร รามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการจัดพิธีสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหาร-ตํารวจ เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในปีพุทธศักราช 2562 และวันกองทัพไทย ณ ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร จังหวัดสระบุรี นับเป็นครั้งแรกที่มีการสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณตนร่วมกัน ระหว่างกําลังพลของทหารและตํารวจ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก • เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิม พระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ครบ 6 รอบ จึงถือเป็นโอกาสอันสําคัญยิ่งของหน่วยทหารรักษาพระองค์ จากเหล่าทัพต่าง ๆ ที่พร้อมใจกันกระทําพิธีสวนสนามและถวาย สัตย์ปฏิญาณตนเพื่อถวายความจงรักภักดีต่อหน้าพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นการแสดงให้ประชาชน ชาวไทยได้ประจักษ์ว่า ทหารรักษาพระองค์จะปฏิบัติหน้าที่ ดํารงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ และถวายพระเกียรติยศสูงสุด แด่พระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต • #MGROnline #พิธีสวนสนาม #ถวายสัตย์ปฏิญาณ #ทหารราชวัลลภฯ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 480 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงบ้านป่า เก้าอี้ร้อน หวานใจถูกตรวจสอบเส้นเงิน
    คนบ้านป่าคงร้อนรุ่มใจยิ่งนัก หลังทําท่าว่ากล่องดวงใจคนสําคัญ กําลังจะโดนฝ่ายตรงข้ามการเมืองไล่ทุบหนักเพราะจากเดิมเป็นแค่กระแสข่าวว่าทางตํารวจ ดีเอฟไอ ปปง จะดําเนินคดีหวานใจ บิ๊กเนมการเมืองอดีตรองนายกรัฐมนตรีเพราะพบเส้นทางการเงินหวานใจคนดังกล่าว ไปพันกับธุรกิจ ธุรกรรมการทํารีสอร์ทหรูในไร่แห่งหนึ่งที่สระบุรี
    ที่เคยถูกตรวจสอบพบว่าบุกรุกที่ สปก โดยเป็นข่าวมาได้หลายสัปดาห์แล้วแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น แต่เรื่องนี้กลับมาร้อนแรงขึ้นทันทีหลังบิ๊กเต่า รองผู้บัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง ยอมรับว่าตอนนี้ตํารวจได้ร่วมกับปปช ปปทและธนดล สุวรรณฤทธิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตร สืบสวนทางลึกเพื่อขยายผลกรณีก่อนหน้านี้ เข้าตรวจสอบรีสอร์ทหรูแห่งหนึ่ง จังหวัดสระบุรี บุกรุกครอบครองที่ สปก โดยไม่ชอบ ต่อมามีการขยายผลพบเส้นการเงิน ผู้บริหารรีสอร์ท โยงถึงบุคคลใกล้ชิดของผู้ใหญ่ในพรรคการเมืองพรรคหนึ่งประมาณ 10ล้านบาทเชื่อมโยงหวานใจบิ๊กเนมคนดังกล่าว
    โดยเส้นทางเงินเกิดขึ้นในช่วงพรรคการเมืองของผู้ใหญ่คนดังกล่าวกําลังมีอํานาจอันเป็นท่าทีของบิ๊กเต่า ที่สอดประสานเล่นคีย์โน้ตเดียวกับธนดล สุวรรณฤทธิ์ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรตั้งแต่ยุคร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่าเป็นรัฐมนตรีเกษตร
    ธนดลออกมาระบุว่ามีการขยายผลการตรวจสอบรีสอร์ทดังกล่าวพบว่าเรื่องนี้มีหวานใจอดีตรองนายกฯ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยพร้อม บอกให้จับตาเดือนธันวาคมนี้จะมีข่าวใหญ่อ้างว่าตรวจสอบแล้วพบเส้นทางการเงิน ที่ถูกโอนจากบริษัทของนักธุรกิจผู้บริหารรีสอร์ทเข้าบัญชีของหญิงคนสนิท 5 ครั้งในวันเดียวกัน ครั้งละ 2,000,000รวม เป็นเงิน 10,000,000 โอนมาเป็นเงินติดล้อเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบ จับอาการทั้งธนดล เด็กปั้นธรรมนัสที่แตกหักบ้านป่ารอยต่อแล้วเลือกอยู่กับ ทักษิณ ชินวัตรที่ ส่งธนดล เดินหน้าตรวจสอบหวานใจบิ๊กเนมการเมืองคนดังกล่าว
    แวดวงการเมืองรู้กันดีว่าใครคือ หวานใจบิ๊กการเมืองคนดังกล่าว แค่ไปแกะรอยข่าวคําให้สัมภาษณ์ของ ดร นฤมล รัฐมนตรีเกษตร ที่สื่อถามถึงเรื่องการตรวจสอบการรุกที่ สปก ที่สระบุรี โดยสื่อเอ่ยชื่อ พล อ ประวิตร วงษ์สุวรรณอย่างน้อย 2 รอบปรากฏว่าด็อกเตอร์นฤมล อดีตคนพลังประชารัฐที่เข้าออกบ้านป่ารอยต่อแบบไม่ต้องจองคิวนัด แม้จะอ้ําๆอึงๆที่เจอคําถามเอ่ยชื่อถึงอดีตบอสการเมืองของตัวเองแบบตรงตรง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรเพียงแต่ออกตัวตีกรรเชียงชิ่งว่ายังไม่ได้รับรายงานโดยไม่ได้ปฏิเสธหลังสื่อ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    ลุงบ้านป่า เก้าอี้ร้อน หวานใจถูกตรวจสอบเส้นเงิน คนบ้านป่าคงร้อนรุ่มใจยิ่งนัก หลังทําท่าว่ากล่องดวงใจคนสําคัญ กําลังจะโดนฝ่ายตรงข้ามการเมืองไล่ทุบหนักเพราะจากเดิมเป็นแค่กระแสข่าวว่าทางตํารวจ ดีเอฟไอ ปปง จะดําเนินคดีหวานใจ บิ๊กเนมการเมืองอดีตรองนายกรัฐมนตรีเพราะพบเส้นทางการเงินหวานใจคนดังกล่าว ไปพันกับธุรกิจ ธุรกรรมการทํารีสอร์ทหรูในไร่แห่งหนึ่งที่สระบุรี ที่เคยถูกตรวจสอบพบว่าบุกรุกที่ สปก โดยเป็นข่าวมาได้หลายสัปดาห์แล้วแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น แต่เรื่องนี้กลับมาร้อนแรงขึ้นทันทีหลังบิ๊กเต่า รองผู้บัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง ยอมรับว่าตอนนี้ตํารวจได้ร่วมกับปปช ปปทและธนดล สุวรรณฤทธิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตร สืบสวนทางลึกเพื่อขยายผลกรณีก่อนหน้านี้ เข้าตรวจสอบรีสอร์ทหรูแห่งหนึ่ง จังหวัดสระบุรี บุกรุกครอบครองที่ สปก โดยไม่ชอบ ต่อมามีการขยายผลพบเส้นการเงิน ผู้บริหารรีสอร์ท โยงถึงบุคคลใกล้ชิดของผู้ใหญ่ในพรรคการเมืองพรรคหนึ่งประมาณ 10ล้านบาทเชื่อมโยงหวานใจบิ๊กเนมคนดังกล่าว โดยเส้นทางเงินเกิดขึ้นในช่วงพรรคการเมืองของผู้ใหญ่คนดังกล่าวกําลังมีอํานาจอันเป็นท่าทีของบิ๊กเต่า ที่สอดประสานเล่นคีย์โน้ตเดียวกับธนดล สุวรรณฤทธิ์ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรตั้งแต่ยุคร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่าเป็นรัฐมนตรีเกษตร ธนดลออกมาระบุว่ามีการขยายผลการตรวจสอบรีสอร์ทดังกล่าวพบว่าเรื่องนี้มีหวานใจอดีตรองนายกฯ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยพร้อม บอกให้จับตาเดือนธันวาคมนี้จะมีข่าวใหญ่อ้างว่าตรวจสอบแล้วพบเส้นทางการเงิน ที่ถูกโอนจากบริษัทของนักธุรกิจผู้บริหารรีสอร์ทเข้าบัญชีของหญิงคนสนิท 5 ครั้งในวันเดียวกัน ครั้งละ 2,000,000รวม เป็นเงิน 10,000,000 โอนมาเป็นเงินติดล้อเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบ จับอาการทั้งธนดล เด็กปั้นธรรมนัสที่แตกหักบ้านป่ารอยต่อแล้วเลือกอยู่กับ ทักษิณ ชินวัตรที่ ส่งธนดล เดินหน้าตรวจสอบหวานใจบิ๊กเนมการเมืองคนดังกล่าว แวดวงการเมืองรู้กันดีว่าใครคือ หวานใจบิ๊กการเมืองคนดังกล่าว แค่ไปแกะรอยข่าวคําให้สัมภาษณ์ของ ดร นฤมล รัฐมนตรีเกษตร ที่สื่อถามถึงเรื่องการตรวจสอบการรุกที่ สปก ที่สระบุรี โดยสื่อเอ่ยชื่อ พล อ ประวิตร วงษ์สุวรรณอย่างน้อย 2 รอบปรากฏว่าด็อกเตอร์นฤมล อดีตคนพลังประชารัฐที่เข้าออกบ้านป่ารอยต่อแบบไม่ต้องจองคิวนัด แม้จะอ้ําๆอึงๆที่เจอคําถามเอ่ยชื่อถึงอดีตบอสการเมืองของตัวเองแบบตรงตรง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรเพียงแต่ออกตัวตีกรรเชียงชิ่งว่ายังไม่ได้รับรายงานโดยไม่ได้ปฏิเสธหลังสื่อ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 493 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบ.ตร เตรียมปั้น ตำรวจอินฟลู มาต่อสู้คนเลว
    บิ๊กต่าย ผบ.ตร ได้รับเสียงสรรเสริญจากตํารวจทั้งประเทศ ในการแถลง สิบห้านโยบายหลักของสํานักงานตํารวจแห่งชาติโดยให้ตํารวจทั้งหมดปฏิบัติตามนโยบายอย่างเร่งด่วนประกอบด้วย
    ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนmindsetให้ตํารวจเป็นที่พึ่งของประชาชน ให้รางวัลแก่ตํารวจน้ําดี และลงโทษตํารวจเลว พัฒนางานสถานีตํารวจ แก้ไขปัญหางานสอบสวน ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่เป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมือง สร้างเสริมวินัยจราจร ทํางานเชิงรุกด้านการข่าว ประชาสัมพันธ์เชิงรุกสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรเป็นต้น
    ซึ่ง ข้อหนึ่งที่สร้างความฮือฮาก็คือให้ผู้บัญชาการหรือผู้บังคับการ จะต้องเป็น influencerด้วยตนเอง เพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบันต้องบอกว่าถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่ตํารวจจะต้องเป็น influ เองสักทีเพราะที่ผ่านมา influ สายกฎหมายสายสังคม กลับมาก่อคดีอาญาต่างๆนานาเสียเอง อย่างทนายตั้มที่กลายร่างเป็นทนายต้ม สร้างภาพหลอกลวงสังคมปกปิดความสกปรกชั่วร้ายที่ซ่อนไว้อย่างแนบเนียน เอกสายไหม ต้องรอด โดนคดีปั่นข่าวเท็จดีไอคอน ด้วยวัตถุประสงค์ลึกลับอะไรสักอย่าง ฟิล์มรัฐภูมิ จ่อถูกดําเนินคดีข้อหาพยายามตบทรัพย์ดิไอคอน แกนนําต้านโกงอย่างเจ๊พัฒน์ กิจอนงค์ สุดท้ายมาโดนคดีตบทรัพย์เสียเอง
    ตัวอย่างเหล่านี้เป็นความพิกลพิการของสังคมไทย ลงภาพลักษณ์ของคนที่ไม่สะอาดจริงปล่อยให้มายึดหัวหาดเป็นอินฟลูเอนเซอร์เพราะฉะนั้นจึงเป็นโอกาสเหมาะสมที่องค์กรตํารวจยุคบิ๊กต่าย จะผลักดันคนดีคนเก่งในสํานักงานตํารวจแห่งชาติขึ้นมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์เอง เพื่อคานอํานาจอินฟลูปลอมๆ ทั้งหลาย
    อย่างน้อยตํารวจเก่าสองคนก็ผลักดันตัวเองสําเร็จจนผงาดเป็นอินฟลูชื่อดัง เวลาพูดถึงประเด็นปัญหาใดๆจะมีน้ําหนักน่าเชื่อถือ ซึ่งก็คือ อาเรย์วัด และผู้การแต้มหรือมือปราบหูดํา 2 คนนี้ให้ความจริงทุกเรื่องอย่างไม่ไว้หน้าใคร
    ในความเป็นอินฟลู ผู้การแต้ม มีจุดยืนชัดเจนไม่หิวแสงการจะไปออกรายการแต่ละทียังเลือกคนร่วมรายการเช่นไม่ยอมไปออกทีวี กับ นายสิธาเบี้ยบังเกิด อย่างเด็ดขาดจนเป็นที่รู้กันว่ารายการใดมีพู่กันแต้มต้องไม่มีทนายตั้ม ส่วนอาเรย์วัดเป็นอินฟูในสายเฮฮาบู๊ล้างผลาญ ต้องติดตามกันต่อไปว่าตํารวจในเครื่องแบบคนใดจะประสบความสําเร็จตามนโยบายนี้ของบิ๊กต่าย ติดตามข่าวซีพๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    ผบ.ตร เตรียมปั้น ตำรวจอินฟลู มาต่อสู้คนเลว บิ๊กต่าย ผบ.ตร ได้รับเสียงสรรเสริญจากตํารวจทั้งประเทศ ในการแถลง สิบห้านโยบายหลักของสํานักงานตํารวจแห่งชาติโดยให้ตํารวจทั้งหมดปฏิบัติตามนโยบายอย่างเร่งด่วนประกอบด้วย ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนmindsetให้ตํารวจเป็นที่พึ่งของประชาชน ให้รางวัลแก่ตํารวจน้ําดี และลงโทษตํารวจเลว พัฒนางานสถานีตํารวจ แก้ไขปัญหางานสอบสวน ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่เป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมือง สร้างเสริมวินัยจราจร ทํางานเชิงรุกด้านการข่าว ประชาสัมพันธ์เชิงรุกสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรเป็นต้น ซึ่ง ข้อหนึ่งที่สร้างความฮือฮาก็คือให้ผู้บัญชาการหรือผู้บังคับการ จะต้องเป็น influencerด้วยตนเอง เพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบันต้องบอกว่าถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่ตํารวจจะต้องเป็น influ เองสักทีเพราะที่ผ่านมา influ สายกฎหมายสายสังคม กลับมาก่อคดีอาญาต่างๆนานาเสียเอง อย่างทนายตั้มที่กลายร่างเป็นทนายต้ม สร้างภาพหลอกลวงสังคมปกปิดความสกปรกชั่วร้ายที่ซ่อนไว้อย่างแนบเนียน เอกสายไหม ต้องรอด โดนคดีปั่นข่าวเท็จดีไอคอน ด้วยวัตถุประสงค์ลึกลับอะไรสักอย่าง ฟิล์มรัฐภูมิ จ่อถูกดําเนินคดีข้อหาพยายามตบทรัพย์ดิไอคอน แกนนําต้านโกงอย่างเจ๊พัฒน์ กิจอนงค์ สุดท้ายมาโดนคดีตบทรัพย์เสียเอง ตัวอย่างเหล่านี้เป็นความพิกลพิการของสังคมไทย ลงภาพลักษณ์ของคนที่ไม่สะอาดจริงปล่อยให้มายึดหัวหาดเป็นอินฟลูเอนเซอร์เพราะฉะนั้นจึงเป็นโอกาสเหมาะสมที่องค์กรตํารวจยุคบิ๊กต่าย จะผลักดันคนดีคนเก่งในสํานักงานตํารวจแห่งชาติขึ้นมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์เอง เพื่อคานอํานาจอินฟลูปลอมๆ ทั้งหลาย อย่างน้อยตํารวจเก่าสองคนก็ผลักดันตัวเองสําเร็จจนผงาดเป็นอินฟลูชื่อดัง เวลาพูดถึงประเด็นปัญหาใดๆจะมีน้ําหนักน่าเชื่อถือ ซึ่งก็คือ อาเรย์วัด และผู้การแต้มหรือมือปราบหูดํา 2 คนนี้ให้ความจริงทุกเรื่องอย่างไม่ไว้หน้าใคร ในความเป็นอินฟลู ผู้การแต้ม มีจุดยืนชัดเจนไม่หิวแสงการจะไปออกรายการแต่ละทียังเลือกคนร่วมรายการเช่นไม่ยอมไปออกทีวี กับ นายสิธาเบี้ยบังเกิด อย่างเด็ดขาดจนเป็นที่รู้กันว่ารายการใดมีพู่กันแต้มต้องไม่มีทนายตั้ม ส่วนอาเรย์วัดเป็นอินฟูในสายเฮฮาบู๊ล้างผลาญ ต้องติดตามกันต่อไปว่าตํารวจในเครื่องแบบคนใดจะประสบความสําเร็จตามนโยบายนี้ของบิ๊กต่าย ติดตามข่าวซีพๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 571 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนนครสั่งสอนบ้านใหญ่ เลือกข้างผิด ชีวิตเปลี่ยน
    ผลการเลือกตั้งนายก อบจ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมาที่เลือกกัน 3 จังหวัดในวันเดียวกันคือ อุดรธานี เพชรบุรี และนครศรีธรรมราช
    ส่วนใหญ่คนสนใจไปที่อุดรธานี หลังเห็นทักษิณ ชินวัตร นําทัพใหญ่ไปช่วยสราวุธ เพชรพนมพร ขณะเดียวกันพรรคประชาชนก็ขนอดีตแกนนําพรรคส้มตั้งแต่ยุคอนาคตใหม่ก้าวไกลมาถึงพรรคประชาชน ไปช่วยหาเสียงให้นายคณิศร ผู้สมัครนายก อบจ อุดรธานี เช่นกัน ทั้ง พิธา ธนาธร ปิยบุตร ไชยธว ช่อพณิกาและเท้ง ณัฐพล จนทําให้ศึกเลือกตั้งนายกอุดรธานีไปไกลเกินเลือกตั้งท้องถิ่นไปแล้ว
    แต่สุดท้ายอุดรธานี ไม่มีล็อกถล่ม เพื่อไทยยังคงรักษาเก้าอี้นายกอุดรธานีไว้ได้อีกสมัยทําให้ทักษิณไม่หน้าแหก ส่วนที่ล็อกถล่มคือสนามเลือกตั้งนายกอบจ นครศรีธรรมราช ที่นายกต้อย อดีตนายก อบจ นครศรีธรรมราชไม่สามารถรักษาเก้าอี้เดิมไว้ได้ โดยแพ้ให้กับวาริน ผู้สมัครจากกรุงนครเข้มแข็ง ซึ่งนายกต้อย เป็นอดีตนายก อบจ นครศรีธรรมราชมาร่วม 4 ปีแถมมีลูกชายสองคนเป็น สส นครศรีธรรมราชในเวลานี้ คือชัยชนะและพิทักษ์เดชเดโช สองพี่น้อง สส นครศรีธรรมราชพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะแทนชัยชนะก็ยังเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคใต้ และที่ผ่านมามีบทบาทอย่างมากในพรรคประชาธิปัตย์ยุคเฉลิมชัยที่ไปร่วมรัฐบาลกับทักษิณและพรรคเพื่อไทยเรียกได้ว่า ชัยชนะ คือเบอร์สามในพรรคประชาธิปัตย์รองจากเฉลิมชัยและเดชอิฐ
    รวมถึงยังสร้างตระกูลเดชเดโชให้ขึ้นมาเป็นบ้านใหญ่นครศรีธรรมราชได้สําเร็จเพราะตัวเองกับน้องชายก็เป็นส สส่วนแม่ก็เป็นนายก อบจ ด้วยบารมีทางการเมืองเบ่งบานขนาดนี้คนนึกว่ากนกพรคงชนะชัวร์แบบใสใส แต่สุดท้ายแพ้พลิกล็อก ให้กับ วารินเด็กปั้นโกเกี๊ยะพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แกนนําพรรคภูมิใจไทยสายภาคใต้ที่ช่วงแรกคนมองว่ากระดูกคนละเบอร์กับนางกนกพร แต่สุดท้ายหลังกระแสม้าตีนปลายของวารินมาแรงช่วง 2สัปดาห์สุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ที่สามารถล้ม นางกนกพรและชัยชนะได้สําเร็จ
    เบื้องหลังความพ่ายแพ้ของบ้านใหญ่เดชเดโชครั้งนี้ว่ากันว่าสาเหตุหลักหลักเพราะคนนครที่ถือเป็นจังหวัดใหญ่และเป็นฐานการเมืองสําคัญ ของประชาธิปัตย์ในภาคใต้มาตลอด ต้องการสั่งสอนชัยชนะและพรรคประชาธิปัตย์ที่ไปร่วมรัฐบาลกับทักษิณและเพื่อไทยซึ่งเป็นเรื่องที่คนนครจํานวนไม่น้อยรับไม่ได้ และยังมีกรณีชัยชนะเอาคณะกรรมาธิการการตํารวจที่ตัวเองเป็นประธาน ตรวจสอบเรื่องชั้น 14 ทักษิณแต่สุดท้ายกลายเป็นปาหี่ไม่เอาจริงแถมยังเป็นตัวตั้งตัวตีในการเอาประชาธิปัตย์ไปร่วมรัฐบาลกับทักษิณ
    การสั่งสอนของคนนครศรีธรรมราชต่อแกนนําพรรคประชาธิปัตย์ที่คงทําให้พวก สสสะตอพรรคประชาธิปัตย์ ไปร่วมรัฐบาลกับทักษิณและเพื่อไทย มีหนาวแน่ เพราะอาจจะสอบตกตามรอยแม่ชัยชนะอย่างที่เห็นในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นก็ได้ ติดตามข่าวซีพๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ

    คนนครสั่งสอนบ้านใหญ่ เลือกข้างผิด ชีวิตเปลี่ยน ผลการเลือกตั้งนายก อบจ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมาที่เลือกกัน 3 จังหวัดในวันเดียวกันคือ อุดรธานี เพชรบุรี และนครศรีธรรมราช ส่วนใหญ่คนสนใจไปที่อุดรธานี หลังเห็นทักษิณ ชินวัตร นําทัพใหญ่ไปช่วยสราวุธ เพชรพนมพร ขณะเดียวกันพรรคประชาชนก็ขนอดีตแกนนําพรรคส้มตั้งแต่ยุคอนาคตใหม่ก้าวไกลมาถึงพรรคประชาชน ไปช่วยหาเสียงให้นายคณิศร ผู้สมัครนายก อบจ อุดรธานี เช่นกัน ทั้ง พิธา ธนาธร ปิยบุตร ไชยธว ช่อพณิกาและเท้ง ณัฐพล จนทําให้ศึกเลือกตั้งนายกอุดรธานีไปไกลเกินเลือกตั้งท้องถิ่นไปแล้ว แต่สุดท้ายอุดรธานี ไม่มีล็อกถล่ม เพื่อไทยยังคงรักษาเก้าอี้นายกอุดรธานีไว้ได้อีกสมัยทําให้ทักษิณไม่หน้าแหก ส่วนที่ล็อกถล่มคือสนามเลือกตั้งนายกอบจ นครศรีธรรมราช ที่นายกต้อย อดีตนายก อบจ นครศรีธรรมราชไม่สามารถรักษาเก้าอี้เดิมไว้ได้ โดยแพ้ให้กับวาริน ผู้สมัครจากกรุงนครเข้มแข็ง ซึ่งนายกต้อย เป็นอดีตนายก อบจ นครศรีธรรมราชมาร่วม 4 ปีแถมมีลูกชายสองคนเป็น สส นครศรีธรรมราชในเวลานี้ คือชัยชนะและพิทักษ์เดชเดโช สองพี่น้อง สส นครศรีธรรมราชพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะแทนชัยชนะก็ยังเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคใต้ และที่ผ่านมามีบทบาทอย่างมากในพรรคประชาธิปัตย์ยุคเฉลิมชัยที่ไปร่วมรัฐบาลกับทักษิณและพรรคเพื่อไทยเรียกได้ว่า ชัยชนะ คือเบอร์สามในพรรคประชาธิปัตย์รองจากเฉลิมชัยและเดชอิฐ รวมถึงยังสร้างตระกูลเดชเดโชให้ขึ้นมาเป็นบ้านใหญ่นครศรีธรรมราชได้สําเร็จเพราะตัวเองกับน้องชายก็เป็นส สส่วนแม่ก็เป็นนายก อบจ ด้วยบารมีทางการเมืองเบ่งบานขนาดนี้คนนึกว่ากนกพรคงชนะชัวร์แบบใสใส แต่สุดท้ายแพ้พลิกล็อก ให้กับ วารินเด็กปั้นโกเกี๊ยะพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แกนนําพรรคภูมิใจไทยสายภาคใต้ที่ช่วงแรกคนมองว่ากระดูกคนละเบอร์กับนางกนกพร แต่สุดท้ายหลังกระแสม้าตีนปลายของวารินมาแรงช่วง 2สัปดาห์สุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ที่สามารถล้ม นางกนกพรและชัยชนะได้สําเร็จ เบื้องหลังความพ่ายแพ้ของบ้านใหญ่เดชเดโชครั้งนี้ว่ากันว่าสาเหตุหลักหลักเพราะคนนครที่ถือเป็นจังหวัดใหญ่และเป็นฐานการเมืองสําคัญ ของประชาธิปัตย์ในภาคใต้มาตลอด ต้องการสั่งสอนชัยชนะและพรรคประชาธิปัตย์ที่ไปร่วมรัฐบาลกับทักษิณและเพื่อไทยซึ่งเป็นเรื่องที่คนนครจํานวนไม่น้อยรับไม่ได้ และยังมีกรณีชัยชนะเอาคณะกรรมาธิการการตํารวจที่ตัวเองเป็นประธาน ตรวจสอบเรื่องชั้น 14 ทักษิณแต่สุดท้ายกลายเป็นปาหี่ไม่เอาจริงแถมยังเป็นตัวตั้งตัวตีในการเอาประชาธิปัตย์ไปร่วมรัฐบาลกับทักษิณ การสั่งสอนของคนนครศรีธรรมราชต่อแกนนําพรรคประชาธิปัตย์ที่คงทําให้พวก สสสะตอพรรคประชาธิปัตย์ ไปร่วมรัฐบาลกับทักษิณและเพื่อไทย มีหนาวแน่ เพราะอาจจะสอบตกตามรอยแม่ชัยชนะอย่างที่เห็นในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นก็ได้ ติดตามข่าวซีพๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 564 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อความโลภบังตา ยามชราก็ต้องนอนตาราง
    ประเทศไทยในเวลานี้มีเรื่องราวที่วุ่นวาย ชวนหนหวยกันเยอะมาก ล่าสุด เกิดคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ ของหมอบุญ นายแพทย์บุญ วนาสิน ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรีที่คาดกันว่าอาจมีมูลค่าเสียหายมากถึงระดับหมื่นล้านบาท
    เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตํารวจได้สรุปข้อเท็จจริงว่า หมอบุญและพวก มีการระดมทุนชักชวน ให้นายแพทย์บุญ นําไปลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ 16,000 พันล้านบาท จํานวนห้าโครงการประกอบด้วย โครงการสร้างศูนย์มะเร็งย่านปิ่นเกล้า4 000 ล้านบาท โครงการเวลเนสเซ็นเตอร์ย่านพระราม 3 ริมแม่น้ําเจ้าพระยา 4-5 พัน ล้านบาท โครงการสร้างโรงพยาบาลในสปป ลาว 3 แห่งรวม 2,000,ล้านบาท โครงการโรงพยาบาลในเวียดนาม 4-5 พันล้านบาท และ โครงการเมดิคอลอินเทเลเจนท์ อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี งบลงทุนหนึ่งร้อยล้านบาท
    ซึ่งพฤติกรรมในการหาแหล่งเงินทุนนั้นมีลักษณะการไปกู้ยืมกับแหล่งเงินกู้โดยมีภรรยาและลูกสาวเป็นผู้ค้ําประกัน เซ็นสลักหลังในเช็คทุกฉบับมอบให้ผู้เสียหาย
    หลังเปิดโครงการใหญ่ล่อลวงเหยื่อกระเป๋าหนักกว่า 247 คน โดยอดีตเมียกับลูก เข้ามอบตัวปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาด้วยการอ้างว่าถูกปลอมลายมือชื่อเซ็นค้ําประกันเงินกู้ เมื่อหมอบุญได้หลบหนีออกนอกประเทศเท่ากับว่าคนที่ต้องรับผิดชอบ คือคนในครอบครัวอย่างที่ปรากฏให้เห็น
    ความน่าเชื่อถือที่เคยมีนั้นสูญสลายไปในพริบตาโดยปริยาย สําหรับหมอบุญนั้น ครั้งหนึ่งเคยได้รับยกย่องว่าเป็นฮีโร่ของประเทศไทยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิดสิบเก้าภายหลังประกาศเตรียมนําเข้าวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์มาให้กับประชาชน แต่กลิ่นแปลกแปลกก็เริ่มเกิดขึ้นเนื่องจากเวลาผ่านไปการนําเข้าวัคซีนของหมอบุญยังไม่เกิดขึ้นแม้แต่เข็มเดียว ทําให้ถูกมองว่าเป็นเพียงการปั่นกระแสเท่านั้น
    ไม่เชื่อก็เชื่อว่าเหตุใดที่คนรวยมหาศาลเป็นเจ้าของโรงพยาบาลที่ดําเนินการภายใต้บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ถึงไม่รู้จักพอเช่นนี้ มองในแง่ทฤษฎีเกี่ยวกับมานุษยวิทยาแน่นอนว่า พื้นฐานของมนุษย์นั้นย่อมมีความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คนรวยแล้วก็อยากรวยขึ้นไปอีก ถ้ารวยตามปกติไม่ได้ ก็ต้องหาทางลัด หากินจากความไว้ใจของประชาชนที่มีเพื่อแสวงหาประโยชน์ก่อนเอาทรัพย์สินที่ได้มา ไปนอนเกาะในต่างประเทศ อันเป็นวิธีการพื้นฐานที่โจรในเสื้อสูทนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายสังคมไทยภายใต้ระบบทุนนิยมสุดโต่งเช่นนี้ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    เมื่อความโลภบังตา ยามชราก็ต้องนอนตาราง ประเทศไทยในเวลานี้มีเรื่องราวที่วุ่นวาย ชวนหนหวยกันเยอะมาก ล่าสุด เกิดคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ ของหมอบุญ นายแพทย์บุญ วนาสิน ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรีที่คาดกันว่าอาจมีมูลค่าเสียหายมากถึงระดับหมื่นล้านบาท เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตํารวจได้สรุปข้อเท็จจริงว่า หมอบุญและพวก มีการระดมทุนชักชวน ให้นายแพทย์บุญ นําไปลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ 16,000 พันล้านบาท จํานวนห้าโครงการประกอบด้วย โครงการสร้างศูนย์มะเร็งย่านปิ่นเกล้า4 000 ล้านบาท โครงการเวลเนสเซ็นเตอร์ย่านพระราม 3 ริมแม่น้ําเจ้าพระยา 4-5 พัน ล้านบาท โครงการสร้างโรงพยาบาลในสปป ลาว 3 แห่งรวม 2,000,ล้านบาท โครงการโรงพยาบาลในเวียดนาม 4-5 พันล้านบาท และ โครงการเมดิคอลอินเทเลเจนท์ อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี งบลงทุนหนึ่งร้อยล้านบาท ซึ่งพฤติกรรมในการหาแหล่งเงินทุนนั้นมีลักษณะการไปกู้ยืมกับแหล่งเงินกู้โดยมีภรรยาและลูกสาวเป็นผู้ค้ําประกัน เซ็นสลักหลังในเช็คทุกฉบับมอบให้ผู้เสียหาย หลังเปิดโครงการใหญ่ล่อลวงเหยื่อกระเป๋าหนักกว่า 247 คน โดยอดีตเมียกับลูก เข้ามอบตัวปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาด้วยการอ้างว่าถูกปลอมลายมือชื่อเซ็นค้ําประกันเงินกู้ เมื่อหมอบุญได้หลบหนีออกนอกประเทศเท่ากับว่าคนที่ต้องรับผิดชอบ คือคนในครอบครัวอย่างที่ปรากฏให้เห็น ความน่าเชื่อถือที่เคยมีนั้นสูญสลายไปในพริบตาโดยปริยาย สําหรับหมอบุญนั้น ครั้งหนึ่งเคยได้รับยกย่องว่าเป็นฮีโร่ของประเทศไทยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิดสิบเก้าภายหลังประกาศเตรียมนําเข้าวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์มาให้กับประชาชน แต่กลิ่นแปลกแปลกก็เริ่มเกิดขึ้นเนื่องจากเวลาผ่านไปการนําเข้าวัคซีนของหมอบุญยังไม่เกิดขึ้นแม้แต่เข็มเดียว ทําให้ถูกมองว่าเป็นเพียงการปั่นกระแสเท่านั้น ไม่เชื่อก็เชื่อว่าเหตุใดที่คนรวยมหาศาลเป็นเจ้าของโรงพยาบาลที่ดําเนินการภายใต้บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ถึงไม่รู้จักพอเช่นนี้ มองในแง่ทฤษฎีเกี่ยวกับมานุษยวิทยาแน่นอนว่า พื้นฐานของมนุษย์นั้นย่อมมีความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คนรวยแล้วก็อยากรวยขึ้นไปอีก ถ้ารวยตามปกติไม่ได้ ก็ต้องหาทางลัด หากินจากความไว้ใจของประชาชนที่มีเพื่อแสวงหาประโยชน์ก่อนเอาทรัพย์สินที่ได้มา ไปนอนเกาะในต่างประเทศ อันเป็นวิธีการพื้นฐานที่โจรในเสื้อสูทนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายสังคมไทยภายใต้ระบบทุนนิยมสุดโต่งเช่นนี้ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 636 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดที่มาของเหตุการณ์ แอม ไซยาไนด์...
