• “สุดขั้ว! ผู้ใช้จัดสเปก Quad RTX 5090 เต็มเคส – แรงระดับ AI แต่ PSU อาจไม่รอด”

    ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งสร้างกระแสฮือฮาด้วยการติดตั้งการ์ดจอ ASUS ROG Astral GeForce RTX 5090 จำนวน 4 ใบในเคสเดียวกัน โดยใช้พื้นที่เกือบทั้งหมดของเคส พร้อมระบบระบายความร้อนและสายไฟสุดแน่น แต่ PSU ที่ใช้กลับต่ำกว่าความต้องการของระบบ

    Redditor ชื่อ u/Zestyclose-Salad-290 โพสต์ภาพ “battlestation” ที่จัดเต็มด้วยการ์ดจอ RTX 5090 ถึง 4 ใบ ซึ่งเป็นรุ่น ROG Astral จาก ASUS ที่มีขนาดเกือบ 4 สล็อตต่อใบ ทำให้ต้องใช้ PCIe 5.0 riser cable เพื่อย้ายการ์ดไปอีกฝั่งของเคส และเว้นพื้นที่ให้เมนบอร์ดและระบบระบายความร้อนของ CPU หายใจได้

    แม้จะใช้เคสขนาดใหญ่และจัดสายไฟอย่างดี แต่การ์ดทั้ง 4 ใบกินพื้นที่ไปถึง 75% ของเคส และเหลือช่องว่างแค่สำหรับ PSU เท่านั้น โดยการ์ด RTX 5090 แต่ละใบสามารถใช้ไฟได้ถึง 600W เมื่อโหลดเต็ม ทำให้ระบบนี้อาจใช้ไฟรวมถึง 2,400W เฉพาะการ์ดจอ ยังไม่รวม CPU และอุปกรณ์อื่น ๆ

    ที่น่าตกใจคือ เขาใช้ PSU ขนาด 2,400W ซึ่งอาจไม่เพียงพอหากใช้งานเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะถ้าไม่ได้ใช้ PSU แบบ Platinum หรือ Titanium ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

    แม้จะไม่มีการระบุว่าใช้ระบบนี้เพื่ออะไร แต่คาดว่าเป็นงานด้าน AI หรือการเรนเดอร์ระดับสูง เพราะการ์ดระดับนี้เกินความจำเป็นสำหรับการเล่นเกมทั่วไป

    สเปกของระบบ
    ใช้ ASUS ROG Astral GeForce RTX 5090 จำนวน 4 ใบ
    ติดตั้งด้วย PCIe 5.0 riser cable เพื่อจัดวางในอีกฝั่งของเคส
    ใช้เคสขนาดใหญ่ที่รองรับการ์ด 4 สล็อต
    มีระบบระบายความร้อนด้วย AIO สำหรับ CPU

    การใช้พลังงาน
    RTX 5090 ใช้ไฟสูงสุด 600W ต่อใบ
    รวมแล้วอาจใช้ไฟถึง 2,400W เฉพาะ GPU
    PSU ที่ใช้มีขนาด 2,400W ซึ่งอาจไม่เพียงพอ
    ควรใช้ PSU ขนาด 3,000W ขึ้นไปสำหรับระบบนี้

    ความเป็นไปได้ในการใช้งาน
    เหมาะกับงาน AI, การเรนเดอร์, หรือ simulation
    ไม่เหมาะกับการเล่นเกมทั่วไป
    ต้องมีการจัดการความร้อนและพลังงานอย่างระมัดระวัง

    ความเสี่ยงด้านพลังงาน
    PSU ขนาด 2,400W อาจไม่รองรับโหลดเต็มของระบบ
    การใช้สาย 16-pin จำนวนมากอาจเสี่ยงต่อการหลอมละลาย
    ต้องตรวจสอบคู่มือการใช้งานของผู้ผลิตอย่างละเอียด

    ความร้อนและการระบายอากาศ
    การ์ด 4 ใบในเคสเดียวอาจทำให้เกิดความร้อนสะสม
    ต้องมีการจัด airflow ที่ดีเพื่อป้องกันความเสียหาย

    https://wccftech.com/user-sets-up-quad-rtx-5090-battlestation-with-gpus-filling-up-the-entire-tower/
    🖥️ “สุดขั้ว! ผู้ใช้จัดสเปก Quad RTX 5090 เต็มเคส – แรงระดับ AI แต่ PSU อาจไม่รอด” ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งสร้างกระแสฮือฮาด้วยการติดตั้งการ์ดจอ ASUS ROG Astral GeForce RTX 5090 จำนวน 4 ใบในเคสเดียวกัน โดยใช้พื้นที่เกือบทั้งหมดของเคส พร้อมระบบระบายความร้อนและสายไฟสุดแน่น แต่ PSU ที่ใช้กลับต่ำกว่าความต้องการของระบบ Redditor ชื่อ u/Zestyclose-Salad-290 โพสต์ภาพ “battlestation” ที่จัดเต็มด้วยการ์ดจอ RTX 5090 ถึง 4 ใบ ซึ่งเป็นรุ่น ROG Astral จาก ASUS ที่มีขนาดเกือบ 4 สล็อตต่อใบ ทำให้ต้องใช้ PCIe 5.0 riser cable เพื่อย้ายการ์ดไปอีกฝั่งของเคส และเว้นพื้นที่ให้เมนบอร์ดและระบบระบายความร้อนของ CPU หายใจได้ แม้จะใช้เคสขนาดใหญ่และจัดสายไฟอย่างดี แต่การ์ดทั้ง 4 ใบกินพื้นที่ไปถึง 75% ของเคส และเหลือช่องว่างแค่สำหรับ PSU เท่านั้น โดยการ์ด RTX 5090 แต่ละใบสามารถใช้ไฟได้ถึง 600W เมื่อโหลดเต็ม ทำให้ระบบนี้อาจใช้ไฟรวมถึง 2,400W เฉพาะการ์ดจอ ยังไม่รวม CPU และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่น่าตกใจคือ เขาใช้ PSU ขนาด 2,400W ซึ่งอาจไม่เพียงพอหากใช้งานเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะถ้าไม่ได้ใช้ PSU แบบ Platinum หรือ Titanium ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แม้จะไม่มีการระบุว่าใช้ระบบนี้เพื่ออะไร แต่คาดว่าเป็นงานด้าน AI หรือการเรนเดอร์ระดับสูง เพราะการ์ดระดับนี้เกินความจำเป็นสำหรับการเล่นเกมทั่วไป ✅ สเปกของระบบ ➡️ ใช้ ASUS ROG Astral GeForce RTX 5090 จำนวน 4 ใบ ➡️ ติดตั้งด้วย PCIe 5.0 riser cable เพื่อจัดวางในอีกฝั่งของเคส ➡️ ใช้เคสขนาดใหญ่ที่รองรับการ์ด 4 สล็อต ➡️ มีระบบระบายความร้อนด้วย AIO สำหรับ CPU ✅ การใช้พลังงาน ➡️ RTX 5090 ใช้ไฟสูงสุด 600W ต่อใบ ➡️ รวมแล้วอาจใช้ไฟถึง 2,400W เฉพาะ GPU ➡️ PSU ที่ใช้มีขนาด 2,400W ซึ่งอาจไม่เพียงพอ ➡️ ควรใช้ PSU ขนาด 3,000W ขึ้นไปสำหรับระบบนี้ ✅ ความเป็นไปได้ในการใช้งาน ➡️ เหมาะกับงาน AI, การเรนเดอร์, หรือ simulation ➡️ ไม่เหมาะกับการเล่นเกมทั่วไป ➡️ ต้องมีการจัดการความร้อนและพลังงานอย่างระมัดระวัง ‼️ ความเสี่ยงด้านพลังงาน ⛔ PSU ขนาด 2,400W อาจไม่รองรับโหลดเต็มของระบบ ⛔ การใช้สาย 16-pin จำนวนมากอาจเสี่ยงต่อการหลอมละลาย ⛔ ต้องตรวจสอบคู่มือการใช้งานของผู้ผลิตอย่างละเอียด ‼️ ความร้อนและการระบายอากาศ ⛔ การ์ด 4 ใบในเคสเดียวอาจทำให้เกิดความร้อนสะสม ⛔ ต้องมีการจัด airflow ที่ดีเพื่อป้องกันความเสียหาย https://wccftech.com/user-sets-up-quad-rtx-5090-battlestation-with-gpus-filling-up-the-entire-tower/
    WCCFTECH.COM
    User Sets Up Quad-RTX 5090 Battlestation With GPUs Filling Up The Entire Tower
    A Redditor builds a battlestation with five ROG Astral GeForce RTX 5090 GPUs. The GPUs filled up the entire case.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • “No Longer Evil Thermostat – ปลุกชีพ Nest รุ่นเก่าให้กลับมาฉลาดอีกครั้ง ด้วยพลังโอเพ่นซอร์ส”

    เมื่อ Google ประกาศหยุดสนับสนุน Nest Thermostat รุ่น Gen 1 และ Gen 2 ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อุปกรณ์อัจฉริยะที่เคยควบคุมอุณหภูมิบ้านได้อย่างแม่นยำ กลับกลายเป็นแค่ “เทอร์โมสแตตธรรมดา” ที่ปรับอุณหภูมิได้เฉพาะหน้าจอเท่านั้น แต่ Cody Kociemba นักวิจัยด้านความปลอดภัยจากแอริโซนา ไม่ยอมให้มันจบแบบนั้น!

    เขาสร้างโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สชื่อว่า “No Longer Evil Thermostat” ที่ช่วยคืนชีพ Nest รุ่นเก่าให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง พร้อมอินเทอร์เฟซใหม่ที่ใช้งานง่าย และสามารถควบคุมผ่านเว็บได้เหมือนเดิม โดยไม่ต้องพึ่ง Google อีกต่อไป

    Nest Thermostat รุ่นแรก ๆ เปิดตัวระหว่างปี 2011–2014 และได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มบ้านอัจฉริยะ แต่เมื่อถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2025 Google ประกาศหยุดการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ทั้งการอัปเดตเฟิร์มแวร์และการเชื่อมต่อกับแอป Nest และ Google Home ทำให้ฟีเจอร์ควบคุมระยะไกลและการตั้งเวลาใช้งานหายไปทันที

    Cody Kociemba ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่ม Hack House ไม่พอใจกับการตัดสินใจนี้ เขาจึงเริ่มพัฒนาเฟิร์มแวร์ใหม่ที่สามารถติดตั้งลงบน Nest รุ่นเก่าได้ โดยไม่ต้องพึ่ง Google เลยแม้แต่นิดเดียว พร้อมอินเทอร์เฟซที่คล้ายของเดิม และสามารถเชื่อมต่อกับ Home Assistant ผ่าน MQTT หรือ REST API ได้อีกด้วย

    แรงจูงใจของเขาไม่ใช่แค่ความหลงใหลในฮาร์ดแวร์ แต่ยังรวมถึงเงินรางวัลจาก FULU Foundation ที่เสนอค่าตอบแทนราว 15,000 ดอลลาร์สำหรับนักพัฒนาที่ช่วยปลดล็อกอุปกรณ์จากข้อจำกัดของบริษัทใหญ่

    ผลลัพธ์คือ Nest Thermostat ที่แสดงข้อความต้อนรับว่า “now made with 100% less evil!” และกลับมาควบคุมอุณหภูมิบ้านได้อย่างแม่นยำอีกครั้ง

    การหยุดสนับสนุน Nest Gen 1 และ Gen 2
    เปิดตัวระหว่างปี 2011–2014
    ถูกยกเลิกการสนับสนุนเมื่อ 25 ตุลาคม 2025
    ไม่สามารถเชื่อมต่อกับแอป Nest และ Google Home ได้อีก
    เหลือแค่การปรับอุณหภูมิแบบแมนนวล

    โปรเจกต์ No Longer Evil Thermostat
    พัฒนาโดย Cody Kociemba จาก Hack House
    เป็นโอเพ่นซอร์ส ใช้งานฟรี
    มีอินเทอร์เฟซใหม่ที่คล้ายของเดิม
    รองรับการเชื่อมต่อกับ Home Assistant ผ่าน MQTT และ REST API
    มี GitHub พร้อมคู่มือการติดตั้งแบบละเอียด

    แรงจูงใจและผลตอบแทน
    ได้รับแรงสนับสนุนจาก FULU Foundation
    เสนอเงินรางวัล ~15,000 ดอลลาร์สำหรับการปลดล็อกอุปกรณ์
    เป็นการต่อสู้กับการควบคุมของบริษัทยักษ์ใหญ่

    https://www.tomshardware.com/software/no-longer-evil-thermostat-heats-your-home-better-by-removing-google-revive-sunsetted-hardware-gain-more-precise-control-open-source
    🌡️ “No Longer Evil Thermostat – ปลุกชีพ Nest รุ่นเก่าให้กลับมาฉลาดอีกครั้ง ด้วยพลังโอเพ่นซอร์ส” เมื่อ Google ประกาศหยุดสนับสนุน Nest Thermostat รุ่น Gen 1 และ Gen 2 ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อุปกรณ์อัจฉริยะที่เคยควบคุมอุณหภูมิบ้านได้อย่างแม่นยำ กลับกลายเป็นแค่ “เทอร์โมสแตตธรรมดา” ที่ปรับอุณหภูมิได้เฉพาะหน้าจอเท่านั้น แต่ Cody Kociemba นักวิจัยด้านความปลอดภัยจากแอริโซนา ไม่ยอมให้มันจบแบบนั้น! เขาสร้างโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สชื่อว่า “No Longer Evil Thermostat” ที่ช่วยคืนชีพ Nest รุ่นเก่าให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง พร้อมอินเทอร์เฟซใหม่ที่ใช้งานง่าย และสามารถควบคุมผ่านเว็บได้เหมือนเดิม โดยไม่ต้องพึ่ง Google อีกต่อไป Nest Thermostat รุ่นแรก ๆ เปิดตัวระหว่างปี 2011–2014 และได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มบ้านอัจฉริยะ แต่เมื่อถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2025 Google ประกาศหยุดการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ทั้งการอัปเดตเฟิร์มแวร์และการเชื่อมต่อกับแอป Nest และ Google Home ทำให้ฟีเจอร์ควบคุมระยะไกลและการตั้งเวลาใช้งานหายไปทันที Cody Kociemba ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่ม Hack House ไม่พอใจกับการตัดสินใจนี้ เขาจึงเริ่มพัฒนาเฟิร์มแวร์ใหม่ที่สามารถติดตั้งลงบน Nest รุ่นเก่าได้ โดยไม่ต้องพึ่ง Google เลยแม้แต่นิดเดียว พร้อมอินเทอร์เฟซที่คล้ายของเดิม และสามารถเชื่อมต่อกับ Home Assistant ผ่าน MQTT หรือ REST API ได้อีกด้วย แรงจูงใจของเขาไม่ใช่แค่ความหลงใหลในฮาร์ดแวร์ แต่ยังรวมถึงเงินรางวัลจาก FULU Foundation ที่เสนอค่าตอบแทนราว 15,000 ดอลลาร์สำหรับนักพัฒนาที่ช่วยปลดล็อกอุปกรณ์จากข้อจำกัดของบริษัทใหญ่ ผลลัพธ์คือ Nest Thermostat ที่แสดงข้อความต้อนรับว่า “now made with 100% less evil!” และกลับมาควบคุมอุณหภูมิบ้านได้อย่างแม่นยำอีกครั้ง ✅ การหยุดสนับสนุน Nest Gen 1 และ Gen 2 ➡️ เปิดตัวระหว่างปี 2011–2014 ➡️ ถูกยกเลิกการสนับสนุนเมื่อ 25 ตุลาคม 2025 ➡️ ไม่สามารถเชื่อมต่อกับแอป Nest และ Google Home ได้อีก ➡️ เหลือแค่การปรับอุณหภูมิแบบแมนนวล ✅ โปรเจกต์ No Longer Evil Thermostat ➡️ พัฒนาโดย Cody Kociemba จาก Hack House ➡️ เป็นโอเพ่นซอร์ส ใช้งานฟรี ➡️ มีอินเทอร์เฟซใหม่ที่คล้ายของเดิม ➡️ รองรับการเชื่อมต่อกับ Home Assistant ผ่าน MQTT และ REST API ➡️ มี GitHub พร้อมคู่มือการติดตั้งแบบละเอียด ✅ แรงจูงใจและผลตอบแทน ➡️ ได้รับแรงสนับสนุนจาก FULU Foundation ➡️ เสนอเงินรางวัล ~15,000 ดอลลาร์สำหรับการปลดล็อกอุปกรณ์ ➡️ เป็นการต่อสู้กับการควบคุมของบริษัทยักษ์ใหญ่ https://www.tomshardware.com/software/no-longer-evil-thermostat-heats-your-home-better-by-removing-google-revive-sunsetted-hardware-gain-more-precise-control-open-source
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แก้ปริศนา 32 ปี! ช่างอิเล็กทรอนิกส์ย้อนรอยโปรเจกต์ Amiga Sampler ที่เคยล้มเหลว”

    เรื่องราวสุดประทับใจของ Rob Smith ผู้หลงใหลในคอมพิวเตอร์ Amiga และอิเล็กทรอนิกส์ DIY เขาย้อนกลับไปแก้ไขโปรเจกต์เก่าจากปี 1993 ที่เคยทำไม่สำเร็จ—การสร้างอุปกรณ์ Sound Sampler สำหรับ Amiga ตามคู่มือจากนิตยสาร CU Amiga ซึ่งภายหลังพบว่ามีข้อผิดพลาดสำคัญในสเปกอุปกรณ์!

    ย้อนกลับไปในยุค 90s Rob Smith เคยพยายามสร้างอุปกรณ์ Sound Sampler สำหรับ Amiga โดยอิงจากคู่มือในนิตยสาร CU Amiga ฉบับที่ 039 แต่แม้จะพยายามอย่างเต็มที่ อุปกรณ์กลับไม่ทำงาน และยังทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ค้างเมื่อใช้งาน เขาจึงต้องยอมแพ้และเก็บชิ้นส่วนไว้เป็นที่ระลึก

    32 ปีผ่านไป ด้วยประสบการณ์และความรู้ที่เพิ่มขึ้น เขาตัดสินใจกลับมาทำโปรเจกต์นี้อีกครั้ง โดยใช้ชิ้นส่วนเดิมและคู่มือเดิม ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม—อุปกรณ์ไม่ทำงาน! จนกระทั่งเขาค้นพบว่าในคู่มือมีการพิมพ์ผิดเรื่องค่าคาปาซิเตอร์ C1 ที่ควรเป็น 47uF แต่กลับพิมพ์ว่า 7uF

    หลังจากเปลี่ยนคาปาซิเตอร์แล้ว อุปกรณ์ก็ยังไม่ทำงาน เขาจึงตรวจสอบสัญญาณนาฬิกา (clock signal) และพบว่าความถี่ต่ำผิดปกติ จากนั้นจึงเปลี่ยนคาปาซิเตอร์อีกตัวจาก 470nF เป็น 20pF ซึ่งช่วยเพิ่มความถี่จาก 287Hz เป็น 1.6MHz และทำให้อุปกรณ์ทำงานได้จริงกับซอฟต์แวร์อย่าง ProTracker และ Audition 4

    โปรเจกต์ DIY Amiga Sampler
    เริ่มต้นในปี 1993 โดยใช้คู่มือจาก CU Amiga ฉบับที่ 039
    อุปกรณ์ไม่ทำงานแม้ทำตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด
    กลับมาทำใหม่ในปี 2025 ด้วยประสบการณ์และความรู้เพิ่มขึ้น

    การค้นพบข้อผิดพลาด
    คู่มือพิมพ์ผิดเรื่องค่าคาปาซิเตอร์ C1
    ควรใช้ 47uF แต่กลับระบุเป็น 7uF
    CU Amiga ฉบับที่ 040 มีการแก้ไขและชี้แจง

    การแก้ไขเพิ่มเติม
    ตรวจสอบสัญญาณนาฬิกา พบว่าความถี่ต่ำเกินไป
    เปลี่ยนคาปาซิเตอร์จาก 470nF เป็น 20pF
    เพิ่มความถี่จาก 287Hz เป็น 1.6MHz
    อุปกรณ์เริ่มทำงานกับซอฟต์แวร์ Amiga ได้สำเร็จ

    ความสำเร็จของโปรเจกต์
    ใช้งานได้กับ ProTracker และ Audition 4
    แสดงผล waveform บนหน้าจอ Amiga
    เป็นการแก้ไขโปรเจกต์ในวัยเด็กอย่างสมบูรณ์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/sound-cards/diy-amiga-sound-sampler-circuit-mystery-solved-32-years-later-magazine-instructions-had-key-component-spec-typos
    🎛️ “แก้ปริศนา 32 ปี! ช่างอิเล็กทรอนิกส์ย้อนรอยโปรเจกต์ Amiga Sampler ที่เคยล้มเหลว” เรื่องราวสุดประทับใจของ Rob Smith ผู้หลงใหลในคอมพิวเตอร์ Amiga และอิเล็กทรอนิกส์ DIY เขาย้อนกลับไปแก้ไขโปรเจกต์เก่าจากปี 1993 ที่เคยทำไม่สำเร็จ—การสร้างอุปกรณ์ Sound Sampler สำหรับ Amiga ตามคู่มือจากนิตยสาร CU Amiga ซึ่งภายหลังพบว่ามีข้อผิดพลาดสำคัญในสเปกอุปกรณ์! ย้อนกลับไปในยุค 90s Rob Smith เคยพยายามสร้างอุปกรณ์ Sound Sampler สำหรับ Amiga โดยอิงจากคู่มือในนิตยสาร CU Amiga ฉบับที่ 039 แต่แม้จะพยายามอย่างเต็มที่ อุปกรณ์กลับไม่ทำงาน และยังทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ค้างเมื่อใช้งาน เขาจึงต้องยอมแพ้และเก็บชิ้นส่วนไว้เป็นที่ระลึก 32 ปีผ่านไป ด้วยประสบการณ์และความรู้ที่เพิ่มขึ้น เขาตัดสินใจกลับมาทำโปรเจกต์นี้อีกครั้ง โดยใช้ชิ้นส่วนเดิมและคู่มือเดิม ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม—อุปกรณ์ไม่ทำงาน! จนกระทั่งเขาค้นพบว่าในคู่มือมีการพิมพ์ผิดเรื่องค่าคาปาซิเตอร์ C1 ที่ควรเป็น 47uF แต่กลับพิมพ์ว่า 7uF หลังจากเปลี่ยนคาปาซิเตอร์แล้ว อุปกรณ์ก็ยังไม่ทำงาน เขาจึงตรวจสอบสัญญาณนาฬิกา (clock signal) และพบว่าความถี่ต่ำผิดปกติ จากนั้นจึงเปลี่ยนคาปาซิเตอร์อีกตัวจาก 470nF เป็น 20pF ซึ่งช่วยเพิ่มความถี่จาก 287Hz เป็น 1.6MHz และทำให้อุปกรณ์ทำงานได้จริงกับซอฟต์แวร์อย่าง ProTracker และ Audition 4 ✅ โปรเจกต์ DIY Amiga Sampler ➡️ เริ่มต้นในปี 1993 โดยใช้คู่มือจาก CU Amiga ฉบับที่ 039 ➡️ อุปกรณ์ไม่ทำงานแม้ทำตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด ➡️ กลับมาทำใหม่ในปี 2025 ด้วยประสบการณ์และความรู้เพิ่มขึ้น ✅ การค้นพบข้อผิดพลาด ➡️ คู่มือพิมพ์ผิดเรื่องค่าคาปาซิเตอร์ C1 ➡️ ควรใช้ 47uF แต่กลับระบุเป็น 7uF ➡️ CU Amiga ฉบับที่ 040 มีการแก้ไขและชี้แจง ✅ การแก้ไขเพิ่มเติม ➡️ ตรวจสอบสัญญาณนาฬิกา พบว่าความถี่ต่ำเกินไป ➡️ เปลี่ยนคาปาซิเตอร์จาก 470nF เป็น 20pF ➡️ เพิ่มความถี่จาก 287Hz เป็น 1.6MHz ➡️ อุปกรณ์เริ่มทำงานกับซอฟต์แวร์ Amiga ได้สำเร็จ ✅ ความสำเร็จของโปรเจกต์ ➡️ ใช้งานได้กับ ProTracker และ Audition 4 ➡️ แสดงผล waveform บนหน้าจอ Amiga ➡️ เป็นการแก้ไขโปรเจกต์ในวัยเด็กอย่างสมบูรณ์ https://www.tomshardware.com/pc-components/sound-cards/diy-amiga-sound-sampler-circuit-mystery-solved-32-years-later-magazine-instructions-had-key-component-spec-typos
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    DIY Amiga sound sampler circuit mystery solved 32 years later — Magazine instructions had key component spec typos
    An electronics enthusiast remade a 1993 DIY project from his youth, but hard-earned skills and experience ironed out errors in the printed instructions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ Android ต้องอยู่ร่วมกับ macOS – นี่คือวิธีที่ทำให้มันเวิร์ก

    Jowi Morales นักเขียนสายเทคโนโลยีจาก SlashGear แชร์ประสบการณ์การใช้ Samsung S24 Ultra กับ MacBook Air M2 เพื่อทำงานแบบมืออาชีพ โดยไม่ต้องพึ่ง iPhone หรือ iCloud แม้จะต้องใช้แรงเพิ่มขึ้น แต่เขายืนยันว่า “มันเวิร์ก” ถ้ารู้จักเลือกเครื่องมือให้เหมาะสม

    เขาเลือกใช้บริการจาก Google และ Microsoft เป็นหลัก เช่น Google Calendar, Keep, Tasks และ OneDrive เพื่อให้ข้อมูลซิงค์ข้ามอุปกรณ์ได้อย่างราบรื่น พร้อมใช้แอปเสริมอย่าง Duet Display และ AirDroid เพื่อเชื่อมต่อ Android กับ macOS ให้ทำงานร่วมกันได้ใกล้เคียงกับระบบของ Apple

    Google Calendar, Keep, Tasks
    ใช้จัดการตารางงานและบันทึกบนทุกอุปกรณ์
    แม้ไม่มีแอปบน macOS แต่สามารถใช้ผ่านเบราว์เซอร์และรับการแจ้งเตือน

    Microsoft OneDrive
    ใช้แทน iCloud สำหรับการสำรองภาพและไฟล์
    ซิงค์อัตโนมัติทั้งบน Android และ MacBook
    มาพร้อม Microsoft 365 ใช้งาน Word, Excel แบบออฟไลน์ได้

    Microsoft 365
    ทำงานต่อเนื่องข้ามอุปกรณ์ได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต
    เหมาะกับการเขียนบทความหรือเอกสารระหว่างเดินทาง

    Android Hotspot
    แม้ไม่มี Instant Hotspot แบบ iPhone แต่เชื่อมต่ออัตโนมัติหลังตั้งค่าครั้งแรก
    Samsung S24 Ultra สามารถแชร์เน็ตผ่าน Wi-Fi พร้อมเปิด hotspot ได้
    ใช้ร่วมกับ VPN เพื่อความปลอดภัยบน Wi-Fi สาธารณะ

    Duet Display
    ใช้ Android เป็นจอเสริมให้ MacBook ได้
    เชื่อมต่อผ่าน USB-C หรือไร้สาย
    ใช้งานฟรีแบบดูโฆษณา หรือจ่ายเงินเพื่อปลดล็อก

    AirDroid
    ควบคุม Android จาก MacBook ได้เกือบครบ
    ส่งข้อความ โทรศัพท์ และดูไฟล์ผ่านแอปบน macOS
    มีฟีเจอร์คล้าย AirPlay และ Continuity Camera

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android กับ MacBook
    ต้องตั้งค่าหลายขั้นตอนกว่าจะใช้งานได้ราบรื่น
    บางฟีเจอร์ยังไม่ลื่นไหลเท่าการใช้ iPhone กับ macOS
    แอปบางตัวอาจมีข้อจำกัดในการใช้งานฟรี

    หากคุณเป็นคนที่ไม่อยากผูกติดกับระบบปิดของ Apple แต่ยังอยากใช้ MacBook กับ Android ให้เต็มประสิทธิภาพ บทความนี้คือคู่มือที่ใช้งานได้จริงจากคนที่ลองมาแล้วทุกทาง

    https://www.slashgear.com/2019314/android-user-macbook-how-make-it-work-busy-writer/
    🧩 เมื่อ Android ต้องอยู่ร่วมกับ macOS – นี่คือวิธีที่ทำให้มันเวิร์ก Jowi Morales นักเขียนสายเทคโนโลยีจาก SlashGear แชร์ประสบการณ์การใช้ Samsung S24 Ultra กับ MacBook Air M2 เพื่อทำงานแบบมืออาชีพ โดยไม่ต้องพึ่ง iPhone หรือ iCloud แม้จะต้องใช้แรงเพิ่มขึ้น แต่เขายืนยันว่า “มันเวิร์ก” ถ้ารู้จักเลือกเครื่องมือให้เหมาะสม เขาเลือกใช้บริการจาก Google และ Microsoft เป็นหลัก เช่น Google Calendar, Keep, Tasks และ OneDrive เพื่อให้ข้อมูลซิงค์ข้ามอุปกรณ์ได้อย่างราบรื่น พร้อมใช้แอปเสริมอย่าง Duet Display และ AirDroid เพื่อเชื่อมต่อ Android กับ macOS ให้ทำงานร่วมกันได้ใกล้เคียงกับระบบของ Apple ✅ Google Calendar, Keep, Tasks ➡️ ใช้จัดการตารางงานและบันทึกบนทุกอุปกรณ์ ➡️ แม้ไม่มีแอปบน macOS แต่สามารถใช้ผ่านเบราว์เซอร์และรับการแจ้งเตือน ✅ Microsoft OneDrive ➡️ ใช้แทน iCloud สำหรับการสำรองภาพและไฟล์ ➡️ ซิงค์อัตโนมัติทั้งบน Android และ MacBook ➡️ มาพร้อม Microsoft 365 ใช้งาน Word, Excel แบบออฟไลน์ได้ ✅ Microsoft 365 ➡️ ทำงานต่อเนื่องข้ามอุปกรณ์ได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต ➡️ เหมาะกับการเขียนบทความหรือเอกสารระหว่างเดินทาง ✅ Android Hotspot ➡️ แม้ไม่มี Instant Hotspot แบบ iPhone แต่เชื่อมต่ออัตโนมัติหลังตั้งค่าครั้งแรก ➡️ Samsung S24 Ultra สามารถแชร์เน็ตผ่าน Wi-Fi พร้อมเปิด hotspot ได้ ➡️ ใช้ร่วมกับ VPN เพื่อความปลอดภัยบน Wi-Fi สาธารณะ ✅ Duet Display ➡️ ใช้ Android เป็นจอเสริมให้ MacBook ได้ ➡️ เชื่อมต่อผ่าน USB-C หรือไร้สาย ➡️ ใช้งานฟรีแบบดูโฆษณา หรือจ่ายเงินเพื่อปลดล็อก ✅ AirDroid ➡️ ควบคุม Android จาก MacBook ได้เกือบครบ ➡️ ส่งข้อความ โทรศัพท์ และดูไฟล์ผ่านแอปบน macOS ➡️ มีฟีเจอร์คล้าย AirPlay และ Continuity Camera ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android กับ MacBook ⛔ ต้องตั้งค่าหลายขั้นตอนกว่าจะใช้งานได้ราบรื่น ⛔ บางฟีเจอร์ยังไม่ลื่นไหลเท่าการใช้ iPhone กับ macOS ⛔ แอปบางตัวอาจมีข้อจำกัดในการใช้งานฟรี หากคุณเป็นคนที่ไม่อยากผูกติดกับระบบปิดของ Apple แต่ยังอยากใช้ MacBook กับ Android ให้เต็มประสิทธิภาพ บทความนี้คือคู่มือที่ใช้งานได้จริงจากคนที่ลองมาแล้วทุกทาง https://www.slashgear.com/2019314/android-user-macbook-how-make-it-work-busy-writer/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Android User With A MacBook? Here's How I Made It Work As A Busy Tech Writer - SlashGear
    Mac and Android can get along if you're willing to put in a little bit of prep work. Here's how one of our writers manages the relationship.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Dave Plummer ย้อนยุค! ยกไดรฟ์แม่เหล็ก 200 ปอนด์จากยุค 80 กลับมาใช้งาน Unix บน PDP-11”

    เรื่องเล่าจากอดีตที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง! Dave Plummer อดีตวิศวกรของ Microsoft ผู้มีบทบาทในการสร้าง Task Manager และเกม Pinball บน Windows ได้ทำภารกิจสุดแปลกแต่ทรงคุณค่า—เขายกไดรฟ์แม่เหล็ก DEC RA82 หนักเกือบ 200 ปอนด์กลับมาใช้งานกับคอมพิวเตอร์ PDP-11/73 จากปี 1983 เพื่อรันระบบ Unix แบบดั้งเดิม

    Plummer เล่าว่าแม้จะมีทางเลือกใหม่ ๆ เช่น SCSI หรือ SD card ที่สะดวกกว่า แต่เขาต้องการ “ความถูกต้องตามยุค” ทั้งเสียงกลไกที่ดังสนั่น ความยุ่งยากในการติดตั้ง และข้อจำกัดของเทคโนโลยีเก่า ซึ่งเขามองว่าเป็นเสน่ห์ที่หาไม่ได้ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน

    การติดตั้งไม่ง่ายเลย—ต้องใช้ลิฟต์ไฮดรอลิกยกไดรฟ์ขึ้นแร็ค และใช้สาย coaxial ยาว 15 ฟุตเชื่อมต่อกับ PDP-11 หลังจากฟอร์แมตไดรฟ์ใหม่และสร้างพาร์ทิชัน เขาก็สามารถติดตั้ง Unix ได้สำเร็จ พร้อมเสียง “วูบวาบ” ของจานแม่เหล็กที่หมุนอย่างทรงพลัง

    Plummer ยกย่องว่า DEC ทำไดรฟ์นี้ได้ดีมาก เพราะมีระบบวินิจฉัยตัวเองและสามารถจัดการกับปัญหาโดยไม่ต้องพึ่งผู้ใช้ ซึ่งถือว่า “ฉลาด” มากสำหรับเทคโนโลยีในยุคนั้น

    Dave Plummer นำไดรฟ์แม่เหล็ก DEC RA82 กลับมาใช้งาน
    น้ำหนักเกือบ 200 ปอนด์ ความจุเพียง 622 MB
    ใช้กับ PDP-11/73 คอมพิวเตอร์ 16 บิตจากปี 1983
    ติดตั้ง Unix บนไดรฟ์หลังฟอร์แมตและสร้างพาร์ทิชันใหม่

    เหตุผลที่เลือกใช้เทคโนโลยีเก่า
    ต้องการความ “ถูกต้องตามยุค” และประสบการณ์จริง
    เสียงกลไกและข้อจำกัดเป็นส่วนหนึ่งของเสน่ห์
    ไม่พอใจการใช้ SD card หรือ SCSI ที่ทันสมัยเกินไป

    ความสามารถของไดรฟ์ DEC RA82
    มีระบบวินิจฉัยและจัดการปัญหาอัตโนมัติ
    ผู้ใช้ไม่ต้องควบคุมความเร็วจานหรือการทำงานภายใน
    ถือว่า “ฉลาด” สำหรับเทคโนโลยีในยุค 1980

    ความท้าทายในการติดตั้งและใช้งาน
    ต้องใช้ลิฟต์ไฮดรอลิกยกไดรฟ์ขึ้นแร็ค
    ต้องใช้สาย coaxial ยาวและหัวต่อเฉพาะของ DEC
    ต้องฟอร์แมตไดรฟ์ใหม่และสร้างระบบไฟล์ด้วยตนเอง

    ความเสี่ยงจากการใช้ฮาร์ดแวร์เก่า
    อุปกรณ์อาจเสียหายหรือไม่สามารถซ่อมแซมได้
    อาจไม่มีอะไหล่หรือคู่มือสนับสนุนในปัจจุบัน
    ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางในการติดตั้งและใช้งาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/legendary-windows-pinball-developer-rescues-200lb-magnetic-disc-drive-from-the-1980s-requires-a-scissor-lift-to-move-it-only-has-622-mb-of-storage
    🎮 “Dave Plummer ย้อนยุค! ยกไดรฟ์แม่เหล็ก 200 ปอนด์จากยุค 80 กลับมาใช้งาน Unix บน PDP-11” เรื่องเล่าจากอดีตที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง! Dave Plummer อดีตวิศวกรของ Microsoft ผู้มีบทบาทในการสร้าง Task Manager และเกม Pinball บน Windows ได้ทำภารกิจสุดแปลกแต่ทรงคุณค่า—เขายกไดรฟ์แม่เหล็ก DEC RA82 หนักเกือบ 200 ปอนด์กลับมาใช้งานกับคอมพิวเตอร์ PDP-11/73 จากปี 1983 เพื่อรันระบบ Unix แบบดั้งเดิม Plummer เล่าว่าแม้จะมีทางเลือกใหม่ ๆ เช่น SCSI หรือ SD card ที่สะดวกกว่า แต่เขาต้องการ “ความถูกต้องตามยุค” ทั้งเสียงกลไกที่ดังสนั่น ความยุ่งยากในการติดตั้ง และข้อจำกัดของเทคโนโลยีเก่า ซึ่งเขามองว่าเป็นเสน่ห์ที่หาไม่ได้ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การติดตั้งไม่ง่ายเลย—ต้องใช้ลิฟต์ไฮดรอลิกยกไดรฟ์ขึ้นแร็ค และใช้สาย coaxial ยาว 15 ฟุตเชื่อมต่อกับ PDP-11 หลังจากฟอร์แมตไดรฟ์ใหม่และสร้างพาร์ทิชัน เขาก็สามารถติดตั้ง Unix ได้สำเร็จ พร้อมเสียง “วูบวาบ” ของจานแม่เหล็กที่หมุนอย่างทรงพลัง Plummer ยกย่องว่า DEC ทำไดรฟ์นี้ได้ดีมาก เพราะมีระบบวินิจฉัยตัวเองและสามารถจัดการกับปัญหาโดยไม่ต้องพึ่งผู้ใช้ ซึ่งถือว่า “ฉลาด” มากสำหรับเทคโนโลยีในยุคนั้น ✅ Dave Plummer นำไดรฟ์แม่เหล็ก DEC RA82 กลับมาใช้งาน ➡️ น้ำหนักเกือบ 200 ปอนด์ ความจุเพียง 622 MB ➡️ ใช้กับ PDP-11/73 คอมพิวเตอร์ 16 บิตจากปี 1983 ➡️ ติดตั้ง Unix บนไดรฟ์หลังฟอร์แมตและสร้างพาร์ทิชันใหม่ ✅ เหตุผลที่เลือกใช้เทคโนโลยีเก่า ➡️ ต้องการความ “ถูกต้องตามยุค” และประสบการณ์จริง ➡️ เสียงกลไกและข้อจำกัดเป็นส่วนหนึ่งของเสน่ห์ ➡️ ไม่พอใจการใช้ SD card หรือ SCSI ที่ทันสมัยเกินไป ✅ ความสามารถของไดรฟ์ DEC RA82 ➡️ มีระบบวินิจฉัยและจัดการปัญหาอัตโนมัติ ➡️ ผู้ใช้ไม่ต้องควบคุมความเร็วจานหรือการทำงานภายใน ➡️ ถือว่า “ฉลาด” สำหรับเทคโนโลยีในยุค 1980 ‼️ ความท้าทายในการติดตั้งและใช้งาน ⛔ ต้องใช้ลิฟต์ไฮดรอลิกยกไดรฟ์ขึ้นแร็ค ⛔ ต้องใช้สาย coaxial ยาวและหัวต่อเฉพาะของ DEC ⛔ ต้องฟอร์แมตไดรฟ์ใหม่และสร้างระบบไฟล์ด้วยตนเอง ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ฮาร์ดแวร์เก่า ⛔ อุปกรณ์อาจเสียหายหรือไม่สามารถซ่อมแซมได้ ⛔ อาจไม่มีอะไหล่หรือคู่มือสนับสนุนในปัจจุบัน ⛔ ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางในการติดตั้งและใช้งาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/legendary-windows-pinball-developer-rescues-200lb-magnetic-disc-drive-from-the-1980s-requires-a-scissor-lift-to-move-it-only-has-622-mb-of-storage
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร”

    ตอน 1

    วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555

    เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง

    รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป

    Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น
    เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ

    ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป”
    China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come”

    คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ
    ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน..

    …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย..

    …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย..

    .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน

    การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้…

    ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค
    ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

    การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น

    ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ

    นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป..
    อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย

    “แผนสอยมังกร”

    ตอน 2

    จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ

    – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55)
    – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย

    – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก

    แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น
    เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ

    – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง….

    และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย
    แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น….

    แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ

    สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน

    นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร” ตอน 1 วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555 เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป” China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come” คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน.. …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย.. …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย.. .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้… ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป.. อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย “แผนสอยมังกร” ตอน 2 จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55) – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง…. และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น…. แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 409 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เปิดสมอง” การใช้ Claude Code แบบเต็มระบบ โดย Shrivu Shankar
    Shrivu Shankar นักพัฒนาและผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ได้แชร์วิธีการใช้ Claude Code อย่างละเอียดในบทความบน Substack โดยเขาใช้เครื่องมือนี้ทั้งในโปรเจกต์ส่วนตัวและงานระดับองค์กรที่มีการใช้หลายพันล้านโทเคนต่อเดือน! จุดเด่นของบทความคือการเจาะลึกทุกฟีเจอร์ของ Claude Code ตั้งแต่ไฟล์พื้นฐานอย่าง CLAUDE.md ไปจนถึงการใช้ SDK และ GitHub Actions เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่ทรงพลัง

    เขาเน้นว่าเป้าหมายของการใช้ AI Agent ไม่ใช่แค่ให้มัน “ตอบดี” แต่ต้องสามารถ “ทำงานแทน” ได้จริง โดยมีการวางโครงสร้างที่ชัดเจน เช่น การใช้ planning mode เพื่อกำหนดแผนก่อนเริ่มงาน, การใช้ hooks เพื่อควบคุมคุณภาพโค้ด และการใช้ skills เพื่อให้ agent เข้าถึงเครื่องมือได้อย่างปลอดภัย

    บทความนี้ไม่ใช่แค่คู่มือการใช้ Claude Code แต่เป็นแนวคิดใหม่ในการออกแบบระบบ AI Agent ที่ยืดหยุ่นและทรงพลัง เหมาะสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการสร้างระบบอัตโนมัติที่ “คิดเองได้” มากกว่าแค่ “ตอบคำถาม”

    CLAUDE.md คือหัวใจของระบบ
    ใช้เป็น “รัฐธรรมนูญ” ของ agent เพื่อเข้าใจโครงสร้างโปรเจกต์

    ใช้ planning mode ก่อนเริ่มงานใหญ่
    ช่วยให้ Claude วางแผนและตรวจสอบได้ตรงจุด

    Slash commands ใช้แบบเรียบง่าย
    เช่น /catchup เพื่อให้ Claude อ่านไฟล์ที่เปลี่ยนใน git

    Subagents ไม่จำเป็นเสมอไป
    แนะนำให้ใช้ Task(...) เพื่อให้ agent จัดการงานเองแบบ dynamic

    Resume และ History มีประโยชน์มาก
    ใช้สรุปบทเรียนจาก session เก่าเพื่อปรับปรุง CLAUDE.md

    Hooks ควบคุมคุณภาพโค้ดได้ดี
    เช่น block commit ถ้าทดสอบไม่ผ่าน

    Skills คืออนาคตของ agent
    เป็นการ formalize การใช้ CLI/script ให้ agent ใช้งานได้ปลอดภัย

    Claude Code SDK เหมาะกับการสร้าง agent prototype
    ใช้สร้างเครื่องมือภายในหรือรันงานแบบ parallel ได้ง่าย

    GitHub Action (GHA) คือเครื่องมือที่ทรงพลัง
    ใช้ Claude สร้าง PR อัตโนมัติจาก Slack, Jira หรือ CloudWatch

    settings.json ปรับแต่งการทำงานได้ลึก
    เช่น proxy, timeout, API key และ permission audit

    การใช้ subagent อาจทำให้ context หายไป
    Agent อาจไม่เข้าใจภาพรวมของงานถ้าข้อมูลถูกแยกไว้ใน subagent

    Slash commands ที่ซับซ้อนเกินไปเป็น anti-pattern
    ทำให้ผู้ใช้ต้องเรียนรู้คำสั่งพิเศษแทนที่จะใช้ภาษาธรรมชาติ

    Blocking agent ระหว่างเขียนโค้ดอาจทำให้สับสน
    ควรใช้ block-at-submit แทน block-at-write เพื่อให้ agent ทำงานจบก่อนตรวจสอบ



    https://blog.sshh.io/p/how-i-use-every-claude-code-feature
    🧠 “เปิดสมอง” การใช้ Claude Code แบบเต็มระบบ โดย Shrivu Shankar Shrivu Shankar นักพัฒนาและผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ได้แชร์วิธีการใช้ Claude Code อย่างละเอียดในบทความบน Substack โดยเขาใช้เครื่องมือนี้ทั้งในโปรเจกต์ส่วนตัวและงานระดับองค์กรที่มีการใช้หลายพันล้านโทเคนต่อเดือน! จุดเด่นของบทความคือการเจาะลึกทุกฟีเจอร์ของ Claude Code ตั้งแต่ไฟล์พื้นฐานอย่าง CLAUDE.md ไปจนถึงการใช้ SDK และ GitHub Actions เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่ทรงพลัง เขาเน้นว่าเป้าหมายของการใช้ AI Agent ไม่ใช่แค่ให้มัน “ตอบดี” แต่ต้องสามารถ “ทำงานแทน” ได้จริง โดยมีการวางโครงสร้างที่ชัดเจน เช่น การใช้ planning mode เพื่อกำหนดแผนก่อนเริ่มงาน, การใช้ hooks เพื่อควบคุมคุณภาพโค้ด และการใช้ skills เพื่อให้ agent เข้าถึงเครื่องมือได้อย่างปลอดภัย บทความนี้ไม่ใช่แค่คู่มือการใช้ Claude Code แต่เป็นแนวคิดใหม่ในการออกแบบระบบ AI Agent ที่ยืดหยุ่นและทรงพลัง เหมาะสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการสร้างระบบอัตโนมัติที่ “คิดเองได้” มากกว่าแค่ “ตอบคำถาม” ✅ CLAUDE.md คือหัวใจของระบบ ➡️ ใช้เป็น “รัฐธรรมนูญ” ของ agent เพื่อเข้าใจโครงสร้างโปรเจกต์ ✅ ใช้ planning mode ก่อนเริ่มงานใหญ่ ➡️ ช่วยให้ Claude วางแผนและตรวจสอบได้ตรงจุด ✅ Slash commands ใช้แบบเรียบง่าย ➡️ เช่น /catchup เพื่อให้ Claude อ่านไฟล์ที่เปลี่ยนใน git ✅ Subagents ไม่จำเป็นเสมอไป ➡️ แนะนำให้ใช้ Task(...) เพื่อให้ agent จัดการงานเองแบบ dynamic ✅ Resume และ History มีประโยชน์มาก ➡️ ใช้สรุปบทเรียนจาก session เก่าเพื่อปรับปรุง CLAUDE.md ✅ Hooks ควบคุมคุณภาพโค้ดได้ดี ➡️ เช่น block commit ถ้าทดสอบไม่ผ่าน ✅ Skills คืออนาคตของ agent ➡️ เป็นการ formalize การใช้ CLI/script ให้ agent ใช้งานได้ปลอดภัย ✅ Claude Code SDK เหมาะกับการสร้าง agent prototype ➡️ ใช้สร้างเครื่องมือภายในหรือรันงานแบบ parallel ได้ง่าย ✅ GitHub Action (GHA) คือเครื่องมือที่ทรงพลัง ➡️ ใช้ Claude สร้าง PR อัตโนมัติจาก Slack, Jira หรือ CloudWatch ✅ settings.json ปรับแต่งการทำงานได้ลึก ➡️ เช่น proxy, timeout, API key และ permission audit ‼️ การใช้ subagent อาจทำให้ context หายไป ⛔ Agent อาจไม่เข้าใจภาพรวมของงานถ้าข้อมูลถูกแยกไว้ใน subagent ‼️ Slash commands ที่ซับซ้อนเกินไปเป็น anti-pattern ⛔ ทำให้ผู้ใช้ต้องเรียนรู้คำสั่งพิเศษแทนที่จะใช้ภาษาธรรมชาติ ‼️ Blocking agent ระหว่างเขียนโค้ดอาจทำให้สับสน ⛔ ควรใช้ block-at-submit แทน block-at-write เพื่อให้ agent ทำงานจบก่อนตรวจสอบ https://blog.sshh.io/p/how-i-use-every-claude-code-feature
    BLOG.SSHH.IO
    How I Use Every Claude Code Feature
    A brain dump of all the ways I've been using Claude Code.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทลายปาร์ตี้ยา เหยียดเพศโดยไม่ตั้งใจ

    กลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) กำลังวิจารณ์กรณีที่ตำรวจศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศอ.ปส.ตร.) ร่วมกับสืบนครบาล (IDMB) ตำรวจนครบาล 5 และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) จับกุมกลุ่มนักเที่ยว 29 คน ที่นัดหมายมั่วสุมเสพยาเสพติด และมีเพศสัมพันธ์ ที่ห้องสวีตในโรงแรมหรูชื่อดัง ในซอยสุขุมวิท 13 แขวงวัฒนา เขตคลองตันเหนือ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา พร้อมของกลางยาไอซ์ ยาบ้า ยาอีน้ำ เคตามีน ยาไวอะกร้า ยาป็อปเปอร์ (สารระเหย ใช้สูดดมเพื่อลดความปวดบริเวณทวารหนัก) และอุปกรณ์การเสพจำนวนหนึ่ง

    โดยพบว่าเนื้อหาข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอ มีลักษณะเน้นย้ำถึงพฤติกรรมทางเพศมากกว่าประเด็นยาเสพติด ซึ่งพบว่าเป็นการทำข่าวแบบคัดลอกแล้ววาง (Copy and Paste) จากข่าวแจกของตำรวจอีกที ประการต่อมาคือ ตำรวจใช้ชื่อ "ปฎิบัติการทลายปาร์ตี้เหมืองทอง" ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเหยียดเพศขั้นรุนแรง ทั้งที่ผ่านมาประเทศไทยพยายามผลักดันเรื่องความหลากหลายทางเพศ รวมทั้งตระหนักถึงปัญหาจากการรังแกกันบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying)

    อีกประการหนึ่ง คือ การนำเสนอภาพการจับกุมของตำรวจ ที่เผยแพร่ออกมาแบบไม่มีการคัดกรอง เช่น ภาพตำรวจถือถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วชูขึ้นมา แม้ภายหลังเฟซบุ๊กเพจ "กองบัญชาการตำรวจนครบาล" จะลบโพสต์ผลงานการจับกุมดังกล่าวออกจากระบบก็ตาม ภายหลังเฟซบุ๊กเพจ "จ๋อแจ๊ะจับโจร" ซึ่งเป็นเพจของกลุ่มแฟนคลับผู้สนับสนุน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบช.น. และ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ หรือ สารวัตรแจ๊ะ โพสต์ภาพสารวัตรแจ๊ะถือถุงยางอนามัย พร้อมระบุข้อความว่า "แอดขอเตือน รสนิยมทางเพศไม่ผิด แต่ยาเสพติดผิดเต็มประตู"

    ด้านสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความระบุว่า "ไม่ควรเหมารวม LGBTQ+ กับพฤติกรรมผิดกฎหมาย" ระบุว่า หลายสื่อวันนี้พาดหัวข่าวเชื่อมโยงกลุ่ม LGBTQ+ กับปาร์ตี้ยาเสพติด ซึ่งเป็นการนำเสนอที่ขาดความรับผิดชอบและละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน การระบุอัตลักษณ์ทางเพศของผู้ถูกจับกุมโดยไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว เป็นการผลิตซ้ำอคติและสร้างภาพเหมารวมเชิงลบต่อชุมชน LGBTQ+ สมาคมฟ้าสีรุ้งฯ ขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนตระหนักถึงผลกระทบของถ้อยคำ และยึดหลักจริยธรรมในการรายงานข่าว เพื่อร่วมกันลดการตีตราและสร้างความเท่าเทียมในสังคม

    ที่ผ่านมาองค์กรวิชาชีพสื่อก็เคยรณรงค์ให้สื่อมวลชนนำเสนอประเด็นความหลากหลายทางเพศ ทั้งการเปิดอบรมรวมทั้งการออกคู่มือการนำเสนอข่าว แต่ปัญหาก็คือพอเวลาผ่านไปก็ถูกปล่อยปะละเลย แล้วเหตุการณ์เดิมๆ ก็กลับเข้ามาอีก

    #Newskit
    ทลายปาร์ตี้ยา เหยียดเพศโดยไม่ตั้งใจ กลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) กำลังวิจารณ์กรณีที่ตำรวจศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศอ.ปส.ตร.) ร่วมกับสืบนครบาล (IDMB) ตำรวจนครบาล 5 และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) จับกุมกลุ่มนักเที่ยว 29 คน ที่นัดหมายมั่วสุมเสพยาเสพติด และมีเพศสัมพันธ์ ที่ห้องสวีตในโรงแรมหรูชื่อดัง ในซอยสุขุมวิท 13 แขวงวัฒนา เขตคลองตันเหนือ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา พร้อมของกลางยาไอซ์ ยาบ้า ยาอีน้ำ เคตามีน ยาไวอะกร้า ยาป็อปเปอร์ (สารระเหย ใช้สูดดมเพื่อลดความปวดบริเวณทวารหนัก) และอุปกรณ์การเสพจำนวนหนึ่ง โดยพบว่าเนื้อหาข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอ มีลักษณะเน้นย้ำถึงพฤติกรรมทางเพศมากกว่าประเด็นยาเสพติด ซึ่งพบว่าเป็นการทำข่าวแบบคัดลอกแล้ววาง (Copy and Paste) จากข่าวแจกของตำรวจอีกที ประการต่อมาคือ ตำรวจใช้ชื่อ "ปฎิบัติการทลายปาร์ตี้เหมืองทอง" ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเหยียดเพศขั้นรุนแรง ทั้งที่ผ่านมาประเทศไทยพยายามผลักดันเรื่องความหลากหลายทางเพศ รวมทั้งตระหนักถึงปัญหาจากการรังแกกันบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying) อีกประการหนึ่ง คือ การนำเสนอภาพการจับกุมของตำรวจ ที่เผยแพร่ออกมาแบบไม่มีการคัดกรอง เช่น ภาพตำรวจถือถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วชูขึ้นมา แม้ภายหลังเฟซบุ๊กเพจ "กองบัญชาการตำรวจนครบาล" จะลบโพสต์ผลงานการจับกุมดังกล่าวออกจากระบบก็ตาม ภายหลังเฟซบุ๊กเพจ "จ๋อแจ๊ะจับโจร" ซึ่งเป็นเพจของกลุ่มแฟนคลับผู้สนับสนุน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบช.น. และ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ หรือ สารวัตรแจ๊ะ โพสต์ภาพสารวัตรแจ๊ะถือถุงยางอนามัย พร้อมระบุข้อความว่า "แอดขอเตือน รสนิยมทางเพศไม่ผิด แต่ยาเสพติดผิดเต็มประตู" ด้านสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความระบุว่า "ไม่ควรเหมารวม LGBTQ+ กับพฤติกรรมผิดกฎหมาย" ระบุว่า หลายสื่อวันนี้พาดหัวข่าวเชื่อมโยงกลุ่ม LGBTQ+ กับปาร์ตี้ยาเสพติด ซึ่งเป็นการนำเสนอที่ขาดความรับผิดชอบและละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน การระบุอัตลักษณ์ทางเพศของผู้ถูกจับกุมโดยไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว เป็นการผลิตซ้ำอคติและสร้างภาพเหมารวมเชิงลบต่อชุมชน LGBTQ+ สมาคมฟ้าสีรุ้งฯ ขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนตระหนักถึงผลกระทบของถ้อยคำ และยึดหลักจริยธรรมในการรายงานข่าว เพื่อร่วมกันลดการตีตราและสร้างความเท่าเทียมในสังคม ที่ผ่านมาองค์กรวิชาชีพสื่อก็เคยรณรงค์ให้สื่อมวลชนนำเสนอประเด็นความหลากหลายทางเพศ ทั้งการเปิดอบรมรวมทั้งการออกคู่มือการนำเสนอข่าว แต่ปัญหาก็คือพอเวลาผ่านไปก็ถูกปล่อยปะละเลย แล้วเหตุการณ์เดิมๆ ก็กลับเข้ามาอีก #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปลี่ยนจอ iPhone 17 Pro Max ต้องจ่าย $379!

    Apple เปิดราคาชิ้นส่วนซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น Apple เปิดเผยราคาชิ้นส่วนสำหรับซ่อมเองใน iPhone 17 ผ่าน Self-Service Repair Store โดย iPhone Air เปลี่ยนแบตเตอรี่ต้องจ่าย $119 ส่วน iPhone 17 Pro Max เปลี่ยนจอสูงถึง $379

    Apple เปิดตัวชุดคู่มือซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น พร้อมวางจำหน่ายชิ้นส่วนผ่าน Self-Service Repair Store ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเพิ่มคะแนน iFixit และส่งเสริมสิทธิในการซ่อมของผู้ใช้

    แต่ราคาชิ้นส่วนกลับไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก:
    iPhone 17 รุ่นพื้นฐาน:
    แบตเตอรี่: $99
    จอแสดงผล: $329
    กล้องหน้า: $199
    ฝาหลัง: $159
    โครงเครื่องพร้อมแบตเตอรี่: $236

    iPhone Air:
    แบตเตอรี่: $119
    จอแสดงผล: $329
    อื่น ๆ เหมือนรุ่นพื้นฐาน

    iPhone 17 Pro / Pro Max:
    แบตเตอรี่: $119
    จอแสดงผล Pro: $329
    จอแสดงผล Pro Max: $379
    อื่น ๆ เหมือนรุ่น Air

    ราคาฝาหลังและกล้องหน้าคงที่ทุกโมเดล แต่จอแสดงผลของ Pro Max แพงที่สุด ส่วนแบตเตอรี่ของรุ่นพื้นฐานถูกที่สุดที่ $99

    แม้จะเป็นก้าวสำคัญด้านสิทธิในการซ่อม แต่ราคาชิ้นส่วนเหล่านี้อาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะซ่อมเอง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่าบริการจากศูนย์ซ่อมที่อาจรวมค่าแรงและการรับประกัน

    https://wccftech.com/apple-iphone-air-battery-replacement-will-cost-you-119-iphone-17-pro-max-display-will-set-you-back-by-379/
    📱💸 เปลี่ยนจอ iPhone 17 Pro Max ต้องจ่าย $379! Apple เปิดราคาชิ้นส่วนซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น Apple เปิดเผยราคาชิ้นส่วนสำหรับซ่อมเองใน iPhone 17 ผ่าน Self-Service Repair Store โดย iPhone Air เปลี่ยนแบตเตอรี่ต้องจ่าย $119 ส่วน iPhone 17 Pro Max เปลี่ยนจอสูงถึง $379 Apple เปิดตัวชุดคู่มือซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น พร้อมวางจำหน่ายชิ้นส่วนผ่าน Self-Service Repair Store ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเพิ่มคะแนน iFixit และส่งเสริมสิทธิในการซ่อมของผู้ใช้ แต่ราคาชิ้นส่วนกลับไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก: 📍 iPhone 17 รุ่นพื้นฐาน: 🎗️ แบตเตอรี่: $99 🎗️ จอแสดงผล: $329 🎗️ กล้องหน้า: $199 🎗️ ฝาหลัง: $159 🎗️ โครงเครื่องพร้อมแบตเตอรี่: $236 📍 iPhone Air: 🎗️ แบตเตอรี่: $119 🎗️ จอแสดงผล: $329 🎗️ อื่น ๆ เหมือนรุ่นพื้นฐาน 📍 iPhone 17 Pro / Pro Max: 🎗️ แบตเตอรี่: $119 🎗️ จอแสดงผล Pro: $329 🎗️ จอแสดงผล Pro Max: $379 🎗️ อื่น ๆ เหมือนรุ่น Air ราคาฝาหลังและกล้องหน้าคงที่ทุกโมเดล แต่จอแสดงผลของ Pro Max แพงที่สุด ส่วนแบตเตอรี่ของรุ่นพื้นฐานถูกที่สุดที่ $99 แม้จะเป็นก้าวสำคัญด้านสิทธิในการซ่อม แต่ราคาชิ้นส่วนเหล่านี้อาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะซ่อมเอง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่าบริการจากศูนย์ซ่อมที่อาจรวมค่าแรงและการรับประกัน https://wccftech.com/apple-iphone-air-battery-replacement-will-cost-you-119-iphone-17-pro-max-display-will-set-you-back-by-379/
    WCCFTECH.COM
    Apple iPhone Air Battery Replacement Will Cost You $119, iPhone 17 Pro Max Display Will Set You Back By $379
    After releasing a self-repair manual for each of its iPhone 17 models, Apple has now made available the spare parts for the new lineup
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Collate” คืออะไร? ทำไมปุ่มเล็กๆ บนเครื่องพิมพ์ถึงช่วยชีวิตคุณได้มากกว่าที่คิด!

    ลองนึกภาพว่าคุณต้องพิมพ์รายงาน 10 ชุด ชุดละ 20 หน้า ถ้าไม่เปิดฟังก์ชัน “Collate” คุณจะได้กระดาษหน้า 1 ทั้งหมด 10 แผ่นก่อน แล้วตามด้วยหน้า 2 อีก 10 แผ่น... จนถึงหน้า 20 แล้วต้องมานั่งเรียงเองทีละชุด — ฟังดูเหนื่อยใช่ไหม? ฟังก์ชัน Collate จึงเกิดมาเพื่อช่วยให้ทุกชุดพิมพ์ออกมาเรียงหน้าอย่างถูกต้องโดยอัตโนมัติ

    Collate คือฟังก์ชันในเครื่องพิมพ์ที่ช่วยให้เอกสารหลายหน้า ถูกพิมพ์ออกมาเป็นชุดๆ อย่างถูกลำดับ เช่น ถ้าคุณพิมพ์รายงาน 3 ชุด ชุดละ 5 หน้า เมื่อเปิด Collate เครื่องจะพิมพ์หน้า 1-5 แล้วเริ่มชุดใหม่ทันที ต่างจากการปิด Collate ที่จะพิมพ์หน้า 1 ทั้งหมดก่อน แล้วค่อยพิมพ์หน้า 2 ทั้งหมด

    เดิมทีการเรียงเอกสารแบบนี้ต้องทำด้วยมือ แต่ปัจจุบันเครื่องพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสารสามารถทำได้เอง ไม่ว่าจะใช้หมึกหรือโทนเนอร์ ช่วยลดเวลา ลดความผิดพลาด และเพิ่มความแม่นยำในการจัดชุดเอกสาร

    ในสำนักงานที่ต้องพิมพ์เอกสารจำนวนมาก เช่น คู่มือ ใบแจ้งหนี้ หรือรายงานต่างๆ Collate คือผู้ช่วยที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ที่ต้องพิมพ์เอกสารการเรียนการสอนจำนวนมาก

    เครื่องพิมพ์รุ่นใหม่มักมีปุ่ม “Collate” ให้กดได้ง่ายๆ บางรุ่นอาจอยู่บนหน้าจอสัมผัส หรือในซอฟต์แวร์พิมพ์บนคอมพิวเตอร์ ส่วนเครื่องรุ่นเก่าอาจต้องตั้งค่าผ่านปุ่มกด

    แต่ถ้าคุณพิมพ์แค่ชุดเดียว ฟังก์ชันนี้ก็ไม่จำเป็น เพราะเครื่องจะพิมพ์เรียงหน้าให้อยู่แล้ว

    ความหมายของ Collate
    คือการพิมพ์เอกสารหลายหน้าให้ออกมาเป็นชุดเรียงลำดับ
    ช่วยให้แต่ละชุดเอกสารสมบูรณ์โดยไม่ต้องเรียงเอง

    ประโยชน์ของการใช้ Collate
    ลดความผิดพลาดจากการเรียงหน้าเอกสารผิด
    ประหยัดเวลาและแรงงานในการจัดชุดเอกสาร
    เหมาะกับสำนักงานและสถาบันการศึกษาที่พิมพ์เอกสารจำนวนมาก

    วิธีเปิดใช้งาน Collate
    เครื่องพิมพ์รุ่นใหม่มีปุ่มหรือเมนูให้เลือกง่าย
    บางรุ่นต้องตั้งค่าผ่านซอฟต์แวร์พิมพ์ในคอมพิวเตอร์

    https://www.slashgear.com/2004796/what-does-collate-mean-when-printing-overview-what-need-know/
    🖨️ “Collate” คืออะไร? ทำไมปุ่มเล็กๆ บนเครื่องพิมพ์ถึงช่วยชีวิตคุณได้มากกว่าที่คิด! ลองนึกภาพว่าคุณต้องพิมพ์รายงาน 10 ชุด ชุดละ 20 หน้า ถ้าไม่เปิดฟังก์ชัน “Collate” คุณจะได้กระดาษหน้า 1 ทั้งหมด 10 แผ่นก่อน แล้วตามด้วยหน้า 2 อีก 10 แผ่น... จนถึงหน้า 20 แล้วต้องมานั่งเรียงเองทีละชุด — ฟังดูเหนื่อยใช่ไหม? ฟังก์ชัน Collate จึงเกิดมาเพื่อช่วยให้ทุกชุดพิมพ์ออกมาเรียงหน้าอย่างถูกต้องโดยอัตโนมัติ Collate คือฟังก์ชันในเครื่องพิมพ์ที่ช่วยให้เอกสารหลายหน้า ถูกพิมพ์ออกมาเป็นชุดๆ อย่างถูกลำดับ เช่น ถ้าคุณพิมพ์รายงาน 3 ชุด ชุดละ 5 หน้า เมื่อเปิด Collate เครื่องจะพิมพ์หน้า 1-5 แล้วเริ่มชุดใหม่ทันที ต่างจากการปิด Collate ที่จะพิมพ์หน้า 1 ทั้งหมดก่อน แล้วค่อยพิมพ์หน้า 2 ทั้งหมด เดิมทีการเรียงเอกสารแบบนี้ต้องทำด้วยมือ แต่ปัจจุบันเครื่องพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสารสามารถทำได้เอง ไม่ว่าจะใช้หมึกหรือโทนเนอร์ ช่วยลดเวลา ลดความผิดพลาด และเพิ่มความแม่นยำในการจัดชุดเอกสาร ในสำนักงานที่ต้องพิมพ์เอกสารจำนวนมาก เช่น คู่มือ ใบแจ้งหนี้ หรือรายงานต่างๆ Collate คือผู้ช่วยที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ที่ต้องพิมพ์เอกสารการเรียนการสอนจำนวนมาก เครื่องพิมพ์รุ่นใหม่มักมีปุ่ม “Collate” ให้กดได้ง่ายๆ บางรุ่นอาจอยู่บนหน้าจอสัมผัส หรือในซอฟต์แวร์พิมพ์บนคอมพิวเตอร์ ส่วนเครื่องรุ่นเก่าอาจต้องตั้งค่าผ่านปุ่มกด แต่ถ้าคุณพิมพ์แค่ชุดเดียว ฟังก์ชันนี้ก็ไม่จำเป็น เพราะเครื่องจะพิมพ์เรียงหน้าให้อยู่แล้ว ✅ ความหมายของ Collate ➡️ คือการพิมพ์เอกสารหลายหน้าให้ออกมาเป็นชุดเรียงลำดับ ➡️ ช่วยให้แต่ละชุดเอกสารสมบูรณ์โดยไม่ต้องเรียงเอง ✅ ประโยชน์ของการใช้ Collate ➡️ ลดความผิดพลาดจากการเรียงหน้าเอกสารผิด ➡️ ประหยัดเวลาและแรงงานในการจัดชุดเอกสาร ➡️ เหมาะกับสำนักงานและสถาบันการศึกษาที่พิมพ์เอกสารจำนวนมาก ✅ วิธีเปิดใช้งาน Collate ➡️ เครื่องพิมพ์รุ่นใหม่มีปุ่มหรือเมนูให้เลือกง่าย ➡️ บางรุ่นต้องตั้งค่าผ่านซอฟต์แวร์พิมพ์ในคอมพิวเตอร์ https://www.slashgear.com/2004796/what-does-collate-mean-when-printing-overview-what-need-know/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Does Collate Mean When Printing? - SlashGear
    Most printers have an option to "collate," but what does the function do? It's really handy if you're printing multiple copies of multi-page documents.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Swift เปิดตัว SDK สำหรับ Android – ก้าวใหม่ของการพัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์ม”

    หลังจาก Swift เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งในด้านการพัฒนาแอปบนคลาวด์, Windows, เบราว์เซอร์ และแม้แต่ไมโครคอนโทรลเลอร์ ล่าสุด Swift ได้ขยายขอบเขตไปยัง Android อย่างเป็นทางการ ด้วยการเปิดตัว “Swift SDK for Android” เวอร์ชัน nightly preview

    การเปิดตัวครั้งนี้เป็นผลจากความร่วมมือของ Android Workgroup ซึ่งเป็นกลุ่มเปิดที่ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดัน Swift ให้สามารถพัฒนาแอปบน Android ได้อย่างเต็มรูปแบบ

    นักพัฒนาสามารถเริ่มต้นใช้งาน SDK ได้ทันที โดยมีคู่มือและตัวอย่างโค้ดให้ทดลองใช้งาน พร้อมรองรับการพอร์ตแพ็กเกจ Swift ไปยัง Android ได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันกว่า 25% ของแพ็กเกจใน Swift Package Index สามารถ build บน Android ได้แล้ว

    นอกจากนี้ยังมีโครงการ swift-java ที่ช่วยให้ Swift สามารถทำงานร่วมกับ Java ได้ทั้งสองทาง โดยมีระบบสร้าง binding อัตโนมัติที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

    Swift SDK for Android เปิดตัวในรูปแบบ nightly preview
    เปิดโอกาสให้นักพัฒนาเขียนแอป Android ด้วยภาษา Swift
    รองรับการพัฒนาแบบ native และการพอร์ตแพ็กเกจ Swift

    การสนับสนุนจาก Android Workgroup
    เป็นกลุ่มเปิดที่ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้
    มีการร่างเอกสารวิสัยทัศน์เพื่อกำหนดทิศทางในอนาคต

    เครื่องมือและทรัพยากรสำหรับนักพัฒนา
    มีคู่มือ Getting Started สำหรับเริ่มต้นใช้งาน
    มีตัวอย่าง Swift for Android Examples สำหรับ workflow แบบ end-to-end
    Community Showcase แสดงแพ็กเกจที่รองรับ Android

    การทำงานร่วมกับ Java ผ่าน swift-java
    เป็นทั้งไลบรารีและเครื่องมือสร้างโค้ด binding ระหว่าง Swift และ Java
    รองรับการนำ business logic จาก Swift ไปใช้บน Android ได้ง่ายขึ้น

    การติดตามและพัฒนาในอนาคต
    มี project board สำหรับติดตามสถานะของงานหลัก
    มีระบบ CI อย่างเป็นทางการสำหรับ Swift SDK for Android
    เปิดรับความคิดเห็นและไอเดียผ่าน Swift forums

    https://www.swift.org/blog/nightly-swift-sdk-for-android/
    📰 หัวข้อข่าว: “Swift เปิดตัว SDK สำหรับ Android – ก้าวใหม่ของการพัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์ม” หลังจาก Swift เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งในด้านการพัฒนาแอปบนคลาวด์, Windows, เบราว์เซอร์ และแม้แต่ไมโครคอนโทรลเลอร์ ล่าสุด Swift ได้ขยายขอบเขตไปยัง Android อย่างเป็นทางการ ด้วยการเปิดตัว “Swift SDK for Android” เวอร์ชัน nightly preview การเปิดตัวครั้งนี้เป็นผลจากความร่วมมือของ Android Workgroup ซึ่งเป็นกลุ่มเปิดที่ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดัน Swift ให้สามารถพัฒนาแอปบน Android ได้อย่างเต็มรูปแบบ นักพัฒนาสามารถเริ่มต้นใช้งาน SDK ได้ทันที โดยมีคู่มือและตัวอย่างโค้ดให้ทดลองใช้งาน พร้อมรองรับการพอร์ตแพ็กเกจ Swift ไปยัง Android ได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันกว่า 25% ของแพ็กเกจใน Swift Package Index สามารถ build บน Android ได้แล้ว นอกจากนี้ยังมีโครงการ swift-java ที่ช่วยให้ Swift สามารถทำงานร่วมกับ Java ได้ทั้งสองทาง โดยมีระบบสร้าง binding อัตโนมัติที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ✅ Swift SDK for Android เปิดตัวในรูปแบบ nightly preview ➡️ เปิดโอกาสให้นักพัฒนาเขียนแอป Android ด้วยภาษา Swift ➡️ รองรับการพัฒนาแบบ native และการพอร์ตแพ็กเกจ Swift ✅ การสนับสนุนจาก Android Workgroup ➡️ เป็นกลุ่มเปิดที่ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ ➡️ มีการร่างเอกสารวิสัยทัศน์เพื่อกำหนดทิศทางในอนาคต ✅ เครื่องมือและทรัพยากรสำหรับนักพัฒนา ➡️ มีคู่มือ Getting Started สำหรับเริ่มต้นใช้งาน ➡️ มีตัวอย่าง Swift for Android Examples สำหรับ workflow แบบ end-to-end ➡️ Community Showcase แสดงแพ็กเกจที่รองรับ Android ✅ การทำงานร่วมกับ Java ผ่าน swift-java ➡️ เป็นทั้งไลบรารีและเครื่องมือสร้างโค้ด binding ระหว่าง Swift และ Java ➡️ รองรับการนำ business logic จาก Swift ไปใช้บน Android ได้ง่ายขึ้น ✅ การติดตามและพัฒนาในอนาคต ➡️ มี project board สำหรับติดตามสถานะของงานหลัก ➡️ มีระบบ CI อย่างเป็นทางการสำหรับ Swift SDK for Android ➡️ เปิดรับความคิดเห็นและไอเดียผ่าน Swift forums https://www.swift.org/blog/nightly-swift-sdk-for-android/
    WWW.SWIFT.ORG
    Announcing the Swift SDK for Android
    Swift has matured significantly over the past decade — extending from cloud services to Windows applications, browser apps, and microcontrollers. Swift powers apps and services of all kinds, and thanks to its great interoperability, you can share code across platforms.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • Shadow Escape: ช่องโหว่ใหม่ใน AI Assistant เสี่ยงทำข้อมูลผู้ใช้รั่วไหลมหาศาล

    นักวิจัยจาก Operant AI ได้เปิดเผยการโจมตีแบบใหม่ที่เรียกว่า “Shadow Escape” ซึ่งเป็นการโจมตีแบบ “zero-click” ที่สามารถขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ผ่าน AI Assistant โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกหรือตอบสนองใดๆ เลย จุดอ่อนนี้เกิดจากการใช้มาตรฐาน Model Context Protocol (MCP) ที่ช่วยให้ AI อย่าง ChatGPT, Gemini และ Claude เชื่อมต่อกับระบบภายในขององค์กร เช่น ฐานข้อมูลหรือ API ต่างๆ

    สิ่งที่น่ากังวลคือ Shadow Escape สามารถซ่อนคำสั่งอันตรายไว้ในไฟล์ธรรมดา เช่น คู่มือพนักงานหรือ PDF ที่ดูไม่มีพิษภัย เมื่อพนักงานอัปโหลดไฟล์เหล่านี้ให้ AI ช่วยสรุปหรือวิเคราะห์ คำสั่งที่ซ่อนอยู่จะสั่งให้ AI ดึงข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า เช่น หมายเลขประกันสังคม (SSN), ข้อมูลการเงิน, หรือเวชระเบียน แล้วส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้ไม่หวังดี โดยที่ระบบความปลอดภัยทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ เพราะการเข้าถึงข้อมูลเกิดขึ้นภายในระบบที่ได้รับอนุญาตอยู่แล้ว

    1️⃣ ลักษณะของการโจมตี
    จุดเริ่มต้นของการโจมตี
    ใช้ไฟล์ธรรมดา เช่น PDF หรือเอกสาร Word ที่ฝังคำสั่งลับ
    พนักงานอัปโหลดไฟล์ให้ AI ช่วยสรุปหรือวิเคราะห์
    คำสั่งลับจะสั่งให้ AI ดึงข้อมูลจากระบบภายใน

    จุดอ่อนที่ถูกใช้
    มาตรฐาน Model Context Protocol (MCP) ที่เชื่อม AI กับระบบองค์กร
    การตั้งค่า permission ของ MCP ที่ไม่รัดกุม
    AI มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลโดยตรง จึงไม่ถูกระบบรักษาความปลอดภัยภายนอกตรวจจับ

    2️⃣ ข้อมูลที่ตกอยู่ในความเสี่ยง
    ประเภทของข้อมูลที่อาจรั่วไหล
    หมายเลขประกันสังคม (SSN)
    ข้อมูลบัตรเครดิตและบัญชีธนาคาร
    เวชระเบียนและข้อมูลสุขภาพ
    ชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า

    คำเตือน
    การรั่วไหลอาจเกิดขึ้นโดยที่พนักงานไม่รู้ตัว
    ข้อมูลอาจถูกส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีโดยไม่มีการแจ้งเตือน

    3️⃣ ทำไมระบบความปลอดภัยทั่วไปจึงไม่สามารถป้องกันได้
    ลักษณะของการโจมตีแบบ “zero-click”
    ไม่ต้องการให้ผู้ใช้คลิกลิงก์หรือทำอะไร
    ใช้ AI ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลเป็นเครื่องมือในการขโมยข้อมูล
    การส่งข้อมูลออกถูกพรางให้ดูเหมือนเป็นการทำงานปกติของระบบ

    คำเตือน
    ระบบ firewall และระบบตรวจจับภัยคุกคามทั่วไปไม่สามารถแยกแยะพฤติกรรมนี้ได้
    การใช้ AI โดยไม่มีการควบคุมสิทธิ์อย่างเข้มงวด อาจกลายเป็นช่องโหว่ร้ายแรง

    4️⃣ ข้อเสนอแนะจากนักวิจัย
    แนวทางป้องกัน
    ตรวจสอบและจำกัดสิทธิ์ของ AI Assistant ในการเข้าถึงข้อมูล
    ปรับแต่ง permission ของ MCP ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง
    ตรวจสอบไฟล์ที่อัปโหลดเข้าระบบอย่างละเอียดก่อนให้ AI ประมวลผล

    คำเตือน
    องค์กรที่ใช้ AI Assistant โดยไม่ตรวจสอบการตั้งค่า MCP อาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
    การละเลยการ audit ระบบ AI อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลระดับ “หลายล้านล้านรายการ”

    https://hackread.com/shadow-escape-0-click-attack-ai-assistants-risk/
    🕵️‍♂️ Shadow Escape: ช่องโหว่ใหม่ใน AI Assistant เสี่ยงทำข้อมูลผู้ใช้รั่วไหลมหาศาล นักวิจัยจาก Operant AI ได้เปิดเผยการโจมตีแบบใหม่ที่เรียกว่า “Shadow Escape” ซึ่งเป็นการโจมตีแบบ “zero-click” ที่สามารถขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ผ่าน AI Assistant โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกหรือตอบสนองใดๆ เลย จุดอ่อนนี้เกิดจากการใช้มาตรฐาน Model Context Protocol (MCP) ที่ช่วยให้ AI อย่าง ChatGPT, Gemini และ Claude เชื่อมต่อกับระบบภายในขององค์กร เช่น ฐานข้อมูลหรือ API ต่างๆ สิ่งที่น่ากังวลคือ Shadow Escape สามารถซ่อนคำสั่งอันตรายไว้ในไฟล์ธรรมดา เช่น คู่มือพนักงานหรือ PDF ที่ดูไม่มีพิษภัย เมื่อพนักงานอัปโหลดไฟล์เหล่านี้ให้ AI ช่วยสรุปหรือวิเคราะห์ คำสั่งที่ซ่อนอยู่จะสั่งให้ AI ดึงข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า เช่น หมายเลขประกันสังคม (SSN), ข้อมูลการเงิน, หรือเวชระเบียน แล้วส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้ไม่หวังดี โดยที่ระบบความปลอดภัยทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ เพราะการเข้าถึงข้อมูลเกิดขึ้นภายในระบบที่ได้รับอนุญาตอยู่แล้ว 1️⃣ ลักษณะของการโจมตี ✅ จุดเริ่มต้นของการโจมตี ➡️ ใช้ไฟล์ธรรมดา เช่น PDF หรือเอกสาร Word ที่ฝังคำสั่งลับ ➡️ พนักงานอัปโหลดไฟล์ให้ AI ช่วยสรุปหรือวิเคราะห์ ➡️ คำสั่งลับจะสั่งให้ AI ดึงข้อมูลจากระบบภายใน ✅ จุดอ่อนที่ถูกใช้ ➡️ มาตรฐาน Model Context Protocol (MCP) ที่เชื่อม AI กับระบบองค์กร ➡️ การตั้งค่า permission ของ MCP ที่ไม่รัดกุม ➡️ AI มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลโดยตรง จึงไม่ถูกระบบรักษาความปลอดภัยภายนอกตรวจจับ 2️⃣ ข้อมูลที่ตกอยู่ในความเสี่ยง ✅ ประเภทของข้อมูลที่อาจรั่วไหล ➡️ หมายเลขประกันสังคม (SSN) ➡️ ข้อมูลบัตรเครดิตและบัญชีธนาคาร ➡️ เวชระเบียนและข้อมูลสุขภาพ ➡️ ชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ‼️ คำเตือน ⛔ การรั่วไหลอาจเกิดขึ้นโดยที่พนักงานไม่รู้ตัว ⛔ ข้อมูลอาจถูกส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีโดยไม่มีการแจ้งเตือน 3️⃣ ทำไมระบบความปลอดภัยทั่วไปจึงไม่สามารถป้องกันได้ ✅ ลักษณะของการโจมตีแบบ “zero-click” ➡️ ไม่ต้องการให้ผู้ใช้คลิกลิงก์หรือทำอะไร ➡️ ใช้ AI ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลเป็นเครื่องมือในการขโมยข้อมูล ➡️ การส่งข้อมูลออกถูกพรางให้ดูเหมือนเป็นการทำงานปกติของระบบ ‼️ คำเตือน ⛔ ระบบ firewall และระบบตรวจจับภัยคุกคามทั่วไปไม่สามารถแยกแยะพฤติกรรมนี้ได้ ⛔ การใช้ AI โดยไม่มีการควบคุมสิทธิ์อย่างเข้มงวด อาจกลายเป็นช่องโหว่ร้ายแรง 4️⃣ ข้อเสนอแนะจากนักวิจัย ✅ แนวทางป้องกัน ➡️ ตรวจสอบและจำกัดสิทธิ์ของ AI Assistant ในการเข้าถึงข้อมูล ➡️ ปรับแต่ง permission ของ MCP ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง ➡️ ตรวจสอบไฟล์ที่อัปโหลดเข้าระบบอย่างละเอียดก่อนให้ AI ประมวลผล ‼️ คำเตือน ⛔ องค์กรที่ใช้ AI Assistant โดยไม่ตรวจสอบการตั้งค่า MCP อาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ⛔ การละเลยการ audit ระบบ AI อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลระดับ “หลายล้านล้านรายการ” https://hackread.com/shadow-escape-0-click-attack-ai-assistants-risk/
    HACKREAD.COM
    Shadow Escape 0-Click Attack in AI Assistants Puts Trillions of Records at Risk
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สร้างฐานข้อมูลของคุณเอง! คู่มือสร้าง Key-Value Database ตั้งแต่ศูนย์ – เข้าใจง่าย พร้อมแนวคิดระดับมืออาชีพ”

    บทความนี้จาก nan.fyi พาเราย้อนกลับไปตั้งคำถามว่า “ถ้าเราไม่รู้จักฐานข้อมูลเลย แล้วต้องสร้างมันขึ้นมาเอง จะเริ่มยังไง?” คำตอบคือเริ่มจากสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด: ไฟล์ และแนวคิดของ key-value pair เหมือน object ใน JavaScript

    เริ่มต้นจากการเขียนข้อมูลลงไฟล์แบบง่าย ๆ เช่น db set 'hello' 'world' แล้วค้นหาด้วย db get 'hello' ซึ่งจะคืนค่า 'world' กลับมา แต่เมื่อข้อมูลมากขึ้น การอัปเดตและลบข้อมูลในไฟล์จะเริ่มช้า เพราะต้องเลื่อนข้อมูลทั้งหมดตาม byte ที่เปลี่ยน

    เพื่อแก้ปัญหานี้ บทความเสนอให้ใช้ ไฟล์แบบ append-only คือไม่แก้ไขข้อมูลเดิม แต่เพิ่มข้อมูลใหม่ลงท้ายไฟล์เสมอ และใช้ “tombstone” เพื่อระบุว่าข้อมูลถูกลบแล้ว เช่น db set 7 null

    แต่ไฟล์จะโตขึ้นเรื่อย ๆ จึงต้องมีระบบ compaction คือแบ่งไฟล์เป็น segment และค่อย ๆ ล้างข้อมูลที่ไม่จำเป็นออก แล้วรวมไฟล์ใหม่ให้เล็กลง

    ต่อมาเพื่อให้ค้นหาข้อมูลเร็วขึ้น ก็ต้องมี index โดยเก็บ offset ของแต่ละ key เพื่อชี้ตำแหน่งในไฟล์ ซึ่งช่วยให้ค้นหาเร็วขึ้นมาก แต่ก็แลกกับการเขียนข้อมูลที่ช้าลง

    สุดท้าย บทความแนะนำให้ใช้ Sorted String Tables (SST) และ LSM Trees ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ใช้จริงในฐานข้อมูลระดับโลก เช่น LevelDB และ DynamoDB โดยใช้การจัดเรียงข้อมูลใน memory ก่อน แล้วค่อยเขียนลง disk พร้อม index เพื่อให้ค้นหาเร็วและเขียนได้ต่อเนื่อง

    แนวคิดพื้นฐานของ Key-Value Database
    ใช้ไฟล์เก็บข้อมูลแบบ key-value
    ค้นหาด้วยการวนลูปหา key ที่ตรง
    อัปเดตและลบข้อมูลทำได้ แต่ช้าเมื่อข้อมูลเยอะ

    การปรับปรุงด้วยไฟล์แบบ append-only
    เพิ่มข้อมูลใหม่ลงท้ายไฟล์เสมอ
    ใช้ tombstone เพื่อระบุการลบ
    ค้นหาค่าล่าสุดของ key แทนค่าตัวแรก

    การจัดการขนาดไฟล์ด้วย compaction
    แบ่งไฟล์เป็น segment
    ล้างข้อมูลที่ล้าสมัยหรือถูกลบ
    รวมไฟล์ใหม่ให้เล็กลงและมีข้อมูลล่าสุดเท่านั้น

    การเพิ่มประสิทธิภาพด้วย index
    เก็บ offset ของ key เพื่อค้นหาเร็วขึ้น
    ใช้ hash table ใน memory สำหรับ index
    แลกกับการเขียนข้อมูลที่ช้าลง

    การจัดเรียงข้อมูลด้วย SST และ LSM Tree
    จัดเรียงข้อมูลใน memory ก่อนเขียนลง disk
    ใช้ skip list หรือ binary search tree สำหรับการจัดเรียง
    เขียนลงไฟล์แบบ append-only พร้อม backup
    ใช้ index เพื่อค้นหาในไฟล์ที่ถูกจัดเรียงแล้ว
    เป็นโครงสร้างที่ใช้ใน LevelDB และ DynamoDB

    https://www.nan.fyi/database
    🗃️ “สร้างฐานข้อมูลของคุณเอง! คู่มือสร้าง Key-Value Database ตั้งแต่ศูนย์ – เข้าใจง่าย พร้อมแนวคิดระดับมืออาชีพ” บทความนี้จาก nan.fyi พาเราย้อนกลับไปตั้งคำถามว่า “ถ้าเราไม่รู้จักฐานข้อมูลเลย แล้วต้องสร้างมันขึ้นมาเอง จะเริ่มยังไง?” คำตอบคือเริ่มจากสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด: ไฟล์ และแนวคิดของ key-value pair เหมือน object ใน JavaScript เริ่มต้นจากการเขียนข้อมูลลงไฟล์แบบง่าย ๆ เช่น db set 'hello' 'world' แล้วค้นหาด้วย db get 'hello' ซึ่งจะคืนค่า 'world' กลับมา แต่เมื่อข้อมูลมากขึ้น การอัปเดตและลบข้อมูลในไฟล์จะเริ่มช้า เพราะต้องเลื่อนข้อมูลทั้งหมดตาม byte ที่เปลี่ยน เพื่อแก้ปัญหานี้ บทความเสนอให้ใช้ ไฟล์แบบ append-only คือไม่แก้ไขข้อมูลเดิม แต่เพิ่มข้อมูลใหม่ลงท้ายไฟล์เสมอ และใช้ “tombstone” เพื่อระบุว่าข้อมูลถูกลบแล้ว เช่น db set 7 null แต่ไฟล์จะโตขึ้นเรื่อย ๆ จึงต้องมีระบบ compaction คือแบ่งไฟล์เป็น segment และค่อย ๆ ล้างข้อมูลที่ไม่จำเป็นออก แล้วรวมไฟล์ใหม่ให้เล็กลง ต่อมาเพื่อให้ค้นหาข้อมูลเร็วขึ้น ก็ต้องมี index โดยเก็บ offset ของแต่ละ key เพื่อชี้ตำแหน่งในไฟล์ ซึ่งช่วยให้ค้นหาเร็วขึ้นมาก แต่ก็แลกกับการเขียนข้อมูลที่ช้าลง สุดท้าย บทความแนะนำให้ใช้ Sorted String Tables (SST) และ LSM Trees ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ใช้จริงในฐานข้อมูลระดับโลก เช่น LevelDB และ DynamoDB โดยใช้การจัดเรียงข้อมูลใน memory ก่อน แล้วค่อยเขียนลง disk พร้อม index เพื่อให้ค้นหาเร็วและเขียนได้ต่อเนื่อง ✅ แนวคิดพื้นฐานของ Key-Value Database ➡️ ใช้ไฟล์เก็บข้อมูลแบบ key-value ➡️ ค้นหาด้วยการวนลูปหา key ที่ตรง ➡️ อัปเดตและลบข้อมูลทำได้ แต่ช้าเมื่อข้อมูลเยอะ ✅ การปรับปรุงด้วยไฟล์แบบ append-only ➡️ เพิ่มข้อมูลใหม่ลงท้ายไฟล์เสมอ ➡️ ใช้ tombstone เพื่อระบุการลบ ➡️ ค้นหาค่าล่าสุดของ key แทนค่าตัวแรก ✅ การจัดการขนาดไฟล์ด้วย compaction ➡️ แบ่งไฟล์เป็น segment ➡️ ล้างข้อมูลที่ล้าสมัยหรือถูกลบ ➡️ รวมไฟล์ใหม่ให้เล็กลงและมีข้อมูลล่าสุดเท่านั้น ✅ การเพิ่มประสิทธิภาพด้วย index ➡️ เก็บ offset ของ key เพื่อค้นหาเร็วขึ้น ➡️ ใช้ hash table ใน memory สำหรับ index ➡️ แลกกับการเขียนข้อมูลที่ช้าลง ✅ การจัดเรียงข้อมูลด้วย SST และ LSM Tree ➡️ จัดเรียงข้อมูลใน memory ก่อนเขียนลง disk ➡️ ใช้ skip list หรือ binary search tree สำหรับการจัดเรียง ➡️ เขียนลงไฟล์แบบ append-only พร้อม backup ➡️ ใช้ index เพื่อค้นหาในไฟล์ที่ถูกจัดเรียงแล้ว ➡️ เป็นโครงสร้างที่ใช้ใน LevelDB และ DynamoDB https://www.nan.fyi/database
    WWW.NAN.FYI
    Build Your Own Database
    A step-by-step guide to building a key-value database from scratch.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ย้อนรอย IDE ยุค DOS — 30 ปีก่อนเรามีอะไรที่วันนี้ยังตามไม่ทัน” — เมื่อ Turbo C++ เคยให้ประสบการณ์ที่ IDE สมัยใหม่ยังเทียบไม่ได้

    Julio Merino ผู้เขียนบล็อก Blog System/5 พาเราย้อนเวลากลับไปสู่ยุค 1980s–1990s เพื่อสำรวจโลกของ IDE (Integrated Development Environment) แบบข้อความ (TUI) ที่รุ่งเรืองบนระบบปฏิบัติการ DOS ก่อนที่ Windows จะครองโลก

    เขาเริ่มจากความทรงจำในวัยเด็กที่เรียนรู้การเขียนโปรแกรมผ่านเครื่องมืออย่าง MS-DOS Editor และ SideKick Plus ซึ่งแม้จะไม่ใช่ IDE เต็มรูปแบบ แต่ก็มีฟีเจอร์อย่างเมนู, การใช้เมาส์, และการสลับหน้าจอแบบ rudimentary multitasking ผ่านเทคนิค TSR (Terminate and Stay Resident)

    จุดเปลี่ยนสำคัญคือการมาถึงของ Borland Turbo series เช่น Turbo Pascal และ Turbo C++ ที่รวมทุกอย่างไว้ในหน้าจอเดียว: การเขียนโค้ด, คอมไพล์, ดีบัก, จัดการโปรเจกต์, และแม้แต่คู่มือภาษา C++ แบบ built-in ทั้งหมดนี้ทำงานได้ใน RAM เพียง 640KB และใช้พื้นที่ไม่ถึง 9MB

    Julio เปรียบเทียบกับเครื่องมือยุคใหม่ เช่น Emacs, Vim, Neovim, Doom Emacs, Helix และ VSCode ซึ่งแม้จะทรงพลังและมีปลั๊กอินมากมาย แต่กลับไม่สามารถให้ประสบการณ์ที่ “ครบ จบในตัว” แบบ Turbo IDE ได้ โดยเฉพาะในแง่ของความเรียบง่าย, การค้นพบฟีเจอร์ด้วยตัวเอง, และการใช้ทรัพยากรที่เบาอย่างเหลือเชื่อ

    เขายังชี้ให้เห็นว่า IDE แบบ TUI มีข้อได้เปรียบในงาน remote development ผ่าน SSH โดยไม่ต้องพึ่ง GUI หรือ remote desktop ที่มักช้าและกินทรัพยากร

    ท้ายที่สุด เขาตั้งคำถามว่า “เราก้าวหน้าจริงหรือ?” เพราะแม้ IDE สมัยใหม่จะมี refactoring และ AI coding assistant แต่ก็แลกมาด้วยความซับซ้อน, ขนาดไฟล์ระดับ GB, และการพึ่งพา cloud services

    IDE ยุค DOS มี TUI เต็มรูปแบบ เช่น Turbo Pascal, Turbo C++
    รวมฟีเจอร์ครบทั้ง editor, compiler, debugger, project manager และ help

    โปรแกรมอย่าง SideKick Plus ใช้เทคนิค TSR เพื่อสลับหน้าจอได้
    เป็น multitasking แบบพื้นฐานในยุคที่ DOS ยังไม่มีฟีเจอร์นี้

    Turbo IDE ใช้ RAM เพียง 640KB และพื้นที่ไม่ถึง 9MB
    แต่ให้ประสบการณ์ที่ครบถ้วนและใช้งานง่าย

    Emacs, Vim, Neovim, Helix และ Doom Emacs แม้จะทรงพลัง
    แต่ยังไม่สามารถให้ประสบการณ์ IDE ที่สมบูรณ์แบบแบบ Turbo ได้

    IDE แบบ TUI เหมาะกับงาน remote development ผ่าน SSH
    ใช้งานได้แม้บนระบบที่ไม่มี GUI เช่น FreeBSD

    LSP (Language Server Protocol) ช่วยให้ TUI editors มีฟีเจอร์ IDE มากขึ้น
    และ BSP (Build Server Protocol) อาจช่วยเติมเต็มในอนาคต

    https://blogsystem5.substack.com/p/the-ides-we-had-30-years-ago-and
    🧵 “ย้อนรอย IDE ยุค DOS — 30 ปีก่อนเรามีอะไรที่วันนี้ยังตามไม่ทัน” — เมื่อ Turbo C++ เคยให้ประสบการณ์ที่ IDE สมัยใหม่ยังเทียบไม่ได้ Julio Merino ผู้เขียนบล็อก Blog System/5 พาเราย้อนเวลากลับไปสู่ยุค 1980s–1990s เพื่อสำรวจโลกของ IDE (Integrated Development Environment) แบบข้อความ (TUI) ที่รุ่งเรืองบนระบบปฏิบัติการ DOS ก่อนที่ Windows จะครองโลก เขาเริ่มจากความทรงจำในวัยเด็กที่เรียนรู้การเขียนโปรแกรมผ่านเครื่องมืออย่าง MS-DOS Editor และ SideKick Plus ซึ่งแม้จะไม่ใช่ IDE เต็มรูปแบบ แต่ก็มีฟีเจอร์อย่างเมนู, การใช้เมาส์, และการสลับหน้าจอแบบ rudimentary multitasking ผ่านเทคนิค TSR (Terminate and Stay Resident) จุดเปลี่ยนสำคัญคือการมาถึงของ Borland Turbo series เช่น Turbo Pascal และ Turbo C++ ที่รวมทุกอย่างไว้ในหน้าจอเดียว: การเขียนโค้ด, คอมไพล์, ดีบัก, จัดการโปรเจกต์, และแม้แต่คู่มือภาษา C++ แบบ built-in ทั้งหมดนี้ทำงานได้ใน RAM เพียง 640KB และใช้พื้นที่ไม่ถึง 9MB Julio เปรียบเทียบกับเครื่องมือยุคใหม่ เช่น Emacs, Vim, Neovim, Doom Emacs, Helix และ VSCode ซึ่งแม้จะทรงพลังและมีปลั๊กอินมากมาย แต่กลับไม่สามารถให้ประสบการณ์ที่ “ครบ จบในตัว” แบบ Turbo IDE ได้ โดยเฉพาะในแง่ของความเรียบง่าย, การค้นพบฟีเจอร์ด้วยตัวเอง, และการใช้ทรัพยากรที่เบาอย่างเหลือเชื่อ เขายังชี้ให้เห็นว่า IDE แบบ TUI มีข้อได้เปรียบในงาน remote development ผ่าน SSH โดยไม่ต้องพึ่ง GUI หรือ remote desktop ที่มักช้าและกินทรัพยากร ท้ายที่สุด เขาตั้งคำถามว่า “เราก้าวหน้าจริงหรือ?” เพราะแม้ IDE สมัยใหม่จะมี refactoring และ AI coding assistant แต่ก็แลกมาด้วยความซับซ้อน, ขนาดไฟล์ระดับ GB, และการพึ่งพา cloud services ✅ IDE ยุค DOS มี TUI เต็มรูปแบบ เช่น Turbo Pascal, Turbo C++ ➡️ รวมฟีเจอร์ครบทั้ง editor, compiler, debugger, project manager และ help ✅ โปรแกรมอย่าง SideKick Plus ใช้เทคนิค TSR เพื่อสลับหน้าจอได้ ➡️ เป็น multitasking แบบพื้นฐานในยุคที่ DOS ยังไม่มีฟีเจอร์นี้ ✅ Turbo IDE ใช้ RAM เพียง 640KB และพื้นที่ไม่ถึง 9MB ➡️ แต่ให้ประสบการณ์ที่ครบถ้วนและใช้งานง่าย ✅ Emacs, Vim, Neovim, Helix และ Doom Emacs แม้จะทรงพลัง ➡️ แต่ยังไม่สามารถให้ประสบการณ์ IDE ที่สมบูรณ์แบบแบบ Turbo ได้ ✅ IDE แบบ TUI เหมาะกับงาน remote development ผ่าน SSH ➡️ ใช้งานได้แม้บนระบบที่ไม่มี GUI เช่น FreeBSD ✅ LSP (Language Server Protocol) ช่วยให้ TUI editors มีฟีเจอร์ IDE มากขึ้น ➡️ และ BSP (Build Server Protocol) อาจช่วยเติมเต็มในอนาคต https://blogsystem5.substack.com/p/the-ides-we-had-30-years-ago-and
    BLOGSYSTEM5.SUBSTACK.COM
    The IDEs we had 30 years ago... and we lost
    A deep dive into the text mode editors we had and how they compare to today's
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Commodore OS Vision 3.0 ท้าชน Windows 10” — ระบบปฏิบัติการ Linux สไตล์เรโทรที่ชูจุดขาย ‘สงบ ปลอดภัย ไร้รบกวน’

    หลังจาก Microsoft ประกาศยุติการสนับสนุน Windows 10 อย่างเป็นทางการ กลุ่มผู้ใช้จำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ และ Commodore — แบรนด์ไอทีในตำนานที่กลับมาอีกครั้ง — ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการ Linux-based ชื่อว่า “Commodore OS Vision 3.0” เพื่อดึงดูดผู้ใช้ที่ไม่พอใจ Windows 11

    Commodore OS Vision 3.0 ถูกออกแบบให้เป็น “พื้นที่สงบ” สำหรับผู้ใช้ที่เบื่อกับระบบที่เต็มไปด้วยโฆษณา การติดตาม และฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น โดยชูจุดขายว่า “No nags. No noise. No tracking.” พร้อมอินเทอร์เฟซเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติกที่ได้แรงบันดาลใจจากยุค Commodore 64

    ระบบนี้มีขนาดไฟล์ติดตั้งถึง 35GB เพราะรวมเกมและเดโมกว่า 200 รายการ ทั้งจากยุค Commodore และเกม Linux สมัยใหม่ นอกจากนี้ยังมี Commodore OS BASIC V1 ที่สามารถเขียนโปรแกรม 3D และฟิสิกส์ได้ในตัว โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่ม

    Commodore ยังเปิดตัว “Commodore OS Central” ซึ่งเป็นศูนย์รวมคู่มือ เกม และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา โดยมีแผนจะพัฒนาเป็นร้านเกมและแพลตฟอร์มชุมชนในอนาคต

    ผู้ใช้สามารถติดตั้งระบบนี้ผ่าน VM หรือเครื่องจริง โดยมีคู่มืออย่างละเอียดในฟอรัมของ Commodore ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

    ข้อมูลในข่าว
    Microsoft ยุติการสนับสนุน Windows 10 ทำให้ผู้ใช้มองหาทางเลือกใหม่
    Commodore เปิดตัว OS Vision 3.0 บนพื้นฐาน Linux
    ชูจุดขาย “No nags. No noise. No tracking.”
    อินเทอร์เฟซเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก ได้แรงบันดาลใจจาก Commodore 64
    ขนาดไฟล์ติดตั้ง 35GB รวมเกมและเดโมกว่า 200 รายการ
    มี Commodore OS BASIC V1 สำหรับเขียนโปรแกรม 3D และฟิสิกส์
    มีศูนย์รวมทรัพยากรชื่อ “Commodore OS Central”
    รองรับการติดตั้งผ่าน VM หรือเครื่องจริง พร้อมคู่มือในฟอรัม

    https://www.tomshardware.com/software/operating-systems/commodore-needles-microsoft-over-end-of-windows-10-tries-to-lure-disgruntled-users-to-its-linux-based-os-vision-3-0-microsoft-may-be-leaving-you-behind-we-wont
    🖥️ “Commodore OS Vision 3.0 ท้าชน Windows 10” — ระบบปฏิบัติการ Linux สไตล์เรโทรที่ชูจุดขาย ‘สงบ ปลอดภัย ไร้รบกวน’ หลังจาก Microsoft ประกาศยุติการสนับสนุน Windows 10 อย่างเป็นทางการ กลุ่มผู้ใช้จำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ และ Commodore — แบรนด์ไอทีในตำนานที่กลับมาอีกครั้ง — ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการ Linux-based ชื่อว่า “Commodore OS Vision 3.0” เพื่อดึงดูดผู้ใช้ที่ไม่พอใจ Windows 11 Commodore OS Vision 3.0 ถูกออกแบบให้เป็น “พื้นที่สงบ” สำหรับผู้ใช้ที่เบื่อกับระบบที่เต็มไปด้วยโฆษณา การติดตาม และฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น โดยชูจุดขายว่า “No nags. No noise. No tracking.” พร้อมอินเทอร์เฟซเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติกที่ได้แรงบันดาลใจจากยุค Commodore 64 ระบบนี้มีขนาดไฟล์ติดตั้งถึง 35GB เพราะรวมเกมและเดโมกว่า 200 รายการ ทั้งจากยุค Commodore และเกม Linux สมัยใหม่ นอกจากนี้ยังมี Commodore OS BASIC V1 ที่สามารถเขียนโปรแกรม 3D และฟิสิกส์ได้ในตัว โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่ม Commodore ยังเปิดตัว “Commodore OS Central” ซึ่งเป็นศูนย์รวมคู่มือ เกม และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา โดยมีแผนจะพัฒนาเป็นร้านเกมและแพลตฟอร์มชุมชนในอนาคต ผู้ใช้สามารถติดตั้งระบบนี้ผ่าน VM หรือเครื่องจริง โดยมีคู่มืออย่างละเอียดในฟอรัมของ Commodore ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Microsoft ยุติการสนับสนุน Windows 10 ทำให้ผู้ใช้มองหาทางเลือกใหม่ ➡️ Commodore เปิดตัว OS Vision 3.0 บนพื้นฐาน Linux ➡️ ชูจุดขาย “No nags. No noise. No tracking.” ➡️ อินเทอร์เฟซเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก ได้แรงบันดาลใจจาก Commodore 64 ➡️ ขนาดไฟล์ติดตั้ง 35GB รวมเกมและเดโมกว่า 200 รายการ ➡️ มี Commodore OS BASIC V1 สำหรับเขียนโปรแกรม 3D และฟิสิกส์ ➡️ มีศูนย์รวมทรัพยากรชื่อ “Commodore OS Central” ➡️ รองรับการติดตั้งผ่าน VM หรือเครื่องจริง พร้อมคู่มือในฟอรัม https://www.tomshardware.com/software/operating-systems/commodore-needles-microsoft-over-end-of-windows-10-tries-to-lure-disgruntled-users-to-its-linux-based-os-vision-3-0-microsoft-may-be-leaving-you-behind-we-wont
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Ubo Pod — ผู้ช่วย AI แบบโอเพ่นซอร์สที่คุณควบคุมได้เอง พร้อมปกป้องข้อมูลจาก Big Tech”

    Ubo Pod คืออุปกรณ์ผู้ช่วย AI แบบโอเพ่นซอร์สที่ออกแบบมาเพื่อความเป็นส่วนตัวและการควบคุมโดยผู้ใช้อย่างแท้จริง โดยใช้ Raspberry Pi 4 หรือ 5 เป็นแกนหลัก พร้อมรองรับโมเดล AI แบบ local เช่น VOSK สำหรับการรู้จำเสียง และ Piper สำหรับการแปลงข้อความเป็นเสียง นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับโมเดลคลาวด์อย่าง Claude, OpenAI และ Gemini ได้ตามต้องการ.

    ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัด (5.1 x 3.9 x 2 นิ้ว) น้ำหนักประมาณ 340 กรัม มาพร้อมหน้าจอ TFT IPS ขนาด 1.54 นิ้ว และปุ่มกดแบบ soft-touch 7 ปุ่ม มีม่านกล้องและสวิตช์ตัดไมโครโฟนเพื่อความเป็นส่วนตัว รวมถึงไมโครโฟนคู่และลำโพงสเตอริโอสำหรับการโต้ตอบด้วยเสียง

    ซอฟต์แวร์ของ Ubo Pod มีสถาปัตยกรรมแบบ modular และ event-driven พร้อมระบบจัดการสถานะแบบรวมศูนย์ รองรับการติดตั้งแอปพลิเคชันจาก Docker และสามารถพัฒนาแอปใหม่ด้วย gRPC API แบบ low-code ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือแป้นกดบนตัวเครื่อง

    โครงการนี้นำโดย Mehrdad Majzoobi และทีมพัฒนาโอเพ่นซอร์ส โดยเปิดให้สนับสนุนผ่าน Kickstarter และมี repository สำหรับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ให้ผู้ใช้สามารถสร้างหรือปรับแต่งอุปกรณ์ได้เอง

    Ubo Pod เป็นผู้ช่วย AI แบบโอเพ่นซอร์ส
    ใช้ Raspberry Pi 4 หรือ 5 เป็นฐาน

    รองรับโมเดล local เช่น VOSK และ Piper
    พร้อมตัวเลือกโมเดลคลาวด์อย่าง Claude, OpenAI, Gemini

    ขนาดเครื่อง 5.1 x 3.9 x 2 นิ้ว น้ำหนัก 340 กรัม
    มีหน้าจอ TFT IPS และปุ่ม soft-touch 7 ปุ่ม

    มีม่านกล้องและสวิตช์ตัดไมโครโฟนเพื่อความเป็นส่วนตัว
    รองรับไมโครโฟนคู่และลำโพงสเตอริโอ

    สถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์แบบ modular และ event-driven
    รองรับ Docker และ gRPC API สำหรับการพัฒนา

    เข้าถึงผ่านแป้นกดหรือเว็บเบราว์เซอร์
    รองรับการติดตั้งแอปจากภายนอก

    เปิดให้สนับสนุนผ่าน Kickstarter
    พร้อม repository สำหรับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การใช้งานโมเดลคลาวด์อาจมีความเสี่ยงด้านข้อมูล
    หากไม่ตั้งค่าความปลอดภัยอย่างเหมาะสม

    ผู้ใช้ต้องมีความรู้พื้นฐานด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
    เพื่อประกอบและปรับแต่งอุปกรณ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

    การพัฒนาแอปด้วย gRPC API อาจไม่เหมาะกับผู้เริ่มต้น
    ต้องเข้าใจแนวคิด low-code และการจัดการ event-driven

    การประกอบอุปกรณ์ด้วยตนเองอาจมีข้อผิดพลาดทางเทคนิค
    ควรศึกษาคู่มือและ repository อย่างละเอียดก่อนเริ่ม

    https://news.itsfoss.com/ubo-pod/
    🤖 “Ubo Pod — ผู้ช่วย AI แบบโอเพ่นซอร์สที่คุณควบคุมได้เอง พร้อมปกป้องข้อมูลจาก Big Tech” Ubo Pod คืออุปกรณ์ผู้ช่วย AI แบบโอเพ่นซอร์สที่ออกแบบมาเพื่อความเป็นส่วนตัวและการควบคุมโดยผู้ใช้อย่างแท้จริง โดยใช้ Raspberry Pi 4 หรือ 5 เป็นแกนหลัก พร้อมรองรับโมเดล AI แบบ local เช่น VOSK สำหรับการรู้จำเสียง และ Piper สำหรับการแปลงข้อความเป็นเสียง นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับโมเดลคลาวด์อย่าง Claude, OpenAI และ Gemini ได้ตามต้องการ. ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัด (5.1 x 3.9 x 2 นิ้ว) น้ำหนักประมาณ 340 กรัม มาพร้อมหน้าจอ TFT IPS ขนาด 1.54 นิ้ว และปุ่มกดแบบ soft-touch 7 ปุ่ม มีม่านกล้องและสวิตช์ตัดไมโครโฟนเพื่อความเป็นส่วนตัว รวมถึงไมโครโฟนคู่และลำโพงสเตอริโอสำหรับการโต้ตอบด้วยเสียง ซอฟต์แวร์ของ Ubo Pod มีสถาปัตยกรรมแบบ modular และ event-driven พร้อมระบบจัดการสถานะแบบรวมศูนย์ รองรับการติดตั้งแอปพลิเคชันจาก Docker และสามารถพัฒนาแอปใหม่ด้วย gRPC API แบบ low-code ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือแป้นกดบนตัวเครื่อง โครงการนี้นำโดย Mehrdad Majzoobi และทีมพัฒนาโอเพ่นซอร์ส โดยเปิดให้สนับสนุนผ่าน Kickstarter และมี repository สำหรับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ให้ผู้ใช้สามารถสร้างหรือปรับแต่งอุปกรณ์ได้เอง ✅ Ubo Pod เป็นผู้ช่วย AI แบบโอเพ่นซอร์ส ➡️ ใช้ Raspberry Pi 4 หรือ 5 เป็นฐาน ✅ รองรับโมเดล local เช่น VOSK และ Piper ➡️ พร้อมตัวเลือกโมเดลคลาวด์อย่าง Claude, OpenAI, Gemini ✅ ขนาดเครื่อง 5.1 x 3.9 x 2 นิ้ว น้ำหนัก 340 กรัม ➡️ มีหน้าจอ TFT IPS และปุ่ม soft-touch 7 ปุ่ม ✅ มีม่านกล้องและสวิตช์ตัดไมโครโฟนเพื่อความเป็นส่วนตัว ➡️ รองรับไมโครโฟนคู่และลำโพงสเตอริโอ ✅ สถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์แบบ modular และ event-driven ➡️ รองรับ Docker และ gRPC API สำหรับการพัฒนา ✅ เข้าถึงผ่านแป้นกดหรือเว็บเบราว์เซอร์ ➡️ รองรับการติดตั้งแอปจากภายนอก ✅ เปิดให้สนับสนุนผ่าน Kickstarter ➡️ พร้อม repository สำหรับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ‼️ การใช้งานโมเดลคลาวด์อาจมีความเสี่ยงด้านข้อมูล ⛔ หากไม่ตั้งค่าความปลอดภัยอย่างเหมาะสม ‼️ ผู้ใช้ต้องมีความรู้พื้นฐานด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ⛔ เพื่อประกอบและปรับแต่งอุปกรณ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ‼️ การพัฒนาแอปด้วย gRPC API อาจไม่เหมาะกับผู้เริ่มต้น ⛔ ต้องเข้าใจแนวคิด low-code และการจัดการ event-driven ‼️ การประกอบอุปกรณ์ด้วยตนเองอาจมีข้อผิดพลาดทางเทคนิค ⛔ ควรศึกษาคู่มือและ repository อย่างละเอียดก่อนเริ่ม https://news.itsfoss.com/ubo-pod/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    This Raspberry Pi-Based Open Source AI Assistant Wants To Save Your Data From Big Tech
    Ubo Pod is an open source AI assistant you can tweak, customize, and run privately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • “IBM จับมือ Anthropic ดัน Claude เข้าสู่โลกองค์กร — IDE ใหม่ช่วยเพิ่มผลิตภาพ 45% พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยระดับควอนตัม”

    IBM และ Anthropic ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการนำโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) อย่าง Claude เข้ามาเป็นแกนกลางของเครื่องมือพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร โดยเริ่มจากการเปิดตัว IDE ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนของ Software Development Lifecycle (SDLC)

    IDE ตัวใหม่นี้อยู่ในช่วง private preview โดยมีนักพัฒนาภายใน IBM กว่า 6,000 คนได้ทดลองใช้งานแล้ว และพบว่าผลิตภาพเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 45% โดยไม่ลดคุณภาพของโค้ดหรือมาตรฐานความปลอดภัย

    Claude จะช่วยจัดการงานที่ซับซ้อน เช่น การอัปเกรดระบบอัตโนมัติ การย้ายเฟรมเวิร์ก การรีแฟกเตอร์โค้ดแบบมีบริบท และการตรวจสอบความปลอดภัยและ compliance โดยฝังการสแกนช่องโหว่และการเข้ารหัสแบบ quantum-safe เข้าไปใน workflow โดยตรง

    นอกจากการเขียนโค้ด Claude ยังช่วยในการวางแผน ตรวจสอบ และจัดการงานตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมรักษาบริบทข้าม session ได้อย่างแม่นยำ ทำให้เหมาะกับองค์กรที่มีระบบซับซ้อนและต้องการความต่อเนื่องในการพัฒนา

    IBM และ Anthropic ยังร่วมกันออกคู่มือ “Architecting Secure Enterprise AI Agents with MCP” ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนา AI agents สำหรับองค์กร โดยใช้เฟรมเวิร์ก ADLC (Agent Development Lifecycle) ที่เน้นความปลอดภัย การควบคุม และการทำงานร่วมกับระบบเดิม

    ความร่วมมือนี้ยังรวมถึงการผลักดันมาตรฐานเปิด เช่น Model Context Protocol (MCP) เพื่อให้ AI agents สามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลและระบบขององค์กรได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    IBM และ Anthropic ร่วมมือกันนำ Claude เข้าสู่เครื่องมือพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร
    เปิดตัว IDE ใหม่ที่ใช้ Claude เป็นแกนกลางในการจัดการ SDLC
    นักพัฒนาภายใน IBM กว่า 6,000 คนทดลองใช้แล้ว พบผลิตภาพเพิ่มขึ้น 45%
    Claude ช่วยจัดการงานเช่น อัปเกรดระบบ ย้ายเฟรมเวิร์ก และรีแฟกเตอร์โค้ด
    ฝังการสแกนช่องโหว่และการเข้ารหัสแบบ quantum-safe เข้าไปใน workflow
    Claude รักษาบริบทข้าม session และช่วยจัดการงานตั้งแต่ต้นจนจบ
    IBM และ Anthropic ออกคู่มือ ADLC สำหรับการพัฒนา AI agents
    ผลักดันมาตรฐานเปิด MCP เพื่อเชื่อมต่อ AI agents กับระบบองค์กร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Claude Sonnet 4.5 เป็นหนึ่งในโมเดลที่ได้รับการยอมรับด้านความปลอดภัยและความแม่นยำ
    IDE ใหม่ของ IBM มีชื่อภายในว่า Project Bob และใช้หลายโมเดลร่วมกัน เช่น Claude, Granite, Llama
    DevSecOps ถูกฝังเข้าไปใน IDE เพื่อให้การพัฒนาและความปลอดภัยเป็นไปพร้อมกัน
    IBM มีความเชี่ยวชาญด้าน hybrid cloud และระบบในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูง
    Anthropic เน้นการพัฒนา AI ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ โดยเฉพาะในบริบทองค์กร

    https://www.techradar.com/pro/anthropic-and-ibm-want-to-push-more-ai-into-enterprise-software-with-claude-coming-to-an-ide-near-you
    🧠 “IBM จับมือ Anthropic ดัน Claude เข้าสู่โลกองค์กร — IDE ใหม่ช่วยเพิ่มผลิตภาพ 45% พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยระดับควอนตัม” IBM และ Anthropic ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการนำโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) อย่าง Claude เข้ามาเป็นแกนกลางของเครื่องมือพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร โดยเริ่มจากการเปิดตัว IDE ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนของ Software Development Lifecycle (SDLC) IDE ตัวใหม่นี้อยู่ในช่วง private preview โดยมีนักพัฒนาภายใน IBM กว่า 6,000 คนได้ทดลองใช้งานแล้ว และพบว่าผลิตภาพเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 45% โดยไม่ลดคุณภาพของโค้ดหรือมาตรฐานความปลอดภัย Claude จะช่วยจัดการงานที่ซับซ้อน เช่น การอัปเกรดระบบอัตโนมัติ การย้ายเฟรมเวิร์ก การรีแฟกเตอร์โค้ดแบบมีบริบท และการตรวจสอบความปลอดภัยและ compliance โดยฝังการสแกนช่องโหว่และการเข้ารหัสแบบ quantum-safe เข้าไปใน workflow โดยตรง นอกจากการเขียนโค้ด Claude ยังช่วยในการวางแผน ตรวจสอบ และจัดการงานตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมรักษาบริบทข้าม session ได้อย่างแม่นยำ ทำให้เหมาะกับองค์กรที่มีระบบซับซ้อนและต้องการความต่อเนื่องในการพัฒนา IBM และ Anthropic ยังร่วมกันออกคู่มือ “Architecting Secure Enterprise AI Agents with MCP” ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนา AI agents สำหรับองค์กร โดยใช้เฟรมเวิร์ก ADLC (Agent Development Lifecycle) ที่เน้นความปลอดภัย การควบคุม และการทำงานร่วมกับระบบเดิม ความร่วมมือนี้ยังรวมถึงการผลักดันมาตรฐานเปิด เช่น Model Context Protocol (MCP) เพื่อให้ AI agents สามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลและระบบขององค์กรได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ IBM และ Anthropic ร่วมมือกันนำ Claude เข้าสู่เครื่องมือพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร ➡️ เปิดตัว IDE ใหม่ที่ใช้ Claude เป็นแกนกลางในการจัดการ SDLC ➡️ นักพัฒนาภายใน IBM กว่า 6,000 คนทดลองใช้แล้ว พบผลิตภาพเพิ่มขึ้น 45% ➡️ Claude ช่วยจัดการงานเช่น อัปเกรดระบบ ย้ายเฟรมเวิร์ก และรีแฟกเตอร์โค้ด ➡️ ฝังการสแกนช่องโหว่และการเข้ารหัสแบบ quantum-safe เข้าไปใน workflow ➡️ Claude รักษาบริบทข้าม session และช่วยจัดการงานตั้งแต่ต้นจนจบ ➡️ IBM และ Anthropic ออกคู่มือ ADLC สำหรับการพัฒนา AI agents ➡️ ผลักดันมาตรฐานเปิด MCP เพื่อเชื่อมต่อ AI agents กับระบบองค์กร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Claude Sonnet 4.5 เป็นหนึ่งในโมเดลที่ได้รับการยอมรับด้านความปลอดภัยและความแม่นยำ ➡️ IDE ใหม่ของ IBM มีชื่อภายในว่า Project Bob และใช้หลายโมเดลร่วมกัน เช่น Claude, Granite, Llama ➡️ DevSecOps ถูกฝังเข้าไปใน IDE เพื่อให้การพัฒนาและความปลอดภัยเป็นไปพร้อมกัน ➡️ IBM มีความเชี่ยวชาญด้าน hybrid cloud และระบบในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูง ➡️ Anthropic เน้นการพัฒนา AI ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ โดยเฉพาะในบริบทองค์กร https://www.techradar.com/pro/anthropic-and-ibm-want-to-push-more-ai-into-enterprise-software-with-claude-coming-to-an-ide-near-you
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อเส้นตรงกลายเป็นเรื่องเล่า — คู่มือภาพประกอบ Linear Algebra ที่ทำให้คณิตศาสตร์เข้าใจง่ายขึ้น (และมีดราม่าเล็ก ๆ ด้วย)”

    Aditya Bhargava ผู้เขียนหนังสือยอดนิยม “Grokking Algorithms” กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมผลงานใหม่ “An Illustrated Introduction to Linear Algebra” ที่ตั้งใจจะเปลี่ยนภาพจำของวิชาคณิตศาสตร์ที่หลายคนเคยกลัว ให้กลายเป็นเรื่องเล่าที่เข้าใจง่ายผ่านภาพประกอบและตัวอย่างจากชีวิตประจำวัน

    หนังสือเล่มนี้ใช้แนวทาง “visual-first” โดยเริ่มต้นจากการอธิบายแนวคิดพื้นฐานของเวกเตอร์ เมทริกซ์ และการแปลงเชิงเส้น ผ่านภาพวาดและสถานการณ์จำลอง เช่น การวางแผนมื้ออาหาร การแลกเหรียญ หรือการจัดการทรัพยากร ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพและเข้าใจความหมายของการคำนวณเชิงเส้นในบริบทจริง

    อย่างไรก็ตาม หนังสือก็ไม่รอดจากเสียงวิจารณ์ โดยเฉพาะการเลือกนำเสนอ “Gaussian Elimination” ตั้งแต่ต้นเล่ม ก่อนที่จะสร้างพื้นฐานด้านภาพและความเข้าใจเชิงเรขาคณิต หลายคนมองว่าเป็นการ “ข้ามขั้น” และทำให้ผู้อ่านสับสน โดยเฉพาะเมื่อใช้ตัวแปร x และ y สลับบทบาทในหลายบริบท เช่น บางครั้งแทนอาหาร บางครั้งแทนสารอาหาร

    แม้จะมีข้อถกเถียง แต่หลายเสียงก็ชื่นชมแนวทางการสอนที่ใช้ภาพประกอบและตัวอย่างจริง โดยเฉพาะในยุคที่ Linear Algebra กลายเป็นพื้นฐานของ Machine Learning และ AI การมีสื่อที่เข้าถึงง่ายจึงเป็นสิ่งจำเป็น

    ข้อมูลสำคัญจากเนื้อหา
    หนังสือ “An Illustrated Introduction to Linear Algebra” เขียนโดย Aditya Bhargava
    ใช้ภาพประกอบและตัวอย่างจากชีวิตจริง เช่น เหรียญ อาหาร และสารอาหาร
    เน้นการอธิบายแนวคิดเวกเตอร์ เมทริกซ์ และการแปลงเชิงเส้น
    มีการนำเสนอ Gaussian Elimination ตั้งแต่ต้นเล่ม
    ตัวแปร x และ y ถูกใช้ในหลายบริบท ทำให้บางคนสับสน
    หนังสือได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้เรียนที่ไม่ถนัดคณิตศาสตร์
    เป็นสื่อที่เชื่อมโยง Linear Algebra กับการใช้งานจริงใน AI และ ML

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gaussian Elimination คือวิธีแก้ระบบสมการเชิงเส้นโดยใช้การแปลงเมทริกซ์
    Linear Algebra เป็นพื้นฐานของการทำงานของ neural networks และการลดมิติข้อมูล
    Gilbert Strang จาก MIT เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการสอน Linear Algebra แบบ intuitive
    ช่อง YouTube อย่าง 3Blue1Brown ใช้ภาพเคลื่อนไหวเพื่ออธิบาย Linear Algebra ได้อย่างน่าทึ่ง
    การใช้ภาพและเรื่องเล่าช่วยลดความกลัวคณิตศาสตร์ในกลุ่มผู้เรียนสายศิลป์และมนุษย์ศาสตร์

    https://www.ducktyped.org/p/an-illustrated-introduction-to-linear
    📘 “เมื่อเส้นตรงกลายเป็นเรื่องเล่า — คู่มือภาพประกอบ Linear Algebra ที่ทำให้คณิตศาสตร์เข้าใจง่ายขึ้น (และมีดราม่าเล็ก ๆ ด้วย)” Aditya Bhargava ผู้เขียนหนังสือยอดนิยม “Grokking Algorithms” กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมผลงานใหม่ “An Illustrated Introduction to Linear Algebra” ที่ตั้งใจจะเปลี่ยนภาพจำของวิชาคณิตศาสตร์ที่หลายคนเคยกลัว ให้กลายเป็นเรื่องเล่าที่เข้าใจง่ายผ่านภาพประกอบและตัวอย่างจากชีวิตประจำวัน หนังสือเล่มนี้ใช้แนวทาง “visual-first” โดยเริ่มต้นจากการอธิบายแนวคิดพื้นฐานของเวกเตอร์ เมทริกซ์ และการแปลงเชิงเส้น ผ่านภาพวาดและสถานการณ์จำลอง เช่น การวางแผนมื้ออาหาร การแลกเหรียญ หรือการจัดการทรัพยากร ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพและเข้าใจความหมายของการคำนวณเชิงเส้นในบริบทจริง อย่างไรก็ตาม หนังสือก็ไม่รอดจากเสียงวิจารณ์ โดยเฉพาะการเลือกนำเสนอ “Gaussian Elimination” ตั้งแต่ต้นเล่ม ก่อนที่จะสร้างพื้นฐานด้านภาพและความเข้าใจเชิงเรขาคณิต หลายคนมองว่าเป็นการ “ข้ามขั้น” และทำให้ผู้อ่านสับสน โดยเฉพาะเมื่อใช้ตัวแปร x และ y สลับบทบาทในหลายบริบท เช่น บางครั้งแทนอาหาร บางครั้งแทนสารอาหาร แม้จะมีข้อถกเถียง แต่หลายเสียงก็ชื่นชมแนวทางการสอนที่ใช้ภาพประกอบและตัวอย่างจริง โดยเฉพาะในยุคที่ Linear Algebra กลายเป็นพื้นฐานของ Machine Learning และ AI การมีสื่อที่เข้าถึงง่ายจึงเป็นสิ่งจำเป็น ✅ ข้อมูลสำคัญจากเนื้อหา ➡️ หนังสือ “An Illustrated Introduction to Linear Algebra” เขียนโดย Aditya Bhargava ➡️ ใช้ภาพประกอบและตัวอย่างจากชีวิตจริง เช่น เหรียญ อาหาร และสารอาหาร ➡️ เน้นการอธิบายแนวคิดเวกเตอร์ เมทริกซ์ และการแปลงเชิงเส้น ➡️ มีการนำเสนอ Gaussian Elimination ตั้งแต่ต้นเล่ม ➡️ ตัวแปร x และ y ถูกใช้ในหลายบริบท ทำให้บางคนสับสน ➡️ หนังสือได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้เรียนที่ไม่ถนัดคณิตศาสตร์ ➡️ เป็นสื่อที่เชื่อมโยง Linear Algebra กับการใช้งานจริงใน AI และ ML ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gaussian Elimination คือวิธีแก้ระบบสมการเชิงเส้นโดยใช้การแปลงเมทริกซ์ ➡️ Linear Algebra เป็นพื้นฐานของการทำงานของ neural networks และการลดมิติข้อมูล ➡️ Gilbert Strang จาก MIT เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการสอน Linear Algebra แบบ intuitive ➡️ ช่อง YouTube อย่าง 3Blue1Brown ใช้ภาพเคลื่อนไหวเพื่ออธิบาย Linear Algebra ได้อย่างน่าทึ่ง ➡️ การใช้ภาพและเรื่องเล่าช่วยลดความกลัวคณิตศาสตร์ในกลุ่มผู้เรียนสายศิลป์และมนุษย์ศาสตร์ https://www.ducktyped.org/p/an-illustrated-introduction-to-linear
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Surfshark ยุติการรองรับ iOS และ macOS รุ่นเก่า — เน้นอุปกรณ์ใหม่เพื่อความปลอดภัยสูงสุด”

    Surfshark ผู้ให้บริการ VPN อันดับต้น ๆ ได้ประกาศยุติการรองรับระบบปฏิบัติการ iOS และ macOS รุ่นเก่าอย่างเป็นทางการ โดยจะสนับสนุนเฉพาะ 4 เวอร์ชันล่าสุดของแต่ละระบบเท่านั้น เช่น iOS 15 ขึ้นไป และ macOS 12 (Monterey) ขึ้นไป ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์รุ่นเก่าที่ไม่สามารถอัปเดตระบบได้จะไม่ได้รับการอัปเดตแอปอีกต่อไป

    การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับการปกป้องจากภัยคุกคามล่าสุดอย่างเต็มที่ เนื่องจากระบบรุ่นเก่ามักไม่ได้รับแพตช์ความปลอดภัย ทำให้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่รู้จักแล้ว Surfshark ระบุว่าการยุติการรองรับจะช่วยให้ทีมสามารถมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และปรับปรุงประสิทธิภาพของแอปบนอุปกรณ์ที่ยังได้รับการอัปเดตจาก Apple

    สำหรับผู้ใช้ที่ยังใช้อุปกรณ์รุ่นเก่า Surfshark ได้เสนอทางเลือก เช่น การติดตั้งแอปเวอร์ชันเก่าที่รองรับ macOS 10.12 (Sierra) หรือการเชื่อมต่อแบบ manual ผ่านโปรโตคอล WireGuard, OpenVPN หรือ IKEv2 โดยมีคู่มือการตั้งค่าให้ใช้งานได้ต่อเนื่องแม้ไม่มีแอปเวอร์ชันใหม่

    Surfshark ยังให้บริการช่วยเหลือผู้ใช้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านแชตสดและอีเมล เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนสามารถใช้งาน VPN ได้อย่างปลอดภัย แม้จะใช้อุปกรณ์ที่ไม่สามารถอัปเดตระบบได้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Surfshark ยุติการรองรับ iOS และ macOS รุ่นเก่า
    สนับสนุนเฉพาะ 4 เวอร์ชันล่าสุดของแต่ละระบบ
    iOS ที่รองรับคือ iOS 15 ขึ้นไป
    macOS ที่รองรับคือ macOS 12 (Monterey) ขึ้นไป
    อุปกรณ์รุ่นเก่าจะไม่ได้รับการอัปเดตแอปอีกต่อไป
    Surfshark เน้นให้ผู้ใช้ใช้อุปกรณ์ที่ปลอดภัยและทันสมัย
    การยุติการรองรับช่วยให้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ได้เร็วขึ้น
    ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อแบบ manual ผ่าน WireGuard, OpenVPN หรือ IKEv2
    มีคู่มือการติดตั้งสำหรับ macOS ตั้งแต่เวอร์ชัน 10.12 (Sierra)
    ให้บริการช่วยเหลือผู้ใช้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านแชตและอีเมล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apple มีแนวโน้มออกระบบใหม่ทุกปี ทำให้ผู้ใช้รุ่นเก่าลดลง
    การอัปเดตระบบช่วยลดความเสี่ยงจากช่องโหว่ที่รู้จักแล้ว
    WireGuard เป็นโปรโตคอล VPN ที่เร็วและปลอดภัยที่สุดในปัจจุบัน
    OpenVPN ยังเป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แม้จะช้ากว่า WireGuard
    IKEv2 เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อแบบ manual บนอุปกรณ์ Apple

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/surfshark-drops-legacy-ios-and-macos-support-shifts-focus-to-latest-apple-releases
    🔒 “Surfshark ยุติการรองรับ iOS และ macOS รุ่นเก่า — เน้นอุปกรณ์ใหม่เพื่อความปลอดภัยสูงสุด” Surfshark ผู้ให้บริการ VPN อันดับต้น ๆ ได้ประกาศยุติการรองรับระบบปฏิบัติการ iOS และ macOS รุ่นเก่าอย่างเป็นทางการ โดยจะสนับสนุนเฉพาะ 4 เวอร์ชันล่าสุดของแต่ละระบบเท่านั้น เช่น iOS 15 ขึ้นไป และ macOS 12 (Monterey) ขึ้นไป ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์รุ่นเก่าที่ไม่สามารถอัปเดตระบบได้จะไม่ได้รับการอัปเดตแอปอีกต่อไป การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับการปกป้องจากภัยคุกคามล่าสุดอย่างเต็มที่ เนื่องจากระบบรุ่นเก่ามักไม่ได้รับแพตช์ความปลอดภัย ทำให้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่รู้จักแล้ว Surfshark ระบุว่าการยุติการรองรับจะช่วยให้ทีมสามารถมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และปรับปรุงประสิทธิภาพของแอปบนอุปกรณ์ที่ยังได้รับการอัปเดตจาก Apple สำหรับผู้ใช้ที่ยังใช้อุปกรณ์รุ่นเก่า Surfshark ได้เสนอทางเลือก เช่น การติดตั้งแอปเวอร์ชันเก่าที่รองรับ macOS 10.12 (Sierra) หรือการเชื่อมต่อแบบ manual ผ่านโปรโตคอล WireGuard, OpenVPN หรือ IKEv2 โดยมีคู่มือการตั้งค่าให้ใช้งานได้ต่อเนื่องแม้ไม่มีแอปเวอร์ชันใหม่ Surfshark ยังให้บริการช่วยเหลือผู้ใช้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านแชตสดและอีเมล เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนสามารถใช้งาน VPN ได้อย่างปลอดภัย แม้จะใช้อุปกรณ์ที่ไม่สามารถอัปเดตระบบได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Surfshark ยุติการรองรับ iOS และ macOS รุ่นเก่า ➡️ สนับสนุนเฉพาะ 4 เวอร์ชันล่าสุดของแต่ละระบบ ➡️ iOS ที่รองรับคือ iOS 15 ขึ้นไป ➡️ macOS ที่รองรับคือ macOS 12 (Monterey) ขึ้นไป ➡️ อุปกรณ์รุ่นเก่าจะไม่ได้รับการอัปเดตแอปอีกต่อไป ➡️ Surfshark เน้นให้ผู้ใช้ใช้อุปกรณ์ที่ปลอดภัยและทันสมัย ➡️ การยุติการรองรับช่วยให้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ได้เร็วขึ้น ➡️ ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อแบบ manual ผ่าน WireGuard, OpenVPN หรือ IKEv2 ➡️ มีคู่มือการติดตั้งสำหรับ macOS ตั้งแต่เวอร์ชัน 10.12 (Sierra) ➡️ ให้บริการช่วยเหลือผู้ใช้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านแชตและอีเมล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apple มีแนวโน้มออกระบบใหม่ทุกปี ทำให้ผู้ใช้รุ่นเก่าลดลง ➡️ การอัปเดตระบบช่วยลดความเสี่ยงจากช่องโหว่ที่รู้จักแล้ว ➡️ WireGuard เป็นโปรโตคอล VPN ที่เร็วและปลอดภัยที่สุดในปัจจุบัน ➡️ OpenVPN ยังเป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แม้จะช้ากว่า WireGuard ➡️ IKEv2 เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อแบบ manual บนอุปกรณ์ Apple https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/surfshark-drops-legacy-ios-and-macos-support-shifts-focus-to-latest-apple-releases
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Gboard Dial Edition — คีย์บอร์ดหมุนสุดแหวกจาก Google Japan ที่เปิดให้ทุกคนสร้างเองได้”

    ทุกวันที่ 1 ตุลาคม Google Japan จะเปิดตัวคีย์บอร์ดต้นแบบสุดแหวกแนวเพื่อโชว์ความคิดสร้างสรรค์ของทีม Gboard ที่ปกติเน้นพัฒนาแอปคีย์บอร์ดบนมือถือ ปีนี้พวกเขาเปิดตัว “Gboard Dial Edition” — คีย์บอร์ดที่ไม่มีปุ่ม แต่ใช้การหมุนแบบโทรศัพท์บ้านยุคโบราณแทน

    Gboard Dial Edition ใช้หลักการหมุนวงแหวนเพื่อเลือกตัวอักษร โดยมีวงแหวนหลักสำหรับ QWERTY และวงแหวนย่อยสำหรับปุ่มฟังก์ชัน เช่น Enter, ตัวเลข และปุ่มลูกศร การหมุนแต่ละครั้งจะมีเสียง “วืด” แบบกลไกที่ให้ความรู้สึกย้อนยุคและผ่อนคลาย ซึ่งทีมงานเชื่อว่าจะช่วยลดความเครียดจากการพิมพ์และลดโอกาสพิมพ์ผิด

    ดีไซน์นี้ยังมีการแบ่งวงแหวนเป็น 3 ชั้นซ้อนกัน เพื่อประหยัดพื้นที่และเพิ่มความเร็วในการพิมพ์แบบขนาน โดยผู้ใช้สามารถหมุนหลายวงแหวนพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันตกแต่งด้วยผ้าหุ้มและสีสันหลากหลาย เพื่อให้เข้ากับการตกแต่งบ้าน

    แม้จะไม่วางขายจริง แต่ Google Japan ได้เปิดซอร์สทั้งหมดบน GitHub ทั้งไฟล์ 3D สำหรับพิมพ์, แผงวงจร PCB, เฟิร์มแวร์ และคู่มือประกอบ โดยใช้ Raspberry Pi Pico เป็นสมองหลักของระบบ พร้อมเซนเซอร์และมอเตอร์ควบคุมการหมุน

    Gboard Dial Edition เป็นหนึ่งในซีรีส์คีย์บอร์ดต้นแบบที่ Google Japan เคยทำ เช่น คีย์บอร์ดช้อนงอ, คีย์บอร์ดรหัสมอร์ส, และคีย์บอร์ดแถบวัดแนวแกน X ซึ่งทั้งหมดเน้นการทดลองแนวคิดใหม่ ๆ มากกว่าการผลิตเพื่อขายจริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Gboard Dial Edition เป็นคีย์บอร์ดต้นแบบจาก Google Japan ที่ใช้การหมุนแทนการกดปุ่ม
    วงแหวนหลักใช้สำหรับ QWERTY และมีวงแหวนย่อยสำหรับปุ่มฟังก์ชัน
    เสียงกลไกขณะหมุนช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและลดโอกาสพิมพ์ผิด
    วงแหวนแบ่งเป็น 3 ชั้นเพื่อเพิ่มความเร็วและลดขนาด
    มีเวอร์ชันตกแต่งด้วยผ้าหุ้มและสีสันให้เข้ากับบ้าน
    เปิดซอร์สทั้งหมดบน GitHub ภายใต้ Apache License 2.0
    ใช้ Raspberry Pi Pico เป็นหน่วยประมวลผล พร้อมเซนเซอร์และมอเตอร์
    เป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมประจำปีของทีม Gboard ในการโชว์ไอเดียใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rotary dial เคยใช้ในโทรศัพท์บ้านยุค 1950–1980 ก่อนถูกแทนที่ด้วยปุ่มกด
    Raspberry Pi Pico เป็นไมโครคอนโทรลเลอร์ราคาประหยัดที่นิยมใช้ในงาน DIY
    การใช้ photo sensor และ stepper motor ช่วยให้การหมุนแม่นยำและตอบสนองเร็ว
    คีย์บอร์ดต้นแบบของ Google Japan ไม่เคยวางขายจริง แต่เปิดให้ผู้ใช้สร้างเอง
    การออกแบบแบบ modular ช่วยให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ตามความต้องการ

    https://www.tomshardware.com/peripherals/keyboards/crazy-google-japan-keyboard-design-switches-keys-for-dials-the-gboard-dial-edition-shows-why-the-software-team-isnt-allowed-to-design-hardware
    🎛️ “Gboard Dial Edition — คีย์บอร์ดหมุนสุดแหวกจาก Google Japan ที่เปิดให้ทุกคนสร้างเองได้” ทุกวันที่ 1 ตุลาคม Google Japan จะเปิดตัวคีย์บอร์ดต้นแบบสุดแหวกแนวเพื่อโชว์ความคิดสร้างสรรค์ของทีม Gboard ที่ปกติเน้นพัฒนาแอปคีย์บอร์ดบนมือถือ ปีนี้พวกเขาเปิดตัว “Gboard Dial Edition” — คีย์บอร์ดที่ไม่มีปุ่ม แต่ใช้การหมุนแบบโทรศัพท์บ้านยุคโบราณแทน Gboard Dial Edition ใช้หลักการหมุนวงแหวนเพื่อเลือกตัวอักษร โดยมีวงแหวนหลักสำหรับ QWERTY และวงแหวนย่อยสำหรับปุ่มฟังก์ชัน เช่น Enter, ตัวเลข และปุ่มลูกศร การหมุนแต่ละครั้งจะมีเสียง “วืด” แบบกลไกที่ให้ความรู้สึกย้อนยุคและผ่อนคลาย ซึ่งทีมงานเชื่อว่าจะช่วยลดความเครียดจากการพิมพ์และลดโอกาสพิมพ์ผิด ดีไซน์นี้ยังมีการแบ่งวงแหวนเป็น 3 ชั้นซ้อนกัน เพื่อประหยัดพื้นที่และเพิ่มความเร็วในการพิมพ์แบบขนาน โดยผู้ใช้สามารถหมุนหลายวงแหวนพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันตกแต่งด้วยผ้าหุ้มและสีสันหลากหลาย เพื่อให้เข้ากับการตกแต่งบ้าน แม้จะไม่วางขายจริง แต่ Google Japan ได้เปิดซอร์สทั้งหมดบน GitHub ทั้งไฟล์ 3D สำหรับพิมพ์, แผงวงจร PCB, เฟิร์มแวร์ และคู่มือประกอบ โดยใช้ Raspberry Pi Pico เป็นสมองหลักของระบบ พร้อมเซนเซอร์และมอเตอร์ควบคุมการหมุน Gboard Dial Edition เป็นหนึ่งในซีรีส์คีย์บอร์ดต้นแบบที่ Google Japan เคยทำ เช่น คีย์บอร์ดช้อนงอ, คีย์บอร์ดรหัสมอร์ส, และคีย์บอร์ดแถบวัดแนวแกน X ซึ่งทั้งหมดเน้นการทดลองแนวคิดใหม่ ๆ มากกว่าการผลิตเพื่อขายจริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Gboard Dial Edition เป็นคีย์บอร์ดต้นแบบจาก Google Japan ที่ใช้การหมุนแทนการกดปุ่ม ➡️ วงแหวนหลักใช้สำหรับ QWERTY และมีวงแหวนย่อยสำหรับปุ่มฟังก์ชัน ➡️ เสียงกลไกขณะหมุนช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและลดโอกาสพิมพ์ผิด ➡️ วงแหวนแบ่งเป็น 3 ชั้นเพื่อเพิ่มความเร็วและลดขนาด ➡️ มีเวอร์ชันตกแต่งด้วยผ้าหุ้มและสีสันให้เข้ากับบ้าน ➡️ เปิดซอร์สทั้งหมดบน GitHub ภายใต้ Apache License 2.0 ➡️ ใช้ Raspberry Pi Pico เป็นหน่วยประมวลผล พร้อมเซนเซอร์และมอเตอร์ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมประจำปีของทีม Gboard ในการโชว์ไอเดียใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rotary dial เคยใช้ในโทรศัพท์บ้านยุค 1950–1980 ก่อนถูกแทนที่ด้วยปุ่มกด ➡️ Raspberry Pi Pico เป็นไมโครคอนโทรลเลอร์ราคาประหยัดที่นิยมใช้ในงาน DIY ➡️ การใช้ photo sensor และ stepper motor ช่วยให้การหมุนแม่นยำและตอบสนองเร็ว ➡️ คีย์บอร์ดต้นแบบของ Google Japan ไม่เคยวางขายจริง แต่เปิดให้ผู้ใช้สร้างเอง ➡️ การออกแบบแบบ modular ช่วยให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ตามความต้องการ https://www.tomshardware.com/peripherals/keyboards/crazy-google-japan-keyboard-design-switches-keys-for-dials-the-gboard-dial-edition-shows-why-the-software-team-isnt-allowed-to-design-hardware
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 409 มุมมอง 0 รีวิว
  • “KVICK SÖRT: คู่มือประกอบอัลกอริธึมแบบไร้คำพูด — เมื่อการเรียนรู้ไม่ต้องใช้ภาษา แต่ใช้ภาพและความเข้าใจร่วมกัน”

    KVICK SÖRT คือหนึ่งในชุดคู่มือจากโครงการ IDEA (International Diagrammatic Explanation Assembly) ที่นำเสนอวิธีการทำงานของอัลกอริธึมชื่อดังอย่าง Quicksort ผ่านภาพประกอบแบบไม่ใช้ข้อความเลยแม้แต่คำเดียว จุดเด่นของแนวทางนี้คือการออกแบบให้เข้าใจได้โดยไม่ต้องพึ่งภาษาใดภาษาหนึ่ง ทำให้สามารถใช้สื่อสารข้ามวัฒนธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Quicksort เป็นอัลกอริธึมการเรียงลำดับที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้หลักการ “แบ่งแล้วจัดการ” (divide and conquer) ซึ่งจะเลือกตัวแบ่ง (pivot) แล้วจัดเรียงข้อมูลให้ตัวที่น้อยกว่ามาอยู่ด้านหนึ่ง และตัวที่มากกว่ามาอยู่อีกด้าน จากนั้นจึงเรียกใช้กระบวนการเดิมซ้ำกับแต่ละส่วนย่อย

    ในคู่มือ KVICK SÖRT มีการแนะนำให้เลือก pivot แบบสุ่ม เพื่อหลีกเลี่ยงกรณีที่แย่ที่สุด เช่น การเลือกตัวแรกหรือสุดท้ายในชุดข้อมูลที่เรียงอยู่แล้ว ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลงอย่างมาก

    เอกสารนี้เปิดให้ดาวน์โหลดฟรีในรูปแบบ PDF, PNG และ SVG ภายใต้สัญญาอนุญาตแบบ Creative Commons (CC BY-NC-SA 4.0) ซึ่งอนุญาตให้นำไปใช้และดัดแปลงในบริบทที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ เช่น การเรียนการสอน หรือการเผยแพร่ความรู้

    โครงการ IDEA เริ่มต้นโดย Sándor P. Fekete และ blinry ตั้งแต่ปี 2018 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างชุดคำอธิบายอัลกอริธึมที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน ครู หรือผู้สนใจทั่วไป

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    KVICK SÖRT เป็นคู่มืออธิบายอัลกอริธึม Quicksort แบบไม่ใช้ข้อความ
    เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ IDEA ที่เน้นการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม
    Quicksort ใช้หลัก divide and conquer โดยเลือก pivot แล้วแบ่งข้อมูล
    แนะนำให้เลือก pivot แบบสุ่มเพื่อหลีกเลี่ยง worst-case runtime
    เปิดให้ดาวน์โหลดในรูปแบบ PDF, PNG, SVG
    ใช้สัญญาอนุญาต Creative Commons (CC BY-NC-SA 4.0)
    พัฒนาโดย Sándor P. Fekete และ blinry ตั้งแต่ปี 2018
    เหมาะสำหรับครู นักเรียน และผู้สนใจทั่วไปในการเรียนรู้อัลกอริธึม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Quicksort มีประสิทธิภาพเฉลี่ยเป็น O(n log n) แต่กรณีแย่ที่สุดคือ O(n²)
    การเลือก pivot แบบสุ่มช่วยลดโอกาสเกิด worst-case ได้อย่างมีนัยสำคัญ
    การใช้ภาพแทนข้อความช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจโครงสร้างอัลกอริธึมได้เร็วขึ้น
    คู่มือแบบไม่ใช้คำพูดสามารถใช้ในห้องเรียนที่มีนักเรียนหลากหลายภาษา
    โครงการ IDEA ยังมีคู่มือสำหรับอัลกอริธึมอื่น ๆ เช่น Dijkstra, Merge Sort, BFS

    https://idea-instructions.com/quick-sort/
    🧩 “KVICK SÖRT: คู่มือประกอบอัลกอริธึมแบบไร้คำพูด — เมื่อการเรียนรู้ไม่ต้องใช้ภาษา แต่ใช้ภาพและความเข้าใจร่วมกัน” KVICK SÖRT คือหนึ่งในชุดคู่มือจากโครงการ IDEA (International Diagrammatic Explanation Assembly) ที่นำเสนอวิธีการทำงานของอัลกอริธึมชื่อดังอย่าง Quicksort ผ่านภาพประกอบแบบไม่ใช้ข้อความเลยแม้แต่คำเดียว จุดเด่นของแนวทางนี้คือการออกแบบให้เข้าใจได้โดยไม่ต้องพึ่งภาษาใดภาษาหนึ่ง ทำให้สามารถใช้สื่อสารข้ามวัฒนธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ Quicksort เป็นอัลกอริธึมการเรียงลำดับที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้หลักการ “แบ่งแล้วจัดการ” (divide and conquer) ซึ่งจะเลือกตัวแบ่ง (pivot) แล้วจัดเรียงข้อมูลให้ตัวที่น้อยกว่ามาอยู่ด้านหนึ่ง และตัวที่มากกว่ามาอยู่อีกด้าน จากนั้นจึงเรียกใช้กระบวนการเดิมซ้ำกับแต่ละส่วนย่อย ในคู่มือ KVICK SÖRT มีการแนะนำให้เลือก pivot แบบสุ่ม เพื่อหลีกเลี่ยงกรณีที่แย่ที่สุด เช่น การเลือกตัวแรกหรือสุดท้ายในชุดข้อมูลที่เรียงอยู่แล้ว ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลงอย่างมาก เอกสารนี้เปิดให้ดาวน์โหลดฟรีในรูปแบบ PDF, PNG และ SVG ภายใต้สัญญาอนุญาตแบบ Creative Commons (CC BY-NC-SA 4.0) ซึ่งอนุญาตให้นำไปใช้และดัดแปลงในบริบทที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ เช่น การเรียนการสอน หรือการเผยแพร่ความรู้ โครงการ IDEA เริ่มต้นโดย Sándor P. Fekete และ blinry ตั้งแต่ปี 2018 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างชุดคำอธิบายอัลกอริธึมที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน ครู หรือผู้สนใจทั่วไป ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ KVICK SÖRT เป็นคู่มืออธิบายอัลกอริธึม Quicksort แบบไม่ใช้ข้อความ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ IDEA ที่เน้นการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม ➡️ Quicksort ใช้หลัก divide and conquer โดยเลือก pivot แล้วแบ่งข้อมูล ➡️ แนะนำให้เลือก pivot แบบสุ่มเพื่อหลีกเลี่ยง worst-case runtime ➡️ เปิดให้ดาวน์โหลดในรูปแบบ PDF, PNG, SVG ➡️ ใช้สัญญาอนุญาต Creative Commons (CC BY-NC-SA 4.0) ➡️ พัฒนาโดย Sándor P. Fekete และ blinry ตั้งแต่ปี 2018 ➡️ เหมาะสำหรับครู นักเรียน และผู้สนใจทั่วไปในการเรียนรู้อัลกอริธึม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Quicksort มีประสิทธิภาพเฉลี่ยเป็น O(n log n) แต่กรณีแย่ที่สุดคือ O(n²) ➡️ การเลือก pivot แบบสุ่มช่วยลดโอกาสเกิด worst-case ได้อย่างมีนัยสำคัญ ➡️ การใช้ภาพแทนข้อความช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจโครงสร้างอัลกอริธึมได้เร็วขึ้น ➡️ คู่มือแบบไม่ใช้คำพูดสามารถใช้ในห้องเรียนที่มีนักเรียนหลากหลายภาษา ➡️ โครงการ IDEA ยังมีคู่มือสำหรับอัลกอริธึมอื่น ๆ เช่น Dijkstra, Merge Sort, BFS https://idea-instructions.com/quick-sort/
    IDEA-INSTRUCTIONS.COM
    KVICK SÖRT
    Quicksort is an efficient sorting algorithm based on a divide and conquer approach. Choosing the dividing element at random is a good strategy to avoid bad worst-case runtime.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Raspberry Pi 500+ เปิดตัว! คอมพิวเตอร์ในคีย์บอร์ดกลไก พร้อม SSD และ RAM 16GB — ยกระดับจากของเล่นสู่เครื่องทำงานจริง”

    Raspberry Pi กลับมาเขย่าวงการอีกครั้งด้วยการเปิดตัว Raspberry Pi 500+ ซึ่งเป็นรุ่นอัปเกรดจาก Pi 500 ที่รวมคอมพิวเตอร์ไว้ในตัวคีย์บอร์ดแบบ all-in-one โดยครั้งนี้ไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะจัดเต็มทั้งสเปกและประสบการณ์ใช้งานที่ใกล้เคียงกับเดสก์ท็อปจริงมากขึ้น

    จุดเด่นที่สุดคือการเปลี่ยนคีย์บอร์ดจากแบบธรรมดาเป็น “คีย์บอร์ดกลไก” โดยใช้สวิตช์ Gateron KS-33 Blue พร้อมไฟ RGB แบบ backlit ซึ่งให้สัมผัสการพิมพ์ที่คลิกสนุกและทนทานมากขึ้น แถมยังสามารถถอดเปลี่ยน keycap ได้ตามใจชอบ

    ด้านสเปกภายใน Raspberry Pi 500+ ใช้ CPU Arm Cortex-A76 แบบ quad-core ความเร็ว 2.4GHz พร้อม RAM LPDDR4X ขนาด 16GB และ SSD ภายใน 256GB ที่สามารถขยายเพิ่มได้ผ่าน M.2 slot ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ Raspberry Pi ใส่ SSD แบบ NVMe มาให้ในรุ่น consumer แบบนี้

    ยังคงมี GPIO 40-pin สำหรับงาน DIY และการเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง USB 3.0, USB 2.0, micro HDMI รองรับ 4K 60Hz, Gigabit Ethernet, Wi-Fi 5 และ Bluetooth 5.0 โดยทั้งหมดนี้ยังคงอยู่ในบอดี้ขนาดกะทัดรัดที่ออกแบบให้คล้ายกับคอมพิวเตอร์ยุค 80s อย่าง BBC Micro

    ราคาจำหน่ายอยู่ที่ $200 สำหรับตัวเครื่อง และ $220 สำหรับชุด Desktop Kit ที่มาพร้อมเมาส์, สาย HDMI, อะแดปเตอร์ USB-C 27W และคู่มือ Raspberry Pi Beginner’s Guide

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Raspberry Pi 500+ เป็นรุ่นอัปเกรดจาก Pi 500 ที่รวมคอมพิวเตอร์ไว้ในคีย์บอร์ดกลไก
    ใช้สวิตช์ Gateron KS-33 Blue พร้อมไฟ RGB และ keycap ถอดเปลี่ยนได้
    CPU: Quad-core Arm Cortex-A76 ความเร็ว 2.4GHz
    RAM: 16GB LPDDR4X ความเร็ว 4267 MHz
    SSD ภายใน 256GB พร้อม M.2 slot สำหรับขยายเพิ่ม
    รองรับ microSD เพิ่มเติมได้เช่นเดิม
    GPU: VideoCore VII รองรับ OpenGL ES 3.1 และ Vulkan 1.3
    การเชื่อมต่อ: USB 3.0 x2, USB 2.0 x1, micro HDMI x2, Gigabit Ethernet, Wi-Fi 5, Bluetooth 5.0
    GPIO 40-pin สำหรับงาน DIY และ embedded projects
    ราคา $200 สำหรับตัวเครื่อง และ $220 สำหรับชุด Desktop Kit

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Raspberry Pi 500+ ใช้ PCB และชิปเซ็ตเดียวกับ Pi 500 แต่เพิ่ม RAM และ SSD
    ดีไซน์คีย์บอร์ดกลไกเป็นครั้งแรกของ Raspberry Pi ในกลุ่ม consumer
    ขนาดตัวเครื่องใหญ่ขึ้นเล็กน้อย: 312 x 123 x 35.8 มม.
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป, นักเรียน, นักพัฒนา และผู้ที่ต้องการคอมพ์เล็ก ๆ สำหรับงานจริง
    Raspberry Pi มี ecosystem ที่รองรับการใช้งานตั้งแต่ IoT, เซิร์ฟเวอร์เบา ๆ ไปจนถึง desktop

    https://news.itsfoss.com/raspberry-pi-500-plus/
    ⌨️ “Raspberry Pi 500+ เปิดตัว! คอมพิวเตอร์ในคีย์บอร์ดกลไก พร้อม SSD และ RAM 16GB — ยกระดับจากของเล่นสู่เครื่องทำงานจริง” Raspberry Pi กลับมาเขย่าวงการอีกครั้งด้วยการเปิดตัว Raspberry Pi 500+ ซึ่งเป็นรุ่นอัปเกรดจาก Pi 500 ที่รวมคอมพิวเตอร์ไว้ในตัวคีย์บอร์ดแบบ all-in-one โดยครั้งนี้ไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะจัดเต็มทั้งสเปกและประสบการณ์ใช้งานที่ใกล้เคียงกับเดสก์ท็อปจริงมากขึ้น จุดเด่นที่สุดคือการเปลี่ยนคีย์บอร์ดจากแบบธรรมดาเป็น “คีย์บอร์ดกลไก” โดยใช้สวิตช์ Gateron KS-33 Blue พร้อมไฟ RGB แบบ backlit ซึ่งให้สัมผัสการพิมพ์ที่คลิกสนุกและทนทานมากขึ้น แถมยังสามารถถอดเปลี่ยน keycap ได้ตามใจชอบ ด้านสเปกภายใน Raspberry Pi 500+ ใช้ CPU Arm Cortex-A76 แบบ quad-core ความเร็ว 2.4GHz พร้อม RAM LPDDR4X ขนาด 16GB และ SSD ภายใน 256GB ที่สามารถขยายเพิ่มได้ผ่าน M.2 slot ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ Raspberry Pi ใส่ SSD แบบ NVMe มาให้ในรุ่น consumer แบบนี้ ยังคงมี GPIO 40-pin สำหรับงาน DIY และการเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง USB 3.0, USB 2.0, micro HDMI รองรับ 4K 60Hz, Gigabit Ethernet, Wi-Fi 5 และ Bluetooth 5.0 โดยทั้งหมดนี้ยังคงอยู่ในบอดี้ขนาดกะทัดรัดที่ออกแบบให้คล้ายกับคอมพิวเตอร์ยุค 80s อย่าง BBC Micro ราคาจำหน่ายอยู่ที่ $200 สำหรับตัวเครื่อง และ $220 สำหรับชุด Desktop Kit ที่มาพร้อมเมาส์, สาย HDMI, อะแดปเตอร์ USB-C 27W และคู่มือ Raspberry Pi Beginner’s Guide ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Raspberry Pi 500+ เป็นรุ่นอัปเกรดจาก Pi 500 ที่รวมคอมพิวเตอร์ไว้ในคีย์บอร์ดกลไก ➡️ ใช้สวิตช์ Gateron KS-33 Blue พร้อมไฟ RGB และ keycap ถอดเปลี่ยนได้ ➡️ CPU: Quad-core Arm Cortex-A76 ความเร็ว 2.4GHz ➡️ RAM: 16GB LPDDR4X ความเร็ว 4267 MHz ➡️ SSD ภายใน 256GB พร้อม M.2 slot สำหรับขยายเพิ่ม ➡️ รองรับ microSD เพิ่มเติมได้เช่นเดิม ➡️ GPU: VideoCore VII รองรับ OpenGL ES 3.1 และ Vulkan 1.3 ➡️ การเชื่อมต่อ: USB 3.0 x2, USB 2.0 x1, micro HDMI x2, Gigabit Ethernet, Wi-Fi 5, Bluetooth 5.0 ➡️ GPIO 40-pin สำหรับงาน DIY และ embedded projects ➡️ ราคา $200 สำหรับตัวเครื่อง และ $220 สำหรับชุด Desktop Kit ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Raspberry Pi 500+ ใช้ PCB และชิปเซ็ตเดียวกับ Pi 500 แต่เพิ่ม RAM และ SSD ➡️ ดีไซน์คีย์บอร์ดกลไกเป็นครั้งแรกของ Raspberry Pi ในกลุ่ม consumer ➡️ ขนาดตัวเครื่องใหญ่ขึ้นเล็กน้อย: 312 x 123 x 35.8 มม. ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป, นักเรียน, นักพัฒนา และผู้ที่ต้องการคอมพ์เล็ก ๆ สำหรับงานจริง ➡️ Raspberry Pi มี ecosystem ที่รองรับการใช้งานตั้งแต่ IoT, เซิร์ฟเวอร์เบา ๆ ไปจนถึง desktop https://news.itsfoss.com/raspberry-pi-500-plus/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • “GitHub ปรับมาตรการความปลอดภัยครั้งใหญ่ หลังมัลแวร์ Shai-Hulud โจมตี npm — ยกระดับ 2FA และ Trusted Publishing ป้องกันซัพพลายเชน”

    หลังจากเกิดเหตุการณ์โจมตีครั้งใหญ่ในระบบ npm โดยมัลแวร์ชนิดใหม่ชื่อว่า “Shai-Hulud” ซึ่งเป็นเวิร์มแบบ self-replicating ที่สามารถขยายตัวเองผ่านบัญชีผู้ดูแลแพ็กเกจที่ถูกแฮก GitHub ได้ออกมาตรการความปลอดภัยชุดใหม่เพื่อป้องกันการโจมตีซ้ำในอนาคต โดยเน้นการปรับปรุงระบบการยืนยันตัวตนและการเผยแพร่แพ็กเกจให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น

    Shai-Hulud ใช้เทคนิคการฝังโค้ดใน post-install script ของแพ็กเกจยอดนิยม แล้วสแกนเครื่องนักพัฒนาเพื่อขโมยข้อมูลลับ เช่น GitHub tokens, API keys ของ AWS, GCP และ Azure ก่อนจะส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี และใช้บัญชีที่ถูกแฮกเพื่อเผยแพร่แพ็กเกจใหม่ที่ติดมัลแวร์ ทำให้เกิดการแพร่กระจายแบบอัตโนมัติ

    GitHub ตอบสนองโดยลบแพ็กเกจที่ถูกแฮกกว่า 500 รายการ และบล็อกการอัปโหลดแพ็กเกจใหม่ที่มีลักษณะคล้ายมัลแวร์ พร้อมประกาศมาตรการใหม่ ได้แก่ การบังคับใช้ 2FA สำหรับการเผยแพร่แบบ local, การใช้ token แบบ granular ที่หมดอายุภายใน 7 วัน และการส่งเสริมให้ใช้ Trusted Publishing ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ token แบบชั่วคราวจาก CI/CD แทน token ถาวร

    นอกจากนี้ GitHub ยังประกาศยกเลิกการใช้ classic tokens และ TOTP-based 2FA โดยจะเปลี่ยนไปใช้ FIDO/WebAuthn เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และจะไม่อนุญาตให้ bypass 2FA ในการเผยแพร่แพ็กเกจอีกต่อไป

    การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะถูกนำมาใช้แบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมเอกสารคู่มือและช่องทางสนับสนุน เพื่อให้ผู้ดูแลแพ็กเกจสามารถปรับ workflow ได้โดยไม่สะดุด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    GitHub ปรับมาตรการความปลอดภัยหลังมัลแวร์ Shai-Hulud โจมตี npm
    Shai-Hulud เป็นเวิร์มที่ขโมยข้อมูลลับและเผยแพร่แพ็กเกจมัลแวร์แบบอัตโนมัติ
    GitHub ลบแพ็กเกจที่ถูกแฮกกว่า 500 รายการ และบล็อกการอัปโหลดใหม่
    บังคับใช้ 2FA สำหรับการเผยแพร่แบบ local และไม่อนุญาตให้ bypass
    ใช้ granular tokens ที่หมดอายุภายใน 7 วัน แทน token ถาวร
    ส่งเสริม Trusted Publishing ที่ใช้ token แบบชั่วคราวจาก CI/CD
    ยกเลิก classic tokens และ TOTP-based 2FA เปลี่ยนไปใช้ FIDO/WebAuthn
    ขยายรายชื่อผู้ให้บริการที่รองรับ Trusted Publishing
    จะมีเอกสารคู่มือและการสนับสนุนเพื่อช่วยปรับ workflow

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Trusted Publishing ใช้ OpenID Connect (OIDC) เพื่อสร้าง token แบบปลอดภัยจากระบบ CI
    ทุกแพ็กเกจที่เผยแพร่ผ่าน Trusted Publishing จะมี provenance attestation ยืนยันแหล่งที่มา
    npm ecosystem มีการโจมตีแบบ supply chain เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2025
    การใช้ token แบบถาวรในระบบ CI เป็นช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตีบ่อยครั้ง
    การเปลี่ยนมาใช้ FIDO/WebAuthn ช่วยลดความเสี่ยงจาก phishing และ credential theft

    https://www.techradar.com/pro/security/github-is-finally-tightening-up-security-around-npm-following-multiple-attacks
    🛡️ “GitHub ปรับมาตรการความปลอดภัยครั้งใหญ่ หลังมัลแวร์ Shai-Hulud โจมตี npm — ยกระดับ 2FA และ Trusted Publishing ป้องกันซัพพลายเชน” หลังจากเกิดเหตุการณ์โจมตีครั้งใหญ่ในระบบ npm โดยมัลแวร์ชนิดใหม่ชื่อว่า “Shai-Hulud” ซึ่งเป็นเวิร์มแบบ self-replicating ที่สามารถขยายตัวเองผ่านบัญชีผู้ดูแลแพ็กเกจที่ถูกแฮก GitHub ได้ออกมาตรการความปลอดภัยชุดใหม่เพื่อป้องกันการโจมตีซ้ำในอนาคต โดยเน้นการปรับปรุงระบบการยืนยันตัวตนและการเผยแพร่แพ็กเกจให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น Shai-Hulud ใช้เทคนิคการฝังโค้ดใน post-install script ของแพ็กเกจยอดนิยม แล้วสแกนเครื่องนักพัฒนาเพื่อขโมยข้อมูลลับ เช่น GitHub tokens, API keys ของ AWS, GCP และ Azure ก่อนจะส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี และใช้บัญชีที่ถูกแฮกเพื่อเผยแพร่แพ็กเกจใหม่ที่ติดมัลแวร์ ทำให้เกิดการแพร่กระจายแบบอัตโนมัติ GitHub ตอบสนองโดยลบแพ็กเกจที่ถูกแฮกกว่า 500 รายการ และบล็อกการอัปโหลดแพ็กเกจใหม่ที่มีลักษณะคล้ายมัลแวร์ พร้อมประกาศมาตรการใหม่ ได้แก่ การบังคับใช้ 2FA สำหรับการเผยแพร่แบบ local, การใช้ token แบบ granular ที่หมดอายุภายใน 7 วัน และการส่งเสริมให้ใช้ Trusted Publishing ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ token แบบชั่วคราวจาก CI/CD แทน token ถาวร นอกจากนี้ GitHub ยังประกาศยกเลิกการใช้ classic tokens และ TOTP-based 2FA โดยจะเปลี่ยนไปใช้ FIDO/WebAuthn เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และจะไม่อนุญาตให้ bypass 2FA ในการเผยแพร่แพ็กเกจอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะถูกนำมาใช้แบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมเอกสารคู่มือและช่องทางสนับสนุน เพื่อให้ผู้ดูแลแพ็กเกจสามารถปรับ workflow ได้โดยไม่สะดุด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ GitHub ปรับมาตรการความปลอดภัยหลังมัลแวร์ Shai-Hulud โจมตี npm ➡️ Shai-Hulud เป็นเวิร์มที่ขโมยข้อมูลลับและเผยแพร่แพ็กเกจมัลแวร์แบบอัตโนมัติ ➡️ GitHub ลบแพ็กเกจที่ถูกแฮกกว่า 500 รายการ และบล็อกการอัปโหลดใหม่ ➡️ บังคับใช้ 2FA สำหรับการเผยแพร่แบบ local และไม่อนุญาตให้ bypass ➡️ ใช้ granular tokens ที่หมดอายุภายใน 7 วัน แทน token ถาวร ➡️ ส่งเสริม Trusted Publishing ที่ใช้ token แบบชั่วคราวจาก CI/CD ➡️ ยกเลิก classic tokens และ TOTP-based 2FA เปลี่ยนไปใช้ FIDO/WebAuthn ➡️ ขยายรายชื่อผู้ให้บริการที่รองรับ Trusted Publishing ➡️ จะมีเอกสารคู่มือและการสนับสนุนเพื่อช่วยปรับ workflow ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Trusted Publishing ใช้ OpenID Connect (OIDC) เพื่อสร้าง token แบบปลอดภัยจากระบบ CI ➡️ ทุกแพ็กเกจที่เผยแพร่ผ่าน Trusted Publishing จะมี provenance attestation ยืนยันแหล่งที่มา ➡️ npm ecosystem มีการโจมตีแบบ supply chain เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2025 ➡️ การใช้ token แบบถาวรในระบบ CI เป็นช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตีบ่อยครั้ง ➡️ การเปลี่ยนมาใช้ FIDO/WebAuthn ช่วยลดความเสี่ยงจาก phishing และ credential theft https://www.techradar.com/pro/security/github-is-finally-tightening-up-security-around-npm-following-multiple-attacks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • iPhone Air: บางที่สุดเท่าที่ Apple เคยทำ แต่กลับซ่อมง่ายกว่าที่คิด — เมื่อดีไซน์บางไม่จำเป็นต้องแลกกับความเปราะ

    iFixit ได้ทำการแกะเครื่อง iPhone Air ซึ่งเป็น iPhone ที่บางที่สุดเท่าที่ Apple เคยผลิตมา ด้วยความหนาเพียง 5.64 มม. หลายคนคาดว่าความบางจะทำให้ซ่อมยาก เปราะ และเต็มไปด้วยกาว แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม — Apple ใช้ดีไซน์ที่ชาญฉลาดเพื่อให้ซ่อมง่ายขึ้น และยังคงความแข็งแรงไว้ได้อย่างน่าทึ่ง

    หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญคือการย้าย logic board ไปอยู่ด้านบนของแบตเตอรี่ ทำให้เกิด “disassembly tree” แบบแบน — หมายถึงการถอดชิ้นส่วนไม่ต้องผ่านหลายชั้น ลดความเสี่ยงในการทำชิ้นส่วนอื่นเสียหาย และทำให้การเปลี่ยนแบตเตอรี่หรือจอภาพง่ายขึ้น

    แบตเตอรี่ของ iPhone Air มีขนาด 12.26 Wh ซึ่งเล็กกว่ารุ่นก่อนหน้า แต่ Apple ใช้เทคนิคการจัดการพลังงานเพื่อให้ใช้งานได้ตลอดวัน และที่สำคัญคือแบตเตอรี่สามารถถอดเปลี่ยนได้ง่ายมาก ด้วยแถบกาวที่ “ปลดออกด้วยไฟฟ้า” เพียงต่อไฟ 12V ก็สามารถยกแบตออกได้โดยไม่ต้องงัดหรือเสี่ยงต่อการเสียหาย

    อีกจุดที่น่าสนใจคือพอร์ต USB-C ที่ Apple ใช้เทคนิคการพิมพ์โลหะ 3D ด้วยไทเทเนียม ซึ่งช่วยลดขนาดและน้ำหนักของโครงสร้างโดยรวม แม้จะยังไม่มีอะไหล่ขายจาก Apple แต่พอร์ตนี้สามารถถอดเปลี่ยนได้ และมีแนวโน้มว่าอะไหล่จากผู้ผลิตภายนอกจะตามมาในไม่ช้า

    แม้จะมีจุดอ่อนบางจุด เช่น บริเวณพลาสติกที่ใช้เป็นช่องสัญญาณ ซึ่งอาจเป็นจุดที่เปราะเมื่อไม่มีชิ้นส่วนภายใน แต่โดยรวมแล้ว iPhone Air ได้คะแนนซ่อมง่ายถึง 7/10 จาก iFixit และถือเป็นตัวอย่างของการออกแบบที่บางแต่ไม่ทิ้งความสามารถในการซ่อม

    iPhone Air เป็น iPhone ที่บางที่สุดเท่าที่เคยมี
    ความหนาเพียง 5.64 มม. บางกว่ารุ่น Galaxy S25 Edge
    ใช้ดีไซน์ใหม่ที่ย้าย logic board ไปด้านบนแบตเตอรี่

    โครงสร้างภายในออกแบบให้ซ่อมง่าย
    “disassembly tree” แบบแบน ลดความเสี่ยงในการถอด
    ไม่ต้องผ่านหลายชั้นเพื่อเปลี่ยนแบตหรือจอ

    แบตเตอรี่ถอดง่ายด้วยกาวปลดด้วยไฟฟ้า
    ใช้ไฟ 12V เพื่อปลดแถบกาวภายใน ~70 วินาที
    เป็นแบตชนิดเดียวกับ MagSafe Battery Pack

    พอร์ต USB-C ใช้เทคโนโลยีพิมพ์โลหะ 3D
    ใช้ไทเทเนียมพิมพ์แบบ binder jetting
    ลดวัสดุได้ถึง 33% และยังคงความแข็งแรง

    ได้คะแนนซ่อมง่าย 7/10 จาก iFixit
    มีคู่มือซ่อมตั้งแต่วันแรก
    ชิ้นส่วนหลักสามารถเข้าถึงได้ง่าย

    https://www.ifixit.com/News/113171/iphone-air-teardown
    📰 iPhone Air: บางที่สุดเท่าที่ Apple เคยทำ แต่กลับซ่อมง่ายกว่าที่คิด — เมื่อดีไซน์บางไม่จำเป็นต้องแลกกับความเปราะ iFixit ได้ทำการแกะเครื่อง iPhone Air ซึ่งเป็น iPhone ที่บางที่สุดเท่าที่ Apple เคยผลิตมา ด้วยความหนาเพียง 5.64 มม. หลายคนคาดว่าความบางจะทำให้ซ่อมยาก เปราะ และเต็มไปด้วยกาว แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม — Apple ใช้ดีไซน์ที่ชาญฉลาดเพื่อให้ซ่อมง่ายขึ้น และยังคงความแข็งแรงไว้ได้อย่างน่าทึ่ง หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญคือการย้าย logic board ไปอยู่ด้านบนของแบตเตอรี่ ทำให้เกิด “disassembly tree” แบบแบน — หมายถึงการถอดชิ้นส่วนไม่ต้องผ่านหลายชั้น ลดความเสี่ยงในการทำชิ้นส่วนอื่นเสียหาย และทำให้การเปลี่ยนแบตเตอรี่หรือจอภาพง่ายขึ้น แบตเตอรี่ของ iPhone Air มีขนาด 12.26 Wh ซึ่งเล็กกว่ารุ่นก่อนหน้า แต่ Apple ใช้เทคนิคการจัดการพลังงานเพื่อให้ใช้งานได้ตลอดวัน และที่สำคัญคือแบตเตอรี่สามารถถอดเปลี่ยนได้ง่ายมาก ด้วยแถบกาวที่ “ปลดออกด้วยไฟฟ้า” เพียงต่อไฟ 12V ก็สามารถยกแบตออกได้โดยไม่ต้องงัดหรือเสี่ยงต่อการเสียหาย อีกจุดที่น่าสนใจคือพอร์ต USB-C ที่ Apple ใช้เทคนิคการพิมพ์โลหะ 3D ด้วยไทเทเนียม ซึ่งช่วยลดขนาดและน้ำหนักของโครงสร้างโดยรวม แม้จะยังไม่มีอะไหล่ขายจาก Apple แต่พอร์ตนี้สามารถถอดเปลี่ยนได้ และมีแนวโน้มว่าอะไหล่จากผู้ผลิตภายนอกจะตามมาในไม่ช้า แม้จะมีจุดอ่อนบางจุด เช่น บริเวณพลาสติกที่ใช้เป็นช่องสัญญาณ ซึ่งอาจเป็นจุดที่เปราะเมื่อไม่มีชิ้นส่วนภายใน แต่โดยรวมแล้ว iPhone Air ได้คะแนนซ่อมง่ายถึง 7/10 จาก iFixit และถือเป็นตัวอย่างของการออกแบบที่บางแต่ไม่ทิ้งความสามารถในการซ่อม ✅ iPhone Air เป็น iPhone ที่บางที่สุดเท่าที่เคยมี ➡️ ความหนาเพียง 5.64 มม. บางกว่ารุ่น Galaxy S25 Edge ➡️ ใช้ดีไซน์ใหม่ที่ย้าย logic board ไปด้านบนแบตเตอรี่ ✅ โครงสร้างภายในออกแบบให้ซ่อมง่าย ➡️ “disassembly tree” แบบแบน ลดความเสี่ยงในการถอด ➡️ ไม่ต้องผ่านหลายชั้นเพื่อเปลี่ยนแบตหรือจอ ✅ แบตเตอรี่ถอดง่ายด้วยกาวปลดด้วยไฟฟ้า ➡️ ใช้ไฟ 12V เพื่อปลดแถบกาวภายใน ~70 วินาที ➡️ เป็นแบตชนิดเดียวกับ MagSafe Battery Pack ✅ พอร์ต USB-C ใช้เทคโนโลยีพิมพ์โลหะ 3D ➡️ ใช้ไทเทเนียมพิมพ์แบบ binder jetting ➡️ ลดวัสดุได้ถึง 33% และยังคงความแข็งแรง ✅ ได้คะแนนซ่อมง่าย 7/10 จาก iFixit ➡️ มีคู่มือซ่อมตั้งแต่วันแรก ➡️ ชิ้นส่วนหลักสามารถเข้าถึงได้ง่าย https://www.ifixit.com/News/113171/iphone-air-teardown
    WWW.IFIXIT.COM
    Apple’s Thinnest iPhone Still Stands Up to Repairs
    To be honest, we were holding our breath for the iPhone Air. Thinner usually means flimsier, harder to fix, and more glued-down parts. But the iPhone Air proves otherwise. Apple has somehow built its…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • Palo Alto Networks ยอมรับช่องโหว่ใหญ่ของ SWG — เมื่อมัลแวร์แอบประกอบตัวในเบราว์เซอร์

    หลังจาก SquareX เปิดเผยเทคนิคการโจมตีแบบ “Last Mile Reassembly” ที่ DEF CON 32 เมื่อปีที่ผ่านมา ในที่สุด Palo Alto Networks ก็ออกมายอมรับอย่างเป็นทางการว่า Secure Web Gateways (SWGs) ไม่สามารถป้องกันการโจมตีประเภทนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยถือเป็นครั้งแรกที่ผู้ให้บริการ SASE/SSE รายใหญ่ยอมรับข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของระบบรักษาความปลอดภัยแบบพร็อกซี

    Last Mile Reassembly คือเทคนิคที่แฮกเกอร์ใช้แบ่งมัลแวร์ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ส่งผ่านพร็อกซีโดยไม่ถูกตรวจจับ แล้วนำมาประกอบใหม่ภายในเบราว์เซอร์ของเหยื่อ ทำให้ระบบ SWG ที่ตรวจสอบเฉพาะระดับเครือข่ายไม่สามารถมองเห็นภัยคุกคามได้เลย

    SquareX ยังเผยว่าแฮกเกอร์สามารถใช้ช่องทางสื่อสารแบบ binary เช่น WebRTC, gRPC และ WebSockets ซึ่ง SWG ไม่สามารถตรวจสอบได้ เพื่อส่งข้อมูลหรือมัลแวร์ผ่านไปอย่างไร้รอยต่อ โดยมีเทคนิคมากกว่า 20 แบบที่สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับได้ทั้งหมด

    นอกจากนี้ SquareX ยังขยายผลการวิจัยไปสู่ “Data Splicing Attacks” ซึ่งเป็นการลักลอบขโมยข้อมูลสำคัญผ่านการ copy-paste หรือแชร์ไฟล์แบบ peer-to-peer โดยไม่ถูกตรวจจับจากระบบ DLP ทั้งฝั่ง endpoint และ cloud

    Palo Alto Networks ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Prisma Browser เพื่อรับมือกับการโจมตีที่เกิดขึ้นในเบราว์เซอร์โดยตรง พร้อมยอมรับว่า “เบราว์เซอร์กำลังกลายเป็นระบบปฏิบัติการใหม่ขององค์กร” และการรักษาความปลอดภัยในระดับเบราว์เซอร์ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็น

    SquareX เปิดเผยเทคนิค Last Mile Reassembly ที่ DEF CON 32
    เป็นการแบ่งมัลแวร์เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วประกอบใหม่ในเบราว์เซอร์
    หลบเลี่ยงการตรวจจับจาก SWG ได้อย่างสมบูรณ์

    Palo Alto Networks ยอมรับข้อจำกัดของ SWG
    SWG ไม่สามารถป้องกันการโจมตีที่เกิดขึ้นภายในเบราว์เซอร์
    ถือเป็นการเปลี่ยนมุมมองครั้งใหญ่ในวงการไซเบอร์

    ช่องทาง binary เช่น WebRTC, gRPC, WebSockets ถูกใช้ในการโจมตี
    เป็นช่องทางที่ SWG ไม่สามารถตรวจสอบได้
    หลายผู้ให้บริการแนะนำให้ปิดช่องทางเหล่านี้

    SquareX ขยายผลสู่ Data Splicing Attacks
    ใช้เทคนิคคล้ายกันในการขโมยข้อมูลสำคัญ
    ลัดผ่านระบบ DLP ทั้งฝั่ง endpoint และ cloud

    Prisma Browser ของ Palo Alto Networks เพิ่มฟีเจอร์ใหม่
    ตรวจจับและป้องกันมัลแวร์ที่ประกอบตัวในเบราว์เซอร์
    ยอมรับว่าเบราว์เซอร์คือจุดเริ่มต้นของการโจมตีในยุคใหม่

    SquareX เปิดตัวคู่มือ Browser Security Field Manual
    ร่วมเขียนกับ CISO จากองค์กรใหญ่ เช่น Campbell’s และ Arista
    ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับนักไซเบอร์ทั่วโลก

    https://hackread.com/palo-alto-networks-acknowledges-squarex-research-on-limitations-of-swgs-against-last-mile-reassembly-attacks/
    📰 Palo Alto Networks ยอมรับช่องโหว่ใหญ่ของ SWG — เมื่อมัลแวร์แอบประกอบตัวในเบราว์เซอร์ หลังจาก SquareX เปิดเผยเทคนิคการโจมตีแบบ “Last Mile Reassembly” ที่ DEF CON 32 เมื่อปีที่ผ่านมา ในที่สุด Palo Alto Networks ก็ออกมายอมรับอย่างเป็นทางการว่า Secure Web Gateways (SWGs) ไม่สามารถป้องกันการโจมตีประเภทนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยถือเป็นครั้งแรกที่ผู้ให้บริการ SASE/SSE รายใหญ่ยอมรับข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของระบบรักษาความปลอดภัยแบบพร็อกซี Last Mile Reassembly คือเทคนิคที่แฮกเกอร์ใช้แบ่งมัลแวร์ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ส่งผ่านพร็อกซีโดยไม่ถูกตรวจจับ แล้วนำมาประกอบใหม่ภายในเบราว์เซอร์ของเหยื่อ ทำให้ระบบ SWG ที่ตรวจสอบเฉพาะระดับเครือข่ายไม่สามารถมองเห็นภัยคุกคามได้เลย SquareX ยังเผยว่าแฮกเกอร์สามารถใช้ช่องทางสื่อสารแบบ binary เช่น WebRTC, gRPC และ WebSockets ซึ่ง SWG ไม่สามารถตรวจสอบได้ เพื่อส่งข้อมูลหรือมัลแวร์ผ่านไปอย่างไร้รอยต่อ โดยมีเทคนิคมากกว่า 20 แบบที่สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับได้ทั้งหมด นอกจากนี้ SquareX ยังขยายผลการวิจัยไปสู่ “Data Splicing Attacks” ซึ่งเป็นการลักลอบขโมยข้อมูลสำคัญผ่านการ copy-paste หรือแชร์ไฟล์แบบ peer-to-peer โดยไม่ถูกตรวจจับจากระบบ DLP ทั้งฝั่ง endpoint และ cloud Palo Alto Networks ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Prisma Browser เพื่อรับมือกับการโจมตีที่เกิดขึ้นในเบราว์เซอร์โดยตรง พร้อมยอมรับว่า “เบราว์เซอร์กำลังกลายเป็นระบบปฏิบัติการใหม่ขององค์กร” และการรักษาความปลอดภัยในระดับเบราว์เซอร์ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็น ✅ SquareX เปิดเผยเทคนิค Last Mile Reassembly ที่ DEF CON 32 ➡️ เป็นการแบ่งมัลแวร์เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วประกอบใหม่ในเบราว์เซอร์ ➡️ หลบเลี่ยงการตรวจจับจาก SWG ได้อย่างสมบูรณ์ ✅ Palo Alto Networks ยอมรับข้อจำกัดของ SWG ➡️ SWG ไม่สามารถป้องกันการโจมตีที่เกิดขึ้นภายในเบราว์เซอร์ ➡️ ถือเป็นการเปลี่ยนมุมมองครั้งใหญ่ในวงการไซเบอร์ ✅ ช่องทาง binary เช่น WebRTC, gRPC, WebSockets ถูกใช้ในการโจมตี ➡️ เป็นช่องทางที่ SWG ไม่สามารถตรวจสอบได้ ➡️ หลายผู้ให้บริการแนะนำให้ปิดช่องทางเหล่านี้ ✅ SquareX ขยายผลสู่ Data Splicing Attacks ➡️ ใช้เทคนิคคล้ายกันในการขโมยข้อมูลสำคัญ ➡️ ลัดผ่านระบบ DLP ทั้งฝั่ง endpoint และ cloud ✅ Prisma Browser ของ Palo Alto Networks เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ➡️ ตรวจจับและป้องกันมัลแวร์ที่ประกอบตัวในเบราว์เซอร์ ➡️ ยอมรับว่าเบราว์เซอร์คือจุดเริ่มต้นของการโจมตีในยุคใหม่ ✅ SquareX เปิดตัวคู่มือ Browser Security Field Manual ➡️ ร่วมเขียนกับ CISO จากองค์กรใหญ่ เช่น Campbell’s และ Arista ➡️ ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับนักไซเบอร์ทั่วโลก https://hackread.com/palo-alto-networks-acknowledges-squarex-research-on-limitations-of-swgs-against-last-mile-reassembly-attacks/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts