• 'พีระพันธุ์' ลั่นไม่ร่วมรัฐบาลเบี้ยล่างพรรคส้ม พร้อมนำทัพ รทสช. สู้ศึกเลือกตั้ง

    //////////////////


    รวมไทยสร้างชาติไปต่อ! "พีระพันธุ์" พร้อมเดินหน้านำทัพสู้ศึกเลือกตั้ง ย้ำทำเต็มที่ เชื่อมั่นพรรคสามารถผ่านทุกอุปสรรคไปได้ เชิญชวนชาวไทยหัวใจรักชาติร่วมทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

    18 กันยายน 2568 - เวลา 19.00 น. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงทิศทางการทำงานของพรรคท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองว่า ในลำดับแรกตนขอยืนยันว่าพร้อมเดินหน้าในการดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อเป็นแม่ทัพของพรรครวมไทยสร้างชาติในการทำงานทางการเมืองต่อไป

    สำหรับกระแสข่าวเลือดไหลออกจากพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ในวันนี้ยังไม่มีเลือดไหลออกจากพรรค เพราะทุกคนยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่ และยังมีผู้สนใจมาสมัครสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน
    นายพีระพันธุ์ยังได้เปิดเผยถึงจุดยืนของตนเกี่ยวกับการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาว่า หลังจากที่มีการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ การเมืองของไทยก็มีพัฒนาการทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญก็คือ มีการพยายามนำพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติได้ประกาศตั้งแต่ต้นว่าพรรครวมไทยสร้างชาติไม่สามารถร่วมมือด้วยได้ เนื่องจากมีอุดมการณ์ทางการเมืองและแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก และมีการใช้วิธีการให้พรรคการเมืองนั้นมาลงมติสนับสนุนผู้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่ได้เป็นการร่วมรัฐบาล แต่เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน ซึ่งสำหรับตนเห็นว่าแนวทางเช่นนี้ไม่ถูกต้องทางการเมือง เพราะจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเบี้ยล่างทางการเมืองของพรรคการเมืองอื่นที่ไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
    นอกจากนี้ตนยังเห็นว่า วิธีการดังกล่าวอาจเป็นการผิดกฎหมายพรรคการเมืองในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ซึ่งจาก 2 เหตุผลข้างต้น ทำให้ตนมีความเห็นว่าไม่สามารถลงคะแนนเสียงสนับสนุนท่านอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีได้ในขณะนั้น ทั้งที่โดยส่วนตัวตนเคารพและรักท่านอนุทินมาก และคิดว่าเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ แต่วิธีการในการจัดตั้งรัฐบาลในรูปแบบนี้ ไม่ใช่วิธีทางที่ถูกต้อง

    ต่อมาทางพรรคเพื่อไทยก็ได้มีการติดต่อในการเพิ่มเสียงสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ด้วยแนวทางแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แต่ไม่ร่วมรัฐบาลนั้น ซึ่งตนยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ดังนั้นตนจึงมีความเห็นว่าถ้าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลด้วยการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ก็ไม่สามารถสนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เลย

    “สำหรับผมคิดว่า นี่เป็นวิธีการทางการเมืองที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเบี้ยล่างของพรรคการเมืองอื่นซึ่งไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งในทางการเมืองเป็นสิ่งที่เกิดไม่น่าจะเกิดขึ้น และผมรับไม่ได้ ” นายพีระพันธุ์กล่าว

    อย่างไรก็ดี ในส่วนการบริหารจัดการพรรคจะต้องมีการประชุมกรรมการบริหารพรรค ซึ่งเบื้องต้นนายพีระพันธุ์ได้มีการหารือกับผู้บริหารระดับสูงของพรรคว่า หากแนวทางเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องทางการเมืองเช่นนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติก็ไม่สามารถร่วมรัฐบาลได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม โดยก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคร่วมกับ สส. พรรค นายพีระพันธุ์มองว่าเมื่อการเมืองเดินมาถึงสถานการณ์เช่นนี้น่าจะจบลงด้วยการยุบสภา จึงยังไม่มีมติของพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นเพียงการหารือแลกเปลี่ยนความเห็นกันเท่านั้น
    ต่อมาปรากฏว่าการยุบสภาไม่สามารถทำได้ ประกอบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในส่วนของพรรคหลายคนได้สอบถามและแสดงความคิดเห็นว่า กรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติควรมีมติที่ชัดเจนเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงมีการเชิญประชุมกรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างเร่งด่วน ในวันพุธก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี
    นายพีระพันธุ์เปิดเผยว่า ในการประชุมกรรมการบริหารพรรคครั้งนั้น กรรมการบริหารพรรค 3 ท่าน เห็นด้วยกับแนวทางของตน มีกรรมการบริหารพรรค 1 ท่าน เห็นว่าหากท่านอนุทินยืนยันว่าจะไม่มีการแตะต้องมาตรา 112 และยืนยันว่าจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 และหมวด 2 ควรจะต้องสนับสนุนท่านอนุทิน ส่วนกรรมการบริหารพรรค 2 ท่านเห็นว่าควรให้เป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วหากมีมติทางใดทางหนึ่งจะทำให้เกิดปัญหาในพรรคได้ จึงไม่มีการพูดถึงมติของกรรมการบริหารพรรค แต่แจ้งผลความเห็นของกรรมการบริหารพรรคว่ามีความเห็นกี่แนวทาง อย่างไรบ้าง และให้เป็นเอกสิทธิ์ดุลพินิจของ สส. โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติได้ลงมติเลือกท่านอนุทิน 33 เสียง
    ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง ซึ่งตนยืนยันว่าในพรรคไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น และทุกอย่างก็เดินหน้าตามกระบวนการต่อไป

    นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกระแสข่าวว่าพรรครวมไทยสร้างชาติถูกซื้อ ตนขอยืนยันในส่วนของตนว่าตนไม่มีทางโดนซื้อเด็ดขาด ส่วนกรณีที่มีการโจมตีว่าตนหวังตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่มีการหารือในการเสนอชื่อของตนในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะหากคิดในทางการเมืองแล้วเมื่อพรรคมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอยู่แล้วแต่ไปดึงแคนดิเดตทางการเมืองจากพรรคอื่นมาแทน แบบนี้ในทางการเมืองจะเสียหายเป็นอย่างมาก ตนจึงยืนยันได้ว่าเรื่องที่ว่ามานี้ไม่เป็นความจริง และสำหรับตนถ้าจะได้รับเลือกนายกรัฐมนตรีจะต้องมีศักดิ์ศรี ซึ่งแนวทางนี้ไม่ใช่แนวทางที่มีศักดิ์ศรี
    “พรรคการเมืองก็เหมือนกับชีวิตมนุษย์ ทุกคนเกิดมาก็ต้องมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้น ไม่มีใครที่ชีวิตราบรื่นมีแต่ความสำเร็จมีแต่ความสุข เพียงแต่ว่าแต่ละคนเมื่อเจอปัญหาแล้วท้อไหม พรรครวมไทยสร้างชาติไม่ใช่เป็นพรรคแรกที่เพิ่งเกิดและเจอปัญหา แต่พรรครวมไทยสร้างชาติจะผ่านปัญหาทุกอย่างไปได้ ส่วนตัวผมไม่เคยท้อ เพราะว่าความจริงในชีวิตก็เจอปัญหามาเยอะอยู่แล้ว นี่ก็เป็นอีกแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิต แนวทางการทำงานของผมคือทำทุกอย่างให้ดีที่สุดทำให้เต็มที่ที่เราทำได้ ทำไม่สำเร็จก็ต้องยอมรับว่ามันทำไม่สำเร็จ แต่ว่าทำให้ดีที่สุด ทำให้มากที่สุด ทำให้เต็มที่ ได้เท่านี้ ก็เท่านี้ ผมจะไม่ติดยึดกับคำพูดคนอื่น
    เพราะว่าคนอื่นไม่รู้ดีเท่าตัวเรา ผมติดยึดกับตัวเราเองว่าเราทำดีหรือยัง เราทำถูกต้องไหม เราไม่มีทางทำให้คนทุกคนถูกใจ ไม่มีวันทำให้ทุกคนพอใจ แต่เราทำในสิ่งที่ต้องทำหรือเปล่า ทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมืองกับส่วนรวมหรือเปล่า ผมคิดว่าแนวทางการทำงานของผมแบบนี้ที่ทำให้ผมเดินหน้ามาจนถึงวันนี้ได้” นายพีระพันธุ์กล่าว
    นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อไปในเรื่องของการแก้ไขเรื่องของพลังงานว่า เรื่องการจัดการกับปัญหาพลังงานของตนนั้นสะท้อนถึงแนวทางการทำงานของตนเป็นอย่างดี ยกตัวอย่าง เช่น ค่าไฟที่เมื่อตนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ค่าไฟอยู่ที่ 4.70 บาทต่อหน่วย แต่ในวันนี้ค่าไฟเหลือเพียง 3.94 บาทต่อหน่วยเท่านั้น และไม่มีการปรับขึ้นค่าไฟ และค่าแก๊สแม้แต่ครั้งเดียว สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากวิธีการทำงานของตน คือทำให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่ สุดท้ายแล้วได้เท่าไร ได้เท่านั้น และหากเดินหน้าต่อไปจนครบวาระ ตนยืนยันว่าราคาน้ำมันจะ
    สามารถควบคุมได้ และประเทศไทยจะมีคลังน้ำมันสำรองของประเทศ ที่เป็นของรัฐเพื่อความมั่นคงไม่ใช่ของเอกชน

    สำหรับความคืบหน้าของกฎหมายต่าง ๆ นั้น กฎหมายฉบับแรกคือกฎหมายส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์นั้น ตนหวังว่ารัฐบาลชุดต่อไปจะเดินหน้าต่อ ในส่วนของกฎหมายควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และกฎหมายคลังน้ำมันนั้น กฎหมายฉบับแรกคือการควบคุมราคาน้ำมันเสร็จเรียบร้อย และกฎหมายคลังน้ำมันนั้นใกล้แล้วเสร็จ ซึ่งกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้จะต้องเสนอคู่กัน เพื่อปรับโครงสร้างราคาน้ำมันได้ทั้งกระบวนการ โดยนายพีระพันธุ์ยืนยันว่าจะต้องมีการเดินหน้ากฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ต่อโดยผ่านกลไกของสภาผู้แทนราษฎร แต่ด้วยเงื่อนไขการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่จะต้องยุบสภาใน 4 เดือนนี้ คาดว่าไม่น่าจะสำเร็จได้ด้วยสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้
    นายพีระพันธุ์ ยังกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งหลังการยุบสภาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 4 เดือนนี้ว่า เมื่อเป็นพรรคการเมืองจะต้องมีความพร้อมในการลงรับเลือกตั้งตลอดเวลาอยู่แล้ว เมื่อมีความชัดเจนเช่นนี้เกิดขึ้น จะต้องมีการเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ทุกด้าน โดยเฉพาะผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยทางพรรคพร้อมที่จะหาตัวแทนที่พร้อมจะเดินหน้า สู้ให้ทุกปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะเรื่องของพลังงาน และเรื่องของความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งในระยะเวลาของการทำงานที่ผ่านมาตนเชื่อว่า ทางพรรครวมไทยสร้างชาติได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราพูดแล้วเราทำ และเราเดินหน้าทำงานตลอดเวลา
    “ทุกคนที่สนใจร่วมอุดมการณ์และเดินหน้าทำงานตามแนวทางของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือพรรคที่มาทำงานการเมืองเพื่อประโยชน์ของชาติ ไม่ได้มาเพื่อเล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพื่อยศถาบรรดาศักดิ์ เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติคือพรรคของคนทำงาน หากใครมีแนวทางเดียวกันขอเชิญชวนให้มาร่วมทำงานด้วยกันครับ” นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กล่าวในตอนท้าย
    อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการตั้งคำถามถึงข้อเท็จจริงกรณีปัญหาความขัดแย้งกับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ที่ได้ลาออกจากเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งนายพีระพันธุ์ไม่ได้ชี้แจงหรือพูดถึงในประเด็นดังกล่าว
    'พีระพันธุ์' ลั่นไม่ร่วมรัฐบาลเบี้ยล่างพรรคส้ม พร้อมนำทัพ รทสช. สู้ศึกเลือกตั้ง ////////////////// รวมไทยสร้างชาติไปต่อ! "พีระพันธุ์" พร้อมเดินหน้านำทัพสู้ศึกเลือกตั้ง ย้ำทำเต็มที่ เชื่อมั่นพรรคสามารถผ่านทุกอุปสรรคไปได้ เชิญชวนชาวไทยหัวใจรักชาติร่วมทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน 18 กันยายน 2568 - เวลา 19.00 น. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงทิศทางการทำงานของพรรคท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองว่า ในลำดับแรกตนขอยืนยันว่าพร้อมเดินหน้าในการดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อเป็นแม่ทัพของพรรครวมไทยสร้างชาติในการทำงานทางการเมืองต่อไป สำหรับกระแสข่าวเลือดไหลออกจากพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ในวันนี้ยังไม่มีเลือดไหลออกจากพรรค เพราะทุกคนยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่ และยังมีผู้สนใจมาสมัครสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน นายพีระพันธุ์ยังได้เปิดเผยถึงจุดยืนของตนเกี่ยวกับการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาว่า หลังจากที่มีการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ การเมืองของไทยก็มีพัฒนาการทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญก็คือ มีการพยายามนำพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติได้ประกาศตั้งแต่ต้นว่าพรรครวมไทยสร้างชาติไม่สามารถร่วมมือด้วยได้ เนื่องจากมีอุดมการณ์ทางการเมืองและแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก และมีการใช้วิธีการให้พรรคการเมืองนั้นมาลงมติสนับสนุนผู้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่ได้เป็นการร่วมรัฐบาล แต่เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน ซึ่งสำหรับตนเห็นว่าแนวทางเช่นนี้ไม่ถูกต้องทางการเมือง เพราะจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเบี้ยล่างทางการเมืองของพรรคการเมืองอื่นที่ไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล นอกจากนี้ตนยังเห็นว่า วิธีการดังกล่าวอาจเป็นการผิดกฎหมายพรรคการเมืองในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ซึ่งจาก 2 เหตุผลข้างต้น ทำให้ตนมีความเห็นว่าไม่สามารถลงคะแนนเสียงสนับสนุนท่านอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีได้ในขณะนั้น ทั้งที่โดยส่วนตัวตนเคารพและรักท่านอนุทินมาก และคิดว่าเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ แต่วิธีการในการจัดตั้งรัฐบาลในรูปแบบนี้ ไม่ใช่วิธีทางที่ถูกต้อง ต่อมาทางพรรคเพื่อไทยก็ได้มีการติดต่อในการเพิ่มเสียงสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ด้วยแนวทางแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แต่ไม่ร่วมรัฐบาลนั้น ซึ่งตนยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ดังนั้นตนจึงมีความเห็นว่าถ้าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลด้วยการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ก็ไม่สามารถสนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เลย “สำหรับผมคิดว่า นี่เป็นวิธีการทางการเมืองที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเบี้ยล่างของพรรคการเมืองอื่นซึ่งไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งในทางการเมืองเป็นสิ่งที่เกิดไม่น่าจะเกิดขึ้น และผมรับไม่ได้ ” นายพีระพันธุ์กล่าว อย่างไรก็ดี ในส่วนการบริหารจัดการพรรคจะต้องมีการประชุมกรรมการบริหารพรรค ซึ่งเบื้องต้นนายพีระพันธุ์ได้มีการหารือกับผู้บริหารระดับสูงของพรรคว่า หากแนวทางเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องทางการเมืองเช่นนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติก็ไม่สามารถร่วมรัฐบาลได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม โดยก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคร่วมกับ สส. พรรค นายพีระพันธุ์มองว่าเมื่อการเมืองเดินมาถึงสถานการณ์เช่นนี้น่าจะจบลงด้วยการยุบสภา จึงยังไม่มีมติของพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นเพียงการหารือแลกเปลี่ยนความเห็นกันเท่านั้น ต่อมาปรากฏว่าการยุบสภาไม่สามารถทำได้ ประกอบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในส่วนของพรรคหลายคนได้สอบถามและแสดงความคิดเห็นว่า กรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติควรมีมติที่ชัดเจนเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงมีการเชิญประชุมกรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างเร่งด่วน ในวันพุธก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี นายพีระพันธุ์เปิดเผยว่า ในการประชุมกรรมการบริหารพรรคครั้งนั้น กรรมการบริหารพรรค 3 ท่าน เห็นด้วยกับแนวทางของตน มีกรรมการบริหารพรรค 1 ท่าน เห็นว่าหากท่านอนุทินยืนยันว่าจะไม่มีการแตะต้องมาตรา 112 และยืนยันว่าจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 และหมวด 2 ควรจะต้องสนับสนุนท่านอนุทิน ส่วนกรรมการบริหารพรรค 2 ท่านเห็นว่าควรให้เป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วหากมีมติทางใดทางหนึ่งจะทำให้เกิดปัญหาในพรรคได้ จึงไม่มีการพูดถึงมติของกรรมการบริหารพรรค แต่แจ้งผลความเห็นของกรรมการบริหารพรรคว่ามีความเห็นกี่แนวทาง อย่างไรบ้าง และให้เป็นเอกสิทธิ์ดุลพินิจของ สส. โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติได้ลงมติเลือกท่านอนุทิน 33 เสียง ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง ซึ่งตนยืนยันว่าในพรรคไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น และทุกอย่างก็เดินหน้าตามกระบวนการต่อไป นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกระแสข่าวว่าพรรครวมไทยสร้างชาติถูกซื้อ ตนขอยืนยันในส่วนของตนว่าตนไม่มีทางโดนซื้อเด็ดขาด ส่วนกรณีที่มีการโจมตีว่าตนหวังตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่มีการหารือในการเสนอชื่อของตนในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะหากคิดในทางการเมืองแล้วเมื่อพรรคมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอยู่แล้วแต่ไปดึงแคนดิเดตทางการเมืองจากพรรคอื่นมาแทน แบบนี้ในทางการเมืองจะเสียหายเป็นอย่างมาก ตนจึงยืนยันได้ว่าเรื่องที่ว่ามานี้ไม่เป็นความจริง และสำหรับตนถ้าจะได้รับเลือกนายกรัฐมนตรีจะต้องมีศักดิ์ศรี ซึ่งแนวทางนี้ไม่ใช่แนวทางที่มีศักดิ์ศรี “พรรคการเมืองก็เหมือนกับชีวิตมนุษย์ ทุกคนเกิดมาก็ต้องมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้น ไม่มีใครที่ชีวิตราบรื่นมีแต่ความสำเร็จมีแต่ความสุข เพียงแต่ว่าแต่ละคนเมื่อเจอปัญหาแล้วท้อไหม พรรครวมไทยสร้างชาติไม่ใช่เป็นพรรคแรกที่เพิ่งเกิดและเจอปัญหา แต่พรรครวมไทยสร้างชาติจะผ่านปัญหาทุกอย่างไปได้ ส่วนตัวผมไม่เคยท้อ เพราะว่าความจริงในชีวิตก็เจอปัญหามาเยอะอยู่แล้ว นี่ก็เป็นอีกแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิต แนวทางการทำงานของผมคือทำทุกอย่างให้ดีที่สุดทำให้เต็มที่ที่เราทำได้ ทำไม่สำเร็จก็ต้องยอมรับว่ามันทำไม่สำเร็จ แต่ว่าทำให้ดีที่สุด ทำให้มากที่สุด ทำให้เต็มที่ ได้เท่านี้ ก็เท่านี้ ผมจะไม่ติดยึดกับคำพูดคนอื่น เพราะว่าคนอื่นไม่รู้ดีเท่าตัวเรา ผมติดยึดกับตัวเราเองว่าเราทำดีหรือยัง เราทำถูกต้องไหม เราไม่มีทางทำให้คนทุกคนถูกใจ ไม่มีวันทำให้ทุกคนพอใจ แต่เราทำในสิ่งที่ต้องทำหรือเปล่า ทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมืองกับส่วนรวมหรือเปล่า ผมคิดว่าแนวทางการทำงานของผมแบบนี้ที่ทำให้ผมเดินหน้ามาจนถึงวันนี้ได้” นายพีระพันธุ์กล่าว นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อไปในเรื่องของการแก้ไขเรื่องของพลังงานว่า เรื่องการจัดการกับปัญหาพลังงานของตนนั้นสะท้อนถึงแนวทางการทำงานของตนเป็นอย่างดี ยกตัวอย่าง เช่น ค่าไฟที่เมื่อตนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ค่าไฟอยู่ที่ 4.70 บาทต่อหน่วย แต่ในวันนี้ค่าไฟเหลือเพียง 3.94 บาทต่อหน่วยเท่านั้น และไม่มีการปรับขึ้นค่าไฟ และค่าแก๊สแม้แต่ครั้งเดียว สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากวิธีการทำงานของตน คือทำให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่ สุดท้ายแล้วได้เท่าไร ได้เท่านั้น และหากเดินหน้าต่อไปจนครบวาระ ตนยืนยันว่าราคาน้ำมันจะ สามารถควบคุมได้ และประเทศไทยจะมีคลังน้ำมันสำรองของประเทศ ที่เป็นของรัฐเพื่อความมั่นคงไม่ใช่ของเอกชน สำหรับความคืบหน้าของกฎหมายต่าง ๆ นั้น กฎหมายฉบับแรกคือกฎหมายส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์นั้น ตนหวังว่ารัฐบาลชุดต่อไปจะเดินหน้าต่อ ในส่วนของกฎหมายควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และกฎหมายคลังน้ำมันนั้น กฎหมายฉบับแรกคือการควบคุมราคาน้ำมันเสร็จเรียบร้อย และกฎหมายคลังน้ำมันนั้นใกล้แล้วเสร็จ ซึ่งกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้จะต้องเสนอคู่กัน เพื่อปรับโครงสร้างราคาน้ำมันได้ทั้งกระบวนการ โดยนายพีระพันธุ์ยืนยันว่าจะต้องมีการเดินหน้ากฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ต่อโดยผ่านกลไกของสภาผู้แทนราษฎร แต่ด้วยเงื่อนไขการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่จะต้องยุบสภาใน 4 เดือนนี้ คาดว่าไม่น่าจะสำเร็จได้ด้วยสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ นายพีระพันธุ์ ยังกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งหลังการยุบสภาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 4 เดือนนี้ว่า เมื่อเป็นพรรคการเมืองจะต้องมีความพร้อมในการลงรับเลือกตั้งตลอดเวลาอยู่แล้ว เมื่อมีความชัดเจนเช่นนี้เกิดขึ้น จะต้องมีการเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ทุกด้าน โดยเฉพาะผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยทางพรรคพร้อมที่จะหาตัวแทนที่พร้อมจะเดินหน้า สู้ให้ทุกปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะเรื่องของพลังงาน และเรื่องของความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งในระยะเวลาของการทำงานที่ผ่านมาตนเชื่อว่า ทางพรรครวมไทยสร้างชาติได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราพูดแล้วเราทำ และเราเดินหน้าทำงานตลอดเวลา “ทุกคนที่สนใจร่วมอุดมการณ์และเดินหน้าทำงานตามแนวทางของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือพรรคที่มาทำงานการเมืองเพื่อประโยชน์ของชาติ ไม่ได้มาเพื่อเล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพื่อยศถาบรรดาศักดิ์ เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติคือพรรคของคนทำงาน หากใครมีแนวทางเดียวกันขอเชิญชวนให้มาร่วมทำงานด้วยกันครับ” นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กล่าวในตอนท้าย อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการตั้งคำถามถึงข้อเท็จจริงกรณีปัญหาความขัดแย้งกับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ที่ได้ลาออกจากเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งนายพีระพันธุ์ไม่ได้ชี้แจงหรือพูดถึงในประเด็นดังกล่าว
    0 Comments 0 Shares 531 Views 0 0 Reviews
  • "อดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลฎีกา" ชี้ "ทักษิณ" อาจทำ "เพื่อไทย" ถูกยุบพรรค! หวั่นเข้าข่ายครอบงำพรรค มีโทษอาญา
    https://www.thai-tai.tv/news/20236/
    .
    #ทักษิณชินวัตร #พรรคเพื่อไทย #ยุบพรรค #กฎหมายพรรคการเมือง #วัสติงสมิตร #การเมืองไทย #ข้อหาอาญา
    "อดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลฎีกา" ชี้ "ทักษิณ" อาจทำ "เพื่อไทย" ถูกยุบพรรค! หวั่นเข้าข่ายครอบงำพรรค มีโทษอาญา https://www.thai-tai.tv/news/20236/ . #ทักษิณชินวัตร #พรรคเพื่อไทย #ยุบพรรค #กฎหมายพรรคการเมือง #วัสติงสมิตร #การเมืองไทย #ข้อหาอาญา
    0 Comments 0 Shares 412 Views 0 Reviews
  • กกต.เร่งรุกจบคดียุบ 'เพื่อไทย' เรียก 'แพทองธาร' ชี้แจง
    .
    การทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ในการพิจารณาคดียุบพรรคเพื่อไทยจากกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ครอบงำพรรคเพื่อไทยนั้นถือว่ามีความคืบหน้าพอสมคว โดยเฉพาะท่าทีของกกต.ที่เตรียมนำการขึ้นเวทีสัมมนาพรรคเพื่อไทยของอดีตนายกฯทักษิณ มาเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาคดีด้วย อีกทั้ง ยังจะพิจารณาถึงการเรียกนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ชี้แจงข้อกล่าวหาเช่นกัน
    .
    ในเรื่องนี้นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต. เปิดเผยว่า การส่งหนังสือเชิญนางสาวแพทองธารนั้น เมื่อมีคนยื่นคำร้องว่ามีพฤติกรรมที่อาจผิดกฎหมายพรรคการเมือง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะพิจารณาว่าคำร้องดังกล่าวมีมูลให้ตรวจสอบต่อหรือไม่ หากพบว่ามีมูลสมควรเพียงพอและรับไว้พิจารณา นายทะเบียนพรรคการเมืองก็จะสั่งให้คณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานรับไปดำเนินการ รวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่างๆ รวมถึงเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้องมาให้ถ้อยคำ ก่อนสรุปความเห็นส่งให้เลขาธิการ กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร หากสั่งยุติเรื่องต้องแจ้งให้คณะกรรมการ กกต. ทราบ แต่ที่ประชุมคณะกรรมการสามารถมีคำสั่งเป็นอื่นได้
    .
    "กกต. จะไม่แทรกแซงหรือก้าวก่ายการทำงานของผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบ ทั้งนี้ ทราบว่าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเชิญผู้ร้องทั้ง 4 คำร้องมาให้ถ้อยคำแล้ว และมีหนังสือเชิญผู้ถูกร้องมาให้ถ้อยคำด้วย แต่จะเมื่อไร อย่างไร ส่วนตัวไม่ทราบ และไม่แน่ใจว่ามีการเชิญนายทักษิณมาให้ถ้อยคำด้วยหรือไม่" ประธาน กกต. ระบุ
    .
    อย่างไรก็ตาม ประธานกกต.ยอมรับว่า หากนายทักษิณไม่พร้อมที่จะมาให้ข้อมูล ทางคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ไม่อาจมีอำนาจจะทำอะไรได้ เพราะกฎหมายและระเบียบไม่ได้ให้อำนาจไว้ เพราะเป็นลักษณะการเชิญมาให้ถ้อยคำและส่วนใหญ่จะได้รับความร่วมมือ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการเดินทางมาให้ถ้อยคำด้วยตนเอง ส่งหนังสือชี้แจง หรือมอบหมายผู้มาชี้แจงแทนได้ แต่หากไม่มาชี้แจงก็สามารถพิจารณาตามข้อมูลเท่าที่มีอยู่ได้ แต่การชี้แจงจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี เพราะจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่ถูกร้องมาชี้แจงโต้ตอบแก้ข้อกล่าวหาได้
    .
    ด้าน นางสาวแพทองธาร ระบุว่า ยังไม่ได้รับหนังสือจากกกต.อย่างเป็นทางการ ขณะที่ เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่าหากได้รับหนังสือแล้ว จะเดินทางไปชี้แจงกับ กกต. ด้วยตัวเอง หรือจะส่งตัวแทนไป นายกรัฐมนตรี ตอบว่า "หนังสือว่าอย่างไร" ผู้สื่อข่าวจึงตอบไปว่า เป็นการเชิญให้หัวหน้าพรรคไปชี้แจง นายกรัฐมนตรีตอบเพียงสั้นๆ ว่า "อ๋อ" ก่อนเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าไปทันที
    ...........
    Sondhi X
    กกต.เร่งรุกจบคดียุบ 'เพื่อไทย' เรียก 'แพทองธาร' ชี้แจง . การทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ในการพิจารณาคดียุบพรรคเพื่อไทยจากกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ครอบงำพรรคเพื่อไทยนั้นถือว่ามีความคืบหน้าพอสมคว โดยเฉพาะท่าทีของกกต.ที่เตรียมนำการขึ้นเวทีสัมมนาพรรคเพื่อไทยของอดีตนายกฯทักษิณ มาเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาคดีด้วย อีกทั้ง ยังจะพิจารณาถึงการเรียกนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ชี้แจงข้อกล่าวหาเช่นกัน . ในเรื่องนี้นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต. เปิดเผยว่า การส่งหนังสือเชิญนางสาวแพทองธารนั้น เมื่อมีคนยื่นคำร้องว่ามีพฤติกรรมที่อาจผิดกฎหมายพรรคการเมือง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะพิจารณาว่าคำร้องดังกล่าวมีมูลให้ตรวจสอบต่อหรือไม่ หากพบว่ามีมูลสมควรเพียงพอและรับไว้พิจารณา นายทะเบียนพรรคการเมืองก็จะสั่งให้คณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานรับไปดำเนินการ รวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่างๆ รวมถึงเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้องมาให้ถ้อยคำ ก่อนสรุปความเห็นส่งให้เลขาธิการ กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร หากสั่งยุติเรื่องต้องแจ้งให้คณะกรรมการ กกต. ทราบ แต่ที่ประชุมคณะกรรมการสามารถมีคำสั่งเป็นอื่นได้ . "กกต. จะไม่แทรกแซงหรือก้าวก่ายการทำงานของผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบ ทั้งนี้ ทราบว่าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเชิญผู้ร้องทั้ง 4 คำร้องมาให้ถ้อยคำแล้ว และมีหนังสือเชิญผู้ถูกร้องมาให้ถ้อยคำด้วย แต่จะเมื่อไร อย่างไร ส่วนตัวไม่ทราบ และไม่แน่ใจว่ามีการเชิญนายทักษิณมาให้ถ้อยคำด้วยหรือไม่" ประธาน กกต. ระบุ . อย่างไรก็ตาม ประธานกกต.ยอมรับว่า หากนายทักษิณไม่พร้อมที่จะมาให้ข้อมูล ทางคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ไม่อาจมีอำนาจจะทำอะไรได้ เพราะกฎหมายและระเบียบไม่ได้ให้อำนาจไว้ เพราะเป็นลักษณะการเชิญมาให้ถ้อยคำและส่วนใหญ่จะได้รับความร่วมมือ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการเดินทางมาให้ถ้อยคำด้วยตนเอง ส่งหนังสือชี้แจง หรือมอบหมายผู้มาชี้แจงแทนได้ แต่หากไม่มาชี้แจงก็สามารถพิจารณาตามข้อมูลเท่าที่มีอยู่ได้ แต่การชี้แจงจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี เพราะจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่ถูกร้องมาชี้แจงโต้ตอบแก้ข้อกล่าวหาได้ . ด้าน นางสาวแพทองธาร ระบุว่า ยังไม่ได้รับหนังสือจากกกต.อย่างเป็นทางการ ขณะที่ เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่าหากได้รับหนังสือแล้ว จะเดินทางไปชี้แจงกับ กกต. ด้วยตัวเอง หรือจะส่งตัวแทนไป นายกรัฐมนตรี ตอบว่า "หนังสือว่าอย่างไร" ผู้สื่อข่าวจึงตอบไปว่า เป็นการเชิญให้หัวหน้าพรรคไปชี้แจง นายกรัฐมนตรีตอบเพียงสั้นๆ ว่า "อ๋อ" ก่อนเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าไปทันที ........... Sondhi X
    Like
    6
    0 Comments 0 Shares 1262 Views 0 Reviews
  • “เลขาฯ แสวง” ยันคดี “ทักษิณ-เพื่อไทย” ล้มล้างการปกครองฯ ที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องไม่เกี่ยวกับ กกต. ที่ยังเดินหน้าตรวจสอบต่อ ชี้พิจารณาตามกฎหมายคนละฉบับ แม้มูลเหตุและข้อเท็จจริงเดียวกัน ศาลฯ ว่าตาม รธน.มาตรา 49 แต่ กกต.ดูว่าผิดกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000112703

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “เลขาฯ แสวง” ยันคดี “ทักษิณ-เพื่อไทย” ล้มล้างการปกครองฯ ที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องไม่เกี่ยวกับ กกต. ที่ยังเดินหน้าตรวจสอบต่อ ชี้พิจารณาตามกฎหมายคนละฉบับ แม้มูลเหตุและข้อเท็จจริงเดียวกัน ศาลฯ ว่าตาม รธน.มาตรา 49 แต่ กกต.ดูว่าผิดกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000112703 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Sad
    14
    0 Comments 0 Shares 2946 Views 0 Reviews
  • นักร้องยื่นเรื่องไม่เคลียร์ กกต.ข้องใจกลัวโดนฟ้อง ทนายตั้ม ยังไม่หลุดบัญชี ส.ว.
    .
    หลังจากที่มีสรพัดเรื่องร้องเรียนเข้ามายังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.เป็นจำนวนมาก เวลานี้เริ่มมีเสียงท้วงติงจากกกต.แล้วข้อร้องเรียนหลายเรื่องขาดความชัดเจนที่ไม่อาจนำไปสู่การพิจารณาได้
    .
    นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เปิดเผยว่า เมื่อมีการร้องเข้ามา กกต.ก็จะต้องนำมาพิจารณาดูก่อน ไม่ว่าจะเป็นคำร้องของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาร้องความผิดตามกฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งมีการยื่นคำร้องเข้ามาเป็นจำนวนมาก ยอมรับว่า กกต.อยากให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบมากขึ้น แต่หากจะยื่นเรื่องร้องเรียนขอให้มีข้อมูลให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เป็นการมาตั้งคำถาม
    .
    "ส่วนมากทุกเรื่องจะยื่นมาในลักษณะตั้งคำถามในลักษณะผิดหรือไม่ เข้าใจว่าอาจจะเป็นการหลบหลีกในเรื่องของการถูกฟ้องร้องหรือไม่ แต่สำนักงาน กกต.ก็ไม่เคยทิ้ง แต่ต้องใช้ความเข้มงวดมากขึ้น ในอดีตให้โอกาสเพราะเป็นหน้าที่ของ กกต. การจะรับคำร้องก็ต้องดูที่ข้อเท็จจริง ส่วนรูปแบบการร้องหรือสาระสำคัญในการยื่นคำร้อง ขอให้ผู้ร้องได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงและผิดกฎหมายมาตราใด ไม่ใช่มาถามว่าผิดหรือไม่"
    .
    ขณะเดียวกัน นายแสวง ระบุว่า กรณีที่กกต.จังหวัดสมุทรสาคร เข้าไปสอบปากคำ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในเรือนจำ ซึ่งถูกร้องเรียนว่าขาดคุณสมบัติในการสมัครสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เนื่องจากทำงานภาคประชาสังคมไม่ถึง 10 ปี นั้น เป็นขั้นตอนตามกระบวนการ กล่าวคือ เมื่อมีคนร้องว่ามีลักษณะต้องห้ามของการเป็น ส.ว. จึงต้องไปสอบตามคำร้อง ซึ่งเท่าที่ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ถือว่านายษิทรายังมีคุณสมบัติการเป็น ส.ว.ตามกฎหมาย สามารถอยู่ในบัญชีสำรองได้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ไม่ว่าจะชั้นไหน
    ..............
    Sondhi X
    นักร้องยื่นเรื่องไม่เคลียร์ กกต.ข้องใจกลัวโดนฟ้อง ทนายตั้ม ยังไม่หลุดบัญชี ส.ว. . หลังจากที่มีสรพัดเรื่องร้องเรียนเข้ามายังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.เป็นจำนวนมาก เวลานี้เริ่มมีเสียงท้วงติงจากกกต.แล้วข้อร้องเรียนหลายเรื่องขาดความชัดเจนที่ไม่อาจนำไปสู่การพิจารณาได้ . นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เปิดเผยว่า เมื่อมีการร้องเข้ามา กกต.ก็จะต้องนำมาพิจารณาดูก่อน ไม่ว่าจะเป็นคำร้องของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาร้องความผิดตามกฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งมีการยื่นคำร้องเข้ามาเป็นจำนวนมาก ยอมรับว่า กกต.อยากให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบมากขึ้น แต่หากจะยื่นเรื่องร้องเรียนขอให้มีข้อมูลให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เป็นการมาตั้งคำถาม . "ส่วนมากทุกเรื่องจะยื่นมาในลักษณะตั้งคำถามในลักษณะผิดหรือไม่ เข้าใจว่าอาจจะเป็นการหลบหลีกในเรื่องของการถูกฟ้องร้องหรือไม่ แต่สำนักงาน กกต.ก็ไม่เคยทิ้ง แต่ต้องใช้ความเข้มงวดมากขึ้น ในอดีตให้โอกาสเพราะเป็นหน้าที่ของ กกต. การจะรับคำร้องก็ต้องดูที่ข้อเท็จจริง ส่วนรูปแบบการร้องหรือสาระสำคัญในการยื่นคำร้อง ขอให้ผู้ร้องได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงและผิดกฎหมายมาตราใด ไม่ใช่มาถามว่าผิดหรือไม่" . ขณะเดียวกัน นายแสวง ระบุว่า กรณีที่กกต.จังหวัดสมุทรสาคร เข้าไปสอบปากคำ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในเรือนจำ ซึ่งถูกร้องเรียนว่าขาดคุณสมบัติในการสมัครสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เนื่องจากทำงานภาคประชาสังคมไม่ถึง 10 ปี นั้น เป็นขั้นตอนตามกระบวนการ กล่าวคือ เมื่อมีคนร้องว่ามีลักษณะต้องห้ามของการเป็น ส.ว. จึงต้องไปสอบตามคำร้อง ซึ่งเท่าที่ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ถือว่านายษิทรายังมีคุณสมบัติการเป็น ส.ว.ตามกฎหมาย สามารถอยู่ในบัญชีสำรองได้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ไม่ว่าจะชั้นไหน .............. Sondhi X
    Haha
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 1569 Views 0 Reviews