• ปลุกการอ่านหนังสือพิมพ์ ขายในเซเว่นฯ 1,712 สาขา

    ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล พฤติกรรมการบริโภคสื่อที่เปลี่ยนไป หนังสือพิมพ์ที่มีอายุในไทยมากกว่า 180 ปี นับตั้งแต่หนังสือพิมพ์ The Bangkok Recorder ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2387 ถูกแทนที่ด้วยสื่อออนไลน์ เมื่อคนรุ่นใหม่แทบไม่รู้จักหนังสือพิมพ์ ส่วนคนรุ่นเก่าอ่านน้อยลงเพราะหาซื้อยาก ปัจจุบันเอเย่นต์หรือตัวแทนจำหน่ายต่างเลิกกิจการ เหลือจุดจำหน่ายหนังสือพิมพ์น้อยลง ทำให้การซื้อหนังสือพิมพ์ทำได้ยากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของบ้านเมือง ถึงกระนั้น ยังมีความพยายามของผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ ส่งเสริมการอ่านในรูปแบบต่างๆ

    สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ร่วมกับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) จัดโครงการจุดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ ที่ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น 1,712 สาขา ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ที่ยังชื่นชอบบริโภคข่าวสารจากสื่อสิ่งพิมพ์ ส่งเสริมการอ่าน สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมทั้งเอเจนซีโฆษณาได้รับทราบว่าสามารถหาซื้อหนังสือพิมพ์ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นได้ โดยมีผู้ประกอบการหนังสือพิมพ์ 7 ฉบับจาก 5 ค่ายเข้าร่วมโครงการ ได้แก่ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ มติชน ข่าวสด ข่าวหุ้นธุรกิจ สตาร์ซ็อคเกอร์ และสปอร์ตพูล

    นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์ปรับตัวอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเนื้อหาที่แตกต่าง ลุ่มลึก สร้างสรรค์ จุดแข็งสำคัญคือจับต้องได้ มีกองบรรณาธิการที่เข้มแข็ง คอยคัดและกลั่นกรองเนื้อหาก่อนนำเสนอ ช่วยป้องกันข่าวลวง ข่าวเท็จ หรือเฟกนิวส์ รวมถึงปฏิบัติตามกรอบจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน ทำให้เนื้อหาการนำเสนอ การใช้ภาษา และอื่นๆ เป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม โครงการนี้จะช่วยให้คนรักการอ่านหนังสือพิมพ์ สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การทำหน้าที่สื่อมวลชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

    ที่ผ่านมาสภาการสื่อมวลชนฯ ได้จัดโครงการสร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์ ผ่านโรงเรียน 190 แห่งทั่วประเทศ มีนักเรียนเข้าร่วมกว่า 5,000 คน พร้อมจัดกิจกรรมสร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์ พบว่าสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักเรียนมีทักษะการอ่าน การตีความเพิ่มขึ้น มีความสามารถในการอ่านและคิดวิเคราะห์ดีขึ้น และนำความรู้เรื่องการรู้เท่าทันสื่อไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจ รับมือกับข่าวปลอม โฆษณาเกินจริง การฉ้อโกงออนไลน์ กล้าตั้งคำถาม และแสดงความคิดเห็นเพิ่มขึ้น

    #Newskit
    ปลุกการอ่านหนังสือพิมพ์ ขายในเซเว่นฯ 1,712 สาขา ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล พฤติกรรมการบริโภคสื่อที่เปลี่ยนไป หนังสือพิมพ์ที่มีอายุในไทยมากกว่า 180 ปี นับตั้งแต่หนังสือพิมพ์ The Bangkok Recorder ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2387 ถูกแทนที่ด้วยสื่อออนไลน์ เมื่อคนรุ่นใหม่แทบไม่รู้จักหนังสือพิมพ์ ส่วนคนรุ่นเก่าอ่านน้อยลงเพราะหาซื้อยาก ปัจจุบันเอเย่นต์หรือตัวแทนจำหน่ายต่างเลิกกิจการ เหลือจุดจำหน่ายหนังสือพิมพ์น้อยลง ทำให้การซื้อหนังสือพิมพ์ทำได้ยากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของบ้านเมือง ถึงกระนั้น ยังมีความพยายามของผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ ส่งเสริมการอ่านในรูปแบบต่างๆ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ร่วมกับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) จัดโครงการจุดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ ที่ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น 1,712 สาขา ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ที่ยังชื่นชอบบริโภคข่าวสารจากสื่อสิ่งพิมพ์ ส่งเสริมการอ่าน สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมทั้งเอเจนซีโฆษณาได้รับทราบว่าสามารถหาซื้อหนังสือพิมพ์ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นได้ โดยมีผู้ประกอบการหนังสือพิมพ์ 7 ฉบับจาก 5 ค่ายเข้าร่วมโครงการ ได้แก่ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ มติชน ข่าวสด ข่าวหุ้นธุรกิจ สตาร์ซ็อคเกอร์ และสปอร์ตพูล นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์ปรับตัวอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเนื้อหาที่แตกต่าง ลุ่มลึก สร้างสรรค์ จุดแข็งสำคัญคือจับต้องได้ มีกองบรรณาธิการที่เข้มแข็ง คอยคัดและกลั่นกรองเนื้อหาก่อนนำเสนอ ช่วยป้องกันข่าวลวง ข่าวเท็จ หรือเฟกนิวส์ รวมถึงปฏิบัติตามกรอบจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน ทำให้เนื้อหาการนำเสนอ การใช้ภาษา และอื่นๆ เป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม โครงการนี้จะช่วยให้คนรักการอ่านหนังสือพิมพ์ สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การทำหน้าที่สื่อมวลชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมาสภาการสื่อมวลชนฯ ได้จัดโครงการสร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์ ผ่านโรงเรียน 190 แห่งทั่วประเทศ มีนักเรียนเข้าร่วมกว่า 5,000 คน พร้อมจัดกิจกรรมสร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์ พบว่าสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักเรียนมีทักษะการอ่าน การตีความเพิ่มขึ้น มีความสามารถในการอ่านและคิดวิเคราะห์ดีขึ้น และนำความรู้เรื่องการรู้เท่าทันสื่อไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจ รับมือกับข่าวปลอม โฆษณาเกินจริง การฉ้อโกงออนไลน์ กล้าตั้งคำถาม และแสดงความคิดเห็นเพิ่มขึ้น #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หลากเรื่องในชีวิตของชายที่รักหนังสือ

    อ่านจบแล้วต้องรีบระบายความในใจที่มีต่อหนังสือเล่มนี้ทันที ไม่อย่างนั้นคงจะอึดอัด

    ขอใช้ประโยคนี้ที่พิจารณาแล้วเห็นว่าซื่อตรงต่อตนเองมากที่สุดครับ

    "ผมหลงรักเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้"

    เดิมก็คาดการณ์ไว้ตอนตัดสินใจเลือกยืมมาจากห้องสมุด เล่มนี้ต้องดีแน่ คงจะมอบความอิ่มเอมให้เราพอสมควร เชื่ออย่างนั้นเพียงแค่ได้เห็นหน้าปก และชื่อที่ดึงความสนใจได้ชงัดนัก ประกอบกับบางส่วนที่เกริ่นไว้ด้านหลังปก เท่านี้ก็เหมือนเห็นแสงที่อบอุ่นขาวนวล สว่างออกมารอบ ๆ หนังสือ อาจจะเป็นคำบอกเล่าที่ดูเกินจริงไปหน่อย แต่รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เพราะส่วนตัวค่อนข้างจะเปราะบางกับอะไรก็ตามที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับร้านหนังสือและเจ้าของที่ค่อนข้างโดดเดี่ยว

    The Storied Life of A.j.Fikry หรือชื่อไทยว่า
    หลากเรื่องในชีวิตของชายที่รักหนังสือ (ชอบชื่อไทยมาก ตั้งได้ดีจริง)

    แพรวสำนักพิมพ์ ออกมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 ในขณะที่ต้นฉบับขายตั้งแต่ปี 2014 หนาเพียง 216 หน้า

    หลายคนคงเคยอ่านแล้ว แต่น่าจะมีอีกหลายคนที่มีอยู่ในมือแต่ยังไม่ได้อ่าน หวังว่าหลังจากอ่านสิ่งที่ผมเล่าจบแล้ว จะเกิดแรงขับมากพอทำให้คุณรู้สึกอยากหยิบขึ้นมาอ่านได้

