• #ป๋าตั๊ม เตรียม เซ็น #คำสั่งฝ่ายบริหาร
    #ยุบกระทรวงศึกษาธิเการของรัฐบาลกลาง
    เนื่องจากปัญหาภาระงบประมาณ โดยให้กลับ
    ไปเป็น #สิทธิและการบริหารของแต่ละรัฐ
    เหมือนเดิม
    #ป๋าตั๊ม เตรียม เซ็น #คำสั่งฝ่ายบริหาร #ยุบกระทรวงศึกษาธิเการของรัฐบาลกลาง เนื่องจากปัญหาภาระงบประมาณ โดยให้กลับ ไปเป็น #สิทธิและการบริหารของแต่ละรัฐ เหมือนเดิม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อขอให้ยุบหน่วยงานของรัฐบาลกลางอีก 7 แห่ง รวมถึงหน่วยงานที่ดูแล Voice of America (VOA) และสื่ออื่นๆ ที่ได้รับทุนจากรัฐบาลทั่วโลก

    นอกจาก Voice of America แล้ว ยังรวมถึง Global Media ที่ถูกสั่งยุบ ซึ่งสำนักงานแห่งนี้ให้เงินสนับสนุน Radio Free Europe/Radio Liberty และ Radio Free Asia โดยรวมแล้วองค์กรเหล่านี้นี้มีงบประมาณประมาณ 270 ล้านดอลลาร์และมีพนักงานมากกว่า 2,000 คน ทำการเผยแพร่ข่าวสารใน 49 ภาษา โดยมีผู้ฟังประมาณ 361 ล้านคนต่อสัปดาห์

    มีรายงานว่า ช่วงเช้าวันเสาร์ นักข่าวและพนักงานตำแหน่งอื่นจำนวนมากของ Voice of America ได้รับแจ้งว่าจะถูกพักงานผ่านทางอีเมล์
    ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อขอให้ยุบหน่วยงานของรัฐบาลกลางอีก 7 แห่ง รวมถึงหน่วยงานที่ดูแล Voice of America (VOA) และสื่ออื่นๆ ที่ได้รับทุนจากรัฐบาลทั่วโลก นอกจาก Voice of America แล้ว ยังรวมถึง Global Media ที่ถูกสั่งยุบ ซึ่งสำนักงานแห่งนี้ให้เงินสนับสนุน Radio Free Europe/Radio Liberty และ Radio Free Asia โดยรวมแล้วองค์กรเหล่านี้นี้มีงบประมาณประมาณ 270 ล้านดอลลาร์และมีพนักงานมากกว่า 2,000 คน ทำการเผยแพร่ข่าวสารใน 49 ภาษา โดยมีผู้ฟังประมาณ 361 ล้านคนต่อสัปดาห์ มีรายงานว่า ช่วงเช้าวันเสาร์ นักข่าวและพนักงานตำแหน่งอื่นจำนวนมากของ Voice of America ได้รับแจ้งว่าจะถูกพักงานผ่านทางอีเมล์
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว
  • "กูถูกเสมอ"
    สหรัฐฯ ขับไล่เอกอัครราชทูตแอฟริกาใต้ และมีคำสั่งยุติให้ความช่วยเหลือแอฟริกาใต้ เหตุแอฟริกาใต้ได้ยื่นกล่าวหาอิสราเอลว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

    มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า เอกอัครราชทูตแอฟริกาใต้ประจำสหรัฐฯ นายเอ็มบราฮิม ราซูล เป็นบุคคลที่ไม่พึงปรารถนาอย่างเป็นทางการ เขา "ไม่เคารพอเมริกา"

    นอกจากนี้ ทรัมป์ เพิ่งลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร ยุติการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่แอฟริกาใต้ เนื่องจากแอฟริกาใต้ได้ออกกฎหมายที่ดินฉบับใหม่ซึ่งทำลายสิทธิของประชาชน

    เป็นที่ทราบกันดีว่า การที่สหรัฐลงโทษแอฟริกาใต้ครั้งนี้ สาเหตุหลักมาจาก แอฟริกาใต้คือประเทศแรกที่ยื่นฟ้องดำเนินคดีในศาลระหว่างประเทศที่กล่าวหาอิสราเอลว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ รวมทั้งแอฟริกาใต้ได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่านเพื่อพัฒนาข้อตกลงทางการค้า การทหาร

    ทางด้านประธานาธิบดี ไซริล รามาฟอซา แห่งแอฟริกาใต้ กล่าวตอบโต้สหรัฐเกี่ยวกับกฎหมายที่ดินฉบับใหม่ว่า รัฐบาลแอฟริกาใต้ไม่ได้ยึดที่ดิน และกฎหมายดังกล่าวทำเพื่อให้ความมั่นใจว่าประชาชนทุกคนจะสามารถเข้าถึงที่ดินได้อย่างเท่าเทียมกัน

    รัฐบาลแอฟริกาใต้พยายามผลักดันกฎหมายดังกล่าวมากว่า 5 ปี แต่เผชิญการคัดค้านจากสหรัฐและกลุ่มชนผิวขาวในประเทศ เนื่องจากกฎหมายนี้อาจทำให้ที่ดินส่วนบุคคลของกลุ่มคนเหล่านี้ถูกยึดไปอยู่ในความครอบครองของรัฐบาล

    หลังการสิ้นสุดการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ที่ดินส่วนใหญ่ในแอฟริกาใต้ตกอยู่ในมือคนผิวขาวที่เป็นเจ้าของ หรือคิดเป็นประมาณ 3 ใน 4 ของดินแดนทั้งหมด ทำให้มีกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิรูปที่ดินในประเทศ เพื่อให้ชาวแอฟริกันผิวสีที่เป็นประชากรกว่าร้อยละ 80 มีสิทธิใช้ประโยชน์ที่ดินมากขึ้น
    "กูถูกเสมอ" สหรัฐฯ ขับไล่เอกอัครราชทูตแอฟริกาใต้ และมีคำสั่งยุติให้ความช่วยเหลือแอฟริกาใต้ เหตุแอฟริกาใต้ได้ยื่นกล่าวหาอิสราเอลว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า เอกอัครราชทูตแอฟริกาใต้ประจำสหรัฐฯ นายเอ็มบราฮิม ราซูล เป็นบุคคลที่ไม่พึงปรารถนาอย่างเป็นทางการ เขา "ไม่เคารพอเมริกา" นอกจากนี้ ทรัมป์ เพิ่งลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร ยุติการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่แอฟริกาใต้ เนื่องจากแอฟริกาใต้ได้ออกกฎหมายที่ดินฉบับใหม่ซึ่งทำลายสิทธิของประชาชน เป็นที่ทราบกันดีว่า การที่สหรัฐลงโทษแอฟริกาใต้ครั้งนี้ สาเหตุหลักมาจาก แอฟริกาใต้คือประเทศแรกที่ยื่นฟ้องดำเนินคดีในศาลระหว่างประเทศที่กล่าวหาอิสราเอลว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ รวมทั้งแอฟริกาใต้ได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิหร่านเพื่อพัฒนาข้อตกลงทางการค้า การทหาร ทางด้านประธานาธิบดี ไซริล รามาฟอซา แห่งแอฟริกาใต้ กล่าวตอบโต้สหรัฐเกี่ยวกับกฎหมายที่ดินฉบับใหม่ว่า รัฐบาลแอฟริกาใต้ไม่ได้ยึดที่ดิน และกฎหมายดังกล่าวทำเพื่อให้ความมั่นใจว่าประชาชนทุกคนจะสามารถเข้าถึงที่ดินได้อย่างเท่าเทียมกัน รัฐบาลแอฟริกาใต้พยายามผลักดันกฎหมายดังกล่าวมากว่า 5 ปี แต่เผชิญการคัดค้านจากสหรัฐและกลุ่มชนผิวขาวในประเทศ เนื่องจากกฎหมายนี้อาจทำให้ที่ดินส่วนบุคคลของกลุ่มคนเหล่านี้ถูกยึดไปอยู่ในความครอบครองของรัฐบาล หลังการสิ้นสุดการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ที่ดินส่วนใหญ่ในแอฟริกาใต้ตกอยู่ในมือคนผิวขาวที่เป็นเจ้าของ หรือคิดเป็นประมาณ 3 ใน 4 ของดินแดนทั้งหมด ทำให้มีกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิรูปที่ดินในประเทศ เพื่อให้ชาวแอฟริกันผิวสีที่เป็นประชากรกว่าร้อยละ 80 มีสิทธิใช้ประโยชน์ที่ดินมากขึ้น
    Like
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 รีวิว
  • อเมริกาต้องมาก่อน ภาษาอังกฤษเท่านั้น? ทรัมป์เพิ่งลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐฯ มีผู้พูดภาษาสเปนประมาณ 42 ล้านคน และในเปอร์โตริโก ซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐฯ มีผู้พูดภาษาสเปนถึง 94%นักวิจารณ์กล่าวว่าการดำเนินการครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อชุมชนผู้อพยพและทำลายความหลากหลายทางภาษาของประเทศ
    อเมริกาต้องมาก่อน ภาษาอังกฤษเท่านั้น? ทรัมป์เพิ่งลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐฯ มีผู้พูดภาษาสเปนประมาณ 42 ล้านคน และในเปอร์โตริโก ซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐฯ มีผู้พูดภาษาสเปนถึง 94%นักวิจารณ์กล่าวว่าการดำเนินการครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อชุมชนผู้อพยพและทำลายความหลากหลายทางภาษาของประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์เตรียมใช้ภาษาอังกฤษเพียงภาษาเดียวเป็นภาษาทางการของสหรัฐฯ!
    -Wall Street Journal รายงาน

    หลังจากผ่านไปเกือบ 250 ปี ทรัมป์จะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ

    คำสั่งดังกล่าวจะยกเลิกกฎเกณฑ์ในสมัยคลินตันที่ออกกฎเกณฑ์บังคับให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางให้ความช่วยเหลือด้านภาษาแก่ผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก

    ทรัมป์ให้เหตุผลว่า:

    “เรามีภาษาใหม่ๆ เข้ามาในประเทศของเรา
    เราไม่มีครูสอนคนใดในประเทศของเราเลยที่สามารถพูดภาษานั้นได้
    บางครั้งภาษาเหล่านั้นมันก็ทำให้เราคลั่งได้ เพราะเป็นภาษาที่ไม่มีใครในประเทศนี้เคยได้ยินมาก่อน”

    จากการรายงานของสื่อ ชาวอเมริกันกว่า 78% ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารอยู่แล้ว
    ทรัมป์เตรียมใช้ภาษาอังกฤษเพียงภาษาเดียวเป็นภาษาทางการของสหรัฐฯ! -Wall Street Journal รายงาน หลังจากผ่านไปเกือบ 250 ปี ทรัมป์จะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ คำสั่งดังกล่าวจะยกเลิกกฎเกณฑ์ในสมัยคลินตันที่ออกกฎเกณฑ์บังคับให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางให้ความช่วยเหลือด้านภาษาแก่ผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ทรัมป์ให้เหตุผลว่า: “เรามีภาษาใหม่ๆ เข้ามาในประเทศของเรา เราไม่มีครูสอนคนใดในประเทศของเราเลยที่สามารถพูดภาษานั้นได้ บางครั้งภาษาเหล่านั้นมันก็ทำให้เราคลั่งได้ เพราะเป็นภาษาที่ไม่มีใครในประเทศนี้เคยได้ยินมาก่อน” จากการรายงานของสื่อ ชาวอเมริกันกว่า 78% ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารอยู่แล้ว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนที่.1 #USAID #ทุ่มเงินหลายล้านเพื่อซื้อนักข่าวและกลุ่มสื่ออย่างไร

    จากการเปิดเผยที่น่าตกตะลึง USAID ถูกพบว่าได้ให้เงินทุนสนับสนุนองค์กรสื่อหลายร้อยแห่งและนักข่าวหลายพันคนทั่วโลกเพื่อขยายเรื่องราวที่อวยสนับสนุนไอ้กุ้ยโลก

    เมื่อต้นเดือนนี้ WikiLeaks ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกตะลึงว่า สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ได้สนับสนุนเงินทุนให้กับองค์กรสื่อหลายร้อยแห่งทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสื่อที่เสรีและเป็นอิสระ

    WikiLeaks แฉว่า USAID ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้สื่อข่าวมากกว่า 6,200 รายในสื่อ 707 สำนัก รวมทั้งองค์กรพัฒนาเอกชนด้าน "สื่อ" จำนวน 279 แห่ง

    การเปิดเผยข้อมูลอันสะเทือนโลกครั้งนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงกันทันทีว่าความเกี่ยวข้องทางการเงินดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความซื่อสัตย์สุจริตของการสื่อสารมวลชนและความน่าเชื่อถือของสำนักข่าวที่ได้รับเงินทุนหรือไม่ (จริงๆไม่สื่อพวกนี้ไม่น่าเชื่อถือเลย ทั้งสื่อตะวันตก สื่อตะวันออกกลางบางสื่อ ยิ่งสื่อในประเทศสารขัณฑ์นี่แทบทุกสื่อ)

    การเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่วันภายหลังที่ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อปลายเดือนมกราคมเกี่ยวกับการระงับการช่วยเหลือต่างประเทศผ่านคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีชื่อว่า "การประเมินใหม่และการจัดแนวความช่วยเหลือต่างประเทศของสหรัฐฯ ใหม่"

    คำสั่งดังกล่าวแช่แข็งการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาต่างประเทศของสหรัฐฯ ทั้งหมดเป็นเวลา 90 วัน ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์สามารถประเมินประสิทธิผลและแนวทางของแผนงานเหล่านี้ให้สอดคล้องกับวาระ "อเมริกาต้องมาก่อน" อีกครั้ง ซึ่งเป็นประเด็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง

    ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่ลาสเวกัสเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2025 ทรัมป์ได้อธิบายว่าเป็นขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อเปลี่ยนเส้นทางทรัพยากรไปที่ประเด็นสำคัญในประเทศ
    คำสั่งฝ่ายบริหารซึ่งอ้างว่าโครงการช่วยเหลือต่างประเทศบางส่วนไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของอเมริกาและในบางกรณีขัดต่อค่านิยมของอเมริกาได้รับการมองในมุมมองใหม่หลังจากการเปิดเผยของ WikiLeaks เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์

    นักวิเคราะห์สื่อระบุว่าเงินทุนของ USAID อาจใช้เป็นเครื่องมือในการบิดเบือนสื่อในองค์กรข่าวที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ มานานหลายปีหรือหลายทศวรรษได้อย่างง่ายดาย
    ตามรายงานของ WikiLeaks องค์กร USAID ได้ให้การสนับสนุนสื่อมวลชนในมากกว่า 30 ประเทศ

    เอกสารข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่ถูกลบไปแล้วเผยให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา USAID ได้จัดสรรเงินทุนสำหรับการฝึกอบรมและทรัพยากรให้กับนักข่าวประมาณ 6,200 คน สนับสนุนองค์กรข่าวที่ไม่ใช่ของรัฐ 707 แห่ง และสนับสนุนกลุ่มประชาสังคม 279 กลุ่ม ซึ่งเผยให้เห็นถึงอิทธิพลโดยตรงอันกว้างขวางของสหรัฐฯ ในระบบสื่อทั่วโลกในช่วง2 ทศวรรษที่ผ่านมา

    ขนาดของการมีส่วนร่วมนี้สะท้อนให้เห็นเพิ่มเติมในงบประมาณความช่วยเหลือต่างประเทศปี 2025 ซึ่งรวมถึงการจัดสรร 268.4 ล้านดอลลาร์จากรัฐสภาสหรัฐฯ โดยเฉพาะสำหรับแผนริเริ่มที่มุ่งส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "สื่ออิสระและการไหลเวียนของข้อมูลอย่างเสรี"

    การเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งจากรายงานของแพลตฟอร์ม Exposé เกี่ยวข้องกับองค์กรไม่แสวงหากำไร Internews Network (IN) ที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ ซึ่งมีรายงานว่าได้จัดสรรเงินเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ให้กับ "โครงการสื่อ" ทั่วโลก สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นมาว่า ความเป็นอิสระของสื่อสามารถเกิดขึ้นได้จริงในระดับใด เมื่อเส้นชีวิตทางการเงินผูกติดอยู่กับรัฐบาลต่างประเทศที่มีวาระอันชั่วร้ายของตนเอง?

    เอกสารที่รั่วไหลยังระบุเพิ่มเติมว่า Internews ร่วมมือกับสื่อ 4,291 แห่ง ผลิตรายการ 4,799 ชั่วโมงในหนึ่งปีและเข้าถึงผู้ชมประมาณ 778 ล้านคน
    ในขณะที่ Internews อ้างว่าภารกิจของตนคือการสนับสนุน "การสื่อสารมวลชนอิสระและขยายการเข้าถึงข้อมูล

    USAID ได้จัดสรรเงิน 472.6 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Internews ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าองค์กรจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้บริจาคเอกชน เช่น มูลนิธิ AOL-Time Warner มูลนิธิ Bill & Melinda Gates และอื่นๆ
    เงินช่วยเหลือเฉพาะเจาะจงเน้นย้ำถึงขอบเขตของความคิดริเริ่มเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น USAID มอบเงิน 10.7 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Internews เพื่อสนับสนุน “การสื่อสารมวลชนที่มีคุณภาพสูงและมีความรับผิดชอบ” ในไลบีเรีย และอีก 11 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับโครงการที่เรียกว่า “สื่อที่ส่งเสริมประชาธิปไตย” ในมอลโดวา

    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังได้สนับสนุนเงิน 1.48 ล้านดอลลาร์เพื่อจัดตั้ง “บริการข้อมูลที่ปลอดภัย เข้าถึงได้ และช่วยชีวิต” ในซูดานใต้ ตามเอกสารที่เปิดเผย ในประเทศจอร์แดน USAID ได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวน 19.5 ล้านดอลลาร์ให้แก่ Internews เพื่อช่วยวางตำแหน่งสังคมจอร์แดนให้สามารถสนับสนุนผลประโยชน์ที่ขับเคลื่อนโดยพลเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Internews ก่อตั้งขึ้นในปี 1982 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในแคลิฟอร์เนียและดำเนินการในกว่า 30 ประเทศ มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ลอนดอน และปารีส รวมถึงมีศูนย์กลางระดับภูมิภาคในเคียฟ กรุงเทพมหานคร และไนโรบี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Internews ได้ขยายขอบข่ายการเข้าถึงไปทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้เล่นหลักในการพัฒนาสื่อระดับโลก อย่างไรก็ตามองค์กรนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับบทบาทของตนในการเซ็นเซอร์โซเชียลมีเดีย

    Internews นำโดย Jeanne Bourgault ซึ่งรายงานระบุว่าเธอได้รับเงินเดือนประจำปี 451,000 ดอลลาร์ ก่อนหน้านี้เธอเคยทำงานที่สถานทูตสหรัฐฯ ในมอสโกในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ซึ่งเธอบริหารจัดการงบประมาณ 250 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง

    อ่านต่อตอนที่.2
    https://www.facebook.com/share/p/15xvCUsuuQ/

    ตอนที่.3
    https://www.facebook.com/share/p/1B7tKhDFKa/
    ตอนที่.1 #USAID #ทุ่มเงินหลายล้านเพื่อซื้อนักข่าวและกลุ่มสื่ออย่างไร จากการเปิดเผยที่น่าตกตะลึง USAID ถูกพบว่าได้ให้เงินทุนสนับสนุนองค์กรสื่อหลายร้อยแห่งและนักข่าวหลายพันคนทั่วโลกเพื่อขยายเรื่องราวที่อวยสนับสนุนไอ้กุ้ยโลก เมื่อต้นเดือนนี้ WikiLeaks ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกตะลึงว่า สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ได้สนับสนุนเงินทุนให้กับองค์กรสื่อหลายร้อยแห่งทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสื่อที่เสรีและเป็นอิสระ WikiLeaks แฉว่า USAID ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้สื่อข่าวมากกว่า 6,200 รายในสื่อ 707 สำนัก รวมทั้งองค์กรพัฒนาเอกชนด้าน "สื่อ" จำนวน 279 แห่ง การเปิดเผยข้อมูลอันสะเทือนโลกครั้งนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงกันทันทีว่าความเกี่ยวข้องทางการเงินดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความซื่อสัตย์สุจริตของการสื่อสารมวลชนและความน่าเชื่อถือของสำนักข่าวที่ได้รับเงินทุนหรือไม่ (จริงๆไม่สื่อพวกนี้ไม่น่าเชื่อถือเลย ทั้งสื่อตะวันตก สื่อตะวันออกกลางบางสื่อ ยิ่งสื่อในประเทศสารขัณฑ์นี่แทบทุกสื่อ) การเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่วันภายหลังที่ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อปลายเดือนมกราคมเกี่ยวกับการระงับการช่วยเหลือต่างประเทศผ่านคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีชื่อว่า "การประเมินใหม่และการจัดแนวความช่วยเหลือต่างประเทศของสหรัฐฯ ใหม่" คำสั่งดังกล่าวแช่แข็งการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาต่างประเทศของสหรัฐฯ ทั้งหมดเป็นเวลา 90 วัน ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์สามารถประเมินประสิทธิผลและแนวทางของแผนงานเหล่านี้ให้สอดคล้องกับวาระ "อเมริกาต้องมาก่อน" อีกครั้ง ซึ่งเป็นประเด็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่ลาสเวกัสเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2025 ทรัมป์ได้อธิบายว่าเป็นขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อเปลี่ยนเส้นทางทรัพยากรไปที่ประเด็นสำคัญในประเทศ คำสั่งฝ่ายบริหารซึ่งอ้างว่าโครงการช่วยเหลือต่างประเทศบางส่วนไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของอเมริกาและในบางกรณีขัดต่อค่านิยมของอเมริกาได้รับการมองในมุมมองใหม่หลังจากการเปิดเผยของ WikiLeaks เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ นักวิเคราะห์สื่อระบุว่าเงินทุนของ USAID อาจใช้เป็นเครื่องมือในการบิดเบือนสื่อในองค์กรข่าวที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ มานานหลายปีหรือหลายทศวรรษได้อย่างง่ายดาย ตามรายงานของ WikiLeaks องค์กร USAID ได้ให้การสนับสนุนสื่อมวลชนในมากกว่า 30 ประเทศ เอกสารข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่ถูกลบไปแล้วเผยให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา USAID ได้จัดสรรเงินทุนสำหรับการฝึกอบรมและทรัพยากรให้กับนักข่าวประมาณ 6,200 คน สนับสนุนองค์กรข่าวที่ไม่ใช่ของรัฐ 707 แห่ง และสนับสนุนกลุ่มประชาสังคม 279 กลุ่ม ซึ่งเผยให้เห็นถึงอิทธิพลโดยตรงอันกว้างขวางของสหรัฐฯ ในระบบสื่อทั่วโลกในช่วง2 ทศวรรษที่ผ่านมา ขนาดของการมีส่วนร่วมนี้สะท้อนให้เห็นเพิ่มเติมในงบประมาณความช่วยเหลือต่างประเทศปี 2025 ซึ่งรวมถึงการจัดสรร 268.4 ล้านดอลลาร์จากรัฐสภาสหรัฐฯ โดยเฉพาะสำหรับแผนริเริ่มที่มุ่งส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "สื่ออิสระและการไหลเวียนของข้อมูลอย่างเสรี" การเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งจากรายงานของแพลตฟอร์ม Exposé เกี่ยวข้องกับองค์กรไม่แสวงหากำไร Internews Network (IN) ที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ ซึ่งมีรายงานว่าได้จัดสรรเงินเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ให้กับ "โครงการสื่อ" ทั่วโลก สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นมาว่า ความเป็นอิสระของสื่อสามารถเกิดขึ้นได้จริงในระดับใด เมื่อเส้นชีวิตทางการเงินผูกติดอยู่กับรัฐบาลต่างประเทศที่มีวาระอันชั่วร้ายของตนเอง? เอกสารที่รั่วไหลยังระบุเพิ่มเติมว่า Internews ร่วมมือกับสื่อ 4,291 แห่ง ผลิตรายการ 4,799 ชั่วโมงในหนึ่งปีและเข้าถึงผู้ชมประมาณ 778 ล้านคน ในขณะที่ Internews อ้างว่าภารกิจของตนคือการสนับสนุน "การสื่อสารมวลชนอิสระและขยายการเข้าถึงข้อมูล USAID ได้จัดสรรเงิน 472.6 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Internews ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าองค์กรจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้บริจาคเอกชน เช่น มูลนิธิ AOL-Time Warner มูลนิธิ Bill & Melinda Gates และอื่นๆ เงินช่วยเหลือเฉพาะเจาะจงเน้นย้ำถึงขอบเขตของความคิดริเริ่มเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น USAID มอบเงิน 10.7 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Internews เพื่อสนับสนุน “การสื่อสารมวลชนที่มีคุณภาพสูงและมีความรับผิดชอบ” ในไลบีเรีย และอีก 11 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับโครงการที่เรียกว่า “สื่อที่ส่งเสริมประชาธิปไตย” ในมอลโดวา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังได้สนับสนุนเงิน 1.48 ล้านดอลลาร์เพื่อจัดตั้ง “บริการข้อมูลที่ปลอดภัย เข้าถึงได้ และช่วยชีวิต” ในซูดานใต้ ตามเอกสารที่เปิดเผย ในประเทศจอร์แดน USAID ได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวน 19.5 ล้านดอลลาร์ให้แก่ Internews เพื่อช่วยวางตำแหน่งสังคมจอร์แดนให้สามารถสนับสนุนผลประโยชน์ที่ขับเคลื่อนโดยพลเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ Internews ก่อตั้งขึ้นในปี 1982 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในแคลิฟอร์เนียและดำเนินการในกว่า 30 ประเทศ มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ลอนดอน และปารีส รวมถึงมีศูนย์กลางระดับภูมิภาคในเคียฟ กรุงเทพมหานคร และไนโรบี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Internews ได้ขยายขอบข่ายการเข้าถึงไปทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้เล่นหลักในการพัฒนาสื่อระดับโลก อย่างไรก็ตามองค์กรนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับบทบาทของตนในการเซ็นเซอร์โซเชียลมีเดีย Internews นำโดย Jeanne Bourgault ซึ่งรายงานระบุว่าเธอได้รับเงินเดือนประจำปี 451,000 ดอลลาร์ ก่อนหน้านี้เธอเคยทำงานที่สถานทูตสหรัฐฯ ในมอสโกในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ซึ่งเธอบริหารจัดการงบประมาณ 250 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง อ่านต่อตอนที่.2 https://www.facebook.com/share/p/15xvCUsuuQ/ ตอนที่.3 https://www.facebook.com/share/p/1B7tKhDFKa/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 437 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล และ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ มีความเห็นร่วมกันว่า:

    - อิสราเอลจะต้องบรรลุเป้าหมายสงครามทั้งหมดที่กำหนดไว้หลังจากการโจมตีของฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567

    - เลบานอนต้องกำจัดฮิซบอลเลาะห์ให้สิ้นซาก หากไม่ทำเช่นนั้น เราจะเป็นผู้ดำเนินการเอง!

    - อิสราเอลมีส่วนสำคัญของสถานการณ์ในซีเรีย ที่ทำให้เกิดการล่มสลายของระบอบการปกครองของอัสซาด เนื่องจากอิสราเอลคือผู้ทำให้แกนการก่อการร้ายของอิหร่านอ่อนแอลง โดยเฉพาะฮิซบอลเลาะห์ และการโค่นล้มนาสรัลเลาะห์ผู้นำของพวกเขา

    - เราจะไม่ยอมให้ซีเรียถูกใช้เป็นสถานที่โจมตีอิสราเอลอย่างเด็ดขาด!

    - เราให้คำมั่นว่า จะทำทุกวิธีการเพื่อไม่ให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์!

    - ชาวกาซาตอนนี้ยังมีทางเลือกในการออกจากดินแดนของพวกเขา

    - "จะมีการจัดการบางอย่าง" เกี่ยวกับองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง ที่ถูกใช้เป็นเวทีในการต่อต้านอเมริกาและอิสราเอล เราเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN) ในคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) ซึ่งการต่อต้านอเมริกาแพร่หลายและมีการลงมติเกี่ยวกับอิสราเอลมากกว่าที่ใดๆ ในโลกรวมกัน และเราเห็นสิ่งนี้โดยเฉพาะในกระบวนการทางกฎหมายที่กำลังดำเนินการกับอเมริกาและอิสราเอลที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และที่อื่นๆ

    - ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ใส่ร้ายอิสราเอลอย่างร้ายแรง และการออกหมายจับโดยอาศัยเพียงคำโกหกอย่างเลวร้าย

    - อเมริกาและอิสราเอล ไม่ได้อยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลของศาลอาญาระหว่างประเทศและไม่ยอมรับอำนาจของศาล

    - อิสราเอลขอชื่นชมสหรัฐ ที่มีคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อลงโทษคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ เรากำลังหารือร่วมกัน เพื่อกำหนดกลยุทธ์ในการรับมือกับภัยคุกคามของกระบวนการทางกฎหมายและขจัดภัยคุกคามนี้ให้สิ้นซากไป!
    เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล และ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ มีความเห็นร่วมกันว่า: - อิสราเอลจะต้องบรรลุเป้าหมายสงครามทั้งหมดที่กำหนดไว้หลังจากการโจมตีของฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 - เลบานอนต้องกำจัดฮิซบอลเลาะห์ให้สิ้นซาก หากไม่ทำเช่นนั้น เราจะเป็นผู้ดำเนินการเอง! - อิสราเอลมีส่วนสำคัญของสถานการณ์ในซีเรีย ที่ทำให้เกิดการล่มสลายของระบอบการปกครองของอัสซาด เนื่องจากอิสราเอลคือผู้ทำให้แกนการก่อการร้ายของอิหร่านอ่อนแอลง โดยเฉพาะฮิซบอลเลาะห์ และการโค่นล้มนาสรัลเลาะห์ผู้นำของพวกเขา - เราจะไม่ยอมให้ซีเรียถูกใช้เป็นสถานที่โจมตีอิสราเอลอย่างเด็ดขาด! - เราให้คำมั่นว่า จะทำทุกวิธีการเพื่อไม่ให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์! - ชาวกาซาตอนนี้ยังมีทางเลือกในการออกจากดินแดนของพวกเขา - "จะมีการจัดการบางอย่าง" เกี่ยวกับองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง ที่ถูกใช้เป็นเวทีในการต่อต้านอเมริกาและอิสราเอล เราเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN) ในคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) ซึ่งการต่อต้านอเมริกาแพร่หลายและมีการลงมติเกี่ยวกับอิสราเอลมากกว่าที่ใดๆ ในโลกรวมกัน และเราเห็นสิ่งนี้โดยเฉพาะในกระบวนการทางกฎหมายที่กำลังดำเนินการกับอเมริกาและอิสราเอลที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และที่อื่นๆ - ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ใส่ร้ายอิสราเอลอย่างร้ายแรง และการออกหมายจับโดยอาศัยเพียงคำโกหกอย่างเลวร้าย - อเมริกาและอิสราเอล ไม่ได้อยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลของศาลอาญาระหว่างประเทศและไม่ยอมรับอำนาจของศาล - อิสราเอลขอชื่นชมสหรัฐ ที่มีคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อลงโทษคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ เรากำลังหารือร่วมกัน เพื่อกำหนดกลยุทธ์ในการรับมือกับภัยคุกคามของกระบวนการทางกฎหมายและขจัดภัยคุกคามนี้ให้สิ้นซากไป!
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 414 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯ ออกคำสั่งฉุกเฉินห้ามทีมประสิทธิภาพรัฐบาลของอีลอน มัสก์ เข้าถึงระบบชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลังที่รับผิดชอบธุรกรรมนับล้านล้านดอลลาร์ ชี้อาจทำให้ข้อมูลละเอียดอ่อนถูกเปิดเผยโดยไม่เหมาะสม ด้านซีอีโอเทสลากล่าวหาพรรคเดโมแครตพยายามปิดบังกลไกการฉ้อโกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
    .
    เมื่อวันเสาร์ (8 ก.พ.) ที่ผ่านมา พอล เอนเกิลเมเยอร์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯในแมนฮัตตัน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของพรรคเดโมแครต ออกคำสั่งห้ามผู้ได้รับแต่งตั้งทางการเมืองจากคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่รัฐบาลนอกกระทรวงการคลัง เข้าถึงระบบการชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลัง
    .
    คำสั่งห้ามนี้ซึ่งให้มีผลบังคับจนกว่าศาลจะเริ่มดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้ตามนัดหมายในวันศุกร์ (14 ก.พ.) ยังกำหนดให้บุคคลซึ่งถูกสั่งห้ามเหล่านี้ ที่ได้เข้าถึงระบบเหล่านั้นแล้ว นับจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ต้องทำลายสำเนาข้อมูลทั้งหมดที่คัดลอกหรือดาวน์โหลดมาในทันที
    .
    ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ มีขึ้นหลังจากอัยการสูงสุดของ 19 รัฐ ซึ่งต่างเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต ยื่นฟ้องทรัมป์, กระทรวงการคลัง, และสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง, เมื่อคืนวันศุกร์ (7) โดยระบุว่า คณะบริหารทรัมป์ละเมิดกฎหมาย ด้วยการยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE -- โดช) ภายใต้การควบคุมของ มัสก์ ซึ่งไม่ได้มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าถึงข้อมูลอ่อนไหวของสำนักงานบริการทางการเงิน (บีเอฟเอส) ของกระทรวงการคลัง
    .
    ทั้งนี้ มัสก์ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐฯหรือเจ้าหน้าที่รัฐบาล แม้สื่อในอเมริการายงานเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เขาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “เจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล” ก็ตาม เช่นเดียวกับ โดช ที่ไม่มีสถานะเป็นกระทรวงหรือหน่วยราชการอย่างเต็มตัว โดยจะเป็นได้ก็ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภาเสียก่อน
    .
    ทว่า มัสก์ ที่เป็นผู้บริจาคทางการเมืองรายใหญ่ที่สุดให้แก่ทรัมป์ อีกทั้งเวลานี้กลายเป็นพันธมิตรสำคัญและทรงอิทธิพลของทรัมป์ ตลอดจนทีมงานของโดชกลับข้ำแแทรกแซงหน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลกลาง รวมทั้งสั่งระงับโครงการช่วยเหลือในต่างประเทศ ตัดงบประมาณ และพยายามปลดเจ้าหน้าที่รัฐบาลจำนวนมาก
    .
    ทางด้านมัสก์ โพสต์ตอบโต้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์โดยประณามเอนเกิลเมเยอร์เป็น “นักเคลื่อนไหว” มากกว่าจะเป็นผู้พิพากษา พร้อมกล่าวหาพรรคเดโมแครตพยายามปิดบังกลไกการฉ้อโกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ”
    .
    ทว่า เอนเกิลเมเยอร์อธิบายในคำสั่งห้ามว่า เนื่องจากพวกรัฐที่ฟ้องร้องคราวนี้จะเผชิญอันตรายอย่างชนิดไม่สามารถแก้ไขได้ ถ้าหากศาลไม่ออกสั่งห้ามชั่วคราวเพื่อบรรเทาความเสียหาย ทั้งนี้ เขาแจกแจงด้วยว่านโยบายใหม่ของรัฐบาลอาจทำให้มีการเปิดเผยข้อมูลละเอียดอ่อนและข้อมูลลับ รวมทั้งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนที่ระบบการชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลังจะถูกเจาะ
    .
    ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า รายงานการประเมินภายในของกระทรวงคลังฉบับหนึ่ง ก็ระบุว่า การที่ทีมงานโดชเข้าถึงระบบชำระเงินของรัฐบาลสหรัฐฯเช่นนี้ ถือเป็นภัยคุกคามจากคนวงในครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่สำนักงานบีเอฟเอสเคยเผชิญมา เนื่องจากทำให้เกิดความเสี่ยงใหญ่หลวงด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่รวมถึงความเสี่ยงที่ข้อมูลของประชาชนของอเมริกาและรัฐต่างๆ จะถูกนำไปใช้และประมวลผลโดยไม่มีการตรวจสอบ และด้วยวิธีการที่ไม่ได้รับอนุญาตภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลาง
    .
    แมทธิว แพลตกิน อัยการสูงสุดของรัฐนิวเจอร์ซีย์ ย้ำว่า ทรัมป์อนุญาตให้มัสก์แทรกซึมเข้าระบบและหน่วยงานสำคัญของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นผู้จัดเก็บหมายเลขประกันสังคม ข้อมูลการธนาคาร และข้อมูลละเอียดอ่อนของประชาชนนับล้านๆ คน
    .
    นอกเหนือจากกรณีของกระทรวงการคลังนี้แล้ว ยังมีแนวโน้มว่า คณะบริหารทรัมป์จะถูกฟ้องร้องอีกหลายคดี จากความพยายามปรับโครงสร้างการใช้จ่ายและบุคลากรของรัฐบาลกลาง
    .
    ก่อนหน้านี้ผู้พิพากษาชั้นต้นสหรัฐฯอีกผู้หนึ่ง ได้ตัดสินให้ยับยั้งความพยายามของทรัมป์ ที่ออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยกเลิกสิทธิการได้รับสัญชาติโดยอัตโนมัติของผู้ที่เกิดในในสหรัฐฯ โดยคำตัเสินระบุว่า การกระทำของทรัมป์ขัดแย้งกับรัฐธรรมรูญ นอกจากนั้นยังผู้พิพากษาษศาลชั้นต้นสหรัฐฯอีกคน สั่งระงับความพยายามของ มัสก์ ในการดำเนินการเพื่อจูงใจให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลหลายล้านคนยื่นใบลาออกเมื่อวันพฤหัสฯ (6) ที่ผ่านมา
    .
    ความพยายามหลังสุดนี้มีเป้าหมายหลักอยู่ที่องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (ยูเอสเอด) ซึ่งเป็นหน่วยงานสหรัฐฯทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในทั่วโลก
    .
    เกี่ยวกับเรื่องนี้ สหภาพแรงงานหลายแห่งก็กำลังฟ้องร้องต่อศาลว่าการดำเนินการดังกล่าวของคณะบริหารไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยที่เมื่อวันศุกร์ (7) ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯผู้หนึ่งได้ตัดสินออกคำสั่งระงับแผนการที่ระบุให้เจ้าหน้าที่ยูเอสเอด 2,200 คนต้องหยุดงานแบบยังคงได้รับค่าจ้าง
    .
    ทางฝั่งพรรคเดโมแครตยืนยันว่า การปิดหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลโดยใช้คำสั่งฝายบริหาร และไม่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาเช่นนี้ถือว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013145
    ..............
    Sondhi X
    ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯ ออกคำสั่งฉุกเฉินห้ามทีมประสิทธิภาพรัฐบาลของอีลอน มัสก์ เข้าถึงระบบชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลังที่รับผิดชอบธุรกรรมนับล้านล้านดอลลาร์ ชี้อาจทำให้ข้อมูลละเอียดอ่อนถูกเปิดเผยโดยไม่เหมาะสม ด้านซีอีโอเทสลากล่าวหาพรรคเดโมแครตพยายามปิดบังกลไกการฉ้อโกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ . เมื่อวันเสาร์ (8 ก.พ.) ที่ผ่านมา พอล เอนเกิลเมเยอร์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯในแมนฮัตตัน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของพรรคเดโมแครต ออกคำสั่งห้ามผู้ได้รับแต่งตั้งทางการเมืองจากคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่รัฐบาลนอกกระทรวงการคลัง เข้าถึงระบบการชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลัง . คำสั่งห้ามนี้ซึ่งให้มีผลบังคับจนกว่าศาลจะเริ่มดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้ตามนัดหมายในวันศุกร์ (14 ก.พ.) ยังกำหนดให้บุคคลซึ่งถูกสั่งห้ามเหล่านี้ ที่ได้เข้าถึงระบบเหล่านั้นแล้ว นับจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ต้องทำลายสำเนาข้อมูลทั้งหมดที่คัดลอกหรือดาวน์โหลดมาในทันที . ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ มีขึ้นหลังจากอัยการสูงสุดของ 19 รัฐ ซึ่งต่างเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต ยื่นฟ้องทรัมป์, กระทรวงการคลัง, และสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง, เมื่อคืนวันศุกร์ (7) โดยระบุว่า คณะบริหารทรัมป์ละเมิดกฎหมาย ด้วยการยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE -- โดช) ภายใต้การควบคุมของ มัสก์ ซึ่งไม่ได้มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าถึงข้อมูลอ่อนไหวของสำนักงานบริการทางการเงิน (บีเอฟเอส) ของกระทรวงการคลัง . ทั้งนี้ มัสก์ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐฯหรือเจ้าหน้าที่รัฐบาล แม้สื่อในอเมริการายงานเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เขาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “เจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล” ก็ตาม เช่นเดียวกับ โดช ที่ไม่มีสถานะเป็นกระทรวงหรือหน่วยราชการอย่างเต็มตัว โดยจะเป็นได้ก็ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภาเสียก่อน . ทว่า มัสก์ ที่เป็นผู้บริจาคทางการเมืองรายใหญ่ที่สุดให้แก่ทรัมป์ อีกทั้งเวลานี้กลายเป็นพันธมิตรสำคัญและทรงอิทธิพลของทรัมป์ ตลอดจนทีมงานของโดชกลับข้ำแแทรกแซงหน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลกลาง รวมทั้งสั่งระงับโครงการช่วยเหลือในต่างประเทศ ตัดงบประมาณ และพยายามปลดเจ้าหน้าที่รัฐบาลจำนวนมาก . ทางด้านมัสก์ โพสต์ตอบโต้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์โดยประณามเอนเกิลเมเยอร์เป็น “นักเคลื่อนไหว” มากกว่าจะเป็นผู้พิพากษา พร้อมกล่าวหาพรรคเดโมแครตพยายามปิดบังกลไกการฉ้อโกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ” . ทว่า เอนเกิลเมเยอร์อธิบายในคำสั่งห้ามว่า เนื่องจากพวกรัฐที่ฟ้องร้องคราวนี้จะเผชิญอันตรายอย่างชนิดไม่สามารถแก้ไขได้ ถ้าหากศาลไม่ออกสั่งห้ามชั่วคราวเพื่อบรรเทาความเสียหาย ทั้งนี้ เขาแจกแจงด้วยว่านโยบายใหม่ของรัฐบาลอาจทำให้มีการเปิดเผยข้อมูลละเอียดอ่อนและข้อมูลลับ รวมทั้งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนที่ระบบการชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลังจะถูกเจาะ . ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า รายงานการประเมินภายในของกระทรวงคลังฉบับหนึ่ง ก็ระบุว่า การที่ทีมงานโดชเข้าถึงระบบชำระเงินของรัฐบาลสหรัฐฯเช่นนี้ ถือเป็นภัยคุกคามจากคนวงในครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่สำนักงานบีเอฟเอสเคยเผชิญมา เนื่องจากทำให้เกิดความเสี่ยงใหญ่หลวงด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่รวมถึงความเสี่ยงที่ข้อมูลของประชาชนของอเมริกาและรัฐต่างๆ จะถูกนำไปใช้และประมวลผลโดยไม่มีการตรวจสอบ และด้วยวิธีการที่ไม่ได้รับอนุญาตภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลาง . แมทธิว แพลตกิน อัยการสูงสุดของรัฐนิวเจอร์ซีย์ ย้ำว่า ทรัมป์อนุญาตให้มัสก์แทรกซึมเข้าระบบและหน่วยงานสำคัญของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นผู้จัดเก็บหมายเลขประกันสังคม ข้อมูลการธนาคาร และข้อมูลละเอียดอ่อนของประชาชนนับล้านๆ คน . นอกเหนือจากกรณีของกระทรวงการคลังนี้แล้ว ยังมีแนวโน้มว่า คณะบริหารทรัมป์จะถูกฟ้องร้องอีกหลายคดี จากความพยายามปรับโครงสร้างการใช้จ่ายและบุคลากรของรัฐบาลกลาง . ก่อนหน้านี้ผู้พิพากษาชั้นต้นสหรัฐฯอีกผู้หนึ่ง ได้ตัดสินให้ยับยั้งความพยายามของทรัมป์ ที่ออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยกเลิกสิทธิการได้รับสัญชาติโดยอัตโนมัติของผู้ที่เกิดในในสหรัฐฯ โดยคำตัเสินระบุว่า การกระทำของทรัมป์ขัดแย้งกับรัฐธรรมรูญ นอกจากนั้นยังผู้พิพากษาษศาลชั้นต้นสหรัฐฯอีกคน สั่งระงับความพยายามของ มัสก์ ในการดำเนินการเพื่อจูงใจให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลหลายล้านคนยื่นใบลาออกเมื่อวันพฤหัสฯ (6) ที่ผ่านมา . ความพยายามหลังสุดนี้มีเป้าหมายหลักอยู่ที่องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (ยูเอสเอด) ซึ่งเป็นหน่วยงานสหรัฐฯทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในทั่วโลก . เกี่ยวกับเรื่องนี้ สหภาพแรงงานหลายแห่งก็กำลังฟ้องร้องต่อศาลว่าการดำเนินการดังกล่าวของคณะบริหารไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยที่เมื่อวันศุกร์ (7) ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯผู้หนึ่งได้ตัดสินออกคำสั่งระงับแผนการที่ระบุให้เจ้าหน้าที่ยูเอสเอด 2,200 คนต้องหยุดงานแบบยังคงได้รับค่าจ้าง . ทางฝั่งพรรคเดโมแครตยืนยันว่า การปิดหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลโดยใช้คำสั่งฝายบริหาร และไม่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาเช่นนี้ถือว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013145 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1509 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ลงนามคว่ำบาตร ICC อย่างเป็นทางการ!

    โดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อคว่ำบาตรศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ด้วยข้อกล่าวหาว่า ICC "กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่มีมูลความจริงต่ออเมริกาและอิสราเอล ในการออกหมายจับเนทันยาฮู พันธมิตรที่ใกล้ชิดของเรา"

    คำสั่งคว่ำบาตรดังกล่าว จะกำหนดข้อจำกัดทางการเงินและวีซ่าเข้าประเทศสำหรับบุคคลและครอบครัวของเจ้าหน้าที่ที่ให้ความช่วยเหลือในการสืบสวนของ ICC ต่อพลเมืองอเมริกันและพันธมิตร
    ทรัมป์ลงนามคว่ำบาตร ICC อย่างเป็นทางการ! โดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อคว่ำบาตรศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ด้วยข้อกล่าวหาว่า ICC "กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่มีมูลความจริงต่ออเมริกาและอิสราเอล ในการออกหมายจับเนทันยาฮู พันธมิตรที่ใกล้ชิดของเรา" คำสั่งคว่ำบาตรดังกล่าว จะกำหนดข้อจำกัดทางการเงินและวีซ่าเข้าประเทศสำหรับบุคคลและครอบครัวของเจ้าหน้าที่ที่ให้ความช่วยเหลือในการสืบสวนของ ICC ต่อพลเมืองอเมริกันและพันธมิตร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนแถลงวันพุธ (5 ก.พ.) ยืนกรานคัดค้านสหรัฐฯ ประกาศมาตรการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้าเข้าแดนมังกร พร้อมเรียกร้องเปิดเจรจาเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า ทว่า ทำเนียบขาวระบุทรัมป์ยังไม่รีบร้อนหารือสี จิ้นผิง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์จากจีนและฮ่องกง ซึ่งคาดหมายกันว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมของจีนอย่าง “ชีอิน” และ “เทมู” โดยที่ยังมีรายงานข่าวด้วยว่า วอชิงตันกำลังพิจารณาขึ้นบัญชีดำยักษ์ใหญ่แดนมังกรทั้งสองเจ้านี้ว่าเป็นบริษัทที่มีการบังคับใช้แรงงาน
    .
    ในวันพุธ ซึ่งเป็นวันแรกที่หน่วยราชการของจีนเปิดทำการหลังหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกมาแถลงว่า จีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านถึงที่สุดต่อมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของอเมริกา และเรียกร้องให้เปิดการเจรจาอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ก่อนทิ้งท้ายว่า ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามภาษีศุลกากร
    .
    ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นคือเมื่อวันอังคาร (4) จีนประกาศตอบโต้อเมริกา โดยจะขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากสหรัฐฯสูงขึ้น 15% จากน้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.
    .
    นอกจากนั้น จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา
    .
    เวลาเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์
    .
    การประกาศมาตรการตอบโต้ของจีนเช่นนี้ เกิดขึ้นแทบจะทันที หลังจากการมีผลบังคับใช้ของมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของฝ่ายอเมริกา ซึ่งเป็นการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรจัดเก็บจากสินค้านำเข้าจีนทุกรายการขึ้นอีก 10% โดยที่ทรัมป์ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา
    .
    ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (3) ทำเนียบขาวส่งสัญญาณว่า ทรัมป์จะมีการหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี ในตอนบ่ายวันอังคาร (4) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับบอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า ไม่รีบร้อนที่จะคุยกับผู้นำจีน
    .
    แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงในวันเดียวกันว่า การหารือระหว่างทรัมป์กับสีที่ถูกมองว่า เป็นกุญแจสำคัญที่อาจผ่อนปรนหรือชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรนั้น จำเป็นต้องมีการตกลงกันเรื่องตารางเวลา ทว่า ขณะนี้ผู้นำจีนยังไม่ได้ติดต่อมาแต่อย่างใด
    .
    นอกจากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาแล้ว เมื่อวันอังคาร สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ (ยูเอสพีเอส) ได้ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์ที่ส่งจากจีนและฮ่องกง หลังจากทรัมป์ออกคำสั่งยกเลิกข้อยกเว้นการเก็บภาษีอากรกับพัสดุที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ที่เรียกกันว่า ข้อยกเว้น de minimis
    .
    ยูเอสพีเอสยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่กระทบจดหมายและจดหมายขนาดใหญ่ (ความยาวไม่เกิน 38 ซม. หรือหนาไม่เกิน 1.9 ซม.) จากจีนและฮ่องกง แต่ไม่ได้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับการยกเลิกข้อยกเว้น de minimis หรือไม่
    .
    ตามรายงานของคณะกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ระบุว่าพัสดุภัณฑ์เกือบครึ่งหนึ่งที่จัดส่งภายใต้ข้อยกเว้น de minimis นั้นส่งมาจากจีน
    .
    รายงานดังกล่าวยังระบุว่า “ชีอิน” แพลตฟอร์มฟาสต์แฟชั่น และ “เทมู” แพลตฟอร์มขายสินค้าราคาถูก ซึ่งต่างก็เป็นของจีนและขายสินค้าทุกอย่างตั้งแต่ของเล่นจนถึงสมาร์ทโฟนนั้น เติบโตเร็วมากในอเมริกา ส่วนหนึ่งเนื่องจากข้อยกเว้น de minimis โดยทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มเป็นเจ้าของพัสดุกว่า 30% ที่จัดส่งไปยังอเมริกาในแต่ละวันภายใต้ข้อยกเว้นดังกล่าว
    .
    แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า การยกเลิกข้อยกเว้น de minimis อาจทำให้สินค้าบนแพลตฟอร์มชีอินและเทมูแพงขึ้น แต่ไม่มีแนวโน้มว่า จะทำให้ยอดจัดส่งของทั้งสองบริษัทลดลงแต่อย่างใด
    .
    กระนั้น แพลตฟอร์มทั้งสองแห่งอาจหนีไม่พ้นการเล่นงานเพิ่มเติมของคณะบริหารทรัมป์ โดยเมื่อวันอังคาร เว็บไซต์เซมาฟอร์รายงานว่า อเมริกากำลังพิจารณาขึ้นบัญชีเทมูและชีอินในรายชื่อบริษัทที่บังคับใช้แรงงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011929
    ..............
    Sondhi X
    จีนแถลงวันพุธ (5 ก.พ.) ยืนกรานคัดค้านสหรัฐฯ ประกาศมาตรการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้าเข้าแดนมังกร พร้อมเรียกร้องเปิดเจรจาเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า ทว่า ทำเนียบขาวระบุทรัมป์ยังไม่รีบร้อนหารือสี จิ้นผิง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์จากจีนและฮ่องกง ซึ่งคาดหมายกันว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมของจีนอย่าง “ชีอิน” และ “เทมู” โดยที่ยังมีรายงานข่าวด้วยว่า วอชิงตันกำลังพิจารณาขึ้นบัญชีดำยักษ์ใหญ่แดนมังกรทั้งสองเจ้านี้ว่าเป็นบริษัทที่มีการบังคับใช้แรงงาน . ในวันพุธ ซึ่งเป็นวันแรกที่หน่วยราชการของจีนเปิดทำการหลังหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกมาแถลงว่า จีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านถึงที่สุดต่อมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของอเมริกา และเรียกร้องให้เปิดการเจรจาอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ก่อนทิ้งท้ายว่า ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามภาษีศุลกากร . ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นคือเมื่อวันอังคาร (4) จีนประกาศตอบโต้อเมริกา โดยจะขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากสหรัฐฯสูงขึ้น 15% จากน้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. . นอกจากนั้น จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา . เวลาเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์ . การประกาศมาตรการตอบโต้ของจีนเช่นนี้ เกิดขึ้นแทบจะทันที หลังจากการมีผลบังคับใช้ของมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของฝ่ายอเมริกา ซึ่งเป็นการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรจัดเก็บจากสินค้านำเข้าจีนทุกรายการขึ้นอีก 10% โดยที่ทรัมป์ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา . ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (3) ทำเนียบขาวส่งสัญญาณว่า ทรัมป์จะมีการหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี ในตอนบ่ายวันอังคาร (4) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับบอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า ไม่รีบร้อนที่จะคุยกับผู้นำจีน . แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงในวันเดียวกันว่า การหารือระหว่างทรัมป์กับสีที่ถูกมองว่า เป็นกุญแจสำคัญที่อาจผ่อนปรนหรือชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรนั้น จำเป็นต้องมีการตกลงกันเรื่องตารางเวลา ทว่า ขณะนี้ผู้นำจีนยังไม่ได้ติดต่อมาแต่อย่างใด . นอกจากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาแล้ว เมื่อวันอังคาร สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ (ยูเอสพีเอส) ได้ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์ที่ส่งจากจีนและฮ่องกง หลังจากทรัมป์ออกคำสั่งยกเลิกข้อยกเว้นการเก็บภาษีอากรกับพัสดุที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ที่เรียกกันว่า ข้อยกเว้น de minimis . ยูเอสพีเอสยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่กระทบจดหมายและจดหมายขนาดใหญ่ (ความยาวไม่เกิน 38 ซม. หรือหนาไม่เกิน 1.9 ซม.) จากจีนและฮ่องกง แต่ไม่ได้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับการยกเลิกข้อยกเว้น de minimis หรือไม่ . ตามรายงานของคณะกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ระบุว่าพัสดุภัณฑ์เกือบครึ่งหนึ่งที่จัดส่งภายใต้ข้อยกเว้น de minimis นั้นส่งมาจากจีน . รายงานดังกล่าวยังระบุว่า “ชีอิน” แพลตฟอร์มฟาสต์แฟชั่น และ “เทมู” แพลตฟอร์มขายสินค้าราคาถูก ซึ่งต่างก็เป็นของจีนและขายสินค้าทุกอย่างตั้งแต่ของเล่นจนถึงสมาร์ทโฟนนั้น เติบโตเร็วมากในอเมริกา ส่วนหนึ่งเนื่องจากข้อยกเว้น de minimis โดยทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มเป็นเจ้าของพัสดุกว่า 30% ที่จัดส่งไปยังอเมริกาในแต่ละวันภายใต้ข้อยกเว้นดังกล่าว . แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า การยกเลิกข้อยกเว้น de minimis อาจทำให้สินค้าบนแพลตฟอร์มชีอินและเทมูแพงขึ้น แต่ไม่มีแนวโน้มว่า จะทำให้ยอดจัดส่งของทั้งสองบริษัทลดลงแต่อย่างใด . กระนั้น แพลตฟอร์มทั้งสองแห่งอาจหนีไม่พ้นการเล่นงานเพิ่มเติมของคณะบริหารทรัมป์ โดยเมื่อวันอังคาร เว็บไซต์เซมาฟอร์รายงานว่า อเมริกากำลังพิจารณาขึ้นบัญชีเทมูและชีอินในรายชื่อบริษัทที่บังคับใช้แรงงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011929 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2410 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงครามการค้าระดับมหาอำนาจระอุ จีนประกาศตอบโต้มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ทันควัน สั่งเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าบางรายการจากอเมริกา รวมทั้งเปิดสอบสวนกูเกิลกรณีผูกขาดตลาด และขึ้นบัญชีบริษัทอเมริกันอีก 2 แห่งในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชัน ทั้งนี้หลังจากเมื่อวันจันทร์ (3) ผู้นำสหรัฐฯ ผ่อนผันหยุดพักการเล่นงานแคนาดากับเม็กซิโกเอาไว้ก่อน ทำให้ 3 ชาติที่ถูกวอชิงตันหมายหัวในตอนแรก เหลือเพียงปักกิ่งเท่านั้นซึ่งเกิดการต่อกรกันอย่างจริงจัง
    .
    อเมริกาเริ่มเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีนทุกรายการเพิ่มขึ้น 10% รวด ตามคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ มีผลเมื่อเวลา 00.01 น. วันอังคาร (4 ก.พ.) ตามเวลาในวอชิงตัน หรือ 12.01 น.ตามเวลาเมืองไทย โดยที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิล เข้าสู่อเมริกา
    .
    จากนั้นภายในไม่กี่นาทีต่อมา กระทรวงพาณิชย์จีนประกาศขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากอเมริกา สูงขึ้น 15% จาก น้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% โดยที่การเรียกเก็บภาษี 10% สำหรับรถกระบะไฟฟ้าที่นำเข้าจากอเมริกานั้น อาจบังคับใช้กับไซเบอร์ทรัค “เทสลา” ของอีลอน มัสก์ในอนาคต
    .
    จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา
    .
    นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์
    .
    มาตรการภาษีศุลกากรใหม่ของจีนเหล่านี้ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. ซึ่งดูจะเพื่อเปิดโอกาสให้วอชิงตันและปักกิ่งได้ใช้ความพยายามและบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้า โดยที่โฆษกทำเนียบขาวก็ระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ทรัมป์มีแผนหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ปลายสัปดาห์นี้
    .
    ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ทรัมป์ก็ได้เริ่มสงครามการค้าอันโหดร้ายกับจีนในปี 2018 โดยอ้างเหตุจากกรณีที่ปักกิ่งเกินดุลการค้าอเมริกามหาศาล จากนั้นทั้งสองฝ่ายมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กันไปมาซึ่งครอบคลุมสินค้ามูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลกชะงักงัน และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก
    .
    สำหรับคราวนี้ บริษัทวิเคราะห์เศรษฐกิจ ออกซ์ฟอร์ด อิโคโนมิกส์ ได้ลดการคาดการณ์อัตราเติบโตของจีนลง พร้อมกับชี้ว่า สงครามการค้าอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยมีแนวโน้มจะมีการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้กันอีก
    .
    ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ ทรัมป์ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหาร 3 ฉบับ เรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้น 25% กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกทั้งหมด และกับสินค้านำเข้าจากแคนดา ยกเว้นสินค้าบางชนิดอย่างเช่นน้ำมัน เก็บเพิ่ม 10% และเรียกเก็บเพิ่ม 10% กับสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด โดยที่เขาให้เหตุผลว่า เพื่อบีบบังคับให้ 3 ประเทศนี้ซึ่งต่างเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ต้องเพิ่มมาตรการแก้ไขปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายอาศัยดินแดนของเม็กซิโกและแคนาดา หลบหนีเข้าสหรัฐฯ ตลอดจนให้เม็กซิโก แคนาดา และจีนเร่งความกวดขันไม่ให้มีการแอบจัดส่งสารเสพติดเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ
    .
    อย่างไรก็ดี ในวันจันทร์ ทรัมป์ได้มีการพูดจาทางโทรศัพท์แยกต่างหากกับนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดของแคนาดา และประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบามของเม็กซิโก หลังจากนั้น เขาก็สั่งชะลอการเรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไปอีก 30 วันในนาทีสุดท้าย โดยระบุว่าทั้งผู้นำของแคนาดาและเม็กซิโก ตกลงยกระดับการควบคุมชายแดนตามที่เขาเรียกร้อง เพื่อปราบปรามการลักลอบส่งยาเสพติดและการลักลอบจัดส่งผู้อพยพเข้าอเมริกา
    .
    ทั้งนี้ แคนาดาตกลงใช้เทคโนโลยีใหม่และเจ้าหน้าที่ประจำการบริเวณชายแดนติดกับอเมริกา รวมทั้งร่วมมือกับอเมริกาต่อสู้กับแก๊งอาชญากรรม การลักลอบส่งเฟนทานิล และการฟอกเงิน
    .
    ส่วนเม็กซิโกตกลงส่งสมาชิกกองกำลังป้องกันประเทศ 10,000 นายประจำการบริเวณชายแดนด้านเหนือที่ติดต่อกับสหรัฐฯ เพื่อสกัดผู้ลักลอบข้ามแดนและการส่งยาเสพติดเข้าไปในอเมริกา
    .
    สำหรับกรณีของจีนนั้น ผู้นำของ 2 ประเทศไม่ได้มีการติดต่อพูดโทรศัพท์กัน โดยที่ทำเนียบขาวระบุว่า สี กับ ทรัมป์ จะหารือกันในช่วงต่อไปของสัปดาห์นี้ ดังนั้น จึงหมายความว่า เหลือเพียงจีนประเทศเดียว ที่จะถูกสหรัฐฯ เล่นงานขึ้นภาษีตั้งแต่วันอังคาร
    .
    ทรัมป์ยังเตือนว่า อาจขึ้นภาษีศุลกากรจีนรอบใหม่อีก ยกเว้นจีนจะลงมือสกัดการลักลอบส่งเฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา
    .
    ทว่า จีนตอบโต้ว่า เฟนทานิลเป็นปัญหาของอเมริกาเอง และเตรียมร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WHO) รวมทั้งใช้มาตรการตอบโต้อื่นๆ ถึงแม้ปักกิ่งบอกด้วยว่า พร้อมเจรจากับอเมริกา
    .
    แกรี อึง นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของเนติซิสในฮ่องกง ชี้ว่า การตกลงระหว่างอเมริกากับจีนเกี่ยวกับข้อเรียกร้องทางเศรษฐกิจและการเมืองของทรัมป์จะยากกว่ากรณีแคนาดาและเม็กซิโก และถึงแม้ตกลงกันได้ในบางประเด็น แต่เป็นไปได้ว่า ภาษีศุลกากรจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือกดดันในประเด็นอื่นๆ อีก และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดการเงินผันผวนในปีนี้
    .
    ก่อนหน้านั้นทรัมป์ยอมรับว่า มาตรการภาษีศุลกากรอาจส่งผลลบระยะสั้นต่อผู้บริโภคอเมริกัน แต่ก็อ้างว่าเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ
    .
    ไม่เพียงพุ่งเป้าไปที่ 3 ประเทศดังกล่าวข้างหน้า ในการแถลงเมื่อวันอาทิตย์ (2) ทรัมป์ยังส่งสัญญาณว่า สหภาพยุโรป อาจเป็นเป้าหมายต่อไป
    .
    ต่อมาในวันจันทร์ บรรดาผู้นำอียูที่ร่วมประชุมสุดยอดอย่างไม่เป็นทางการในบรัสเซลส์ได้ประกาศว่า ยุโรปพร้อมตอบโต้ หากอเมริกาเรียกเก็บภาษีศุลกากร แต่ขณะเดียวกันก็เรียกร้องขอเจรจากับวอชิงตัน ซึ่งเป็นหุ้นส่วนการค้าและการลงทุนใหญ่ที่สุด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011540
    ..............
    Sondhi X
    สงครามการค้าระดับมหาอำนาจระอุ จีนประกาศตอบโต้มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ทันควัน สั่งเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าบางรายการจากอเมริกา รวมทั้งเปิดสอบสวนกูเกิลกรณีผูกขาดตลาด และขึ้นบัญชีบริษัทอเมริกันอีก 2 แห่งในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชัน ทั้งนี้หลังจากเมื่อวันจันทร์ (3) ผู้นำสหรัฐฯ ผ่อนผันหยุดพักการเล่นงานแคนาดากับเม็กซิโกเอาไว้ก่อน ทำให้ 3 ชาติที่ถูกวอชิงตันหมายหัวในตอนแรก เหลือเพียงปักกิ่งเท่านั้นซึ่งเกิดการต่อกรกันอย่างจริงจัง . อเมริกาเริ่มเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีนทุกรายการเพิ่มขึ้น 10% รวด ตามคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ มีผลเมื่อเวลา 00.01 น. วันอังคาร (4 ก.พ.) ตามเวลาในวอชิงตัน หรือ 12.01 น.ตามเวลาเมืองไทย โดยที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิล เข้าสู่อเมริกา . จากนั้นภายในไม่กี่นาทีต่อมา กระทรวงพาณิชย์จีนประกาศขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากอเมริกา สูงขึ้น 15% จาก น้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% โดยที่การเรียกเก็บภาษี 10% สำหรับรถกระบะไฟฟ้าที่นำเข้าจากอเมริกานั้น อาจบังคับใช้กับไซเบอร์ทรัค “เทสลา” ของอีลอน มัสก์ในอนาคต . จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา . นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์ . มาตรการภาษีศุลกากรใหม่ของจีนเหล่านี้ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. ซึ่งดูจะเพื่อเปิดโอกาสให้วอชิงตันและปักกิ่งได้ใช้ความพยายามและบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้า โดยที่โฆษกทำเนียบขาวก็ระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ทรัมป์มีแผนหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ปลายสัปดาห์นี้ . ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ทรัมป์ก็ได้เริ่มสงครามการค้าอันโหดร้ายกับจีนในปี 2018 โดยอ้างเหตุจากกรณีที่ปักกิ่งเกินดุลการค้าอเมริกามหาศาล จากนั้นทั้งสองฝ่ายมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กันไปมาซึ่งครอบคลุมสินค้ามูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลกชะงักงัน และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก . สำหรับคราวนี้ บริษัทวิเคราะห์เศรษฐกิจ ออกซ์ฟอร์ด อิโคโนมิกส์ ได้ลดการคาดการณ์อัตราเติบโตของจีนลง พร้อมกับชี้ว่า สงครามการค้าอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยมีแนวโน้มจะมีการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้กันอีก . ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ ทรัมป์ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหาร 3 ฉบับ เรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้น 25% กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกทั้งหมด และกับสินค้านำเข้าจากแคนดา ยกเว้นสินค้าบางชนิดอย่างเช่นน้ำมัน เก็บเพิ่ม 10% และเรียกเก็บเพิ่ม 10% กับสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด โดยที่เขาให้เหตุผลว่า เพื่อบีบบังคับให้ 3 ประเทศนี้ซึ่งต่างเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ต้องเพิ่มมาตรการแก้ไขปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายอาศัยดินแดนของเม็กซิโกและแคนาดา หลบหนีเข้าสหรัฐฯ ตลอดจนให้เม็กซิโก แคนาดา และจีนเร่งความกวดขันไม่ให้มีการแอบจัดส่งสารเสพติดเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ . อย่างไรก็ดี ในวันจันทร์ ทรัมป์ได้มีการพูดจาทางโทรศัพท์แยกต่างหากกับนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดของแคนาดา และประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบามของเม็กซิโก หลังจากนั้น เขาก็สั่งชะลอการเรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไปอีก 30 วันในนาทีสุดท้าย โดยระบุว่าทั้งผู้นำของแคนาดาและเม็กซิโก ตกลงยกระดับการควบคุมชายแดนตามที่เขาเรียกร้อง เพื่อปราบปรามการลักลอบส่งยาเสพติดและการลักลอบจัดส่งผู้อพยพเข้าอเมริกา . ทั้งนี้ แคนาดาตกลงใช้เทคโนโลยีใหม่และเจ้าหน้าที่ประจำการบริเวณชายแดนติดกับอเมริกา รวมทั้งร่วมมือกับอเมริกาต่อสู้กับแก๊งอาชญากรรม การลักลอบส่งเฟนทานิล และการฟอกเงิน . ส่วนเม็กซิโกตกลงส่งสมาชิกกองกำลังป้องกันประเทศ 10,000 นายประจำการบริเวณชายแดนด้านเหนือที่ติดต่อกับสหรัฐฯ เพื่อสกัดผู้ลักลอบข้ามแดนและการส่งยาเสพติดเข้าไปในอเมริกา . สำหรับกรณีของจีนนั้น ผู้นำของ 2 ประเทศไม่ได้มีการติดต่อพูดโทรศัพท์กัน โดยที่ทำเนียบขาวระบุว่า สี กับ ทรัมป์ จะหารือกันในช่วงต่อไปของสัปดาห์นี้ ดังนั้น จึงหมายความว่า เหลือเพียงจีนประเทศเดียว ที่จะถูกสหรัฐฯ เล่นงานขึ้นภาษีตั้งแต่วันอังคาร . ทรัมป์ยังเตือนว่า อาจขึ้นภาษีศุลกากรจีนรอบใหม่อีก ยกเว้นจีนจะลงมือสกัดการลักลอบส่งเฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา . ทว่า จีนตอบโต้ว่า เฟนทานิลเป็นปัญหาของอเมริกาเอง และเตรียมร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WHO) รวมทั้งใช้มาตรการตอบโต้อื่นๆ ถึงแม้ปักกิ่งบอกด้วยว่า พร้อมเจรจากับอเมริกา . แกรี อึง นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของเนติซิสในฮ่องกง ชี้ว่า การตกลงระหว่างอเมริกากับจีนเกี่ยวกับข้อเรียกร้องทางเศรษฐกิจและการเมืองของทรัมป์จะยากกว่ากรณีแคนาดาและเม็กซิโก และถึงแม้ตกลงกันได้ในบางประเด็น แต่เป็นไปได้ว่า ภาษีศุลกากรจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือกดดันในประเด็นอื่นๆ อีก และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดการเงินผันผวนในปีนี้ . ก่อนหน้านั้นทรัมป์ยอมรับว่า มาตรการภาษีศุลกากรอาจส่งผลลบระยะสั้นต่อผู้บริโภคอเมริกัน แต่ก็อ้างว่าเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ . ไม่เพียงพุ่งเป้าไปที่ 3 ประเทศดังกล่าวข้างหน้า ในการแถลงเมื่อวันอาทิตย์ (2) ทรัมป์ยังส่งสัญญาณว่า สหภาพยุโรป อาจเป็นเป้าหมายต่อไป . ต่อมาในวันจันทร์ บรรดาผู้นำอียูที่ร่วมประชุมสุดยอดอย่างไม่เป็นทางการในบรัสเซลส์ได้ประกาศว่า ยุโรปพร้อมตอบโต้ หากอเมริกาเรียกเก็บภาษีศุลกากร แต่ขณะเดียวกันก็เรียกร้องขอเจรจากับวอชิงตัน ซึ่งเป็นหุ้นส่วนการค้าและการลงทุนใหญ่ที่สุด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011540 .............. Sondhi X
    Like
    13
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2368 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ลงนามคำสั่งรีดภาษีศุลากรสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนเมื่อวันเสาร์ (1 ก.พ.) และถูกทั้งสามชาติประกาศตอบโต้ทันควัน ขณะที่พวกนักวิเคราะห์แสดงความกังวล มาตรการครั้งนี้มีแนวโน้มทำให้อัตราเงินเฟ้อของอเมริกายิ่งเลวร้ายลง ทำลายความไว้ใจของประชาชนจำนวนมากที่โหวตให้ทรัมป์จากการหาเสียงจะทำให้ราคาสินค้าถูกลง รวมทั้งยังมีความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอีกด้วย
    .
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์บนโซเชียลมีเดียของตนในวันเสาร์ (1) ว่า มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรเช่นนี้มีความจำเป็นเพื่อปกป้องคนอเมริกัน และกดดันให้แคนาดา เม็กซิโก ตลอดจนจีน ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการควบคุมการผลิตและการส่งออกสารเสพติด “เฟนทานิล” ผิดกฎหมาย ซึ่งมีปลายทางอยู่ที่สหรัฐฯ รวมทั้งเป็นการเพิ่มแรงบีบให้แคนาดาและเม็กซิโกลดจำนวนผู้อาศัยดินแดนของพวกเขาลักลอบเดินทางเข้าสู่อเมริกา
    .
    ในคำสั่งฝ่ายบริหารที่เขาลงนามครั้งนี้ ซึ่งทรัมป์อ้างอำนาจตามรัฐบัญญัติให้อำนาจทางเศรษฐกิจแก่ประธานาธิบดีในกรณีฉุกเฉินระหว่างประเทศ กำหนดให้จัดเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้าทั้งหมดจากจีนสูงขึ้นอีก 10% ขณะที่สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะถูกเก็บเพิ่มในอัตรา 25% ยกเว้นเฉพาะพวกสินค้าพลังงานที่นำเข้าจากแคนาดา ซึ่งรวมถึงน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้า ให้ขึ้นภาษี 10%
    .
    อย่างไรก็ตาม มีเสียงแสดงความกังวลขึ้นในสหรัฐฯ ว่า หากบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรเป็นเวลานาน อาจทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อของอเมริกาเลวร้ายลง ซึ่งคุกคามความไว้วางใจของผู้มีสิทธิออกเสียงจำนวนมากที่ลงคะแนนเลือกทรัมป์เพื่อให้จัดการทำให้ราคาของชำ น้ำมันเบนซิน บ้าน รถ และสินค้าอื่นๆ ถูกลงตามที่หาเสียงไว้ ไม่เพียงเท่านั้นยังอาจเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมอีกด้วย
    .
    นอกจากนั้น คำสั่งของทรัมป์ครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงการให้สหรัฐฯ ใช้กลไกขึ้นภาษีขึ้นไปอีกเพื่อเล่นงานการตอบโต้เอาคืนของประเทศอื่นๆ จึงทำให้เห็นกันว่าเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดการสะดุดติดขัดทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงมากขึ้น
    .
    ยิ่งกว่านั้น ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ยังส่งสัญญาณว่า คำสั่งในวันเสาร์เป็นแค่หมัดแรกในการจัดการความขัดแย้งทางการค้า แถมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขายังประกาศว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรเอากับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปด้วย รวมทั้งเพิ่มภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจำพวกเซมิคอนดักเตอร์ เหล็กกล้า อะลูมิเนียม น้ำมัน และก๊าซ
    .
    หลังประกาศของทรัมป์ ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดว์ ของแคนาดา แถลงในวันเสาร์ว่า การดำเนินการเช่นนี้ของทำเนียบขาวทำให้สองประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านกันและมีนโยบายไปในแนวทางเดียวกันมาแต่ไหนแต่ไร เกิดความแตกแยกแทนที่จะสามัคคีกัน พร้อมประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรอัตรา 25% กับสินค้านำเข้าจากอเมริกามูลค่า 155,000 ล้านดอลลาร์ ที่รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และผลไม้ ตลอดจนถึงเรียกร้องให้คนแคนาดาใช้สินค้าและบริการในประเทศแทนที่จะซื้อของอเมริกา
    .
    ทรูโดว์เสริมว่า คนแคนาดาจำนวนมากรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง เนื่องจากที่ผ่านมา กองกำลังแคนาดาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอเมริกาในอัฟกานิสถาน รวมทั้งช่วยเหลือสหรัฐฯ ในการจัดการวิกฤตต่างๆ ตั้งแต่ไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย จนถึงเฮอร์ริเคนแคทรินา
    .
    ขณะที่ประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาม ของเม็กซิโก โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ปฏิเสธการใส่ร้ายของทำเนียบขาวที่ว่า รัฐบาลเม็กซิโกร่วมมือกับองค์การอาชญากรรม รวมทั้งคัดค้านเจตนารมณ์ของสหรัฐฯ ในการแทรกแซงดินแดนเม็กซิโก ก่อนสำทับว่า ได้สั่งให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจดำเนินการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเม็กซิโก
    .
    ผู้นำเม็กซิโกยังเหน็บทรัมป์ว่า ถ้ารัฐบาลและหน่วยงานของอเมริกาต้องการจัดการปัญหาการใช้เฟนทานิลอย่างจริงจังแล้ว ก็ควรต่อสู้กับการขายยาตามท้องถนนในเมืองใหญ่ๆ ของอเมริกา รวมถึงการฟอกเงิน
    .
    ด้านกระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุในวันอาทิตย์ (2) ว่า รัฐบาลจีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านความเคลื่อนไหวนี้ รวมทั้งจะดำเนินมาตรการตอบโต้ที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศ และสำทับว่า จีนเริ่มควบคุมยาที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลในรูปสารที่ต้องควบคุมตั้งแต่ปี 2019 และร่วมกับอเมริกาในการต่อต้านสารเสพติด พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ แก้ไขการดำเนินการที่ผิดพลาดครั้งนี้
    .
    นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์จีนยังเตรียมฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับแนวทางปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ของอเมริกา
    .
    มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร (4 ) ท่ามกลางความคิดเห็นที่ว่ามันอาจบ่อนทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยงานวิเคราะห์ชิ้นใหม่ของห้องปฏิบัติการงบประมาณ มหาวิทยาลัยเยล ระบุว่า มาตรการนี้อาจส่งผลให้ชาวอเมริกันแต่ละครัวเรือนสูญเสียรายได้เฉลี่ย 1,170 ดอลลาร์ เศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อสูงขึ้น และสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงหากประเทศอื่นๆ ตอบโต้
    .
    วุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์ จากพรรคเดโมแครตก็ เตือนว่า มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์อาจทำให้ค่าครองชีพคนอเมริกันพุ่งขึ้น
    .
    เกรเกอรี ดาโก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ อีวาย ชี้ว่า ต้นทุนสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นจะบ่อนทำลายการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนของภาคธุรกิจ และยังคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 0.7% ในไตรมาสแรกก่อนลดลงอย่างช้าๆ นอกจากนั้นนโยบายการค้าที่ไร้ความแน่นอนมากขึ้นจะทำให้ตลาดการเงินผันผวนหนักขึ้น
    .
    อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้สนับสนุนทรัมป์พยายามผ่อนคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ โดยบางคนบอกว่า แผนลดภาษีและผ่อนคลายกฎระเบียบที่ทรัมป์กำลังจะนำมาใช้จะช่วยกระตุ้นการเติบโตเป็นการชดเชย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010777
    ..................
    Sondhi X
    ทรัมป์ลงนามคำสั่งรีดภาษีศุลากรสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนเมื่อวันเสาร์ (1 ก.พ.) และถูกทั้งสามชาติประกาศตอบโต้ทันควัน ขณะที่พวกนักวิเคราะห์แสดงความกังวล มาตรการครั้งนี้มีแนวโน้มทำให้อัตราเงินเฟ้อของอเมริกายิ่งเลวร้ายลง ทำลายความไว้ใจของประชาชนจำนวนมากที่โหวตให้ทรัมป์จากการหาเสียงจะทำให้ราคาสินค้าถูกลง รวมทั้งยังมีความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอีกด้วย . ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์บนโซเชียลมีเดียของตนในวันเสาร์ (1) ว่า มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรเช่นนี้มีความจำเป็นเพื่อปกป้องคนอเมริกัน และกดดันให้แคนาดา เม็กซิโก ตลอดจนจีน ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการควบคุมการผลิตและการส่งออกสารเสพติด “เฟนทานิล” ผิดกฎหมาย ซึ่งมีปลายทางอยู่ที่สหรัฐฯ รวมทั้งเป็นการเพิ่มแรงบีบให้แคนาดาและเม็กซิโกลดจำนวนผู้อาศัยดินแดนของพวกเขาลักลอบเดินทางเข้าสู่อเมริกา . ในคำสั่งฝ่ายบริหารที่เขาลงนามครั้งนี้ ซึ่งทรัมป์อ้างอำนาจตามรัฐบัญญัติให้อำนาจทางเศรษฐกิจแก่ประธานาธิบดีในกรณีฉุกเฉินระหว่างประเทศ กำหนดให้จัดเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้าทั้งหมดจากจีนสูงขึ้นอีก 10% ขณะที่สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะถูกเก็บเพิ่มในอัตรา 25% ยกเว้นเฉพาะพวกสินค้าพลังงานที่นำเข้าจากแคนาดา ซึ่งรวมถึงน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้า ให้ขึ้นภาษี 10% . อย่างไรก็ตาม มีเสียงแสดงความกังวลขึ้นในสหรัฐฯ ว่า หากบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรเป็นเวลานาน อาจทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อของอเมริกาเลวร้ายลง ซึ่งคุกคามความไว้วางใจของผู้มีสิทธิออกเสียงจำนวนมากที่ลงคะแนนเลือกทรัมป์เพื่อให้จัดการทำให้ราคาของชำ น้ำมันเบนซิน บ้าน รถ และสินค้าอื่นๆ ถูกลงตามที่หาเสียงไว้ ไม่เพียงเท่านั้นยังอาจเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมอีกด้วย . นอกจากนั้น คำสั่งของทรัมป์ครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงการให้สหรัฐฯ ใช้กลไกขึ้นภาษีขึ้นไปอีกเพื่อเล่นงานการตอบโต้เอาคืนของประเทศอื่นๆ จึงทำให้เห็นกันว่าเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดการสะดุดติดขัดทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงมากขึ้น . ยิ่งกว่านั้น ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ยังส่งสัญญาณว่า คำสั่งในวันเสาร์เป็นแค่หมัดแรกในการจัดการความขัดแย้งทางการค้า แถมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขายังประกาศว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรเอากับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปด้วย รวมทั้งเพิ่มภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจำพวกเซมิคอนดักเตอร์ เหล็กกล้า อะลูมิเนียม น้ำมัน และก๊าซ . หลังประกาศของทรัมป์ ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดว์ ของแคนาดา แถลงในวันเสาร์ว่า การดำเนินการเช่นนี้ของทำเนียบขาวทำให้สองประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านกันและมีนโยบายไปในแนวทางเดียวกันมาแต่ไหนแต่ไร เกิดความแตกแยกแทนที่จะสามัคคีกัน พร้อมประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรอัตรา 25% กับสินค้านำเข้าจากอเมริกามูลค่า 155,000 ล้านดอลลาร์ ที่รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และผลไม้ ตลอดจนถึงเรียกร้องให้คนแคนาดาใช้สินค้าและบริการในประเทศแทนที่จะซื้อของอเมริกา . ทรูโดว์เสริมว่า คนแคนาดาจำนวนมากรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง เนื่องจากที่ผ่านมา กองกำลังแคนาดาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอเมริกาในอัฟกานิสถาน รวมทั้งช่วยเหลือสหรัฐฯ ในการจัดการวิกฤตต่างๆ ตั้งแต่ไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย จนถึงเฮอร์ริเคนแคทรินา . ขณะที่ประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาม ของเม็กซิโก โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ปฏิเสธการใส่ร้ายของทำเนียบขาวที่ว่า รัฐบาลเม็กซิโกร่วมมือกับองค์การอาชญากรรม รวมทั้งคัดค้านเจตนารมณ์ของสหรัฐฯ ในการแทรกแซงดินแดนเม็กซิโก ก่อนสำทับว่า ได้สั่งให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจดำเนินการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเม็กซิโก . ผู้นำเม็กซิโกยังเหน็บทรัมป์ว่า ถ้ารัฐบาลและหน่วยงานของอเมริกาต้องการจัดการปัญหาการใช้เฟนทานิลอย่างจริงจังแล้ว ก็ควรต่อสู้กับการขายยาตามท้องถนนในเมืองใหญ่ๆ ของอเมริกา รวมถึงการฟอกเงิน . ด้านกระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุในวันอาทิตย์ (2) ว่า รัฐบาลจีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านความเคลื่อนไหวนี้ รวมทั้งจะดำเนินมาตรการตอบโต้ที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศ และสำทับว่า จีนเริ่มควบคุมยาที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลในรูปสารที่ต้องควบคุมตั้งแต่ปี 2019 และร่วมกับอเมริกาในการต่อต้านสารเสพติด พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ แก้ไขการดำเนินการที่ผิดพลาดครั้งนี้ . นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์จีนยังเตรียมฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับแนวทางปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ของอเมริกา . มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร (4 ) ท่ามกลางความคิดเห็นที่ว่ามันอาจบ่อนทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยงานวิเคราะห์ชิ้นใหม่ของห้องปฏิบัติการงบประมาณ มหาวิทยาลัยเยล ระบุว่า มาตรการนี้อาจส่งผลให้ชาวอเมริกันแต่ละครัวเรือนสูญเสียรายได้เฉลี่ย 1,170 ดอลลาร์ เศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อสูงขึ้น และสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงหากประเทศอื่นๆ ตอบโต้ . วุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์ จากพรรคเดโมแครตก็ เตือนว่า มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์อาจทำให้ค่าครองชีพคนอเมริกันพุ่งขึ้น . เกรเกอรี ดาโก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ อีวาย ชี้ว่า ต้นทุนสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นจะบ่อนทำลายการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนของภาคธุรกิจ และยังคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 0.7% ในไตรมาสแรกก่อนลดลงอย่างช้าๆ นอกจากนั้นนโยบายการค้าที่ไร้ความแน่นอนมากขึ้นจะทำให้ตลาดการเงินผันผวนหนักขึ้น . อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้สนับสนุนทรัมป์พยายามผ่อนคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ โดยบางคนบอกว่า แผนลดภาษีและผ่อนคลายกฎระเบียบที่ทรัมป์กำลังจะนำมาใช้จะช่วยกระตุ้นการเติบโตเป็นการชดเชย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010777 .................. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1509 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามใน "คำสั่งฝ่ายบริหาร" ที่สั่งให้หน่วยงานต่างๆ ปราบปรามการต่อต้านชาวยิวเพื่อตอบสนองต่อการประท้วงสงครามในฉนวนกาซา

    คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้มหาวิทยาลัยต้องรายงานพฤติกรรมนักศึกษาและเจ้าหน้าที่ต่างชาติที่แสดงความเห็นต่อต้านชาวยิว รวมถึงแสดงความเห็นใจและสนับสนุนต่อกลุ่มฮามาส และต้องแน่ใจว่าการรายงานดังกล่าวจะสามารถนำไปสู่การสืบสวนและการเนรเทศเมื่อจำเป็น

    ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ อย่างแข็งกร้าว โดยอ้างถึงความล้มเหลวในการปกป้องนักศึกษาชาวยิวหลังวันที่ 7 ตุลาคม และสั่งให้หน่วยงานต่างๆ ใช้ทุกวิถีทางทางกฎหมายเพื่อปราบปรามการต่อต้านชาวยิว
    ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามใน "คำสั่งฝ่ายบริหาร" ที่สั่งให้หน่วยงานต่างๆ ปราบปรามการต่อต้านชาวยิวเพื่อตอบสนองต่อการประท้วงสงครามในฉนวนกาซา คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้มหาวิทยาลัยต้องรายงานพฤติกรรมนักศึกษาและเจ้าหน้าที่ต่างชาติที่แสดงความเห็นต่อต้านชาวยิว รวมถึงแสดงความเห็นใจและสนับสนุนต่อกลุ่มฮามาส และต้องแน่ใจว่าการรายงานดังกล่าวจะสามารถนำไปสู่การสืบสวนและการเนรเทศเมื่อจำเป็น ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ อย่างแข็งกร้าว โดยอ้างถึงความล้มเหลวในการปกป้องนักศึกษาชาวยิวหลังวันที่ 7 ตุลาคม และสั่งให้หน่วยงานต่างๆ ใช้ทุกวิถีทางทางกฎหมายเพื่อปราบปรามการต่อต้านชาวยิว
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษาสั่งระงับคำสั่งทรัมป์ในการพักการให้เงินกู้ เงินให้เปล่า และความช่วยเหลือทางการเงินอื่นๆ ของรัฐบาลกลางเป็นการชั่วคราว ตามการฟ้องร้องของกลุ่มที่เป็นตัวแทนองค์กรไม่หวังผลกำไร บุคลากรทางการแพทย์ และธุรกิจขนาดเล็กที่ระบุว่า คำสั่งของทำเนียบขาวอาจกระทบต่อโครงการที่ให้ความช่วยเหลือชาวอเมริกันหลายสิบล้านคน
    .
    ลอเรน อาลีข่าน ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ สั่งให้คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระงับการขัดขวางการให้เงินช่วยเหลือโครงการต่างๆ จนถึงวันที่ 3 ก.พ. ซึ่งจะมีการให้การในศาลที่วอชิงตัน
    .
    คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ในส่วนนี้เป็นขั้นตอนล่าสุดของความพยายามยกเครื่องรัฐบาลกลาง โดยก่อนหน้านี้เขาสั่งระงับการให้ความช่วยเหลือต่างชาติ ระงับการจ้างงาน และยกเลิกโครงการความหลากหลายในหน่วยงานรัฐบาลหลายสิบแห่ง
    .
    พรรคเดโมแครตโจมตีคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือว่า เป็นการโจมตีอำนาจของคองเกรสในการกำกับดูแลการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางอย่างผิดกฎหมาย อีกทั้งทำให้การจ่ายเงินให้แพทย์และครูที่ดูแลเด็กก่อนวัยเรียนหยุดชะงัก ทว่า รีพับลิกันอ้างว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการทำตามคำสัญญาระหว่างหาเสียงของทรัมป์ในการควบคุมงบประมาณที่มากผิดปกติของรัฐบาล
    .
    นอกจากนั้น คณะบริหารของทรัมป์ยังยืนยันว่า โปรแกรมที่มอบสิทธิพิเศษที่สำคัญให้แก่ประชาชนจะไม่ได้รับผลกระทบ
    .
    ทว่า วุฒิสมาชิกรอน ไวเดน จากพรรคเดโมแครต เผยว่า ได้รับการยืนยันจากแพทย์จากทั้ง 50 รัฐว่า ไม่ได้รับเงินจากโครงการเมดิแคร์ที่ให้การประกันสุขภาพชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่ำ 70 ล้านคน
    .
    แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า รัฐบาลกลางรับรู้ว่า พอร์ทัลเมดิเคดเกิดการขัดข้องและจะกลับมาออนไลน์ได้ตามปกติเร็วๆ นี้ พร้อมยืนยันว่า การจ่ายเงินไม่ได้รับผลกระทบ
    .
    คำสั่งดังกล่าวที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของสำนักงานงบประมาณทำเนียบขาวระบุให้ระงับเงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลกลางนับจากเวลา 17.00 น. วันอังคาร (28 ม.ค.) โดยครอบคลุมถึงเงินช่วยเหลือต่างชาติ
    .
    และองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) พร้อมสั่งการให้หน่วยงาน 55 แห่งตรวจสอบโครงการเงินให้เปล่ากว่า 2,600 โครงการ
    .
    ทำเนียบขาวยืนยันว่า การระงับเงินช่วยเหลือจะไม่กระทบต่อการจ่ายเงินของโครงการสวัสดิการสังคม หรือเมดิแคร์ที่ให้แก่ผู้สูงวัยหรือความช่วยเหลือโดยตรงแก่ประชาชน เช่น ความช่วยเหลือด้านอาหารและโครงการสวัสดิการสำหรับผู้ยากไร้
    .
    ทั้งนี้ เงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลมีความสำคัญต่อทุกแง่มุมชีวิตของคนอเมริกันอย่างแท้จริง โดยเงินนับล้านล้านดอลลาร์ถูกอัดฉีดให้โครงการด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการต่อสู้กับความยากจน ให้ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย บรรเทาทุกข์ในเหตุการณ์ภัยพิบัติ สนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานและอื่นๆ อีกมากมาย
    .
    ในบันทึกฉบับที่สอง ทำเนียบขาวระบุว่า เงินสนับสนุนสำหรับโครงการเมดิเคด เกษตรกร ธุรกิจขนาดเล็ก ความช่วยเหลือสำหรับผู้จ่ายค่าเช่า และโครงการเฮดสตาร์ตสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนจะดำเนินต่อไปโดยไม่มีการหยุดชะงัก
    .
    ทว่า วุฒิสมาชิกคริส เมอร์ฟีย์ จากพรรคเดโมแครต ระบุว่า ระบบเบิกจ่ายของโครงการเฮดสตาร์ตในรัฐคอนเน็กติกัตของตนถูกปิด ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ได้
    .
    ขณะเดียวกัน ซารา แรตเนอร์ จากบริษัทด้านการดูแลสุขภาพ โนมิ เฮลธ์ สำทับว่า หากรัฐบาลกลางระงับเงินช่วยเหลือแก่ผู้รับเหมาสัญญาเมดิเคด อาจทำให้บริษัทเหล่านั้นต้องปิดกิจการตามๆ กัน
    .
    บันทึกของทำเนียบขาวดูเหมือนไม่มีข้อยกเว้นในการตัดความช่วยเหลือสำหรับภัยพิบัติให้แก่พื้นที่อย่างลอสแองเจลิสและด้านตะวันตกของรัฐนอร์ธแคโรไลนาที่เสียหายหนักจากภัยธรรมชาติ แม้ทรัมป์ให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะให้การสนับสนุนระหว่างเดินทางไปยังพื้นที่ประสบภัยทั้งสองแห่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ตาม
    .
    ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพยายามทำความเข้าใจว่า จะดำเนินการตามคำสั่งใหม่ของคณะบริหารอย่างไร
    .
    พรรครีพับลิกันของทรัมป์พยายามผลักดันการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลมาโดยตลอด แม้ทรัมป์ให้สัญญาว่า จะไม่แตะต้องโครงการสวัสดิการสังคมและเมดิแคร์ที่เป็นองค์ประกอบเกือบ 1 ใน 3 ของงบประมาณก็ตาม
    .
    ทว่า เดโมแครตวิจารณ์ว่า การระงับการใช้จ่ายดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและอันตราย เนื่องจากครอบครัวอเมริกันชนคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด
    .
    อนึ่ง รัฐธรรมนูญของอเมริกาให้อำนาจคองเกรสในการควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาล ทว่า ทรัมป์ประกาศระหว่างหาเสียงว่า เขาเชื่อว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจในการระงับการใช้จ่ายในโครงการที่ตนเองไม่ชอบ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009485
    ..............
    Sondhi X
    ผู้พิพากษาสั่งระงับคำสั่งทรัมป์ในการพักการให้เงินกู้ เงินให้เปล่า และความช่วยเหลือทางการเงินอื่นๆ ของรัฐบาลกลางเป็นการชั่วคราว ตามการฟ้องร้องของกลุ่มที่เป็นตัวแทนองค์กรไม่หวังผลกำไร บุคลากรทางการแพทย์ และธุรกิจขนาดเล็กที่ระบุว่า คำสั่งของทำเนียบขาวอาจกระทบต่อโครงการที่ให้ความช่วยเหลือชาวอเมริกันหลายสิบล้านคน . ลอเรน อาลีข่าน ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ สั่งให้คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระงับการขัดขวางการให้เงินช่วยเหลือโครงการต่างๆ จนถึงวันที่ 3 ก.พ. ซึ่งจะมีการให้การในศาลที่วอชิงตัน . คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ในส่วนนี้เป็นขั้นตอนล่าสุดของความพยายามยกเครื่องรัฐบาลกลาง โดยก่อนหน้านี้เขาสั่งระงับการให้ความช่วยเหลือต่างชาติ ระงับการจ้างงาน และยกเลิกโครงการความหลากหลายในหน่วยงานรัฐบาลหลายสิบแห่ง . พรรคเดโมแครตโจมตีคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือว่า เป็นการโจมตีอำนาจของคองเกรสในการกำกับดูแลการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางอย่างผิดกฎหมาย อีกทั้งทำให้การจ่ายเงินให้แพทย์และครูที่ดูแลเด็กก่อนวัยเรียนหยุดชะงัก ทว่า รีพับลิกันอ้างว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการทำตามคำสัญญาระหว่างหาเสียงของทรัมป์ในการควบคุมงบประมาณที่มากผิดปกติของรัฐบาล . นอกจากนั้น คณะบริหารของทรัมป์ยังยืนยันว่า โปรแกรมที่มอบสิทธิพิเศษที่สำคัญให้แก่ประชาชนจะไม่ได้รับผลกระทบ . ทว่า วุฒิสมาชิกรอน ไวเดน จากพรรคเดโมแครต เผยว่า ได้รับการยืนยันจากแพทย์จากทั้ง 50 รัฐว่า ไม่ได้รับเงินจากโครงการเมดิแคร์ที่ให้การประกันสุขภาพชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่ำ 70 ล้านคน . แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า รัฐบาลกลางรับรู้ว่า พอร์ทัลเมดิเคดเกิดการขัดข้องและจะกลับมาออนไลน์ได้ตามปกติเร็วๆ นี้ พร้อมยืนยันว่า การจ่ายเงินไม่ได้รับผลกระทบ . คำสั่งดังกล่าวที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของสำนักงานงบประมาณทำเนียบขาวระบุให้ระงับเงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลกลางนับจากเวลา 17.00 น. วันอังคาร (28 ม.ค.) โดยครอบคลุมถึงเงินช่วยเหลือต่างชาติ . และองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) พร้อมสั่งการให้หน่วยงาน 55 แห่งตรวจสอบโครงการเงินให้เปล่ากว่า 2,600 โครงการ . ทำเนียบขาวยืนยันว่า การระงับเงินช่วยเหลือจะไม่กระทบต่อการจ่ายเงินของโครงการสวัสดิการสังคม หรือเมดิแคร์ที่ให้แก่ผู้สูงวัยหรือความช่วยเหลือโดยตรงแก่ประชาชน เช่น ความช่วยเหลือด้านอาหารและโครงการสวัสดิการสำหรับผู้ยากไร้ . ทั้งนี้ เงินให้เปล่าและเงินกู้ของรัฐบาลมีความสำคัญต่อทุกแง่มุมชีวิตของคนอเมริกันอย่างแท้จริง โดยเงินนับล้านล้านดอลลาร์ถูกอัดฉีดให้โครงการด้านการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการต่อสู้กับความยากจน ให้ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย บรรเทาทุกข์ในเหตุการณ์ภัยพิบัติ สนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานและอื่นๆ อีกมากมาย . ในบันทึกฉบับที่สอง ทำเนียบขาวระบุว่า เงินสนับสนุนสำหรับโครงการเมดิเคด เกษตรกร ธุรกิจขนาดเล็ก ความช่วยเหลือสำหรับผู้จ่ายค่าเช่า และโครงการเฮดสตาร์ตสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนจะดำเนินต่อไปโดยไม่มีการหยุดชะงัก . ทว่า วุฒิสมาชิกคริส เมอร์ฟีย์ จากพรรคเดโมแครต ระบุว่า ระบบเบิกจ่ายของโครงการเฮดสตาร์ตในรัฐคอนเน็กติกัตของตนถูกปิด ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ได้ . ขณะเดียวกัน ซารา แรตเนอร์ จากบริษัทด้านการดูแลสุขภาพ โนมิ เฮลธ์ สำทับว่า หากรัฐบาลกลางระงับเงินช่วยเหลือแก่ผู้รับเหมาสัญญาเมดิเคด อาจทำให้บริษัทเหล่านั้นต้องปิดกิจการตามๆ กัน . บันทึกของทำเนียบขาวดูเหมือนไม่มีข้อยกเว้นในการตัดความช่วยเหลือสำหรับภัยพิบัติให้แก่พื้นที่อย่างลอสแองเจลิสและด้านตะวันตกของรัฐนอร์ธแคโรไลนาที่เสียหายหนักจากภัยธรรมชาติ แม้ทรัมป์ให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะให้การสนับสนุนระหว่างเดินทางไปยังพื้นที่ประสบภัยทั้งสองแห่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ตาม . ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพยายามทำความเข้าใจว่า จะดำเนินการตามคำสั่งใหม่ของคณะบริหารอย่างไร . พรรครีพับลิกันของทรัมป์พยายามผลักดันการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลมาโดยตลอด แม้ทรัมป์ให้สัญญาว่า จะไม่แตะต้องโครงการสวัสดิการสังคมและเมดิแคร์ที่เป็นองค์ประกอบเกือบ 1 ใน 3 ของงบประมาณก็ตาม . ทว่า เดโมแครตวิจารณ์ว่า การระงับการใช้จ่ายดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและอันตราย เนื่องจากครอบครัวอเมริกันชนคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด . อนึ่ง รัฐธรรมนูญของอเมริกาให้อำนาจคองเกรสในการควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาล ทว่า ทรัมป์ประกาศระหว่างหาเสียงว่า เขาเชื่อว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจในการระงับการใช้จ่ายในโครงการที่ตนเองไม่ชอบ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009485 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2320 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์สั่งตรวจสอบเพื่อหาทางกำหนดบทลงโทษ และเนรเทศ ลัทธิต่อต้านชาวยิว รวมถึงนักศึกษาที่ถือวีซ่า

    คาดว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในวันพุธ เพื่อสั่งให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางทั้งหมดระบุหน่วยงานแพ่งและอาญาที่มีอยู่ ปราบปรามการต่อต้านชาวยิว รวมถึงหาวิธีเนรเทศนักเคลื่อนไหวต่อต้านชาวยิวที่ละเมิดกฎหมาย

    คาดว่าคำสั่งดังกล่าว จะกำหนดให้ผู้นำหน่วยงานและกระทรวงต่างๆ จัดเตรียมคำแนะนำให้กับทำเนียบขาวภายใน 60 วัน และระบุแผนในการสืบสวนการพ่นสีและการข่มขู่ที่สนับสนุนกลุ่มฮามาส รวมถึงในมหาวิทยาลัย
    ทรัมป์สั่งตรวจสอบเพื่อหาทางกำหนดบทลงโทษ และเนรเทศ ลัทธิต่อต้านชาวยิว รวมถึงนักศึกษาที่ถือวีซ่า คาดว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในวันพุธ เพื่อสั่งให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางทั้งหมดระบุหน่วยงานแพ่งและอาญาที่มีอยู่ ปราบปรามการต่อต้านชาวยิว รวมถึงหาวิธีเนรเทศนักเคลื่อนไหวต่อต้านชาวยิวที่ละเมิดกฎหมาย คาดว่าคำสั่งดังกล่าว จะกำหนดให้ผู้นำหน่วยงานและกระทรวงต่างๆ จัดเตรียมคำแนะนำให้กับทำเนียบขาวภายใน 60 วัน และระบุแผนในการสืบสวนการพ่นสีและการข่มขู่ที่สนับสนุนกลุ่มฮามาส รวมถึงในมหาวิทยาลัย
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ชี้ “ดีปซีค” (DeepSeek) แชตบอตเอไอจีน ที่เขย่าหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ไฮเทคของสหรัฐฯ ร่วงหนักเมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.) ควรเป็น “สัญญาณเตือน” ซิลลิคอนแวลลีย์ให้ยิ่งมุ่งมั่นทุ่มเทความสนใจเพื่อเอาชนะจีน
    .
    ถึงแม้การเปิดตัวโมเดลล่าสุดของดีปซีค บริษัทสตาร์ทอัปปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ซึ่งตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ทางภาคตะวันออกของจีน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในช่วงแรกๆ ถูกกลบจนเงียบสนิทจากข่าวพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จัดขึ้นในวันเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แชตบอตของดีปซีค สามารถโค่นยักษ์แชตจีพีทีของค่ายโอเพ่นเอไอ กลายเป็นแอปฟรีที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดบนแอปสโตร์ของแอปเปิลในอเมริกา
    .
    สิ่งที่ทำให้อุตสาหกรรมไฮเทคของสหรัฐฯ และค่ายตะวันตกโดยรวมนั่งไม่ติด คือ การที่ดีปซีคระบุว่า พัฒนาโมเดลล่าสุดที่ใช้ชื่อว่า อาร์1 นี้ ด้วยต้นทุนแค่เศษเงินของที่บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ลงทุนในการพัฒนาเอไอ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วอิงอยู่กับชิป และซอฟต์แวร์ราคาแพงของเอ็นวิเดีย
    .
    พัฒนาการดังกล่าวมีความสำคัญมากเนื่องจากกระแสเอไอที่จุดชนวนจากการเปิดตัวแชตจีพีทีเมื่อปลายปี 2022 นั้น กลายเป็นกระแสร้อนแรงต่อเนื่อง ส่งผลให้หุ้นไฮเทคในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ และโลกตะวันตกอื่นๆ พุ่งแรงไม่มีตกเรื่อยมา โดยเฉพาะทำให้เอ็นวิเดียกลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงที่สุดในโลกในขณะนี้
    .
    ข่าวความฮิตฮอตของดีปซีค กำลังสั่นสะเทือนทั่ววงการเทคโนโลยีของอเมริกา และปลุกเร้าความกังวลสำคัญที่ว่า บรรดาบริษัทไฮเทคยักษ์ใหญ่ยังควรยึดโมเดลเดิม ด้วยการลงทุนเป็นแสนๆ ล้านดอลลาร์กับเอไอแบบราคาแพงต่อไปหรือไม่ ในเมื่อบริษัทจีนอย่างดีปซีค สามารถพัฒนาโมเดลเอไอที่มีประสิทธิภาพทัดเทียมด้วยต้นทุนต่ำกว่ามากมาย
    .
    นอกจากนั้น ความก้าวหน้าอย่างชัดเจนของดีปซีค ยังควรสร้างความขุ่นเคืองและตระหนกให้แก่วอชิงตัน เนื่องจากมันฟ้องว่า การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งแต่ยุค โจ ไบเดน พยายามรักษาสถานะผู้นำด้านเทคโนโลยีของอเมริกาเอาไว้ ด้วยการกีดกันแซงก์ชันไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีล่าสุดทางด้านเซมิคอนดักเตอร์ ที่ถูกมองว่าเป็นฮาร์ดแวร์อันจำเป็นสำหรับการพัฒนาเอไอที่ล้ำยุคนั้น กลับไม่ได้ผลโดยสิ้นเชิง
    .
    ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาแสดงความเห็นทันควันในวันจันทร์ (27) ว่า การเปิดตัวดีปซีคควรถือเป็นสัญญาณเตือนว่า อุตสาหกรรมไฮเทคของอเมริกาต้องทุ่มเทความสนใจในการเอาชนะจีน
    .
    อย่างไรก็ดี ทรัมป์สำทับว่า นี่อาจเป็นเรื่องที่ดีสำหรับบิ๊กเทคอเมริกา เพราะไม่ต้องลงทุนเป็นหมื่นล้านป็นแสนล้านดอลลาร์ ก็มีโซลูชันแบบเดียวกันได้
    .
    ทางด้าน แซม อัลต์แมน ประธานบริหารโอเพ่นเอไอ โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า การมีคู่แข่งใหม่ๆ ทำให้ทั้งวงการมีความกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา พร้อมชมดีปซีค อาร์1 เป็นโมเดลที่น่าประทับใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความสามารถที่นำเสนอจากต้นทุนระดับนั้น เขายังให้สัญญว่า โอเพ่นเอไอ จะเร่งปล่อยโมเดลใหม่ๆ ออกมา
    .
    ขณะที่ เดวิด แซคส์ ที่ปรึกษาด้านเอไอของทรัมป์และเป็นนักลงทุนด้านเทคโนโลยีชื่อดัง ชี้ว่า ความสำเร็จของดีปซีคยืนยันว่า ทำเนียบขาวตัดสินใจถูกต้องแล้วในการยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับการพัฒนาเอไอ เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อบริษัทเอไอของอเมริกาโดยไม่มีหลักประกันว่า จีนจะไล่ตามไม่ทัน
    .
    สำหรับ มาร์ก แอนเดรสเซน นักลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เป็นพันธมิตรอีกคนหนึ่งของทรัมป์ ระบุว่า ดีปซีค อาร์1 เป็น “สปุตนิก โมเมนต์” ซึ่งหมายถึงเหตุการณ์ที่สหภาพโซเวียตปล่อยสปุตนิก กลายเป็นดาวเทียมโคจรรอบโลกดวงแรกของโลก เมื่อปี 1957 โดยเวลานั้นสหรัฐฯ ยังทำเช่นนั้นไม่ได้ โลกตะวันตกจึงทั้งทึ่งและตกตะลึงไปตามๆ กัน
    .
    แคธลีน บรูคส์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของเอ็กซ์ทีบี ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าจีนไล่ตามอเมริกาในการแข่งขันด้านเอไอได้เร็วขนาดนี้ เศรษฐศาสตร์ของเอไอจะต้องเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
    .
    สัตยา นาเดลลา ซีอีโอไมโครซอฟท์ โพสต์ก่อนที่ตลาดจะเปิดทำการในวันจันทร์ว่า เอไอต้นทุนต่ำเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกคน กระนั้น ในที่ประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรัมที่ดาวอส เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขาเตือนว่า ตะวันตกควรจับตาพัฒนาการของจีนอย่างจริงจังมาก
    .
    ไมโครซอฟท์นั้นประกาศเอาไว้ว่า ปีนี้มีแผนลงทุนในเอไอ 80,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนคู่แข่งอย่างเมตา ก็ประกาศลงทุนอย่างน้อย 60,000 ล้านดอลลาร์
    .
    คาดกันไว้ว่าเม็ดเงินเหล่านี้จำนวนมากจะไปตกอยู่กับเอ็นวิเดีย ซึ่งเวลานี้เป็นเจ้าในเรื่องชิปเอไอระดับล้ำยุคที่ใช้กับเอไอ แต่เมื่อมีข่าวดีปชีคออกมา ราคาหุ้นของเอ็นวิเดีย จึงกลับร่วงหนักถึง 17% ในการซื้อขายเมื่อวันจันทร์
    .
    ถือว่าสถานการณ์พิเศษมากที่ดีปซีค ซึ่งก็เช่นเดียวกับพวกบริษัทจีนอื่นๆ ถูกมาตรการจำกัดกีดกันของรัฐบาลสหรัฐฯ จึงไม่สามารถเข้าถึงเซมิคอนดักเตอร์ระดับล้ำยุคของเอ็นวิเดียได้ กลับสามารถพัฒนาโมเดลเอไอของตนลลจนทัดเทียมกับพวกยักษ์แนวหน้าระดับโลกได้
    .
    วารสาร เอ็มไอที เทคโนโลยี รีวิว ชี้ว่า มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯนั่นเอง ที่ผลักดันให้สตาร์ทอัปจีนอย่างดีปซีค ต้องค้นหาหนทางที่เป็นนวัตกรรม ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านซอฟต์แวร์ มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพของชิปรุ่นเก่ากว่าเท่าที่จะหาได้ ตลอดจนเน้นการรวมเครือข่ายทรัพยากร และการร่วมมือประสานงานกัน
    .
    กระนั้น อีลอน มัสก์ ที่ลงทุนก้อนใหญ่ในชิปเอ็นวิเดียสำหรับบริษัทเอไอของตนเองคือ เอ็กซ์เอไอ รวมทั้งยังเป็นซีอีโอของสเกลเอไอ สตาร์ทอัปชื่อดังแห่งซิลลิคอนแวลลีย์ที่ได้รับการสนับสนุนจากแอมะซอนและเมตา ออกมาแสดงความสงสัยข้องใจว่า ดีปซีค น่าจะแอบเข้าถึงชิปเอช100 ของเอ็นวิเดียอย่างผิดกฎหมาย
    .
    อย่างไรก็ดี เอ็นวิเดียออกคำแถลงยืนยันว่า เทคโนโลยีของดีปซีคปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ อย่างครบถ้วน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009080
    ..............
    Sondhi X
    ทรัมป์ชี้ “ดีปซีค” (DeepSeek) แชตบอตเอไอจีน ที่เขย่าหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ไฮเทคของสหรัฐฯ ร่วงหนักเมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.) ควรเป็น “สัญญาณเตือน” ซิลลิคอนแวลลีย์ให้ยิ่งมุ่งมั่นทุ่มเทความสนใจเพื่อเอาชนะจีน . ถึงแม้การเปิดตัวโมเดลล่าสุดของดีปซีค บริษัทสตาร์ทอัปปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ซึ่งตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ทางภาคตะวันออกของจีน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในช่วงแรกๆ ถูกกลบจนเงียบสนิทจากข่าวพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จัดขึ้นในวันเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แชตบอตของดีปซีค สามารถโค่นยักษ์แชตจีพีทีของค่ายโอเพ่นเอไอ กลายเป็นแอปฟรีที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดบนแอปสโตร์ของแอปเปิลในอเมริกา . สิ่งที่ทำให้อุตสาหกรรมไฮเทคของสหรัฐฯ และค่ายตะวันตกโดยรวมนั่งไม่ติด คือ การที่ดีปซีคระบุว่า พัฒนาโมเดลล่าสุดที่ใช้ชื่อว่า อาร์1 นี้ ด้วยต้นทุนแค่เศษเงินของที่บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ลงทุนในการพัฒนาเอไอ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วอิงอยู่กับชิป และซอฟต์แวร์ราคาแพงของเอ็นวิเดีย . พัฒนาการดังกล่าวมีความสำคัญมากเนื่องจากกระแสเอไอที่จุดชนวนจากการเปิดตัวแชตจีพีทีเมื่อปลายปี 2022 นั้น กลายเป็นกระแสร้อนแรงต่อเนื่อง ส่งผลให้หุ้นไฮเทคในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ และโลกตะวันตกอื่นๆ พุ่งแรงไม่มีตกเรื่อยมา โดยเฉพาะทำให้เอ็นวิเดียกลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงที่สุดในโลกในขณะนี้ . ข่าวความฮิตฮอตของดีปซีค กำลังสั่นสะเทือนทั่ววงการเทคโนโลยีของอเมริกา และปลุกเร้าความกังวลสำคัญที่ว่า บรรดาบริษัทไฮเทคยักษ์ใหญ่ยังควรยึดโมเดลเดิม ด้วยการลงทุนเป็นแสนๆ ล้านดอลลาร์กับเอไอแบบราคาแพงต่อไปหรือไม่ ในเมื่อบริษัทจีนอย่างดีปซีค สามารถพัฒนาโมเดลเอไอที่มีประสิทธิภาพทัดเทียมด้วยต้นทุนต่ำกว่ามากมาย . นอกจากนั้น ความก้าวหน้าอย่างชัดเจนของดีปซีค ยังควรสร้างความขุ่นเคืองและตระหนกให้แก่วอชิงตัน เนื่องจากมันฟ้องว่า การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งแต่ยุค โจ ไบเดน พยายามรักษาสถานะผู้นำด้านเทคโนโลยีของอเมริกาเอาไว้ ด้วยการกีดกันแซงก์ชันไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีล่าสุดทางด้านเซมิคอนดักเตอร์ ที่ถูกมองว่าเป็นฮาร์ดแวร์อันจำเป็นสำหรับการพัฒนาเอไอที่ล้ำยุคนั้น กลับไม่ได้ผลโดยสิ้นเชิง . ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาแสดงความเห็นทันควันในวันจันทร์ (27) ว่า การเปิดตัวดีปซีคควรถือเป็นสัญญาณเตือนว่า อุตสาหกรรมไฮเทคของอเมริกาต้องทุ่มเทความสนใจในการเอาชนะจีน . อย่างไรก็ดี ทรัมป์สำทับว่า นี่อาจเป็นเรื่องที่ดีสำหรับบิ๊กเทคอเมริกา เพราะไม่ต้องลงทุนเป็นหมื่นล้านป็นแสนล้านดอลลาร์ ก็มีโซลูชันแบบเดียวกันได้ . ทางด้าน แซม อัลต์แมน ประธานบริหารโอเพ่นเอไอ โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า การมีคู่แข่งใหม่ๆ ทำให้ทั้งวงการมีความกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา พร้อมชมดีปซีค อาร์1 เป็นโมเดลที่น่าประทับใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความสามารถที่นำเสนอจากต้นทุนระดับนั้น เขายังให้สัญญว่า โอเพ่นเอไอ จะเร่งปล่อยโมเดลใหม่ๆ ออกมา . ขณะที่ เดวิด แซคส์ ที่ปรึกษาด้านเอไอของทรัมป์และเป็นนักลงทุนด้านเทคโนโลยีชื่อดัง ชี้ว่า ความสำเร็จของดีปซีคยืนยันว่า ทำเนียบขาวตัดสินใจถูกต้องแล้วในการยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับการพัฒนาเอไอ เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อบริษัทเอไอของอเมริกาโดยไม่มีหลักประกันว่า จีนจะไล่ตามไม่ทัน . สำหรับ มาร์ก แอนเดรสเซน นักลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เป็นพันธมิตรอีกคนหนึ่งของทรัมป์ ระบุว่า ดีปซีค อาร์1 เป็น “สปุตนิก โมเมนต์” ซึ่งหมายถึงเหตุการณ์ที่สหภาพโซเวียตปล่อยสปุตนิก กลายเป็นดาวเทียมโคจรรอบโลกดวงแรกของโลก เมื่อปี 1957 โดยเวลานั้นสหรัฐฯ ยังทำเช่นนั้นไม่ได้ โลกตะวันตกจึงทั้งทึ่งและตกตะลึงไปตามๆ กัน . แคธลีน บรูคส์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของเอ็กซ์ทีบี ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าจีนไล่ตามอเมริกาในการแข่งขันด้านเอไอได้เร็วขนาดนี้ เศรษฐศาสตร์ของเอไอจะต้องเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง . สัตยา นาเดลลา ซีอีโอไมโครซอฟท์ โพสต์ก่อนที่ตลาดจะเปิดทำการในวันจันทร์ว่า เอไอต้นทุนต่ำเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกคน กระนั้น ในที่ประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรัมที่ดาวอส เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขาเตือนว่า ตะวันตกควรจับตาพัฒนาการของจีนอย่างจริงจังมาก . ไมโครซอฟท์นั้นประกาศเอาไว้ว่า ปีนี้มีแผนลงทุนในเอไอ 80,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนคู่แข่งอย่างเมตา ก็ประกาศลงทุนอย่างน้อย 60,000 ล้านดอลลาร์ . คาดกันไว้ว่าเม็ดเงินเหล่านี้จำนวนมากจะไปตกอยู่กับเอ็นวิเดีย ซึ่งเวลานี้เป็นเจ้าในเรื่องชิปเอไอระดับล้ำยุคที่ใช้กับเอไอ แต่เมื่อมีข่าวดีปชีคออกมา ราคาหุ้นของเอ็นวิเดีย จึงกลับร่วงหนักถึง 17% ในการซื้อขายเมื่อวันจันทร์ . ถือว่าสถานการณ์พิเศษมากที่ดีปซีค ซึ่งก็เช่นเดียวกับพวกบริษัทจีนอื่นๆ ถูกมาตรการจำกัดกีดกันของรัฐบาลสหรัฐฯ จึงไม่สามารถเข้าถึงเซมิคอนดักเตอร์ระดับล้ำยุคของเอ็นวิเดียได้ กลับสามารถพัฒนาโมเดลเอไอของตนลลจนทัดเทียมกับพวกยักษ์แนวหน้าระดับโลกได้ . วารสาร เอ็มไอที เทคโนโลยี รีวิว ชี้ว่า มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯนั่นเอง ที่ผลักดันให้สตาร์ทอัปจีนอย่างดีปซีค ต้องค้นหาหนทางที่เป็นนวัตกรรม ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านซอฟต์แวร์ มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพของชิปรุ่นเก่ากว่าเท่าที่จะหาได้ ตลอดจนเน้นการรวมเครือข่ายทรัพยากร และการร่วมมือประสานงานกัน . กระนั้น อีลอน มัสก์ ที่ลงทุนก้อนใหญ่ในชิปเอ็นวิเดียสำหรับบริษัทเอไอของตนเองคือ เอ็กซ์เอไอ รวมทั้งยังเป็นซีอีโอของสเกลเอไอ สตาร์ทอัปชื่อดังแห่งซิลลิคอนแวลลีย์ที่ได้รับการสนับสนุนจากแอมะซอนและเมตา ออกมาแสดงความสงสัยข้องใจว่า ดีปซีค น่าจะแอบเข้าถึงชิปเอช100 ของเอ็นวิเดียอย่างผิดกฎหมาย . อย่างไรก็ดี เอ็นวิเดียออกคำแถลงยืนยันว่า เทคโนโลยีของดีปซีคปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ อย่างครบถ้วน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009080 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    9
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2070 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์กำลังพิจารณากลับเข้าร่วม WHO อีกครั้ง! หลังจากเพิ่งลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกได้เพียงไม่กี่วัน

    “บางทีเราอาจพิจารณาอีกครั้ง ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่พวกเขาควรต้องจัดการทำความสะอาดองค์กรนี้สักหน่อย” ประธานาธิบดีกล่าวในการชุมนุมที่ Circa Resort & Casino ในลาสเวกัส

    ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์มักจะวิจารณ์องค์การอนามัยโลกมายาวนานในสิ่งที่เขาเรียกว่า “ความล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน” และได้กล่าวถึงการสนับสนุนทางการเงินของสหรัฐว่า “เป็นภาระหนัก”
    ทรัมป์กำลังพิจารณากลับเข้าร่วม WHO อีกครั้ง! หลังจากเพิ่งลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกได้เพียงไม่กี่วัน “บางทีเราอาจพิจารณาอีกครั้ง ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่พวกเขาควรต้องจัดการทำความสะอาดองค์กรนี้สักหน่อย” ประธานาธิบดีกล่าวในการชุมนุมที่ Circa Resort & Casino ในลาสเวกัส ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์มักจะวิจารณ์องค์การอนามัยโลกมายาวนานในสิ่งที่เขาเรียกว่า “ความล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน” และได้กล่าวถึงการสนับสนุนทางการเงินของสหรัฐว่า “เป็นภาระหนัก”
    Like
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากทรัมป์ลงนาม "คำสั่งฝ่ายบริหาร" เพื่อเปิดเผยความลับของเอกสารการลอบสังหาร JFK

    "ปฏิบัติการนอร์ธวูดส์" (Operation Northwoods) ซึ่งเป็นปฏิบัติการลับของ CIA ในช่วงปี 1962 (พ.ศ.2505) เพื่อเข้าแทรกแซงทางทหารในคิวบากลับมาได้รับความสนใจในโซเชียลอีกครั้ง

    แต่สุดท้ายแล้ว "ปฏิบัติการนอร์ธวูดส์" ถูกประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดีปฏิเสธทั้งหมด แม้ว่าจะลงนามโดยคณะเสนาธิการทหารร่วมในปี 1962 แล้วก็ตาม

    หน่วยงาน CIA ร่วมมือกับกองทัพสหรัฐ วางแผน "ปฏิบัติการนอร์ธวูดส์" มาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1960 รายละเอียดบางส่วนของแผนการในครั้งนั้น เพื่อโยนความผิดให้กับคิวบา และเพื่อสร้างเหตุผลความชอบธรรมในการทำสงครามกับคิวบา และกำจัด "ฟิเดล คาสโตร" ผู้นำคิวบา:

    - วางแผนจัดฉากหรือสร้างเรื่องโจมตีก่อการร้ายในเมืองต่างๆของสหรัฐฯ หรือโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐฯ รวมทั้งพลเมืองสหรัฐฯทั้งในและต่างประเทศ

    - การสร้างเหตุการณ์ที่เครื่องบินสหรัฐฯ ถูกยิงตกหรือก่อวินาศกรรม ซึ่งจะพยายามทำให้ดูเหมือนว่าเป็นการกระทำของคิวบา

    - การจัดฉากโจมตีในไมอามี เมืองอื่นๆ ในฟลอริดา และอาจรวมถึงวอชิงตัน ดี.ซี. ด้วย

    - วางแผนการให้มีการสังหารทหารสหรัฐฯ โดยระเบิดเรือในอ่าวกวนตานาโม แล้วโยนความผิดเหตุการณ์ดังกล่าวให้กับหน่วยก่อวินาศกรรมของคิวบา

    - จัดฉากการจี้เครื่องบินจนเกิดเหตุการณ์บานปลายทำให้ชาวอเมริกันเสียชีวิตเพื่อโยนความผิดให้คิวบา

    - จัดฉากว่ากองทัพอากาศคิวบาโจมตีเครื่องบินโดยสารพลเรือน

    มีรายงานว่าเคนเนดีตกใจกับแนวทางนี้และไม่ยอมรับโดบเด็ดขาด ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับผู้นำกองทัพตึงเครียดอย่างมาก

    แม้ว่าเอกสารนี้จะถูกเผยแพร่มาแล้วตั้งแต่ปี 2001 แต่กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งในช่วงเวลานี้ ซึ่งถือเป็นตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ที่เป็น “การเปิดโปงการแทรกแซงทางทหารของสหรัฐฯในคิวบา”

    การวางแผนของหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐ มักจะเกิดจากความพยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศขึ้นก่อน หลังจากนั้นจะตามมาด้วยการใช้ข้ออ้างกำลังทหารเข้ายุติปัญหา
    หลังจากทรัมป์ลงนาม "คำสั่งฝ่ายบริหาร" เพื่อเปิดเผยความลับของเอกสารการลอบสังหาร JFK "ปฏิบัติการนอร์ธวูดส์" (Operation Northwoods) ซึ่งเป็นปฏิบัติการลับของ CIA ในช่วงปี 1962 (พ.ศ.2505) เพื่อเข้าแทรกแซงทางทหารในคิวบากลับมาได้รับความสนใจในโซเชียลอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้ว "ปฏิบัติการนอร์ธวูดส์" ถูกประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดีปฏิเสธทั้งหมด แม้ว่าจะลงนามโดยคณะเสนาธิการทหารร่วมในปี 1962 แล้วก็ตาม หน่วยงาน CIA ร่วมมือกับกองทัพสหรัฐ วางแผน "ปฏิบัติการนอร์ธวูดส์" มาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1960 รายละเอียดบางส่วนของแผนการในครั้งนั้น เพื่อโยนความผิดให้กับคิวบา และเพื่อสร้างเหตุผลความชอบธรรมในการทำสงครามกับคิวบา และกำจัด "ฟิเดล คาสโตร" ผู้นำคิวบา: - วางแผนจัดฉากหรือสร้างเรื่องโจมตีก่อการร้ายในเมืองต่างๆของสหรัฐฯ หรือโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐฯ รวมทั้งพลเมืองสหรัฐฯทั้งในและต่างประเทศ - การสร้างเหตุการณ์ที่เครื่องบินสหรัฐฯ ถูกยิงตกหรือก่อวินาศกรรม ซึ่งจะพยายามทำให้ดูเหมือนว่าเป็นการกระทำของคิวบา - การจัดฉากโจมตีในไมอามี เมืองอื่นๆ ในฟลอริดา และอาจรวมถึงวอชิงตัน ดี.ซี. ด้วย - วางแผนการให้มีการสังหารทหารสหรัฐฯ โดยระเบิดเรือในอ่าวกวนตานาโม แล้วโยนความผิดเหตุการณ์ดังกล่าวให้กับหน่วยก่อวินาศกรรมของคิวบา - จัดฉากการจี้เครื่องบินจนเกิดเหตุการณ์บานปลายทำให้ชาวอเมริกันเสียชีวิตเพื่อโยนความผิดให้คิวบา - จัดฉากว่ากองทัพอากาศคิวบาโจมตีเครื่องบินโดยสารพลเรือน มีรายงานว่าเคนเนดีตกใจกับแนวทางนี้และไม่ยอมรับโดบเด็ดขาด ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับผู้นำกองทัพตึงเครียดอย่างมาก แม้ว่าเอกสารนี้จะถูกเผยแพร่มาแล้วตั้งแต่ปี 2001 แต่กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งในช่วงเวลานี้ ซึ่งถือเป็นตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ที่เป็น “การเปิดโปงการแทรกแซงทางทหารของสหรัฐฯในคิวบา” การวางแผนของหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐ มักจะเกิดจากความพยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศขึ้นก่อน หลังจากนั้นจะตามมาด้วยการใช้ข้ออ้างกำลังทหารเข้ายุติปัญหา
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 568 มุมมอง 0 รีวิว
  • "จะดูพลั่วมั้ยล่ะ" (Shooter 2007)

    ด่วน!
    ทรัมป์ลงนาม "คำสั่งฝ่ายบริหาร" เพื่อเปิดเผยความลับของเอกสารการลอบสังหาร JFK, RFK และ Martin Luther King Jr.
    "จะดูพลั่วมั้ยล่ะ" (Shooter 2007) ด่วน! ทรัมป์ลงนาม "คำสั่งฝ่ายบริหาร" เพื่อเปิดเผยความลับของเอกสารการลอบสังหาร JFK, RFK และ Martin Luther King Jr.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 332 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่วน!!
    ทรัมป์ เซ็นคำสั่งฝ่ายบริหารกำหนดกลุ่มอันซาร์ อัลลาห์ (Ansar Allah) หรือที่รู้จักกันในชื่อ“กลุ่มฮูตี” ซึ่งมีอิทธิพลอยู่ในเยเมนตะวันตก เป็นองค์กรก่อการร้ายต่างประเทศ

    และยังประกาศอีกว่า ต่อไปนี้ฮูตีจะต้องรับผิดชอบต่อการโจมตีทั้งหมด

    ก่อนหน้านี้ รัฐบาลของไบเดน ถอดกลุ่มฮูตีออกจากรายชื่อกลุ่มก่อการร้ายไปเมื่อปี 2021 ต่อมาได้มีการเปลี่ยนให้ฮูตีกลับมาเป็นองค์กรก่อการร้ายอีกครั้ง แต่ถูกจัดในอยู่ในกลุ่มร้ายแรง "น้อยกว่า" ที่ทรัมป์ได้กำหนดขึ้นมาใหม่ในครั้งนี้
    ด่วน!! ทรัมป์ เซ็นคำสั่งฝ่ายบริหารกำหนดกลุ่มอันซาร์ อัลลาห์ (Ansar Allah) หรือที่รู้จักกันในชื่อ“กลุ่มฮูตี” ซึ่งมีอิทธิพลอยู่ในเยเมนตะวันตก เป็นองค์กรก่อการร้ายต่างประเทศ และยังประกาศอีกว่า ต่อไปนี้ฮูตีจะต้องรับผิดชอบต่อการโจมตีทั้งหมด ก่อนหน้านี้ รัฐบาลของไบเดน ถอดกลุ่มฮูตีออกจากรายชื่อกลุ่มก่อการร้ายไปเมื่อปี 2021 ต่อมาได้มีการเปลี่ยนให้ฮูตีกลับมาเป็นองค์กรก่อการร้ายอีกครั้ง แต่ถูกจัดในอยู่ในกลุ่มร้ายแรง "น้อยกว่า" ที่ทรัมป์ได้กำหนดขึ้นมาใหม่ในครั้งนี้
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ประกาศโครงการลงทุนมูลค่าอย่างน้อยที่สุด 500,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ในอเมริกา ที่นำโดยซอฟต์แบงก์ ออราเคิล และโอเพนเอไอ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อก้าวนำทิ้งห่างพวกประเทศคู่แข่งในเทคโนโลยีเอไอที่กำลังมีความสำคัญยิ่งยวดมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อธุรกิจ
    .
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงเมื่อวันอังคาร (21 ม.ค.) ว่า โครงการลงทุนดังกล่าวที่มีชื่อว่า “สตาร์เกต” เป็นสักขีพยานความเชื่อมั่นที่มีต่อศักยภาพของอเมริกา
    .
    ขณะที่ แซม อัลต์แมน ประธานบริหารโอเพนเอไอ มาซาโยชิ ซัน หัวเรือใหญ่ซอฟต์แบงก์จากญี่ปุ่น และแลร์รี เอลลิสัน ผู้ก่อตั้งออราเคิล เข้าร่วมงานแถลงข่าวครั้งนี้ที่จัดขึ้นที่ทำเนียบขาวด้วย
    .
    ซันเผยว่า ทั้งสามบริษัทตกลงลงทุนเริ่มต้น 100,000 ล้านดอลลาร์ และสูงสุด 500,000 ล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 4 ปีต่อจากนี้ไป
    .
    โครงการร่วมทุนนี้เกิดขึ้นขณะที่บรรดาบิ๊กเทคพยายามอย่างหนักในการตอบสนองความต้องการท่วมท้นมหาศาลที่มีต่อการประยุกต์ใช้งานจากการคำนวณของเทคโนโลยีเอไอ
    .
    ทรัมป์กล่าวว่า สตาร์เกตจะสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางกายภาพและแบบเสมือนที่จะส่งเสริมความก้าวหน้าใหม่ๆ ในเทคโนโลยีเอไอ ซึ่งรวมถึงการสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดยักษ์หลายๆ แห่งที่จะนำไปสู่การสร้างงานกว่า 100,000 ตำแหน่งในอเมริกา
    .
    ในเวลาต่อมา โอเพนเอไอ ผู้พัฒนาแชตจีพีที โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า โปรเจกต์นี้ไม่เพียงสนับสนุนการพัฒนาระบบอุตสาหกรรมใหม่ของอเมริกาเท่านั้น แต่ยังนำเสนอความสามารถเชิงยุทธศาสตร์ในการปกป้องความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และเหล่าพันธมิตรอีกด้วย
    .
    โพสต์ดังกล่าวเสริมว่า ซอฟต์แบงก์และโอเพนเอไอจะเป็นหุ้นส่วนหลักของสตาร์เกต โดยซอฟต์แบงก์รับผิดชอบด้านการเงิน และโอเพนเอไอรับผิดชอบด้านปฏิบัติการ นอกจากนั้นยังมีเอ็มจีเอ็กซ์ กองทุนเทคโนโลยีจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นนักลงทุนรายที่ 4 ขณะที่อาร์ม ไมโครซอฟท์ เอ็นวีเดีย ออราเคิล และโอเพนเอไอเป็นหุ้นส่วนเทคโนโลยีหลัก
    .
    เอลลิสันจากออราเคิล บริษัทซอฟต์แวร์ชั้นนำของอเมริกา กล่าวว่า ศูนย์ข้อมูลแห่งแรกของสตาร์เกตอยู่ระหว่างการก่อสร้างที่รัฐเทกซัส โดยจะมีการสร้างศูนย์ข้อมูล 20 แห่ง แต่ละแห่งมีพื้นที่ 500,000 ตารางฟุต และเสริมว่า โครงการนี้อาจสนับสนุนเอไอที่ทำการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพระบบอิเล็กทรอนิกส์ และช่วยแพทย์ดูแลผู้ป่วย
    .
    ทั้งนี้ในปัจจุบัน เทกซัสกำลังกลายเป็นตัวเลือกใหม่มาแรงแทนที่แคลิฟอร์เนียสำหรับการลงทุนด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในอเมริกา
    .
    ขณะที่โอเพนเอไอสำทับว่า กำลังประเมินสถานที่ที่เป็นไปได้ในการตั้งแคมปัสขึ้นทั่วอเมริกา ควบคู่ไปกับการดำเนินการข้อตกลงขั้นสุดท้าย
    .
    ผู้บริหารบิ๊กเทคทั้งสามกล่าวขอบคุณทรัมป์ โดยอัลต์แมนบอกว่า โครงการนี้คงไม่มีทางเป็นไปได้ถ้าไม่มีประธานาธิบดีใหม่ของอเมริกาผู้นี้
    .
    อย่างไรก็ดี ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า การประกาศข่าวล่าสุดนี้เป็นโครงการเดียวกับที่เว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยี ดิ อินฟอร์เมชัน รายงานตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้วว่า โอเพนเอไอและไมโครซอฟท์กำลังร่วมมือกันในโครงการศูนย์ข้อมูลมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ที่จะครอบคลุมซูเปอร์คอมพิวเตอร์เอไอ อีกทั้งยังมีชื่อว่า “สตาร์เกต” ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในปี 2028 หรือไม่
    .
    ข่าวนี้ออกมาหลังจากในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์เมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) คลาคล่ำไปด้วยเหล่าผู้บริหารบริษัทไฮเทคชื่อดังมากมาย เช่น ทิม คุก ซีอีโอแอปเปิล ซันดาร์ พิชัย ซีอีโอกูเกิล มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอเมตา และเจฟฟ์ เบโซส นายใหญ่แอมะซอน
    .
    นอกจากนั้น ในวันจันทร์ ทรัมป์ยังยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่มีเป้าหมายในการลดความเสี่ยงจากเอไอที่มีต่อผู้บริโภค พนักงาน และความมั่นคงของชาติ เท่ากับว่า ขณะนี้อเมริกาไม่มีแนวทางในการพัฒนาเอไอระดับประเทศ แม้แต่ละรัฐกำลังพยายามกำหนดมาตรการของตนเองก็ตาม
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006997
    ..............
    Sondhi X
    ทรัมป์ประกาศโครงการลงทุนมูลค่าอย่างน้อยที่สุด 500,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ในอเมริกา ที่นำโดยซอฟต์แบงก์ ออราเคิล และโอเพนเอไอ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อก้าวนำทิ้งห่างพวกประเทศคู่แข่งในเทคโนโลยีเอไอที่กำลังมีความสำคัญยิ่งยวดมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อธุรกิจ . ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงเมื่อวันอังคาร (21 ม.ค.) ว่า โครงการลงทุนดังกล่าวที่มีชื่อว่า “สตาร์เกต” เป็นสักขีพยานความเชื่อมั่นที่มีต่อศักยภาพของอเมริกา . ขณะที่ แซม อัลต์แมน ประธานบริหารโอเพนเอไอ มาซาโยชิ ซัน หัวเรือใหญ่ซอฟต์แบงก์จากญี่ปุ่น และแลร์รี เอลลิสัน ผู้ก่อตั้งออราเคิล เข้าร่วมงานแถลงข่าวครั้งนี้ที่จัดขึ้นที่ทำเนียบขาวด้วย . ซันเผยว่า ทั้งสามบริษัทตกลงลงทุนเริ่มต้น 100,000 ล้านดอลลาร์ และสูงสุด 500,000 ล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 4 ปีต่อจากนี้ไป . โครงการร่วมทุนนี้เกิดขึ้นขณะที่บรรดาบิ๊กเทคพยายามอย่างหนักในการตอบสนองความต้องการท่วมท้นมหาศาลที่มีต่อการประยุกต์ใช้งานจากการคำนวณของเทคโนโลยีเอไอ . ทรัมป์กล่าวว่า สตาร์เกตจะสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางกายภาพและแบบเสมือนที่จะส่งเสริมความก้าวหน้าใหม่ๆ ในเทคโนโลยีเอไอ ซึ่งรวมถึงการสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดยักษ์หลายๆ แห่งที่จะนำไปสู่การสร้างงานกว่า 100,000 ตำแหน่งในอเมริกา . ในเวลาต่อมา โอเพนเอไอ ผู้พัฒนาแชตจีพีที โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า โปรเจกต์นี้ไม่เพียงสนับสนุนการพัฒนาระบบอุตสาหกรรมใหม่ของอเมริกาเท่านั้น แต่ยังนำเสนอความสามารถเชิงยุทธศาสตร์ในการปกป้องความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และเหล่าพันธมิตรอีกด้วย . โพสต์ดังกล่าวเสริมว่า ซอฟต์แบงก์และโอเพนเอไอจะเป็นหุ้นส่วนหลักของสตาร์เกต โดยซอฟต์แบงก์รับผิดชอบด้านการเงิน และโอเพนเอไอรับผิดชอบด้านปฏิบัติการ นอกจากนั้นยังมีเอ็มจีเอ็กซ์ กองทุนเทคโนโลยีจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นนักลงทุนรายที่ 4 ขณะที่อาร์ม ไมโครซอฟท์ เอ็นวีเดีย ออราเคิล และโอเพนเอไอเป็นหุ้นส่วนเทคโนโลยีหลัก . เอลลิสันจากออราเคิล บริษัทซอฟต์แวร์ชั้นนำของอเมริกา กล่าวว่า ศูนย์ข้อมูลแห่งแรกของสตาร์เกตอยู่ระหว่างการก่อสร้างที่รัฐเทกซัส โดยจะมีการสร้างศูนย์ข้อมูล 20 แห่ง แต่ละแห่งมีพื้นที่ 500,000 ตารางฟุต และเสริมว่า โครงการนี้อาจสนับสนุนเอไอที่ทำการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพระบบอิเล็กทรอนิกส์ และช่วยแพทย์ดูแลผู้ป่วย . ทั้งนี้ในปัจจุบัน เทกซัสกำลังกลายเป็นตัวเลือกใหม่มาแรงแทนที่แคลิฟอร์เนียสำหรับการลงทุนด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในอเมริกา . ขณะที่โอเพนเอไอสำทับว่า กำลังประเมินสถานที่ที่เป็นไปได้ในการตั้งแคมปัสขึ้นทั่วอเมริกา ควบคู่ไปกับการดำเนินการข้อตกลงขั้นสุดท้าย . ผู้บริหารบิ๊กเทคทั้งสามกล่าวขอบคุณทรัมป์ โดยอัลต์แมนบอกว่า โครงการนี้คงไม่มีทางเป็นไปได้ถ้าไม่มีประธานาธิบดีใหม่ของอเมริกาผู้นี้ . อย่างไรก็ดี ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า การประกาศข่าวล่าสุดนี้เป็นโครงการเดียวกับที่เว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยี ดิ อินฟอร์เมชัน รายงานตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้วว่า โอเพนเอไอและไมโครซอฟท์กำลังร่วมมือกันในโครงการศูนย์ข้อมูลมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ที่จะครอบคลุมซูเปอร์คอมพิวเตอร์เอไอ อีกทั้งยังมีชื่อว่า “สตาร์เกต” ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในปี 2028 หรือไม่ . ข่าวนี้ออกมาหลังจากในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์เมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) คลาคล่ำไปด้วยเหล่าผู้บริหารบริษัทไฮเทคชื่อดังมากมาย เช่น ทิม คุก ซีอีโอแอปเปิล ซันดาร์ พิชัย ซีอีโอกูเกิล มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอเมตา และเจฟฟ์ เบโซส นายใหญ่แอมะซอน . นอกจากนั้น ในวันจันทร์ ทรัมป์ยังยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่มีเป้าหมายในการลดความเสี่ยงจากเอไอที่มีต่อผู้บริโภค พนักงาน และความมั่นคงของชาติ เท่ากับว่า ขณะนี้อเมริกาไม่มีแนวทางในการพัฒนาเอไอระดับประเทศ แม้แต่ละรัฐกำลังพยายามกำหนดมาตรการของตนเองก็ตาม . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006997 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1714 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ลงนามคำสั่งนับสิบครอบคลุมประเด็นโลกร้อนไปจนถึงคนเข้าเมือง ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งตามที่ลั่นวาจาไว้
    .
    คำสั่งฝ่ายบริหารบางส่วนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) เป็นคำสัญญาที่ให้ไว้ระหว่างหาเสียงเมื่อปีที่แล้ว เช่น การอภัยโทษผู้ประท้วงจำนวนมากที่บุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 เพื่อขัดขวางการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต แต่ยังมีคำสั่งอีกจำนวนหนึ่งที่ถือว่าเกินคาด เช่น การนำอเมริกาถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก (WHO)
    .
    ต่อไปนี้คือสรุปคำสั่งที่ทรัมป์ลงนามในสนามกีฬาที่วอชิงตันท่ามกลางผู้สนับสนุนจำนวนมาก และที่ทำเนียบขาวในเวลาต่อมาภายหลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง
    .
    คนเข้าเมือง
    .
    ทรัมป์เซ็นคำสั่งหลายฉบับเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีที่อเมริกาจัดการปัญหาคนเข้าเมืองและความเป็นพลเมือง ซึ่งรวมถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินบริเวณชายแดนทางใต้
    ประมุขทำเนียบขาวคนใหม่ยังสัญญาว่า จะจัดการเนรเทศครั้งใหญ่ซึ่งจะมีกองทัพร่วมปฏิบัติการด้วย โดยเป้าหมายอยู่ที่ “อาชญากรต่างด้าว”
    .
    ที่ห้องทำงานรูปไข่ ทรัมป์ลงนามคำสั่งยกเลิกการให้สัญชาติจากการเกิดในประเทศ อย่างไรก็ดี ทรัมป์อาจเผชิญการท้าทายทางกฎหมายเนื่องจากการให้สัญชาติอเมริกันโดยอัตโนมัตินี้กำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญ
    .
    ม็อบบุกสภา 6 มกราคม
    .
    ทรัมป์ลงนามอภัยโทษผู้สนับสนุนตนเองบางส่วนจากทั้งหมด 1,500 คนที่บุกโจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เพื่อล้มล้างผลการเลือกตั้งปี 2020 โดยเรียกคนเหล่านั้นที่ถูกตัดสินความผิดหรือยอมรับผิดในการก่อจลาจลว่าเป็น “ตัวประกัน”
    .
    ความหลากหลาย ความเท่าเทียม การยอมรับความแตกต่าง
    .
    ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของอเมริกายกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับที่ส่งเสริมโครงการความหลากหลายและความเท่าเทียมของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) ในหน่วยงานรัฐบาล ภาคธุรกิจ และบริการสาธารณสุข รวมถึงสิทธิของคนอเมริกันกลุ่ม LGBTQ ตามที่สัญญาไว้ว่าจะจัดการวัฒนธรรม “การตื่นรู้”
    .
    ทรัมป์ยังประกาศว่า ต่อไปรัฐบาลสหรัฐฯ จะยอมรับคนเพียงสองเพศคือชายกับหญิงเท่านั้น
    .
    ข้อตกลงโลกร้อนปารีส
    .
    ผู้นำใหม่ของสหรัฐฯ นำอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงโลกร้อนปารีสเหมือนที่เคยทำมาตอนรับตำแหน่งสมัยแรก ตอกย้ำการปฏิเสธความพยายามของทั่วโลกในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ขณะที่ภัยพิบติธรรมชาติรุนแรงขึ้นทั่วโลก
    .
    อย่างไรก็ดี ต้องใช้เวลา 1 ปีหลังจากยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการต่อกรอบข้อตกลงของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ฉบับนี้ อเมริกาจึงจะสามารถถอนตัวได้
    .
    การขุดเจาะน้ำมัน
    .
    ทรัมป์ลงนามคำสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อขยายการขุดเจาะในอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำการผลิตก๊าซและน้ำมันของโลก
    .
    เวิร์ก ฟอร์ม โฮม
    .
    นอกจากนั้น ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งกำหนดให้ลูกจ้างรัฐบาลกลางกลับไปทำงานในสำนักงานเต็มเวลา เพื่อยุติการอนุญาตการทำงานจากที่บ้านส่วนใหญ่ที่ริเริ่มขึ้นในช่วงที่โควิด-19 ระบาด
    .
    ถอนตัวจาก WHO
    .
    ทรัมป์เซ็นคำสั่งให้อเมริกาถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก โดยยืนยันว่า ไม่เป็นธรรมที่สหรัฐฯ จ่ายเงินสมทบองค์กรนี้มากกว่าที่จีนจ่าย
    .
    ติ๊กต็อก Tiktok
    .
    ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้สั่งระงับการบังคับใช้กฎหมายแบนติ๊กต็อกออกไป 75 วัน ซึ่งเท่ากับเป็นการชะลอการดำเนินการห้ามการเผยแพร่และอัปเดตแพลตฟอร์มติ๊กต็อกในอเมริกาที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (19 ม.ค.)
    .
    ทรัมป์ระบุว่า ต้องการให้ ไบต์แดนซ์ บริษัทแม่ของติ๊กต็อกที่อยู่ในจีน ตกลงขายหุ้นติ๊กต็อก 50% ให้นักลงทุนในอเมริกา
    .
    ผู้ตั้งถิ่นฐานในเวสต์แบงก์
    .
    ทรัมป์ยกเลิกมาตรการแซงก์ชันของคณะบริหารของไบเดนต่อผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวที่ใช้ความรุนแรงกับชาวปาเลสไตน์ในเขตยึดครองเวสต์แบงก์
    .
    คิวบา
    .
    ทรัมป์ล้มล้างอีกหนึ่งคำสั่งของไบเดนที่เพิ่งประกาศเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ในการถอดคิวบาออกจากบัญชีดำประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้าย เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยนักโทษ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006613
    ..............
    Sondhi X
    ทรัมป์ลงนามคำสั่งนับสิบครอบคลุมประเด็นโลกร้อนไปจนถึงคนเข้าเมือง ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งตามที่ลั่นวาจาไว้ . คำสั่งฝ่ายบริหารบางส่วนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) เป็นคำสัญญาที่ให้ไว้ระหว่างหาเสียงเมื่อปีที่แล้ว เช่น การอภัยโทษผู้ประท้วงจำนวนมากที่บุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 เพื่อขัดขวางการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต แต่ยังมีคำสั่งอีกจำนวนหนึ่งที่ถือว่าเกินคาด เช่น การนำอเมริกาถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก (WHO) . ต่อไปนี้คือสรุปคำสั่งที่ทรัมป์ลงนามในสนามกีฬาที่วอชิงตันท่ามกลางผู้สนับสนุนจำนวนมาก และที่ทำเนียบขาวในเวลาต่อมาภายหลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง . คนเข้าเมือง . ทรัมป์เซ็นคำสั่งหลายฉบับเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีที่อเมริกาจัดการปัญหาคนเข้าเมืองและความเป็นพลเมือง ซึ่งรวมถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินบริเวณชายแดนทางใต้ ประมุขทำเนียบขาวคนใหม่ยังสัญญาว่า จะจัดการเนรเทศครั้งใหญ่ซึ่งจะมีกองทัพร่วมปฏิบัติการด้วย โดยเป้าหมายอยู่ที่ “อาชญากรต่างด้าว” . ที่ห้องทำงานรูปไข่ ทรัมป์ลงนามคำสั่งยกเลิกการให้สัญชาติจากการเกิดในประเทศ อย่างไรก็ดี ทรัมป์อาจเผชิญการท้าทายทางกฎหมายเนื่องจากการให้สัญชาติอเมริกันโดยอัตโนมัตินี้กำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญ . ม็อบบุกสภา 6 มกราคม . ทรัมป์ลงนามอภัยโทษผู้สนับสนุนตนเองบางส่วนจากทั้งหมด 1,500 คนที่บุกโจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เพื่อล้มล้างผลการเลือกตั้งปี 2020 โดยเรียกคนเหล่านั้นที่ถูกตัดสินความผิดหรือยอมรับผิดในการก่อจลาจลว่าเป็น “ตัวประกัน” . ความหลากหลาย ความเท่าเทียม การยอมรับความแตกต่าง . ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของอเมริกายกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับที่ส่งเสริมโครงการความหลากหลายและความเท่าเทียมของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) ในหน่วยงานรัฐบาล ภาคธุรกิจ และบริการสาธารณสุข รวมถึงสิทธิของคนอเมริกันกลุ่ม LGBTQ ตามที่สัญญาไว้ว่าจะจัดการวัฒนธรรม “การตื่นรู้” . ทรัมป์ยังประกาศว่า ต่อไปรัฐบาลสหรัฐฯ จะยอมรับคนเพียงสองเพศคือชายกับหญิงเท่านั้น . ข้อตกลงโลกร้อนปารีส . ผู้นำใหม่ของสหรัฐฯ นำอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงโลกร้อนปารีสเหมือนที่เคยทำมาตอนรับตำแหน่งสมัยแรก ตอกย้ำการปฏิเสธความพยายามของทั่วโลกในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ขณะที่ภัยพิบติธรรมชาติรุนแรงขึ้นทั่วโลก . อย่างไรก็ดี ต้องใช้เวลา 1 ปีหลังจากยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการต่อกรอบข้อตกลงของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ฉบับนี้ อเมริกาจึงจะสามารถถอนตัวได้ . การขุดเจาะน้ำมัน . ทรัมป์ลงนามคำสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อขยายการขุดเจาะในอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำการผลิตก๊าซและน้ำมันของโลก . เวิร์ก ฟอร์ม โฮม . นอกจากนั้น ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งกำหนดให้ลูกจ้างรัฐบาลกลางกลับไปทำงานในสำนักงานเต็มเวลา เพื่อยุติการอนุญาตการทำงานจากที่บ้านส่วนใหญ่ที่ริเริ่มขึ้นในช่วงที่โควิด-19 ระบาด . ถอนตัวจาก WHO . ทรัมป์เซ็นคำสั่งให้อเมริกาถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก โดยยืนยันว่า ไม่เป็นธรรมที่สหรัฐฯ จ่ายเงินสมทบองค์กรนี้มากกว่าที่จีนจ่าย . ติ๊กต็อก Tiktok . ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้สั่งระงับการบังคับใช้กฎหมายแบนติ๊กต็อกออกไป 75 วัน ซึ่งเท่ากับเป็นการชะลอการดำเนินการห้ามการเผยแพร่และอัปเดตแพลตฟอร์มติ๊กต็อกในอเมริกาที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (19 ม.ค.) . ทรัมป์ระบุว่า ต้องการให้ ไบต์แดนซ์ บริษัทแม่ของติ๊กต็อกที่อยู่ในจีน ตกลงขายหุ้นติ๊กต็อก 50% ให้นักลงทุนในอเมริกา . ผู้ตั้งถิ่นฐานในเวสต์แบงก์ . ทรัมป์ยกเลิกมาตรการแซงก์ชันของคณะบริหารของไบเดนต่อผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวที่ใช้ความรุนแรงกับชาวปาเลสไตน์ในเขตยึดครองเวสต์แบงก์ . คิวบา . ทรัมป์ล้มล้างอีกหนึ่งคำสั่งของไบเดนที่เพิ่งประกาศเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ในการถอดคิวบาออกจากบัญชีดำประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้าย เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยนักโทษ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006613 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1768 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตัวเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยสองอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ (20 ม.ค.) โดยกล่าวปราศรัยประกาศว่า “ยุคทอง” ของอเมริกาเริ่มต้นขึ้นแล้ว จากนั้นก็ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีเนื้อหาสร้างความแตกแยกจำนวนหลายสิบฉบับ ซึ่งมีทั้งการให้อภัยโทษพวกผู้สนับสนุนเขาที่ใช้ความรุนแรงบุกโจมตีอาคารรัฐสภา ไปจนถึงการออกมาตรการคุมเข้มผู้อพยพ และการยุตินโยบายรับมือปัญหาโลกร้อน และถึงแม้ยังไม่มีการขึ้นภาษีศุลกากรใดๆ ในวันแรกของการครองตำแหน่งคราวนี้ แต่เขาก็ขู่รีดภาษีแคนาดาและเม็กซิโก 25% ตั้งแต่ 1 ก.พ.ขณะที่แสดงท่าทีแปลกกรณีสงครามยูเครน โดยหันมาวิพากษ์วลาดิมีร์ ปูติน ว่ากำลังทำลายรัสเซียจากการไม่ยอมทำข้อตกลงยุติศึก
    .
    ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวปราศรัยหลังทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งต้องจัดขึ้นภายในอาคารรัฐสภา เนื่องจากอากาศข้างนอกหนาวจัด โดยบอกว่า การตกต่ำของอเมริกายุติลงแล้ว ซึ่งหมายถึงช่วงเวลา 4 ปีภายใต้คณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนจากพรรคเดโมแครต และประกาศการเริ่มต้นยุคทองของอเมริกาซึ่งจะมีความมั่งคั่งรุ่งเรืองและเป็นที่เคารพของทั่วโลกอีกครั้ง
    .
    จากนั้น ทรัมป์ซึ่งอยู่ในวัย 78 ปี จึงสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นประธานาธิบดีที่มีอายุมากที่สุดขณะสาบานตนรับตำแหน่ง ได้เดินทางไปยังที่ชุมนุมของพวกผู้สนับสนุนเขา ณ สนามกีฬาในร่มแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน ซึ่งเขาได้กล่าวปราศรัยในสไตล์หาเสียง ก่อนโยนปากกาที่ใช้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับในรอบแรกไปแล้วหมาดๆ ให้ฝูงชนที่อัดแน่นคอยต้อนรับเขา
    .
    ถัดมา ทรัมป์จึงได้เดินทางกลับไปยังทำเนียบในแบบผู้พิชิต 4 ปีหลังจากที่เขาต้องจากไปด้วยความเสื่อมเสียเกียรติ เป็นการเสร็จสิ้นครบถ้วนการหวนกลับคืนมาได้อย่างโดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ทางการเมืองของสหรัฐฯ
    .
    ณ ห้องทำงานรูปไข่ ของทำเนียบขาว ทรัมป์จัดให้มีการแถลงข่าวเป็นเวลาราว 50 นาทีโดยไม่มีการเตรียมการล่วงหน้า พร้อมกับลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพิ่ม ซึ่งรวมถึงการอภัยโทษผู้ก่อจลาจลราว 1,500 คนที่บุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 เพื่อพยายามขัดขวางการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดน
    .
    ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติบริเวณชายแดนติดกับเม็กซิโก และระบุว่า จะส่งทหารไปจัดการการลักลอบเข้าเมือง ซึ่งเป็นประเด็นหาเสียงสำคัญที่ทำให้เขาชนะอดีตรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต
    .
    ทรัมป์ยังไฟเขียวให้ขยายการขุดเจาะน้ำมัน รวมทั้งยกเลิกกฎระเบียบที่ต้องการโน้มน้าวให้ผู้ขับขี่เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า
    .
    นอกจากนั้น เขาประกาศนำสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก และข้อตกลงปารีสที่นานาประเทศรวมทั้งอเมริกาให้สัญญาระบุเป้าหมายของตนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
    .
    ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันผู้นี้แสดงการเชิดชูลัทธิชาตินิยม ด้วยการประกาศเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา และขู่ยึดคลองปานานาคืนหลังจากยกสิทธิการควบคุมให้ปานามาตั้งแต่ปี 1999 โดยอ้างว่า จีนเป็นผู้ควบคุมคลองปานามาตัวจริง ทั้งที่ในความเป็นจริงคือ บริษัทที่จดทะเบียนในฮ่องกงซึ่งชนะการประมูล ได้สิทธิเข้าบริหารดำเนินงานคลองสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้
    .
    ทรัมป์ยังประกาศว่าไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังเข้ายึดเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์กที่เป็นสมาชิกนาโตเช่นเดียวกับอเมริกา ขณะที่รัสเซียเข้าไปดำเนินการในบริเวณดังกล่าวมากขึ้นหลังจากน้ำแข็งละลายอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
    .
    อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ลดความขึงขังเรื่องยูเครนจากที่เคยสัญญาว่า จะผลักดันข้อตกลงสันติภาพให้ลุล่วงก่อนเข้ารับตำแหน่ง และเปลี่ยนท่าทีจากที่เคยชื่นชมก็มาวิจารณ์ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียว่า กำลังทำลายรัสเซียด้วยการไม่ยอมทำข้อตกลงยุติสงครามในยูเครน โดยเขาอ้างอิงสถานะเศรษฐกิจและการสูญเสียในสนามรบของรัสเซีย แต่ยังคงยืนยันว่า จะพบปะหารือกับปูตินโดยเร็ว
    .
    ขณะเดียวกัน เมื่อผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบขาวถามว่า จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทุกประเทศอย่างที่ประกาศเอาไว้หรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า อาจจะ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ และเมื่อถามถึงการขึ้นภาษีศุลกากรจากสินค้าของแคนาดาและเม็กซิโก ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ ตอบว่า เล็งเรียกเก็บภาษีราว 25% ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. เนื่องจากสองประเทศนี้ปล่อยให้มีผู้อพยพผิดกฎหมายจำนวนมากแอบเดินทางเข้าสหรัฐฯ รวมทั้งปล่อยให้มีการการขนส่งยาเสพติดเฟนทานิล เข้าสู่อเมริกา
    .
    ทั้งนี้ ตามรายละเอียดในบันทึกช่วยจำของประธานาธิบดีนั้น ทรัมป์สั่งให้กระทรวงการคลังและพาณิชย์ รวมถึงสำนักงานการค้าสหรัฐฯ ตรวจสอบความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติจากการขาดดุลการค้าจำนวนมหาศาล พร้อมเสนอแนะมาตรการที่เหมาะสม เช่น การเรียกเก็บภาษีศุลกากรทั่วโลกหรือนโยบายอื่นๆ เพื่อแก้ไขการขาดดุลการค้า
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006612
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตัวเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยสองอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ (20 ม.ค.) โดยกล่าวปราศรัยประกาศว่า “ยุคทอง” ของอเมริกาเริ่มต้นขึ้นแล้ว จากนั้นก็ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีเนื้อหาสร้างความแตกแยกจำนวนหลายสิบฉบับ ซึ่งมีทั้งการให้อภัยโทษพวกผู้สนับสนุนเขาที่ใช้ความรุนแรงบุกโจมตีอาคารรัฐสภา ไปจนถึงการออกมาตรการคุมเข้มผู้อพยพ และการยุตินโยบายรับมือปัญหาโลกร้อน และถึงแม้ยังไม่มีการขึ้นภาษีศุลกากรใดๆ ในวันแรกของการครองตำแหน่งคราวนี้ แต่เขาก็ขู่รีดภาษีแคนาดาและเม็กซิโก 25% ตั้งแต่ 1 ก.พ.ขณะที่แสดงท่าทีแปลกกรณีสงครามยูเครน โดยหันมาวิพากษ์วลาดิมีร์ ปูติน ว่ากำลังทำลายรัสเซียจากการไม่ยอมทำข้อตกลงยุติศึก . ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวปราศรัยหลังทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งต้องจัดขึ้นภายในอาคารรัฐสภา เนื่องจากอากาศข้างนอกหนาวจัด โดยบอกว่า การตกต่ำของอเมริกายุติลงแล้ว ซึ่งหมายถึงช่วงเวลา 4 ปีภายใต้คณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนจากพรรคเดโมแครต และประกาศการเริ่มต้นยุคทองของอเมริกาซึ่งจะมีความมั่งคั่งรุ่งเรืองและเป็นที่เคารพของทั่วโลกอีกครั้ง . จากนั้น ทรัมป์ซึ่งอยู่ในวัย 78 ปี จึงสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นประธานาธิบดีที่มีอายุมากที่สุดขณะสาบานตนรับตำแหน่ง ได้เดินทางไปยังที่ชุมนุมของพวกผู้สนับสนุนเขา ณ สนามกีฬาในร่มแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน ซึ่งเขาได้กล่าวปราศรัยในสไตล์หาเสียง ก่อนโยนปากกาที่ใช้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับในรอบแรกไปแล้วหมาดๆ ให้ฝูงชนที่อัดแน่นคอยต้อนรับเขา . ถัดมา ทรัมป์จึงได้เดินทางกลับไปยังทำเนียบในแบบผู้พิชิต 4 ปีหลังจากที่เขาต้องจากไปด้วยความเสื่อมเสียเกียรติ เป็นการเสร็จสิ้นครบถ้วนการหวนกลับคืนมาได้อย่างโดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ทางการเมืองของสหรัฐฯ . ณ ห้องทำงานรูปไข่ ของทำเนียบขาว ทรัมป์จัดให้มีการแถลงข่าวเป็นเวลาราว 50 นาทีโดยไม่มีการเตรียมการล่วงหน้า พร้อมกับลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพิ่ม ซึ่งรวมถึงการอภัยโทษผู้ก่อจลาจลราว 1,500 คนที่บุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 เพื่อพยายามขัดขวางการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดน . ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติบริเวณชายแดนติดกับเม็กซิโก และระบุว่า จะส่งทหารไปจัดการการลักลอบเข้าเมือง ซึ่งเป็นประเด็นหาเสียงสำคัญที่ทำให้เขาชนะอดีตรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต . ทรัมป์ยังไฟเขียวให้ขยายการขุดเจาะน้ำมัน รวมทั้งยกเลิกกฎระเบียบที่ต้องการโน้มน้าวให้ผู้ขับขี่เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า . นอกจากนั้น เขาประกาศนำสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก และข้อตกลงปารีสที่นานาประเทศรวมทั้งอเมริกาให้สัญญาระบุเป้าหมายของตนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ . ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันผู้นี้แสดงการเชิดชูลัทธิชาตินิยม ด้วยการประกาศเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา และขู่ยึดคลองปานานาคืนหลังจากยกสิทธิการควบคุมให้ปานามาตั้งแต่ปี 1999 โดยอ้างว่า จีนเป็นผู้ควบคุมคลองปานามาตัวจริง ทั้งที่ในความเป็นจริงคือ บริษัทที่จดทะเบียนในฮ่องกงซึ่งชนะการประมูล ได้สิทธิเข้าบริหารดำเนินงานคลองสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้ . ทรัมป์ยังประกาศว่าไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังเข้ายึดเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์กที่เป็นสมาชิกนาโตเช่นเดียวกับอเมริกา ขณะที่รัสเซียเข้าไปดำเนินการในบริเวณดังกล่าวมากขึ้นหลังจากน้ำแข็งละลายอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ . อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ลดความขึงขังเรื่องยูเครนจากที่เคยสัญญาว่า จะผลักดันข้อตกลงสันติภาพให้ลุล่วงก่อนเข้ารับตำแหน่ง และเปลี่ยนท่าทีจากที่เคยชื่นชมก็มาวิจารณ์ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียว่า กำลังทำลายรัสเซียด้วยการไม่ยอมทำข้อตกลงยุติสงครามในยูเครน โดยเขาอ้างอิงสถานะเศรษฐกิจและการสูญเสียในสนามรบของรัสเซีย แต่ยังคงยืนยันว่า จะพบปะหารือกับปูตินโดยเร็ว . ขณะเดียวกัน เมื่อผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบขาวถามว่า จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทุกประเทศอย่างที่ประกาศเอาไว้หรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า อาจจะ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ และเมื่อถามถึงการขึ้นภาษีศุลกากรจากสินค้าของแคนาดาและเม็กซิโก ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ ตอบว่า เล็งเรียกเก็บภาษีราว 25% ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. เนื่องจากสองประเทศนี้ปล่อยให้มีผู้อพยพผิดกฎหมายจำนวนมากแอบเดินทางเข้าสหรัฐฯ รวมทั้งปล่อยให้มีการการขนส่งยาเสพติดเฟนทานิล เข้าสู่อเมริกา . ทั้งนี้ ตามรายละเอียดในบันทึกช่วยจำของประธานาธิบดีนั้น ทรัมป์สั่งให้กระทรวงการคลังและพาณิชย์ รวมถึงสำนักงานการค้าสหรัฐฯ ตรวจสอบความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติจากการขาดดุลการค้าจำนวนมหาศาล พร้อมเสนอแนะมาตรการที่เหมาะสม เช่น การเรียกเก็บภาษีศุลกากรทั่วโลกหรือนโยบายอื่นๆ เพื่อแก้ไขการขาดดุลการค้า . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006612 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1720 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันแรกก็เอาจริงเลย ข่าวอันเป็นนิมิตหมายดี ตั้งแต่มี โคขิต

    ใครที่เอะอะก็เชื่อ องค์การอนามัยโลก WHO (ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มคนสามานย์) ถึงเวลาออกจากกะลาครับ
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ณ ห้องโอวัลออฟฟิศ ของทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ในกรุงวอชิงตัน (ภาพเอพี/อีวาน วุชชี)
    การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญ สู่ความรับผิดชอบด้านสุขภาพระดับโลก
    การระบาดใหญ่ครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงความล้มเหลว ขององค์การอนามัยโลก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของผู้นำ ที่ให้ความสำคัญกับความจริง วิทยาศาสตร์ และแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มากกว่าการเมือง
    นสพ. แนวหน้า 21/1/2568
    https://www.naewna.com/inter/854734
    การถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก
    ด้วยอำนาจที่มอบให้ผม ในฐานะประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้:
    มาตรา 1 วัตถุประสงค์ สหรัฐฯ แจ้งการถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 เนื่องจากองค์กร จัดการกับการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างผิดพลาด ซึ่งเกิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกอื่นๆ ล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และไม่สามารถแสดงความเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ของประเทศสมาชิกของ WHO ได้ นอกจากนี้ WHO ยังคงเรียกร้องเงินชดเชย ที่ไม่เป็นธรรมจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่สมดุลกับเงินชดเชย ที่ประเมินแล้วของประเทศอื่นๆ จีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีประชากร 300 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ แต่มีส่วนสนับสนุน WHO น้อยกว่าเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์
    มาตรา 2 การดำเนินการ (ก) สหรัฐอเมริกา มีเจตนาที่จะถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก จดหมายของประธานาธิบดี ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเพิกถอนการแจ้งเตือน การถอนตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 ถูกเพิกถอน
    (ข) คำสั่งฝ่ายบริหาร 13987 ลงวันที่ 25 มกราคม 2021 (การจัดระเบียบ และระดมพลรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีการตอบสนองที่เป็นหนึ่งเดียว และมีประสิทธิผล ในการต่อสู้กับ COVID-19 และเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความมั่นคงระดับโลก) ถูกเพิกถอน
    (ค) ผู้ช่วยประธานาธิบดี ฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติ จะจัดตั้งผู้อำนวยการ และกลไกการประสานงาน ภายในกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่เขาเห็นว่าจำเป็น และเหมาะสม เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางชีวภาพ
    (ง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร และงบประมาณ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม และรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อ:
    (i) ระงับการโอนเงินทุน การสนับสนุน หรือทรัพยากรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไปยังองค์การอนามัยโลกในอนาคต
    (ii) เรียกตัว และมอบหมายงานใหม่ ให้กับบุคลากร หรือผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานในตำแหน่งใดๆ ก็ตาม กับองค์การอนามัยโลก และ
    (iii) ระบุพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และโปร่งใส ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ดำเนินการไปแล้ว
    (จ) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายการเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของทำเนียบขาว จะต้องทบทวน ยกเลิก และเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคง ด้านสุขภาพระดับโลก ของสหรัฐอเมริกาสำหรับปี 2024 โดยเร็วที่สุด
    มาตรา 3 การแจ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องแจ้งให้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับฝากที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และผู้นำขององค์การอนามัยโลกทราบ เกี่ยวกับการถอนตัวในทันที
    มาตรา 4 การเจรจาเกี่ยวกับระบบทั่วโลก ในขณะที่กำลังดำเนินการถอนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยุติการเจรจา เกี่ยวกับข้อตกลงการระบาดใหญ่ ขององค์การอนามัยโลก และการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ และการดำเนินการ เพื่อให้เกิดข้อตกลง และการแก้ไขดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อสหรัฐอเมริกา
    มาตรา 5 บทบัญญัติทั่วไป (ก) ห้ามตีความข้อความใดๆ ในคำสั่งนี้ เพื่อทำให้เสียหาย หรือส่งผลกระทบในทางอื่นใด ต่อไปนี้:
    (i) อำนาจที่กฎหมายมอบให้กับฝ่ายบริหาร หรือหน่วยงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน หรือ
    (ii) หน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานจัดการ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง กับข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ การบริหาร หรือการออกกฎหมาย
    (ข) คำสั่งนี้ จะต้องนำไปปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่บังคับใช้ และขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่
    (ค) คำสั่งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้สร้างสิทธิ หรือผลประโยชน์ใดๆ ในทางเนื้อหาหรือขั้นตอน บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หรือในความเป็นธรรมโดยฝ่ายใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หน่วยงาน หรือนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ พนักงาน หรือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลอื่นใด
    https://www.whitehouse.gov/.../withdrawing-the-united.../
    ทำเนียบขาว,
    20 มกราคม 2025

    https://www.facebook.com/share/p/1DTaBnErqv/
    วันแรกก็เอาจริงเลย ข่าวอันเป็นนิมิตหมายดี ตั้งแต่มี โคขิต ใครที่เอะอะก็เชื่อ องค์การอนามัยโลก WHO (ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มคนสามานย์) ถึงเวลาออกจากกะลาครับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ณ ห้องโอวัลออฟฟิศ ของทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ในกรุงวอชิงตัน (ภาพเอพี/อีวาน วุชชี) การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญ สู่ความรับผิดชอบด้านสุขภาพระดับโลก การระบาดใหญ่ครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงความล้มเหลว ขององค์การอนามัยโลก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของผู้นำ ที่ให้ความสำคัญกับความจริง วิทยาศาสตร์ และแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มากกว่าการเมือง นสพ. แนวหน้า 21/1/2568 https://www.naewna.com/inter/854734 การถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ด้วยอำนาจที่มอบให้ผม ในฐานะประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้: มาตรา 1 วัตถุประสงค์ สหรัฐฯ แจ้งการถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 เนื่องจากองค์กร จัดการกับการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างผิดพลาด ซึ่งเกิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกอื่นๆ ล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และไม่สามารถแสดงความเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ของประเทศสมาชิกของ WHO ได้ นอกจากนี้ WHO ยังคงเรียกร้องเงินชดเชย ที่ไม่เป็นธรรมจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่สมดุลกับเงินชดเชย ที่ประเมินแล้วของประเทศอื่นๆ จีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีประชากร 300 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ แต่มีส่วนสนับสนุน WHO น้อยกว่าเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ มาตรา 2 การดำเนินการ (ก) สหรัฐอเมริกา มีเจตนาที่จะถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก จดหมายของประธานาธิบดี ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเพิกถอนการแจ้งเตือน การถอนตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 ถูกเพิกถอน (ข) คำสั่งฝ่ายบริหาร 13987 ลงวันที่ 25 มกราคม 2021 (การจัดระเบียบ และระดมพลรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีการตอบสนองที่เป็นหนึ่งเดียว และมีประสิทธิผล ในการต่อสู้กับ COVID-19 และเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความมั่นคงระดับโลก) ถูกเพิกถอน (ค) ผู้ช่วยประธานาธิบดี ฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติ จะจัดตั้งผู้อำนวยการ และกลไกการประสานงาน ภายในกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่เขาเห็นว่าจำเป็น และเหมาะสม เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางชีวภาพ (ง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร และงบประมาณ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม และรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อ: (i) ระงับการโอนเงินทุน การสนับสนุน หรือทรัพยากรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไปยังองค์การอนามัยโลกในอนาคต (ii) เรียกตัว และมอบหมายงานใหม่ ให้กับบุคลากร หรือผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานในตำแหน่งใดๆ ก็ตาม กับองค์การอนามัยโลก และ (iii) ระบุพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และโปร่งใส ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ดำเนินการไปแล้ว (จ) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายการเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของทำเนียบขาว จะต้องทบทวน ยกเลิก และเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคง ด้านสุขภาพระดับโลก ของสหรัฐอเมริกาสำหรับปี 2024 โดยเร็วที่สุด มาตรา 3 การแจ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องแจ้งให้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับฝากที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และผู้นำขององค์การอนามัยโลกทราบ เกี่ยวกับการถอนตัวในทันที มาตรา 4 การเจรจาเกี่ยวกับระบบทั่วโลก ในขณะที่กำลังดำเนินการถอนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยุติการเจรจา เกี่ยวกับข้อตกลงการระบาดใหญ่ ขององค์การอนามัยโลก และการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ และการดำเนินการ เพื่อให้เกิดข้อตกลง และการแก้ไขดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อสหรัฐอเมริกา มาตรา 5 บทบัญญัติทั่วไป (ก) ห้ามตีความข้อความใดๆ ในคำสั่งนี้ เพื่อทำให้เสียหาย หรือส่งผลกระทบในทางอื่นใด ต่อไปนี้: (i) อำนาจที่กฎหมายมอบให้กับฝ่ายบริหาร หรือหน่วยงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน หรือ (ii) หน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานจัดการ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง กับข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ การบริหาร หรือการออกกฎหมาย (ข) คำสั่งนี้ จะต้องนำไปปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่บังคับใช้ และขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่ (ค) คำสั่งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้สร้างสิทธิ หรือผลประโยชน์ใดๆ ในทางเนื้อหาหรือขั้นตอน บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หรือในความเป็นธรรมโดยฝ่ายใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หน่วยงาน หรือนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ พนักงาน หรือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลอื่นใด https://www.whitehouse.gov/.../withdrawing-the-united.../ ทำเนียบขาว, 20 มกราคม 2025 https://www.facebook.com/share/p/1DTaBnErqv/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 389 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ณ ห้องโอวัลออฟฟิศ ของทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ในกรุงวอชิงตัน (ภาพเอพี/อีวาน วุชชี)
    การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญ สู่ความรับผิดชอบด้านสุขภาพระดับโลก
    การระบาดใหญ่ครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงความล้มเหลว ขององค์การอนามัยโลก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของผู้นำ ที่ให้ความสำคัญกับความจริง วิทยาศาสตร์ และแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มากกว่าการเมือง
    นสพ. แนวหน้า 21/1/2568
    https://www.naewna.com/inter/854734
    การถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก
    ด้วยอำนาจที่มอบให้ผม ในฐานะประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้:
    มาตรา 1 วัตถุประสงค์ สหรัฐฯ แจ้งการถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 เนื่องจากองค์กร จัดการกับการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างผิดพลาด ซึ่งเกิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกอื่นๆ ล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และไม่สามารถแสดงความเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ของประเทศสมาชิกของ WHO ได้ นอกจากนี้ WHO ยังคงเรียกร้องเงินชดเชย ที่ไม่เป็นธรรมจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่สมดุลกับเงินชดเชย ที่ประเมินแล้วของประเทศอื่นๆ จีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีประชากร 300 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ แต่มีส่วนสนับสนุน WHO น้อยกว่าเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์
    มาตรา 2 การดำเนินการ (ก) สหรัฐอเมริกา มีเจตนาที่จะถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก จดหมายของประธานาธิบดี ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเพิกถอนการแจ้งเตือน การถอนตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 ถูกเพิกถอน
    (ข) คำสั่งฝ่ายบริหาร 13987 ลงวันที่ 25 มกราคม 2021 (การจัดระเบียบ และระดมพลรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีการตอบสนองที่เป็นหนึ่งเดียว และมีประสิทธิผล ในการต่อสู้กับ COVID-19 และเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความมั่นคงระดับโลก) ถูกเพิกถอน
    (ค) ผู้ช่วยประธานาธิบดี ฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติ จะจัดตั้งผู้อำนวยการ และกลไกการประสานงาน ภายในกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่เขาเห็นว่าจำเป็น และเหมาะสม เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางชีวภาพ
    (ง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร และงบประมาณ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม และรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อ:
    (i) ระงับการโอนเงินทุน การสนับสนุน หรือทรัพยากรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไปยังองค์การอนามัยโลกในอนาคต
    (ii) เรียกตัว และมอบหมายงานใหม่ ให้กับบุคลากร หรือผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานในตำแหน่งใดๆ ก็ตาม กับองค์การอนามัยโลก และ
    (iii) ระบุพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และโปร่งใส ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ดำเนินการไปแล้ว
    (จ) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายการเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของทำเนียบขาว จะต้องทบทวน ยกเลิก และเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคง ด้านสุขภาพระดับโลก ของสหรัฐอเมริกาสำหรับปี 2024 โดยเร็วที่สุด
    มาตรา 3 การแจ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องแจ้งให้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับฝากที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และผู้นำขององค์การอนามัยโลกทราบ เกี่ยวกับการถอนตัวในทันที
    มาตรา 4 การเจรจาเกี่ยวกับระบบทั่วโลก ในขณะที่กำลังดำเนินการถอนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยุติการเจรจา เกี่ยวกับข้อตกลงการระบาดใหญ่ ขององค์การอนามัยโลก และการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ และการดำเนินการ เพื่อให้เกิดข้อตกลง และการแก้ไขดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อสหรัฐอเมริกา
    มาตรา 5 บทบัญญัติทั่วไป (ก) ห้ามตีความข้อความใดๆ ในคำสั่งนี้ เพื่อทำให้เสียหาย หรือส่งผลกระทบในทางอื่นใด ต่อไปนี้:
    (i) อำนาจที่กฎหมายมอบให้กับฝ่ายบริหาร หรือหน่วยงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน หรือ
    (ii) หน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานจัดการ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง กับข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ การบริหาร หรือการออกกฎหมาย
    (ข) คำสั่งนี้ จะต้องนำไปปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่บังคับใช้ และขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่
    (ค) คำสั่งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้สร้างสิทธิ หรือผลประโยชน์ใดๆ ในทางเนื้อหาหรือขั้นตอน บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หรือในความเป็นธรรมโดยฝ่ายใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หน่วยงาน หรือนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ พนักงาน หรือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลอื่นใด
    https://www.whitehouse.gov/.../withdrawing-the-united.../
    ทำเนียบขาว,
    20 มกราคม 2025
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ณ ห้องโอวัลออฟฟิศ ของทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ในกรุงวอชิงตัน (ภาพเอพี/อีวาน วุชชี) การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญ สู่ความรับผิดชอบด้านสุขภาพระดับโลก การระบาดใหญ่ครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงความล้มเหลว ขององค์การอนามัยโลก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของผู้นำ ที่ให้ความสำคัญกับความจริง วิทยาศาสตร์ และแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มากกว่าการเมือง นสพ. แนวหน้า 21/1/2568 https://www.naewna.com/inter/854734 การถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ด้วยอำนาจที่มอบให้ผม ในฐานะประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้: มาตรา 1 วัตถุประสงค์ สหรัฐฯ แจ้งการถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 เนื่องจากองค์กร จัดการกับการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างผิดพลาด ซึ่งเกิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกอื่นๆ ล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และไม่สามารถแสดงความเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ของประเทศสมาชิกของ WHO ได้ นอกจากนี้ WHO ยังคงเรียกร้องเงินชดเชย ที่ไม่เป็นธรรมจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่สมดุลกับเงินชดเชย ที่ประเมินแล้วของประเทศอื่นๆ จีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีประชากร 300 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ แต่มีส่วนสนับสนุน WHO น้อยกว่าเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ มาตรา 2 การดำเนินการ (ก) สหรัฐอเมริกา มีเจตนาที่จะถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก จดหมายของประธานาธิบดี ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเพิกถอนการแจ้งเตือน การถอนตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 ถูกเพิกถอน (ข) คำสั่งฝ่ายบริหาร 13987 ลงวันที่ 25 มกราคม 2021 (การจัดระเบียบ และระดมพลรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีการตอบสนองที่เป็นหนึ่งเดียว และมีประสิทธิผล ในการต่อสู้กับ COVID-19 และเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความมั่นคงระดับโลก) ถูกเพิกถอน (ค) ผู้ช่วยประธานาธิบดี ฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติ จะจัดตั้งผู้อำนวยการ และกลไกการประสานงาน ภายในกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่เขาเห็นว่าจำเป็น และเหมาะสม เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางชีวภาพ (ง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร และงบประมาณ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม และรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อ: (i) ระงับการโอนเงินทุน การสนับสนุน หรือทรัพยากรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไปยังองค์การอนามัยโลกในอนาคต (ii) เรียกตัว และมอบหมายงานใหม่ ให้กับบุคลากร หรือผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานในตำแหน่งใดๆ ก็ตาม กับองค์การอนามัยโลก และ (iii) ระบุพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และโปร่งใส ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ดำเนินการไปแล้ว (จ) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายการเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของทำเนียบขาว จะต้องทบทวน ยกเลิก และเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคง ด้านสุขภาพระดับโลก ของสหรัฐอเมริกาสำหรับปี 2024 โดยเร็วที่สุด มาตรา 3 การแจ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องแจ้งให้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับฝากที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และผู้นำขององค์การอนามัยโลกทราบ เกี่ยวกับการถอนตัวในทันที มาตรา 4 การเจรจาเกี่ยวกับระบบทั่วโลก ในขณะที่กำลังดำเนินการถอนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยุติการเจรจา เกี่ยวกับข้อตกลงการระบาดใหญ่ ขององค์การอนามัยโลก และการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ และการดำเนินการ เพื่อให้เกิดข้อตกลง และการแก้ไขดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อสหรัฐอเมริกา มาตรา 5 บทบัญญัติทั่วไป (ก) ห้ามตีความข้อความใดๆ ในคำสั่งนี้ เพื่อทำให้เสียหาย หรือส่งผลกระทบในทางอื่นใด ต่อไปนี้: (i) อำนาจที่กฎหมายมอบให้กับฝ่ายบริหาร หรือหน่วยงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน หรือ (ii) หน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานจัดการ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง กับข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ การบริหาร หรือการออกกฎหมาย (ข) คำสั่งนี้ จะต้องนำไปปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่บังคับใช้ และขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่ (ค) คำสั่งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้สร้างสิทธิ หรือผลประโยชน์ใดๆ ในทางเนื้อหาหรือขั้นตอน บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หรือในความเป็นธรรมโดยฝ่ายใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หน่วยงาน หรือนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ พนักงาน หรือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลอื่นใด https://www.whitehouse.gov/.../withdrawing-the-united.../ ทำเนียบขาว, 20 มกราคม 2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 367 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts