• Bitcoin ทะยานแตะ $95,000! จ่อทุบสถิติ $100,000 📌หลัง BlackRock เปิดซื้อขายออปชัน ขณะทองคำพุ่ง $2,650 รับบทสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางตลาดผันผวน
    👉ตลาดสินทรัพย์ผันผวนหนักเมื่อวานนี้ 20 พ.ย.67 แต่ บิตคอยน์ทำสถิติใหม่ที่ 95,000 ดอลลาร์ ก่อนปรับฐานมาที่ 94,424 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2.26% ได้แรงหนุนจากการเปิดซื้อขายออปชันของกองทุน IBIT จาก BlackRock มูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมข่าว MicroStrategy เพิ่มการลงทุนและข่าวลือการเจรจากับ Microsoft
    👉ขณะที่ตลาดรับข่าวดีจากความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะแต่งตั้งผู้สนับสนุนคริปโตเป็นประธาน ก.ล.ต. ด้านนักวิเคราะห์คาดราคาอาจพุ่งถึง 120,000 ดอลลาร์ในไม่กี่เดือน ส่วนทองคำปรับตัวขึ้น 0.71% แตะ 2,649.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ #imctnews รายงาน
    Bitcoin ทะยานแตะ $95,000! จ่อทุบสถิติ $100,000 📌หลัง BlackRock เปิดซื้อขายออปชัน ขณะทองคำพุ่ง $2,650 รับบทสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางตลาดผันผวน 👉ตลาดสินทรัพย์ผันผวนหนักเมื่อวานนี้ 20 พ.ย.67 แต่ บิตคอยน์ทำสถิติใหม่ที่ 95,000 ดอลลาร์ ก่อนปรับฐานมาที่ 94,424 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2.26% ได้แรงหนุนจากการเปิดซื้อขายออปชันของกองทุน IBIT จาก BlackRock มูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมข่าว MicroStrategy เพิ่มการลงทุนและข่าวลือการเจรจากับ Microsoft 👉ขณะที่ตลาดรับข่าวดีจากความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะแต่งตั้งผู้สนับสนุนคริปโตเป็นประธาน ก.ล.ต. ด้านนักวิเคราะห์คาดราคาอาจพุ่งถึง 120,000 ดอลลาร์ในไม่กี่เดือน ส่วนทองคำปรับตัวขึ้น 0.71% แตะ 2,649.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ #imctnews รายงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายอำเภอเกาะพะงัน ผนึกกำลัง ตร.ทุกหน่วย สร้างความเชื่อมันนักท่องเที่ยว หลังมีข่าวลือขู่ทำร้าน นทท.อิสราเอล สุดท้ายโอละพ่อ เป็นเรื่องของนักท่องเที่ยว เขม่นกัน และเป็นการสร้างข่าวเท็จ วอนหยุดการกระทำ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000109394

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    นายอำเภอเกาะพะงัน ผนึกกำลัง ตร.ทุกหน่วย สร้างความเชื่อมันนักท่องเที่ยว หลังมีข่าวลือขู่ทำร้าน นทท.อิสราเอล สุดท้ายโอละพ่อ เป็นเรื่องของนักท่องเที่ยว เขม่นกัน และเป็นการสร้างข่าวเท็จ วอนหยุดการกระทำ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000109394 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    Angry
    24
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1898 มุมมอง 1 รีวิว
  • เรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์เป็นตอนหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ถูกทำเป็น 'วัฒนธรรมป๊อป' มากที่สุดตอนหนึ่ง มีทั้งนิยาย ภาพยนต์ และล่าสุดคือละครหรือซีรีส์

    อาจเป็นเพราะเรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์ให้อารมณ์หวาบหวิวจากการแอบลอบคบชู้กับพันบุตรศรีเทพ (ขุนวรวงศาธิราช) ทำให้มีการขยายความตอนนี้เป็นพิเศษ ทั้งๆ ประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้บอกอะไรมากนักเรื่องนี้เพียง

    ในเวลาต่อมาคอนเทนท์บันเทิงบางยุคเริ่มมีการใช้คำว่า 'แม่หยัว' เรียกท้าวศรีสุดาจันทร์ ทำให้คนเข้าใจผิดไม่น้อยว่า 'แม่หยัว' น่าจะหมายถึงอาการยั่วยวนเรื่องกามราคะ แต่ความจริง 'แม่หยัว' หมายถึง 'แม่อยู่หัว' ที่หมายถึงมเหสีของพระเจ้าแผ่นดิน

    คำว่าแม่อยู่หัวนั้นในบันทึกโบราณเรียกเพี้ยนเป็น แม่อยัว แม่หญัว แม่อยั่ว ฯลฯ แต่พอตอนนี้ของประวัติศาสตร์ถูกวัฒนธรรมป๊อปปั้นภาพลักษณ์ยั่วยวนของท้าวศรีสุดาจันทร์ขึ้นมา ทำให้คนเข้าใจคำว่า 'แม่หยัว' ผิดไป

    แต่นั้นมาคำว่า 'แม่หยัว' ก็กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์ เพียงแต่มันเกิดจากภาพจำผิดๆ ที่ 'นิยายอิงประวัติศาสตร์' สร้างขึ้นมา

    ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์นั้นมีเนื้อหาไม่มากนักในทางประวัติศาสตร์ ดังนั้นถ้าจะทำเป็นคอนเทนต์บันเทิง จึงหลีกกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง "มโนเอาเอง" กันบ้าง เรื่องนี้เกิดขึ้นกับการสร้างคอนเทนต์บันเทิงกับบุคคลทางประวัติศาสตร์บางคนด้วย

    ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เพื่อจะเท้าความ 'กรณีพิพาท' ระหว่างที่คนคิดว่าการทำละครอิงประวัติศาสตร์แบบเรื่อง 'แม่หยัว' ไม่เห็นจะต้องทำให้ตรงประวัติศาสตร์เป๊ะๆ กับฝ่ายที่ย้ำว่าไม่ควรที่จะมโนกันเกินไป

    ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการทำ Historical fiction เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนถกเถียงกันมาโดยตลอดว่า มันมี "ความถูกต้องตามประวัติศาสตร์" (Historically Accurate) แค่ไหน? เพราะนิยายอิงประวัติศาสตร์จะต้องอาศัยการมโนในสัดส่วนที่มากพอสมควร เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ผู้เสพ

    ในกรณีของแม่หยัว อย่าไปถามเรื่อง "ความถูกต้องตามประวัติศาสตร์" เพราะเนื้อหาในประวัติศาสตร์มีนิดเดียว ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้จินตนาการได้มากมาย

    แต่การมโนก็ต้องดูสภาพแวดล้อมของทางประวัติศาสตร์ด้วย ไม่อย่างนั้นมันจะไม่เนียน เช่น ท้างศรีสุดาจันทร์เป็นเหตุการณ์สมัยอยุธยาตอนกลาง แต่ถ้าไปจับแม่อยู่หัวไปสวมมงกุฏสมัยละโว้มันก็หาได้เนียนไม่ เพราะเมื่อถึงยุค 'แม่หยัว' เขาเลิกใส่เครื่องหัวแบบนั้นกันแล้ว แล้วยังมีกฎมณเฑียรบาลที่ตราไว้ในสมัยอยุธยาตอนนั้นระบุการแต่งกายของแม่อยู่หัวเอาไว้แล้ว และยังมีภาพเขียนในสมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา (ที่ผมเชื่อว่าคัดมาจากต้นฉบับสมัยอยุธยาตอนต้น) ชี้ทางเอาไว้แล้วว่าสตรีชั้นสูงยุคนั้นแต่งตัวอย่างไร

    ความไม่เนียนแบบนี้เองที่จะทำให้ Historical fiction กลายเป็น Historical fantasy ซึ่งมีความเป็นประวัติศาสตร์อย่างเดียวคือฉากย้อนยุค ส่วนเรื่องอื่นๆ มโนตามใจฉัน

    แต่ในเมืองไทยเรื่องความเนียนไม่เนียนทางประวัติศาสตร์ยังไม่เรื่องใหญ่ระดับชาติ เพราะประวัติศาสร์บ้านเรากระท่อนกระแท่นและคนไทยแคร์ประวัติศาสตร์มากเท่ากับคนในประเทศเอเชียตะวันออก เช่น จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ประเทศพวกนี้นอกจากต้องทำละครให้เนียนแบบ Historically Accurate แล้ว ยังต้องทำให้ถูกต้องในแบบ Politically correct ด้วย

    ผมจะยกตัวอย่างการสังเกตส่วนตัวจากกรณีของเกาหลีใต้ที่สร้างซีรีส์ย้อนยุคอยู่บ่อยๆ และมักเกิดกรณี "ซีรีส์เรื่องนี้บิดเบือนประวัติศาสตร์"

    ตัวอย่างเช่นซีรีส์เรื่อง Queen Seondeok ในปี 2009 ซึ่งสร้างจากยุคที่บันทึกประวัติศาสตร์ไม่ละเอียดมากนัก แต่สามารถยืดออกได้มากถึง 62 ตอน ในแง่ของความถูกต้องทางประวัติศาสตร์มีน้อย แถมคอสตูมยังไม่ถูกต้อง เรื่องนี้ถูกตำหนิในเกาหลีว่า "มโนประวัติศาสตร์" มากเกินไป และยังอ้างบันทึกประวัติศาสตร์ที่ถูกกล่าวหาว่าถูกปลอมขึ้นมา

    Queen Seondeok ถูกผู้มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ตำหนิอย่างมาก เพราะแม้ว่าบันทึกสมัยชิลลาจะมีไม่มาก แต่มันก็เป็นบันทึกที่เที่ยงแท้ในทางประวัติศาสร์ การจะบิดเบือนความสัมพันธ์ของ 'ตัวละคร' หรือพฤติกรรมที่ถูกบันทึกไว้จริงๆ จึงไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้น ความจริงแล้ว Queen Seondeok ควรจะเดินตามเส้นตรงของประวัติศาสตร์ เพราะโอกาสที่จะออกนอกประวัติศาสตร์มีแต่บทสนทนาเท่านั้น

    โปรดสังเกตว่าเรื่องนี้สร้างก่อนยุคโซเชียลจะแพร่หลาย

    พอโซเชียลมีเดียทรงพลังขึ้นมา การโจมตีซีรีส์อิงประวัติศาสตร์เริ่มจะสะเปะสะปะขึ้นทุกวัน เพราะแทนที่จะโจมตีความถูกต้อง กลับไปโจมตีเรื่องการเมือง

    ตัวอย่างเช่น Joseon Exorcist เมื่อปี 2021 ที่ฉายได้แค่ 2 ตอนก็แท้งซะก่อน เพราะถูกตำหนิว่าใช้ฉากประกอบที่อ้างว่าไม่ตรงกับความจริงทางประวัติศาสตร์ เช่น ใช้ อุปกรณ์ของจีนในเกาหลีโบราณ

    ในปี 2022 เกิดกรณี Under the Queen's Umbrella ถูกตำหนิว่า บิดเบือนประวัติศาสตร์ เพราะใช้ตัวอักษรจีนแบบตัวย่อ (ที่เพิ่งประดิษฐ์ขึ้นในยุคสมัยใหม่ ส่วนเกาหลีใช้อักษรจีนตัวเต็ม)

    ในปี 2024 มีกรณี Queen Woo ถูกตำหนิว่าเครื่องแต่งกายของตัวละครมีความเป็นจีนมากเกินไป ไม่น่าจะสอดคล้องกับคนเกาหลีในยุคโคกูรยอ (ทั้งที่โคกูรยอก็รับวัฒนธรรมจากจีน)

    กรณีเหล่านี้มีอะไรเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ 'กระแสต่อต้านจีน' ในเกาหลีใต้ ทั้งๆ ที่เกาหลีเป็นเขตอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนมาแต่โบราณ แค่เรื่องนี้เป็น 'อคติ' ของผู้ชมเกาหลีใต้เองที่เกลียด เหยียด และกลัวจีนมากขึ้น

    แต่ในแง่เนื้อหาทางประวัติศาสตร์ กรณีพวกนี้เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ เกิดขึ้นในยุคโชซอน ซึ่งมีการบันทึกประวัติศาสตร์ทางการอย่างละเอียด กระทั่งบันทึกไว้ว่ากษัตริย์ตรัสถ้อยคำไว้อย่างไร

    ในยุคสมัยที่บันทึกละเอียดแบบนี้การมโนจึงทำไม่ได้ เพราะไม่มีพื้นที่ว่างให้จินตนาการได้อีก ตรงกันข้ามกับเรื่อง Queen Woo ซึ่งเกิดในยุคโคกูรยอ ซึ่งมีประวัติศาสตร์บันทึกกระท่อนกระแท่นเหมือนประวัติศาสตร์ไทย ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้มโนได้มากตามใจปรารถนา

    แต่ถึงจะมโนได้มาก แต่อารมณ์ชาตินิยมที่รุนแรงในเกาหลีใต้ไม่อนุญาตให้มโนได้ตามใจชอบอีก ไม่ใช่เพราะผู้สร้างบิดเบือนประวัติศาสตร์ แต่ทำงานออกมาไม่ถูกใจพวกชาตินิยมสุดโต่งต่างหาก

    ดังนั้น ในโลกของนิยายอิงประวัติศาสตร์ จึงไม่มีคำว่าถูกต้องเป๊ะๆ ยิ่งในปัจจุบันมีแต่คำว่า "ถูกใจคนดูหรือไม่" โดยที่ความถูกใจของคนดูไม่ใช่ถูกใจเพราะดาราแสดงดี หรือเครื่องแต่งกายสวย แต่ยังต้องคล้องจองกับ 'วาระทางการเมือง' ของคนดูด้วย

    ยกตัวอย่างจีน ซึ่งบางคนยังเชื่อว่าจีนทำซีรีส์พีเรียดมากมายเพราะอนุญาตให้มโนได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด

    สังคมจีนและสถาบันรัฐจีน (ที่ชาตินิยมขึ้นทุกวัน) ไม่ได้อนุญาตให้มโนประวัติศาสตร์ได้ สิ่งที่คนไทยเห็นว่าจีนจินตนาการประวัติศาสตร์นั้น คือ สิ่งที่เรียกว่า Historical fantasy คือใช้ฉากย้อนยุคที่กำกวม ใช้คอสตูมที่อาจจะอยู่ในยุคที่คาดเดาได้ แต่ไม่มีเหตุการณ์นั้นจริงๆ เช่นเรื่อง Nirvana In Fire เมื่อปี 2015 ที่ทำให้เชื่อว่าอยู่ในยุคหนานเป่ยเฉา แต่เอาจริงๆ มันไม่มีสถานการณ์จริงและตัวบุคคลจริงอยู่เลย

    หากมีซีรีส์ที่ทำเนื้อหาจริงๆ ทางประวัติศาสตร์ หากเลินเล่อเกินไปก็จะถูกโจมตีอย่างหนัก เช่น Legend of Miyue ที่อิงประวัติศาสตร์ยุคจ้านกั๋ว แต่ถูกวิจารณ์เรื่องข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เรื่องนี้มีความเห็นที่น่าสนใจจาก หลีเสี่ยวเหว่ย บรรณาธิการบริหารของ "จงกั๋วชิงเหนียนหว่าง" (中国青年网) ของทางการจีน ตอนที่ซีรีส์เรื่องนี้ถูกตำหนิ เขากล่าวว่า

    "จักรพรรดินีองค์แรกของจีนในเรื่อง "Legend of Miyue" ซีรีส์ทางทีวีใช้ตัวละครและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง แต่ไม่ได้ติดตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์พื้นฐาน และถึงกับแต่งเรื่องขึ้นมาด้วยซ้ำ ปรากฏการณ์นี้ช่างน่าเป็นห่วง ประการแรก มันจะนำพาผู้คนให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และก่อให้เกิดข่าวลือ ประการที่สอง นี่คือทิศทางที่ผิดปกติของการพัฒนาละครประวัติศาสตร์ ซึ่งจะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของละครประวัติศาสตร์ในที่สุด"

    ในเรื่องนี้ทางเกาหลีก็เห็นด้วยกับจีน

    จากกรณีของ Queen Seondeok อีจองโฮ ผู้สื่อข่าวของ "ยอนเซ ชุนชู" (연세춘추) สื่อของมหาวิทยาลัยยอนเซ ถึงกับบอกว่า "Queen Seondeok คือเรื่องโกหก" และได้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งชี้แนะว่า"ตามที่ศาสตราจารย์ ชาฮเยวอน (ภาควิชาศิลปศาสตร์ ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงของจีน) กล่าวไว้ ละครประวัติศาสตร์จีนมักจะมีความเที่ยงตรงต่อข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งแตกต่างจากละครประวัติศาสตร์เกาหลี ความจริงของละครประวัติศาสตร์เกาหลีคือความจริงทางประวัติศาสตร์ถูกละเลยเพื่อความบันเทิงและเรตติ้งผู้ชม เพื่อแก้ปัญหานี้ จำเป็นต้องมีการไตร่ตรองภายในอุตสาหกรรมการออกอากาศ"

    แม้ว่าประเทศไทยจะมีประวัติศาสตร์ที่เบาบางต่างจากจีนและเกาหลี แต่เราสามารถใช้มาตรฐานแบบนี้ได้เหมือนกัน สิ่งที่ต้องเป๊ะคือแกนหลักในประวัติศาสตร์ อย่าตีความมากเกินไปเพราะต้องเคารพ "ผู้ที่ตายไปแล้วซึ่งไม่มีโอกาสร้องอุทรณ์แก้ต่างให้ตัวเอง" ด้วย ส่วนสิ่งที่จินตนาการได้ก็ควรทำให้ตรงกับบริบทแวดล้อมของยุคนั้น

    หากทำเอาสนุกอย่างเดียว ก็ "จะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของละครประวัติศาสตร์ในที่สุด"

    บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
    ภาพโปสเตอร์โปรโมทซีรีส์เรื่อง แม่หยัว และ Queen Seondeok

    ที่มา https://www.thebetter.co.th/news/world/23351?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR3w6ch-KVjjFiWzTmp8gh2-HSMqAh7UX0lxC3jm2_5RD0J97vIDxYCrljo_aem_wMoYw4S-NqnmnAfELQfeSA

    #Thaitimes
    เรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์เป็นตอนหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ถูกทำเป็น 'วัฒนธรรมป๊อป' มากที่สุดตอนหนึ่ง มีทั้งนิยาย ภาพยนต์ และล่าสุดคือละครหรือซีรีส์ อาจเป็นเพราะเรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์ให้อารมณ์หวาบหวิวจากการแอบลอบคบชู้กับพันบุตรศรีเทพ (ขุนวรวงศาธิราช) ทำให้มีการขยายความตอนนี้เป็นพิเศษ ทั้งๆ ประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้บอกอะไรมากนักเรื่องนี้เพียง ในเวลาต่อมาคอนเทนท์บันเทิงบางยุคเริ่มมีการใช้คำว่า 'แม่หยัว' เรียกท้าวศรีสุดาจันทร์ ทำให้คนเข้าใจผิดไม่น้อยว่า 'แม่หยัว' น่าจะหมายถึงอาการยั่วยวนเรื่องกามราคะ แต่ความจริง 'แม่หยัว' หมายถึง 'แม่อยู่หัว' ที่หมายถึงมเหสีของพระเจ้าแผ่นดิน คำว่าแม่อยู่หัวนั้นในบันทึกโบราณเรียกเพี้ยนเป็น แม่อยัว แม่หญัว แม่อยั่ว ฯลฯ แต่พอตอนนี้ของประวัติศาสตร์ถูกวัฒนธรรมป๊อปปั้นภาพลักษณ์ยั่วยวนของท้าวศรีสุดาจันทร์ขึ้นมา ทำให้คนเข้าใจคำว่า 'แม่หยัว' ผิดไป แต่นั้นมาคำว่า 'แม่หยัว' ก็กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์ เพียงแต่มันเกิดจากภาพจำผิดๆ ที่ 'นิยายอิงประวัติศาสตร์' สร้างขึ้นมา ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์นั้นมีเนื้อหาไม่มากนักในทางประวัติศาสตร์ ดังนั้นถ้าจะทำเป็นคอนเทนต์บันเทิง จึงหลีกกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง "มโนเอาเอง" กันบ้าง เรื่องนี้เกิดขึ้นกับการสร้างคอนเทนต์บันเทิงกับบุคคลทางประวัติศาสตร์บางคนด้วย ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เพื่อจะเท้าความ 'กรณีพิพาท' ระหว่างที่คนคิดว่าการทำละครอิงประวัติศาสตร์แบบเรื่อง 'แม่หยัว' ไม่เห็นจะต้องทำให้ตรงประวัติศาสตร์เป๊ะๆ กับฝ่ายที่ย้ำว่าไม่ควรที่จะมโนกันเกินไป ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการทำ Historical fiction เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนถกเถียงกันมาโดยตลอดว่า มันมี "ความถูกต้องตามประวัติศาสตร์" (Historically Accurate) แค่ไหน? เพราะนิยายอิงประวัติศาสตร์จะต้องอาศัยการมโนในสัดส่วนที่มากพอสมควร เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ผู้เสพ ในกรณีของแม่หยัว อย่าไปถามเรื่อง "ความถูกต้องตามประวัติศาสตร์" เพราะเนื้อหาในประวัติศาสตร์มีนิดเดียว ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้จินตนาการได้มากมาย แต่การมโนก็ต้องดูสภาพแวดล้อมของทางประวัติศาสตร์ด้วย ไม่อย่างนั้นมันจะไม่เนียน เช่น ท้างศรีสุดาจันทร์เป็นเหตุการณ์สมัยอยุธยาตอนกลาง แต่ถ้าไปจับแม่อยู่หัวไปสวมมงกุฏสมัยละโว้มันก็หาได้เนียนไม่ เพราะเมื่อถึงยุค 'แม่หยัว' เขาเลิกใส่เครื่องหัวแบบนั้นกันแล้ว แล้วยังมีกฎมณเฑียรบาลที่ตราไว้ในสมัยอยุธยาตอนนั้นระบุการแต่งกายของแม่อยู่หัวเอาไว้แล้ว และยังมีภาพเขียนในสมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา (ที่ผมเชื่อว่าคัดมาจากต้นฉบับสมัยอยุธยาตอนต้น) ชี้ทางเอาไว้แล้วว่าสตรีชั้นสูงยุคนั้นแต่งตัวอย่างไร ความไม่เนียนแบบนี้เองที่จะทำให้ Historical fiction กลายเป็น Historical fantasy ซึ่งมีความเป็นประวัติศาสตร์อย่างเดียวคือฉากย้อนยุค ส่วนเรื่องอื่นๆ มโนตามใจฉัน แต่ในเมืองไทยเรื่องความเนียนไม่เนียนทางประวัติศาสตร์ยังไม่เรื่องใหญ่ระดับชาติ เพราะประวัติศาสร์บ้านเรากระท่อนกระแท่นและคนไทยแคร์ประวัติศาสตร์มากเท่ากับคนในประเทศเอเชียตะวันออก เช่น จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ประเทศพวกนี้นอกจากต้องทำละครให้เนียนแบบ Historically Accurate แล้ว ยังต้องทำให้ถูกต้องในแบบ Politically correct ด้วย ผมจะยกตัวอย่างการสังเกตส่วนตัวจากกรณีของเกาหลีใต้ที่สร้างซีรีส์ย้อนยุคอยู่บ่อยๆ และมักเกิดกรณี "ซีรีส์เรื่องนี้บิดเบือนประวัติศาสตร์" ตัวอย่างเช่นซีรีส์เรื่อง Queen Seondeok ในปี 2009 ซึ่งสร้างจากยุคที่บันทึกประวัติศาสตร์ไม่ละเอียดมากนัก แต่สามารถยืดออกได้มากถึง 62 ตอน ในแง่ของความถูกต้องทางประวัติศาสตร์มีน้อย แถมคอสตูมยังไม่ถูกต้อง เรื่องนี้ถูกตำหนิในเกาหลีว่า "มโนประวัติศาสตร์" มากเกินไป และยังอ้างบันทึกประวัติศาสตร์ที่ถูกกล่าวหาว่าถูกปลอมขึ้นมา Queen Seondeok ถูกผู้มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ตำหนิอย่างมาก เพราะแม้ว่าบันทึกสมัยชิลลาจะมีไม่มาก แต่มันก็เป็นบันทึกที่เที่ยงแท้ในทางประวัติศาสร์ การจะบิดเบือนความสัมพันธ์ของ 'ตัวละคร' หรือพฤติกรรมที่ถูกบันทึกไว้จริงๆ จึงไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้น ความจริงแล้ว Queen Seondeok ควรจะเดินตามเส้นตรงของประวัติศาสตร์ เพราะโอกาสที่จะออกนอกประวัติศาสตร์มีแต่บทสนทนาเท่านั้น โปรดสังเกตว่าเรื่องนี้สร้างก่อนยุคโซเชียลจะแพร่หลาย พอโซเชียลมีเดียทรงพลังขึ้นมา การโจมตีซีรีส์อิงประวัติศาสตร์เริ่มจะสะเปะสะปะขึ้นทุกวัน เพราะแทนที่จะโจมตีความถูกต้อง กลับไปโจมตีเรื่องการเมือง ตัวอย่างเช่น Joseon Exorcist เมื่อปี 2021 ที่ฉายได้แค่ 2 ตอนก็แท้งซะก่อน เพราะถูกตำหนิว่าใช้ฉากประกอบที่อ้างว่าไม่ตรงกับความจริงทางประวัติศาสตร์ เช่น ใช้ อุปกรณ์ของจีนในเกาหลีโบราณ ในปี 2022 เกิดกรณี Under the Queen's Umbrella ถูกตำหนิว่า บิดเบือนประวัติศาสตร์ เพราะใช้ตัวอักษรจีนแบบตัวย่อ (ที่เพิ่งประดิษฐ์ขึ้นในยุคสมัยใหม่ ส่วนเกาหลีใช้อักษรจีนตัวเต็ม) ในปี 2024 มีกรณี Queen Woo ถูกตำหนิว่าเครื่องแต่งกายของตัวละครมีความเป็นจีนมากเกินไป ไม่น่าจะสอดคล้องกับคนเกาหลีในยุคโคกูรยอ (ทั้งที่โคกูรยอก็รับวัฒนธรรมจากจีน) กรณีเหล่านี้มีอะไรเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ 'กระแสต่อต้านจีน' ในเกาหลีใต้ ทั้งๆ ที่เกาหลีเป็นเขตอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนมาแต่โบราณ แค่เรื่องนี้เป็น 'อคติ' ของผู้ชมเกาหลีใต้เองที่เกลียด เหยียด และกลัวจีนมากขึ้น แต่ในแง่เนื้อหาทางประวัติศาสตร์ กรณีพวกนี้เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ เกิดขึ้นในยุคโชซอน ซึ่งมีการบันทึกประวัติศาสตร์ทางการอย่างละเอียด กระทั่งบันทึกไว้ว่ากษัตริย์ตรัสถ้อยคำไว้อย่างไร ในยุคสมัยที่บันทึกละเอียดแบบนี้การมโนจึงทำไม่ได้ เพราะไม่มีพื้นที่ว่างให้จินตนาการได้อีก ตรงกันข้ามกับเรื่อง Queen Woo ซึ่งเกิดในยุคโคกูรยอ ซึ่งมีประวัติศาสตร์บันทึกกระท่อนกระแท่นเหมือนประวัติศาสตร์ไทย ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้มโนได้มากตามใจปรารถนา แต่ถึงจะมโนได้มาก แต่อารมณ์ชาตินิยมที่รุนแรงในเกาหลีใต้ไม่อนุญาตให้มโนได้ตามใจชอบอีก ไม่ใช่เพราะผู้สร้างบิดเบือนประวัติศาสตร์ แต่ทำงานออกมาไม่ถูกใจพวกชาตินิยมสุดโต่งต่างหาก ดังนั้น ในโลกของนิยายอิงประวัติศาสตร์ จึงไม่มีคำว่าถูกต้องเป๊ะๆ ยิ่งในปัจจุบันมีแต่คำว่า "ถูกใจคนดูหรือไม่" โดยที่ความถูกใจของคนดูไม่ใช่ถูกใจเพราะดาราแสดงดี หรือเครื่องแต่งกายสวย แต่ยังต้องคล้องจองกับ 'วาระทางการเมือง' ของคนดูด้วย ยกตัวอย่างจีน ซึ่งบางคนยังเชื่อว่าจีนทำซีรีส์พีเรียดมากมายเพราะอนุญาตให้มโนได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด สังคมจีนและสถาบันรัฐจีน (ที่ชาตินิยมขึ้นทุกวัน) ไม่ได้อนุญาตให้มโนประวัติศาสตร์ได้ สิ่งที่คนไทยเห็นว่าจีนจินตนาการประวัติศาสตร์นั้น คือ สิ่งที่เรียกว่า Historical fantasy คือใช้ฉากย้อนยุคที่กำกวม ใช้คอสตูมที่อาจจะอยู่ในยุคที่คาดเดาได้ แต่ไม่มีเหตุการณ์นั้นจริงๆ เช่นเรื่อง Nirvana In Fire เมื่อปี 2015 ที่ทำให้เชื่อว่าอยู่ในยุคหนานเป่ยเฉา แต่เอาจริงๆ มันไม่มีสถานการณ์จริงและตัวบุคคลจริงอยู่เลย หากมีซีรีส์ที่ทำเนื้อหาจริงๆ ทางประวัติศาสตร์ หากเลินเล่อเกินไปก็จะถูกโจมตีอย่างหนัก เช่น Legend of Miyue ที่อิงประวัติศาสตร์ยุคจ้านกั๋ว แต่ถูกวิจารณ์เรื่องข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เรื่องนี้มีความเห็นที่น่าสนใจจาก หลีเสี่ยวเหว่ย บรรณาธิการบริหารของ "จงกั๋วชิงเหนียนหว่าง" (中国青年网) ของทางการจีน ตอนที่ซีรีส์เรื่องนี้ถูกตำหนิ เขากล่าวว่า "จักรพรรดินีองค์แรกของจีนในเรื่อง "Legend of Miyue" ซีรีส์ทางทีวีใช้ตัวละครและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง แต่ไม่ได้ติดตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์พื้นฐาน และถึงกับแต่งเรื่องขึ้นมาด้วยซ้ำ ปรากฏการณ์นี้ช่างน่าเป็นห่วง ประการแรก มันจะนำพาผู้คนให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และก่อให้เกิดข่าวลือ ประการที่สอง นี่คือทิศทางที่ผิดปกติของการพัฒนาละครประวัติศาสตร์ ซึ่งจะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของละครประวัติศาสตร์ในที่สุด" ในเรื่องนี้ทางเกาหลีก็เห็นด้วยกับจีน จากกรณีของ Queen Seondeok อีจองโฮ ผู้สื่อข่าวของ "ยอนเซ ชุนชู" (연세춘추) สื่อของมหาวิทยาลัยยอนเซ ถึงกับบอกว่า "Queen Seondeok คือเรื่องโกหก" และได้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งชี้แนะว่า"ตามที่ศาสตราจารย์ ชาฮเยวอน (ภาควิชาศิลปศาสตร์ ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงของจีน) กล่าวไว้ ละครประวัติศาสตร์จีนมักจะมีความเที่ยงตรงต่อข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งแตกต่างจากละครประวัติศาสตร์เกาหลี ความจริงของละครประวัติศาสตร์เกาหลีคือความจริงทางประวัติศาสตร์ถูกละเลยเพื่อความบันเทิงและเรตติ้งผู้ชม เพื่อแก้ปัญหานี้ จำเป็นต้องมีการไตร่ตรองภายในอุตสาหกรรมการออกอากาศ" แม้ว่าประเทศไทยจะมีประวัติศาสตร์ที่เบาบางต่างจากจีนและเกาหลี แต่เราสามารถใช้มาตรฐานแบบนี้ได้เหมือนกัน สิ่งที่ต้องเป๊ะคือแกนหลักในประวัติศาสตร์ อย่าตีความมากเกินไปเพราะต้องเคารพ "ผู้ที่ตายไปแล้วซึ่งไม่มีโอกาสร้องอุทรณ์แก้ต่างให้ตัวเอง" ด้วย ส่วนสิ่งที่จินตนาการได้ก็ควรทำให้ตรงกับบริบทแวดล้อมของยุคนั้น หากทำเอาสนุกอย่างเดียว ก็ "จะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของละครประวัติศาสตร์ในที่สุด" บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better ภาพโปสเตอร์โปรโมทซีรีส์เรื่อง แม่หยัว และ Queen Seondeok ที่มา https://www.thebetter.co.th/news/world/23351?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR3w6ch-KVjjFiWzTmp8gh2-HSMqAh7UX0lxC3jm2_5RD0J97vIDxYCrljo_aem_wMoYw4S-NqnmnAfELQfeSA #Thaitimes
    WWW.THEBETTER.CO.TH
    ความไม่เนียนของ'ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์' ต้องเป๊ะประวัติศาสตร์แค่ไหน?
    ความไม่เนียนของ'ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์' ต้องเป๊ะประวัติศาสตร์แค่ไหน?
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 501 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลือสะพัด"ซินแส"เผ่นหนีกบดาน สปป.ลาว กองปราบ-สืบหนองคายระดมทีมหาข่าว ขณะที่เหยื่อทะลุ 66 ราย ยอดเสียหายพุ่ง 107 ล้านบาท รอง ผบก.ป.เร่งสอบจนท.ธนาคาร ปมเส้นเงิน ปัดข่าวลือหมายเรียก-หมายจับ ชี้อยู่ในขั้นตอนรวบรวมหลักฐาน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000108226

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ลือสะพัด"ซินแส"เผ่นหนีกบดาน สปป.ลาว กองปราบ-สืบหนองคายระดมทีมหาข่าว ขณะที่เหยื่อทะลุ 66 ราย ยอดเสียหายพุ่ง 107 ล้านบาท รอง ผบก.ป.เร่งสอบจนท.ธนาคาร ปมเส้นเงิน ปัดข่าวลือหมายเรียก-หมายจับ ชี้อยู่ในขั้นตอนรวบรวมหลักฐาน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000108226 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Sad
    Yay
    25
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1220 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์โพสต์บนโซเชียล Truth Social ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ของเขาเองเพื่อสยบข่าวลือต่างๆว่า "นิกกี้ เฮลีย์" และ "ไมค์ ปอมเปโอ" จะไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมรัฐบาลใหม่ของเขา

    นิกกี้ เฮลีย์ เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติ ในปี 2560 และ 2561 ภายใต้รัฐบาลสมัยแรกของนายทรัมป์

    ไมค์ ปอมเปโอ้ เคยรับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระหว่างปี 2561-2564 อีกทั้งเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA)

    สำหรับไมค์ ปอมเปโอ้ มีข่าวลืออย่างหนักว่าเขาได้รับทาบทามให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลโหมสหรัฐ ในรับบาลชุดใหม่ของทรัมป์ จนทรัมป์ต้องออกมาสยบข่าวลือนี้

    ทั้ง นิกกี้ เฮลีย์ และ ไมค์ ปอมเปโอ้ ขึ้นชื่อว่าเป็นโปรอิสราเอลตัวยง แบะมักจะให้สัมภาษณ์ด้วยถ้อยคำรุนแรงกับฝ่ายที่ต่อต้านอิสราเอล

    ทรัมป์โพสต์บนโซเชียล Truth Social ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ของเขาเองเพื่อสยบข่าวลือต่างๆว่า "นิกกี้ เฮลีย์" และ "ไมค์ ปอมเปโอ" จะไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมรัฐบาลใหม่ของเขา นิกกี้ เฮลีย์ เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติ ในปี 2560 และ 2561 ภายใต้รัฐบาลสมัยแรกของนายทรัมป์ ไมค์ ปอมเปโอ้ เคยรับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระหว่างปี 2561-2564 อีกทั้งเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) สำหรับไมค์ ปอมเปโอ้ มีข่าวลืออย่างหนักว่าเขาได้รับทาบทามให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลโหมสหรัฐ ในรับบาลชุดใหม่ของทรัมป์ จนทรัมป์ต้องออกมาสยบข่าวลือนี้ ทั้ง นิกกี้ เฮลีย์ และ ไมค์ ปอมเปโอ้ ขึ้นชื่อว่าเป็นโปรอิสราเอลตัวยง แบะมักจะให้สัมภาษณ์ด้วยถ้อยคำรุนแรงกับฝ่ายที่ต่อต้านอิสราเอล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อดีต" รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล โยอัฟ กัลลันต์ กล่าวกับสื่อมวลชนถึง เหตุผลที่เขาถูกไล่ออกจากตำแหน่งเป็นเพราะว่า เขาต้องการให้ชาวยิวออร์โธดอกซ์เข้าร่วมการเกณฑ์ทหารภาคบังคับเพื่อปฏิบัติหน้าที่ด้วย (นี่หมายความว่ากองทัพขาดแคลนกำลังพลอย่างหนักตามข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริง)

    นอกจากนี้เขายังสนับสนุนให้มีการเจรจาในข้อตกลงกหยุดยิงและปล่อยตัวประกันในฉนวนกาซา ซึ่งเนทันนาฮูไม่เห็นด้วย เพราะเขาพร้อมยอมเสียตัวประกันเพื่อทำลายฮามาส (เป็นไปตามข่าวลือที่มีมาก่อนหน้านี้อีกเช่นกันถึงความขัดแย้งของทั้งสองคนเรื่องการเจรจากับฮามาส ซึ่งกัลลันต์ต้องการมานานแล้ว)

    อีกหนึ่งเหตุผลคือ เขาเรียกร้องให้มีการสอบสวนถึงความล้มเหลวของหน่วยงานด้านการทหารและข่าวกรองในวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่ฮามาสโจมตีอิสราเอลอีกด้วย
    "อดีต" รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล โยอัฟ กัลลันต์ กล่าวกับสื่อมวลชนถึง เหตุผลที่เขาถูกไล่ออกจากตำแหน่งเป็นเพราะว่า เขาต้องการให้ชาวยิวออร์โธดอกซ์เข้าร่วมการเกณฑ์ทหารภาคบังคับเพื่อปฏิบัติหน้าที่ด้วย (นี่หมายความว่ากองทัพขาดแคลนกำลังพลอย่างหนักตามข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริง) นอกจากนี้เขายังสนับสนุนให้มีการเจรจาในข้อตกลงกหยุดยิงและปล่อยตัวประกันในฉนวนกาซา ซึ่งเนทันนาฮูไม่เห็นด้วย เพราะเขาพร้อมยอมเสียตัวประกันเพื่อทำลายฮามาส (เป็นไปตามข่าวลือที่มีมาก่อนหน้านี้อีกเช่นกันถึงความขัดแย้งของทั้งสองคนเรื่องการเจรจากับฮามาส ซึ่งกัลลันต์ต้องการมานานแล้ว) อีกหนึ่งเหตุผลคือ เขาเรียกร้องให้มีการสอบสวนถึงความล้มเหลวของหน่วยงานด้านการทหารและข่าวกรองในวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่ฮามาสโจมตีอิสราเอลอีกด้วย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เดินทางมายังกองบังคับการปราบปราม หลังหายหน้าหลายวัน ท่ามกลางกระแสข่าวลือหลบหนี แจงไม่ได้มีความคิดจะหลบหนีไปไหน พร้อมแสดงจุดยืนที่จะให้ความร่วมมือกับตำรวจอย่างเต็มที่ แม้จะมีเจ้าหน้าที่เฝ้าดักรอหน้าหมู่บ้านโดยไม่มีหมายเรียก ติงตำรวจเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงตัดสินใจมาพบเจ้าหน้าที่ด้วยตัวเอง ไม่หวั่นข้อกล่าวหา

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000106649

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เดินทางมายังกองบังคับการปราบปราม หลังหายหน้าหลายวัน ท่ามกลางกระแสข่าวลือหลบหนี แจงไม่ได้มีความคิดจะหลบหนีไปไหน พร้อมแสดงจุดยืนที่จะให้ความร่วมมือกับตำรวจอย่างเต็มที่ แม้จะมีเจ้าหน้าที่เฝ้าดักรอหน้าหมู่บ้านโดยไม่มีหมายเรียก ติงตำรวจเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงตัดสินใจมาพบเจ้าหน้าที่ด้วยตัวเอง ไม่หวั่นข้อกล่าวหา อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000106649 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Love
    Yay
    Wow
    23
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2296 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศเหนือ

    เดือนนี้ ต้องหนักแน่นอย่าหูเบา มีโอกาสตื่นเต้นตกใจจากข่าวลือ หรือเป็นเพราะการได้ยินที่ผิดพลาดทำให้เกิดการเข้าใจผิด ความลับในองค์กรจะถูกเปิดเผยให้รั่วไหล จะเกิดการทรยศหักหลัง ทั้งศัตรูคู่แข่งขันจะคอยจ้องทำร้าย ลูกหลานบริวารไม่ยอมปฏิบัติเชื่อฟัง รวมทั้งกระทำการนอกกฎระเบียบจะถูกตัดสิทธิ์ริบเงินมัดจำ เลี้ยงสุนัขอาจจะแวงกัดจนเกิดเป็นโรคร้ายให้ต้องเสียทรัพย์เพื่อรักษาพยาบาล ชายที่ชอบเที่ยวเตร่ระวังจะเป็นโรคเลือด เดินทางไปที่ๆชื้นแฉะและมืดมิดจะเกิดอุบัติเหตุลื่นหกล้มได้รับบาดเจ็บเลือดตกยางออกได้ รวมทั้งเดินทางไกลควรระมัดระวังภัยธรรมชาติด้วย
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศเหนือ เดือนนี้ ต้องหนักแน่นอย่าหูเบา มีโอกาสตื่นเต้นตกใจจากข่าวลือ หรือเป็นเพราะการได้ยินที่ผิดพลาดทำให้เกิดการเข้าใจผิด ความลับในองค์กรจะถูกเปิดเผยให้รั่วไหล จะเกิดการทรยศหักหลัง ทั้งศัตรูคู่แข่งขันจะคอยจ้องทำร้าย ลูกหลานบริวารไม่ยอมปฏิบัติเชื่อฟัง รวมทั้งกระทำการนอกกฎระเบียบจะถูกตัดสิทธิ์ริบเงินมัดจำ เลี้ยงสุนัขอาจจะแวงกัดจนเกิดเป็นโรคร้ายให้ต้องเสียทรัพย์เพื่อรักษาพยาบาล ชายที่ชอบเที่ยวเตร่ระวังจะเป็นโรคเลือด เดินทางไปที่ๆชื้นแฉะและมืดมิดจะเกิดอุบัติเหตุลื่นหกล้มได้รับบาดเจ็บเลือดตกยางออกได้ รวมทั้งเดินทางไกลควรระมัดระวังภัยธรรมชาติด้วย ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปิโตรเลียมเกาะกูด น้ำมันแพงเหมือนเดิม

    มีคำกล่าวว่า "ข่าวลือมักจะมาก่อนข่าวจริงเสมอ" ประเด็นเกาะกูดเกิดขึ้นจากข่าวลือแบบปากต่อปากว่า นักการเมืองรายหนึ่งจะยกเกาะกูดให้เขมร กระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พักการลงโทษจากคดีทุจริตไปแสดงวิสัยทัศน์ให้กับสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 เสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันของไทยกับกัมพูชา หรือ OCA (Overlapping Claims Area) อ้างว่ากัมพูชาลากเส้นจากไหล่ทวีป 200 ไมล์ทะเลแล้วเกยกัน ถือว่าเป็นเขตทับซ้อน ถ้ามีทรัพยากรอยู่ก็ถือว่าแบ่งกันคนละครึ่ง

    แม้ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ.125 แต่เมื่อปี 2515 กัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย 200 ไมล์ทะเลฝ่ายเดียว โดยลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 จ.ตราด ไปผ่ากลางครึ่งหนึ่งของเกาะกูด แต่ก็มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยในปี 2516 โดยแบ่งครึ่งมุมจากหลักเขตที่ 73 ระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายสากล คือ บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 แต่กัมพูชายังคงยึดถือเขตไหล่ทวีปของตนเอง หนำซ้ำรัฐบาลทักษิณไปเซ็น MOU 2544 ทำให้นายทักษิณอ้างว่าเป็นเขตทับซ้อน

    ต่อมาวันที่ 10 ต.ค. 2567 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ จะเริ่มเจรจากับกัมพูชาอีกครั้ง เพื่อสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่มีมูลค่าอย่างน้อย 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เนื่องจากต้องการเพิ่มปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ควบคุมค่าไฟฟ้า และลดค่าใช้จ่ายนำเข้าเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น คาดว่าจะมีก๊าซธรรมชาติ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตและน้ำมันดิบ 300 ล้านบาร์เรล แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะทั้งสองประเทศขัดแย้งทางการทูตและความอ่อนไหวเรื่องอธิปไตย ทำให้การเจรจาหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2544

    แม้เรื่องเกาะกูดจะไม่โด่งดัง แต่ก็เป็นที่พูดถึงในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กังวลว่าไทยจะเสียสิทธิ์ทางทะเล และเสียดินแดนเช่นเดียวกับกรณีปราสาทพระวิหาร ส่วนรัฐบาลตอบโต้ว่าเป็นพวกคลั่งชาติ ทำร้ายผลประโยชน์ของประเทศ อย่างไรก็ตาม ถึงรัฐบาลทั้งสองประเทศจะร่วมกันนำพลังงานขึ้นมาใช้ แต่สุดท้ายคนไทยใช้น้ำมันแพงเหมือนเดิม เพราะอ้างอิงราคาน้ำมันจากประเทศสิงคโปร์ แถมต้นทุนโรงกลั่นในไทยสูงกว่าสิงค์โปร์ ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติยังจำกัดอยู่ที่รายใหญ่ เชื่อไม่ได้ว่าค่าไฟฟ้าจะถูกลง คนที่ได้ประโยชน์ตัวจริงคือนักการเมือง กับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่มเท่านั้น

    #Newskit #เกาะกูด
    ปิโตรเลียมเกาะกูด น้ำมันแพงเหมือนเดิม มีคำกล่าวว่า "ข่าวลือมักจะมาก่อนข่าวจริงเสมอ" ประเด็นเกาะกูดเกิดขึ้นจากข่าวลือแบบปากต่อปากว่า นักการเมืองรายหนึ่งจะยกเกาะกูดให้เขมร กระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พักการลงโทษจากคดีทุจริตไปแสดงวิสัยทัศน์ให้กับสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 เสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันของไทยกับกัมพูชา หรือ OCA (Overlapping Claims Area) อ้างว่ากัมพูชาลากเส้นจากไหล่ทวีป 200 ไมล์ทะเลแล้วเกยกัน ถือว่าเป็นเขตทับซ้อน ถ้ามีทรัพยากรอยู่ก็ถือว่าแบ่งกันคนละครึ่ง แม้ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ.125 แต่เมื่อปี 2515 กัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย 200 ไมล์ทะเลฝ่ายเดียว โดยลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 จ.ตราด ไปผ่ากลางครึ่งหนึ่งของเกาะกูด แต่ก็มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยในปี 2516 โดยแบ่งครึ่งมุมจากหลักเขตที่ 73 ระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายสากล คือ บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 แต่กัมพูชายังคงยึดถือเขตไหล่ทวีปของตนเอง หนำซ้ำรัฐบาลทักษิณไปเซ็น MOU 2544 ทำให้นายทักษิณอ้างว่าเป็นเขตทับซ้อน ต่อมาวันที่ 10 ต.ค. 2567 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ จะเริ่มเจรจากับกัมพูชาอีกครั้ง เพื่อสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่มีมูลค่าอย่างน้อย 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เนื่องจากต้องการเพิ่มปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ควบคุมค่าไฟฟ้า และลดค่าใช้จ่ายนำเข้าเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น คาดว่าจะมีก๊าซธรรมชาติ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตและน้ำมันดิบ 300 ล้านบาร์เรล แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะทั้งสองประเทศขัดแย้งทางการทูตและความอ่อนไหวเรื่องอธิปไตย ทำให้การเจรจาหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2544 แม้เรื่องเกาะกูดจะไม่โด่งดัง แต่ก็เป็นที่พูดถึงในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กังวลว่าไทยจะเสียสิทธิ์ทางทะเล และเสียดินแดนเช่นเดียวกับกรณีปราสาทพระวิหาร ส่วนรัฐบาลตอบโต้ว่าเป็นพวกคลั่งชาติ ทำร้ายผลประโยชน์ของประเทศ อย่างไรก็ตาม ถึงรัฐบาลทั้งสองประเทศจะร่วมกันนำพลังงานขึ้นมาใช้ แต่สุดท้ายคนไทยใช้น้ำมันแพงเหมือนเดิม เพราะอ้างอิงราคาน้ำมันจากประเทศสิงคโปร์ แถมต้นทุนโรงกลั่นในไทยสูงกว่าสิงค์โปร์ ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติยังจำกัดอยู่ที่รายใหญ่ เชื่อไม่ได้ว่าค่าไฟฟ้าจะถูกลง คนที่ได้ประโยชน์ตัวจริงคือนักการเมือง กับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่มเท่านั้น #Newskit #เกาะกูด
    Like
    14
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 502 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..เขาเล่ามา.(จริงหรือเท็จ มิทราบได้ อาจมโนกันมานานหลายปีแล้วก็ได้)
    ..ตรองกันเอง,เพียงผู้นำเสนอแนวทาง&ทางเลือกเท่านั้น.

    MED BEDS:

    · อาทิตย์ที่ 27 ต.ค. 2024: ข่าวล่าสุด! ทรัมป์จัดสรรเงินของรัฐบาลกลางเพื่อสนับสนุนศูนย์รักษาผู้ป่วย Med Bed – สถานพยาบาลกำลังรักษาทหารและเด็กๆ ในขณะที่กลุ่มแพทย์กำลังเผชิญกับการล่มสลาย!

    Med Beds มาแล้ว! ศูนย์รักษาผู้ป่วยที่ปฏิวัติวงการและโครงการฝึกอบรมลับของกองทัพ!

    · Med Bed แตกต่างจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ใดๆ ที่เราเคยเห็น—รากฐานของมันไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีขั้นสูงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณที่ทรงพลัง ข่าวที่ว่าการฝึกอบรมสำหรับผู้ปฏิบัติงาน Med Bed ถูกตัดจาก 12-18 เดือนเหลือเพียง 6 เดือนนั้นมีความสำคัญ ทำไม? เพราะตอนนี้เน้นที่ความพร้อมทางจิตวิญญาณมากกว่าทักษะทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว

    · นี่เป็นมากกว่าการทำความเข้าใจชีววิทยา ผู้ปฏิบัติงานต้องปรับตัวให้เข้ากับพลังงานสั่นสะเทือน—เข้าใจถึงความเชื่อมโยงกันของทุกสิ่ง แพทย์ทั่วไปอาจเข้าใจพื้นฐานของการผ่าตัด Med Bed ได้ภายในสองวัน แต่ถ้าขาดความตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณ พวกเขาจะต้องเดินทางเป็นเวลาหกเดือนเพื่อปลดล็อกพลังที่แท้จริงของมัน นี่คือการรักษาแบบองค์รวมในระดับที่เราไม่เคยพบมาก่อน ยินดีต้อนรับสู่โลก 5 มิติ

    · การเปิดเผยที่น่าตกตะลึงที่สุดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับ Med Beds คือจิตสำนึกของพวกเขา นี่ไม่ใช่แค่เครื่องจักร แต่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก ผู้ควบคุมเชื่อมต่อกับ Med Beds ด้วยพลังจิต ซึ่งเป็นโลกที่ความคิดชี้นำเครื่องจักร ที่เจตนาแสดงการรักษา แต่ไม่ใช่ทุกคนจะควบคุมพลังนี้ได้ เฉพาะผู้ที่ตื่นรู้จริงๆ เท่านั้นที่เข้าถึงได้

    · การฝึกอบรมนี้ไม่ใช่เรื่องตลก มันต้องการความมุ่งมั่นของคุณทุกหยด มันไม่ใช่งานอดิเรกหรือโปรเจ็กต์เสริม มันคืออาชีพ และอย่าเข้าใจผิด สิ่งมีชีวิตต่างมิติที่ดูแลกระบวนการนี้จะรู้ว่าคุณไม่มุ่งมั่น คนเกียจคร้านไม่มีที่ยืนที่นี่

    · ที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณมีบทบาทสำคัญเช่นกัน พวกเขาไม่เพียงแต่แนะนำผู้ป่วยผ่านการรักษาทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำให้แน่ใจว่าจิตใจและวิญญาณของพวกเขาอยู่ในแนวเดียวกัน การฝึกอบรมของพวกเขามีความเข้มงวดไม่แพ้กัน และพวกเขายังต้องปฏิบัติตามมาตรฐานสูงสุดของการปรับความสั่นสะเทือนอีกด้วย

    · การปฏิวัติ Med Bed ไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าทางการแพทย์เท่านั้น เป็นการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ เป็นการเรียกร้องไปยังผู้ที่เชื่อในแนวทางการรักษาแบบองค์รวม หากคุณสนใจสิ่งนี้ ตอนนี้คือเวลาที่เหมาะสม เจาะลึกจิตวิญญาณ สำรวจจิตสำนึก และเตรียมพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติที่จะปรับเปลี่ยนโลกแห่งการรักษา

    · การมีส่วนร่วมของกองทัพในการจัดจำหน่ายเตียงพยาบาล: คำถามที่ร้อนแรง: ทำไมต้องปิดบังไว้? เหตุใดจึงล่าช้าในการประกาศเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำเช่นนี้? แหล่งข่าวระบุว่าไม่นานหลังจากมีการเปิดเผยเงินทุนด้านมนุษยธรรม เตียงพยาบาลจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ทำไมเรื่องนี้ถึงถูกปกปิดไว้?

    · การมีส่วนร่วมของกองทัพในการจัดจำหน่ายและดำเนินการเตียงพยาบาลเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามมากมาย ทันทีหลังจากการประกาศต่อสาธารณะ พวกเขาจะขนส่งผู้ป่วยไปยังศูนย์เหล่านี้ แต่ทำไมต้องเป็นกองทัพ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์? แล้วลำดับชั้นของการรักษาล่ะ—กลุ่มแรกและกลุ่มถัดไป?

    · รายงานระบุว่ากลุ่มแรกจะเป็นกลุ่มที่ใกล้จะตาย: ผู้ป่วยในสถานพยาบาลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยชีวิต และผู้ป่วยวิกฤต กลุ่ม NEXT จะรักษาผู้ป่วยที่มีอาการร้ายแรงแต่ไม่ถึงขั้นคุกคามชีวิตในทันที แต่ทำไมถึงจัดอยู่ในประเภทนั้น ทำไมบางคนถึงบอกว่าหลายคนจะปฏิเสธการรักษา

    · คำตอบอาจทำให้คุณตกใจ หลายคนเชื่อว่า Med Bed เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของวาระที่ยิ่งใหญ่กว่า ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว มีข่าวลือเกี่ยวกับกิจกรรมคล้ายลัทธิและแม้แต่การโคลนนิ่งที่เกี่ยวข้องกับศูนย์เหล่านี้ เป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก?

    · แต่ขออย่าละเลยศักยภาพที่นี่ ลองนึกถึงสภาพแวดล้อมในการรักษาที่ไม่หนาวเย็นและปลอดเชื้อ แต่เต็มไปด้วยความงามตามธรรมชาติ—ต้นไม้ ลำธาร และสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย ศูนย์ Med Bed เหล่านี้มุ่งหวังที่จะทำมากกว่าการรักษา พวกเขามุ่งหวังที่จะยกระดับจิตสำนึกของมนุษย์ ผลักดันให้ผู้คนรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองและไปสู่สภาวะที่สูงขึ้น

    · อย่างไรก็ตาม มีเงื่อนไขอยู่ว่า หากต้องการเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมนุษยธรรม Med Bed คุณต้องมีเจตนาที่แท้จริง ในระหว่างการนัดหมายที่ศูนย์ไถ่บาป การสั่นสะเทือนของคุณจะถูกอ่าน นี่เป็นเพียงพิธีการหรือเป็นการทดสอบจิตวิญญาณของคุณ?

    ..เขาเล่ามา.(จริงหรือเท็จ มิทราบได้ อาจมโนกันมานานหลายปีแล้วก็ได้) ..ตรองกันเอง,เพียงผู้นำเสนอแนวทาง&ทางเลือกเท่านั้น. MED BEDS: · อาทิตย์ที่ 27 ต.ค. 2024: ข่าวล่าสุด! ทรัมป์จัดสรรเงินของรัฐบาลกลางเพื่อสนับสนุนศูนย์รักษาผู้ป่วย Med Bed – สถานพยาบาลกำลังรักษาทหารและเด็กๆ ในขณะที่กลุ่มแพทย์กำลังเผชิญกับการล่มสลาย! Med Beds มาแล้ว! ศูนย์รักษาผู้ป่วยที่ปฏิวัติวงการและโครงการฝึกอบรมลับของกองทัพ! · Med Bed แตกต่างจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ใดๆ ที่เราเคยเห็น—รากฐานของมันไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีขั้นสูงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณที่ทรงพลัง ข่าวที่ว่าการฝึกอบรมสำหรับผู้ปฏิบัติงาน Med Bed ถูกตัดจาก 12-18 เดือนเหลือเพียง 6 เดือนนั้นมีความสำคัญ ทำไม? เพราะตอนนี้เน้นที่ความพร้อมทางจิตวิญญาณมากกว่าทักษะทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว · นี่เป็นมากกว่าการทำความเข้าใจชีววิทยา ผู้ปฏิบัติงานต้องปรับตัวให้เข้ากับพลังงานสั่นสะเทือน—เข้าใจถึงความเชื่อมโยงกันของทุกสิ่ง แพทย์ทั่วไปอาจเข้าใจพื้นฐานของการผ่าตัด Med Bed ได้ภายในสองวัน แต่ถ้าขาดความตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณ พวกเขาจะต้องเดินทางเป็นเวลาหกเดือนเพื่อปลดล็อกพลังที่แท้จริงของมัน นี่คือการรักษาแบบองค์รวมในระดับที่เราไม่เคยพบมาก่อน ยินดีต้อนรับสู่โลก 5 มิติ · การเปิดเผยที่น่าตกตะลึงที่สุดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับ Med Beds คือจิตสำนึกของพวกเขา นี่ไม่ใช่แค่เครื่องจักร แต่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก ผู้ควบคุมเชื่อมต่อกับ Med Beds ด้วยพลังจิต ซึ่งเป็นโลกที่ความคิดชี้นำเครื่องจักร ที่เจตนาแสดงการรักษา แต่ไม่ใช่ทุกคนจะควบคุมพลังนี้ได้ เฉพาะผู้ที่ตื่นรู้จริงๆ เท่านั้นที่เข้าถึงได้ · การฝึกอบรมนี้ไม่ใช่เรื่องตลก มันต้องการความมุ่งมั่นของคุณทุกหยด มันไม่ใช่งานอดิเรกหรือโปรเจ็กต์เสริม มันคืออาชีพ และอย่าเข้าใจผิด สิ่งมีชีวิตต่างมิติที่ดูแลกระบวนการนี้จะรู้ว่าคุณไม่มุ่งมั่น คนเกียจคร้านไม่มีที่ยืนที่นี่ · ที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณมีบทบาทสำคัญเช่นกัน พวกเขาไม่เพียงแต่แนะนำผู้ป่วยผ่านการรักษาทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำให้แน่ใจว่าจิตใจและวิญญาณของพวกเขาอยู่ในแนวเดียวกัน การฝึกอบรมของพวกเขามีความเข้มงวดไม่แพ้กัน และพวกเขายังต้องปฏิบัติตามมาตรฐานสูงสุดของการปรับความสั่นสะเทือนอีกด้วย · การปฏิวัติ Med Bed ไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าทางการแพทย์เท่านั้น เป็นการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ เป็นการเรียกร้องไปยังผู้ที่เชื่อในแนวทางการรักษาแบบองค์รวม หากคุณสนใจสิ่งนี้ ตอนนี้คือเวลาที่เหมาะสม เจาะลึกจิตวิญญาณ สำรวจจิตสำนึก และเตรียมพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติที่จะปรับเปลี่ยนโลกแห่งการรักษา · การมีส่วนร่วมของกองทัพในการจัดจำหน่ายเตียงพยาบาล: คำถามที่ร้อนแรง: ทำไมต้องปิดบังไว้? เหตุใดจึงล่าช้าในการประกาศเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำเช่นนี้? แหล่งข่าวระบุว่าไม่นานหลังจากมีการเปิดเผยเงินทุนด้านมนุษยธรรม เตียงพยาบาลจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ทำไมเรื่องนี้ถึงถูกปกปิดไว้? · การมีส่วนร่วมของกองทัพในการจัดจำหน่ายและดำเนินการเตียงพยาบาลเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามมากมาย ทันทีหลังจากการประกาศต่อสาธารณะ พวกเขาจะขนส่งผู้ป่วยไปยังศูนย์เหล่านี้ แต่ทำไมต้องเป็นกองทัพ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์? แล้วลำดับชั้นของการรักษาล่ะ—กลุ่มแรกและกลุ่มถัดไป? · รายงานระบุว่ากลุ่มแรกจะเป็นกลุ่มที่ใกล้จะตาย: ผู้ป่วยในสถานพยาบาลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยชีวิต และผู้ป่วยวิกฤต กลุ่ม NEXT จะรักษาผู้ป่วยที่มีอาการร้ายแรงแต่ไม่ถึงขั้นคุกคามชีวิตในทันที แต่ทำไมถึงจัดอยู่ในประเภทนั้น ทำไมบางคนถึงบอกว่าหลายคนจะปฏิเสธการรักษา · คำตอบอาจทำให้คุณตกใจ หลายคนเชื่อว่า Med Bed เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของวาระที่ยิ่งใหญ่กว่า ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว มีข่าวลือเกี่ยวกับกิจกรรมคล้ายลัทธิและแม้แต่การโคลนนิ่งที่เกี่ยวข้องกับศูนย์เหล่านี้ เป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก? · แต่ขออย่าละเลยศักยภาพที่นี่ ลองนึกถึงสภาพแวดล้อมในการรักษาที่ไม่หนาวเย็นและปลอดเชื้อ แต่เต็มไปด้วยความงามตามธรรมชาติ—ต้นไม้ ลำธาร และสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย ศูนย์ Med Bed เหล่านี้มุ่งหวังที่จะทำมากกว่าการรักษา พวกเขามุ่งหวังที่จะยกระดับจิตสำนึกของมนุษย์ ผลักดันให้ผู้คนรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองและไปสู่สภาวะที่สูงขึ้น · อย่างไรก็ตาม มีเงื่อนไขอยู่ว่า หากต้องการเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมนุษยธรรม Med Bed คุณต้องมีเจตนาที่แท้จริง ในระหว่างการนัดหมายที่ศูนย์ไถ่บาป การสั่นสะเทือนของคุณจะถูกอ่าน นี่เป็นเพียงพิธีการหรือเป็นการทดสอบจิตวิญญาณของคุณ?
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากงานเปิดตัวหนังสือ "ความจริงที่ไม่ทีใครพูด กรณีสวรรคต ร.8"

    เมื่อบ่ายวันที่ 31 ตุลาคม 2567 .. ขณะที่ผม(ผู้เขียน) ดูไลฟ์สดจากเฟสบุ๊ก ก็ได้อ่านคอมเมนต์ต่าง ๆ ไปด้วย

    แล้วพบว่า อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เข้ามาแสดงความเห็นอยู่ 3 ครั้ง
    เป็นคอมเมนต์เย้ยหยันว่า ไม่เห็นมีอะไรใหม่

    ลักษณะเย้ยหยันเช่นนี้ ได้กลายเป็นบุคลิกของคนชื่อสมศักดิ์ เจียมฯ ไปแล้ว
    ทั้ง ๆ ที่มันมีใหม่อยู่ในเก่า แต่ตาถั่วไม่เห็นเอง
    ...