    โครงเรื่องจริง ๆ ก็ดังที่ชื่อไทยได้บอกไว้ ชัดเจนและสรุปเนื้อหาทั้งหมดในเล่มออกมาในประโยคเดียวได้อย่างสมบูรณ์ แต่เนื้อหาย่อยที่อยู่ในเล่มนี้สิ ที่แต่ละอย่างล้วนโดนใจทั้งนั้น

    สรุปเนื้อเรื่องคือ

    ชายวัยใกล้สี่สิบคนหนึ่งเป็นเจ้าของร้านหนังสือที่ตั้งอยู่บนเกาะอลิซ เป็นคนที่มีบุคลิกปิด ไม่ชอบสุงสิงใคร เพิ่งสูญเสียเมียอันเป็นที่รักไปไม่นานจากอุบัติเหตุ จึงจ่อมจมอยู่กับความเศร้าเฝ้าร้านที่ยอดขายก็ย่ำแย่ วันหนึ่งมีตัวแทนสาวสวยคนใหม่จาก สนพ.แห่งหนึ่ง เดินทางไกลมาเพื่อจะนำเสนอตัวอย่างหนังสือที่จะออกในช่วงฤดูหนาว และแนะนำเล่มที่น่าสนใจที่น่าจะสั่งมาวางขายในร้าน ให้กับเขาแทนคนเก่าที่เสียชีวิตไป ทว่าเขากลับพูดจาด้วยอย่างหยาบคาย กลายเป็นความทรงจำเลวร้ายต่อเธอที่เพิ่งเริ่มต้นงาน

    หลังจากวันนั้นไม่นาน คืนหนึ่งเขาดื่มหนักมากและฟุบหลับไป เมื่อรู้สึกตัวอีกที ต้องตกใจเพราะของมีค่ามหาศาลชิ้นหนึ่งหายไปจากร้านของเขา จึงไปแจ้งความกับตำรวจหนุ่มใหญ่คนหนึ่งให้ช่วยตามหา เพราะเขากะว่าอีกไม่นานจะขายสมบัติชิ้นนั้นเพื่อนำเงินก้อนมาใช้ หลังจากปิดร้านหนังสือ แต่ตำรวจหาไม่พบ ขณะที่กำลังประสบเคราะห์ร้ายอย่างถึงที่สุด ปรากฏว่ามีสถานการณ์ใหม่ที่ไม่น่าเชื่อบังเกิดขึ้นกับเขาตามมาติด ๆ และการตัดสินใจต่อกรณีนี้ ได้นำพาให้ชีวิตของเขารวมถึงร้านหนังสือที่รักประสบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่จะทำให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

    ตัวละครทุกตัวในเรื่องต่างมีอัตลักษณ์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะตัวละครหญิง ไม่ว่าจะรุ่นเล็ก หรือรุ่นใหญ่ ล้วนแต่มีเสน่ห์ น่าหลงใหล ผู้เขียนช่างสร้างบุคลิก อุปนิสัย และปูมหลังของแต่ละคนได้อย่างยอดเยี่ยม ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งตกหลุมรัก คอยลุ้นเอาใจช่วยไปกับตัวละครแต่ละตัวให้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากไปให้ได้ ยามถึงฉากที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของตัวละครเด่น ก็พลอยตื่นเต้นและอยากให้ทั้งสองฝ่ายต่างสมหวัง บางฉากก็ได้ยิ้งแก้มปริ บางฉากก็ขำ บางฉากก็ซึมเซา เศร้าและเสียดาย สุดท้ายฉากชีวิตของหนุ่มใหญ่เจ้าของร้านหนังสือจะลงเอยอย่างไร ลองไปตามอ่านกันให้ได้นะ

    สำนวนการเขียนของนักเขียนช่างกระชับ จับใจ ในหน้ากระดาษจำกัดเพียง 216 หน้านี้ แทบจะบอกได้ว่าไม่มีเรื่องราวหรือเหตุการณ์ไหน ตัวละครใดที่ถูกใส่เข้ามาอย่างเสียของ ไร้ความหมาย เพียงเป็นตัวประกอบไร้ค่าที่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เพราะแม้จะเพียงแค่ปรากฏมาไม่กี่หน้า แต่ก็มีหน้าที่เฉพาะซึ่งสำคัญต่อการเดินเรื่อง อ่านไปช่วงแรกอาจยังไม่รู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ แต่ยิ่งจำนวนหน้าฝั่งซ้ายเริ่มมากขึ้นจนแซงฝั่งขวา ก็เห็นถึงการวางแผนมาแล้วอย่างดีและใส่ใจในรายละเอียดอย่างมาก สิ่งที่ถูกเริ่มไว้ในตอนต้น ในหลายประเด็น และคาใจให้คนอ่านเหมือนมีอะไรติดค้างอยู่ หากไม่รู้หรือไม่ยอมเฉลยในตอนจบคงต้องนอนไม่หลับแน่ ก็ปรากฏว่านักเขียนได้เปิดจนหมดเปลือก ทว่าใช้วิธีเผยความจริงได้อย่างชาญฉลาด และน่าทึ่ง

    ช่วงต้นอาจจะยังจับทางไม่ถูกก็จะไม่คุ้นชินกับการตัดฉาก ลำดับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนทันใดอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ใช้ย่อหน้าใหม่และอักษรเริ่มต้นประโยคของย่อหน้านั้นที่เป็นสีซีดจางต่างจากบรรทัดถัดไป และดำเนินในลักษณะนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีการแบ่งเป็นบท หรือใส่เลขเพื่อบ่งบอกเมื่อขึ้นฉากหรือสถานการณ์ใหม่ ปล่อยให้คนอ่านได้ใช้สมองอย่างเต็มที่ ว่าอ๋อ..นี่จบเรื่องเหตุการณ์ก่อนหน้าไปแล้ว เริ่มต้นเข้าสู่ช่วงตอนใหม่อย่างปุบปับ อาศัยเพียงคำบรรยายไม่ถึงครึ่งหน้าเพื่อนำให้คิดตาม พอรู้ว่าอยู่ในช่วงเวลาไหน จากนั้นจึงเล่าเรื่องผ่านบทสนทนาของตัวละครหลักในเรื่องต่อไป

    ใช่ นี่คือหนังสือที่เดินหน้าด้วยการเน้นที่บทสนทนาของตัวละครหลักเพียงไม่กี่ตัว โดยมีการบรรยายความเพียงแค่เป็นส่วนประกอบฉาก ไม่มากแต่ทรงพลัง โดยเฉพาะการคั่นจังหวะของแต่ละช่วงตอนของการเล่าเรื่อง ด้วยบันทึกของพ่อที่เขียนให้กับลูกสาว เกี่ยวกับหนังสือเรื่องต่าง ๆ ที่ตนเห็นว่ามีความน่าสนใจ และดีพอที่จะแนะนำต่อให้ลูกไปตามอ่านนั้น เป็นอะไรที่แสนจะน่ารักและน่าประทับใจในคราวเดียว มันทำให้เราได้ประเมินตัวเองเหมือนกัน ว่าฉันคือนักอ่านที่แท้จริงแล้วหรือไม่ โดยดูจากชื่อหนังสือที่พ่อแนะนำให้ลูกอ่านนี้แหละ มีสักกี่เรื่องที่เคยผ่านตาผ่านมือเราแล้วบ้าง และอีกกี่เรื่องที่แค่เคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยอ่าน กี่เรื่องกันที่แม้แต่ชื่อเรื่องยังไม่เคยได้ยิน

    ตลอดทั้งเล่มนี้ นอกจากจะมีหน้าคั่นที่เป็นบันทึกของพ่อแนะนำหนังสือให้ลูกดังได้กล่าวไป ยังมีกล่าวถึงหนังสือหลากหลายประเภท หลายเรื่อง ผ่านบทสนทนากับตัวละครอื่นอยู่เป็นระยะ เรียกได้ว่าอ่านเล่มนี้เพียงเล่มเดียว เราจะได้เปิดโลกเหมือนเข้าไปในร้านหนังสือแห่งหนึ่งจริง ๆ นักอ่านบางคนอาจรู้สึกหงุดหงิดหรือไม่คุ้นเคยกับการเล่าเรื่องลักษณะนี้ ยิ่งไม่เคยรู้จักหรือได้ยินหนังสือที่ถูกเอ่ยถึงเลยในเล่ม คงยิ่งจะอ่านแล้วเหมือนขาดความเชื่อมโยง หรือเกิดความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครในเรื่องได้น้อย แต่เชื่อเถิด ต่อให้คุณไม่เคยได้ยิน ได้อ่าน เรื่องใดเลยที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้ แต่ถ้าได้อ่านไปเรื่อย ๆ จนจบเล่ม สุดท้ายคุณจะพบว่า นี่คือหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง และไม่เพียงแค่ดีเท่านั้น แต่ระหว่างทางหนังสือยังได้สร้างความสุขให้เกิดขึ้นกับเราไม่มากก็น้อย

    สำหรับผมนั้น แน่นอนว่าอ่านด้วยความรู้สึกยินดีมีสุขในทุกหน้า ไม่ว่าเรื่องราวในนั้นจะมีครบ ทั้งสนุกสนาน ได้อมยิ้ม ได้หัวเราะ หรืออาจเศร้าซึมเซาบ้างในบางช่วง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี เพราะนี่แหละคือชีวิต เราจะหวังให้ชีวิตพบเจอแต่สิ่งดีไปตลอดย่อมเป็นไปไม่ได้ ..จริงหรือไม่

    #หนังสือ
    #นิยายแปล
    #ร้านหนังสือ
    #คนรักการอ่าน
    #thaitimes
    #หนังสือน่าอ่าน
    #หลากเรื่องในชีวิตของชายที่รักหนังสือ อ่านจบแล้วต้องรีบระบายความในใจที่มีต่อหนังสือเล่มนี้ทันที ไม่อย่างนั้นคงจะอึดอัด ขอใช้ประโยคนี้ที่พิจารณาแล้วเห็นว่าซื่อตรงต่อตนเองมากที่สุดครับ "ผมหลงรักเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้" เดิมก็คาดการณ์ไว้ตอนตัดสินใจเลือกยืมมาจากห้องสมุด เล่มนี้ต้องดีแน่ คงจะมอบความอิ่มเอมให้เราพอสมควร เชื่ออย่างนั้นเพียงแค่ได้เห็นหน้าปก และชื่อที่ดึงความสนใจได้ชงัดนัก ประกอบกับบางส่วนที่เกริ่นไว้ด้านหลังปก เท่านี้ก็เหมือนเห็นแสงที่อบอุ่นขาวนวล สว่างออกมารอบ ๆ หนังสือ อาจจะเป็นคำบอกเล่าที่ดูเกินจริงไปหน่อย แต่รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เพราะส่วนตัวค่อนข้างจะเปราะบางกับอะไรก็ตามที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับร้านหนังสือและเจ้าของที่ค่อนข้างโดดเดี่ยว 📚 The Storied Life of A.j.Fikry หรือชื่อไทยว่า หลากเรื่องในชีวิตของชายที่รักหนังสือ (ชอบชื่อไทยมาก ตั้งได้ดีจริง) แพรวสำนักพิมพ์ ออกมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 ในขณะที่ต้นฉบับขายตั้งแต่ปี 2014 หนาเพียง 216 หน้า หลายคนคงเคยอ่านแล้ว แต่น่าจะมีอีกหลายคนที่มีอยู่ในมือแต่ยังไม่ได้อ่าน หวังว่าหลังจากอ่านสิ่งที่ผมเล่าจบแล้ว จะเกิดแรงขับมากพอทำให้คุณรู้สึกอยากหยิบขึ้นมาอ่านได้ โครงเรื่องจริง ๆ ก็ดังที่ชื่อไทยได้บอกไว้ ชัดเจนและสรุปเนื้อหาทั้งหมดในเล่มออกมาในประโยคเดียวได้อย่างสมบูรณ์ แต่เนื้อหาย่อยที่อยู่ในเล่มนี้สิ ที่แต่ละอย่างล้วนโดนใจทั้งนั้น สรุปเนื้อเรื่องคือ ชายวัยใกล้สี่สิบคนหนึ่งเป็นเจ้าของร้านหนังสือที่ตั้งอยู่บนเกาะอลิซ เป็นคนที่มีบุคลิกปิด ไม่ชอบสุงสิงใคร เพิ่งสูญเสียเมียอันเป็นที่รักไปไม่นานจากอุบัติเหตุ จึงจ่อมจมอยู่กับความเศร้าเฝ้าร้านที่ยอดขายก็ย่ำแย่ วันหนึ่งมีตัวแทนสาวสวยคนใหม่จาก สนพ.แห่งหนึ่ง เดินทางไกลมาเพื่อจะนำเสนอตัวอย่างหนังสือที่จะออกในช่วงฤดูหนาว และแนะนำเล่มที่น่าสนใจที่น่าจะสั่งมาวางขายในร้าน ให้กับเขาแทนคนเก่าที่เสียชีวิตไป ทว่าเขากลับพูดจาด้วยอย่างหยาบคาย กลายเป็นความทรงจำเลวร้ายต่อเธอที่เพิ่งเริ่มต้นงาน หลังจากวันนั้นไม่นาน คืนหนึ่งเขาดื่มหนักมากและฟุบหลับไป เมื่อรู้สึกตัวอีกที ต้องตกใจเพราะของมีค่ามหาศาลชิ้นหนึ่งหายไปจากร้านของเขา จึงไปแจ้งความกับตำรวจหนุ่มใหญ่คนหนึ่งให้ช่วยตามหา เพราะเขากะว่าอีกไม่นานจะขายสมบัติชิ้นนั้นเพื่อนำเงินก้อนมาใช้ หลังจากปิดร้านหนังสือ แต่ตำรวจหาไม่พบ ขณะที่กำลังประสบเคราะห์ร้ายอย่างถึงที่สุด ปรากฏว่ามีสถานการณ์ใหม่ที่ไม่น่าเชื่อบังเกิดขึ้นกับเขาตามมาติด ๆ และการตัดสินใจต่อกรณีนี้ ได้นำพาให้ชีวิตของเขารวมถึงร้านหนังสือที่รักประสบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่จะทำให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ตัวละครทุกตัวในเรื่องต่างมีอัตลักษณ์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะตัวละครหญิง ไม่ว่าจะรุ่นเล็ก หรือรุ่นใหญ่ ล้วนแต่มีเสน่ห์ น่าหลงใหล ผู้เขียนช่างสร้างบุคลิก อุปนิสัย และปูมหลังของแต่ละคนได้อย่างยอดเยี่ยม ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งตกหลุมรัก คอยลุ้นเอาใจช่วยไปกับตัวละครแต่ละตัวให้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากไปให้ได้ ยามถึงฉากที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของตัวละครเด่น ก็พลอยตื่นเต้นและอยากให้ทั้งสองฝ่ายต่างสมหวัง บางฉากก็ได้ยิ้งแก้มปริ บางฉากก็ขำ บางฉากก็ซึมเซา เศร้าและเสียดาย สุดท้ายฉากชีวิตของหนุ่มใหญ่เจ้าของร้านหนังสือจะลงเอยอย่างไร ลองไปตามอ่านกันให้ได้นะ สำนวนการเขียนของนักเขียนช่างกระชับ จับใจ ในหน้ากระดาษจำกัดเพียง 216 หน้านี้ แทบจะบอกได้ว่าไม่มีเรื่องราวหรือเหตุการณ์ไหน ตัวละครใดที่ถูกใส่เข้ามาอย่างเสียของ ไร้ความหมาย เพียงเป็นตัวประกอบไร้ค่าที่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เพราะแม้จะเพียงแค่ปรากฏมาไม่กี่หน้า แต่ก็มีหน้าที่เฉพาะซึ่งสำคัญต่อการเดินเรื่อง อ่านไปช่วงแรกอาจยังไม่รู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ แต่ยิ่งจำนวนหน้าฝั่งซ้ายเริ่มมากขึ้นจนแซงฝั่งขวา ก็เห็นถึงการวางแผนมาแล้วอย่างดีและใส่ใจในรายละเอียดอย่างมาก สิ่งที่ถูกเริ่มไว้ในตอนต้น ในหลายประเด็น และคาใจให้คนอ่านเหมือนมีอะไรติดค้างอยู่ หากไม่รู้หรือไม่ยอมเฉลยในตอนจบคงต้องนอนไม่หลับแน่ ก็ปรากฏว่านักเขียนได้เปิดจนหมดเปลือก ทว่าใช้วิธีเผยความจริงได้อย่างชาญฉลาด และน่าทึ่ง ช่วงต้นอาจจะยังจับทางไม่ถูกก็จะไม่คุ้นชินกับการตัดฉาก ลำดับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนทันใดอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ใช้ย่อหน้าใหม่และอักษรเริ่มต้นประโยคของย่อหน้านั้นที่เป็นสีซีดจางต่างจากบรรทัดถัดไป และดำเนินในลักษณะนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีการแบ่งเป็นบท หรือใส่เลขเพื่อบ่งบอกเมื่อขึ้นฉากหรือสถานการณ์ใหม่ ปล่อยให้คนอ่านได้ใช้สมองอย่างเต็มที่ ว่าอ๋อ..นี่จบเรื่องเหตุการณ์ก่อนหน้าไปแล้ว เริ่มต้นเข้าสู่ช่วงตอนใหม่อย่างปุบปับ อาศัยเพียงคำบรรยายไม่ถึงครึ่งหน้าเพื่อนำให้คิดตาม พอรู้ว่าอยู่ในช่วงเวลาไหน จากนั้นจึงเล่าเรื่องผ่านบทสนทนาของตัวละครหลักในเรื่องต่อไป ใช่ นี่คือหนังสือที่เดินหน้าด้วยการเน้นที่บทสนทนาของตัวละครหลักเพียงไม่กี่ตัว โดยมีการบรรยายความเพียงแค่เป็นส่วนประกอบฉาก ไม่มากแต่ทรงพลัง โดยเฉพาะการคั่นจังหวะของแต่ละช่วงตอนของการเล่าเรื่อง ด้วยบันทึกของพ่อที่เขียนให้กับลูกสาว เกี่ยวกับหนังสือเรื่องต่าง ๆ ที่ตนเห็นว่ามีความน่าสนใจ และดีพอที่จะแนะนำต่อให้ลูกไปตามอ่านนั้น เป็นอะไรที่แสนจะน่ารักและน่าประทับใจในคราวเดียว มันทำให้เราได้ประเมินตัวเองเหมือนกัน ว่าฉันคือนักอ่านที่แท้จริงแล้วหรือไม่ โดยดูจากชื่อหนังสือที่พ่อแนะนำให้ลูกอ่านนี้แหละ มีสักกี่เรื่องที่เคยผ่านตาผ่านมือเราแล้วบ้าง และอีกกี่เรื่องที่แค่เคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยอ่าน กี่เรื่องกันที่แม้แต่ชื่อเรื่องยังไม่เคยได้ยิน ตลอดทั้งเล่มนี้ นอกจากจะมีหน้าคั่นที่เป็นบันทึกของพ่อแนะนำหนังสือให้ลูกดังได้กล่าวไป ยังมีกล่าวถึงหนังสือหลากหลายประเภท หลายเรื่อง ผ่านบทสนทนากับตัวละครอื่นอยู่เป็นระยะ เรียกได้ว่าอ่านเล่มนี้เพียงเล่มเดียว เราจะได้เปิดโลกเหมือนเข้าไปในร้านหนังสือแห่งหนึ่งจริง ๆ นักอ่านบางคนอาจรู้สึกหงุดหงิดหรือไม่คุ้นเคยกับการเล่าเรื่องลักษณะนี้ ยิ่งไม่เคยรู้จักหรือได้ยินหนังสือที่ถูกเอ่ยถึงเลยในเล่ม คงยิ่งจะอ่านแล้วเหมือนขาดความเชื่อมโยง หรือเกิดความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครในเรื่องได้น้อย แต่เชื่อเถิด ต่อให้คุณไม่เคยได้ยิน ได้อ่าน เรื่องใดเลยที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้ แต่ถ้าได้อ่านไปเรื่อย ๆ จนจบเล่ม สุดท้ายคุณจะพบว่า นี่คือหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง และไม่เพียงแค่ดีเท่านั้น แต่ระหว่างทางหนังสือยังได้สร้างความสุขให้เกิดขึ้นกับเราไม่มากก็น้อย สำหรับผมนั้น แน่นอนว่าอ่านด้วยความรู้สึกยินดีมีสุขในทุกหน้า ไม่ว่าเรื่องราวในนั้นจะมีครบ ทั้งสนุกสนาน ได้อมยิ้ม ได้หัวเราะ หรืออาจเศร้าซึมเซาบ้างในบางช่วง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี เพราะนี่แหละคือชีวิต เราจะหวังให้ชีวิตพบเจอแต่สิ่งดีไปตลอดย่อมเป็นไปไม่ได้ ..จริงหรือไม่ #หนังสือ #นิยายแปล #ร้านหนังสือ #คนรักการอ่าน #thaitimes #หนังสือน่าอ่าน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2615 มุมมอง 0 รีวิว