• การกลับมาของ Valve ในตลาด VR

    หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ Steam Deck และ Steam Deck OLED ล่าสุด Valve ได้เปิดตัว Steam Frame VR ซึ่งเคยถูกเรียกในโค้ดเนมว่า “Deckard” โดยมีกำหนดวางจำหน่ายในปี 2026 ตัวเครื่องถูกออกแบบให้เป็น อุปกรณ์ VR แบบไร้สายและทำงานได้ด้วยตัวเอง (standalone) แต่ยังคงรองรับการสตรีมเกมจาก PC ผ่านอะแดปเตอร์ไร้สาย 6GHz ที่มีระบบ dual-radio เพื่อลดการรบกวนสัญญาณ

    สเปกและฟีเจอร์ที่โดดเด่น
    Steam Frame ใช้ Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB และมีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดถึง 1TB พร้อมช่อง microSD สำหรับขยายเพิ่ม รองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.3 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ SteamOS และมีโปรแกรม Steam Frame Verified เพื่อบอกว่ามีเกมใดที่สามารถเล่นได้ในโหมด standalone นอกจากนี้ยังรองรับเกม Android เพื่อดึงดูดนักพัฒนาที่เคยทำงานบนแพลตฟอร์ม Quest

    เทคโนโลยี Foveated Streaming
    หนึ่งในฟีเจอร์ที่สร้างความตื่นเต้นคือ Foveated Streaming ซึ่งใช้กล้องติดตามดวงตา 2 ตัวเพื่อเพิ่มความละเอียดภาพเฉพาะบริเวณที่ผู้เล่นกำลังมองอยู่ Valve อ้างว่าสามารถเพิ่มคุณภาพภาพและประสิทธิภาพแบนด์วิดท์ได้ถึง 10 เท่า ทำให้การสตรีมเกมจาก PC มีความคมชัดและลื่นไหลมากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาการปรับแต่งจากนักพัฒนาเกม

    การออกแบบและประสบการณ์ใช้งาน
    ตัวเครื่องมีน้ำหนักรวมเพียง 440 กรัม โดยแบตเตอรี่ 21.6Wh ถูกติดตั้งไว้ด้านหลังเพื่อถ่วงน้ำหนักให้สมดุล รองรับการชาร์จเร็ว 45W และมีเลนส์แบบ pancake ที่ให้ภาพคมชัดทั่วทั้งขอบ พร้อมจอ LCD คู่ความละเอียด 2160 × 2160 ต่อข้าง รองรับรีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz และมุมมองกว้าง 110 องศา ด้านเสียงมีลำโพงสเตอริโอคู่ที่ให้เสียงคุณภาพสูง ขณะที่คอนโทรลเลอร์ถูกออกแบบใหม่ให้มีระบบติดตาม 6-DOF และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ AA

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปิดตัว Steam Frame VR
    เปิดตัวอย่างเป็นทางการ กำหนดวางจำหน่ายต้นปี 2026
    เป็นอุปกรณ์ VR แบบ standalone และรองรับการสตรีมจาก PC

    สเปกและระบบภายใน
    Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB, พื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุด 1TB
    รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.3 และ SteamOS

    ฟีเจอร์ใหม่ Foveated Streaming
    ใช้กล้องติดตามดวงตาเพื่อเพิ่มคุณภาพภาพเฉพาะจุดที่มอง
    Valve เคลมว่าประสิทธิภาพดีขึ้นถึง 10 เท่า

    การออกแบบและประสบการณ์ใช้งาน
    น้ำหนักรวม 440 กรัม พร้อมแบตเตอรี่ด้านหลังเพื่อสมดุล
    จอ LCD คู่ 2160 × 2160, รีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    ยังไม่ประกาศราคาและระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่แน่นอน
    ประสิทธิภาพเกม PC VR ที่ต้องการสเปกสูงอาจยังไม่สมบูรณ์ในโหมด standalone

    https://securityonline.info/steam-frame-vr-unveiled-valves-standalone-headset-targets-quest-with-snapdragon-foveated-streaming/
    🎮 การกลับมาของ Valve ในตลาด VR หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ Steam Deck และ Steam Deck OLED ล่าสุด Valve ได้เปิดตัว Steam Frame VR ซึ่งเคยถูกเรียกในโค้ดเนมว่า “Deckard” โดยมีกำหนดวางจำหน่ายในปี 2026 ตัวเครื่องถูกออกแบบให้เป็น อุปกรณ์ VR แบบไร้สายและทำงานได้ด้วยตัวเอง (standalone) แต่ยังคงรองรับการสตรีมเกมจาก PC ผ่านอะแดปเตอร์ไร้สาย 6GHz ที่มีระบบ dual-radio เพื่อลดการรบกวนสัญญาณ ⚡ สเปกและฟีเจอร์ที่โดดเด่น Steam Frame ใช้ Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB และมีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดถึง 1TB พร้อมช่อง microSD สำหรับขยายเพิ่ม รองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.3 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ SteamOS และมีโปรแกรม Steam Frame Verified เพื่อบอกว่ามีเกมใดที่สามารถเล่นได้ในโหมด standalone นอกจากนี้ยังรองรับเกม Android เพื่อดึงดูดนักพัฒนาที่เคยทำงานบนแพลตฟอร์ม Quest 👀 เทคโนโลยี Foveated Streaming หนึ่งในฟีเจอร์ที่สร้างความตื่นเต้นคือ Foveated Streaming ซึ่งใช้กล้องติดตามดวงตา 2 ตัวเพื่อเพิ่มความละเอียดภาพเฉพาะบริเวณที่ผู้เล่นกำลังมองอยู่ Valve อ้างว่าสามารถเพิ่มคุณภาพภาพและประสิทธิภาพแบนด์วิดท์ได้ถึง 10 เท่า ทำให้การสตรีมเกมจาก PC มีความคมชัดและลื่นไหลมากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาการปรับแต่งจากนักพัฒนาเกม 🔊 การออกแบบและประสบการณ์ใช้งาน ตัวเครื่องมีน้ำหนักรวมเพียง 440 กรัม โดยแบตเตอรี่ 21.6Wh ถูกติดตั้งไว้ด้านหลังเพื่อถ่วงน้ำหนักให้สมดุล รองรับการชาร์จเร็ว 45W และมีเลนส์แบบ pancake ที่ให้ภาพคมชัดทั่วทั้งขอบ พร้อมจอ LCD คู่ความละเอียด 2160 × 2160 ต่อข้าง รองรับรีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz และมุมมองกว้าง 110 องศา ด้านเสียงมีลำโพงสเตอริโอคู่ที่ให้เสียงคุณภาพสูง ขณะที่คอนโทรลเลอร์ถูกออกแบบใหม่ให้มีระบบติดตาม 6-DOF และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ AA 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปิดตัว Steam Frame VR ➡️ เปิดตัวอย่างเป็นทางการ กำหนดวางจำหน่ายต้นปี 2026 ➡️ เป็นอุปกรณ์ VR แบบ standalone และรองรับการสตรีมจาก PC ✅ สเปกและระบบภายใน ➡️ Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB, พื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุด 1TB ➡️ รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.3 และ SteamOS ✅ ฟีเจอร์ใหม่ Foveated Streaming ➡️ ใช้กล้องติดตามดวงตาเพื่อเพิ่มคุณภาพภาพเฉพาะจุดที่มอง ➡️ Valve เคลมว่าประสิทธิภาพดีขึ้นถึง 10 เท่า ✅ การออกแบบและประสบการณ์ใช้งาน ➡️ น้ำหนักรวม 440 กรัม พร้อมแบตเตอรี่ด้านหลังเพื่อสมดุล ➡️ จอ LCD คู่ 2160 × 2160, รีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ ยังไม่ประกาศราคาและระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่แน่นอน ⛔ ประสิทธิภาพเกม PC VR ที่ต้องการสเปกสูงอาจยังไม่สมบูรณ์ในโหมด standalone https://securityonline.info/steam-frame-vr-unveiled-valves-standalone-headset-targets-quest-with-snapdragon-foveated-streaming/
    SECURITYONLINE.INFO
    Steam Frame VR Unveiled: Valve's Standalone Headset Targets Quest with Snapdragon & Foveated Streaming
    Valve unveiled Steam Frame VR, a standalone headset with Snapdragon 8 Gen 3, SteamOS, and Foveated Streaming, set to launch in early 2026.
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • เนื้อว่านหลวงปู่เขียว วัดหรงบน จ.นครศรีธรรมราช ปี2537
    เนื้อว่านหลวงปู่เขียว พิมพ์ใหญ่ (นิยม หลังวงเดือน) วัดหรงบน จ.นครศรีธรรมราช ปี2537 //พระดีพิธีใหญ่ มีประสบการณ์มาแล้วมากมาย ปลุกเสกหลายวาระ แจกงานกฐิน วัดหรงบน // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณด้านคงกระพัน มหาอุดเยี่ยม มีอำนาจทางด้านการส่งเสริมดวงชะตาบารมี เสริมสิริมงคล รวมไปถึงเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ โชคลาภ และยังสามารถป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง แคล้วคลาด คงกระพันตรี โชคลาภ ค้าขาย หน้าที่การงาน เจรจา เป็นที่รักใคร่ของผู้คน **

    ** พ่อท่านเขียวเทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำปากพนัง ตายไม่เน่า...เผาไม่ไหม้ เป็นพระสงฆ์ผู้มีความศักสิทธิ์ วัตถุมงคลที่พ่อท่านเขียว ท่านสร้างมีหลายอย่าง เช่น ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า เชือกคาด ลูกอมเทียน ชานหมาก พระปิดตา เหรียญ และรูปหล่อลอยองค์ ซึ่งพุทธคุณพระเครื่องที่ท่านปลุกเสกนั้น โด่งดังไปไกลทั่วประเทศเป็นที่เล่าขานสืบต่อมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าด้านคงกระพัน มหาอุด หรือเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ถือว่า พ่อท่านเขียว วัดหรงบน เป็นสุดยอดเกจิอันดับต้นๆของภาคใต้
    ปัจจุบัน “ศพของพ่อท่าน” ก็แข็งเป็นหินไปแล้ว สรีระของท่านแข็งและแกร่งมาก แต่คงเค้ารูปแบบเดิมทุกประการเพียงแต่แห้งลงไปบ้างเท่านั้น ขณะนี้ทางวัดได้นำ “สรีระของท่าน” ใส่โลงแก้วไว้ เพื่อให้ผู้คนทั่ว ไปได้กราบ ไหว้บูชาและได้ชม สรีระของพ่อท่านด้วยตัวเอง เพราะหากใครได้ไปกราบ “ร่างพ่อท่าน” สักครั้ง ก็นับเป็นบุญอย่างยิ่ง **

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 088191513
    เนื้อว่านหลวงปู่เขียว วัดหรงบน จ.นครศรีธรรมราช ปี2537 เนื้อว่านหลวงปู่เขียว พิมพ์ใหญ่ (นิยม หลังวงเดือน) วัดหรงบน จ.นครศรีธรรมราช ปี2537 //พระดีพิธีใหญ่ มีประสบการณ์มาแล้วมากมาย ปลุกเสกหลายวาระ แจกงานกฐิน วัดหรงบน // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณด้านคงกระพัน มหาอุดเยี่ยม มีอำนาจทางด้านการส่งเสริมดวงชะตาบารมี เสริมสิริมงคล รวมไปถึงเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ โชคลาภ และยังสามารถป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง แคล้วคลาด คงกระพันตรี โชคลาภ ค้าขาย หน้าที่การงาน เจรจา เป็นที่รักใคร่ของผู้คน ** ** พ่อท่านเขียวเทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำปากพนัง ตายไม่เน่า...เผาไม่ไหม้ เป็นพระสงฆ์ผู้มีความศักสิทธิ์ วัตถุมงคลที่พ่อท่านเขียว ท่านสร้างมีหลายอย่าง เช่น ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า เชือกคาด ลูกอมเทียน ชานหมาก พระปิดตา เหรียญ และรูปหล่อลอยองค์ ซึ่งพุทธคุณพระเครื่องที่ท่านปลุกเสกนั้น โด่งดังไปไกลทั่วประเทศเป็นที่เล่าขานสืบต่อมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าด้านคงกระพัน มหาอุด หรือเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ถือว่า พ่อท่านเขียว วัดหรงบน เป็นสุดยอดเกจิอันดับต้นๆของภาคใต้ ปัจจุบัน “ศพของพ่อท่าน” ก็แข็งเป็นหินไปแล้ว สรีระของท่านแข็งและแกร่งมาก แต่คงเค้ารูปแบบเดิมทุกประการเพียงแต่แห้งลงไปบ้างเท่านั้น ขณะนี้ทางวัดได้นำ “สรีระของท่าน” ใส่โลงแก้วไว้ เพื่อให้ผู้คนทั่ว ไปได้กราบ ไหว้บูชาและได้ชม สรีระของพ่อท่านด้วยตัวเอง เพราะหากใครได้ไปกราบ “ร่างพ่อท่าน” สักครั้ง ก็นับเป็นบุญอย่างยิ่ง ** ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 088191513
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • หลุม ตอนที่ 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หลุม”

    ตอน 3

    คุณช๊อกโกแลต ไปได้ยาโด๊ปมาจากไหนไม่ทราบแน่ แต่ต้องถอยหลังไปเล่าบางเรื่องของยูเครน เมื่อปลายปี ค.ศ.2014 เสียหน่อย เผื่อจะหาแหล่งขายยาโด๊ปเจอ

    ปลายเดือนตุลาคม 2014 คุณช๊อกโกแลต ประธานาธืบดียูเครน จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อคัดเด็กในคาถาเข้าสภาตามใจนายใหญ่ เพราะว่าสมาชิกสภาชุดที่มีอยู่ มันสั่งให้ยกมือกางแขนนอนกลิ้งยาก และกว่าจะหมดวาระ ว่าเข้าไปถึงปี 2017 โน่น ไม่ทันการแน่ ข่าวว่าการให้จัดเลือกตั้งใหม่ เป็นใบสั่งของนางเหยี่ยว Victoria Nuland เจ้าของวลีอันโด่งดัง **** the EU แห่งกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา (อ่านรายละเอียดของสาเหตุการให้ F ของนางเหยี่ยวได้ในนิทานเรื่อง หักหน้าหักหลัง )

    เขาสั่งได้ จัดได้กันจริงๆ แล้วยูเครนก็ได้สมาชิกสภาใหม่ ที่อยู่ในแถว ภายใต้การควบคุมของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่หน้าเก่า เด็กในกระเป๋าใส่เศษสตางค์ของนางเหยี่ยว ชื่อนาย Arseniy Yatsenyuk หนุ่มยิวหน้ามน อดีตนายกรัฐมนตรียูเครนสมัยหนึ่ง ที่นางเหยี่ยวเป็นผู้เลือกกับมือ ตัดหน้าอียู และเป็นอดีตรัฐมนตรีคลังอีกสมัย เรียกว่าเป็นตัวโปรดตัวจริงของนางเหยี่ยว ซึ่งข่าวบอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงาน ชื่อ “Church of Scientology” ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรอง แขนงหนึ่งของอเมริกา อีกด้วย

    นาย Yats ไม่มาคนเดียว เขาเสนอชื่อรัฐมนตรีน่าสนใจ 3 คน

    คนแรก ชื่อ นาง Natalie Jaresko ให้เป็นรัฐมนตรีการคลัง

    คุณนาย Ja แม้จะพูดภาษายูเครนคล่องปรื้อ เพราะมาอยู่เมืองเคียฟ ( Kyiv) ต้ังแต่ปี 1992 ในฐานะเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกัน ใช่ครับสถานทูตอเมริกัน ก็คุณนายเป็นคนอเมริกัน แม้จะอ้างว่ามีรากเหง้างอกจากยูเครน แต่คุณนาย Ja ก็ถือสัญชาติอเมริกัน เรียนจบ ป โท จาก ฮาร์วาด
    ปี 1995 คุณนาย Ja ลาออกจากสถานทูต ไปคุมกองทุนชื่อ Western NIS Enterprise Fund (WNISEF) ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน ตั้งโดยสภาสูงของอเมริกัน และเป็นเงินทุนอุดหนุนผ่าน USAID มีขนาดเงินกองทุน จำนวน 150 ล้านเหรียญ
    นอกจากนี้ คุณนาย Ja ยังบริหารกองทุน ชื่อ Horizon Capital Associates, LLC. (ไม่รู้ขนาดของกองทุน)

    ทั้ง 2 กองทุน มีวัตถุประสงค์ที่จะลงทุนในธุรกิจบริการ ธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจด้านของกินของใช้ โดยจะลงทุนในบริษัทขนาดกลาง ทั้งในยูเครน เบลาลุส และมอนโดวา เรียกว่า เป็นรายการกวาดกิจการ แถบยูเครนเข้ากระเป๋า ดูๆ ก็ไม่ต่างกับการบังคับให้แปรรูปรัฐวิสากิจ แต่ยูเครนไม่ค่อยมีรัฐวิสาหกิจจะให้แปร เลยต้องใช้กองทุนเข้าไปซื้อบริษัทแบบดื้อๆ ด้านๆ ง่ายกว่าแยะ

    เมื่อคุณนาย Ja แถลงรับตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง คุณนายบอกว่า ทีมเราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ให้มีความโปร่งใส และขจัดทุจริต ฟังคุ้นหูดีไหมครับ สงสัยพวกโพยนี่ เขาอัดโรเนียวแจกทั่วโลก และไอ้พฤติกรรมที่ทำ กับคำพูดนี่ มันก็สับปรับเหมือนกันหมด

    ผู้คนสงสัย แล้วคนอเมริกันไปเป็นรัฐมนตรีที่ยูเครนได้ยังไง เขียนมั่วหรือเปล่า ไม่มั่วครับ

    1 วันก่อนการสาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง คุณช๊อกโกแลต ก็จัดการออกสัญชาติยูเครนให้คุณนาย Ja ก็แค่นั้นเอง คุณนายก็ถือ 2 สัญชาติควบ มีปัญหาอะไรไหม

    โปรดเชื่อมั่นในความเป็นประชาธิปไตย ของอเมริกา ที่จะเข้าไปล้วง ไปขุด ไปออกเสียง สั่งการที่ไหน แม้แต่ไปอยู่ในรัฐบาลประเทศอื่น ก็ได้ในโลก เยี่ยมจังพี่ ผมไม่เคยเห็นใครตวัดได้เก่งอย่างนี้เลย เขียนชมขนาดนี้แล้วจะเลิกป่วน เพจผมไหมครับ ไอ้เรื่องทำให้เครื่องค้าง กดอะไรไม่ได้เลย สลับข้อความ ข้อความหายนี่ ฯลฯ เล่นแบบนี้มานานแล้วนะ เบื่อฉิบหายเลย ให้มันสร้างสรรกว่านี้ได้ไหมครับ

    ส่งคุณนาย Ja มาคนเดียว คงกลัวจ่ายตลาดไม่ทัน นาย Yats เลยเสนอชื่อ นาย Aviras Abromavicius นักการเงินชาวลิทัวเนีย ให้มารับตำแหน่งรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ นาย Ab นี่ เป็นหุ้นส่วนและผู้จัดการกองทุน ชื่อ East Capital ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในสวีเดน มีกองทุนอยู่ใน ประเทศตลาดเกิดใหม่ 25 ประเทศ ขนาดของแต่กองทุน ประมาณ 100 ล้านเหรียญขึ้นไป

    ถ้าผมเป็นชาวยูเครน ผมจะยุให้มีการอารยะขัดขืน (ฮา) ไม่จ่ายภาษีจนกว่า บรรดารัฐมนตรีต่างชาตินี่ จะออกไปให้พ้นจากคณะรัฐบาล เพราะมันเป็นการดูหมิ่นประชาชนในชาติมาก ที่เอาคนต่างชาติมาบริหารชาติตนเองน่ะ ชาวยูเครนทนได้ยังไงครับ

    แล้วคุณช๊อกโกแลต ก็ออกสัญชาติยูเครนให้ นาย Ab พร้อมๆกับ คุณนาย Ja ไม่มีปัญหากับประชาธิปไตยของยูเครน แม้แต่น้อย และไม่มีไอ้พวกใบตองแห้ง มาด่าวันละ 3 เวลาหลังอาหาร เพราะมันเป็นคนจัดมาให้ (ฮา และ โห่) ต้องการประชาธิปไตยอย่างนี้ใช่ไหม ใช่ไหม ใช่ไหม

    ยังครับ ยัง ยังไม่เป็นประชาธิปไตยพอ นาย Yats เลยไปสรรหามาอีกหนึ่ง คราวนี้ได้ชาวจอร์เจีย ชื่อ Alexander Kvitashvili เขาเป็นอดีตรัฐมนตรีสาธารณะสุข ของจอร์เจีย สมัยที่ นาย Saak, Mikheil Saakashvili เป็นประธานาธิบดี ของ จอร์เจีย ( Georgia)
    นาย Kvit นี่น่าชื่นชมที่สุด ถือว่าเป็นผู้กล้าหาญจริง เป็นคนต่างชาติ ยังไม่พอ พูดภาษายูเครนไม่ได้ ฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว แต่รับหน้าที่จะมาปราบการทุจริต ในวงการสาธารณสุขของยูเครน ถ้าทำงานนี้สำเร็จ ควรต้องตกรางวัล ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี แทนนาย Yats เสียเลย ถ้านางเหยี่ยว Nuland ยอม

    อ้อ ตกความไปหน่อย นายKvit นี่ก็เรียนจบ ป โทที่อเมริกา และทำงานที่ Atlanta Medical Center ในอเมริกาอยู่พักหนึ่ง ก่อนกลับมาทำงานกับ United Nations Development Program ที่จอร์เจีย และทำงานร่วมกับหลายองค์กรทางด้านสาธารณสุขของอเมริกา

    ช่างเลือกกันดีนะครับ

    ##############
    ตอน 4

    เห็นแหล่งส่งยาโด๊ปของคุณช๊อกโกแลตแวบแวบ แต่ มันยังไม่ชัดเจน

    Loli Kantor เป็นนักข่าวประเภท ทั้งถ่าย(รูป)ทั้งเล่า ชาวอิสราเอล/อเมริกัน เล่าว่า เธอเดินทางไปโปแลนด์ เมื่อปี ค.ศ.2004 เพื่อไปค้นหาด้วยตัวเอง ว่าเกิดอะไรกับครอบครัวของตัวบ้างระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

    Kantor บอกว่า พ่อแม่ของเธอรอดตายจาก Holocaust แต่ก็เห็นชื่อปู่ยาตายาย ลุงป้า ตายเกลี้ยง ตามรายชื่อที่พวกนาซีรวบรวมไว้ เธอบอกว่า ชื่อคนตาย มีแต่ ยิว ยิว ยิว ฉันเดินไปถ่ายรูปสถานที่ฆ่าหมู่ชาวยิวทั้งหลาย ฉันถามตัวเองว่า แล้วชาวยิว ที่ยังเป็นๆอยู่ในยุโรปตะวันออกมีไหม เขาอยู่ที่ไหนกัน แล้วฉันก็พบพวกเขาที่ยูเครน หลังจากน้ันเจ้าตัวก็เทียวไปเทียวมายูเครนต่อมาอีก 8 ปี และเขียนหนังสือ ชื่อ Beyond the Forest ที่มีรูปภาพเกี่ยวกับชีวิตชาวยิวรุ่นเก่า

    ระหว่างที่ถ่ายรูปทำหนังสือ Kantor ก็ได้เห็นการเกิดใหม่ของชุมชน ชาวยิว rebirth of Jewish communities ในยูเครน Kantor ตื่นเต้น เธอกลับไปคุยกับ David Fisherman ศาสตราจารย์ชาวยิว ที่ Theological Seminary of America ซึ่งก็สอนที่มหาวิทยาลัย Kiew ของยูเครนด้วย
    ท่าน ศจ บอกว่า ตอนนี้ เหมือนเป็นช่วงเวลาของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ของชาวยิวกับยูเครน ไม่เคยมีช่วงไหนที่ดีอย่างนี้มาก่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ Kantor ถ้าจะตกข่าวแยะ

    ท่าน ศจ บอกว่า มันคงมีส่วน มาจากการพุ่งเป็นพลุ ของนาย Ihor Kolomoyski มหาเศรษฐีใหญ่ชาวยิวนั่นแหละ ซึ่งได้รับเลือก ตั้งแต่ปีก่อน ให้เป็นผู้ว่าการเมือง Dnipropetrovsk (ถ้าสะกดผิดก็ขออำไพนะครับ เขียนยากชะมัด) ซึ่งเป็นเสมือนเมือง ศูนย์กลางของยูเครนเลยนะ ก่อนหน้านั้น นาย มอยสกี้ (Kolomoyski) สร้างศูนย์สันทนาการ มูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญ ขึ้นที่กลางเมือง ต้ังชื่อว่า Menorah Center (menorah คือเชิงเทียน 7 กิ่ง ที่ใช้ในพิธีของชาวยิว และเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาชาวยิว) มีของทุกอย่างเกี่ยวกับชาวยิว รวมทั้ง Holocaust Museum เรียกว่า เป็นศูนย์สันทนาการของชาวยิว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เข้าใจไหม… อ้อ อย่างนี้นี่เอง อันนี้ผมรำพึง

    นายมอยสกี้นี่ เป็นคนพูดจาไม่อ้อมค้อม เสียงดังฟังชัด ก็ทั้งรวย ทั้งเป็นผู้ว่าฯ เราๆก็น่าจะคุ้นกับการพูดแบบนี้ของคนอย่างนี้นะครับ เขาบอกว่า เมืองนี้ ไม่มีที่ให้สำหรับพวกที่อยากไปอยู่กับรัสเซีย …เด็ดขาดจริง

    ท่าน ศจ บอก เขาพูดแบบนี้ มันเลยทำให้ภาพพจน์ของรัฐบาลใหม่ ออกกลิ่นยิวแรงไปหน่อย ไม่หน่อยหรอก ท่าน ศจ คุณประธานาธิบดี ช๊อกโกแลต เองก็เพิ่งจัดงานรำลึก 70 ปี ของ Auschwitz แถมตั้งนาย Vladimir Grossman ซึ่งเป็นชาวยิว ให้เป็นประธานสภาใหม่เอี่ยมนี่ด้วย

    Kantor ยังไม่แน่ใจ เธอไปถาม Igor Shchupak หัวหน้าพิพิธภัณฑ์ Holocaust ว่า ตกลงตอนนี้ พวกยิวที่นี่มีความสุขมากเลยใช่ไหม หัวหน้า บอก ใช่แล้ว มันเป็น golden age ของชาวยิวในยูเครนเชียวล่ะ มันเป็นฝีมือเขาละ ฝีมือของนายมอยสกี้