    เบื้องหลังคําสั่งประหารชีวิตแอมไซยาไนด์ ส่วนหนึ่งขอยกความดีความชอบให้ห้องแล็บที่ มัดแอมจนดิ้นไม่หลุด คนที่ทุ่มเททํางานในห้องแล็บนั้นก็คือ อาจารย์อ๊อด รศ.ดร.วีระชัย ประธานหลักสูตรนิติวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาจารย์อ๊อดเล่าว่าต้องพิสูจน์หลักฐานกว่า 800ชิ้น ที่ทางตํารวจส่งมาให้ช่วยตรวจหาสารพิษไซยาไนด์ผ่านระบบเครื่องมือไฮเทค ของห้องแล็บเคมี บวกกับบุคลากรที่มีความชํานาญการซึ่งก็มี อ อ๊อด เป็นหัวหน้าทีม ผลก็คือการพบสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ ทั้งในรถในบ้านของแอมไซยาไนด์รวมถึงในยาของกลางที่แอมไซยาไนด์ แอบยัดไส้ให้เพื่อนกิน
    เป็นหลักฐานสําคัญนํามาสู่การฟ้องแอมไซยาไนด์คดีฆ่าคนตายถึง14 ศพและเกือบตายอีกหนึ่งคน ที่พีคกว่านั้นทีมอาจารย์อ๊อดยังตรวจพบยาถอนพิษไซยาไนด์ในบ้านของแอมด้วย สารตัวนี้มีชื่อว่าโซเดียมไพโอซัลเฟต พอฉีดสารนี้เข้าเส้นเลือดมันจะช่วยถอนพิษสุดโหดของไซยาไนด์ได้ทันท่วงที เรื่องนี้ทำให้รู้ว่า หมอพิษก็กลัวตายเพราะพิษ จึงต้องมียาแก้พิษติดไว้ใกล้มือเมื่อนําไปประกอบกับหลักฐานอื่นๆ ที่ตํารวจเสาะหามาได้ คดีของก้อยนางสาวศิริพร ขันธ์วงศ์ ซึ่งถือเป็นคดีนําร่องของซีรี่ย์แอมไซยาไนด์ จึงได้ผลออกมาเป็นคําสั่งประหารชีวิตสถานเดียว
    ความอันตรายอีกอย่างของ ไซยาไนด์ คือมันเป็นสารราคาถูกที่เคยซื้อได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต เนื่องจากมันใช้แพร่หลายในอุตสาหกรรมอัญมณีทองรูปพรรณ แม้จะเป็นสารควบคุมแต่ดันมีข้อแม้ว่า ต้องซื้อเกิน1 ตันโน่นเลย จึงจะเข้าเกณฑ์ ต้องขออนุญาตจากทางราชการตรงนี้จึงเป็นช่องว่างให้โพแทสเซียมไซยาไนด์เป็นสารซื้อง่ายขายคล่องไปอยู่ในมืออาชญากรได้ง่าย ความที่ไม่มีสี ไม่มีรสไม่มีกลิ่นขนาดผสมลงในเครื่องดื่ม คนดื่มก็ไม่รู้ว่ามีพิษใช้ปริมาณน้อยนิดแค่100 มิลลิกรัม ก็ปลิดชีวิตคนได้แล้ว
    เหตุจูงใจก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการพนันออนไลน์ ที่แพร่หลายมากในสังคมไทย แอมไซยาไนด์เป็นทาสการพนันออนไลน์ เที่ยวหยิบยืมเงินคนรู้จักไปทั่วจนมีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงเกิดไอเดียใช้ยาพิษฆ่าล้างหนี้เหยื่อของเธอล้วนแต่เป็นเจ้าหนี้เป็นเพื่อน เป็นผัว เป็นคนที่ไว้ใจกันทั้งสิ้น อุทาหรณ์จากคดีนี้บอกว่าการคบเพื่อนต้องพยายามอยู่ให้ไกลจากพวกผีพนัน หรืออย่าให้คนร้อนเงิน มาเป็นลูกหนี้ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ

    เปิดที่มาของเหตุการณ์ แอม ไซยาไนด์... เบื้องหลังคําสั่งประหารชีวิตแอมไซยาไนด์ ส่วนหนึ่งขอยกความดีความชอบให้ห้องแล็บที่ มัดแอมจนดิ้นไม่หลุด คนที่ทุ่มเททํางานในห้องแล็บนั้นก็คือ อาจารย์อ๊อด รศ.ดร.วีระชัย ประธานหลักสูตรนิติวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาจารย์อ๊อดเล่าว่าต้องพิสูจน์หลักฐานกว่า 800ชิ้น ที่ทางตํารวจส่งมาให้ช่วยตรวจหาสารพิษไซยาไนด์ผ่านระบบเครื่องมือไฮเทค ของห้องแล็บเคมี บวกกับบุคลากรที่มีความชํานาญการซึ่งก็มี อ อ๊อด เป็นหัวหน้าทีม ผลก็คือการพบสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ ทั้งในรถในบ้านของแอมไซยาไนด์รวมถึงในยาของกลางที่แอมไซยาไนด์ แอบยัดไส้ให้เพื่อนกิน เป็นหลักฐานสําคัญนํามาสู่การฟ้องแอมไซยาไนด์คดีฆ่าคนตายถึง14 ศพและเกือบตายอีกหนึ่งคน ที่พีคกว่านั้นทีมอาจารย์อ๊อดยังตรวจพบยาถอนพิษไซยาไนด์ในบ้านของแอมด้วย สารตัวนี้มีชื่อว่าโซเดียมไพโอซัลเฟต พอฉีดสารนี้เข้าเส้นเลือดมันจะช่วยถอนพิษสุดโหดของไซยาไนด์ได้ทันท่วงที เรื่องนี้ทำให้รู้ว่า หมอพิษก็กลัวตายเพราะพิษ จึงต้องมียาแก้พิษติดไว้ใกล้มือเมื่อนําไปประกอบกับหลักฐานอื่นๆ ที่ตํารวจเสาะหามาได้ คดีของก้อยนางสาวศิริพร ขันธ์วงศ์ ซึ่งถือเป็นคดีนําร่องของซีรี่ย์แอมไซยาไนด์ จึงได้ผลออกมาเป็นคําสั่งประหารชีวิตสถานเดียว ความอันตรายอีกอย่างของ ไซยาไนด์ คือมันเป็นสารราคาถูกที่เคยซื้อได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต เนื่องจากมันใช้แพร่หลายในอุตสาหกรรมอัญมณีทองรูปพรรณ แม้จะเป็นสารควบคุมแต่ดันมีข้อแม้ว่า ต้องซื้อเกิน1 ตันโน่นเลย จึงจะเข้าเกณฑ์ ต้องขออนุญาตจากทางราชการตรงนี้จึงเป็นช่องว่างให้โพแทสเซียมไซยาไนด์เป็นสารซื้อง่ายขายคล่องไปอยู่ในมืออาชญากรได้ง่าย ความที่ไม่มีสี ไม่มีรสไม่มีกลิ่นขนาดผสมลงในเครื่องดื่ม คนดื่มก็ไม่รู้ว่ามีพิษใช้ปริมาณน้อยนิดแค่100 มิลลิกรัม ก็ปลิดชีวิตคนได้แล้ว เหตุจูงใจก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการพนันออนไลน์ ที่แพร่หลายมากในสังคมไทย แอมไซยาไนด์เป็นทาสการพนันออนไลน์ เที่ยวหยิบยืมเงินคนรู้จักไปทั่วจนมีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงเกิดไอเดียใช้ยาพิษฆ่าล้างหนี้เหยื่อของเธอล้วนแต่เป็นเจ้าหนี้เป็นเพื่อน เป็นผัว เป็นคนที่ไว้ใจกันทั้งสิ้น อุทาหรณ์จากคดีนี้บอกว่าการคบเพื่อนต้องพยายามอยู่ให้ไกลจากพวกผีพนัน หรืออย่าให้คนร้อนเงิน มาเป็นลูกหนี้ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 542 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เจ๊หนิง-สามีตำรวจ-หลานชาย” ยังไม่เดินทางมามอบตัวกับตำรวจ สน.พระโขนง หลังถูกออกหมายจับคดีแจ้งความเท็จภรรยา “บิ๊กโจ๊ก”

    จากกรณี น.ส.ธณัฏฐา หรือ หนิง อาจารย์สอนพิเศษ รร.นายร้อยตำรวจ ที่ร้องทุกข์กล่าวโทษภรรยาของอดีตนายพลตํารวจ คดีลักทรัพย์ในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ย่านสุขุมวิท กรุงเทพฯ ภายหลังภรรยาอดีตบิ๊กตำรวจ ได้ประกันตัวชั้นพนักงานสอบสวน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น และแจ้งความกลับข้อหาแจ้งความเท็จ กลั่นแกล้งให้ได้โทษรับทางอาญา

    ต่อมามื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สน.พระโขนง ได้ขอศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับนางสาวธณัฏฐา หรือ เจ๊หนิง และนายภีมพจน์ ซึ่งเป็นสามีตำรวจ และนายพงษ์พัฒน์ ซึ่งเป็นหลานเจ๊หนิง ในข้อหาร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนเป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษหรือรับโทษหนักขึ้นตาทที่เสนอข่าวนั้น

    ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (23 พ.ย.) ที่ สน.พระโขนง เมื่อเวลา 11.00 น. ผู้สื่อข่าวมีดารโทรสอบถาม น.ส.ธณัฏฐา เรื่องหมายจับ ได้รับคำตอบว่า น.ส.ธณัฏฐา กับพวกจะเดินทางเข้ามอบตัววันนี้เวลา 09.00 น. แต่ถึงเวลานัดหมายกลับ ไม่พบวี่แววทั้ง 3 คนเข้ามอบตัว นอกจากนี้ผู้สื่อข่าว พยายามโทรติดต่อ น.ส.ธณัฏฐาหลายครั้ง เพื่อสอบถามว่าวันนี้ทั้ง 3 คนจะเดินทางเข้ามามอบตัวที่ สน.พระโขนงหรือไม่ แต่น.ส.ธณัฏฐาไม่รับสาย

    ด้าน พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ ประดับไทย ผกก.สน.พระโขนง กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้รับการประสานหรือติดต่อจากเจ๊หนิง ว่า จะเข้ามอบตัววันนี้ ทราบจากสื่อที่เสนอเหมือนกันว่าจะเข้ามอบตัววันนี้ แต่เมื่อมีหมายจับบุคคลทั้ง 3 แล้ว เจ้าหน้าที่จะต้องออกสืบสวนจับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

    #MGROnline #เจ๊หนิง #สามีตำรวจ #หลานชาย #คดีแจ้งความเท็จ #ภรรยาบิ๊กโจ๊ก
    “เจ๊หนิง-สามีตำรวจ-หลานชาย” ยังไม่เดินทางมามอบตัวกับตำรวจ สน.พระโขนง หลังถูกออกหมายจับคดีแจ้งความเท็จภรรยา “บิ๊กโจ๊ก” • จากกรณี น.ส.ธณัฏฐา หรือ หนิง อาจารย์สอนพิเศษ รร.นายร้อยตำรวจ ที่ร้องทุกข์กล่าวโทษภรรยาของอดีตนายพลตํารวจ คดีลักทรัพย์ในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ย่านสุขุมวิท กรุงเทพฯ ภายหลังภรรยาอดีตบิ๊กตำรวจ ได้ประกันตัวชั้นพนักงานสอบสวน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น และแจ้งความกลับข้อหาแจ้งความเท็จ กลั่นแกล้งให้ได้โทษรับทางอาญา • ต่อมามื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สน.พระโขนง ได้ขอศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับนางสาวธณัฏฐา หรือ เจ๊หนิง และนายภีมพจน์ ซึ่งเป็นสามีตำรวจ และนายพงษ์พัฒน์ ซึ่งเป็นหลานเจ๊หนิง ในข้อหาร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนเป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษหรือรับโทษหนักขึ้นตาทที่เสนอข่าวนั้น • ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (23 พ.ย.) ที่ สน.พระโขนง เมื่อเวลา 11.00 น. ผู้สื่อข่าวมีดารโทรสอบถาม น.ส.ธณัฏฐา เรื่องหมายจับ ได้รับคำตอบว่า น.ส.ธณัฏฐา กับพวกจะเดินทางเข้ามอบตัววันนี้เวลา 09.00 น. แต่ถึงเวลานัดหมายกลับ ไม่พบวี่แววทั้ง 3 คนเข้ามอบตัว นอกจากนี้ผู้สื่อข่าว พยายามโทรติดต่อ น.ส.ธณัฏฐาหลายครั้ง เพื่อสอบถามว่าวันนี้ทั้ง 3 คนจะเดินทางเข้ามามอบตัวที่ สน.พระโขนงหรือไม่ แต่น.ส.ธณัฏฐาไม่รับสาย • ด้าน พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ ประดับไทย ผกก.สน.พระโขนง กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้รับการประสานหรือติดต่อจากเจ๊หนิง ว่า จะเข้ามอบตัววันนี้ ทราบจากสื่อที่เสนอเหมือนกันว่าจะเข้ามอบตัววันนี้ แต่เมื่อมีหมายจับบุคคลทั้ง 3 แล้ว เจ้าหน้าที่จะต้องออกสืบสวนจับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป • #MGROnline #เจ๊หนิง #สามีตำรวจ #หลานชาย #คดีแจ้งความเท็จ #ภรรยาบิ๊กโจ๊ก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 529 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทนายตั้ม หลังหัก พี่สาวเมีย เผยความลับเกลี้ยง
    ทนายตั้ม โจ๊ก กลุ่ม 999 แก๊งสีเทาธุรกิจเว็บพนัน และคดีคริปโตฯ 39ล้าน กําลังเป็นคดีสําคัญที่สุดในบรรดาคดีฉ้อโกงที่ทนายตั้มตกเป็นผู้ต้องหา นอกจากเป็นคดีที่ลากคอสองสมุนของทนายตั้มคือนุกับสาให้ตกเป็นผู้ต้องหาด้วยแล้วมันยังส่อเขาจะลุกลามบานปลาย นําทางกองปราบปรามให้เจาะลึกเข้าไปในองค์กรซ่อนเงื่อนของทนายตั้ม
    อย่างตอนนี้ดาว พี่สาวของเดือนเมีย ทนายตั้มก็เปิดปากให้การที่เป็นประโยชน์อย่างมากหลังจากถูกกองปราบเชิญตัวมาสอบเค้น ดาวยอมชี้เบาะแสที่ซ่อนกระเป๋าสีชมพูซึ่งเป็นหนึ่งในกระเป๋าหลายๆใบที่ใช้ขนเงินกองใหญ่หลายสิบล้านที่ถอนมาจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว ซึ่งที่ซ่อนก็ดันเป็นบ้านเก่าของทนายตั้มเองที่ย่านพุทธมณฑลยิ่งมัดตัวทนายตั้มอีกเปราะเพราะกระเป๋าสีชมพูแป๊ดขนาดนั้น จําได้ง่าย
    ดาว พี่เมียของทนายตั้ม ยังถูกตรวจสอบบัญชีธนาคารพบว่าที่ผ่านมามีเงินหมุนเวียนเข้ามาถึงห้าสิบล้านบาททั้งที่สถานะจริงจริงของ ดาวคือ คนใช้ เป็นแค่คนเลี้ยงลูกให้กับน้องสาวคือเดือน เมียของทนายตั้ม ไม่มีศักยภาพที่จะทํารายได้มหาศาลขนาดนั้นด้วยตัวเอง เท่ากับว่าบัญชีธนาคารของเดือนถูกใครบางคนเอามาใช้เป็นบัญชีม้า สําหรับพักเงินสกปรก อย่างเป็นล่ําเป็นสัน
    สาวบ้านๆอย่างดาวไม่เก๋าพอที่จะกล้าโกหกพนักงานสอบสวนกองปราบ จึงเปิดปากซัดทอด ซึ่งช่วยให้ดาวมีโอกาสจะได้รับการกันตัวเป็นพยาน
    เมื่อกองปราบสืบประวัติของนุ หนึ่งในผู้ต้องหาคดีโกง 39ล้านก็พบว่ามีสายสัมพันธ์โยงใยไปถึงเจ้าพ่อเว็บพนันคนดังที่ชื่อ ทท ซึ่ง ทท เป็นคนที่ชอบทะเบียนรถที่มีแต่เลข9 เช่นเดียวกับ นุ สา และ ตั้ม แสดงความเป็นแก๊งเดียวกันผ่านทะเบียนรถ
    ย้อนไปถึงข้อมูลลับของจอมแฉ อย่างในชูวิทย์กมลวิศิษฏ์ ที่โพสต์ไว้เมื่อปี2566 ก็ระบุว่า ทนายตั้มทําธุรกิจเว็บพนันเฮงเกม โดยร่วมกับ อู๋เจ้าหน้าที่ dsiตัวเตี้ยๆและมีเทพจอเป็นแบ็คอีกที ณ เวลานั้นยังเป็น รอง ผบ ตร บิ๊กโจ๊กตกเป็นผู้ต้องหาคดีรับสวยและฟอกเงินเว็บพนันมินนี่และบีเอ็นเคมาสเตอร์ ใกล้จะโดนสํานักงานตํารวจแห่งชาติจัดการทางวินัยร้ายแรงระดับไล่ออกไปเลยทีเดียว
    สรุปว่า จริงๆแล้ว ทนายตั้ม ไม่ได้เพิ่งรวยจากเงินที่ฉ้อโกงพี่อ้อยมาอย่างเดียว แต่มีรายได้จากทางอื่นอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งไม่น่าจะใช่รายได้จากสิทราลอว์เฟิม เพราะตั้งแต่เปิดบริษัทมาจนบัดนี้ผลดําเนินการยังติดลบขาดทุนอยู่เลย
    ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    ทนายตั้ม หลังหัก พี่สาวเมีย เผยความลับเกลี้ยง ทนายตั้ม โจ๊ก กลุ่ม 999 แก๊งสีเทาธุรกิจเว็บพนัน และคดีคริปโตฯ 39ล้าน กําลังเป็นคดีสําคัญที่สุดในบรรดาคดีฉ้อโกงที่ทนายตั้มตกเป็นผู้ต้องหา นอกจากเป็นคดีที่ลากคอสองสมุนของทนายตั้มคือนุกับสาให้ตกเป็นผู้ต้องหาด้วยแล้วมันยังส่อเขาจะลุกลามบานปลาย นําทางกองปราบปรามให้เจาะลึกเข้าไปในองค์กรซ่อนเงื่อนของทนายตั้ม อย่างตอนนี้ดาว พี่สาวของเดือนเมีย ทนายตั้มก็เปิดปากให้การที่เป็นประโยชน์อย่างมากหลังจากถูกกองปราบเชิญตัวมาสอบเค้น ดาวยอมชี้เบาะแสที่ซ่อนกระเป๋าสีชมพูซึ่งเป็นหนึ่งในกระเป๋าหลายๆใบที่ใช้ขนเงินกองใหญ่หลายสิบล้านที่ถอนมาจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว ซึ่งที่ซ่อนก็ดันเป็นบ้านเก่าของทนายตั้มเองที่ย่านพุทธมณฑลยิ่งมัดตัวทนายตั้มอีกเปราะเพราะกระเป๋าสีชมพูแป๊ดขนาดนั้น จําได้ง่าย ดาว พี่เมียของทนายตั้ม ยังถูกตรวจสอบบัญชีธนาคารพบว่าที่ผ่านมามีเงินหมุนเวียนเข้ามาถึงห้าสิบล้านบาททั้งที่สถานะจริงจริงของ ดาวคือ คนใช้ เป็นแค่คนเลี้ยงลูกให้กับน้องสาวคือเดือน เมียของทนายตั้ม ไม่มีศักยภาพที่จะทํารายได้มหาศาลขนาดนั้นด้วยตัวเอง เท่ากับว่าบัญชีธนาคารของเดือนถูกใครบางคนเอามาใช้เป็นบัญชีม้า สําหรับพักเงินสกปรก อย่างเป็นล่ําเป็นสัน สาวบ้านๆอย่างดาวไม่เก๋าพอที่จะกล้าโกหกพนักงานสอบสวนกองปราบ จึงเปิดปากซัดทอด ซึ่งช่วยให้ดาวมีโอกาสจะได้รับการกันตัวเป็นพยาน เมื่อกองปราบสืบประวัติของนุ หนึ่งในผู้ต้องหาคดีโกง 39ล้านก็พบว่ามีสายสัมพันธ์โยงใยไปถึงเจ้าพ่อเว็บพนันคนดังที่ชื่อ ทท ซึ่ง ทท เป็นคนที่ชอบทะเบียนรถที่มีแต่เลข9 เช่นเดียวกับ นุ สา และ ตั้ม แสดงความเป็นแก๊งเดียวกันผ่านทะเบียนรถ ย้อนไปถึงข้อมูลลับของจอมแฉ อย่างในชูวิทย์กมลวิศิษฏ์ ที่โพสต์ไว้เมื่อปี2566 ก็ระบุว่า ทนายตั้มทําธุรกิจเว็บพนันเฮงเกม โดยร่วมกับ อู๋เจ้าหน้าที่ dsiตัวเตี้ยๆและมีเทพจอเป็นแบ็คอีกที ณ เวลานั้นยังเป็น รอง ผบ ตร บิ๊กโจ๊กตกเป็นผู้ต้องหาคดีรับสวยและฟอกเงินเว็บพนันมินนี่และบีเอ็นเคมาสเตอร์ ใกล้จะโดนสํานักงานตํารวจแห่งชาติจัดการทางวินัยร้ายแรงระดับไล่ออกไปเลยทีเดียว สรุปว่า จริงๆแล้ว ทนายตั้ม ไม่ได้เพิ่งรวยจากเงินที่ฉ้อโกงพี่อ้อยมาอย่างเดียว แต่มีรายได้จากทางอื่นอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งไม่น่าจะใช่รายได้จากสิทราลอว์เฟิม เพราะตั้งแต่เปิดบริษัทมาจนบัดนี้ผลดําเนินการยังติดลบขาดทุนอยู่เลย ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 780 มุมมอง 0 รีวิว
  • แพ้แล้วแพ้อีกแพ้มาตลอดทางเลย ก็คือบิ๊กโจ๊ก สุรเชชษฐ์ หักพาล ล่าสุดแพ้ในชั้นศาลปกครองสูงสุดในการยื่นคําร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างการอุทธรณ์คดีเพื่อจะได้กลับมาเป็นตํารวจตามเดิม มติที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด มีมติเมื่อวันที่13 พฤศจิกายน 2567คะแนนออกมาฝ่ายไม่รับคําร้องของบิ๊กโจ๊กชนะท่วมท้นฝ่ายเข้าข้างโจ๊กที่มี5 มือ อันเป็นที่มาตัวเลข 200 กิโลกรัม
    สื่อตีข่าวบิ๊กโจ๊กมีลุ้นคัมแบ็คเป็นรอง ผบตร ตามเดิมโดยระบุว่าคณะอนุกรรมการของศาลปกครองสูงสุดมีมติ 5 ต่อ0 ชี้ว่า คําสั่งให้บิ๊กโจ๊กออกจากราชการเป็นคําสั่งที่มิชอบ บางสื่ออย่างหมาแก่รายงานข่าวนี้แบบปกปิดอาการกระหยิ่มไว้ไม่มิด ประสาคนรักกันชอบกันกับบิ๊กโจ๊ก หมาแก่บอกตอนนี้ผีโจ๊กเฮี้ยนทําเอาตํารวจหนาวขนหัวลุกกันทั้งสํานักงานตํารวจแห่งชาติ
    อย่างไรก็ตามพอเริ่มเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ของศาลปกครองสูงสุดผลคะแนนก็ออกมาอย่างที่เห็นบิ๊กโจ๊กแพ้ขาดลอยอีกครั้ง ยังดีไม่ถึงกับกินไข่ศูนย์แต้มแบบการพิจารณาในชั้น กตรและคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตํารวจ ท ถามว่าบิ๊กโจ๊กหมดหวังที่จะได้กลับมาเป็นตํารวจแล้วหรือไม่ จริงๆก็ยังมีหวังอยู่เพราะศาลปกครองสูงสุดยังไม่ได้ชี้ขาดว่าคําสั่งให้ออกชอบหรือไม่ชอบ
    จากเดิมที่บิ๊กโจ๊กรู้สึกอุ่นใจใน ปปช ที่ทําทุกวิถีทางให้คดีหลุดมือจากตํารวจมาอยู่ในมือ ปปช แต่ความซวยมาเยือนเมื่อ ปปช มีการผลัดใบแล้วจากการเกษียณอายุราชการของพลตํารวจเอก วัชรพล ประสานราชกิจ ประธานปปชคนเดิม ซึ่งพลตํารวจเอกวัชรพลและบิ๊กโจ๊กต่างก็เป็นคนของลุงป้อม ในยุคเรืองอํานาจของสามป. มีข่าวว่าปปช.ยุคใหม่ต้องการเรียกเกียรติและศักดิ์ศรีกลับคืนองค์กร หลังจากถูกประชาชนก่นด่าหูอื้อมาหลายปีนับจากคดีนาฬิกายืมเพื่อน ปปช.อยากเจริญลอยตามสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ในยุคบิ๊กต่า ซึ่งกําลังทํางานเข้าตาประชาชนจากการทําคดีใหญ่รัวๆ ด้วยความเที่ยงธรรมฉับไวดูทรงแล้วคดีของบิ๊กโจ๊กมีโอกาสที่จะได้เป็นคดีตัวอย่างที่ปปช.จะใช้กอบกู้ศรัทธาขณะที่การพิจารณาความผิดวินัยร้ายแรงซึ่งหยุดชะงักไปชั่วคราวจากการเกษียณอายุราชการของประธานสอบสวน ตอนนี้ บิ๊กต่า กําลังแบ่งงานให้กับรอง ผบตร 4 คนหากลงตัวเมื่อไหร่ก็จะมีการตั้งประธานสอบสวนวินัยคนใหม่การสอบสวนวินัยจะเป็นอีกดาบที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติจะใช้เชือดบิ๊กโจ๊กเพราะคราวนี้จะไม่ใช่แค่ให้ออกจากราชการไว้ก่อนแต่อาจถึงขั้นไล่ออกถาวรเลยทีเดียว ต้องบอกว่าฟ้ามีตา พอบิ๊กโจ๊กหมดวาสนาก็ดับเลยทันที แบบไม่มีอะไรกั้น
    ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    แพ้แล้วแพ้อีกแพ้มาตลอดทางเลย ก็คือบิ๊กโจ๊ก สุรเชชษฐ์ หักพาล ล่าสุดแพ้ในชั้นศาลปกครองสูงสุดในการยื่นคําร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างการอุทธรณ์คดีเพื่อจะได้กลับมาเป็นตํารวจตามเดิม มติที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด มีมติเมื่อวันที่13 พฤศจิกายน 2567คะแนนออกมาฝ่ายไม่รับคําร้องของบิ๊กโจ๊กชนะท่วมท้นฝ่ายเข้าข้างโจ๊กที่มี5 มือ อันเป็นที่มาตัวเลข 200 กิโลกรัม สื่อตีข่าวบิ๊กโจ๊กมีลุ้นคัมแบ็คเป็นรอง ผบตร ตามเดิมโดยระบุว่าคณะอนุกรรมการของศาลปกครองสูงสุดมีมติ 5 ต่อ0 ชี้ว่า คําสั่งให้บิ๊กโจ๊กออกจากราชการเป็นคําสั่งที่มิชอบ บางสื่ออย่างหมาแก่รายงานข่าวนี้แบบปกปิดอาการกระหยิ่มไว้ไม่มิด ประสาคนรักกันชอบกันกับบิ๊กโจ๊ก หมาแก่บอกตอนนี้ผีโจ๊กเฮี้ยนทําเอาตํารวจหนาวขนหัวลุกกันทั้งสํานักงานตํารวจแห่งชาติ อย่างไรก็ตามพอเริ่มเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ของศาลปกครองสูงสุดผลคะแนนก็ออกมาอย่างที่เห็นบิ๊กโจ๊กแพ้ขาดลอยอีกครั้ง ยังดีไม่ถึงกับกินไข่ศูนย์แต้มแบบการพิจารณาในชั้น กตรและคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตํารวจ ท ถามว่าบิ๊กโจ๊กหมดหวังที่จะได้กลับมาเป็นตํารวจแล้วหรือไม่ จริงๆก็ยังมีหวังอยู่เพราะศาลปกครองสูงสุดยังไม่ได้ชี้ขาดว่าคําสั่งให้ออกชอบหรือไม่ชอบ จากเดิมที่บิ๊กโจ๊กรู้สึกอุ่นใจใน ปปช ที่ทําทุกวิถีทางให้คดีหลุดมือจากตํารวจมาอยู่ในมือ ปปช แต่ความซวยมาเยือนเมื่อ ปปช มีการผลัดใบแล้วจากการเกษียณอายุราชการของพลตํารวจเอก วัชรพล ประสานราชกิจ ประธานปปชคนเดิม ซึ่งพลตํารวจเอกวัชรพลและบิ๊กโจ๊กต่างก็เป็นคนของลุงป้อม ในยุคเรืองอํานาจของสามป. มีข่าวว่าปปช.ยุคใหม่ต้องการเรียกเกียรติและศักดิ์ศรีกลับคืนองค์กร หลังจากถูกประชาชนก่นด่าหูอื้อมาหลายปีนับจากคดีนาฬิกายืมเพื่อน ปปช.อยากเจริญลอยตามสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ในยุคบิ๊กต่า ซึ่งกําลังทํางานเข้าตาประชาชนจากการทําคดีใหญ่รัวๆ ด้วยความเที่ยงธรรมฉับไวดูทรงแล้วคดีของบิ๊กโจ๊กมีโอกาสที่จะได้เป็นคดีตัวอย่างที่ปปช.จะใช้กอบกู้ศรัทธาขณะที่การพิจารณาความผิดวินัยร้ายแรงซึ่งหยุดชะงักไปชั่วคราวจากการเกษียณอายุราชการของประธานสอบสวน ตอนนี้ บิ๊กต่า กําลังแบ่งงานให้กับรอง ผบตร 4 คนหากลงตัวเมื่อไหร่ก็จะมีการตั้งประธานสอบสวนวินัยคนใหม่การสอบสวนวินัยจะเป็นอีกดาบที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติจะใช้เชือดบิ๊กโจ๊กเพราะคราวนี้จะไม่ใช่แค่ให้ออกจากราชการไว้ก่อนแต่อาจถึงขั้นไล่ออกถาวรเลยทีเดียว ต้องบอกว่าฟ้ามีตา พอบิ๊กโจ๊กหมดวาสนาก็ดับเลยทันที แบบไม่มีอะไรกั้น ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 688 มุมมอง 0 รีวิว
  • นาทีนี้คดีสแกมเมอร์ทิพย์ สามสิบเก้าล้าน กําลังเป็นที่สนใจของประชาชนมากที่สุด มีแต่คนอยากรู้ว่า เมื่อไหร่กองปราบปรามจะออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหาที่แบ่งหน้าที่กันหลอกลวงพี่อ้อย จตุพร
    คนที่อยู่ในข่ายแน่นอนแล้วก็คือนางสาวสาริณี นุชฌนาถ แล้วก็นายนุ สามีของ สาริณีซึ่งเป็นเพื่อนกับทนายตั้ม ตอนแรกพี่อ้อยเองก็สงสัยแค่สองสามีภรรยานี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับทนายตั้ม ส่งผลให้ทนายตั้มรอดคดีนี้มาได้ในการออกหมายจับครั้งที่ผ่านมา โดนเพียงแค่สามคดีคือฉ้อโกงแพลตฟอร์มหวยเจ็ดสิบเอ็ดล้าน คดีรถเบนซ์สิบสามล้านและคดีออกแบบโรงแรมเก้าล้าน
    แต่ตอนนี้กองปราบปรามได้หลักฐานแน่นอนแล้วว่าทนายตั้มรับเงินส่วนแบ่งจากแผนการครั้งนี้อีกทั้งคําให้การของพันตํารวจเอกภูวดล อุ่นโภช เพื่อนรักของบิ๊กโจ๊ก ก็ระบุว่าทนายตั้มเป็นคนโทรมาแจ้งเองเลยว่าจะส่งคนมาแจ้งความที่สน บางซื่อในวันดังกล่าวเป็นเบาะแสสําคัญมากที่ยืนยันถ้านายตั้มรู้เห็นกับขบวนการแจ้งความทิพย์เพื่อสร้างเรื่องสแกมเมอร์ทิพย์ไปหลอกลวงพี่อ้อย
    โดยน่าจะเป็นคนวางแผนและบงการเองเพราะฉะนั้นหมายจับระลอกสองจะออกมาอย่างแน่นอนในไม่กี่วันนี้ โดยทนายตั้มจะโดนอีกข้อหาพร้อมกับสาริณีและนุ อย่างต่ํา3 คน อาจมีมากกว่านี้ก็เป็นไปได้ขึ้นอยู่กับเส้นเงินจะโยงไปถึงใครมาว่ากันถึงคดีโกงดื้อดื้อเจ็ดสิบเอ็ดล้าน ตอนนี้แนวทางการต่อสู้คดีของทนายตั้มซึ่งพูดผ่านทนายลูกน้องของเขาเองอย่างทนายสายหยุด แล้วก็เพื่อนรักที่ช่วยเป็นโฆษกประโคมข่าวให้อย่างทนายเดชาจะเป็นแนวพลิกลิ้นกลับคําไม่เอาแล้วได้เงิน 71ล้านโดยเสน่หา คงประเมินแล้วมีแต่แพ้กับแพ้เปลี่ยนมาเป็นพี่อ้อยให้เงินทนายตั้มไปลงทุนโดยไม่ได้เสน่หา ส่วนที่ทนายตั้มเคยเที่ยวไปพูดออกสื่อหลายครั้งว่าได้มาโดยเสน่หานั้นโทรโข่งเดชา โม้ว่าทนายตั้มพูดเพื่อสับขาหลอกเท่านั้นจริงจริงวางแผนมาแต่แรกแล้วจะสู้คดีว่าเป็นเงินลงทุน แหม ช่างกล้าพูดราวคนฟังเค้ากินหญ้ามั้ง จุกกรู้ ถามว่าการพลิกเกมสู้คดีจากเงินเสน่หาเป็นเงินลงทุนจะช่วยให้คดีนี้หลุดจากคดีอาญาไปเป็นคดีแพ่งอย่างที่ทนายตั้มต้องการหรือไม่ คําตอบก็คือไม่มีโอกาสที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะการฉ้อโกงในลักษณะหลอกลงทุน ทนายตั้มมาขายฝันให้พี่อ้อยอ้างว่าตัวเองจะได้โควตาหวยรัฐมา มันเป็นเรื่องโกหกล้วนๆเป็นแค่โควตาหวยทิพย์ซึ่งไม่เคยมีจริงแม้แต่การไปติดต่อบริษัทโปรแกรมเมอร์ ทนายสายหยุดยังแก้ต่างคดีซื้อรถเบนซ์ด้วยว่าส่วนต่าง 1,500,000 ที่ทนายตั้มได้ไปนั้นเป็นค่าคอมมิชชั่นจากการซื้อขายรถ ต้องบอกว่าเป็นแนวทางสู้คดีที่ปัญญาอ่อนฟังไม่ขึ้นเพราะปกติแล้วคนที่จ่ายค่าคอมมิชชั่น คือผู้ขายซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นบริษัทขายรถนั่นเองแต่นี่ ทนายตั้มอ้างว่าได้ค่าคอมมิชชั่นจากผู้ซื้อหน้าตาเฉย
    ทนายตั้มเองก็เป็นที่ปรึกษากฎหมายของพี่อ้อยต้องคอยรักษาผลประโยชน์ของพี่อ้อยไม่ใช่มาฉกเงินไปโดยพลการ ไม่ได้แจ้งให้เจ้าของเงินรับทราบแล้วมาแก้ตัวทีหลังว่าเป็นค่าคอมมิชชั่น การแถสีข้างถลอกว่าได้รับค่าคอมมิชชั่นจากผู้ซื้อนั้นเหมือนใครกันน้า ติดตามข่าวซีฟแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    นาทีนี้คดีสแกมเมอร์ทิพย์ สามสิบเก้าล้าน กําลังเป็นที่สนใจของประชาชนมากที่สุด มีแต่คนอยากรู้ว่า เมื่อไหร่กองปราบปรามจะออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหาที่แบ่งหน้าที่กันหลอกลวงพี่อ้อย จตุพร คนที่อยู่ในข่ายแน่นอนแล้วก็คือนางสาวสาริณี นุชฌนาถ แล้วก็นายนุ สามีของ สาริณีซึ่งเป็นเพื่อนกับทนายตั้ม ตอนแรกพี่อ้อยเองก็สงสัยแค่สองสามีภรรยานี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับทนายตั้ม ส่งผลให้ทนายตั้มรอดคดีนี้มาได้ในการออกหมายจับครั้งที่ผ่านมา โดนเพียงแค่สามคดีคือฉ้อโกงแพลตฟอร์มหวยเจ็ดสิบเอ็ดล้าน คดีรถเบนซ์สิบสามล้านและคดีออกแบบโรงแรมเก้าล้าน แต่ตอนนี้กองปราบปรามได้หลักฐานแน่นอนแล้วว่าทนายตั้มรับเงินส่วนแบ่งจากแผนการครั้งนี้อีกทั้งคําให้การของพันตํารวจเอกภูวดล อุ่นโภช เพื่อนรักของบิ๊กโจ๊ก ก็ระบุว่าทนายตั้มเป็นคนโทรมาแจ้งเองเลยว่าจะส่งคนมาแจ้งความที่สน บางซื่อในวันดังกล่าวเป็นเบาะแสสําคัญมากที่ยืนยันถ้านายตั้มรู้เห็นกับขบวนการแจ้งความทิพย์เพื่อสร้างเรื่องสแกมเมอร์ทิพย์ไปหลอกลวงพี่อ้อย โดยน่าจะเป็นคนวางแผนและบงการเองเพราะฉะนั้นหมายจับระลอกสองจะออกมาอย่างแน่นอนในไม่กี่วันนี้ โดยทนายตั้มจะโดนอีกข้อหาพร้อมกับสาริณีและนุ อย่างต่ํา3 คน อาจมีมากกว่านี้ก็เป็นไปได้ขึ้นอยู่กับเส้นเงินจะโยงไปถึงใครมาว่ากันถึงคดีโกงดื้อดื้อเจ็ดสิบเอ็ดล้าน ตอนนี้แนวทางการต่อสู้คดีของทนายตั้มซึ่งพูดผ่านทนายลูกน้องของเขาเองอย่างทนายสายหยุด แล้วก็เพื่อนรักที่ช่วยเป็นโฆษกประโคมข่าวให้อย่างทนายเดชาจะเป็นแนวพลิกลิ้นกลับคําไม่เอาแล้วได้เงิน 71ล้านโดยเสน่หา คงประเมินแล้วมีแต่แพ้กับแพ้เปลี่ยนมาเป็นพี่อ้อยให้เงินทนายตั้มไปลงทุนโดยไม่ได้เสน่หา ส่วนที่ทนายตั้มเคยเที่ยวไปพูดออกสื่อหลายครั้งว่าได้มาโดยเสน่หานั้นโทรโข่งเดชา โม้ว่าทนายตั้มพูดเพื่อสับขาหลอกเท่านั้นจริงจริงวางแผนมาแต่แรกแล้วจะสู้คดีว่าเป็นเงินลงทุน แหม ช่างกล้าพูดราวคนฟังเค้ากินหญ้ามั้ง จุกกรู้ ถามว่าการพลิกเกมสู้คดีจากเงินเสน่หาเป็นเงินลงทุนจะช่วยให้คดีนี้หลุดจากคดีอาญาไปเป็นคดีแพ่งอย่างที่ทนายตั้มต้องการหรือไม่ คําตอบก็คือไม่มีโอกาสที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะการฉ้อโกงในลักษณะหลอกลงทุน ทนายตั้มมาขายฝันให้พี่อ้อยอ้างว่าตัวเองจะได้โควตาหวยรัฐมา มันเป็นเรื่องโกหกล้วนๆเป็นแค่โควตาหวยทิพย์ซึ่งไม่เคยมีจริงแม้แต่การไปติดต่อบริษัทโปรแกรมเมอร์ ทนายสายหยุดยังแก้ต่างคดีซื้อรถเบนซ์ด้วยว่าส่วนต่าง 1,500,000 ที่ทนายตั้มได้ไปนั้นเป็นค่าคอมมิชชั่นจากการซื้อขายรถ ต้องบอกว่าเป็นแนวทางสู้คดีที่ปัญญาอ่อนฟังไม่ขึ้นเพราะปกติแล้วคนที่จ่ายค่าคอมมิชชั่น คือผู้ขายซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นบริษัทขายรถนั่นเองแต่นี่ ทนายตั้มอ้างว่าได้ค่าคอมมิชชั่นจากผู้ซื้อหน้าตาเฉย ทนายตั้มเองก็เป็นที่ปรึกษากฎหมายของพี่อ้อยต้องคอยรักษาผลประโยชน์ของพี่อ้อยไม่ใช่มาฉกเงินไปโดยพลการ ไม่ได้แจ้งให้เจ้าของเงินรับทราบแล้วมาแก้ตัวทีหลังว่าเป็นค่าคอมมิชชั่น การแถสีข้างถลอกว่าได้รับค่าคอมมิชชั่นจากผู้ซื้อนั้นเหมือนใครกันน้า ติดตามข่าวซีฟแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 752 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทนายความเผยยังไม่ยื่นประกัน “ษิทรา" แต่เตรียมหลักทรัพย์ไว้ยื่นประกันภรรยา โวยตำรวจเล่นใหญ่จับกลางถนน ยันลูกความเตรียมไปปฏิบัติธรรมที่ฉะเชิงเทรา หลังใส่สูทรอตำรวจมาหลายวัน ส่วนทนาย "เจ๊อ้อย" ค้านประกัน อ้างพฤติกรรมหลบหนี ยุ่งเหยิงพยาน ขณะตำรวจนำตัวฝากขังบ่ายนี้

    วันนี้ (8 พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้มและ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด (ภรรยา) เดินทางยังมาศาลอาญา พร้อมเปิดเผยว่า ตนจะไม่ยื่นคําร้องขอประกันตัวทนายตั้ม โดยให้เหตุผลว่าที่ศาลอาญา หากเป็นคดีใหญ่ความเสียหายค่อนข้างสูงแบบนี้และมีการระบุพฤติกรรมในหมายจับว่ายุ่งเหยินกับพยานหลักหลักฐานและพยายามหลบหนีรวมถึงปล่อยข่าวว่าหนี ซึ่ง 3 องค์ประกอบดังกล่าว หากไม่มีพยานหลักฐานที่มากพอสมควรหากยื่นคําร้องไปโอกาสก็แทบจะเป็นศูนย์ ดังนั้นทนายตั้ม จึงยืนยันว่าจะไม่ขอยื่นประกันตัวในชั้นศาลวันนี้ แตาทางทีมทนายจะยื่นคําร้องขอประกันตัวนางปทิตตา ภรรยาของทนายตั้ม ส่วนจะใช้หลักทร้พย์เท่าไหร่นั้นอยู่ระหว่างสอบถามกับทางศาล ส่วนศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

    นายสายหยุด กล่าวว่า ทนายตั้ม ไม่มีพฤติกรรมหลบหนีแต่อย่างใด ซึ่งวันที่ถูกจับกุมทนายตั้มและภรรยาเตรียมเดินทางไปทําบุญที่วัด ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เพราะที่ผ่านมาจากการพูดคุยทราบว่า ทนายตั้ม มีการสวมชุดสูทนอนอยู่บ้านหลายวัน เพราะไม่อยากถูกตํารวจจับกุมขณะสวมใส่ชุดนอนเหมือนใครบางคน ส่วนการที่ตํารวจไปจับกุมกลางถนน เหมือนเป็นการตบหน้ากลางสี่แยกหรือไม่นั้น ส่วนตัวมองว่าการปฏิบัติการของตํารวจกองปราบมักจะเล่นใหญ่แบบนี้ทุกครั้ง

    ส่วนที่จะบอกว่าทนายตั้มไม่ผิดนั้น นายสายหยุด กล่าวว่า จากการพูดคุยทราบว่าอาจเป็นการยืมเงินและเป็นความผิดแพ่งหรือไม่ เพราะคดีฉ้อโกงกับแพ่ง เป็นเพียงเส้นบางๆ ของข้อกฎหมาย ดังนั้นรายละเอียดต่างๆ ตนไม่ขอเปิดเผย พร้อมระบุว่า “การสู้คดีผมตัดสินในชั้นศาล ไม่ได้ตัดสินทางทีวี” ทั้งนี้ทนายตั้มไม่มีความกังวลใดๆ ส่วนภรรยากังวลเป็นปกติของผู้หญิง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000107606

    #MGROnline #ทนายตั้ม
    ทนายความเผยยังไม่ยื่นประกัน “ษิทรา" แต่เตรียมหลักทรัพย์ไว้ยื่นประกันภรรยา โวยตำรวจเล่นใหญ่จับกลางถนน ยันลูกความเตรียมไปปฏิบัติธรรมที่ฉะเชิงเทรา หลังใส่สูทรอตำรวจมาหลายวัน ส่วนทนาย "เจ๊อ้อย" ค้านประกัน อ้างพฤติกรรมหลบหนี ยุ่งเหยิงพยาน ขณะตำรวจนำตัวฝากขังบ่ายนี้ • วันนี้ (8 พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้มและ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด (ภรรยา) เดินทางยังมาศาลอาญา พร้อมเปิดเผยว่า ตนจะไม่ยื่นคําร้องขอประกันตัวทนายตั้ม โดยให้เหตุผลว่าที่ศาลอาญา หากเป็นคดีใหญ่ความเสียหายค่อนข้างสูงแบบนี้และมีการระบุพฤติกรรมในหมายจับว่ายุ่งเหยินกับพยานหลักหลักฐานและพยายามหลบหนีรวมถึงปล่อยข่าวว่าหนี ซึ่ง 3 องค์ประกอบดังกล่าว หากไม่มีพยานหลักฐานที่มากพอสมควรหากยื่นคําร้องไปโอกาสก็แทบจะเป็นศูนย์ ดังนั้นทนายตั้ม จึงยืนยันว่าจะไม่ขอยื่นประกันตัวในชั้นศาลวันนี้ แตาทางทีมทนายจะยื่นคําร้องขอประกันตัวนางปทิตตา ภรรยาของทนายตั้ม ส่วนจะใช้หลักทร้พย์เท่าไหร่นั้นอยู่ระหว่างสอบถามกับทางศาล ส่วนศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล • นายสายหยุด กล่าวว่า ทนายตั้ม ไม่มีพฤติกรรมหลบหนีแต่อย่างใด ซึ่งวันที่ถูกจับกุมทนายตั้มและภรรยาเตรียมเดินทางไปทําบุญที่วัด ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เพราะที่ผ่านมาจากการพูดคุยทราบว่า ทนายตั้ม มีการสวมชุดสูทนอนอยู่บ้านหลายวัน เพราะไม่อยากถูกตํารวจจับกุมขณะสวมใส่ชุดนอนเหมือนใครบางคน ส่วนการที่ตํารวจไปจับกุมกลางถนน เหมือนเป็นการตบหน้ากลางสี่แยกหรือไม่นั้น ส่วนตัวมองว่าการปฏิบัติการของตํารวจกองปราบมักจะเล่นใหญ่แบบนี้ทุกครั้ง • ส่วนที่จะบอกว่าทนายตั้มไม่ผิดนั้น นายสายหยุด กล่าวว่า จากการพูดคุยทราบว่าอาจเป็นการยืมเงินและเป็นความผิดแพ่งหรือไม่ เพราะคดีฉ้อโกงกับแพ่ง เป็นเพียงเส้นบางๆ ของข้อกฎหมาย ดังนั้นรายละเอียดต่างๆ ตนไม่ขอเปิดเผย พร้อมระบุว่า “การสู้คดีผมตัดสินในชั้นศาล ไม่ได้ตัดสินทางทีวี” ทั้งนี้ทนายตั้มไม่มีความกังวลใดๆ ส่วนภรรยากังวลเป็นปกติของผู้หญิง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000107606 • #MGROnline #ทนายตั้ม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความร่ำรวยอย่างพรวดพราด ซึ่งน่าจะได้มาจากการฉ้อโกงเจ็ดสิบเอ็ดล้านส่งผลให้ชาวเน็ตเปลี่ยนชื่อ จากทนายตั้มเป็นทนายต้มกันอย่างครื้นเครง ถือว่าคดีฉ้อโกงเจ็ดสิบเอ็ดล้านเป็นการเปิดแผลแรกของทนายตั้ม ชนิดที่เจ้าตัวไม่เคยมีบาดแผลเหวอะหวะบาดเจ็บหนักเท่านี้มาก่อน
    ล่าสุดพี่อ้อยจตุพร อุบลเลิศ เข้าให้การกองปราบปรามยาวนานถึงสิบเอ็ดชั่วโมงพนักงานสอบสวนกองปราบปรามตรวจสอบพฤติกรรมของทนายต้มแล้วพบว่า พี่อ้อยไม่ได้ถูกต้มแค่หลอกลงทุนแพลตฟอร์มหวยเจ็ดสิบเอ็ดล้านคดีเดียว แต่ยังถูกต้มเรื่องเงินคริปโตของเพื่อนอีก 39 ล้าน เรื่องเงินค่าออกแบบโรงแรม 9 ล้าน ค่าออกแบบบ้านของสามีพี่อ้อย3 ล้านและเงินซื้อรถเบนซ์ 13 ล้าน ซึ่งพี่อ้อยโดนฟันส่วนต่างราคาไปร่วม5 ล้าน การที่เหยื่อคนเดียวถูกฉ้อโกงซ้ําๆ แบบนี้ เป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา3 วงเล็บ 18 แห่ง พ รบการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพ ศ2542 เรียกว่าฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ คําว่าปกติธุระหมายความว่ากระทําการซ้ําซ้ํากันมากกว่าหนึ่งครั้งกระทําความผิดเป็นสันดาน มีลักษณะที่จะเป็นการกระทําเช่นนั้นต่อต่อไป เนื่องจากพฤติกรรมของทนายต้ม หลอกเหยื่อคนเดิมหลายครั้งเข้าองค์ประกอบชัดเจนคดีที่พี่อ้อยแจ้งจากทนายตั้มจึงไม่ใช่แค่คดีฉ้อโกง แต่จะกลายเป็นคดีฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานสอบสวนออกหมายจับผู้ต้องหาได้ทันทีไม่ต้องมีหมายเรียก
    ปฏิบัติการนี้จึงเป็นการถอนรากถอนโคนทนายแบรนด์เนมและองค์กรซ่อนเงื่อนของเขาแบบม้วนเดียวจบ จบตํานานทนายความที่ทําตัวเป็นภัยกับลูกความ เอาเข้าจริง ที่มาของความร่ํารวยของทนายต้มน่าจะไม่ใช่แค่การฉ้อโกง
    คนที่ปูดเรื่องนี้ออกมาคือจอมแฉผู้รู้ลึกรู้จริงในแวดวงคนสีเทานายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ย้อนไปเมื่อวันที่สองเมษายน2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กว่าข่าวด่วนสัมภเวสีอาละวาดทนายคนดีชอบแถลงข่าวช่วยประชาชน รวยแค่ข้ามคืนจนคนสงสัยไปทั่ว ทําไมรวยเร็วจังที่แท้เบื้องหลังทําพนันออนไลน์หุ้นกับเจ้าหน้าที่ dsi ตัวเตี้ยๆ อายุประมาณ 50 ปีชื่อเว็บเฮงเกมส์มีญาติชื่อแจ๊คดูแลเว็บให้ คนที่รู้ดีคือตํารวจใหญ่ฉายาเทพจอจาน ที่ต้องหลับตาลงข้างเดียวเพราะใช้งานกันอยู่ ก่อนทนายจะดังหากินกับการรับคดียาเพราะได้เงินมากง่ายและเร็วไม่รับทําคดีอื่นให้เสียเวลาอย่างคดีดาราสาวดังลูกครึ่งใช้เอกสารตํารวจปลอม บินปร๋อหนีไปต่างประเทศทันที
    สํานักงานทนายกําไรต่อปีเท่ารายได้มนุษย์เงินเดือนแต่ใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่าบ้าแบรนด์เนม บ้านหลังละเกือบร้อยล้าน มีแผนส่งลูกเรียนเมืองนอกด้วย ทุกครั้งไปเที่ยวต่างประเทศต้องมีลูกน้องตํารวจใหญ่เทพจอจาน มารอรับถึงสนามบิน เข็นรถให้ช้อปปิ้งหลักล้านปรนเปอร์เมียภาษีไม่เคยจ่ายเพราะเงินที่ได้แบบเทาๆ เอาไปแอบซุกไว้ในบัญชีพี่เมีย วันใด ปปงเข้ามาตรวจสอบเส้นทางการเงินของทนายตั้ม อาจเจาะไปถึงธุรกิจสีเทาที่มีข่าวทนายตั้มพัวพันตามที่ชูวิทย์แฉไว้เป็นปีแล้วแน่นอน ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    ความร่ำรวยอย่างพรวดพราด ซึ่งน่าจะได้มาจากการฉ้อโกงเจ็ดสิบเอ็ดล้านส่งผลให้ชาวเน็ตเปลี่ยนชื่อ จากทนายตั้มเป็นทนายต้มกันอย่างครื้นเครง ถือว่าคดีฉ้อโกงเจ็ดสิบเอ็ดล้านเป็นการเปิดแผลแรกของทนายตั้ม ชนิดที่เจ้าตัวไม่เคยมีบาดแผลเหวอะหวะบาดเจ็บหนักเท่านี้มาก่อน ล่าสุดพี่อ้อยจตุพร อุบลเลิศ เข้าให้การกองปราบปรามยาวนานถึงสิบเอ็ดชั่วโมงพนักงานสอบสวนกองปราบปรามตรวจสอบพฤติกรรมของทนายต้มแล้วพบว่า พี่อ้อยไม่ได้ถูกต้มแค่หลอกลงทุนแพลตฟอร์มหวยเจ็ดสิบเอ็ดล้านคดีเดียว แต่ยังถูกต้มเรื่องเงินคริปโตของเพื่อนอีก 39 ล้าน เรื่องเงินค่าออกแบบโรงแรม 9 ล้าน ค่าออกแบบบ้านของสามีพี่อ้อย3 ล้านและเงินซื้อรถเบนซ์ 13 ล้าน ซึ่งพี่อ้อยโดนฟันส่วนต่างราคาไปร่วม5 ล้าน การที่เหยื่อคนเดียวถูกฉ้อโกงซ้ําๆ แบบนี้ เป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา3 วงเล็บ 18 แห่ง พ รบการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพ ศ2542 เรียกว่าฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ คําว่าปกติธุระหมายความว่ากระทําการซ้ําซ้ํากันมากกว่าหนึ่งครั้งกระทําความผิดเป็นสันดาน มีลักษณะที่จะเป็นการกระทําเช่นนั้นต่อต่อไป เนื่องจากพฤติกรรมของทนายต้ม หลอกเหยื่อคนเดิมหลายครั้งเข้าองค์ประกอบชัดเจนคดีที่พี่อ้อยแจ้งจากทนายตั้มจึงไม่ใช่แค่คดีฉ้อโกง แต่จะกลายเป็นคดีฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานสอบสวนออกหมายจับผู้ต้องหาได้ทันทีไม่ต้องมีหมายเรียก ปฏิบัติการนี้จึงเป็นการถอนรากถอนโคนทนายแบรนด์เนมและองค์กรซ่อนเงื่อนของเขาแบบม้วนเดียวจบ จบตํานานทนายความที่ทําตัวเป็นภัยกับลูกความ เอาเข้าจริง ที่มาของความร่ํารวยของทนายต้มน่าจะไม่ใช่แค่การฉ้อโกง คนที่ปูดเรื่องนี้ออกมาคือจอมแฉผู้รู้ลึกรู้จริงในแวดวงคนสีเทานายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ย้อนไปเมื่อวันที่สองเมษายน2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กว่าข่าวด่วนสัมภเวสีอาละวาดทนายคนดีชอบแถลงข่าวช่วยประชาชน รวยแค่ข้ามคืนจนคนสงสัยไปทั่ว ทําไมรวยเร็วจังที่แท้เบื้องหลังทําพนันออนไลน์หุ้นกับเจ้าหน้าที่ dsi ตัวเตี้ยๆ อายุประมาณ 50 ปีชื่อเว็บเฮงเกมส์มีญาติชื่อแจ๊คดูแลเว็บให้ คนที่รู้ดีคือตํารวจใหญ่ฉายาเทพจอจาน ที่ต้องหลับตาลงข้างเดียวเพราะใช้งานกันอยู่ ก่อนทนายจะดังหากินกับการรับคดียาเพราะได้เงินมากง่ายและเร็วไม่รับทําคดีอื่นให้เสียเวลาอย่างคดีดาราสาวดังลูกครึ่งใช้เอกสารตํารวจปลอม บินปร๋อหนีไปต่างประเทศทันที สํานักงานทนายกําไรต่อปีเท่ารายได้มนุษย์เงินเดือนแต่ใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่าบ้าแบรนด์เนม บ้านหลังละเกือบร้อยล้าน มีแผนส่งลูกเรียนเมืองนอกด้วย ทุกครั้งไปเที่ยวต่างประเทศต้องมีลูกน้องตํารวจใหญ่เทพจอจาน มารอรับถึงสนามบิน เข็นรถให้ช้อปปิ้งหลักล้านปรนเปอร์เมียภาษีไม่เคยจ่ายเพราะเงินที่ได้แบบเทาๆ เอาไปแอบซุกไว้ในบัญชีพี่เมีย วันใด ปปงเข้ามาตรวจสอบเส้นทางการเงินของทนายตั้ม อาจเจาะไปถึงธุรกิจสีเทาที่มีข่าวทนายตั้มพัวพันตามที่ชูวิทย์แฉไว้เป็นปีแล้วแน่นอน ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 862 มุมมอง 0 รีวิว
  • วงการกากีเม้าแซ่บ จากหักพาล เป็น หักพัง
    เรื่องของบิ๊กโจ๊ก สังคมตํารวจซุบซิบนินทาว่าเหมือนโดนกรรมติดจรวด ลําพังมีคดีร้ายแรงติดตัวและต้องหลุดพ้นจากความเป็นตํารวจ ก็เป็นชะตากรรมที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ดันมีคดีลักทรัพย์พ่วงด้วยเรื่องอื้อฉาวคาวสวาท ของมาดามกุ๊กกิ๊ก สิรินัดดา หักพาน ผุดขึ้นมาอีกราวกับเวรซ้ํากรรมซัด ยิ่งคลิปหลุดไปอยู่ในมือของ นายสิระ เจนจาคะนักการเมืองพันดุ เลยเหมือนระเบิดเวลาไม่รู้จะตูมตามออกมาว่าไหนอะไรคือการกินไอติมอะไรคือวู้แมนออนท็อป ขาเผือกเฝ้ารออย่างเก็บอาการกันทั้งเมือง ยามนี้ความทุกข์สาหัสถาโถมใส่ครอบครัวหักพัง อย่างหนักหน่วงแท้จริง
    สําหรับคนที่เคยเป็นผู้ถูกกระทํามาก่อนอย่างบริษัท oa เจ้าของกิจการทัวร์ 0 เหรียญเมื่อเห็นชะตากรรมของบิ๊กโจ๊กและภรรยาคงจะรู้สึกว่าแค่นี้ยังน้อยไปบิ๊กโจ๊กสร้างชื่อให้ตัวเองในฐานะหัวหมู่ทะลวงฟัน ทลายทัวร์ศูนย์เหรียญวาดภาพให้บริษัทโอเอเป็นผู้ร้ายขายชาติเจ้าของบริษัทและทั้งครอบครัวต้องตกเป็นจําเลยคดีอาญา ข้อหาซ่องโจร มิหนําซ้ําถูกบิ๊กตํารวจแทรกแซงคดี ด้วยการสั่งคัดค้านการประกันตัวทั้งที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหา ท้ายที่สุดคดีไม่มีหลักฐานศาลฎีกายกฟ้อง ไม่มีความผิด แต่จําเลยติดคุกฟรีไปแล้วแถมบริษัท oa แม้ชนะคดีมาได้แต่ก็เหลือแต่ซากปรักหักพังทางธุรกิจ ไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้อีก
    แล้วตอนนี้เป็นไง บิ๊กโจ๊กต้องมาโดนคดีฟอกเงินถูกให้ออกจากราชการกงล้อกรรมมีจริงฟ้ามีตาของจริงแถมลูกผู้ชายชื่อโจ๊กต้องเจอเรื่องอัปยศอดสูให้ต้องอับอายคนไปทั้งแผ่นดินอีกนาน รอวันครอบครัวแตกสลายจะช้าหรือเร็วเท่านั้น ไม่เท่านั้นคดีที่มาดามกุ๊กกิ๊กตกเป็นผู้ต้องหาลักทองคํา และเงินสดรวมกว่าหกล้านบาท ดันมีเหตุแทรกซ้อนเป็นผลทางลบในคดีฟอกเงิน มันคือกระเป๋าส่วนตัวที่มาดามดันลืมทิ้งไว้ระหว่างมาย้ายถุงสีรุ้งออกไปอย่างรีบร้อน
    เอกสารหลักฐานในกระเป๋าใบนั้นเกี่ยวพันกับการซื้อขายทองคําหลายสิบล้านบาทแถมมีลายมือเขียนเป็นบันทึกช่วยจําไว้ด้วย ลายมือนั้นดันไปละม้ายคล้ายกับของบิ๊กโจ๊กอีกต่างหาก
    ตํารวจตรวจสอบการซื้อขายทองคํามโหฬารนั้นจนโป๊ะแตกเมื่อพบว่ารายการทั้งหมดดันไปตรงกับบันทึกในคอมพิวเตอร์ของ ตํารวจพ่อบ้านคนสนิท ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคดีฟอกเงินเท่ากับว่ากระเป๋าใบนั้นช่วยให้ตํารวจได้หลักฐานการฟอกเงินเพิ่มเติมรัดคอบิ๊กโจ๊กกับพวกเข้าไปอีกเปราะแถมเป็นเบาะแสว่ามาดามกุ๊บกิ๊บเองอาจมีส่วนรู้เห็นเรื่องการซื้อขายทองคําด้วยเงินสีเทาเพราะหลักฐานพวกนี้ดันอยู่ในกระเป๋าถือส่วนตัวของมาดามกุ๊บกิ๊บ สอดรับกับคําให้การของลูกน้องเก่าของบิ๊กโจ๊กเคยแชร์ไว้กับตํารวจ บก ปปป ว่ามีการแปลงเงินสีเทาไปเป็นทองคํา เพื่อหนีการตรวจสอบบิ๊กโจ๊กต้องตอบให้ได้ว่าเอาเงินหลายสิบล้านจากไหน คิงส์โพธิ์ดำจะรอคำตอบนะจ๊ะ หวานเจี๊ยบบอย ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    วงการกากีเม้าแซ่บ จากหักพาล เป็น หักพัง เรื่องของบิ๊กโจ๊ก สังคมตํารวจซุบซิบนินทาว่าเหมือนโดนกรรมติดจรวด ลําพังมีคดีร้ายแรงติดตัวและต้องหลุดพ้นจากความเป็นตํารวจ ก็เป็นชะตากรรมที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ดันมีคดีลักทรัพย์พ่วงด้วยเรื่องอื้อฉาวคาวสวาท ของมาดามกุ๊กกิ๊ก สิรินัดดา หักพาน ผุดขึ้นมาอีกราวกับเวรซ้ํากรรมซัด ยิ่งคลิปหลุดไปอยู่ในมือของ นายสิระ เจนจาคะนักการเมืองพันดุ เลยเหมือนระเบิดเวลาไม่รู้จะตูมตามออกมาว่าไหนอะไรคือการกินไอติมอะไรคือวู้แมนออนท็อป ขาเผือกเฝ้ารออย่างเก็บอาการกันทั้งเมือง ยามนี้ความทุกข์สาหัสถาโถมใส่ครอบครัวหักพัง อย่างหนักหน่วงแท้จริง สําหรับคนที่เคยเป็นผู้ถูกกระทํามาก่อนอย่างบริษัท oa เจ้าของกิจการทัวร์ 0 เหรียญเมื่อเห็นชะตากรรมของบิ๊กโจ๊กและภรรยาคงจะรู้สึกว่าแค่นี้ยังน้อยไปบิ๊กโจ๊กสร้างชื่อให้ตัวเองในฐานะหัวหมู่ทะลวงฟัน ทลายทัวร์ศูนย์เหรียญวาดภาพให้บริษัทโอเอเป็นผู้ร้ายขายชาติเจ้าของบริษัทและทั้งครอบครัวต้องตกเป็นจําเลยคดีอาญา ข้อหาซ่องโจร มิหนําซ้ําถูกบิ๊กตํารวจแทรกแซงคดี ด้วยการสั่งคัดค้านการประกันตัวทั้งที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหา ท้ายที่สุดคดีไม่มีหลักฐานศาลฎีกายกฟ้อง ไม่มีความผิด แต่จําเลยติดคุกฟรีไปแล้วแถมบริษัท oa แม้ชนะคดีมาได้แต่ก็เหลือแต่ซากปรักหักพังทางธุรกิจ ไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้อีก แล้วตอนนี้เป็นไง บิ๊กโจ๊กต้องมาโดนคดีฟอกเงินถูกให้ออกจากราชการกงล้อกรรมมีจริงฟ้ามีตาของจริงแถมลูกผู้ชายชื่อโจ๊กต้องเจอเรื่องอัปยศอดสูให้ต้องอับอายคนไปทั้งแผ่นดินอีกนาน รอวันครอบครัวแตกสลายจะช้าหรือเร็วเท่านั้น ไม่เท่านั้นคดีที่มาดามกุ๊กกิ๊กตกเป็นผู้ต้องหาลักทองคํา และเงินสดรวมกว่าหกล้านบาท ดันมีเหตุแทรกซ้อนเป็นผลทางลบในคดีฟอกเงิน มันคือกระเป๋าส่วนตัวที่มาดามดันลืมทิ้งไว้ระหว่างมาย้ายถุงสีรุ้งออกไปอย่างรีบร้อน เอกสารหลักฐานในกระเป๋าใบนั้นเกี่ยวพันกับการซื้อขายทองคําหลายสิบล้านบาทแถมมีลายมือเขียนเป็นบันทึกช่วยจําไว้ด้วย ลายมือนั้นดันไปละม้ายคล้ายกับของบิ๊กโจ๊กอีกต่างหาก ตํารวจตรวจสอบการซื้อขายทองคํามโหฬารนั้นจนโป๊ะแตกเมื่อพบว่ารายการทั้งหมดดันไปตรงกับบันทึกในคอมพิวเตอร์ของ ตํารวจพ่อบ้านคนสนิท ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคดีฟอกเงินเท่ากับว่ากระเป๋าใบนั้นช่วยให้ตํารวจได้หลักฐานการฟอกเงินเพิ่มเติมรัดคอบิ๊กโจ๊กกับพวกเข้าไปอีกเปราะแถมเป็นเบาะแสว่ามาดามกุ๊บกิ๊บเองอาจมีส่วนรู้เห็นเรื่องการซื้อขายทองคําด้วยเงินสีเทาเพราะหลักฐานพวกนี้ดันอยู่ในกระเป๋าถือส่วนตัวของมาดามกุ๊บกิ๊บ สอดรับกับคําให้การของลูกน้องเก่าของบิ๊กโจ๊กเคยแชร์ไว้กับตํารวจ บก ปปป ว่ามีการแปลงเงินสีเทาไปเป็นทองคํา เพื่อหนีการตรวจสอบบิ๊กโจ๊กต้องตอบให้ได้ว่าเอาเงินหลายสิบล้านจากไหน คิงส์โพธิ์ดำจะรอคำตอบนะจ๊ะ หวานเจี๊ยบบอย ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 473 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อมูลที่สนธิลิ้มทองกุลเปิดโปงพฤติกรรมของทนายตั้ม นายสิทธา เบี้ยบังเกิด ตอกย้ําว่าอ้อยจตุพร ที่โอนเงินสองล้านยูโรหรือเจ็ดสิบเอ็ดล้านบาทเข้าบัญชีชื่อสิทธ์ธาเบี้ยบังเกิด ไม่ใช่การให้โดยเสน่ห์หายอย่างที่ทนายตั้มอ้าง และในเมื่อทนายตั้ม อมเงินก้อนนี้ไปโดยไม่ยอมคืนให้เจ้าของก็เท่ากับมีภาระต้องเสียภาษีอีกมหาศาล
    ถึงขั้นนายสนธิ ท้า ถ้าทนายตั้มมีหลักฐานการจ่ายภาษีจะยอมกราบตีนและไหนๆทนายตั้มอยากแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง สนธิ ลิ้มทองกุลก็จะยื่นหนังสือถึงกรมสรรพากรให้ตรวจสอบการเสียภาษี จากรายได้ก้อนนี้ด้วย จัดหนักให้สุดซอยแบบเดียวกับที่เคยจัดให้ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ตอนที่เปิดศึกกันครั้งที่ผ่านมา หลังรายการจบลงสื่อต่างๆก็นําไปรายงานข่าวกันอย่างคึกคัก แหกพฤติกรรมฉ้อโกงเงิน ไปจากเศรษฐีนีใจบุญที่เคยให้ความรักความเมตตากับทนายตั้มอย่างจริงใจ
    ชาวเน็ตมีความเห็นตรงกันมากว่า เป็นไปไม่ได้หรือไม่เชื่อที่ใครจะให้เงิน71 ล้านด้วยความเสน่หากับคนที่ไม่ใช่ญาติรวมถึงตรรกะว่า ถ้าอ้อย จตุพรให้ด้วยความเสน่หาจริงแล้วจะมาแจ้งจับทนายตั้มทําไม งานนี้ สนธิ ลิ้มทองกุลชนะขาด เครดิตความน่าเชื่อถือต่างกันลิบลับในด้านคดีความ ต้องบอกว่าทนายตั้มงานนี้เหนื่อยแน่เพราะสํานักงานตํารวจแห่งชาติมีคําสั่งให้โอนคดีจาก สภ ปากช่อง มายังกองปราบปรามเรียบร้อยแล้ว และเนื่องจากทนายตั้มใช้วิธีดักคอว่าพลตํารวจตรีจรูญ เกียรติปานแก้ว เหมือนเป็นคู่กรณีกลายๆจะมาคุมสํานวน
    สํานักงานตํารวจแห่งชาติจึงไม่เปิดช่องทางให้ทนายตั้มใช้ประเด็นนี้มาต่อสู้คดี จึงมอบหมายให้บิ๊กหมูพลตํารวจตรีสุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตํารวจสอบสวนกลางรับผิดชอบซึ่งตามประวัติบิ๊กหมูเป็นถึงผู้การกองปราบมาก่อน ลีลาก็ถึงลูกถึงคน ไม่กลัวใครหน้าไหนเหมือนกัน ในสถานการณ์ที่เห็นว่าตัวเองเพลี่ยงพล้ํา ทนายตั้มเลยยกเลิกเกมที่จะไปแจ้งจับใครต่อใครเปลี่ยนวิธีจะไปขอเจรจากับเจ้าของเงินแทน แต่โชคร้ายที่ออกแนวหลอกลวงมันรุนแรงเกินกว่าที่คู่กรณีจะยอมให้อภัยจึงจัดการปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารทั้งหมด ทนายตั้มไม่สามารถติดต่อคุณอ้อยได้แล้ว
    การเปิดศึกกับสนธิ ลิ้มทองกุลและการไปบี้เอาเงินจากบอสพอล ทนายตั้มใช้วิธีการอ้างถึงรายการโหนกระแสเหมือนๆกัน เล่นเอาหนุ่มกรรชัยสุดทนพูดตําหนิทนายตั้มตรงๆ ว่าอย่าลากชื่อรายการไปเกี่ยวข้องและหนุ่มกรรชัยต้องรีบโทรเคลียร์กับสนธิลิ้มทองกุลว่ารายการโหนกระแสไม่ได้ตั้งใจจะฟอกขาวให้ทนายตั้ม ซึ่งต่างเข้าใจกันด้วยดี ดูเหลี่ยมไหนทนายตั้มก็รอดยากผู้คนกําลังรุมประณามลามปามไปถึงสังคมทนาย คิงส์ดำบอกเลยว่า ตั้มเอ้ย ซ้อมกินฉี่ไว้ล่วงหน้าได้เลย
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    #สนธิลิ้มทองกุล
    #ทนายตั้ม
    ข้อมูลที่สนธิลิ้มทองกุลเปิดโปงพฤติกรรมของทนายตั้ม นายสิทธา เบี้ยบังเกิด ตอกย้ําว่าอ้อยจตุพร ที่โอนเงินสองล้านยูโรหรือเจ็ดสิบเอ็ดล้านบาทเข้าบัญชีชื่อสิทธ์ธาเบี้ยบังเกิด ไม่ใช่การให้โดยเสน่ห์หายอย่างที่ทนายตั้มอ้าง และในเมื่อทนายตั้ม อมเงินก้อนนี้ไปโดยไม่ยอมคืนให้เจ้าของก็เท่ากับมีภาระต้องเสียภาษีอีกมหาศาล ถึงขั้นนายสนธิ ท้า ถ้าทนายตั้มมีหลักฐานการจ่ายภาษีจะยอมกราบตีนและไหนๆทนายตั้มอยากแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง สนธิ ลิ้มทองกุลก็จะยื่นหนังสือถึงกรมสรรพากรให้ตรวจสอบการเสียภาษี จากรายได้ก้อนนี้ด้วย จัดหนักให้สุดซอยแบบเดียวกับที่เคยจัดให้ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ตอนที่เปิดศึกกันครั้งที่ผ่านมา หลังรายการจบลงสื่อต่างๆก็นําไปรายงานข่าวกันอย่างคึกคัก แหกพฤติกรรมฉ้อโกงเงิน ไปจากเศรษฐีนีใจบุญที่เคยให้ความรักความเมตตากับทนายตั้มอย่างจริงใจ ชาวเน็ตมีความเห็นตรงกันมากว่า เป็นไปไม่ได้หรือไม่เชื่อที่ใครจะให้เงิน71 ล้านด้วยความเสน่หากับคนที่ไม่ใช่ญาติรวมถึงตรรกะว่า ถ้าอ้อย จตุพรให้ด้วยความเสน่หาจริงแล้วจะมาแจ้งจับทนายตั้มทําไม งานนี้ สนธิ ลิ้มทองกุลชนะขาด เครดิตความน่าเชื่อถือต่างกันลิบลับในด้านคดีความ ต้องบอกว่าทนายตั้มงานนี้เหนื่อยแน่เพราะสํานักงานตํารวจแห่งชาติมีคําสั่งให้โอนคดีจาก สภ ปากช่อง มายังกองปราบปรามเรียบร้อยแล้ว และเนื่องจากทนายตั้มใช้วิธีดักคอว่าพลตํารวจตรีจรูญ เกียรติปานแก้ว เหมือนเป็นคู่กรณีกลายๆจะมาคุมสํานวน สํานักงานตํารวจแห่งชาติจึงไม่เปิดช่องทางให้ทนายตั้มใช้ประเด็นนี้มาต่อสู้คดี จึงมอบหมายให้บิ๊กหมูพลตํารวจตรีสุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตํารวจสอบสวนกลางรับผิดชอบซึ่งตามประวัติบิ๊กหมูเป็นถึงผู้การกองปราบมาก่อน ลีลาก็ถึงลูกถึงคน ไม่กลัวใครหน้าไหนเหมือนกัน ในสถานการณ์ที่เห็นว่าตัวเองเพลี่ยงพล้ํา ทนายตั้มเลยยกเลิกเกมที่จะไปแจ้งจับใครต่อใครเปลี่ยนวิธีจะไปขอเจรจากับเจ้าของเงินแทน แต่โชคร้ายที่ออกแนวหลอกลวงมันรุนแรงเกินกว่าที่คู่กรณีจะยอมให้อภัยจึงจัดการปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารทั้งหมด ทนายตั้มไม่สามารถติดต่อคุณอ้อยได้แล้ว การเปิดศึกกับสนธิ ลิ้มทองกุลและการไปบี้เอาเงินจากบอสพอล ทนายตั้มใช้วิธีการอ้างถึงรายการโหนกระแสเหมือนๆกัน เล่นเอาหนุ่มกรรชัยสุดทนพูดตําหนิทนายตั้มตรงๆ ว่าอย่าลากชื่อรายการไปเกี่ยวข้องและหนุ่มกรรชัยต้องรีบโทรเคลียร์กับสนธิลิ้มทองกุลว่ารายการโหนกระแสไม่ได้ตั้งใจจะฟอกขาวให้ทนายตั้ม ซึ่งต่างเข้าใจกันด้วยดี ดูเหลี่ยมไหนทนายตั้มก็รอดยากผู้คนกําลังรุมประณามลามปามไปถึงสังคมทนาย คิงส์ดำบอกเลยว่า ตั้มเอ้ย ซ้อมกินฉี่ไว้ล่วงหน้าได้เลย #คิงส์โพธิ์ดำ #สนธิลิ้มทองกุล #ทนายตั้ม
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 717 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลาสบอสของแก๊งตบทรัพย์ พอล ดิไอคอน
    ถึงตัวจะติดคุกแต่บอสพอล ดิ ไอคอน
    ไม่วายทําคนนอกคุกป่วนไปตามๆ กัน
    เมื่อไปแฉให้ตํารวจฟังว่าตัวเองถูกตบทรัพย์ 10 ล้านบาท
    จากนักร้องเรียนหญิงจึงอ้างว่าเชี่ยวชาญด้านแชร์
    มีเครือข่ายนักการเมืองและใช้มูลนิธิในการรับเงิน
    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่the icon
    จะถูกทลายอาณาจักรในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์
    ปี 2567 สเปคที่ว่านั้น
    ทําเอาหน้าสวยๆของต้นอ้อเป็นหนึ่งลอยขึ้นมาทันที
    เพราะต้นอ้อไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านแชร์ธรรมดา
    แต่เชี่ยวชาญระดับถูกแจ้งจับข้อหายังเคลียร์ผู้เสียหายไม่หมดด้วยซ้ํา
    ไหนจะยังมีพฤติกรรมหากินกับนักการเมือง
    ทั้งบัตรเข้าออกสภาเก้าอี้ที่ปรึกษาในคณะกรรมาธิการขายปริญญาบัตรปลอมทุกสเปคสอดรับกับตัวเธอไปทุกอย่าง
    เล่นเอาต้นอ้อเต้นผางออกมาชี้แจงทันควันว่า
    นักร้องหญิงที่ไปตบทรัพย์บอสพอลไม่ใช่เธอแน่นอน
    ถ้าไม่ใช่ต้นอ้อแล้วจะเป็นใคร

    ก็พอดีมีผู้หญิงอีกคนนึงโพสต์โต้ข่าวนี้
    เธอคือเจ๊พัชกฤษณ์อนงค์ สุวรรณวงศ์
    หัวหน้าพรรคสุวรรณภูมิ
    ต้องบอกว่าคนนี้สิมาแรง
    การติดต่อระหว่างเจ๊พัชและบอสพอล
    เคยเกิดขึ้นจริงแต่ไม่เป็นข่าว
    ครั้งนั้นมีเหยื่อของ the iconมาร้องเรียนขอความช่วยเหลือ
    จากเจ๊พัชรวม 89 รายเจ๊พัชรับเป็นธุระเดินเรื่องให้
    จนสามารถลากบอสพอลมาเปิดเจรจากัน
    ที่ทําการพักสุวรรณภูมิย่านลําลูกกา

    ครั้งนั้นบอสพอลว่านอนสอนง่าย
    จึงยอมควักเงินเคลียร์ให้เหยื่อ
    the iconภายใต้การดูแลของเจ๊พัชแต่โดยดี
    รวมเป็นเงิน 8 ล้านบาทเงินเหล่านั้นจ่ายตรงให้กับเหยื่อโดยไม่ผ่านมูลนิธิแต่อย่างใด
    และเหยื่อทั้ง 89 รายก็แยกย้ายสลายตัว
    ไม่คิดจะเอาเรื่องใด ๆ กับบอสพอล
    อย่างไรก็ตาม
    อย่างไรก็ตามเจ๊พัชยังได้เตือนบอสพอลไว้ด้วยว่าอย่าเชื่อทนายความมาก
    เพราะทนายความของบอสพอลพยายามให้ความมั่นใจว่า
    ธุรกิจแบบดิไอคอนไม่เข้าข่ายผิดกฎหมายควรจะยอมเสียเงิน
    เคลียร์กับผู้เสียหายรายอื่นอื่นให้ครบถ้วนถ้าไม่อยากให้มีปัญหาเกิดขึ้น
    แต่บอสพอลเชื่อมั่นในทนายความของตัวเองมากกว่า
    ก็เลยพบจุดจบตามคําเตือนของเจ๊พัชจริงจริง
    หลายๆคนคงมีคําถามว่านักการเมืองพรรคเล็กไม่มี สส
    ในสภาแม้แต่คนเดียวอย่างเจ๊พัชจะมีพาวเวอร์อะไรไปคุกคามบอสพอล
    ให้ยอมจ่ายเงินเคลียร์จริงๆและที่ผ่านมาเธอชอบตั้งพรรคการเมืองโน่นนี่นั่นมาแล้วหลายพรรค
    เพราะมุ่งมั่นจะทํางานการเมืองอย่างชัดเจน
    พรรคที่เธอตั้งขึ้นกับมือก็เช่นพรรคพลังเครือข่ายประชาชน
    ตามด้วยพรรคภาคีเครือข่ายไทย
    ปรากฏว่าพรรคพลังเครือข่ายประชาชนของเธอนี่แหละ
    เป็นบันไดขั้นแรกของจ๊อบ สามารถ เจนชัยจิตรวนิช
    ในการลงเล่นการเมืองจนชีวิตรุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาลย์
    ได้เป็นคนใกล้ชิดลุงป้อมในพรรคพลังประชารัฐกลายเป็นตัวละครไม่ลับ
    ที่ถูกรุมเปิดโปงผ่านคลิปลับว่าไปรับงานจากบอสพอล
    ทั้งที่ตั้งตัวเป็นมือปราบแชร์ลูกโซ่
    อาจกล่าวได้ว่าเหนือสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ก็ยังมีกฤษณ์อนงค์ สุวรรณวงศ์ก็ไม่เกินความจริงเลย
    ติดตามข่าวซีฟแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    ลาสบอสของแก๊งตบทรัพย์ พอล ดิไอคอน ถึงตัวจะติดคุกแต่บอสพอล ดิ ไอคอน ไม่วายทําคนนอกคุกป่วนไปตามๆ กัน เมื่อไปแฉให้ตํารวจฟังว่าตัวเองถูกตบทรัพย์ 10 ล้านบาท จากนักร้องเรียนหญิงจึงอ้างว่าเชี่ยวชาญด้านแชร์ มีเครือข่ายนักการเมืองและใช้มูลนิธิในการรับเงิน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่the icon จะถูกทลายอาณาจักรในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2567 สเปคที่ว่านั้น ทําเอาหน้าสวยๆของต้นอ้อเป็นหนึ่งลอยขึ้นมาทันที เพราะต้นอ้อไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านแชร์ธรรมดา แต่เชี่ยวชาญระดับถูกแจ้งจับข้อหายังเคลียร์ผู้เสียหายไม่หมดด้วยซ้ํา ไหนจะยังมีพฤติกรรมหากินกับนักการเมือง ทั้งบัตรเข้าออกสภาเก้าอี้ที่ปรึกษาในคณะกรรมาธิการขายปริญญาบัตรปลอมทุกสเปคสอดรับกับตัวเธอไปทุกอย่าง เล่นเอาต้นอ้อเต้นผางออกมาชี้แจงทันควันว่า นักร้องหญิงที่ไปตบทรัพย์บอสพอลไม่ใช่เธอแน่นอน ถ้าไม่ใช่ต้นอ้อแล้วจะเป็นใคร ก็พอดีมีผู้หญิงอีกคนนึงโพสต์โต้ข่าวนี้ เธอคือเจ๊พัชกฤษณ์อนงค์ สุวรรณวงศ์ หัวหน้าพรรคสุวรรณภูมิ ต้องบอกว่าคนนี้สิมาแรง การติดต่อระหว่างเจ๊พัชและบอสพอล เคยเกิดขึ้นจริงแต่ไม่เป็นข่าว ครั้งนั้นมีเหยื่อของ the iconมาร้องเรียนขอความช่วยเหลือ จากเจ๊พัชรวม 89 รายเจ๊พัชรับเป็นธุระเดินเรื่องให้ จนสามารถลากบอสพอลมาเปิดเจรจากัน ที่ทําการพักสุวรรณภูมิย่านลําลูกกา ครั้งนั้นบอสพอลว่านอนสอนง่าย จึงยอมควักเงินเคลียร์ให้เหยื่อ the iconภายใต้การดูแลของเจ๊พัชแต่โดยดี รวมเป็นเงิน 8 ล้านบาทเงินเหล่านั้นจ่ายตรงให้กับเหยื่อโดยไม่ผ่านมูลนิธิแต่อย่างใด และเหยื่อทั้ง 89 รายก็แยกย้ายสลายตัว ไม่คิดจะเอาเรื่องใด ๆ กับบอสพอล อย่างไรก็ตาม อย่างไรก็ตามเจ๊พัชยังได้เตือนบอสพอลไว้ด้วยว่าอย่าเชื่อทนายความมาก เพราะทนายความของบอสพอลพยายามให้ความมั่นใจว่า ธุรกิจแบบดิไอคอนไม่เข้าข่ายผิดกฎหมายควรจะยอมเสียเงิน เคลียร์กับผู้เสียหายรายอื่นอื่นให้ครบถ้วนถ้าไม่อยากให้มีปัญหาเกิดขึ้น แต่บอสพอลเชื่อมั่นในทนายความของตัวเองมากกว่า ก็เลยพบจุดจบตามคําเตือนของเจ๊พัชจริงจริง หลายๆคนคงมีคําถามว่านักการเมืองพรรคเล็กไม่มี สส ในสภาแม้แต่คนเดียวอย่างเจ๊พัชจะมีพาวเวอร์อะไรไปคุกคามบอสพอล ให้ยอมจ่ายเงินเคลียร์จริงๆและที่ผ่านมาเธอชอบตั้งพรรคการเมืองโน่นนี่นั่นมาแล้วหลายพรรค เพราะมุ่งมั่นจะทํางานการเมืองอย่างชัดเจน พรรคที่เธอตั้งขึ้นกับมือก็เช่นพรรคพลังเครือข่ายประชาชน ตามด้วยพรรคภาคีเครือข่ายไทย ปรากฏว่าพรรคพลังเครือข่ายประชาชนของเธอนี่แหละ เป็นบันไดขั้นแรกของจ๊อบ สามารถ เจนชัยจิตรวนิช ในการลงเล่นการเมืองจนชีวิตรุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาลย์ ได้เป็นคนใกล้ชิดลุงป้อมในพรรคพลังประชารัฐกลายเป็นตัวละครไม่ลับ ที่ถูกรุมเปิดโปงผ่านคลิปลับว่าไปรับงานจากบอสพอล ทั้งที่ตั้งตัวเป็นมือปราบแชร์ลูกโซ่ อาจกล่าวได้ว่าเหนือสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ก็ยังมีกฤษณ์อนงค์ สุวรรณวงศ์ก็ไม่เกินความจริงเลย ติดตามข่าวซีฟแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 482 มุมมอง 0 รีวิว
  • โปรดเกล้าฯ "พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ" เป็น ผบ.ตร.คนที่ 15 ตั้งแต่ 9 ตุลาคม 2567
    .
    วันนี้ (11 ต.ค.) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ พ้นจากตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2567
    .
    ประกาศ ณ วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2567
    ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
    ..............
    Sondhi X
    โปรดเกล้าฯ "พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ" เป็น ผบ.ตร.คนที่ 15 ตั้งแต่ 9 ตุลาคม 2567 . วันนี้ (11 ต.ค.) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ พ้นจากตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2567 . ประกาศ ณ วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2567 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี .............. Sondhi X
    Like
    Love
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 787 มุมมอง 0 รีวิว
  • 11 ตุลาคม 2567-เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ พ้นจากตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2567 ประกาศ ณ วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2567 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

    #Thaitimes
    11 ตุลาคม 2567-เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ พ้นจากตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2567 ประกาศ ณ วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2567 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี #Thaitimes
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 621 มุมมอง 0 รีวิว