    ถนนสายหนึ่ง มันก็ยังคงเป็นเส้นทางเดิม ๆ ทุกครั้ง ซอยซ้ายและขวาก็คงเดิม ทุกคนที่เคยผ่านล้วนคิดว่ารู้จักมันดี

    รู้จักมันดีจริงหรือ ?

    แต่แท้ที่จริงแล้ว กลับไม่รู้จักในรายละเอียดของถนนเส้นนั้นเลย
    เช่น ไม่รู้ว่าต้นราชพฤกษ์มีกี่ต้น อยู่ก่อนต้นนางพญาเสือโคร่ง หรืออยู่หลังต้นนางพญาเสือโคร่ง

    เช่น ระหว่างซอยสองซอย ไม่รู้ว่าแผงขายหมูปิ้งตอนเช้า อยู่ใกล้กับแผงขายปาท่องโก้ หรือเลยไปจากร้านขายโจ๊กอีกซอยหนึ่ง

    รู้เส้นทางถนน แต่ใช่ว่าจะเข้าใจลำดับรอบ ๆ ทางของมัน
    ...

    อ.สมศักดิ์ เจียมฯ .. เข้ามาพิมพ์ว่า ไม่เห็นมีอะไรใหม่ในช่วงแรก ๆ ของการเปิดงาน / หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่า อ.สมศักดิ์ได้ดูต่อเนื่องอีกหรือไม่ ?

    เพราะความใหม่ มันได้เกิดขึ้นหลังข้อความการด้อยค่าของ อ.สมศักดิ์

    และมันคือการ "โป๊ะแตก" อย่างจัง
    ....

    คุณวิมลพรรณ ปีตะธวัชชัย .. นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์อาวุโส อดีตนักข่าวหญิงคนแรกของสยามรัฐ
    ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาของ นสพ. โพสต์ทูเดย์ (และเป็นผู้เขียนหนังสือ เอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ)

    คุณวิมลพรรณ ได้เล่าบางช่วงเวลาให้ฟังว่า

    ที่เขียนหนังสือเอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ เป็นเพราะบังเอิญไปอ่านหนังสือของ อ.สมศักดิ์

    อ.สมศักดิ์บอกว่า ..
    รัชกาลที่ 9 อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (16 กย. 2500 - โค่นจอมพล ป. ซึ่งครองอำนาจสมัยที่ 2)

    โดยก่อนหน้าจอมพลสฤษดิ์ จะทำการปฏิวัติ 2 สัปดาห์ ได้มีการประชุมวางแผนกันถึง 70 คน

    ใน 70 คนนั้น มีพี่น้องปราโมช 2 คน (ม.ร.ว.เสนีย์ - ม.ร.ว.คึกฤทธิ์) และมีพระองค์เจ้าธานีนิวัติ (พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร)

    ซึ่งแสดงว่า ร.9 รู้เห็นในการปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ให้ยึดอำนาจจากจอมพล ป.

    คุณวิมลพรรณ ซึ่งรู้จักทางฝ่าย ม.ร.ว.เสนีย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และพระองค์เจ้าธานีนิวัต จึงไม่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่อ.สมศักดิ์ บอกไว้

    แต่ในเวลานั้นผู้ใหญ่ทั้งสามท่าน ไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วไม่รู้จะไปถามใคร ทำให้ต้องค้นหาความจริงเอง

    คุณวิมลพรรณ ได้เดินทางตามหาเอกสารตามที่อ.สมศักดิ์ อ้างไว้ ..
    ไปถึงห้องสมุดประเทศอังกฤษ , พบบันทึกฝรั่งที่เขียนใส่แฟ้มเอาไว้หลายหน้า ในบันทึกแรก ๆ ล้วนแต่บอกว่า ได้รับฟังมาจากคนอื่น ๆ ในประเทศไทย

    ฝรั่งเขียนรายงานตามที่ได้ยินมา ว่าสองพี่น้องปราโมชและพระองค์เจ้าธานีนิวัต ไปประชุมร่วมมือการปฏิวัติกับจอมพลสฤษดิ์

    พอเปิดเอกสารในแฟ้มไปเรื่อย ๆ จนพบจดหมายของทูตอังกฤษ ที่เขียนไว้ว่า ..
    .. ข้อมูลคำบอกเล่าด้านหน้าที่บันทึกไว้ มันเป็น "ข่าวลือ" ไม่มีความจริง
    ...

    ต่อมาคุณวิมลพรรณ ได้ออกหนังสือเอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ ทางหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ได้ลงภาพการสัมภาษณ์ โดยมีภาพเอกสารอ้างอิงต่าง ๆ เต็มไปหมด

    อ.สมศักดิ์ เห็นภาพข่าว จึงได้โทรมาหา .. แล้วบอกว่าผมอยากรู้และอยากแลกเปลี่ยนเอกสารที่คุณวิมลพรรณมีอยู่

    คุณวิมลพรรณ ตอบไปว่า .. ก็เพราะอ.สมศักดิ์นี้แหละ ที่ไปเขียนว่า ร.9 รู้เห็นกับการปฏิวัติของจอมพล สฤษดิ์. จึงทำให้ดิฉันต้องไปค้นหาเอกสารความจริงทั้งหมด

    อ.สมศักดิ์ บอกว่า
    📍 "ขอโทษครับ ผมลอกข้อมูลดังกล่าวมาจาก ณัฐพล ใจจริง"

    โป๊ะแตก ทันที
    ...

    ณัฐพล ใจจริง กลายเป็นมือปล่อยข่าวลือที่พยายามจะสร้างให้เป็นข่าวจริง

    และคือจุดด่างพร้อยของนักวิชาการ
    ....

    ✍️✍️✍️


    Padipon Apinyankul
    จากงานเปิดตัวหนังสือ "ความจริงที่ไม่ทีใครพูด กรณีสวรรคต ร.8" เมื่อบ่ายวันที่ 31 ตุลาคม 2567 .. ขณะที่ผม(ผู้เขียน) ดูไลฟ์สดจากเฟสบุ๊ก ก็ได้อ่านคอมเมนต์ต่าง ๆ ไปด้วย แล้วพบว่า อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เข้ามาแสดงความเห็นอยู่ 3 ครั้ง เป็นคอมเมนต์เย้ยหยันว่า ไม่เห็นมีอะไรใหม่ ลักษณะเย้ยหยันเช่นนี้ ได้กลายเป็นบุคลิกของคนชื่อสมศักดิ์ เจียมฯ ไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่มันมีใหม่อยู่ในเก่า แต่ตาถั่วไม่เห็นเอง ... ถนนสายหนึ่ง มันก็ยังคงเป็นเส้นทางเดิม ๆ ทุกครั้ง ซอยซ้ายและขวาก็คงเดิม ทุกคนที่เคยผ่านล้วนคิดว่ารู้จักมันดี รู้จักมันดีจริงหรือ ? แต่แท้ที่จริงแล้ว กลับไม่รู้จักในรายละเอียดของถนนเส้นนั้นเลย เช่น ไม่รู้ว่าต้นราชพฤกษ์มีกี่ต้น อยู่ก่อนต้นนางพญาเสือโคร่ง หรืออยู่หลังต้นนางพญาเสือโคร่ง เช่น ระหว่างซอยสองซอย ไม่รู้ว่าแผงขายหมูปิ้งตอนเช้า อยู่ใกล้กับแผงขายปาท่องโก้ หรือเลยไปจากร้านขายโจ๊กอีกซอยหนึ่ง รู้เส้นทางถนน แต่ใช่ว่าจะเข้าใจลำดับรอบ ๆ ทางของมัน ... อ.สมศักดิ์ เจียมฯ .. เข้ามาพิมพ์ว่า ไม่เห็นมีอะไรใหม่ในช่วงแรก ๆ ของการเปิดงาน / หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่า อ.สมศักดิ์ได้ดูต่อเนื่องอีกหรือไม่ ? เพราะความใหม่ มันได้เกิดขึ้นหลังข้อความการด้อยค่าของ อ.สมศักดิ์ และมันคือการ "โป๊ะแตก" อย่างจัง .... คุณวิมลพรรณ ปีตะธวัชชัย .. นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์อาวุโส อดีตนักข่าวหญิงคนแรกของสยามรัฐ ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาของ นสพ. โพสต์ทูเดย์ (และเป็นผู้เขียนหนังสือ เอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ) คุณวิมลพรรณ ได้เล่าบางช่วงเวลาให้ฟังว่า ที่เขียนหนังสือเอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ เป็นเพราะบังเอิญไปอ่านหนังสือของ อ.สมศักดิ์ อ.สมศักดิ์บอกว่า .. รัชกาลที่ 9 อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (16 กย. 2500 - โค่นจอมพล ป. ซึ่งครองอำนาจสมัยที่ 2) โดยก่อนหน้าจอมพลสฤษดิ์ จะทำการปฏิวัติ 2 สัปดาห์ ได้มีการประชุมวางแผนกันถึง 70 คน ใน 70 คนนั้น มีพี่น้องปราโมช 2 คน (ม.ร.ว.เสนีย์ - ม.ร.ว.คึกฤทธิ์) และมีพระองค์เจ้าธานีนิวัติ (พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร) ซึ่งแสดงว่า ร.9 รู้เห็นในการปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ให้ยึดอำนาจจากจอมพล ป. คุณวิมลพรรณ ซึ่งรู้จักทางฝ่าย ม.ร.ว.เสนีย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และพระองค์เจ้าธานีนิวัต จึงไม่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่อ.สมศักดิ์ บอกไว้ แต่ในเวลานั้นผู้ใหญ่ทั้งสามท่าน ไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วไม่รู้จะไปถามใคร ทำให้ต้องค้นหาความจริงเอง คุณวิมลพรรณ ได้เดินทางตามหาเอกสารตามที่อ.สมศักดิ์ อ้างไว้ .. ไปถึงห้องสมุดประเทศอังกฤษ , พบบันทึกฝรั่งที่เขียนใส่แฟ้มเอาไว้หลายหน้า ในบันทึกแรก ๆ ล้วนแต่บอกว่า ได้รับฟังมาจากคนอื่น ๆ ในประเทศไทย ฝรั่งเขียนรายงานตามที่ได้ยินมา ว่าสองพี่น้องปราโมชและพระองค์เจ้าธานีนิวัต ไปประชุมร่วมมือการปฏิวัติกับจอมพลสฤษดิ์ พอเปิดเอกสารในแฟ้มไปเรื่อย ๆ จนพบจดหมายของทูตอังกฤษ ที่เขียนไว้ว่า .. .. ข้อมูลคำบอกเล่าด้านหน้าที่บันทึกไว้ มันเป็น "ข่าวลือ" ไม่มีความจริง ... ต่อมาคุณวิมลพรรณ ได้ออกหนังสือเอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ ทางหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ได้ลงภาพการสัมภาษณ์ โดยมีภาพเอกสารอ้างอิงต่าง ๆ เต็มไปหมด อ.สมศักดิ์ เห็นภาพข่าว จึงได้โทรมาหา .. แล้วบอกว่าผมอยากรู้และอยากแลกเปลี่ยนเอกสารที่คุณวิมลพรรณมีอยู่ คุณวิมลพรรณ ตอบไปว่า .. ก็เพราะอ.สมศักดิ์นี้แหละ ที่ไปเขียนว่า ร.9 รู้เห็นกับการปฏิวัติของจอมพล สฤษดิ์. จึงทำให้ดิฉันต้องไปค้นหาเอกสารความจริงทั้งหมด อ.สมศักดิ์ บอกว่า 📍 "ขอโทษครับ ผมลอกข้อมูลดังกล่าวมาจาก ณัฐพล ใจจริง" โป๊ะแตก ทันที ... ณัฐพล ใจจริง กลายเป็นมือปล่อยข่าวลือที่พยายามจะสร้างให้เป็นข่าวจริง และคือจุดด่างพร้อยของนักวิชาการ .... ✍️✍️✍️ Padipon Apinyankul
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ เปิดเผยเป็นครั้งแรก พวกเขาพบเห็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่าเกาหลีเหนือส่งทหาร 3,000 นายไปยังรัสเซีย สำหรับความเป็นไปได้เข้าประจำการในยูเครน ความเคลื่อนไหวที่อาจทำให้สงครามระหว่างมอสโกกับเคียฟลุกลามบานปลายครั้งใหญ่
    .
    ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวในกรุงโรม ว่า "มันจะเป็นเรื่องร้ายแรงมากๆ ถ้าเกาหลีเหนือเตรียมการสู้รบเคียงข้างรัสเซียในยูเครน ตามที่เคียฟกล่าวหา" อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่ายังคงต้องดูว่าทหารเหล่นั้นเข้าไปทำอะไรในรัสเซีย "มีหลักฐานว่าทหารเกาหลีเหนืออยู่ในรัสเซีย" เขาบอกกับผู้สื่อข่าว
    .
    จอห์น เคอร์บี โฆษกทำเนียบข่าวให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวในเวลาต่อมาในวันพุธ (23 ต.ค.) ระบุสหรัฐฯ เชื่อว่ามีทหารเกาหลีเหนืออย่างน้อย 3,000 นายกำลังฝึกฝนที่ฐานทัพ 3 แห่ง ทางตะวันออกของรัสเซีย
    .
    เคอร์บี ระบุต่อว่าสหรัฐฯ ได้ข้อสรุปว่า ทหารเกาหลีเหนือถูกลำเลียงทางเรือจากภูมิภาคว็อนซันของเกาหลีเหนือ ไปยังเมืองวลาดิวอสต็อกของรัสเซีย ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนจนถึงกลางเดือนตุลาคม ก่อนเคลื่อนย้ายไปยังศูนย์ฝึกทหาร 3 แห่งทางตะวันออกของยูเครน
    .
    ในกรุงโซล บรรดาสมาชิกรัฐสภาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวหลังได้รับรายงานสรุปจากสำนักข่าวกรองแห่งชาติเกาหลีใต้ ระบุว่าเบื้องต้นเปียงยางส่งทหารเข้าไปยังรัสเซียแล้ว 3,000 นาย และคาดหมายว่ารวมแล้วจะมีกำลังพลเกาหลีเหนือทั้งสิ้นราว 10,000 นาย เมื่อการประจำการเสร็จสมบูรณ์ในเดือนธันวาคม
    .
    ความขัดแย้งในยูเครนปะทุขึ้นมา หลังจากรัสเซียเปิดฉากรุกรานประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 และนับตั้งแต่นั้นมันได้พัฒนาการเข้าสงครามหนึ่งที่การสู้รบส่วนใหญ่เกิดขึ้นในแนวหน้าทางตะวันออกของยูเครน และทั้งสองฝ่ายสูญเสียกำลังพลไปอย่างมหาศาล
    .
    สหรัฐฯ บอกว่าการประจำการของทหารเกาหลีเหนือ อาจเป็นหลักฐานเพิ่มเติมที่บ่งชี้ว่ากองทัพรัสเซียกำลังมีปัญหาด้านกำลังพล หลังจากก่อนหน้านี้พวกเจ้าหน้าที่อเมริกาเคยกล่าวอ้างว่ามีทหารของมอสโกเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บในสงครามยูเครนไปแล้วมากกว่า 600,000 นาย
    .
    วังเครมลินปฏิเสธคำกล่าวหาโซลเกี่ยวกับการประจำการทหารเกาหลีเหนือว่าเป็น "ข่าวปลอม" และตัวแทนรายหนึ่งของเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ เรียกมันว่าเป็นข่าวลือที่ไร้หลักฐาน
    .
    ที่ผ่านมา ทั้งมอสโกและเปียงยางปฏิเสธเช่นกันเกี่ยวกับการส่งมอบอาวุธ แต่พวกเขาประกาศยกระดับความสัมพันธ์ทางทหาร และลงนามในสนธิสัญญากลาโหมร่วม ณ ที่ประชุมซัมมิต เมื่อเดือนมิถุนายน
    .
    คำกล่าวอ้างล่าสุดเกี่ยวกับการประจำการทหารเกาหลีเหนือในรัสเซีย มีขึ้นหลังจากหน่วยข่าวกรองแห่งชาติของโซล ระบุเมื่อวันศุกร์ (18 ต.ค.) ว่าเกาหลีเหนือได้ขนส่งทางเรือ พาบุคลากรกองกำลังพิเศษราว 1,500 นายไปยังรัสเซีย และมีความเป็นไปได้ว่ากำลังพลเหล่านี้จะถูกส่งเข้าประจำการเพื่อสู้รบในสงครามในยุเครน หลังผ่านการฝึกฝนและมีความเคยชินกับสภาพอากาศแล้ว
    .
    ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน กล่าวหาเช่นกันว่า เปียงยางกำลังส่งทหาร 10,000 นาย ไปยังรัสเซีย และในวันอังคาร (22 ต.ค.) เขาเรียกร้องให้บรรดาพันธมิตรตอบสนองต่อหลักฐานที่ว่า เกาหลีเหนือเข้ามาพัวพันในสงครามของรัสเซียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    .
    ในเรื่องนี้ โฆษกของนาโตบอกว่าเหล่าพันธมิตรนาโตกำลังปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับกรณีเกาหลีเหนือส่งทหารเข้าประจำการในรัสเซีย
    .
    เจ้าหน้าที่รายหนึ่งในรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน บอกว่ามอสโกอาจส่งทหารเกาหลีเหนือไปยังภาคตะวันออกของยูเครน หรือในแคว้นคูร์สก์ของตนเอง ดินแดนที่ทหารรัสเซียกำลังสู้รบขับไล่กองกำลังยูเครนที่ยึดครองพื้นที่หนึ่งๆ ที่พวกเขายึดมาได้ในปฏิบัติการรุกรานตอบโต้ ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
    .
    ไมค์ เทอร์เนอร์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลง เรียกร้องให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไฟเขียวเคียฟตอบโต้ด้วยอาวุธที่จัดหาให้โดยอเมริกา หากว่าทหารเกาหลีเหนือโจมตียูเครนมาจากดินแดนของรัสเซีย
    .
    "ถ้าทหารเกาหลีเหนือรุกรานเข้าสู่ดินแดนอธิปไตยของยูเครน สหรัฐฯ จำเป็นต้องพิจารณาอย่างจริงจังในการใช้ปฏิบัติการทางทหารโดยตรงกับกองกำลังเกาหลีเหนือ" เทอร์เนอร์กล่าว
    .
    เมื่อวันอังคาร (22 ต.ค.) ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เรียกร้องให้เกาหลีเหนือถอนทหารออกจากรัสเซียในทันที พร้อมเตือนว่าพวกเขาอาจพิจารณาป้อนอาวุธร้ายแรงแก่ยูเครนเช่นกัน หากว่าความสัมพันธ์ทางทหารระหว่าง 2 ชาตินั้นเลยเถิดเกินไป
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102308
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯ เปิดเผยเป็นครั้งแรก พวกเขาพบเห็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่าเกาหลีเหนือส่งทหาร 3,000 นายไปยังรัสเซีย สำหรับความเป็นไปได้เข้าประจำการในยูเครน ความเคลื่อนไหวที่อาจทำให้สงครามระหว่างมอสโกกับเคียฟลุกลามบานปลายครั้งใหญ่ . ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวในกรุงโรม ว่า "มันจะเป็นเรื่องร้ายแรงมากๆ ถ้าเกาหลีเหนือเตรียมการสู้รบเคียงข้างรัสเซียในยูเครน ตามที่เคียฟกล่าวหา" อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่ายังคงต้องดูว่าทหารเหล่นั้นเข้าไปทำอะไรในรัสเซีย "มีหลักฐานว่าทหารเกาหลีเหนืออยู่ในรัสเซีย" เขาบอกกับผู้สื่อข่าว . จอห์น เคอร์บี โฆษกทำเนียบข่าวให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวในเวลาต่อมาในวันพุธ (23 ต.ค.) ระบุสหรัฐฯ เชื่อว่ามีทหารเกาหลีเหนืออย่างน้อย 3,000 นายกำลังฝึกฝนที่ฐานทัพ 3 แห่ง ทางตะวันออกของรัสเซีย . เคอร์บี ระบุต่อว่าสหรัฐฯ ได้ข้อสรุปว่า ทหารเกาหลีเหนือถูกลำเลียงทางเรือจากภูมิภาคว็อนซันของเกาหลีเหนือ ไปยังเมืองวลาดิวอสต็อกของรัสเซีย ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนจนถึงกลางเดือนตุลาคม ก่อนเคลื่อนย้ายไปยังศูนย์ฝึกทหาร 3 แห่งทางตะวันออกของยูเครน . ในกรุงโซล บรรดาสมาชิกรัฐสภาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวหลังได้รับรายงานสรุปจากสำนักข่าวกรองแห่งชาติเกาหลีใต้ ระบุว่าเบื้องต้นเปียงยางส่งทหารเข้าไปยังรัสเซียแล้ว 3,000 นาย และคาดหมายว่ารวมแล้วจะมีกำลังพลเกาหลีเหนือทั้งสิ้นราว 10,000 นาย เมื่อการประจำการเสร็จสมบูรณ์ในเดือนธันวาคม . ความขัดแย้งในยูเครนปะทุขึ้นมา หลังจากรัสเซียเปิดฉากรุกรานประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 และนับตั้งแต่นั้นมันได้พัฒนาการเข้าสงครามหนึ่งที่การสู้รบส่วนใหญ่เกิดขึ้นในแนวหน้าทางตะวันออกของยูเครน และทั้งสองฝ่ายสูญเสียกำลังพลไปอย่างมหาศาล . สหรัฐฯ บอกว่าการประจำการของทหารเกาหลีเหนือ อาจเป็นหลักฐานเพิ่มเติมที่บ่งชี้ว่ากองทัพรัสเซียกำลังมีปัญหาด้านกำลังพล หลังจากก่อนหน้านี้พวกเจ้าหน้าที่อเมริกาเคยกล่าวอ้างว่ามีทหารของมอสโกเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บในสงครามยูเครนไปแล้วมากกว่า 600,000 นาย . วังเครมลินปฏิเสธคำกล่าวหาโซลเกี่ยวกับการประจำการทหารเกาหลีเหนือว่าเป็น "ข่าวปลอม" และตัวแทนรายหนึ่งของเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ เรียกมันว่าเป็นข่าวลือที่ไร้หลักฐาน . ที่ผ่านมา ทั้งมอสโกและเปียงยางปฏิเสธเช่นกันเกี่ยวกับการส่งมอบอาวุธ แต่พวกเขาประกาศยกระดับความสัมพันธ์ทางทหาร และลงนามในสนธิสัญญากลาโหมร่วม ณ ที่ประชุมซัมมิต เมื่อเดือนมิถุนายน . คำกล่าวอ้างล่าสุดเกี่ยวกับการประจำการทหารเกาหลีเหนือในรัสเซีย มีขึ้นหลังจากหน่วยข่าวกรองแห่งชาติของโซล ระบุเมื่อวันศุกร์ (18 ต.ค.) ว่าเกาหลีเหนือได้ขนส่งทางเรือ พาบุคลากรกองกำลังพิเศษราว 1,500 นายไปยังรัสเซีย และมีความเป็นไปได้ว่ากำลังพลเหล่านี้จะถูกส่งเข้าประจำการเพื่อสู้รบในสงครามในยุเครน หลังผ่านการฝึกฝนและมีความเคยชินกับสภาพอากาศแล้ว . ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน กล่าวหาเช่นกันว่า เปียงยางกำลังส่งทหาร 10,000 นาย ไปยังรัสเซีย และในวันอังคาร (22 ต.ค.) เขาเรียกร้องให้บรรดาพันธมิตรตอบสนองต่อหลักฐานที่ว่า เกาหลีเหนือเข้ามาพัวพันในสงครามของรัสเซียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว . ในเรื่องนี้ โฆษกของนาโตบอกว่าเหล่าพันธมิตรนาโตกำลังปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับกรณีเกาหลีเหนือส่งทหารเข้าประจำการในรัสเซีย . เจ้าหน้าที่รายหนึ่งในรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน บอกว่ามอสโกอาจส่งทหารเกาหลีเหนือไปยังภาคตะวันออกของยูเครน หรือในแคว้นคูร์สก์ของตนเอง ดินแดนที่ทหารรัสเซียกำลังสู้รบขับไล่กองกำลังยูเครนที่ยึดครองพื้นที่หนึ่งๆ ที่พวกเขายึดมาได้ในปฏิบัติการรุกรานตอบโต้ ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา . ไมค์ เทอร์เนอร์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลง เรียกร้องให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไฟเขียวเคียฟตอบโต้ด้วยอาวุธที่จัดหาให้โดยอเมริกา หากว่าทหารเกาหลีเหนือโจมตียูเครนมาจากดินแดนของรัสเซีย . "ถ้าทหารเกาหลีเหนือรุกรานเข้าสู่ดินแดนอธิปไตยของยูเครน สหรัฐฯ จำเป็นต้องพิจารณาอย่างจริงจังในการใช้ปฏิบัติการทางทหารโดยตรงกับกองกำลังเกาหลีเหนือ" เทอร์เนอร์กล่าว . เมื่อวันอังคาร (22 ต.ค.) ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เรียกร้องให้เกาหลีเหนือถอนทหารออกจากรัสเซียในทันที พร้อมเตือนว่าพวกเขาอาจพิจารณาป้อนอาวุธร้ายแรงแก่ยูเครนเช่นกัน หากว่าความสัมพันธ์ทางทหารระหว่าง 2 ชาตินั้นเลยเถิดเกินไป . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102308 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Sad
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1915 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้แทนเกาหลีเหนือประจำยูเอ็น ออกมาแถลง โต้ข่าวซึ่งเผยแพร่อยู่ในโลกตะวันตก ที่กล่าวหาโสมแดงส่งทหารไปช่วยรัสเซียสู้รบในยูเครน ชี้เป็นข่าวลือไม่มีมูล หลังจากก่อนหน้านี้ เกาหลีใต้แสดงปฏิกิริยาต่อข่าวนี้ด้วยการประณามโสมเหนืออย่างรุนแรง พร้อมเรียกร้องให้เปียงยางถอนทหารกลับทันที รวมทั้งประกาศว่า ถ้าการเป็นพันธมิตรทางทหารระหว่างเปียงยางกับมอสโกยังดำเนินต่อไป โซลจะดำเนินมาตรการตอบโต้ นอกจากนั้นผู้นำเกาหลีใต้ยังเล็งเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างเกาหลีใต้ ยูเครน และนาโต
    .
    สืบเนื่องจากที่หน่วยงานข่าวกรองของเกาหลีใต้กล่าวอ้างตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ (18) ว่า เปียงยางได้จัดส่งทหารจำนวนมากไปช่วยรัสเซีย โดยระบุว่า ขณะนี้กองกำลังสู้รบพิเศษราว 1,500 นายของเกาหลีเหนือ ถูกส่งไปฝึกอยู่ในบริเวณภาคตะวันออกไกลของรัสเซียแล้ว และพร้อมไปร่วมรบในสงครามยูเครนเร็วๆ นี้
    .
    อย่างไรก็ดี ในวันจันทร์ (21) ผู้แทนของเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ แถลงในการประชุมคณะกรรมาธิการของสมัชชาใหญ่ยูเอ็นว่า การกล่าวอ้างของโซลมีเป้าหมายเพื่อทำลายภาพลักษณ์ของเกาหลีเหนือ รวมทั้งบ่อนทำลายความสัมพันธ์ฉันมิตรอันชอบธรรมระหว่างเกาหลีเหนือกับรัสเซีย
    .
    เปียงยางและมอสโกเป็นพันธมิตรกันนับจากการก่อตั้งประเทศเกาหลีเหนือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นภายหลังรัสเซียรุกรานยูเครนในปี 2022 ขณะที่เกาหลีใต้และอเมริกาซึ่งก็สนิทสนมกันมากตั้งแต่หลังสงคราม กล่าวหามานานแล้วว่า คิม จองอึน ผู้นำโสมแดง ส่งอาวุธให้รัสเซียใช้ในยูเครน
    .
    เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กับคิมยังลงนามข้อตกลงความมั่นคงที่กำหนดว่า สองประเทศจะช่วยเหลือกันหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถูกศัตรูรุกราน
    .
    ทางด้านจอร์จี ซีโนเวียฟ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำโซล ที่ถูกเกาหลีใต้เรียกเข้าพบในวันจันทร์ (21) เพื่อร้องเรียน ไม่ได้ยืนยันข้อกล่าวหาของเกาหลีใต้ แต่ย้ำว่า ความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนืออยู่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศและไม่กระทบโดยตรงต่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของเกาหลีใต้แต่อย่างใด
    .
    นอกจากนั้นเมื่อคืนวันจันทร์ ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ยังแถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า ความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนือไม่ได้พุ่งเป้าที่ประเทศที่สาม และไม่มีใครต้องกังวล
    .
    ในส่วนอเมริกาและองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) แม้ไม่ได้ออกมายืนยันข้อกล่าวอ้างของโซล แต่โรเบิร์ต วูด รองเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็น แถลงต่อคณะมนตรีความมั่นคงว่า หากข้อกล่าวหาเรื่องเกาหลีเหนือเป็นจริง จะถือเป็นความเคลื่อนไหวที่อันตรายและน่ากังวลมาก อีกทั้งสะท้อนความสัมพันธ์ทางทหารที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างเกาหลีเหนือกับรัสเซีย
    .
    ส่วน มาร์ก รึตเตอ เลขาธิการนาโต กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า การที่เปียงยางส่งทหารไปช่วยรัสเซียรบจะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งยิ่งลุกลาม
    .
    ระหว่างการหารือทางโทรศัพท์กับรึตเตอ ในวันเดียวกัน ประธานาธิบดียุน ซอกยอลของเกาหลีใต้ เรียกร้องให้นาโตสำรวจมาตรการตอบโต้ที่เป็นรูปธรรม และสำทับว่า จะดำเนินการขั้นตอนต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างเกาหลีใต้ ยูเครน และนาโต
    .
    ขณะเดียวกัน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ตอบคำถามบีบีซีเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการร่วมมือระหว่างเปียงยาง-มอสโกว่า จีนหวังว่า ทุกฝ่ายจะดำเนินการเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์และหาทางแก้ไขวิกฤตยูเครนด้วยแนวทางการเมือง
    .
    ต่อมาในวันอังคาร (22 ต.ค.) สภาความมั่นคงแห่งชาติของเกาหลีใต้ออกคำแถลงประณามเกาหลีเหนืออย่างรุนแรงว่า การส่งทหารไปร่วมสงครามรุกรานที่ผิดกฎหมายของรัสเซียในยูเครนเป็นภัยคุกคามความมั่นคงอย่างมากไม่เฉพาะกับเกาหลีใต้ แต่รวมถึงนานาชาติ พร้อมเรียกร้องให้เปียงยางถอนทหารกลับประเทศทันที และประกาศว่า ถ้าการเป็นพันธมิตรทางทหารระหว่างเปียงยางกับมอสโกยังดำเนินต่อไป เกาหลีใต้จะดำเนินมาตรการตอบโต้
    .
    วันเดียวกันนั้น สำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวในรัฐบาลคนหนึ่งว่า โซลกำลังพิจารณาส่งทีมเจ้าหน้าที่ไปยูเครนเพื่อติดตามตรวจสอบเกี่ยวกับทหารเกาหลีเหนือที่ถูกส่งไปรัสเซีย
    .
    จากข้อมูลของแหล่งข่าว ทีมที่จะส่งไปมีแนวโน้มประกอบด้วยนายทหารจากหน่วยข่าวกรองเพื่อวิเคราะห์กลยุทธ์ในสนามรบของเกาหลีเหนือ และร่วมสอบปากคำเชลยสงครามที่ยูเครนควบคุมตัวอยู่
    .
    ยอนฮัปยังรายงานว่า บัญชีเทเลแกรมที่สนับสนุนรัสเซียโพสต์ภาพธงรัสเซียและเกาหลีเหนือเคียงข้างกันอยู่ในสนามรบในยูเครน
    .
    สื่อบางสำนักของเกาหลีใต้อ้างว่า เกาหลีเหนืออาจส่งทหารถึง 12,000 นายไปช่วยรัสเซีย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102030
    ..............
    Sondhi X
    ผู้แทนเกาหลีเหนือประจำยูเอ็น ออกมาแถลง โต้ข่าวซึ่งเผยแพร่อยู่ในโลกตะวันตก ที่กล่าวหาโสมแดงส่งทหารไปช่วยรัสเซียสู้รบในยูเครน ชี้เป็นข่าวลือไม่มีมูล หลังจากก่อนหน้านี้ เกาหลีใต้แสดงปฏิกิริยาต่อข่าวนี้ด้วยการประณามโสมเหนืออย่างรุนแรง พร้อมเรียกร้องให้เปียงยางถอนทหารกลับทันที รวมทั้งประกาศว่า ถ้าการเป็นพันธมิตรทางทหารระหว่างเปียงยางกับมอสโกยังดำเนินต่อไป โซลจะดำเนินมาตรการตอบโต้ นอกจากนั้นผู้นำเกาหลีใต้ยังเล็งเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างเกาหลีใต้ ยูเครน และนาโต . สืบเนื่องจากที่หน่วยงานข่าวกรองของเกาหลีใต้กล่าวอ้างตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ (18) ว่า เปียงยางได้จัดส่งทหารจำนวนมากไปช่วยรัสเซีย โดยระบุว่า ขณะนี้กองกำลังสู้รบพิเศษราว 1,500 นายของเกาหลีเหนือ ถูกส่งไปฝึกอยู่ในบริเวณภาคตะวันออกไกลของรัสเซียแล้ว และพร้อมไปร่วมรบในสงครามยูเครนเร็วๆ นี้ . อย่างไรก็ดี ในวันจันทร์ (21) ผู้แทนของเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ แถลงในการประชุมคณะกรรมาธิการของสมัชชาใหญ่ยูเอ็นว่า การกล่าวอ้างของโซลมีเป้าหมายเพื่อทำลายภาพลักษณ์ของเกาหลีเหนือ รวมทั้งบ่อนทำลายความสัมพันธ์ฉันมิตรอันชอบธรรมระหว่างเกาหลีเหนือกับรัสเซีย . เปียงยางและมอสโกเป็นพันธมิตรกันนับจากการก่อตั้งประเทศเกาหลีเหนือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นภายหลังรัสเซียรุกรานยูเครนในปี 2022 ขณะที่เกาหลีใต้และอเมริกาซึ่งก็สนิทสนมกันมากตั้งแต่หลังสงคราม กล่าวหามานานแล้วว่า คิม จองอึน ผู้นำโสมแดง ส่งอาวุธให้รัสเซียใช้ในยูเครน . เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กับคิมยังลงนามข้อตกลงความมั่นคงที่กำหนดว่า สองประเทศจะช่วยเหลือกันหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถูกศัตรูรุกราน . ทางด้านจอร์จี ซีโนเวียฟ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำโซล ที่ถูกเกาหลีใต้เรียกเข้าพบในวันจันทร์ (21) เพื่อร้องเรียน ไม่ได้ยืนยันข้อกล่าวหาของเกาหลีใต้ แต่ย้ำว่า ความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนืออยู่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศและไม่กระทบโดยตรงต่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของเกาหลีใต้แต่อย่างใด . นอกจากนั้นเมื่อคืนวันจันทร์ ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ยังแถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า ความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนือไม่ได้พุ่งเป้าที่ประเทศที่สาม และไม่มีใครต้องกังวล . ในส่วนอเมริกาและองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) แม้ไม่ได้ออกมายืนยันข้อกล่าวอ้างของโซล แต่โรเบิร์ต วูด รองเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็น แถลงต่อคณะมนตรีความมั่นคงว่า หากข้อกล่าวหาเรื่องเกาหลีเหนือเป็นจริง จะถือเป็นความเคลื่อนไหวที่อันตรายและน่ากังวลมาก อีกทั้งสะท้อนความสัมพันธ์ทางทหารที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างเกาหลีเหนือกับรัสเซีย . ส่วน มาร์ก รึตเตอ เลขาธิการนาโต กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า การที่เปียงยางส่งทหารไปช่วยรัสเซียรบจะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งยิ่งลุกลาม . ระหว่างการหารือทางโทรศัพท์กับรึตเตอ ในวันเดียวกัน ประธานาธิบดียุน ซอกยอลของเกาหลีใต้ เรียกร้องให้นาโตสำรวจมาตรการตอบโต้ที่เป็นรูปธรรม และสำทับว่า จะดำเนินการขั้นตอนต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างเกาหลีใต้ ยูเครน และนาโต . ขณะเดียวกัน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ตอบคำถามบีบีซีเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการร่วมมือระหว่างเปียงยาง-มอสโกว่า จีนหวังว่า ทุกฝ่ายจะดำเนินการเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์และหาทางแก้ไขวิกฤตยูเครนด้วยแนวทางการเมือง . ต่อมาในวันอังคาร (22 ต.ค.) สภาความมั่นคงแห่งชาติของเกาหลีใต้ออกคำแถลงประณามเกาหลีเหนืออย่างรุนแรงว่า การส่งทหารไปร่วมสงครามรุกรานที่ผิดกฎหมายของรัสเซียในยูเครนเป็นภัยคุกคามความมั่นคงอย่างมากไม่เฉพาะกับเกาหลีใต้ แต่รวมถึงนานาชาติ พร้อมเรียกร้องให้เปียงยางถอนทหารกลับประเทศทันที และประกาศว่า ถ้าการเป็นพันธมิตรทางทหารระหว่างเปียงยางกับมอสโกยังดำเนินต่อไป เกาหลีใต้จะดำเนินมาตรการตอบโต้ . วันเดียวกันนั้น สำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวในรัฐบาลคนหนึ่งว่า โซลกำลังพิจารณาส่งทีมเจ้าหน้าที่ไปยูเครนเพื่อติดตามตรวจสอบเกี่ยวกับทหารเกาหลีเหนือที่ถูกส่งไปรัสเซีย . จากข้อมูลของแหล่งข่าว ทีมที่จะส่งไปมีแนวโน้มประกอบด้วยนายทหารจากหน่วยข่าวกรองเพื่อวิเคราะห์กลยุทธ์ในสนามรบของเกาหลีเหนือ และร่วมสอบปากคำเชลยสงครามที่ยูเครนควบคุมตัวอยู่ . ยอนฮัปยังรายงานว่า บัญชีเทเลแกรมที่สนับสนุนรัสเซียโพสต์ภาพธงรัสเซียและเกาหลีเหนือเคียงข้างกันอยู่ในสนามรบในยูเครน . สื่อบางสำนักของเกาหลีใต้อ้างว่า เกาหลีเหนืออาจส่งทหารถึง 12,000 นายไปช่วยรัสเซีย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102030 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1261 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้ประกาศตอกย้ำเอาไว้อีกครั้ง ว่าภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” กำลังใกล้นำพาประเทศอเมริกาเข้าสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” อีกแค่ไม่กี่เดือนข้างหน้า ถ้าว่ากันโดยคำพูดแบบ “คำต่อคำ” ที่ถูกถ่ายทอดผ่านสำนักข่าวต่างๆ ก็คือ... “เรากำลังมีปัญหา ที่ทำให้ผมรู้สึกวิตกกังวลเอาจริงๆ ต่อเหตุการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ผมกังวลว่าเราอาจต้องจบลงด้วยสงครามโลกครั้งที่ 3 ด้วยเหตุเพราะรัฐบาลที่กำลังเป็นอยู่” หรือถึงขั้นถ้าตัวเองเกิดชนะเลือกตั้งขึ้นมา มีแต่ต้อง “ลงมืออย่างเร่งด่วนและด้วยความรวดเร็ว...ถึงจะช่วยปกปักรักษาประเทศอเมริกา ช่วยกอบกู้ประชาชนชาวแคลิฟอร์เนียให้พ้นไปจากเงื้อมมือของพรรคการเมืองตรงกันข้าม ด้วยการหยุดสงครามยูเครน ยุติความสับสนอลหม่านในตะวันออกกลาง และป้องกันไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ให้จงได้!!!” นี่...เป็นเรื่อง-เป็นราว เป็นจริง-เป็นจัง ไปได้ถึงขั้นนั้น...

    เหตุที่ “ทรัมป์บ้า” ต้องนำเอาเรื่องราวเหล่านี้มาพูดจาหาเสียงกันอีกครั้ง แม้ว่าเคยพูดจาทำนองนี้มาแล้วหลายครั้งหลายหน มันออกจะเป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจ อยู่พอสมควรเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านั้น...หนังสือพิมพ์ “The Washington Post” เขาได้นำเสนอรายงานข่าวเมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 ต.ค.) ว่าประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “โจ ซึมเซา” ได้บอกกับที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว ให้ไป “เตือนอิหร่าน” ว่าความพยายามลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” นั้น เท่ากับเป็นการ “ประกาศสงคราม” กับอเมริกา อันอาจถือเป็นการแสดงความห่วงใย ความต้องการปกป้องชาวอเมริกัน แม้จะเป็นคู่แข่งทางการเมืองของตัวเองก็ตาม แต่ปัญหามีอยู่ว่า...ทำไมการคิดลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” มันดันถูกโยงไปยังคู่กัด-คู่อาฆาตของอเมริกาและพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล เช่นประเทศอิหร่านจนได้??? ทั้งที่น่าจะเป็น “คนละเรื่อง” แท้ๆ...

    ส่วนที่อาจเกี่ยวข้องอยู่บ้างนิดๆ ก็คือ...กรณีเกิดการลอบสังหารผู้นำทางทหารอิหร่าน อย่าง “พลเอกQassem Soleimani” เมื่อช่วงเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2020 อันเป็นช่วงเดียวกับที่ “ทรัมป์บ้า” ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และอาจมีส่วนรับทราบ รู้เห็นต่อการกระทำเช่นนี้ แต่นั่นก็ยากที่จะนำมาเกี่ยวข้องโยงใยกับบรรดา “ผู้ต้องหา” หรือ “มือปืน” ที่พยายามลอบฆ่า ลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” คราวแล้ว คราวเล่า ซึ่งออกจะหนักไปทางพวก “สาวกเดโมแครต” นั่นแหละเป็นหลัก ไม่ได้เกี่ยวกับมุสลิม อิสลาม หรือกับอิหร่านด้วยเลย อีกทั้งในคำประกาศแก้แค้น-เอาคืนของอิหร่านต่อกรณีดังกล่าว ก็ดูจะเน้นหนักไปในทาง “ยุทธศาสตร์” ไม่ได้คิดจะอาศัยเพียงแค่ “ยุทธวิธี” แบบโง่ๆ-ง่ายๆ หรือมุ่งที่คิดจะเสือกไสไล่ส่ง บรรดาทหารอเมริกาทั้งมวลไม่ให้เหลือติดอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางแม้แต่รายเดียว...อะไรประมาณนั้น...

    และก็แน่ล่ะว่า...ทางการอิหร่านเขาได้ออกมาปฏิเสธแบบหัวเด็ด-ตีนขาด ต่อ “ข้อกล่าวหา” เรื่องคิดจะลอบฆ่า ลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” มาแล้วตั้งแต่ต้น หรือตั้งแต่ถูก “ยิงเฉี่ยวหู” เมื่อช่วงกรกฎาคมที่ผ่านมา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน “นายNasser Kanaani” ได้ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการว่าอิหร่านไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย และ “สิ่งที่อิหร่านต้องการก็คือการอาศัยการกระทำที่ถูกต้องตามตัวบทกฎหมายต่อผู้ที่มีส่วนรู้เห็น รับผิดชอบ การลอบสังหารพลเอกSoleimani” ด้วยเหตุนี้การนำเอาเรื่องการลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” มาเกี่ยวโยงกับอิหร่าน หรือมาใช้เป็น “ข้ออ้าง” ในการ “ประกาศสงคราม” ของอเมริกา มันเลยออกจะคล้ายๆ การประกาศสงครามกับ “ซัดดัม ฮุสเซน” แห่งอิรัก อันเนื่องมาจากมี “อาวุธทำลายล้าง” อยู่ในครอบครอง อะไรทำนองนั้น คือแม้จะมาจาก “การข่าว” ใดๆ ก็เถอะ แต่หนักไปทาง “ข่าวลวง-ข่าวลือ” ที่หาหลักฐาน-ข้อพิสูจน์ใดๆ แทบไม่ได้ ชนิดเผลอๆ... “ทรัมป์บ้า” อาจต้อง “ตายฟรี” พร้อมๆ กับการเปิดฉากสงครามกับอิหร่าน แบบยิงปืนนัดเดียวนกหล่นลงมาทั้งพวง เอาเลยก็ไม่แน่!!!

    การโยงเอาอิหร่านกับการลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” ให้กลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ถึงขั้นที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่าง “โจ ซึมเซา” ถึงกับออกมาประกาศว่าเป็นการ “ประกาศสงครามโดยตรงกับอเมริกา” ขณะที่พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลก็กำลังกระเหี้ยนกระหือรือ อยากจะแก้แค้น-เอาคืนกับอิหร่านเต็มที โดยหวังจะฉุดกระชากลากถูให้อเมริกาเข้ามาร่วมรุมถล่มอิหร่านอีกด้วยต่างหาก อันอาจนำไปสู่ฉากเหตุการณ์ “สงครามโลกครั้งที่ 3” อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ดังที่ “ทรัมป์บ้า” ออกมาแสดงความวิตกกังวลในเวทีปราศรัยคราวล่าสุด อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยชักจะเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” อย่างแทบไม่น่าเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่อจนได้...

    เพราะแม้ว่าอเมริกาภายใต้การนำของ “โจ ซึมเซา” หรือ “โจ ล้างเผ่าพันธุ์” ก็แล้วแต่จะเรียก พยายามแสดงท่าทีภายนอกว่าไม่อยากเห็นสงครามในตะวันออกกลาง ไม่ว่าอิสราเอลกับฮามาส กับเฮซบอลเลาะห์หรือกับอิหร่านก็ตามที แต่โดยความเคลื่อนไหวลึกๆ ลงไปแล้ว มันออกจะขัดแย้งและสวนทางกับการแสดงออกภายนอกอย่างเห็นได้โดยชัดเจน ไม่ว่าการมุ่ง “เติมเงิน-เติมอาวุธ” ให้กับรัฐบาลและกองทัพอิสราเอลแบบไม่ได้คิดยับยั้งชั่งใจใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แม้บรรดาประเทศต่างๆ นับเป็นร้อยๆ ต่างออกมาตำหนิประณามอิสราเอล คราวแล้ว-คราวเล่า ไม่ว่าเรื่องการประกาศให้เลขาธิการยูเอ็นเป็น “บุคคลไม่พึงปรารถนา” การโจมตีกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติโดยใคร่ครวญเอาไว้ก่อน รวมทั้งการมุ่งหน้า “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์อย่างไม่คิดจะยั้งมือ ฯลฯ แต่บรรดาสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลให้ผู้สนับสนุนอิสราเอลแบบ “มากกว่าประธานาธิบดีอเมริกันรายใดเท่าที่เคยมีมา” ดังที่ผู้ประกาศตัวเป็น “Zionist” อย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ได้ออกมาอวดโชว์คุณสมบัติของตัวเอง เกิดอาการคิดหน้า-คิดหลังต่อการสนับสนุนอิสราเอลแต่อย่างใด แต่กลับพร้อมที่จะกระพือฮือโหม “ไฟสงคราม”

    ไม่ว่าในแนวรบยุโรปตะวันออก หรือตะวันออกกลาง อย่างเป็นระบบและกิจการ...

    ล่าสุด...เห็นว่ากำลังคิดจะส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศ “THAAD” ที่ว่ากันว่าสามารถสกัดกั้นการโจมตีจากจรวดที่มีความเร็วระดับ Mach 7.5 ไปให้กับอิสราเอล แถม “พลตรีPat Ryder” โฆษกเพนตากอนแสดงท่าทีว่าคิดจะส่งกำลังทหารอเมริกาและอังกฤษเพิ่มเติมเข้าไปในตะวันออกกลาง ช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (13 ต.ค.) รวมทั้งผู้บัญชาการ “CENTCOM” (The Commander of the US Central Command) “พลเอกMichale Kurilla” ยังอุตส่าห์ถ่อไปถึงประเทศอิสราเอลเพื่อแสดงออกถึงความร่วมมือกับกองทัพอิสราเอลในการวางแผนโจมตีอิหร่านอีกต่างหาก อันนี้นี่แหละ...เลยทำให้สิ่งที่เรียกว่า “สงครามโลกครั้งที่ 3” อาจระเบิดเถิดเทิงขึ้นในอีก “ไม่กี่เดือนข้างหน้า” จนส่งผลให้ “ทรัมป์บ้า” อดไม่ได้ต้องออกมาแสดงความวิตกกังวล ขณะปราศรัยหาเสียง ณ เวทีแคลิฟอร์เนีย...

    โดยเฉพาะสำหรับใครก็ตาม ที่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียนบทความชิ้นล่าสุด ของอดีตทูตอินเดีย “M.K. Bhadrakumar” เรื่อง “Russia aligns with Iran, war cloud scatter” ที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮานำมาแปลและถ่ายทอดไปเมื่อวัน-สองวันมานี้ ก็น่าจะพอมองเห็นถึง “ความเป็นไปได้” ของ “อภิมหาสงคราม” อันเนื่องมาจากการบ่งชี้ถึงการบรรลุข้อตกลงความร่วมมือทางความมั่นคงระหว่าง “อิหร่าน-รัสเซีย” หรือที่เรียกๆ กันว่า “The Big Treaty” ที่อาจทำให้การโจมตีอิหร่านย่อมหมายถึงการเผชิญหน้าโดยตรงกับคุณน้ารัสเซียควบคู่ไปด้วย และคงไม่ต่างอะไรไปจากคุณพี่จีนที่นักยุทธศาสตร์การทหารของจีนเขาเคยพูดๆ เอาไว้ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ว่าจีนพร้อมที่จะปกป้องอิหร่าน...แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ตามที...

    ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้...เลยคงต้องขออนุญาตแนะนำให้ลองไปหาอ่านข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุดของ “นายRon Paul” อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐเท็กซัส และผู้เคยลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกามาแล้ว 3 ครั้ง ว่าด้วยเรื่อง “American Neocons Get Their Iran War as Congress Sleeps” หรือในขณะที่สมาชิกสภาคองเกรสอเมริกันกำลังนอนหลับคร่อกฟี้ๆ อยู่นั้น พวก “ขวาใหม่” หรือพวก “Neoconservative” ในอเมริกา อันเต็มไปด้วยลูกหลานชาวยิวยุ่มย่ามยั้วเยี้ยไปหมด อีกทั้งยังมีบทบาทอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกันในแทบทุกยุค-ทุกสมัยกำลังประสบความสำเร็จในการฉุดกระชากลากถูให้อเมริกาต้องเปิดศึกสงครามกับอิหร่านจนได้ โดยย้ำให้เห็นว่า...สงครามเช่นนี้แทบไม่ก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลใดๆ ต่อชาวอเมริกันและประเทศอเมริกาเอาเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยเหตุเพราะ... “เรา(ชาวอเมริกัน)กำลังเดินละเมอไปสู่สงครามแห่งกลียุค ที่ถูกกล่อมเกลาโดยการโฆษณาของบรรดาสื่อมวลชน อันจะมีผลให้ผู้คนนับพันๆ ล้านต้องประสบกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจ และผู้บริสุทธิ์อีกมากกว่านั้นจะต้องสูญเสียชีวิตไปกับความบ้าคลั่งแห่งสงคราม...”

    ในบทความชิ้นนี้ยังได้สรุปไว้ในตอนท้ายอย่างน่าคิดสะกิดใจเอามากๆ ด้วยข้อความที่ว่า... “มากกว่าครึ่งศตวรรษมาแล้วที่เรายังคงไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนแห่งเหตุการณ์ 9/11 เมื่อเราออกไปสร้างความฉิบหายวายวอดให้กับผู้คนนอกประเทศที่ไม่เคยทำร้ายอะไรเราเลย นั่นก็คือเราได้สร้าง...ศัตรู ผู้ที่คิดจะแก้แค้น-เอาคืน หรือนั่นก็คือเราได้ทำร้ายตัวเราเอง เราสร้างความเสี่ยงให้กับการโต้กลับ ด้วยเหตุนี้...ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องลุกขึ้นมาคัดค้านและปฏิเสธสงครามที่กำลังใกล้เข้ามา นับตั้งแต่...เดี๋ยวนี้!!!” นี่...เป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ อันนี้คงต้องขึ้นอยู่กับบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ว่าจะ “ฟัง...แล้วได้ยิน” ต่อคำเตือนของอดีตนักการเมืองรายนี้หรือไม่? อย่างไร? นั่นแล...

    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ https://mgronline.com/daily/detail/9670000100145

    #Thaitimes
    ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้ประกาศตอกย้ำเอาไว้อีกครั้ง ว่าภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” กำลังใกล้นำพาประเทศอเมริกาเข้าสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” อีกแค่ไม่กี่เดือนข้างหน้า ถ้าว่ากันโดยคำพูดแบบ “คำต่อคำ” ที่ถูกถ่ายทอดผ่านสำนักข่าวต่างๆ ก็คือ... “เรากำลังมีปัญหา ที่ทำให้ผมรู้สึกวิตกกังวลเอาจริงๆ ต่อเหตุการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ผมกังวลว่าเราอาจต้องจบลงด้วยสงครามโลกครั้งที่ 3 ด้วยเหตุเพราะรัฐบาลที่กำลังเป็นอยู่” หรือถึงขั้นถ้าตัวเองเกิดชนะเลือกตั้งขึ้นมา มีแต่ต้อง “ลงมืออย่างเร่งด่วนและด้วยความรวดเร็ว...ถึงจะช่วยปกปักรักษาประเทศอเมริกา ช่วยกอบกู้ประชาชนชาวแคลิฟอร์เนียให้พ้นไปจากเงื้อมมือของพรรคการเมืองตรงกันข้าม ด้วยการหยุดสงครามยูเครน ยุติความสับสนอลหม่านในตะวันออกกลาง และป้องกันไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ให้จงได้!!!” นี่...เป็นเรื่อง-เป็นราว เป็นจริง-เป็นจัง ไปได้ถึงขั้นนั้น... เหตุที่ “ทรัมป์บ้า” ต้องนำเอาเรื่องราวเหล่านี้มาพูดจาหาเสียงกันอีกครั้ง แม้ว่าเคยพูดจาทำนองนี้มาแล้วหลายครั้งหลายหน มันออกจะเป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจ อยู่พอสมควรเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านั้น...หนังสือพิมพ์ “The Washington Post” เขาได้นำเสนอรายงานข่าวเมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 ต.ค.) ว่าประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “โจ ซึมเซา” ได้บอกกับที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว ให้ไป “เตือนอิหร่าน” ว่าความพยายามลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” นั้น เท่ากับเป็นการ “ประกาศสงคราม” กับอเมริกา อันอาจถือเป็นการแสดงความห่วงใย ความต้องการปกป้องชาวอเมริกัน แม้จะเป็นคู่แข่งทางการเมืองของตัวเองก็ตาม แต่ปัญหามีอยู่ว่า...ทำไมการคิดลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” มันดันถูกโยงไปยังคู่กัด-คู่อาฆาตของอเมริกาและพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล เช่นประเทศอิหร่านจนได้??? ทั้งที่น่าจะเป็น “คนละเรื่อง” แท้ๆ... ส่วนที่อาจเกี่ยวข้องอยู่บ้างนิดๆ ก็คือ...กรณีเกิดการลอบสังหารผู้นำทางทหารอิหร่าน อย่าง “พลเอกQassem Soleimani” เมื่อช่วงเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2020 อันเป็นช่วงเดียวกับที่ “ทรัมป์บ้า” ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และอาจมีส่วนรับทราบ รู้เห็นต่อการกระทำเช่นนี้ แต่นั่นก็ยากที่จะนำมาเกี่ยวข้องโยงใยกับบรรดา “ผู้ต้องหา” หรือ “มือปืน” ที่พยายามลอบฆ่า ลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” คราวแล้ว คราวเล่า ซึ่งออกจะหนักไปทางพวก “สาวกเดโมแครต” นั่นแหละเป็นหลัก ไม่ได้เกี่ยวกับมุสลิม อิสลาม หรือกับอิหร่านด้วยเลย อีกทั้งในคำประกาศแก้แค้น-เอาคืนของอิหร่านต่อกรณีดังกล่าว ก็ดูจะเน้นหนักไปในทาง “ยุทธศาสตร์” ไม่ได้คิดจะอาศัยเพียงแค่ “ยุทธวิธี” แบบโง่ๆ-ง่ายๆ หรือมุ่งที่คิดจะเสือกไสไล่ส่ง บรรดาทหารอเมริกาทั้งมวลไม่ให้เหลือติดอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางแม้แต่รายเดียว...อะไรประมาณนั้น... และก็แน่ล่ะว่า...ทางการอิหร่านเขาได้ออกมาปฏิเสธแบบหัวเด็ด-ตีนขาด ต่อ “ข้อกล่าวหา” เรื่องคิดจะลอบฆ่า ลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” มาแล้วตั้งแต่ต้น หรือตั้งแต่ถูก “ยิงเฉี่ยวหู” เมื่อช่วงกรกฎาคมที่ผ่านมา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน “นายNasser Kanaani” ได้ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการว่าอิหร่านไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย และ “สิ่งที่อิหร่านต้องการก็คือการอาศัยการกระทำที่ถูกต้องตามตัวบทกฎหมายต่อผู้ที่มีส่วนรู้เห็น รับผิดชอบ การลอบสังหารพลเอกSoleimani” ด้วยเหตุนี้การนำเอาเรื่องการลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” มาเกี่ยวโยงกับอิหร่าน หรือมาใช้เป็น “ข้ออ้าง” ในการ “ประกาศสงคราม” ของอเมริกา มันเลยออกจะคล้ายๆ การประกาศสงครามกับ “ซัดดัม ฮุสเซน” แห่งอิรัก อันเนื่องมาจากมี “อาวุธทำลายล้าง” อยู่ในครอบครอง อะไรทำนองนั้น คือแม้จะมาจาก “การข่าว” ใดๆ ก็เถอะ แต่หนักไปทาง “ข่าวลวง-ข่าวลือ” ที่หาหลักฐาน-ข้อพิสูจน์ใดๆ แทบไม่ได้ ชนิดเผลอๆ... “ทรัมป์บ้า” อาจต้อง “ตายฟรี” พร้อมๆ กับการเปิดฉากสงครามกับอิหร่าน แบบยิงปืนนัดเดียวนกหล่นลงมาทั้งพวง เอาเลยก็ไม่แน่!!! การโยงเอาอิหร่านกับการลอบสังหาร “ทรัมป์บ้า” ให้กลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ถึงขั้นที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่าง “โจ ซึมเซา” ถึงกับออกมาประกาศว่าเป็นการ “ประกาศสงครามโดยตรงกับอเมริกา” ขณะที่พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลก็กำลังกระเหี้ยนกระหือรือ อยากจะแก้แค้น-เอาคืนกับอิหร่านเต็มที โดยหวังจะฉุดกระชากลากถูให้อเมริกาเข้ามาร่วมรุมถล่มอิหร่านอีกด้วยต่างหาก อันอาจนำไปสู่ฉากเหตุการณ์ “สงครามโลกครั้งที่ 3” อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ดังที่ “ทรัมป์บ้า” ออกมาแสดงความวิตกกังวลในเวทีปราศรัยคราวล่าสุด อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยชักจะเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” อย่างแทบไม่น่าเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่อจนได้... เพราะแม้ว่าอเมริกาภายใต้การนำของ “โจ ซึมเซา” หรือ “โจ ล้างเผ่าพันธุ์” ก็แล้วแต่จะเรียก พยายามแสดงท่าทีภายนอกว่าไม่อยากเห็นสงครามในตะวันออกกลาง ไม่ว่าอิสราเอลกับฮามาส กับเฮซบอลเลาะห์หรือกับอิหร่านก็ตามที แต่โดยความเคลื่อนไหวลึกๆ ลงไปแล้ว มันออกจะขัดแย้งและสวนทางกับการแสดงออกภายนอกอย่างเห็นได้โดยชัดเจน ไม่ว่าการมุ่ง “เติมเงิน-เติมอาวุธ” ให้กับรัฐบาลและกองทัพอิสราเอลแบบไม่ได้คิดยับยั้งชั่งใจใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แม้บรรดาประเทศต่างๆ นับเป็นร้อยๆ ต่างออกมาตำหนิประณามอิสราเอล คราวแล้ว-คราวเล่า ไม่ว่าเรื่องการประกาศให้เลขาธิการยูเอ็นเป็น “บุคคลไม่พึงปรารถนา” การโจมตีกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติโดยใคร่ครวญเอาไว้ก่อน รวมทั้งการมุ่งหน้า “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์อย่างไม่คิดจะยั้งมือ ฯลฯ แต่บรรดาสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลให้ผู้สนับสนุนอิสราเอลแบบ “มากกว่าประธานาธิบดีอเมริกันรายใดเท่าที่เคยมีมา” ดังที่ผู้ประกาศตัวเป็น “Zionist” อย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ได้ออกมาอวดโชว์คุณสมบัติของตัวเอง เกิดอาการคิดหน้า-คิดหลังต่อการสนับสนุนอิสราเอลแต่อย่างใด แต่กลับพร้อมที่จะกระพือฮือโหม “ไฟสงคราม” ไม่ว่าในแนวรบยุโรปตะวันออก หรือตะวันออกกลาง อย่างเป็นระบบและกิจการ... ล่าสุด...เห็นว่ากำลังคิดจะส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศ “THAAD” ที่ว่ากันว่าสามารถสกัดกั้นการโจมตีจากจรวดที่มีความเร็วระดับ Mach 7.5 ไปให้กับอิสราเอล แถม “พลตรีPat Ryder” โฆษกเพนตากอนแสดงท่าทีว่าคิดจะส่งกำลังทหารอเมริกาและอังกฤษเพิ่มเติมเข้าไปในตะวันออกกลาง ช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (13 ต.ค.) รวมทั้งผู้บัญชาการ “CENTCOM” (The Commander of the US Central Command) “พลเอกMichale Kurilla” ยังอุตส่าห์ถ่อไปถึงประเทศอิสราเอลเพื่อแสดงออกถึงความร่วมมือกับกองทัพอิสราเอลในการวางแผนโจมตีอิหร่านอีกต่างหาก อันนี้นี่แหละ...เลยทำให้สิ่งที่เรียกว่า “สงครามโลกครั้งที่ 3” อาจระเบิดเถิดเทิงขึ้นในอีก “ไม่กี่เดือนข้างหน้า” จนส่งผลให้ “ทรัมป์บ้า” อดไม่ได้ต้องออกมาแสดงความวิตกกังวล ขณะปราศรัยหาเสียง ณ เวทีแคลิฟอร์เนีย... โดยเฉพาะสำหรับใครก็ตาม ที่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียนบทความชิ้นล่าสุด ของอดีตทูตอินเดีย “M.K. Bhadrakumar” เรื่อง “Russia aligns with Iran, war cloud scatter” ที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮานำมาแปลและถ่ายทอดไปเมื่อวัน-สองวันมานี้ ก็น่าจะพอมองเห็นถึง “ความเป็นไปได้” ของ “อภิมหาสงคราม” อันเนื่องมาจากการบ่งชี้ถึงการบรรลุข้อตกลงความร่วมมือทางความมั่นคงระหว่าง “อิหร่าน-รัสเซีย” หรือที่เรียกๆ กันว่า “The Big Treaty” ที่อาจทำให้การโจมตีอิหร่านย่อมหมายถึงการเผชิญหน้าโดยตรงกับคุณน้ารัสเซียควบคู่ไปด้วย และคงไม่ต่างอะไรไปจากคุณพี่จีนที่นักยุทธศาสตร์การทหารของจีนเขาเคยพูดๆ เอาไว้ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ว่าจีนพร้อมที่จะปกป้องอิหร่าน...แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ตามที... ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้...เลยคงต้องขออนุญาตแนะนำให้ลองไปหาอ่านข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุดของ “นายRon Paul” อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐเท็กซัส และผู้เคยลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกามาแล้ว 3 ครั้ง ว่าด้วยเรื่อง “American Neocons Get Their Iran War as Congress Sleeps” หรือในขณะที่สมาชิกสภาคองเกรสอเมริกันกำลังนอนหลับคร่อกฟี้ๆ อยู่นั้น พวก “ขวาใหม่” หรือพวก “Neoconservative” ในอเมริกา อันเต็มไปด้วยลูกหลานชาวยิวยุ่มย่ามยั้วเยี้ยไปหมด อีกทั้งยังมีบทบาทอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกันในแทบทุกยุค-ทุกสมัยกำลังประสบความสำเร็จในการฉุดกระชากลากถูให้อเมริกาต้องเปิดศึกสงครามกับอิหร่านจนได้ โดยย้ำให้เห็นว่า...สงครามเช่นนี้แทบไม่ก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลใดๆ ต่อชาวอเมริกันและประเทศอเมริกาเอาเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยเหตุเพราะ... “เรา(ชาวอเมริกัน)กำลังเดินละเมอไปสู่สงครามแห่งกลียุค ที่ถูกกล่อมเกลาโดยการโฆษณาของบรรดาสื่อมวลชน อันจะมีผลให้ผู้คนนับพันๆ ล้านต้องประสบกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจ และผู้บริสุทธิ์อีกมากกว่านั้นจะต้องสูญเสียชีวิตไปกับความบ้าคลั่งแห่งสงคราม...” ในบทความชิ้นนี้ยังได้สรุปไว้ในตอนท้ายอย่างน่าคิดสะกิดใจเอามากๆ ด้วยข้อความที่ว่า... “มากกว่าครึ่งศตวรรษมาแล้วที่เรายังคงไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนแห่งเหตุการณ์ 9/11 เมื่อเราออกไปสร้างความฉิบหายวายวอดให้กับผู้คนนอกประเทศที่ไม่เคยทำร้ายอะไรเราเลย นั่นก็คือเราได้สร้าง...ศัตรู ผู้ที่คิดจะแก้แค้น-เอาคืน หรือนั่นก็คือเราได้ทำร้ายตัวเราเอง เราสร้างความเสี่ยงให้กับการโต้กลับ ด้วยเหตุนี้...ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องลุกขึ้นมาคัดค้านและปฏิเสธสงครามที่กำลังใกล้เข้ามา นับตั้งแต่...เดี๋ยวนี้!!!” นี่...เป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ อันนี้คงต้องขึ้นอยู่กับบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ว่าจะ “ฟัง...แล้วได้ยิน” ต่อคำเตือนของอดีตนักการเมืองรายนี้หรือไม่? อย่างไร? นั่นแล... ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ https://mgronline.com/daily/detail/9670000100145 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    อีกไม่เกิน 3 เดือน...สงครามโลกครั้งที่ 3???
    ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องแวะไปดู “เลือกตั้งอเมริกา” ไว้สักหน่อยแล้วล่ะทั่น!!! เพราะไม่เพียงเขาจะเลือกกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า (5 พ.ย.) แต่เห็นว่าผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งพรรครีพับลิกัน อย่าง “ทรัมป์บ้า”
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 406 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทักษิณย่องเงียบรายงานตัวคดี 112ต่อศาลอาญา
    และไม่ยื่นขอออกนอกประเทศ