    นายมอยสกี้ เป็นใครมาจากไหน ข่าวบอกเขารวยมาจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันใหญ่ที่สุดในแถบนั้น เป็นเจ้าของสื่อ เจ้าของโรงแรม สาระพัด ฯลฯ แต่เรื่องรวย สำหรับบางคนมันอาจจะน่าตื่นเต้น แต่สำหรับชาวยิว เรื่องรวย คงไม่ใช่เป็นเรื่องต้องตื่นเต้น รวยและมีอำนาจต่างหาก ที่เป็นเรื่องจำเป็น เป็นสูตรบังคับ นายมอยสกี้จึงตั้งตัวเป็นมาเฟียใหญ่ประจำยูเครน ถนัดในการเก็บกวาดฝ่ายตรงกันข้าม ธุรกิจสีเทาอยู่ในมือเขาทั้งนั้น นายกเล็กของเมืองที่อยู่ฝั่งที่เชียร์รัสเซีย อีก 2 คน ที่ชาวบ้านเรียกชื่อว่า Dopa กับ Gepa ซึ่งแม้จะเป็นชาวยิวด้วยกัน แต่เมื่ออุดมการณ์ต่างกับเจ้าพ่อมอยสกี้ ผลปรากฏว่า คนหนึ่งจึงถูกยิง และอีกคนถูกจับติดคุก ยิวด้วยกัน ยังเล่นดุขนาดนี้
    เรื่องของนายมอยสกี้ ยังมีที่น่าสนใจ เกี่ยวพันกับสถานการณ์ปัจจุบันของยูเครนคือ นอกจากเป็นผู้ว่าการนครที่เป็นศูนย์กลางของยูเครน เป็นผู้ก่อตั้งสหภาพชาวยิวยุโรป (European Jewish Union) และประกาศชัดเจนว่าไม่เอารัสเซียแล้ว ยังมีข่าวว่า เขามีกองกำลังของตัวเอง จัดตั้งแบบพวกนาซีเยอรมัน (แต่ไม่เกี่ยวกับนาซีเยอรมัน) จำนวนประมาณ 2 หมื่นคน มีนโยบายชัดเจนว่า ถ้าอยู่คนละฝ่าย หรือไม่พอใจ ก็อย่าอยู่ร่วมกัน และนโยบายของเขาคือไม่เอารัสเซียแค่นั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเตรียมกองกำลังนี้ไว้ทำอะไร

    ยาโด๊ป ยี่ห้อ นาย Saak นายYats นายมอยสกี้ นี่เองหรือ ที่ทำให้ คุณช๊อกโกแลต เกิดฟิตจัด คิดขุดหลุมล่อรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 มิ.ย. 2558
    หลุม ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หลุม” ตอน 3 คุณช๊อกโกแลต ไปได้ยาโด๊ปมาจากไหนไม่ทราบแน่ แต่ต้องถอยหลังไปเล่าบางเรื่องของยูเครน เมื่อปลายปี ค.ศ.2014 เสียหน่อย เผื่อจะหาแหล่งขายยาโด๊ปเจอ ปลายเดือนตุลาคม 2014 คุณช๊อกโกแลต ประธานาธืบดียูเครน จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อคัดเด็กในคาถาเข้าสภาตามใจนายใหญ่ เพราะว่าสมาชิกสภาชุดที่มีอยู่ มันสั่งให้ยกมือกางแขนนอนกลิ้งยาก และกว่าจะหมดวาระ ว่าเข้าไปถึงปี 2017 โน่น ไม่ทันการแน่ ข่าวว่าการให้จัดเลือกตั้งใหม่ เป็นใบสั่งของนางเหยี่ยว Victoria Nuland เจ้าของวลีอันโด่งดัง Fuck the EU แห่งกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา (อ่านรายละเอียดของสาเหตุการให้ F ของนางเหยี่ยวได้ในนิทานเรื่อง หักหน้าหักหลัง ) เขาสั่งได้ จัดได้กันจริงๆ แล้วยูเครนก็ได้สมาชิกสภาใหม่ ที่อยู่ในแถว ภายใต้การควบคุมของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่หน้าเก่า เด็กในกระเป๋าใส่เศษสตางค์ของนางเหยี่ยว ชื่อนาย Arseniy Yatsenyuk หนุ่มยิวหน้ามน อดีตนายกรัฐมนตรียูเครนสมัยหนึ่ง ที่นางเหยี่ยวเป็นผู้เลือกกับมือ ตัดหน้าอียู และเป็นอดีตรัฐมนตรีคลังอีกสมัย เรียกว่าเป็นตัวโปรดตัวจริงของนางเหยี่ยว ซึ่งข่าวบอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงาน ชื่อ “Church of Scientology” ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรอง แขนงหนึ่งของอเมริกา อีกด้วย นาย Yats ไม่มาคนเดียว เขาเสนอชื่อรัฐมนตรีน่าสนใจ 3 คน คนแรก ชื่อ นาง Natalie Jaresko ให้เป็นรัฐมนตรีการคลัง คุณนาย Ja แม้จะพูดภาษายูเครนคล่องปรื้อ เพราะมาอยู่เมืองเคียฟ ( Kyiv) ต้ังแต่ปี 1992 ในฐานะเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกัน ใช่ครับสถานทูตอเมริกัน ก็คุณนายเป็นคนอเมริกัน แม้จะอ้างว่ามีรากเหง้างอกจากยูเครน แต่คุณนาย Ja ก็ถือสัญชาติอเมริกัน เรียนจบ ป โท จาก ฮาร์วาด ปี 1995 คุณนาย Ja ลาออกจากสถานทูต ไปคุมกองทุนชื่อ Western NIS Enterprise Fund (WNISEF) ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน ตั้งโดยสภาสูงของอเมริกัน และเป็นเงินทุนอุดหนุนผ่าน USAID มีขนาดเงินกองทุน จำนวน 150 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ คุณนาย Ja ยังบริหารกองทุน ชื่อ Horizon Capital Associates, LLC. (ไม่รู้ขนาดของกองทุน) ทั้ง 2 กองทุน มีวัตถุประสงค์ที่จะลงทุนในธุรกิจบริการ ธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจด้านของกินของใช้ โดยจะลงทุนในบริษัทขนาดกลาง ทั้งในยูเครน เบลาลุส และมอนโดวา เรียกว่า เป็นรายการกวาดกิจการ แถบยูเครนเข้ากระเป๋า ดูๆ ก็ไม่ต่างกับการบังคับให้แปรรูปรัฐวิสากิจ แต่ยูเครนไม่ค่อยมีรัฐวิสาหกิจจะให้แปร เลยต้องใช้กองทุนเข้าไปซื้อบริษัทแบบดื้อๆ ด้านๆ ง่ายกว่าแยะ เมื่อคุณนาย Ja แถลงรับตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง คุณนายบอกว่า ทีมเราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ให้มีความโปร่งใส และขจัดทุจริต ฟังคุ้นหูดีไหมครับ สงสัยพวกโพยนี่ เขาอัดโรเนียวแจกทั่วโลก และไอ้พฤติกรรมที่ทำ กับคำพูดนี่ มันก็สับปรับเหมือนกันหมด ผู้คนสงสัย แล้วคนอเมริกันไปเป็นรัฐมนตรีที่ยูเครนได้ยังไง เขียนมั่วหรือเปล่า ไม่มั่วครับ 1 วันก่อนการสาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง คุณช๊อกโกแลต ก็จัดการออกสัญชาติยูเครนให้คุณนาย Ja ก็แค่นั้นเอง คุณนายก็ถือ 2 สัญชาติควบ มีปัญหาอะไรไหม โปรดเชื่อมั่นในความเป็นประชาธิปไตย ของอเมริกา ที่จะเข้าไปล้วง ไปขุด ไปออกเสียง สั่งการที่ไหน แม้แต่ไปอยู่ในรัฐบาลประเทศอื่น ก็ได้ในโลก เยี่ยมจังพี่ ผมไม่เคยเห็นใครตวัดได้เก่งอย่างนี้เลย เขียนชมขนาดนี้แล้วจะเลิกป่วน เพจผมไหมครับ ไอ้เรื่องทำให้เครื่องค้าง กดอะไรไม่ได้เลย สลับข้อความ ข้อความหายนี่ ฯลฯ เล่นแบบนี้มานานแล้วนะ เบื่อฉิบหายเลย ให้มันสร้างสรรกว่านี้ได้ไหมครับ ส่งคุณนาย Ja มาคนเดียว คงกลัวจ่ายตลาดไม่ทัน นาย Yats เลยเสนอชื่อ นาย Aviras Abromavicius นักการเงินชาวลิทัวเนีย ให้มารับตำแหน่งรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ นาย Ab นี่ เป็นหุ้นส่วนและผู้จัดการกองทุน ชื่อ East Capital ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในสวีเดน มีกองทุนอยู่ใน ประเทศตลาดเกิดใหม่ 25 ประเทศ ขนาดของแต่กองทุน ประมาณ 100 ล้านเหรียญขึ้นไป ถ้าผมเป็นชาวยูเครน ผมจะยุให้มีการอารยะขัดขืน (ฮา) ไม่จ่ายภาษีจนกว่า บรรดารัฐมนตรีต่างชาตินี่ จะออกไปให้พ้นจากคณะรัฐบาล เพราะมันเป็นการดูหมิ่นประชาชนในชาติมาก ที่เอาคนต่างชาติมาบริหารชาติตนเองน่ะ ชาวยูเครนทนได้ยังไงครับ แล้วคุณช๊อกโกแลต ก็ออกสัญชาติยูเครนให้ นาย Ab พร้อมๆกับ คุณนาย Ja ไม่มีปัญหากับประชาธิปไตยของยูเครน แม้แต่น้อย และไม่มีไอ้พวกใบตองแห้ง มาด่าวันละ 3 เวลาหลังอาหาร เพราะมันเป็นคนจัดมาให้ (ฮา และ โห่) ต้องการประชาธิปไตยอย่างนี้ใช่ไหม ใช่ไหม ใช่ไหม ยังครับ ยัง ยังไม่เป็นประชาธิปไตยพอ นาย Yats เลยไปสรรหามาอีกหนึ่ง คราวนี้ได้ชาวจอร์เจีย ชื่อ Alexander Kvitashvili เขาเป็นอดีตรัฐมนตรีสาธารณะสุข ของจอร์เจีย สมัยที่ นาย Saak, Mikheil Saakashvili เป็นประธานาธิบดี ของ จอร์เจีย ( Georgia) นาย Kvit นี่น่าชื่นชมที่สุด ถือว่าเป็นผู้กล้าหาญจริง เป็นคนต่างชาติ ยังไม่พอ พูดภาษายูเครนไม่ได้ ฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว แต่รับหน้าที่จะมาปราบการทุจริต ในวงการสาธารณสุขของยูเครน ถ้าทำงานนี้สำเร็จ ควรต้องตกรางวัล ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี แทนนาย Yats เสียเลย ถ้านางเหยี่ยว Nuland ยอม อ้อ ตกความไปหน่อย นายKvit นี่ก็เรียนจบ ป โทที่อเมริกา และทำงานที่ Atlanta Medical Center ในอเมริกาอยู่พักหนึ่ง ก่อนกลับมาทำงานกับ United Nations Development Program ที่จอร์เจีย และทำงานร่วมกับหลายองค์กรทางด้านสาธารณสุขของอเมริกา ช่างเลือกกันดีนะครับ ############## ตอน 4 เห็นแหล่งส่งยาโด๊ปของคุณช๊อกโกแลตแวบแวบ แต่ มันยังไม่ชัดเจน Loli Kantor เป็นนักข่าวประเภท ทั้งถ่าย(รูป)ทั้งเล่า ชาวอิสราเอล/อเมริกัน เล่าว่า เธอเดินทางไปโปแลนด์ เมื่อปี ค.ศ.2004 เพื่อไปค้นหาด้วยตัวเอง ว่าเกิดอะไรกับครอบครัวของตัวบ้างระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 Kantor บอกว่า พ่อแม่ของเธอรอดตายจาก Holocaust แต่ก็เห็นชื่อปู่ยาตายาย ลุงป้า ตายเกลี้ยง ตามรายชื่อที่พวกนาซีรวบรวมไว้ เธอบอกว่า ชื่อคนตาย มีแต่ ยิว ยิว ยิว ฉันเดินไปถ่ายรูปสถานที่ฆ่าหมู่ชาวยิวทั้งหลาย ฉันถามตัวเองว่า แล้วชาวยิว ที่ยังเป็นๆอยู่ในยุโรปตะวันออกมีไหม เขาอยู่ที่ไหนกัน แล้วฉันก็พบพวกเขาที่ยูเครน หลังจากน้ันเจ้าตัวก็เทียวไปเทียวมายูเครนต่อมาอีก 8 ปี และเขียนหนังสือ ชื่อ Beyond the Forest ที่มีรูปภาพเกี่ยวกับชีวิตชาวยิวรุ่นเก่า ระหว่างที่ถ่ายรูปทำหนังสือ Kantor ก็ได้เห็นการเกิดใหม่ของชุมชน ชาวยิว rebirth of Jewish communities ในยูเครน Kantor ตื่นเต้น เธอกลับไปคุยกับ David Fisherman ศาสตราจารย์ชาวยิว ที่ Theological Seminary of America ซึ่งก็สอนที่มหาวิทยาลัย Kiew ของยูเครนด้วย ท่าน ศจ บอกว่า ตอนนี้ เหมือนเป็นช่วงเวลาของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ของชาวยิวกับยูเครน ไม่เคยมีช่วงไหนที่ดีอย่างนี้มาก่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ Kantor ถ้าจะตกข่าวแยะ ท่าน ศจ บอกว่า มันคงมีส่วน มาจากการพุ่งเป็นพลุ ของนาย Ihor Kolomoyski มหาเศรษฐีใหญ่ชาวยิวนั่นแหละ ซึ่งได้รับเลือก ตั้งแต่ปีก่อน ให้เป็นผู้ว่าการเมือง Dnipropetrovsk (ถ้าสะกดผิดก็ขออำไพนะครับ เขียนยากชะมัด) ซึ่งเป็นเสมือนเมือง ศูนย์กลางของยูเครนเลยนะ ก่อนหน้านั้น นาย มอยสกี้ (Kolomoyski) สร้างศูนย์สันทนาการ มูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญ ขึ้นที่กลางเมือง ต้ังชื่อว่า Menorah Center (menorah คือเชิงเทียน 7 กิ่ง ที่ใช้ในพิธีของชาวยิว และเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาชาวยิว) มีของทุกอย่างเกี่ยวกับชาวยิว รวมทั้ง Holocaust Museum เรียกว่า เป็นศูนย์สันทนาการของชาวยิว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เข้าใจไหม… อ้อ อย่างนี้นี่เอง อันนี้ผมรำพึง นายมอยสกี้นี่ เป็นคนพูดจาไม่อ้อมค้อม เสียงดังฟังชัด ก็ทั้งรวย ทั้งเป็นผู้ว่าฯ เราๆก็น่าจะคุ้นกับการพูดแบบนี้ของคนอย่างนี้นะครับ เขาบอกว่า เมืองนี้ ไม่มีที่ให้สำหรับพวกที่อยากไปอยู่กับรัสเซีย …เด็ดขาดจริง ท่าน ศจ บอก เขาพูดแบบนี้ มันเลยทำให้ภาพพจน์ของรัฐบาลใหม่ ออกกลิ่นยิวแรงไปหน่อย ไม่หน่อยหรอก ท่าน ศจ คุณประธานาธิบดี ช๊อกโกแลต เองก็เพิ่งจัดงานรำลึก 70 ปี ของ Auschwitz แถมตั้งนาย Vladimir Grossman ซึ่งเป็นชาวยิว ให้เป็นประธานสภาใหม่เอี่ยมนี่ด้วย Kantor ยังไม่แน่ใจ เธอไปถาม Igor Shchupak หัวหน้าพิพิธภัณฑ์ Holocaust ว่า ตกลงตอนนี้ พวกยิวที่นี่มีความสุขมากเลยใช่ไหม หัวหน้า บอก ใช่แล้ว มันเป็น golden age ของชาวยิวในยูเครนเชียวล่ะ มันเป็นฝีมือเขาละ ฝีมือของนายมอยสกี้ นายมอยสกี้ เป็นใครมาจากไหน ข่าวบอกเขารวยมาจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันใหญ่ที่สุดในแถบนั้น เป็นเจ้าของสื่อ เจ้าของโรงแรม สาระพัด ฯลฯ แต่เรื่องรวย สำหรับบางคนมันอาจจะน่าตื่นเต้น แต่สำหรับชาวยิว เรื่องรวย คงไม่ใช่เป็นเรื่องต้องตื่นเต้น รวยและมีอำนาจต่างหาก ที่เป็นเรื่องจำเป็น เป็นสูตรบังคับ นายมอยสกี้จึงตั้งตัวเป็นมาเฟียใหญ่ประจำยูเครน ถนัดในการเก็บกวาดฝ่ายตรงกันข้าม ธุรกิจสีเทาอยู่ในมือเขาทั้งนั้น นายกเล็กของเมืองที่อยู่ฝั่งที่เชียร์รัสเซีย อีก 2 คน ที่ชาวบ้านเรียกชื่อว่า Dopa กับ Gepa ซึ่งแม้จะเป็นชาวยิวด้วยกัน แต่เมื่ออุดมการณ์ต่างกับเจ้าพ่อมอยสกี้ ผลปรากฏว่า คนหนึ่งจึงถูกยิง และอีกคนถูกจับติดคุก ยิวด้วยกัน ยังเล่นดุขนาดนี้ เรื่องของนายมอยสกี้ ยังมีที่น่าสนใจ เกี่ยวพันกับสถานการณ์ปัจจุบันของยูเครนคือ นอกจากเป็นผู้ว่าการนครที่เป็นศูนย์กลางของยูเครน เป็นผู้ก่อตั้งสหภาพชาวยิวยุโรป (European Jewish Union) และประกาศชัดเจนว่าไม่เอารัสเซียแล้ว ยังมีข่าวว่า เขามีกองกำลังของตัวเอง จัดตั้งแบบพวกนาซีเยอรมัน (แต่ไม่เกี่ยวกับนาซีเยอรมัน) จำนวนประมาณ 2 หมื่นคน มีนโยบายชัดเจนว่า ถ้าอยู่คนละฝ่าย หรือไม่พอใจ ก็อย่าอยู่ร่วมกัน และนโยบายของเขาคือไม่เอารัสเซียแค่นั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเตรียมกองกำลังนี้ไว้ทำอะไร ยาโด๊ป ยี่ห้อ นาย Saak นายYats นายมอยสกี้ นี่เองหรือ ที่ทำให้ คุณช๊อกโกแลต เกิดฟิตจัด คิดขุดหลุมล่อรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 มิ.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 198 Views 0 Reviews
  • "เมื่อ Apple ถอยจากการปกป้องข้อมูลใน UK — ถึงเวลาต้อง 'de-Apple' ตัวเองแล้ว "

    Apple เตรียมถอนฟีเจอร์ Advanced Data Protection (ADP) ออกจากสหราชอาณาจักรตามคำสั่งของรัฐบาล UK ผ่านกฎหมาย Investigatory Powers Act และ TCN (Technical Capability Notice) ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้ใน UK จะไม่สามารถใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end กับข้อมูลสำคัญใน iCloud ได้อีกต่อไป หากยังต้องการใช้งานบัญชี iCloudต่อไป ก็ต้องปิด ADP ด้วยตัวเอง

    การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
    Apple จะถอนฟีเจอร์ ADP ออกจาก UK
    ผู้ใช้ที่เปิดใช้งาน ADP จะต้องปิดเอง มิฉะนั้นจะถูกตัดบัญชี iCloud

    ข้อมูล 10 หมวดใน iCloud จะถูกลดระดับการป้องกัน
    ได้แก่ Backup, Drive, Photos, Notes, Reminders, Safari Bookmarks, Siri Shortcuts, Voice Memos, Wallet Passes และ Freeform

    ข้อมูล 15 หมวดที่ยังคงเข้ารหัสแบบ e2ee โดยค่าเริ่มต้นจะไม่ถูกกระทบ
    เช่น iCloud Keychain, Health, iMessage และ FaceTime

    ความเสี่ยงจากคำสั่ง TCN ของรัฐบาล UK
    TCN ไม่ได้จำกัดแค่ข้อมูลที่อยู่ภายใต้ ADP
    รัฐบาล UK ต้องการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดใน iCloud รวมถึงข้อความและรหัสผ่านที่สำรองไว้

    คำสั่ง TCN มีผลกระทบทั่วโลก ไม่ใช่แค่ผู้ใช้ใน UK
    หมายถึงข้อมูลของผู้ใช้ iCloud ทั่วโลกอาจถูกเข้าถึงได้ตามคำสั่งนี้

    แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัย
    ย้ายข้อมูลออกจาก iCloud โดยเฉพาะ 10 หมวดที่ไม่ปลอดภัย
    ใช้แอป Exporter เพื่อแปลง Notes เป็นไฟล์ markdown

    เลือกใช้บริการที่มีการเข้ารหัสแบบ e2ee
    เช่น Proton, Standard Notes, Obsidian หรือ Joplin

    ล้างข้อมูลจาก iCloud หลังย้ายออก
    เข้าไปที่ iCloud Settings > Manage แล้วลบแต่ละหมวดข้อมูล

    ถ้าไม่ได้อยู่ใน UK ล่ะ?
    ผู้ใช้นอก UK ยังสามารถเปิดใช้งาน ADP ได้
    ควรเปิดใช้งานทันทีเพื่อปกป้องข้อมูล

    หากมีทีมงานหรือคนใกล้ชิดอยู่ใน UK ต้องรวมไว้ใน threat model
    เพราะข้อมูลของพวกเขาอาจกลายเป็นช่องโหว่ของคุณ

    ข้อคิดจากเหตุการณ์นี้
    การพึ่งพา “American Stack” อาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
    ควรพิจารณาใช้บริการที่ตั้งอยู่ในประเทศที่มีการคุ้มครองข้อมูลเข้มงวด

    การตรวจสอบสัญชาติผ่านข้อมูลบัญชีอาจเป็นแนวทางใหม่ของการสอดแนม
    ยังไม่มีความชัดเจนว่า Apple จะดำเนินการอย่างไรกับ TCN ฉบับที่สองที่เน้นข้อมูลของ “พลเมืองอังกฤษ”

    https://heatherburns.tech/2025/11/10/time-to-start-de-appling/
    🛡️ "เมื่อ Apple ถอยจากการปกป้องข้อมูลใน UK — ถึงเวลาต้อง 'de-Apple' ตัวเองแล้ว 📱🚫" Apple เตรียมถอนฟีเจอร์ Advanced Data Protection (ADP) ออกจากสหราชอาณาจักรตามคำสั่งของรัฐบาล UK ผ่านกฎหมาย Investigatory Powers Act และ TCN (Technical Capability Notice) ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้ใน UK จะไม่สามารถใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end กับข้อมูลสำคัญใน iCloud ได้อีกต่อไป หากยังต้องการใช้งานบัญชี iCloudต่อไป ก็ต้องปิด ADP ด้วยตัวเอง 📉 การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ✅ Apple จะถอนฟีเจอร์ ADP ออกจาก UK ➡️ ผู้ใช้ที่เปิดใช้งาน ADP จะต้องปิดเอง มิฉะนั้นจะถูกตัดบัญชี iCloud ✅ ข้อมูล 10 หมวดใน iCloud จะถูกลดระดับการป้องกัน ➡️ ได้แก่ Backup, Drive, Photos, Notes, Reminders, Safari Bookmarks, Siri Shortcuts, Voice Memos, Wallet Passes และ Freeform ✅ ข้อมูล 15 หมวดที่ยังคงเข้ารหัสแบบ e2ee โดยค่าเริ่มต้นจะไม่ถูกกระทบ ➡️ เช่น iCloud Keychain, Health, iMessage และ FaceTime 🧨 ความเสี่ยงจากคำสั่ง TCN ของรัฐบาล UK ‼️ TCN ไม่ได้จำกัดแค่ข้อมูลที่อยู่ภายใต้ ADP ⛔ รัฐบาล UK ต้องการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดใน iCloud รวมถึงข้อความและรหัสผ่านที่สำรองไว้ ‼️ คำสั่ง TCN มีผลกระทบทั่วโลก ไม่ใช่แค่ผู้ใช้ใน UK ⛔ หมายถึงข้อมูลของผู้ใช้ iCloud ทั่วโลกอาจถูกเข้าถึงได้ตามคำสั่งนี้ 🧭 แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัย ✅ ย้ายข้อมูลออกจาก iCloud โดยเฉพาะ 10 หมวดที่ไม่ปลอดภัย ➡️ ใช้แอป Exporter เพื่อแปลง Notes เป็นไฟล์ markdown ✅ เลือกใช้บริการที่มีการเข้ารหัสแบบ e2ee ➡️ เช่น Proton, Standard Notes, Obsidian หรือ Joplin ✅ ล้างข้อมูลจาก iCloud หลังย้ายออก ➡️ เข้าไปที่ iCloud Settings > Manage แล้วลบแต่ละหมวดข้อมูล 🌍 ถ้าไม่ได้อยู่ใน UK ล่ะ? ✅ ผู้ใช้นอก UK ยังสามารถเปิดใช้งาน ADP ได้ ➡️ ควรเปิดใช้งานทันทีเพื่อปกป้องข้อมูล ‼️ หากมีทีมงานหรือคนใกล้ชิดอยู่ใน UK ต้องรวมไว้ใน threat model ⛔ เพราะข้อมูลของพวกเขาอาจกลายเป็นช่องโหว่ของคุณ 🧠 ข้อคิดจากเหตุการณ์นี้ ✅ การพึ่งพา “American Stack” อาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ➡️ ควรพิจารณาใช้บริการที่ตั้งอยู่ในประเทศที่มีการคุ้มครองข้อมูลเข้มงวด ‼️ การตรวจสอบสัญชาติผ่านข้อมูลบัญชีอาจเป็นแนวทางใหม่ของการสอดแนม ⛔ ยังไม่มีความชัดเจนว่า Apple จะดำเนินการอย่างไรกับ TCN ฉบับที่สองที่เน้นข้อมูลของ “พลเมืองอังกฤษ” https://heatherburns.tech/2025/11/10/time-to-start-de-appling/
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • เที่ยวโซล เกาหลี 6,999

    🗓 จำนวนวัน 4วัน 2คืน
    ✈ BX แอร์ปูซาน / LJ จินแอร์ / 7Cเจจูแอร์
    พักโรงแรม

    AURORA MEDIA SHOW
    เที่ยวกรุงโซลแบบอิสระด้วยตัวเอง

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์เกาหลี #ทัวร์โซล #korea #seoul #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    เที่ยวโซล เกาหลี 🌸🌺 6,999 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 4วัน 2คืน ✈ BX แอร์ปูซาน / LJ จินแอร์ / 7Cเจจูแอร์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐ 📍 AURORA MEDIA SHOW 📍 เที่ยวกรุงโซลแบบอิสระด้วยตัวเอง รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์เกาหลี #ทัวร์โซล #korea #seoul #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 0 Reviews
  • O.P.K.
    คดีพิศวง: อสูรเฒ่าผู้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์

    จุดเริ่มต้นแห่งคำสาป

    การปรากฏตัวของอสูรเฒ่า

    ในคืนหนึ่งที่ลมพายุพัดผ่านหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง อสูรเฒ่าตาเดียว ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ชายป่า
    ด้วยร่างสูงใหญ่ผมหงอกขาว และดวงตาเดียวที่เรืองรองด้วยพลังโบราณ

    ```mermaid
    graph TB
    A[อสูรเฒ่า<br>ตาเดียว] --> B[พูดคำศักดิ์สิทธิ์<br>ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์]
    B --> C[ชาวบ้าน<br>พากันหวาดกลัว]
    C --> D[ร.ต.อ.สิงห์<br>ได้รับแจ้งเหตุ]
    D --> E[หนูดีรู้สึกถึง<br>พลังงานโบราณ]
    ```

    พลังวาจาศักดิ์สิทธิ์

    อสูรเฒ่ามีความสามารถพิเศษ:

    · พูดให้เป็นจริง: สิ่งที่พูดออกมาจะเกิดขึ้นจริง
    · คำสาปและคำอวยพร: ให้ทั้งคุณและโทษ
    · ภาษาโบราณ: ใช้ภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจได้

    การสืบสวนเบื้องต้น

    การพบพยาน

    ร.ต.อ. สิงห์ สอบปากคำชาวบ้าน:
    ชาวบ้านเล่า:"ท่านพูดว่า 'ข้าวในนาจะแห้งเหี่ยว' แล้วข้าวก็เหี่ยวจริงๆ!"
    อีกคนเสริม:"แต่บางครั้งท่านก็พูดว่า 'เด็กป่วยจะหาย' แล้วเด็กก็หายเหมือนกัน"

    การวิเคราะห์ของหนูดี

    หนูดีรู้สึกถึงพลังงานประหลาด:
    "พ่อคะ...นี่ไม่ใช่พลังงานร้าย
    แต่คือพลังงานโบราณที่ขาดการควบคุม
    เหมือนไฟที่ไม่มีใครดูแล"

    เบื้องหลังอสูรเฒ่า

    ประวัติศาสตร์ที่ถูกลืม

    อสูรเฒ่าคือ ฤๅษีวาจาธร ในอดีต:

    · อายุ: 2,000 ปี
    · เดิมที: เป็นฤๅษีผู้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์
    · การเปลี่ยนแปลง: ถูกสาปให้กลายเป็นอสูรเพราะใช้พลังในทางที่ผิด

    ```python
    class AncientBeing:
    def __init__(self):
    self.identity = {
    "true_name": "ฤๅษีวาจาธร",
    "former_role": "ผู้รักษาคำศักดิ์สิทธิ์",
    "curse": "ถูกสาปให้เป็นอสูรเพราะความหลงตัวเอง",
    "age": "2000 ปี"
    }

    self.abilities = {
    "truth_speech": "พูดให้เป็นจริง",
    "blessing_curse": "ให้ทั้งพรและสาป",
    "ancient_language": "รู้ภาษาดั้งเดิมที่ทรงพลัง",
    "reality_weaving": "ถักทอความเป็นจริงด้วยคำพูด"
    }
    ```

    ต้นเหตุแห่งการถูกสาป

    ในอดีต ฤๅษีวาจาธรเคย:

    · ใช้พลังสร้างนคร ให้กษัตริย์ที่โลภ
    · สาปแช่งศัตรู ด้วยความโกรธ
    · ลืมคำสอน เกี่ยวกับความรับผิดชอบ

    ปัญหาที่เกิดขึ้น

    ผลกระทบต่อหมู่บ้าน

    อสูรเฒ่าสร้างทั้งปัญหาและประโยชน์:

    ```mermaid
    graph LR
    A[คำพูดของอสูรเฒ่า] --> B[ผลกระทบด้านบวก<br>รักษาโรค อวยพร]
    A --> C[ผลกระทบด้านลบ<br>สาปแช่ง ทำลายล้าง]
    B --> D[ชาวบ้านบางส่วน<br>นับถือเหมือนเทพ]
    C --> E[ชาวบ้านบางส่วน<br>เกลียดกลัวเหมือนปีศาจ]
    ```

    ความขัดแย้งในหมู่บ้าน

    เกิดการแบ่งฝั่งในหมู่บ้าน:

    · ฝั่งนับถือ: นำของมาถวายขอพร
    · ฝั่งต่อต้าน: ต้องการขับไล่
    · ผลที่ได้: ความขัดแย้งและความยอมรับนับถือ



    หนูดีตัดสินใจเข้าไปหาอสูรเฒ่าด้วยตัวเอง:
    "ท่านฤๅษี...หนูรู้ว่าท่านไม่ใช่ปีศาจ
    ท่านอาจจะสับสนหนทางเท่านั้น"

    บทสนทนาสำคัญ

    อสูรเฒ่า: "ใครกันที่กล้ามาพูดกับข้าเช่นนี้?"
    หนูดี:"ผู้ที่เข้าใจว่าคำพูดมีพลัง... และเข้าใจความโดดเดี่ยวของท่าน"

    อสูรเฒ่า: "เธอเข้าใจอะไร? ข้าโดดเดี่ยวมานับพันปี!"
    หนูดี:"เพราะท่านใช้คำพูดสร้างระยะทาง... ไม่ใช่สร้างความเข้าใจ"

    การเยียวยาทางจิตใจ

    หนูดีช่วยให้อสูรเฒ่าเข้าใจว่า:

    · พลังวาจา ควรใช้เพื่อการเยียวยา ไม่ใช่การควบคุม
    · ความโดดเดี่ยว เกิดจากการสร้างกำแพงด้วยคำพูด
    · การให้อภัย ตัวเองคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

    บทเรียนแห่งวาจา

    การฝึกฝนใหม่

    อสูรเฒ่าเรียนรู้ที่จะ:

    · ฟัง ก่อนจะพูด
    · คิด ก่อนจะให้พรหรือสาป
    · เข้าใจ ผลกระทบของคำพูด

    เทคนิคการควบคุมพลัง

    ```python
    class SpeechControl:
    def __init__(self):
    self.techniques = [
    "การนับหนึ่งถึงสามก่อนพูด",
    "การถามตัวเองว่าคำพูดนี้จะช่วยหรือทำลาย",
    "การใช้คำพูดสร้างสรรค์แทนการทำลาย",
    "การเข้าใจว่าบางครั้งความเงียบก็ทรงพลัง"
    ]

    self.daily_practice = {
    "morning": "พูดคำอวยพรให้ตัวเองและโลก",
    "afternoon": "ฝึกฟังโดยไม่ตัดสิน",
    "evening": "ไตร่ตรองคำพูดที่ใช้ในวันนั้น"
    }
    ```

    การเปลี่ยนแปลงบทบาท

    จากอสูรสู่ที่ปรึกษา

    อสูรเฒ่าได้รับบทบาทใหม่เป็น:

    · ที่ปรึกษาด้านวาจา ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต
    · ครูสอนภาษาโบราณ และพลังแห่งคำพูด
    · ผู้ไกล่เกลี่ย ในความขัดแย้งต่างๆ

    ความสัมพันธ์ใหม่

    กับหนูดี: ครูและนักเรียนซึ่งกันและกัน
    กับสิงห์:ที่ปรึกษาด้านภาษาโบราณ
    กับชาวบ้าน:ที่ปรึกษาและผู้ให้คำแนะนำ

    ผลกระทบเชิงบวก

    การคืนสู่หมู่บ้าน

    อสูรเฒ่ากลับไปอยู่หมู่บ้านในบทบาทใหม่:

    · ให้คำแนะนำ แก่ชาวบ้าน
    · สอนเด็กๆ เกี่ยวกับพลังแห่งคำพูด
    · เป็นสะพาน ระหว่างคนรุ่นเก่าและใหม่

    โครงการใหม่

    ```mermaid
    graph TB
    A[อสูรเฒ่า] --> B[โรงเรียนสอนภาษาโบราณ]
    A --> C[ศูนย์ไกล่เกลี่ยด้วยวาจา]
    A --> D[โครงการรักษาภาษาดั้งเดิม]
    ```

    บทเรียนจากคดี

    🪷 สำหรับอสูรเฒ่า

    "ข้าเรียนรู้ว่า...
    พลังที่แท้จริงมิอาจควบคุมด้วยคำพูด
    แต่คือการเข้าใจและเชื่อมโยงใจกัน

    และวาจาศักดิ์สิทธิ์ที่แท้...
    คือคำพูดที่เกิดจากหัวใจที่ต้องการเข้าใจ"

    สำหรับหนูดี

    "หนูเรียนรู้ว่า...
    Behind every'monster'
    there is a story of pain

    และการเยียวยาที่แท้จริง
    เริ่มต้นจากการฟังอย่างเข้าใจ"

    สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์

    "คดีนี้สอนฉันว่า...
    บางครั้งอาชญากรที่แท้จริงไม่ใช่บุคคล
    แต่คือความเข้าใจผิดและความกลัว

    และความยุติธรรมที่แท้...
    คือการนำทางให้ทุกคนพบความเข้าใจ"

    คำคมแห่งปัญญา

    จากอสูรเฒ่า

    "คำพูดสามารถสร้างนรกหรือสวรรค์ได้...
    ทั้งในใจเราและใจผู้อื่น

    และเมื่อเราเรียนรู้ที่จะเลือกคำ...กล่าว
    เราก็เรียนรู้ที่จะสร้างโลก"

    บทสรุปแห่งวาจา

    อสูรเฒ่ากล่าวในตอนจบ:
    "ตลอดสองพันปี...
    ข้าใช้คำพูดสร้างทุกอย่างยกเว้นความสุข

    แต่บัดนี้ข้าเข้าใจแล้วว่า...
    คำพูดที่สวยงามที่สุด
    คือคำพูดที่สร้างความเข้าใจ

    และความเงียบที่ทรงพลังที่สุด
    คือความเงียบที่ฟังเสียงหัวใจตน

    ---

    คำคมสุดท้ายจากคดี:
    "วาจาศักดิ์สิทธิ์ที่แท้ไม่ใช่คำที่เปลี่ยนโลก...
    แต่คือคำที่เปลี่ยนหัวใจ

    และเมื่อหัวใจเปลี่ยนแปลง...
    โลกก็เปลี่ยนแปลงตาม"

    การเดินทางของอสูรเฒ่าสอนเราว่า...
    "Words are not just sounds
    They are the architects of reality
    And when spoken with wisdom and compassion
    They can heal even the deepest wounds of time"
    O.P.K. 🔮 คดีพิศวง: อสูรเฒ่าผู้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ 🏮 จุดเริ่มต้นแห่งคำสาป 🌑 การปรากฏตัวของอสูรเฒ่า ในคืนหนึ่งที่ลมพายุพัดผ่านหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง อสูรเฒ่าตาเดียว ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ชายป่า ด้วยร่างสูงใหญ่ผมหงอกขาว และดวงตาเดียวที่เรืองรองด้วยพลังโบราณ ```mermaid graph TB A[อสูรเฒ่า<br>ตาเดียว] --> B[พูดคำศักดิ์สิทธิ์<br>ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์] B --> C[ชาวบ้าน<br>พากันหวาดกลัว] C --> D[ร.ต.อ.สิงห์<br>ได้รับแจ้งเหตุ] D --> E[หนูดีรู้สึกถึง<br>พลังงานโบราณ] ``` 🗣️ พลังวาจาศักดิ์สิทธิ์ อสูรเฒ่ามีความสามารถพิเศษ: · พูดให้เป็นจริง: สิ่งที่พูดออกมาจะเกิดขึ้นจริง · คำสาปและคำอวยพร: ให้ทั้งคุณและโทษ · ภาษาโบราณ: ใช้ภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจได้ 🔍 การสืบสวนเบื้องต้น 🕵️ การพบพยาน ร.ต.อ. สิงห์ สอบปากคำชาวบ้าน: ชาวบ้านเล่า:"ท่านพูดว่า 'ข้าวในนาจะแห้งเหี่ยว' แล้วข้าวก็เหี่ยวจริงๆ!" อีกคนเสริม:"แต่บางครั้งท่านก็พูดว่า 'เด็กป่วยจะหาย' แล้วเด็กก็หายเหมือนกัน" 💫 การวิเคราะห์ของหนูดี หนูดีรู้สึกถึงพลังงานประหลาด: "พ่อคะ...นี่ไม่ใช่พลังงานร้าย แต่คือพลังงานโบราณที่ขาดการควบคุม เหมือนไฟที่ไม่มีใครดูแล" 🧙 เบื้องหลังอสูรเฒ่า 📜 ประวัติศาสตร์ที่ถูกลืม อสูรเฒ่าคือ ฤๅษีวาจาธร ในอดีต: · อายุ: 2,000 ปี · เดิมที: เป็นฤๅษีผู้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ · การเปลี่ยนแปลง: ถูกสาปให้กลายเป็นอสูรเพราะใช้พลังในทางที่ผิด ```python class AncientBeing: def __init__(self): self.identity = { "true_name": "ฤๅษีวาจาธร", "former_role": "ผู้รักษาคำศักดิ์สิทธิ์", "curse": "ถูกสาปให้เป็นอสูรเพราะความหลงตัวเอง", "age": "2000 ปี" } self.abilities = { "truth_speech": "พูดให้เป็นจริง", "blessing_curse": "ให้ทั้งพรและสาป", "ancient_language": "รู้ภาษาดั้งเดิมที่ทรงพลัง", "reality_weaving": "ถักทอความเป็นจริงด้วยคำพูด" } ``` 💔 ต้นเหตุแห่งการถูกสาป ในอดีต ฤๅษีวาจาธรเคย: · ใช้พลังสร้างนคร ให้กษัตริย์ที่โลภ · สาปแช่งศัตรู ด้วยความโกรธ · ลืมคำสอน เกี่ยวกับความรับผิดชอบ 🌪️ ปัญหาที่เกิดขึ้น 🏘️ ผลกระทบต่อหมู่บ้าน อสูรเฒ่าสร้างทั้งปัญหาและประโยชน์: ```mermaid graph LR A[คำพูดของอสูรเฒ่า] --> B[ผลกระทบด้านบวก<br>รักษาโรค อวยพร] A --> C[ผลกระทบด้านลบ<br>สาปแช่ง ทำลายล้าง] B --> D[ชาวบ้านบางส่วน<br>นับถือเหมือนเทพ] C --> E[ชาวบ้านบางส่วน<br>เกลียดกลัวเหมือนปีศาจ] ``` 🎭 ความขัดแย้งในหมู่บ้าน เกิดการแบ่งฝั่งในหมู่บ้าน: · ฝั่งนับถือ: นำของมาถวายขอพร · ฝั่งต่อต้าน: ต้องการขับไล่ · ผลที่ได้: ความขัดแย้งและความยอมรับนับถือ 🕊️ หนูดีตัดสินใจเข้าไปหาอสูรเฒ่าด้วยตัวเอง: "ท่านฤๅษี...หนูรู้ว่าท่านไม่ใช่ปีศาจ ท่านอาจจะสับสนหนทางเท่านั้น" 🗣️ บทสนทนาสำคัญ อสูรเฒ่า: "ใครกันที่กล้ามาพูดกับข้าเช่นนี้?" หนูดี:"ผู้ที่เข้าใจว่าคำพูดมีพลัง... และเข้าใจความโดดเดี่ยวของท่าน" อสูรเฒ่า: "เธอเข้าใจอะไร? ข้าโดดเดี่ยวมานับพันปี!" หนูดี:"เพราะท่านใช้คำพูดสร้างระยะทาง... ไม่ใช่สร้างความเข้าใจ" 🌈 การเยียวยาทางจิตใจ หนูดีช่วยให้อสูรเฒ่าเข้าใจว่า: · พลังวาจา ควรใช้เพื่อการเยียวยา ไม่ใช่การควบคุม · ความโดดเดี่ยว เกิดจากการสร้างกำแพงด้วยคำพูด · การให้อภัย ตัวเองคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง 📚 บทเรียนแห่งวาจา 💫 การฝึกฝนใหม่ อสูรเฒ่าเรียนรู้ที่จะ: · ฟัง ก่อนจะพูด · คิด ก่อนจะให้พรหรือสาป · เข้าใจ ผลกระทบของคำพูด 🎯 เทคนิคการควบคุมพลัง ```python class SpeechControl: def __init__(self): self.techniques = [ "การนับหนึ่งถึงสามก่อนพูด", "การถามตัวเองว่าคำพูดนี้จะช่วยหรือทำลาย", "การใช้คำพูดสร้างสรรค์แทนการทำลาย", "การเข้าใจว่าบางครั้งความเงียบก็ทรงพลัง" ] self.daily_practice = { "morning": "พูดคำอวยพรให้ตัวเองและโลก", "afternoon": "ฝึกฟังโดยไม่ตัดสิน", "evening": "ไตร่ตรองคำพูดที่ใช้ในวันนั้น" } ``` 🏛️ การเปลี่ยนแปลงบทบาท 🌟 จากอสูรสู่ที่ปรึกษา อสูรเฒ่าได้รับบทบาทใหม่เป็น: · ที่ปรึกษาด้านวาจา ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต · ครูสอนภาษาโบราณ และพลังแห่งคำพูด · ผู้ไกล่เกลี่ย ในความขัดแย้งต่างๆ 💞 ความสัมพันธ์ใหม่ กับหนูดี: ครูและนักเรียนซึ่งกันและกัน กับสิงห์:ที่ปรึกษาด้านภาษาโบราณ กับชาวบ้าน:ที่ปรึกษาและผู้ให้คำแนะนำ 🌍 ผลกระทบเชิงบวก 🏡 การคืนสู่หมู่บ้าน อสูรเฒ่ากลับไปอยู่หมู่บ้านในบทบาทใหม่: · ให้คำแนะนำ แก่ชาวบ้าน · สอนเด็กๆ เกี่ยวกับพลังแห่งคำพูด · เป็นสะพาน ระหว่างคนรุ่นเก่าและใหม่ 📜 โครงการใหม่ ```mermaid graph TB A[อสูรเฒ่า] --> B[โรงเรียนสอนภาษาโบราณ] A --> C[ศูนย์ไกล่เกลี่ยด้วยวาจา] A --> D[โครงการรักษาภาษาดั้งเดิม] ``` 🎯 บทเรียนจากคดี 🪷 สำหรับอสูรเฒ่า "ข้าเรียนรู้ว่า... พลังที่แท้จริงมิอาจควบคุมด้วยคำพูด แต่คือการเข้าใจและเชื่อมโยงใจกัน และวาจาศักดิ์สิทธิ์ที่แท้... คือคำพูดที่เกิดจากหัวใจที่ต้องการเข้าใจ" 💫 สำหรับหนูดี "หนูเรียนรู้ว่า... Behind every'monster' there is a story of pain และการเยียวยาที่แท้จริง เริ่มต้นจากการฟังอย่างเข้าใจ" 👮 สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์ "คดีนี้สอนฉันว่า... บางครั้งอาชญากรที่แท้จริงไม่ใช่บุคคล แต่คือความเข้าใจผิดและความกลัว และความยุติธรรมที่แท้... คือการนำทางให้ทุกคนพบความเข้าใจ" 🌟 คำคมแห่งปัญญา 🗣️ จากอสูรเฒ่า "คำพูดสามารถสร้างนรกหรือสวรรค์ได้... ทั้งในใจเราและใจผู้อื่น และเมื่อเราเรียนรู้ที่จะเลือกคำ...กล่าว เราก็เรียนรู้ที่จะสร้างโลก" 💝 บทสรุปแห่งวาจา อสูรเฒ่ากล่าวในตอนจบ: "ตลอดสองพันปี... ข้าใช้คำพูดสร้างทุกอย่างยกเว้นความสุข แต่บัดนี้ข้าเข้าใจแล้วว่า... คำพูดที่สวยงามที่สุด คือคำพูดที่สร้างความเข้าใจ และความเงียบที่ทรงพลังที่สุด คือความเงียบที่ฟังเสียงหัวใจตน --- คำคมสุดท้ายจากคดี: "วาจาศักดิ์สิทธิ์ที่แท้ไม่ใช่คำที่เปลี่ยนโลก... แต่คือคำที่เปลี่ยนหัวใจ และเมื่อหัวใจเปลี่ยนแปลง... โลกก็เปลี่ยนแปลงตาม"🔮✨ การเดินทางของอสูรเฒ่าสอนเราว่า... "Words are not just sounds They are the architects of reality And when spoken with wisdom and compassion They can heal even the deepest wounds of time"🌈
    0 Comments 0 Shares 176 Views 0 Reviews
  • เที่ยวโซล เกาหลี 5,999

    🗓 จำนวนวัน 4วัน 2คืน
    ✈ BX แอร์ปูซาน / LJ จินแอร์ / 7Cเจจูแอร์
    พักโรงแรม

    AURORA MEDIA SHOW
    เที่ยวกรุงโซลแบบอิสระด้วยตัวเอง

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์เกาหลี #ทัวร์โซล #korea #seoul #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    เที่ยวโซล เกาหลี 🌸🌺 5,999 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 4วัน 2คืน ✈ BX แอร์ปูซาน / LJ จินแอร์ / 7Cเจจูแอร์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐ 📍 AURORA MEDIA SHOW 📍 เที่ยวกรุงโซลแบบอิสระด้วยตัวเอง รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์เกาหลี #ทัวร์โซล #korea #seoul #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 0 Reviews
  • LLM Agent ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แค่ต้องลองเขียนเอง

    บทความจาก Fly.io โดย Thomas Ptacek ชวนให้ทุกคน “เขียน Agent ด้วยตัวเอง” เพราะมันง่ายกว่าที่คิด และเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าใจเทคโนโลยี LLM agents อย่างแท้จริง

    เขาเปรียบเทียบว่า LLM agents เหมือนการขี่จักรยาน – ฟังดูง่าย แต่จะเข้าใจจริงต้องลองขี่เอง โดยเริ่มจากโค้ด Python ง่ายๆ ที่ใช้ OpenAI API สร้าง loop การสนทนา และค่อยๆ เพิ่มความสามารถ เช่น การเรียกใช้ tools, การจัดการ context, และการสร้าง sub-agent

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ แม้จะเป็นโค้ดไม่กี่บรรทัด แต่สามารถสร้าง agent ที่มีพฤติกรรมซับซ้อนได้ เช่น ตอบคำถามแบบมีบุคลิกหลายแบบ หรือเรียกใช้คำสั่ง ping เพื่อวิเคราะห์การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติ

    บทความยังชี้ให้เห็นว่า “Context Engineering” คือหัวใจของการออกแบบ agent ที่ดี เพราะทุก token ใน context window มีค่า และการจัดการ context อย่างชาญฉลาดจะช่วยให้ agent ทำงานได้แม่นยำขึ้น

    สุดท้าย Ptacek ท้าทายให้ทุกคนลองเขียน agent ด้วยตัวเอง เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือการเข้าใจวิธีคิดใหม่ในการเขียนโปรแกรม และการออกแบบระบบที่มีความไม่แน่นอนอย่างมีศิลปะ

    Agent คืออะไรในมุมมองของผู้เขียน
    เป็น LLM ที่รันใน loop และสามารถเรียกใช้ tools ได้
    ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน – เริ่มจากโค้ดง่ายๆ ก็ได้

    การสร้าง Agent ด้วย OpenAI API
    ใช้ context เป็น list ของข้อความสนทนา
    สร้าง loop ที่จำลองการสนทนาแบบ ChatGPT
    เพิ่ม tools เช่น ping เพื่อให้ agent ทำงานจริง

    ความง่ายที่น่าตกใจ
    Agent ที่ตอบคำถามและเรียก tools ได้ ใช้โค้ดไม่ถึง 30 บรรทัด
    LLM สามารถเลือกใช้ tools ได้เองจาก context

    Context Engineering คือหัวใจ
    ทุก token ใน context window มีผลต่อคุณภาพการตอบ
    การจัดการ context อย่างมีระบบช่วยลดความผิดพลาด

    Sub-agent และการออกแบบระบบซับซ้อน
    สามารถสร้าง sub-agent ด้วย context แยกต่างหาก
    ให้ sub-agent สื่อสารกัน สรุปข้อมูล และทำงานร่วมกันได้

    ความท้าทายในการออกแบบ Agent
    ต้องบาลานซ์ระหว่างความไม่แน่นอนกับโครงสร้างที่ชัดเจน
    ต้องเชื่อมต่อกับ “ความจริง” เพื่อป้องกันการตอบมั่ว
    ต้องเลือกวิธีแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง agent อย่างเหมาะสม

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนา
    อย่าหลงเชื่อว่า Agent ต้องใช้เทคโนโลยีซับซ้อนหรือแพลตฟอร์มเฉพาะ
    MCP (plugin interface) อาจทำให้คุณเสียอิสระในการออกแบบ agent
    การใช้ context window แบบไม่ระวัง อาจทำให้ agent “โง่ลง” โดยไม่รู้ตัว

    https://fly.io/blog/everyone-write-an-agent/
    🤖 LLM Agent ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แค่ต้องลองเขียนเอง บทความจาก Fly.io โดย Thomas Ptacek ชวนให้ทุกคน “เขียน Agent ด้วยตัวเอง” เพราะมันง่ายกว่าที่คิด และเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าใจเทคโนโลยี LLM agents อย่างแท้จริง เขาเปรียบเทียบว่า LLM agents เหมือนการขี่จักรยาน – ฟังดูง่าย แต่จะเข้าใจจริงต้องลองขี่เอง โดยเริ่มจากโค้ด Python ง่ายๆ ที่ใช้ OpenAI API สร้าง loop การสนทนา และค่อยๆ เพิ่มความสามารถ เช่น การเรียกใช้ tools, การจัดการ context, และการสร้าง sub-agent สิ่งที่น่าทึ่งคือ แม้จะเป็นโค้ดไม่กี่บรรทัด แต่สามารถสร้าง agent ที่มีพฤติกรรมซับซ้อนได้ เช่น ตอบคำถามแบบมีบุคลิกหลายแบบ หรือเรียกใช้คำสั่ง ping เพื่อวิเคราะห์การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติ บทความยังชี้ให้เห็นว่า “Context Engineering” คือหัวใจของการออกแบบ agent ที่ดี เพราะทุก token ใน context window มีค่า และการจัดการ context อย่างชาญฉลาดจะช่วยให้ agent ทำงานได้แม่นยำขึ้น สุดท้าย Ptacek ท้าทายให้ทุกคนลองเขียน agent ด้วยตัวเอง เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือการเข้าใจวิธีคิดใหม่ในการเขียนโปรแกรม และการออกแบบระบบที่มีความไม่แน่นอนอย่างมีศิลปะ ✅ Agent คืออะไรในมุมมองของผู้เขียน ➡️ เป็น LLM ที่รันใน loop และสามารถเรียกใช้ tools ได้ ➡️ ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน – เริ่มจากโค้ดง่ายๆ ก็ได้ ✅ การสร้าง Agent ด้วย OpenAI API ➡️ ใช้ context เป็น list ของข้อความสนทนา ➡️ สร้าง loop ที่จำลองการสนทนาแบบ ChatGPT ➡️ เพิ่ม tools เช่น ping เพื่อให้ agent ทำงานจริง ✅ ความง่ายที่น่าตกใจ ➡️ Agent ที่ตอบคำถามและเรียก tools ได้ ใช้โค้ดไม่ถึง 30 บรรทัด ➡️ LLM สามารถเลือกใช้ tools ได้เองจาก context ✅ Context Engineering คือหัวใจ ➡️ ทุก token ใน context window มีผลต่อคุณภาพการตอบ ➡️ การจัดการ context อย่างมีระบบช่วยลดความผิดพลาด ✅ Sub-agent และการออกแบบระบบซับซ้อน ➡️ สามารถสร้าง sub-agent ด้วย context แยกต่างหาก ➡️ ให้ sub-agent สื่อสารกัน สรุปข้อมูล และทำงานร่วมกันได้ ✅ ความท้าทายในการออกแบบ Agent ➡️ ต้องบาลานซ์ระหว่างความไม่แน่นอนกับโครงสร้างที่ชัดเจน ➡️ ต้องเชื่อมต่อกับ “ความจริง” เพื่อป้องกันการตอบมั่ว ➡️ ต้องเลือกวิธีแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง agent อย่างเหมาะสม ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนา ⛔ อย่าหลงเชื่อว่า Agent ต้องใช้เทคโนโลยีซับซ้อนหรือแพลตฟอร์มเฉพาะ ⛔ MCP (plugin interface) อาจทำให้คุณเสียอิสระในการออกแบบ agent ⛔ การใช้ context window แบบไม่ระวัง อาจทำให้ agent “โง่ลง” โดยไม่รู้ตัว https://fly.io/blog/everyone-write-an-agent/
    FLY.IO
    You Should Write An Agent
    They're like riding a bike: easy, and you don't get it until you try.
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • แผนสอยมังกร ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร”

    ตอน 4

    หลังจากอ่าน Grand Strategy ไปประมาณ 25 หน้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการประเมิน หรือประณาม จีน ด้วยวิธีกระทบกระแทกด่าอาเฮียกับพวก ( ซึ่งสงสัยว่าจะรวมเอาไทยแลนด์แดนสมันน้อยเข้าไปด้วย!?) เสียชอกช้ำ เป็นจ้ำไปทั้งตัวแล้ว ส่วนที่เหลือถึงจะเข้าเรื่องว่า พระเจ้านักล่าใบตองแห้ง คิดจะดำเนินการกับโลกส่วนเอเซียนี้ อย่างไรบ้าง

    สุดกร่างบอกว่า ส่วนสำคัญของอเมริกา ในการสอยมังกร คือเรื่องกองกำลัง ไม่มีใครโดยเฉพาะจีนเอง จะเกรงกลัวอเมริกา ถ้าอเมริกาไม่ปรับปรุงในเรื่องต่อไปนี้

    1. รัฐสภา ต้องยกเลิกเรื่องตัดงบการทหารแบบเหี้ยนเต้ทั้งกระดาน sequestion caps ที่ทำมา 2,3 ปีแล้ว และเปลี่ยนกลับมาเพิ่มงบด้านความมั่นคงและ ทำงานร่วมกับรัฐบาล ในการกำหนดงบประมาณด้านความมั่นคงเสียใหม่

    2. การถ่วงดุลย์เรื่องอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างจีนกับอเมริกา จะต้องทำให้เกิดขึ้น เพราะเป็นความจำเป็น ในการกำหนดการท่าทีของอเมริกาในเอเซีย

    3. วอชิงตัน จะต้องรีบแสดงท่าทีทางทหาร เพื่อเป็นการต่อต้านการกำหนดเขต A2/AD ของจีน โดยเฉพาะ ในบริเวณที่อเมริกายังมีความได้เปรียบอยู่ทางด้านอาวุธ ที่อเมริกาแอบซ่อนอยู่ทั้งบนน้ำและใต้น้ำ … ข้อนี้อ่านช้าๆ และให้ความสนใจเป็นพิเศษนะครับ มันอาจจะเป็นหัวไม่ขีด ที่เขาจะใช้จุดชนวนก็ได้ ..เพราะมันแปลว่า วอชิงตันกำลังคิดใช้อาวุธตอบโต้กับจีน ในบริเวณที่จีนกำหนดเขต A2/AD ( A2/AD คืออะไร ใจเย็นนิดนะครับ เดี๋ยวจะเล่าขยายในตอนต่อไป)

    4. วอชิงตัน จะต้องย้ำถึงความมีเสรีภาพในเส้นทางการเดินเรือและการบิน รวมทั้งสิทธิพิเศษในเขตเศรษฐกิจ สำหรับด้านทหารและพลเรือน และ” ตอบโต้จีน ” อย่างเหมาะสม เมื่อเสรีภาพดังกล่าวถูกละเมิด…. นี่ก็เป็นอีกข้อ ที่เราควรให้ความสนใจ ….

    4. วอชิงตัน ควรสร้างความสามารถทางทหาร และความสามารถที่จะร่วมงานทุกรูปแบบกับพันธมิตร และหุ้นส่วนในเอเซีย รวมทั้งความช่วยเหลืออื่นๆ เพื่อให้พวกเขากำหนดเขต A2/AD กับจีนด้วย
    5. วอชิงตัน จะต้องเร่งสร้างเครือข่ายระบบสะกัดกั้นการโจมตีจากจรวด และระบบอื่นเป็นการสนับสนุนให้กับพันธมิตรในเอเซีย

    6. วอชิงตัน จะต้องเพิ่มความพยายามในการปกป้องบริเวณชั้นอวกาศของตน และพัฒนาการสื่อสารระบบคลื่นความถี่สูง

    7. วอชิงตัน จะต้องเพิ่มความถี่ของการประจำการณ์ของเรือรบ และเครื่องบินรบในบริเวณทะเลจีนใต้ และตะวันออก

    8. วอชิงตัน จะต้องเพิ่มจำนวน และระยะเวลาการฝึกของกองทัพเรือ ในบริเวณทะเลจีนใต้ และ รอบฝั่งทะเล

    ถ้าขี้เกียจอ่าน 8 ข้อข้างต้นยาวๆ ผมสรุปให้ว่า เป็นข้อเสนอของไอ้สุดกร่าง ที่จะให้อเมริกาคิดใช้อาวุธ ตอบโต้กับจีนในเขต A2/AD ของจีน รวมทั้งติดอาวุธ ให้บรรดาพันธมิตรของอเมริกาในเอเซีย เพื่อให้ทำการขัดขืน และไม่ให้ความร่วมมือกับจีน

    ข้อเสนอแบบนี้ นอกจากจะทำให้อุณหภูมิสัมพันธ์ ระหว่างอเมริกากับจีน ร้อนระอุ หรือเย็นเป็นน้ำแข็ง อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ยังเป็นการแบ่งพวก กาหน้าประเทศในเอเซียให้ชัดว่า ใครพวกใคร ใครเป็นพวกอเมริกา ก็ยืด มีปลอกคอ มีอาวุธแจกให้ เป็นการสร้างบรรยากาศ ให้ประเทศในเอเซีย ตั้งการ์ดสูงใส่กัน ไม่ไว้ใจกัน ไม่ร่วมมือกัน ไม่ต่างกับ ที่อเมริกา ทำอยู่ในตะวันออกกลาง

    คราวนี้ ให้เอเซียเป็นสนามรบบ้าง จะได้ไม่น้อยหน้า ตะวันออกกลาง

    และเพื่อให้แน่ใจว่าเอเซีย จะได้มีโอกาสแตกคอกันจริง กัดกันเอง ตามที่อเมริกาต้องการ อเมริกาจะแบ่งหน้าที่ และแจกบทให้ พันธมิตร ลูกหาบ หรือขี้ข้า แต่ละรายดังนี้

    – ญี่ปุ่น : ซึ่งสุดกร่างบอกว่า ไม่เคยผิดหวังกับสอนง่าย สั่งให้นอนให้กลิ้งได้ของญี่ปุ่น ดังนั้น ญี่ปุ่นจะได้รับหน้าที่ใหญ่โต เป็นหัวหมู่ทลวงฟัน เป็นผู้จัดการภาค เป็นตัวแทนอเมริกา คราใดที่อเมริกาไม่ได้มาลูบหลัง ตบหัว บรรดาลูกหาบด้วยตัวเอง ให้หัวหมู่ทำหน้าที่แทน และในฐานะเป็นหัวหมู่ อเมริกาจะจัดเครื่องทรง ติดอาวุธเต็มยศ ชุดใหญ่ ให้แก่ญี่ปุ่น .. มีหวังได้ดู หนัง Pearl Habour รอบสอง

    – เกาหลีใต้ : นอกเหนือจากหน้าที่ทั่วไปแล้ว และได้พัดยศ เครื่องทรงติดอาวุธครบสูตรแล้ว เกาหลีใต้มีภาระกิจพิเศษ ที่จะต้องคิดยุทธศาสตร์ ร่วมกับ หัวหมู่ ในการกำจัดน้องคิมของผมและพรรคพวก ให้พ้นไปจากเกาหลีเหนืออย่างไม่เหลือทั้งเศษทั้งส่วน....น้องคิมครับ ถ้าลูกน้องเขารายงานน้องถึงตรงนี้ น้องก็ใจเย็นหน่อยนะครับ อย่าหุนหันใจร้อน … ใจร้อนเวลาเล็งเป้า เดี๋ยวมันไม่แม่น
    – ออสเตรเลีย : แม้จะอยู่ค่อนไปทางใต้ แต่ก็เป็นตัวเชื่อม อินโดแปซิฟิก ให้อเมริกา ที่สำคัญ มาจากโคตรเดียวกัน แองโกลแซกซอนด้วยกัน ยังไงพัดยศ ทั้งอาวุธ ทั้งทหารประจำฐานทัพ ก็ต้องส่งมาให้อุ่นใจเต็มที่ ติดเครื่องหมายพิเศษอยู่แล้ว สงสัยระบบสกัดกั้นการโจมตี คงจะเป็นรุ่นพิเศษ และติดตั้งให้รุ่นแรกๆ

    – อินเดีย : อันนี้มาแปลก อีนี่ มารวมกลุ่มกันไงเนี่ย ไม่รู้ใคร ต้มใคร แถมสุดกร่างบอกว่าอเมริกา จะต้องทำหูทวนลมเสียบ้าง ในเรื่องที่ลือกันว่า อินเดียก็มีนิวเคลียร์ แถมยังจะต้องสนับสนุนอาวุธให้อินเดียอีกด้วย เพราะอินเดียเป็นประเทศใหญ่ ที่มีเขตแดนติดกับจีนยาวเหยียด และมอบหน้าที่ให้อินเดียเป็นตำรวจน้ำ ดูแลมหาสมุทรอินเดีย อย่าให้เรือของจีนซ่าเข้ามา โดยอเมริกาจะให้ความร่วมมือ และสนับสนุนเทคโนโลยีด้านกองทัพเรือให้กับอินเดีย … รายการนี้ อีนี่ ลุงนิทาน บรรยายไม่ออกเลย เจอแขกเล่นกล คนโบราณนี่ท่านฉลาดจริงๆ

    – เอเซียอาคเณย์ : สุดกร่างบอก แถบนี้เป็นเป้าหมายการบีบของจีน ไม่ใช่แค่เรื่องปัญหาทะเลจีนเท่านั้น

    – ฟิลิปปินส์ : ลูกหาบของตาย ที่ไม่มีปัญญาจะดิ้นรนไปไหนได้ เจอแต่ใต้ฝุ่น จนหัวหมุน แบบนี้ต้องปลอบใจด้วยการเพิ่มกำลังอาวุธ ด้านกองทัพ แบบจัดเต็ม full range เพื่อไม่ให้ใครมาบุกรุกเขตแดนของลูกหาบเดนตายนี้ได้ ….ผมละสงสารประเทศนี้จริง ถูกใช้ซะโทรมไม่ฟื้นเลย เป็นตัวอย่างที่สมันน้อย ควรศึกษาไว้เป็นบทเรียน

    – อินโดนีเซีย : แม้อยู่ไกลปืน แต่ยังไงตาโอก็ต้องให้ดูแล เอ้า จัดไป ให้มีการฝึกร่วมกันให้บ่อยหน่อยแล้วกัน มีแค่นี้เองหรือ …แค่นี้จริงๆครับ แต่ไม่แปลกใจ

    – สิงคโปร์ : จัดการให้มีการยกระดับสมรรถนะ ของกองทัพอากาศ จาก F-16s เป็น F-35s ….อืม สงสัยรายการนี้ หลอกกันใช้นี่หว่า เห็นปู่ลีไปสวรรค์แล้ว ต้มลูกให้เละดีกว่า ให้อะไรไม่ให้ ดันให้เครื่องบิน สิงคโปร์น่ะ ฐานทัพอากาศยังไม่มีเลย เวลาจะฝึกบิน ยังต้องอาศัยฐานแถวบ้านเราเลย แล้ว F-35s เขาว่าขับยาก ฉ. ห. ต้องฝึกอย่างน้อย 1 ปี เครื่องทรงก็น้ำหนักมาก ร่างกายก็ต้องฟิตเปรียะ ถึงจะรับน้ำหนักไหว เออ ถ้าเจ้านายเกิดใจดี ให้มาจริง อาตี๋ผอมกระหร่อง จะขับไหวหรือ แล้วกว่าเครื่องจะมา กว่าจะฝึกเสร็จ ตอนนั้นเกาะสิงคโปร์ จะเหลืออยู่แค่ไหน ผมยังสงสัย
    – มาเลเซีย : จัดการให้มาเลเซียเข้าร่วมโครงการด้านความริเริ่มด้านความ มั่นคง และสนับสนุนให้มาเลเซีย มีส่วนร่วมในการฝึกร่วม ต่างๆ … ดูเหมือน สุดกร่างจะ ให้เข้า โครงการฝึกแยะหน่อย ท่าทาง มาเลเซียนี่ คงจะหนืดยืดยาดพิกล หรือว่า สั่งกันตรงไม่ได้ ต้องฝากชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ไปบอกกับเด็กของนายท่านเอง หรือยังมีเรื่องคาใจเคลียร์ไม่ออกค้างกันอยู่ ถูกสอยซ้ำซาก ใครมันจะอยากคุยด้วย

    – เวียตนาม : จะต้องมีการขยายการฝึกร่วมด้านกองทัพเรือ รวมทั้งฝึกด้านการบรรเทาทุกข์และภัยพิบัติ การค้นหา/การ ช่วยเหลือ โดยกองทัพเรืออเมริกา จะแวะเข้ามาใช้ท่าเรือ Cam Rahn ระยะสั้น แต่ถี่ขึ้น …. รายการนี้ น่าสนใจครับ ทำไม เน้นให้เวียตนามดูแล ด้านการบรรเทาทุกข์และภัยพิบัติ ทั้งๆที่ทหารเวียตนามนี่รบเก่งไม่เบา อ้อ ยังไม่แน่ใจว่า รัศมีของคุณพี่ปูติน จางจากเวียตนามหมดจริงหรือเปล่า หรือสาวเวียตนามยังแอบพกรูปคุณพี่ปูตินไว้ในเบื้องลึกอยู่

    – เมียนมาร์ หรือพม่า : จะมีการให้งบ IMET งบฝึกอบรมทางทหาร ที่อเมริกาเคยใช้หลอกเลี้ยงทหารไทยมา ประมาณ 60 ปี ตอนนี้ ตัดสัมพันธ์กับไทย เลยจะเอาเศษเงินที่เหลืออยู่ ไปหลอกเลี้ยงทหารพม่าแทน และพยายามที่จะดึงทหารพม่าเข้ามาร่วมการฝึกกับนานาชาติ … กำลังจะเป็นเด็กสร้างคนใหม่ เพราะเพิ่งเปิดประเทศ ทรัพยากรยังอยู่อื้อ ที่สำคัญ คุณน้าอองซาน แกชอบคบและซบฝรั่ง มากกว่าเอเซียด้วยกัน เอาเลยลูกพี่ แล้วจะได้รู้จักของจริง

    – ไต้หวัน : ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับ ไต้หวัน อย่างไม่เป็นทางการ ใกล้ชิดอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถ้านึกเรื่อง เจียงไคเช็ค พี่น้องสามสาวตระกูลซ่ง คงพอเข้าใจสัมพันธ์พิเศษนี้ สุดกร่างบอกว่า ไต้หวัน เป็นส่วนสำคัญใน Grand Strategy กับจีน แน่นอน … คงไม่แคล้ว ใช้คนกันเอง ไปเก็บกันเอง ตามถนัด แต่ก็มีพวกที่เห็นค่าของสายพันธ์ ที่สืบทอดจากที่เดียวกันมายาวนาน แบงค์กงเต๊กใช่ว่าจะซื้อได้หมด

    เอาละครับ ผมไล่เรียงให้ทั้งหมด ที่สุดกร่าง CFR เขาเขียนถึงบทบาท ของประเทศในเอเซีย และเอเซียอาคเณย์ ที่เป็นพรรคพวกของอเมริกาทั้งหมด และมีอยู่ เพียง 4 ประเทศ ที่ เขาไม่เอ่ยถึง คือ บรูไน ลาว กัมพูชา และ ไทย

    ทำไมไม่มีชื่อ ประเทศไทย ดี หรือ ไม่ดี เขามองเราอย่างไร และเราควรจัดสถานะของตนเองไว้ที่ไหนอย่างไร ยังควรให้เขามาใช้ ฐานทัพที่อู่ตะเภา ที่เขาอ้างว่า เพื่อช่วยเหลือในการบรรเทาทุกข์ให้แก่เนปาลหรือไม่

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    15 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร” ตอน 4 หลังจากอ่าน Grand Strategy ไปประมาณ 25 หน้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการประเมิน หรือประณาม จีน ด้วยวิธีกระทบกระแทกด่าอาเฮียกับพวก ( ซึ่งสงสัยว่าจะรวมเอาไทยแลนด์แดนสมันน้อยเข้าไปด้วย!?) เสียชอกช้ำ เป็นจ้ำไปทั้งตัวแล้ว ส่วนที่เหลือถึงจะเข้าเรื่องว่า พระเจ้านักล่าใบตองแห้ง คิดจะดำเนินการกับโลกส่วนเอเซียนี้ อย่างไรบ้าง สุดกร่างบอกว่า ส่วนสำคัญของอเมริกา ในการสอยมังกร คือเรื่องกองกำลัง ไม่มีใครโดยเฉพาะจีนเอง จะเกรงกลัวอเมริกา ถ้าอเมริกาไม่ปรับปรุงในเรื่องต่อไปนี้ 1. รัฐสภา ต้องยกเลิกเรื่องตัดงบการทหารแบบเหี้ยนเต้ทั้งกระดาน sequestion caps ที่ทำมา 2,3 ปีแล้ว และเปลี่ยนกลับมาเพิ่มงบด้านความมั่นคงและ ทำงานร่วมกับรัฐบาล ในการกำหนดงบประมาณด้านความมั่นคงเสียใหม่ 2. การถ่วงดุลย์เรื่องอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างจีนกับอเมริกา จะต้องทำให้เกิดขึ้น เพราะเป็นความจำเป็น ในการกำหนดการท่าทีของอเมริกาในเอเซีย 3. วอชิงตัน จะต้องรีบแสดงท่าทีทางทหาร เพื่อเป็นการต่อต้านการกำหนดเขต A2/AD ของจีน โดยเฉพาะ ในบริเวณที่อเมริกายังมีความได้เปรียบอยู่ทางด้านอาวุธ ที่อเมริกาแอบซ่อนอยู่ทั้งบนน้ำและใต้น้ำ … ข้อนี้อ่านช้าๆ และให้ความสนใจเป็นพิเศษนะครับ มันอาจจะเป็นหัวไม่ขีด ที่เขาจะใช้จุดชนวนก็ได้ ..เพราะมันแปลว่า วอชิงตันกำลังคิดใช้อาวุธตอบโต้กับจีน ในบริเวณที่จีนกำหนดเขต A2/AD ( A2/AD คืออะไร ใจเย็นนิดนะครับ เดี๋ยวจะเล่าขยายในตอนต่อไป) 4. วอชิงตัน จะต้องย้ำถึงความมีเสรีภาพในเส้นทางการเดินเรือและการบิน รวมทั้งสิทธิพิเศษในเขตเศรษฐกิจ สำหรับด้านทหารและพลเรือน และ” ตอบโต้จีน ” อย่างเหมาะสม เมื่อเสรีภาพดังกล่าวถูกละเมิด…. นี่ก็เป็นอีกข้อ ที่เราควรให้ความสนใจ …. 4. วอชิงตัน ควรสร้างความสามารถทางทหาร และความสามารถที่จะร่วมงานทุกรูปแบบกับพันธมิตร และหุ้นส่วนในเอเซีย รวมทั้งความช่วยเหลืออื่นๆ เพื่อให้พวกเขากำหนดเขต A2/AD กับจีนด้วย 5. วอชิงตัน จะต้องเร่งสร้างเครือข่ายระบบสะกัดกั้นการโจมตีจากจรวด และระบบอื่นเป็นการสนับสนุนให้กับพันธมิตรในเอเซีย 6. วอชิงตัน จะต้องเพิ่มความพยายามในการปกป้องบริเวณชั้นอวกาศของตน และพัฒนาการสื่อสารระบบคลื่นความถี่สูง 7. วอชิงตัน จะต้องเพิ่มความถี่ของการประจำการณ์ของเรือรบ และเครื่องบินรบในบริเวณทะเลจีนใต้ และตะวันออก 8. วอชิงตัน จะต้องเพิ่มจำนวน และระยะเวลาการฝึกของกองทัพเรือ ในบริเวณทะเลจีนใต้ และ รอบฝั่งทะเล ถ้าขี้เกียจอ่าน 8 ข้อข้างต้นยาวๆ ผมสรุปให้ว่า เป็นข้อเสนอของไอ้สุดกร่าง ที่จะให้อเมริกาคิดใช้อาวุธ ตอบโต้กับจีนในเขต A2/AD ของจีน รวมทั้งติดอาวุธ ให้บรรดาพันธมิตรของอเมริกาในเอเซีย เพื่อให้ทำการขัดขืน และไม่ให้ความร่วมมือกับจีน ข้อเสนอแบบนี้ นอกจากจะทำให้อุณหภูมิสัมพันธ์ ระหว่างอเมริกากับจีน ร้อนระอุ หรือเย็นเป็นน้ำแข็ง อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ยังเป็นการแบ่งพวก กาหน้าประเทศในเอเซียให้ชัดว่า ใครพวกใคร ใครเป็นพวกอเมริกา ก็ยืด มีปลอกคอ มีอาวุธแจกให้ เป็นการสร้างบรรยากาศ ให้ประเทศในเอเซีย ตั้งการ์ดสูงใส่กัน ไม่ไว้ใจกัน ไม่ร่วมมือกัน ไม่ต่างกับ ที่อเมริกา ทำอยู่ในตะวันออกกลาง คราวนี้ ให้เอเซียเป็นสนามรบบ้าง จะได้ไม่น้อยหน้า ตะวันออกกลาง และเพื่อให้แน่ใจว่าเอเซีย จะได้มีโอกาสแตกคอกันจริง กัดกันเอง ตามที่อเมริกาต้องการ อเมริกาจะแบ่งหน้าที่ และแจกบทให้ พันธมิตร ลูกหาบ หรือขี้ข้า แต่ละรายดังนี้ – ญี่ปุ่น : ซึ่งสุดกร่างบอกว่า ไม่เคยผิดหวังกับสอนง่าย สั่งให้นอนให้กลิ้งได้ของญี่ปุ่น ดังนั้น ญี่ปุ่นจะได้รับหน้าที่ใหญ่โต เป็นหัวหมู่ทลวงฟัน เป็นผู้จัดการภาค เป็นตัวแทนอเมริกา คราใดที่อเมริกาไม่ได้มาลูบหลัง ตบหัว บรรดาลูกหาบด้วยตัวเอง ให้หัวหมู่ทำหน้าที่แทน และในฐานะเป็นหัวหมู่ อเมริกาจะจัดเครื่องทรง ติดอาวุธเต็มยศ ชุดใหญ่ ให้แก่ญี่ปุ่น .. มีหวังได้ดู หนัง Pearl Habour รอบสอง – เกาหลีใต้ : นอกเหนือจากหน้าที่ทั่วไปแล้ว และได้พัดยศ เครื่องทรงติดอาวุธครบสูตรแล้ว เกาหลีใต้มีภาระกิจพิเศษ ที่จะต้องคิดยุทธศาสตร์ ร่วมกับ หัวหมู่ ในการกำจัดน้องคิมของผมและพรรคพวก ให้พ้นไปจากเกาหลีเหนืออย่างไม่เหลือทั้งเศษทั้งส่วน....น้องคิมครับ ถ้าลูกน้องเขารายงานน้องถึงตรงนี้ น้องก็ใจเย็นหน่อยนะครับ อย่าหุนหันใจร้อน … ใจร้อนเวลาเล็งเป้า เดี๋ยวมันไม่แม่น – ออสเตรเลีย : แม้จะอยู่ค่อนไปทางใต้ แต่ก็เป็นตัวเชื่อม อินโดแปซิฟิก ให้อเมริกา ที่สำคัญ มาจากโคตรเดียวกัน แองโกลแซกซอนด้วยกัน ยังไงพัดยศ ทั้งอาวุธ ทั้งทหารประจำฐานทัพ ก็ต้องส่งมาให้อุ่นใจเต็มที่ ติดเครื่องหมายพิเศษอยู่แล้ว สงสัยระบบสกัดกั้นการโจมตี คงจะเป็นรุ่นพิเศษ และติดตั้งให้รุ่นแรกๆ – อินเดีย : อันนี้มาแปลก อีนี่ มารวมกลุ่มกันไงเนี่ย ไม่รู้ใคร ต้มใคร แถมสุดกร่างบอกว่าอเมริกา จะต้องทำหูทวนลมเสียบ้าง ในเรื่องที่ลือกันว่า อินเดียก็มีนิวเคลียร์ แถมยังจะต้องสนับสนุนอาวุธให้อินเดียอีกด้วย เพราะอินเดียเป็นประเทศใหญ่ ที่มีเขตแดนติดกับจีนยาวเหยียด และมอบหน้าที่ให้อินเดียเป็นตำรวจน้ำ ดูแลมหาสมุทรอินเดีย อย่าให้เรือของจีนซ่าเข้ามา โดยอเมริกาจะให้ความร่วมมือ และสนับสนุนเทคโนโลยีด้านกองทัพเรือให้กับอินเดีย … รายการนี้ อีนี่ ลุงนิทาน บรรยายไม่ออกเลย เจอแขกเล่นกล คนโบราณนี่ท่านฉลาดจริงๆ – เอเซียอาคเณย์ : สุดกร่างบอก แถบนี้เป็นเป้าหมายการบีบของจีน ไม่ใช่แค่เรื่องปัญหาทะเลจีนเท่านั้น – ฟิลิปปินส์ : ลูกหาบของตาย ที่ไม่มีปัญญาจะดิ้นรนไปไหนได้ เจอแต่ใต้ฝุ่น จนหัวหมุน แบบนี้ต้องปลอบใจด้วยการเพิ่มกำลังอาวุธ ด้านกองทัพ แบบจัดเต็ม full range เพื่อไม่ให้ใครมาบุกรุกเขตแดนของลูกหาบเดนตายนี้ได้ ….ผมละสงสารประเทศนี้จริง ถูกใช้ซะโทรมไม่ฟื้นเลย เป็นตัวอย่างที่สมันน้อย ควรศึกษาไว้เป็นบทเรียน – อินโดนีเซีย : แม้อยู่ไกลปืน แต่ยังไงตาโอก็ต้องให้ดูแล เอ้า จัดไป ให้มีการฝึกร่วมกันให้บ่อยหน่อยแล้วกัน มีแค่นี้เองหรือ …แค่นี้จริงๆครับ แต่ไม่แปลกใจ – สิงคโปร์ : จัดการให้มีการยกระดับสมรรถนะ ของกองทัพอากาศ จาก F-16s เป็น F-35s ….อืม สงสัยรายการนี้ หลอกกันใช้นี่หว่า เห็นปู่ลีไปสวรรค์แล้ว ต้มลูกให้เละดีกว่า ให้อะไรไม่ให้ ดันให้เครื่องบิน สิงคโปร์น่ะ ฐานทัพอากาศยังไม่มีเลย เวลาจะฝึกบิน ยังต้องอาศัยฐานแถวบ้านเราเลย แล้ว F-35s เขาว่าขับยาก ฉ. ห. ต้องฝึกอย่างน้อย 1 ปี เครื่องทรงก็น้ำหนักมาก ร่างกายก็ต้องฟิตเปรียะ ถึงจะรับน้ำหนักไหว เออ ถ้าเจ้านายเกิดใจดี ให้มาจริง อาตี๋ผอมกระหร่อง จะขับไหวหรือ แล้วกว่าเครื่องจะมา กว่าจะฝึกเสร็จ ตอนนั้นเกาะสิงคโปร์ จะเหลืออยู่แค่ไหน ผมยังสงสัย – มาเลเซีย : จัดการให้มาเลเซียเข้าร่วมโครงการด้านความริเริ่มด้านความ มั่นคง และสนับสนุนให้มาเลเซีย มีส่วนร่วมในการฝึกร่วม ต่างๆ … ดูเหมือน สุดกร่างจะ ให้เข้า โครงการฝึกแยะหน่อย ท่าทาง มาเลเซียนี่ คงจะหนืดยืดยาดพิกล หรือว่า สั่งกันตรงไม่ได้ ต้องฝากชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ไปบอกกับเด็กของนายท่านเอง หรือยังมีเรื่องคาใจเคลียร์ไม่ออกค้างกันอยู่ ถูกสอยซ้ำซาก ใครมันจะอยากคุยด้วย – เวียตนาม : จะต้องมีการขยายการฝึกร่วมด้านกองทัพเรือ รวมทั้งฝึกด้านการบรรเทาทุกข์และภัยพิบัติ การค้นหา/การ ช่วยเหลือ โดยกองทัพเรืออเมริกา จะแวะเข้ามาใช้ท่าเรือ Cam Rahn ระยะสั้น แต่ถี่ขึ้น …. รายการนี้ น่าสนใจครับ ทำไม เน้นให้เวียตนามดูแล ด้านการบรรเทาทุกข์และภัยพิบัติ ทั้งๆที่ทหารเวียตนามนี่รบเก่งไม่เบา อ้อ ยังไม่แน่ใจว่า รัศมีของคุณพี่ปูติน จางจากเวียตนามหมดจริงหรือเปล่า หรือสาวเวียตนามยังแอบพกรูปคุณพี่ปูตินไว้ในเบื้องลึกอยู่ – เมียนมาร์ หรือพม่า : จะมีการให้งบ IMET งบฝึกอบรมทางทหาร ที่อเมริกาเคยใช้หลอกเลี้ยงทหารไทยมา ประมาณ 60 ปี ตอนนี้ ตัดสัมพันธ์กับไทย เลยจะเอาเศษเงินที่เหลืออยู่ ไปหลอกเลี้ยงทหารพม่าแทน และพยายามที่จะดึงทหารพม่าเข้ามาร่วมการฝึกกับนานาชาติ … กำลังจะเป็นเด็กสร้างคนใหม่ เพราะเพิ่งเปิดประเทศ ทรัพยากรยังอยู่อื้อ ที่สำคัญ คุณน้าอองซาน แกชอบคบและซบฝรั่ง มากกว่าเอเซียด้วยกัน เอาเลยลูกพี่ แล้วจะได้รู้จักของจริง – ไต้หวัน : ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับ ไต้หวัน อย่างไม่เป็นทางการ ใกล้ชิดอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถ้านึกเรื่อง เจียงไคเช็ค พี่น้องสามสาวตระกูลซ่ง คงพอเข้าใจสัมพันธ์พิเศษนี้ สุดกร่างบอกว่า ไต้หวัน เป็นส่วนสำคัญใน Grand Strategy กับจีน แน่นอน … คงไม่แคล้ว ใช้คนกันเอง ไปเก็บกันเอง ตามถนัด แต่ก็มีพวกที่เห็นค่าของสายพันธ์ ที่สืบทอดจากที่เดียวกันมายาวนาน แบงค์กงเต๊กใช่ว่าจะซื้อได้หมด เอาละครับ ผมไล่เรียงให้ทั้งหมด ที่สุดกร่าง CFR เขาเขียนถึงบทบาท ของประเทศในเอเซีย และเอเซียอาคเณย์ ที่เป็นพรรคพวกของอเมริกาทั้งหมด และมีอยู่ เพียง 4 ประเทศ ที่ เขาไม่เอ่ยถึง คือ บรูไน ลาว กัมพูชา และ ไทย ทำไมไม่มีชื่อ ประเทศไทย ดี หรือ ไม่ดี เขามองเราอย่างไร และเราควรจัดสถานะของตนเองไว้ที่ไหนอย่างไร ยังควรให้เขามาใช้ ฐานทัพที่อู่ตะเภา ที่เขาอ้างว่า เพื่อช่วยเหลือในการบรรเทาทุกข์ให้แก่เนปาลหรือไม่ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 15 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 288 Views 0 Reviews
  • “ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลเป็นภาพลวงตา — ถ้าไม่โฮสต์เอง คุณแค่เช่าใช้”

    ลองนึกภาพว่าคุณซื้อหนัง เพลง หรือเกมดิจิทัลมาเก็บไว้ แต่วันหนึ่งมันหายไปจากคลังโดยไม่มีคำอธิบาย…นั่นคือความจริงของโลกดิจิทัลในปัจจุบันที่บทความนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน

    Theena Kumaragurunathan เล่าประสบการณ์ส่วนตัวจากยุค Napster สู่ยุคสตรีมมิ่ง และตั้งคำถามว่า “เรายังเป็นเจ้าของอะไรอยู่จริง ๆ หรือ?” เขาเคยสะสมเพลงกว่า 500GB จากการดาวน์โหลดและซื้อโดยตรงจากศิลปินแบบไม่มี DRM ก่อนจะตั้งเซิร์ฟเวอร์ Plex และ Jellyfin เพื่อโฮสต์เองในช่วงโควิด ซึ่งนำเขาเข้าสู่โลกของ Linux และ FOSS (Free and Open Source Software)

    บทความชี้ให้เห็นว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งในปัจจุบันไม่ได้ขาย “เนื้อหา” แต่ขาย “สิทธิ์ในการเข้าถึง” ที่สามารถถูกเพิกถอน เปลี่ยนแปลง หรือหายไปได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงลิขสิทธิ์หรือการปรับโครงสร้างธุรกิจ

    ทางออกคือ “การโฮสต์เอง” ซึ่งหมายถึงการเก็บไฟล์ไว้ในรูปแบบเปิด ควบคุมกุญแจเข้ารหัส และจัดการเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง เพื่อให้คุณยังสามารถเข้าถึงเนื้อหานั้นได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต

    ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลในปัจจุบันเป็นภาพลวงตา
    ผู้ใช้ไม่ได้เป็นเจ้าของไฟล์ แต่เป็นผู้เช่าสิทธิ์ในการเข้าถึง
    เนื้อหาสามารถหายไปจากคลังได้โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า

    แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งใช้โมเดล “การให้สิทธิ์” ไม่ใช่ “การขาย”
    มีข้อจำกัดจาก DRM, region lock, และนโยบายการเพิกถอน
    การเปลี่ยนแปลงลิขสิทธิ์ทำให้เนื้อหาถูกลบหรือเปลี่ยนแปลง

    การโฮสต์เองคือทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นเจ้าของจริง
    เก็บไฟล์ในรูปแบบเปิด เช่น FLAC, EPUB, MP4
    ควบคุมกุญแจเข้ารหัสและเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง
    ใช้เครื่องมือเช่น Plex, Jellyfin, Git, Emacs เพื่อจัดการคลังส่วนตัว

    โมเดลการจัดการเนื้อหาที่แนะนำ
    Local-first: ไฟล์สำคัญที่เก็บไว้แบบออฟไลน์พร้อมสำรอง
    Sync-first: เอกสารที่ใช้งานร่วมกันแต่มีสำเนาในเครื่อง
    Self-hosted: บริการที่ควบคุมเอง เช่น note system หรือ photo gallery
    Cloud rentals: เนื้อหาที่ดูแล้วปล่อยผ่าน เช่น หนังใหม่หรือแอปเฉพาะกิจ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การโฮสต์เองช่วยลดการพึ่งพาบริษัทใหญ่และเพิ่มความเป็นอิสระ
    แนวคิดนี้สอดคล้องกับปรัชญา FOSS ที่เน้นการควบคุมและความโปร่งใส
    การใช้ open format และ backup routine เป็นหัวใจของการรักษาความเป็นเจ้าของ

    https://news.itsfoss.com/digital-content-ownership-illusion/
    🧠 “ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลเป็นภาพลวงตา — ถ้าไม่โฮสต์เอง คุณแค่เช่าใช้” ลองนึกภาพว่าคุณซื้อหนัง เพลง หรือเกมดิจิทัลมาเก็บไว้ แต่วันหนึ่งมันหายไปจากคลังโดยไม่มีคำอธิบาย…นั่นคือความจริงของโลกดิจิทัลในปัจจุบันที่บทความนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน Theena Kumaragurunathan เล่าประสบการณ์ส่วนตัวจากยุค Napster สู่ยุคสตรีมมิ่ง และตั้งคำถามว่า “เรายังเป็นเจ้าของอะไรอยู่จริง ๆ หรือ?” เขาเคยสะสมเพลงกว่า 500GB จากการดาวน์โหลดและซื้อโดยตรงจากศิลปินแบบไม่มี DRM ก่อนจะตั้งเซิร์ฟเวอร์ Plex และ Jellyfin เพื่อโฮสต์เองในช่วงโควิด ซึ่งนำเขาเข้าสู่โลกของ Linux และ FOSS (Free and Open Source Software) บทความชี้ให้เห็นว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งในปัจจุบันไม่ได้ขาย “เนื้อหา” แต่ขาย “สิทธิ์ในการเข้าถึง” ที่สามารถถูกเพิกถอน เปลี่ยนแปลง หรือหายไปได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงลิขสิทธิ์หรือการปรับโครงสร้างธุรกิจ ทางออกคือ “การโฮสต์เอง” ซึ่งหมายถึงการเก็บไฟล์ไว้ในรูปแบบเปิด ควบคุมกุญแจเข้ารหัส และจัดการเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง เพื่อให้คุณยังสามารถเข้าถึงเนื้อหานั้นได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต ✅ ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลในปัจจุบันเป็นภาพลวงตา ➡️ ผู้ใช้ไม่ได้เป็นเจ้าของไฟล์ แต่เป็นผู้เช่าสิทธิ์ในการเข้าถึง ➡️ เนื้อหาสามารถหายไปจากคลังได้โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ✅ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งใช้โมเดล “การให้สิทธิ์” ไม่ใช่ “การขาย” ➡️ มีข้อจำกัดจาก DRM, region lock, และนโยบายการเพิกถอน ➡️ การเปลี่ยนแปลงลิขสิทธิ์ทำให้เนื้อหาถูกลบหรือเปลี่ยนแปลง ✅ การโฮสต์เองคือทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นเจ้าของจริง ➡️ เก็บไฟล์ในรูปแบบเปิด เช่น FLAC, EPUB, MP4 ➡️ ควบคุมกุญแจเข้ารหัสและเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง ➡️ ใช้เครื่องมือเช่น Plex, Jellyfin, Git, Emacs เพื่อจัดการคลังส่วนตัว ✅ โมเดลการจัดการเนื้อหาที่แนะนำ ➡️ Local-first: ไฟล์สำคัญที่เก็บไว้แบบออฟไลน์พร้อมสำรอง ➡️ Sync-first: เอกสารที่ใช้งานร่วมกันแต่มีสำเนาในเครื่อง ➡️ Self-hosted: บริการที่ควบคุมเอง เช่น note system หรือ photo gallery ➡️ Cloud rentals: เนื้อหาที่ดูแล้วปล่อยผ่าน เช่น หนังใหม่หรือแอปเฉพาะกิจ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การโฮสต์เองช่วยลดการพึ่งพาบริษัทใหญ่และเพิ่มความเป็นอิสระ ➡️ แนวคิดนี้สอดคล้องกับปรัชญา FOSS ที่เน้นการควบคุมและความโปร่งใส ➡️ การใช้ open format และ backup routine เป็นหัวใจของการรักษาความเป็นเจ้าของ https://news.itsfoss.com/digital-content-ownership-illusion/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Ownership of Digital Content Is an Illusion—Unless You Self‑Host
    Prices are rising across Netflix, Spotify, and their peers, and more people are quietly returning to the oldest playbook of the internet: piracy. Is the golden age of streaming over?
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • “ออกจาก Cloud แล้วรวยขึ้น – เส้นทางของนักพัฒนาที่กล้าท้าทายระบบ”
    Rameerez นักพัฒนาอิสระผู้สร้าง PromptHero และ RailsFast ได้เขียนบทความที่กลายเป็นไวรัล หลังจากเขาตัดสินใจย้ายโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดออกจาก AWS และหันไปใช้เซิร์ฟเวอร์เช่าราคาถูกแทน ผลลัพธ์คือ ลดค่าใช้จ่ายลง 10 เท่า และ เพิ่มประสิทธิภาพระบบขึ้น 2 เท่า โดยไม่ต้องพึ่งพาบริการ Cloud ที่มีราคาแพงและผูกขาด

    เขาเลือกใช้บริการจาก Hetzner ซึ่งให้เซิร์ฟเวอร์ 80-core ในราคาเพียง $190 ต่อเดือน เทียบกับ AWS ที่คิดราคาสูงถึง $2,500–$3,500 ต่อเดือนสำหรับสเปกใกล้เคียงกัน แม้จะมีตัวเลือก Reserved Instances ที่ถูกลง แต่ก็ต้องจ่ายล่วงหน้าถึง $46,000 และติดสัญญา 3 ปี

    Rameerez วิจารณ์ว่า Cloud กลายเป็น “กับดัก” สำหรับบริษัทและนักพัฒนา เพราะมันสร้างความซับซ้อนโดยไม่จำเป็น และทำให้เกิดการพึ่งพาแบบผูกขาด เขาเชื่อว่าหลายคนไม่กล้าออกจาก Cloud เพราะกลัวความยุ่งยาก ทั้งที่ความจริงแล้วการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์เองไม่ยากอย่างที่คิด โดยเฉพาะในยุคที่มี AI อย่าง ChatGPT และ Claude คอยช่วยเหลือ

    เขายังชี้ให้เห็นว่า DevOps และ Cloud Engineers จำนวนมากไม่มี “skin in the game” เพราะพวกเขาไม่ได้จ่ายค่า Cloud ด้วยเงินตัวเอง จึงไม่มีแรงจูงใจในการลดต้นทุนให้บริษัท

    การออกจาก Cloud ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
    ค่าใช้จ่ายลดลง 10 เท่า
    ประสิทธิภาพระบบเพิ่มขึ้น 2 เท่า
    ไม่มี vendor lock-in หรือข้อผูกมัดระยะยาว

    ทางเลือกใหม่: เซิร์ฟเวอร์เช่าและ VPS
    Hetzner ให้เซิร์ฟเวอร์ 80-core ในราคา $190/เดือน
    VPS 8-core + RAM 32GB ราคาเพียง $50/เดือน
    ซื้อเซิร์ฟเวอร์เองได้ในราคาไม่ถึง $1,000

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Cloud
    DevOps หลายคนไม่เคยจ่ายค่า Cloud ด้วยตัวเอง
    Cloud ถูกใช้เพราะ “ดูเท่” และ “ซับซ้อน”
    ความกลัวเรื่องความปลอดภัยและความเสถียรถูกใช้เป็นข้ออ้าง

    การกลับมาของการจัดการเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง
    AI ช่วยให้การตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ง่ายขึ้น
    Cloudflare ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยง
    การเรียนรู้ Linux กลายเป็นทักษะสำคัญในยุคใหม่

    ความเสี่ยงจากการใช้ Cloud โดยไม่เข้าใจ
    ค่าใช้จ่ายสูงเกินจริงโดยไม่จำเป็น
    Vendor lock-in ทำให้ย้ายออกยาก
    ความซับซ้อนที่ไม่จำเป็นต่อธุรกิจขนาดเล็ก
    การใช้เทคโนโลยีเกินความจำเป็น เช่น Kubernetes สำหรับแอปเล็ก

    https://rameerez.com/send-this-article-to-your-friend-who-still-thinks-the-cloud-is-a-good-idea/
    ☁️ “ออกจาก Cloud แล้วรวยขึ้น – เส้นทางของนักพัฒนาที่กล้าท้าทายระบบ” Rameerez นักพัฒนาอิสระผู้สร้าง PromptHero และ RailsFast ได้เขียนบทความที่กลายเป็นไวรัล หลังจากเขาตัดสินใจย้ายโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดออกจาก AWS และหันไปใช้เซิร์ฟเวอร์เช่าราคาถูกแทน ผลลัพธ์คือ ลดค่าใช้จ่ายลง 10 เท่า และ เพิ่มประสิทธิภาพระบบขึ้น 2 เท่า โดยไม่ต้องพึ่งพาบริการ Cloud ที่มีราคาแพงและผูกขาด เขาเลือกใช้บริการจาก Hetzner ซึ่งให้เซิร์ฟเวอร์ 80-core ในราคาเพียง $190 ต่อเดือน เทียบกับ AWS ที่คิดราคาสูงถึง $2,500–$3,500 ต่อเดือนสำหรับสเปกใกล้เคียงกัน แม้จะมีตัวเลือก Reserved Instances ที่ถูกลง แต่ก็ต้องจ่ายล่วงหน้าถึง $46,000 และติดสัญญา 3 ปี Rameerez วิจารณ์ว่า Cloud กลายเป็น “กับดัก” สำหรับบริษัทและนักพัฒนา เพราะมันสร้างความซับซ้อนโดยไม่จำเป็น และทำให้เกิดการพึ่งพาแบบผูกขาด เขาเชื่อว่าหลายคนไม่กล้าออกจาก Cloud เพราะกลัวความยุ่งยาก ทั้งที่ความจริงแล้วการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์เองไม่ยากอย่างที่คิด โดยเฉพาะในยุคที่มี AI อย่าง ChatGPT และ Claude คอยช่วยเหลือ เขายังชี้ให้เห็นว่า DevOps และ Cloud Engineers จำนวนมากไม่มี “skin in the game” เพราะพวกเขาไม่ได้จ่ายค่า Cloud ด้วยเงินตัวเอง จึงไม่มีแรงจูงใจในการลดต้นทุนให้บริษัท ✅ การออกจาก Cloud ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ค่าใช้จ่ายลดลง 10 เท่า ➡️ ประสิทธิภาพระบบเพิ่มขึ้น 2 เท่า ➡️ ไม่มี vendor lock-in หรือข้อผูกมัดระยะยาว ✅ ทางเลือกใหม่: เซิร์ฟเวอร์เช่าและ VPS ➡️ Hetzner ให้เซิร์ฟเวอร์ 80-core ในราคา $190/เดือน ➡️ VPS 8-core + RAM 32GB ราคาเพียง $50/เดือน ➡️ ซื้อเซิร์ฟเวอร์เองได้ในราคาไม่ถึง $1,000 ✅ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Cloud ➡️ DevOps หลายคนไม่เคยจ่ายค่า Cloud ด้วยตัวเอง ➡️ Cloud ถูกใช้เพราะ “ดูเท่” และ “ซับซ้อน” ➡️ ความกลัวเรื่องความปลอดภัยและความเสถียรถูกใช้เป็นข้ออ้าง ✅ การกลับมาของการจัดการเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง ➡️ AI ช่วยให้การตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ง่ายขึ้น ➡️ Cloudflare ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยง ➡️ การเรียนรู้ Linux กลายเป็นทักษะสำคัญในยุคใหม่ ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ Cloud โดยไม่เข้าใจ ⛔ ค่าใช้จ่ายสูงเกินจริงโดยไม่จำเป็น ⛔ Vendor lock-in ทำให้ย้ายออกยาก ⛔ ความซับซ้อนที่ไม่จำเป็นต่อธุรกิจขนาดเล็ก ⛔ การใช้เทคโนโลยีเกินความจำเป็น เช่น Kubernetes สำหรับแอปเล็ก https://rameerez.com/send-this-article-to-your-friend-who-still-thinks-the-cloud-is-a-good-idea/
    RAMEEREZ.COM
    Send this article to your friend who still thinks the cloud is a good idea
    You've been lied to. You don't need the cloud – you can just run servers and save 10x your AWS costs. It's not that difficult.
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • “Solarpunk แอฟริกา – เมื่ออนาคตไม่รอใคร”

    ลองจินตนาการว่าไฟฟ้าไม่เคยมาเยือนบ้านคุณเลยตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณได้แสงสว่างจากแผงโซลาร์ที่ผ่อนได้ผ่านมือถือ… นี่คือเรื่องจริงของผู้คนกว่า 600 ล้านคนในแอฟริกา ที่ไม่ได้รอให้รัฐบาลหรือธนาคารโลกมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ แต่ลุกขึ้นมาสร้างมันเองผ่านโมเดล Solarpunk ที่กำลังเปลี่ยนโลก

    ในขณะที่โลกพัฒนาแล้วกำลังถกเถียงเรื่องพลังงานสะอาด แอฟริกากำลังลงมือทำจริง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีราคาถูก การเงินดิจิทัล และโมเดลธุรกิจแบบจ่ายรายวัน (PAYG) ที่ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เข้าถึงได้แม้กับคนที่มีรายได้เพียง $2 ต่อวัน

    ในอดีต การขยายสายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชนบทต้องใช้เงินมหาศาลและเวลานานหลายสิบปี แต่วันนี้ บริษัทสตาร์ทอัพในแอฟริกาอย่าง Sun King และ SunCulture กลับสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ให้เกษตรกรได้ภายในไม่กี่วัน ด้วยเงินดาวน์เพียง $100 และจ่ายรายวันผ่านมือถือ

    ระบบเหล่านี้มาพร้อม IoT ที่สามารถตัดไฟหากไม่จ่าย และเปิดไฟเมื่อชำระเงิน ทำให้เกิดวินัยทางการเงิน และอัตราการชำระหนี้สูงถึง 90% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศที่มีระบบธนาคารเต็มรูปแบบเสียอีก

    ที่น่าทึ่งคือ โมเดลนี้ไม่เพียงให้แสงสว่าง แต่ยังเปลี่ยนชีวิต:
    เกษตรกรสามารถใช้ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มผลผลิต 3-5 เท่า
    เด็กๆ อ่านหนังสือตอนกลางคืนได้
    ผู้หญิงไม่ต้องสูดควันจากเตาเผาดีเซลหรือถ่านอีกต่อไป

    และทั้งหมดนี้ยังสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้อีกด้วย ทำให้ต้นทุนลดลง และขยายตลาดได้มากขึ้น

    สรุปเนื้อหาสำคัญ
    แอฟริกากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานใหม่ด้วยตัวเอง
    ใช้โมเดล Pay-As-You-Go (PAYG) ผ่านมือถือ
    ระบบโซลาร์ติดตั้งง่าย จ่ายรายวันผ่าน M-PESA
    มี IoT ควบคุมการเปิด-ปิดไฟตามการชำระเงิน
    อัตราการชำระหนี้สูงกว่า 90%
    บริษัท Sun King และ SunCulture มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 50%
    ปั๊มน้ำโซลาร์ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรจาก $600 เป็น $14,000 ต่อเอเคอร์
    คาร์บอนเครดิตช่วยลดต้นทุนลง 25-40%
    มีการลงทุนล่วงหน้าโดยองค์กรต่างประเทศ เช่น British International Investment

    การขยายโมเดลนี้ยังมีความเสี่ยง
    ความผันผวนของค่าเงินในประเทศต่างๆ
    ความเสี่ยงด้านนโยบายจากรัฐบาล
    ความผันผวนของราคาคาร์บอนเครดิต
    ความซับซ้อนในการบำรุงรักษาอุปกรณ์
    ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติหรือความไม่มั่นคงทางการเมือง

    ถ้าโมเดลนี้ขยายไปยังเอเชียใต้ ลาตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ไม่ต้องรอ “สายไฟ” อีกต่อไป แต่ใช้แสงแดดเป็นตัวนำทางสู่อนาคต

    https://climatedrift.substack.com/p/why-solarpunk-is-already-happening
    ☀️ “Solarpunk แอฟริกา – เมื่ออนาคตไม่รอใคร” ลองจินตนาการว่าไฟฟ้าไม่เคยมาเยือนบ้านคุณเลยตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณได้แสงสว่างจากแผงโซลาร์ที่ผ่อนได้ผ่านมือถือ… นี่คือเรื่องจริงของผู้คนกว่า 600 ล้านคนในแอฟริกา ที่ไม่ได้รอให้รัฐบาลหรือธนาคารโลกมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ แต่ลุกขึ้นมาสร้างมันเองผ่านโมเดล Solarpunk ที่กำลังเปลี่ยนโลก ในขณะที่โลกพัฒนาแล้วกำลังถกเถียงเรื่องพลังงานสะอาด แอฟริกากำลังลงมือทำจริง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีราคาถูก การเงินดิจิทัล และโมเดลธุรกิจแบบจ่ายรายวัน (PAYG) ที่ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เข้าถึงได้แม้กับคนที่มีรายได้เพียง $2 ต่อวัน ในอดีต การขยายสายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชนบทต้องใช้เงินมหาศาลและเวลานานหลายสิบปี แต่วันนี้ บริษัทสตาร์ทอัพในแอฟริกาอย่าง Sun King และ SunCulture กลับสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ให้เกษตรกรได้ภายในไม่กี่วัน ด้วยเงินดาวน์เพียง $100 และจ่ายรายวันผ่านมือถือ ระบบเหล่านี้มาพร้อม IoT ที่สามารถตัดไฟหากไม่จ่าย และเปิดไฟเมื่อชำระเงิน ทำให้เกิดวินัยทางการเงิน และอัตราการชำระหนี้สูงถึง 90% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศที่มีระบบธนาคารเต็มรูปแบบเสียอีก ที่น่าทึ่งคือ โมเดลนี้ไม่เพียงให้แสงสว่าง แต่ยังเปลี่ยนชีวิต: 📍 เกษตรกรสามารถใช้ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มผลผลิต 3-5 เท่า 📍 เด็กๆ อ่านหนังสือตอนกลางคืนได้ 📍 ผู้หญิงไม่ต้องสูดควันจากเตาเผาดีเซลหรือถ่านอีกต่อไป และทั้งหมดนี้ยังสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้อีกด้วย ทำให้ต้นทุนลดลง และขยายตลาดได้มากขึ้น 📌 สรุปเนื้อหาสำคัญ ✅ แอฟริกากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานใหม่ด้วยตัวเอง ➡️ ใช้โมเดล Pay-As-You-Go (PAYG) ผ่านมือถือ ➡️ ระบบโซลาร์ติดตั้งง่าย จ่ายรายวันผ่าน M-PESA ➡️ มี IoT ควบคุมการเปิด-ปิดไฟตามการชำระเงิน ➡️ อัตราการชำระหนี้สูงกว่า 90% ➡️ บริษัท Sun King และ SunCulture มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% ➡️ ปั๊มน้ำโซลาร์ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรจาก $600 เป็น $14,000 ต่อเอเคอร์ ➡️ คาร์บอนเครดิตช่วยลดต้นทุนลง 25-40% ➡️ มีการลงทุนล่วงหน้าโดยองค์กรต่างประเทศ เช่น British International Investment ‼️ การขยายโมเดลนี้ยังมีความเสี่ยง ⛔ ความผันผวนของค่าเงินในประเทศต่างๆ ⛔ ความเสี่ยงด้านนโยบายจากรัฐบาล ⛔ ความผันผวนของราคาคาร์บอนเครดิต ⛔ ความซับซ้อนในการบำรุงรักษาอุปกรณ์ ⛔ ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติหรือความไม่มั่นคงทางการเมือง ถ้าโมเดลนี้ขยายไปยังเอเชียใต้ ลาตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ไม่ต้องรอ “สายไฟ” อีกต่อไป แต่ใช้แสงแดดเป็นตัวนำทางสู่อนาคต https://climatedrift.substack.com/p/why-solarpunk-is-already-happening
    CLIMATEDRIFT.SUBSTACK.COM
    Why Solarpunk is already happening in Africa
    Or: How Africa is building the future by skipping the past
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • “The Case Against pgvector” – เมื่อเวกเตอร์ใน Postgres ไม่ง่ายอย่างที่คิด

    Alex Jacobs เล่าประสบการณ์ตรงจากการพยายามใช้ pgvector ในระบบโปรดักชันจริง เพื่อสร้างระบบค้นหาเอกสารด้วยเวกเตอร์ แต่กลับพบว่าแม้ pgvector จะดูดีในเดโม แต่เมื่อใช้งานจริงกลับเต็มไปด้วยปัญหาทางเทคนิคและการจัดการที่ซับซ้อน

    เขาไม่ได้บอกว่า pgvector “แย่” แต่ชี้ให้เห็นว่า blog ส่วนใหญ่พูดถึงแค่การติดตั้งและ query เบื้องต้น โดยไม่พูดถึงปัญหาเรื่อง index, memory, query planner, และการจัดการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

    ความเข้าใจผิดจากบล็อกทั่วไป
    ส่วนใหญ่ทดสอบแค่ 10,000 vectors บนเครื่อง local
    ไม่พูดถึงปัญหา memory, index rebuild, หรือ query planner

    ปัญหาเรื่อง Index
    pgvector มี 2 แบบ: IVFFlat และ HNSW
    IVFFlat สร้างเร็วแต่คุณภาพลดลงเมื่อข้อมูลเพิ่ม
    HNSW แม่นยำแต่ใช้ RAM สูงมากและสร้างช้า

    การจัดการข้อมูลใหม่
    การ insert vector ใหม่ทำให้ index เสียสมดุล
    ต้อง rebuild index เป็นระยะ ซึ่งใช้เวลาหลายชั่วโมง
    การ update HNSW graph ทำให้เกิด lock contention

    ปัญหา query planner
    Postgres ไม่เข้าใจ vector search ดีพอ
    การ filter ก่อนหรือหลัง vector search ส่งผลต่อคุณภาพและความเร็ว
    การใช้ LIMIT อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับความต้องการ

    การจัดการ metadata
    ต้อง sync vector กับข้อมูลอื่น เช่น title, user_id
    การ rebuild index ทำให้ข้อมูลอาจไม่ตรงกัน

    การทำ hybrid search
    ต้องเขียนเองทั้งหมด เช่น การรวม full-text กับ vector
    ต้อง normalize score และจัดการ ranking ด้วยตัวเอง

    ทางเลือกใหม่: pgvectorscale
    เพิ่ม StreamingDiskANN และ incremental index
    ยังไม่รองรับบน AWS RDS
    เป็นหลักฐานว่า pgvector เดิมยังไม่พร้อมสำหรับโปรดักชัน

    ข้อเสนอจากผู้เขียน
    ใช้ vector database โดยตรง เช่น Pinecone, Weaviate
    ได้ query planner ที่ฉลาดกว่า
    มี hybrid search และ real-time indexing ในตัว
    ราคาถูกกว่าการ over-provision Postgres และจ้างทีม optimize

    อย่าหลงเชื่อ “แค่ใช้ Postgres ก็พอ”
    pgvector ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ high-velocity ingestion
    ต้องจัดการ memory, index, และ query เองทั้งหมด

    การใช้ HNSW ในโปรดักชัน
    สร้าง index ใช้ RAM มากกว่า 10 GB
    อาจทำให้ database ล่มระหว่างการสร้าง

    การ filter หลัง vector search
    อาจได้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับความต้องการ
    ต้อง oversample และ filter เองใน application

    การใช้ pgvector บน RDS
    ไม่สามารถใช้ pgvectorscale ได้
    ต้องจัดการ Postgres เองทั้งหมด

    นี่คือเสียงเตือนจากคนที่เคยเชื่อว่า “รวมทุกอย่างไว้ใน Postgres จะง่ายกว่า” แต่พบว่าในโลกของ vector search—ความง่ายนั้นอาจซ่อนต้นทุนที่สูงกว่าที่คิดไว้มาก.

    https://alex-jacobs.com/posts/the-case-against-pgvector/
    📰 “The Case Against pgvector” – เมื่อเวกเตอร์ใน Postgres ไม่ง่ายอย่างที่คิด Alex Jacobs เล่าประสบการณ์ตรงจากการพยายามใช้ pgvector ในระบบโปรดักชันจริง เพื่อสร้างระบบค้นหาเอกสารด้วยเวกเตอร์ แต่กลับพบว่าแม้ pgvector จะดูดีในเดโม แต่เมื่อใช้งานจริงกลับเต็มไปด้วยปัญหาทางเทคนิคและการจัดการที่ซับซ้อน เขาไม่ได้บอกว่า pgvector “แย่” แต่ชี้ให้เห็นว่า blog ส่วนใหญ่พูดถึงแค่การติดตั้งและ query เบื้องต้น โดยไม่พูดถึงปัญหาเรื่อง index, memory, query planner, และการจัดการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ✅ ความเข้าใจผิดจากบล็อกทั่วไป ➡️ ส่วนใหญ่ทดสอบแค่ 10,000 vectors บนเครื่อง local ➡️ ไม่พูดถึงปัญหา memory, index rebuild, หรือ query planner ✅ ปัญหาเรื่อง Index ➡️ pgvector มี 2 แบบ: IVFFlat และ HNSW ➡️ IVFFlat สร้างเร็วแต่คุณภาพลดลงเมื่อข้อมูลเพิ่ม ➡️ HNSW แม่นยำแต่ใช้ RAM สูงมากและสร้างช้า ✅ การจัดการข้อมูลใหม่ ➡️ การ insert vector ใหม่ทำให้ index เสียสมดุล ➡️ ต้อง rebuild index เป็นระยะ ซึ่งใช้เวลาหลายชั่วโมง ➡️ การ update HNSW graph ทำให้เกิด lock contention ✅ ปัญหา query planner ➡️ Postgres ไม่เข้าใจ vector search ดีพอ ➡️ การ filter ก่อนหรือหลัง vector search ส่งผลต่อคุณภาพและความเร็ว ➡️ การใช้ LIMIT อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับความต้องการ ✅ การจัดการ metadata ➡️ ต้อง sync vector กับข้อมูลอื่น เช่น title, user_id ➡️ การ rebuild index ทำให้ข้อมูลอาจไม่ตรงกัน ✅ การทำ hybrid search ➡️ ต้องเขียนเองทั้งหมด เช่น การรวม full-text กับ vector ➡️ ต้อง normalize score และจัดการ ranking ด้วยตัวเอง ✅ ทางเลือกใหม่: pgvectorscale ➡️ เพิ่ม StreamingDiskANN และ incremental index ➡️ ยังไม่รองรับบน AWS RDS ➡️ เป็นหลักฐานว่า pgvector เดิมยังไม่พร้อมสำหรับโปรดักชัน ✅ ข้อเสนอจากผู้เขียน ➡️ ใช้ vector database โดยตรง เช่น Pinecone, Weaviate ➡️ ได้ query planner ที่ฉลาดกว่า ➡️ มี hybrid search และ real-time indexing ในตัว ➡️ ราคาถูกกว่าการ over-provision Postgres และจ้างทีม optimize ‼️ อย่าหลงเชื่อ “แค่ใช้ Postgres ก็พอ” ⛔ pgvector ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ high-velocity ingestion ⛔ ต้องจัดการ memory, index, และ query เองทั้งหมด ‼️ การใช้ HNSW ในโปรดักชัน ⛔ สร้าง index ใช้ RAM มากกว่า 10 GB ⛔ อาจทำให้ database ล่มระหว่างการสร้าง ‼️ การ filter หลัง vector search ⛔ อาจได้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับความต้องการ ⛔ ต้อง oversample และ filter เองใน application ‼️ การใช้ pgvector บน RDS ⛔ ไม่สามารถใช้ pgvectorscale ได้ ⛔ ต้องจัดการ Postgres เองทั้งหมด นี่คือเสียงเตือนจากคนที่เคยเชื่อว่า “รวมทุกอย่างไว้ใน Postgres จะง่ายกว่า” แต่พบว่าในโลกของ vector search—ความง่ายนั้นอาจซ่อนต้นทุนที่สูงกว่าที่คิดไว้มาก. https://alex-jacobs.com/posts/the-case-against-pgvector/
    ALEX-JACOBS.COM
    The Case Against pgvector | Alex Jacobs
    What happens when you try to run pgvector in production and discover all the things the blog posts conveniently forgot to mention
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • ย้อนรอยความสำเร็จ Debbie Gibson และ “Foolish Beat” เพลงบัลลาดแห่งยุค 80s

    ในยุค 80s ที่ดนตรีป๊อปกำลังเบ่งบาน Debbie Gibson คือหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง ด้วยเพลง “Foolish Beat” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นซิงเกิ้ลฮิตอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของเธอในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักร้อง บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติของเพลงและศิลปิน ความหมายเบื้องลึก ความนิยมที่สร้างประวัติศาสตร์ พร้อมกับมุมมองส่วนตัวของผมที่มองว่าเธอคือ “Princess of Pop” ที่ไม่มีใครเทียบได้แม้กระทั่งในปัจจุบัน

    ประวัติของศิลปิน: Debbie Gibson
    Debbie Gibson หรือชื่อเต็ม Deborah Ann Gibson เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1970 ที่เมืองบรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยร้องในคณะประสานเสียงเด็กของ Metropolitan Opera House ตอนอายุ 8 ขวบ ในวัย 16 ปี ขณะที่ยังเรียนมัธยม เธอเซ็นสัญญากับค่าย Atlantic Records และเริ่มแสดงในไนต์คลับทั่วสหรัฐฯ บางครั้งเล่นถึงสามเซ็ตต่อคืนแม้จะมีตารางเรียนหนัก
    อัลบั้มเดบิวต์ของเธอ Out of the Blue (1987) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยมีซิงเกิ้ลฮิตติดท็อป 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ถึงสี่เพลง ได้แก่ “Only in My Dreams”, “Shake Your Love”, “Out of the Blue” และ “Foolish Beat” อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านแผ่นและได้รับสถานะ multi-platinum ตามมาด้วยอัลบั้ม Electric Youth (1989) ที่มีเพลงฮิตอันดับหนึ่งอีกเพลงอย่าง “Lost in Your Eyes” ทำให้เธอมีซิงเกิ้ลท็อป 10 รวมห้าเพลง
    หลังจากยุคป๊อปวัยรุ่น เธอหันไปทำงานละครบรอดเวย์ เช่น เล่นใน Les Misérables, Grease, Cabaret และ Beauty and the Beast เธอยังคง active ในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการออกอัลบั้มใหม่และทัวร์คอนเสิร์ต Debbie Gibson คือตัวอย่างของศิลปินที่เริ่มจาก teen idol แต่พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินหลากหลายแขนง

    ประวัติของเพลง Foolish Beat
    “Foolish Beat” เป็นซิงเกิ้ลที่สี่จากอัลบั้ม Out of the Blue ปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1988 (บางแหล่งระบุเมษายน) เพลงนี้แตกต่างจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าที่เป็นแนว upbeat โดยเป็นบัลลาดเศร้าที่ Debbie เขียน โปรดิวซ์ และร้องเองทั้งหมด เธอทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ Fred Zarr เพื่อบันทึกอัลบั้มนี้ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์
    มิวสิกวิดีโอของเพลง กำกับโดย Nick Willing แสดงภาพ Debbie ในบรรยากาศเศร้า เช่น ในคาบาเรต์ ถนนเมือง และร้านอาหารที่เธอนั่งคนเดียว ซึ่งได้รับการออกอากาศบน MTV และ VH1 ในปี 2010 เธอรีเรคคอร์ดเพลงนี้ใหม่สำหรับ Deluxe Edition ของอัลบั้มญี่ปุ่น เพลงนี้ยังถูกปล่อยในญี่ปุ่นเป็น B-side ของ “Out of the Blue”

    ความหมายของเพลง
    “Foolish Beat” พูดถึงความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นที่อกหักครั้งแรก เธอรู้สึกเศร้า สงสัยว่าตัวเองจะรักใครได้อีกไหม และตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความรักจบลงด้วย “foolish beat” หรือจังหวะโง่เขลาในหัวใจ Debbie เขียนเพลงนี้ตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์จริงในความรัก เธอ “เดา” ว่าความรักและการสูญเสียจะเป็นยังไง แต่เนื้อเพลงที่เรียบง่ายกลับเปิดช่องให้ผู้ฟังเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในสัมภาษณ์ปี 2013 เธอบอกว่าตอนนี้เธอร้องเพลงนี้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังจากผ่านความรักจริงๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่บัลลาดป๊อป แต่เป็นการสำรวจอารมณ์ที่ซับซ้อนสำหรับวัยรุ่น

    ความดังและความนิยม
    “Foolish Beat” ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 ทำให้ Debbie วัย 17 ปี 9 เดือน กลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เขียน โปรดิวซ์ และร้องเพลงฮิตอันดับหนึ่งด้วยตัวเอง บันทึกนี้ถูกทำลายโดย Soulja Boy ในปี 2007 แต่เธอยังคงเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ เพลงนี้ยังติดท็อป 5 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ ท็อป 10 ในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์
    ความนิยมของเพลงช่วยผลักดันอัลบั้ม Out of the Blue ให้ขึ้นอันดับ 7 บน Billboard 200 และทำให้ Debbie กลายเป็นไอดอลวัยรุ่นที่ปรากฏบนปกนิตยสารทั่วโลก แม้ในปี 2025 เพลงนี้ยังถูกกล่าวถึงในบทความและโซเชียลมีเดีย เช่น บน Reddit ที่แฟนๆ ยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s และในบทความ回顾ประวัติศาสตร์ดนตรี

    มุมมองส่วนตัว: Debbie Gibson คือ Princess of Pop ที่ไม่มีใครเทียบ
    จากประสบการณ์ของผมที่ติดตามดนตรีป๊อปมานาน Debbie Gibson คือ “Princess of Pop” แท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้จนถึงปัจจุบัน เธอไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่เขียนและโปรดิวซ์เองตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคที่ศิลปินวัยรุ่นมักถูกควบคุมโดยค่าย เธอสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง ทำให้เพลงอย่าง “Foolish Beat” มีความจริงใจและลึกซึ้ง แม้ในยุคปัจจุบันที่มีศิลปินอย่าง Britney Spears หรือ Taylor Swift ที่ถูกเรียกในชื่อคล้ายกัน แต่ Debbie คือต้นแบบที่ผสมผสานพรสวรรค์ดนตรีกับภาพลักษณ์สดใสแบบวัยรุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอปูทางให้ศิลปินรุ่นหลัง และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ความมหัศจรรย์ของเธอยังคงอยู่ เหมือนกับที่เพลง “Foolish Beat” สอนเราเรื่องความรักที่ไม่มีวันเก่า

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=bAhmMOJjTnk
    👑 ย้อนรอยความสำเร็จ Debbie Gibson และ “Foolish Beat” เพลงบัลลาดแห่งยุค 80s 🕰️ ในยุค 80s ที่ดนตรีป๊อปกำลังเบ่งบาน Debbie Gibson คือหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง ด้วยเพลง “Foolish Beat” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นซิงเกิ้ลฮิตอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของเธอในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักร้อง บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติของเพลงและศิลปิน ความหมายเบื้องลึก ความนิยมที่สร้างประวัติศาสตร์ พร้อมกับมุมมองส่วนตัวของผมที่มองว่าเธอคือ “Princess of Pop” ที่ไม่มีใครเทียบได้แม้กระทั่งในปัจจุบัน 🎤 ประวัติของศิลปิน: Debbie Gibson Debbie Gibson หรือชื่อเต็ม Deborah Ann Gibson เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1970 ที่เมืองบรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยร้องในคณะประสานเสียงเด็กของ Metropolitan Opera House ตอนอายุ 8 ขวบ ในวัย 16 ปี ขณะที่ยังเรียนมัธยม เธอเซ็นสัญญากับค่าย Atlantic Records และเริ่มแสดงในไนต์คลับทั่วสหรัฐฯ บางครั้งเล่นถึงสามเซ็ตต่อคืนแม้จะมีตารางเรียนหนัก อัลบั้มเดบิวต์ของเธอ Out of the Blue (1987) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยมีซิงเกิ้ลฮิตติดท็อป 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ถึงสี่เพลง ได้แก่ “Only in My Dreams”, “Shake Your Love”, “Out of the Blue” และ “Foolish Beat” อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านแผ่นและได้รับสถานะ multi-platinum ตามมาด้วยอัลบั้ม Electric Youth (1989) ที่มีเพลงฮิตอันดับหนึ่งอีกเพลงอย่าง “Lost in Your Eyes” ทำให้เธอมีซิงเกิ้ลท็อป 10 รวมห้าเพลง หลังจากยุคป๊อปวัยรุ่น เธอหันไปทำงานละครบรอดเวย์ เช่น เล่นใน Les Misérables, Grease, Cabaret และ Beauty and the Beast เธอยังคง active ในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการออกอัลบั้มใหม่และทัวร์คอนเสิร์ต Debbie Gibson คือตัวอย่างของศิลปินที่เริ่มจาก teen idol แต่พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินหลากหลายแขนง 🎶 ประวัติของเพลง Foolish Beat “Foolish Beat” เป็นซิงเกิ้ลที่สี่จากอัลบั้ม Out of the Blue ปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1988 (บางแหล่งระบุเมษายน) เพลงนี้แตกต่างจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าที่เป็นแนว upbeat โดยเป็นบัลลาดเศร้าที่ Debbie เขียน โปรดิวซ์ และร้องเองทั้งหมด เธอทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ Fred Zarr เพื่อบันทึกอัลบั้มนี้ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์ มิวสิกวิดีโอของเพลง กำกับโดย Nick Willing แสดงภาพ Debbie ในบรรยากาศเศร้า เช่น ในคาบาเรต์ ถนนเมือง และร้านอาหารที่เธอนั่งคนเดียว ซึ่งได้รับการออกอากาศบน MTV และ VH1 ในปี 2010 เธอรีเรคคอร์ดเพลงนี้ใหม่สำหรับ Deluxe Edition ของอัลบั้มญี่ปุ่น เพลงนี้ยังถูกปล่อยในญี่ปุ่นเป็น B-side ของ “Out of the Blue” 💔 ความหมายของเพลง “Foolish Beat” พูดถึงความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นที่อกหักครั้งแรก เธอรู้สึกเศร้า สงสัยว่าตัวเองจะรักใครได้อีกไหม และตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความรักจบลงด้วย “foolish beat” หรือจังหวะโง่เขลาในหัวใจ Debbie เขียนเพลงนี้ตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์จริงในความรัก เธอ “เดา” ว่าความรักและการสูญเสียจะเป็นยังไง แต่เนื้อเพลงที่เรียบง่ายกลับเปิดช่องให้ผู้ฟังเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในสัมภาษณ์ปี 2013 เธอบอกว่าตอนนี้เธอร้องเพลงนี้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังจากผ่านความรักจริงๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่บัลลาดป๊อป แต่เป็นการสำรวจอารมณ์ที่ซับซ้อนสำหรับวัยรุ่น 🌟 ความดังและความนิยม “Foolish Beat” ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 ทำให้ Debbie วัย 17 ปี 9 เดือน กลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เขียน โปรดิวซ์ และร้องเพลงฮิตอันดับหนึ่งด้วยตัวเอง บันทึกนี้ถูกทำลายโดย Soulja Boy ในปี 2007 แต่เธอยังคงเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ เพลงนี้ยังติดท็อป 5 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ ท็อป 10 ในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ความนิยมของเพลงช่วยผลักดันอัลบั้ม Out of the Blue ให้ขึ้นอันดับ 7 บน Billboard 200 และทำให้ Debbie กลายเป็นไอดอลวัยรุ่นที่ปรากฏบนปกนิตยสารทั่วโลก แม้ในปี 2025 เพลงนี้ยังถูกกล่าวถึงในบทความและโซเชียลมีเดีย เช่น บน Reddit ที่แฟนๆ ยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s และในบทความ回顾ประวัติศาสตร์ดนตรี 👑 มุมมองส่วนตัว: Debbie Gibson คือ Princess of Pop ที่ไม่มีใครเทียบ จากประสบการณ์ของผมที่ติดตามดนตรีป๊อปมานาน Debbie Gibson คือ “Princess of Pop” แท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้จนถึงปัจจุบัน เธอไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่เขียนและโปรดิวซ์เองตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคที่ศิลปินวัยรุ่นมักถูกควบคุมโดยค่าย เธอสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง ทำให้เพลงอย่าง “Foolish Beat” มีความจริงใจและลึกซึ้ง แม้ในยุคปัจจุบันที่มีศิลปินอย่าง Britney Spears หรือ Taylor Swift ที่ถูกเรียกในชื่อคล้ายกัน แต่ Debbie คือต้นแบบที่ผสมผสานพรสวรรค์ดนตรีกับภาพลักษณ์สดใสแบบวัยรุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอปูทางให้ศิลปินรุ่นหลัง และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ความมหัศจรรย์ของเธอยังคงอยู่ เหมือนกับที่เพลง “Foolish Beat” สอนเราเรื่องความรักที่ไม่มีวันเก่า 🎗️ #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=bAhmMOJjTnk
    0 Comments 0 Shares 285 Views 0 Reviews
  • เบื้องหลังนายกฯขอโทษคนไทย ก็เพราะมือขวาครูใหญ่ สั่งนายกฯปากไวให้แก้ปัญหาด้วยตัวเอง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เบื้องหลังนายกฯขอโทษคนไทย ก็เพราะมือขวาครูใหญ่ สั่งนายกฯปากไวให้แก้ปัญหาด้วยตัวเอง #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    2
    0 Comments 1 Shares 408 Views 0 0 Reviews
  • “ความไม่จริงใจในการใช้ AI เขียนบทความ”

    บทความนี้สะท้อนความรู้สึกของผู้เขียนที่ผิดหวังและไม่พอใจเมื่อพบว่าเนื้อหาที่ตนอ่านนั้นถูกสร้างขึ้นโดย AI โดยไม่มีความพยายามหรือความตั้งใจจากผู้เขียนเลย ผู้เขียนมองว่า การใช้ AI เขียนบทความโดยไม่ใส่ความเป็นตัวตนหรือประสบการณ์จริงของมนุษย์ เป็นการลดคุณค่าของการสื่อสาร และทำให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนถูกหลอก

    คุณค่าของการเขียนด้วยตัวเอง
    การเขียนด้วยตนเองสะท้อนความคิด ประสบการณ์ และอารมณ์ที่แท้จริง
    ความผิดพลาดในการเขียนคือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต
    การกล้าแสดงความไม่สมบูรณ์แบบคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีเสน่ห์

    ความสำคัญของการขอความช่วยเหลือ
    ไม่ควรกลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
    การเรียนรู้ร่วมกันทำให้เกิดความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดี

    ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน
    ผู้อ่านต้องการรู้จัก “ตัวตน” ของผู้เขียน ไม่ใช่แค่เนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไร้จิตวิญญาณ
    การเขียนคือการเปิดใจ ไม่ใช่แค่การส่งข้อมูล

    สิ่งที่ไม่ควรทำตาม
    ใช้ AI เขียนบทความทั้งหมดโดยไม่ใส่ความคิดหรือประสบการณ์ของตนเอง
    หลีกเลี่ยงการเขียนเพียงเพื่อ “ให้มีเนื้อหา” โดยไม่สนใจคุณภาพหรือความจริงใจ
    ปิดกั้นตัวเองจากการเรียนรู้ผ่านความผิดพลาด เพราะกลัวจะดูไม่สมบูรณ์

    ข้อคิดจากบทความนี้: AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ไม่ควรใช้แทน “หัวใจ” ของผู้เขียน การเขียนที่ดีไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้อง “จริงใจ” และ “มีตัวตน” เพราะนั่นคือสิ่งที่เชื่อมโยงเรากับผู้อ่านได้ดีที่สุด

    https://blog.pabloecortez.com/its-insulting-to-read-your-ai-generated-blog-post/
    📝 “ความไม่จริงใจในการใช้ AI เขียนบทความ” บทความนี้สะท้อนความรู้สึกของผู้เขียนที่ผิดหวังและไม่พอใจเมื่อพบว่าเนื้อหาที่ตนอ่านนั้นถูกสร้างขึ้นโดย AI โดยไม่มีความพยายามหรือความตั้งใจจากผู้เขียนเลย ผู้เขียนมองว่า การใช้ AI เขียนบทความโดยไม่ใส่ความเป็นตัวตนหรือประสบการณ์จริงของมนุษย์ เป็นการลดคุณค่าของการสื่อสาร และทำให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนถูกหลอก ✅ คุณค่าของการเขียนด้วยตัวเอง ➡️ การเขียนด้วยตนเองสะท้อนความคิด ประสบการณ์ และอารมณ์ที่แท้จริง ➡️ ความผิดพลาดในการเขียนคือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต ➡️ การกล้าแสดงความไม่สมบูรณ์แบบคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีเสน่ห์ ✅ ความสำคัญของการขอความช่วยเหลือ ➡️ ไม่ควรกลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ➡️ การเรียนรู้ร่วมกันทำให้เกิดความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดี ✅ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน ➡️ ผู้อ่านต้องการรู้จัก “ตัวตน” ของผู้เขียน ไม่ใช่แค่เนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไร้จิตวิญญาณ ➡️ การเขียนคือการเปิดใจ ไม่ใช่แค่การส่งข้อมูล ‼️ สิ่งที่ไม่ควรทำตาม ⛔ ใช้ AI เขียนบทความทั้งหมดโดยไม่ใส่ความคิดหรือประสบการณ์ของตนเอง ⛔ หลีกเลี่ยงการเขียนเพียงเพื่อ “ให้มีเนื้อหา” โดยไม่สนใจคุณภาพหรือความจริงใจ ⛔ ปิดกั้นตัวเองจากการเรียนรู้ผ่านความผิดพลาด เพราะกลัวจะดูไม่สมบูรณ์ 💡 ข้อคิดจากบทความนี้: AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ไม่ควรใช้แทน “หัวใจ” ของผู้เขียน การเขียนที่ดีไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้อง “จริงใจ” และ “มีตัวตน” เพราะนั่นคือสิ่งที่เชื่อมโยงเรากับผู้อ่านได้ดีที่สุด https://blog.pabloecortez.com/its-insulting-to-read-your-ai-generated-blog-post/
    BLOG.PABLOECORTEZ.COM
    It's insulting to read your AI-generated blog post
    It seems so rude and careless to make me, a person with thoughts, ideas, humor, contradictions and life experience to read something spit out by the equivale...
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • “งานวิจัยระดับชาติชี้ชัด – โปรแกรม Montessori ในโรงเรียนรัฐช่วยพัฒนาเด็กเล็กได้ดีกว่า แถมประหยัดงบประมาณ”

    ในยุคที่การศึกษาปฐมวัยถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและผลลัพธ์ระยะยาว งานวิจัยระดับชาติที่เพิ่งเผยแพร่โดยทีมจาก University of Virginia, University of Pennsylvania และ American Institutes for Research ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการการศึกษา ด้วยการพิสูจน์ว่า “โปรแกรม Montessori ในโรงเรียนรัฐ” ไม่เพียงช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ที่เหนือกว่า แต่ยังใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบปกติอย่างชัดเจน

    โปรแกรม Montessori คือแนวทางการศึกษาที่เน้นให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านการลงมือทำ โดยมีครูเป็นผู้แนะนำมากกว่าการสอนแบบตรง ๆ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย Dr. Maria Montessori แพทย์และนักการศึกษาชาวอิตาลีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

    แนวคิดหลักของ Montessori
    การเรียนรู้ที่เน้นความเป็นธรรมชาติของเด็ก
    ครูเป็น “ผู้นำทาง” ไม่ใช่ “ผู้สอน” ครูจะสังเกตพฤติกรรมและความสนใจของเด็ก แล้วจัดกิจกรรมให้เหมาะสม
    รวมห้องเรียนแบบหลายวัย (Mixed-age classroom)
    ใช้สื่อการเรียนรู้ที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กเข้าใจแนวคิดผ่านการสัมผัสและลงมือทำ
    ช่วงเวลาเรียนรู้ต่อเนื่อง (Uninterrupted Work Period) เด็กมีเวลา 2–3 ชั่วโมงในการทำกิจกรรมที่เลือกเองโดยไม่ถูกรบกวน

    งานวิจัยนี้เป็นการทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trial) ครั้งแรกในระดับประเทศ โดยติดตามเด็ก 588 คนจากโรงเรียนรัฐที่ใช้ระบบ Montessori ทั่วสหรัฐฯ พบว่าเด็กที่ได้เข้าเรียนในโปรแกรม Montessori มีผลการเรียนรู้ที่ดีกว่าในด้านการอ่าน ความจำ การควบคุมตนเอง และความเข้าใจทางสังคม เมื่อเทียบกับเด็กที่เรียนในระบบปกติ

    ที่น่าทึ่งคือ โปรแกรม Montessori ใช้งบประมาณน้อยกว่าถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อคนในช่วงอายุ 3–6 ปี โดยอาศัยโครงสร้างห้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ เช่น การเรียนรู้แบบหลายวัย (mixed-age) ที่เด็กช่วยสอนกันเอง และการใช้ครูอย่างคุ้มค่า

    ผลลัพธ์ยังชี้ว่า เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบนี้ ซึ่งสะท้อนถึงรากเหง้าของ Montessori ที่เริ่มต้นในชุมชนแออัดของกรุงโรมเมื่อกว่า 100 ปีก่อน

    ผลการศึกษาระดับชาติ
    ติดตามเด็ก 588 คนในโรงเรียนรัฐที่ใช้ระบบ Montessori
    ใช้การทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trial) เป็นครั้งแรกในระดับประเทศ

    ผลลัพธ์ด้านการเรียนรู้
    เด็ก Montessori มีคะแนนสูงกว่าในด้านการอ่าน ความจำ การควบคุมตนเอง และความเข้าใจทางสังคม
    ผลลัพธ์ยังคงอยู่จนถึงปลายชั้นอนุบาล ไม่หายไปเหมือนโปรแกรมอื่น

    ความคุ้มค่าทางงบประมาณ
    ใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบปกติถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อคน
    โครงสร้างห้องเรียนแบบหลายวัยช่วยให้เด็กเรียนรู้จากกันและกัน
    ครูมีความพึงพอใจในงานสูงขึ้น และมีอัตราการลาออกต่ำลง

    ผลกระทบต่อเด็กทุกกลุ่ม
    เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
    เด็กทุกกลุ่มได้รับประโยชน์จากระบบ Montessori

    ความหมายเชิงนโยบาย
    โปรแกรม Montessori ควรได้รับการสนับสนุนในโรงเรียนรัฐมากขึ้น
    เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและประหยัดสำหรับการศึกษาปฐมวัย

    https://phys.org/news/2025-10-national-montessori-early-outcomes-sharply.html
    📰 “งานวิจัยระดับชาติชี้ชัด – โปรแกรม Montessori ในโรงเรียนรัฐช่วยพัฒนาเด็กเล็กได้ดีกว่า แถมประหยัดงบประมาณ” ในยุคที่การศึกษาปฐมวัยถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและผลลัพธ์ระยะยาว งานวิจัยระดับชาติที่เพิ่งเผยแพร่โดยทีมจาก University of Virginia, University of Pennsylvania และ American Institutes for Research ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการการศึกษา ด้วยการพิสูจน์ว่า “โปรแกรม Montessori ในโรงเรียนรัฐ” ไม่เพียงช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ที่เหนือกว่า แต่ยังใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบปกติอย่างชัดเจน โปรแกรม Montessori คือแนวทางการศึกษาที่เน้นให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านการลงมือทำ โดยมีครูเป็นผู้แนะนำมากกว่าการสอนแบบตรง ๆ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย Dr. Maria Montessori แพทย์และนักการศึกษาชาวอิตาลีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 🧠 แนวคิดหลักของ Montessori 🎗️ การเรียนรู้ที่เน้นความเป็นธรรมชาติของเด็ก 🎗️ ครูเป็น “ผู้นำทาง” ไม่ใช่ “ผู้สอน” ครูจะสังเกตพฤติกรรมและความสนใจของเด็ก แล้วจัดกิจกรรมให้เหมาะสม 🎗️ รวมห้องเรียนแบบหลายวัย (Mixed-age classroom) 🎗️ ใช้สื่อการเรียนรู้ที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กเข้าใจแนวคิดผ่านการสัมผัสและลงมือทำ 🎗️ ช่วงเวลาเรียนรู้ต่อเนื่อง (Uninterrupted Work Period) เด็กมีเวลา 2–3 ชั่วโมงในการทำกิจกรรมที่เลือกเองโดยไม่ถูกรบกวน งานวิจัยนี้เป็นการทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trial) ครั้งแรกในระดับประเทศ โดยติดตามเด็ก 588 คนจากโรงเรียนรัฐที่ใช้ระบบ Montessori ทั่วสหรัฐฯ พบว่าเด็กที่ได้เข้าเรียนในโปรแกรม Montessori มีผลการเรียนรู้ที่ดีกว่าในด้านการอ่าน ความจำ การควบคุมตนเอง และความเข้าใจทางสังคม เมื่อเทียบกับเด็กที่เรียนในระบบปกติ ที่น่าทึ่งคือ โปรแกรม Montessori ใช้งบประมาณน้อยกว่าถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อคนในช่วงอายุ 3–6 ปี โดยอาศัยโครงสร้างห้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ เช่น การเรียนรู้แบบหลายวัย (mixed-age) ที่เด็กช่วยสอนกันเอง และการใช้ครูอย่างคุ้มค่า ผลลัพธ์ยังชี้ว่า เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบนี้ ซึ่งสะท้อนถึงรากเหง้าของ Montessori ที่เริ่มต้นในชุมชนแออัดของกรุงโรมเมื่อกว่า 100 ปีก่อน ✅ ผลการศึกษาระดับชาติ ➡️ ติดตามเด็ก 588 คนในโรงเรียนรัฐที่ใช้ระบบ Montessori ➡️ ใช้การทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trial) เป็นครั้งแรกในระดับประเทศ ✅ ผลลัพธ์ด้านการเรียนรู้ ➡️ เด็ก Montessori มีคะแนนสูงกว่าในด้านการอ่าน ความจำ การควบคุมตนเอง และความเข้าใจทางสังคม ➡️ ผลลัพธ์ยังคงอยู่จนถึงปลายชั้นอนุบาล ไม่หายไปเหมือนโปรแกรมอื่น ✅ ความคุ้มค่าทางงบประมาณ ➡️ ใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบปกติถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อคน ➡️ โครงสร้างห้องเรียนแบบหลายวัยช่วยให้เด็กเรียนรู้จากกันและกัน ➡️ ครูมีความพึงพอใจในงานสูงขึ้น และมีอัตราการลาออกต่ำลง ✅ ผลกระทบต่อเด็กทุกกลุ่ม ➡️ เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ➡️ เด็กทุกกลุ่มได้รับประโยชน์จากระบบ Montessori ✅ ความหมายเชิงนโยบาย ➡️ โปรแกรม Montessori ควรได้รับการสนับสนุนในโรงเรียนรัฐมากขึ้น ➡️ เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและประหยัดสำหรับการศึกษาปฐมวัย https://phys.org/news/2025-10-national-montessori-early-outcomes-sharply.html
    PHYS.ORG
    National study finds public Montessori programs strengthen early learning outcomes—at sharply lower costs
    The first national randomized trial of public Montessori preschool students showed stronger long-term outcomes by kindergarten, including elevated reading, memory, and executive function as compared to non-Montessori preschoolers.
    0 Comments 0 Shares 230 Views 0 Reviews
  • ♣ นายกฯเคยการันตีคุณสมบัติรัฐมนตรีทุกคน แถมเคยประกาศในสภาฯ ว่าใครเอี่ยวสีเทาจะตรวจสอบด้วยตัวเอง แต่จนถึงวันนี้ วันที่รัฐมนตรีชิงบาออกหลบการตรวจสอบ นายกฯ จะรับผิดชอบอย่างไร
    #7ดอกจิก
    ♣ นายกฯเคยการันตีคุณสมบัติรัฐมนตรีทุกคน แถมเคยประกาศในสภาฯ ว่าใครเอี่ยวสีเทาจะตรวจสอบด้วยตัวเอง แต่จนถึงวันนี้ วันที่รัฐมนตรีชิงบาออกหลบการตรวจสอบ นายกฯ จะรับผิดชอบอย่างไร #7ดอกจิก
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • “Idealist.org ลดค่าใช้จ่ายจาก $3,000 เหลือ $55 ต่อเดือน – เปลี่ยนจาก Heroku มาใช้เซิร์ฟเวอร์เดียวกับ Disco!”

    Idealist.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์หางานด้าน nonprofit ที่มีผู้ใช้งานหลายล้านคนต่อเดือน เคยใช้ Heroku สำหรับ staging environment โดยเสียค่าใช้จ่ายถึง $500 ต่อ environment และมีทั้งหมด 6 environment รวมแล้วจ่ายถึง $3,000 ต่อเดือน แค่เพื่อการทดสอบก่อนปล่อยจริง!

    ทีมงานจึงทดลองย้าย staging environment ไปยังเซิร์ฟเวอร์เดียวบน Hetzner ราคาเพียง $55 ต่อเดือน โดยใช้เครื่องมือชื่อว่า Disco ซึ่งช่วยให้ยังคง workflow แบบ “git push to deploy” ได้เหมือนเดิม

    Disco ไม่ใช่แค่ docker-compose ธรรมดา แต่ให้ฟีเจอร์แบบ PaaS เช่น deploy อัตโนมัติ, SSL certificate, UI สำหรับดู log และจัดการ environment ได้ง่าย ๆ ทำให้ทีมสามารถสร้าง staging ใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาตหรือกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย

    ผลลัพธ์คือจากเดิมที่มีแค่ 2 environment (dev และ main) ตอนนี้มีถึง 6 environment บนเซิร์ฟเวอร์เดียว โดยใช้ CPU แค่ ~2% และ RAM 14 GB จาก 32 GB เท่านั้น

    แม้จะต้องจัดการ DNS, CDN และดูแลเซิร์ฟเวอร์เอง แต่ทีมยอมรับได้ เพราะประหยัดงบมหาศาล และได้ความคล่องตัวในการพัฒนาเพิ่มขึ้น

    ปัญหาที่พบจากการใช้ Heroku
    ค่าใช้จ่ายสูงถึง $500 ต่อ staging environment
    ต้องจำกัดจำนวน environment เพราะงบประมาณ
    ระบบ staging กลายเป็นทรัพยากรที่หายากและต้องขออนุญาตก่อนใช้

    แนวทางใหม่ที่ใช้ Disco บนเซิร์ฟเวอร์เดียว
    ใช้ Hetzner CCX33 ราคา $55/เดือน
    ใช้ Disco เพื่อรักษา workflow แบบ git push to deploy
    แชร์ Postgres instance เดียวกันสำหรับ staging ทั้งหมด
    สร้าง environment ใหม่ได้ง่ายและรวดเร็ว
    ใช้ CPU ~2% และ RAM 14 GB จาก 32 GB

    ฟีเจอร์ของ Disco ที่ช่วยให้ใช้งานง่าย
    deploy อัตโนมัติแบบ zero-downtime
    SSL certificate อัตโนมัติสำหรับทุก branch
    UI สำหรับดู log และจัดการ environment
    ไม่ต้องเขียน automation เองเหมือนใช้ VPS แบบดิบ ๆ

    ผลลัพธ์ที่ได้
    ลดค่าใช้จ่ายจาก $3,000 เหลือ $55 ต่อเดือน
    สร้าง staging ได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาต
    เพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาและทดสอบ
    เปลี่ยน mindset จาก “staging เป็นของแพง” เป็น “staging เป็นของฟรี”

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    ต้องจัดการ DNS และ CDN ด้วยตัวเอง
    ต้องดูแลเรื่อง security และ monitoring ของเซิร์ฟเวอร์
    หากเซิร์ฟเวอร์ล่ม ต้อง reprovision ใหม่เอง
    ต้องปรับ networking ของแอปให้เข้ากับ Docker
    Disco ยังไม่เหมาะกับ workload ที่ต้อง redundancy สูง

    https://disco.cloud/blog/how-idealistorg-replaced-a-3000mo-heroku-bill-with-a-55mo-server/
    💸 “Idealist.org ลดค่าใช้จ่ายจาก $3,000 เหลือ $55 ต่อเดือน – เปลี่ยนจาก Heroku มาใช้เซิร์ฟเวอร์เดียวกับ Disco!” Idealist.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์หางานด้าน nonprofit ที่มีผู้ใช้งานหลายล้านคนต่อเดือน เคยใช้ Heroku สำหรับ staging environment โดยเสียค่าใช้จ่ายถึง $500 ต่อ environment และมีทั้งหมด 6 environment รวมแล้วจ่ายถึง $3,000 ต่อเดือน แค่เพื่อการทดสอบก่อนปล่อยจริง! ทีมงานจึงทดลองย้าย staging environment ไปยังเซิร์ฟเวอร์เดียวบน Hetzner ราคาเพียง $55 ต่อเดือน โดยใช้เครื่องมือชื่อว่า Disco ซึ่งช่วยให้ยังคง workflow แบบ “git push to deploy” ได้เหมือนเดิม Disco ไม่ใช่แค่ docker-compose ธรรมดา แต่ให้ฟีเจอร์แบบ PaaS เช่น deploy อัตโนมัติ, SSL certificate, UI สำหรับดู log และจัดการ environment ได้ง่าย ๆ ทำให้ทีมสามารถสร้าง staging ใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาตหรือกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ผลลัพธ์คือจากเดิมที่มีแค่ 2 environment (dev และ main) ตอนนี้มีถึง 6 environment บนเซิร์ฟเวอร์เดียว โดยใช้ CPU แค่ ~2% และ RAM 14 GB จาก 32 GB เท่านั้น แม้จะต้องจัดการ DNS, CDN และดูแลเซิร์ฟเวอร์เอง แต่ทีมยอมรับได้ เพราะประหยัดงบมหาศาล และได้ความคล่องตัวในการพัฒนาเพิ่มขึ้น ✅ ปัญหาที่พบจากการใช้ Heroku ➡️ ค่าใช้จ่ายสูงถึง $500 ต่อ staging environment ➡️ ต้องจำกัดจำนวน environment เพราะงบประมาณ ➡️ ระบบ staging กลายเป็นทรัพยากรที่หายากและต้องขออนุญาตก่อนใช้ ✅ แนวทางใหม่ที่ใช้ Disco บนเซิร์ฟเวอร์เดียว ➡️ ใช้ Hetzner CCX33 ราคา $55/เดือน ➡️ ใช้ Disco เพื่อรักษา workflow แบบ git push to deploy ➡️ แชร์ Postgres instance เดียวกันสำหรับ staging ทั้งหมด ➡️ สร้าง environment ใหม่ได้ง่ายและรวดเร็ว ➡️ ใช้ CPU ~2% และ RAM 14 GB จาก 32 GB ✅ ฟีเจอร์ของ Disco ที่ช่วยให้ใช้งานง่าย ➡️ deploy อัตโนมัติแบบ zero-downtime ➡️ SSL certificate อัตโนมัติสำหรับทุก branch ➡️ UI สำหรับดู log และจัดการ environment ➡️ ไม่ต้องเขียน automation เองเหมือนใช้ VPS แบบดิบ ๆ ✅ ผลลัพธ์ที่ได้ ➡️ ลดค่าใช้จ่ายจาก $3,000 เหลือ $55 ต่อเดือน ➡️ สร้าง staging ได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาต ➡️ เพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาและทดสอบ ➡️ เปลี่ยน mindset จาก “staging เป็นของแพง” เป็น “staging เป็นของฟรี” ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ ต้องจัดการ DNS และ CDN ด้วยตัวเอง ⛔ ต้องดูแลเรื่อง security และ monitoring ของเซิร์ฟเวอร์ ⛔ หากเซิร์ฟเวอร์ล่ม ต้อง reprovision ใหม่เอง ⛔ ต้องปรับ networking ของแอปให้เข้ากับ Docker ⛔ Disco ยังไม่เหมาะกับ workload ที่ต้อง redundancy สูง https://disco.cloud/blog/how-idealistorg-replaced-a-3000mo-heroku-bill-with-a-55mo-server/
    DISCO.CLOUD
    How Idealist.org Replaced a $3,000/mo Heroku Bill with a $55/mo Server
    At Disco, we help teams escape expensive PaaS pricing while keeping the developer experience they love. This is the story of how Idealist.org, the world's largest nonprofit job board, tackled a common and expensive challenge: the rising cost of staging environments on Heroku. To give a sense of scale …
    0 Comments 0 Shares 248 Views 0 Reviews
  • “Valkey 9.0 เปิดตัว – รองรับหลายฐานข้อมูลในคลัสเตอร์เดียว พร้อมทะลุ 1 พันล้านคำขอต่อวินาที!”

    Valkey ซึ่งเป็นฐานข้อมูล key-value แบบ in-memory ที่พัฒนาโดยชุมชนโอเพ่นซอร์สภายใต้ Linux Foundation ได้เปิดตัวเวอร์ชันใหม่ Valkey 9.0 ที่มาพร้อมฟีเจอร์เด็ด 3 อย่างที่แก้ปัญหาใหญ่ในระบบฐานข้อมูลแบบกระจาย (distributed database)

    ฟีเจอร์แรกคือ Atomic Slot Migration ที่ช่วยให้การย้ายข้อมูลระหว่างเซิร์ฟเวอร์ในคลัสเตอร์ทำได้แบบไม่มี downtime โดยใช้ snapshot และย้ายข้อมูลเบื้องหลังแบบเรียลไทม์

    ฟีเจอร์ที่สองคือ Hash Field Expiration ที่ให้ผู้ใช้สามารถตั้งเวลาให้ field ใน hash หมดอายุได้แบบแยก field ซึ่งช่วยลดการใช้หน่วยความจำและไม่ต้องลบข้อมูลด้วยตัวเองอีกต่อไป

    ฟีเจอร์สุดท้ายคือ Multiple Databases in Cluster Mode ที่ให้รันหลายฐานข้อมูลแยกกันในคลัสเตอร์เดียว เช่น staging กับ production โดยไม่ต้องตั้งโครงสร้างใหม่

    ด้านประสิทธิภาพ Valkey 9.0 เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 40% และบางคำสั่งเร็วขึ้นถึง 200% โดยสามารถรองรับได้มากกว่า 1 พันล้านคำขอต่อวินาที บนคลัสเตอร์ 2,000 โหนด

    Madelyn Olson ผู้ดูแลโครงการเผยว่า Valkey 9.0 เปิดตัวช้ากว่ากำหนดเพราะมีข้อเสนอจากชุมชนจำนวนมาก แต่ทีมงานก็พยายามปรับปรุงกระบวนการให้ตอบสนองได้เร็วขึ้นในอนาคต พร้อมย้ำว่าโค้ดของ Valkey จะยังคงเปิดให้ทุกคนเข้าถึงได้เสมอ

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Valkey 9.0
    Atomic Slot Migration – ย้ายข้อมูลระหว่างเซิร์ฟเวอร์แบบไม่มี downtime
    Hash Field Expiration – ตั้งเวลาให้ field หมดอายุได้แบบแยก field
    Multiple Databases in Cluster Mode – รันหลายฐานข้อมูลในคลัสเตอร์เดียว

    ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น
    เร็วขึ้นกว่า Valkey 8.1 ถึง 40%
    บางคำสั่งเร็วขึ้นถึง 200%
    รองรับมากกว่า 1 พันล้านคำขอ/วินาที บนคลัสเตอร์ 2,000 โหนด

    ความเห็นจากผู้ดูแลโครงการ
    เปิดตัวช้ากว่ากำหนดเพราะมีข้อเสนอจากชุมชนจำนวนมาก
    ทีมงานปรับปรุงกระบวนการเพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคต
    ยืนยันว่า Valkey จะยังคงเป็นโอเพ่นซอร์สภายใต้ Linux Foundation
    การเปิดโค้ดช่วยให้ผู้ใช้ไม่ถูกล็อกด้วยเครื่องมือ proprietary

    ความเคลื่อนไหวในวงการ
    Redis 8 กลับมาเปิดซอร์สอีกครั้งภายใต้ AGPL
    Valkey ย้ำจุดยืนเรื่องความโปร่งใสและการเติบโตจากชุมชน
    การเปิดตัว Valkey 9.0 สะท้อนพลังของการพัฒนาแบบโอเพ่นซอร์ส

    https://news.itsfoss.com/valkey-9-release/
    🚀 “Valkey 9.0 เปิดตัว – รองรับหลายฐานข้อมูลในคลัสเตอร์เดียว พร้อมทะลุ 1 พันล้านคำขอต่อวินาที!” Valkey ซึ่งเป็นฐานข้อมูล key-value แบบ in-memory ที่พัฒนาโดยชุมชนโอเพ่นซอร์สภายใต้ Linux Foundation ได้เปิดตัวเวอร์ชันใหม่ Valkey 9.0 ที่มาพร้อมฟีเจอร์เด็ด 3 อย่างที่แก้ปัญหาใหญ่ในระบบฐานข้อมูลแบบกระจาย (distributed database) ฟีเจอร์แรกคือ Atomic Slot Migration ที่ช่วยให้การย้ายข้อมูลระหว่างเซิร์ฟเวอร์ในคลัสเตอร์ทำได้แบบไม่มี downtime โดยใช้ snapshot และย้ายข้อมูลเบื้องหลังแบบเรียลไทม์ ฟีเจอร์ที่สองคือ Hash Field Expiration ที่ให้ผู้ใช้สามารถตั้งเวลาให้ field ใน hash หมดอายุได้แบบแยก field ซึ่งช่วยลดการใช้หน่วยความจำและไม่ต้องลบข้อมูลด้วยตัวเองอีกต่อไป ฟีเจอร์สุดท้ายคือ Multiple Databases in Cluster Mode ที่ให้รันหลายฐานข้อมูลแยกกันในคลัสเตอร์เดียว เช่น staging กับ production โดยไม่ต้องตั้งโครงสร้างใหม่ ด้านประสิทธิภาพ Valkey 9.0 เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 40% และบางคำสั่งเร็วขึ้นถึง 200% โดยสามารถรองรับได้มากกว่า 1 พันล้านคำขอต่อวินาที บนคลัสเตอร์ 2,000 โหนด Madelyn Olson ผู้ดูแลโครงการเผยว่า Valkey 9.0 เปิดตัวช้ากว่ากำหนดเพราะมีข้อเสนอจากชุมชนจำนวนมาก แต่ทีมงานก็พยายามปรับปรุงกระบวนการให้ตอบสนองได้เร็วขึ้นในอนาคต พร้อมย้ำว่าโค้ดของ Valkey จะยังคงเปิดให้ทุกคนเข้าถึงได้เสมอ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Valkey 9.0 ➡️ Atomic Slot Migration – ย้ายข้อมูลระหว่างเซิร์ฟเวอร์แบบไม่มี downtime ➡️ Hash Field Expiration – ตั้งเวลาให้ field หมดอายุได้แบบแยก field ➡️ Multiple Databases in Cluster Mode – รันหลายฐานข้อมูลในคลัสเตอร์เดียว ✅ ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ➡️ เร็วขึ้นกว่า Valkey 8.1 ถึง 40% ➡️ บางคำสั่งเร็วขึ้นถึง 200% ➡️ รองรับมากกว่า 1 พันล้านคำขอ/วินาที บนคลัสเตอร์ 2,000 โหนด ✅ ความเห็นจากผู้ดูแลโครงการ ➡️ เปิดตัวช้ากว่ากำหนดเพราะมีข้อเสนอจากชุมชนจำนวนมาก ➡️ ทีมงานปรับปรุงกระบวนการเพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคต ➡️ ยืนยันว่า Valkey จะยังคงเป็นโอเพ่นซอร์สภายใต้ Linux Foundation ➡️ การเปิดโค้ดช่วยให้ผู้ใช้ไม่ถูกล็อกด้วยเครื่องมือ proprietary ✅ ความเคลื่อนไหวในวงการ ➡️ Redis 8 กลับมาเปิดซอร์สอีกครั้งภายใต้ AGPL ➡️ Valkey ย้ำจุดยืนเรื่องความโปร่งใสและการเติบโตจากชุมชน ➡️ การเปิดตัว Valkey 9.0 สะท้อนพลังของการพัฒนาแบบโอเพ่นซอร์ส https://news.itsfoss.com/valkey-9-release/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Valkey 9.0 Adds Multi-Database Clusters, Supports 1 Billion Requests Per Second
    New release brings 40% throughput increase and seamless zero-downtime resharding.
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • “จีนพยายามถอดรหัสเครื่อง DUV ของ ASML – สุดท้ายพังเอง ต้องเรียกทีมดัตช์มาซ่อม!”

    ในความพยายามของจีนที่จะไล่ตามเทคโนโลยีการผลิตชิประดับโลก ล่าสุดมีรายงานว่า วิศวกรจีนได้พยายาม “reverse engineer” เครื่อง DUV (Deep Ultraviolet Lithography) ของ ASML ซึ่งเป็นบริษัทจากเนเธอร์แลนด์ที่ครองตลาดเครื่องผลิตชิปขั้นสูงมายาวนาน

    เรื่องราวเริ่มจากการที่จีนไม่สามารถเข้าถึงเครื่อง EUV (Extreme Ultraviolet) ของ ASML ได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ ทำให้ต้องพึ่งเครื่อง DUV รุ่นเก่าที่มีอยู่ และพยายามถอดรหัสเพื่อสร้างเทคโนโลยีของตัวเอง แต่ระหว่างการถอดประกอบเครื่องกลับเกิดความเสียหายขึ้น จนต้องเรียกทีมเทคนิคของ ASML เข้ามาซ่อมให้

    เมื่อทีม ASML เดินทางไปจีน ก็พบว่าเครื่องไม่ได้เสียจากการใช้งานทั่วไป แต่เสียเพราะถูกถอดประกอบโดยไม่มีความเข้าใจเชิงลึกในระบบที่ซับซ้อนของเครื่อง DUV ซึ่งประกอบด้วยระบบออปติกส์ที่ละเอียดอ่อน ระบบสุญญากาศ และการควบคุมด้วยซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนมาก

    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความยากลำบากของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยี lithography ด้วยตัวเอง แม้จะมีความพยายามอย่างมากในการสร้างเครื่องผลิตชิปภายในประเทศ แต่ก็ยังห่างจากมาตรฐานของ ASML อยู่หลายปี

    เหตุการณ์การ reverse engineer เครื่อง DUV
    วิศวกรจีนพยายามถอดรหัสเครื่อง DUV ของ ASML
    เครื่องเกิดความเสียหายระหว่างการถอดประกอบ
    ต้องเรียกทีมเทคนิคจาก ASML มาซ่อมให้
    ทีม ASML พบว่าเครื่องเสียเพราะถูกแกะโดยไม่มีความเข้าใจระบบ
    เครื่อง DUV มีระบบออปติกส์และสุญญากาศที่ซับซ้อน
    การควบคุมด้วยซอฟต์แวร์ต้องใช้ความแม่นยำสูง
    สะท้อนความท้าทายของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยี lithography

    บริบททางเทคโนโลยีและภูมิรัฐศาสตร์
    จีนไม่สามารถเข้าถึงเครื่อง EUV ของ ASML ได้
    ต้องพึ่งเครื่อง DUV รุ่นเก่าในการผลิตชิป
    ความพยายามสร้างเทคโนโลยีภายในประเทศยังไม่เทียบเท่า ASML
    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ
    ASML เป็นผู้ผลิตเครื่อง lithography ที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก

    https://wccftech.com/chinese-engineers-tried-to-reverse-engineer-asml-duv-machines-only-to-break-them/
    🔧 “จีนพยายามถอดรหัสเครื่อง DUV ของ ASML – สุดท้ายพังเอง ต้องเรียกทีมดัตช์มาซ่อม!” ในความพยายามของจีนที่จะไล่ตามเทคโนโลยีการผลิตชิประดับโลก ล่าสุดมีรายงานว่า วิศวกรจีนได้พยายาม “reverse engineer” เครื่อง DUV (Deep Ultraviolet Lithography) ของ ASML ซึ่งเป็นบริษัทจากเนเธอร์แลนด์ที่ครองตลาดเครื่องผลิตชิปขั้นสูงมายาวนาน เรื่องราวเริ่มจากการที่จีนไม่สามารถเข้าถึงเครื่อง EUV (Extreme Ultraviolet) ของ ASML ได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ ทำให้ต้องพึ่งเครื่อง DUV รุ่นเก่าที่มีอยู่ และพยายามถอดรหัสเพื่อสร้างเทคโนโลยีของตัวเอง แต่ระหว่างการถอดประกอบเครื่องกลับเกิดความเสียหายขึ้น จนต้องเรียกทีมเทคนิคของ ASML เข้ามาซ่อมให้ เมื่อทีม ASML เดินทางไปจีน ก็พบว่าเครื่องไม่ได้เสียจากการใช้งานทั่วไป แต่เสียเพราะถูกถอดประกอบโดยไม่มีความเข้าใจเชิงลึกในระบบที่ซับซ้อนของเครื่อง DUV ซึ่งประกอบด้วยระบบออปติกส์ที่ละเอียดอ่อน ระบบสุญญากาศ และการควบคุมด้วยซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนมาก เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความยากลำบากของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยี lithography ด้วยตัวเอง แม้จะมีความพยายามอย่างมากในการสร้างเครื่องผลิตชิปภายในประเทศ แต่ก็ยังห่างจากมาตรฐานของ ASML อยู่หลายปี ✅ เหตุการณ์การ reverse engineer เครื่อง DUV ➡️ วิศวกรจีนพยายามถอดรหัสเครื่อง DUV ของ ASML ➡️ เครื่องเกิดความเสียหายระหว่างการถอดประกอบ ➡️ ต้องเรียกทีมเทคนิคจาก ASML มาซ่อมให้ ➡️ ทีม ASML พบว่าเครื่องเสียเพราะถูกแกะโดยไม่มีความเข้าใจระบบ ➡️ เครื่อง DUV มีระบบออปติกส์และสุญญากาศที่ซับซ้อน ➡️ การควบคุมด้วยซอฟต์แวร์ต้องใช้ความแม่นยำสูง ➡️ สะท้อนความท้าทายของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยี lithography ✅ บริบททางเทคโนโลยีและภูมิรัฐศาสตร์ ➡️ จีนไม่สามารถเข้าถึงเครื่อง EUV ของ ASML ได้ ➡️ ต้องพึ่งเครื่อง DUV รุ่นเก่าในการผลิตชิป ➡️ ความพยายามสร้างเทคโนโลยีภายในประเทศยังไม่เทียบเท่า ASML ➡️ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางข้อจำกัดด้านการส่งออกจากสหรัฐฯ ➡️ ASML เป็นผู้ผลิตเครื่อง lithography ที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก https://wccftech.com/chinese-engineers-tried-to-reverse-engineer-asml-duv-machines-only-to-break-them/
    WCCFTECH.COM
    Chinese Technicians Boldly Tried to Reverse Engineer ASML’s DUV Machines; Only to Break Them & Call the Dutch Firm For Help
    Chinese engineers did manage to 'break' ASML's DUV equipment, and actually called out the Dutch firm to sort out the problem.
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • “Microsoft Publisher จะสิ้นสุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคม 2026 — ปิดตำนานเครื่องมือออกแบบยุค 90” — เมื่อแอปสร้างใบปลิวและจดหมายข่าวที่เคยอยู่ในทุกบ้านกำลังจะอำลาอย่างถาวร

    Microsoft ประกาศว่าจะยุติการสนับสนุนแอป Publisher อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2026 ซึ่งตรงกับวันหมดอายุของ Office LTSC 2021 โดยหลังจากวันนั้น Publisher จะถูกถอดออกจาก Microsoft 365 และไม่สามารถติดตั้งหรือเปิดไฟล์ .pub ได้อีกต่อไปในเวอร์ชันใหม่

    Publisher เปิดตัวครั้งแรกในปี 1991 เพื่อให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถออกแบบสิ่งพิมพ์ เช่น ใบปลิว, โบรชัวร์, จดหมายข่าว โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมระดับมืออาชีพอย่าง QuarkXPress หรือ Adobe InDesign ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และการใช้งานง่าย ทำให้ Publisher กลายเป็นเครื่องมือยอดนิยมในโรงเรียน, ธุรกิจขนาดเล็ก และผู้ใช้ตามบ้าน

    แม้จะไม่เคยครองใจนักออกแบบมืออาชีพ แต่ Publisher ก็มีบทบาทสำคัญในการ “ประชาธิปไตยด้านการออกแบบ” โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างสื่อสิ่งพิมพ์ได้ด้วยตัวเอง

    หลังจากการยุติการสนับสนุน Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้แปลงไฟล์ .pub เป็น PDF เพื่อเก็บไว้ดู และหากต้องการแก้ไข ให้เปิด PDF ใน Word — แม้ว่าการจัดวางอาจเพี้ยน โดยเฉพาะไฟล์ที่มีกราฟิกจำนวนมาก

    สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทางเลือกใหม่ Microsoft แนะนำให้ใช้ Word, PowerPoint หรือแอป Designer แทน ส่วนทางเลือกจากภายนอกก็มีเช่น:

    Canva — ใช้งานง่าย มีเทมเพลตหลากหลาย แต่ฟีเจอร์เต็มต้องสมัครสมาชิก
    LibreOffice Draw — ฟรีและโอเพ่นซอร์ส รองรับไฟล์ .pub ได้พอสมควร
    Affinity Publisher 2 — ซื้อครั้งเดียว ไม่มีรายเดือน เหมาะกับผู้ใช้จริงจัง

    Microsoft Publisher จะสิ้นสุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคม 2026
    ตรงกับวันหมดอายุของ Office LTSC 2021

    Publisher จะถูกถอดออกจาก Microsoft 365
    ไม่สามารถติดตั้งหรือเปิดไฟล์ .pub ได้อีก

    Publisher เปิดตัวในปี 1991 และรวมอยู่ใน Office ตั้งแต่เวอร์ชัน 97
    เคยเป็นเครื่องมือออกแบบยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    Microsoft แนะนำให้แปลงไฟล์ .pub เป็น PDF เพื่อเก็บไว้ดู
    และเปิด PDF ใน Word หากต้องการแก้ไข

    ทางเลือกใหม่จาก Microsoft ได้แก่ Word, PowerPoint และ Designer
    ใช้แทน Publisher สำหรับงานออกแบบทั่วไป

    ทางเลือกจากภายนอก ได้แก่ Canva, LibreOffice Draw, Affinity Publisher 2
    มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินตามระดับความสามารถ

    https://www.slashgear.com/2001386/microsoft-ending-publisher-in-october-2026/
    📄 “Microsoft Publisher จะสิ้นสุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคม 2026 — ปิดตำนานเครื่องมือออกแบบยุค 90” — เมื่อแอปสร้างใบปลิวและจดหมายข่าวที่เคยอยู่ในทุกบ้านกำลังจะอำลาอย่างถาวร Microsoft ประกาศว่าจะยุติการสนับสนุนแอป Publisher อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2026 ซึ่งตรงกับวันหมดอายุของ Office LTSC 2021 โดยหลังจากวันนั้น Publisher จะถูกถอดออกจาก Microsoft 365 และไม่สามารถติดตั้งหรือเปิดไฟล์ .pub ได้อีกต่อไปในเวอร์ชันใหม่ Publisher เปิดตัวครั้งแรกในปี 1991 เพื่อให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถออกแบบสิ่งพิมพ์ เช่น ใบปลิว, โบรชัวร์, จดหมายข่าว โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมระดับมืออาชีพอย่าง QuarkXPress หรือ Adobe InDesign ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และการใช้งานง่าย ทำให้ Publisher กลายเป็นเครื่องมือยอดนิยมในโรงเรียน, ธุรกิจขนาดเล็ก และผู้ใช้ตามบ้าน แม้จะไม่เคยครองใจนักออกแบบมืออาชีพ แต่ Publisher ก็มีบทบาทสำคัญในการ “ประชาธิปไตยด้านการออกแบบ” โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างสื่อสิ่งพิมพ์ได้ด้วยตัวเอง หลังจากการยุติการสนับสนุน Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้แปลงไฟล์ .pub เป็น PDF เพื่อเก็บไว้ดู และหากต้องการแก้ไข ให้เปิด PDF ใน Word — แม้ว่าการจัดวางอาจเพี้ยน โดยเฉพาะไฟล์ที่มีกราฟิกจำนวนมาก สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทางเลือกใหม่ Microsoft แนะนำให้ใช้ Word, PowerPoint หรือแอป Designer แทน ส่วนทางเลือกจากภายนอกก็มีเช่น: 📐 Canva — ใช้งานง่าย มีเทมเพลตหลากหลาย แต่ฟีเจอร์เต็มต้องสมัครสมาชิก 📐 LibreOffice Draw — ฟรีและโอเพ่นซอร์ส รองรับไฟล์ .pub ได้พอสมควร 📐 Affinity Publisher 2 — ซื้อครั้งเดียว ไม่มีรายเดือน เหมาะกับผู้ใช้จริงจัง ✅ Microsoft Publisher จะสิ้นสุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคม 2026 ➡️ ตรงกับวันหมดอายุของ Office LTSC 2021 ✅ Publisher จะถูกถอดออกจาก Microsoft 365 ➡️ ไม่สามารถติดตั้งหรือเปิดไฟล์ .pub ได้อีก ✅ Publisher เปิดตัวในปี 1991 และรวมอยู่ใน Office ตั้งแต่เวอร์ชัน 97 ➡️ เคยเป็นเครื่องมือออกแบบยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ✅ Microsoft แนะนำให้แปลงไฟล์ .pub เป็น PDF เพื่อเก็บไว้ดู ➡️ และเปิด PDF ใน Word หากต้องการแก้ไข ✅ ทางเลือกใหม่จาก Microsoft ได้แก่ Word, PowerPoint และ Designer ➡️ ใช้แทน Publisher สำหรับงานออกแบบทั่วไป ✅ ทางเลือกจากภายนอก ได้แก่ Canva, LibreOffice Draw, Affinity Publisher 2 ➡️ มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินตามระดับความสามารถ https://www.slashgear.com/2001386/microsoft-ending-publisher-in-october-2026/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Microsoft Will Be Ending Support For This Popular Software In October 2026 - SlashGear
    Microsoft Publisher will reach end-of-support in October 2026 -- Microsoft will drop updates and remove it from Microsoft 365 apps.
    0 Comments 0 Shares 223 Views 0 Reviews
  • ทัวร์ปีใหม่ เกาหลีใต้ โซล หิมะ Winter ❄ 5วัน 3คืน 11,999

    🗓 จำนวนวัน 5วัน 3คืน
    ✈ BX แอร์ปูซาน / LJ จินแอร์ / 7Cเจจูแอร์
    พักโรงแรม

    AURORA MEDIA SHOW
    เที่ยวกรุงโซลแบบอิสระด้วยตัวเอง

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์เกาหลี #ทัวร์โซล #korea #seoul #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    ทัวร์ปีใหม่ เกาหลีใต้ โซล หิมะ Winter ❄ 5วัน 3คืน 🥶11,999 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 5วัน 3คืน ✈ BX แอร์ปูซาน / LJ จินแอร์ / 7Cเจจูแอร์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐ 📍 AURORA MEDIA SHOW 📍 เที่ยวกรุงโซลแบบอิสระด้วยตัวเอง รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์เกาหลี #ทัวร์โซล #korea #seoul #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 448 Views 0 0 Reviews
  • "BitLocker ล็อกข้อมูล 3TB โดยไม่แจ้งเตือน: เมื่อระบบป้องกันกลายเป็นกับดักข้อมูล"

    BitLocker ระบบเข้ารหัสดิสก์ของ Microsoft ที่เปิดใช้งานอัตโนมัติใน Windows 11 กำลังตกเป็นประเด็นร้อน หลังมีผู้ใช้รายหนึ่งใน Reddit รายงานว่า Backup Drive ขนาด 3TB ถูกล็อกโดยไม่รู้ตัวหลังจากติดตั้ง Windows ใหม่ ส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงได้ และไม่มีวิธีถอดรหัสกลับมาได้เลย

    ผู้ใช้รายนี้มีดิสก์ทั้งหมด 6 ลูก โดย 2 ลูกเป็น Backup Drive ที่ไม่ได้ตั้งค่า BitLocker ด้วยตัวเอง แต่หลังจากติดตั้ง Windows ใหม่และเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Microsoft ระบบกลับเปิดใช้งาน BitLocker โดยอัตโนมัติ และขอ Recovery Key ที่ผู้ใช้ไม่เคยได้รับหรือบันทึกไว้

    แม้จะพยายามใช้ซอฟต์แวร์กู้ข้อมูลหลายตัว แต่ก็ไม่สามารถเจาะระบบเข้ารหัสของ BitLocker ได้ เพราะระบบนี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างแน่นหนา

    การทำงานของ BitLocker ใน Windows 11
    เปิดใช้งานอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Microsoft
    เข้ารหัสดิสก์โดยไม่แจ้งเตือนผู้ใช้
    Recovery Key จะถูกเก็บไว้ในบัญชี Microsoft หากระบบบันทึกไว้

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    ผู้ใช้ติดตั้ง Windows ใหม่และพบว่า Backup Drive ถูกเข้ารหัส
    ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูล 3TB ได้
    Recovery Key สำหรับ Backup Drive ไม่ปรากฏในบัญชี Microsoft

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Windows 11
    BitLocker อาจเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติแม้ผู้ใช้ไม่ตั้งใจ
    หากไม่มี Recovery Key จะไม่สามารถกู้ข้อมูลได้
    การติดตั้ง Windows ใหม่อาจทำให้ดิสก์อื่นถูกเข้ารหัสโดยไม่รู้ตัว

    ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกัน
    ตรวจสอบสถานะ BitLocker ก่อนติดตั้งหรือรีเซ็ต Windows
    บันทึก Recovery Key ไว้ในที่ปลอดภัยเสมอ
    ปิด BitLocker สำหรับดิสก์ที่ไม่ต้องการเข้ารหัส
    สำรองข้อมูลไว้ในอุปกรณ์ที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบโดยตรง

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:

    ความแตกต่างระหว่าง BitLocker แบบ Software และ Hardware
    แบบ Software ใช้ CPU ในการเข้ารหัส ทำให้ลดประสิทธิภาพการอ่าน/เขียน
    แบบ Hardware (OPAL) มีประสิทธิภาพสูงกว่าและไม่เปิดใช้งานอัตโนมัติ

    วิธีตรวจสอบสถานะ BitLocker
    ใช้คำสั่ง manage-bde -status ใน Command Prompt
    ตรวจสอบใน Control Panel > System and Security > BitLocker Drive Encryption

    https://www.tomshardware.com/software/windows/bitlocker-reportedly-auto-locks-users-backup-drives-causing-loss-of-3tb-of-valuable-data-windows-automatic-disk-encryption-can-permanently-lock-your-drives
    🛡️ "BitLocker ล็อกข้อมูล 3TB โดยไม่แจ้งเตือน: เมื่อระบบป้องกันกลายเป็นกับดักข้อมูล" BitLocker ระบบเข้ารหัสดิสก์ของ Microsoft ที่เปิดใช้งานอัตโนมัติใน Windows 11 กำลังตกเป็นประเด็นร้อน หลังมีผู้ใช้รายหนึ่งใน Reddit รายงานว่า Backup Drive ขนาด 3TB ถูกล็อกโดยไม่รู้ตัวหลังจากติดตั้ง Windows ใหม่ ส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงได้ และไม่มีวิธีถอดรหัสกลับมาได้เลย ผู้ใช้รายนี้มีดิสก์ทั้งหมด 6 ลูก โดย 2 ลูกเป็น Backup Drive ที่ไม่ได้ตั้งค่า BitLocker ด้วยตัวเอง แต่หลังจากติดตั้ง Windows ใหม่และเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Microsoft ระบบกลับเปิดใช้งาน BitLocker โดยอัตโนมัติ และขอ Recovery Key ที่ผู้ใช้ไม่เคยได้รับหรือบันทึกไว้ แม้จะพยายามใช้ซอฟต์แวร์กู้ข้อมูลหลายตัว แต่ก็ไม่สามารถเจาะระบบเข้ารหัสของ BitLocker ได้ เพราะระบบนี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างแน่นหนา ✅ การทำงานของ BitLocker ใน Windows 11 ➡️ เปิดใช้งานอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Microsoft ➡️ เข้ารหัสดิสก์โดยไม่แจ้งเตือนผู้ใช้ ➡️ Recovery Key จะถูกเก็บไว้ในบัญชี Microsoft หากระบบบันทึกไว้ ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ ผู้ใช้ติดตั้ง Windows ใหม่และพบว่า Backup Drive ถูกเข้ารหัส ➡️ ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูล 3TB ได้ ➡️ Recovery Key สำหรับ Backup Drive ไม่ปรากฏในบัญชี Microsoft ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Windows 11 ⛔ BitLocker อาจเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติแม้ผู้ใช้ไม่ตั้งใจ ⛔ หากไม่มี Recovery Key จะไม่สามารถกู้ข้อมูลได้ ⛔ การติดตั้ง Windows ใหม่อาจทำให้ดิสก์อื่นถูกเข้ารหัสโดยไม่รู้ตัว ✅ ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกัน ➡️ ตรวจสอบสถานะ BitLocker ก่อนติดตั้งหรือรีเซ็ต Windows ➡️ บันทึก Recovery Key ไว้ในที่ปลอดภัยเสมอ ➡️ ปิด BitLocker สำหรับดิสก์ที่ไม่ต้องการเข้ารหัส ➡️ สำรองข้อมูลไว้ในอุปกรณ์ที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบโดยตรง 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความแตกต่างระหว่าง BitLocker แบบ Software และ Hardware ➡️ แบบ Software ใช้ CPU ในการเข้ารหัส ทำให้ลดประสิทธิภาพการอ่าน/เขียน ➡️ แบบ Hardware (OPAL) มีประสิทธิภาพสูงกว่าและไม่เปิดใช้งานอัตโนมัติ ✅ วิธีตรวจสอบสถานะ BitLocker ➡️ ใช้คำสั่ง manage-bde -status ใน Command Prompt ➡️ ตรวจสอบใน Control Panel > System and Security > BitLocker Drive Encryption https://www.tomshardware.com/software/windows/bitlocker-reportedly-auto-locks-users-backup-drives-causing-loss-of-3tb-of-valuable-data-windows-automatic-disk-encryption-can-permanently-lock-your-drives
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • “NebiOS: ดิสโทรใหม่จากตุรกีที่สร้าง Desktop Environment สำหรับ Wayland ขึ้นมาเอง” — เมื่อความหลงใหลกลายเป็นระบบปฏิบัติการเต็มรูปแบบ

    บทความจาก It’s FOSS News พาไปสำรวจ NebiOS — ดิสโทร Linux ใหม่จากตุรกีที่พัฒนาบนพื้นฐานของ Ubuntu โดยมีจุดเด่นคือการสร้าง Desktop Environment (DE) ของตัวเองชื่อว่า NebiDE ซึ่งออกแบบมาเพื่อทำงานกับ Wayland โดยเฉพาะ

    ผู้พัฒนา Sarp Mateson เริ่มต้นโครงการนี้ในปี 2023 ภายใต้ชื่อ NebiSoft โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบปฏิบัติการที่ตอบโจทย์การใช้งานส่วนตัวและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเวอร์ชันล่าสุดคือ NebiOS X “Cappadocia” ซึ่งจะใช้ Ubuntu 24.04 LTS เป็นฐาน และมีกำหนดเปิดตัวในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2025

    ก่อนหน้านี้ NebiOS เคยใช้ชื่อว่า Spez Linux ซึ่งเริ่มต้นจากการทดลองใน SUSE Studio ตั้งแต่ปี 2014

    จุดเด่นของ NebiOS
    ใช้ Linux kernel 6.14 พร้อมรองรับ NTSYNC
    มีตัวบ่งชี้ความเป็นส่วนตัวและสถานะแบตเตอรี่ Bluetooth บนแถบด้านบน
    ใช้ Calamares เป็นตัวติดตั้งระบบ — ติดตั้งง่ายและคุ้นเคย
    มีตัวเลือก session เช่น Wayfire และโหมด debug บนหน้าจอล็อกอิน
    อินเทอร์เฟซคล้าย Windows 7 Aero พร้อม dock และ launcher
    มี widgets เช่น music player, clock, RSS reader และ sticky notes
    รองรับ workspace แบบ “Expo” สำหรับการจัดการหลายเดสก์ท็อป
    แอปพื้นฐานครบ เช่น LibreOffice, Firefox, terminal

    ข้อสังเกตจากการทดลองใช้งาน
    การทดสอบบน VM มีอาการ lag และ glitch — แนะนำให้ติดตั้งบนเครื่องจริง
    ปุ่มปิดหน้าต่างอยู่ด้านซ้าย — อาจต้องปรับตัวสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    การเปลี่ยนความละเอียดหน้าจอยังยุ่งยาก ต้องพิมพ์ค่าด้วยตัวเอง
    ขนาดไอคอนใน launcher ใหญ่เกินไป — ต้องปรับสเกล

    NebiOS เป็นตัวอย่างของดิสโทรที่เกิดจากความหลงใหลและความตั้งใจของนักพัฒนาเดี่ยว ซึ่งอาจไม่ใช่คู่แข่งของ Ubuntu หรือ Fedora แต่เป็นพื้นที่ทดลองที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ Linux ที่อยากลองอะไรใหม่ ๆ

    https://news.itsfoss.com/nebios/
    🖥️ “NebiOS: ดิสโทรใหม่จากตุรกีที่สร้าง Desktop Environment สำหรับ Wayland ขึ้นมาเอง” — เมื่อความหลงใหลกลายเป็นระบบปฏิบัติการเต็มรูปแบบ บทความจาก It’s FOSS News พาไปสำรวจ NebiOS — ดิสโทร Linux ใหม่จากตุรกีที่พัฒนาบนพื้นฐานของ Ubuntu โดยมีจุดเด่นคือการสร้าง Desktop Environment (DE) ของตัวเองชื่อว่า NebiDE ซึ่งออกแบบมาเพื่อทำงานกับ Wayland โดยเฉพาะ ผู้พัฒนา Sarp Mateson เริ่มต้นโครงการนี้ในปี 2023 ภายใต้ชื่อ NebiSoft โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบปฏิบัติการที่ตอบโจทย์การใช้งานส่วนตัวและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเวอร์ชันล่าสุดคือ NebiOS X “Cappadocia” ซึ่งจะใช้ Ubuntu 24.04 LTS เป็นฐาน และมีกำหนดเปิดตัวในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2025 ก่อนหน้านี้ NebiOS เคยใช้ชื่อว่า Spez Linux ซึ่งเริ่มต้นจากการทดลองใน SUSE Studio ตั้งแต่ปี 2014 ✅ จุดเด่นของ NebiOS 📍 ใช้ Linux kernel 6.14 พร้อมรองรับ NTSYNC 📍 มีตัวบ่งชี้ความเป็นส่วนตัวและสถานะแบตเตอรี่ Bluetooth บนแถบด้านบน 📍 ใช้ Calamares เป็นตัวติดตั้งระบบ — ติดตั้งง่ายและคุ้นเคย 📍 มีตัวเลือก session เช่น Wayfire และโหมด debug บนหน้าจอล็อกอิน 📍 อินเทอร์เฟซคล้าย Windows 7 Aero พร้อม dock และ launcher 📍 มี widgets เช่น music player, clock, RSS reader และ sticky notes 📍 รองรับ workspace แบบ “Expo” สำหรับการจัดการหลายเดสก์ท็อป 📍 แอปพื้นฐานครบ เช่น LibreOffice, Firefox, terminal ‼️ ข้อสังเกตจากการทดลองใช้งาน ❕ การทดสอบบน VM มีอาการ lag และ glitch — แนะนำให้ติดตั้งบนเครื่องจริง ❕ ปุ่มปิดหน้าต่างอยู่ด้านซ้าย — อาจต้องปรับตัวสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ❕ การเปลี่ยนความละเอียดหน้าจอยังยุ่งยาก ต้องพิมพ์ค่าด้วยตัวเอง ❕ ขนาดไอคอนใน launcher ใหญ่เกินไป — ต้องปรับสเกล NebiOS เป็นตัวอย่างของดิสโทรที่เกิดจากความหลงใหลและความตั้งใจของนักพัฒนาเดี่ยว ซึ่งอาจไม่ใช่คู่แข่งของ Ubuntu หรือ Fedora แต่เป็นพื้นที่ทดลองที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ Linux ที่อยากลองอะไรใหม่ ๆ https://news.itsfoss.com/nebios/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    NebiOS is an Ubuntu-based Distro With a Brand New DE Written for Wayland from Ground Up
    Exploring a new Ubuntu-based distro. By the way, it's been some time since we had a new distro based on Ubuntu.
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
More Results