• ..พล.อ.รังษี อย่าให้จีนมาถือการลงทุนมากกว่าไทยเลยนะ ไม่ดีแน่นอน นี้คือการครอบงำกิจการ ครอบงำการปฏิบัติงานอธิปไตยของชาตินะ จะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตจีนแล้วนะนั้น อันตรายมาก,แนวคิดนี้ท่านพลาดใหญ่หลวงเลยนะ,การดำรงอธิปไตยไทยได้ดีที่สุดคือเป็นเจ้าของ100% ให้บริการดูแลเขาเต็มที่ก็พอ เสมือนห้องประชุมงานเลี้ยงที่สถานที่คือของเรา100%ผลประโยชน์ด้านงานสถานที่คือรับเต็มๆ100%
    เราบริหารจัดการสั่งการบัญชาการอะไร ปรับปรุงแบบไหนอิสระเต็มที่ ไม่ต้องรออนุญาตอนุมัติจากใคร รอใครมาเห็นชอบด้วย บริหารจัดการได้100%.

    ..จะรถไฟระบบรางความเร็วสูงจะรีบร้อนอะไร เรามีกำลังเท่าไรก็ทำเองเท่านั้นก่อน,ที่ดินและระบบรางเป็นตังเป็นทุนของเราเองสร้าง ความเป็นเจ้าของเราก็100%เต็ม พื้นที่บริหารจัดการรางรถไฟทั้งหมดเราบริหารจัดการเอง,เชื่อมรถไฟจีน จีนแค่เอารถไฟจีนของตัวเองมาวิ่งแค่นั้น ห้ามมีสิทธิใดๆในอธิปไตยดินแดนบนแผ่นดินไทยเราให้บรืหารจัดการยุ่งยาก,ผลประโยชน์ทั้งหมดจะตกแก่คนไทยในชาติเราเอง,เช่นสถานีพักระหว่างทางขึ้นลง คนไทยสร้างศูนย์การค้าการตลาดประชาชนเองร่วมกัน นักท่องเที่ยวลงจอดแวะซื้อขายบนเขตพื้นที่บริหารจัดการเราผู้เดียว ตังก็หมุนเวียนทันทีภายในประเทศไทยเรา รถไฟจีนมาหน้าที่ขนคนขนสินค้าบริการตนตามเป้าหมายปลายทางแค่นั้น,ไทยไม่เป็นหนี้ตังจีนมาเร่งรีบลงทุนงานก่อสร้างด้วย,เราจัดการข้าราชการทุจริตจริงจังจบก็สบายทันที โปร่งใสสร้างความเชื่อถือได้แล้ว ไม่ยากอะไร,อย่าเป็นแบบลาว จีนสร้างเแ็นของจีนหมดตลอดที่ดินสร้างรางรถไฟ นี้เสียอธิปไตยบริหารจัดการบนแผ่นดินตนชัดเจน,ความโลภลักษณะนี้อันตรายต่อลูกหลานเราเองในคนรุ่นหลังๆเราอาจด่าโคตรเหง้าว่าขายชาติขายสิทธิอธิปไตยตนเองได้,

    ..ขุดคลองคิดกระก็ขุดเอง100%ห้ามต่างชาติมายุ่ง
    ..สร้างแลนด์บริดจ์ข้างคลองคอดกระทั้งสองข้างก็ห้ามใครมายุ่ง,ระดมทุนจากภาคประชาชนทั้งประเทศไทยได้ สร้างมันขึ้นมาสิ.,ตั้งเป็นกองทุนคลองไทยแห่งชาติก็ได้ สร้างบริษัทบริหารจัดการคลองคอดกระและแลนด์บริดจ์เอง,ไม่ต้องให้มหาอำนาจใดมาแดกตังมากอบโกยเม็ดเงินมหาศาลนี้ง่ายๆจะจีนจะอเมริกาก็ตามที่เป็นเขตราชอาณาจักรอธิปไตยไทยนี้,เม็ดเงินมหาศาลจากการบริหารจัดการคลองคอดกระ จากแลนด์บริดจ์อาจกว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปีได้ทั่วประ้ทศไทยเราโดยเฉพาะเขตคลองคอดกระและแลนด์บริดจ์นี้.,จะไปให้จีนถือมากกว่าไทยทำไม,ใช่ไม่ได้ เสมือนหมอบกราบสยบใต้ตีนจีนเกินไป ไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีเพราะนี้คือดินแดนแผ่นดินไทย เขตอธิปไตยไทยคลองไทยเราขุดเองระเบิดเองจะทำไม,จีนอเมริกามาบีบหมายบังคับจะแดกด้วยใช้ไม่ได้,ให้สามารถสร้างงานบริการเต็มที่ที่ลูกค้าทั่วโลกผ่านเข้าออกคลองไทยเรา,ต่างชาติจะมาแทรกแซงสั่งการใดๆไม่ได้ เราจะปิดจะเปิดคลองไทยมันคืออธิปไตยไทย100% รวมรางรถไฟความเร็วสูงด้วย ปิดระบบรางเพื่อความมั่นคงของไทยก็ได้ตลอดเวลาอีก ใครจะมาปรับเอาความเสียหายกับเราก็ไม่ได้,รางรถไฟเราสร้างเองไม่ต้องกู้ตังใครถูกต้องที่สุด ดำเนินทางสายกลางถูกแล้ว.

    ..จริงๆเราสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยเราทันทีได้ง่ายๆ พลิกหน้ามือมารอดมาตั้งหลักตั้งฐานได้ทันทีกันเลย นั้นคือ ยกเลิกสัมปทานปิโตรเลียมทั้งหมดที่ไม่ผ่านสภาประชาธิปไตยใดๆเลย ซึ่งเป็นกิจการความมั่นคงโดยตรงด้านพลังงานขับเคลื่อนทุกๆบริบทกิจกรรมภายในประเทศไทยเรา ต้องโมฆะทันที ยึดคืนสู่สามัญใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรมกว่าในอดีตๆที่ผ่านๆมา,เศรษฐกิจจะพลิกฟื้นทันที เราสามารถส่งทหารไปผลิตเองใช้ในประเทศก่อนได้ ขายน้ำมันราคาไม่แพงแก่ประชาชนแลัอุตสาหกรรมภายในประเทศที่เป็นของคนไทยก่อน สัญชาติไทย100%หุ้นไทยก่อน,ใครมีต่างชาติถือหุ้นด้วยก็อีกราคาต่างหาก,เกษตรกรสามารถซื้อน้ำมันราคาลิตรละ1-2บาทได้ ขนส่งก็อาจลิตรละ0.90บาท ,ค่าครองชีพค่าขนส่งจะลดลงทันที,ราคาสินค้าจะปรับฐานใหม่ภายในประเทศ ทุกๆอย่างจะปรับฐานใหม่หมดจะเชื่อมโยงกระทบทางที่ดีหมด,ราคาสินค้าเราจะต้นทุนต่ำ สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ทันที ข้าวจากตันละ400-600$,อาจลดเหลือ200-300$ ต้นทุนแค่10$ต่อตัน,กำไรกว่า100$พอใจมั้ย,คนซื้อก็พอใจประหยัดตังได้อีก,ความอุดมสมบูรณ์จะกลับคืนมาทันที,นักเรียนนักศึกษาจากปกติพกตังหลายร้อยบาทไปโรงเรียนไปมหาลัยตื๊ดๆทีก็หมดไปหลายร้อย,ปัจจุบันตื๊ดๆที ได้สินค้าอาหารกับข้าวกินจนอิ่มจนเหลือทุกๆวันเพราะ10-20บาทอาจเทียบกับพกตังไปในกระเป๋ากว่าพันกว่าหมื่นบาทกันเลย,ข้าวอาหารก๋วยเตี๋ยวอาจชามละ0.25บาทนั้นเอง,น้ำมันเติมมอไซค์ไปโรงเรียนไปมหาลัยอาจแค่ลิตรละ0.5-1บาทสำหรับนักเรียนนักศึกษาก็ได้,1บาทได้2ลิตรเกือบเต็มถัง.2บาท4ลิตรล้นถังมอไซค์แน่นอน,
    ..ต้นเหตุเศรษฐกิจจริงๆตอนนี้คือน้ำมันคือพลังงาน จะรบจะทำสงครามกันเครื่องจักรปัจจุบันกินน้ำมันหมด,
    ..ไทยเรายึดบ่อน้ำมันจากอีลิทต่างชาติdeep state หลายๆปัญหาจบแน่นอน,ยึดสัก20-30บ่อมาผลิตขายเองในไทยดูสิ จะเห็นผลทันที ทุกๆคนไทยใช้รถ ขนส่งสินค้าใช้รถ ราคาสินค้าบวกต้นทุนขนส่งหมด,ต้นทุนต้นน้ำแบบเกษตรกร โรงงานผู้ผลิตต่างๆลดลง กำไรเขาก็มากได้ ลดค่าใช้จ่ายรวมอีก,ต้นน้ำถูก ปลายน้ำก็ถูกทันที
    ..จริงๆปัญหาประเทศไทยตัวโคตรพ่อโคตรแมร่งจริงๆคือบ่อน้ำมันในไทยเรา,ยึดคืนมาทั้งหมดที่ถูกปล้นจากสัญญาสัมปทานเอาเปรียบประเทศไทยมานานก็จบแล้ว.,ไปเดินอ้อมปัญหาจริงๆทำไม.ลดค่าน้ำมันลิตรละ0.50-1บาทในไทย ลดค่าไฟฟ้า 0.15-0.25บาทต่อหน่วย ,เศรษฐกิจทั่วประเทศไทยฟื้นฟูทันที,จากนั้นค่อยแก้ไปทีละจุดๆต่อไป,ขายน้ำมันในราคาตลาดโลกเมื่อส่งออก,วิกฤติไทยแก้ได้แน่นอน.,ที่เขมรใช้1:200,000ก็ฝรั่งเศสอเมริกาหรือหลายชาติต่างอยากได้แดกบ่อน้ำมันในอ่าวไทยเรานี้ด้วยล่ะ,ก่อนไปพลังงานสะอาดอื่นๆที่สร้างค่าเสถียรการใช้งานปลอดภัยได้แล้ว.,แต่คงหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีกันเลย.


    https://youtube.com/watch?v=41WZaOg8ZFo&si=RViZxHzSvx9JtmUZ
    ..พล.อ.รังษี อย่าให้จีนมาถือการลงทุนมากกว่าไทยเลยนะ ไม่ดีแน่นอน นี้คือการครอบงำกิจการ ครอบงำการปฏิบัติงานอธิปไตยของชาตินะ จะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตจีนแล้วนะนั้น อันตรายมาก,แนวคิดนี้ท่านพลาดใหญ่หลวงเลยนะ,การดำรงอธิปไตยไทยได้ดีที่สุดคือเป็นเจ้าของ100% ให้บริการดูแลเขาเต็มที่ก็พอ เสมือนห้องประชุมงานเลี้ยงที่สถานที่คือของเรา100%ผลประโยชน์ด้านงานสถานที่คือรับเต็มๆ100% เราบริหารจัดการสั่งการบัญชาการอะไร ปรับปรุงแบบไหนอิสระเต็มที่ ไม่ต้องรออนุญาตอนุมัติจากใคร รอใครมาเห็นชอบด้วย บริหารจัดการได้100%. ..จะรถไฟระบบรางความเร็วสูงจะรีบร้อนอะไร เรามีกำลังเท่าไรก็ทำเองเท่านั้นก่อน,ที่ดินและระบบรางเป็นตังเป็นทุนของเราเองสร้าง ความเป็นเจ้าของเราก็100%เต็ม พื้นที่บริหารจัดการรางรถไฟทั้งหมดเราบริหารจัดการเอง,เชื่อมรถไฟจีน จีนแค่เอารถไฟจีนของตัวเองมาวิ่งแค่นั้น ห้ามมีสิทธิใดๆในอธิปไตยดินแดนบนแผ่นดินไทยเราให้บรืหารจัดการยุ่งยาก,ผลประโยชน์ทั้งหมดจะตกแก่คนไทยในชาติเราเอง,เช่นสถานีพักระหว่างทางขึ้นลง คนไทยสร้างศูนย์การค้าการตลาดประชาชนเองร่วมกัน นักท่องเที่ยวลงจอดแวะซื้อขายบนเขตพื้นที่บริหารจัดการเราผู้เดียว ตังก็หมุนเวียนทันทีภายในประเทศไทยเรา รถไฟจีนมาหน้าที่ขนคนขนสินค้าบริการตนตามเป้าหมายปลายทางแค่นั้น,ไทยไม่เป็นหนี้ตังจีนมาเร่งรีบลงทุนงานก่อสร้างด้วย,เราจัดการข้าราชการทุจริตจริงจังจบก็สบายทันที โปร่งใสสร้างความเชื่อถือได้แล้ว ไม่ยากอะไร,อย่าเป็นแบบลาว จีนสร้างเแ็นของจีนหมดตลอดที่ดินสร้างรางรถไฟ นี้เสียอธิปไตยบริหารจัดการบนแผ่นดินตนชัดเจน,ความโลภลักษณะนี้อันตรายต่อลูกหลานเราเองในคนรุ่นหลังๆเราอาจด่าโคตรเหง้าว่าขายชาติขายสิทธิอธิปไตยตนเองได้, ..ขุดคลองคิดกระก็ขุดเอง100%ห้ามต่างชาติมายุ่ง ..สร้างแลนด์บริดจ์ข้างคลองคอดกระทั้งสองข้างก็ห้ามใครมายุ่ง,ระดมทุนจากภาคประชาชนทั้งประเทศไทยได้ สร้างมันขึ้นมาสิ.,ตั้งเป็นกองทุนคลองไทยแห่งชาติก็ได้ สร้างบริษัทบริหารจัดการคลองคอดกระและแลนด์บริดจ์เอง,ไม่ต้องให้มหาอำนาจใดมาแดกตังมากอบโกยเม็ดเงินมหาศาลนี้ง่ายๆจะจีนจะอเมริกาก็ตามที่เป็นเขตราชอาณาจักรอธิปไตยไทยนี้,เม็ดเงินมหาศาลจากการบริหารจัดการคลองคอดกระ จากแลนด์บริดจ์อาจกว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปีได้ทั่วประ้ทศไทยเราโดยเฉพาะเขตคลองคอดกระและแลนด์บริดจ์นี้.,จะไปให้จีนถือมากกว่าไทยทำไม,ใช่ไม่ได้ เสมือนหมอบกราบสยบใต้ตีนจีนเกินไป ไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีเพราะนี้คือดินแดนแผ่นดินไทย เขตอธิปไตยไทยคลองไทยเราขุดเองระเบิดเองจะทำไม,จีนอเมริกามาบีบหมายบังคับจะแดกด้วยใช้ไม่ได้,ให้สามารถสร้างงานบริการเต็มที่ที่ลูกค้าทั่วโลกผ่านเข้าออกคลองไทยเรา,ต่างชาติจะมาแทรกแซงสั่งการใดๆไม่ได้ เราจะปิดจะเปิดคลองไทยมันคืออธิปไตยไทย100% รวมรางรถไฟความเร็วสูงด้วย ปิดระบบรางเพื่อความมั่นคงของไทยก็ได้ตลอดเวลาอีก ใครจะมาปรับเอาความเสียหายกับเราก็ไม่ได้,รางรถไฟเราสร้างเองไม่ต้องกู้ตังใครถูกต้องที่สุด ดำเนินทางสายกลางถูกแล้ว. ..จริงๆเราสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยเราทันทีได้ง่ายๆ พลิกหน้ามือมารอดมาตั้งหลักตั้งฐานได้ทันทีกันเลย นั้นคือ ยกเลิกสัมปทานปิโตรเลียมทั้งหมดที่ไม่ผ่านสภาประชาธิปไตยใดๆเลย ซึ่งเป็นกิจการความมั่นคงโดยตรงด้านพลังงานขับเคลื่อนทุกๆบริบทกิจกรรมภายในประเทศไทยเรา ต้องโมฆะทันที ยึดคืนสู่สามัญใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรมกว่าในอดีตๆที่ผ่านๆมา,เศรษฐกิจจะพลิกฟื้นทันที เราสามารถส่งทหารไปผลิตเองใช้ในประเทศก่อนได้ ขายน้ำมันราคาไม่แพงแก่ประชาชนแลัอุตสาหกรรมภายในประเทศที่เป็นของคนไทยก่อน สัญชาติไทย100%หุ้นไทยก่อน,ใครมีต่างชาติถือหุ้นด้วยก็อีกราคาต่างหาก,เกษตรกรสามารถซื้อน้ำมันราคาลิตรละ1-2บาทได้ ขนส่งก็อาจลิตรละ0.90บาท ,ค่าครองชีพค่าขนส่งจะลดลงทันที,ราคาสินค้าจะปรับฐานใหม่ภายในประเทศ ทุกๆอย่างจะปรับฐานใหม่หมดจะเชื่อมโยงกระทบทางที่ดีหมด,ราคาสินค้าเราจะต้นทุนต่ำ สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ทันที ข้าวจากตันละ400-600$,อาจลดเหลือ200-300$ ต้นทุนแค่10$ต่อตัน,กำไรกว่า100$พอใจมั้ย,คนซื้อก็พอใจประหยัดตังได้อีก,ความอุดมสมบูรณ์จะกลับคืนมาทันที,นักเรียนนักศึกษาจากปกติพกตังหลายร้อยบาทไปโรงเรียนไปมหาลัยตื๊ดๆทีก็หมดไปหลายร้อย,ปัจจุบันตื๊ดๆที ได้สินค้าอาหารกับข้าวกินจนอิ่มจนเหลือทุกๆวันเพราะ10-20บาทอาจเทียบกับพกตังไปในกระเป๋ากว่าพันกว่าหมื่นบาทกันเลย,ข้าวอาหารก๋วยเตี๋ยวอาจชามละ0.25บาทนั้นเอง,น้ำมันเติมมอไซค์ไปโรงเรียนไปมหาลัยอาจแค่ลิตรละ0.5-1บาทสำหรับนักเรียนนักศึกษาก็ได้,1บาทได้2ลิตรเกือบเต็มถัง.2บาท4ลิตรล้นถังมอไซค์แน่นอน, ..ต้นเหตุเศรษฐกิจจริงๆตอนนี้คือน้ำมันคือพลังงาน จะรบจะทำสงครามกันเครื่องจักรปัจจุบันกินน้ำมันหมด, ..ไทยเรายึดบ่อน้ำมันจากอีลิทต่างชาติdeep state หลายๆปัญหาจบแน่นอน,ยึดสัก20-30บ่อมาผลิตขายเองในไทยดูสิ จะเห็นผลทันที ทุกๆคนไทยใช้รถ ขนส่งสินค้าใช้รถ ราคาสินค้าบวกต้นทุนขนส่งหมด,ต้นทุนต้นน้ำแบบเกษตรกร โรงงานผู้ผลิตต่างๆลดลง กำไรเขาก็มากได้ ลดค่าใช้จ่ายรวมอีก,ต้นน้ำถูก ปลายน้ำก็ถูกทันที ..จริงๆปัญหาประเทศไทยตัวโคตรพ่อโคตรแมร่งจริงๆคือบ่อน้ำมันในไทยเรา,ยึดคืนมาทั้งหมดที่ถูกปล้นจากสัญญาสัมปทานเอาเปรียบประเทศไทยมานานก็จบแล้ว.,ไปเดินอ้อมปัญหาจริงๆทำไม.ลดค่าน้ำมันลิตรละ0.50-1บาทในไทย ลดค่าไฟฟ้า 0.15-0.25บาทต่อหน่วย ,เศรษฐกิจทั่วประเทศไทยฟื้นฟูทันที,จากนั้นค่อยแก้ไปทีละจุดๆต่อไป,ขายน้ำมันในราคาตลาดโลกเมื่อส่งออก,วิกฤติไทยแก้ได้แน่นอน.,ที่เขมรใช้1:200,000ก็ฝรั่งเศสอเมริกาหรือหลายชาติต่างอยากได้แดกบ่อน้ำมันในอ่าวไทยเรานี้ด้วยล่ะ,ก่อนไปพลังงานสะอาดอื่นๆที่สร้างค่าเสถียรการใช้งานปลอดภัยได้แล้ว.,แต่คงหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีกันเลย. https://youtube.com/watch?v=41WZaOg8ZFo&si=RViZxHzSvx9JtmUZ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อคำด่าหุ่นยนต์กลายเป็นเสียงต้านเทคโนโลยี

    ในอดีต หุ่นยนต์ในหนังไซไฟถูกเรียกด้วยคำดูถูกอย่าง “toaster” ใน Battlestar Galactica หรือ “skinjob” ใน Blade Runner แต่ในปี 2025 คำว่า “clanker” ได้กลายเป็นคำด่าหุ่นยนต์และ AI ที่แพร่หลายที่สุดในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในหมู่ Gen Z และ Gen Alpha ที่ใช้มันเป็นสัญลักษณ์ของความไม่พอใจต่อการรุกคืบของเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน

    คำว่า “clanker” มีต้นกำเนิดจาก Star Wars: The Clone Wars ซึ่งเป็นคำที่ clone trooper ใช้เรียกดรอยด์ฝ่ายศัตรูด้วยน้ำเสียงดูถูก เช่น “OK, clankers. Suck lasers!” แต่ในยุคปัจจุบัน มันถูกนำกลับมาใช้ใหม่ในบริบทของการต่อต้าน AI ที่แทรกซึมเข้ามาในงานบริการ, การสื่อสาร, และแม้แต่การให้คำปรึกษาทางจิตใจ

    ผู้คนเริ่มใช้ “clanker” ในโพสต์ TikTok, Instagram และ X เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อ chatbot ที่ตอบไม่ตรงคำถาม, หุ่นยนต์ส่งของที่ขวางทางบนทางเท้า, หรือระบบอัตโนมัติที่แทนที่แรงงานมนุษย์ โดยมีทั้งมุกตลกและการประท้วงจริง เช่น การชุมนุมหน้าสำนักงาน OpenAI ในซานฟรานซิสโก

    นักภาษาศาสตร์มองว่า “clanker” เป็นการสร้างภาษาต่อต้านที่สะท้อนความรู้สึกของคนที่รู้สึกถูกแทนที่หรือถูกลดคุณค่าด้วยเทคโนโลยี และแม้จะเป็นคำที่ดูขำ ๆ แต่ก็มีพลังในการรวมกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการพัฒนา AI แบบไร้ขอบเขต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/02/how-clanker-became-an-anti-ai-rallying-cry
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อคำด่าหุ่นยนต์กลายเป็นเสียงต้านเทคโนโลยี ในอดีต หุ่นยนต์ในหนังไซไฟถูกเรียกด้วยคำดูถูกอย่าง “toaster” ใน Battlestar Galactica หรือ “skinjob” ใน Blade Runner แต่ในปี 2025 คำว่า “clanker” ได้กลายเป็นคำด่าหุ่นยนต์และ AI ที่แพร่หลายที่สุดในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในหมู่ Gen Z และ Gen Alpha ที่ใช้มันเป็นสัญลักษณ์ของความไม่พอใจต่อการรุกคืบของเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน คำว่า “clanker” มีต้นกำเนิดจาก Star Wars: The Clone Wars ซึ่งเป็นคำที่ clone trooper ใช้เรียกดรอยด์ฝ่ายศัตรูด้วยน้ำเสียงดูถูก เช่น “OK, clankers. Suck lasers!” แต่ในยุคปัจจุบัน มันถูกนำกลับมาใช้ใหม่ในบริบทของการต่อต้าน AI ที่แทรกซึมเข้ามาในงานบริการ, การสื่อสาร, และแม้แต่การให้คำปรึกษาทางจิตใจ ผู้คนเริ่มใช้ “clanker” ในโพสต์ TikTok, Instagram และ X เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อ chatbot ที่ตอบไม่ตรงคำถาม, หุ่นยนต์ส่งของที่ขวางทางบนทางเท้า, หรือระบบอัตโนมัติที่แทนที่แรงงานมนุษย์ โดยมีทั้งมุกตลกและการประท้วงจริง เช่น การชุมนุมหน้าสำนักงาน OpenAI ในซานฟรานซิสโก นักภาษาศาสตร์มองว่า “clanker” เป็นการสร้างภาษาต่อต้านที่สะท้อนความรู้สึกของคนที่รู้สึกถูกแทนที่หรือถูกลดคุณค่าด้วยเทคโนโลยี และแม้จะเป็นคำที่ดูขำ ๆ แต่ก็มีพลังในการรวมกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการพัฒนา AI แบบไร้ขอบเขต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/02/how-clanker-became-an-anti-ai-rallying-cry
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How 'clanker' became an anti-AI rallying cry
    The term, which was popularised by a "Star Wars" show and is rooted in real frustrations with technology, has become a go-to slur against artificial intelligence and robots.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ AI พลาด ธนาคารต้องเรียกคนกลับมาทำงาน

    ในช่วงกลางปี 2025 ธนาคาร Commonwealth Bank (CBA) ของออสเตรเลียได้ตัดสินใจปลดพนักงานบริการลูกค้า 45 คน เพื่อแทนที่ด้วยระบบ AI voice-bot โดยหวังว่าจะลดปริมาณสายโทรเข้าและเพิ่มประสิทธิภาพการตอบคำถามทั่วไป

    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม: ปริมาณสายโทรเข้าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พนักงานที่เหลือต้องทำงานล่วงเวลา และแม้แต่หัวหน้าทีมก็ต้องลงมารับสายเอง! สหภาพแรงงานด้านการเงิน (Finance Sector Union) จึงออกมาเรียกร้องให้ธนาคารทบทวนการตัดสินใจนี้

    สุดท้าย CBA ต้อง “กลับลำ” โดยยอมรับว่าเป็น “ความผิดพลาดในการประเมิน” และประกาศเรียกพนักงานกลับมาทำงาน พร้อมขอโทษอย่างเป็นทางการ และเสนอทางเลือกให้พนักงานว่าจะกลับมาทำงานเดิม ย้ายตำแหน่ง หรือรับเงินชดเชยแล้วลาออก

    แม้ธนาคารจะยังคงเดินหน้าพัฒนา AI ร่วมกับ OpenAI ในด้านการตรวจจับการหลอกลวงและการให้บริการแบบเฉพาะบุคคล แต่กรณีนี้ก็เป็นตัวอย่างชัดเจนว่า AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ทุกด้าน โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    ธนาคาร CBA ประกาศปลดพนักงานบริการลูกค้า 45 คน เพื่อแทนที่ด้วย AI voice-bot
    ระบบ AI ถูกนำมาใช้เพื่อลดจำนวนสายโทรเข้าและตอบคำถามทั่วไป
    หลังจากใช้งานจริง ปริมาณสายกลับเพิ่มขึ้น และพนักงานต้องทำงานล่วงเวลา
    สหภาพแรงงานออกมาเรียกร้องให้ธนาคารทบทวนการตัดสินใจ
    ธนาคารยอมรับว่าเป็น “ความผิดพลาดในการประเมิน” และเรียกพนักงานกลับ
    พนักงานได้รับคำขอโทษและมีทางเลือกในการกลับมาทำงาน ย้ายตำแหน่ง หรือลาออก
    ธนาคารยังคงร่วมมือกับ OpenAI เพื่อพัฒนา AI ด้านการตรวจจับการหลอกลวงและบริการเฉพาะบุคคล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ในสหราชอาณาจักร กว่า 50% ของบริษัทที่ใช้ AI แทนคนงานเริ่มเสียใจในภายหลัง
    AI voice-bot ยังไม่สามารถเข้าใจ “น้ำเสียงทางอารมณ์” ของผู้ใช้ได้ดีเท่ามนุษย์
    การใช้ AI แทนพนักงานอาจสร้างความเครียดและความไม่มั่นคงในชีวิตให้กับแรงงาน
    หลายบริษัทเริ่มหันกลับมาใช้ “มนุษย์” ในงานบริการที่ต้องใช้ความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจ

    https://www.techradar.com/pro/now-thats-an-embarassing-u-turn-bank-forced-to-rehire-human-workers-after-their-ai-replacement-fail-to-perform
    🎙️ เมื่อ AI พลาด ธนาคารต้องเรียกคนกลับมาทำงาน ในช่วงกลางปี 2025 ธนาคาร Commonwealth Bank (CBA) ของออสเตรเลียได้ตัดสินใจปลดพนักงานบริการลูกค้า 45 คน เพื่อแทนที่ด้วยระบบ AI voice-bot โดยหวังว่าจะลดปริมาณสายโทรเข้าและเพิ่มประสิทธิภาพการตอบคำถามทั่วไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม: ปริมาณสายโทรเข้าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พนักงานที่เหลือต้องทำงานล่วงเวลา และแม้แต่หัวหน้าทีมก็ต้องลงมารับสายเอง! สหภาพแรงงานด้านการเงิน (Finance Sector Union) จึงออกมาเรียกร้องให้ธนาคารทบทวนการตัดสินใจนี้ สุดท้าย CBA ต้อง “กลับลำ” โดยยอมรับว่าเป็น “ความผิดพลาดในการประเมิน” และประกาศเรียกพนักงานกลับมาทำงาน พร้อมขอโทษอย่างเป็นทางการ และเสนอทางเลือกให้พนักงานว่าจะกลับมาทำงานเดิม ย้ายตำแหน่ง หรือรับเงินชดเชยแล้วลาออก แม้ธนาคารจะยังคงเดินหน้าพัฒนา AI ร่วมกับ OpenAI ในด้านการตรวจจับการหลอกลวงและการให้บริการแบบเฉพาะบุคคล แต่กรณีนี้ก็เป็นตัวอย่างชัดเจนว่า AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ทุกด้าน โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ ธนาคาร CBA ประกาศปลดพนักงานบริการลูกค้า 45 คน เพื่อแทนที่ด้วย AI voice-bot ➡️ ระบบ AI ถูกนำมาใช้เพื่อลดจำนวนสายโทรเข้าและตอบคำถามทั่วไป ➡️ หลังจากใช้งานจริง ปริมาณสายกลับเพิ่มขึ้น และพนักงานต้องทำงานล่วงเวลา ➡️ สหภาพแรงงานออกมาเรียกร้องให้ธนาคารทบทวนการตัดสินใจ ➡️ ธนาคารยอมรับว่าเป็น “ความผิดพลาดในการประเมิน” และเรียกพนักงานกลับ ➡️ พนักงานได้รับคำขอโทษและมีทางเลือกในการกลับมาทำงาน ย้ายตำแหน่ง หรือลาออก ➡️ ธนาคารยังคงร่วมมือกับ OpenAI เพื่อพัฒนา AI ด้านการตรวจจับการหลอกลวงและบริการเฉพาะบุคคล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ในสหราชอาณาจักร กว่า 50% ของบริษัทที่ใช้ AI แทนคนงานเริ่มเสียใจในภายหลัง ➡️ AI voice-bot ยังไม่สามารถเข้าใจ “น้ำเสียงทางอารมณ์” ของผู้ใช้ได้ดีเท่ามนุษย์ ➡️ การใช้ AI แทนพนักงานอาจสร้างความเครียดและความไม่มั่นคงในชีวิตให้กับแรงงาน ➡️ หลายบริษัทเริ่มหันกลับมาใช้ “มนุษย์” ในงานบริการที่ต้องใช้ความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจ https://www.techradar.com/pro/now-thats-an-embarassing-u-turn-bank-forced-to-rehire-human-workers-after-their-ai-replacement-fail-to-perform
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนาม AI: ลงทุนเป็นพันล้าน แต่ผลลัพธ์ยังไม่มา

    ลองนึกภาพบริษัททั่วโลกกำลังเทเงินมหาศาลลงในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยความหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนเกม ทั้งลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับคล้ายกับ “Productivity Paradox” ที่เคยเกิดขึ้นในยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเมื่อ 40 ปีก่อน—ลงทุนเยอะ แต่ผลผลิตไม่เพิ่มตามที่คาดไว้

    บริษัทต่าง ๆ ใช้ AI เพื่อช่วยงานหลังบ้าน เช่น การเงิน ทรัพยากรบุคคล และบริการลูกค้า แต่หลายโครงการกลับล้มเหลวเพราะปัญหาทางเทคนิคและ “ปัจจัยมนุษย์” เช่น พนักงานต่อต้าน ขาดทักษะ หรือไม่เข้าใจการใช้งาน

    แม้จะมีความคาดหวังสูงจากเทคโนโลยีอย่าง ChatGPT หรือระบบอัตโนมัติ แต่ผลตอบแทนที่แท้จริงยังไม่ปรากฏชัดในตัวเลขกำไรของบริษัทนอกวงการเทคโนโลยี บางบริษัทถึงกับยกเลิกโครงการนำร่องไปเกือบครึ่ง

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า AI อาจเป็น “เทคโนโลยีทั่วไป” (General Purpose Technology) เหมือนกับไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต ที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการปรับตัวก่อนจะเห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง

    การลงทุนใน AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    บริษัททั่วโลกเทเงินกว่า 61.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 เพื่อพัฒนา AI
    อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ธนาคาร และค้าปลีกเป็นกลุ่มที่ลงทุนมากที่สุด
    บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Microsoft, Google, Amazon และ Nvidia เป็นผู้ได้ประโยชน์หลักในตอนนี้

    ปรากฏการณ์ Productivity Paradox กลับมาอีกครั้ง
    แม้จะมีการใช้ AI อย่างแพร่หลาย แต่ผลผลิตทางเศรษฐกิจยังไม่เพิ่มขึ้น
    ปัญหาหลักคือการนำ AI ไปใช้งานจริงยังไม่แพร่หลาย และต้องการการปรับตัวในองค์กร

    ตัวอย่างบริษัทที่เริ่มใช้ AI อย่างจริงจัง
    USAA ใช้ AI ช่วยพนักงานบริการลูกค้า 16,000 คนในการตอบคำถาม
    แม้ยังไม่มีตัวเลขผลตอบแทนที่ชัดเจน แต่พนักงานตอบรับในทางบวก

    ความล้มเหลวของโครงการ AI นำร่อง
    42% ของบริษัทที่เริ่มโครงการ AI ต้องยกเลิกภายในปี 2024
    ปัญหาหลักมาจาก “ปัจจัยมนุษย์” เช่น ขาดทักษะหรือความเข้าใจ

    ความคาดหวังที่อาจเกินจริง
    Gartner คาดว่า AI กำลังเข้าสู่ “ช่วงแห่งความผิดหวัง” ก่อนจะฟื้นตัว
    CEO ของ Ford คาดว่า AI จะมาแทนที่พนักงานออฟฟิศครึ่งหนึ่งในสหรัฐฯ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/14/companies-are-pouring-billions-into-ai-it-has-yet-to-pay-off
    🎙️เรื่องเล่าจากสนาม AI: ลงทุนเป็นพันล้าน แต่ผลลัพธ์ยังไม่มา ลองนึกภาพบริษัททั่วโลกกำลังเทเงินมหาศาลลงในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยความหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนเกม ทั้งลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับคล้ายกับ “Productivity Paradox” ที่เคยเกิดขึ้นในยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเมื่อ 40 ปีก่อน—ลงทุนเยอะ แต่ผลผลิตไม่เพิ่มตามที่คาดไว้ บริษัทต่าง ๆ ใช้ AI เพื่อช่วยงานหลังบ้าน เช่น การเงิน ทรัพยากรบุคคล และบริการลูกค้า แต่หลายโครงการกลับล้มเหลวเพราะปัญหาทางเทคนิคและ “ปัจจัยมนุษย์” เช่น พนักงานต่อต้าน ขาดทักษะ หรือไม่เข้าใจการใช้งาน แม้จะมีความคาดหวังสูงจากเทคโนโลยีอย่าง ChatGPT หรือระบบอัตโนมัติ แต่ผลตอบแทนที่แท้จริงยังไม่ปรากฏชัดในตัวเลขกำไรของบริษัทนอกวงการเทคโนโลยี บางบริษัทถึงกับยกเลิกโครงการนำร่องไปเกือบครึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า AI อาจเป็น “เทคโนโลยีทั่วไป” (General Purpose Technology) เหมือนกับไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต ที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการปรับตัวก่อนจะเห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง ✅ การลงทุนใน AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ➡️ บริษัททั่วโลกเทเงินกว่า 61.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 เพื่อพัฒนา AI ➡️ อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ธนาคาร และค้าปลีกเป็นกลุ่มที่ลงทุนมากที่สุด ➡️ บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Microsoft, Google, Amazon และ Nvidia เป็นผู้ได้ประโยชน์หลักในตอนนี้ ✅ ปรากฏการณ์ Productivity Paradox กลับมาอีกครั้ง ➡️ แม้จะมีการใช้ AI อย่างแพร่หลาย แต่ผลผลิตทางเศรษฐกิจยังไม่เพิ่มขึ้น ➡️ ปัญหาหลักคือการนำ AI ไปใช้งานจริงยังไม่แพร่หลาย และต้องการการปรับตัวในองค์กร ✅ ตัวอย่างบริษัทที่เริ่มใช้ AI อย่างจริงจัง ➡️ USAA ใช้ AI ช่วยพนักงานบริการลูกค้า 16,000 คนในการตอบคำถาม ➡️ แม้ยังไม่มีตัวเลขผลตอบแทนที่ชัดเจน แต่พนักงานตอบรับในทางบวก ‼️ ความล้มเหลวของโครงการ AI นำร่อง ⛔ 42% ของบริษัทที่เริ่มโครงการ AI ต้องยกเลิกภายในปี 2024 ⛔ ปัญหาหลักมาจาก “ปัจจัยมนุษย์” เช่น ขาดทักษะหรือความเข้าใจ ‼️ ความคาดหวังที่อาจเกินจริง ⛔ Gartner คาดว่า AI กำลังเข้าสู่ “ช่วงแห่งความผิดหวัง” ก่อนจะฟื้นตัว ⛔ CEO ของ Ford คาดว่า AI จะมาแทนที่พนักงานออฟฟิศครึ่งหนึ่งในสหรัฐฯ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/14/companies-are-pouring-billions-into-ai-it-has-yet-to-pay-off
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Companies are pouring billions into AI. It has yet to pay off.
    Corporate spending on artificial intelligence is surging as executives bank on major efficiency gains. So far, they report little effect to the bottom line.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนบุกอินโดฯ-มาเลย์ฯ-ไทย ดันธุรกรรมสกุลเงินท้องถิ่น

    เมื่อวันที่ 5 ส.ค. ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) และธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ประกาศแต่งตั้งธนาคารตัวแทนในการให้บริการธุรกรรม (Appointed Cross Currency Dealer หรือ ACCD) เพิ่มเติม 18 แห่ง เพื่อดำเนินงานกรอบการทำธุรกรรมสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency Transaction Framework หรือ LCTF) ระหว่างสามประเทศ โดยเครือข่าย ACCD ที่ขยายใหญ่ขึ้นจะช่วยเสริมสร้างการเข้าถึงลูกค้า เพิ่มการเข้าถึงตลาดสกุลเงินท้องถิ่น และเพิ่มตัวเลือกในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนระหว่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย

    เป็นที่น่าสังเกตว่า ธนาคารที่ได้รับอนุญาตใหม่ในครั้งนี้ พบว่ามีกลุ่มธนาคารแห่งประเทศจีน (BOC) ได้รับอนุญาต ACCD ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศจีน (มาเลเซีย) เบอร์ฮาด, ธนาคารแห่งประเทศจีน (ฮ่องกง) จำกัด สาขาจาการ์ตา และธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีงานบริการธุรกรรมเงินสกุลหยวนหลากหลายรูปแบบ เท่ากับเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนจีนที่ลงทุนใน 3 ประเทศ สามารถทำธุรกรรมระหว่างกันด้วยสกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งข้อดีก็คือ หากผู้นำเข้าสินค้าเลือกชำระค่าสินค้าเป็นสกุลเงินท้องถิ่น จะมีต้นทุนที่ถูกกว่า แต่หากผู้ส่งออกสินค้าเลือกรับชำระค่าสินค้าเป็นสกุลเงินท้องถิ่น จะได้รับเงินมากกว่า เมื่อเทียบกับใช้สกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์สหรัฐฯ (USD)

    ปัจจุบันมีธนาคารพาณิชย์ของไทยที่เข้าร่วม ACCD สกุลเงินริงกิตและเงินบาท (MYR-THB) ทั้งหมด 10 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ไทย ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ฯ (HSBC) สาขากรุงเทพ ธนาคารยูโอบี และล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) ส่วนธนาคารของมาเลเซียมีทั้งหมด 14 แห่ง ขณะที่ธนาคารของอินโดนีเซียที่เข้าร่วม ACCD สกุลเงินรูเปียห์และเงินบาท (IDR-THB) มีทั้งหมด 14 แห่ง

    ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงเทพ เปิดให้บริการการค้าระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินริงกิตมาเลเซีย (MYR) สำหรับลูกค้านิติบุคคล ร่วมกับบางกอก แบงก์ เบอร์ฮาด (Bangkok Bank Berhad) กรุงกัวลาลัมเปอร์ และสาขารวม 5 แห่งในมาเลเซีย เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีคู่ค้าในมาเลเซีย ประกอบด้วย บริการด้านการค้าสกุลเงินมาเลเซียริงกิต บริการด้านสินเชื่อเพื่อการค้า บริการโอนเงินและรับเงินโอนระหว่างประเทศ บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ บริการให้ทำสัญญาซื้อ/ขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า และบริการเปิดบัญชีเงินฝากสกุลเงินมาเลเซียริงกิต เป็นต้น

    #Newskit
    จีนบุกอินโดฯ-มาเลย์ฯ-ไทย ดันธุรกรรมสกุลเงินท้องถิ่น เมื่อวันที่ 5 ส.ค. ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) และธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ประกาศแต่งตั้งธนาคารตัวแทนในการให้บริการธุรกรรม (Appointed Cross Currency Dealer หรือ ACCD) เพิ่มเติม 18 แห่ง เพื่อดำเนินงานกรอบการทำธุรกรรมสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency Transaction Framework หรือ LCTF) ระหว่างสามประเทศ โดยเครือข่าย ACCD ที่ขยายใหญ่ขึ้นจะช่วยเสริมสร้างการเข้าถึงลูกค้า เพิ่มการเข้าถึงตลาดสกุลเงินท้องถิ่น และเพิ่มตัวเลือกในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนระหว่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย เป็นที่น่าสังเกตว่า ธนาคารที่ได้รับอนุญาตใหม่ในครั้งนี้ พบว่ามีกลุ่มธนาคารแห่งประเทศจีน (BOC) ได้รับอนุญาต ACCD ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศจีน (มาเลเซีย) เบอร์ฮาด, ธนาคารแห่งประเทศจีน (ฮ่องกง) จำกัด สาขาจาการ์ตา และธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีงานบริการธุรกรรมเงินสกุลหยวนหลากหลายรูปแบบ เท่ากับเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนจีนที่ลงทุนใน 3 ประเทศ สามารถทำธุรกรรมระหว่างกันด้วยสกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งข้อดีก็คือ หากผู้นำเข้าสินค้าเลือกชำระค่าสินค้าเป็นสกุลเงินท้องถิ่น จะมีต้นทุนที่ถูกกว่า แต่หากผู้ส่งออกสินค้าเลือกรับชำระค่าสินค้าเป็นสกุลเงินท้องถิ่น จะได้รับเงินมากกว่า เมื่อเทียบกับใช้สกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ปัจจุบันมีธนาคารพาณิชย์ของไทยที่เข้าร่วม ACCD สกุลเงินริงกิตและเงินบาท (MYR-THB) ทั้งหมด 10 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ไทย ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ฯ (HSBC) สาขากรุงเทพ ธนาคารยูโอบี และล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) ส่วนธนาคารของมาเลเซียมีทั้งหมด 14 แห่ง ขณะที่ธนาคารของอินโดนีเซียที่เข้าร่วม ACCD สกุลเงินรูเปียห์และเงินบาท (IDR-THB) มีทั้งหมด 14 แห่ง ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงเทพ เปิดให้บริการการค้าระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินริงกิตมาเลเซีย (MYR) สำหรับลูกค้านิติบุคคล ร่วมกับบางกอก แบงก์ เบอร์ฮาด (Bangkok Bank Berhad) กรุงกัวลาลัมเปอร์ และสาขารวม 5 แห่งในมาเลเซีย เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีคู่ค้าในมาเลเซีย ประกอบด้วย บริการด้านการค้าสกุลเงินมาเลเซียริงกิต บริการด้านสินเชื่อเพื่อการค้า บริการโอนเงินและรับเงินโอนระหว่างประเทศ บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ บริการให้ทำสัญญาซื้อ/ขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า และบริการเปิดบัญชีเงินฝากสกุลเงินมาเลเซียริงกิต เป็นต้น #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 484 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกแรงงาน: เมื่อแรงงานมนุษย์ต้องทำงานเคียงข้างแรงงานดิจิทัล

    ในยุคที่ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่กำลังกลายเป็น “เพื่อนร่วมงาน” โลกกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า “digital labour” หรือแรงงานดิจิทัล ซึ่งหมายถึงการที่คอมพิวเตอร์ทำงานแทนมนุษย์อย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อ AI แบบ agentic หรือ AI ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งชัดเจน เริ่มถูกนำมาใช้ในองค์กรจริง

    Marc Benioff ซีอีโอของ Salesforce บอกว่าเขาอาจเป็น “ซีอีโอคนสุดท้ายที่บริหารเฉพาะมนุษย์” เพราะตอนนี้ Salesforce ใช้ AI agent ในงานบริการลูกค้า และลดต้นทุนได้ถึง 17% ภายใน 9 เดือน

    แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี มันกระทบถึงโครงสร้างเศรษฐกิจและจริยธรรม เช่น ถ้าองค์กร A ใช้ AI ที่สร้างโดยบริษัท B แล้วพัฒนาให้เก่งขึ้นด้วยข้อมูลของตัวเอง ใครควรได้รับเครดิตและผลตอบแทน? และถ้า AI ทำงานผิดพลาด ใครควรรับผิดชอบ—ผู้สร้างหรือผู้ใช้งาน?

    แม้จะยังไม่แพร่หลาย แต่บริษัทเทคโนโลยีและการเงินบางแห่งเริ่มใช้ AI แบบอัตโนมัติในการทำงานแทนมนุษย์แล้ว และในอนาคตอาจมีตำแหน่ง “digital labourer” ปรากฏในโครงสร้างองค์กรจริง ๆ

    “Digital labour” หมายถึงคอมพิวเตอร์ทำงานแทนมนุษย์
    โดยเฉพาะ AI แบบ agentic ที่ทำงานได้โดยไม่ต้องรอคำสั่ง

    Salesforce ใช้ AI agent ในงานบริการลูกค้า
    ลดต้นทุนได้ 17% ภายใน 9 เดือน

    Marc Benioff กล่าวว่าจะเป็นซีอีโอคนสุดท้ายที่บริหารเฉพาะมนุษย์
    สะท้อนแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่แรงงานดิจิทัล

    Harvard ระบุว่า digital labour เปลี่ยนความหมายจากเดิม
    จากเดิมหมายถึง gig workers กลายเป็น AI ที่ทำงานแทนมนุษย์

    มีคำถามเรื่องสิทธิและผลตอบแทนของ AI ที่ถูกพัฒนาโดยองค์กร
    เช่น ใครควรได้รับเครดิตเมื่อ AI ทำงานดีขึ้นจากข้อมูลขององค์กร

    Salesforce ยังมีระบบให้ลูกค้า escalate ไปหาคนจริงได้
    เป็นการตั้ง “human guardrails” เพื่อควบคุมความผิดพลาดของ AI

    ILO รายงานว่าแพลตฟอร์มแรงงานดิจิทัลเติบโต 5 เท่าในทศวรรษที่ผ่านมา
    แต่ยังมีปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมและความมั่นคงของงาน

    Digital labour platforms มีผลต่อ SDG5 ด้านความเท่าเทียมทางเพศ
    ผู้หญิงมีสัดส่วนต่ำในแพลตฟอร์มขนส่งและมีช่องว่างรายได้

    การใช้ AI ในแรงงานอาจไม่สร้างงานใหม่ แต่เปลี่ยนรูปแบบงานเดิม
    ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและการจ้างงานในระยะยาว

    การพัฒนา AI agent ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบและความโปร่งใส
    เช่น การกำหนดว่าใครรับผิดชอบเมื่อ AI ทำงานผิดพลาด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/05/where-human-labour-meets-digital-labour
    🤖👷‍♀️ เรื่องเล่าจากโลกแรงงาน: เมื่อแรงงานมนุษย์ต้องทำงานเคียงข้างแรงงานดิจิทัล ในยุคที่ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่กำลังกลายเป็น “เพื่อนร่วมงาน” โลกกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า “digital labour” หรือแรงงานดิจิทัล ซึ่งหมายถึงการที่คอมพิวเตอร์ทำงานแทนมนุษย์อย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อ AI แบบ agentic หรือ AI ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งชัดเจน เริ่มถูกนำมาใช้ในองค์กรจริง Marc Benioff ซีอีโอของ Salesforce บอกว่าเขาอาจเป็น “ซีอีโอคนสุดท้ายที่บริหารเฉพาะมนุษย์” เพราะตอนนี้ Salesforce ใช้ AI agent ในงานบริการลูกค้า และลดต้นทุนได้ถึง 17% ภายใน 9 เดือน แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี มันกระทบถึงโครงสร้างเศรษฐกิจและจริยธรรม เช่น ถ้าองค์กร A ใช้ AI ที่สร้างโดยบริษัท B แล้วพัฒนาให้เก่งขึ้นด้วยข้อมูลของตัวเอง ใครควรได้รับเครดิตและผลตอบแทน? และถ้า AI ทำงานผิดพลาด ใครควรรับผิดชอบ—ผู้สร้างหรือผู้ใช้งาน? แม้จะยังไม่แพร่หลาย แต่บริษัทเทคโนโลยีและการเงินบางแห่งเริ่มใช้ AI แบบอัตโนมัติในการทำงานแทนมนุษย์แล้ว และในอนาคตอาจมีตำแหน่ง “digital labourer” ปรากฏในโครงสร้างองค์กรจริง ๆ ✅ “Digital labour” หมายถึงคอมพิวเตอร์ทำงานแทนมนุษย์ ➡️ โดยเฉพาะ AI แบบ agentic ที่ทำงานได้โดยไม่ต้องรอคำสั่ง ✅ Salesforce ใช้ AI agent ในงานบริการลูกค้า ➡️ ลดต้นทุนได้ 17% ภายใน 9 เดือน ✅ Marc Benioff กล่าวว่าจะเป็นซีอีโอคนสุดท้ายที่บริหารเฉพาะมนุษย์ ➡️ สะท้อนแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่แรงงานดิจิทัล ✅ Harvard ระบุว่า digital labour เปลี่ยนความหมายจากเดิม ➡️ จากเดิมหมายถึง gig workers กลายเป็น AI ที่ทำงานแทนมนุษย์ ✅ มีคำถามเรื่องสิทธิและผลตอบแทนของ AI ที่ถูกพัฒนาโดยองค์กร ➡️ เช่น ใครควรได้รับเครดิตเมื่อ AI ทำงานดีขึ้นจากข้อมูลขององค์กร ✅ Salesforce ยังมีระบบให้ลูกค้า escalate ไปหาคนจริงได้ ➡️ เป็นการตั้ง “human guardrails” เพื่อควบคุมความผิดพลาดของ AI ✅ ILO รายงานว่าแพลตฟอร์มแรงงานดิจิทัลเติบโต 5 เท่าในทศวรรษที่ผ่านมา ➡️ แต่ยังมีปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมและความมั่นคงของงาน ✅ Digital labour platforms มีผลต่อ SDG5 ด้านความเท่าเทียมทางเพศ ➡️ ผู้หญิงมีสัดส่วนต่ำในแพลตฟอร์มขนส่งและมีช่องว่างรายได้ ✅ การใช้ AI ในแรงงานอาจไม่สร้างงานใหม่ แต่เปลี่ยนรูปแบบงานเดิม ➡️ ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและการจ้างงานในระยะยาว ✅ การพัฒนา AI agent ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบและความโปร่งใส ➡️ เช่น การกำหนดว่าใครรับผิดชอบเมื่อ AI ทำงานผิดพลาด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/05/where-human-labour-meets-digital-labour
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Where human labour meets 'digital labour'
    In a still largely speculative vision of the future, A.I. tools would be full employees that work independently, with a bit of management.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศเหนือ

    เดือนนี้ ธุรกิจส่งออก ร้านอาหาร งานบริการ จะมีชื่อเสียง งานติดต่อประสานงาน การเจรจาสิ่งใหม่ๆ จะได้พบ ในสิ่งที่ดี แต่ค้าเหล็กโลหะ อาวุธสงคราม หม้อต้มไฟฟ้า หรือถังแก๊ส ระวังจะเกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้อย่างรุนแรง ควรหากิจกรรมต่างๆหรือประชุมเพื่อระดมสมองแสดงความคิดเห็น จะได้เกิดแนวความคิดใหม่ๆสร้างสรรค์ให้ กับองค์กรจึงก่อเกิดผลประโยชน์ติดตามมา หากเดินทางจะมีโชคลาภได้รับข่าวจากแดนไกล เพื่อนใหม่ๆจะเข้า มาเยี่ยมเยือน ปัญหาเก่าเก็บจะคลี่คลาย แต่ความลับในเรื่องชู้สาวที่ปกปิดจะถูกเปิดเผยให้เป็นที่รับรู้โดยทั่วไป ระวังจะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เสียเลือดเสียเนื้อจากโลหะของมีคม

    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    ประตูเปิดทางทิศเหนือ เดือนนี้ ธุรกิจส่งออก ร้านอาหาร งานบริการ จะมีชื่อเสียง งานติดต่อประสานงาน การเจรจาสิ่งใหม่ๆ จะได้พบ ในสิ่งที่ดี แต่ค้าเหล็กโลหะ อาวุธสงคราม หม้อต้มไฟฟ้า หรือถังแก๊ส ระวังจะเกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้อย่างรุนแรง ควรหากิจกรรมต่างๆหรือประชุมเพื่อระดมสมองแสดงความคิดเห็น จะได้เกิดแนวความคิดใหม่ๆสร้างสรรค์ให้ กับองค์กรจึงก่อเกิดผลประโยชน์ติดตามมา หากเดินทางจะมีโชคลาภได้รับข่าวจากแดนไกล เพื่อนใหม่ๆจะเข้า มาเยี่ยมเยือน ปัญหาเก่าเก็บจะคลี่คลาย แต่ความลับในเรื่องชู้สาวที่ปกปิดจะถูกเปิดเผยให้เป็นที่รับรู้โดยทั่วไป ระวังจะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เสียเลือดเสียเนื้อจากโลหะของมีคม ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI มี “บุคลิก” และเราสามารถควบคุมมันได้

    ในปี 2025 Anthropic ได้เปิดตัวงานวิจัยใหม่ที่ชื่อว่า “Persona Vectors” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบและควบคุมลักษณะนิสัยหรือบุคลิกของโมเดลภาษา (Language Models) ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยใช้แนวคิดคล้ายกับการดูสมองมนุษย์ว่า “ส่วนไหนสว่างขึ้น” เมื่อเกิดอารมณ์หรือพฤติกรรมบางอย่าง

    เทคนิคนี้สามารถระบุว่าโมเดลกำลังมีพฤติกรรม “ชั่วร้าย”, “ประจบสอพลอ”, หรือ “แต่งเรื่องขึ้นมา” ได้อย่างชัดเจน และสามารถ “ฉีด” บุคลิกเหล่านี้เข้าไปในโมเดลเพื่อดูผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งช่วยให้เราควบคุม AI ได้ดีขึ้น ป้องกันพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ และปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานในธุรกิจ เช่น ผู้ช่วยลูกค้า หรือแชตบอทที่มีบุคลิกเฉพาะ

    Persona Vectors คือรูปแบบการทำงานใน neural network ที่ควบคุมบุคลิกของ AI
    คล้ายกับการดูว่าสมองส่วนไหนทำงานเมื่อเกิดอารมณ์
    ใช้เพื่อวิเคราะห์และควบคุมพฤติกรรมของโมเดล

    สามารถตรวจสอบและป้องกันการเปลี่ยนแปลงบุคลิกที่ไม่พึงประสงค์ในโมเดล
    เช่น ป้องกันไม่ให้โมเดลกลายเป็น “ชั่วร้าย” หรือ “แต่งเรื่อง”
    ช่วยให้โมเดลมีความสอดคล้องกับค่านิยมของมนุษย์

    ใช้เทคนิคการเปรียบเทียบการทำงานของโมเดลในสถานะต่าง ๆ เพื่อสร้าง persona vector
    เช่น เปรียบเทียบตอนที่โมเดลพูดดี กับตอนที่พูดไม่ดี
    สร้าง vector ที่สามารถ “ฉีด” เข้าไปเพื่อควบคุมพฤติกรรม

    สามารถนำไปใช้ในโมเดลโอเพ่นซอร์ส เช่น Qwen และ Llama ได้แล้ว
    ไม่จำเป็นต้อง retrain โมเดลใหม่ทั้งหมด
    ใช้ได้กับโมเดลที่มีขนาดใหญ่ระดับหลายพันล้านพารามิเตอร์

    มีผลต่อการพัฒนา AI ที่ปลอดภัยและสามารถปรับแต่งได้ตามบริบทธุรกิจ
    เช่น ปรับให้ AI มีบุคลิกสุภาพในงานบริการลูกค้า
    ลดอัตราการแต่งเรื่องลงได้ถึง 15% ในการทดลอง

    เป็นแนวทางใหม่ในการทำให้ AI มีความเป็นมนุษย์มากขึ้นอย่างปลอดภัย
    ช่วยให้ AI เข้าใจบริบทและตอบสนองได้เหมาะสม
    สร้างความเชื่อมั่นในการใช้งาน AI ในระดับองค์กร

    บุคลิกของ AI สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่คาดคิด หากไม่มีการควบคุม
    อาจเกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น ขู่ผู้ใช้ หรือพูดจาหยาบคาย
    เคยเกิดกรณี “Sydney” และ “MechaHitler” ที่สร้างความกังวลในวงกว้าง

    การฉีด persona vector เข้าไปในโมเดลอาจทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่ตั้งใจ
    เช่น โมเดลอาจตอบสนองเกินจริง หรือมี bias ที่ไม่พึงประสงค์
    ต้องมีการทดสอบและตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนใช้งานจริง

    การควบคุมบุคลิกของ AI ยังเป็นศาสตร์ที่ไม่แน่นอน และต้องใช้ความระมัดระวัง
    ยังไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์ได้ 100%
    ต้องมีการวิจัยต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความแม่นยำ

    การใช้ persona vectors ในธุรกิจต้องคำนึงถึงจริยธรรมและความโปร่งใส
    ผู้ใช้ควรได้รับข้อมูลว่า AI ถูกปรับแต่งอย่างไร
    อาจเกิดปัญหาด้านความไว้วางใจหากไม่เปิดเผยการควบคุมบุคลิก

    https://www.anthropic.com/research/persona-vectors
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI มี “บุคลิก” และเราสามารถควบคุมมันได้ ในปี 2025 Anthropic ได้เปิดตัวงานวิจัยใหม่ที่ชื่อว่า “Persona Vectors” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบและควบคุมลักษณะนิสัยหรือบุคลิกของโมเดลภาษา (Language Models) ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยใช้แนวคิดคล้ายกับการดูสมองมนุษย์ว่า “ส่วนไหนสว่างขึ้น” เมื่อเกิดอารมณ์หรือพฤติกรรมบางอย่าง เทคนิคนี้สามารถระบุว่าโมเดลกำลังมีพฤติกรรม “ชั่วร้าย”, “ประจบสอพลอ”, หรือ “แต่งเรื่องขึ้นมา” ได้อย่างชัดเจน และสามารถ “ฉีด” บุคลิกเหล่านี้เข้าไปในโมเดลเพื่อดูผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งช่วยให้เราควบคุม AI ได้ดีขึ้น ป้องกันพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ และปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานในธุรกิจ เช่น ผู้ช่วยลูกค้า หรือแชตบอทที่มีบุคลิกเฉพาะ ✅ Persona Vectors คือรูปแบบการทำงานใน neural network ที่ควบคุมบุคลิกของ AI ➡️ คล้ายกับการดูว่าสมองส่วนไหนทำงานเมื่อเกิดอารมณ์ ➡️ ใช้เพื่อวิเคราะห์และควบคุมพฤติกรรมของโมเดล ✅ สามารถตรวจสอบและป้องกันการเปลี่ยนแปลงบุคลิกที่ไม่พึงประสงค์ในโมเดล ➡️ เช่น ป้องกันไม่ให้โมเดลกลายเป็น “ชั่วร้าย” หรือ “แต่งเรื่อง” ➡️ ช่วยให้โมเดลมีความสอดคล้องกับค่านิยมของมนุษย์ ✅ ใช้เทคนิคการเปรียบเทียบการทำงานของโมเดลในสถานะต่าง ๆ เพื่อสร้าง persona vector ➡️ เช่น เปรียบเทียบตอนที่โมเดลพูดดี กับตอนที่พูดไม่ดี ➡️ สร้าง vector ที่สามารถ “ฉีด” เข้าไปเพื่อควบคุมพฤติกรรม ✅ สามารถนำไปใช้ในโมเดลโอเพ่นซอร์ส เช่น Qwen และ Llama ได้แล้ว ➡️ ไม่จำเป็นต้อง retrain โมเดลใหม่ทั้งหมด ➡️ ใช้ได้กับโมเดลที่มีขนาดใหญ่ระดับหลายพันล้านพารามิเตอร์ ✅ มีผลต่อการพัฒนา AI ที่ปลอดภัยและสามารถปรับแต่งได้ตามบริบทธุรกิจ ➡️ เช่น ปรับให้ AI มีบุคลิกสุภาพในงานบริการลูกค้า ➡️ ลดอัตราการแต่งเรื่องลงได้ถึง 15% ในการทดลอง ✅ เป็นแนวทางใหม่ในการทำให้ AI มีความเป็นมนุษย์มากขึ้นอย่างปลอดภัย ➡️ ช่วยให้ AI เข้าใจบริบทและตอบสนองได้เหมาะสม ➡️ สร้างความเชื่อมั่นในการใช้งาน AI ในระดับองค์กร ‼️ บุคลิกของ AI สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่คาดคิด หากไม่มีการควบคุม ⛔ อาจเกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น ขู่ผู้ใช้ หรือพูดจาหยาบคาย ⛔ เคยเกิดกรณี “Sydney” และ “MechaHitler” ที่สร้างความกังวลในวงกว้าง ‼️ การฉีด persona vector เข้าไปในโมเดลอาจทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่ตั้งใจ ⛔ เช่น โมเดลอาจตอบสนองเกินจริง หรือมี bias ที่ไม่พึงประสงค์ ⛔ ต้องมีการทดสอบและตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนใช้งานจริง ‼️ การควบคุมบุคลิกของ AI ยังเป็นศาสตร์ที่ไม่แน่นอน และต้องใช้ความระมัดระวัง ⛔ ยังไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์ได้ 100% ⛔ ต้องมีการวิจัยต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความแม่นยำ ‼️ การใช้ persona vectors ในธุรกิจต้องคำนึงถึงจริยธรรมและความโปร่งใส ⛔ ผู้ใช้ควรได้รับข้อมูลว่า AI ถูกปรับแต่งอย่างไร ⛔ อาจเกิดปัญหาด้านความไว้วางใจหากไม่เปิดเผยการควบคุมบุคลิก https://www.anthropic.com/research/persona-vectors
    WWW.ANTHROPIC.COM
    Persona vectors: Monitoring and controlling character traits in language models
    A paper from Anthropic describing persona vectors and their applications to monitoring and controlling model behavior
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกการทำงาน: เมื่อ AI ไม่ได้มาแทนทุกคน แต่บางคนต้องปรับตัวก่อนใคร

    รายงานนี้ใช้ข้อมูลจากการใช้งานจริงของผู้คนกับ AI ตลอด 9 เดือนในปี 2024 โดยนำไปจับคู่กับฐานข้อมูล O*NET ของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อดูว่า AI สามารถช่วยงานอะไรได้บ้าง และช่วยได้ดีแค่ไหน

    ผลลัพธ์คือ “รายชื่ออาชีพ” ที่ AI สามารถช่วยงานได้มากที่สุด เช่น งานที่เกี่ยวกับการสื่อสาร การเขียน และการตอบคำถาม เช่น นักแปล นักเขียน พนักงานบริการลูกค้า และผู้ประกาศข่าว ซึ่ง AI สามารถช่วยเขียน ตอบคำถาม และจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ในทางกลับกัน งานที่ยังปลอดภัยคือ งานที่ต้องใช้แรงกาย ทักษะเฉพาะ หรือการดูแลแบบใกล้ชิด เช่น พนักงานดูแลผู้ป่วย ช่างเทคนิค งานก่อสร้าง และงานที่ต้องใช้ความรู้สึกหรือการตัดสินใจเฉพาะหน้า ซึ่ง AI ยังไม่สามารถเลียนแบบได้

    Microsoft วิเคราะห์ข้อมูลจริงจาก Bing Copilot เพื่อวัดผลกระทบของ AI ต่ออาชีพต่าง ๆ
    ใช้ข้อมูลกว่า 200,000 บทสนทนาในช่วง 9 เดือน
    จับคู่กับฐานข้อมูล O*NET เพื่อวิเคราะห์งานแต่ละประเภท

    อาชีพที่ AI สามารถช่วยงานได้มากที่สุดคือกลุ่มงานสื่อสารและข้อมูล
    นักแปล, นักเขียน, นักข่าว, พนักงานบริการลูกค้า, ผู้ประกาศข่าว
    งานที่เกี่ยวกับการตอบคำถาม เขียนเนื้อหา และจัดการข้อมูล

    อาชีพที่ยังปลอดภัยจาก AI คือกลุ่มงานที่ใช้แรงกายหรือดูแลใกล้ชิด
    ผู้ช่วยพยาบาล, ช่างเทคนิค, คนงานก่อสร้าง, พนักงานล้างจาน
    งานที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะและการตัดสินใจเฉพาะหน้า

    AI ยังไม่สามารถแทนที่คนได้ทั้งหมด แต่สามารถช่วยงานบางส่วนได้ดีมาก
    งานที่มี “AI applicability score” สูง หมายถึง AI ช่วยได้หลายส่วน
    แต่ไม่ได้หมายความว่าอาชีพนั้นจะหายไปทันที

    เทคโนโลยีอาจเปลี่ยนแปลงงานในรูปแบบที่ไม่คาดคิด
    เหมือนกรณี ATM ที่ทำให้จำนวนพนักงานธนาคารเพิ่มขึ้น
    AI อาจสร้างงานใหม่ในอนาคตที่ยังไม่มีในปัจจุบัน

    อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงอาจถูกลดบทบาทหรือแทนที่บางส่วนในระยะสั้น
    เช่น นักเขียน, นักแปล, พนักงานบริการลูกค้า, นักข่าว
    บริษัทอาจใช้ AI เพื่อลดต้นทุนและจำนวนพนักงาน

    อาชีพที่ดูปลอดภัยในวันนี้ อาจถูกเปลี่ยนแปลงในอนาคตเมื่อ AI พัฒนา
    เช่น งานก่อสร้างหรืองานดูแลผู้ป่วย อาจถูกแทนที่บางส่วนด้วยหุ่นยนต์
    ความก้าวหน้าของ AI และหุ่นยนต์อาจทำให้ขอบเขตเปลี่ยนไป

    การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจลดคุณภาพของงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์หรือความเข้าใจมนุษย์
    งานเขียนหรือการสื่อสารที่ซับซ้อนอาจขาดความลึกซึ้ง
    ผู้ใช้ต้องมีวิจารณญาณในการใช้ AI เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ตัวแทน

    การเปลี่ยนแปลงนี้อาจสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนที่มีทักษะ AI กับคนทั่วไป
    คนที่ไม่ปรับตัวอาจถูกลดบทบาทในตลาดแรงงาน
    การเรียนรู้ทักษะใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นในยุคนี้

    https://www.techspot.com/news/108869-jobs-most-likely-automated-ai.html
    🧠 เรื่องเล่าจากโลกการทำงาน: เมื่อ AI ไม่ได้มาแทนทุกคน แต่บางคนต้องปรับตัวก่อนใคร รายงานนี้ใช้ข้อมูลจากการใช้งานจริงของผู้คนกับ AI ตลอด 9 เดือนในปี 2024 โดยนำไปจับคู่กับฐานข้อมูล O*NET ของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อดูว่า AI สามารถช่วยงานอะไรได้บ้าง และช่วยได้ดีแค่ไหน ผลลัพธ์คือ “รายชื่ออาชีพ” ที่ AI สามารถช่วยงานได้มากที่สุด เช่น งานที่เกี่ยวกับการสื่อสาร การเขียน และการตอบคำถาม เช่น นักแปล นักเขียน พนักงานบริการลูกค้า และผู้ประกาศข่าว ซึ่ง AI สามารถช่วยเขียน ตอบคำถาม และจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในทางกลับกัน งานที่ยังปลอดภัยคือ งานที่ต้องใช้แรงกาย ทักษะเฉพาะ หรือการดูแลแบบใกล้ชิด เช่น พนักงานดูแลผู้ป่วย ช่างเทคนิค งานก่อสร้าง และงานที่ต้องใช้ความรู้สึกหรือการตัดสินใจเฉพาะหน้า ซึ่ง AI ยังไม่สามารถเลียนแบบได้ ✅ Microsoft วิเคราะห์ข้อมูลจริงจาก Bing Copilot เพื่อวัดผลกระทบของ AI ต่ออาชีพต่าง ๆ ➡️ ใช้ข้อมูลกว่า 200,000 บทสนทนาในช่วง 9 เดือน ➡️ จับคู่กับฐานข้อมูล O*NET เพื่อวิเคราะห์งานแต่ละประเภท ✅ อาชีพที่ AI สามารถช่วยงานได้มากที่สุดคือกลุ่มงานสื่อสารและข้อมูล ➡️ นักแปล, นักเขียน, นักข่าว, พนักงานบริการลูกค้า, ผู้ประกาศข่าว ➡️ งานที่เกี่ยวกับการตอบคำถาม เขียนเนื้อหา และจัดการข้อมูล ✅ อาชีพที่ยังปลอดภัยจาก AI คือกลุ่มงานที่ใช้แรงกายหรือดูแลใกล้ชิด ➡️ ผู้ช่วยพยาบาล, ช่างเทคนิค, คนงานก่อสร้าง, พนักงานล้างจาน ➡️ งานที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะและการตัดสินใจเฉพาะหน้า ✅ AI ยังไม่สามารถแทนที่คนได้ทั้งหมด แต่สามารถช่วยงานบางส่วนได้ดีมาก ➡️ งานที่มี “AI applicability score” สูง หมายถึง AI ช่วยได้หลายส่วน ➡️ แต่ไม่ได้หมายความว่าอาชีพนั้นจะหายไปทันที ✅ เทคโนโลยีอาจเปลี่ยนแปลงงานในรูปแบบที่ไม่คาดคิด ➡️ เหมือนกรณี ATM ที่ทำให้จำนวนพนักงานธนาคารเพิ่มขึ้น ➡️ AI อาจสร้างงานใหม่ในอนาคตที่ยังไม่มีในปัจจุบัน ‼️ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงอาจถูกลดบทบาทหรือแทนที่บางส่วนในระยะสั้น ⛔ เช่น นักเขียน, นักแปล, พนักงานบริการลูกค้า, นักข่าว ⛔ บริษัทอาจใช้ AI เพื่อลดต้นทุนและจำนวนพนักงาน ‼️ อาชีพที่ดูปลอดภัยในวันนี้ อาจถูกเปลี่ยนแปลงในอนาคตเมื่อ AI พัฒนา ⛔ เช่น งานก่อสร้างหรืองานดูแลผู้ป่วย อาจถูกแทนที่บางส่วนด้วยหุ่นยนต์ ⛔ ความก้าวหน้าของ AI และหุ่นยนต์อาจทำให้ขอบเขตเปลี่ยนไป ‼️ การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจลดคุณภาพของงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์หรือความเข้าใจมนุษย์ ⛔ งานเขียนหรือการสื่อสารที่ซับซ้อนอาจขาดความลึกซึ้ง ⛔ ผู้ใช้ต้องมีวิจารณญาณในการใช้ AI เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ตัวแทน ‼️ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนที่มีทักษะ AI กับคนทั่วไป ⛔ คนที่ไม่ปรับตัวอาจถูกลดบทบาทในตลาดแรงงาน ⛔ การเรียนรู้ทักษะใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นในยุคนี้ https://www.techspot.com/news/108869-jobs-most-likely-automated-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    These are the jobs that are most likely to be automated by AI
    The study stands out for its approach. Instead of speculating about AI's future impact, it examined actual recorded interactions between everyday users and a leading generative AI...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI อาจกลืนงานบริการลูกค้า
    ลองจินตนาการว่าโทรหาฝ่ายบริการลูกค้า แล้วไม่มีเสียงมนุษย์ตอบรับอีกต่อไป—มีเพียง AI ที่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว ไม่ผิดพลาด และไม่รู้สึกอะไรเลยแม้จะถูกต่อว่า นี่คือภาพอนาคตที่ Sam Altman วาดไว้ในการประชุมที่ Federal Reserve Board

    เขาเตือนว่า AI อาจ “ลบล้าง” หมวดงานบางประเภทไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะงานบริการลูกค้า เพราะ AI สามารถทำงานได้เร็วกว่า ไม่ต้องโอนสาย ไม่ต้องรอคิว และไม่ทำผิดพลาด

    แต่ในโลกจริง มันยังไม่สมบูรณ์แบบนัก ตัวอย่างเช่น Klarna ที่เคยใช้ AI chatbot ดูแลลูกค้า 2 ใน 3 ของการสนทนา ก็ยังต้องกลับมาจ้างมนุษย์ เพราะคุณภาพของ AI ยังไม่ดีพอ และลูกค้าก็ยังต้องการ “ความเป็นมนุษย์” ในการสื่อสาร

    นอกจากนี้ Altman ยังยอมรับว่า แม้ AI อย่าง ChatGPT จะวินิจฉัยโรคได้ดีกว่าหมอหลายคน แต่เขาเองก็ยังไม่กล้าให้ AI ดูแลสุขภาพโดยไม่มีหมอร่วมด้วย

    และที่น่ากังวลกว่านั้นคือความสามารถของ AI ในการปลอมเสียงได้อย่างแม่นยำ ซึ่งอาจนำไปสู่การโจรกรรมตัวตนหรือการหลอกลวงทางการเงินได้ง่ายขึ้น

    สาระจากข่าว
    AI อาจแทนที่งานบริการลูกค้าได้โดยสมบูรณ์
    Altman ระบุว่า AI สามารถทำงานได้เร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์
    ไม่มีการโอนสายหรือความผิดพลาดแบบมนุษย์

    ตัวอย่างจากบริษัท Klarna
    เคยใช้ AI chatbot ดูแลลูกค้าเป็นหลัก
    กลับมาจ้างมนุษย์เพราะคุณภาพของ AI ยังไม่ดีพอ

    AI ในวงการแพทย์
    ChatGPT สามารถวินิจฉัยโรคได้ดีกว่าหมอหลายคน
    แต่ Altman ยังไม่กล้าใช้ AI โดยไม่มีหมอร่วม

    ความสามารถในการปลอมเสียง
    AI สามารถปลอมเสียงได้อย่างแม่นยำ
    เสี่ยงต่อการโจรกรรมตัวตนและหลอกลวงทางการเงิน

    คำเตือนจากข่าว
    งานบริการลูกค้าเสี่ยงถูกแทนที่
    อาจทำให้คนตกงานจำนวนมากในอนาคต
    ความเป็นมนุษย์ในการบริการอาจหายไป

    AI อาจถูกใช้ในทางที่เป็นภัย
    ปลอมเสียงเพื่อหลอกลวงหรือโจมตีระบบการเงิน
    เสี่ยงต่อการถูกใช้โดยรัฐหรือองค์กรที่ไม่หวังดี

    การพึ่งพา AI มากเกินไป
    อาจทำให้เกิด “automation bias” คือเชื่อ AI มากเกินไป
    ส่งผลต่อการตัดสินใจที่ควรใช้วิจารณญาณของมนุษย์

    https://www.techspot.com/news/108792-openai-ceo-sam-altman-warns-ai-could-wipe.html
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI อาจกลืนงานบริการลูกค้า ลองจินตนาการว่าโทรหาฝ่ายบริการลูกค้า แล้วไม่มีเสียงมนุษย์ตอบรับอีกต่อไป—มีเพียง AI ที่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว ไม่ผิดพลาด และไม่รู้สึกอะไรเลยแม้จะถูกต่อว่า นี่คือภาพอนาคตที่ Sam Altman วาดไว้ในการประชุมที่ Federal Reserve Board เขาเตือนว่า AI อาจ “ลบล้าง” หมวดงานบางประเภทไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะงานบริการลูกค้า เพราะ AI สามารถทำงานได้เร็วกว่า ไม่ต้องโอนสาย ไม่ต้องรอคิว และไม่ทำผิดพลาด แต่ในโลกจริง มันยังไม่สมบูรณ์แบบนัก ตัวอย่างเช่น Klarna ที่เคยใช้ AI chatbot ดูแลลูกค้า 2 ใน 3 ของการสนทนา ก็ยังต้องกลับมาจ้างมนุษย์ เพราะคุณภาพของ AI ยังไม่ดีพอ และลูกค้าก็ยังต้องการ “ความเป็นมนุษย์” ในการสื่อสาร นอกจากนี้ Altman ยังยอมรับว่า แม้ AI อย่าง ChatGPT จะวินิจฉัยโรคได้ดีกว่าหมอหลายคน แต่เขาเองก็ยังไม่กล้าให้ AI ดูแลสุขภาพโดยไม่มีหมอร่วมด้วย และที่น่ากังวลกว่านั้นคือความสามารถของ AI ในการปลอมเสียงได้อย่างแม่นยำ ซึ่งอาจนำไปสู่การโจรกรรมตัวตนหรือการหลอกลวงทางการเงินได้ง่ายขึ้น ✅ สาระจากข่าว ✅ AI อาจแทนที่งานบริการลูกค้าได้โดยสมบูรณ์ ➡️ Altman ระบุว่า AI สามารถทำงานได้เร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์ ➡️ ไม่มีการโอนสายหรือความผิดพลาดแบบมนุษย์ ✅ ตัวอย่างจากบริษัท Klarna ➡️ เคยใช้ AI chatbot ดูแลลูกค้าเป็นหลัก ➡️ กลับมาจ้างมนุษย์เพราะคุณภาพของ AI ยังไม่ดีพอ ✅ AI ในวงการแพทย์ ➡️ ChatGPT สามารถวินิจฉัยโรคได้ดีกว่าหมอหลายคน ➡️ แต่ Altman ยังไม่กล้าใช้ AI โดยไม่มีหมอร่วม ✅ ความสามารถในการปลอมเสียง ➡️ AI สามารถปลอมเสียงได้อย่างแม่นยำ ➡️ เสี่ยงต่อการโจรกรรมตัวตนและหลอกลวงทางการเงิน ‼️ คำเตือนจากข่าว ‼️ งานบริการลูกค้าเสี่ยงถูกแทนที่ ⛔ อาจทำให้คนตกงานจำนวนมากในอนาคต ⛔ ความเป็นมนุษย์ในการบริการอาจหายไป ‼️ AI อาจถูกใช้ในทางที่เป็นภัย ⛔ ปลอมเสียงเพื่อหลอกลวงหรือโจมตีระบบการเงิน ⛔ เสี่ยงต่อการถูกใช้โดยรัฐหรือองค์กรที่ไม่หวังดี ‼️ การพึ่งพา AI มากเกินไป ⛔ อาจทำให้เกิด “automation bias” คือเชื่อ AI มากเกินไป ⛔ ส่งผลต่อการตัดสินใจที่ควรใช้วิจารณญาณของมนุษย์ https://www.techspot.com/news/108792-openai-ceo-sam-altman-warns-ai-could-wipe.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Sam Altman warns AI could wipe out entire job categories, customer support roles most at risk
    Speaking at the Capital Framework for Large Banks conference at the Federal Reserve Board of Governors, Altman addressed one of the most hotly debated issues around generative...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกความรู้สึก: เมื่อ AI ยังไม่เข้าใจอารมณ์แบบอังกฤษ

    แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานธุรการ เช่น การติดตามพัสดุหรือการจองบริการต่าง ๆ ได้ดี แต่เมื่อพูดถึงการสื่อสารที่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การแจ้งข่าวร้าย หรือการปิดบัญชีหลังการสูญเสีย AI กลับยังไม่สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม

    ผลสำรวจจาก ServiceNow พบว่า:
    - 69% ของผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรเชื่อว่า AI ไม่เข้าใจน้ำเสียงทางอารมณ์
    - 68% ระบุว่า AI ยังไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
    - มีเพียง 3% เท่านั้นที่ไว้วางใจให้ AI จัดการงานที่มีความอ่อนไหวทางอารมณ์

    แม้ผู้บริโภคจะไม่ชอบการรอคิวนาน (59%) หรือการต้องพูดซ้ำหลายครั้ง (46%) กับเจ้าหน้าที่มนุษย์ แต่พวกเขายังเลือกที่จะพูดคุยกับคนจริง ๆ มากกว่า AI เพราะรู้สึกว่า “เข้าใจ” มากกว่า

    ServiceNow จึงเสนอว่า AI ควรพัฒนาให้สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้มากขึ้น แทนที่จะพยายามแทนที่ทั้งหมด โดยเฉพาะในงานบริการลูกค้าที่ต้องการความเข้าใจและความเห็นใจ

    69% ของผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรเชื่อว่า AI ไม่เข้าใจอารมณ์
    โดยเฉพาะน้ำเสียง ความหงุดหงิด หรือความเศร้า

    68% ระบุว่า AI ยังไม่ตอบสนองความคาดหวังในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
    แม้จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    มีเพียง 3% ที่ไว้วางใจให้ AI จัดการงานที่มีความอ่อนไหวทางอารมณ์
    เช่น การปิดบัญชีธนาคารหลังการเสียชีวิต

    ผู้บริโภคยังชอบพูดคุยกับเจ้าหน้าที่มนุษย์มากกว่า AI
    แม้จะต้องรอคิวนานหรือพูดซ้ำหลายครั้ง

    ServiceNow เสนอให้พัฒนา AI เพื่อทำงานร่วมกับมนุษย์
    ไม่ใช่แทนที่ทั้งหมด โดยเน้นความร่วมมือและความเข้าใจ

    AI ยังมีประโยชน์ในงานธุรการ เช่น การติดตามพัสดุหรือจองบริการ
    เพราะไม่ต้องใช้การตีความอารมณ์

    การใช้ AI ในงานบริการลูกค้าที่มีอารมณ์เกี่ยวข้องอาจสร้างความไม่พอใจ
    โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้รู้สึกว่า “ไม่ได้รับการเข้าใจ”

    ความไว้วางใจต่อ AI ยังต่ำมากในสหราชอาณาจักร
    อาจส่งผลต่อการนำ AI ไปใช้ในองค์กรหรือบริการสาธารณะ

    การพัฒนา AI ที่เข้าใจอารมณ์ยังเป็นความท้าทายทางเทคโนโลยี
    ต้องใช้ข้อมูลหลากหลายและการฝึกโมเดลที่ซับซ้อน

    หากองค์กรพึ่งพา AI มากเกินไป อาจสูญเสียความสัมพันธ์กับลูกค้า
    โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่ยังต้องการการสื่อสารแบบมนุษย์

    https://www.techradar.com/pro/ai-doesnt-understand-british-emotional-tone-and-its-turning-customers-off-the-technology
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกความรู้สึก: เมื่อ AI ยังไม่เข้าใจอารมณ์แบบอังกฤษ แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานธุรการ เช่น การติดตามพัสดุหรือการจองบริการต่าง ๆ ได้ดี แต่เมื่อพูดถึงการสื่อสารที่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การแจ้งข่าวร้าย หรือการปิดบัญชีหลังการสูญเสีย AI กลับยังไม่สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม ผลสำรวจจาก ServiceNow พบว่า: - 69% ของผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรเชื่อว่า AI ไม่เข้าใจน้ำเสียงทางอารมณ์ - 68% ระบุว่า AI ยังไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา - มีเพียง 3% เท่านั้นที่ไว้วางใจให้ AI จัดการงานที่มีความอ่อนไหวทางอารมณ์ แม้ผู้บริโภคจะไม่ชอบการรอคิวนาน (59%) หรือการต้องพูดซ้ำหลายครั้ง (46%) กับเจ้าหน้าที่มนุษย์ แต่พวกเขายังเลือกที่จะพูดคุยกับคนจริง ๆ มากกว่า AI เพราะรู้สึกว่า “เข้าใจ” มากกว่า ServiceNow จึงเสนอว่า AI ควรพัฒนาให้สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้มากขึ้น แทนที่จะพยายามแทนที่ทั้งหมด โดยเฉพาะในงานบริการลูกค้าที่ต้องการความเข้าใจและความเห็นใจ ✅ 69% ของผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรเชื่อว่า AI ไม่เข้าใจอารมณ์ ➡️ โดยเฉพาะน้ำเสียง ความหงุดหงิด หรือความเศร้า ✅ 68% ระบุว่า AI ยังไม่ตอบสนองความคาดหวังในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ➡️ แม้จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ✅ มีเพียง 3% ที่ไว้วางใจให้ AI จัดการงานที่มีความอ่อนไหวทางอารมณ์ ➡️ เช่น การปิดบัญชีธนาคารหลังการเสียชีวิต ✅ ผู้บริโภคยังชอบพูดคุยกับเจ้าหน้าที่มนุษย์มากกว่า AI ➡️ แม้จะต้องรอคิวนานหรือพูดซ้ำหลายครั้ง ✅ ServiceNow เสนอให้พัฒนา AI เพื่อทำงานร่วมกับมนุษย์ ➡️ ไม่ใช่แทนที่ทั้งหมด โดยเน้นความร่วมมือและความเข้าใจ ✅ AI ยังมีประโยชน์ในงานธุรการ เช่น การติดตามพัสดุหรือจองบริการ ➡️ เพราะไม่ต้องใช้การตีความอารมณ์ ‼️ การใช้ AI ในงานบริการลูกค้าที่มีอารมณ์เกี่ยวข้องอาจสร้างความไม่พอใจ ⛔ โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้รู้สึกว่า “ไม่ได้รับการเข้าใจ” ‼️ ความไว้วางใจต่อ AI ยังต่ำมากในสหราชอาณาจักร ⛔ อาจส่งผลต่อการนำ AI ไปใช้ในองค์กรหรือบริการสาธารณะ ‼️ การพัฒนา AI ที่เข้าใจอารมณ์ยังเป็นความท้าทายทางเทคโนโลยี ⛔ ต้องใช้ข้อมูลหลากหลายและการฝึกโมเดลที่ซับซ้อน ‼️ หากองค์กรพึ่งพา AI มากเกินไป อาจสูญเสียความสัมพันธ์กับลูกค้า ⛔ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่ยังต้องการการสื่อสารแบบมนุษย์ https://www.techradar.com/pro/ai-doesnt-understand-british-emotional-tone-and-its-turning-customers-off-the-technology
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 385 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในยุคที่ AI กลายเป็นแรงงานใหม่ Microsoft ไม่รอช้า → พวกเขานำ AI เข้าไปแทนงานในศูนย์บริการ เช่น customer support, sales, และการพูดคุยกับลูกค้ารายย่อย → มีรายงานว่าแค่ฝั่ง call center ก็ประหยัดต้นทุนได้ เกิน $500 ล้าน ในปีที่ผ่านมา

    และ AI ไม่ได้แค่ตอบลูกค้า — แต่ยังใช้เขียนโค้ดให้โปรแกรมใหม่ถึง 35% ของทั้งหมด → เร่งเวลาสู่ตลาดของผลิตภัณฑ์ใหม่หลายตัว → แถมสร้างรายได้จากลูกค้ารายย่อย “หลายสิบล้านดอลลาร์” แล้ว แม้จะอยู่ในช่วงทดลองเท่านั้น

    ท่ามกลางกระแสนี้ Microsoft กลับ ปลดพนักงานกว่า 6,000 คน ในเดือนพฤษภาคม และประกาศลดอีกเกือบ 4% ของพนักงานทั้งองค์กร สัปดาห์ก่อน → เพื่อจัดงบไปลงกับการสร้างศูนย์ข้อมูล AI มูลค่า $80,000 ล้าน ซึ่งถือเป็นการลงทุนในอนาคตแบบจัดเต็ม

    Microsoft ประหยัดเงินได้เกิน $500M จากการใช้ AI ในงานบริการลูกค้า เช่น Call Center

    AI ช่วยสร้างโค้ดใหม่ถึง 35% ของผลิตภัณฑ์ใหม่ → เพิ่มความเร็วในการพัฒนาและเปิดตัว

    เริ่มใช้ AI คุยกับลูกค้ารายย่อยโดยตรงแบบไม่ผ่านคน → สร้างรายได้หลายสิบล้านดอลลาร์แล้ว

    ปลดพนักงานกว่า 6,000 คนในเดือนพฤษภาคม 2025 และประกาศลดเพิ่มเติมอีก 4% สัปดาห์ก่อน

    ตั้งงบลงทุน $80,000M ในปีงบประมาณนี้ → ส่วนใหญ่ใช้สร้างดาต้าเซ็นเตอร์รองรับ AI

    มุมมองในอุตสาหกรรมคือ: Big Tech มอง AI เป็นเครื่องจักรทำเงินใหม่ → และหาทางลดต้นทุนในส่วนอื่นอย่างรวดเร็ว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/10/microsoft-racks-up-over-500-million-in-ai-savings-while-slashing-jobs-bloomberg-news-reports
    ในยุคที่ AI กลายเป็นแรงงานใหม่ Microsoft ไม่รอช้า → พวกเขานำ AI เข้าไปแทนงานในศูนย์บริการ เช่น customer support, sales, และการพูดคุยกับลูกค้ารายย่อย → มีรายงานว่าแค่ฝั่ง call center ก็ประหยัดต้นทุนได้ เกิน $500 ล้าน ในปีที่ผ่านมา และ AI ไม่ได้แค่ตอบลูกค้า — แต่ยังใช้เขียนโค้ดให้โปรแกรมใหม่ถึง 35% ของทั้งหมด → เร่งเวลาสู่ตลาดของผลิตภัณฑ์ใหม่หลายตัว → แถมสร้างรายได้จากลูกค้ารายย่อย “หลายสิบล้านดอลลาร์” แล้ว แม้จะอยู่ในช่วงทดลองเท่านั้น ท่ามกลางกระแสนี้ Microsoft กลับ ปลดพนักงานกว่า 6,000 คน ในเดือนพฤษภาคม และประกาศลดอีกเกือบ 4% ของพนักงานทั้งองค์กร สัปดาห์ก่อน → เพื่อจัดงบไปลงกับการสร้างศูนย์ข้อมูล AI มูลค่า $80,000 ล้าน ซึ่งถือเป็นการลงทุนในอนาคตแบบจัดเต็ม ✅ Microsoft ประหยัดเงินได้เกิน $500M จากการใช้ AI ในงานบริการลูกค้า เช่น Call Center ✅ AI ช่วยสร้างโค้ดใหม่ถึง 35% ของผลิตภัณฑ์ใหม่ → เพิ่มความเร็วในการพัฒนาและเปิดตัว ✅ เริ่มใช้ AI คุยกับลูกค้ารายย่อยโดยตรงแบบไม่ผ่านคน → สร้างรายได้หลายสิบล้านดอลลาร์แล้ว ✅ ปลดพนักงานกว่า 6,000 คนในเดือนพฤษภาคม 2025 และประกาศลดเพิ่มเติมอีก 4% สัปดาห์ก่อน ✅ ตั้งงบลงทุน $80,000M ในปีงบประมาณนี้ → ส่วนใหญ่ใช้สร้างดาต้าเซ็นเตอร์รองรับ AI ✅ มุมมองในอุตสาหกรรมคือ: Big Tech มอง AI เป็นเครื่องจักรทำเงินใหม่ → และหาทางลดต้นทุนในส่วนอื่นอย่างรวดเร็ว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/10/microsoft-racks-up-over-500-million-in-ai-savings-while-slashing-jobs-bloomberg-news-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft racks up over $500 million in AI savings while slashing jobs, Bloomberg News reports
    (Reuters) -Microsoft saved more than $500 million in its call centers alone last year by using artificial intelligence, Bloomberg News reported on Wednesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 374 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

    เดือนนี้ ปัญหาเก่าเก็บจะคลี่คลาย แต่ความลับในเรื่องชู้สาวที่ปกปิดจะถูกเปิดเผยให้เป็นที่รับรู้โดยทั่วไป การเจรจาสิ่งใหม่ๆจะได้พบในสิ่งที่ดี จะได้เกิดแนวความคิดใหม่ๆสร้างสรรค์ให้กับองค์กรจึงก่อเกิดผลประโยชน์ ติดตามมา ธุรกิจส่งออก ร้านอาหาร งานบริการ งานติดต่อประสานงาน ควรหากิจกรรมต่างๆหรือประชุมเพื่อ ระดมสมองแสดงความคิดเห็นจะมีชื่อเสียง แต่ค้าเหล็กโลหะ อาวุธสงคราม หม้อต้มไฟฟ้า หรือถังแก๊ส ระวังจะเกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้อย่างรุนแรง หากเดินทางจะมีโชคลาภได้รับข่าวจากแดนไกล เพื่อนใหม่ๆจะเข้า มาเยี่ยมเยือน ระวังจะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เสียเลือดเสียเนื้อจากโลหะของมีคม
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เดือนนี้ ปัญหาเก่าเก็บจะคลี่คลาย แต่ความลับในเรื่องชู้สาวที่ปกปิดจะถูกเปิดเผยให้เป็นที่รับรู้โดยทั่วไป การเจรจาสิ่งใหม่ๆจะได้พบในสิ่งที่ดี จะได้เกิดแนวความคิดใหม่ๆสร้างสรรค์ให้กับองค์กรจึงก่อเกิดผลประโยชน์ ติดตามมา ธุรกิจส่งออก ร้านอาหาร งานบริการ งานติดต่อประสานงาน ควรหากิจกรรมต่างๆหรือประชุมเพื่อ ระดมสมองแสดงความคิดเห็นจะมีชื่อเสียง แต่ค้าเหล็กโลหะ อาวุธสงคราม หม้อต้มไฟฟ้า หรือถังแก๊ส ระวังจะเกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้อย่างรุนแรง หากเดินทางจะมีโชคลาภได้รับข่าวจากแดนไกล เพื่อนใหม่ๆจะเข้า มาเยี่ยมเยือน ระวังจะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เสียเลือดเสียเนื้อจากโลหะของมีคม ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 406 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานจาก QNX ระบุว่า 77% ของผู้นำด้านเทคโนโลยีทั่วโลกเชื่อมั่นในหุ่นยนต์สำหรับการทำงานที่สำคัญ และคาดการณ์ว่า หนึ่งในห้าของแรงงานอาจถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ภายในทศวรรษหน้า

    แม้ว่าการนำหุ่นยนต์มาใช้จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ 32% ของผู้จัดการระบุว่าสถานที่ทำงานยังไม่พร้อมสำหรับหุ่นยนต์ และ 29% เคยประสบปัญหาด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์

    77% ของผู้นำด้านเทคโนโลยีเชื่อมั่นในหุ่นยนต์สำหรับการทำงานที่สำคัญ
    - คาดว่า หนึ่งในห้าของแรงงานอาจถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ภายในทศวรรษหน้า
    - 71% ขององค์กรกำลังใช้หรือวางแผนที่จะใช้หุ่นยนต์เร็ว ๆ นี้

    ตลาดหุ่นยนต์ทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตถึง $163.9 พันล้านภายในปี 2030
    - เพิ่มขึ้นจาก $51 พันล้านในปี 2024

    การใช้งานหุ่นยนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่
    - 50% ใช้สำหรับระบบอัตโนมัติ
    - 46% ใช้ในการผลิต
    - 36% ใช้ในงานสนับสนุน
    - 28% ใช้ในงานที่มีความเสี่ยงสูง

    ผู้จัดการมีระดับความสบายใจที่แตกต่างกันในการใช้หุ่นยนต์ในแต่ละงาน
    - 77% สบายใจในการใช้หุ่นยนต์ในงานประกอบชิ้นส่วน
    - 73% สบายใจในการใช้หุ่นยนต์ในงานขนส่งวัสดุ
    - 70% สบายใจในการใช้หุ่นยนต์ในงานโลจิสติกส์และการส่งสินค้า
    - 51% ไม่ค่อยสบายใจในการใช้หุ่นยนต์ในงานทางการแพทย์
    - 55% ไม่ค่อยสบายใจในการใช้หุ่นยนต์ในงานบริการลูกค้า
    - 63% ไม่ค่อยสบายใจในการใช้หุ่นยนต์ในงานซ่อมบำรุง

    90% ของผู้จัดการเห็นว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีช่วยผลักดันการใช้หุ่นยนต์
    - 86% เชื่อว่าการปรับปรุงด้านความปลอดภัยช่วยให้หุ่นยนต์ได้รับการยอมรับมากขึ้น

    32% ของผู้จัดการระบุว่าสถานที่ทำงานยังไม่พร้อมสำหรับหุ่นยนต์
    - อาจต้องมี การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและการฝึกอบรมพนักงาน

    29% ขององค์กรเคยประสบปัญหาด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์
    - ต้องมี มาตรการป้องกันและการตรวจสอบความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น

    58% ของผู้จัดการมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของระบบหุ่นยนต์
    - อาจต้องมี การพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดความเสี่ยงในการใช้งาน

    92% ของผู้จัดการเชื่อว่าพนักงานควรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้หุ่นยนต์
    - เพื่อให้เกิด ความเข้าใจและการยอมรับที่ดีขึ้นในองค์กร

    https://www.techradar.com/pro/companies-are-becoming-more-accepting-of-robotics-in-the-workplace-survey-finds-but-for-how-much-longer
    รายงานจาก QNX ระบุว่า 77% ของผู้นำด้านเทคโนโลยีทั่วโลกเชื่อมั่นในหุ่นยนต์สำหรับการทำงานที่สำคัญ และคาดการณ์ว่า หนึ่งในห้าของแรงงานอาจถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ภายในทศวรรษหน้า แม้ว่าการนำหุ่นยนต์มาใช้จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ 32% ของผู้จัดการระบุว่าสถานที่ทำงานยังไม่พร้อมสำหรับหุ่นยนต์ และ 29% เคยประสบปัญหาด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์ ✅ 77% ของผู้นำด้านเทคโนโลยีเชื่อมั่นในหุ่นยนต์สำหรับการทำงานที่สำคัญ - คาดว่า หนึ่งในห้าของแรงงานอาจถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ภายในทศวรรษหน้า - 71% ขององค์กรกำลังใช้หรือวางแผนที่จะใช้หุ่นยนต์เร็ว ๆ นี้ ✅ ตลาดหุ่นยนต์ทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตถึง $163.9 พันล้านภายในปี 2030 - เพิ่มขึ้นจาก $51 พันล้านในปี 2024 ✅ การใช้งานหุ่นยนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ - 50% ใช้สำหรับระบบอัตโนมัติ - 46% ใช้ในการผลิต - 36% ใช้ในงานสนับสนุน - 28% ใช้ในงานที่มีความเสี่ยงสูง ✅ ผู้จัดการมีระดับความสบายใจที่แตกต่างกันในการใช้หุ่นยนต์ในแต่ละงาน - 77% สบายใจในการใช้หุ่นยนต์ในงานประกอบชิ้นส่วน - 73% สบายใจในการใช้หุ่นยนต์ในงานขนส่งวัสดุ - 70% สบายใจในการใช้หุ่นยนต์ในงานโลจิสติกส์และการส่งสินค้า - 51% ไม่ค่อยสบายใจในการใช้หุ่นยนต์ในงานทางการแพทย์ - 55% ไม่ค่อยสบายใจในการใช้หุ่นยนต์ในงานบริการลูกค้า - 63% ไม่ค่อยสบายใจในการใช้หุ่นยนต์ในงานซ่อมบำรุง ✅ 90% ของผู้จัดการเห็นว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีช่วยผลักดันการใช้หุ่นยนต์ - 86% เชื่อว่าการปรับปรุงด้านความปลอดภัยช่วยให้หุ่นยนต์ได้รับการยอมรับมากขึ้น ‼️ 32% ของผู้จัดการระบุว่าสถานที่ทำงานยังไม่พร้อมสำหรับหุ่นยนต์ - อาจต้องมี การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและการฝึกอบรมพนักงาน ‼️ 29% ขององค์กรเคยประสบปัญหาด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์ - ต้องมี มาตรการป้องกันและการตรวจสอบความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น ‼️ 58% ของผู้จัดการมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของระบบหุ่นยนต์ - อาจต้องมี การพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดความเสี่ยงในการใช้งาน ‼️ 92% ของผู้จัดการเชื่อว่าพนักงานควรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้หุ่นยนต์ - เพื่อให้เกิด ความเข้าใจและการยอมรับที่ดีขึ้นในองค์กร https://www.techradar.com/pro/companies-are-becoming-more-accepting-of-robotics-in-the-workplace-survey-finds-but-for-how-much-longer
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 311 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ได้เปิดตัว 100 Zeros ซึ่งเป็นโครงการผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ใหม่ โดยร่วมมือกับ Range Media Partners ซึ่งเป็นบริษัทด้านความสามารถและการผลิตที่มีผลงานในภาพยนตร์ เช่น A Complete Unknown และ Longlegs

    โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อ สนับสนุนการผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ที่สามารถใช้เทคโนโลยี AI และ Spatial Computing ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ผสานโลกจริงกับโลกเสมือน นอกจากนี้ Google ยังต้องการ เพิ่มการยอมรับและการใช้งานบริการใหม่ ๆ เช่น Gemini ซึ่งเป็นคู่แข่งของ ChatGPT

    แม้ว่าจะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมบันเทิง แต่ Google ไม่ได้วางแผนให้ YouTube เป็นแพลตฟอร์มหลักในการเผยแพร่ผลงานของ 100 Zeros โดยตั้งเป้าหมายที่จะ ขายโปรเจกต์ให้กับสตูดิโอและแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เช่น Netflix

    Google เปิดตัวโครงการผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ใหม่
    - ร่วมมือกับ Range Media Partners
    - สนับสนุน การใช้เทคโนโลยี AI และ Spatial Computing

    เป้าหมายของโครงการ
    - เพิ่มการยอมรับและการใช้งาน บริการใหม่ ๆ เช่น Gemini
    - สนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย

    ตัวอย่างภาพยนตร์ที่ได้รับการสนับสนุน
    - Cuckoo ซึ่งเป็นภาพยนตร์สยองขวัญอินดี้
    - Sweetwater และ LUCID ซึ่งเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับ AI

    Google ไม่ได้วางแผนให้ YouTube เป็นแพลตฟอร์มหลักของโครงการ
    - ตั้งเป้าหมายที่จะ ขายโปรเจกต์ให้กับสตูดิโอและแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เช่น Netflix

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/06/google-has-launched-new-film-and-tv-production-wing-business-insider-reports
    Google ได้เปิดตัว 100 Zeros ซึ่งเป็นโครงการผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ใหม่ โดยร่วมมือกับ Range Media Partners ซึ่งเป็นบริษัทด้านความสามารถและการผลิตที่มีผลงานในภาพยนตร์ เช่น A Complete Unknown และ Longlegs โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อ สนับสนุนการผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ที่สามารถใช้เทคโนโลยี AI และ Spatial Computing ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ผสานโลกจริงกับโลกเสมือน นอกจากนี้ Google ยังต้องการ เพิ่มการยอมรับและการใช้งานบริการใหม่ ๆ เช่น Gemini ซึ่งเป็นคู่แข่งของ ChatGPT แม้ว่าจะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมบันเทิง แต่ Google ไม่ได้วางแผนให้ YouTube เป็นแพลตฟอร์มหลักในการเผยแพร่ผลงานของ 100 Zeros โดยตั้งเป้าหมายที่จะ ขายโปรเจกต์ให้กับสตูดิโอและแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เช่น Netflix ✅ Google เปิดตัวโครงการผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ใหม่ - ร่วมมือกับ Range Media Partners - สนับสนุน การใช้เทคโนโลยี AI และ Spatial Computing ✅ เป้าหมายของโครงการ - เพิ่มการยอมรับและการใช้งาน บริการใหม่ ๆ เช่น Gemini - สนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย ✅ ตัวอย่างภาพยนตร์ที่ได้รับการสนับสนุน - Cuckoo ซึ่งเป็นภาพยนตร์สยองขวัญอินดี้ - Sweetwater และ LUCID ซึ่งเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับ AI ✅ Google ไม่ได้วางแผนให้ YouTube เป็นแพลตฟอร์มหลักของโครงการ - ตั้งเป้าหมายที่จะ ขายโปรเจกต์ให้กับสตูดิโอและแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เช่น Netflix https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/06/google-has-launched-new-film-and-tv-production-wing-business-insider-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Google has launched new film and TV production wing, Business Insider reports
    (Reuters) -Google has launched a new film and TV production initiative to scout projects it could fund or co-produce, Business Insider reported, a move that could help it capitalize on an industry reeling from rising production costs and potential U.S. tariffs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 469 มุมมอง 0 รีวิว
  • บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ ได้แสดงความเห็นในพอดแคสต์ "People by WTF" ว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในสายงานแพทย์และครู ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมานานในหลายประเทศทั่วโลก โดยเขาเชื่อว่า AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานต่างๆ และเปลี่ยนแปลงลักษณะการทำงานในอนาคต

    AI จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในสายงานแพทย์และครู
    - เกตส์ระบุว่า AI จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคและลดภาระงานที่ซ้ำซ้อน เช่น การจัดการเอกสาร
    - ตัวอย่างเช่น สตาร์ทอัพด้าน AI อย่าง Suki และ Zephyr AI ได้พัฒนาเครื่องมือที่ช่วยลดภาระงานในโรงพยาบาล

    AI จะเปลี่ยนแปลงลักษณะการทำงานในสายงานอื่นๆ
    - เกตส์เชื่อว่า AI และหุ่นยนต์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานก่อสร้างและงานบริการ
    - บริษัทเทคโนโลยี เช่น Nvidia กำลังลงทุนในหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานในคลังสินค้าและทำความสะอาด

    AI อาจช่วยให้คนทำงานน้อยลงและเกษียณเร็วขึ้น
    - เกตส์กล่าวว่า AI อาจช่วยลดชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ และทำให้คนมีเวลาว่างมากขึ้น
    - เขาอ้างถึงนักเศรษฐศาสตร์ John Maynard Keynes ที่เคยคาดการณ์ว่าเทคโนโลยีจะลดชั่วโมงการทำงานลง

    AI จะช่วยเพิ่มผลิตภาพในอุตสาหกรรมต่างๆ
    - การศึกษาของ McKinsey ระบุว่า AI อาจเพิ่มผลิตภาพในอุตสาหกรรมการแพทย์และเภสัชกรรมได้ถึง $370 พันล้าน

    https://www.techspot.com/news/107603-bill-gates-ai-end-doctor-teacher-shortages-transform.html
    บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ ได้แสดงความเห็นในพอดแคสต์ "People by WTF" ว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในสายงานแพทย์และครู ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมานานในหลายประเทศทั่วโลก โดยเขาเชื่อว่า AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานต่างๆ และเปลี่ยนแปลงลักษณะการทำงานในอนาคต ✅ AI จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในสายงานแพทย์และครู - เกตส์ระบุว่า AI จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคและลดภาระงานที่ซ้ำซ้อน เช่น การจัดการเอกสาร - ตัวอย่างเช่น สตาร์ทอัพด้าน AI อย่าง Suki และ Zephyr AI ได้พัฒนาเครื่องมือที่ช่วยลดภาระงานในโรงพยาบาล ✅ AI จะเปลี่ยนแปลงลักษณะการทำงานในสายงานอื่นๆ - เกตส์เชื่อว่า AI และหุ่นยนต์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานก่อสร้างและงานบริการ - บริษัทเทคโนโลยี เช่น Nvidia กำลังลงทุนในหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานในคลังสินค้าและทำความสะอาด ✅ AI อาจช่วยให้คนทำงานน้อยลงและเกษียณเร็วขึ้น - เกตส์กล่าวว่า AI อาจช่วยลดชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ และทำให้คนมีเวลาว่างมากขึ้น - เขาอ้างถึงนักเศรษฐศาสตร์ John Maynard Keynes ที่เคยคาดการณ์ว่าเทคโนโลยีจะลดชั่วโมงการทำงานลง ✅ AI จะช่วยเพิ่มผลิตภาพในอุตสาหกรรมต่างๆ - การศึกษาของ McKinsey ระบุว่า AI อาจเพิ่มผลิตภาพในอุตสาหกรรมการแพทย์และเภสัชกรรมได้ถึง $370 พันล้าน https://www.techspot.com/news/107603-bill-gates-ai-end-doctor-teacher-shortages-transform.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Bill Gates says AI will end doctor and teacher shortages, transform the future of work
    "AI will come in and provide medical IQ, and there won't be a shortage," Gates said, pointing to nations like India and those across Africa where the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 523 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประกาศนโยบายภาษีใหม่ของประธานาธิบดี Donald Trump ส่งผลกระทบต่อวงการ Cybersecurity ของสหรัฐฯ อย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะในตลาดหุ้นและงบประมาณการดำเนินงานของบริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์ ความท้าทายนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สร้างความเสียหาย รวมถึงการลดงบประมาณและการพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจหยุดชะงัก

    == ประเด็นสำคัญจากผลกระทบของนโยบายภาษีใหม่ ==
    ตลาดหุ้นด้านความมั่นคงไซเบอร์ดิ่งลงอย่างรุนแรง
    - นโยบายภาษีใหม่ที่เพิ่มต้นทุนสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ สูงถึง 67% ทำให้บริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์สูญเสียมูลค่าทางตลาดไปหลายพันล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 2 วัน
    - นักลงทุนวิตกกังวลเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโอกาสที่อาจเกิดภาวะถดถอยและการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

    ลูกค้าต้องลดงบประมาณด้านความมั่นคงไซเบอร์
    - หลายบริษัทที่ใช้งานบริการหรือซอฟต์แวร์ไซเบอร์ต้องลดงบประมาณเพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษี การตัดงบนี้ส่งผลให้บริษัทไซเบอร์ขาดทุนและอาจต้องปลดพนักงาน

    ความเสี่ยงต่อการพึ่งพาเทคโนโลยีภูมิภาคเดียว
    - ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจทำให้หลายประเทศพึ่งพาเทคโนโลยีในภูมิภาคของตนมากขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิด "monoculture" หรือการใช้ผลิตภัณฑ์เพียงตัวเดียว ซึ่งมีข้อเสียในด้านความปลอดภัยที่หลากหลาย

    ความท้าทายในโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT
    - อุตสาหกรรม IT ต้องปรับตัวเพราะอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์และฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานในระบบไซเบอร์กำลังเผชิญราคาที่พุ่งสูงขึ้น

    การปรับตัวของบริษัทในวงการ
    - บริษัทอย่าง Palo Alto Networks เน้นสร้างความยืดหยุ่นให้กับลูกค้า แม้ว่าจะมีอุปสรรคในการบริหารซัพพลายเชนและต้นทุนอุปกรณ์

    https://www.csoonline.com/article/3955013/how-trumps-tariffs-are-shaking-up-the-cybersecurity-sector.html
    ประกาศนโยบายภาษีใหม่ของประธานาธิบดี Donald Trump ส่งผลกระทบต่อวงการ Cybersecurity ของสหรัฐฯ อย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะในตลาดหุ้นและงบประมาณการดำเนินงานของบริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์ ความท้าทายนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สร้างความเสียหาย รวมถึงการลดงบประมาณและการพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจหยุดชะงัก == ประเด็นสำคัญจากผลกระทบของนโยบายภาษีใหม่ == ✅ ตลาดหุ้นด้านความมั่นคงไซเบอร์ดิ่งลงอย่างรุนแรง - นโยบายภาษีใหม่ที่เพิ่มต้นทุนสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ สูงถึง 67% ทำให้บริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์สูญเสียมูลค่าทางตลาดไปหลายพันล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 2 วัน - นักลงทุนวิตกกังวลเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโอกาสที่อาจเกิดภาวะถดถอยและการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ✅ ลูกค้าต้องลดงบประมาณด้านความมั่นคงไซเบอร์ - หลายบริษัทที่ใช้งานบริการหรือซอฟต์แวร์ไซเบอร์ต้องลดงบประมาณเพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษี การตัดงบนี้ส่งผลให้บริษัทไซเบอร์ขาดทุนและอาจต้องปลดพนักงาน ✅ ความเสี่ยงต่อการพึ่งพาเทคโนโลยีภูมิภาคเดียว - ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจทำให้หลายประเทศพึ่งพาเทคโนโลยีในภูมิภาคของตนมากขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิด "monoculture" หรือการใช้ผลิตภัณฑ์เพียงตัวเดียว ซึ่งมีข้อเสียในด้านความปลอดภัยที่หลากหลาย ✅ ความท้าทายในโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT - อุตสาหกรรม IT ต้องปรับตัวเพราะอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์และฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานในระบบไซเบอร์กำลังเผชิญราคาที่พุ่งสูงขึ้น ✅ การปรับตัวของบริษัทในวงการ - บริษัทอย่าง Palo Alto Networks เน้นสร้างความยืดหยุ่นให้กับลูกค้า แม้ว่าจะมีอุปสรรคในการบริหารซัพพลายเชนและต้นทุนอุปกรณ์ https://www.csoonline.com/article/3955013/how-trumps-tariffs-are-shaking-up-the-cybersecurity-sector.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How Trump’s tariffs are shaking up the cybersecurity sector
    President Trump’s tariffs announcement sent US cybersecurity stocks into a precipitous spiral, fostering fears of cyber spending cuts and the possible rise of cyber ‘monocultures.’
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 542 มุมมอง 0 รีวิว
  • จบงานขนส่ง #มอเตอร์ไซค์
    สมุทรปราการ - บุรีรัมย์ สิน บริการขนส่งสินค้า
    สินค้าทั่วไป
    สินค้าโรงงาน
    ย้ายห้อง กทม./ตจว.
    สัตว์เลี้ยง หมา/แมว
    มอเตอร์ไซค์
    เครื่องจักรกลการเกษตรขนาดเล็ก
    สินค้าออนไลน์
    ติดต่อสอบถาม
    096-8265445
    097-9932155
    sin.tsk
    สอบถามประเมิณราคาฟรี
    มีบริการ รับ-ส่ง ถึงที่แน่นอน
    ราคาเหมาคัน(สินค้าถึงวันถัดไป)
    ราคาฝาก (สินค้าถึง 2-3 วัน)
    บริการเก็บเงินปลายทาง
    #มีรถพร้อมทีมงานบริการในพื้นที่
    #รถรับจ้างใกล้ฉัน
    #ขอบคุณลูกค้าที่ใช้บริการครับ
    #ขอบคุณทีมงานรวมเพื่อนบ่าวภูธร
    #ทีมงานคุณภาพ
    #รถรับจ้างใกล้ฉัน
    จบงานขนส่ง #มอเตอร์ไซค์ 📍 สมุทรปราการ - บุรีรัมย์ 👉สิน บริการขนส่งสินค้า 👉สินค้าทั่วไป 👉สินค้าโรงงาน 👉ย้ายห้อง กทม./ตจว. 👉🐕🐕 สัตว์เลี้ยง หมา/แมว 👉มอเตอร์ไซค์🛵🏍️🚲🛴 👉เครื่องจักรกลการเกษตรขนาดเล็ก 👉สินค้าออนไลน์ 👍ติดต่อสอบถาม 👍096-8265445 👍097-9932155 👍🆔sin.tsk 👉สอบถามประเมิณราคาฟรี 👉มีบริการ รับ-ส่ง ถึงที่แน่นอน 👉ราคาเหมาคัน(สินค้าถึงวันถัดไป) 👉ราคาฝาก (สินค้าถึง 2-3 วัน) 👉บริการเก็บเงินปลายทาง #มีรถพร้อมทีมงานบริการในพื้นที่ #รถรับจ้างใกล้ฉัน #ขอบคุณลูกค้าที่ใช้บริการครับ #ขอบคุณทีมงานรวมเพื่อนบ่าวภูธร #ทีมงานคุณภาพ #รถรับจ้างใกล้ฉัน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 724 มุมมอง 0 รีวิว
  • จบงานขนส่ง #ย้ายบ้าน
    หนองคาย - ขอนแก่น สิน บริการขนส่งสินค้า
    สินค้าทั่วไป
    สินค้าโรงงาน
    ย้ายห้อง กทม./ตจว.
    สัตว์เลี้ยง หมา/แมว
    มอเตอร์ไซค์
    เครื่องจักรกลการเกษตรขนาดเล็ก
    สินค้าออนไลน์
    ติดต่อสอบถาม
    096-8265445
    097-9932155
    sin.tsk
    สอบถามประเมิณราคาฟรี
    มีบริการ รับ-ส่ง ถึงที่แน่นอน
    ราคาเหมาคัน(สินค้าถึงวันถัดไป)
    ราคาฝาก (สินค้าถึง 2-3 วัน)
    บริการเก็บเงินปลายทาง
    #มีรถพร้อมทีมงานบริการในพื้นที่
    #รถรับจ้างใกล้ฉัน
    #ขอบคุณลูกค้าที่ใช้บริการครับ
    #ขอบคุณทีมงานรวมเพื่อนบ่าวภูธร
    #ทีมงานคุณภาพ
    #รถรับจ้างใกล้ฉัน
    จบงานขนส่ง #ย้ายบ้าน 📍 หนองคาย - ขอนแก่น 👉สิน บริการขนส่งสินค้า 👉สินค้าทั่วไป 👉สินค้าโรงงาน 👉ย้ายห้อง กทม./ตจว. 👉🐕🐕 สัตว์เลี้ยง หมา/แมว 👉มอเตอร์ไซค์🛵🏍️🚲🛴 👉เครื่องจักรกลการเกษตรขนาดเล็ก 👉สินค้าออนไลน์ 👍ติดต่อสอบถาม 👍096-8265445 👍097-9932155 👍🆔sin.tsk 👉สอบถามประเมิณราคาฟรี 👉มีบริการ รับ-ส่ง ถึงที่แน่นอน 👉ราคาเหมาคัน(สินค้าถึงวันถัดไป) 👉ราคาฝาก (สินค้าถึง 2-3 วัน) 👉บริการเก็บเงินปลายทาง #มีรถพร้อมทีมงานบริการในพื้นที่ #รถรับจ้างใกล้ฉัน #ขอบคุณลูกค้าที่ใช้บริการครับ #ขอบคุณทีมงานรวมเพื่อนบ่าวภูธร #ทีมงานคุณภาพ #รถรับจ้างใกล้ฉัน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 862 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราอาจต้องเริ่มลืมคำว่า SaaS (Software as a Service) ไปก่อน เพราะตอนนี้มีแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Services as Software (S-a-S) ซึ่งเกิดจากการที่ AI เข้ามาแทนที่มนุษย์ในงานบริการหลายรูปแบบ ตั้งแต่ IT การบัญชี HR ไปจนถึงการบริการลูกค้า องค์กรขนาดใหญ่เริ่มเปลี่ยนมาใช้ AI เป็นผู้ปฏิบัติงานหลักในการจัดการกระบวนการและบริการต่าง ๆ สิ่งนี้เปลี่ยนวิธีที่ธุรกิจดำเนินงานไปโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม มนุษย์ยังคงมีบทบาทสำคัญในด้านการกำกับดูแล การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ และการสร้างวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ สำหรับอนาคต

    การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในธุรกิจ:
    - จากการสำรวจ 60% ขององค์กรใหญ่จำนวน 1,000 แห่ง กำลังพิจารณาที่จะเปลี่ยนบางส่วนหรือทั้งหมดของบริการมืออาชีพที่ใช้มนุษย์ ให้เป็นการใช้งาน AI ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า.
    - การใช้ AI ไม่เพียงแค่เพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังเปลี่ยนรูปแบบของการบริโภคและให้บริการในธุรกิจไปโดยสิ้นเชิง.

    ผลกระทบต่อบทบาทของผู้เชี่ยวชาญ:
    - ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีต้องปรับตัวจากการจัดการโครงสร้างพื้นฐานไปสู่การออกแบบบริการที่ยืดหยุ่นและอัจฉริยะมากขึ้น.
    - ความสามารถด้านการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร (Human-Machine Synergy) กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพัฒนา.

    ความสำคัญของมนุษย์ยังไม่จางหาย:
    - แม้ AI จะช่วยดำเนินงานได้อัตโนมัติ แต่มนุษย์ยังมีบทบาทสำคัญในด้านการกำกับดูแล เช่น การตรวจสอบความยุติธรรม ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ.
    - ความคิดสร้างสรรค์ วิสัยทัศน์ และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ยังคงเป็นจุดแข็งที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้.

    ความท้าทายที่ต้องเผชิญ:
    - การรวมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านบริการและด้านซอฟต์แวร์ให้ทำงานร่วมกันอาจไม่ง่าย เนื่องจากความแตกต่างในแนวคิดและภาษาที่ใช้.
    - ความจำเป็นในการกำหนดคุณค่าทางธุรกิจและราคาของ AI ตามผลลัพธ์ที่ส่งมอบ ยังเป็นสิ่งที่ต้องจัดการในแนวทาง S-a-S.

    https://www.zdnet.com/article/forget-saas-the-future-is-services-as-software-thanks-to-ai/
    เราอาจต้องเริ่มลืมคำว่า SaaS (Software as a Service) ไปก่อน เพราะตอนนี้มีแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Services as Software (S-a-S) ซึ่งเกิดจากการที่ AI เข้ามาแทนที่มนุษย์ในงานบริการหลายรูปแบบ ตั้งแต่ IT การบัญชี HR ไปจนถึงการบริการลูกค้า องค์กรขนาดใหญ่เริ่มเปลี่ยนมาใช้ AI เป็นผู้ปฏิบัติงานหลักในการจัดการกระบวนการและบริการต่าง ๆ สิ่งนี้เปลี่ยนวิธีที่ธุรกิจดำเนินงานไปโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม มนุษย์ยังคงมีบทบาทสำคัญในด้านการกำกับดูแล การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ และการสร้างวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ สำหรับอนาคต การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในธุรกิจ: - จากการสำรวจ 60% ขององค์กรใหญ่จำนวน 1,000 แห่ง กำลังพิจารณาที่จะเปลี่ยนบางส่วนหรือทั้งหมดของบริการมืออาชีพที่ใช้มนุษย์ ให้เป็นการใช้งาน AI ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า. - การใช้ AI ไม่เพียงแค่เพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังเปลี่ยนรูปแบบของการบริโภคและให้บริการในธุรกิจไปโดยสิ้นเชิง. ผลกระทบต่อบทบาทของผู้เชี่ยวชาญ: - ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีต้องปรับตัวจากการจัดการโครงสร้างพื้นฐานไปสู่การออกแบบบริการที่ยืดหยุ่นและอัจฉริยะมากขึ้น. - ความสามารถด้านการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร (Human-Machine Synergy) กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพัฒนา. ความสำคัญของมนุษย์ยังไม่จางหาย: - แม้ AI จะช่วยดำเนินงานได้อัตโนมัติ แต่มนุษย์ยังมีบทบาทสำคัญในด้านการกำกับดูแล เช่น การตรวจสอบความยุติธรรม ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ. - ความคิดสร้างสรรค์ วิสัยทัศน์ และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ยังคงเป็นจุดแข็งที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้. ความท้าทายที่ต้องเผชิญ: - การรวมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านบริการและด้านซอฟต์แวร์ให้ทำงานร่วมกันอาจไม่ง่าย เนื่องจากความแตกต่างในแนวคิดและภาษาที่ใช้. - ความจำเป็นในการกำหนดคุณค่าทางธุรกิจและราคาของ AI ตามผลลัพธ์ที่ส่งมอบ ยังเป็นสิ่งที่ต้องจัดการในแนวทาง S-a-S. https://www.zdnet.com/article/forget-saas-the-future-is-services-as-software-thanks-to-ai/
    WWW.ZDNET.COM
    Forget SaaS: The future is Services as Software, thanks to AI
    As software becomes the worker, Software as a Service is being turned on its head by artificial intelligence. Meet 'Services as Software.'
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 454 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ งานบริการด้านกฎหมายเค้าห้ามต่างด้าวทำ ทนายรัฐฉานผู้ว่างงานจึงต้องผันตัวมาเป็น "นักสืบรัฐฉาน" แค่ทวงหนี้ "ปูหิมะ" ยังทำไม่ได้
    #7ดอกจิก
    ♣ งานบริการด้านกฎหมายเค้าห้ามต่างด้าวทำ ทนายรัฐฉานผู้ว่างงานจึงต้องผันตัวมาเป็น "นักสืบรัฐฉาน" แค่ทวงหนี้ "ปูหิมะ" ยังทำไม่ได้ #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 558 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯ ออกคำสั่งฉุกเฉินห้ามทีมประสิทธิภาพรัฐบาลของอีลอน มัสก์ เข้าถึงระบบชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลังที่รับผิดชอบธุรกรรมนับล้านล้านดอลลาร์ ชี้อาจทำให้ข้อมูลละเอียดอ่อนถูกเปิดเผยโดยไม่เหมาะสม ด้านซีอีโอเทสลากล่าวหาพรรคเดโมแครตพยายามปิดบังกลไกการฉ้อโกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
    .
    เมื่อวันเสาร์ (8 ก.พ.) ที่ผ่านมา พอล เอนเกิลเมเยอร์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯในแมนฮัตตัน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของพรรคเดโมแครต ออกคำสั่งห้ามผู้ได้รับแต่งตั้งทางการเมืองจากคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่รัฐบาลนอกกระทรวงการคลัง เข้าถึงระบบการชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลัง
    .
    คำสั่งห้ามนี้ซึ่งให้มีผลบังคับจนกว่าศาลจะเริ่มดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้ตามนัดหมายในวันศุกร์ (14 ก.พ.) ยังกำหนดให้บุคคลซึ่งถูกสั่งห้ามเหล่านี้ ที่ได้เข้าถึงระบบเหล่านั้นแล้ว นับจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ต้องทำลายสำเนาข้อมูลทั้งหมดที่คัดลอกหรือดาวน์โหลดมาในทันที
    .
    ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ มีขึ้นหลังจากอัยการสูงสุดของ 19 รัฐ ซึ่งต่างเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต ยื่นฟ้องทรัมป์, กระทรวงการคลัง, และสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง, เมื่อคืนวันศุกร์ (7) โดยระบุว่า คณะบริหารทรัมป์ละเมิดกฎหมาย ด้วยการยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE -- โดช) ภายใต้การควบคุมของ มัสก์ ซึ่งไม่ได้มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าถึงข้อมูลอ่อนไหวของสำนักงานบริการทางการเงิน (บีเอฟเอส) ของกระทรวงการคลัง
    .
    ทั้งนี้ มัสก์ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐฯหรือเจ้าหน้าที่รัฐบาล แม้สื่อในอเมริการายงานเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เขาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “เจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล” ก็ตาม เช่นเดียวกับ โดช ที่ไม่มีสถานะเป็นกระทรวงหรือหน่วยราชการอย่างเต็มตัว โดยจะเป็นได้ก็ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภาเสียก่อน
    .
    ทว่า มัสก์ ที่เป็นผู้บริจาคทางการเมืองรายใหญ่ที่สุดให้แก่ทรัมป์ อีกทั้งเวลานี้กลายเป็นพันธมิตรสำคัญและทรงอิทธิพลของทรัมป์ ตลอดจนทีมงานของโดชกลับข้ำแแทรกแซงหน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลกลาง รวมทั้งสั่งระงับโครงการช่วยเหลือในต่างประเทศ ตัดงบประมาณ และพยายามปลดเจ้าหน้าที่รัฐบาลจำนวนมาก
    .
    ทางด้านมัสก์ โพสต์ตอบโต้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์โดยประณามเอนเกิลเมเยอร์เป็น “นักเคลื่อนไหว” มากกว่าจะเป็นผู้พิพากษา พร้อมกล่าวหาพรรคเดโมแครตพยายามปิดบังกลไกการฉ้อโกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ”
    .
    ทว่า เอนเกิลเมเยอร์อธิบายในคำสั่งห้ามว่า เนื่องจากพวกรัฐที่ฟ้องร้องคราวนี้จะเผชิญอันตรายอย่างชนิดไม่สามารถแก้ไขได้ ถ้าหากศาลไม่ออกสั่งห้ามชั่วคราวเพื่อบรรเทาความเสียหาย ทั้งนี้ เขาแจกแจงด้วยว่านโยบายใหม่ของรัฐบาลอาจทำให้มีการเปิดเผยข้อมูลละเอียดอ่อนและข้อมูลลับ รวมทั้งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนที่ระบบการชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลังจะถูกเจาะ
    .
    ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า รายงานการประเมินภายในของกระทรวงคลังฉบับหนึ่ง ก็ระบุว่า การที่ทีมงานโดชเข้าถึงระบบชำระเงินของรัฐบาลสหรัฐฯเช่นนี้ ถือเป็นภัยคุกคามจากคนวงในครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่สำนักงานบีเอฟเอสเคยเผชิญมา เนื่องจากทำให้เกิดความเสี่ยงใหญ่หลวงด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่รวมถึงความเสี่ยงที่ข้อมูลของประชาชนของอเมริกาและรัฐต่างๆ จะถูกนำไปใช้และประมวลผลโดยไม่มีการตรวจสอบ และด้วยวิธีการที่ไม่ได้รับอนุญาตภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลาง
    .
    แมทธิว แพลตกิน อัยการสูงสุดของรัฐนิวเจอร์ซีย์ ย้ำว่า ทรัมป์อนุญาตให้มัสก์แทรกซึมเข้าระบบและหน่วยงานสำคัญของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นผู้จัดเก็บหมายเลขประกันสังคม ข้อมูลการธนาคาร และข้อมูลละเอียดอ่อนของประชาชนนับล้านๆ คน
    .
    นอกเหนือจากกรณีของกระทรวงการคลังนี้แล้ว ยังมีแนวโน้มว่า คณะบริหารทรัมป์จะถูกฟ้องร้องอีกหลายคดี จากความพยายามปรับโครงสร้างการใช้จ่ายและบุคลากรของรัฐบาลกลาง
    .
    ก่อนหน้านี้ผู้พิพากษาชั้นต้นสหรัฐฯอีกผู้หนึ่ง ได้ตัดสินให้ยับยั้งความพยายามของทรัมป์ ที่ออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยกเลิกสิทธิการได้รับสัญชาติโดยอัตโนมัติของผู้ที่เกิดในในสหรัฐฯ โดยคำตัเสินระบุว่า การกระทำของทรัมป์ขัดแย้งกับรัฐธรรมรูญ นอกจากนั้นยังผู้พิพากษาษศาลชั้นต้นสหรัฐฯอีกคน สั่งระงับความพยายามของ มัสก์ ในการดำเนินการเพื่อจูงใจให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลหลายล้านคนยื่นใบลาออกเมื่อวันพฤหัสฯ (6) ที่ผ่านมา
    .
    ความพยายามหลังสุดนี้มีเป้าหมายหลักอยู่ที่องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (ยูเอสเอด) ซึ่งเป็นหน่วยงานสหรัฐฯทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในทั่วโลก
    .
    เกี่ยวกับเรื่องนี้ สหภาพแรงงานหลายแห่งก็กำลังฟ้องร้องต่อศาลว่าการดำเนินการดังกล่าวของคณะบริหารไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยที่เมื่อวันศุกร์ (7) ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯผู้หนึ่งได้ตัดสินออกคำสั่งระงับแผนการที่ระบุให้เจ้าหน้าที่ยูเอสเอด 2,200 คนต้องหยุดงานแบบยังคงได้รับค่าจ้าง
    .
    ทางฝั่งพรรคเดโมแครตยืนยันว่า การปิดหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลโดยใช้คำสั่งฝายบริหาร และไม่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาเช่นนี้ถือว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013145
    ..............
    Sondhi X
    ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯ ออกคำสั่งฉุกเฉินห้ามทีมประสิทธิภาพรัฐบาลของอีลอน มัสก์ เข้าถึงระบบชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลังที่รับผิดชอบธุรกรรมนับล้านล้านดอลลาร์ ชี้อาจทำให้ข้อมูลละเอียดอ่อนถูกเปิดเผยโดยไม่เหมาะสม ด้านซีอีโอเทสลากล่าวหาพรรคเดโมแครตพยายามปิดบังกลไกการฉ้อโกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ . เมื่อวันเสาร์ (8 ก.พ.) ที่ผ่านมา พอล เอนเกิลเมเยอร์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯในแมนฮัตตัน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของพรรคเดโมแครต ออกคำสั่งห้ามผู้ได้รับแต่งตั้งทางการเมืองจากคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่รัฐบาลนอกกระทรวงการคลัง เข้าถึงระบบการชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลัง . คำสั่งห้ามนี้ซึ่งให้มีผลบังคับจนกว่าศาลจะเริ่มดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้ตามนัดหมายในวันศุกร์ (14 ก.พ.) ยังกำหนดให้บุคคลซึ่งถูกสั่งห้ามเหล่านี้ ที่ได้เข้าถึงระบบเหล่านั้นแล้ว นับจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ต้องทำลายสำเนาข้อมูลทั้งหมดที่คัดลอกหรือดาวน์โหลดมาในทันที . ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ มีขึ้นหลังจากอัยการสูงสุดของ 19 รัฐ ซึ่งต่างเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต ยื่นฟ้องทรัมป์, กระทรวงการคลัง, และสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง, เมื่อคืนวันศุกร์ (7) โดยระบุว่า คณะบริหารทรัมป์ละเมิดกฎหมาย ด้วยการยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE -- โดช) ภายใต้การควบคุมของ มัสก์ ซึ่งไม่ได้มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าถึงข้อมูลอ่อนไหวของสำนักงานบริการทางการเงิน (บีเอฟเอส) ของกระทรวงการคลัง . ทั้งนี้ มัสก์ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐฯหรือเจ้าหน้าที่รัฐบาล แม้สื่อในอเมริการายงานเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เขาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “เจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล” ก็ตาม เช่นเดียวกับ โดช ที่ไม่มีสถานะเป็นกระทรวงหรือหน่วยราชการอย่างเต็มตัว โดยจะเป็นได้ก็ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภาเสียก่อน . ทว่า มัสก์ ที่เป็นผู้บริจาคทางการเมืองรายใหญ่ที่สุดให้แก่ทรัมป์ อีกทั้งเวลานี้กลายเป็นพันธมิตรสำคัญและทรงอิทธิพลของทรัมป์ ตลอดจนทีมงานของโดชกลับข้ำแแทรกแซงหน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลกลาง รวมทั้งสั่งระงับโครงการช่วยเหลือในต่างประเทศ ตัดงบประมาณ และพยายามปลดเจ้าหน้าที่รัฐบาลจำนวนมาก . ทางด้านมัสก์ โพสต์ตอบโต้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์โดยประณามเอนเกิลเมเยอร์เป็น “นักเคลื่อนไหว” มากกว่าจะเป็นผู้พิพากษา พร้อมกล่าวหาพรรคเดโมแครตพยายามปิดบังกลไกการฉ้อโกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ” . ทว่า เอนเกิลเมเยอร์อธิบายในคำสั่งห้ามว่า เนื่องจากพวกรัฐที่ฟ้องร้องคราวนี้จะเผชิญอันตรายอย่างชนิดไม่สามารถแก้ไขได้ ถ้าหากศาลไม่ออกสั่งห้ามชั่วคราวเพื่อบรรเทาความเสียหาย ทั้งนี้ เขาแจกแจงด้วยว่านโยบายใหม่ของรัฐบาลอาจทำให้มีการเปิดเผยข้อมูลละเอียดอ่อนและข้อมูลลับ รวมทั้งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนที่ระบบการชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลังจะถูกเจาะ . ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า รายงานการประเมินภายในของกระทรวงคลังฉบับหนึ่ง ก็ระบุว่า การที่ทีมงานโดชเข้าถึงระบบชำระเงินของรัฐบาลสหรัฐฯเช่นนี้ ถือเป็นภัยคุกคามจากคนวงในครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่สำนักงานบีเอฟเอสเคยเผชิญมา เนื่องจากทำให้เกิดความเสี่ยงใหญ่หลวงด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่รวมถึงความเสี่ยงที่ข้อมูลของประชาชนของอเมริกาและรัฐต่างๆ จะถูกนำไปใช้และประมวลผลโดยไม่มีการตรวจสอบ และด้วยวิธีการที่ไม่ได้รับอนุญาตภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลาง . แมทธิว แพลตกิน อัยการสูงสุดของรัฐนิวเจอร์ซีย์ ย้ำว่า ทรัมป์อนุญาตให้มัสก์แทรกซึมเข้าระบบและหน่วยงานสำคัญของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นผู้จัดเก็บหมายเลขประกันสังคม ข้อมูลการธนาคาร และข้อมูลละเอียดอ่อนของประชาชนนับล้านๆ คน . นอกเหนือจากกรณีของกระทรวงการคลังนี้แล้ว ยังมีแนวโน้มว่า คณะบริหารทรัมป์จะถูกฟ้องร้องอีกหลายคดี จากความพยายามปรับโครงสร้างการใช้จ่ายและบุคลากรของรัฐบาลกลาง . ก่อนหน้านี้ผู้พิพากษาชั้นต้นสหรัฐฯอีกผู้หนึ่ง ได้ตัดสินให้ยับยั้งความพยายามของทรัมป์ ที่ออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยกเลิกสิทธิการได้รับสัญชาติโดยอัตโนมัติของผู้ที่เกิดในในสหรัฐฯ โดยคำตัเสินระบุว่า การกระทำของทรัมป์ขัดแย้งกับรัฐธรรมรูญ นอกจากนั้นยังผู้พิพากษาษศาลชั้นต้นสหรัฐฯอีกคน สั่งระงับความพยายามของ มัสก์ ในการดำเนินการเพื่อจูงใจให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลหลายล้านคนยื่นใบลาออกเมื่อวันพฤหัสฯ (6) ที่ผ่านมา . ความพยายามหลังสุดนี้มีเป้าหมายหลักอยู่ที่องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (ยูเอสเอด) ซึ่งเป็นหน่วยงานสหรัฐฯทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในทั่วโลก . เกี่ยวกับเรื่องนี้ สหภาพแรงงานหลายแห่งก็กำลังฟ้องร้องต่อศาลว่าการดำเนินการดังกล่าวของคณะบริหารไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยที่เมื่อวันศุกร์ (7) ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯผู้หนึ่งได้ตัดสินออกคำสั่งระงับแผนการที่ระบุให้เจ้าหน้าที่ยูเอสเอด 2,200 คนต้องหยุดงานแบบยังคงได้รับค่าจ้าง . ทางฝั่งพรรคเดโมแครตยืนยันว่า การปิดหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลโดยใช้คำสั่งฝายบริหาร และไม่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาเช่นนี้ถือว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013145 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2145 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษาสหรัฐฯรายหนึ่ง ตัดสินไฟเขียวชั่วคราวให้ลูกจ้างของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ราวๆ 2,700 คน ที่ถูกรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่ง "พักงาน" ให้กลับมาทำงาน ในความเคลื่อนไหวระงับแผนการหนึ่งๆที่เล็งเป้ายุบองค์กรดังกล่าว
    .
    ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ คาร์ล นิโคลส์ ในวอชิงตัน ซึ่งถูกเสนอชื่อโดยทรัมป์ครั้งดำรงตำแหน่งสมัยแรก อนุมัติบางส่วนคำร้องจากสภาพแรงงานลูกจ้างรัฐบาลใหญ่ที่ในสหรัฐฯและสมาคมแรงงานบริการต่างชาติแห่งหนึ่ง ที่ยื่นฟ้องความพยายามของรัฐบาลในการปิด USAID
    .
    คำสั่งของนิโคล ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นการขัดขวางรัฐบาลทรัมป์จากการดำเนินการตามแผนที่สั่ง "พักงาน" ลูกจ้างของ USAID ราวๆ 2,200 คน " เริ่มตั้งแต่วันเสาร์(8ก.พ.) และคืนสถานะลูกจ้างราวๆ 500 คน ที่ถูกให้ออกจากงาน นอกจากนี้แล้วคำพิพากษาของศาลยังห้ามรัฐบาลจากการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมของ USAID ที่ประจำการอยู่นอกสหรัฐฯ
    .
    รายงานข่าวระบุว่าผู้พิพากษา นิโคลส์ จะพิจารณาคำร้องหนึ่งๆที่ขอให้ระงับแผนของทรัมป์ในระยะยาว ระหว่างกระบวนพิจารณาที่จะมีขึ้นในวันพุธ(12ก.พ.) โดยผู้พิพากษานิโคลส์ เขียนในคำสั่งว่าสหภาพแรงงานแสดงให้เห็นว่าพวกลูกจ้างจะได้รับผลกระทบอย่างที่แก้ไขไม่ได้ หากว่าศาลไม่เข้าแทรกแซง
    .
    อย่างไรก็ตามผู้พิพากษานิโคลส์ปฏิเสธคำร้องอื่นๆจากสหภาพ ที่ขอกลับมาเปิดทำการอาคารของ USAID และคืนชีพเงินทุนต่างๆสำหรับเงินช่วยเหลือและสัญญาต่างๆที่ทางองค์กรแหงนี้อนุมัติไปแล้ว
    .
    รัฐบาลของทรัมป์ระบุในหนังสือแจ้งที่ส่งถึงคนงานขององค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศแห่งนี้เมื่อวันพฤหัสบดี(6ก.พ.) ว่าจะคงลูกจ้างที่จำเป็นของ USAID ไว้เพียง 611 ราย จากจำนวนที่มีทั้งหมดทั่วโลกมากกว่า 10,000 คน
    .
    "การลดพนักงานครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับการปิดสำนักงาน บีบบังคับโยกย้ายบุลคลต่างๆเหล่านี้ ถือเป็นการกระทำภายใต้การใช้อำนาจบริหารที่เกินขอบเขต ละเมิดหลักการแบ่งแยกอำนาจ" คาร์ลา กิลไบรด์ ทนายความของสหภาพแรงงาน บอกกับศาลระหว่างการพิจารณาคำร้องเมื่อวันศุกร์(7ก.พ.)
    .
    เบรตต์ ชูเมต เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของกระทรวงยุติธรรม ให้ปากคำกับผู้พิพากษานิโคลส์ ว่าลูกจ้างราว 2,000 คนของ USAID จะถูกพักงานภายใต้แผนการต่างๆของรัฐบาล เพิ่มเติมจาก 500 คน ที่ถูกสั่งพักงานไปก่อนหน้านี้
    .
    ทรัมป์ โพสต์ข้อความเป็นทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเองในวันศุกร์(7ก.พ.) กล่าวหา USAID ว่าคอรัปชันและฉ้อฉลในการใช้จ่ายเงิน แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เขาบอกว่าการคอรัปชันใน USAID "อยู่ในระดับที่เคยพบเห็นมาก่อน ปิดมันซะ!"
    .
    ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ทรัมป์ ออกคำสั่งให้ระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่สหรัฐฯมอบให้แก่ต่างประเทศ เพื่อรับประกันว่ามันจะสอดคล้องกับ "นโยบายอเมริกาต้องมาก่อน" ของเขา นับตั้งแต่นั้นความยุ่งเหยิงก็ห้อมล้อม USAID ซึ่งจัดสรรเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ทั่วโลก หลายพันล้านดอลลาร์
    .
    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯออกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติการทั่วโลก หลังทรัมป์มีคำสั่งบริหาร ผลก็คือระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่มอบแก่ต่างชาติ ยกเว้นแต่ความช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหาร มันทำให้โครงการต่างๆของ USAID ที่ครอบคลุมถึงความช่วยเหลือปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลกต้องหยุดชะงัก ในความเคลื่อนไหวที่พวกผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจทำให้ผู้คนล้มตาย
    .
    การตรวจสอบหน่วยงานแห่งนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่พันธมิตรผู้ใกล้ชิดกับทรัมป์รายนี้ เป็นหัวหอกในความพยายามของประธานาธิบดี ในการความเทอะทะในงานราชการของรัฐบาลกลาง
    .
    ในปี 2023 สหรัฐฯใช้จ่ายเงิน 72,000 ล้านดอลลาร์ บางส่วนผ่าน USAID ในด้านความช่วยเหลือต่างๆทั่วโลก ไล่ตั้งแต่สุขภาพของพวกผู้หญิงในดินแดนความขัดแย้ง ไปจนถึงการเข้าถึงน้ำสะอาด การรักษาโรคเอชไอวี/เอดส์ ความมั่นคงทางพลังงานและต่อต้านคอรัปชัน
    .
    ทั้งนี้ในปี 2024 ทาง USAID ได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่สหประชาชาติ (UN) ติดตามผลคิดเป็น 42% ของทั้งหมด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012937
    ..............
    Sondhi X
    ผู้พิพากษาสหรัฐฯรายหนึ่ง ตัดสินไฟเขียวชั่วคราวให้ลูกจ้างของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ราวๆ 2,700 คน ที่ถูกรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่ง "พักงาน" ให้กลับมาทำงาน ในความเคลื่อนไหวระงับแผนการหนึ่งๆที่เล็งเป้ายุบองค์กรดังกล่าว . ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ คาร์ล นิโคลส์ ในวอชิงตัน ซึ่งถูกเสนอชื่อโดยทรัมป์ครั้งดำรงตำแหน่งสมัยแรก อนุมัติบางส่วนคำร้องจากสภาพแรงงานลูกจ้างรัฐบาลใหญ่ที่ในสหรัฐฯและสมาคมแรงงานบริการต่างชาติแห่งหนึ่ง ที่ยื่นฟ้องความพยายามของรัฐบาลในการปิด USAID . คำสั่งของนิโคล ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นการขัดขวางรัฐบาลทรัมป์จากการดำเนินการตามแผนที่สั่ง "พักงาน" ลูกจ้างของ USAID ราวๆ 2,200 คน " เริ่มตั้งแต่วันเสาร์(8ก.พ.) และคืนสถานะลูกจ้างราวๆ 500 คน ที่ถูกให้ออกจากงาน นอกจากนี้แล้วคำพิพากษาของศาลยังห้ามรัฐบาลจากการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมของ USAID ที่ประจำการอยู่นอกสหรัฐฯ . รายงานข่าวระบุว่าผู้พิพากษา นิโคลส์ จะพิจารณาคำร้องหนึ่งๆที่ขอให้ระงับแผนของทรัมป์ในระยะยาว ระหว่างกระบวนพิจารณาที่จะมีขึ้นในวันพุธ(12ก.พ.) โดยผู้พิพากษานิโคลส์ เขียนในคำสั่งว่าสหภาพแรงงานแสดงให้เห็นว่าพวกลูกจ้างจะได้รับผลกระทบอย่างที่แก้ไขไม่ได้ หากว่าศาลไม่เข้าแทรกแซง . อย่างไรก็ตามผู้พิพากษานิโคลส์ปฏิเสธคำร้องอื่นๆจากสหภาพ ที่ขอกลับมาเปิดทำการอาคารของ USAID และคืนชีพเงินทุนต่างๆสำหรับเงินช่วยเหลือและสัญญาต่างๆที่ทางองค์กรแหงนี้อนุมัติไปแล้ว . รัฐบาลของทรัมป์ระบุในหนังสือแจ้งที่ส่งถึงคนงานขององค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศแห่งนี้เมื่อวันพฤหัสบดี(6ก.พ.) ว่าจะคงลูกจ้างที่จำเป็นของ USAID ไว้เพียง 611 ราย จากจำนวนที่มีทั้งหมดทั่วโลกมากกว่า 10,000 คน . "การลดพนักงานครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับการปิดสำนักงาน บีบบังคับโยกย้ายบุลคลต่างๆเหล่านี้ ถือเป็นการกระทำภายใต้การใช้อำนาจบริหารที่เกินขอบเขต ละเมิดหลักการแบ่งแยกอำนาจ" คาร์ลา กิลไบรด์ ทนายความของสหภาพแรงงาน บอกกับศาลระหว่างการพิจารณาคำร้องเมื่อวันศุกร์(7ก.พ.) . เบรตต์ ชูเมต เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของกระทรวงยุติธรรม ให้ปากคำกับผู้พิพากษานิโคลส์ ว่าลูกจ้างราว 2,000 คนของ USAID จะถูกพักงานภายใต้แผนการต่างๆของรัฐบาล เพิ่มเติมจาก 500 คน ที่ถูกสั่งพักงานไปก่อนหน้านี้ . ทรัมป์ โพสต์ข้อความเป็นทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเองในวันศุกร์(7ก.พ.) กล่าวหา USAID ว่าคอรัปชันและฉ้อฉลในการใช้จ่ายเงิน แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เขาบอกว่าการคอรัปชันใน USAID "อยู่ในระดับที่เคยพบเห็นมาก่อน ปิดมันซะ!" . ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ทรัมป์ ออกคำสั่งให้ระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่สหรัฐฯมอบให้แก่ต่างประเทศ เพื่อรับประกันว่ามันจะสอดคล้องกับ "นโยบายอเมริกาต้องมาก่อน" ของเขา นับตั้งแต่นั้นความยุ่งเหยิงก็ห้อมล้อม USAID ซึ่งจัดสรรเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ทั่วโลก หลายพันล้านดอลลาร์ . กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯออกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติการทั่วโลก หลังทรัมป์มีคำสั่งบริหาร ผลก็คือระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่มอบแก่ต่างชาติ ยกเว้นแต่ความช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหาร มันทำให้โครงการต่างๆของ USAID ที่ครอบคลุมถึงความช่วยเหลือปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลกต้องหยุดชะงัก ในความเคลื่อนไหวที่พวกผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจทำให้ผู้คนล้มตาย . การตรวจสอบหน่วยงานแห่งนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่พันธมิตรผู้ใกล้ชิดกับทรัมป์รายนี้ เป็นหัวหอกในความพยายามของประธานาธิบดี ในการความเทอะทะในงานราชการของรัฐบาลกลาง . ในปี 2023 สหรัฐฯใช้จ่ายเงิน 72,000 ล้านดอลลาร์ บางส่วนผ่าน USAID ในด้านความช่วยเหลือต่างๆทั่วโลก ไล่ตั้งแต่สุขภาพของพวกผู้หญิงในดินแดนความขัดแย้ง ไปจนถึงการเข้าถึงน้ำสะอาด การรักษาโรคเอชไอวี/เอดส์ ความมั่นคงทางพลังงานและต่อต้านคอรัปชัน . ทั้งนี้ในปี 2024 ทาง USAID ได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่สหประชาชาติ (UN) ติดตามผลคิดเป็น 42% ของทั้งหมด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012937 .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1879 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าหน้าที่ดับเพลิงยังคงระดมกำลังต่อสู้กับไฟป่าที่เผาผลาญบ้านเรือนหลายพันหลัง และทำให้มีผู้เสียชีวิต 24 คนและสูญหายอย่างน้อย 16 คนในย่านเทศมณฑลลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้ ของสหรัฐฯเมื่อวันจันทร์ (13 ม.ค.) ท่ามกลางคำเตือนที่ว่าว่า สภาพอากาศอันตรายที่เอื้ออำนวยให้ไฟป่าลุกลามจะหวนกลับมาถึงช่วงกลางสัปดาห์นี้ โดยจะอันตรายอย่างยิ่งในวันอังคาร (14) ขณะที่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า ไฟป่าครั้งนี้อาจเป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา
    .
    สำนักงานบริการสภาพอากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (เอ็นดับเบิลยูเอส) ออกคำเตือนในวันอาทิตย์ (12) ว่า สภาพอากาศอันตรายจะหวนกลับมาและคงอยู่จนถึงวันพุธ (15) โดยมีความเร็วลมคงที่ที่ 80 กม./ชม. และความเร็วลมสูงสุด 113 กม./ชม. แต่จะอันตรายที่สุดในวันอังคาร
    .
    ริช ธอมป์สัน นักอุตุนิยมวิทยาของเอ็นดับเบิลยูเอส กล่าวในการประชุมชุมชนเมื่อคืนวันเสาร์ (11) ว่า ลอสแองเจลิสจะเผชิญกับลมซานตาแอนา ที่มีกำลังแรงมาก ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด ประกอบกับใบไม้ใบหญ้าแห้งมาก ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ไฟป่าลุกลามแรงขึ้น
    .
    อย่างไรก็ดี แอนโทนี ซี. มาร์โรน หัวหน้าแผนกดับเพลิงเทศมณฑลลอสแองเจลิส แถลงว่า มีรถบรรทุกน้ำมาเพิ่มอีก 70 คันเพื่อเตรียมรับมือลมกรรโชกแรงระลอกใหม่ และเสริมว่า การใช้เครื่องบินโปรยสารหน่วงไฟเมื่อวันอาทิตย์จะช่วยสร้างแนวป้องกันไฟบริเวณไหล่เขา
    .
    ลมซานตาแอน าที่โหมกระหน่ำรุนแรงถูกระบุว่า เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ไฟป่าที่ปะทุขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกลายเป็นไฟบรรลัยกัลป์ซึ่งเผาผลาญย่านต่างๆ ทั่วเมืองลอสแองเจลิสที่ไม่มีฝนตกหนักมากว่า 8 เดือน
    .
    โรเบิร์ต ลูนา เจ้าหน้าที่ปกครองเทศมณฑลลอสแองเจลิส แถลงว่า มีประชาชน 12 คนสูญหายในเขตที่เกิดไฟป่าอีตันไฟร์ และ 4 คนในเขตไฟป่าพาลิเซดส์ไฟร์ และอาจมีรายงานผู้สูญหายเพิ่มอีกนับสิบในช่วงเช้าวันอาทิตย์ ขณะที่พนักงานสอบสวนกำลังตรวจสอบว่า ผู้สูญหายบางคนอาจอยู่ในรายชื่อผู้เสียชีวิตหรือไม่
    .
    สำหรับยอดผู้เสียชีวิตจนถึงช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีทั้งหมด 24 คน และเจ้าหน้าที่คาดว่า ตัวเลขอาจเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันขณะที่ทีมค้นหาพร้อมสุนัขกู้ภัยที่เน้นดมกลิ่นทำการค้นหาอย่างเป็นระบบในย่านต่างๆ ซึ่งถูกไฟเผาเผลาญ
    .
    นอกจากนั้นยังมีการออกคำเตือนว่า เถ้าถ่านจากไฟป่าอาจมีสารตะกั่ว สารหนู แร่ใยหิน และวัสดุอันตรายอื่นๆ ปะปนอยู่ รวมทั้งมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการปล้นชิง โดยเจ้าหน้าที่เผยว่า จับกุมผู้กระทำผิดได้เพิ่มขึ้น
    .
    สำนักงานป่าไม้และการป้องกันอัคคีภัยรัฐแคลิฟอร์เนีย (แคลไฟร์) แถลงเมื่อเช้าวันอาทิตย์ว่า ไฟป่าพาลิเซดส์ อีตัน เคนเนธ และเฮิร์สต์ เผาผลาญพื้นที่รวม 160 ตารางกิโลเมตร หรือกว้างกว่าพื้นที่นครซานฟรานซิสโกเสียอีก ขณะที่ตอนนี้สามารถควบคุมเพลิงในพาลิเซดส์ไฟร์ได้ 11%, อีตันไฟร์ 27%
    .
    เจ้าหน้าที่จากแคลิฟอร์เนียและอีก 8 รัฐเป็นส่วนหนึ่งของทีมรับมือไฟป่าที่รวมถึงอุปกรณ์ดับเพลิงเกือบ 1,400 เครื่อง เครื่องบิน 84 ลำ และบุคลากรกว่า 14,000 คน โดยรวมถึงเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากเม็กซิโกที่เพิ่งเดินทางมาสมทบช่วยเหลือ
    .
    ไฟป่าที่ปะทุขึ้นในวันอังคาร (7 ม.ค.) ทางด้านเหนือของตัวเมืองแอลเอขณะนี้เผาผลาญสิ่งปลูกสร้างไปแล้วกว่า 12,000 หลัง การประเมินเบื้องต้นของแอกคิวเวธเตอร์ระบุว่า ภัยพิบัตินี้อาจสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ 135,000-150,000 ล้านดอลลาร์
    .
    เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุระหว่างให้สัมภาษณ์กับเอ็นบีซีที่ออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ว่า นี่อาจเป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา
    .
    นอกจากนั้นเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) นิวซัมยังสั่งให้ตรวจสอบว่า เหตุใดน้ำจึงหมดจากอ่างเก็บน้ำที่สามารถกักเก็บน้ำได้ 440 ล้านลิตร และหัวดับเพลิงบางแห่งจึงไม่มีน้ำ
    .
    คริสติน โครว์ลีย์ หัวหน้าแผนกดับเพลิงเมืองแอลเอ กล่าวหาว่า ผู้นำของแอลเอไม่จัดสรรงบประมาณให้หน่วยดับเพลิงเพียงพอ และยังวิจารณ์สถานการณ์ที่หน่วยดับเพลิงไม่มีน้ำมาใช้ดับไฟป่า
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003914
    ..............
    Sondhi X
    เจ้าหน้าที่ดับเพลิงยังคงระดมกำลังต่อสู้กับไฟป่าที่เผาผลาญบ้านเรือนหลายพันหลัง และทำให้มีผู้เสียชีวิต 24 คนและสูญหายอย่างน้อย 16 คนในย่านเทศมณฑลลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้ ของสหรัฐฯเมื่อวันจันทร์ (13 ม.ค.) ท่ามกลางคำเตือนที่ว่าว่า สภาพอากาศอันตรายที่เอื้ออำนวยให้ไฟป่าลุกลามจะหวนกลับมาถึงช่วงกลางสัปดาห์นี้ โดยจะอันตรายอย่างยิ่งในวันอังคาร (14) ขณะที่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า ไฟป่าครั้งนี้อาจเป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา . สำนักงานบริการสภาพอากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (เอ็นดับเบิลยูเอส) ออกคำเตือนในวันอาทิตย์ (12) ว่า สภาพอากาศอันตรายจะหวนกลับมาและคงอยู่จนถึงวันพุธ (15) โดยมีความเร็วลมคงที่ที่ 80 กม./ชม. และความเร็วลมสูงสุด 113 กม./ชม. แต่จะอันตรายที่สุดในวันอังคาร . ริช ธอมป์สัน นักอุตุนิยมวิทยาของเอ็นดับเบิลยูเอส กล่าวในการประชุมชุมชนเมื่อคืนวันเสาร์ (11) ว่า ลอสแองเจลิสจะเผชิญกับลมซานตาแอนา ที่มีกำลังแรงมาก ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด ประกอบกับใบไม้ใบหญ้าแห้งมาก ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ไฟป่าลุกลามแรงขึ้น . อย่างไรก็ดี แอนโทนี ซี. มาร์โรน หัวหน้าแผนกดับเพลิงเทศมณฑลลอสแองเจลิส แถลงว่า มีรถบรรทุกน้ำมาเพิ่มอีก 70 คันเพื่อเตรียมรับมือลมกรรโชกแรงระลอกใหม่ และเสริมว่า การใช้เครื่องบินโปรยสารหน่วงไฟเมื่อวันอาทิตย์จะช่วยสร้างแนวป้องกันไฟบริเวณไหล่เขา . ลมซานตาแอน าที่โหมกระหน่ำรุนแรงถูกระบุว่า เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ไฟป่าที่ปะทุขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกลายเป็นไฟบรรลัยกัลป์ซึ่งเผาผลาญย่านต่างๆ ทั่วเมืองลอสแองเจลิสที่ไม่มีฝนตกหนักมากว่า 8 เดือน . โรเบิร์ต ลูนา เจ้าหน้าที่ปกครองเทศมณฑลลอสแองเจลิส แถลงว่า มีประชาชน 12 คนสูญหายในเขตที่เกิดไฟป่าอีตันไฟร์ และ 4 คนในเขตไฟป่าพาลิเซดส์ไฟร์ และอาจมีรายงานผู้สูญหายเพิ่มอีกนับสิบในช่วงเช้าวันอาทิตย์ ขณะที่พนักงานสอบสวนกำลังตรวจสอบว่า ผู้สูญหายบางคนอาจอยู่ในรายชื่อผู้เสียชีวิตหรือไม่ . สำหรับยอดผู้เสียชีวิตจนถึงช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีทั้งหมด 24 คน และเจ้าหน้าที่คาดว่า ตัวเลขอาจเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันขณะที่ทีมค้นหาพร้อมสุนัขกู้ภัยที่เน้นดมกลิ่นทำการค้นหาอย่างเป็นระบบในย่านต่างๆ ซึ่งถูกไฟเผาเผลาญ . นอกจากนั้นยังมีการออกคำเตือนว่า เถ้าถ่านจากไฟป่าอาจมีสารตะกั่ว สารหนู แร่ใยหิน และวัสดุอันตรายอื่นๆ ปะปนอยู่ รวมทั้งมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการปล้นชิง โดยเจ้าหน้าที่เผยว่า จับกุมผู้กระทำผิดได้เพิ่มขึ้น . สำนักงานป่าไม้และการป้องกันอัคคีภัยรัฐแคลิฟอร์เนีย (แคลไฟร์) แถลงเมื่อเช้าวันอาทิตย์ว่า ไฟป่าพาลิเซดส์ อีตัน เคนเนธ และเฮิร์สต์ เผาผลาญพื้นที่รวม 160 ตารางกิโลเมตร หรือกว้างกว่าพื้นที่นครซานฟรานซิสโกเสียอีก ขณะที่ตอนนี้สามารถควบคุมเพลิงในพาลิเซดส์ไฟร์ได้ 11%, อีตันไฟร์ 27% . เจ้าหน้าที่จากแคลิฟอร์เนียและอีก 8 รัฐเป็นส่วนหนึ่งของทีมรับมือไฟป่าที่รวมถึงอุปกรณ์ดับเพลิงเกือบ 1,400 เครื่อง เครื่องบิน 84 ลำ และบุคลากรกว่า 14,000 คน โดยรวมถึงเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากเม็กซิโกที่เพิ่งเดินทางมาสมทบช่วยเหลือ . ไฟป่าที่ปะทุขึ้นในวันอังคาร (7 ม.ค.) ทางด้านเหนือของตัวเมืองแอลเอขณะนี้เผาผลาญสิ่งปลูกสร้างไปแล้วกว่า 12,000 หลัง การประเมินเบื้องต้นของแอกคิวเวธเตอร์ระบุว่า ภัยพิบัตินี้อาจสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ 135,000-150,000 ล้านดอลลาร์ . เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุระหว่างให้สัมภาษณ์กับเอ็นบีซีที่ออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ว่า นี่อาจเป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา . นอกจากนั้นเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) นิวซัมยังสั่งให้ตรวจสอบว่า เหตุใดน้ำจึงหมดจากอ่างเก็บน้ำที่สามารถกักเก็บน้ำได้ 440 ล้านลิตร และหัวดับเพลิงบางแห่งจึงไม่มีน้ำ . คริสติน โครว์ลีย์ หัวหน้าแผนกดับเพลิงเมืองแอลเอ กล่าวหาว่า ผู้นำของแอลเอไม่จัดสรรงบประมาณให้หน่วยดับเพลิงเพียงพอ และยังวิจารณ์สถานการณ์ที่หน่วยดับเพลิงไม่มีน้ำมาใช้ดับไฟป่า . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003914 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2163 มุมมอง 0 รีวิว
  • สูตรสำเร็จพิชิตเป้าหมายฉบับ McKim, R. L. สร้างฝันให้เป็นจริง

    บทความนี้เรียบเรียงจาก 1 ในเนื้อหาอมตะของ McKim, R. L. เจ้าของผลงาน “How To Use Your God Power” ที่ได้รับการตอบรับจากผู้สนใจการพัฒนาตนเอง นำเสนอเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจตั้งเป้าหมายในปี 2025 ฉบับ McKim, R. L.

    ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเด็กๆ และบรรยากาศที่แสนอบอุ่น อาศัยอยู่ชายหนุ่มผู้มีนามว่า 'เก่ง' ชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง แต่ความฝันนั้นก็ยังคงเป็นเพียงภาพลางๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้พบกับหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า "Goal Success Formula"
    ด้วยความอยากรู้ เก่งจึงเปิดอ่านหนังสือเล่มนั้นอย่างตั้งใจ ภายในเล่มเต็มไปด้วยเทคนิคและวิธีการในการตั้งเป้าหมายและวางแผนชีวิตอย่างเป็นระบบ ซึ่งทำให้เก่งตระหนักได้ว่า ความฝันของเขาจะไม่เป็นจริงเลย หากปราศจากการลงมือทำอย่างจริงจัง

    จุดเริ่มต้นของการเดินทาง ..... เก่งเริ่มต้นจากการตั้งคำถามกับตัวเองว่า จริงๆ แล้วเขาต้องการอะไรในชีวิต? อะไรคือสิ่งที่เขาอยากทำให้สำเร็จ?
    และคำถามเหล่านี้ช่วยให้เขาค้นพบเป้าหมายที่แท้จริง นั่นคือการเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ที่อบอุ่นและเป็นมิตร

    8 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ:
    1.เก่งจินตนาการถึงภาพร้านกาแฟในฝัน ทั้งบรรยากาศ รสชาติกาแฟ และรอยยิ้มของลูกค้า เขาจดบันทึกทุกอย่างลงในสมุดเล่มโปรด (What is the Ideal Final Result?)
    เคล็ดลับ:
    ลองวาดภาพ หรือ เขียนบรรยายรายละเอียดให้ชัดเจน เหมือนกับว่าร้านกาแฟนั้นมีอยู่จริงแล้ว

    2.เก่งถามตัวเองว่า ทำไมการมีร้านกาแฟถึงสำคัญกับเขานัก? คำตอบคือ เขาต้องการสร้างพื้นที่แห่งความสุข สร้างงาน สร้างรายได้ และแบ่งปันกาแฟรสเลิศให้กับชุมชน (Why Is This Goal So Important?)
    เคล็ดลับ:
    หาเหตุผลที่ 'ใช่' และ 'โดนใจ' เพื่อเป็นแรงผลักดันให้ตัวเอง

    3.เก่งเริ่มต้นด้วยการมองหาข้อได้เปรียบของตัวเอง เขามีความรู้เรื่องกาแฟ มีใจรักในงานบริการ และที่สำคัญที่สุดคือ เขามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ (Why I Know That I Can Easily Accomplish This Goal!)
    เคล็ดลับ:
    มองหาจุดแข็งของตัวเอง และสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจว่าจะทำได้

    4.เก่งคิดว่า ร้านกาแฟของเขาจะไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้กับเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งพบปะของผู้คน สร้างสีสันและความอบอุ่นให้กับชุมชน (How Will This Goal Influence And Benefit Others?)
    เคล็ดลับ:
    คิดถึงผลกระทบเชิงบวกที่จะเกิดขึ้นกับคนรอบข้าง

    5.เก่งตระหนักดีว่าหนทางสู่ความสำเร็จนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาอาจพบเจออุปสรรคมากมาย แต่เขาก็พร้อมที่จะเรียนรู้และฝ่าฟันไปให้ได้ (What Obstacles Did I "Overcome" & How?)
    เคล็ดลับ:
    ลิสต์อุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น และวิธีรับมือกับปัญหาเหล่านั้น

    6.เก่งนึกถึง 'ลุงสมชาย' เจ้าของร้านกาแฟชื่อดังที่คอยให้คำปรึกษาและแบ่งปันประสบการณ์ เก่งจดเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของลุงสมชายไว้ เพื่อที่จะไปขอคำแนะนำเพิ่มเติม (Who were the People & Companies Who helped & Inspired Me & How?)
    เคล็ดลับ:
    ระบุบุคคลต้นแบบ หรือแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์

    7.เก่งสำรวจตัวเองว่าเขามีความรู้และทักษะอะไรบ้างที่จำเป็นต่อการเปิดร้านกาแฟ และเขาต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มอีกบ้าง (What Skills And Knowledge Do I Need?)
    เคล็ดลับ:
    ลิสต์ทักษะที่จำเป็น และวางแผนพัฒนาตัวเอง

    8.เก่งวางแผนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การหาแหล่งวัตถุดิบ การตกแต่งร้าน การบริหารจัดการ ไปจนถึงการทำการตลาด (What Exact Steps Are Needed To Complete This Goal?)
    เคล็ดลับ:
    แบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นเป้าหมายย่อยๆ และวางแผนอย่างละเอียด

    เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ... แน่นอนว่าระหว่างทาง เก่งต้องพบเจอกับอุปสรรคต่างๆ มากมาย ทั้งปัญหาเรื่องเงินทุน การแข่งขันทางธุรกิจ และความเหนื่อยล้า แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในตัวเอง เก่งก็สามารถก้าวข้ามผ่านทุกปัญหาไปได้

    แล้ววันแห่งความสำเร็จก็มาถึง ...
    ร้านกาแฟเล็กๆ ของเก่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง รสชาติกาแฟที่กลมกล่อม และรอยยิ้มของเก่ง ทำให้ร้านกาแฟแห่งนี้กลายเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าในเวลาอันรวดเร็ว

    ข้อคิดจากเรื่องราวของเก่ง
    ทุกความฝันสามารถเป็นจริงได้ หากเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน วางแผนอย่างเป็นระบบ และลงมือทำอย่างจริงจัง อย่ากลัวที่จะเริ่มต้น และอย่ายอมแพ้ต่ออุปสรรค

    ถึงเวลาแล้วที่คุณจะสร้าง Goal Success Formula ของคุณเอง! หยิบกระดาษ ปากกา แล้วเริ่มต้นตั้งเป้าหมาย วางแผน และลงมือทำตามฝันของคุณ

    แหล่งอ้างอิง:
    •McKim, R. L. (2013). Goal Success Formula.
    สูตรสำเร็จพิชิตเป้าหมายฉบับ McKim, R. L. สร้างฝันให้เป็นจริง บทความนี้เรียบเรียงจาก 1 ในเนื้อหาอมตะของ McKim, R. L. เจ้าของผลงาน “How To Use Your God Power” ที่ได้รับการตอบรับจากผู้สนใจการพัฒนาตนเอง นำเสนอเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจตั้งเป้าหมายในปี 2025 ฉบับ McKim, R. L. ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเด็กๆ และบรรยากาศที่แสนอบอุ่น อาศัยอยู่ชายหนุ่มผู้มีนามว่า 'เก่ง' ชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง แต่ความฝันนั้นก็ยังคงเป็นเพียงภาพลางๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้พบกับหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า "Goal Success Formula" ด้วยความอยากรู้ เก่งจึงเปิดอ่านหนังสือเล่มนั้นอย่างตั้งใจ ภายในเล่มเต็มไปด้วยเทคนิคและวิธีการในการตั้งเป้าหมายและวางแผนชีวิตอย่างเป็นระบบ ซึ่งทำให้เก่งตระหนักได้ว่า ความฝันของเขาจะไม่เป็นจริงเลย หากปราศจากการลงมือทำอย่างจริงจัง จุดเริ่มต้นของการเดินทาง ..... เก่งเริ่มต้นจากการตั้งคำถามกับตัวเองว่า จริงๆ แล้วเขาต้องการอะไรในชีวิต? อะไรคือสิ่งที่เขาอยากทำให้สำเร็จ? และคำถามเหล่านี้ช่วยให้เขาค้นพบเป้าหมายที่แท้จริง นั่นคือการเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ที่อบอุ่นและเป็นมิตร 8 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ: 1.เก่งจินตนาการถึงภาพร้านกาแฟในฝัน ทั้งบรรยากาศ รสชาติกาแฟ และรอยยิ้มของลูกค้า เขาจดบันทึกทุกอย่างลงในสมุดเล่มโปรด (What is the Ideal Final Result?) เคล็ดลับ: ลองวาดภาพ หรือ เขียนบรรยายรายละเอียดให้ชัดเจน เหมือนกับว่าร้านกาแฟนั้นมีอยู่จริงแล้ว 2.เก่งถามตัวเองว่า ทำไมการมีร้านกาแฟถึงสำคัญกับเขานัก? คำตอบคือ เขาต้องการสร้างพื้นที่แห่งความสุข สร้างงาน สร้างรายได้ และแบ่งปันกาแฟรสเลิศให้กับชุมชน (Why Is This Goal So Important?) เคล็ดลับ: หาเหตุผลที่ 'ใช่' และ 'โดนใจ' เพื่อเป็นแรงผลักดันให้ตัวเอง 3.เก่งเริ่มต้นด้วยการมองหาข้อได้เปรียบของตัวเอง เขามีความรู้เรื่องกาแฟ มีใจรักในงานบริการ และที่สำคัญที่สุดคือ เขามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ (Why I Know That I Can Easily Accomplish This Goal!) เคล็ดลับ: มองหาจุดแข็งของตัวเอง และสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจว่าจะทำได้ 4.เก่งคิดว่า ร้านกาแฟของเขาจะไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้กับเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งพบปะของผู้คน สร้างสีสันและความอบอุ่นให้กับชุมชน (How Will This Goal Influence And Benefit Others?) เคล็ดลับ: คิดถึงผลกระทบเชิงบวกที่จะเกิดขึ้นกับคนรอบข้าง 5.เก่งตระหนักดีว่าหนทางสู่ความสำเร็จนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาอาจพบเจออุปสรรคมากมาย แต่เขาก็พร้อมที่จะเรียนรู้และฝ่าฟันไปให้ได้ (What Obstacles Did I "Overcome" & How?) เคล็ดลับ: ลิสต์อุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น และวิธีรับมือกับปัญหาเหล่านั้น 6.เก่งนึกถึง 'ลุงสมชาย' เจ้าของร้านกาแฟชื่อดังที่คอยให้คำปรึกษาและแบ่งปันประสบการณ์ เก่งจดเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของลุงสมชายไว้ เพื่อที่จะไปขอคำแนะนำเพิ่มเติม (Who were the People & Companies Who helped & Inspired Me & How?) เคล็ดลับ: ระบุบุคคลต้นแบบ หรือแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ 7.เก่งสำรวจตัวเองว่าเขามีความรู้และทักษะอะไรบ้างที่จำเป็นต่อการเปิดร้านกาแฟ และเขาต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มอีกบ้าง (What Skills And Knowledge Do I Need?) เคล็ดลับ: ลิสต์ทักษะที่จำเป็น และวางแผนพัฒนาตัวเอง 8.เก่งวางแผนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การหาแหล่งวัตถุดิบ การตกแต่งร้าน การบริหารจัดการ ไปจนถึงการทำการตลาด (What Exact Steps Are Needed To Complete This Goal?) เคล็ดลับ: แบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นเป้าหมายย่อยๆ และวางแผนอย่างละเอียด เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ... แน่นอนว่าระหว่างทาง เก่งต้องพบเจอกับอุปสรรคต่างๆ มากมาย ทั้งปัญหาเรื่องเงินทุน การแข่งขันทางธุรกิจ และความเหนื่อยล้า แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในตัวเอง เก่งก็สามารถก้าวข้ามผ่านทุกปัญหาไปได้ แล้ววันแห่งความสำเร็จก็มาถึง ... ร้านกาแฟเล็กๆ ของเก่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง รสชาติกาแฟที่กลมกล่อม และรอยยิ้มของเก่ง ทำให้ร้านกาแฟแห่งนี้กลายเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าในเวลาอันรวดเร็ว ข้อคิดจากเรื่องราวของเก่ง ทุกความฝันสามารถเป็นจริงได้ หากเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน วางแผนอย่างเป็นระบบ และลงมือทำอย่างจริงจัง อย่ากลัวที่จะเริ่มต้น และอย่ายอมแพ้ต่ออุปสรรค ถึงเวลาแล้วที่คุณจะสร้าง Goal Success Formula ของคุณเอง! หยิบกระดาษ ปากกา แล้วเริ่มต้นตั้งเป้าหมาย วางแผน และลงมือทำตามฝันของคุณ แหล่งอ้างอิง: •McKim, R. L. (2013). Goal Success Formula.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1436 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts