• ค่ารถไฟฟ้าบีทีเอสสูงสุด 65 บาท จากยุคอัศวินถึงชัชชาติ

    แนวคิดการปรับโครงสร้างค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส สูงสุด 65 บาท ของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง หลัง กทม. ต้องชำระหนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ประมาณ 32,000 ล้านบาท เป็นผลจากการที่ กทม. และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือ KT วิสาหกิจของ กทม. ค้างค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 2 คดี แล้วศาลมีคำสั่งใช้หนี้ทั้งสองคดี หากยังเดินหน้าอุทธรณ์ต่ออาจต้องเจอภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

    นายชัชชาติอธิบายว่า ปัจจุบัน กทม. ต้องจ่ายค่าจ้างเดินรถปีละ 8,000 ล้านบาท แต่เก็บค่าโดยสารได้เพียง 2,000 ล้านบาท แม้ไม่เกี่ยวข้องกับการชำระหนี้โดยตรง แต่ต้องนำงบประมาณส่วนอื่นมาชดเชย อาจไม่เป็นธรรมกับประชาชนที่ไม่ได้ใช้บริการ เนื่องจากเงินที่นำมาใช้ล้วนเป็นเงินภาษี ขณะนี้ กทม. อยู่ระหว่างศึกษาเพื่อพิจารณาปรับโครงสร้างค่าโดยสารใหม่ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยคาดว่าจะไม่เกิน 65 บาทตลอดสาย ซึ่งบางช่วงถูกลง เช่น เส้นทางระยะสั้นภายในเมือง ส่วนผู้โดยสารที่เดินทางระยะไกลอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามระยะทาง

    ส่วนการชำระหนี้ให้ BTSC อยู่ระหว่างนำเงินสะสมจ่ายขาดมาชำระ คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในวันที่ 31 ต.ค. ยืนยันว่าไม่กระทบต่อโครงการต่างๆ ของ กทม. เนื่องจากใช้เงินสะสมจ่ายขาดที่ไม่มีภาระผูกพัน หลังชำระหนี้จะเหลือเงินสะสมประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท มองว่าหากไม่รีบชำระหนี้ จะต้องแบกรับดอกเบี้ยในอัตรา MLR +1 ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินฝาก ทำให้ กทม. ต้องเร่งดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดภาระทางการเงินเพิ่มขึ้น ย้ำว่าเมื่อศาลมีคำสั่งแล้ว กทม. จำเป็นต้องปฏิบัติตามเพื่อยุติปัญหา

    การปรับโครงสร้างค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส สูงสุด 65 บาท ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะสมัย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เสนอเรียกเก็บค่าโดยสารสูงสุด 65 บาท เพื่อลดภาระหนี้สินของโครงการ เนื่องจากมีการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ เมื่อปี 2561 และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เมื่อปี 2563 แต่กลับถูกคัดค้านจากหลายฝ่าย กระทรวงคมนาคม สมัยที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็น รมว.คมนาคม อ้างว่าค่าโดยสาร 65 บาท สูงเกินไป ทำให้รถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงดังกล่าวประชาชนนั่งฟรีมานาน กระทั่งวันที่ 2 ม.ค. 2567 นายชัชชาติเก็บค่าโดยสารช่วงดังกล่าว 15 บาท รวมแล้วค่าโดยสาร 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงสัมปทาน ช่วงส่วนต่อขยายที่ 1 และช่วงส่วนต่อขยายที่ 2 ค่าโดยสารสูงสุด 62 บาท

    #Newskit
    ค่ารถไฟฟ้าบีทีเอสสูงสุด 65 บาท จากยุคอัศวินถึงชัชชาติ แนวคิดการปรับโครงสร้างค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส สูงสุด 65 บาท ของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง หลัง กทม. ต้องชำระหนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ประมาณ 32,000 ล้านบาท เป็นผลจากการที่ กทม. และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือ KT วิสาหกิจของ กทม. ค้างค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 2 คดี แล้วศาลมีคำสั่งใช้หนี้ทั้งสองคดี หากยังเดินหน้าอุทธรณ์ต่ออาจต้องเจอภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น นายชัชชาติอธิบายว่า ปัจจุบัน กทม. ต้องจ่ายค่าจ้างเดินรถปีละ 8,000 ล้านบาท แต่เก็บค่าโดยสารได้เพียง 2,000 ล้านบาท แม้ไม่เกี่ยวข้องกับการชำระหนี้โดยตรง แต่ต้องนำงบประมาณส่วนอื่นมาชดเชย อาจไม่เป็นธรรมกับประชาชนที่ไม่ได้ใช้บริการ เนื่องจากเงินที่นำมาใช้ล้วนเป็นเงินภาษี ขณะนี้ กทม. อยู่ระหว่างศึกษาเพื่อพิจารณาปรับโครงสร้างค่าโดยสารใหม่ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยคาดว่าจะไม่เกิน 65 บาทตลอดสาย ซึ่งบางช่วงถูกลง เช่น เส้นทางระยะสั้นภายในเมือง ส่วนผู้โดยสารที่เดินทางระยะไกลอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามระยะทาง ส่วนการชำระหนี้ให้ BTSC อยู่ระหว่างนำเงินสะสมจ่ายขาดมาชำระ คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในวันที่ 31 ต.ค. ยืนยันว่าไม่กระทบต่อโครงการต่างๆ ของ กทม. เนื่องจากใช้เงินสะสมจ่ายขาดที่ไม่มีภาระผูกพัน หลังชำระหนี้จะเหลือเงินสะสมประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท มองว่าหากไม่รีบชำระหนี้ จะต้องแบกรับดอกเบี้ยในอัตรา MLR +1 ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินฝาก ทำให้ กทม. ต้องเร่งดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดภาระทางการเงินเพิ่มขึ้น ย้ำว่าเมื่อศาลมีคำสั่งแล้ว กทม. จำเป็นต้องปฏิบัติตามเพื่อยุติปัญหา การปรับโครงสร้างค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส สูงสุด 65 บาท ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะสมัย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เสนอเรียกเก็บค่าโดยสารสูงสุด 65 บาท เพื่อลดภาระหนี้สินของโครงการ เนื่องจากมีการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ เมื่อปี 2561 และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เมื่อปี 2563 แต่กลับถูกคัดค้านจากหลายฝ่าย กระทรวงคมนาคม สมัยที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็น รมว.คมนาคม อ้างว่าค่าโดยสาร 65 บาท สูงเกินไป ทำให้รถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงดังกล่าวประชาชนนั่งฟรีมานาน กระทั่งวันที่ 2 ม.ค. 2567 นายชัชชาติเก็บค่าโดยสารช่วงดังกล่าว 15 บาท รวมแล้วค่าโดยสาร 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงสัมปทาน ช่วงส่วนต่อขยายที่ 1 และช่วงส่วนต่อขยายที่ 2 ค่าโดยสารสูงสุด 62 บาท #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลปกครองสั่ง กทม.-กรุงเทพธนาคม จ่ายค่าเดินรถ 'บีทีเอส' 1.1 หมื่นล้าน พร้อมดอกเบี้ย ภายใน180วัน
    https://www.thai-tai.tv/news/21665/
    .
    #รถไฟฟ้าสายสีเขียว #ศาลปกครอง #กทม #กรุงเทพธนาคม #บีทีเอส #ค่าเดินรถ #หนี้รถไฟฟ้า #การเมืองไทย #1.1หมื่นล้าน
    ศาลปกครองสั่ง กทม.-กรุงเทพธนาคม จ่ายค่าเดินรถ 'บีทีเอส' 1.1 หมื่นล้าน พร้อมดอกเบี้ย ภายใน180วัน https://www.thai-tai.tv/news/21665/ . #รถไฟฟ้าสายสีเขียว #ศาลปกครอง #กทม #กรุงเทพธนาคม #บีทีเอส #ค่าเดินรถ #หนี้รถไฟฟ้า #การเมืองไทย #1.1หมื่นล้าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • BRT เก่าไปใหม่มา จาก NGV สู่รถบัส EV

    เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ 1 ก.ย. 2567 รถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที (BRT) สายสาทร-ราชพฤกษ์ ใช้รถโดยสารปรับอากาศพลังงานไฟฟ้า (EV) เป็นวันแรก ทดแทนรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) ที่ให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2553 ยาวนานถึง 14 ปี โดยเดินรถวันสุดท้ายเมื่อวันที่ 31 ส.ค. ที่ผ่านมา ก่อนนำรถโดยสารคันเก่าจำนวน 15 คัน ไปไว้ที่ศูนย์ซ่อมบำรุงและควบคุมส่วนกลาง สายสะพานใหม่-คูคต เป็นการชั่วคราว เพื่อรอการปลดระวางต่อไป

    รถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที BRT-EV โฉมใหม่ เป็นพื้นชานต่ำ มีที่นั่งรวม 30 ที่นั่ง ติดตั้งเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง มีประตูขึ้น-ลงบริเวณตอนกลางของรถทั้งสองฝั่ง พร้อมทางลาดสำหรับรถเข็นผู้พิการ หรือวีลแชร์ พร้อมติดตั้งกล้องซีซีทีวี 5 ตัว ติดตั้งระบบ GPS พร้อมหน้าจอแสดงตำแหน่งแบบเรียลไทม์ภายในรถ และประตูทางออกฉุกเฉิน ส่วนระบบเก็บค่าโดยสาร ปรับมาใช้ระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติบนรถ แทนการซื้อตั๋วที่สถานี รับชำระผ่านบัตรแรบบิทหรือสแกน QR Code

    สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร (สจส.กทม.) และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี (BTSC) ให้บริการฟรีตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. ถึง 31 ต.ค. 2567 เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น. ทุกวัน พร้อมกันนี้ยังได้เพิ่มจุดรับ-ส่งผู้โดยสารเพิ่มเติมอีก 2 สถานี ได้แก่ สถานีถนนจันทน์เหนือ และสถานีถนนจันทน์ใต้ รวมจุดจอดทั้งหมด 14 สถานี สำหรับค่าโดยสาร กทม.จะเป็นผู้กำหนด เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นไปในลักษณะจ้างเอกชนเดินรถ

    ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 2 ก.พ. บีทีเอสซี ชนะการประกวดราคาจ้างโครงการพัฒนาระบบการเดินรถโดยสารด่วนพิเศษ (BRT) ด้วยวิธีประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ของ กทม. เสนอราคาต่ำสุด วงเงิน 465 ล้านบาท โดยสัญญามีอายุ 5 ปี ระหว่างปี 2567-2572 จากนั้นได้สั่งซื้อรถโดยสารจากบริษัท อรุณพลัส จำกัด บริษัทย่อยของกลุ่ม ปตท. จำนวน 23 คัน โดยให้บริษัท เชิดชัย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผลิตตัวถังรถโดยสารที่โรงงานในจังหวัดนครราชสีมา

    สำหรับโครงการรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษบีอาร์ที (BRT หรือ Bus Rapid Transit) กทม.เริ่มดำเนินโครงการเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2550 มีระยะทาง 15.9 กิโลเมตร แนวเส้นทางเริ่มจากสถานีสาทร บริเวณแยกสาทร-นราธิวาสฯ ไปตามถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ถึงแยกพระรามที่ 3-นราธิวาสฯ เลี้ยวขวาไปตามถนนพระรามที่ 3 ขึ้นสะพานพระราม 3 ไปตามถนนรัชดาภิเษก สิ้นสุดที่สถานีราชพฤกษ์ บริเวณแยกรัชดาฯ-ตลาดพลู โดยมีช่องทางการเดินรถแยกจากช่องทางปกติควบคู่กับระบบขนส่งอัจฉริยะ

    โครงการนี้เกิดขึ้นในสมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แต่ได้เดินรถในสมัย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าฯ กทม. ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 2,078.47 ล้านบาท

    ที่ผ่านมา กทม. ว่าจ้างบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือ เคที (KT) วิสาหกิจของ กทม. ให้เป็นผู้บริหารจัดการเดินรถเป็นระยะเวลา 7 ปี โดยได้ให้สิทธิเอกชน คือ บีทีเอสซี เป็นผู้เดินรถ รายได้จากค่าโดยสารนำส่ง กทม. ทั้งหมด และ กทม. สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้แก่โครงการฯ เมื่อสิ้นสุดสัญญาจึงมอบหมายให้เคทีเป็นผู้ดำเนินการโครงการ ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. 2560 ถึง 31 ส.ค. 2566 โดยข้อมูล ณ เดือน มิ.ย. 2566 มีปริมาณผู้โดยสารรวม 258,415 เที่ยว-คน

    อย่างไรก็ตาม การให้บริการรถเมล์ด่วนพิเศษ BRT ที่ผ่านมาขาดทุนสะสมต่อเนื่องปีละ 200 ล้านบาท เพราะผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 25,000 คน ส่วนหนึ่งเป็นนักเรียนที่ได้รับสิทธิใช้บริการฟรี และผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิลดหย่อนค่าโดยสาร ทำให้การให้บริการไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังมีรถบางคันเข้ามาวิ่งในเลนรถด่วนพิเศษ จึงใช้เวลาเดินทางไม่ต่างกับรถโดยสารธรรมดา ทำให้ครั้งหนึ่ง กทม. เคยประกาศยกเลิกโครงการเมื่อปี 2560 แต่มีเสียงคัดค้าน ต้องเลื่อนแผนการยกเลิกโครงการฯ ออกไป

    ถึงยุคนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. พบว่าจำนวนผู้โดยสารลดลงเหลือเฉลี่ยวันละ 900-1,000 คน และสัญญาได้หมดลงในวันที่ 31 ส.ค. 2566 จึงให้เดินรถต่อไปก่อนโดยไม่คิดค่าโดยสาร และให้ สจส.กทม. เป็นผู้ดำเนินการเองแทนเคที กระทั่งจัดการประมูลด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) วงเงินงบประมาณ 478,932,000 บาท สัญญาจ้าง 5 ปี มีเอกชนซื้อซองข้อเสนอจำนวน 2 ราย ได้แก่ บีทีเอสซี และบริษัท ไทยสมาล์บัส จำกัด หรือทีเอสบี กระทั่งบีทีเอสซีชนะประมูลในที่สุด

    #Newskit #BRTEV #รถเมล์ด่วนพิเศษบีอาร์ที
    BRT เก่าไปใหม่มา จาก NGV สู่รถบัส EV เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ 1 ก.ย. 2567 รถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที (BRT) สายสาทร-ราชพฤกษ์ ใช้รถโดยสารปรับอากาศพลังงานไฟฟ้า (EV) เป็นวันแรก ทดแทนรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) ที่ให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2553 ยาวนานถึง 14 ปี โดยเดินรถวันสุดท้ายเมื่อวันที่ 31 ส.ค. ที่ผ่านมา ก่อนนำรถโดยสารคันเก่าจำนวน 15 คัน ไปไว้ที่ศูนย์ซ่อมบำรุงและควบคุมส่วนกลาง สายสะพานใหม่-คูคต เป็นการชั่วคราว เพื่อรอการปลดระวางต่อไป รถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที BRT-EV โฉมใหม่ เป็นพื้นชานต่ำ มีที่นั่งรวม 30 ที่นั่ง ติดตั้งเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง มีประตูขึ้น-ลงบริเวณตอนกลางของรถทั้งสองฝั่ง พร้อมทางลาดสำหรับรถเข็นผู้พิการ หรือวีลแชร์ พร้อมติดตั้งกล้องซีซีทีวี 5 ตัว ติดตั้งระบบ GPS พร้อมหน้าจอแสดงตำแหน่งแบบเรียลไทม์ภายในรถ และประตูทางออกฉุกเฉิน ส่วนระบบเก็บค่าโดยสาร ปรับมาใช้ระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติบนรถ แทนการซื้อตั๋วที่สถานี รับชำระผ่านบัตรแรบบิทหรือสแกน QR Code สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร (สจส.กทม.) และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี (BTSC) ให้บริการฟรีตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. ถึง 31 ต.ค. 2567 เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น. ทุกวัน พร้อมกันนี้ยังได้เพิ่มจุดรับ-ส่งผู้โดยสารเพิ่มเติมอีก 2 สถานี ได้แก่ สถานีถนนจันทน์เหนือ และสถานีถนนจันทน์ใต้ รวมจุดจอดทั้งหมด 14 สถานี สำหรับค่าโดยสาร กทม.จะเป็นผู้กำหนด เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นไปในลักษณะจ้างเอกชนเดินรถ ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 2 ก.พ. บีทีเอสซี ชนะการประกวดราคาจ้างโครงการพัฒนาระบบการเดินรถโดยสารด่วนพิเศษ (BRT) ด้วยวิธีประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ของ กทม. เสนอราคาต่ำสุด วงเงิน 465 ล้านบาท โดยสัญญามีอายุ 5 ปี ระหว่างปี 2567-2572 จากนั้นได้สั่งซื้อรถโดยสารจากบริษัท อรุณพลัส จำกัด บริษัทย่อยของกลุ่ม ปตท. จำนวน 23 คัน โดยให้บริษัท เชิดชัย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผลิตตัวถังรถโดยสารที่โรงงานในจังหวัดนครราชสีมา สำหรับโครงการรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษบีอาร์ที (BRT หรือ Bus Rapid Transit) กทม.เริ่มดำเนินโครงการเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2550 มีระยะทาง 15.9 กิโลเมตร แนวเส้นทางเริ่มจากสถานีสาทร บริเวณแยกสาทร-นราธิวาสฯ ไปตามถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ถึงแยกพระรามที่ 3-นราธิวาสฯ เลี้ยวขวาไปตามถนนพระรามที่ 3 ขึ้นสะพานพระราม 3 ไปตามถนนรัชดาภิเษก สิ้นสุดที่สถานีราชพฤกษ์ บริเวณแยกรัชดาฯ-ตลาดพลู โดยมีช่องทางการเดินรถแยกจากช่องทางปกติควบคู่กับระบบขนส่งอัจฉริยะ โครงการนี้เกิดขึ้นในสมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แต่ได้เดินรถในสมัย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าฯ กทม. ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 2,078.47 ล้านบาท ที่ผ่านมา กทม. ว่าจ้างบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือ เคที (KT) วิสาหกิจของ กทม. ให้เป็นผู้บริหารจัดการเดินรถเป็นระยะเวลา 7 ปี โดยได้ให้สิทธิเอกชน คือ บีทีเอสซี เป็นผู้เดินรถ รายได้จากค่าโดยสารนำส่ง กทม. ทั้งหมด และ กทม. สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้แก่โครงการฯ เมื่อสิ้นสุดสัญญาจึงมอบหมายให้เคทีเป็นผู้ดำเนินการโครงการ ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. 2560 ถึง 31 ส.ค. 2566 โดยข้อมูล ณ เดือน มิ.ย. 2566 มีปริมาณผู้โดยสารรวม 258,415 เที่ยว-คน อย่างไรก็ตาม การให้บริการรถเมล์ด่วนพิเศษ BRT ที่ผ่านมาขาดทุนสะสมต่อเนื่องปีละ 200 ล้านบาท เพราะผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 25,000 คน ส่วนหนึ่งเป็นนักเรียนที่ได้รับสิทธิใช้บริการฟรี และผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิลดหย่อนค่าโดยสาร ทำให้การให้บริการไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังมีรถบางคันเข้ามาวิ่งในเลนรถด่วนพิเศษ จึงใช้เวลาเดินทางไม่ต่างกับรถโดยสารธรรมดา ทำให้ครั้งหนึ่ง กทม. เคยประกาศยกเลิกโครงการเมื่อปี 2560 แต่มีเสียงคัดค้าน ต้องเลื่อนแผนการยกเลิกโครงการฯ ออกไป ถึงยุคนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. พบว่าจำนวนผู้โดยสารลดลงเหลือเฉลี่ยวันละ 900-1,000 คน และสัญญาได้หมดลงในวันที่ 31 ส.ค. 2566 จึงให้เดินรถต่อไปก่อนโดยไม่คิดค่าโดยสาร และให้ สจส.กทม. เป็นผู้ดำเนินการเองแทนเคที กระทั่งจัดการประมูลด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) วงเงินงบประมาณ 478,932,000 บาท สัญญาจ้าง 5 ปี มีเอกชนซื้อซองข้อเสนอจำนวน 2 ราย ได้แก่ บีทีเอสซี และบริษัท ไทยสมาล์บัส จำกัด หรือทีเอสบี กระทั่งบีทีเอสซีชนะประมูลในที่สุด #Newskit #BRTEV #รถเมล์ด่วนพิเศษบีอาร์ที
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 1781 มุมมอง 0 รีวิว