    17 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางมารายงานตัวที่ศาลอาญาในคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญายื่นฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กรณีให้สัมภาษณ์กับเดอะโชซอนมีเดียของเกาหลีใต้เมื่อปี 2558 มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันฯ ซึ่งก่อนหน้านี้นายทักษิณได้รับการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 5 เเสนบาท กำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล
    .
    ทั้งนี้ นายทักษิณไม่ได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าเตรียมจะยื่นคำร้องขอออกนอกประเทศอีกครั้ง หลังศาลอาญาเคยยกคำร้องไปเมื่อวันที่ 30 ก.ค.2567 ที่มารายงานตัวในวันนี้เป็นไปตามกำหนดเงื่อนไขที่จะต้องมารายงานตัวต่อศาลเดือนละ1 ครั้ง โดยในครั้งนี้ไม่ได้เเจ้งล่วงหน้า ภายหลังรายงานตัว ใช้ระยะเวลาประมาณ 5-10 นาที นายทักษิณก็เดินทางกลับทันที
    .
    คดีมาตรา 112 ของนายทักษิณ ศาลกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกวันที่ 1 ก.ค. 2568
    .
    ที่มา https://sondhitalk.com/detail/9670000100078

    #Thaitimes
    ทักษิณย่องเงียบรายงานตัวคดี 112ต่อศาลอาญา และไม่ยื่นขอออกนอกประเทศ 17 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางมารายงานตัวที่ศาลอาญาในคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญายื่นฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กรณีให้สัมภาษณ์กับเดอะโชซอนมีเดียของเกาหลีใต้เมื่อปี 2558 มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันฯ ซึ่งก่อนหน้านี้นายทักษิณได้รับการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 5 เเสนบาท กำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล . ทั้งนี้ นายทักษิณไม่ได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าเตรียมจะยื่นคำร้องขอออกนอกประเทศอีกครั้ง หลังศาลอาญาเคยยกคำร้องไปเมื่อวันที่ 30 ก.ค.2567 ที่มารายงานตัวในวันนี้เป็นไปตามกำหนดเงื่อนไขที่จะต้องมารายงานตัวต่อศาลเดือนละ1 ครั้ง โดยในครั้งนี้ไม่ได้เเจ้งล่วงหน้า ภายหลังรายงานตัว ใช้ระยะเวลาประมาณ 5-10 นาที นายทักษิณก็เดินทางกลับทันที . คดีมาตรา 112 ของนายทักษิณ ศาลกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกวันที่ 1 ก.ค. 2568 . ที่มา https://sondhitalk.com/detail/9670000100078 #Thaitimes
    SONDHITALK.COM
    ทักษิณย่องเงียบ รายงานตัวคดี 112 ไม่ยื่นขอออกนอกประเทศ
    วันนี้ (17 ต.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางมารายงานตัวที่ศาลอาญาในคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญายื่นฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กรณีให้สัมภาษณ์กับเดอะโชซอ
    Like
    Haha
    Wow
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1068 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าสู่กันฟัง..

    ล่าสุด..มีแฟนเพจ มีนักข่าวทักมาถามเรื่อง บอสพอลจ่ายส่วยหมื่นล้าน แอดมินมีข้อมูลบ้างไหมครับ.?

    มีคนส่งข้อมูลมาให้เราก่อนจะเป็นข่าวอีก แต่เราไม่ได้เล่น #เพราะมันไม่เมคเซ้นส์ เพราะหลายจุดมันยังดูมีพิรุธอยู่

    และใดๆเลยคือ มันไม่มีหลักฐานอ้างอิงไม่มีเส้นเงินมาสนับสนุนเรื่องเล่า ถ้าเราเล่นไปมันจะกลายเป็นการกล่าวหาแบบเลื่อนลอย

    เดี๋ยวโป๊ะโบ๊ะบ๊ะขึ้นมา พาเขินแป้นพิมพ์แย่เลย ปั่ดโธ่😅
    ----------
    ส่วย..

    อาชญากรทุกองค์กร “ถ้าตัวเองยังไม่ถูกจับกุม”ทุกองค์กร จะจ่ายส่วยด้วยเงินไม่เกิน 20% ของรายได้ที่ตัวเองได้รับ

    จนกว่าจะถึงวันที่อาชญากรถูกจับกุมตัวได้แล้วตอนนั้นล่ะถึงจะดิ้นจ่ายเงินซื้ออิสระภาพ ด้วยตัวเลขหลัก 1-2-3-4-500 ล้านบาท

    เมื่อสิ้นอิสระภาพอาชญากรจะยอมจ่าย..แทบทุกตัวเลขที่ถูกเรียกรับสินบน

    จะเขียนให้อ่านว่า“เรามีวิธีคิดอย่างไร”กับเรื่องบอสพอลจ่ายส่วยเป็นหมื่นล้าน

    วิธีวิเคราะห์หาข้อเท็จจริงของเราเริ่มจาก“ตั้งสมมติฐาน”หาตัวเลขกำไรของบริษัท The Icon

    #เอาจำนวนผู้ร่วมลงทุนกับบริษัทเป็นตัวตั้งของรายรับ..

    บริษัท..มียอดผู้ร่วมทุน 6 แสนกว่ารหัส แต่ละรหัสลงทุนตั้งแต่ 2,500,25,000,250,000 บาท นั่นคือรายรับหลักๆ

    มีรายรับย่อยๆคือ..ค่าคอร์สสอนเรียนกับรายรับที่อยู่นอกระบบคือ“เงิน 400 ล้านบาท”ที่พอลปล่อยกู้คิดดอกร้อยละ 0.50

    #ประมาณการรายจ่ายหลักๆของบริษัท

    1.ต้นทุนค่าสินค้า 2.ค่าบริหารจัดการที่รวมถึงค่ายิงแอดค่าทำการตลาด 3.ปันผลเป็นขั้นบันไดลงไปสู่แม่ทีม

    รายจ่าย 3 ข้อรวมกันคิดเป็น 70% โดยประมาณ

    เอารายจ่าย 70% ไปลบออกจากรายรับจาก 6 แสนกว่ารหัส กำไรสุทธิของบริษัทเหลือไม่เกิน 30% โดยประมาณ

    ต้องไม่ลืมว่าช่วงระหว่างปี 2566 บริษัท Thi Icon เหลือรหัสที่เคลื่อนไหวร่วมทุนจริงๆอยู่ราวๆ 3 แสนรหัส

    อีก 3 แสนรหัส บ้างก็รวยแล้วลุก บ้างก็เจ๊ง บ้างก็ตื่นรู้แล้วถอย The Icon จึงถึงยุคขาลงตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา

    ดังนั้น #เรามีความเชื่อส่วนตัว ว่าบริษัท The Icon มีกำไรสุทธิไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท(ไม่รวมเงินของลูกทีม)

    ก็ลองดูตัวเลขเข้าทำการอายัดบอสพอลดิ่มีอยู่ 125 ล้านบาท ตัวเลขมันห่างจากการมีกำไรสุทธิหลักหมื่นล้านไปเยอะมาก

    ดังนั้นคำว่าบริษัท The Icon มีกำไร”แสนล้านบาท“ตามที่เป็นข่าวลือนั้น..มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน

    เราจึงได้หลักคิดง่ายๆว่า.ถ้าบริษัทมีกำไรสุทธิไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท ตัวเลขส่วยหมื่นล้านบาท..มันก็เป็นเรื่องเท็จ

    ถ้าเรื่องส่วยหมื่นล้านมันเป็นเรื่องเท็จ เรื่องตัวละครที่รับส่วยชื่อนั้นหน่วยงานโน้นบลาๆๆ..มันก็เป็นเรื่องเท็จในเท็จ

    ลองนึกถึงคลิปเสียงที่พอลคุยกับ”ซาดหมา“เรื่องจ่ายให้เดือนละแสน ซึ่งพอลยอมรับกับพี่หนุ่มกลางรายการโหนว่าเป็นคลิปจริง

    อ้าว..แล้วถ้าบอสพอลมันมีเทวดาผู้คุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศเป็นคนใหญ่คนโตเป็นหุ้นส่วน มีการจ่ายส่วยเป็นหมื่นล้านจริงๆ.?

    คนอย่าง”ซาดหมา“ซึ่งไก่กาอาราเล่มากๆถ้าเทียบกับเทวดาผู้คุ้มครองในยุคนั้น เจอแค่ลูกรักของเทวดาเข้าไปซาดหมา ก็ฉิบหายแล้ว

    เออ.! แล้วทำไมพอลถึงไปขอความช่วยเหลือกับซาดหมา.?

    เออ.! แล้วพอลทำไมต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้ซาดหมาอีกเดือนละแสน ทั้งๆที่มีเทวดาผู้ยิ่งใหญ่คุ้มตัวอยู่แล้ว.?

    เห็นไหมครับ ว่าหลายเรื่องมันดูมีพิรุธ หลายจุดมันเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผลจนยากจะเชื่อ และอะไรที่เหลือเชื่อ..จงอย่าเชื่อจนกว่าจะมีบทพิสูจน์

    ด้วยตรรกะทางความคิดดังกล่าวของพวกเรา จึงตัดสินใจไม่เล่นเรื่องส่วยที่เรารู้ว่ามันมีส่วยแน่ๆ แต่ตัวเลขมันเวอร์เกินไปจนยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง

    เมื่อถึงเวลาที่ตำรวจแถลงยอดเงินของผู้เสียหายซึ่งเรามั่นใจว่ารวมกันแล้วไม่น่าจะถึง 5 พันล้านบาท

    ถ้ายอดเงินผู้เสียหายไม่ถึง 5 พันล้านบาทจริงๆ เรื่องส่วยหมื่นล้านมันก็ได้คำตอบแล้วว่าเป็นเรื่ิอง..จ้อจี้

    เพราะตามหลักแล้วตัวเลขส่วยของบอสพอลมันจะต้องไม่จ่ายเงินส่วยมากกว่ายอดเงินของผู้เสียหาย..นั่นเอง

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน

    เล่าสู่กันฟัง.. ล่าสุด..มีแฟนเพจ มีนักข่าวทักมาถามเรื่อง บอสพอลจ่ายส่วยหมื่นล้าน แอดมินมีข้อมูลบ้างไหมครับ.? มีคนส่งข้อมูลมาให้เราก่อนจะเป็นข่าวอีก แต่เราไม่ได้เล่น #เพราะมันไม่เมคเซ้นส์ เพราะหลายจุดมันยังดูมีพิรุธอยู่ และใดๆเลยคือ มันไม่มีหลักฐานอ้างอิงไม่มีเส้นเงินมาสนับสนุนเรื่องเล่า ถ้าเราเล่นไปมันจะกลายเป็นการกล่าวหาแบบเลื่อนลอย เดี๋ยวโป๊ะโบ๊ะบ๊ะขึ้นมา พาเขินแป้นพิมพ์แย่เลย ปั่ดโธ่😅 ---------- ส่วย.. อาชญากรทุกองค์กร “ถ้าตัวเองยังไม่ถูกจับกุม”ทุกองค์กร จะจ่ายส่วยด้วยเงินไม่เกิน 20% ของรายได้ที่ตัวเองได้รับ จนกว่าจะถึงวันที่อาชญากรถูกจับกุมตัวได้แล้วตอนนั้นล่ะถึงจะดิ้นจ่ายเงินซื้ออิสระภาพ ด้วยตัวเลขหลัก 1-2-3-4-500 ล้านบาท เมื่อสิ้นอิสระภาพอาชญากรจะยอมจ่าย..แทบทุกตัวเลขที่ถูกเรียกรับสินบน จะเขียนให้อ่านว่า“เรามีวิธีคิดอย่างไร”กับเรื่องบอสพอลจ่ายส่วยเป็นหมื่นล้าน วิธีวิเคราะห์หาข้อเท็จจริงของเราเริ่มจาก“ตั้งสมมติฐาน”หาตัวเลขกำไรของบริษัท The Icon #เอาจำนวนผู้ร่วมลงทุนกับบริษัทเป็นตัวตั้งของรายรับ.. บริษัท..มียอดผู้ร่วมทุน 6 แสนกว่ารหัส แต่ละรหัสลงทุนตั้งแต่ 2,500,25,000,250,000 บาท นั่นคือรายรับหลักๆ มีรายรับย่อยๆคือ..ค่าคอร์สสอนเรียนกับรายรับที่อยู่นอกระบบคือ“เงิน 400 ล้านบาท”ที่พอลปล่อยกู้คิดดอกร้อยละ 0.50 #ประมาณการรายจ่ายหลักๆของบริษัท 1.ต้นทุนค่าสินค้า 2.ค่าบริหารจัดการที่รวมถึงค่ายิงแอดค่าทำการตลาด 3.ปันผลเป็นขั้นบันไดลงไปสู่แม่ทีม รายจ่าย 3 ข้อรวมกันคิดเป็น 70% โดยประมาณ เอารายจ่าย 70% ไปลบออกจากรายรับจาก 6 แสนกว่ารหัส กำไรสุทธิของบริษัทเหลือไม่เกิน 30% โดยประมาณ ต้องไม่ลืมว่าช่วงระหว่างปี 2566 บริษัท Thi Icon เหลือรหัสที่เคลื่อนไหวร่วมทุนจริงๆอยู่ราวๆ 3 แสนรหัส อีก 3 แสนรหัส บ้างก็รวยแล้วลุก บ้างก็เจ๊ง บ้างก็ตื่นรู้แล้วถอย The Icon จึงถึงยุคขาลงตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา ดังนั้น #เรามีความเชื่อส่วนตัว ว่าบริษัท The Icon มีกำไรสุทธิไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท(ไม่รวมเงินของลูกทีม) ก็ลองดูตัวเลขเข้าทำการอายัดบอสพอลดิ่มีอยู่ 125 ล้านบาท ตัวเลขมันห่างจากการมีกำไรสุทธิหลักหมื่นล้านไปเยอะมาก ดังนั้นคำว่าบริษัท The Icon มีกำไร”แสนล้านบาท“ตามที่เป็นข่าวลือนั้น..มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เราจึงได้หลักคิดง่ายๆว่า.ถ้าบริษัทมีกำไรสุทธิไม่ถึง 2 หมื่นล้านบาท ตัวเลขส่วยหมื่นล้านบาท..มันก็เป็นเรื่องเท็จ ถ้าเรื่องส่วยหมื่นล้านมันเป็นเรื่องเท็จ เรื่องตัวละครที่รับส่วยชื่อนั้นหน่วยงานโน้นบลาๆๆ..มันก็เป็นเรื่องเท็จในเท็จ ลองนึกถึงคลิปเสียงที่พอลคุยกับ”ซาดหมา“เรื่องจ่ายให้เดือนละแสน ซึ่งพอลยอมรับกับพี่หนุ่มกลางรายการโหนว่าเป็นคลิปจริง อ้าว..แล้วถ้าบอสพอลมันมีเทวดาผู้คุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศเป็นคนใหญ่คนโตเป็นหุ้นส่วน มีการจ่ายส่วยเป็นหมื่นล้านจริงๆ.? คนอย่าง”ซาดหมา“ซึ่งไก่กาอาราเล่มากๆถ้าเทียบกับเทวดาผู้คุ้มครองในยุคนั้น เจอแค่ลูกรักของเทวดาเข้าไปซาดหมา ก็ฉิบหายแล้ว เออ.! แล้วทำไมพอลถึงไปขอความช่วยเหลือกับซาดหมา.? เออ.! แล้วพอลทำไมต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้ซาดหมาอีกเดือนละแสน ทั้งๆที่มีเทวดาผู้ยิ่งใหญ่คุ้มตัวอยู่แล้ว.? เห็นไหมครับ ว่าหลายเรื่องมันดูมีพิรุธ หลายจุดมันเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผลจนยากจะเชื่อ และอะไรที่เหลือเชื่อ..จงอย่าเชื่อจนกว่าจะมีบทพิสูจน์ ด้วยตรรกะทางความคิดดังกล่าวของพวกเรา จึงตัดสินใจไม่เล่นเรื่องส่วยที่เรารู้ว่ามันมีส่วยแน่ๆ แต่ตัวเลขมันเวอร์เกินไปจนยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง เมื่อถึงเวลาที่ตำรวจแถลงยอดเงินของผู้เสียหายซึ่งเรามั่นใจว่ารวมกันแล้วไม่น่าจะถึง 5 พันล้านบาท ถ้ายอดเงินผู้เสียหายไม่ถึง 5 พันล้านบาทจริงๆ เรื่องส่วยหมื่นล้านมันก็ได้คำตอบแล้วว่าเป็นเรื่ิอง..จ้อจี้ เพราะตามหลักแล้วตัวเลขส่วยของบอสพอลมันจะต้องไม่จ่ายเงินส่วยมากกว่ายอดเงินของผู้เสียหาย..นั่นเอง สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • #จับอาการทักษิณกับข่าวลือยุบพรรค
    เป็นที่น่าจับตาการอาการแปลกๆ หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
    ตั้งแต่บุตรสาวอดีตนช.ทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย
    ทักษิณ แสดงอาการไม่กลัวใคร ตัดสัมพันธ์วงษ์สุวรรณ และการรวมเสียงพรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้ผ่านฉลุย รวมถึงการแสดงความเก๋า แก้เกมส์การเมืองจนลุงป้อมไปไม่เป็น สร้างสถานการณ์จนทำให้เสี่ยแป้งต้องตัดลุงอย่างไม่ใยดี
    -แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือสะพัด กับการหายหน้าไปจากพื้นที่สื่อของทักษิณ ไปไกลกระทั่งลือว่าทักษิณหลบไปเป็นคนต่างด้าว ณ ต่างแดน แต่ก็มีการสยบข่าวลือ ด้วยการเข้าพบของเสี่ยหนู และเนวิน จนเปิดวาทะกรรม ไม่เคยพูดคำว่า "จบแล้วครับนาย" โดยอนุทินยังเน้นหน้าลอยๆให้สัมภาษณ์ว่า ลูกน้องจะไปพูดแบบนี้กับเจ้านายตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาทักษิณออกมาให้เห็นหน้าซึ่งผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อทักษิณชินวัตร
    -มีข่าวที่ไม่ใช่ข่าวลือชุดต่อมา ว่าทักษิณ ได้ทำการขอนุญาตออกนอกประเทศ 2 วาระ ที่แรกคือ ประเทศอินโดยนีเซีย และวาระที่สองคือสหรัฐ ซึ่งวงการข่าวสารก็จะรับรู้ว่า การขอออกนอกประเทศของทักษิณ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับข่าววงใน ที่พบว่ามีความเสี่ยง มีความไม่แน่นอน ที่ควรจะออกไปตั้งหลักนอกประเทศก่อน
    -จึงเกิดคำถามว่า เหตุปัจจัยใดที่จะทำให้ทักษิณ ต้องหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในเกมส์นี้ได้บ้าง ก็พบว่า
    1. กรณี ป๋วยทิพย์ จากชั้น 14 มาถึงการแสดงออกถึงร่างกายที่แข็งแรงดุจพญาช้างสาร โดยไม่แคร์ผู้รับรอง ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตร. แพทย์ และทุกคนในกระบวนการที่ช่วยให้ทักษิณ ไม่ต้องเดินเข้าประตูตารางแม้แต่นาทีเดียว และยังเฉิดฉายแสดงบารมีอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาของคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณในอดีต
    2. กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับแผ่นดินธรณีสงฆ์ ที่แม้มีการให้สัมภาษณ์จากนักกฏหมายหลายคนจะออกมาในแนวทางที่ว่า เรื่องนี้ไม่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลแน่นอนก็ตาม และผู้ร้องก็ถูกด้อยค่าต่างๆนาๆก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการ กลไกการทำงานเพื่อแสวงหาความจริงกลับพบปัจจัยที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะเข้าสู่การพิจารณา
    3. กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า กับการเอ่ยถึงคลิปเสียง หรือคลิปภาพ ที่เห็นการบัญชาการของทักษิณ ที่มีต่อพรรคร่วม รวมถึงการใช้อำนาจในการสั่งการพรรคร่วม ไปทำสัญญาใจในการสนับสนุนบุตรสาวให้ได้ตำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็ยังค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ และตัวนายทักษิณ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยอีกว่า ไม่ได้ครอบงำ แต่ตนเองครอบครอง เพราะเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังมีการแต่งตั้ง ผู้มีพระคุณต่อทักษิณ ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งสำคัญอย่างมากมาย โดยล่าสุด คือตำแหน่งที่ปรึกษานายก ที่มีจำนวนมากเท่ากับทีมฟุตซอล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดล้วนมีประวัติศาสตร์ในการรับใช้นายใหญ่ ที่ชื่อทักษิณทั้งสิ้น
    คิงส์โพธิ์ดำ จึงนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอไว้ เพื่อหากเกิดเหตุทักษิณหายตัวไปจริงๆวันใด จะได้ทราบที่มาที่ไป ว่ามีอาการใดที่ผิดสังเกตุ กับข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณ ณ วันนี้
    #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    #จับอาการทักษิณกับข่าวลือยุบพรรค เป็นที่น่าจับตาการอาการแปลกๆ หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่บุตรสาวอดีตนช.ทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ แสดงอาการไม่กลัวใคร ตัดสัมพันธ์วงษ์สุวรรณ และการรวมเสียงพรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้ผ่านฉลุย รวมถึงการแสดงความเก๋า แก้เกมส์การเมืองจนลุงป้อมไปไม่เป็น สร้างสถานการณ์จนทำให้เสี่ยแป้งต้องตัดลุงอย่างไม่ใยดี -แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือสะพัด กับการหายหน้าไปจากพื้นที่สื่อของทักษิณ ไปไกลกระทั่งลือว่าทักษิณหลบไปเป็นคนต่างด้าว ณ ต่างแดน แต่ก็มีการสยบข่าวลือ ด้วยการเข้าพบของเสี่ยหนู และเนวิน จนเปิดวาทะกรรม ไม่เคยพูดคำว่า "จบแล้วครับนาย" โดยอนุทินยังเน้นหน้าลอยๆให้สัมภาษณ์ว่า ลูกน้องจะไปพูดแบบนี้กับเจ้านายตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาทักษิณออกมาให้เห็นหน้าซึ่งผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อทักษิณชินวัตร -มีข่าวที่ไม่ใช่ข่าวลือชุดต่อมา ว่าทักษิณ ได้ทำการขอนุญาตออกนอกประเทศ 2 วาระ ที่แรกคือ ประเทศอินโดยนีเซีย และวาระที่สองคือสหรัฐ ซึ่งวงการข่าวสารก็จะรับรู้ว่า การขอออกนอกประเทศของทักษิณ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับข่าววงใน ที่พบว่ามีความเสี่ยง มีความไม่แน่นอน ที่ควรจะออกไปตั้งหลักนอกประเทศก่อน -จึงเกิดคำถามว่า เหตุปัจจัยใดที่จะทำให้ทักษิณ ต้องหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในเกมส์นี้ได้บ้าง ก็พบว่า 1. กรณี ป๋วยทิพย์ จากชั้น 14 มาถึงการแสดงออกถึงร่างกายที่แข็งแรงดุจพญาช้างสาร โดยไม่แคร์ผู้รับรอง ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตร. แพทย์ และทุกคนในกระบวนการที่ช่วยให้ทักษิณ ไม่ต้องเดินเข้าประตูตารางแม้แต่นาทีเดียว และยังเฉิดฉายแสดงบารมีอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาของคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณในอดีต 2. กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับแผ่นดินธรณีสงฆ์ ที่แม้มีการให้สัมภาษณ์จากนักกฏหมายหลายคนจะออกมาในแนวทางที่ว่า เรื่องนี้ไม่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลแน่นอนก็ตาม และผู้ร้องก็ถูกด้อยค่าต่างๆนาๆก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการ กลไกการทำงานเพื่อแสวงหาความจริงกลับพบปัจจัยที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะเข้าสู่การพิจารณา 3. กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า กับการเอ่ยถึงคลิปเสียง หรือคลิปภาพ ที่เห็นการบัญชาการของทักษิณ ที่มีต่อพรรคร่วม รวมถึงการใช้อำนาจในการสั่งการพรรคร่วม ไปทำสัญญาใจในการสนับสนุนบุตรสาวให้ได้ตำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็ยังค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ และตัวนายทักษิณ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยอีกว่า ไม่ได้ครอบงำ แต่ตนเองครอบครอง เพราะเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังมีการแต่งตั้ง ผู้มีพระคุณต่อทักษิณ ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งสำคัญอย่างมากมาย โดยล่าสุด คือตำแหน่งที่ปรึกษานายก ที่มีจำนวนมากเท่ากับทีมฟุตซอล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดล้วนมีประวัติศาสตร์ในการรับใช้นายใหญ่ ที่ชื่อทักษิณทั้งสิ้น คิงส์โพธิ์ดำ จึงนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอไว้ เพื่อหากเกิดเหตุทักษิณหายตัวไปจริงๆวันใด จะได้ทราบที่มาที่ไป ว่ามีอาการใดที่ผิดสังเกตุ กับข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณ ณ วันนี้ #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 326 มุมมอง 70 0 รีวิว
  • กองทัพเกาหลีใต้เปิดเผยพวกเขาพร้อมเต็มพิกัดสำหรับการตอบโต้ หลังเกาหลีเหนือสั่งการทหารตามแนวชายแดนให้อยู่ในภาวะเตรียมพร้อมสำหรับเปิดฉากยิง ท่ามกลางสถานการณ์ที่ร้อนระอุขึ้นอย่างฉับพลันในคาบสมุทรเกาหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากโซลส่งโดรนบินไปถึงกรุงเปียงยางเมื่อเร็วๆนี้
    .
    เกาหลีเหนือ ชาติติดอาวุธนิวเคลียร์ กล่าวหาโซลส่งโดรนบินเหนือเมืองหลวงของพวกเขา เพื่อปล่อยใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อที่เต็มไปด้วยข่าวลือที่อันเป็นเท็จและไร้สาระ พร้อมเตือนในวันอาทิตย์(13ต.ค.) ว่าพวกเขาจะพิจารณาว่ามันเท่ากับเป็นการประกาศสงคราม หากว่ามีการตรวจพบโดรนอีกรอบ
    .
    กองทัพเกาหลีใต้ปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังโดรนเหล่านั้น ในขณะที่พวกนักเคลื่อนไหวเกาหลีใต้ ดำเนินการมาช้านานในการส่งโฆษณาชวนเชื่อต่างๆนานา ส่วนใหญ่ผ่านการปล่อยลูกโป่ง มุ่งหน้าขึ้นสู่ทางเหนือ
    .
    แม้พวกเจ้าหน้าที่มีความพยายามป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น แต่บรรดานักเคลื่อนไหวเกาเหลีใต้มักปล่อยลูกโป่งที่ลอยไปได้ไกล บรรจุใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านผู้นำเกาหลีเหนือและเนื้อหาอื่นๆ ในนั้นรวมถึงอุปกรณ์ยูเอสบีที่บรรจุเพลงเค-ป็อป และซีรีส์เกาหลี ข้ามชายแดนเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ ในกลยุทธ์ที่ทางเกาหลีเหนือประท้วงด้วยความเดือดดาลมาตลอด
    .
    อย่างไรก็ตามเกาหลีเหนือยืนยันว่าโซลต้องเป็นผู้รับผิดชอบอย่างเป็นทางการ และแถลงในช่วงเย็นวันอาทิตย์(13ต.ค.) ว่าได้สั่งการให้กองพันทหารปืนใหญ่ 8 กองพัน ที่เตรียมตัวสำหรับทำสงครามอยู่ก่อนแล้ว "ให้พร้อมอย่างเต็มพิกัดในการเปิดฉากยิง" และเสริมกำลังตามป้อมสังเกตการณ์ทางอากาศในกรุงเปียงยาง
    .
    "กองทัพของเรากำลังจับตาสถานการณ์และพร้อมอย่างเต็มกำลัง" โฆษกของเสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้กล่าวระหว่างแถลงข่าว
    .
    ขณะเดียวกันสื่อมวลชนแห่งรัฐเกาหลีเหนือ รายงานว่าท่านผู้นำคิม จองอึน เรียกประชุมด้านความมั่นคงแห่งชาติในวันจันทร์(14ต.ค.) พร้อมสั่งการให้วางแผนหนึ่งๆ สำหรับปฏิบติการทางทหารในทันที ในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดกับเกาหลีใต้พุ่งสูงขึ้น
    .
    การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นในกรุงเปียงยาง และมีบรรดาเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงระดับสูงของประเทศเข้าร่วม ในนั้นรวมถึงผู้บัญชาการกองทัพและเจ้าหน้าที่ทหารอื่นๆ เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐและกระทรวงกลาโหม
    .
    เปียงยางอ้างว่าโดรนโฆษณาชวนเชื่อแทรกซึมเข้ามาในน่านฟ้าเมืองหลวงของพวกเขาถึง 3 ครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ในขณะที่ คิม โยจอง น้องสาวผู้ทรงอิทธิพลของ คิม จองอึน ขุ่เกาหลีใต้ว่าจะต้องเจอกับหายนะอันน่าสยดสยองหากไม่ยอมหยุดการกระทำดังกล่าว
    .
    เสขาธิการทหารร่วมของเกาหลีใต้ ในวันจันทร์(14ต.ค.) ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธคำกล่าวอ้างที่ว่ากองทัพโซลอยู่เบื้องหลังการส่งโดรนข้ามชายแดน แต่เรียกคำกล่าวหาของเกาหลีเหนือว่า "น่าละอาย"
    .
    "เกาหลีเหนือไม่สามารถยืนยันแหล่งที่มาของโดรนลำหนึ่งเหนือน่านฟ้าเปียงยางได้ด้วยซ้ำ แต่กลับมากล่าวโทษเกาหลีใต้ ขณะเดียวกันพวกเขาปิดปากเงียบ กรณีที่วางโดรนมุ่งหน้ามาทางทิศใต้มาแล้วกว่า 10 รอบ" โฆษกเสขาธิการทหารร่วมของเกาหลีใต้ระบุ
    .
    ในวันจันทร์(14ต.ค.) กองทัพเกาหลีใต้เปิดเผยด้วยว่าดูเหมือนเกาหลีเหนือกำลังเตรียมการระเบิดถนนสายต่างๆที่เชื่อมต่อกับเกาหลีใต้ ไม่กี่วันหลังจากเปียงยางบอกว่าพวกเขาจะปิดผนึกชายแดน
    .
    กองทัพประชาชนเกาหลีเหนือแถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่ามาตรการนี้จะช่วยแยกดินแดนเกาหลีเหนือจากเกาหลีใต้โดยสิ้นเชิง ขณะที่โฆษกของเสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้ สันนิษฐานว่าการระเบิดถนนน่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในวันจันทร์(14ต.ค.)
    .
    กระทรวงรวมชาติของเกาหลีใต้ ระบุว่าคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับโดรน อาจเป็นความพยายามของเกาหลีเหนือในการยกระดับความเป็นหนึ่งเดียวกันภายชาติ ขณะเดียวกันเกาหลีเหนืออาจกำลังมองหาข้ออ้างสำหรับ "ก่อการยั่วยุ สร้างความหวาดวิตกและความสับสนในสังคมของเรา"
    .
    อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งมองว่าผู้อยู่เบื้องหลังโดรนดังกล่าวน่าจะเป็นพวกนักเคลื่อนไหวในเกาหลีใต้ มากว่าที่จะเป็นการจัดฉากของเกาหลีเหนือ เพราะว่าในถ้อยแถลงของเปียงยาง อีกด้านหนึ่งก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่ามาตรการคุ้มกันทางอากาศของพวกเขานั้นมีช่องโหว่
    .
    "แม้กระทั่งหากมันเป็นความพยายามจัดฉากของพวกเขา มันเท่ากับเป็นการเปิดเผยให้เห็นถึงความอ่อนแออย่างมากในน่านฟ้าต่างๆของตนเอง" ยาง อุค นักวิจัยจากสถาบันเอเชียเพื่อการศึกษานโยบายกล่าว
    .
    ตระกูลคิม พึ่งพิงการควบคุมข้อมูลข่าวสารโดยสิ้นเชิงเพื่อรักษาอำนาจไว้ โดยที่ชาวเกาหลีเหนือส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือและข้อมูลข่าวสารจากภายนอก "หากการส่งข้อมูลผ่านโดรนกลายเป็นกิจกรรมที่เป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ มันจะเป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับเกาหลีเหนือ" ยาง กล่าว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000099223
    ..............
    Sondhi X
    กองทัพเกาหลีใต้เปิดเผยพวกเขาพร้อมเต็มพิกัดสำหรับการตอบโต้ หลังเกาหลีเหนือสั่งการทหารตามแนวชายแดนให้อยู่ในภาวะเตรียมพร้อมสำหรับเปิดฉากยิง ท่ามกลางสถานการณ์ที่ร้อนระอุขึ้นอย่างฉับพลันในคาบสมุทรเกาหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากโซลส่งโดรนบินไปถึงกรุงเปียงยางเมื่อเร็วๆนี้ . เกาหลีเหนือ ชาติติดอาวุธนิวเคลียร์ กล่าวหาโซลส่งโดรนบินเหนือเมืองหลวงของพวกเขา เพื่อปล่อยใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อที่เต็มไปด้วยข่าวลือที่อันเป็นเท็จและไร้สาระ พร้อมเตือนในวันอาทิตย์(13ต.ค.) ว่าพวกเขาจะพิจารณาว่ามันเท่ากับเป็นการประกาศสงคราม หากว่ามีการตรวจพบโดรนอีกรอบ . กองทัพเกาหลีใต้ปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังโดรนเหล่านั้น ในขณะที่พวกนักเคลื่อนไหวเกาหลีใต้ ดำเนินการมาช้านานในการส่งโฆษณาชวนเชื่อต่างๆนานา ส่วนใหญ่ผ่านการปล่อยลูกโป่ง มุ่งหน้าขึ้นสู่ทางเหนือ . แม้พวกเจ้าหน้าที่มีความพยายามป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น แต่บรรดานักเคลื่อนไหวเกาเหลีใต้มักปล่อยลูกโป่งที่ลอยไปได้ไกล บรรจุใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านผู้นำเกาหลีเหนือและเนื้อหาอื่นๆ ในนั้นรวมถึงอุปกรณ์ยูเอสบีที่บรรจุเพลงเค-ป็อป และซีรีส์เกาหลี ข้ามชายแดนเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ ในกลยุทธ์ที่ทางเกาหลีเหนือประท้วงด้วยความเดือดดาลมาตลอด . อย่างไรก็ตามเกาหลีเหนือยืนยันว่าโซลต้องเป็นผู้รับผิดชอบอย่างเป็นทางการ และแถลงในช่วงเย็นวันอาทิตย์(13ต.ค.) ว่าได้สั่งการให้กองพันทหารปืนใหญ่ 8 กองพัน ที่เตรียมตัวสำหรับทำสงครามอยู่ก่อนแล้ว "ให้พร้อมอย่างเต็มพิกัดในการเปิดฉากยิง" และเสริมกำลังตามป้อมสังเกตการณ์ทางอากาศในกรุงเปียงยาง . "กองทัพของเรากำลังจับตาสถานการณ์และพร้อมอย่างเต็มกำลัง" โฆษกของเสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้กล่าวระหว่างแถลงข่าว . ขณะเดียวกันสื่อมวลชนแห่งรัฐเกาหลีเหนือ รายงานว่าท่านผู้นำคิม จองอึน เรียกประชุมด้านความมั่นคงแห่งชาติในวันจันทร์(14ต.ค.) พร้อมสั่งการให้วางแผนหนึ่งๆ สำหรับปฏิบติการทางทหารในทันที ในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดกับเกาหลีใต้พุ่งสูงขึ้น . การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นในกรุงเปียงยาง และมีบรรดาเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงระดับสูงของประเทศเข้าร่วม ในนั้นรวมถึงผู้บัญชาการกองทัพและเจ้าหน้าที่ทหารอื่นๆ เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐและกระทรวงกลาโหม . เปียงยางอ้างว่าโดรนโฆษณาชวนเชื่อแทรกซึมเข้ามาในน่านฟ้าเมืองหลวงของพวกเขาถึง 3 ครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ในขณะที่ คิม โยจอง น้องสาวผู้ทรงอิทธิพลของ คิม จองอึน ขุ่เกาหลีใต้ว่าจะต้องเจอกับหายนะอันน่าสยดสยองหากไม่ยอมหยุดการกระทำดังกล่าว . เสขาธิการทหารร่วมของเกาหลีใต้ ในวันจันทร์(14ต.ค.) ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธคำกล่าวอ้างที่ว่ากองทัพโซลอยู่เบื้องหลังการส่งโดรนข้ามชายแดน แต่เรียกคำกล่าวหาของเกาหลีเหนือว่า "น่าละอาย" . "เกาหลีเหนือไม่สามารถยืนยันแหล่งที่มาของโดรนลำหนึ่งเหนือน่านฟ้าเปียงยางได้ด้วยซ้ำ แต่กลับมากล่าวโทษเกาหลีใต้ ขณะเดียวกันพวกเขาปิดปากเงียบ กรณีที่วางโดรนมุ่งหน้ามาทางทิศใต้มาแล้วกว่า 10 รอบ" โฆษกเสขาธิการทหารร่วมของเกาหลีใต้ระบุ . ในวันจันทร์(14ต.ค.) กองทัพเกาหลีใต้เปิดเผยด้วยว่าดูเหมือนเกาหลีเหนือกำลังเตรียมการระเบิดถนนสายต่างๆที่เชื่อมต่อกับเกาหลีใต้ ไม่กี่วันหลังจากเปียงยางบอกว่าพวกเขาจะปิดผนึกชายแดน . กองทัพประชาชนเกาหลีเหนือแถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่ามาตรการนี้จะช่วยแยกดินแดนเกาหลีเหนือจากเกาหลีใต้โดยสิ้นเชิง ขณะที่โฆษกของเสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้ สันนิษฐานว่าการระเบิดถนนน่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในวันจันทร์(14ต.ค.) . กระทรวงรวมชาติของเกาหลีใต้ ระบุว่าคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับโดรน อาจเป็นความพยายามของเกาหลีเหนือในการยกระดับความเป็นหนึ่งเดียวกันภายชาติ ขณะเดียวกันเกาหลีเหนืออาจกำลังมองหาข้ออ้างสำหรับ "ก่อการยั่วยุ สร้างความหวาดวิตกและความสับสนในสังคมของเรา" . อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งมองว่าผู้อยู่เบื้องหลังโดรนดังกล่าวน่าจะเป็นพวกนักเคลื่อนไหวในเกาหลีใต้ มากว่าที่จะเป็นการจัดฉากของเกาหลีเหนือ เพราะว่าในถ้อยแถลงของเปียงยาง อีกด้านหนึ่งก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่ามาตรการคุ้มกันทางอากาศของพวกเขานั้นมีช่องโหว่ . "แม้กระทั่งหากมันเป็นความพยายามจัดฉากของพวกเขา มันเท่ากับเป็นการเปิดเผยให้เห็นถึงความอ่อนแออย่างมากในน่านฟ้าต่างๆของตนเอง" ยาง อุค นักวิจัยจากสถาบันเอเชียเพื่อการศึกษานโยบายกล่าว . ตระกูลคิม พึ่งพิงการควบคุมข้อมูลข่าวสารโดยสิ้นเชิงเพื่อรักษาอำนาจไว้ โดยที่ชาวเกาหลีเหนือส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือและข้อมูลข่าวสารจากภายนอก "หากการส่งข้อมูลผ่านโดรนกลายเป็นกิจกรรมที่เป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ มันจะเป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับเกาหลีเหนือ" ยาง กล่าว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000099223 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 903 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวลือก็คือข่าวลือ (14/10/67) #news1 #ข่าวกีฬา #ข่าวลือ
    ข่าวลือก็คือข่าวลือ (14/10/67) #news1 #ข่าวกีฬา #ข่าวลือ
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1141 มุมมอง 419 0 รีวิว
  • น้องสาวผู้ทรงอิทธิพลของคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เตือนเกาหลีใต้จะต้องเจอกับ "หายนะอันน่าสยดสยอง" หากว่าอากาศยานไร้คนขับบินมาถึงกรุงเปียงยางอีกรอบ หนึ่งวันหลังจากกล่าวหาโซลส่งอากาศยานดังกล่าวฝ่ามาถึงเมืองหลวงของเกาหลีเหนือ
    .
    เกาหลีเหนือเมื่อวันศุกร์ (11 ต.ค.) กล่าวหาเกาหลีใต้ส่งโดรนหลายลำบรรทุกใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อเข้าสู่น่านฟ้าของกรุงเปียงยางเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม และอีกครั้งในวันพุธ (9 ต.ค.) และวันพฤหัสบดี (10 ต.ค.) ที่ผ่านมา
    .
    เบื้องต้น คิม ยอง-ฮยุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้ ปฏิเสธคำกล่าวอ้างดังกล่าว แต่ต่อมาเสนาธิการทหารร่วมปรับเปลี่ยนจุดยืน ระบุในถ้อยแถลงว่าพวกเขา "ไม่อาจยืนยันได้ว่าคำกล่าวหาของเกาลีเหนือเป็นจริงหรือไม่"
    .
    คิม โยจอง น้องสาวของผู้นำเกาหลีเหนือ กล่าวว่าท่าทีของโซลที่ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธคำกล่าวหา หมายความว่าโดรนเหล่านั้นถูกส่งมาโดย "กองทัพอันธพาล" เธอกล่าวอ้างถึงกองทัพเกาหลีใต้
    .
    "ทันทีโดรนลำหนึ่งลำใดของเกาหลีใต้ถูกพบเหนือน่านฟ้าเมืองหลวงของเราอีกรอบ แน่นอนว่ามันจะนำไปซึ่งหายนะอันน่าขนลุกขนพอง" เธอระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ในช่วงเย็นวันเสาร์ (12 ต.ค.)
    .
    ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (เคซีเอ็นเอ) รายงานในวันศุกร์ (11 ต.ค.) ว่าโดรนของเกาหลีใต้หย่อนโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านรัฐบาล และใบปลิวที่เต็มไปด้วยข่าวลืออันเป็นเท็จและขยะ" พร้อมให้คำจำกัดความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า "ละเมิดอย่างป่าเถื่อนต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นการโจมตีทางทหารอย่างเลวร้าย"
    .
    แม้พวกเจ้าหน้าที่มีความพยายามป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น แต่บรรดานักเคลื่อนไหวเกาเหลีใต้มักปล่อยลูกโป่งที่ลอยไปได้ไกล บรรจุใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านผู้นำเกาหลีเหนือและเนื้อหาอื่นๆ ในนั้นรวมถึงอุปกรณ์ยูเอสบีที่บรรจุเพลงเค-ป็อป และซีรีส์เกาหลี ข้ามชายแดนเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ ในกลยุทธ์ที่ทางเกาหลีเหนือประท้วงด้วยความเดือดดาลมาตลอด
    .
    ในการตอบโต้ เกาหลีเหนือที่รัฐบาลมีความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อการที่ประชาชนกำลังเข้าถึงสินค้าวัฒนธรรมเค-ป็อปของเกาหลีใต้มากขึ้นเรื่อยๆ ได้ปล่อยบอลลูนบรรทุกขยะมากกว่า 6,000 ลูก มุ่งหน้าสู่ทางใต้มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
    .
    ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติเกาหลีดำดิ่งสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี หลังจากข้อตกลงทางทหารหนึ่ง ซึ่งมีเจตนาลดความตึงเครียด ได้ถูกระงับอย่างสมบูรณ์ ตามหลังเหตุการณ์ปล่อยบอลลูนเมื่อเดือนมิถุนายน
    .
    คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ กล่าวเตือนหลายรอบ ว่าประเทศของเขาจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ โดยปราศจากความลังเลใดๆ หากถูกเกาหลีใต้โจมตี
    .
    ในปี 2022 โดรนของเกาหลีเหนือ 5 ลำ ล่วงล้ำเข้าสู่เกาหลีใต้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่เกิดเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าว กระตุ้นให้กองทัพเกาหลีใต้ยิงเตือนและส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นสู่ท้องฟ้า อย่างไรก็ตาม เครื่องบินรบเหล่านั้นไม่สามารถสอยร่วงโดรนใดๆ ของเกาหลีเหนือ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000097937
    ..............
    Sondhi X
    น้องสาวผู้ทรงอิทธิพลของคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เตือนเกาหลีใต้จะต้องเจอกับ "หายนะอันน่าสยดสยอง" หากว่าอากาศยานไร้คนขับบินมาถึงกรุงเปียงยางอีกรอบ หนึ่งวันหลังจากกล่าวหาโซลส่งอากาศยานดังกล่าวฝ่ามาถึงเมืองหลวงของเกาหลีเหนือ . เกาหลีเหนือเมื่อวันศุกร์ (11 ต.ค.) กล่าวหาเกาหลีใต้ส่งโดรนหลายลำบรรทุกใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อเข้าสู่น่านฟ้าของกรุงเปียงยางเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม และอีกครั้งในวันพุธ (9 ต.ค.) และวันพฤหัสบดี (10 ต.ค.) ที่ผ่านมา . เบื้องต้น คิม ยอง-ฮยุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้ ปฏิเสธคำกล่าวอ้างดังกล่าว แต่ต่อมาเสนาธิการทหารร่วมปรับเปลี่ยนจุดยืน ระบุในถ้อยแถลงว่าพวกเขา "ไม่อาจยืนยันได้ว่าคำกล่าวหาของเกาลีเหนือเป็นจริงหรือไม่" . คิม โยจอง น้องสาวของผู้นำเกาหลีเหนือ กล่าวว่าท่าทีของโซลที่ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธคำกล่าวหา หมายความว่าโดรนเหล่านั้นถูกส่งมาโดย "กองทัพอันธพาล" เธอกล่าวอ้างถึงกองทัพเกาหลีใต้ . "ทันทีโดรนลำหนึ่งลำใดของเกาหลีใต้ถูกพบเหนือน่านฟ้าเมืองหลวงของเราอีกรอบ แน่นอนว่ามันจะนำไปซึ่งหายนะอันน่าขนลุกขนพอง" เธอระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ในช่วงเย็นวันเสาร์ (12 ต.ค.) . ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (เคซีเอ็นเอ) รายงานในวันศุกร์ (11 ต.ค.) ว่าโดรนของเกาหลีใต้หย่อนโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านรัฐบาล และใบปลิวที่เต็มไปด้วยข่าวลืออันเป็นเท็จและขยะ" พร้อมให้คำจำกัดความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า "ละเมิดอย่างป่าเถื่อนต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นการโจมตีทางทหารอย่างเลวร้าย" . แม้พวกเจ้าหน้าที่มีความพยายามป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น แต่บรรดานักเคลื่อนไหวเกาเหลีใต้มักปล่อยลูกโป่งที่ลอยไปได้ไกล บรรจุใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านผู้นำเกาหลีเหนือและเนื้อหาอื่นๆ ในนั้นรวมถึงอุปกรณ์ยูเอสบีที่บรรจุเพลงเค-ป็อป และซีรีส์เกาหลี ข้ามชายแดนเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ ในกลยุทธ์ที่ทางเกาหลีเหนือประท้วงด้วยความเดือดดาลมาตลอด . ในการตอบโต้ เกาหลีเหนือที่รัฐบาลมีความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อการที่ประชาชนกำลังเข้าถึงสินค้าวัฒนธรรมเค-ป็อปของเกาหลีใต้มากขึ้นเรื่อยๆ ได้ปล่อยบอลลูนบรรทุกขยะมากกว่า 6,000 ลูก มุ่งหน้าสู่ทางใต้มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม . ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติเกาหลีดำดิ่งสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี หลังจากข้อตกลงทางทหารหนึ่ง ซึ่งมีเจตนาลดความตึงเครียด ได้ถูกระงับอย่างสมบูรณ์ ตามหลังเหตุการณ์ปล่อยบอลลูนเมื่อเดือนมิถุนายน . คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ กล่าวเตือนหลายรอบ ว่าประเทศของเขาจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ โดยปราศจากความลังเลใดๆ หากถูกเกาหลีใต้โจมตี . ในปี 2022 โดรนของเกาหลีเหนือ 5 ลำ ล่วงล้ำเข้าสู่เกาหลีใต้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่เกิดเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าว กระตุ้นให้กองทัพเกาหลีใต้ยิงเตือนและส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นสู่ท้องฟ้า อย่างไรก็ตาม เครื่องบินรบเหล่านั้นไม่สามารถสอยร่วงโดรนใดๆ ของเกาหลีเหนือ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000097937 .............. Sondhi X
    Like
    Yay
    Haha
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1035 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ปฐมบท DNW

    สาคร..เจ้าของสโลแกน รวยไม่รวย ดีไม่ดี DNetwork ต้นฉบับคอร์สยิงแอดออนไลน์

    ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปลายปี 2552 นักธุรกิจเครือข่ายท่านหนึ่ง ยอดขายก็พออยู่ได้ นามว่านาย สาคร

    นายสาครโดนเหตุการณ์ผลกระทบกับตัวเองคือโดนตัดรหัสจากค่ายเดิมในขณะนั้น ซึ่งสาครอ้างว่าเจ้าของเข้าใจว่าจะมีการทำสินค้าและเปิดบริษัทขายตรงเข้ามาแข่งขัน

    แต่ข้อมูลอีกกระแสกล่าวว่า มีปัญหาเรื่องเชิงชู้สาวในองค์กร โดยนาย สาคร จับดาวน์ไลน์สาวรุ่นในขณะนั้น ชื่อว่า แซน ภรัณธรณ์ เป็นเมียน้อย

    และเรื่องราวเกิดแดงขึ้นที่บริษัทฯ ทางบริษัทฯ จึงเห็นว่าเป็นความเสื่อมเสียและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในองค์กร เพราะนักธุรกิจท่านนี้ในขณะนั้น เป็นถึงหัวหน้าทีมในการจัดฝึกอบรมคอร์สต่างๆ ให้กับบริษัทฯ

    ทั้งคู่เลยโดนตัดรหัสและไล่ออกจากบริษัท

    หลังจากนาย สาคร โดนตัดรหัสจากบริษัทเดิม ก็ได้หอบดาวน์ไลน์สาวน้อย แซน ภรัณธรณ์ ไปด้วย

    แซนไหนอีกวะ แอดไร้เงา.?
    -แซน ที่เขาเซฟธุรกิจขายตรงที่กูลงไว้โพสต์ก่อนไง ปั่ดโธ่ว์
    👉 https://www.facebook.com/share/p/xBBBPDtPqjgrmM22/?mibextid=WC7FNe

    ภาพในโพสต์👆เฟซบนอ่ะแซน เฟซล่างอ่ะอวตารของ สาคร ถถถ

    สาคร..ไปร่วมกับเพื่อนนักธุรกิจเครือข่ายที่เคยร่วมงานกันในธุรกิจเครือข่ายในอดีตอีก 2 ท่าน ชื่อว่านาย ภูมิสนอง และนาย อุทัย

    ทำให้ข่าวลือเรื่องชู้สาวที่เกิดขึ้นที่บริษัทเก่าดูเป็นความจริงขึ้นมาทันที

    สาคร..ได้ไปจัดตั้งบริษัทธุรกิจเครือข่ายของตัวเองแถวสุวินทวงศ์ โดยเริ่มจากการเช่าอาคารพาณิชย์ 1 คูหา ในการเริ่มต้นธุรกิจในขณะนั้น เมื่อต้นปี 2553

    โดยตั้งชื่อบริษัทว่า DNetwork Worldwide เรียกสั้นๆว่า DNW ผลิตสินค้าออกมาชื่อว่า KOREGINS (โกเรจินส์)

    MLM ที่ดีต้องมีเรื่องราวความสำเร็จ ต้นเหตุของปลอมที่ทำเหมือน ต้นแบบของมี 10 พูด 100

    ในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจของ DNW ก็เหมือนกับธุรกิจเครือข่ายอื่นๆ โดยทั่วไป ทั้งสามคนสถาปณาตัวเองขึ้นเป็นอาจารย์

    ทุกคนต้องเรียกว่า อ.สาคร อ.ภูมิสนอง อ.อุทัย และทั้งสามคนก็เริ่มไปรวบรวมรายชื่อเพื่อสปอนเซอร์ทีมงานจากธุรกิจเดิมก่อนหน้า และผู้มุ่งหวังใหม่ๆ เข้าสู่องค์กร

    โดยดึงหัวกะทิแห่งวงการเข้ามาทำงาน ซึ่งในขณะนั้นธุรกิจ MLM ที่เติบโตเป็นอย่างมากในช่วงเวลาขณะนั้น คือ ธุรกิจ AimStar

    จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่ DNW จะนำแผนการจ่ายผลตอบแทนของบริษัทที่ประสบความสำเร็จในขณะนั้น และใช้วิธีให้โปรแกรมเมอร์เขียนระบบลอกมาทั้งดุ้น

    เท่าที่ดูหลังบ้านไอ้โปรแกรมตัวนี้ค่าจ้างเขียนราคาไม่กี่แสนบาท แต่สาครโม้กับนักเรียนบอกว่าระบบเขียนมาหลายสิบล้านบาท บ้งแล้ว 1.

    สำหรับธุรกิจชวนคนที่เพิ่งเริ่มต้นสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้เลยคือตัวละครที่เรียกว่า“ผู้สำเร็จ”มาเป็นตัวล่อเหยื่อถ้าไม่มีผู้สำเร็จจะไปชวนคนมาเป็นเหยื่อได้อย่างไรล่ะ

    ถูกไหม.?

    นายสาครมองว่าผู้สำเร็จในธุรกิจชวนคนนั้นต้องมีระดับสูงๆในบริษัท ก็คือระดับ Blue Diamond ซึ่งเป็นระดับตำแหน่งสูงสุดของบริษัท

    ดังนั้นเมื่อมันไม่มีก็ต้องปั้น Blue Diamond ปลอมขึ้นมา 1 คน และคนนั้นต้องเป็นคนของตัวเองเพราะควบคุมได้ง่ายกว่า

    ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการสร้างตัวละครผู้สำเร็จที่ขาดหายไปโดยใช้วิธีปั้น แซน ภรัณธรณ์ ที่เป็นเมียน้อยของตัวเอง ให้ขึ้นเป็น Blue Diamond (เทียม)

    *นั่นเท่ากับว่านายสาครเริ่มต้นธุรกิจด้วยการลวงโลกตั้งแต่ก้าวแรก**
    ----------

    ซึ่งการสร้างผู้สำเร็จไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับคนที่นอนคุยกันบนเตียง การดีลและความลับจึงรู้กันแค่สี่คน อ.ทั้งสาม และ เมียน้อย ที่รับรู้แผนการอันโสมม

    วิธีการที่นายสาคร ใช้คือการยืมคะแนนบริษัทมาใส่ในชื่อของ แซน เมียน้อยที่เป็นคนในองค์กรของตัวเองที่ต้องการทำคุณสมบัติให้ครบตามเงื่อนไขในการขี้นตำแหน่ง

    จึงเป็นเหตุให้มีการกระทำเพื่อทำให้เป็นการขึ้นตำแหน่งสูงสุดของบริษัทในขณะนั้น โดยใช้เวลาสั้นที่สุดเรียกว่าเป็นสถิติโลกเลยคือใช้เวลาแค่.."คืนเดียว"

    หลังจากสาครปั้นตำแหน่ง Blue Diamond ให้กับเมียน้อยได้ขึ้นตำแหน่งได้แล้วนั้น แซนก็ดึงค่าคอมมิชชั่นกลับหลังจากขึ้นตำแหน่งสูงสุด โดยการไปดึงค่าคอมจากสมาชิกที่สามีลงตังลงไป (ก็ตังสามีนี่หว่าต้องดึงคืน)

    ตำแหน่งสูงสุดในบริษัท (Blue Diamond) ถูกนำมาใช้ในการโปรโมทในการชวนคนใหม่ๆ เข้าร่วมธุรกิจกับบริษัท

    หลายคนเข้ามาในช่วงแรกๆก็คิดว่า แซน ภรัณธรณ์ ดาวน์ไลน์สาวน้อยท่านนี้เก่งมาก ระดับหัวกะทิของวงการ MLM เลยใช้เวลาปีเดียวขึ้น Blue Diamond ได้

    การขยายเครือข่ายแบบแยบยลและต้มตุ๋น

    เมื่อภาพของผู้ประสบความสำเร็จ Blue Diamond ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว กระบวนการขับเคลื่อนธุรกิจ MLM แบบต้มตุ๋นจึงเริ่มขยับทำการสร้างเครือข่ายหาผู้บริโภค

    ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงเฟื่องฟูของวิทยุชุมชนและการขายสินค้าในช่องจานดาวเทียม นาย สาคร จึงขายแนวคิดให้ทีมงานไปใช้เงินส่วนตัวของแต่ละคนไปจ้างสถานีวิทยุชุมชนและช่องทีวีจานดาวเทียมเพื่อทำการตลาด.?

    สาคร..ได้ใช้หลักการ OPM (Other People Money) ง่ายๆก็คือ กูไม่จ่ายเองหรอกค่าโฆษณา กูให้ Downline เป็นคนจ่ายทำให้ยอดขายเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริษัท

    จากเครือข่ายผู้บริโภคที่ควรจะเป็นกลายไปเป็นเครือข่ายสถานีวิทยุ เครือขายช่องทีวีในจานดาวเทียม และสุดท้ายเครือข่ายร้านค้า

    เหตุนี้ทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จากเช่า 1 คูหา กลายเป็นเช่า 2 คูหา จนนาย สาคร พูดว่ามียอดธุรกิจถึง 2,000 ล้านบาทเพื่อล่อเม่า (ความจริง 500 กว่าล้านบาทเศษ)

    ซึ่งความสำเร็จนั้นไม่ว่ามันจะมากน้อยเท่าไหร่ก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นเงินในกระเป๋าของชาวบ้านทุกบาท ทุกสตางค์..ดังนั้นต้องแหก

    รอติดตามความแหกตอนที่ 2

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน

    #ปฐมบท DNW สาคร..เจ้าของสโลแกน รวยไม่รวย ดีไม่ดี DNetwork ต้นฉบับคอร์สยิงแอดออนไลน์ ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปลายปี 2552 นักธุรกิจเครือข่ายท่านหนึ่ง ยอดขายก็พออยู่ได้ นามว่านาย สาคร นายสาครโดนเหตุการณ์ผลกระทบกับตัวเองคือโดนตัดรหัสจากค่ายเดิมในขณะนั้น ซึ่งสาครอ้างว่าเจ้าของเข้าใจว่าจะมีการทำสินค้าและเปิดบริษัทขายตรงเข้ามาแข่งขัน แต่ข้อมูลอีกกระแสกล่าวว่า มีปัญหาเรื่องเชิงชู้สาวในองค์กร โดยนาย สาคร จับดาวน์ไลน์สาวรุ่นในขณะนั้น ชื่อว่า แซน ภรัณธรณ์ เป็นเมียน้อย และเรื่องราวเกิดแดงขึ้นที่บริษัทฯ ทางบริษัทฯ จึงเห็นว่าเป็นความเสื่อมเสียและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในองค์กร เพราะนักธุรกิจท่านนี้ในขณะนั้น เป็นถึงหัวหน้าทีมในการจัดฝึกอบรมคอร์สต่างๆ ให้กับบริษัทฯ ทั้งคู่เลยโดนตัดรหัสและไล่ออกจากบริษัท หลังจากนาย สาคร โดนตัดรหัสจากบริษัทเดิม ก็ได้หอบดาวน์ไลน์สาวน้อย แซน ภรัณธรณ์ ไปด้วย แซนไหนอีกวะ แอดไร้เงา.? -แซน ที่เขาเซฟธุรกิจขายตรงที่กูลงไว้โพสต์ก่อนไง ปั่ดโธ่ว์ 👉 https://www.facebook.com/share/p/xBBBPDtPqjgrmM22/?mibextid=WC7FNe ภาพในโพสต์👆เฟซบนอ่ะแซน เฟซล่างอ่ะอวตารของ สาคร ถถถ สาคร..ไปร่วมกับเพื่อนนักธุรกิจเครือข่ายที่เคยร่วมงานกันในธุรกิจเครือข่ายในอดีตอีก 2 ท่าน ชื่อว่านาย ภูมิสนอง และนาย อุทัย ทำให้ข่าวลือเรื่องชู้สาวที่เกิดขึ้นที่บริษัทเก่าดูเป็นความจริงขึ้นมาทันที สาคร..ได้ไปจัดตั้งบริษัทธุรกิจเครือข่ายของตัวเองแถวสุวินทวงศ์ โดยเริ่มจากการเช่าอาคารพาณิชย์ 1 คูหา ในการเริ่มต้นธุรกิจในขณะนั้น เมื่อต้นปี 2553 โดยตั้งชื่อบริษัทว่า DNetwork Worldwide เรียกสั้นๆว่า DNW ผลิตสินค้าออกมาชื่อว่า KOREGINS (โกเรจินส์) MLM ที่ดีต้องมีเรื่องราวความสำเร็จ ต้นเหตุของปลอมที่ทำเหมือน ต้นแบบของมี 10 พูด 100 ในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจของ DNW ก็เหมือนกับธุรกิจเครือข่ายอื่นๆ โดยทั่วไป ทั้งสามคนสถาปณาตัวเองขึ้นเป็นอาจารย์ ทุกคนต้องเรียกว่า อ.สาคร อ.ภูมิสนอง อ.อุทัย และทั้งสามคนก็เริ่มไปรวบรวมรายชื่อเพื่อสปอนเซอร์ทีมงานจากธุรกิจเดิมก่อนหน้า และผู้มุ่งหวังใหม่ๆ เข้าสู่องค์กร โดยดึงหัวกะทิแห่งวงการเข้ามาทำงาน ซึ่งในขณะนั้นธุรกิจ MLM ที่เติบโตเป็นอย่างมากในช่วงเวลาขณะนั้น คือ ธุรกิจ AimStar จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่ DNW จะนำแผนการจ่ายผลตอบแทนของบริษัทที่ประสบความสำเร็จในขณะนั้น และใช้วิธีให้โปรแกรมเมอร์เขียนระบบลอกมาทั้งดุ้น เท่าที่ดูหลังบ้านไอ้โปรแกรมตัวนี้ค่าจ้างเขียนราคาไม่กี่แสนบาท แต่สาครโม้กับนักเรียนบอกว่าระบบเขียนมาหลายสิบล้านบาท บ้งแล้ว 1. สำหรับธุรกิจชวนคนที่เพิ่งเริ่มต้นสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้เลยคือตัวละครที่เรียกว่า“ผู้สำเร็จ”มาเป็นตัวล่อเหยื่อถ้าไม่มีผู้สำเร็จจะไปชวนคนมาเป็นเหยื่อได้อย่างไรล่ะ ถูกไหม.? นายสาครมองว่าผู้สำเร็จในธุรกิจชวนคนนั้นต้องมีระดับสูงๆในบริษัท ก็คือระดับ Blue Diamond ซึ่งเป็นระดับตำแหน่งสูงสุดของบริษัท ดังนั้นเมื่อมันไม่มีก็ต้องปั้น Blue Diamond ปลอมขึ้นมา 1 คน และคนนั้นต้องเป็นคนของตัวเองเพราะควบคุมได้ง่ายกว่า ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการสร้างตัวละครผู้สำเร็จที่ขาดหายไปโดยใช้วิธีปั้น แซน ภรัณธรณ์ ที่เป็นเมียน้อยของตัวเอง ให้ขึ้นเป็น Blue Diamond (เทียม) *นั่นเท่ากับว่านายสาครเริ่มต้นธุรกิจด้วยการลวงโลกตั้งแต่ก้าวแรก** ---------- ซึ่งการสร้างผู้สำเร็จไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับคนที่นอนคุยกันบนเตียง การดีลและความลับจึงรู้กันแค่สี่คน อ.ทั้งสาม และ เมียน้อย ที่รับรู้แผนการอันโสมม วิธีการที่นายสาคร ใช้คือการยืมคะแนนบริษัทมาใส่ในชื่อของ แซน เมียน้อยที่เป็นคนในองค์กรของตัวเองที่ต้องการทำคุณสมบัติให้ครบตามเงื่อนไขในการขี้นตำแหน่ง จึงเป็นเหตุให้มีการกระทำเพื่อทำให้เป็นการขึ้นตำแหน่งสูงสุดของบริษัทในขณะนั้น โดยใช้เวลาสั้นที่สุดเรียกว่าเป็นสถิติโลกเลยคือใช้เวลาแค่.."คืนเดียว" หลังจากสาครปั้นตำแหน่ง Blue Diamond ให้กับเมียน้อยได้ขึ้นตำแหน่งได้แล้วนั้น แซนก็ดึงค่าคอมมิชชั่นกลับหลังจากขึ้นตำแหน่งสูงสุด โดยการไปดึงค่าคอมจากสมาชิกที่สามีลงตังลงไป (ก็ตังสามีนี่หว่าต้องดึงคืน) ตำแหน่งสูงสุดในบริษัท (Blue Diamond) ถูกนำมาใช้ในการโปรโมทในการชวนคนใหม่ๆ เข้าร่วมธุรกิจกับบริษัท หลายคนเข้ามาในช่วงแรกๆก็คิดว่า แซน ภรัณธรณ์ ดาวน์ไลน์สาวน้อยท่านนี้เก่งมาก ระดับหัวกะทิของวงการ MLM เลยใช้เวลาปีเดียวขึ้น Blue Diamond ได้ การขยายเครือข่ายแบบแยบยลและต้มตุ๋น เมื่อภาพของผู้ประสบความสำเร็จ Blue Diamond ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว กระบวนการขับเคลื่อนธุรกิจ MLM แบบต้มตุ๋นจึงเริ่มขยับทำการสร้างเครือข่ายหาผู้บริโภค ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงเฟื่องฟูของวิทยุชุมชนและการขายสินค้าในช่องจานดาวเทียม นาย สาคร จึงขายแนวคิดให้ทีมงานไปใช้เงินส่วนตัวของแต่ละคนไปจ้างสถานีวิทยุชุมชนและช่องทีวีจานดาวเทียมเพื่อทำการตลาด.? สาคร..ได้ใช้หลักการ OPM (Other People Money) ง่ายๆก็คือ กูไม่จ่ายเองหรอกค่าโฆษณา กูให้ Downline เป็นคนจ่ายทำให้ยอดขายเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริษัท จากเครือข่ายผู้บริโภคที่ควรจะเป็นกลายไปเป็นเครือข่ายสถานีวิทยุ เครือขายช่องทีวีในจานดาวเทียม และสุดท้ายเครือข่ายร้านค้า เหตุนี้ทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จากเช่า 1 คูหา กลายเป็นเช่า 2 คูหา จนนาย สาคร พูดว่ามียอดธุรกิจถึง 2,000 ล้านบาทเพื่อล่อเม่า (ความจริง 500 กว่าล้านบาทเศษ) ซึ่งความสำเร็จนั้นไม่ว่ามันจะมากน้อยเท่าไหร่ก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นเงินในกระเป๋าของชาวบ้านทุกบาท ทุกสตางค์..ดังนั้นต้องแหก รอติดตามความแหกตอนที่ 2 สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • #จับอาการทักษิณกับข่าวลือยุบพรรค
    เป็นที่น่าจับตาการอาการแปลกๆ หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
    ตั้งแต่บุตรสาวอดีตนช.ทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย
    ทักษิณ แสดงอาการไม่กลัวใคร ตัดสัมพันธ์วงษ์สุวรรณ และการรวมเสียงพรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้ผ่านฉลุย รวมถึงการแสดงความเก๋า แก้เกมส์การเมืองจนลุงป้อมไปไม่เป็น สร้างสถานการณ์จนทำให้เสี่ยแป้งต้องตัดลุงอย่างไม่ใยดี
    -แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือสะพัด กับการหายหน้าไปจากพื้นที่สื่อของทักษิณ ไปไกลกระทั่งลือว่าทักษิณหลบไปเป็นคนต่างด้าว ณ ต่างแดน แต่ก็มีการสยบข่าวลือ ด้วยการเข้าพบของเสี่ยหนู และเนวิน จนเปิดวาทะกรรม ไม่เคยพูดคำว่า "จบแล้วครับนาย" โดยอนุทินยังเน้นหน้าลอยๆให้สัมภาษณ์ว่า ลูกน้องจะไปพูดแบบนี้กับเจ้านายตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาทักษิณออกมาให้เห็นหน้าซึ่งผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อทักษิณชินวัตร
    -มีข่าวที่ไม่ใช่ข่าวลือชุดต่อมา ว่าทักษิณ ได้ทำการขอนุญาตออกนอกประเทศ 2 วาระ ที่แรกคือ ประเทศอินโดยนีเซีย และวาระที่สองคือสหรัฐ ซึ่งวงการข่าวสารก็จะรับรู้ว่า การขอออกนอกประเทศของทักษิณ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับข่าววงใน ที่พบว่ามีความเสี่ยง มีความไม่แน่นอน ที่ควรจะออกไปตั้งหลักนอกประเทศก่อน
    -จึงเกิดคำถามว่า เหตุปัจจัยใดที่จะทำให้ทักษิณ ต้องหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในเกมส์นี้ได้บ้าง ก็พบว่า
    1. กรณี ป๋วยทิพย์ จากชั้น 14 มาถึงการแสดงออกถึงร่างกายที่แข็งแรงดุจพญาช้างสาร โดยไม่แคร์ผู้รับรอง ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตร. แพทย์ และทุกคนในกระบวนการที่ช่วยให้ทักษิณ ไม่ต้องเดินเข้าประตูตารางแม้แต่นาทีเดียว และยังเฉิดฉายแสดงบารมีอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาของคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณในอดีต
    2. กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับแผ่นดินธรณีสงฆ์ ที่แม้มีการให้สัมภาษณ์จากนักกฏหมายหลายคนจะออกมาในแนวทางที่ว่า เรื่องนี้ไม่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลแน่นอนก็ตาม และผู้ร้องก็ถูกด้อยค่าต่างๆนาๆก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการ กลไกการทำงานเพื่อแสวงหาความจริงกลับพบปัจจัยที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะเข้าสู่การพิจารณา
    3. กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า กับการเอ่ยถึงคลิปเสียง หรือคลิปภาพ ที่เห็นการบัญชาการของทักษิณ ที่มีต่อพรรคร่วม รวมถึงการใช้อำนาจในการสั่งการพรรคร่วม ไปทำสัญญาใจในการสนับสนุนบุตรสาวให้ได้ตำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็ยังค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ และตัวนายทักษิณ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยอีกว่า ไม่ได้ครอบงำ แต่ตนเองครอบครอง เพราะเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังมีการแต่งตั้ง ผู้มีพระคุณต่อทักษิณ ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งสำคัญอย่างมากมาย โดยล่าสุด คือตำแหน่งที่ปรึกษานายก ที่มีจำนวนมากเท่ากับทีมฟุตซอล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดล้วนมีประวัติศาสตร์ในการรับใช้นายใหญ่ ที่ชื่อทักษิณทั้งสิ้น
    คิงส์โพธิ์ดำ จึงนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอไว้ เพื่อหากเกิดเหตุทักษิณหายตัวไปจริงๆวันใด จะได้ทราบที่มาที่ไป ว่ามีอาการใดที่ผิดสังเกตุ กับข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณ ณ วันนี้
    #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    #จับอาการทักษิณกับข่าวลือยุบพรรค เป็นที่น่าจับตาการอาการแปลกๆ หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่บุตรสาวอดีตนช.ทักษิณ ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ แสดงอาการไม่กลัวใคร ตัดสัมพันธ์วงษ์สุวรรณ และการรวมเสียงพรรคร่วมตั้งรัฐบาลได้ผ่านฉลุย รวมถึงการแสดงความเก๋า แก้เกมส์การเมืองจนลุงป้อมไปไม่เป็น สร้างสถานการณ์จนทำให้เสี่ยแป้งต้องตัดลุงอย่างไม่ใยดี -แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวลือสะพัด กับการหายหน้าไปจากพื้นที่สื่อของทักษิณ ไปไกลกระทั่งลือว่าทักษิณหลบไปเป็นคนต่างด้าว ณ ต่างแดน แต่ก็มีการสยบข่าวลือ ด้วยการเข้าพบของเสี่ยหนู และเนวิน จนเปิดวาทะกรรม ไม่เคยพูดคำว่า "จบแล้วครับนาย" โดยอนุทินยังเน้นหน้าลอยๆให้สัมภาษณ์ว่า ลูกน้องจะไปพูดแบบนี้กับเจ้านายตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงแม้กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาทักษิณออกมาให้เห็นหน้าซึ่งผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อทักษิณชินวัตร -มีข่าวที่ไม่ใช่ข่าวลือชุดต่อมา ว่าทักษิณ ได้ทำการขอนุญาตออกนอกประเทศ 2 วาระ ที่แรกคือ ประเทศอินโดยนีเซีย และวาระที่สองคือสหรัฐ ซึ่งวงการข่าวสารก็จะรับรู้ว่า การขอออกนอกประเทศของทักษิณ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับข่าววงใน ที่พบว่ามีความเสี่ยง มีความไม่แน่นอน ที่ควรจะออกไปตั้งหลักนอกประเทศก่อน -จึงเกิดคำถามว่า เหตุปัจจัยใดที่จะทำให้ทักษิณ ต้องหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในเกมส์นี้ได้บ้าง ก็พบว่า 1. กรณี ป๋วยทิพย์ จากชั้น 14 มาถึงการแสดงออกถึงร่างกายที่แข็งแรงดุจพญาช้างสาร โดยไม่แคร์ผู้รับรอง ตั้งแต่ราชทัณฑ์ รพ.ตร. แพทย์ และทุกคนในกระบวนการที่ช่วยให้ทักษิณ ไม่ต้องเดินเข้าประตูตารางแม้แต่นาทีเดียว และยังเฉิดฉายแสดงบารมีอย่างไม่หวั่นเกรงสายตาของคนที่เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณในอดีต 2. กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับแผ่นดินธรณีสงฆ์ ที่แม้มีการให้สัมภาษณ์จากนักกฏหมายหลายคนจะออกมาในแนวทางที่ว่า เรื่องนี้ไม่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลแน่นอนก็ตาม และผู้ร้องก็ถูกด้อยค่าต่างๆนาๆก็ตาม แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการ กลไกการทำงานเพื่อแสวงหาความจริงกลับพบปัจจัยที่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะเข้าสู่การพิจารณา 3. กรณีบ้านจันทร์ส่องหล้า กับการเอ่ยถึงคลิปเสียง หรือคลิปภาพ ที่เห็นการบัญชาการของทักษิณ ที่มีต่อพรรคร่วม รวมถึงการใช้อำนาจในการสั่งการพรรคร่วม ไปทำสัญญาใจในการสนับสนุนบุตรสาวให้ได้ตำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็ยังค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ และตัวนายทักษิณ ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยอีกว่า ไม่ได้ครอบงำ แต่ตนเองครอบครอง เพราะเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังมีการแต่งตั้ง ผู้มีพระคุณต่อทักษิณ ได้เข้ามาดำรงค์ตำแหน่งสำคัญอย่างมากมาย โดยล่าสุด คือตำแหน่งที่ปรึกษานายก ที่มีจำนวนมากเท่ากับทีมฟุตซอล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดล้วนมีประวัติศาสตร์ในการรับใช้นายใหญ่ ที่ชื่อทักษิณทั้งสิ้น คิงส์โพธิ์ดำ จึงนำข้อมูลต่างๆมานำเสนอไว้ เพื่อหากเกิดเหตุทักษิณหายตัวไปจริงๆวันใด จะได้ทราบที่มาที่ไป ว่ามีอาการใดที่ผิดสังเกตุ กับข่าวความเคลื่อนไหวของทักษิณ ณ วันนี้ #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิงส์โพธิ์ดำ ep.2 จับอาการทักษิณ ข่าวลือยุบพรรค
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    #ทักษิณ
    #จับสังเกต
    คิงส์โพธิ์ดำ ep.2 จับอาการทักษิณ ข่าวลือยุบพรรค #คิงส์โพธิ์ดำ #ทักษิณ #จับสังเกต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 23 0 รีวิว
  • สื่อต่างประเทศบางสำนักรายงานในช่วงต้นสัปดาห์ อิสราเอลยกเลิกแผนโจมตีแก้แค้นเตหะราน ท่ามกลางข่าวลือว่าอิหร่านได้ทำการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ จากกรณีเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงสั่นสะเทือนอิหร่านเมื่อวันเสาร์(5ต.ค.) ที่ผ่านมา
    .
    เมื่อวันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม เกิดแผ่นดินไหวระดับ 4.6 สั่นสะเทือนอิหร่าน โดยมีศูนย์กลางอยู่ในเมืองอราดัน จังหวัดเซมนัน ณ ความลึกเพียง 10 กิโลเมตร อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ แรงสั่นสะเทือนสามารถสัมผัสได้ไกลถึงกรุงเตหะราน ที่อยู่ห่างจากศูนย์กลางราวๆ 110 กิโลเมตร
    .
    แผ่นดินไหวดังกล่าว โหมกระพือข่าวลือว่าอิหร่านได้ทำการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ แม้ไม่มีคำยืนยันอย่างเป็นทางการในประเด็นนี้ ขณะที่พวกผู้เชี่ยวชาญเคยเชื่อว่าอิหร่านเข้าใกล้การมีอาวุธนิวเคลียร์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และท่ามกลางความตึงเครียดกับอิหร่าน ผู้เชี่ยวชาญคิดว่า ณ เวลานี้ อิหร่าน อาจจำเป็นต้องมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง
    .
    ข่าวลือและประเด็นถกเถียงโหมกระพือขึ้น ภายในไม่กี่นาทีหลังแผ่นดินไหว ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หลายคน โดยเฉพาะในอิสราเอล เชื่อมโยงเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาครั้งนี้ในทันทีกับความเป็นไปได้ที่อิหร่านได้ทำการทดสอบนิวเคลียร์แบบลับๆ สืบเนื่องจากสถานการณ์ความตึงเครียดในปัจจุบันระหว่าง 2 ชาติ
    .
    ผู้ใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์รายหนึ่งคาดการณ์ว่า "อิหร่านทดสอบนิวเคลียร์ พวกเขาทดสอบระเบิดลึกลงไปใต้พื้นผิว 10 กิโลเมตร ใกล้กับเซมนัน เพื่อรับประกันการปล่อยกัมมันตภาพรังสีน้อยที่สุด และผลก็คือเครื่องวัดแผ่นดินไหวสามารถตรวจจับแผ่นดินไหวระดับ 4.6"
    .
    การคาดเดาในเรื่องนี้ โหมกระพือหนักหน่วงยิ่งขึ้น เนื่องจากจุดที่เกินแผ่นดินไหวนี้อยู่บริเวณใกล้เคียงกับโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน ก่อความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการทดสอบนิวเคลียรใต้ดิน ในขณะที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์รายหนึ่งอ้างว่า "แผ่นดินไหวอิหร่านก่อแรงสั่นสะเทือนไปถึงอิสราเอล พวกเขาคงต้องคิดทบทวนอย่างหนักหากคิดโจมตีอิหร่าน มันดูเหมือนว่าความลับคืออิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ ไม่มีประเทศไหนที่อยากไปยุ่งกับพลังทำลายล้างของนิวเคลียร์"
    .
    อย่างไรก็ตามสื่อมวลชนระบุว่าแม้นอิหร่านเข้าใกล้การมีอาวุธนิวเคลียร์เป็นของตนเอง แต่การทดสอบแสนยานุภาพทางนิวเคลียร์ ไม่ได้หมายความว่าประเทศนั้นๆ จะมีอาวุธนิวเคลียร์ที่ใช้งานได้จริงภายในไม่กี่สัปดาห์
    .
    กระนั้นก็ดีหนังสือพิมพ์ฮินดูสถานไทม์ส อ้างรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส ระบุมีข่าวว่าอิสราเอลตัดสินใจยกเลิกแผ่นโจมตีแก้แค้นอิหร่าน ท่ามกลางข่าวลือว่าอิหร่านทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
    .
    รายงานของนิวยอร์กไทม์ส ไม่คาดหมายว่าอิสราเอลจะโจมตีที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน ตอบโต้กรณีที่เตหะรานรัวยิงขีปนาวุธถล่มอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม แต่มีความเป็นไปได้ที่ อิสราเอล จะเล็งเป้าถล่มฐานทัพทหาร เป้าหมายข่าวกรองหรือพวกผู้นำของอิหร่านแทน อย่างไรก็ตามมันยังมีความเป็นไปได้ที่ อิสราเอล จะลงมือเลยเถิดมากกว่านั้น ด้วยการโจมตีโครงการนิวเคลียร์ หากอิหร่านตอบโต้กลับ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000096126
    ..............
    Sondhi X
    สื่อต่างประเทศบางสำนักรายงานในช่วงต้นสัปดาห์ อิสราเอลยกเลิกแผนโจมตีแก้แค้นเตหะราน ท่ามกลางข่าวลือว่าอิหร่านได้ทำการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ จากกรณีเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงสั่นสะเทือนอิหร่านเมื่อวันเสาร์(5ต.ค.) ที่ผ่านมา . เมื่อวันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม เกิดแผ่นดินไหวระดับ 4.6 สั่นสะเทือนอิหร่าน โดยมีศูนย์กลางอยู่ในเมืองอราดัน จังหวัดเซมนัน ณ ความลึกเพียง 10 กิโลเมตร อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ แรงสั่นสะเทือนสามารถสัมผัสได้ไกลถึงกรุงเตหะราน ที่อยู่ห่างจากศูนย์กลางราวๆ 110 กิโลเมตร . แผ่นดินไหวดังกล่าว โหมกระพือข่าวลือว่าอิหร่านได้ทำการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ แม้ไม่มีคำยืนยันอย่างเป็นทางการในประเด็นนี้ ขณะที่พวกผู้เชี่ยวชาญเคยเชื่อว่าอิหร่านเข้าใกล้การมีอาวุธนิวเคลียร์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และท่ามกลางความตึงเครียดกับอิหร่าน ผู้เชี่ยวชาญคิดว่า ณ เวลานี้ อิหร่าน อาจจำเป็นต้องมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง . ข่าวลือและประเด็นถกเถียงโหมกระพือขึ้น ภายในไม่กี่นาทีหลังแผ่นดินไหว ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หลายคน โดยเฉพาะในอิสราเอล เชื่อมโยงเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาครั้งนี้ในทันทีกับความเป็นไปได้ที่อิหร่านได้ทำการทดสอบนิวเคลียร์แบบลับๆ สืบเนื่องจากสถานการณ์ความตึงเครียดในปัจจุบันระหว่าง 2 ชาติ . ผู้ใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์รายหนึ่งคาดการณ์ว่า "อิหร่านทดสอบนิวเคลียร์ พวกเขาทดสอบระเบิดลึกลงไปใต้พื้นผิว 10 กิโลเมตร ใกล้กับเซมนัน เพื่อรับประกันการปล่อยกัมมันตภาพรังสีน้อยที่สุด และผลก็คือเครื่องวัดแผ่นดินไหวสามารถตรวจจับแผ่นดินไหวระดับ 4.6" . การคาดเดาในเรื่องนี้ โหมกระพือหนักหน่วงยิ่งขึ้น เนื่องจากจุดที่เกินแผ่นดินไหวนี้อยู่บริเวณใกล้เคียงกับโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน ก่อความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการทดสอบนิวเคลียรใต้ดิน ในขณะที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์รายหนึ่งอ้างว่า "แผ่นดินไหวอิหร่านก่อแรงสั่นสะเทือนไปถึงอิสราเอล พวกเขาคงต้องคิดทบทวนอย่างหนักหากคิดโจมตีอิหร่าน มันดูเหมือนว่าความลับคืออิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ ไม่มีประเทศไหนที่อยากไปยุ่งกับพลังทำลายล้างของนิวเคลียร์" . อย่างไรก็ตามสื่อมวลชนระบุว่าแม้นอิหร่านเข้าใกล้การมีอาวุธนิวเคลียร์เป็นของตนเอง แต่การทดสอบแสนยานุภาพทางนิวเคลียร์ ไม่ได้หมายความว่าประเทศนั้นๆ จะมีอาวุธนิวเคลียร์ที่ใช้งานได้จริงภายในไม่กี่สัปดาห์ . กระนั้นก็ดีหนังสือพิมพ์ฮินดูสถานไทม์ส อ้างรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส ระบุมีข่าวว่าอิสราเอลตัดสินใจยกเลิกแผ่นโจมตีแก้แค้นอิหร่าน ท่ามกลางข่าวลือว่าอิหร่านทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ . รายงานของนิวยอร์กไทม์ส ไม่คาดหมายว่าอิสราเอลจะโจมตีที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน ตอบโต้กรณีที่เตหะรานรัวยิงขีปนาวุธถล่มอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม แต่มีความเป็นไปได้ที่ อิสราเอล จะเล็งเป้าถล่มฐานทัพทหาร เป้าหมายข่าวกรองหรือพวกผู้นำของอิหร่านแทน อย่างไรก็ตามมันยังมีความเป็นไปได้ที่ อิสราเอล จะลงมือเลยเถิดมากกว่านั้น ด้วยการโจมตีโครงการนิวเคลียร์ หากอิหร่านตอบโต้กลับ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000096126 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 3 การแบ่งปัน 1395 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช้าไปนิด ไม่ว่าอะไรนะติ่งขา………พี่ปูเขาเรื่องแยะ เลยต้องค้นหาข้อมูลมาเม้าท์กันเยอะหน่อยค่าาาา…!!!

    ตอนยี่สิบเอ็ด………งานหลวงงานราษฎร์……งานปราบปิดจ๊อบเป็นงานถนัด…!!!

