• “DigiCert ซื้อกิจการ Valimail เสริมแกร่งระบบยืนยันอีเมล — สร้างเกราะป้องกันฟิชชิ่งระดับโลกด้วย DMARC และ BIMI”

    ในยุคที่อีเมลกลายเป็นช่องทางหลักของการโจมตีทางไซเบอร์ DigiCert ผู้ให้บริการด้าน digital trust ระดับโลก ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการของ Valimail บริษัทผู้นำด้านการยืนยันตัวตนของอีเมลแบบ zero trust เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์ม DigiCert ONE และรับมือกับภัยฟิชชิ่งและการปลอมแปลงอีเมลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

    Valimail เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี DMARC (Domain-based Message Authentication, Reporting and Conformance) ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบว่าอีเมลที่ส่งออกมานั้นเป็นของจริงหรือไม่ และป้องกันการปลอมแปลงชื่อโดเมน โดย Valimail ยังเป็นผู้ให้บริการ DMARC รายเดียวที่ได้รับการรับรอง FedRAMP สำหรับการใช้งานในหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ

    การรวมตัวครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ DigiCert ขยายการใช้งาน Verified Mark Certificates (VMCs) และ BIMI (Brand Indicators for Message Identification) ซึ่งช่วยให้อีเมลแสดงโลโก้ที่ได้รับการยืนยันในกล่องจดหมายของผู้รับ เพิ่มความน่าเชื่อถือและลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อฟิชชิ่ง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    DigiCert เข้าซื้อกิจการ Valimail เพื่อเสริมระบบยืนยันอีเมลแบบ zero trust
    Valimail เป็นผู้นำด้าน DMARC และได้รับการรับรอง FedRAMP สำหรับการใช้งานในหน่วยงานรัฐบาล
    DigiCert ONE จะรวมเทคโนโลยีของ Valimail เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม digital trust ที่ครอบคลุม
    การรวม VMCs และ BIMI ช่วยให้อีเมลแสดงโลโก้ที่ได้รับการยืนยัน เพิ่มความน่าเชื่อถือ
    Valimail มีลูกค้ากว่า 92,000 รายทั่วโลก และเติบโต 70% ในปีที่ผ่านมา
    DigiCert ตั้งเป้าครองตลาด DMARC มูลค่ากว่า $4 พันล้าน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DMARC ช่วยป้องกันการปลอมแปลงอีเมลและการโจมตีแบบ spoofing
    BIMI ช่วยให้ผู้รับเห็นโลโก้ของแบรนด์ในอีเมล เพิ่มความไว้วางใจ
    VMCs ต้องใช้ร่วมกับ DMARC เพื่อให้โลโก้แสดงผลในกล่องจดหมาย
    การยืนยันอีเมลแบบ zero trust เป็นแนวทางใหม่ในการป้องกันภัยไซเบอร์
    การรวมระบบ DNS, PKI และ certificate lifecycle management ช่วยให้ DigiCert ONE เป็นแพลตฟอร์มที่ครบวงจร

    https://www.techradar.com/pro/digicert-buys-valimail-to-boost-email-security-and-mitigate-growing-global-phishing-threats-using-dmarc
    📧 “DigiCert ซื้อกิจการ Valimail เสริมแกร่งระบบยืนยันอีเมล — สร้างเกราะป้องกันฟิชชิ่งระดับโลกด้วย DMARC และ BIMI” ในยุคที่อีเมลกลายเป็นช่องทางหลักของการโจมตีทางไซเบอร์ DigiCert ผู้ให้บริการด้าน digital trust ระดับโลก ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการของ Valimail บริษัทผู้นำด้านการยืนยันตัวตนของอีเมลแบบ zero trust เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์ม DigiCert ONE และรับมือกับภัยฟิชชิ่งและการปลอมแปลงอีเมลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก Valimail เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี DMARC (Domain-based Message Authentication, Reporting and Conformance) ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบว่าอีเมลที่ส่งออกมานั้นเป็นของจริงหรือไม่ และป้องกันการปลอมแปลงชื่อโดเมน โดย Valimail ยังเป็นผู้ให้บริการ DMARC รายเดียวที่ได้รับการรับรอง FedRAMP สำหรับการใช้งานในหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ การรวมตัวครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ DigiCert ขยายการใช้งาน Verified Mark Certificates (VMCs) และ BIMI (Brand Indicators for Message Identification) ซึ่งช่วยให้อีเมลแสดงโลโก้ที่ได้รับการยืนยันในกล่องจดหมายของผู้รับ เพิ่มความน่าเชื่อถือและลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อฟิชชิ่ง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ DigiCert เข้าซื้อกิจการ Valimail เพื่อเสริมระบบยืนยันอีเมลแบบ zero trust ➡️ Valimail เป็นผู้นำด้าน DMARC และได้รับการรับรอง FedRAMP สำหรับการใช้งานในหน่วยงานรัฐบาล ➡️ DigiCert ONE จะรวมเทคโนโลยีของ Valimail เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม digital trust ที่ครอบคลุม ➡️ การรวม VMCs และ BIMI ช่วยให้อีเมลแสดงโลโก้ที่ได้รับการยืนยัน เพิ่มความน่าเชื่อถือ ➡️ Valimail มีลูกค้ากว่า 92,000 รายทั่วโลก และเติบโต 70% ในปีที่ผ่านมา ➡️ DigiCert ตั้งเป้าครองตลาด DMARC มูลค่ากว่า $4 พันล้าน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DMARC ช่วยป้องกันการปลอมแปลงอีเมลและการโจมตีแบบ spoofing ➡️ BIMI ช่วยให้ผู้รับเห็นโลโก้ของแบรนด์ในอีเมล เพิ่มความไว้วางใจ ➡️ VMCs ต้องใช้ร่วมกับ DMARC เพื่อให้โลโก้แสดงผลในกล่องจดหมาย ➡️ การยืนยันอีเมลแบบ zero trust เป็นแนวทางใหม่ในการป้องกันภัยไซเบอร์ ➡️ การรวมระบบ DNS, PKI และ certificate lifecycle management ช่วยให้ DigiCert ONE เป็นแพลตฟอร์มที่ครบวงจร https://www.techradar.com/pro/digicert-buys-valimail-to-boost-email-security-and-mitigate-growing-global-phishing-threats-using-dmarc
    WWW.TECHRADAR.COM
    DigiCert grabs Valimail to lock down email while attackers circle for their next big strike
    Email hosting services could benefit from scaled DMARC adoption globally
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • บทความ เข้าใจง่าย EP.1
    -------------------------------------------------------------------------
    คำว่า "โดยทุจริต" ในประมวลกฎหมายอาญา: ความหมายที่มากกว่าแค่การโกงเงิน

    คำว่า "โดยทุจริต" เป็นคำที่เราได้ยินบ่อยครั้งในข่าวคดีความที่เกี่ยวข้องกับการประพฤติมิชอบ แต่ในทางกฎหมาย คำนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งและครอบคลุมมากกว่าที่เราคิด การทำความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราเห็นภาพรวมของความผิดทางอาญาได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

    ตามประมวลกฎหมายอาญา คำว่า "โดยทุจริต" หมายถึง "เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น" นี่คือเจตนาพิเศษที่อยู่เบื้องหลังการกระทำผิด ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่การแสวงหาประโยชน์ในรูปแบบของทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย เช่น การใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ การใช้เอกสารปลอมเพื่อเลื่อนตำแหน่ง หรือการทำลายหลักฐานเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีที่พนักงานเบิกเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัว นี่คือการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง หรือการที่ผู้สอบนำใบรับรองแพทย์ปลอมไปยื่นเพื่อขอเลื่อนการสอบ นี่ก็ถือเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยทุจริตเช่นกัน เพราะเป็นการกระทำเพื่อได้รับประโยชน์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

    การกระทำ "โดยทุจริต" จึงเป็นหัวใจสำคัญที่กำหนดว่าการกระทำใดๆ จะถือเป็นความผิดอาญาหรือไม่ เพราะแม้ว่าการกระทำนั้นจะดูเหมือนไม่มีความผิดร้ายแรง แต่หากมีเจตนาทุจริตแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง ก็จะทำให้การกระทำนั้นกลายเป็นความผิดอาญาได้ทันที ความทุจริตจึงไม่ใช่แค่เรื่องของบุคคลที่ได้รับความเสียหายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสังคมและระบบกฎหมายโดยรวมด้วย การทำความเข้าใจคำนี้อย่างถ่องแท้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรตระหนักถึง

    ดังนั้น "โดยทุจริต" จึงเป็นมากกว่าแค่คำทางกฎหมาย แต่เป็นตัวบ่งชี้ถึงเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ของมนุษย์ที่ต้องการได้รับผลประโยชน์ที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ซึ่งเป็นรากฐานของปัญหาอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและสังคม การสร้างสังคมที่โปร่งใสและเป็นธรรมจึงต้องเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจและต่อต้านการกระทำที่เกิดขึ้นจากเจตนา "โดยทุจริต" นี้อย่างจริงจัง.
    บทความ เข้าใจง่าย EP.1 ------------------------------------------------------------------------- คำว่า "โดยทุจริต" ในประมวลกฎหมายอาญา: ความหมายที่มากกว่าแค่การโกงเงิน คำว่า "โดยทุจริต" เป็นคำที่เราได้ยินบ่อยครั้งในข่าวคดีความที่เกี่ยวข้องกับการประพฤติมิชอบ แต่ในทางกฎหมาย คำนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งและครอบคลุมมากกว่าที่เราคิด การทำความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราเห็นภาพรวมของความผิดทางอาญาได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญา คำว่า "โดยทุจริต" หมายถึง "เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น" นี่คือเจตนาพิเศษที่อยู่เบื้องหลังการกระทำผิด ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่การแสวงหาประโยชน์ในรูปแบบของทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย เช่น การใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ การใช้เอกสารปลอมเพื่อเลื่อนตำแหน่ง หรือการทำลายหลักฐานเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีที่พนักงานเบิกเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัว นี่คือการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง หรือการที่ผู้สอบนำใบรับรองแพทย์ปลอมไปยื่นเพื่อขอเลื่อนการสอบ นี่ก็ถือเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยทุจริตเช่นกัน เพราะเป็นการกระทำเพื่อได้รับประโยชน์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การกระทำ "โดยทุจริต" จึงเป็นหัวใจสำคัญที่กำหนดว่าการกระทำใดๆ จะถือเป็นความผิดอาญาหรือไม่ เพราะแม้ว่าการกระทำนั้นจะดูเหมือนไม่มีความผิดร้ายแรง แต่หากมีเจตนาทุจริตแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง ก็จะทำให้การกระทำนั้นกลายเป็นความผิดอาญาได้ทันที ความทุจริตจึงไม่ใช่แค่เรื่องของบุคคลที่ได้รับความเสียหายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสังคมและระบบกฎหมายโดยรวมด้วย การทำความเข้าใจคำนี้อย่างถ่องแท้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรตระหนักถึง ดังนั้น "โดยทุจริต" จึงเป็นมากกว่าแค่คำทางกฎหมาย แต่เป็นตัวบ่งชี้ถึงเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ของมนุษย์ที่ต้องการได้รับผลประโยชน์ที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ซึ่งเป็นรากฐานของปัญหาอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและสังคม การสร้างสังคมที่โปร่งใสและเป็นธรรมจึงต้องเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจและต่อต้านการกระทำที่เกิดขึ้นจากเจตนา "โดยทุจริต" นี้อย่างจริงจัง.
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • Tor VPN เปิดตัวเวอร์ชันเบต้า Android — ขยายขอบเขตความเป็นส่วนตัวจากเบราว์เซอร์สู่ระบบเครือข่าย

    โครงการ Tor ที่รู้จักกันดีในฐานะผู้พัฒนาเบราว์เซอร์ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ได้เปิดตัวแอป VPN เวอร์ชันเบต่าสำหรับ Android อย่างเงียบ ๆ บน Google Play Store โดยใช้ชื่อว่า “Tor VPN” ซึ่งเป็นความพยายามครั้งใหม่ในการปกป้องผู้ใช้งานจากการเซ็นเซอร์และการติดตามออนไลน์ในระดับเครือข่าย ไม่ใช่แค่ในเบราว์เซอร์อีกต่อไป

    Tor VPN ใช้โครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า Arti ซึ่งเป็นการเขียนระบบ Tor ด้วยภาษา Rust แทน C เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความเสถียร ตัวแอปยังรองรับฟีเจอร์ split tunneling ที่ให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าแอปใดจะส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย Tor และแต่ละแอปจะได้รับ IP แยกกัน ทำให้ยากต่อการเชื่อมโยงพฤติกรรมออนไลน์ของผู้ใช้

    นอกจากนี้ยังมีการฝังระบบ “bridge” ป้องกันการเซ็นเซอร์ เช่น obfs4 ที่ทำให้ทราฟฟิกดูเหมือนข้อมูลสุ่ม และ Snowflake ที่ปลอมทราฟฟิกให้เหมือนวิดีโอคอลผ่าน WebRTC ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ในประเทศที่มีการควบคุมอินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึง Tor ได้ง่ายขึ้น

    อย่างไรก็ตาม Tor VPN ยังอยู่ในช่วงทดลอง และนักพัฒนาย้ำว่าไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น นักข่าวหรือผู้เคลื่อนไหวในประเทศที่มีการสอดแนมอย่างเข้มงวด เพราะอาจยังมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    Tor เปิดตัว VPN เบต้าสำหรับ Android
    ใช้ชื่อว่า Tor VPN และมีให้ดาวน์โหลดบน Google Play Store
    เป็นการขยายการปกป้องความเป็นส่วนตัวจากเบราว์เซอร์สู่ระดับเครือข่าย

    ใช้โครงสร้างใหม่ Arti ที่เขียนด้วยภาษา Rust
    ปลอดภัยและเสถียรกว่าระบบเดิมที่ใช้ภาษา C
    เป็นพื้นฐานใหม่สำหรับการพัฒนา Tor ในอนาคต

    รองรับฟีเจอร์ split tunneling
    ผู้ใช้สามารถเลือกแอปที่ต้องการให้ผ่านเครือข่าย Tor
    แต่ละแอปจะได้รับ IP แยกกัน ลดการเชื่อมโยงพฤติกรรม

    มีระบบ bridge ป้องกันการเซ็นเซอร์
    obfs4 ทำให้ทราฟฟิกดูเหมือนข้อมูลสุ่ม
    Snowflake ปลอมทราฟฟิกให้เหมือนวิดีโอคอลผ่าน WebRTC

    แอปเป็น open source และมีโค้ดอยู่บน GitHub
    เปิดให้ผู้ใช้และนักพัฒนาตรวจสอบและร่วมพัฒนา
    ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน Tor VPN เบต้า
    ยังไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น นักข่าวหรือผู้เคลื่อนไหว
    อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหรือการรั่วไหลของข้อมูล
    ยังไม่สามารถเทียบเท่ากับ VPN เชิงพาณิชย์ที่ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด
    การใช้งานในประเทศที่มีการควบคุมอินเทอร์เน็ตอาจยังไม่ปลอดภัยเต็มที่

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/the-tor-project-quietly-launches-a-beta-android-vpn-and-looks-for-testers
    📰 Tor VPN เปิดตัวเวอร์ชันเบต้า Android — ขยายขอบเขตความเป็นส่วนตัวจากเบราว์เซอร์สู่ระบบเครือข่าย โครงการ Tor ที่รู้จักกันดีในฐานะผู้พัฒนาเบราว์เซอร์ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ได้เปิดตัวแอป VPN เวอร์ชันเบต่าสำหรับ Android อย่างเงียบ ๆ บน Google Play Store โดยใช้ชื่อว่า “Tor VPN” ซึ่งเป็นความพยายามครั้งใหม่ในการปกป้องผู้ใช้งานจากการเซ็นเซอร์และการติดตามออนไลน์ในระดับเครือข่าย ไม่ใช่แค่ในเบราว์เซอร์อีกต่อไป Tor VPN ใช้โครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า Arti ซึ่งเป็นการเขียนระบบ Tor ด้วยภาษา Rust แทน C เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความเสถียร ตัวแอปยังรองรับฟีเจอร์ split tunneling ที่ให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าแอปใดจะส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย Tor และแต่ละแอปจะได้รับ IP แยกกัน ทำให้ยากต่อการเชื่อมโยงพฤติกรรมออนไลน์ของผู้ใช้ นอกจากนี้ยังมีการฝังระบบ “bridge” ป้องกันการเซ็นเซอร์ เช่น obfs4 ที่ทำให้ทราฟฟิกดูเหมือนข้อมูลสุ่ม และ Snowflake ที่ปลอมทราฟฟิกให้เหมือนวิดีโอคอลผ่าน WebRTC ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ในประเทศที่มีการควบคุมอินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึง Tor ได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม Tor VPN ยังอยู่ในช่วงทดลอง และนักพัฒนาย้ำว่าไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น นักข่าวหรือผู้เคลื่อนไหวในประเทศที่มีการสอดแนมอย่างเข้มงวด เพราะอาจยังมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ✅ Tor เปิดตัว VPN เบต้าสำหรับ Android ➡️ ใช้ชื่อว่า Tor VPN และมีให้ดาวน์โหลดบน Google Play Store ➡️ เป็นการขยายการปกป้องความเป็นส่วนตัวจากเบราว์เซอร์สู่ระดับเครือข่าย ✅ ใช้โครงสร้างใหม่ Arti ที่เขียนด้วยภาษา Rust ➡️ ปลอดภัยและเสถียรกว่าระบบเดิมที่ใช้ภาษา C ➡️ เป็นพื้นฐานใหม่สำหรับการพัฒนา Tor ในอนาคต ✅ รองรับฟีเจอร์ split tunneling ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกแอปที่ต้องการให้ผ่านเครือข่าย Tor ➡️ แต่ละแอปจะได้รับ IP แยกกัน ลดการเชื่อมโยงพฤติกรรม ✅ มีระบบ bridge ป้องกันการเซ็นเซอร์ ➡️ obfs4 ทำให้ทราฟฟิกดูเหมือนข้อมูลสุ่ม ➡️ Snowflake ปลอมทราฟฟิกให้เหมือนวิดีโอคอลผ่าน WebRTC ✅ แอปเป็น open source และมีโค้ดอยู่บน GitHub ➡️ เปิดให้ผู้ใช้และนักพัฒนาตรวจสอบและร่วมพัฒนา ➡️ ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน Tor VPN เบต้า ⛔ ยังไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น นักข่าวหรือผู้เคลื่อนไหว ⛔ อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหรือการรั่วไหลของข้อมูล ⛔ ยังไม่สามารถเทียบเท่ากับ VPN เชิงพาณิชย์ที่ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด ⛔ การใช้งานในประเทศที่มีการควบคุมอินเทอร์เน็ตอาจยังไม่ปลอดภัยเต็มที่ https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/the-tor-project-quietly-launches-a-beta-android-vpn-and-looks-for-testers
    WWW.TECHRADAR.COM
    The Tor Project quietly launches a beta Android VPN – and looks for testers
    The Tor Project continues its fight for online privacy, this time with a VPN app
    0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews
  • Microsoft และ Cloudflare ร่วมมือถล่มเครือข่ายฟิชชิ่ง RaccoonO365 — ยุติการขโมยบัญชี Microsoft 365 กว่า 5,000 รายทั่วโลก

    ในปฏิบัติการระดับโลกที่เริ่มต้นเมื่อเดือนกันยายน 2025 Microsoft และ Cloudflare ได้ร่วมกันรื้อถอนเครือข่ายฟิชชิ่งชื่อ RaccoonO365 ซึ่งเป็นบริการ “Phishing-as-a-Service” ที่เปิดให้แฮกเกอร์เช่าชุดเครื่องมือเพื่อขโมยบัญชี Microsoft 365 ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องมีทักษะด้านเทคนิคใด ๆ

    RaccoonO365 ถูกติดตามโดย Microsoft ภายใต้ชื่อ Storm-2246 และมีรูปแบบการให้บริการแบบสมัครสมาชิก โดยคิดค่าบริการ $355 ต่อ 30 วัน หรือ $999 ต่อ 90 วัน ซึ่งผู้ใช้สามารถป้อนอีเมลเป้าหมายได้ถึง 9,000 รายต่อวัน และใช้เทคนิคหลอกลวงที่ซับซ้อน เช่น CAPTCHA ปลอม, หน้าเข้าสู่ระบบ Microsoft ปลอม, และการข้ามระบบยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน (MFA)

    Microsoft ได้ยื่นฟ้องต่อศาล Southern District of New York และได้รับคำสั่งให้ยึดเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องถึง 338 แห่ง พร้อมระบุผู้อยู่เบื้องหลังคือ Joshua Ogundipe จากไนจีเรีย ซึ่งเป็นผู้พัฒนาและบริหารระบบนี้ผ่าน Telegram ที่มีสมาชิกกว่า 850 คน

    Cloudflare เข้าร่วมปฏิบัติการโดยปิดบัญชีผู้ใช้ที่เกี่ยวข้อง, ลบสคริปต์ Workers ที่ใช้ป้องกันบอท และแสดงหน้าเตือนก่อนเข้าถึงโดเมนที่เป็นอันตราย การดำเนินการนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแนวทางจากการลบโดเมนทีละตัว ไปสู่การรื้อถอนโครงสร้างเครือข่ายแบบครบวงจร

    Microsoft และ Cloudflare ร่วมกันรื้อถอนเครือข่ายฟิชชิ่ง RaccoonO365
    ปฏิบัติการเริ่มต้นวันที่ 2 กันยายน 2025 และเสร็จสิ้นภายในวันที่ 8 กันยายน
    ยึดเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องได้ถึง 338 แห่ง

    RaccoonO365 เป็นบริการ Phishing-as-a-Service
    ให้แฮกเกอร์เช่าชุดเครื่องมือผ่าน Telegram
    ค่าบริการ $355 ต่อ 30 วัน หรือ $999 ต่อ 90 วัน
    รองรับเป้าหมายได้ถึง 9,000 อีเมลต่อวัน

    เทคนิคที่ใช้ในการหลอกลวงมีความซับซ้อน
    ใช้ CAPTCHA ปลอมและหน้าเข้าสู่ระบบ Microsoft ปลอม
    ข้ามระบบ MFA และขโมย session cookies
    ใช้แบรนด์ดังเช่น DocuSign, Adobe, Maersk เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

    ผู้พัฒนาและผู้อยู่เบื้องหลังคือ Joshua Ogundipe
    มีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งและเขียนโค้ดส่วนใหญ่ด้วยตัวเอง
    ดำเนินการจากไนจีเรียและยังไม่ถูกจับกุม

    Cloudflare ปิดระบบสนับสนุนของเครือข่ายนี้
    ลบสคริปต์ Workers และแสดงหน้าเตือนก่อนเข้าถึงโดเมน
    ปิดบัญชีผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องกับการโจมตี

    https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-and-cloudflare-jointly-take-down-phishing-network-that-stole-thousands-of-microsoft-365-credentials
    📰 Microsoft และ Cloudflare ร่วมมือถล่มเครือข่ายฟิชชิ่ง RaccoonO365 — ยุติการขโมยบัญชี Microsoft 365 กว่า 5,000 รายทั่วโลก ในปฏิบัติการระดับโลกที่เริ่มต้นเมื่อเดือนกันยายน 2025 Microsoft และ Cloudflare ได้ร่วมกันรื้อถอนเครือข่ายฟิชชิ่งชื่อ RaccoonO365 ซึ่งเป็นบริการ “Phishing-as-a-Service” ที่เปิดให้แฮกเกอร์เช่าชุดเครื่องมือเพื่อขโมยบัญชี Microsoft 365 ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องมีทักษะด้านเทคนิคใด ๆ RaccoonO365 ถูกติดตามโดย Microsoft ภายใต้ชื่อ Storm-2246 และมีรูปแบบการให้บริการแบบสมัครสมาชิก โดยคิดค่าบริการ $355 ต่อ 30 วัน หรือ $999 ต่อ 90 วัน ซึ่งผู้ใช้สามารถป้อนอีเมลเป้าหมายได้ถึง 9,000 รายต่อวัน และใช้เทคนิคหลอกลวงที่ซับซ้อน เช่น CAPTCHA ปลอม, หน้าเข้าสู่ระบบ Microsoft ปลอม, และการข้ามระบบยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน (MFA) Microsoft ได้ยื่นฟ้องต่อศาล Southern District of New York และได้รับคำสั่งให้ยึดเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องถึง 338 แห่ง พร้อมระบุผู้อยู่เบื้องหลังคือ Joshua Ogundipe จากไนจีเรีย ซึ่งเป็นผู้พัฒนาและบริหารระบบนี้ผ่าน Telegram ที่มีสมาชิกกว่า 850 คน Cloudflare เข้าร่วมปฏิบัติการโดยปิดบัญชีผู้ใช้ที่เกี่ยวข้อง, ลบสคริปต์ Workers ที่ใช้ป้องกันบอท และแสดงหน้าเตือนก่อนเข้าถึงโดเมนที่เป็นอันตราย การดำเนินการนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแนวทางจากการลบโดเมนทีละตัว ไปสู่การรื้อถอนโครงสร้างเครือข่ายแบบครบวงจร ✅ Microsoft และ Cloudflare ร่วมกันรื้อถอนเครือข่ายฟิชชิ่ง RaccoonO365 ➡️ ปฏิบัติการเริ่มต้นวันที่ 2 กันยายน 2025 และเสร็จสิ้นภายในวันที่ 8 กันยายน ➡️ ยึดเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องได้ถึง 338 แห่ง ✅ RaccoonO365 เป็นบริการ Phishing-as-a-Service ➡️ ให้แฮกเกอร์เช่าชุดเครื่องมือผ่าน Telegram ➡️ ค่าบริการ $355 ต่อ 30 วัน หรือ $999 ต่อ 90 วัน ➡️ รองรับเป้าหมายได้ถึง 9,000 อีเมลต่อวัน ✅ เทคนิคที่ใช้ในการหลอกลวงมีความซับซ้อน ➡️ ใช้ CAPTCHA ปลอมและหน้าเข้าสู่ระบบ Microsoft ปลอม ➡️ ข้ามระบบ MFA และขโมย session cookies ➡️ ใช้แบรนด์ดังเช่น DocuSign, Adobe, Maersk เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ✅ ผู้พัฒนาและผู้อยู่เบื้องหลังคือ Joshua Ogundipe ➡️ มีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งและเขียนโค้ดส่วนใหญ่ด้วยตัวเอง ➡️ ดำเนินการจากไนจีเรียและยังไม่ถูกจับกุม ✅ Cloudflare ปิดระบบสนับสนุนของเครือข่ายนี้ ➡️ ลบสคริปต์ Workers และแสดงหน้าเตือนก่อนเข้าถึงโดเมน ➡️ ปิดบัญชีผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องกับการโจมตี https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-and-cloudflare-jointly-take-down-phishing-network-that-stole-thousands-of-microsoft-365-credentials
    WWW.TECHRADAR.COM
    Joint Microsoft and Cloudflare operation disrupts phishing as a service targeting Microsoft 365 credentials
    RaccoonO365 sold phishing kits that copied Microsoft emails, attachments, and websites
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • “Kimsuky ใช้ AI สร้างบัตรทหารปลอม — ฟิชชิ่งแนบเนียนระดับ Deepfake เจาะระบบด้วยภาพที่ดู ‘จริงเกินไป’”

    กลุ่มแฮกเกอร์ Kimsuky ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลเกาหลีเหนือกลับมาอีกครั้ง พร้อมเทคนิคใหม่ที่น่ากังวลยิ่งกว่าเดิม โดยใช้ AI สร้างภาพบัตรประจำตัวทหารปลอมที่ดูสมจริงระดับ deepfake เพื่อหลอกเป้าหมายให้เปิดไฟล์มัลแวร์ผ่านอีเมลปลอมที่แอบอ้างว่าเป็นหน่วยงานด้านกลาโหมของเกาหลีใต้

    แคมเปญนี้เริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม 2025 โดยผู้โจมตีส่งอีเมลที่ดูเหมือนเป็นการขอให้ตรวจสอบร่างบัตรทหารใหม่ ภายในแนบไฟล์ ZIP ที่มีภาพบัตรปลอมซึ่งสร้างด้วย AI โดยใช้ ChatGPT หรือโมเดลที่คล้ายกัน ภาพเหล่านี้ผ่านการตรวจสอบด้วยเครื่องมือ deepfake detector และพบว่ามีความเป็นปลอมสูงถึง 98%

    เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ ภายในจะมีสคริปต์ซ่อนอยู่ เช่น batch file และ AutoIt script ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมจากระยะไกล และติดตั้ง task ปลอมชื่อ HncAutoUpdateTaskMachine ซึ่งแอบทำงานทุก 7 นาทีโดยปลอมเป็นการอัปเดตของ Hancom Office

    เทคนิคนี้เป็นการพัฒนาจากแคมเปญ ClickFix เดิมของ Kimsuky ที่เคยใช้หน้าต่าง CAPTCHA ปลอมเพื่อหลอกให้เหยื่อรันคำสั่ง PowerShell โดยตรง แต่ครั้งนี้ใช้ภาพปลอมที่ดูเหมือนจริงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น และหลบเลี่ยงการตรวจจับได้ดีกว่าเดิม

    นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือเคยใช้ AI เพื่อสร้างโปรไฟล์ปลอม สมัครงานในบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยใช้ Claude และ ChatGPT สร้างเรซูเม่ ตอบคำถามสัมภาษณ์ และแม้แต่ทำงานจริงหลังได้รับการจ้างงาน

    https://hackread.com/north-korea-kimsuky-group-ai-generated-military-ids/
    🎯 “Kimsuky ใช้ AI สร้างบัตรทหารปลอม — ฟิชชิ่งแนบเนียนระดับ Deepfake เจาะระบบด้วยภาพที่ดู ‘จริงเกินไป’” กลุ่มแฮกเกอร์ Kimsuky ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลเกาหลีเหนือกลับมาอีกครั้ง พร้อมเทคนิคใหม่ที่น่ากังวลยิ่งกว่าเดิม โดยใช้ AI สร้างภาพบัตรประจำตัวทหารปลอมที่ดูสมจริงระดับ deepfake เพื่อหลอกเป้าหมายให้เปิดไฟล์มัลแวร์ผ่านอีเมลปลอมที่แอบอ้างว่าเป็นหน่วยงานด้านกลาโหมของเกาหลีใต้ แคมเปญนี้เริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม 2025 โดยผู้โจมตีส่งอีเมลที่ดูเหมือนเป็นการขอให้ตรวจสอบร่างบัตรทหารใหม่ ภายในแนบไฟล์ ZIP ที่มีภาพบัตรปลอมซึ่งสร้างด้วย AI โดยใช้ ChatGPT หรือโมเดลที่คล้ายกัน ภาพเหล่านี้ผ่านการตรวจสอบด้วยเครื่องมือ deepfake detector และพบว่ามีความเป็นปลอมสูงถึง 98% เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ ภายในจะมีสคริปต์ซ่อนอยู่ เช่น batch file และ AutoIt script ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมจากระยะไกล และติดตั้ง task ปลอมชื่อ HncAutoUpdateTaskMachine ซึ่งแอบทำงานทุก 7 นาทีโดยปลอมเป็นการอัปเดตของ Hancom Office เทคนิคนี้เป็นการพัฒนาจากแคมเปญ ClickFix เดิมของ Kimsuky ที่เคยใช้หน้าต่าง CAPTCHA ปลอมเพื่อหลอกให้เหยื่อรันคำสั่ง PowerShell โดยตรง แต่ครั้งนี้ใช้ภาพปลอมที่ดูเหมือนจริงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น และหลบเลี่ยงการตรวจจับได้ดีกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือเคยใช้ AI เพื่อสร้างโปรไฟล์ปลอม สมัครงานในบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยใช้ Claude และ ChatGPT สร้างเรซูเม่ ตอบคำถามสัมภาษณ์ และแม้แต่ทำงานจริงหลังได้รับการจ้างงาน https://hackread.com/north-korea-kimsuky-group-ai-generated-military-ids/
    HACKREAD.COM
    North Korea’s Kimsuky Group Uses AI-Generated Military IDs in New Attack
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 141 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก OCTOPUS ถึง SCUP-HPC: เมื่อซูเปอร์คอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้บันทึกความจริงของงานวิจัย

    มหาวิทยาลัยโอซาก้า D3 Center ร่วมกับ NEC เปิดตัว OCTOPUS (Osaka University Compute and sTOrage Platform Urging open Science) ซึ่งเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีพลังการประมวลผล 2.293 petaflops โดยใช้ 140 โหนดของ NEC LX201Ein-1 ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานวิจัยแบบเปิด (Open Science)

    จุดเด่นของ OCTOPUS ไม่ใช่แค่ความเร็ว แต่คือระบบ “provenance management” ที่สามารถบันทึกและติดตามกระบวนการคำนวณทั้งหมด เช่น ข้อมูลใดถูกใช้ โปรแกรมใดเรียกใช้ และผลลัพธ์ใดถูกสร้างขึ้น โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพของระบบ

    เทคโนโลยีนี้ชื่อว่า SCUP-HPC (Scientific Computing Unifying Provenance – High Performance Computing) ซึ่งพัฒนาโดยทีมของ Susumu Date จากห้องวิจัยร่วมระหว่าง NEC และมหาวิทยาลัยโอซาก้า โดยเริ่มต้นในปี 2021

    SCUP-HPC ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาประวัติการคำนวณด้วย ID เฉพาะ และแสดงผลแบบ visualization ได้ ทำให้นักวิจัยสามารถใส่รหัสประวัติการคำนวณในบทความวิชาการ เพื่อยืนยันว่าใช้ OCTOPUS จริงในการสร้างผลลัพธ์

    ระบบนี้ยังช่วยแก้ปัญหาการบันทึกข้อมูลด้วยมือที่อาจผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในงานวิจัยที่ต้องการความโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในยุคที่ AI และ Big Data กลายเป็นเครื่องมือหลักของนักวิทยาศาสตร์

    NEC ยังมีแผนจะนำ SCUP-HPC ไปใช้เชิงพาณิชย์ในอนาคต และจะขยายแพลตฟอร์มนี้ไปสู่การใช้งานในอุตสาหกรรมและงานวิจัยด้าน AI อย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้แนวคิด “NEC BluStellar” ที่เน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลเพื่อการวิจัย

    การเปิดตัว OCTOPUS โดยมหาวิทยาลัยโอซาก้าและ NEC
    เริ่มทดลองใช้งานในเดือนกันยายน และเปิดใช้งานเต็มรูปแบบในเดือนธันวาคม 2025
    ใช้ 140 โหนดของ NEC LX201Ein-1 มีพลังการประมวลผล 2.293 petaflops
    ประสิทธิภาพสูงกว่าระบบเดิมประมาณ 1.5 เท่า

    เทคโนโลยี SCUP-HPC สำหรับการจัดการ provenance
    บันทึกว่าโปรแกรมใดใช้ข้อมูลใด และสร้างผลลัพธ์อะไร
    แสดงผลแบบ visualization และค้นหาด้วย history ID
    ช่วยให้นักวิจัยใส่รหัสการคำนวณในบทความเพื่อยืนยันความถูกต้อง

    เป้าหมายของระบบนี้
    ส่งเสริม Open Science โดยให้ข้อมูลวิจัยสามารถตรวจสอบและแบ่งปันได้
    ลดความผิดพลาดจากการบันทึกด้วยมือ
    เพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของงานวิจัย

    แผนการขยายในอนาคต
    NEC เตรียมนำ SCUP-HPC ไปใช้เชิงพาณิชย์
    ขยายไปสู่การใช้งานในอุตสาหกรรมและงานวิจัยด้าน AI/Big Data
    อยู่ภายใต้แนวคิด NEC BluStellar เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลวิจัย

    https://www.techpowerup.com/340936/nec-provides-computing-power-for-octopus-supercomputer-at-osaka-university
    🎙️ เรื่องเล่าจาก OCTOPUS ถึง SCUP-HPC: เมื่อซูเปอร์คอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้บันทึกความจริงของงานวิจัย มหาวิทยาลัยโอซาก้า D3 Center ร่วมกับ NEC เปิดตัว OCTOPUS (Osaka University Compute and sTOrage Platform Urging open Science) ซึ่งเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีพลังการประมวลผล 2.293 petaflops โดยใช้ 140 โหนดของ NEC LX201Ein-1 ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานวิจัยแบบเปิด (Open Science) จุดเด่นของ OCTOPUS ไม่ใช่แค่ความเร็ว แต่คือระบบ “provenance management” ที่สามารถบันทึกและติดตามกระบวนการคำนวณทั้งหมด เช่น ข้อมูลใดถูกใช้ โปรแกรมใดเรียกใช้ และผลลัพธ์ใดถูกสร้างขึ้น โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพของระบบ เทคโนโลยีนี้ชื่อว่า SCUP-HPC (Scientific Computing Unifying Provenance – High Performance Computing) ซึ่งพัฒนาโดยทีมของ Susumu Date จากห้องวิจัยร่วมระหว่าง NEC และมหาวิทยาลัยโอซาก้า โดยเริ่มต้นในปี 2021 SCUP-HPC ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาประวัติการคำนวณด้วย ID เฉพาะ และแสดงผลแบบ visualization ได้ ทำให้นักวิจัยสามารถใส่รหัสประวัติการคำนวณในบทความวิชาการ เพื่อยืนยันว่าใช้ OCTOPUS จริงในการสร้างผลลัพธ์ ระบบนี้ยังช่วยแก้ปัญหาการบันทึกข้อมูลด้วยมือที่อาจผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในงานวิจัยที่ต้องการความโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในยุคที่ AI และ Big Data กลายเป็นเครื่องมือหลักของนักวิทยาศาสตร์ NEC ยังมีแผนจะนำ SCUP-HPC ไปใช้เชิงพาณิชย์ในอนาคต และจะขยายแพลตฟอร์มนี้ไปสู่การใช้งานในอุตสาหกรรมและงานวิจัยด้าน AI อย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้แนวคิด “NEC BluStellar” ที่เน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลเพื่อการวิจัย ✅ การเปิดตัว OCTOPUS โดยมหาวิทยาลัยโอซาก้าและ NEC ➡️ เริ่มทดลองใช้งานในเดือนกันยายน และเปิดใช้งานเต็มรูปแบบในเดือนธันวาคม 2025 ➡️ ใช้ 140 โหนดของ NEC LX201Ein-1 มีพลังการประมวลผล 2.293 petaflops ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่าระบบเดิมประมาณ 1.5 เท่า ✅ เทคโนโลยี SCUP-HPC สำหรับการจัดการ provenance ➡️ บันทึกว่าโปรแกรมใดใช้ข้อมูลใด และสร้างผลลัพธ์อะไร ➡️ แสดงผลแบบ visualization และค้นหาด้วย history ID ➡️ ช่วยให้นักวิจัยใส่รหัสการคำนวณในบทความเพื่อยืนยันความถูกต้อง ✅ เป้าหมายของระบบนี้ ➡️ ส่งเสริม Open Science โดยให้ข้อมูลวิจัยสามารถตรวจสอบและแบ่งปันได้ ➡️ ลดความผิดพลาดจากการบันทึกด้วยมือ ➡️ เพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของงานวิจัย ✅ แผนการขยายในอนาคต ➡️ NEC เตรียมนำ SCUP-HPC ไปใช้เชิงพาณิชย์ ➡️ ขยายไปสู่การใช้งานในอุตสาหกรรมและงานวิจัยด้าน AI/Big Data ➡️ อยู่ภายใต้แนวคิด NEC BluStellar เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลวิจัย https://www.techpowerup.com/340936/nec-provides-computing-power-for-octopus-supercomputer-at-osaka-university
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    NEC Provides Computing Power for OCTOPUS Supercomputer at Osaka University
    The University of Osaka D3 Center will begin trial operations of the "Osaka University Compute and sTOrage Platform Urging open Science" (OCTOPUS), a computational and data platform promoting open science built by NEC Corporation (NEC; TSE: 6701), starting this September, with full-scale operations ...
    0 Comments 0 Shares 176 Views 0 Reviews
  • ..#ยกเลิกMOU43
    ..#ยกเลิกMOU44
    #MOU43MOU44ต้องยกเลิกทันที

    ..ยกเลิกmou43,44ไม่ทำแน่ๆดูทรงๆแล้ว,เขตแดน1:1คือเสาเขตแดนสยามปักหมุดชัดเจนแล้วถึง73-74เสาปักหมุดเขตแดน,สร้างรั้วลวดหนามกั้นได้ทันที,
    ..ถ้านายกฯหนูไม่ยกเลิกMOU43,44หลังเข้ารับตำแหน่งภายใน15วันของเดือนกันยายน2568นี้,ต้องฟันธงได้ทันทีว่า ไม่มีความซื่อสัตย์จริงใจทั้งต่อชาติไทยอธิปไตยไทยตนเองและประชาชนแน่แล้ว,วาทะกรรมที่พรรคภูมิใจธรรมรวมตัวกันเสนอยกเลิกMOU43,44กับรัฐบาลนายกฯอุ๊งอิ๊งเป็นละครโกหกประชาชนฉากหนึ่งนั้นเอง,ไม่อาจสามารถให้รัฐบาลนี้อยู่ต่อได้อีกต่อไป,ต้องขอนายกฯคนที่33พระราชทานแล้ว,รัฐบาลพระราชทานแล้ว, นายกฯหนู มีเวลาตัดสินใจถึงวันที่15ก.ย.68นี้เท่านั้นหลังรับตำแหน่ง,ช้าสุดวันที่17,ถ้าไม่ทำก็อย่าอ้างอะไร อ้างเหตุผลใดๆเลย,นี้ขนาดประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเชื่อกันว่าต้องปิดด่านถาวรทั้งหมดแน่นอนและจะด่านใดๆต้องทำการปิดตลอดแนวจนกว่าไทยจะสร้างรั้วลวดหนามเสร็จจึงค่อยกลับมาเจรจากันใหม่โน้น,เพื่อตัดเสบียงอาหาร เสบียงอาวุธ เสบียงขนย้ายไส้ศึกกำลังพลมันต่างๆ เสบียงสาระพัดรูปแบบผ่านเอกชนต่างชาติในไทยหรือเอกชนในไทยเองที่รอช่วยเหลือเขมรทุกๆทางอยู่ก็ว่า,
    ..การเปิดด่านเสมือนฆ่าอธิปไตยไทยตนเอง,ส่งมีดส่งปืนให้อีกฝ่ายมาฆ่าตนได้,มันคือความมั่นคงทั้งหมดนะ,เสบียงการซ่อมบำรุงสนับสนุนมันขนจากฝั่งจันทบุรี และ ตราด ก็สามารถกระจายอะไรสาระพัดถึงทหารชายแดนมันให้มีกำลังขึ้นมาต่อสู้กับไทยได้ เพิ่มศักยภาพทางการรบทางทหารเขมรชัดเจนด้วย,เอกชนใดๆในไทยหมายอยากค้าขายกับเขมรสามารถย้ายบริษัท ย้ายโรงงาน ย้ายกิจการตนไปตั้งที่เวียดนาม ที่ลาว ไปค้าขายกับเขมรที่ประเทศลาวและเวียดนามได้,อย่ามาสร้างเงื่อนไขให้ไทย บีบบังคับไทยเปิดด่านเพื่อการค้าขายทำกำไรของส่วนตนประโยชน์บริษัทกิจการตัวเองเลย,เรา..คนไทยถีบคุณออกจากประเทศไทยได้,สื่อนักข่าวสมควรนำข้อมูลบริษัทอะไรบ้างในไทยที่เปิดด่านแล้วผ่านเข้าออกไปเขมรนี้จะบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลใดๆ เราเอามาแฉบอกความจริงประชาชนเถอะแล้วร่วมกดดันแบบกิจการมัน ไม่ใช้สินค้าบริการมัน,ประชาชนมีสิทธิรับรู้ถึงการเข้าออกไปเขมรของมันที่วุ่นวายกับชาติไทยเราในการปกป้องความมั่นคงปลอดภัยของคนไทยเราเองทั้งประเทศ,เสมือนเอกชนนี้เจตนาใช้จังหวะนี้เปิดประตูให้โจร ว่าโจรนี้กำลังขาดอาหาร สร้างความเดือดร้อนแก่โจรที่กำลังจะพังประตูข้ามเส้นมาฆ่ามาขึ้นบ้านเรา มาสังหารยกครอบครัวเราภายในบ้าน มันพวกนี้อยากขายอาหารให้โจร ขายสินค้าให้โจรปล้นฆ่าเอาบ้านเรา เจตนาสงสารกลุ่มโจร กลัวโจรเดือดร้อน เจรจาเปิดประตูให้โจรนั้นเอง,คนประเภทนี้หนักแผ่นดินไทยมิสามารถแก้ไขได้จริงๆ,ได้โอกาสแก้ตัวที่ดีแล้วกลับทำตัวเหมือนเดิม,มุ่งช่วยเหลือศัตรูปกติ,มันจะเก็บระเบิดหรือไม่เก็บบนแผ่นดินมัน,มันเป็นเรื่องของมัน,บนแผ่นดินไทยเมื่อมันเข้ามาวางมันต้องเก็บทั้งหมด,ไม่เก็บก็ไม่ต้องพูดอะไรอีก,เราเก็บเอง สร้างรั้วลวดหนามคู่ขนานขณะเก็บไปด้วย ,เอามาวางอีกรัศมีติดรั้วลวดหนามเขตไทยยิงทิ้งเลย,
    ..เข้ายังไม่ไว้วางใจอะไ ก็ออกลายให้เขาเชื่อว่าไม่น่าไว้วางใจไปอีก,เรา..ประชาชนตกลงกันทั่วประเทศให้ยกเลิกmou43,44ทันทีก็ไม่รีบทำตั้งคณะทำงานผีบ้าอะไรอีก มันไม่ชอบด้วยกฎหมายอธิปไตยไทยแต่แรกแล้ว ไม่เคยเอาเข้าสภาด้วย ตกลงกันเองในรัฐบาลนั้นๆเองซึ่งคนทำก็ติดคุกแล้วด้วย,ไร้ความน่าเชื่อถือไปอีก,ต่อมาให้สร้างรั้วลวดหนาทถาวรเสร็จก่อนค่อยว่าเรื่องไม่เปิดด่านอีกหรือไม่.
    https://youtube.com/watch?v=iwUrVFOyo1Y&si=UZ4FkQsz6bQNydMH
    ..#ยกเลิกMOU43 ..#ยกเลิกMOU44 #MOU43MOU44ต้องยกเลิกทันที ..ยกเลิกmou43,44ไม่ทำแน่ๆดูทรงๆแล้ว,เขตแดน1:1คือเสาเขตแดนสยามปักหมุดชัดเจนแล้วถึง73-74เสาปักหมุดเขตแดน,สร้างรั้วลวดหนามกั้นได้ทันที, ..ถ้านายกฯหนูไม่ยกเลิกMOU43,44หลังเข้ารับตำแหน่งภายใน15วันของเดือนกันยายน2568นี้,ต้องฟันธงได้ทันทีว่า ไม่มีความซื่อสัตย์จริงใจทั้งต่อชาติไทยอธิปไตยไทยตนเองและประชาชนแน่แล้ว,วาทะกรรมที่พรรคภูมิใจธรรมรวมตัวกันเสนอยกเลิกMOU43,44กับรัฐบาลนายกฯอุ๊งอิ๊งเป็นละครโกหกประชาชนฉากหนึ่งนั้นเอง,ไม่อาจสามารถให้รัฐบาลนี้อยู่ต่อได้อีกต่อไป,ต้องขอนายกฯคนที่33พระราชทานแล้ว,รัฐบาลพระราชทานแล้ว, นายกฯหนู มีเวลาตัดสินใจถึงวันที่15ก.ย.68นี้เท่านั้นหลังรับตำแหน่ง,ช้าสุดวันที่17,ถ้าไม่ทำก็อย่าอ้างอะไร อ้างเหตุผลใดๆเลย,นี้ขนาดประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเชื่อกันว่าต้องปิดด่านถาวรทั้งหมดแน่นอนและจะด่านใดๆต้องทำการปิดตลอดแนวจนกว่าไทยจะสร้างรั้วลวดหนามเสร็จจึงค่อยกลับมาเจรจากันใหม่โน้น,เพื่อตัดเสบียงอาหาร เสบียงอาวุธ เสบียงขนย้ายไส้ศึกกำลังพลมันต่างๆ เสบียงสาระพัดรูปแบบผ่านเอกชนต่างชาติในไทยหรือเอกชนในไทยเองที่รอช่วยเหลือเขมรทุกๆทางอยู่ก็ว่า, ..การเปิดด่านเสมือนฆ่าอธิปไตยไทยตนเอง,ส่งมีดส่งปืนให้อีกฝ่ายมาฆ่าตนได้,มันคือความมั่นคงทั้งหมดนะ,เสบียงการซ่อมบำรุงสนับสนุนมันขนจากฝั่งจันทบุรี และ ตราด ก็สามารถกระจายอะไรสาระพัดถึงทหารชายแดนมันให้มีกำลังขึ้นมาต่อสู้กับไทยได้ เพิ่มศักยภาพทางการรบทางทหารเขมรชัดเจนด้วย,เอกชนใดๆในไทยหมายอยากค้าขายกับเขมรสามารถย้ายบริษัท ย้ายโรงงาน ย้ายกิจการตนไปตั้งที่เวียดนาม ที่ลาว ไปค้าขายกับเขมรที่ประเทศลาวและเวียดนามได้,อย่ามาสร้างเงื่อนไขให้ไทย บีบบังคับไทยเปิดด่านเพื่อการค้าขายทำกำไรของส่วนตนประโยชน์บริษัทกิจการตัวเองเลย,เรา..คนไทยถีบคุณออกจากประเทศไทยได้,สื่อนักข่าวสมควรนำข้อมูลบริษัทอะไรบ้างในไทยที่เปิดด่านแล้วผ่านเข้าออกไปเขมรนี้จะบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลใดๆ เราเอามาแฉบอกความจริงประชาชนเถอะแล้วร่วมกดดันแบบกิจการมัน ไม่ใช้สินค้าบริการมัน,ประชาชนมีสิทธิรับรู้ถึงการเข้าออกไปเขมรของมันที่วุ่นวายกับชาติไทยเราในการปกป้องความมั่นคงปลอดภัยของคนไทยเราเองทั้งประเทศ,เสมือนเอกชนนี้เจตนาใช้จังหวะนี้เปิดประตูให้โจร ว่าโจรนี้กำลังขาดอาหาร สร้างความเดือดร้อนแก่โจรที่กำลังจะพังประตูข้ามเส้นมาฆ่ามาขึ้นบ้านเรา มาสังหารยกครอบครัวเราภายในบ้าน มันพวกนี้อยากขายอาหารให้โจร ขายสินค้าให้โจรปล้นฆ่าเอาบ้านเรา เจตนาสงสารกลุ่มโจร กลัวโจรเดือดร้อน เจรจาเปิดประตูให้โจรนั้นเอง,คนประเภทนี้หนักแผ่นดินไทยมิสามารถแก้ไขได้จริงๆ,ได้โอกาสแก้ตัวที่ดีแล้วกลับทำตัวเหมือนเดิม,มุ่งช่วยเหลือศัตรูปกติ,มันจะเก็บระเบิดหรือไม่เก็บบนแผ่นดินมัน,มันเป็นเรื่องของมัน,บนแผ่นดินไทยเมื่อมันเข้ามาวางมันต้องเก็บทั้งหมด,ไม่เก็บก็ไม่ต้องพูดอะไรอีก,เราเก็บเอง สร้างรั้วลวดหนามคู่ขนานขณะเก็บไปด้วย ,เอามาวางอีกรัศมีติดรั้วลวดหนามเขตไทยยิงทิ้งเลย, ..เข้ายังไม่ไว้วางใจอะไ ก็ออกลายให้เขาเชื่อว่าไม่น่าไว้วางใจไปอีก,เรา..ประชาชนตกลงกันทั่วประเทศให้ยกเลิกmou43,44ทันทีก็ไม่รีบทำตั้งคณะทำงานผีบ้าอะไรอีก มันไม่ชอบด้วยกฎหมายอธิปไตยไทยแต่แรกแล้ว ไม่เคยเอาเข้าสภาด้วย ตกลงกันเองในรัฐบาลนั้นๆเองซึ่งคนทำก็ติดคุกแล้วด้วย,ไร้ความน่าเชื่อถือไปอีก,ต่อมาให้สร้างรั้วลวดหนาทถาวรเสร็จก่อนค่อยว่าเรื่องไม่เปิดด่านอีกหรือไม่. https://youtube.com/watch?v=iwUrVFOyo1Y&si=UZ4FkQsz6bQNydMH
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • “AI Data Center: เบื้องหลังเทคโนโลยีล้ำยุคที่อาจกลายเป็นจุดอ่อนด้านความมั่นคงไซเบอร์ระดับโลก”

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนระดับ GPT-5 หรือระบบวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ที่ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล คุณอาจคิดถึง GPU, TPU หรือคลาวด์ที่เร็วแรง แต่สิ่งที่คุณอาจมองข้ามคือ “AI Data Center” ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด — และนั่นคือจุดที่ภัยคุกคามไซเบอร์กำลังพุ่งเป้าเข้าใส่

    ในปี 2025 การลงทุนใน AI Data Center พุ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น Amazon ทุ่มเงินกว่า $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย และ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกแผน AI Action Plan เพื่อเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

    แต่เบื้องหลังความก้าวหน้าเหล่านี้คือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งด้านพลังงาน (คาดว่าใช้ไฟฟ้ากว่า 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี) และด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะการโจมตีแบบ side-channel, memory-level, model exfiltration และ supply chain sabotage ที่กำลังกลายเป็นเรื่องจริง

    AI Data Center ไม่ได้แค่เก็บข้อมูล แต่ยังเป็นที่อยู่ของโมเดล, น้ำหนักการเรียนรู้, และชุดข้อมูลฝึก ซึ่งหากถูกขโมยหรือถูกแก้ไข อาจส่งผลต่อความแม่นยำ ความน่าเชื่อถือ และแม้แต่ความมั่นคงของประเทศ

    การเติบโตของ AI Data Center
    Amazon ลงทุน $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย
    Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026
    รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนผ่าน AI Action Plan โดยประธานาธิบดีทรัมป์
    ความต้องการพลังงานสูงถึง 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี
    คาดว่าจะเพิ่มการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก 3–4%

    ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น
    โจมตีแบบ DDoS, ransomware, supply chain และ social engineering
    side-channel attack จากฮาร์ดแวร์ เช่น CPU, GPU, TPU
    ตัวอย่าง: AMD พบช่องโหว่ 4 จุดในเดือนกรกฎาคม 2025
    TPUXtract โจมตี TPU โดยเจาะข้อมูลโมเดล AI โดยตรง
    GPU เสี่ยงต่อ memory-level attack และ malware ที่รันในหน่วยความจำ GPU
    ความเสี่ยงจาก model exfiltration, data poisoning, model inversion และ model stealing

    ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และ supply chain
    การโจมตีจากรัฐต่างชาติ เช่น การแทรกซึมจากจีนผ่าน Digital Silk Road 2.0
    การใช้เทคโนโลยี 5G และระบบเฝ้าระวังในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย
    ความเสี่ยงจากการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยบริษัทจีน
    การโจมตี supply chain ก่อนศูนย์จะเปิดใช้งานจริง

    แนวทางที่ผู้บริหารด้านความปลอดภัยควรพิจารณา
    ตรวจสอบนโยบายของผู้ให้บริการ AI Data Center อย่างละเอียด
    ใช้ Faraday cage หรือ shield chamber เพื่อลด side-channel attack
    ทำ AI audit อย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจหาช่องโหว่และ backdoor
    ตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์และแหล่งที่มาของอุปกรณ์
    คัดกรองบุคลากรเพื่อป้องกันการแทรกซึมจากรัฐต่างชาติ

    https://www.csoonline.com/article/4051849/the-importance-of-reviewing-ai-data-centers-policies.html
    🏭 “AI Data Center: เบื้องหลังเทคโนโลยีล้ำยุคที่อาจกลายเป็นจุดอ่อนด้านความมั่นคงไซเบอร์ระดับโลก” ลองนึกภาพว่าคุณกำลังพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนระดับ GPT-5 หรือระบบวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ที่ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล คุณอาจคิดถึง GPU, TPU หรือคลาวด์ที่เร็วแรง แต่สิ่งที่คุณอาจมองข้ามคือ “AI Data Center” ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด — และนั่นคือจุดที่ภัยคุกคามไซเบอร์กำลังพุ่งเป้าเข้าใส่ ในปี 2025 การลงทุนใน AI Data Center พุ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น Amazon ทุ่มเงินกว่า $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย และ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกแผน AI Action Plan เพื่อเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่เบื้องหลังความก้าวหน้าเหล่านี้คือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งด้านพลังงาน (คาดว่าใช้ไฟฟ้ากว่า 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี) และด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะการโจมตีแบบ side-channel, memory-level, model exfiltration และ supply chain sabotage ที่กำลังกลายเป็นเรื่องจริง AI Data Center ไม่ได้แค่เก็บข้อมูล แต่ยังเป็นที่อยู่ของโมเดล, น้ำหนักการเรียนรู้, และชุดข้อมูลฝึก ซึ่งหากถูกขโมยหรือถูกแก้ไข อาจส่งผลต่อความแม่นยำ ความน่าเชื่อถือ และแม้แต่ความมั่นคงของประเทศ ✅ การเติบโตของ AI Data Center ➡️ Amazon ลงทุน $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย ➡️ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนผ่าน AI Action Plan โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ➡️ ความต้องการพลังงานสูงถึง 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี ➡️ คาดว่าจะเพิ่มการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก 3–4% ✅ ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น ➡️ โจมตีแบบ DDoS, ransomware, supply chain และ social engineering ➡️ side-channel attack จากฮาร์ดแวร์ เช่น CPU, GPU, TPU ➡️ ตัวอย่าง: AMD พบช่องโหว่ 4 จุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ TPUXtract โจมตี TPU โดยเจาะข้อมูลโมเดล AI โดยตรง ➡️ GPU เสี่ยงต่อ memory-level attack และ malware ที่รันในหน่วยความจำ GPU ➡️ ความเสี่ยงจาก model exfiltration, data poisoning, model inversion และ model stealing ✅ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และ supply chain ➡️ การโจมตีจากรัฐต่างชาติ เช่น การแทรกซึมจากจีนผ่าน Digital Silk Road 2.0 ➡️ การใช้เทคโนโลยี 5G และระบบเฝ้าระวังในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย ➡️ ความเสี่ยงจากการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยบริษัทจีน ➡️ การโจมตี supply chain ก่อนศูนย์จะเปิดใช้งานจริง ✅ แนวทางที่ผู้บริหารด้านความปลอดภัยควรพิจารณา ➡️ ตรวจสอบนโยบายของผู้ให้บริการ AI Data Center อย่างละเอียด ➡️ ใช้ Faraday cage หรือ shield chamber เพื่อลด side-channel attack ➡️ ทำ AI audit อย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจหาช่องโหว่และ backdoor ➡️ ตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์และแหล่งที่มาของอุปกรณ์ ➡️ คัดกรองบุคลากรเพื่อป้องกันการแทรกซึมจากรัฐต่างชาติ https://www.csoonline.com/article/4051849/the-importance-of-reviewing-ai-data-centers-policies.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The importance of reviewing AI data centers’ policies
    As the race to invest in AI tools, technologies and capabilities continues, it is critical for cybersecurity leaders to not only look at whether the AI-embedded software is secure but also to scrutinize whether the AI data centers are secure as well.
    0 Comments 0 Shares 220 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Grokking: เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือขยายมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว

    นักวิจัยจาก Guardio Labs ได้เปิดเผยเทคนิคใหม่ที่เรียกว่า “Grokking” ซึ่งเป็นการใช้ช่องโหว่ในระบบของแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ร่วมกับ AI ผู้ช่วยชื่อ Grok เพื่อเผยแพร่ลิงก์อันตรายโดยหลบเลี่ยงระบบตรวจสอบของแพลตฟอร์ม

    วิธีการเริ่มต้นจากการโพสต์โฆษณาวิดีโอที่ดูน่าสนใจหรือมีเนื้อหายั่วยุ โดยไม่มีลิงก์ในเนื้อหาโพสต์หลัก ซึ่งช่วยให้หลบการตรวจสอบจากระบบของ X ได้ จากนั้นผู้โจมตีจะซ่อนลิงก์มัลแวร์ไว้ในช่อง “From:” metadata ซึ่งเป็นจุดที่ระบบไม่สแกน

    ขั้นตอนที่แยบยลที่สุดคือ การตอบกลับโพสต์นั้นโดยถาม Grok ว่า “ลิงก์ของวิดีโอนี้คืออะไร” Grok ซึ่งเป็นบัญชีระบบที่มีความน่าเชื่อถือสูง จะอ่าน metadata และตอบกลับด้วยลิงก์เต็มที่สามารถคลิกได้ทันที—กลายเป็นการ “พูดออกมา” แทนผู้โจมตี

    ผลคือ ลิงก์ที่ควรถูกบล็อกกลับถูกเผยแพร่โดย AI ที่ผู้ใช้เชื่อถือ และได้รับการขยายผลผ่าน SEO, การแสดงผลในฟีด และการคลิกจากผู้ใช้ที่ไม่รู้ตัว โดยบางแคมเปญมีผู้ชมมากกว่า 5 ล้านครั้ง

    ลิงก์เหล่านี้นำไปสู่เว็บไซต์ที่มี CAPTCHA ปลอม หรือดาวน์โหลดมัลแวร์ประเภท infostealer ที่ขโมยข้อมูลจากเครื่องของเหยื่อ โดยใช้เทคนิค smartlink monetization ผ่านเครือข่ายโฆษณาที่ไม่ปลอดภัย

    นักวิจัยยังพบว่าแคมเปญนี้มีความเป็นระบบสูง มีบัญชีหลายร้อยบัญชีที่โพสต์ซ้ำ ๆ จนกว่าจะถูกแบน และมีการใช้ Grok เป็น “เครื่องขยายเสียง” ของมัลแวร์อย่างต่อเนื่อง

    เทคนิค Grokking ที่ถูกค้นพบ
    โฆษณาวิดีโอไม่มีลิงก์ในโพสต์หลักเพื่อหลบการตรวจสอบ
    ซ่อนลิงก์มัลแวร์ในช่อง “From:” metadata ของวิดีโอ
    ใช้ Grok ตอบกลับเพื่อเผยแพร่ลิงก์ในรูปแบบที่คลิกได้

    บทบาทของ Grok ในการขยายผล
    Grok เป็นบัญชีระบบที่มีความน่าเชื่อถือสูงในแพลตฟอร์ม X
    การตอบกลับของ Grokช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและการมองเห็นของลิงก์
    ลิงก์ได้รับการขยายผลผ่าน SEO และการแสดงผลในฟีดของผู้ใช้

    ผลกระทบและการแพร่กระจาย
    ลิงก์นำไปสู่เว็บไซต์ที่มี CAPTCHA ปลอมและมัลแวร์ infostealer
    ใช้เครือข่ายโฆษณาแบบ smartlink monetization ที่ไม่ปลอดภัย
    บางแคมเปญมีผู้ชมมากกว่า 5 ล้านครั้ง

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    Grokกลายเป็น “megaphone” ของมัลแวร์โดยไม่ตั้งใจ
    AI ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือสามารถถูกหลอกให้เผยแพร่ภัยคุกคาม
    แนะนำให้แพลตฟอร์มสแกน metadata และเพิ่มการกรองคำตอบของ AI

    https://hackread.com/scammers-exploit-grok-ai-video-ad-scam-x-malware/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Grokking: เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือขยายมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว นักวิจัยจาก Guardio Labs ได้เปิดเผยเทคนิคใหม่ที่เรียกว่า “Grokking” ซึ่งเป็นการใช้ช่องโหว่ในระบบของแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ร่วมกับ AI ผู้ช่วยชื่อ Grok เพื่อเผยแพร่ลิงก์อันตรายโดยหลบเลี่ยงระบบตรวจสอบของแพลตฟอร์ม วิธีการเริ่มต้นจากการโพสต์โฆษณาวิดีโอที่ดูน่าสนใจหรือมีเนื้อหายั่วยุ โดยไม่มีลิงก์ในเนื้อหาโพสต์หลัก ซึ่งช่วยให้หลบการตรวจสอบจากระบบของ X ได้ จากนั้นผู้โจมตีจะซ่อนลิงก์มัลแวร์ไว้ในช่อง “From:” metadata ซึ่งเป็นจุดที่ระบบไม่สแกน ขั้นตอนที่แยบยลที่สุดคือ การตอบกลับโพสต์นั้นโดยถาม Grok ว่า “ลิงก์ของวิดีโอนี้คืออะไร” Grok ซึ่งเป็นบัญชีระบบที่มีความน่าเชื่อถือสูง จะอ่าน metadata และตอบกลับด้วยลิงก์เต็มที่สามารถคลิกได้ทันที—กลายเป็นการ “พูดออกมา” แทนผู้โจมตี ผลคือ ลิงก์ที่ควรถูกบล็อกกลับถูกเผยแพร่โดย AI ที่ผู้ใช้เชื่อถือ และได้รับการขยายผลผ่าน SEO, การแสดงผลในฟีด และการคลิกจากผู้ใช้ที่ไม่รู้ตัว โดยบางแคมเปญมีผู้ชมมากกว่า 5 ล้านครั้ง ลิงก์เหล่านี้นำไปสู่เว็บไซต์ที่มี CAPTCHA ปลอม หรือดาวน์โหลดมัลแวร์ประเภท infostealer ที่ขโมยข้อมูลจากเครื่องของเหยื่อ โดยใช้เทคนิค smartlink monetization ผ่านเครือข่ายโฆษณาที่ไม่ปลอดภัย นักวิจัยยังพบว่าแคมเปญนี้มีความเป็นระบบสูง มีบัญชีหลายร้อยบัญชีที่โพสต์ซ้ำ ๆ จนกว่าจะถูกแบน และมีการใช้ Grok เป็น “เครื่องขยายเสียง” ของมัลแวร์อย่างต่อเนื่อง ✅ เทคนิค Grokking ที่ถูกค้นพบ ➡️ โฆษณาวิดีโอไม่มีลิงก์ในโพสต์หลักเพื่อหลบการตรวจสอบ ➡️ ซ่อนลิงก์มัลแวร์ในช่อง “From:” metadata ของวิดีโอ ➡️ ใช้ Grok ตอบกลับเพื่อเผยแพร่ลิงก์ในรูปแบบที่คลิกได้ ✅ บทบาทของ Grok ในการขยายผล ➡️ Grok เป็นบัญชีระบบที่มีความน่าเชื่อถือสูงในแพลตฟอร์ม X ➡️ การตอบกลับของ Grokช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและการมองเห็นของลิงก์ ➡️ ลิงก์ได้รับการขยายผลผ่าน SEO และการแสดงผลในฟีดของผู้ใช้ ✅ ผลกระทบและการแพร่กระจาย ➡️ ลิงก์นำไปสู่เว็บไซต์ที่มี CAPTCHA ปลอมและมัลแวร์ infostealer ➡️ ใช้เครือข่ายโฆษณาแบบ smartlink monetization ที่ไม่ปลอดภัย ➡️ บางแคมเปญมีผู้ชมมากกว่า 5 ล้านครั้ง ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ Grokกลายเป็น “megaphone” ของมัลแวร์โดยไม่ตั้งใจ ➡️ AI ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือสามารถถูกหลอกให้เผยแพร่ภัยคุกคาม ➡️ แนะนำให้แพลตฟอร์มสแกน metadata และเพิ่มการกรองคำตอบของ AI https://hackread.com/scammers-exploit-grok-ai-video-ad-scam-x-malware/
    HACKREAD.COM
    Scammers Exploit Grok AI With Video Ad Scam to Push Malware on X
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Pegasus ถึง P6300: เมื่อ ASUS ไม่ได้แค่สร้างอุปกรณ์ แต่สร้างแรงบันดาลใจ

    ชื่อ “ASUS” มาจากคำว่า “Pegasus” ม้าเทพปีกทองในตำนานกรีก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสร้างสรรค์ ความบริสุทธิ์ และจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย ผู้ก่อตั้ง ASUS เลือกตัดคำว่า “Peg” ออกเพื่อให้ชื่อแบรนด์อยู่ต้น ๆ ของลิสต์ตัวอักษรในยุคที่การจัดเรียงตามตัวอักษรมีผลต่อการมองเห็นในตลาดเทคโนโลยีช่วงปี 1980s

    ASUS เริ่มต้นในปี 1989 ด้วยเมนบอร์ดสองรุ่นคือ Cache386/33 และ 486/25 ก่อนจะเปิดตัว EISA 486 ในปี 1990 ซึ่งกลายเป็นเมนบอร์ดยอดนิยมระดับโลก และช่วยผลักดันให้ไต้หวันกลายเป็นศูนย์กลางการผลิต IT

    ในปี 1997 ASUS เปิดตัวโน้ตบุ๊ก P6300 ซึ่งกลายเป็นโน้ตบุ๊กเครื่องแรกที่ถูกนำขึ้นไปใช้งานในสถานีอวกาศ Mir แม้สเปกจะล้าสมัยในวันนี้ แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างชื่อเสียงด้านความทนทานและความน่าเชื่อถือ

    จากนั้น ASUS ก็เดินหน้าสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง—ตั้งแต่โน้ตบุ๊กที่มี TV tuner ในปี 2003, เมนบอร์ดแบบ multi-GPU ในปี 2004, โน้ตบุ๊กที่มีกล้องหมุนได้ในปี 2005, ไปจนถึงการเปิดตัวแบรนด์ Republic of Gamers (ROG) ในปี 2006 และโน้ตบุ๊กที่บางที่สุดในโลกในปี 2007

    ในปี 2008 ASUS เปิดตัวโน้ตบุ๊กที่ใช้ไม้ไผ่เป็นวัสดุหลัก และในทศวรรษ 2010s ก็ยังคงสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น การ์ดจอแบบพัดลมคู่, เมนบอร์ดที่ควบคุมผ่านแอปมือถือ, และโน้ตบุ๊กเกมมิ่งขนาดกะทัดรัดที่ทรงพลังที่สุดในโลก

    ความหมายของชื่อ ASUS
    มาจาก Pegasus ม้าเทพปีกทองในตำนานกรีก
    สื่อถึงความสร้างสรรค์ ความบริสุทธิ์ และจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย
    ตัดคำว่า “Peg” เพื่อให้ชื่ออยู่ต้นลิสต์ตัวอักษรในยุค 1980s

    จุดเริ่มต้นของแบรนด์
    ก่อตั้งในปี 1989 ด้วยเมนบอร์ด Cache386/33 และ 486/25
    เปิดตัว EISA 486 ในปี 1990 ซึ่งกลายเป็นเมนบอร์ดยอดนิยม
    ช่วยผลักดันให้ไต้หวันเป็นศูนย์กลางการผลิต IT

    นวัตกรรมที่โดดเด่น
    P6300 เป็นโน้ตบุ๊กเครื่องแรกที่ถูกนำขึ้นสถานีอวกาศ Mir
    เปิดตัวโน้ตบุ๊กที่มี TV tuner ในปี 2003 และกล้องหมุนได้ในปี 2005
    เปิดตัวแบรนด์ ROG ในปี 2006 และโน้ตบุ๊กไม้ไผ่ในปี 2008
    สร้างการ์ดจอพัดลมคู่, เมนบอร์ดควบคุมผ่านมือถือ, และโน้ตบุ๊กเกมมิ่งขนาดเล็กแต่ทรงพลัง

    วิสัยทัศน์ของแบรนด์
    ยึดหลัก “sky’s the limit” ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
    เน้นความทนทาน ความน่าเชื่อถือ และการออกแบบที่ล้ำสมัย
    สร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและการเล่นเกม

    https://www.slashgear.com/1956274/what-asus-stands-for-tech-company/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Pegasus ถึง P6300: เมื่อ ASUS ไม่ได้แค่สร้างอุปกรณ์ แต่สร้างแรงบันดาลใจ ชื่อ “ASUS” มาจากคำว่า “Pegasus” ม้าเทพปีกทองในตำนานกรีก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสร้างสรรค์ ความบริสุทธิ์ และจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย ผู้ก่อตั้ง ASUS เลือกตัดคำว่า “Peg” ออกเพื่อให้ชื่อแบรนด์อยู่ต้น ๆ ของลิสต์ตัวอักษรในยุคที่การจัดเรียงตามตัวอักษรมีผลต่อการมองเห็นในตลาดเทคโนโลยีช่วงปี 1980s ASUS เริ่มต้นในปี 1989 ด้วยเมนบอร์ดสองรุ่นคือ Cache386/33 และ 486/25 ก่อนจะเปิดตัว EISA 486 ในปี 1990 ซึ่งกลายเป็นเมนบอร์ดยอดนิยมระดับโลก และช่วยผลักดันให้ไต้หวันกลายเป็นศูนย์กลางการผลิต IT ในปี 1997 ASUS เปิดตัวโน้ตบุ๊ก P6300 ซึ่งกลายเป็นโน้ตบุ๊กเครื่องแรกที่ถูกนำขึ้นไปใช้งานในสถานีอวกาศ Mir แม้สเปกจะล้าสมัยในวันนี้ แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างชื่อเสียงด้านความทนทานและความน่าเชื่อถือ จากนั้น ASUS ก็เดินหน้าสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง—ตั้งแต่โน้ตบุ๊กที่มี TV tuner ในปี 2003, เมนบอร์ดแบบ multi-GPU ในปี 2004, โน้ตบุ๊กที่มีกล้องหมุนได้ในปี 2005, ไปจนถึงการเปิดตัวแบรนด์ Republic of Gamers (ROG) ในปี 2006 และโน้ตบุ๊กที่บางที่สุดในโลกในปี 2007 ในปี 2008 ASUS เปิดตัวโน้ตบุ๊กที่ใช้ไม้ไผ่เป็นวัสดุหลัก และในทศวรรษ 2010s ก็ยังคงสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น การ์ดจอแบบพัดลมคู่, เมนบอร์ดที่ควบคุมผ่านแอปมือถือ, และโน้ตบุ๊กเกมมิ่งขนาดกะทัดรัดที่ทรงพลังที่สุดในโลก ✅ ความหมายของชื่อ ASUS ➡️ มาจาก Pegasus ม้าเทพปีกทองในตำนานกรีก ➡️ สื่อถึงความสร้างสรรค์ ความบริสุทธิ์ และจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย ➡️ ตัดคำว่า “Peg” เพื่อให้ชื่ออยู่ต้นลิสต์ตัวอักษรในยุค 1980s ✅ จุดเริ่มต้นของแบรนด์ ➡️ ก่อตั้งในปี 1989 ด้วยเมนบอร์ด Cache386/33 และ 486/25 ➡️ เปิดตัว EISA 486 ในปี 1990 ซึ่งกลายเป็นเมนบอร์ดยอดนิยม ➡️ ช่วยผลักดันให้ไต้หวันเป็นศูนย์กลางการผลิต IT ✅ นวัตกรรมที่โดดเด่น ➡️ P6300 เป็นโน้ตบุ๊กเครื่องแรกที่ถูกนำขึ้นสถานีอวกาศ Mir ➡️ เปิดตัวโน้ตบุ๊กที่มี TV tuner ในปี 2003 และกล้องหมุนได้ในปี 2005 ➡️ เปิดตัวแบรนด์ ROG ในปี 2006 และโน้ตบุ๊กไม้ไผ่ในปี 2008 ➡️ สร้างการ์ดจอพัดลมคู่, เมนบอร์ดควบคุมผ่านมือถือ, และโน้ตบุ๊กเกมมิ่งขนาดเล็กแต่ทรงพลัง ✅ วิสัยทัศน์ของแบรนด์ ➡️ ยึดหลัก “sky’s the limit” ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ➡️ เน้นความทนทาน ความน่าเชื่อถือ และการออกแบบที่ล้ำสมัย ➡️ สร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและการเล่นเกม https://www.slashgear.com/1956274/what-asus-stands-for-tech-company/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Do You Know What The ASUS Brand Name Actually Stands For? - SlashGear
    The ASUS name is derived from the last four letters of Pegasus, the winged horse of Greek mythology, symbolizing wisdom and speed.
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากคะแนนที่ไม่มีใครบอกว่าเป็นคะแนน: เมื่อระบบจัดอันดับพฤติกรรมกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของชีวิตดิจิทัล

    หลายคนมองว่า “ระบบเครดิตสังคม” เป็นสิ่งที่จีนใช้ควบคุมประชาชน เช่น การหักคะแนนจากการข้ามถนนผิดกฎ หรือการใช้กล้องตรวจจับพฤติกรรม แต่ในความเป็นจริง จีนยังไม่มีระบบเครดิตสังคมระดับประเทศสำหรับบุคคลทั่วไป—มีเพียงระบบสำหรับบริษัท และโครงการนำร่องในเมืองเล็ก ๆ เท่านั้น เช่น Rongcheng ซึ่งก็ยังไม่มีผลกระทบในระดับชาติ

    ในทางกลับกัน โลกตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ กลับมีระบบจัดอันดับพฤติกรรมที่แฝงอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างแนบเนียน: Uber ให้คะแนนผู้โดยสาร, LinkedIn จัดอันดับการมีส่วนร่วม, Instagram วัด engagement, Amazon วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อ, Airbnb ให้คะแนนเจ้าของบ้าน—ทั้งหมดนี้คือระบบเครดิตสังคมที่ไม่เคยถูกเรียกด้วยชื่อนั้น

    แม้จะไม่มีการรวมระบบเหล่านี้เข้าด้วยกันอย่างเป็นทางการ แต่โครงสร้างพื้นฐานกำลังถูกสร้างขึ้น: บริษัทต่าง ๆ เริ่มแชร์ข้อมูลความน่าเชื่อถือ, ธนาคารใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียในการประเมินเครดิต, และรัฐบาลบางแห่งสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ผ่านช่องทางกฎหมายหรือการซื้อข้อมูล

    สิ่งที่จีนทำคือ “บอกคุณว่ากำลังให้คะแนนคุณอยู่” แต่สิ่งที่โลกตะวันตกทำคือ “ให้คะแนนคุณโดยไม่บอก” และนั่นคือความแตกต่างที่น่ากังวล—เพราะเมื่อคุณไม่รู้ว่ากำลังถูกประเมิน คุณก็ไม่รู้ว่าจะปรับตัวอย่างไร หรือแม้แต่จะปกป้องสิทธิของตัวเองได้อย่างไร

    ระบบเครดิตสังคมในจีน
    ไม่มีระบบระดับประเทศสำหรับบุคคลทั่วไป
    มีระบบสำหรับบริษัทกว่า 33 ล้านแห่ง และโครงการนำร่องในเมืองเล็ก
    ส่วนใหญ่เน้นการติดตามการผิดนัดชำระหนี้และคำสั่งศาล

    ระบบจัดอันดับพฤติกรรมในโลกตะวันตก
    Uber, LinkedIn, Instagram, Amazon, Airbnb ล้วนมีระบบให้คะแนนพฤติกรรม
    คะแนนเหล่านี้ส่งผลต่อการเข้าถึงบริการและโอกาสทางสังคม
    ไม่มีการแจ้งเตือนหรือความโปร่งใสในการให้คะแนน

    การขยายตัวของระบบแบบแฝง
    ธนาคารใช้ข้อมูลโซเชียลมีเดียในการประเมินเครดิต
    บริษัท background check วิเคราะห์พฤติกรรมออนไลน์
    รัฐบาลสามารถเข้าถึงข้อมูลผ่านช่องทางกฎหมายหรือการซื้อ

    ความแตกต่างระหว่างจีนกับตะวันตก
    จีนแจ้งให้ประชาชนรู้ว่ากำลังถูกให้คะแนน
    ตะวันตกซ่อนระบบไว้ภายใต้ “ฟีเจอร์ผู้ใช้” หรือ “การปรับปรุงประสบการณ์”
    ความโปร่งใสในจีนอาจมากกว่าระบบที่ดูเหมือนเสรีในตะวันตก

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “เสรีภาพ”
    การไม่มีระบบรวมศูนย์ไม่ได้แปลว่าไม่มีการควบคุม
    การให้คะแนนแบบแฝงอาจส่งผลต่อชีวิตโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว

    ความเสี่ยงจากการรวมระบบในอนาคต
    โครงสร้างพื้นฐานกำลังถูกสร้างเพื่อเชื่อมระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
    หากไม่มีการกำกับดูแล อาจเกิดระบบเครดิตสังคมแบบรวมศูนย์โดยไม่ตั้งใจ

    ความเปราะบางของสิทธิส่วนบุคคล
    ผู้ใช้ไม่สามารถรู้ได้ว่าพฤติกรรมใดส่งผลต่อคะแนนของตน
    ไม่มีช่องทางในการโต้แย้งหรือแก้ไขคะแนนที่ได้รับ

    https://www.thenexus.media/your-phone-already-has-social-credit-we-just-lie-about-it/
    🎙️ เรื่องเล่าจากคะแนนที่ไม่มีใครบอกว่าเป็นคะแนน: เมื่อระบบจัดอันดับพฤติกรรมกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของชีวิตดิจิทัล หลายคนมองว่า “ระบบเครดิตสังคม” เป็นสิ่งที่จีนใช้ควบคุมประชาชน เช่น การหักคะแนนจากการข้ามถนนผิดกฎ หรือการใช้กล้องตรวจจับพฤติกรรม แต่ในความเป็นจริง จีนยังไม่มีระบบเครดิตสังคมระดับประเทศสำหรับบุคคลทั่วไป—มีเพียงระบบสำหรับบริษัท และโครงการนำร่องในเมืองเล็ก ๆ เท่านั้น เช่น Rongcheng ซึ่งก็ยังไม่มีผลกระทบในระดับชาติ ในทางกลับกัน โลกตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ กลับมีระบบจัดอันดับพฤติกรรมที่แฝงอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างแนบเนียน: Uber ให้คะแนนผู้โดยสาร, LinkedIn จัดอันดับการมีส่วนร่วม, Instagram วัด engagement, Amazon วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อ, Airbnb ให้คะแนนเจ้าของบ้าน—ทั้งหมดนี้คือระบบเครดิตสังคมที่ไม่เคยถูกเรียกด้วยชื่อนั้น แม้จะไม่มีการรวมระบบเหล่านี้เข้าด้วยกันอย่างเป็นทางการ แต่โครงสร้างพื้นฐานกำลังถูกสร้างขึ้น: บริษัทต่าง ๆ เริ่มแชร์ข้อมูลความน่าเชื่อถือ, ธนาคารใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียในการประเมินเครดิต, และรัฐบาลบางแห่งสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ผ่านช่องทางกฎหมายหรือการซื้อข้อมูล สิ่งที่จีนทำคือ “บอกคุณว่ากำลังให้คะแนนคุณอยู่” แต่สิ่งที่โลกตะวันตกทำคือ “ให้คะแนนคุณโดยไม่บอก” และนั่นคือความแตกต่างที่น่ากังวล—เพราะเมื่อคุณไม่รู้ว่ากำลังถูกประเมิน คุณก็ไม่รู้ว่าจะปรับตัวอย่างไร หรือแม้แต่จะปกป้องสิทธิของตัวเองได้อย่างไร ✅ ระบบเครดิตสังคมในจีน ➡️ ไม่มีระบบระดับประเทศสำหรับบุคคลทั่วไป ➡️ มีระบบสำหรับบริษัทกว่า 33 ล้านแห่ง และโครงการนำร่องในเมืองเล็ก ➡️ ส่วนใหญ่เน้นการติดตามการผิดนัดชำระหนี้และคำสั่งศาล ✅ ระบบจัดอันดับพฤติกรรมในโลกตะวันตก ➡️ Uber, LinkedIn, Instagram, Amazon, Airbnb ล้วนมีระบบให้คะแนนพฤติกรรม ➡️ คะแนนเหล่านี้ส่งผลต่อการเข้าถึงบริการและโอกาสทางสังคม ➡️ ไม่มีการแจ้งเตือนหรือความโปร่งใสในการให้คะแนน ✅ การขยายตัวของระบบแบบแฝง ➡️ ธนาคารใช้ข้อมูลโซเชียลมีเดียในการประเมินเครดิต ➡️ บริษัท background check วิเคราะห์พฤติกรรมออนไลน์ ➡️ รัฐบาลสามารถเข้าถึงข้อมูลผ่านช่องทางกฎหมายหรือการซื้อ ✅ ความแตกต่างระหว่างจีนกับตะวันตก ➡️ จีนแจ้งให้ประชาชนรู้ว่ากำลังถูกให้คะแนน ➡️ ตะวันตกซ่อนระบบไว้ภายใต้ “ฟีเจอร์ผู้ใช้” หรือ “การปรับปรุงประสบการณ์” ➡️ ความโปร่งใสในจีนอาจมากกว่าระบบที่ดูเหมือนเสรีในตะวันตก ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “เสรีภาพ” ⛔ การไม่มีระบบรวมศูนย์ไม่ได้แปลว่าไม่มีการควบคุม ⛔ การให้คะแนนแบบแฝงอาจส่งผลต่อชีวิตโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว ‼️ ความเสี่ยงจากการรวมระบบในอนาคต ⛔ โครงสร้างพื้นฐานกำลังถูกสร้างเพื่อเชื่อมระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ⛔ หากไม่มีการกำกับดูแล อาจเกิดระบบเครดิตสังคมแบบรวมศูนย์โดยไม่ตั้งใจ ‼️ ความเปราะบางของสิทธิส่วนบุคคล ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถรู้ได้ว่าพฤติกรรมใดส่งผลต่อคะแนนของตน ⛔ ไม่มีช่องทางในการโต้แย้งหรือแก้ไขคะแนนที่ได้รับ https://www.thenexus.media/your-phone-already-has-social-credit-we-just-lie-about-it/
    WWW.THENEXUS.MEDIA
    Your Phone Already Has Social Credit. We Just Lie About It.
    Your credit score is social credit. Your LinkedIn endorsements are social credit. Your Uber passenger rating, Instagram engagement metrics, Amazon reviews, and Airbnb host status are all social credit systems that track you, score you, and reward you based on your behavior. Social credit, in its original economic definition, means
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • เมื่อ “อีเมลเสียงปลอม” กลายเป็นประตูสู่การยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ

    ในเดือนสิงหาคม 2025 FortiGuard Labs ได้ออกคำเตือนถึงแคมเปญฟิชชิ่งระดับโลกที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว โดยใช้เทคนิคที่ดูเรียบง่ายแต่ได้ผลอย่างน่ากลัว — อีเมลแจ้ง “สายที่ไม่ได้รับ” หรือ “ใบสั่งซื้อ” ที่แนบไฟล์ HTML ปลอมมาให้ผู้ใช้คลิก

    เมื่อเปิดไฟล์ HTML เหล่านี้ ผู้ใช้จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนจริงมาก โดยแสดงโลโก้และโดเมนอีเมลของบริษัทผู้ใช้เอง เพื่อหลอกให้เชื่อว่าเป็นระบบภายใน เมื่อคลิก “ดาวน์โหลดข้อความเสียง” หรือ “ดาวน์โหลดใบสั่งซื้อ” ระบบจะส่งไฟล์ JavaScript ที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่จริง ๆ แล้วเป็นตัว dropper สำหรับมัลแวร์ชื่อ UpCrypter

    UpCrypter ไม่ใช่แค่มัลแวร์ธรรมดา — มันสามารถตรวจสอบว่าเครื่องกำลังถูกวิเคราะห์หรือรันในสภาพแวดล้อมจำลองหรือไม่ หากพบว่ากำลังถูกตรวจสอบ มันจะหยุดทำงานหรือรีสตาร์ทเครื่องทันทีเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    เมื่อมัลแวร์ฝังตัวสำเร็จ มันจะดาวน์โหลด Remote Access Tools (RATs) เช่น DCRat, PureHVNC และ Babylon RAT ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์ควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้เต็มรูปแบบ โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้รู้ตัว

    ที่น่ากลัวคือ UpCrypter สามารถซ่อนโค้ดอันตรายไว้ในไฟล์ภาพ JPG และฝังตัวในระบบผ่าน Windows Registry เพื่อให้ทำงานต่อเนื่องแม้รีสตาร์ทเครื่อง

    แคมเปญนี้แพร่กระจายไปยังหลายประเทศและหลายอุตสาหกรรม เช่น การผลิต เทคโนโลยี การแพทย์ ก่อสร้าง ค้าปลีก และโรงแรม โดยมีจำนวนการตรวจจับเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในเวลาเพียงสองสัปดาห์

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    แคมเปญฟิชชิ่งใช้ “อีเมลเสียงปลอม” และ “ใบสั่งซื้อปลอม” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้คลิกไฟล์ HTML
    เว็บไซต์ปลอมแสดงโลโก้และโดเมนอีเมลของบริษัทผู้ใช้เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
    เมื่อคลิก “ดาวน์โหลด” จะได้รับไฟล์ JavaScript ที่เป็น dropper สำหรับมัลแวร์ UpCrypter
    UpCrypter สามารถตรวจสอบสภาพแวดล้อมและหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    มัลแวร์จะดาวน์โหลด RATs เช่น DCRat, PureHVNC และ Babylon RAT เพื่อควบคุมเครื่อง
    โค้ดอันตรายสามารถซ่อนในไฟล์ภาพ JPG และฝังตัวผ่าน Windows Registry
    แคมเปญนี้แพร่กระจายไปยังหลายประเทศ เช่น ออสเตรีย แคนาดา อินเดีย และอียิปต์
    อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ การผลิต เทคโนโลยี การแพทย์ ก่อสร้าง ค้าปลีก และโรงแรม
    Fortinet แนะนำให้ใช้ระบบกรองอีเมลและฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันฟิชชิ่ง
    การตรวจสอบการใช้ PowerShell ที่เริ่มจาก Outlook.exe เป็นวิธีตรวจจับที่มีประสิทธิภาพ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    UpCrypter ยังมีเวอร์ชัน MSIL ที่สามารถโหลดมัลแวร์ผ่าน PowerShell และ DLL โดยไม่เขียนลงดิสก์
    เทคนิค steganography ที่ใช้ซ่อนโค้ดในภาพเป็นวิธีที่นิยมในมัลแวร์ยุคใหม่
    RATs อย่าง PureHVNC และ Babylon RAT มีความสามารถในการควบคุมหน้าจอและขโมยข้อมูลแบบเรียลไทม์
    การฝังตัวผ่าน Windows Registry ทำให้มัลแวร์สามารถรันได้ทุกครั้งที่เปิดเครื่อง
    การใช้ HTML attachment เป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีเป็นเทคนิคที่ยังได้ผลดีในหลายองค์กร

    https://hackread.com/fake-voicemail-emails-install-upcrypter-malware-windows/
    🎙️ เมื่อ “อีเมลเสียงปลอม” กลายเป็นประตูสู่การยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ ในเดือนสิงหาคม 2025 FortiGuard Labs ได้ออกคำเตือนถึงแคมเปญฟิชชิ่งระดับโลกที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว โดยใช้เทคนิคที่ดูเรียบง่ายแต่ได้ผลอย่างน่ากลัว — อีเมลแจ้ง “สายที่ไม่ได้รับ” หรือ “ใบสั่งซื้อ” ที่แนบไฟล์ HTML ปลอมมาให้ผู้ใช้คลิก เมื่อเปิดไฟล์ HTML เหล่านี้ ผู้ใช้จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนจริงมาก โดยแสดงโลโก้และโดเมนอีเมลของบริษัทผู้ใช้เอง เพื่อหลอกให้เชื่อว่าเป็นระบบภายใน เมื่อคลิก “ดาวน์โหลดข้อความเสียง” หรือ “ดาวน์โหลดใบสั่งซื้อ” ระบบจะส่งไฟล์ JavaScript ที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่จริง ๆ แล้วเป็นตัว dropper สำหรับมัลแวร์ชื่อ UpCrypter UpCrypter ไม่ใช่แค่มัลแวร์ธรรมดา — มันสามารถตรวจสอบว่าเครื่องกำลังถูกวิเคราะห์หรือรันในสภาพแวดล้อมจำลองหรือไม่ หากพบว่ากำลังถูกตรวจสอบ มันจะหยุดทำงานหรือรีสตาร์ทเครื่องทันทีเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ เมื่อมัลแวร์ฝังตัวสำเร็จ มันจะดาวน์โหลด Remote Access Tools (RATs) เช่น DCRat, PureHVNC และ Babylon RAT ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์ควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้เต็มรูปแบบ โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้รู้ตัว ที่น่ากลัวคือ UpCrypter สามารถซ่อนโค้ดอันตรายไว้ในไฟล์ภาพ JPG และฝังตัวในระบบผ่าน Windows Registry เพื่อให้ทำงานต่อเนื่องแม้รีสตาร์ทเครื่อง แคมเปญนี้แพร่กระจายไปยังหลายประเทศและหลายอุตสาหกรรม เช่น การผลิต เทคโนโลยี การแพทย์ ก่อสร้าง ค้าปลีก และโรงแรม โดยมีจำนวนการตรวจจับเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในเวลาเพียงสองสัปดาห์ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ แคมเปญฟิชชิ่งใช้ “อีเมลเสียงปลอม” และ “ใบสั่งซื้อปลอม” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้คลิกไฟล์ HTML ➡️ เว็บไซต์ปลอมแสดงโลโก้และโดเมนอีเมลของบริษัทผู้ใช้เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ➡️ เมื่อคลิก “ดาวน์โหลด” จะได้รับไฟล์ JavaScript ที่เป็น dropper สำหรับมัลแวร์ UpCrypter ➡️ UpCrypter สามารถตรวจสอบสภาพแวดล้อมและหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ มัลแวร์จะดาวน์โหลด RATs เช่น DCRat, PureHVNC และ Babylon RAT เพื่อควบคุมเครื่อง ➡️ โค้ดอันตรายสามารถซ่อนในไฟล์ภาพ JPG และฝังตัวผ่าน Windows Registry ➡️ แคมเปญนี้แพร่กระจายไปยังหลายประเทศ เช่น ออสเตรีย แคนาดา อินเดีย และอียิปต์ ➡️ อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ การผลิต เทคโนโลยี การแพทย์ ก่อสร้าง ค้าปลีก และโรงแรม ➡️ Fortinet แนะนำให้ใช้ระบบกรองอีเมลและฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันฟิชชิ่ง ➡️ การตรวจสอบการใช้ PowerShell ที่เริ่มจาก Outlook.exe เป็นวิธีตรวจจับที่มีประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ UpCrypter ยังมีเวอร์ชัน MSIL ที่สามารถโหลดมัลแวร์ผ่าน PowerShell และ DLL โดยไม่เขียนลงดิสก์ ➡️ เทคนิค steganography ที่ใช้ซ่อนโค้ดในภาพเป็นวิธีที่นิยมในมัลแวร์ยุคใหม่ ➡️ RATs อย่าง PureHVNC และ Babylon RAT มีความสามารถในการควบคุมหน้าจอและขโมยข้อมูลแบบเรียลไทม์ ➡️ การฝังตัวผ่าน Windows Registry ทำให้มัลแวร์สามารถรันได้ทุกครั้งที่เปิดเครื่อง ➡️ การใช้ HTML attachment เป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีเป็นเทคนิคที่ยังได้ผลดีในหลายองค์กร https://hackread.com/fake-voicemail-emails-install-upcrypter-malware-windows/
    HACKREAD.COM
    Fake Voicemail Emails Install UpCrypter Malware on Windows
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 221 Views 0 Reviews
  • เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI : คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี

    ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส

    เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต

    เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout และการซื้อขายออนไลน์ เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น แพทย์ นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า

    เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม

    ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน

    ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร

    ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI

    เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป

    1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป

    2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา

    3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer

    เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ

    สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI 🤖: 📚 คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี 🙎‍♂️ ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง🤞 การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก🌏 รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส 🌞 เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" ⁉️ มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย 🙏 ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย 👴 ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ📉 ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต 🔮 เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout 🏧 และการซื้อขายออนไลน์ 🌐 เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot 🤖 และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ 🚗 และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น 🧑‍⚕️ แพทย์ 👩‍🔬นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ 👩‍🏫 ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา 🧘 การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม 💪 ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน 💷💶💵 ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง 📊 ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร 🧍‍♂️ ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด 🏫 มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th 🌐 ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane 🕸️ นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป 1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ 👩‍💻 เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป 2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ 👨‍🏭 ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา 3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก 🏓 โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ 🗝️ สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 486 Views 0 Reviews
  • เมื่อคำสั่งเดียวใน Terminal เปลี่ยน Mac ให้กลายเป็นเครื่องมือของแฮกเกอร์

    ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2025 ผู้ใช้ macOS ทั่วโลกที่กำลังค้นหาวิธีแก้ปัญหาเล็ก ๆ เช่น “flush DNS cache” กลับถูกนำไปยังเว็บไซต์ช่วยเหลือปลอมที่ดูน่าเชื่อถืออย่าง mac-safer.com และ rescue-mac.com ซึ่งปรากฏในผลการค้นหาผ่านโฆษณา Google

    เว็บไซต์เหล่านี้แนะนำให้ผู้ใช้คัดลอกคำสั่งเพียงบรรทัดเดียวไปวางใน Terminal เพื่อ “แก้ปัญหา” แต่แท้จริงแล้ว คำสั่งนั้นคือกับดักที่ดาวน์โหลดมัลแวร์ SHAMOS ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ของ AMOS infostealer ที่พัฒนาโดยกลุ่ม COOKIE SPIDER

    SHAMOS ไม่เพียงแค่ขโมยรหัสผ่านจาก Keychain หรือข้อมูลจาก Apple Notes และเบราว์เซอร์เท่านั้น แต่มันยังสามารถดึงข้อมูลจากกระเป๋าเงินคริปโต สร้างไฟล์ ZIP เพื่อส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ และติดตั้งโมดูลเพิ่มเติม เช่น แอป Ledger Live ปลอม และบอตเน็ต

    แคมเปญนี้ยังใช้ GitHub ปลอม เช่น repo ของ iTerm2 เพื่อหลอกให้ผู้ใช้รันคำสั่งที่ดูเหมือนเป็นการติดตั้งซอฟต์แวร์จริง แต่กลับเป็นการติดตั้งมัลแวร์โดยตรง

    สิ่งที่ทำให้การโจมตีนี้ได้ผลคือความเรียบง่ายและการใช้เทคนิค “ClickFix” ที่หลอกให้ผู้ใช้คิดว่ากำลังแก้ปัญหา แต่จริง ๆ แล้วกำลังเปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ามาในระบบ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    กลุ่ม COOKIE SPIDER ใช้มัลแวร์ SHAMOS ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ของ AMOS infostealer
    แคมเปญใช้ malvertising ผ่าน Google Ads เพื่อหลอกผู้ใช้ macOS
    เว็บไซต์ปลอม เช่น mac-safer.com และ rescue-mac.com ถูกใช้เป็นกับดัก
    คำสั่ง Terminal เพียงบรรทัดเดียวสามารถติดตั้งมัลแวร์โดยข้าม Gatekeeper
    SHAMOS ขโมยข้อมูลจาก Keychain, Apple Notes, เบราว์เซอร์ และกระเป๋าเงินคริปโต
    มัลแวร์บันทึกข้อมูลในไฟล์ ZIP และส่งออกผ่าน curl
    มีการติดตั้ง LaunchDaemons เพื่อให้มัลแวร์ทำงานทุกครั้งที่เปิดเครื่อง
    SHAMOS สามารถดาวน์โหลด payload เพิ่มเติม เช่น แอปปลอมและบอตเน็ต
    GitHub ปลอมถูกใช้เป็นช่องทางเสริมในการหลอกให้ติดตั้งมัลแวร์
    แคมเปญนี้โจมตีผู้ใช้ในกว่า 9 ประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอังกฤษ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคนิค “ClickFix” ถูกใช้ในหลายแคมเปญมัลแวร์ รวมถึงใน TikTok และ Google Meet ปลอม
    คำสั่งแบบ one-liner เช่น curl | bash เป็นช่องโหว่ที่นิยมในมัลแวร์ยุคใหม่
    Gatekeeper ของ macOS สามารถถูกข้ามได้ด้วยการลบ quarantine flag ผ่าน xattr
    การใช้ Base64 encoding ช่วยซ่อน URL ของมัลแวร์จากสายตาผู้ใช้
    การปลอมตัวเป็นร้านค้าอิเล็กทรอนิกส์ในโปรไฟล์โฆษณา Google เพิ่มความน่าเชื่อถือ

    https://hackread.com/cookie-spider-malvertising-new-shamos-macos-malware/
    🎙️ เมื่อคำสั่งเดียวใน Terminal เปลี่ยน Mac ให้กลายเป็นเครื่องมือของแฮกเกอร์ ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2025 ผู้ใช้ macOS ทั่วโลกที่กำลังค้นหาวิธีแก้ปัญหาเล็ก ๆ เช่น “flush DNS cache” กลับถูกนำไปยังเว็บไซต์ช่วยเหลือปลอมที่ดูน่าเชื่อถืออย่าง mac-safer.com และ rescue-mac.com ซึ่งปรากฏในผลการค้นหาผ่านโฆษณา Google เว็บไซต์เหล่านี้แนะนำให้ผู้ใช้คัดลอกคำสั่งเพียงบรรทัดเดียวไปวางใน Terminal เพื่อ “แก้ปัญหา” แต่แท้จริงแล้ว คำสั่งนั้นคือกับดักที่ดาวน์โหลดมัลแวร์ SHAMOS ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ของ AMOS infostealer ที่พัฒนาโดยกลุ่ม COOKIE SPIDER SHAMOS ไม่เพียงแค่ขโมยรหัสผ่านจาก Keychain หรือข้อมูลจาก Apple Notes และเบราว์เซอร์เท่านั้น แต่มันยังสามารถดึงข้อมูลจากกระเป๋าเงินคริปโต สร้างไฟล์ ZIP เพื่อส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ และติดตั้งโมดูลเพิ่มเติม เช่น แอป Ledger Live ปลอม และบอตเน็ต แคมเปญนี้ยังใช้ GitHub ปลอม เช่น repo ของ iTerm2 เพื่อหลอกให้ผู้ใช้รันคำสั่งที่ดูเหมือนเป็นการติดตั้งซอฟต์แวร์จริง แต่กลับเป็นการติดตั้งมัลแวร์โดยตรง สิ่งที่ทำให้การโจมตีนี้ได้ผลคือความเรียบง่ายและการใช้เทคนิค “ClickFix” ที่หลอกให้ผู้ใช้คิดว่ากำลังแก้ปัญหา แต่จริง ๆ แล้วกำลังเปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ามาในระบบ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ กลุ่ม COOKIE SPIDER ใช้มัลแวร์ SHAMOS ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ของ AMOS infostealer ➡️ แคมเปญใช้ malvertising ผ่าน Google Ads เพื่อหลอกผู้ใช้ macOS ➡️ เว็บไซต์ปลอม เช่น mac-safer.com และ rescue-mac.com ถูกใช้เป็นกับดัก ➡️ คำสั่ง Terminal เพียงบรรทัดเดียวสามารถติดตั้งมัลแวร์โดยข้าม Gatekeeper ➡️ SHAMOS ขโมยข้อมูลจาก Keychain, Apple Notes, เบราว์เซอร์ และกระเป๋าเงินคริปโต ➡️ มัลแวร์บันทึกข้อมูลในไฟล์ ZIP และส่งออกผ่าน curl ➡️ มีการติดตั้ง LaunchDaemons เพื่อให้มัลแวร์ทำงานทุกครั้งที่เปิดเครื่อง ➡️ SHAMOS สามารถดาวน์โหลด payload เพิ่มเติม เช่น แอปปลอมและบอตเน็ต ➡️ GitHub ปลอมถูกใช้เป็นช่องทางเสริมในการหลอกให้ติดตั้งมัลแวร์ ➡️ แคมเปญนี้โจมตีผู้ใช้ในกว่า 9 ประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอังกฤษ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคนิค “ClickFix” ถูกใช้ในหลายแคมเปญมัลแวร์ รวมถึงใน TikTok และ Google Meet ปลอม ➡️ คำสั่งแบบ one-liner เช่น curl | bash เป็นช่องโหว่ที่นิยมในมัลแวร์ยุคใหม่ ➡️ Gatekeeper ของ macOS สามารถถูกข้ามได้ด้วยการลบ quarantine flag ผ่าน xattr ➡️ การใช้ Base64 encoding ช่วยซ่อน URL ของมัลแวร์จากสายตาผู้ใช้ ➡️ การปลอมตัวเป็นร้านค้าอิเล็กทรอนิกส์ในโปรไฟล์โฆษณา Google เพิ่มความน่าเชื่อถือ https://hackread.com/cookie-spider-malvertising-new-shamos-macos-malware/
    HACKREAD.COM
    COOKIE SPIDER’s Malvertising Drops New SHAMOS macOS Malware
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 237 Views 0 Reviews
  • เมื่อไนจีเรียลุกขึ้นสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์ – และ 50 ชาวจีนต้องกลับบ้าน

    กลางเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลไนจีเรียเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่เพื่อปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีชาวต่างชาติเป็นแกนนำ โดยหน่วยงาน Economic and Financial Crimes Commission (EFCC) ร่วมมือกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 192 คนในเมืองลากอส ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ

    ผลจากการสอบสวนและดำเนินคดีนำไปสู่การเนรเทศชาวจีน 50 คน และชาวตูนิเซียอีก 1 คน หลังถูกตัดสินว่ามีความผิดฐาน “cyber-terrorism” และ “internet fraud” โดยศาลมีคำสั่งให้ส่งตัวกลับประเทศหลังจากรับโทษจำคุก

    EFCC ระบุว่า การกระทำของกลุ่มนี้มีเป้าหมายเพื่อบ่อนทำลายความมั่นคงทางการเงินของไนจีเรีย และสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจผ่านการหลอกลวงออนไลน์ เช่น romance scam และการลงทุนในคริปโตปลอม

    การเนรเทศครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวในการปกป้องพลเมืองและระบบการเงินของประเทศ โดย EFCC ยืนยันว่าจะมีการเนรเทศเพิ่มเติมในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    ไนจีเรียเนรเทศชาวจีน 50 คน และชาวตูนิเซีย 1 คน ฐาน cyber-terrorism และ internet fraud
    ปฏิบัติการเริ่มเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2025 โดย EFCC ร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
    มีผู้ต้องสงสัยถูกจับกุมรวม 192 คนในเมืองลากอส
    การดำเนินคดีนำไปสู่คำสั่งศาลให้เนรเทศหลังรับโทษจำคุก
    EFCC ระบุว่ากลุ่มนี้เป็นหนึ่งในเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
    การโจมตีรวมถึง romance scam และการหลอกลงทุนในคริปโตปลอม
    มีการเนรเทศรวมแล้ว 102 คนตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการ
    EFCC ยืนยันว่าจะมีการเนรเทศเพิ่มเติมในเร็ว ๆ นี้
    EFCC ประกาศว่านี่คือ “หมุดหมายสำคัญ” ในการต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์
    การเนรเทศมีเป้าหมายเพื่อปกป้องความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของระบบการเงินไนจีเรีย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ในปี 2024 EFCC เคยจับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 800 คนในอาคารเดียวที่ใช้เป็นศูนย์กลางหลอกลวง
    Romance scam เป็นหนึ่งในรูปแบบที่สร้างความเสียหายสูงสุดในไนจีเรีย
    การหลอกลงทุนในคริปโตปลอมมีเป้าหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    EFCC ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานระหว่างประเทศในการติดตามธุรกรรมข้ามพรมแดน
    การเน้นปราบปรามชาวต่างชาติสะท้อนถึงความพยายามควบคุมอิทธิพลภายนอกในอาชญากรรมไซเบอร์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/nigeria-deports-50-chinese-nationals-in-cybercrime-crackdown
    🎙️ เมื่อไนจีเรียลุกขึ้นสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์ – และ 50 ชาวจีนต้องกลับบ้าน กลางเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลไนจีเรียเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่เพื่อปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีชาวต่างชาติเป็นแกนนำ โดยหน่วยงาน Economic and Financial Crimes Commission (EFCC) ร่วมมือกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 192 คนในเมืองลากอส ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ ผลจากการสอบสวนและดำเนินคดีนำไปสู่การเนรเทศชาวจีน 50 คน และชาวตูนิเซียอีก 1 คน หลังถูกตัดสินว่ามีความผิดฐาน “cyber-terrorism” และ “internet fraud” โดยศาลมีคำสั่งให้ส่งตัวกลับประเทศหลังจากรับโทษจำคุก EFCC ระบุว่า การกระทำของกลุ่มนี้มีเป้าหมายเพื่อบ่อนทำลายความมั่นคงทางการเงินของไนจีเรีย และสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจผ่านการหลอกลวงออนไลน์ เช่น romance scam และการลงทุนในคริปโตปลอม การเนรเทศครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวในการปกป้องพลเมืองและระบบการเงินของประเทศ โดย EFCC ยืนยันว่าจะมีการเนรเทศเพิ่มเติมในอีกไม่กี่วันข้างหน้า 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ ไนจีเรียเนรเทศชาวจีน 50 คน และชาวตูนิเซีย 1 คน ฐาน cyber-terrorism และ internet fraud ➡️ ปฏิบัติการเริ่มเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2025 โดย EFCC ร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ➡️ มีผู้ต้องสงสัยถูกจับกุมรวม 192 คนในเมืองลากอส ➡️ การดำเนินคดีนำไปสู่คำสั่งศาลให้เนรเทศหลังรับโทษจำคุก ➡️ EFCC ระบุว่ากลุ่มนี้เป็นหนึ่งในเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ➡️ การโจมตีรวมถึง romance scam และการหลอกลงทุนในคริปโตปลอม ➡️ มีการเนรเทศรวมแล้ว 102 คนตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการ ➡️ EFCC ยืนยันว่าจะมีการเนรเทศเพิ่มเติมในเร็ว ๆ นี้ ➡️ EFCC ประกาศว่านี่คือ “หมุดหมายสำคัญ” ในการต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์ ➡️ การเนรเทศมีเป้าหมายเพื่อปกป้องความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของระบบการเงินไนจีเรีย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ในปี 2024 EFCC เคยจับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 800 คนในอาคารเดียวที่ใช้เป็นศูนย์กลางหลอกลวง ➡️ Romance scam เป็นหนึ่งในรูปแบบที่สร้างความเสียหายสูงสุดในไนจีเรีย ➡️ การหลอกลงทุนในคริปโตปลอมมีเป้าหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ➡️ EFCC ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานระหว่างประเทศในการติดตามธุรกรรมข้ามพรมแดน ➡️ การเน้นปราบปรามชาวต่างชาติสะท้อนถึงความพยายามควบคุมอิทธิพลภายนอกในอาชญากรรมไซเบอร์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/nigeria-deports-50-chinese-nationals-in-cybercrime-crackdown
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Nigeria deports 50 Chinese nationals in cybercrime crackdown
    ABUJA (Reuters) -Nigeria has deported 50 Chinese nationals and one Tunisian convicted of cyber-terrorism and internet fraud as part of a crackdown on foreign-led cybercrime networks, the country's anti-graft agency said on Thursday.
    0 Comments 0 Shares 291 Views 0 Reviews
  • แอนตี้ไวรัสปลอมที่กลายเป็นสายลับ – เมื่อมือถือกลายเป็นเครื่องมือสอดแนม

    ตั้งแต่ต้นปี 2025 นักวิจัยจาก Doctor Web พบมัลแวร์ Android.Backdoor.916.origin ที่ปลอมตัวเป็นแอปแอนตี้ไวรัสชื่อ GuardCB เพื่อหลอกผู้ใช้ Android ในรัสเซีย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐ

    ตัวแอปมีไอคอนคล้ายโลโก้ธนาคารกลางรัสเซียบนโล่ ทำให้ดูน่าเชื่อถือ เมื่อเปิดใช้งานจะรันการสแกนปลอม พร้อมแสดงผลตรวจจับไวรัสแบบสุ่มเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

    หลังติดตั้ง มัลแวร์จะขอสิทธิ์เข้าถึงทุกอย่าง ตั้งแต่ตำแหน่ง, กล้อง, ไมโครโฟน, ข้อความ, รายชื่อ, ไปจนถึงสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ และ Android Accessibility Service ซึ่งช่วยให้มันทำตัวเป็น keylogger และควบคุมแอปยอดนิยมอย่าง Gmail, Telegram และ WhatsApp

    มัลแวร์จะรัน background service หลายตัว เช่น DataSecurity, SoundSecurity และ CameraSecurity โดยตรวจสอบทุกนาทีว่าทำงานอยู่หรือไม่ และรีสตาร์ตทันทีหากหยุด

    มันสามารถสตรีมเสียงจากไมค์, วิดีโอจากกล้อง, ข้อมูลหน้าจอแบบเรียลไทม์ และอัปโหลดข้อมูลทุกอย่างไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) รวมถึงภาพ, รายชื่อ, SMS, ประวัติการโทร และแม้แต่ข้อมูลแบตเตอรี่

    ที่น่ากลัวคือ มันสามารถป้องกันตัวเองจากการถูกลบ โดยใช้ Accessibility Service เพื่อบล็อกการถอนการติดตั้ง หากผู้ใช้รู้ตัวว่าถูกโจมตี

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    มัลแวร์ Android.Backdoor.916.origin ปลอมตัวเป็นแอปแอนตี้ไวรัสชื่อ GuardCB
    มีไอคอนคล้ายโลโก้ธนาคารกลางรัสเซียเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
    รันการสแกนปลอมพร้อมผลตรวจจับไวรัสแบบสุ่ม
    ขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่ง, กล้อง, ไมค์, SMS, รายชื่อ, และสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ
    ใช้ Accessibility Service เพื่อทำตัวเป็น keylogger และควบคุมแอปยอดนิยม
    รัน background service หลายตัวและตรวจสอบทุกนาที
    สตรีมเสียง, วิดีโอ, หน้าจอ และอัปโหลดข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม
    ป้องกันการลบตัวเองโดยใช้ Accessibility Service
    อินเทอร์เฟซของมัลแวร์มีเฉพาะภาษารัสเซีย แสดงว่าเจาะจงเป้าหมายเฉพาะ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    มัลแวร์ถูกเขียนด้วยภาษา Kotlin และใช้ coroutine ในการจัดการ background task
    ใช้การเชื่อมต่อ socket กับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมเพื่อรับคำสั่งแบบเรียลไทม์
    คำสั่งที่รับได้รวมถึงการเปิด/ปิดการป้องกัน, อัปโหลด log, และดึงข้อมูลจากอุปกรณ์
    การใช้ Accessibility Service เป็นเทคนิคที่มัลแวร์ Android รุ่นใหม่ใช้กันแพร่หลาย
    การปลอมตัวเป็นแอปที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกเป้าหมายเฉพาะ
    Android Security Patch เดือนสิงหาคม 2025 ได้แก้ไขช่องโหว่หลายรายการที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงระบบ

    https://hackread.com/fake-antivirus-app-android-malware-spy-russian-users/
    📖 แอนตี้ไวรัสปลอมที่กลายเป็นสายลับ – เมื่อมือถือกลายเป็นเครื่องมือสอดแนม ตั้งแต่ต้นปี 2025 นักวิจัยจาก Doctor Web พบมัลแวร์ Android.Backdoor.916.origin ที่ปลอมตัวเป็นแอปแอนตี้ไวรัสชื่อ GuardCB เพื่อหลอกผู้ใช้ Android ในรัสเซีย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐ ตัวแอปมีไอคอนคล้ายโลโก้ธนาคารกลางรัสเซียบนโล่ ทำให้ดูน่าเชื่อถือ เมื่อเปิดใช้งานจะรันการสแกนปลอม พร้อมแสดงผลตรวจจับไวรัสแบบสุ่มเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ หลังติดตั้ง มัลแวร์จะขอสิทธิ์เข้าถึงทุกอย่าง ตั้งแต่ตำแหน่ง, กล้อง, ไมโครโฟน, ข้อความ, รายชื่อ, ไปจนถึงสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ และ Android Accessibility Service ซึ่งช่วยให้มันทำตัวเป็น keylogger และควบคุมแอปยอดนิยมอย่าง Gmail, Telegram และ WhatsApp มัลแวร์จะรัน background service หลายตัว เช่น DataSecurity, SoundSecurity และ CameraSecurity โดยตรวจสอบทุกนาทีว่าทำงานอยู่หรือไม่ และรีสตาร์ตทันทีหากหยุด มันสามารถสตรีมเสียงจากไมค์, วิดีโอจากกล้อง, ข้อมูลหน้าจอแบบเรียลไทม์ และอัปโหลดข้อมูลทุกอย่างไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) รวมถึงภาพ, รายชื่อ, SMS, ประวัติการโทร และแม้แต่ข้อมูลแบตเตอรี่ ที่น่ากลัวคือ มันสามารถป้องกันตัวเองจากการถูกลบ โดยใช้ Accessibility Service เพื่อบล็อกการถอนการติดตั้ง หากผู้ใช้รู้ตัวว่าถูกโจมตี 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ มัลแวร์ Android.Backdoor.916.origin ปลอมตัวเป็นแอปแอนตี้ไวรัสชื่อ GuardCB ➡️ มีไอคอนคล้ายโลโก้ธนาคารกลางรัสเซียเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ➡️ รันการสแกนปลอมพร้อมผลตรวจจับไวรัสแบบสุ่ม ➡️ ขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่ง, กล้อง, ไมค์, SMS, รายชื่อ, และสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ ➡️ ใช้ Accessibility Service เพื่อทำตัวเป็น keylogger และควบคุมแอปยอดนิยม ➡️ รัน background service หลายตัวและตรวจสอบทุกนาที ➡️ สตรีมเสียง, วิดีโอ, หน้าจอ และอัปโหลดข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม ➡️ ป้องกันการลบตัวเองโดยใช้ Accessibility Service ➡️ อินเทอร์เฟซของมัลแวร์มีเฉพาะภาษารัสเซีย แสดงว่าเจาะจงเป้าหมายเฉพาะ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ มัลแวร์ถูกเขียนด้วยภาษา Kotlin และใช้ coroutine ในการจัดการ background task ➡️ ใช้การเชื่อมต่อ socket กับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมเพื่อรับคำสั่งแบบเรียลไทม์ ➡️ คำสั่งที่รับได้รวมถึงการเปิด/ปิดการป้องกัน, อัปโหลด log, และดึงข้อมูลจากอุปกรณ์ ➡️ การใช้ Accessibility Service เป็นเทคนิคที่มัลแวร์ Android รุ่นใหม่ใช้กันแพร่หลาย ➡️ การปลอมตัวเป็นแอปที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกเป้าหมายเฉพาะ ➡️ Android Security Patch เดือนสิงหาคม 2025 ได้แก้ไขช่องโหว่หลายรายการที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงระบบ https://hackread.com/fake-antivirus-app-android-malware-spy-russian-users/
    HACKREAD.COM
    Fake Antivirus App Spreads Android Malware to Spy on Russian Users
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 301 Views 0 Reviews
  • กัมพูชาใช้ชาวบ้าน รุกล้ำอธิปไตยไทย : [NEWS UPDATE]

    พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยกรณีชาวกัมพูชาร้องเรียนเรื่องการวางรั้วลวดหนามของทหารไทยบริเวณบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว อ้างว่าเป็นดินแดนของตน แท้จริงเป็นอาณาเขตของไทย รอยต่อแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างหลักเขตแดนที่ 46 และ 47 โดยในอดีตเมื่อเกิดสงครามภายในกัมพูชา พ.ศ.2520 รัฐบาลไทยให้ราษฎรกัมพูชาอพยพมาอยู่ในเขตไทยชั่วคราว เพื่อแสดงน้ำใจ แต่เมื่อกลับสู่ภาวะปกติ ราษฎรกัมพูชาบางส่วนไม่ยอมกลับประเทศ การตั้งแนวรั้วลวดหนามเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กำลังพล ป้องกันการลักลอบเข้ามาใช้ทุ่นระเบิดทำร้ายฝ่ายไทย พบ กัมพูชาละเมิดข้อตกลงในพื้นที่อ้างสิทธิ์ สนับสนุนให้ราษฎรสร้างถิ่นฐานถาวร มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ ใช้ประชาชนออกหน้ารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับทหาร มีการวางแผนเป็นระบบ หากไทยดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด จะนำไปบิดเบือนทำลายความน่าเชื่อถือไทย เพื่อขอความเห็นใจสังคมโลกอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

    -ตรวจระเบิดแล้วกว่า 800 จุด

    -ไม่ต้องซื้อโหวต 10 กิโล

    -เร่งแก้กฎหมายอี-โดเนชัน

    -กัมพูชาสวมรอยสินค้าไทย
    กัมพูชาใช้ชาวบ้าน รุกล้ำอธิปไตยไทย : [NEWS UPDATE] พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยกรณีชาวกัมพูชาร้องเรียนเรื่องการวางรั้วลวดหนามของทหารไทยบริเวณบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว อ้างว่าเป็นดินแดนของตน แท้จริงเป็นอาณาเขตของไทย รอยต่อแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างหลักเขตแดนที่ 46 และ 47 โดยในอดีตเมื่อเกิดสงครามภายในกัมพูชา พ.ศ.2520 รัฐบาลไทยให้ราษฎรกัมพูชาอพยพมาอยู่ในเขตไทยชั่วคราว เพื่อแสดงน้ำใจ แต่เมื่อกลับสู่ภาวะปกติ ราษฎรกัมพูชาบางส่วนไม่ยอมกลับประเทศ การตั้งแนวรั้วลวดหนามเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กำลังพล ป้องกันการลักลอบเข้ามาใช้ทุ่นระเบิดทำร้ายฝ่ายไทย พบ กัมพูชาละเมิดข้อตกลงในพื้นที่อ้างสิทธิ์ สนับสนุนให้ราษฎรสร้างถิ่นฐานถาวร มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ ใช้ประชาชนออกหน้ารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับทหาร มีการวางแผนเป็นระบบ หากไทยดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด จะนำไปบิดเบือนทำลายความน่าเชื่อถือไทย เพื่อขอความเห็นใจสังคมโลกอย่างที่เห็นในปัจจุบัน -ตรวจระเบิดแล้วกว่า 800 จุด -ไม่ต้องซื้อโหวต 10 กิโล -เร่งแก้กฎหมายอี-โดเนชัน -กัมพูชาสวมรอยสินค้าไทย
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 448 Views 0 0 Reviews
  • ไม่จริง! "สมชาย" โพสต์แจง ข่าวลือทำลายความน่าเชื่อถือศาล รธน. พร้อมโชว์หลักฐาน ยันเดินทางไปอินเดียตามภารกิจราชการ
    https://www.thai-tai.tv/news/20982/
    .
    #สมชายแสวงการ #ศาลรัฐธรรมนูญ #ข่าวลือ #หลักนิติธรรม #แพทองธาร #ไทยไท

    ไม่จริง! "สมชาย" โพสต์แจง ข่าวลือทำลายความน่าเชื่อถือศาล รธน. พร้อมโชว์หลักฐาน ยันเดินทางไปอินเดียตามภารกิจราชการ https://www.thai-tai.tv/news/20982/ . #สมชายแสวงการ #ศาลรัฐธรรมนูญ #ข่าวลือ #หลักนิติธรรม #แพทองธาร #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • เมื่อ TikTok กลายเป็นห้างสรรพสินค้า: พลังของวิดีโอสั้นที่เปลี่ยนใจผู้ซื้อ

    ลองนึกภาพว่าเราเลื่อนดู TikTok แล้วเจอคนธรรมดารีวิวสบู่ล้างหน้าแบบบ้าน ๆ ไม่ใช่ดารา ไม่ใช่แบรนด์ดัง แต่พูดจริง ใช้จริง และดูน่าเชื่อถือ—คุณอาจจะซื้อทันทีโดยไม่รู้ตัว

    จากผลสำรวจของ Omnisend พบว่า 66% ของผู้บริโภคเชื่อถือคำแนะนำจากผู้ใช้ทั่วไปบนโซเชียลมีเดีย มากกว่าคำแนะนำจากดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์ เพราะคนดังมักได้รับค่าจ้างจากแบรนด์

    วิดีโอที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือคลิปสั้น 10–15 วินาที ที่ถ่ายแบบไม่เป็นทางการ พูดจากมุมมองส่วนตัว เหมือนเพื่อนแนะนำเพื่อน ไม่ใช่โฆษณา

    นอกจากนี้ 70% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้โซเชียลมีเดียในการ “หาข้อมูลก่อนซื้อ” โดยให้ความสำคัญกับรีวิวที่ได้รับการยืนยัน และคอมเมนต์จากผู้ใช้จริง

    แม้ TikTok จะไม่ได้รับเครดิตตรง ๆ ว่าเป็นตัวกระตุ้นยอดขาย แต่การเห็นสินค้าซ้ำ ๆ บนแพลตฟอร์มนี้ทำให้ผู้บริโภค “จำ” และ “เชื่อ” เมื่อเห็นสินค้านั้นในช่องทางอื่น

    พฤติกรรมผู้บริโภคยุคโซเชียล
    66% เชื่อคำแนะนำจากผู้ใช้ทั่วไปมากกว่าคนดัง
    70% ใช้โซเชียลมีเดียในการหาข้อมูลก่อนซื้อ
    45% มีแนวโน้มซื้อสินค้าที่กำลังเป็นกระแสบนแพลตฟอร์ม

    ประสิทธิภาพของวิดีโอสั้น
    วิดีโอ 10–15 วินาทีแบบไม่เป็นทางการให้ผลดีที่สุด
    การพูดจากมุมมองส่วนตัวสร้างความน่าเชื่อถือ
    การเห็นสินค้าซ้ำ ๆ บนแพลตฟอร์มช่วยกระตุ้นการจดจำ

    ความเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์การตลาด
    TikTok กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจซื้อ
    แบรนด์ต้องปรับตัวจากการใช้คนดัง มาใช้ผู้ใช้จริง
    การสร้างคอนเทนต์ที่ “ดูจริง” สำคัญกว่าความสวยงาม

    ข้อมูลเสริมจากวงการ e-commerce
    Shoppable Videos ช่วยลดขั้นตอนจากการดูไปสู่การซื้อ
    82% ของผู้ชมตัดสินใจซื้อหลังดูวิดีโอสินค้า
    Instagram มีผู้ใช้ที่ช้อปผ่านแพลตฟอร์มเกือบครึ่งหนึ่งทุกสัปดาห์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/these-kinds-of-social-media-videos-are-most-likely-to-convert-shoppers
    🧠 เมื่อ TikTok กลายเป็นห้างสรรพสินค้า: พลังของวิดีโอสั้นที่เปลี่ยนใจผู้ซื้อ ลองนึกภาพว่าเราเลื่อนดู TikTok แล้วเจอคนธรรมดารีวิวสบู่ล้างหน้าแบบบ้าน ๆ ไม่ใช่ดารา ไม่ใช่แบรนด์ดัง แต่พูดจริง ใช้จริง และดูน่าเชื่อถือ—คุณอาจจะซื้อทันทีโดยไม่รู้ตัว จากผลสำรวจของ Omnisend พบว่า 66% ของผู้บริโภคเชื่อถือคำแนะนำจากผู้ใช้ทั่วไปบนโซเชียลมีเดีย มากกว่าคำแนะนำจากดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์ เพราะคนดังมักได้รับค่าจ้างจากแบรนด์ วิดีโอที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือคลิปสั้น 10–15 วินาที ที่ถ่ายแบบไม่เป็นทางการ พูดจากมุมมองส่วนตัว เหมือนเพื่อนแนะนำเพื่อน ไม่ใช่โฆษณา นอกจากนี้ 70% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้โซเชียลมีเดียในการ “หาข้อมูลก่อนซื้อ” โดยให้ความสำคัญกับรีวิวที่ได้รับการยืนยัน และคอมเมนต์จากผู้ใช้จริง แม้ TikTok จะไม่ได้รับเครดิตตรง ๆ ว่าเป็นตัวกระตุ้นยอดขาย แต่การเห็นสินค้าซ้ำ ๆ บนแพลตฟอร์มนี้ทำให้ผู้บริโภค “จำ” และ “เชื่อ” เมื่อเห็นสินค้านั้นในช่องทางอื่น ✅ พฤติกรรมผู้บริโภคยุคโซเชียล ➡️ 66% เชื่อคำแนะนำจากผู้ใช้ทั่วไปมากกว่าคนดัง ➡️ 70% ใช้โซเชียลมีเดียในการหาข้อมูลก่อนซื้อ ➡️ 45% มีแนวโน้มซื้อสินค้าที่กำลังเป็นกระแสบนแพลตฟอร์ม ✅ ประสิทธิภาพของวิดีโอสั้น ➡️ วิดีโอ 10–15 วินาทีแบบไม่เป็นทางการให้ผลดีที่สุด ➡️ การพูดจากมุมมองส่วนตัวสร้างความน่าเชื่อถือ ➡️ การเห็นสินค้าซ้ำ ๆ บนแพลตฟอร์มช่วยกระตุ้นการจดจำ ✅ ความเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์การตลาด ➡️ TikTok กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจซื้อ ➡️ แบรนด์ต้องปรับตัวจากการใช้คนดัง มาใช้ผู้ใช้จริง ➡️ การสร้างคอนเทนต์ที่ “ดูจริง” สำคัญกว่าความสวยงาม ✅ ข้อมูลเสริมจากวงการ e-commerce ➡️ Shoppable Videos ช่วยลดขั้นตอนจากการดูไปสู่การซื้อ ➡️ 82% ของผู้ชมตัดสินใจซื้อหลังดูวิดีโอสินค้า ➡️ Instagram มีผู้ใช้ที่ช้อปผ่านแพลตฟอร์มเกือบครึ่งหนึ่งทุกสัปดาห์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/these-kinds-of-social-media-videos-are-most-likely-to-convert-shoppers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    These kinds of social media videos are most likely to convert shoppers
    Many people don't trust influencer and celebrity product recommendations, a survey says.
    0 Comments 0 Shares 317 Views 0 Reviews
  • C6P: ซีพียูจีนที่มี “หัวใจ” เป็น Intel Xeon 6P

    Montage Technology บริษัทผู้ผลิตชิปในจีน เปิดตัวซีพียูเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ “C6P” ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการนำ Intel Xeon 6700P จากตระกูล Granite Rapids มาปรับแบรนด์ใหม่ โดยยังคงใช้สถาปัตยกรรม Redwood Cove P-Core เหมือนที่ใช้ใน Meteor Lake

    C6P รองรับสูงสุด 86 คอร์ 172 เธรด พร้อมแคช L3 ขนาด 336MB และรองรับการใช้งานแบบซ็อกเก็ตเดียวหรือสองซ็อกเก็ต มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 24 GT/s ผ่าน UPI interconnects และรองรับหน่วยความจำ DDR5 แบบ 8 ช่อง ความเร็วสูงสุด 8000 MT/s

    จุดเด่นคือการรองรับ PCIe 5.0 ถึง 88 เลน พร้อม CXL 2.0 สำหรับเชื่อมต่อกับ GPU หรือ FPGA และยังคงใช้แพ็กเกจและขาแบบเดียวกับ Intel Xeon 6 ทำให้สามารถอัปเกรดจากรุ่นก่อนหน้าได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ด

    Montage ยังเสริมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยระดับชิป เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม และการป้องกันการแก้ไขข้อมูล เหมาะกับอุตสาหกรรมที่ต้องการความมั่นคง เช่น การเงิน รัฐบาล และการแพทย์

    ข้อมูลพื้นฐานของ C6P CPU
    เป็นซีพียูที่ปรับแบรนด์จาก Intel Xeon 6700P
    ใช้สถาปัตยกรรม Redwood Cove P-Core แบบเดียวกับ Meteor Lake
    รองรับสูงสุด 86 คอร์ 172 เธรด และแคช L3 ขนาด 336MB

    ความสามารถด้านการเชื่อมต่อและหน่วยความจำ
    รองรับระบบซ็อกเก็ตเดียวและสองซ็อกเก็ต
    ใช้ UPI interconnects 4 ช่อง ความเร็วสูงสุด 24 GT/s
    รองรับ DDR5 แบบ 8 ช่อง ความเร็วสูงสุด 8000 MT/s
    มี PCIe 5.0 จำนวน 88 เลน และรองรับ CXL 2.0

    ความเข้ากันได้และการอัปเกรด
    ใช้แพ็กเกจและขาแบบเดียวกับ Intel Xeon 6
    รองรับ x86 instruction set เต็มรูปแบบ
    สามารถอัปเกรดจาก Sierra Forest หรือ Emerald Rapids ได้ทันที

    ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและการใช้งานในอุตสาหกรรม
    มีระบบเข้ารหัสข้อมูลและการตรวจสอบความน่าเชื่อถือ
    ป้องกันการแก้ไขข้อมูลและการรั่วไหลในระดับชิป
    เหมาะกับอุตสาหกรรมการเงิน รัฐบาล และการแพทย์
    รองรับระบบปฏิบัติการโอเพ่นซอร์ส เช่น openEuler และ OpenCloudOS

    https://wccftech.com/montage-technology-rebadges-intel-granite-rapids-xeon-6p-cpus-china-domestic-server-market/
    🖥️ C6P: ซีพียูจีนที่มี “หัวใจ” เป็น Intel Xeon 6P Montage Technology บริษัทผู้ผลิตชิปในจีน เปิดตัวซีพียูเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ “C6P” ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการนำ Intel Xeon 6700P จากตระกูล Granite Rapids มาปรับแบรนด์ใหม่ โดยยังคงใช้สถาปัตยกรรม Redwood Cove P-Core เหมือนที่ใช้ใน Meteor Lake C6P รองรับสูงสุด 86 คอร์ 172 เธรด พร้อมแคช L3 ขนาด 336MB และรองรับการใช้งานแบบซ็อกเก็ตเดียวหรือสองซ็อกเก็ต มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 24 GT/s ผ่าน UPI interconnects และรองรับหน่วยความจำ DDR5 แบบ 8 ช่อง ความเร็วสูงสุด 8000 MT/s จุดเด่นคือการรองรับ PCIe 5.0 ถึง 88 เลน พร้อม CXL 2.0 สำหรับเชื่อมต่อกับ GPU หรือ FPGA และยังคงใช้แพ็กเกจและขาแบบเดียวกับ Intel Xeon 6 ทำให้สามารถอัปเกรดจากรุ่นก่อนหน้าได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ด Montage ยังเสริมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยระดับชิป เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม และการป้องกันการแก้ไขข้อมูล เหมาะกับอุตสาหกรรมที่ต้องการความมั่นคง เช่น การเงิน รัฐบาล และการแพทย์ ✅ ข้อมูลพื้นฐานของ C6P CPU ➡️ เป็นซีพียูที่ปรับแบรนด์จาก Intel Xeon 6700P ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Redwood Cove P-Core แบบเดียวกับ Meteor Lake ➡️ รองรับสูงสุด 86 คอร์ 172 เธรด และแคช L3 ขนาด 336MB ✅ ความสามารถด้านการเชื่อมต่อและหน่วยความจำ ➡️ รองรับระบบซ็อกเก็ตเดียวและสองซ็อกเก็ต ➡️ ใช้ UPI interconnects 4 ช่อง ความเร็วสูงสุด 24 GT/s ➡️ รองรับ DDR5 แบบ 8 ช่อง ความเร็วสูงสุด 8000 MT/s ➡️ มี PCIe 5.0 จำนวน 88 เลน และรองรับ CXL 2.0 ✅ ความเข้ากันได้และการอัปเกรด ➡️ ใช้แพ็กเกจและขาแบบเดียวกับ Intel Xeon 6 ➡️ รองรับ x86 instruction set เต็มรูปแบบ ➡️ สามารถอัปเกรดจาก Sierra Forest หรือ Emerald Rapids ได้ทันที ✅ ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและการใช้งานในอุตสาหกรรม ➡️ มีระบบเข้ารหัสข้อมูลและการตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ➡️ ป้องกันการแก้ไขข้อมูลและการรั่วไหลในระดับชิป ➡️ เหมาะกับอุตสาหกรรมการเงิน รัฐบาล และการแพทย์ ➡️ รองรับระบบปฏิบัติการโอเพ่นซอร์ส เช่น openEuler และ OpenCloudOS https://wccftech.com/montage-technology-rebadges-intel-granite-rapids-xeon-6p-cpus-china-domestic-server-market/
    WCCFTECH.COM
    Montage Technology Rebadges Intel's Granite Rapids "Xeon 6P" CPUs For China's Domestic Server Segment: Offers Up To 86 Cores Under The "C6P" Series
    China's Montage Technology, has launched its new C6P server CPUs with up to 86 cores, which are rebadged Intel Granite Rapids Xeon chips.
    0 Comments 0 Shares 223 Views 0 Reviews
  • พระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคล รบกับเฟกนิวส์กัมพูชา

    การปรากฎตัวครั้งแรกของ พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคล ที่ปรึกษากรมวิทยาศาสตร์ทหารบก และผู้เชี่ยวชาญด้านเคมี ชีวะ รังสีและนิวเคลียร์ ร่วมแถลงข่าวกับโฆษกกองทัพบก เมื่อวันที่ 15 ส.ค. เพื่อนำเสนอข้อมูลกรณีที่กัมพูชากล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีทหารกัมพูชา ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริง นับเป็นปรากฎการณ์ที่น่าสนใจ เพราะระดับพระองค์ชายกุ๊กไก่ลงมาแถลงข่าวด้วยเอง ตอกย้ำว่าสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชาไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไป

    พระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคล กล่าวว่า ไทยและกัมพูชาเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี (CWC) และพิธีสารเจนีวา ค.ศ. 1925 ว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธเคมี ซึ่งไทยได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ที่กัมพูชานำภาพที่อ้างว่าเครื่องบินโปรยสารสีแดงนั้น เป็นภาพจากสหรัฐอเมริกาในเหตุการณ์ดับไฟป่า ไม่ใช่เหตุการณ์จริง หากกัมพูชาสงสัยต้องนำหลักฐานฟ้ององค์การห้ามอาวุธเคมี (OPCW) ที่เนเธอร์แลนด์ แต่กัมพูชาไม่เคยใช้ช่องทางนี้ กลับกล่าวหาลอยๆ ให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายตื่นตระหนก

    ที่ผ่านมาหลายประเทศไม่เชื่อกัมพูชาเพราะถูกจับเท็จได้ แต่มีบางประเทศหรือกลุ่มบุคคลที่ไม่ชัดเจนพยายามจะมาจิกไทย ยังไม่เลิก และพยายามขุดเรื่องย้อนหลังไป เหตุที่ออกมาเปิดตัวเพราะรำคาญเสียงนกเสียงกา กัมพูชาเล่นไม่เลิก จึงจำเป็นต้องออกมาเพื่อกระจายความน่าเชื่อถือออกไป ส่วนที่ พล.ท.หญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ออกข่าวเท็จบ่อยครั้ง เพราะเขามีเจ้านาย เจ้านายสั่้งอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่งั้นโดนไล่ออก

    สำหรับพระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคล เป็นพระโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร และหม่อมทองแถม ยุคล ณ อยุธยา เป็นนายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ มีความเชี่ยวชาญด้านเคมี ชีวะ รังสีและนิวเคลียร์ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนรังสีวิทยาและนิวเคลียร์เคมีชีวภาพกองทัพบกสหรัฐ (CBRN) ได้รับการแต่งตั้งจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเคมี เคยเป็นผู้ตรวจอาวุธเคมีที่ประเทศอิรักในปี 2534

    ก่อนหน้านี้มีข่าวปลอมที่กัมพูชากล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีทหารกัมพูชา หนึ่งในนั้นคือเพจสถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรีย โพสต์ภาพเครื่องบินโปรยสารสีชมพู กล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือน ขณะเดียวกัน พล.ท.หญิง มาลี แถลงข่าวเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ว่ากองทัพไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชาและใช้อาวุธเคมีปฏิบัติการทางทหาร เมื่อตรวจสอบก็พบว่าเป็นภาพถูกบิดเบือนจากเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง ด้านกระทรวงต่างประเทศยืนยันว่า ไทยปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี

    #Newskit

    (ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะเผยแพร่ใน Facebook และ IG วันจันทร์ที่ 18 ส.ค. 2568)
    พระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคล รบกับเฟกนิวส์กัมพูชา การปรากฎตัวครั้งแรกของ พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคล ที่ปรึกษากรมวิทยาศาสตร์ทหารบก และผู้เชี่ยวชาญด้านเคมี ชีวะ รังสีและนิวเคลียร์ ร่วมแถลงข่าวกับโฆษกกองทัพบก เมื่อวันที่ 15 ส.ค. เพื่อนำเสนอข้อมูลกรณีที่กัมพูชากล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีทหารกัมพูชา ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริง นับเป็นปรากฎการณ์ที่น่าสนใจ เพราะระดับพระองค์ชายกุ๊กไก่ลงมาแถลงข่าวด้วยเอง ตอกย้ำว่าสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชาไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไป พระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคล กล่าวว่า ไทยและกัมพูชาเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี (CWC) และพิธีสารเจนีวา ค.ศ. 1925 ว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธเคมี ซึ่งไทยได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ที่กัมพูชานำภาพที่อ้างว่าเครื่องบินโปรยสารสีแดงนั้น เป็นภาพจากสหรัฐอเมริกาในเหตุการณ์ดับไฟป่า ไม่ใช่เหตุการณ์จริง หากกัมพูชาสงสัยต้องนำหลักฐานฟ้ององค์การห้ามอาวุธเคมี (OPCW) ที่เนเธอร์แลนด์ แต่กัมพูชาไม่เคยใช้ช่องทางนี้ กลับกล่าวหาลอยๆ ให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายตื่นตระหนก ที่ผ่านมาหลายประเทศไม่เชื่อกัมพูชาเพราะถูกจับเท็จได้ แต่มีบางประเทศหรือกลุ่มบุคคลที่ไม่ชัดเจนพยายามจะมาจิกไทย ยังไม่เลิก และพยายามขุดเรื่องย้อนหลังไป เหตุที่ออกมาเปิดตัวเพราะรำคาญเสียงนกเสียงกา กัมพูชาเล่นไม่เลิก จึงจำเป็นต้องออกมาเพื่อกระจายความน่าเชื่อถือออกไป ส่วนที่ พล.ท.หญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ออกข่าวเท็จบ่อยครั้ง เพราะเขามีเจ้านาย เจ้านายสั่้งอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่งั้นโดนไล่ออก สำหรับพระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคล เป็นพระโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร และหม่อมทองแถม ยุคล ณ อยุธยา เป็นนายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ มีความเชี่ยวชาญด้านเคมี ชีวะ รังสีและนิวเคลียร์ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนรังสีวิทยาและนิวเคลียร์เคมีชีวภาพกองทัพบกสหรัฐ (CBRN) ได้รับการแต่งตั้งจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเคมี เคยเป็นผู้ตรวจอาวุธเคมีที่ประเทศอิรักในปี 2534 ก่อนหน้านี้มีข่าวปลอมที่กัมพูชากล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีทหารกัมพูชา หนึ่งในนั้นคือเพจสถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรีย โพสต์ภาพเครื่องบินโปรยสารสีชมพู กล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือน ขณะเดียวกัน พล.ท.หญิง มาลี แถลงข่าวเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ว่ากองทัพไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชาและใช้อาวุธเคมีปฏิบัติการทางทหาร เมื่อตรวจสอบก็พบว่าเป็นภาพถูกบิดเบือนจากเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง ด้านกระทรวงต่างประเทศยืนยันว่า ไทยปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี #Newskit (ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะเผยแพร่ใน Facebook และ IG วันจันทร์ที่ 18 ส.ค. 2568)
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 482 Views 0 Reviews
  • เมื่ออดีตพันธมิตรถูกแปรเปลี่ยนเป็นศัตรู: Elon Musk vs Sam Altman กับสงคราม AI ที่ลุกลามสู่โลกโซเชียล

    ในเดือนสิงหาคม 2025 ความขัดแย้งระหว่าง Elon Musk และ Sam Altman กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากที่ Musk กล่าวหาว่า Apple ลำเอียงในการจัดอันดับแอปใน App Store โดยให้ ChatGPT ของ OpenAI อยู่เหนือกว่า Grok ซึ่งเป็นแชตบอทของ xAI บริษัทที่ Musk ก่อตั้งขึ้น

    Musk ระบุว่า Apple กระทำการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดอย่างชัดเจน และประกาศว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายทันที ขณะที่ Altman ตอบโต้ด้วยการกล่าวหาว่า Musk เองก็เคยปรับอัลกอริธึมของแพลตฟอร์ม X เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและบริษัทในเครือ

    การโต้ตอบกันบนแพลตฟอร์ม X กลายเป็นการปะทะกันอย่างดุเดือด โดย Muskเรียก Altman ว่า “คนโกหก” และอ้างว่าโพสต์ของ Altman ได้รับยอดวิวมากกว่าโพสต์ของเขา แม้จะมีผู้ติดตามมากกว่าถึง 50 เท่า Altman ตอบกลับด้วยการท้าทายให้ Musk เซ็นรับรองว่าไม่เคยปรับอัลกอริธึมเพื่อทำร้ายคู่แข่ง

    เบื้องหลังของความขัดแย้งนี้ย้อนกลับไปถึงปี 2018 เมื่อ Musk ถอนตัวจากบอร์ดของ OpenAI และกล่าวหาว่าองค์กรละทิ้งพันธกิจเดิมในการสร้าง AI เพื่อมนุษยชาติ โดยหันไปเน้นผลกำไรร่วมกับ Microsoft

    นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ Musk แชร์ภาพหน้าจอจาก ChatGPT ที่ตอบว่า “Elon Musk” น่าเชื่อถือกว่า Altman แต่ผู้ใช้หลายคนพบว่า หากตั้งคำถามใหม่หรือปรับบริบทก่อนถาม คำตอบจะเปลี่ยนเป็น “Sam Altman” ซึ่งสะท้อนถึงความอ่อนไหวของ AI ต่อการตั้งคำถาม

    จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง
    Musk และ Altman ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015
    Musk ถอนตัวจากบอร์ดในปี 2018 ด้วยเหตุผลด้านทิศทางองค์กร
    ความขัดแย้งทวีความรุนแรงเมื่อ OpenAI ร่วมมือกับ Microsoft

    เหตุการณ์ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2025
    Musk กล่าวหา Apple ว่าลำเอียงต่อ ChatGPT ใน App Store
    Altman ตอบโต้โดยกล่าวหาว่า Musk ปรับอัลกอริธึม X เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
    การโต้ตอบกลายเป็นการด่าทอกันอย่างเปิดเผยบนโซเชียล

    ประเด็นเรื่องความน่าเชื่อถือของ AI
    Musk แชร์ภาพ ChatGPT ตอบว่าเขาน่าเชื่อถือกว่า Altman
    ผู้ใช้หลายคนพบว่า AI เปลี่ยนคำตอบตามบริบทของคำถาม
    สะท้อนถึงความอ่อนไหวของโมเดลต่อการตั้งคำถามและการ “ป้อนคำ”

    การเปรียบเทียบ Grok กับ ChatGPT
    Musk อ้างว่า Grok ดีกว่า GPT-5
    Altmanไม่ตอบตรง แต่เน้นโจมตีพฤติกรรมของ Musk
    Grok เคยถูกวิจารณ์เรื่องการให้ข้อมูลเท็จและเนื้อหาขัดแย้ง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/039you-liar039-elon-musk-and-sam-altman039s-ai-battle-erupts-on-social-media
    🧠 เมื่ออดีตพันธมิตรถูกแปรเปลี่ยนเป็นศัตรู: Elon Musk vs Sam Altman กับสงคราม AI ที่ลุกลามสู่โลกโซเชียล ในเดือนสิงหาคม 2025 ความขัดแย้งระหว่าง Elon Musk และ Sam Altman กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากที่ Musk กล่าวหาว่า Apple ลำเอียงในการจัดอันดับแอปใน App Store โดยให้ ChatGPT ของ OpenAI อยู่เหนือกว่า Grok ซึ่งเป็นแชตบอทของ xAI บริษัทที่ Musk ก่อตั้งขึ้น Musk ระบุว่า Apple กระทำการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดอย่างชัดเจน และประกาศว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายทันที ขณะที่ Altman ตอบโต้ด้วยการกล่าวหาว่า Musk เองก็เคยปรับอัลกอริธึมของแพลตฟอร์ม X เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและบริษัทในเครือ การโต้ตอบกันบนแพลตฟอร์ม X กลายเป็นการปะทะกันอย่างดุเดือด โดย Muskเรียก Altman ว่า “คนโกหก” และอ้างว่าโพสต์ของ Altman ได้รับยอดวิวมากกว่าโพสต์ของเขา แม้จะมีผู้ติดตามมากกว่าถึง 50 เท่า Altman ตอบกลับด้วยการท้าทายให้ Musk เซ็นรับรองว่าไม่เคยปรับอัลกอริธึมเพื่อทำร้ายคู่แข่ง เบื้องหลังของความขัดแย้งนี้ย้อนกลับไปถึงปี 2018 เมื่อ Musk ถอนตัวจากบอร์ดของ OpenAI และกล่าวหาว่าองค์กรละทิ้งพันธกิจเดิมในการสร้าง AI เพื่อมนุษยชาติ โดยหันไปเน้นผลกำไรร่วมกับ Microsoft นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ Musk แชร์ภาพหน้าจอจาก ChatGPT ที่ตอบว่า “Elon Musk” น่าเชื่อถือกว่า Altman แต่ผู้ใช้หลายคนพบว่า หากตั้งคำถามใหม่หรือปรับบริบทก่อนถาม คำตอบจะเปลี่ยนเป็น “Sam Altman” ซึ่งสะท้อนถึงความอ่อนไหวของ AI ต่อการตั้งคำถาม ✅ จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง ➡️ Musk และ Altman ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015 ➡️ Musk ถอนตัวจากบอร์ดในปี 2018 ด้วยเหตุผลด้านทิศทางองค์กร ➡️ ความขัดแย้งทวีความรุนแรงเมื่อ OpenAI ร่วมมือกับ Microsoft ✅ เหตุการณ์ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2025 ➡️ Musk กล่าวหา Apple ว่าลำเอียงต่อ ChatGPT ใน App Store ➡️ Altman ตอบโต้โดยกล่าวหาว่า Musk ปรับอัลกอริธึม X เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ➡️ การโต้ตอบกลายเป็นการด่าทอกันอย่างเปิดเผยบนโซเชียล ✅ ประเด็นเรื่องความน่าเชื่อถือของ AI ➡️ Musk แชร์ภาพ ChatGPT ตอบว่าเขาน่าเชื่อถือกว่า Altman ➡️ ผู้ใช้หลายคนพบว่า AI เปลี่ยนคำตอบตามบริบทของคำถาม ➡️ สะท้อนถึงความอ่อนไหวของโมเดลต่อการตั้งคำถามและการ “ป้อนคำ” ✅ การเปรียบเทียบ Grok กับ ChatGPT ➡️ Musk อ้างว่า Grok ดีกว่า GPT-5 ➡️ Altmanไม่ตอบตรง แต่เน้นโจมตีพฤติกรรมของ Musk ➡️ Grok เคยถูกวิจารณ์เรื่องการให้ข้อมูลเท็จและเนื้อหาขัดแย้ง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/039you-liar039-elon-musk-and-sam-altman039s-ai-battle-erupts-on-social-media
    0 Comments 0 Shares 292 Views 0 Reviews
  • เมื่อ AI เขียนโค้ดได้เก่งกว่ามนุษย์ แล้วนักพัฒนาจะอยู่ตรงไหนในโลกใหม่ของการเขียนโปรแกรม?

    ผลสำรวจจาก Clutch และ Stack Overflow ปี 2025 เผยว่า 53% ของนักพัฒนามองว่า AI โดยเฉพาะ LLMs (Large Language Models) สามารถเขียนโค้ดได้ดีกว่ามนุษย์ทั่วไป และ 80% ใช้ AI coding tools เป็นส่วนหนึ่งของ workflow ประจำวัน

    แม้จะมีความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ความเชื่อมั่นกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีเพียง 29% ที่เชื่อมั่นในความถูกต้องของโค้ดที่ AI สร้างขึ้น และ 45% ระบุว่า “โค้ดที่เกือบถูก” จาก AI เป็นปัญหาหลัก เพราะมันสร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจจับ

    นักพัฒนาหลายคนยังคงใช้ AI เพราะมันช่วยเพิ่ม productivity ได้จริง โดยเฉพาะในงานที่ซ้ำซาก เช่น boilerplate code หรือการแปลงโครงสร้างข้อมูล แต่เมื่อพูดถึงงานที่ซับซ้อน เช่น system architecture หรือ security-critical code นักพัฒนายังต้องการ “มนุษย์อีกคน” เพื่อช่วยตรวจสอบ

    GitHub CEO ยังกล่าวว่า “นักพัฒนาในอนาคตไม่ใช่คนพิมพ์โค้ด แต่เป็น creative director ของโค้ด” และคาดว่า 90% ของการเขียนโค้ดจะถูก AI ทำแทนภายใน 5 ปี

    53% ของนักพัฒนาเชื่อว่า AI เขียนโค้ดได้ดีกว่ามนุษย์
    โดยเฉพาะในงานที่ซ้ำซากและโครงสร้างพื้นฐาน

    80% ของนักพัฒนาใช้ AI coding tools เป็นประจำ
    เช่น GitHub Copilot, Amazon CodeWhisperer, ChatGPT

    45% ระบุว่า “โค้ดที่เกือบถูก” จาก AI เป็นปัญหาหลัก
    สร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจจับ โดยเฉพาะสำหรับนักพัฒนาใหม่

    75% ของนักพัฒนาเลือกถามมนุษย์เมื่อไม่มั่นใจในคำตอบของ AI
    แสดงถึงความต้องการ human verification ในระบบที่สำคัญ

    GitHub คาดว่า 90% ของโค้ดจะถูก AI เขียนภายใน 5 ปี
    นักพัฒนาต้องเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ออกแบบและควบคุมคุณภาพ

    79% เชื่อว่าทักษะด้าน AI จะกลายเป็นข้อกำหนดพื้นฐานของนักพัฒนา
    และ 45% มองว่า AI จะลดอุปสรรคสำหรับนักพัฒนาใหม่

    Stack Overflow พบว่า 46% ของนักพัฒนาไม่เชื่อมั่นในความถูกต้องของ AI
    โดยเฉพาะในงานที่ซับซ้อนหรือมีความเสี่ยงสูง

    “Vibe coding” หรือการใช้ prompt สร้างแอปทั้งตัวยังไม่เป็นที่ยอมรับ
    72% ของนักพัฒนาไม่ใช้แนวทางนี้ในงานจริง

    AI coding tools ช่วยให้เรียนรู้ภาษาใหม่และเทคนิคใหม่ได้เร็วขึ้น
    44% ของนักพัฒนาใช้ AI เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ในปีที่ผ่านมา

    การใช้ AI อย่างมีสติ เช่น “sparring partner” ช่วยพัฒนาทักษะได้จริง
    ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นผู้ช่วยในการคิดและแก้ปัญหา

    โค้ดจาก AI ที่ “เกือบถูก” อาจสร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจสอบ
    โดยเฉพาะในระบบที่มีความเสี่ยงสูง เช่น security หรือ backend

    ความเชื่อมั่นใน AI ลดลงจาก 40% เหลือเพียง 29% ในปี 2025
    แสดงถึงความกังวลเรื่องคุณภาพและความน่าเชื่อถือ

    นักพัฒนาใหม่อาจพึ่ง AI มากเกินไปจนขาดความเข้าใจพื้นฐาน
    เสี่ยงต่อการสร้างระบบที่ไม่มีความมั่นคงหรือยืดหยุ่น

    ตลาดงานระดับเริ่มต้นอาจหายไปเมื่อ AI เขียนโค้ดแทน
    หากไม่มีการฝึกฝนและพัฒนา นักพัฒนาอาจถูกแทนที่โดยสมบูรณ์

    https://www.techradar.com/pro/are-you-better-at-coding-than-ai-developers-dont-think-so
    🧠💻 เมื่อ AI เขียนโค้ดได้เก่งกว่ามนุษย์ แล้วนักพัฒนาจะอยู่ตรงไหนในโลกใหม่ของการเขียนโปรแกรม? ผลสำรวจจาก Clutch และ Stack Overflow ปี 2025 เผยว่า 53% ของนักพัฒนามองว่า AI โดยเฉพาะ LLMs (Large Language Models) สามารถเขียนโค้ดได้ดีกว่ามนุษย์ทั่วไป และ 80% ใช้ AI coding tools เป็นส่วนหนึ่งของ workflow ประจำวัน แม้จะมีความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ความเชื่อมั่นกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีเพียง 29% ที่เชื่อมั่นในความถูกต้องของโค้ดที่ AI สร้างขึ้น และ 45% ระบุว่า “โค้ดที่เกือบถูก” จาก AI เป็นปัญหาหลัก เพราะมันสร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจจับ นักพัฒนาหลายคนยังคงใช้ AI เพราะมันช่วยเพิ่ม productivity ได้จริง โดยเฉพาะในงานที่ซ้ำซาก เช่น boilerplate code หรือการแปลงโครงสร้างข้อมูล แต่เมื่อพูดถึงงานที่ซับซ้อน เช่น system architecture หรือ security-critical code นักพัฒนายังต้องการ “มนุษย์อีกคน” เพื่อช่วยตรวจสอบ GitHub CEO ยังกล่าวว่า “นักพัฒนาในอนาคตไม่ใช่คนพิมพ์โค้ด แต่เป็น creative director ของโค้ด” และคาดว่า 90% ของการเขียนโค้ดจะถูก AI ทำแทนภายใน 5 ปี ✅ 53% ของนักพัฒนาเชื่อว่า AI เขียนโค้ดได้ดีกว่ามนุษย์ ➡️ โดยเฉพาะในงานที่ซ้ำซากและโครงสร้างพื้นฐาน ✅ 80% ของนักพัฒนาใช้ AI coding tools เป็นประจำ ➡️ เช่น GitHub Copilot, Amazon CodeWhisperer, ChatGPT ✅ 45% ระบุว่า “โค้ดที่เกือบถูก” จาก AI เป็นปัญหาหลัก ➡️ สร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจจับ โดยเฉพาะสำหรับนักพัฒนาใหม่ ✅ 75% ของนักพัฒนาเลือกถามมนุษย์เมื่อไม่มั่นใจในคำตอบของ AI ➡️ แสดงถึงความต้องการ human verification ในระบบที่สำคัญ ✅ GitHub คาดว่า 90% ของโค้ดจะถูก AI เขียนภายใน 5 ปี ➡️ นักพัฒนาต้องเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ออกแบบและควบคุมคุณภาพ ✅ 79% เชื่อว่าทักษะด้าน AI จะกลายเป็นข้อกำหนดพื้นฐานของนักพัฒนา ➡️ และ 45% มองว่า AI จะลดอุปสรรคสำหรับนักพัฒนาใหม่ ✅ Stack Overflow พบว่า 46% ของนักพัฒนาไม่เชื่อมั่นในความถูกต้องของ AI ➡️ โดยเฉพาะในงานที่ซับซ้อนหรือมีความเสี่ยงสูง ✅ “Vibe coding” หรือการใช้ prompt สร้างแอปทั้งตัวยังไม่เป็นที่ยอมรับ ➡️ 72% ของนักพัฒนาไม่ใช้แนวทางนี้ในงานจริง ✅ AI coding tools ช่วยให้เรียนรู้ภาษาใหม่และเทคนิคใหม่ได้เร็วขึ้น ➡️ 44% ของนักพัฒนาใช้ AI เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ในปีที่ผ่านมา ✅ การใช้ AI อย่างมีสติ เช่น “sparring partner” ช่วยพัฒนาทักษะได้จริง ➡️ ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นผู้ช่วยในการคิดและแก้ปัญหา ‼️ โค้ดจาก AI ที่ “เกือบถูก” อาจสร้าง bug ที่ยากต่อการตรวจสอบ ⛔ โดยเฉพาะในระบบที่มีความเสี่ยงสูง เช่น security หรือ backend ‼️ ความเชื่อมั่นใน AI ลดลงจาก 40% เหลือเพียง 29% ในปี 2025 ⛔ แสดงถึงความกังวลเรื่องคุณภาพและความน่าเชื่อถือ ‼️ นักพัฒนาใหม่อาจพึ่ง AI มากเกินไปจนขาดความเข้าใจพื้นฐาน ⛔ เสี่ยงต่อการสร้างระบบที่ไม่มีความมั่นคงหรือยืดหยุ่น ‼️ ตลาดงานระดับเริ่มต้นอาจหายไปเมื่อ AI เขียนโค้ดแทน ⛔ หากไม่มีการฝึกฝนและพัฒนา นักพัฒนาอาจถูกแทนที่โดยสมบูรณ์ https://www.techradar.com/pro/are-you-better-at-coding-than-ai-developers-dont-think-so
    0 Comments 0 Shares 334 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกปลอมที่เหมือนจริง: เมื่อ AI ถูกใช้สร้างเว็บรัฐบาลปลอมเพื่อหลอกประชาชน

    ในบราซิล นักวิจัยจาก ThreatLabz พบว่ามีการใช้ Generative AI สร้างเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบเว็บของหน่วยงานรัฐบาลอย่างแนบเนียน โดยเฉพาะเว็บไซต์ของกรมการขนส่งและกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งถูกใช้เพื่อหลอกขโมยข้อมูลส่วนตัวและเงินจากประชาชน

    เว็บไซต์ปลอมเหล่านี้มีหน้าตาเหมือนของจริงแทบทุกจุด ยกเว้นแค่ URL ที่เปลี่ยนเล็กน้อย เช่น “govbrs[.]com” แทนที่จะเป็น “gov.br” และยังใช้เทคนิค SEO poisoning เพื่อดันอันดับใน Google ให้ขึ้นมาอยู่บนสุด ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นเว็บจริง

    เมื่อเหยื่อเข้าเว็บ พวกเขาจะถูกขอให้กรอกหมายเลข CPF (คล้ายเลขบัตรประชาชน) และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ก่อนจะถูกหลอกให้จ่ายเงินผ่านระบบ Pix ซึ่งเงินจะถูกส่งตรงไปยังบัญชีของแฮกเกอร์

    ที่น่าตกใจคือ โค้ดของเว็บไซต์ปลอมเหล่านี้มีลักษณะเหมือนถูกสร้างโดย AI เช่น Deepsite AI โดยมีการใช้ TailwindCSS และคำอธิบายโค้ดที่เป็น template ซึ่งบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์ใช้ prompt เพื่อสั่งให้ AI “สร้างเว็บที่เหมือนของจริง”

    แฮกเกอร์ใช้ Generative AI สร้างเว็บไซต์ปลอมเลียนแบบเว็บรัฐบาลบราซิล
    เช่น เว็บกรมการขนส่งและกระทรวงศึกษาธิการ

    ใช้ URL ปลอมที่คล้ายของจริง เช่น govbrs[.]com
    ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นเว็บทางการ

    ใช้เทคนิค SEO poisoning เพื่อดันเว็บปลอมขึ้นอันดับต้น ๆ
    เพิ่มความน่าเชื่อถือและโอกาสในการหลอกเหยื่อ

    เหยื่อต้องกรอกหมายเลข CPF และข้อมูลส่วนตัว
    ก่อนถูกหลอกให้จ่ายเงินผ่านระบบ Pix

    โค้ดของเว็บปลอมมีลักษณะเหมือนถูกสร้างโดย AI เช่น Deepsite
    มีการใช้ TailwindCSS และคำอธิบายโค้ดแบบ template

    นักวิจัยเตือนว่าแม้ตอนนี้จะขโมยเงินไม่มาก แต่มีศักยภาพในการสร้างความเสียหายมหาศาล
    แนะนำให้ใช้ Zero Trust architecture และ best practices เพื่อป้องกัน

    https://www.techradar.com/pro/security/hackers-are-now-mimicking-government-websites-using-ai-everything-you-need-to-know-to-stay-safe
    🌐🕵️‍♂️ เรื่องเล่าจากโลกปลอมที่เหมือนจริง: เมื่อ AI ถูกใช้สร้างเว็บรัฐบาลปลอมเพื่อหลอกประชาชน ในบราซิล นักวิจัยจาก ThreatLabz พบว่ามีการใช้ Generative AI สร้างเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบเว็บของหน่วยงานรัฐบาลอย่างแนบเนียน โดยเฉพาะเว็บไซต์ของกรมการขนส่งและกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งถูกใช้เพื่อหลอกขโมยข้อมูลส่วนตัวและเงินจากประชาชน เว็บไซต์ปลอมเหล่านี้มีหน้าตาเหมือนของจริงแทบทุกจุด ยกเว้นแค่ URL ที่เปลี่ยนเล็กน้อย เช่น “govbrs[.]com” แทนที่จะเป็น “gov.br” และยังใช้เทคนิค SEO poisoning เพื่อดันอันดับใน Google ให้ขึ้นมาอยู่บนสุด ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นเว็บจริง เมื่อเหยื่อเข้าเว็บ พวกเขาจะถูกขอให้กรอกหมายเลข CPF (คล้ายเลขบัตรประชาชน) และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ก่อนจะถูกหลอกให้จ่ายเงินผ่านระบบ Pix ซึ่งเงินจะถูกส่งตรงไปยังบัญชีของแฮกเกอร์ ที่น่าตกใจคือ โค้ดของเว็บไซต์ปลอมเหล่านี้มีลักษณะเหมือนถูกสร้างโดย AI เช่น Deepsite AI โดยมีการใช้ TailwindCSS และคำอธิบายโค้ดที่เป็น template ซึ่งบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์ใช้ prompt เพื่อสั่งให้ AI “สร้างเว็บที่เหมือนของจริง” ✅ แฮกเกอร์ใช้ Generative AI สร้างเว็บไซต์ปลอมเลียนแบบเว็บรัฐบาลบราซิล ➡️ เช่น เว็บกรมการขนส่งและกระทรวงศึกษาธิการ ✅ ใช้ URL ปลอมที่คล้ายของจริง เช่น govbrs[.]com ➡️ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นเว็บทางการ ✅ ใช้เทคนิค SEO poisoning เพื่อดันเว็บปลอมขึ้นอันดับต้น ๆ ➡️ เพิ่มความน่าเชื่อถือและโอกาสในการหลอกเหยื่อ ✅ เหยื่อต้องกรอกหมายเลข CPF และข้อมูลส่วนตัว ➡️ ก่อนถูกหลอกให้จ่ายเงินผ่านระบบ Pix ✅ โค้ดของเว็บปลอมมีลักษณะเหมือนถูกสร้างโดย AI เช่น Deepsite ➡️ มีการใช้ TailwindCSS และคำอธิบายโค้ดแบบ template ✅ นักวิจัยเตือนว่าแม้ตอนนี้จะขโมยเงินไม่มาก แต่มีศักยภาพในการสร้างความเสียหายมหาศาล ➡️ แนะนำให้ใช้ Zero Trust architecture และ best practices เพื่อป้องกัน https://www.techradar.com/pro/security/hackers-are-now-mimicking-government-websites-using-ai-everything-you-need-to-know-to-stay-safe
    WWW.TECHRADAR.COM
    Hackers are now mimicking government websites using AI - everything you need to know to stay safe
    Multiple Brazilian government sites were cloned, and more could be on the way
    0 Comments 0 Shares 290 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกโอเพ่นซอร์ส: เมื่อ Linus Torvalds ปะทะโค้ด RISC-V จาก Google

    ในโลกของ Linux kernel การส่งโค้ดเข้า merge window เปรียบเสมือนการส่งงานให้ครูใหญ่—และครูใหญ่คนนั้นคือ Linus Torvalds ผู้สร้างและดูแล Linux มายาวนาน ล่าสุดเขาได้ออกโรงวิจารณ์โค้ดจากวิศวกร Google ที่ส่งเข้ามาเพื่อรวมใน Linux 6.17 ว่าเป็น “ขยะ” และ “ทำให้โลกแย่ลง”

    เหตุผลหลักคือโค้ดนั้นไม่เพียงคุณภาพต่ำ แต่ยังส่งมาช้าเกินกำหนด ซึ่งเป็นสองข้อห้ามสำคัญในการส่ง pull request เขาเน้นว่า “ถ้าจะส่งช้า ก็ต้องดีมาก ๆ” แต่โค้ดนี้กลับเพิ่มสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับ RISC-V ลงในไฟล์ header ทั่วไป ซึ่งเขามองว่าเป็นการละเมิดหลักการออกแบบ kernel

    Torvalds ยังเตือนนักพัฒนาคนนั้นว่า “คุณอยู่ในบัญชีเฝ้าระวังแล้ว” และแนะนำให้ส่งโค้ดสำหรับ Linux 6.18 ให้เร็วขึ้น พร้อมตัด “ขยะ” ออกให้หมด

    แม้คำพูดของเขาจะตรงไปตรงมา แต่ก็มีเหตุผลรองรับ เช่น การรักษาความสะอาดของโค้ดใน kernel และการป้องกันการเพิ่ม technical debt ที่จะส่งผลระยะยาวต่อระบบ

    จากมุมมองภายนอก ชุมชน RISC-V ยังเผชิญกับปัญหาคุณภาพโค้ดอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และนักพัฒนาหลายคนยังไม่คุ้นเคยกับ instruction set หรือแนวทางการ optimize ที่เหมาะสม

    Linus Torvalds ปฏิเสธ pull request จากวิศวกร Google สำหรับ Linux 6.17
    เหตุผลคือโค้ดคุณภาพต่ำและส่งมาช้าเกินกำหนด

    โค้ดนั้นเพิ่มเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวกับ RISC-V ลงในไฟล์ header ทั่วไป
    Torvalds เรียกว่า “ขยะ” และไม่ควรส่งมาแม้แต่ในเวลาปกติ

    Torvalds เตือนนักพัฒนาว่าอยู่ใน “บัญชีเฝ้าระวัง”
    ห้ามส่งโค้ดช้าและห้ามเพิ่มเนื้อหานอก RISC-V tree

    เขาแนะนำให้ส่งโค้ดสำหรับ Linux 6.18 ให้เร็วขึ้น
    พร้อมตัดเนื้อหาที่ไม่จำเป็นออกให้หมด

    RISC-V ยังเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่นักพัฒนาหลายคนยังไม่คุ้นเคย
    ทำให้เกิดปัญหาเรื่องคุณภาพโค้ดและการ optimize อยู่บ่อยครั้ง

    การเขียนโค้ดสำหรับ RISC-V ต้องระวังเรื่อง code density และ performance
    เช่น การใช้ compiler flags ที่เหมาะสมเพื่อลดขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพ

    การใช้ static analysis ช่วยตรวจสอบคุณภาพโค้ดก่อนส่ง build
    ลดโอกาสเกิด defect และเพิ่มความน่าเชื่อถือในการ reuse

    โค้ดที่ดีควรมีโครงสร้างชัดเจนและไม่เพิ่ม technical debt
    ทำให้สามารถขยายหรือปรับปรุงได้ง่ายในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/software/linux/linus-torvalds-calls-risc-v-code-from-google-engineer-garbage-and-that-it-makes-the-world-actively-a-worse-place-to-live-linux-honcho-puts-dev-on-notice-for-late-submissions-too
    🧑‍💻🔥 เรื่องเล่าจากโลกโอเพ่นซอร์ส: เมื่อ Linus Torvalds ปะทะโค้ด RISC-V จาก Google ในโลกของ Linux kernel การส่งโค้ดเข้า merge window เปรียบเสมือนการส่งงานให้ครูใหญ่—และครูใหญ่คนนั้นคือ Linus Torvalds ผู้สร้างและดูแล Linux มายาวนาน ล่าสุดเขาได้ออกโรงวิจารณ์โค้ดจากวิศวกร Google ที่ส่งเข้ามาเพื่อรวมใน Linux 6.17 ว่าเป็น “ขยะ” และ “ทำให้โลกแย่ลง” เหตุผลหลักคือโค้ดนั้นไม่เพียงคุณภาพต่ำ แต่ยังส่งมาช้าเกินกำหนด ซึ่งเป็นสองข้อห้ามสำคัญในการส่ง pull request เขาเน้นว่า “ถ้าจะส่งช้า ก็ต้องดีมาก ๆ” แต่โค้ดนี้กลับเพิ่มสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับ RISC-V ลงในไฟล์ header ทั่วไป ซึ่งเขามองว่าเป็นการละเมิดหลักการออกแบบ kernel Torvalds ยังเตือนนักพัฒนาคนนั้นว่า “คุณอยู่ในบัญชีเฝ้าระวังแล้ว” และแนะนำให้ส่งโค้ดสำหรับ Linux 6.18 ให้เร็วขึ้น พร้อมตัด “ขยะ” ออกให้หมด แม้คำพูดของเขาจะตรงไปตรงมา แต่ก็มีเหตุผลรองรับ เช่น การรักษาความสะอาดของโค้ดใน kernel และการป้องกันการเพิ่ม technical debt ที่จะส่งผลระยะยาวต่อระบบ จากมุมมองภายนอก ชุมชน RISC-V ยังเผชิญกับปัญหาคุณภาพโค้ดอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และนักพัฒนาหลายคนยังไม่คุ้นเคยกับ instruction set หรือแนวทางการ optimize ที่เหมาะสม ✅ Linus Torvalds ปฏิเสธ pull request จากวิศวกร Google สำหรับ Linux 6.17 ➡️ เหตุผลคือโค้ดคุณภาพต่ำและส่งมาช้าเกินกำหนด ✅ โค้ดนั้นเพิ่มเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวกับ RISC-V ลงในไฟล์ header ทั่วไป ➡️ Torvalds เรียกว่า “ขยะ” และไม่ควรส่งมาแม้แต่ในเวลาปกติ ✅ Torvalds เตือนนักพัฒนาว่าอยู่ใน “บัญชีเฝ้าระวัง” ➡️ ห้ามส่งโค้ดช้าและห้ามเพิ่มเนื้อหานอก RISC-V tree ✅ เขาแนะนำให้ส่งโค้ดสำหรับ Linux 6.18 ให้เร็วขึ้น ➡️ พร้อมตัดเนื้อหาที่ไม่จำเป็นออกให้หมด ✅ RISC-V ยังเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่นักพัฒนาหลายคนยังไม่คุ้นเคย ➡️ ทำให้เกิดปัญหาเรื่องคุณภาพโค้ดและการ optimize อยู่บ่อยครั้ง ✅ การเขียนโค้ดสำหรับ RISC-V ต้องระวังเรื่อง code density และ performance ➡️ เช่น การใช้ compiler flags ที่เหมาะสมเพื่อลดขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ การใช้ static analysis ช่วยตรวจสอบคุณภาพโค้ดก่อนส่ง build ➡️ ลดโอกาสเกิด defect และเพิ่มความน่าเชื่อถือในการ reuse ✅ โค้ดที่ดีควรมีโครงสร้างชัดเจนและไม่เพิ่ม technical debt ➡️ ทำให้สามารถขยายหรือปรับปรุงได้ง่ายในอนาคต https://www.tomshardware.com/software/linux/linus-torvalds-calls-risc-v-code-from-google-engineer-garbage-and-that-it-makes-the-world-actively-a-worse-place-to-live-linux-honcho-puts-dev-on-notice-for-late-submissions-too
    0 Comments 0 Shares 312 Views 0 Reviews
More Results