    ในการกลับมาในครั้งนี้ ปูตินผ่านสารพัดม็อบมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในช่วงนี้ของชีวิตที่จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในยุคสังคมเปิดทางโลกออนไลน์……เขาพบว่ากลุ่มต่อต้านได้เติบโตไปมาก
    คราวนี้ เขามีอายุ ห้าสิบเก้า……สุขภาพดีเยี่ยม พร้อมที่จะนำพาประเทศไปยังจุดที่สูงสุด จะต้องเป็นมหาอำนาจในทุกด้าน
    และจะต้องเป็นศูนย์กลางของยูเรเชีย……
    เขาเดินออกมาจากพระวิหารในวันที่เข้าพบกับ
    พระอธิการคิริลล์ หลังจากการเข้าสาบานตน ด้วยท่าทางที่พร้อมที่จะรับมือกับฝ่ายตรงข้ามทุกหมู่เหล่า

    กลุ่มแรก…คือ กลุ่มที่ชุมนุมอยู่ที่จตุรัส Bolotnaya กลางกรุงมอสโคว์ ที่ปูตินต้องการแค่ผู้นำ Leonid Razvozzhayev (ซ้ายจัด) ที่ไหวตัวทัน หนีไปกบดานที่ยูเครน
    เพียงไม่กี่วันต่อมา ……ก็มีกลุ่มคนมา”อุ้ม” เขาไปจากที่พัก นำตัวกลับไปยังรัสเซีย ขึ้นศาล
    ถูกตัดสินให้ไปนอนเล่นที่ไซบีเรียห้าปี……

    กลุ่มหัวหอกอื่นๆ เช่น Aleksei Navalny ทนายความนักการเมืองที่มีฐานเสียงพอสมควร ที่ไม่ยอมรับผลเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่จะต้องรับข้อหาในการก่อความไม่สงบตามมา
    แต่.……สิ่งที่ไม่คาดคิด คือ หนึ่งในหัวหอกที่ต่อต้านปูตินในขบวนการเดียวกัน คือ Ksena Sobchak ธิดาสาวของ อนาโตลี
    เจ้านายและผู้สนับสนุนที่สำคัญของปูติน ที่ได้ช่วยเหลือและตอบแทนกันมาตั้งแต่สมัยที่ปูตินเพิ่มเริ่มเตาะแตะทางการเมือง ในกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    ที่แม้แต่อนาโตลีจะจากโลกนี้ไปแล้ว ปูตินก็ยังคือว่าครอบครัวนี้เป็นผู้ที่เขาต้องให้ความสงเคราะห์ เช่น ภริยาของอนาโตลี ได้เป็นกรรมการบริหารในเทศบาล (ข้าราชการประจำ)
    แม้แต่ตัว เซน่าเอง……ก็ได้เข้ามาทำงานในสถานีโทรทัศน์ (ด้วยการสนับสนุนของปูติน) ตั้งแต่ปี 2014 ตามสายงานที่เรียนมา จนมาเป็นผู้ดำเนินรายการที่มีชื่อเสียงพอสมควร

    สรุปว่า…ชีวิตทางการงานของเธอและมารดา……ได้สิ้นสุดลงแค่นั้น (2012) แต่เหมือนกับส่งเสือเข้าป่า เพราะเซน่าได้หันไปซบกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มตัว

    ส่วนเรื่องคดีสาวห่ามทั้งหลาย ที่ขึ้นไปเต้นเหยงๆอยู่บนพระวิหาร ได้ถูกตัดสินจำคุก ในข้อหา……ลบหลู่ศาสนาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์……และเนื่องจากหลายคนเป็นนักดนตรีแนวพั้งค์
    ข่าวในทางตะวันตกจึงตีไปในทิศทางที่ว่า “จำกัดอิสรภาพของศิลปิน…” ที่เหล่าดาราใหญ่ๆ เช่น Paul McCartney ก็พลอยบ้าจี้ตามไปด้วย

    ปูตินได้ไปร่วมประชุมในวาระงานโอลิมปิกภาคฤดูร้อนที่ลอนดอน
    นายกรัฐมนตรี David Cameron ได้เข้ามาถามถึงเรื่องนี้
    ปูตินตอบว่า……
    “เรื่องนี้ดูยังไงก็ผิด ไม่ว่าเขาจะแย้งว่าอะไร ชาติไหนก็ต้องมีขอบเขตในเรื่องศาสนา ถ้าพวกก่อการพวกนี้ลองไปเต้นที่มัสยิด….คุณคิดว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดออกมาหรือ..??
    แน่นอนว่า…ในวันที่ 17 สิงหาคม เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล การตัดสินคือ จำคุก 2 ปี (ติดจริงๆแค่ เจ็ดเดือน)
    จากนั้นกลุ่ม ***** Riot ก็สลายตัวลงไปจากบนดิน แต่ยังพอมีกระแสทางลับๆ

    ทางด้านการต่างประเทศระหว่างสหรัฐ เริ่มตึงเครียด เข้ามาทุกที เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า ในกลุ่มผู้ชุมนุมระดับหัวหน้า ได้มีกลุ่มตะวันตกสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง กลุ่มสนับสนุนพวกนั้นมาในรูปแบบขององค์กร เช่น USAID, NGO
    ปูตินได้วางนโยบายไว้ว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในลิเบีย…
    ที่เขาได้เห็นกลุ่มนาโต้ได้เข้ารุมย่ำยีเพราะเพียงเพื่อหวังจะเอากัดดาฟีลงจากอำนาจนั้น เขาจะไม่ยอมให้สหรัฐและพรรคพวกที่เรียกว่า NATO มาเป็นคนชี้ชะตาของชาติไหนในโลกนี้อีก……พอกันที……!!

    การแก้และออกกฎหมายใหม่ได้ทำขึ้นรัวๆ เริ่มจาก……ห้ามการรับเลี้ยงดูเด็กกำพร้าจากรัสเซีย (จากต่างประเทศ ที่อเมริกาเป็นประเทศที่ขอไปเลี้ยงมากสุด) แม้ว่าบางรายที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการทางเอกสาร
    เมื่อถูกซักถามหนักๆจากสื่อ ในเรื่องว่าเป็นการดับอนาคตของเด็กหรือไม่…??
    เขาตอบว่า…”คุณคิดว่านี่คือการดับอนาคตหรือ มันน่าอับอายและเป็นรอยบาปให้กับเด็กของเราต่างหาก……นี่คุณบ้าไปหรือเปล่า…?!!

    ในวันคล้ายวันเกิดของปูตินที่ครบหกสิบปี………เขาเริ่มทำการประชาสัมพันธ์ตัวเองอย่างรัวๆ เช่น ดำน้ำในทะเลดำ หาไหโบราณ (ถึงแม้จะเป็นการจัดฉาก ก็ดูเนียน……)
    ขี่ม้า เปลือยอก…(ถึงจะจัด……ก็โอเค) ขี่เครื่องร่อน……มีนกบินตาม (อันนี้ก็ดูเก๋ไปอีกแบบ…) ไปสมทบกับกลุ่มบิ๊กไบค์ที่เป็นเกลอกัน ( ก็ดูแพง……เพราะใช้ Harley Davidson สามล้ออย่างใหญ่……)
    และที่ต้องกรี๊ดดด…คือ ปูตินไปแอบหัดเล่นไอซ์ ฮ๊อกกี้ ที่ค่อนข้างจะดูแอ๊บสักหน่อย แต่พอออกงานได้ มีสะดุดล้มพังพาบให้เห็น…ก็ยังน่าเอ็นดู (แต่คนถ่าย……ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้)

    มีการให้ทำคลิปรายการของความเป็นอยู่ในบ้านพัก ที่ให้ชาวบ้านได้รับรู้ว่า ท่านผู้นำตื่นในเวลาแปดโมงครึ่ง จากเตียงก็ออกกำลังกายเลย คือเข้าห้องยิม และดูข่าวไปด้วย จากนั้นไปว่ายน้ำระยะ 1000 เมตร เริ่มอาหารเช้าในเวลาเที่ยง
    เป็นพวกโจ๊กด้วยธัญพืช ไข่นกกระทา สลัดและน้ำผลไม้คั้นสดส่วนประกอบจะมาจากสวนในพระวิหารของพระอธิการ Kirill
    จากนั้นจะทำงานจนถึงดึก การประชุมมักจะเป็นในเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้านอนไปแล้ว…
    ที่บ้าน…ไม่มีวี่แววของผู้อาศัยคนอื่น ไม่มีลุดมิลา และ บุตรสาวทั้งสอง นอกจาก Koni สุนัขข้างกายที่ตามติดไปทุกที่
    แต่…อย่างไรก็ตาม ในยุคเขานั้น รายได้ของประชาชนจากปีละจำนวนพันดอลล่าร์ พุ่งขึ้นมาเป็นหลักหมื่น

    ธิดาทั้งสองของปูติน คนโต คือ มาเรีย ได้แต่งงานกับนักธุรกิจชาวดัทช์ Jorrit Faassen ที่ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในอนุกรรมการของ Gazprom แทบไม่มีใครรู้จักเขาเลยจนกระทั่ง วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2010 ที่เขาไปเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถอีกคันหนึ่งที่เป็นรถเบ๊นซ์ของมหาเศรษฐีหนุ่ม Matvei Urin
    เหล่าบอดี้การ์ดของมหาเศรษฐีที่ตามมาในรถตู้ ได้กรูกันมาทำร้าย Faassen จนถึงขั้นหาม…

    เรื่องได้ไปถึงปูติน (เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) ผลคือ เหล่าบอดี้การ์ดติดคุกกันพร้อมหน้า ส่วน Urin โดนหลายคดี……
    ทำร้ายร่างกาย และ ยกเลิกใบอนุญาตทำธนาคาร เพราะตรวจสอบบัญชีในการดำเนินการพบว่ามีการทุจริต……ติดคุก สี่ปีครึ่ง
    ทั้งมาเรียและฟาสเซ่น ได้แต่งงานกันที่กรีซ ในปี 2012 และมีบุตรชาย ที่ปูตินได้เป็นพ่อทูนหัว
    ส่วนบุตรสาวคนเล็ก Katya มีข่าวลือว่ามีคู่รักเป็นลูกชายนายพลเกาหลีเหนือ (ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน) แต่เธอชอบศิลปการแสดง และเคยเป็นผู้อำนวยการในองค์กรพัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยมอสโคว์

    ถึงแม้จะอยู่คนเดียว แต่บ่อยครั้งที่ปูตินจะรายล้อมไปด้วยกลุ่มเพื่อนเก่าๆที่เคยกอดคอสู้กันมา จัดปาร์ตี้และได้มีคอนเสิร์ตเล็กๆจากวงดุริยางค์จากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มาขับกล่อม

    และในวันที่ปูตินเข้าสาบานตนในฐานะประธานาธิบดี ในเดือนพฤษภาคมนั้น คือวันที่ทุกคนได้เห็นลุดมิลายืนเคียงข้างกับเขา แต่ทุกคนก็ได้รับรู้แล้วว่า ทั้งคู่นี้แยกกันอยู่มานานแสนนาน
    จนในเดือนมิถุนายน ที่เขาทั้งคู่ไปในงานบัลเล่ต์ “Esmeralda”
    ที่นักข่าวได้ยิงคำถามตรง ว่า
    “ไม่เห็นท่านมาด้วยกันบ่อยๆ แล้วข่าวลือที่ว่าท่านได้แยกกันอยู่มันเท็จจริงประการใด?”
    ปูติน เหลือบไปมองลุดมิลา ก่อนที่จะตอบว่า
    “เป็นเรื่องจริง ลุดมิลาต้องทนกับสภาพการทำงานที่ไม่เป็นเวล่ำเวลาของผมมานานแสนนาน เราแทบไม่มีเวลาพบกันเลย ต่างคนต่างอยู่มาแปดเก้าปีแล้ว..”
    ลุดมิลาได้พูดขึ้นมาว่า…
    “เราหย่ากันก็จริง แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ยังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
    นั่นคือการยืนยันจากคนทั้งสองด้วยตัวเอง

    ปูตินมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้งานกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi เป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของรัสเซียสู่สายตาชาวโลก โดยทุ่มทุนถึง หกหมื่นล้านดอลล่าร์ (เทียบเท่า) ที่นับว่าเป็นงบที่ใช้สำหรับโอลิมปิกที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ (เจ็ดเท่าเหนือกว่าแคนาดาในปี 2010)
    ที่ทุกคนทางทีมฝ่ายเศรษฐกิจเริ่มอึดอัด เพราะยังไม่นับทางรถไฟเชื่อมสู่เขา และ เส้นทางถนน
    ผู้รับเหมาต่างพากันอิ่มเอมในการบวกราคา (เพราะยิ่งเร่งยิ่งแพง)
    เรื่องนี้ถึงหูปูติน……เขาเรียกคณะกรรมการมาถามว่า ใครเป็นคนรับผิดชอบส่วนที่ล่าช้า (คือ เส้นทางของสกีสลาลอม หรือ ลงเขาที่ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ……ที่ปูตินเห็นว่า……งานไม่เนี๊ยบ)
    คำตอบคือ Akhmed Bilalov รองประธานคณะมนตรี ที่มีผลประโยชน์แอบแฝงคือมีที่ทางอยู่ทางด้านล่างของภูเขา เลยกินเศษกินเลยกับบริษัทก่อสร้าง งบประมาณ 40 ล้านในทีแรก
    บานมาเป็น 260 ล้าน…
    ปูตินเรียกให้มาพบพร้อมกับประธานงานโอลิมปิก(ออกสื่อ)
    แล้วถามตรงๆว่า……อธิบายมา……ช้าแล้วยังไม่ดีสมราคา เพราะ…???
    คำอธิบายทั้งหมดที่ยกมา……ฟังไม่ขึ้น……!!
    ปูตินเลยสั่งแบบสั้นๆแต่ได้ใจความว่า……”งั้นก็คงต้องจัดการกันใหม่……”
    แล้วเขาก็เดินออกไป….

    วันรุ่งขึ้น…Akhmed ถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งในคณะมนตรี
    ปูตินได้ให้ฝ่ายบัญชีทำการตรวจสอบย้อนหลังในทุกงานที่เขารับทำมา รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่ออกจะเว่อร์ในการไปดูงานประชุมที่ลอนดอน……
    ผู้ที่มารับหน้าที่แทนคือ ผู้ที่ชนะการประกวดราคาประมูล ธนาคาร Sberbank ที่มีประธานคือ German Greff
    (ที่งานนี้ต้องเข้าเนื้อไปอย่างมากมาย เพราะต้องยอมขาดทุน)

    ~~-ต้องเล่าต่อถึง Akhmed Bilalov ไม่งั้นจะค้างคาในใจ
    หลังจากที่โดนการตรวจสอบบัญชีแบบเข้ม อาเหมดถูกข้อหาฉ้อโกง คอรัปชั่น ตามมาติดๆ ที่มีโทษถึงจำคุกสี่ถึงสิบปี
    ไม่ใช่เขาคนเดียว ……แต่พี่น้องสองคนและผู้บริหารทุกคนในบริษัทโดนคดีหมด
    เขาหนีออกจากรัสเซีย ไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลโดยอ้างว่าจะถูกคุกคามเอาชีวิต เพราะในที่ทำงานของเขามีร่องรอยของผงยาพิษ
    เขาหนีไปที่เยอรมัน และ ไปปักหลักที่ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา
    ที่เขาถูกจับกุมเพราะไม่มีเอกสารการอนุญาตให้ต่อวีซ่า (2019) ที่ตามกฏแล้ว……เขาอาจจะต้องส่งกลับไปที่รัสเซีย
    แต่จากนั้น ข่าวของเขาก็เงียบหายไป………
    รัสเซียได้ทวงถามไปที่อเมริกา….ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไร
    เชื่อว่า…คงใช้เงินซื้อเส้นทางใบเขียวไปแล้ว..


    Wiwanda W. Vichit
    ช้าไปนิด ไม่ว่าอะไรนะติ่งขา………พี่ปูเขาเรื่องแยะ เลยต้องค้นหาข้อมูลมาเม้าท์กันเยอะหน่อยค่าาาา…!!! ตอนยี่สิบเอ็ด………งานหลวงงานราษฎร์……งานปราบปิดจ๊อบเป็นงานถนัด…!!! ในการกลับมาในครั้งนี้ ปูตินผ่านสารพัดม็อบมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในช่วงนี้ของชีวิตที่จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในยุคสังคมเปิดทางโลกออนไลน์……เขาพบว่ากลุ่มต่อต้านได้เติบโตไปมาก คราวนี้ เขามีอายุ ห้าสิบเก้า……สุขภาพดีเยี่ยม พร้อมที่จะนำพาประเทศไปยังจุดที่สูงสุด จะต้องเป็นมหาอำนาจในทุกด้าน และจะต้องเป็นศูนย์กลางของยูเรเชีย…… เขาเดินออกมาจากพระวิหารในวันที่เข้าพบกับ พระอธิการคิริลล์ หลังจากการเข้าสาบานตน ด้วยท่าทางที่พร้อมที่จะรับมือกับฝ่ายตรงข้ามทุกหมู่เหล่า กลุ่มแรก…คือ กลุ่มที่ชุมนุมอยู่ที่จตุรัส Bolotnaya กลางกรุงมอสโคว์ ที่ปูตินต้องการแค่ผู้นำ Leonid Razvozzhayev (ซ้ายจัด) ที่ไหวตัวทัน หนีไปกบดานที่ยูเครน เพียงไม่กี่วันต่อมา ……ก็มีกลุ่มคนมา”อุ้ม” เขาไปจากที่พัก นำตัวกลับไปยังรัสเซีย ขึ้นศาล ถูกตัดสินให้ไปนอนเล่นที่ไซบีเรียห้าปี…… กลุ่มหัวหอกอื่นๆ เช่น Aleksei Navalny ทนายความนักการเมืองที่มีฐานเสียงพอสมควร ที่ไม่ยอมรับผลเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่จะต้องรับข้อหาในการก่อความไม่สงบตามมา แต่.……สิ่งที่ไม่คาดคิด คือ หนึ่งในหัวหอกที่ต่อต้านปูตินในขบวนการเดียวกัน คือ Ksena Sobchak ธิดาสาวของ อนาโตลี เจ้านายและผู้สนับสนุนที่สำคัญของปูติน ที่ได้ช่วยเหลือและตอบแทนกันมาตั้งแต่สมัยที่ปูตินเพิ่มเริ่มเตาะแตะทางการเมือง ในกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่แม้แต่อนาโตลีจะจากโลกนี้ไปแล้ว ปูตินก็ยังคือว่าครอบครัวนี้เป็นผู้ที่เขาต้องให้ความสงเคราะห์ เช่น ภริยาของอนาโตลี ได้เป็นกรรมการบริหารในเทศบาล (ข้าราชการประจำ) แม้แต่ตัว เซน่าเอง……ก็ได้เข้ามาทำงานในสถานีโทรทัศน์ (ด้วยการสนับสนุนของปูติน) ตั้งแต่ปี 2014 ตามสายงานที่เรียนมา จนมาเป็นผู้ดำเนินรายการที่มีชื่อเสียงพอสมควร สรุปว่า…ชีวิตทางการงานของเธอและมารดา……ได้สิ้นสุดลงแค่นั้น (2012) แต่เหมือนกับส่งเสือเข้าป่า เพราะเซน่าได้หันไปซบกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มตัว ส่วนเรื่องคดีสาวห่ามทั้งหลาย ที่ขึ้นไปเต้นเหยงๆอยู่บนพระวิหาร ได้ถูกตัดสินจำคุก ในข้อหา……ลบหลู่ศาสนาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์……และเนื่องจากหลายคนเป็นนักดนตรีแนวพั้งค์ ข่าวในทางตะวันตกจึงตีไปในทิศทางที่ว่า “จำกัดอิสรภาพของศิลปิน…” ที่เหล่าดาราใหญ่ๆ เช่น Paul McCartney ก็พลอยบ้าจี้ตามไปด้วย ปูตินได้ไปร่วมประชุมในวาระงานโอลิมปิกภาคฤดูร้อนที่ลอนดอน นายกรัฐมนตรี David Cameron ได้เข้ามาถามถึงเรื่องนี้ ปูตินตอบว่า…… “เรื่องนี้ดูยังไงก็ผิด ไม่ว่าเขาจะแย้งว่าอะไร ชาติไหนก็ต้องมีขอบเขตในเรื่องศาสนา ถ้าพวกก่อการพวกนี้ลองไปเต้นที่มัสยิด….คุณคิดว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดออกมาหรือ..?? แน่นอนว่า…ในวันที่ 17 สิงหาคม เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล การตัดสินคือ จำคุก 2 ปี (ติดจริงๆแค่ เจ็ดเดือน) จากนั้นกลุ่ม Pussy Riot ก็สลายตัวลงไปจากบนดิน แต่ยังพอมีกระแสทางลับๆ ทางด้านการต่างประเทศระหว่างสหรัฐ เริ่มตึงเครียด เข้ามาทุกที เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า ในกลุ่มผู้ชุมนุมระดับหัวหน้า ได้มีกลุ่มตะวันตกสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง กลุ่มสนับสนุนพวกนั้นมาในรูปแบบขององค์กร เช่น USAID, NGO ปูตินได้วางนโยบายไว้ว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในลิเบีย… ที่เขาได้เห็นกลุ่มนาโต้ได้เข้ารุมย่ำยีเพราะเพียงเพื่อหวังจะเอากัดดาฟีลงจากอำนาจนั้น เขาจะไม่ยอมให้สหรัฐและพรรคพวกที่เรียกว่า NATO มาเป็นคนชี้ชะตาของชาติไหนในโลกนี้อีก……พอกันที……!! การแก้และออกกฎหมายใหม่ได้ทำขึ้นรัวๆ เริ่มจาก……ห้ามการรับเลี้ยงดูเด็กกำพร้าจากรัสเซีย (จากต่างประเทศ ที่อเมริกาเป็นประเทศที่ขอไปเลี้ยงมากสุด) แม้ว่าบางรายที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการทางเอกสาร เมื่อถูกซักถามหนักๆจากสื่อ ในเรื่องว่าเป็นการดับอนาคตของเด็กหรือไม่…?? เขาตอบว่า…”คุณคิดว่านี่คือการดับอนาคตหรือ มันน่าอับอายและเป็นรอยบาปให้กับเด็กของเราต่างหาก……นี่คุณบ้าไปหรือเปล่า…?!! ในวันคล้ายวันเกิดของปูตินที่ครบหกสิบปี………เขาเริ่มทำการประชาสัมพันธ์ตัวเองอย่างรัวๆ เช่น ดำน้ำในทะเลดำ หาไหโบราณ (ถึงแม้จะเป็นการจัดฉาก ก็ดูเนียน……) ขี่ม้า เปลือยอก…(ถึงจะจัด……ก็โอเค) ขี่เครื่องร่อน……มีนกบินตาม (อันนี้ก็ดูเก๋ไปอีกแบบ…) ไปสมทบกับกลุ่มบิ๊กไบค์ที่เป็นเกลอกัน ( ก็ดูแพง……เพราะใช้ Harley Davidson สามล้ออย่างใหญ่……) และที่ต้องกรี๊ดดด…คือ ปูตินไปแอบหัดเล่นไอซ์ ฮ๊อกกี้ ที่ค่อนข้างจะดูแอ๊บสักหน่อย แต่พอออกงานได้ มีสะดุดล้มพังพาบให้เห็น…ก็ยังน่าเอ็นดู (แต่คนถ่าย……ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้) มีการให้ทำคลิปรายการของความเป็นอยู่ในบ้านพัก ที่ให้ชาวบ้านได้รับรู้ว่า ท่านผู้นำตื่นในเวลาแปดโมงครึ่ง จากเตียงก็ออกกำลังกายเลย คือเข้าห้องยิม และดูข่าวไปด้วย จากนั้นไปว่ายน้ำระยะ 1000 เมตร เริ่มอาหารเช้าในเวลาเที่ยง เป็นพวกโจ๊กด้วยธัญพืช ไข่นกกระทา สลัดและน้ำผลไม้คั้นสดส่วนประกอบจะมาจากสวนในพระวิหารของพระอธิการ Kirill จากนั้นจะทำงานจนถึงดึก การประชุมมักจะเป็นในเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้านอนไปแล้ว… ที่บ้าน…ไม่มีวี่แววของผู้อาศัยคนอื่น ไม่มีลุดมิลา และ บุตรสาวทั้งสอง นอกจาก Koni สุนัขข้างกายที่ตามติดไปทุกที่ แต่…อย่างไรก็ตาม ในยุคเขานั้น รายได้ของประชาชนจากปีละจำนวนพันดอลล่าร์ พุ่งขึ้นมาเป็นหลักหมื่น ธิดาทั้งสองของปูติน คนโต คือ มาเรีย ได้แต่งงานกับนักธุรกิจชาวดัทช์ Jorrit Faassen ที่ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในอนุกรรมการของ Gazprom แทบไม่มีใครรู้จักเขาเลยจนกระทั่ง วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2010 ที่เขาไปเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถอีกคันหนึ่งที่เป็นรถเบ๊นซ์ของมหาเศรษฐีหนุ่ม Matvei Urin เหล่าบอดี้การ์ดของมหาเศรษฐีที่ตามมาในรถตู้ ได้กรูกันมาทำร้าย Faassen จนถึงขั้นหาม… เรื่องได้ไปถึงปูติน (เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) ผลคือ เหล่าบอดี้การ์ดติดคุกกันพร้อมหน้า ส่วน Urin โดนหลายคดี…… ทำร้ายร่างกาย และ ยกเลิกใบอนุญาตทำธนาคาร เพราะตรวจสอบบัญชีในการดำเนินการพบว่ามีการทุจริต……ติดคุก สี่ปีครึ่ง ทั้งมาเรียและฟาสเซ่น ได้แต่งงานกันที่กรีซ ในปี 2012 และมีบุตรชาย ที่ปูตินได้เป็นพ่อทูนหัว ส่วนบุตรสาวคนเล็ก Katya มีข่าวลือว่ามีคู่รักเป็นลูกชายนายพลเกาหลีเหนือ (ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน) แต่เธอชอบศิลปการแสดง และเคยเป็นผู้อำนวยการในองค์กรพัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยมอสโคว์ ถึงแม้จะอยู่คนเดียว แต่บ่อยครั้งที่ปูตินจะรายล้อมไปด้วยกลุ่มเพื่อนเก่าๆที่เคยกอดคอสู้กันมา จัดปาร์ตี้และได้มีคอนเสิร์ตเล็กๆจากวงดุริยางค์จากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มาขับกล่อม และในวันที่ปูตินเข้าสาบานตนในฐานะประธานาธิบดี ในเดือนพฤษภาคมนั้น คือวันที่ทุกคนได้เห็นลุดมิลายืนเคียงข้างกับเขา แต่ทุกคนก็ได้รับรู้แล้วว่า ทั้งคู่นี้แยกกันอยู่มานานแสนนาน จนในเดือนมิถุนายน ที่เขาทั้งคู่ไปในงานบัลเล่ต์ “Esmeralda” ที่นักข่าวได้ยิงคำถามตรง ว่า “ไม่เห็นท่านมาด้วยกันบ่อยๆ แล้วข่าวลือที่ว่าท่านได้แยกกันอยู่มันเท็จจริงประการใด?” ปูติน เหลือบไปมองลุดมิลา ก่อนที่จะตอบว่า “เป็นเรื่องจริง ลุดมิลาต้องทนกับสภาพการทำงานที่ไม่เป็นเวล่ำเวลาของผมมานานแสนนาน เราแทบไม่มีเวลาพบกันเลย ต่างคนต่างอยู่มาแปดเก้าปีแล้ว..” ลุดมิลาได้พูดขึ้นมาว่า… “เราหย่ากันก็จริง แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ยังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” นั่นคือการยืนยันจากคนทั้งสองด้วยตัวเอง ปูตินมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้งานกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi เป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของรัสเซียสู่สายตาชาวโลก โดยทุ่มทุนถึง หกหมื่นล้านดอลล่าร์ (เทียบเท่า) ที่นับว่าเป็นงบที่ใช้สำหรับโอลิมปิกที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ (เจ็ดเท่าเหนือกว่าแคนาดาในปี 2010) ที่ทุกคนทางทีมฝ่ายเศรษฐกิจเริ่มอึดอัด เพราะยังไม่นับทางรถไฟเชื่อมสู่เขา และ เส้นทางถนน ผู้รับเหมาต่างพากันอิ่มเอมในการบวกราคา (เพราะยิ่งเร่งยิ่งแพง) เรื่องนี้ถึงหูปูติน……เขาเรียกคณะกรรมการมาถามว่า ใครเป็นคนรับผิดชอบส่วนที่ล่าช้า (คือ เส้นทางของสกีสลาลอม หรือ ลงเขาที่ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ……ที่ปูตินเห็นว่า……งานไม่เนี๊ยบ) คำตอบคือ Akhmed Bilalov รองประธานคณะมนตรี ที่มีผลประโยชน์แอบแฝงคือมีที่ทางอยู่ทางด้านล่างของภูเขา เลยกินเศษกินเลยกับบริษัทก่อสร้าง งบประมาณ 40 ล้านในทีแรก บานมาเป็น 260 ล้าน… ปูตินเรียกให้มาพบพร้อมกับประธานงานโอลิมปิก(ออกสื่อ) แล้วถามตรงๆว่า……อธิบายมา……ช้าแล้วยังไม่ดีสมราคา เพราะ…??? คำอธิบายทั้งหมดที่ยกมา……ฟังไม่ขึ้น……!! ปูตินเลยสั่งแบบสั้นๆแต่ได้ใจความว่า……”งั้นก็คงต้องจัดการกันใหม่……” แล้วเขาก็เดินออกไป…. วันรุ่งขึ้น…Akhmed ถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งในคณะมนตรี ปูตินได้ให้ฝ่ายบัญชีทำการตรวจสอบย้อนหลังในทุกงานที่เขารับทำมา รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่ออกจะเว่อร์ในการไปดูงานประชุมที่ลอนดอน…… ผู้ที่มารับหน้าที่แทนคือ ผู้ที่ชนะการประกวดราคาประมูล ธนาคาร Sberbank ที่มีประธานคือ German Greff (ที่งานนี้ต้องเข้าเนื้อไปอย่างมากมาย เพราะต้องยอมขาดทุน) ~~-ต้องเล่าต่อถึง Akhmed Bilalov ไม่งั้นจะค้างคาในใจ หลังจากที่โดนการตรวจสอบบัญชีแบบเข้ม อาเหมดถูกข้อหาฉ้อโกง คอรัปชั่น ตามมาติดๆ ที่มีโทษถึงจำคุกสี่ถึงสิบปี ไม่ใช่เขาคนเดียว ……แต่พี่น้องสองคนและผู้บริหารทุกคนในบริษัทโดนคดีหมด เขาหนีออกจากรัสเซีย ไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลโดยอ้างว่าจะถูกคุกคามเอาชีวิต เพราะในที่ทำงานของเขามีร่องรอยของผงยาพิษ เขาหนีไปที่เยอรมัน และ ไปปักหลักที่ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา ที่เขาถูกจับกุมเพราะไม่มีเอกสารการอนุญาตให้ต่อวีซ่า (2019) ที่ตามกฏแล้ว……เขาอาจจะต้องส่งกลับไปที่รัสเซีย แต่จากนั้น ข่าวของเขาก็เงียบหายไป……… รัสเซียได้ทวงถามไปที่อเมริกา….ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไร เชื่อว่า…คงใช้เงินซื้อเส้นทางใบเขียวไปแล้ว.. Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts