• ปี 2550 ภาพจิตรกรรม “ภิกษุสันดานกา” เคยตกเป็นข่าวถกเถียงมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นผลงานของ “อนุพงษ์ จันทร “ใช้เทคนิคการวาดภาพด้วยสีอะคริลิกลงบนจีวรพระ ได้แรงบันดาลใจจากคติความเชื่อของไทยเรื่อง "เปรตภูมิ” และภาพ ”บรรพชิตทุศีล” ในสมุดภาพไตรภูมิ มีข้อความปรากฏเอาไว้ด้านล่างภาพว่า "บาปเป็นบรรพชิตทุศีลแลเลี้ยงชีพผิดมิชอบด้วยธรรม ตายไปต้องกลายเป็นเปรต มีไฟไหม้ลุกจีวรไหม้กาย"อนุพงษ์ ยืนยันว่า ”ภิกษุสันดานกา” ไม่ใช่ชื่อที่ตนตั้งขึ้นมาเอง แต่มีระบุในพระไตรปิฎก ในหนังสือคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า ตำราดูพระภิกษุ และตนขอยืนยันว่า ภาพที่ตนเขียนขึ้นมา ไม่ใช่ภาพพระดีดีในสังคม แต่ตนเขียนเปรตที่แอบแฝงอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์ เพื่อเตือนสติคนในสังคม โดยสื่อภาพออกมาในเชิงสัญลักษณ์ ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเปรียบเทียบพระภิกษุลามกว่า มีนิสัยเหมือนกา 10 อย่าง“ภิกษุทั้งหลาย กาเป็นสัตว์ประกอบด้วยความเลวสิบประการ” สิบประการเป็นไฉน? สิบประการคือ1. กาเป็นสัตว์ทำลายความดี 2. กาเป็นสัตว์คะนอง 3. กาเป็นสัตว์ทะเยอทะยาน 4. กาเป็นสัตว์กินจุ 5. กาเป็นสัตว์หยาบคาย 6. กาเป็นสัตว์ไม่กรุณาปรานี 7. กาเป็นสัตว์ทุรพล 8. กาเป็นสัตว์เสียงอึง 9. กาเป็นสัตว์ปล่อยสติ 10. กาเป็นสัตว์สะสมของกินภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุลามกก็เป็นเช่นเดียวกับกานั่นแหละ เป็นคนประกอบด้วยอสัทธรรมสิบประการ สิบประการเป็นไฉน? สิบประการคือ1. ภิกษุลามกเป็นคนทำลายความดี 2. ภิกษุลามกเป็นคนคะนอง 3. ภิกษุลามกเป็นคนทะเยอทะยาน 4. ภิกษุลามกเป็นคนกินจุ 5. ภิกษุลามกเป็นคนหยาบคาย 6. ภิกษุลามกเป็นคนไม่กรุณาปรานี 7. ภิกษุลามกเป็นคนทุรพล 8. ภิกษุลามกเป็นคนร้องเสียงอึง 9. ภิกษุลามกเป็นคนปล่อยสติ 10. ภิกษุลามกเป็นคนสะสมของกินโดยนัยแห่งพฤติกรรมของนกกา สิบประการดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นความเลวที่ไม่เหมาะไม่ควรที่คนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนมีศีล เช่น ภิกษุในพระพุทธศาสนาไม่ควรประพฤติ ไม่ควรปฏิบัติแต่ในความเป็นจริง ความเป็นปุถุชนคนมีกิเลส ถึงแม้ว่าจะมาบวชถือศีล 227 ข้อแล้วก็ยังมีภิกษุบางรูปในครั้งพุทธกาลมีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสสอนด้วยข้อวัตรปฏิบัติที่พระภิกษุที่เข้ามาบวชเพื่อการทำความดี โดยมุ่งความหลุดพ้น ควรงดเว้นอสัทธรรม 10 ประการ อันเป็นพฤติกรรมของกาดังกล่าวอ.สามารถ มังสัง เคยเสนอแนวทางแก้ปัญหาภิกษุสันดานกาไว้ว่า “แต่ในความเป็นจริงที่ปรากฏพฤติกรรมอันไม่เหมาะไม่ควรในวงการสงฆ์ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากสงฆ์ด้วยกันเท่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่มหาเถรสมาคม และสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรจะได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา และกำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันดังต่อไปนี้1. ทำการสำรวจสำมโนประชากรพระสงฆ์ในประเทศไทยให้แน่ชัดว่ามีอยู่เท่าใด และมีรายละเอียดลงลึกถึงเรื่องการศึกษา อายุพรรษา และภาระหน้าที่ต่อสังคมเท่าที่พระจะพึงกระทำได้ เช่น เป็นครูสอนศีลธรรม อบรมประชาชน และให้ความรู้แก่พระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น2. เมื่อได้ข้อมูลแล้วให้จัดทำแผนฟื้นฟูพฤติกรรมพระสงฆ์ที่ไม่ได้รับการศึกษา และการอบรมอย่างทั่วถึง3. ให้นำพระภิกษุสงฆ์ที่มีความรู้ความสามารถในการสอนมาประชุมแลกเปลี่ยนความรู้ แนวทางการปรับองค์กรสงฆ์ แล้วมอบหมายให้แต่ละท่านกลับไปดำเนินการในถิ่นของตนเองเป็นระยะเวลา 1-3 ปี แล้วส่งคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานออกไปทำการประเมินในการดำเนินการ 3 ประการนี้ ทางรัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน และบุคลากรให้เพียงพอแก่การดำเนินงานในขณะเดียวกัน ถ้าพบว่าในท้องถิ่นใดดำเนินการไม่ได้ผล ก็ควรอย่างยิ่งที่ทางการปกครองจะต้องเข้ามาดูแลแก้ไขโดยใช้อำนาจบริหาร เช่น การโยกย้ายหรือปลดออกจากตำแหน่ง เป็นการลงโทษผู้รับผิดชอบในระดับเจ้าคณะจังหวัด อำเภอ และตำบลลงไปตามลำดับชั้นยิ่งกว่านี้ ทางมหาเถรสมาคมจะต้องไม่ปล่อยให้พระสงฆ์ในระดับปกครองเข้าไปมีส่วนได้เสียกับกิจกรรมใดๆ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการช่วยกันปกปิดความผิดของผู้อยู่ใต้ปกครอง เพื่อแลกกับลาภสักการะที่ผู้กระทำผิดมอบให้ถ้าทุกหน่วยงานดำเนินการได้เยี่ยงนี้ เชื่อว่าพฤติกรรมอันไม่เหมาะไม่ควรของพระสงฆ์จะลดลง และหมดไปในที่สุด”https://www.facebook.com/share/1Cj37basD6/?mibextid=wwXIfr
    ปี 2550 ภาพจิตรกรรม “ภิกษุสันดานกา” เคยตกเป็นข่าวถกเถียงมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นผลงานของ “อนุพงษ์ จันทร “ใช้เทคนิคการวาดภาพด้วยสีอะคริลิกลงบนจีวรพระ ได้แรงบันดาลใจจากคติความเชื่อของไทยเรื่อง "เปรตภูมิ” และภาพ ”บรรพชิตทุศีล” ในสมุดภาพไตรภูมิ มีข้อความปรากฏเอาไว้ด้านล่างภาพว่า "บาปเป็นบรรพชิตทุศีลแลเลี้ยงชีพผิดมิชอบด้วยธรรม ตายไปต้องกลายเป็นเปรต มีไฟไหม้ลุกจีวรไหม้กาย"อนุพงษ์ ยืนยันว่า ”ภิกษุสันดานกา” ไม่ใช่ชื่อที่ตนตั้งขึ้นมาเอง แต่มีระบุในพระไตรปิฎก ในหนังสือคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า ตำราดูพระภิกษุ และตนขอยืนยันว่า ภาพที่ตนเขียนขึ้นมา ไม่ใช่ภาพพระดีดีในสังคม แต่ตนเขียนเปรตที่แอบแฝงอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์ เพื่อเตือนสติคนในสังคม โดยสื่อภาพออกมาในเชิงสัญลักษณ์ ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเปรียบเทียบพระภิกษุลามกว่า มีนิสัยเหมือนกา 10 อย่าง“ภิกษุทั้งหลาย กาเป็นสัตว์ประกอบด้วยความเลวสิบประการ” สิบประการเป็นไฉน? สิบประการคือ1. กาเป็นสัตว์ทำลายความดี 2. กาเป็นสัตว์คะนอง 3. กาเป็นสัตว์ทะเยอทะยาน 4. กาเป็นสัตว์กินจุ 5. กาเป็นสัตว์หยาบคาย 6. กาเป็นสัตว์ไม่กรุณาปรานี 7. กาเป็นสัตว์ทุรพล 8. กาเป็นสัตว์เสียงอึง 9. กาเป็นสัตว์ปล่อยสติ 10. กาเป็นสัตว์สะสมของกินภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุลามกก็เป็นเช่นเดียวกับกานั่นแหละ เป็นคนประกอบด้วยอสัทธรรมสิบประการ สิบประการเป็นไฉน? สิบประการคือ1. ภิกษุลามกเป็นคนทำลายความดี 2. ภิกษุลามกเป็นคนคะนอง 3. ภิกษุลามกเป็นคนทะเยอทะยาน 4. ภิกษุลามกเป็นคนกินจุ 5. ภิกษุลามกเป็นคนหยาบคาย 6. ภิกษุลามกเป็นคนไม่กรุณาปรานี 7. ภิกษุลามกเป็นคนทุรพล 8. ภิกษุลามกเป็นคนร้องเสียงอึง 9. ภิกษุลามกเป็นคนปล่อยสติ 10. ภิกษุลามกเป็นคนสะสมของกินโดยนัยแห่งพฤติกรรมของนกกา สิบประการดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นความเลวที่ไม่เหมาะไม่ควรที่คนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนมีศีล เช่น ภิกษุในพระพุทธศาสนาไม่ควรประพฤติ ไม่ควรปฏิบัติแต่ในความเป็นจริง ความเป็นปุถุชนคนมีกิเลส ถึงแม้ว่าจะมาบวชถือศีล 227 ข้อแล้วก็ยังมีภิกษุบางรูปในครั้งพุทธกาลมีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสสอนด้วยข้อวัตรปฏิบัติที่พระภิกษุที่เข้ามาบวชเพื่อการทำความดี โดยมุ่งความหลุดพ้น ควรงดเว้นอสัทธรรม 10 ประการ อันเป็นพฤติกรรมของกาดังกล่าวอ.สามารถ มังสัง เคยเสนอแนวทางแก้ปัญหาภิกษุสันดานกาไว้ว่า “แต่ในความเป็นจริงที่ปรากฏพฤติกรรมอันไม่เหมาะไม่ควรในวงการสงฆ์ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากสงฆ์ด้วยกันเท่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่มหาเถรสมาคม และสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรจะได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา และกำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันดังต่อไปนี้1. ทำการสำรวจสำมโนประชากรพระสงฆ์ในประเทศไทยให้แน่ชัดว่ามีอยู่เท่าใด และมีรายละเอียดลงลึกถึงเรื่องการศึกษา อายุพรรษา และภาระหน้าที่ต่อสังคมเท่าที่พระจะพึงกระทำได้ เช่น เป็นครูสอนศีลธรรม อบรมประชาชน และให้ความรู้แก่พระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น2. เมื่อได้ข้อมูลแล้วให้จัดทำแผนฟื้นฟูพฤติกรรมพระสงฆ์ที่ไม่ได้รับการศึกษา และการอบรมอย่างทั่วถึง3. ให้นำพระภิกษุสงฆ์ที่มีความรู้ความสามารถในการสอนมาประชุมแลกเปลี่ยนความรู้ แนวทางการปรับองค์กรสงฆ์ แล้วมอบหมายให้แต่ละท่านกลับไปดำเนินการในถิ่นของตนเองเป็นระยะเวลา 1-3 ปี แล้วส่งคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานออกไปทำการประเมินในการดำเนินการ 3 ประการนี้ ทางรัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน และบุคลากรให้เพียงพอแก่การดำเนินงานในขณะเดียวกัน ถ้าพบว่าในท้องถิ่นใดดำเนินการไม่ได้ผล ก็ควรอย่างยิ่งที่ทางการปกครองจะต้องเข้ามาดูแลแก้ไขโดยใช้อำนาจบริหาร เช่น การโยกย้ายหรือปลดออกจากตำแหน่ง เป็นการลงโทษผู้รับผิดชอบในระดับเจ้าคณะจังหวัด อำเภอ และตำบลลงไปตามลำดับชั้นยิ่งกว่านี้ ทางมหาเถรสมาคมจะต้องไม่ปล่อยให้พระสงฆ์ในระดับปกครองเข้าไปมีส่วนได้เสียกับกิจกรรมใดๆ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการช่วยกันปกปิดความผิดของผู้อยู่ใต้ปกครอง เพื่อแลกกับลาภสักการะที่ผู้กระทำผิดมอบให้ถ้าทุกหน่วยงานดำเนินการได้เยี่ยงนี้ เชื่อว่าพฤติกรรมอันไม่เหมาะไม่ควรของพระสงฆ์จะลดลง และหมดไปในที่สุด”https://www.facebook.com/share/1Cj37basD6/?mibextid=wwXIfr
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • มาแล้วครับ ตัวเลขสถิติการเสียชีวิตของคนไทย ครึ่งแรกของปี เทียบรายปีตั้งแต่ปี 2558 ถึงปีปัจจุบัน2568 ให้สังเกตแนวโน้มเส้นสีฟ้าว่า กำลังอยู่ขาขึ้น
    ที่น่าสนใจ สีเหลืองคือ ก่อนการระบาดของโควิด สีส้มคือช่วงที่มีการระบาดหนักจนต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน สีแดงคือ การระบาดยุติ เลิกปิดบ้านปิดเมือง
    เห็นได้ชัดเจนว่า ปีแรกของการระบาด คนไทยไม่ได้ตายเพิ่มขึ้น ปีนั้นยังไม่มีวัคซีน
    ปีที่สองของการระบาด มีการฉีดวัคซีนกลับตายเพิ่มขึ้น
    ปี 2564 เริ่มมีการระดมฉีดวัคซีน กลับตายเพิ่มขึ้น
    แต่ที่น่า ตั้งคำถาม คือ ปี 2565 2566 2567 ที่ การระบาดยุติลง คนไทยกลับตายเพิ่มขึ้น มากกว่าก่อนการระบาดของโควิด ทั้งที่ เมื่อโควิด ยุติลง อัตราการเสียชีวิตควรจะกลับไปใกล้เคียงก่อนการระบาด
    ปีปัจจุบัน คนไทยยังเสียชีวิตในอัตราที่สูง แนวโน้มก็ยังอยู่ในขาขึ้น ทำไม?
    ถ้ารัฐบาล ใส่ใจ เรื่องชีวิตของคนไทย ต้องการแก้ปัญหาสาธารณสุข แค่เอาข้อมูล อายุเฉลี่ยของผู้ที่เสียชีวิตมาเทียบกันดู ก็จะเห็นว่า คนที่ตายอายุ น้อยลงด้วยไหม ตายก่อนวัยอันควรไหม?
    หลาย คนอาจสงสัยทำไมผมไม่วิเคราะห์เอง?
    ผม ไม่ได้เป็น รัฐบาล ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้
    แต่ รัฐบาล คณะรัฐมนตรี ทำได้ง่ายๆ แต่ จะทำหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ว่า เขาเห็นความสำคัญของชีวิตคนไทยไหม?

    นิลฉงน นลเฉลย
    https://www.facebook.com/share/p/167nL51Umt/

    ขอขอบคุณอาจารย์หมอที่สละเวลาทำข้อมูลให้คนไทยได้ตื่นครับ
    มาแล้วครับ ตัวเลขสถิติการเสียชีวิตของคนไทย ครึ่งแรกของปี เทียบรายปีตั้งแต่ปี 2558 ถึงปีปัจจุบัน2568 ให้สังเกตแนวโน้มเส้นสีฟ้าว่า กำลังอยู่ขาขึ้น ที่น่าสนใจ สีเหลืองคือ ก่อนการระบาดของโควิด สีส้มคือช่วงที่มีการระบาดหนักจนต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน สีแดงคือ การระบาดยุติ เลิกปิดบ้านปิดเมือง เห็นได้ชัดเจนว่า ปีแรกของการระบาด คนไทยไม่ได้ตายเพิ่มขึ้น ปีนั้นยังไม่มีวัคซีน ปีที่สองของการระบาด มีการฉีดวัคซีนกลับตายเพิ่มขึ้น ปี 2564 เริ่มมีการระดมฉีดวัคซีน กลับตายเพิ่มขึ้น แต่ที่น่า ตั้งคำถาม คือ ปี 2565 2566 2567 ที่ การระบาดยุติลง คนไทยกลับตายเพิ่มขึ้น มากกว่าก่อนการระบาดของโควิด ทั้งที่ เมื่อโควิด ยุติลง อัตราการเสียชีวิตควรจะกลับไปใกล้เคียงก่อนการระบาด ปีปัจจุบัน คนไทยยังเสียชีวิตในอัตราที่สูง แนวโน้มก็ยังอยู่ในขาขึ้น ทำไม? ถ้ารัฐบาล ใส่ใจ เรื่องชีวิตของคนไทย ต้องการแก้ปัญหาสาธารณสุข แค่เอาข้อมูล อายุเฉลี่ยของผู้ที่เสียชีวิตมาเทียบกันดู ก็จะเห็นว่า คนที่ตายอายุ น้อยลงด้วยไหม ตายก่อนวัยอันควรไหม? หลาย คนอาจสงสัยทำไมผมไม่วิเคราะห์เอง? ผม ไม่ได้เป็น รัฐบาล ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ แต่ รัฐบาล คณะรัฐมนตรี ทำได้ง่ายๆ แต่ จะทำหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ว่า เขาเห็นความสำคัญของชีวิตคนไทยไหม? นิลฉงน นลเฉลย https://www.facebook.com/share/p/167nL51Umt/ ขอขอบคุณอาจารย์หมอที่สละเวลาทำข้อมูลให้คนไทยได้ตื่นครับ 🙏🙏🙏
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • https://www.facebook.com/share/v/1F7izWvs77/
    https://www.facebook.com/share/v/1F7izWvs77/
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • อุ๊งอิ๊ง Get Out !
    https://www.facebook.com/share/v/1F7izWvs77/
    อุ๊งอิ๊ง Get Out ! https://www.facebook.com/share/v/1F7izWvs77/
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • DeepSeek ถูกแบนในเช็ก – เพราะอาจส่งข้อมูลผู้ใช้ให้รัฐบาลจีน

    DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังเปิดตัวแอปบน iOS และ Android ในเดือนมกราคม 2025 โดยสามารถแซง ChatGPT ขึ้นอันดับหนึ่งใน App Store ได้ในหลายประเทศ

    แต่ความนิยมนี้กลับมาพร้อมกับความกังวลด้านความมั่นคง เมื่อหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติของเช็ก (NÚKIB) ออกรายงานเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 ระบุว่า DeepSeek และบริษัทแม่ High-Flyer มี “ความเชื่อมโยงลึก” กับรัฐบาลจีน และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจารกรรมข้อมูล

    รายงานอ้างถึงกฎหมายจีนหลายฉบับ เช่น:
    - กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ
    - กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติ
    - กฎหมายต่อต้านการจารกรรม

    ซึ่งทั้งหมดบังคับให้บริษัทจีนต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล ไม่ว่าผู้ใช้นั้นจะอยู่ประเทศใดก็ตาม

    ผลคือ Czechia ประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek ในเกือบทุกกรณี ยกเว้นสำหรับนักวิจัยด้านความปลอดภัย และการใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท

    ประเทศอื่น ๆ ที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ (รวมถึงกองทัพเรือและ NASA), แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน

    NÚKIB ระบุว่า “ความกังวลต่อ DeepSeek ไม่ได้เกิดจากวัฒนธรรมร่วมกันหรือภูมิศาสตร์ แต่เป็นผลจากการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นกลาง” และคาดว่าประเทศอื่น ๆ จะออกมาตรการเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

    ข้อมูลจากข่าว
    - รัฐบาลเช็กประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek เนื่องจากความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์
    - DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมในปี 2025
    - หน่วยงาน NÚKIB ระบุว่า DeepSeek มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน
    - อ้างถึงกฎหมายจีนที่บังคับให้บริษัทต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล
    - การแบนครอบคลุมทุกกรณี ยกเว้นนักวิจัยและการใช้งานแบบ self-host ที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท
    - ประเทศอื่นที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ผู้ใช้ DeepSeek อาจเสี่ยงต่อการถูกเก็บข้อมูลและส่งต่อให้รัฐบาลจีนโดยไม่รู้ตัว
    - กฎหมายจีนมีอำนาจเหนือบริษัทจีนแม้จะให้บริการในต่างประเทศ
    - การใช้งานโมเดล AI ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จีนอาจเปิดช่องให้เกิดการจารกรรมข้อมูล
    - องค์กรควรหลีกเลี่ยงการใช้บริการจากบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลต่างชาติในงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสำคัญ
    - การใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สควรทำแบบ self-host เพื่อป้องกันการส่งข้อมูลออกนอกองค์กร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/czechia-warns-that-deepseek-can-share-all-user-information-with-the-chinese-government
    DeepSeek ถูกแบนในเช็ก – เพราะอาจส่งข้อมูลผู้ใช้ให้รัฐบาลจีน DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังเปิดตัวแอปบน iOS และ Android ในเดือนมกราคม 2025 โดยสามารถแซง ChatGPT ขึ้นอันดับหนึ่งใน App Store ได้ในหลายประเทศ แต่ความนิยมนี้กลับมาพร้อมกับความกังวลด้านความมั่นคง เมื่อหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติของเช็ก (NÚKIB) ออกรายงานเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 ระบุว่า DeepSeek และบริษัทแม่ High-Flyer มี “ความเชื่อมโยงลึก” กับรัฐบาลจีน และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจารกรรมข้อมูล รายงานอ้างถึงกฎหมายจีนหลายฉบับ เช่น: - กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ - กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติ - กฎหมายต่อต้านการจารกรรม ซึ่งทั้งหมดบังคับให้บริษัทจีนต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล ไม่ว่าผู้ใช้นั้นจะอยู่ประเทศใดก็ตาม ผลคือ Czechia ประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek ในเกือบทุกกรณี ยกเว้นสำหรับนักวิจัยด้านความปลอดภัย และการใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท ประเทศอื่น ๆ ที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ (รวมถึงกองทัพเรือและ NASA), แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน NÚKIB ระบุว่า “ความกังวลต่อ DeepSeek ไม่ได้เกิดจากวัฒนธรรมร่วมกันหรือภูมิศาสตร์ แต่เป็นผลจากการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นกลาง” และคาดว่าประเทศอื่น ๆ จะออกมาตรการเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ✅ ข้อมูลจากข่าว - รัฐบาลเช็กประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek เนื่องจากความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์ - DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมในปี 2025 - หน่วยงาน NÚKIB ระบุว่า DeepSeek มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน - อ้างถึงกฎหมายจีนที่บังคับให้บริษัทต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล - การแบนครอบคลุมทุกกรณี ยกเว้นนักวิจัยและการใช้งานแบบ self-host ที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท - ประเทศอื่นที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ผู้ใช้ DeepSeek อาจเสี่ยงต่อการถูกเก็บข้อมูลและส่งต่อให้รัฐบาลจีนโดยไม่รู้ตัว - กฎหมายจีนมีอำนาจเหนือบริษัทจีนแม้จะให้บริการในต่างประเทศ - การใช้งานโมเดล AI ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จีนอาจเปิดช่องให้เกิดการจารกรรมข้อมูล - องค์กรควรหลีกเลี่ยงการใช้บริการจากบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลต่างชาติในงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสำคัญ - การใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สควรทำแบบ self-host เพื่อป้องกันการส่งข้อมูลออกนอกองค์กร https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/czechia-warns-that-deepseek-can-share-all-user-information-with-the-chinese-government
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Czechia warns that DeepSeek can share all user information with the Chinese government
    U.S. lawmakers issued similar warnings after the China-based AI company released its eponymous chatbot.
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • Scattered Spider เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่เริ่มปรากฏตัวตั้งแต่ปี 2022 โดยใช้วิธี SIM-swapping และ ransomware โจมตีบริษัทโทรคมนาคมและบันเทิง เช่น MGM Resorts และ Caesars Entertainment แต่ในปี 2025 พวกเขาขยายเป้าหมายไปยังอุตสาหกรรมค้าปลีก (Marks & Spencer, Harrods) และสายการบิน (Hawaiian, Qantas) สร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์

    เทคนิคที่ใช้ล่าสุดคือการหลอกพนักงาน help desk ด้วยข้อมูลส่วนตัวของผู้บริหาร เช่น วันเกิดและเลขประกันสังคม เพื่อรีเซ็ตอุปกรณ์และเข้าถึงบัญชีระดับสูง จากนั้นใช้สิทธิ์นั้นเจาะระบบ Entra ID (Azure AD), SharePoint, Horizon VDI และ VPN เพื่อควบคุมระบบทั้งหมด

    เมื่อถูกตรวจจับ กลุ่มนี้ไม่หนี แต่กลับโจมตีระบบอย่างเปิดเผย เช่น ลบกฎไฟร์วอลล์ของ Azure และปิด domain controller เพื่อขัดขวางการกู้คืนระบบ

    นักวิจัยจาก Rapid7 และ ReliaQuest พบว่า Scattered Spider:
    - ใช้เครื่องมือเช่น ngrok และ Teleport เพื่อสร้างช่องทางลับ
    - ใช้ IAM role enumeration และ EC2 Serial Console เพื่อเจาะระบบ AWS
    - ใช้บัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกแฮกเพื่อดึงข้อมูลจาก CyberArk password vault กว่า 1,400 รายการ

    แม้ Microsoft จะเข้ามาช่วยกู้คืนระบบได้ในที่สุด แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของกลุ่มแฮกเกอร์ที่ผสมผสาน “การหลอกมนุษย์” กับ “การเจาะระบบเทคนิค” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ข้อมูลจากข่าว
    - Scattered Spider เริ่มโจมตีตั้งแต่ปี 2022 โดยใช้ SIM-swapping และ ransomware
    - ขยายเป้าหมายไปยังอุตสาหกรรมค้าปลีกและสายการบินในปี 2025
    - ใช้ข้อมูลส่วนตัวของผู้บริหารเพื่อหลอก help desk และเข้าถึงบัญชีระดับสูง
    - เจาะระบบ Entra ID, SharePoint, Horizon VDI, VPN และ CyberArk
    - ใช้เครื่องมือเช่น ngrok, Teleport, EC2 Serial Console และ IAM role enumeration
    - ลบกฎไฟร์วอลล์ Azure และปิด domain controller เพื่อขัดขวางการกู้คืน
    - Microsoft ต้องเข้ามาช่วยกู้คืนระบบ
    - Rapid7 และ ReliaQuest แนะนำให้ใช้ MFA แบบต้าน phishing และจำกัดสิทธิ์ผู้ใช้งาน

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การหลอก help desk ด้วยข้อมูลส่วนตัวยังคงเป็นช่องโหว่ใหญ่ขององค์กร
    - บัญชีผู้บริหารมักมีสิทธิ์มากเกินไป ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบได้ง่าย
    - การใช้เครื่องมือ legitimate เช่น Teleport อาจหลบการตรวจจับได้
    - หากไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์และพฤติกรรมผู้ใช้อย่างสม่ำเสมอ องค์กรอาจไม่รู้ตัวว่าถูกแฮก
    - การพึ่งพา endpoint detection เพียงอย่างเดียวไม่สามารถป้องกันการเจาะระบบแบบนี้ได้
    - องค์กรควรฝึกอบรมพนักงานเรื่อง social engineering และมีระบบตรวจสอบการรีเซ็ตบัญชีที่เข้มงวด

    https://www.csoonline.com/article/4020567/anatomy-of-a-scattered-spider-attack-a-growing-ransomware-threat-evolves.html
    Scattered Spider เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่เริ่มปรากฏตัวตั้งแต่ปี 2022 โดยใช้วิธี SIM-swapping และ ransomware โจมตีบริษัทโทรคมนาคมและบันเทิง เช่น MGM Resorts และ Caesars Entertainment แต่ในปี 2025 พวกเขาขยายเป้าหมายไปยังอุตสาหกรรมค้าปลีก (Marks & Spencer, Harrods) และสายการบิน (Hawaiian, Qantas) สร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์ เทคนิคที่ใช้ล่าสุดคือการหลอกพนักงาน help desk ด้วยข้อมูลส่วนตัวของผู้บริหาร เช่น วันเกิดและเลขประกันสังคม เพื่อรีเซ็ตอุปกรณ์และเข้าถึงบัญชีระดับสูง จากนั้นใช้สิทธิ์นั้นเจาะระบบ Entra ID (Azure AD), SharePoint, Horizon VDI และ VPN เพื่อควบคุมระบบทั้งหมด เมื่อถูกตรวจจับ กลุ่มนี้ไม่หนี แต่กลับโจมตีระบบอย่างเปิดเผย เช่น ลบกฎไฟร์วอลล์ของ Azure และปิด domain controller เพื่อขัดขวางการกู้คืนระบบ นักวิจัยจาก Rapid7 และ ReliaQuest พบว่า Scattered Spider: - ใช้เครื่องมือเช่น ngrok และ Teleport เพื่อสร้างช่องทางลับ - ใช้ IAM role enumeration และ EC2 Serial Console เพื่อเจาะระบบ AWS - ใช้บัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกแฮกเพื่อดึงข้อมูลจาก CyberArk password vault กว่า 1,400 รายการ แม้ Microsoft จะเข้ามาช่วยกู้คืนระบบได้ในที่สุด แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของกลุ่มแฮกเกอร์ที่ผสมผสาน “การหลอกมนุษย์” กับ “การเจาะระบบเทคนิค” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Scattered Spider เริ่มโจมตีตั้งแต่ปี 2022 โดยใช้ SIM-swapping และ ransomware - ขยายเป้าหมายไปยังอุตสาหกรรมค้าปลีกและสายการบินในปี 2025 - ใช้ข้อมูลส่วนตัวของผู้บริหารเพื่อหลอก help desk และเข้าถึงบัญชีระดับสูง - เจาะระบบ Entra ID, SharePoint, Horizon VDI, VPN และ CyberArk - ใช้เครื่องมือเช่น ngrok, Teleport, EC2 Serial Console และ IAM role enumeration - ลบกฎไฟร์วอลล์ Azure และปิด domain controller เพื่อขัดขวางการกู้คืน - Microsoft ต้องเข้ามาช่วยกู้คืนระบบ - Rapid7 และ ReliaQuest แนะนำให้ใช้ MFA แบบต้าน phishing และจำกัดสิทธิ์ผู้ใช้งาน ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การหลอก help desk ด้วยข้อมูลส่วนตัวยังคงเป็นช่องโหว่ใหญ่ขององค์กร - บัญชีผู้บริหารมักมีสิทธิ์มากเกินไป ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบได้ง่าย - การใช้เครื่องมือ legitimate เช่น Teleport อาจหลบการตรวจจับได้ - หากไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์และพฤติกรรมผู้ใช้อย่างสม่ำเสมอ องค์กรอาจไม่รู้ตัวว่าถูกแฮก - การพึ่งพา endpoint detection เพียงอย่างเดียวไม่สามารถป้องกันการเจาะระบบแบบนี้ได้ - องค์กรควรฝึกอบรมพนักงานเรื่อง social engineering และมีระบบตรวจสอบการรีเซ็ตบัญชีที่เข้มงวด https://www.csoonline.com/article/4020567/anatomy-of-a-scattered-spider-attack-a-growing-ransomware-threat-evolves.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Anatomy of a Scattered Spider attack: A growing ransomware threat evolves
    The cybercriminal group has broadened its attack scope across several new industries, bringing valid credentials to bear on help desks before leveraging its new learnings of cloud intrusion tradecraft to set the stage for ransomware.
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/cofp2Pj5c5U?feature=shared
    https://youtu.be/cofp2Pj5c5U?feature=shared
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • อย่าเอา LNG ไปผูกดีลภาษีทรัมป์!
    ผศ.ประสาท มีแต้ม เตือน “ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย”
    หัวโตแน่ ทั้งที่โซลาร์+แบตใช้ไฟได้เกือบทั้งปี

    ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค เตือนรัฐบาลว่า

    “ไม่ควรนำเรื่อง การนำเข้า LNG ไปเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจา ‘ภาษีทรัมป์’ หรือข้อตกลงทางการค้า”
    เพราะนั่นจะทำให้ไทยตกอยู่ในสถานะ ต้องเซ็นสัญญา Take-or-Pay — ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย ซึ่งจะกลายเป็นภาระค่าไฟระยะยาวมหาศาล

    ผศ.ประสาทชี้ว่า ขณะนี้โลกกำลังเปลี่ยนทิศทางไปสู่พลังงานหมุนเวียน และงานวิจัยล่าสุดพบว่า

    “ระบบโซลาร์บวกแบตเตอรี่ (Solar + Storage) ในประเทศที่มีแดดดี 12 ประเทศทั่วโลก สามารถผลิตไฟฟ้าได้ เกือบครบ 24 ชั่วโมง ตลอด 365 วัน”

    เช่นใน ฟิลิปปินส์ ระบบนี้สามารถจ่ายไฟได้ถึง 92% ของเวลาทั้งปี ส่วนที่เหลืออีกเพียง 8% จึงค่อยใช้ไฟจากแหล่งอื่น

    นอกจากนี้ ต้นทุนไฟฟ้าจากระบบโซลาร์บวกแบตฯ ก็ถูกลงอย่างรวดเร็ว
    • ปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 3.50 บาทต่อหน่วย
    • และจะ ลดลงเฉลี่ยปีละ 22%

    “ลองคิดดูดีๆ เราไม่มีความจำเป็นต้องพึ่ง LNG อีกต่อไป
    แต่ถ้ารัฐยังฝืนพาไทยไปผูกกับดีล LNG ระยะยาว สุดท้ายประชาชนจะต้องจ่ายแพงไปอีกหลายสิบปี”

    https://www.facebook.com/share/p/1Aor22TQZp/?mibextid=wwXIfr
    อย่าเอา LNG ไปผูกดีลภาษีทรัมป์! ผศ.ประสาท มีแต้ม เตือน “ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย” หัวโตแน่ ทั้งที่โซลาร์+แบตใช้ไฟได้เกือบทั้งปี ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค เตือนรัฐบาลว่า “ไม่ควรนำเรื่อง การนำเข้า LNG ไปเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจา ‘ภาษีทรัมป์’ หรือข้อตกลงทางการค้า” เพราะนั่นจะทำให้ไทยตกอยู่ในสถานะ ต้องเซ็นสัญญา Take-or-Pay — ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย ซึ่งจะกลายเป็นภาระค่าไฟระยะยาวมหาศาล ผศ.ประสาทชี้ว่า ขณะนี้โลกกำลังเปลี่ยนทิศทางไปสู่พลังงานหมุนเวียน และงานวิจัยล่าสุดพบว่า “ระบบโซลาร์บวกแบตเตอรี่ (Solar + Storage) ในประเทศที่มีแดดดี 12 ประเทศทั่วโลก สามารถผลิตไฟฟ้าได้ เกือบครบ 24 ชั่วโมง ตลอด 365 วัน” เช่นใน ฟิลิปปินส์ ระบบนี้สามารถจ่ายไฟได้ถึง 92% ของเวลาทั้งปี ส่วนที่เหลืออีกเพียง 8% จึงค่อยใช้ไฟจากแหล่งอื่น นอกจากนี้ ต้นทุนไฟฟ้าจากระบบโซลาร์บวกแบตฯ ก็ถูกลงอย่างรวดเร็ว • ปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 3.50 บาทต่อหน่วย • และจะ ลดลงเฉลี่ยปีละ 22% “ลองคิดดูดีๆ เราไม่มีความจำเป็นต้องพึ่ง LNG อีกต่อไป แต่ถ้ารัฐยังฝืนพาไทยไปผูกกับดีล LNG ระยะยาว สุดท้ายประชาชนจะต้องจ่ายแพงไปอีกหลายสิบปี” https://www.facebook.com/share/p/1Aor22TQZp/?mibextid=wwXIfr
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลออสเตรเลียตั้งเป้าจะ “ถอดบัญชีโซเชียลมีเดียของเยาวชนอายุ 10–15 ปีมากกว่า 1 ล้านบัญชี” → โดยตั้งกฎหมายใหม่ให้ “ผู้ใช้ต้องมีอายุอย่างน้อย 16 ปี” จึงจะใช้งานโซเชียลมีเดียได้ → ถ้าฝ่าฝืน บริษัทแพลตฟอร์มจะถูกปรับถึง A$30 ล้าน (≒ 820 ล้านบาท!)

    แต่ปัญหาคือ…กฎหมายผ่านแล้ว แต่ขั้นตอนปฏิบัติยังไม่ชัดเจน → จะนิยามว่า “โซเชียลมีเดีย” ว่าอะไรบ้าง? เช่น YouTube จะนับรวมไหม? → จะยืนยันอายุผู้ใช้แบบไหน? ใช้ AI, เอกสาร หรือการตรวจสอบโดยมนุษย์? → หากใช้ VPN เปลี่ยนที่อยู่ จะรับมือยังไง?

    หลายแพลตฟอร์มอย่าง YouTube ออกมาคัดค้าน → เพราะมองว่า “ตัวเองไม่ใช่โซเชียล แต่เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอเพื่อการเรียนรู้” → กว่า 80% ของครูออสเตรเลียใช้ YouTube ในห้องเรียน → แต่หน่วยงานความปลอดภัยยืนยันว่าต้องรวม YouTube เพราะเด็กใช้มากที่สุดและมีฟีเจอร์ like, share, comment

    ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงหารือกับบริษัทเทคโนโลยี → ต้องตกลงให้ได้ว่าบริษัทต้องทำอะไรเพื่อแสดงว่า “กำลังพยายามป้องกันไม่ให้เด็กต่ำกว่า 16 มีบัญชี” → รวมถึงต้องมีช่องให้ครู–ผู้ปกครองแจ้งบัญชีต้องสงสัย และมีวิธีป้องกันการหลบหลีกผ่าน VPN ด้วย

    ออสเตรเลียเตรียมใช้กฎหมายใหม่ที่ “ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลมีเดีย” เริ่ม ธ.ค. 2025  
    • มีบทลงโทษแพลตฟอร์มละเมิดสูงถึง A$30 ล้าน  
    • คาดว่าจะกระทบบัญชีเยาวชนมากกว่า 1 ล้านราย

    แพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบอาจรวมถึง YouTube, Instagram, TikTok, X, Facebook ฯลฯ  
    • YouTube เคยคาดว่าจะถูกยกเว้น แต่ถูกบอกว่าต้องรวม เพราะเด็กใช้มากและมีฟีเจอร์ “เสพติด”

    ยังไม่มีแนวทางชัดเจนว่าจะ “ยืนยันอายุผู้ใช้” อย่างไร  
    • ทดลองระบบยืนยันอายุแล้ว แต่ยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการ  
    • อยู่ระหว่างหารือกับบริษัทเทคโนโลยีเรื่องแนวทางปฏิบัติ

    ประเทศอื่นๆ เริ่มเดินตามแนวคิดนี้ เช่น นิวซีแลนด์ และฝรั่งเศส  
    • ฝรั่งเศสเตรียมห้ามเด็กต่ำกว่า 15 ใช้โซเชียลเช่นกัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/australia-wants-to-bar-children-from-social-media-can-it-succeed
    รัฐบาลออสเตรเลียตั้งเป้าจะ “ถอดบัญชีโซเชียลมีเดียของเยาวชนอายุ 10–15 ปีมากกว่า 1 ล้านบัญชี” → โดยตั้งกฎหมายใหม่ให้ “ผู้ใช้ต้องมีอายุอย่างน้อย 16 ปี” จึงจะใช้งานโซเชียลมีเดียได้ → ถ้าฝ่าฝืน บริษัทแพลตฟอร์มจะถูกปรับถึง A$30 ล้าน (≒ 820 ล้านบาท!) แต่ปัญหาคือ…กฎหมายผ่านแล้ว แต่ขั้นตอนปฏิบัติยังไม่ชัดเจน → จะนิยามว่า “โซเชียลมีเดีย” ว่าอะไรบ้าง? เช่น YouTube จะนับรวมไหม? → จะยืนยันอายุผู้ใช้แบบไหน? ใช้ AI, เอกสาร หรือการตรวจสอบโดยมนุษย์? → หากใช้ VPN เปลี่ยนที่อยู่ จะรับมือยังไง? หลายแพลตฟอร์มอย่าง YouTube ออกมาคัดค้าน → เพราะมองว่า “ตัวเองไม่ใช่โซเชียล แต่เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอเพื่อการเรียนรู้” → กว่า 80% ของครูออสเตรเลียใช้ YouTube ในห้องเรียน → แต่หน่วยงานความปลอดภัยยืนยันว่าต้องรวม YouTube เพราะเด็กใช้มากที่สุดและมีฟีเจอร์ like, share, comment ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงหารือกับบริษัทเทคโนโลยี → ต้องตกลงให้ได้ว่าบริษัทต้องทำอะไรเพื่อแสดงว่า “กำลังพยายามป้องกันไม่ให้เด็กต่ำกว่า 16 มีบัญชี” → รวมถึงต้องมีช่องให้ครู–ผู้ปกครองแจ้งบัญชีต้องสงสัย และมีวิธีป้องกันการหลบหลีกผ่าน VPN ด้วย ✅ ออสเตรเลียเตรียมใช้กฎหมายใหม่ที่ “ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลมีเดีย” เริ่ม ธ.ค. 2025   • มีบทลงโทษแพลตฟอร์มละเมิดสูงถึง A$30 ล้าน   • คาดว่าจะกระทบบัญชีเยาวชนมากกว่า 1 ล้านราย ✅ แพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบอาจรวมถึง YouTube, Instagram, TikTok, X, Facebook ฯลฯ   • YouTube เคยคาดว่าจะถูกยกเว้น แต่ถูกบอกว่าต้องรวม เพราะเด็กใช้มากและมีฟีเจอร์ “เสพติด” ✅ ยังไม่มีแนวทางชัดเจนว่าจะ “ยืนยันอายุผู้ใช้” อย่างไร   • ทดลองระบบยืนยันอายุแล้ว แต่ยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการ   • อยู่ระหว่างหารือกับบริษัทเทคโนโลยีเรื่องแนวทางปฏิบัติ ✅ ประเทศอื่นๆ เริ่มเดินตามแนวคิดนี้ เช่น นิวซีแลนด์ และฝรั่งเศส   • ฝรั่งเศสเตรียมห้ามเด็กต่ำกว่า 15 ใช้โซเชียลเช่นกัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/australia-wants-to-bar-children-from-social-media-can-it-succeed
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Australia wants to bar children from social media. Can it succeed?
    A law that restricts social media use to people 16 and over goes into effect in December, but much about it remains unclear or undecided.
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • ใน Windows 11 และ Windows Server 2025 นั้น ระบบต้องใช้ TPM 2.0 เป็นเงื่อนไขหลัก → เพื่อเปิดใช้ BitLocker, Secure Boot และความปลอดภัยอื่น ๆ → แต่พอรัน VM ด้วย Hyper-V (แบบ Generation 2) มักจะใช้ vTPM แทนฮาร์ดแวร์จริง

    สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ vTPM แต่ละเครื่องเสมือนจะ ผูกกับใบรับรองดิจิทัล (self-signed certificates) ที่สร้างโดยเครื่องโฮสต์เดิม → ถ้าย้าย VM ไปยังเครื่องใหม่โดยไม่ย้ายใบรับรองตามไปด้วย… → การเปิดใช้ VM จะล้มเหลวทันที เพราะระบบไม่สามารถถอดรหัสข้อมูล BitLocker ได้!

    ข่าวดีคือ Microsoft เพิ่งออกคู่มือ “ละเอียดยิบ” บอกวิธี export/import ใบรับรองทั้งสองใบนี้ → พร้อมคำสั่ง PowerShell ให้เอาไปใช้ได้เลย → ป้องกัน VM ร่วง, ข้อมูลลับปลดล็อกไม่ได้ หรือ downtime จากการย้ายเครื่องผิดวิธี

    สาระสำคัญจากข่าว:
    Microsoft เผยวิธีการย้าย vTPM-enabled VM ระหว่าง Hyper-V hosts อย่างปลอดภัย  
    • รองรับ Windows 11 และ Server 2025 ที่ต้องใช้ TPM  
    • ป้องกันความล้มเหลวจากการย้าย VM โดยไม่ได้ย้าย certificate

    Hyper-V สร้างใบรับรองเอง 2 ใบให้แต่ละ VM ที่ใช้ vTPM:  
    • Shielded VM Encryption Certificate (UntrustedGuardian)(ComputerName)  
    • Shielded VM Signing Certificate (UntrustedGuardian)(ComputerName)  
    • เก็บไว้ใน MMC > Certificates > Local Computer > Personal > “Shielded VM Local Certificates”

    ใบรับรองมีอายุ 10 ปี ใช้ผูกกับการเข้ารหัส BitLocker และระบบ TPM ของ VM  
    • สำคัญมาก — ถ้าไม่มีใบนี้, VM จะไม่สามารถ boot ได้เมื่อย้าย host

    ผู้ดูแลระบบต้อง export ใบรับรองทั้งสองใบ (พร้อม private key) ไปเป็น .PFX แล้ว import บน host ใหม่  
    • Microsoft มีตัวอย่างคำสั่ง PowerShell ให้ใช้โดยตรง  
    • พร้อมคู่มือการ update เมื่อใกล้หมดอายุ

    รองรับทั้งการ live migration และ manual export/import
    • ใช้ได้กับงานคลาวด์, องค์กร, ระบบ DEV/UAT ที่ต้องเคลื่อน VM บ่อย

    หากไม่ย้ายใบรับรอง → VM จะเปิดไม่ติด เพราะระบบไม่เชื่อว่าเป็นเครื่องเดิม  
    • ข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ เช่น BitLocker จะถูกล็อกถาวร

    เครื่องใหม่จะถือว่าใบรับรองนั้นเป็น “Untrusted” เว้นแต่ import ไปอย่างถูกต้อง

    vTPM Certificate ถูกผูกไว้กับ “เครื่องโฮสต์” ไม่ใช่ VM เอง → การ clone/copy VM ก็ใช้ใบเดิมไม่ได้

    การสั่งลบ VM โดยไม่ backup ใบรับรอง → อาจทำให้ VM ใช้การไม่ได้ตลอดกาล

    ยังมีผู้ใช้จำนวนมากที่ย้าย VM แบบไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน → เสี่ยงเกิด “VM Brick” เงียบ ๆ ในองค์กร

    https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-detailed-guide-to-meet-windows-11-tpm-requirements-when-moving-vms/
    ใน Windows 11 และ Windows Server 2025 นั้น ระบบต้องใช้ TPM 2.0 เป็นเงื่อนไขหลัก → เพื่อเปิดใช้ BitLocker, Secure Boot และความปลอดภัยอื่น ๆ → แต่พอรัน VM ด้วย Hyper-V (แบบ Generation 2) มักจะใช้ vTPM แทนฮาร์ดแวร์จริง สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ vTPM แต่ละเครื่องเสมือนจะ ผูกกับใบรับรองดิจิทัล (self-signed certificates) ที่สร้างโดยเครื่องโฮสต์เดิม → ถ้าย้าย VM ไปยังเครื่องใหม่โดยไม่ย้ายใบรับรองตามไปด้วย… → การเปิดใช้ VM จะล้มเหลวทันที เพราะระบบไม่สามารถถอดรหัสข้อมูล BitLocker ได้! ข่าวดีคือ Microsoft เพิ่งออกคู่มือ “ละเอียดยิบ” บอกวิธี export/import ใบรับรองทั้งสองใบนี้ → พร้อมคำสั่ง PowerShell ให้เอาไปใช้ได้เลย → ป้องกัน VM ร่วง, ข้อมูลลับปลดล็อกไม่ได้ หรือ downtime จากการย้ายเครื่องผิดวิธี ✅ สาระสำคัญจากข่าว: ✅ Microsoft เผยวิธีการย้าย vTPM-enabled VM ระหว่าง Hyper-V hosts อย่างปลอดภัย   • รองรับ Windows 11 และ Server 2025 ที่ต้องใช้ TPM   • ป้องกันความล้มเหลวจากการย้าย VM โดยไม่ได้ย้าย certificate ✅ Hyper-V สร้างใบรับรองเอง 2 ใบให้แต่ละ VM ที่ใช้ vTPM:   • Shielded VM Encryption Certificate (UntrustedGuardian)(ComputerName)   • Shielded VM Signing Certificate (UntrustedGuardian)(ComputerName)   • เก็บไว้ใน MMC > Certificates > Local Computer > Personal > “Shielded VM Local Certificates” ✅ ใบรับรองมีอายุ 10 ปี ใช้ผูกกับการเข้ารหัส BitLocker และระบบ TPM ของ VM   • สำคัญมาก — ถ้าไม่มีใบนี้, VM จะไม่สามารถ boot ได้เมื่อย้าย host ✅ ผู้ดูแลระบบต้อง export ใบรับรองทั้งสองใบ (พร้อม private key) ไปเป็น .PFX แล้ว import บน host ใหม่   • Microsoft มีตัวอย่างคำสั่ง PowerShell ให้ใช้โดยตรง   • พร้อมคู่มือการ update เมื่อใกล้หมดอายุ ✅ รองรับทั้งการ live migration และ manual export/import • ใช้ได้กับงานคลาวด์, องค์กร, ระบบ DEV/UAT ที่ต้องเคลื่อน VM บ่อย ‼️ หากไม่ย้ายใบรับรอง → VM จะเปิดไม่ติด เพราะระบบไม่เชื่อว่าเป็นเครื่องเดิม   • ข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ เช่น BitLocker จะถูกล็อกถาวร ‼️ เครื่องใหม่จะถือว่าใบรับรองนั้นเป็น “Untrusted” เว้นแต่ import ไปอย่างถูกต้อง ‼️ vTPM Certificate ถูกผูกไว้กับ “เครื่องโฮสต์” ไม่ใช่ VM เอง → การ clone/copy VM ก็ใช้ใบเดิมไม่ได้ ‼️ การสั่งลบ VM โดยไม่ backup ใบรับรอง → อาจทำให้ VM ใช้การไม่ได้ตลอดกาล ‼️ ยังมีผู้ใช้จำนวนมากที่ย้าย VM แบบไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน → เสี่ยงเกิด “VM Brick” เงียบ ๆ ในองค์กร https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-detailed-guide-to-meet-windows-11-tpm-requirements-when-moving-vms/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft shares detailed guide to meet Windows 11 TPM requirements when moving VMs
    Microsoft has published a detailed guide on how to meet the requirements of Windows 11 TPM 2.0 when moving and migrating virtual machines.
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • ปกติแล้วเวลาเราเข้าเว็บไซต์ผ่าน HTTPS มักจะเป็นพวก https://example.com ใช่ไหมครับ? ซึ่งการเข้ารหัส TLS จะอิงกับชื่อโดเมนนั้น ๆ เป็นหลัก → แต่ในหลายกรณี โดยเฉพาะระบบหลังบ้าน, อุปกรณ์ IoT, หรือโครงสร้างคลาวด์ภายในองค์กร → เราเรียกกันผ่าน หมายเลข IP โดยตรง เช่น https://192.168.1.100

    ปัญหาคือ การใช้ TLS กับ IP โดยตรงเคย “แทบเป็นไปไม่ได้” เพราะไม่มี CA (Certificate Authority) รายใหญ่เจ้าไหนออกใบรับรอง TLS ให้กับหมายเลข IP ได้ง่าย ๆ

    จนกระทั่งล่าสุด Let's Encrypt เปิดให้ใช้ฟีเจอร์นี้แล้ว! → โดยเริ่มทดสอบในระบบ Staging ตั้งแต่ต้นปี 2025 และกำลังทยอยเปิดให้ใช้งานจริงในปีนี้

    แปลว่า...จากนี้ไป ใครที่ต้องการความปลอดภัยแบบ TLS แม้ไม่มีชื่อโดเมน ก็สามารถใช้ Let's Encrypt ได้แบบฟรี ๆ แล้วครับ!

    Let's Encrypt เริ่มออก TLS Certificates สำหรับ IP Address โดยตรงแล้ว  
    • ใช้ได้ทั้ง IPv4 และ IPv6  
    • อิงจากโปรโตคอล ACME เดิม → ผู้ใช้ส่วนใหญ่สามารถใช้งานได้เลย

    ไม่มีข้อจำกัดทางเทคนิคที่ห้ามการออกใบรับรองให้ IP ตั้งแต่แรก  
    • แต่ CA ส่วนใหญ่มองว่า “ไม่จำเป็น” หรือ “ยุ่งยาก” จึงไม่เคยออกให้มาก่อน

    ตัวอย่างการใช้งานที่เหมาะสมกับใบรับรอง IP โดยตรง:  
    • หน้า landing page สำหรับ shared hosting ที่ใช้หลายโดเมน  
    • ระบบ DNS over HTTPS หรือระบบหลังบ้านที่ไม่ใช้ชื่อโดเมน  
    • อุปกรณ์ในบ้าน (IoT/Router/Server) ที่เชื่อมต่อโดยตรงผ่าน IP  
    • ระบบคลาวด์ภายในองค์กรที่ไม่มี public domain

    ฟีเจอร์นี้ทดสอบใน Staging แล้ว และจะเปิดใช้งานจริงกว้างขึ้นในปี 2025 นี้  
    • ไม่จำเป็นต้องรอเปลี่ยนซอฟต์แวร์หรือลงทุนเพิ่ม

    https://www.techspot.com/news/108565-encrypt-now-issuing-free-tls-certificates-ip-addresses.html
    ปกติแล้วเวลาเราเข้าเว็บไซต์ผ่าน HTTPS มักจะเป็นพวก https://example.com ใช่ไหมครับ? ซึ่งการเข้ารหัส TLS จะอิงกับชื่อโดเมนนั้น ๆ เป็นหลัก → แต่ในหลายกรณี โดยเฉพาะระบบหลังบ้าน, อุปกรณ์ IoT, หรือโครงสร้างคลาวด์ภายในองค์กร → เราเรียกกันผ่าน หมายเลข IP โดยตรง เช่น https://192.168.1.100 ปัญหาคือ การใช้ TLS กับ IP โดยตรงเคย “แทบเป็นไปไม่ได้” เพราะไม่มี CA (Certificate Authority) รายใหญ่เจ้าไหนออกใบรับรอง TLS ให้กับหมายเลข IP ได้ง่าย ๆ จนกระทั่งล่าสุด Let's Encrypt เปิดให้ใช้ฟีเจอร์นี้แล้ว! → โดยเริ่มทดสอบในระบบ Staging ตั้งแต่ต้นปี 2025 และกำลังทยอยเปิดให้ใช้งานจริงในปีนี้ แปลว่า...จากนี้ไป ใครที่ต้องการความปลอดภัยแบบ TLS แม้ไม่มีชื่อโดเมน ก็สามารถใช้ Let's Encrypt ได้แบบฟรี ๆ แล้วครับ! ✅ Let's Encrypt เริ่มออก TLS Certificates สำหรับ IP Address โดยตรงแล้ว   • ใช้ได้ทั้ง IPv4 และ IPv6   • อิงจากโปรโตคอล ACME เดิม → ผู้ใช้ส่วนใหญ่สามารถใช้งานได้เลย ✅ ไม่มีข้อจำกัดทางเทคนิคที่ห้ามการออกใบรับรองให้ IP ตั้งแต่แรก   • แต่ CA ส่วนใหญ่มองว่า “ไม่จำเป็น” หรือ “ยุ่งยาก” จึงไม่เคยออกให้มาก่อน ✅ ตัวอย่างการใช้งานที่เหมาะสมกับใบรับรอง IP โดยตรง:   • หน้า landing page สำหรับ shared hosting ที่ใช้หลายโดเมน   • ระบบ DNS over HTTPS หรือระบบหลังบ้านที่ไม่ใช้ชื่อโดเมน   • อุปกรณ์ในบ้าน (IoT/Router/Server) ที่เชื่อมต่อโดยตรงผ่าน IP   • ระบบคลาวด์ภายในองค์กรที่ไม่มี public domain ✅ ฟีเจอร์นี้ทดสอบใน Staging แล้ว และจะเปิดใช้งานจริงกว้างขึ้นในปี 2025 นี้   • ไม่จำเป็นต้องรอเปลี่ยนซอฟต์แวร์หรือลงทุนเพิ่ม https://www.techspot.com/news/108565-encrypt-now-issuing-free-tls-certificates-ip-addresses.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Let's Encrypt is now issuing free TLS certificates for IP addresses
    Originally launched in 2012 by Mozilla employees J. Alex Halderman and the late Peter Eckersley, the Let's Encrypt project now provides TLS certificates to over 600 million...
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • https://www.facebook.com/share/18pyCYZbmM/?mibextid=wwXIfr
    https://www.facebook.com/share/18pyCYZbmM/?mibextid=wwXIfr
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • https://www.facebook.com/share/18pyCYZbmM/?mibextid=wwXIfr
    https://www.facebook.com/share/18pyCYZbmM/?mibextid=wwXIfr
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • ถ้าเรามอง mini PC แบบเดิมว่าเล็กน่ารักไว้แค่ทำงานเบา ๆ…อันนี้คือคนละโลกเลยครับ Abee AI Station มาในขนาดตัวเครื่อง 21x22x15 ซม. เท่านั้น — แต่ภายในยัดชิป Ryzen AI Max 395 (Strix Halo) ที่มี 16 คอร์ 32 เธรด + AI NPU แรงระดับ 126 TOPS + GPU Radeon 8600S ความเร็ว 2900MHz และหน่วยความจำรวมถึง 128GB LPDDR5X @8000MT/s กับ GPU memory shared ได้สูงสุดถึง 96GB

    แถมยังใช้ liquid cooling แบบครบชุด มีหม้อน้ำเล็ก ๆ, ปั๊มน้ำในตัว, และพัดลม 92mm คู่ → รองรับการ inferencing model AI ขนาดใหญ่ในเครื่องเดียว ไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์ → PSU ก็จัดให้ในตัว 400W (Platinum-rated)

    นอกจากนี้ยังมากับ เมนบอร์ดแบบ ATX12VO custom, รองรับ LAN 2.5GbE และ 10GbE, จอ AOC QHD 27 นิ้ว, กล้อง V700, และชุดคีย์บอร์ด–เมาส์ไร้สายครบเซต

    แม้ยังไม่มี benchmark ภาคสนาม แต่สเปกแบบนี้เรียกได้ว่า “เกินหน้า Mac Studio M2 Ultra” ไปพอสมควรเลยครับ โดยเฉพาะถ้าเน้นใช้งาน AI inference ภายในแบบ local ไม่ต้องพึ่งคลาวด์

    Abee เปิดตัว Mini PC ชื่อ AI Station ที่ใช้ชิป Ryzen AI Max 395 (Strix Halo)  
    • 16 คอร์ 32 เธรด, Boost ได้ถึง 5.1GHz  
    • NPU รองรับ 126 TOPS, เป็นระดับสูงสุดของฝั่ง AMD ตอนนี้

    มี GPU Radeon 8600S ทำงานที่ 2900MHz + shared memory ได้ถึง 96GB  
    • GPU ในตัว APU แต่แรงพอตัวสำหรับ inferencing

    RAM 128GB LPDDR5X @8000MT/s แบบฝัง (soldered)  
    • เน้นประสิทธิภาพสูง แต่ไม่สามารถอัปเกรดภายหลังได้

    ระบบระบายความร้อนแบบน้ำ ขนาดเล็กในตัวเครื่อง + พัดลม 92mm 2 ตัว  
    • ปั๊มน้ำอยู่บน APU โดยตรง

    PSU แบบ Flex ATX กำลังไฟ 400W ในเครื่อง + เมนบอร์ด ATX12VO แบบ custom  
    • ไม่มีพอร์ตไฟ 24-pin แบบเดิม

    มี LAN 2.5Gbps และ 10Gbps + จอ QHD + กล้อง + คีย์บอร์ด–เมาส์ เป็น Ecosystem พร้อมใช้

    เหมาะกับการรัน AI model ขนาดกลาง–ใหญ่ แบบ local (ไม่ต้องใช้ cloud)  
    • ใช้ได้ทั้ง inference, fine-tune, และ edge AI

    https://www.techradar.com/pro/chinese-vendor-launches-liquid-cooled-mini-pc-powered-by-amds-most-powerful-ai-processor-with-a-built-in-400w-psu
    ถ้าเรามอง mini PC แบบเดิมว่าเล็กน่ารักไว้แค่ทำงานเบา ๆ…อันนี้คือคนละโลกเลยครับ Abee AI Station มาในขนาดตัวเครื่อง 21x22x15 ซม. เท่านั้น — แต่ภายในยัดชิป Ryzen AI Max 395 (Strix Halo) ที่มี 16 คอร์ 32 เธรด + AI NPU แรงระดับ 126 TOPS + GPU Radeon 8600S ความเร็ว 2900MHz และหน่วยความจำรวมถึง 128GB LPDDR5X @8000MT/s กับ GPU memory shared ได้สูงสุดถึง 96GB แถมยังใช้ liquid cooling แบบครบชุด มีหม้อน้ำเล็ก ๆ, ปั๊มน้ำในตัว, และพัดลม 92mm คู่ → รองรับการ inferencing model AI ขนาดใหญ่ในเครื่องเดียว ไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์ → PSU ก็จัดให้ในตัว 400W (Platinum-rated) นอกจากนี้ยังมากับ เมนบอร์ดแบบ ATX12VO custom, รองรับ LAN 2.5GbE และ 10GbE, จอ AOC QHD 27 นิ้ว, กล้อง V700, และชุดคีย์บอร์ด–เมาส์ไร้สายครบเซต แม้ยังไม่มี benchmark ภาคสนาม แต่สเปกแบบนี้เรียกได้ว่า “เกินหน้า Mac Studio M2 Ultra” ไปพอสมควรเลยครับ โดยเฉพาะถ้าเน้นใช้งาน AI inference ภายในแบบ local ไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ✅ Abee เปิดตัว Mini PC ชื่อ AI Station ที่ใช้ชิป Ryzen AI Max 395 (Strix Halo)   • 16 คอร์ 32 เธรด, Boost ได้ถึง 5.1GHz   • NPU รองรับ 126 TOPS, เป็นระดับสูงสุดของฝั่ง AMD ตอนนี้ ✅ มี GPU Radeon 8600S ทำงานที่ 2900MHz + shared memory ได้ถึง 96GB   • GPU ในตัว APU แต่แรงพอตัวสำหรับ inferencing ✅ RAM 128GB LPDDR5X @8000MT/s แบบฝัง (soldered)   • เน้นประสิทธิภาพสูง แต่ไม่สามารถอัปเกรดภายหลังได้ ✅ ระบบระบายความร้อนแบบน้ำ ขนาดเล็กในตัวเครื่อง + พัดลม 92mm 2 ตัว   • ปั๊มน้ำอยู่บน APU โดยตรง ✅ PSU แบบ Flex ATX กำลังไฟ 400W ในเครื่อง + เมนบอร์ด ATX12VO แบบ custom   • ไม่มีพอร์ตไฟ 24-pin แบบเดิม ✅ มี LAN 2.5Gbps และ 10Gbps + จอ QHD + กล้อง + คีย์บอร์ด–เมาส์ เป็น Ecosystem พร้อมใช้ ✅ เหมาะกับการรัน AI model ขนาดกลาง–ใหญ่ แบบ local (ไม่ต้องใช้ cloud)   • ใช้ได้ทั้ง inference, fine-tune, และ edge AI https://www.techradar.com/pro/chinese-vendor-launches-liquid-cooled-mini-pc-powered-by-amds-most-powerful-ai-processor-with-a-built-in-400w-psu
    0 Comments 0 Shares 160 Views 0 Reviews
  • ย้อนกลับไปปี 2022 Samsung เริ่มลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่ที่เมือง Taylor, Texas ด้วยความหวังจะยึดหัวหาดในตลาดอเมริกา

    → เดิมวางแผนใช้สายการผลิตระดับ 4nm และต่อมาอัปเกรดไปเป็น 2nm เพื่อแข่งขันกับ TSMC/Intel → ทุ่มงบจากเดิม $17B เพิ่มเป็น $44B → รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act กว่า $6.6B

    แต่ถึงตอนนี้...อุปกรณ์เครื่องจักรยังไม่ได้ติดตั้ง และแหล่งข่าวบอกว่า เหตุผลสำคัญคือ “ยังไม่มีลูกค้า” และ “ความต้องการชิประดับนี้ในสหรัฐฯ ยังน้อย”

    ตรงกันข้ามกับ TSMC ที่โรงงานในแอริโซนาแม้ผลิตชิปราคาแพงกว่าจากต่างประเทศ แต่ มีลูกค้าเต็มล่วงหน้าถึงปี 2027 แล้ว เช่น Apple, AMD, Nvidia, Qualcomm

    สรุปคือ: Samsung อาจสร้างโรงงานทัน แต่ถ้าไม่มีลูกค้ามารอใช้สายการผลิต — ก็ยังเดินหน้าต่อไม่ได้

    Samsung ชะลอการเปิดโรงงานผลิตชิปที่ Taylor, Texas มูลค่า $44,000 ล้าน  
    • แม้โครงสร้างก่อสร้างจะเสร็จแล้ว 92% ณ มีนาคม 2024  
    • เดิมมีกำหนดแล้วเสร็จเมษายน 2024 แต่ถูกเลื่อนไปตุลาคม

    เหตุหลักของความล่าช้า: “ยังไม่มีลูกค้า และ node 4nm ที่วางแผนไว้ไม่ตรงกับตลาดปัจจุบัน”  
    • บริษัทวางแผนอัปเกรดเป็น 2nm แต่ต้องใช้เวลา–เงิน–คน–เทคโนโลยีจำนวนมาก

    เปรียบเทียบกับ TSMC ที่ Fab 21 ในรัฐแอริโซนา
    • ผลิตชิประดับ 4nm  
    • ลูกค้าหลัก: Apple, AMD, Nvidia, Broadcom  
    • ปริมาณการสั่งผลิตถูกจองหมดถึงปี 2027 แม้ราคาสูง

    Samsung มีตลาดโรงหล่อ (foundry market share) เพียง 7.7% เทียบกับ TSMC ที่ถือ 68%

    แม้เทคโนโลยีพร้อม แต่ยังต้องสร้างทีมงาน ทดสอบอุปกรณ์ และรับมือกับต้นทุนติดตั้งที่สูง (เฉพาะ EUV เครื่องพิมพ์ลายวงจร ก็ใช้เวลาติดตั้งนานมาก)

    Samsung ยืนยันว่าจะเดินหน้าเปิดโรงงานให้ทันปี 2026 เพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์เงินสนับสนุนจาก CHIPS Act

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/samsung-delays-usd44-billion-texas-chip-fab-sources-say-completion-halted-because-there-are-no-customers
    ย้อนกลับไปปี 2022 Samsung เริ่มลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่ที่เมือง Taylor, Texas ด้วยความหวังจะยึดหัวหาดในตลาดอเมริกา → เดิมวางแผนใช้สายการผลิตระดับ 4nm และต่อมาอัปเกรดไปเป็น 2nm เพื่อแข่งขันกับ TSMC/Intel → ทุ่มงบจากเดิม $17B เพิ่มเป็น $44B → รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act กว่า $6.6B แต่ถึงตอนนี้...อุปกรณ์เครื่องจักรยังไม่ได้ติดตั้ง และแหล่งข่าวบอกว่า เหตุผลสำคัญคือ “ยังไม่มีลูกค้า” และ “ความต้องการชิประดับนี้ในสหรัฐฯ ยังน้อย” ตรงกันข้ามกับ TSMC ที่โรงงานในแอริโซนาแม้ผลิตชิปราคาแพงกว่าจากต่างประเทศ แต่ มีลูกค้าเต็มล่วงหน้าถึงปี 2027 แล้ว เช่น Apple, AMD, Nvidia, Qualcomm สรุปคือ: Samsung อาจสร้างโรงงานทัน แต่ถ้าไม่มีลูกค้ามารอใช้สายการผลิต — ก็ยังเดินหน้าต่อไม่ได้ ✅ Samsung ชะลอการเปิดโรงงานผลิตชิปที่ Taylor, Texas มูลค่า $44,000 ล้าน   • แม้โครงสร้างก่อสร้างจะเสร็จแล้ว 92% ณ มีนาคม 2024   • เดิมมีกำหนดแล้วเสร็จเมษายน 2024 แต่ถูกเลื่อนไปตุลาคม ✅ เหตุหลักของความล่าช้า: “ยังไม่มีลูกค้า และ node 4nm ที่วางแผนไว้ไม่ตรงกับตลาดปัจจุบัน”   • บริษัทวางแผนอัปเกรดเป็น 2nm แต่ต้องใช้เวลา–เงิน–คน–เทคโนโลยีจำนวนมาก ✅ เปรียบเทียบกับ TSMC ที่ Fab 21 ในรัฐแอริโซนา • ผลิตชิประดับ 4nm   • ลูกค้าหลัก: Apple, AMD, Nvidia, Broadcom   • ปริมาณการสั่งผลิตถูกจองหมดถึงปี 2027 แม้ราคาสูง ✅ Samsung มีตลาดโรงหล่อ (foundry market share) เพียง 7.7% เทียบกับ TSMC ที่ถือ 68% ✅ แม้เทคโนโลยีพร้อม แต่ยังต้องสร้างทีมงาน ทดสอบอุปกรณ์ และรับมือกับต้นทุนติดตั้งที่สูง (เฉพาะ EUV เครื่องพิมพ์ลายวงจร ก็ใช้เวลาติดตั้งนานมาก) ✅ Samsung ยืนยันว่าจะเดินหน้าเปิดโรงงานให้ทันปี 2026 เพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์เงินสนับสนุนจาก CHIPS Act https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/samsung-delays-usd44-billion-texas-chip-fab-sources-say-completion-halted-because-there-are-no-customers
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • เมื่อก่อนถ้ามีคนส่งลิงก์ไฟล์แบบ view-only มาให้เรา แล้วเราอยากแก้ไขด้วย → เราต้อง “โหลดไฟล์นั้นลงเครื่อง” แล้ว “แก้ไขแบบ copy” แล้ว “อัปโหลดใหม่หรือแชร์กลับ” → หรือไม่ก็ต้อง “ทักหาเจ้าของไฟล์โดยตรง” เพื่อขอให้เปิดสิทธิ์

    บอกตามตรง...ยุ่งและเสียเวลา

    แต่ตอนนี้ Microsoft จัดให้แล้วครับ! → ถ้าเปิดเอกสาร Word, Excel หรือ PowerPoint ผ่านเว็บ (ที่เก็บใน OneDrive หรือ SharePoint) → ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม “Request more access” แล้วเลือก “Ask to edit” หรือ “Ask to review” ได้ทันที → ใส่ข้อความแนบบอกเหตุผลก็ยังได้ (เช่น “อยากช่วยเติมข้อมูลสไลด์หน้านี้ครับ”) → เจ้าของไฟล์จะได้รับอีเมลเพื่อกดอนุมัติหรือปฏิเสธได้จากในอีเมลเลย → ถ้าอนุมัติ เราก็กดรีเฟรชแล้วแก้ไขไฟล์ต่อได้เลย

    Microsoft เพิ่มฟีเจอร์ “ขอสิทธิ์แก้ไข” เอกสาร Word, Excel, PowerPoint ผ่านเว็บ  
    • ใช้ได้ในไฟล์ที่เปิดแบบ view-only  
    • ไม่ต้องโหลดไฟล์หรือทักหาเจ้าของโดยตรง

    วิธีขอสิทธิ์แก้ไข:  
    • คลิกไอคอน "Viewing" ด้านขวาบน  
    • เลือก “Request more access”  
    • เลือก “Ask to edit” หรือ “Ask to review”  
    • เขียนโน้ต (ถ้าต้องการ) → กดส่ง
    • เจ้าของไฟล์จะได้รับอีเมลพร้อมตัวเลือก “ยอมรับ” หรือ “ปฏิเสธ”

    ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เมื่อ:  
    • คุณใช้ Microsoft 365 (Enterprise)  
    • มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต  
    • ไฟล์อยู่ใน OneDrive หรือ SharePoint

    มีผลใน Word, Excel, PowerPoint เวอร์ชันเว็บ (modern view)  
    • ไม่รองรับบน “Classic View” ของ Word

    การให้สิทธิ์แก้ไขในไฟล์ที่มีหลายผู้เขียน หรือไฟล์ขนาดใหญ่ อาจใช้เวลาสักพักในการ propagate (เผยแพร่สิทธิ์)
    • ผู้ได้รับสิทธิ์อาจต้อง refresh หลายรอบ

    หากไฟล์อยู่ใน Classic Word View (โฉมเก่า) ฟีเจอร์นี้จะไม่แสดง  
    • ควรใช้เวอร์ชัน modern view เพื่อให้มั่นใจว่าทำงานได้ครบ

    แม้เจ้าของไฟล์จะได้รับอีเมลคำขอ แต่ถ้าไม่ตอบ → ผู้ขอก็จะยังไม่มีสิทธิ์อะไรเลย  
    • จำเป็นต้อง follow up แบบ manual หากเป็นเรื่องเร่งด่วน

    ต้องระวังการให้สิทธิ์แก้ไขกับคนที่ไม่รู้จักดี → ควรตรวจสอบโน้ตประกอบและความเหมาะสมก่อนอนุมัติ

    https://www.neowin.net/news/excel-word-and-powerpoint-on-the-web-grab-welcome-new-feature/
    เมื่อก่อนถ้ามีคนส่งลิงก์ไฟล์แบบ view-only มาให้เรา แล้วเราอยากแก้ไขด้วย → เราต้อง “โหลดไฟล์นั้นลงเครื่อง” แล้ว “แก้ไขแบบ copy” แล้ว “อัปโหลดใหม่หรือแชร์กลับ” → หรือไม่ก็ต้อง “ทักหาเจ้าของไฟล์โดยตรง” เพื่อขอให้เปิดสิทธิ์ บอกตามตรง...ยุ่งและเสียเวลา 😩 แต่ตอนนี้ Microsoft จัดให้แล้วครับ! → ถ้าเปิดเอกสาร Word, Excel หรือ PowerPoint ผ่านเว็บ (ที่เก็บใน OneDrive หรือ SharePoint) → ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม “Request more access” แล้วเลือก “Ask to edit” หรือ “Ask to review” ได้ทันที → ใส่ข้อความแนบบอกเหตุผลก็ยังได้ (เช่น “อยากช่วยเติมข้อมูลสไลด์หน้านี้ครับ”) → เจ้าของไฟล์จะได้รับอีเมลเพื่อกดอนุมัติหรือปฏิเสธได้จากในอีเมลเลย → ถ้าอนุมัติ เราก็กดรีเฟรชแล้วแก้ไขไฟล์ต่อได้เลย 🎉 ✅ Microsoft เพิ่มฟีเจอร์ “ขอสิทธิ์แก้ไข” เอกสาร Word, Excel, PowerPoint ผ่านเว็บ   • ใช้ได้ในไฟล์ที่เปิดแบบ view-only   • ไม่ต้องโหลดไฟล์หรือทักหาเจ้าของโดยตรง ✅ วิธีขอสิทธิ์แก้ไข:   • คลิกไอคอน "Viewing" ด้านขวาบน   • เลือก “Request more access”   • เลือก “Ask to edit” หรือ “Ask to review”   • เขียนโน้ต (ถ้าต้องการ) → กดส่ง • เจ้าของไฟล์จะได้รับอีเมลพร้อมตัวเลือก “ยอมรับ” หรือ “ปฏิเสธ” ✅ ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เมื่อ:   • คุณใช้ Microsoft 365 (Enterprise)   • มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต   • ไฟล์อยู่ใน OneDrive หรือ SharePoint ✅ มีผลใน Word, Excel, PowerPoint เวอร์ชันเว็บ (modern view)   • ไม่รองรับบน “Classic View” ของ Word ‼️ การให้สิทธิ์แก้ไขในไฟล์ที่มีหลายผู้เขียน หรือไฟล์ขนาดใหญ่ อาจใช้เวลาสักพักในการ propagate (เผยแพร่สิทธิ์) • ผู้ได้รับสิทธิ์อาจต้อง refresh หลายรอบ ‼️ หากไฟล์อยู่ใน Classic Word View (โฉมเก่า) ฟีเจอร์นี้จะไม่แสดง   • ควรใช้เวอร์ชัน modern view เพื่อให้มั่นใจว่าทำงานได้ครบ ‼️ แม้เจ้าของไฟล์จะได้รับอีเมลคำขอ แต่ถ้าไม่ตอบ → ผู้ขอก็จะยังไม่มีสิทธิ์อะไรเลย   • จำเป็นต้อง follow up แบบ manual หากเป็นเรื่องเร่งด่วน ‼️ ต้องระวังการให้สิทธิ์แก้ไขกับคนที่ไม่รู้จักดี → ควรตรวจสอบโน้ตประกอบและความเหมาะสมก่อนอนุมัติ https://www.neowin.net/news/excel-word-and-powerpoint-on-the-web-grab-welcome-new-feature/
    WWW.NEOWIN.NET
    Excel, Word, and PowerPoint on the web grab welcome new feature
    Microsoft has finally streamlined a process that previously required manual, cumbersome workarounds in its Microsoft 365 web apps.
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่อาวุธ
    หยุดวาทกรรม “นิติสงคราม”

    ใครๆ ก็อ้างว่า “ประชาชนเลือกมา” จึงไม่มีใครควรถอดถอนนักการเมืองได้นอกจากการเลือกตั้งครั้งใหม่ — แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่บิดเบือนหลักนิติรัฐอย่างสิ้นเชิง

    ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง อำนาจต้องถูก จำกัด ด้วยกฎหมาย ไม่ใช่ให้ใครได้อำนาจแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจ การแยกอำนาจออกเป็น บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ก็เพื่อให้อำนาจถ่วงดุลกัน และไม่มีฝ่ายใดล้ำเส้นหน้าที่ของอีกฝ่าย เป็นการคานอำนาจทำให้เกิดการตรวจสอบ

    https://web.facebook.com/share/p/1EB7uCfGWV/
    ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่อาวุธ หยุดวาทกรรม “นิติสงคราม” ใครๆ ก็อ้างว่า “ประชาชนเลือกมา” จึงไม่มีใครควรถอดถอนนักการเมืองได้นอกจากการเลือกตั้งครั้งใหม่ — แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่บิดเบือนหลักนิติรัฐอย่างสิ้นเชิง ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง อำนาจต้องถูก จำกัด ด้วยกฎหมาย ไม่ใช่ให้ใครได้อำนาจแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจ การแยกอำนาจออกเป็น บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ก็เพื่อให้อำนาจถ่วงดุลกัน และไม่มีฝ่ายใดล้ำเส้นหน้าที่ของอีกฝ่าย เป็นการคานอำนาจทำให้เกิดการตรวจสอบ https://web.facebook.com/share/p/1EB7uCfGWV/
    0 Comments 0 Shares 232 Views 0 Reviews
  • ขอบคุณช่อง 13 สยามไทย ให้ดูอาการ กับสีหน้า ปากดูเหมือนไม่ขยับ ไม่รู้จริงไหม แต่อาการ มือปิดไมค์ เห็นชัด ๆhttps://www.facebook.com/share/16YJ59ceXV/
    ขอบคุณช่อง 13 สยามไทย ให้ดูอาการ กับสีหน้า ปากดูเหมือนไม่ขยับ ไม่รู้จริงไหม แต่อาการ มือปิดไมค์ เห็นชัด ๆhttps://www.facebook.com/share/16YJ59ceXV/
    0 Comments 0 Shares 54 Views 0 Reviews
  • ลองนึกภาพว่าในอดีต ตลาดเซิร์ฟเวอร์เต็มไปด้วย CPU x86 จาก Intel หรือ AMD เป็นหลัก แต่วันนี้เรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ — เพราะ AI ต้องการ "พลังประมวลผลแบบเฉพาะทาง" มากขึ้นเรื่อย ๆ → ทำให้เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ AI GPU + ชิป Arm พุ่งแรง โดยเฉพาะ Nvidia Grace + Blackwell (GB200) ที่อัด GPU ถึง 8 ตัวต่อเครื่อง!

    แค่เซิร์ฟเวอร์ตระกูลนี้เพียงกลุ่มเดียวก็กลายเป็น “ตัวจุดพลุ” ให้ยอดขายเซิร์ฟเวอร์ Arm โตขึ้น 70% เทียบปีต่อปี → แม้จะยังมีส่วนแบ่งแค่ 21.1% ของยอดส่งมอบเครื่องรวม แต่ก็เป็นก้าวกระโดดที่ใหญ่ที่สุดของ Arm ในตลาดเซิร์ฟเวอร์

    และมันยังไม่หยุดแค่นี้ — เพราะ IDC คาดว่า:
    - ตลาดเซิร์ฟเวอร์รวมจะโตจาก $249B (2024) → $588B (2029)
    - โดยเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ Accelerated จะกินส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง
    - และเซิร์ฟเวอร์ Arm จะโตจาก $32B → $103B ใน 5 ปี!
    - ในอนาคตยังมีโอกาสเห็นซีพียูจาก Qualcomm, Marvell, MediaTek หรือ Fujitsu ร่วมวงด้วย

    ส่วนผู้นำตลาดคืออเมริกา คิดเป็น 62% ของมูลค่าตลาดเซิร์ฟเวอร์ปี 2025 — เพราะเป็นศูนย์กลางการสร้าง AI Infrastructure พร้อมเทเงินลงในโครงการระดับ Stargate หรือ AGI อย่างต่อเนื่อง

    ตลาดเซิร์ฟเวอร์ไตรมาสแรกปี 2025 พุ่งถึง $95.2B — โตขึ้น 134% จากปีก่อนหน้า  
    • การเติบโตเร็วที่สุดที่เคยบันทึกมา  
    • ขับเคลื่อนโดยเซิร์ฟเวอร์ AI ที่มี GPU แบบเร่งความเร็ว (Accelerated Servers)

    ยอดจัดส่งเซิร์ฟเวอร์ Arm โตขึ้น 70% YoY — ส่วนใหญ่เป็นของ Nvidia GB200 NVL72  
    • ใช้ซีพียู Grace + GPU Blackwell (B200)  
    • มี GPU 8 ตัวต่อเครื่อง

    ปี 2025 คาดการณ์ตลาดเซิร์ฟเวอร์รวม $366B แบ่งเป็น:  
    • x86: $283.9B (โต 39.9%)  
    • Non-x86 (รวม Arm): $82B (โต 63.7%)

    Arm คาดจะกิน 21.1% ของยอดเครื่องเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลกภายในสิ้นปี 2025  
    • แม้ยังห่างเป้าหมาย 50% แต่ถือเป็นการเติบโตที่มั่นคง

    ตลาด Arm-accelerated servers จะโตจาก $32B → $103B ในปี 2029  
    • ขับเคลื่อนด้วย AI แบบ reasoning model, LLM, AGI

    ตลาดใหญ่สุดคือสหรัฐฯ (โต 59.7%) > จีน (โต 39.5%) > ญี่ปุ่น (33.9%)

    https://www.tomshardware.com/desktops/servers/nvidias-arm-chips-rapidly-gain-share-in-server-market-as-ai-booms-nvidias-arm-powered-gb200-servers-surge-as-market-reaches-a-record-usd95-billion-in-the-first-quarter
    ลองนึกภาพว่าในอดีต ตลาดเซิร์ฟเวอร์เต็มไปด้วย CPU x86 จาก Intel หรือ AMD เป็นหลัก แต่วันนี้เรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ — เพราะ AI ต้องการ "พลังประมวลผลแบบเฉพาะทาง" มากขึ้นเรื่อย ๆ → ทำให้เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ AI GPU + ชิป Arm พุ่งแรง โดยเฉพาะ Nvidia Grace + Blackwell (GB200) ที่อัด GPU ถึง 8 ตัวต่อเครื่อง! แค่เซิร์ฟเวอร์ตระกูลนี้เพียงกลุ่มเดียวก็กลายเป็น “ตัวจุดพลุ” ให้ยอดขายเซิร์ฟเวอร์ Arm โตขึ้น 70% เทียบปีต่อปี → แม้จะยังมีส่วนแบ่งแค่ 21.1% ของยอดส่งมอบเครื่องรวม แต่ก็เป็นก้าวกระโดดที่ใหญ่ที่สุดของ Arm ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ และมันยังไม่หยุดแค่นี้ — เพราะ IDC คาดว่า: - ตลาดเซิร์ฟเวอร์รวมจะโตจาก $249B (2024) → $588B (2029) - โดยเซิร์ฟเวอร์ AI แบบ Accelerated จะกินส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง - และเซิร์ฟเวอร์ Arm จะโตจาก $32B → $103B ใน 5 ปี! - ในอนาคตยังมีโอกาสเห็นซีพียูจาก Qualcomm, Marvell, MediaTek หรือ Fujitsu ร่วมวงด้วย ส่วนผู้นำตลาดคืออเมริกา คิดเป็น 62% ของมูลค่าตลาดเซิร์ฟเวอร์ปี 2025 — เพราะเป็นศูนย์กลางการสร้าง AI Infrastructure พร้อมเทเงินลงในโครงการระดับ Stargate หรือ AGI อย่างต่อเนื่อง ✅ ตลาดเซิร์ฟเวอร์ไตรมาสแรกปี 2025 พุ่งถึง $95.2B — โตขึ้น 134% จากปีก่อนหน้า   • การเติบโตเร็วที่สุดที่เคยบันทึกมา   • ขับเคลื่อนโดยเซิร์ฟเวอร์ AI ที่มี GPU แบบเร่งความเร็ว (Accelerated Servers) ✅ ยอดจัดส่งเซิร์ฟเวอร์ Arm โตขึ้น 70% YoY — ส่วนใหญ่เป็นของ Nvidia GB200 NVL72   • ใช้ซีพียู Grace + GPU Blackwell (B200)   • มี GPU 8 ตัวต่อเครื่อง ✅ ปี 2025 คาดการณ์ตลาดเซิร์ฟเวอร์รวม $366B แบ่งเป็น:   • x86: $283.9B (โต 39.9%)   • Non-x86 (รวม Arm): $82B (โต 63.7%) ✅ Arm คาดจะกิน 21.1% ของยอดเครื่องเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลกภายในสิ้นปี 2025   • แม้ยังห่างเป้าหมาย 50% แต่ถือเป็นการเติบโตที่มั่นคง ✅ ตลาด Arm-accelerated servers จะโตจาก $32B → $103B ในปี 2029   • ขับเคลื่อนด้วย AI แบบ reasoning model, LLM, AGI ✅ ตลาดใหญ่สุดคือสหรัฐฯ (โต 59.7%) > จีน (โต 39.5%) > ญี่ปุ่น (33.9%) https://www.tomshardware.com/desktops/servers/nvidias-arm-chips-rapidly-gain-share-in-server-market-as-ai-booms-nvidias-arm-powered-gb200-servers-surge-as-market-reaches-a-record-usd95-billion-in-the-first-quarter
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • "อิพวกแม่บ้าน"

    สส.จิรัฏฐ์ จากพรรคประชาชน โพสต์เหยียดสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ หลังมีประกาศเปลี่ยนชื่อ เป็นสมาคมคู่สมรสทหารอากาศ เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย

    https://web.facebook.com/share/p/16ottEaZYi/
    "อิพวกแม่บ้าน" สส.จิรัฏฐ์ จากพรรคประชาชน โพสต์เหยียดสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ หลังมีประกาศเปลี่ยนชื่อ เป็นสมาคมคู่สมรสทหารอากาศ เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย https://web.facebook.com/share/p/16ottEaZYi/
    0 Comments 0 Shares 175 Views 0 Reviews
  • Microsoft เคยประกาศไว้ล่วงหน้าว่าจะขึ้นราคาผลิตภัณฑ์กลุ่ม server ที่ติดตั้งใช้งานในองค์กร (ไม่ใช่ระบบ cloud อย่าง Microsoft 365 หรือ Azure) แต่ตอนนี้มาแน่นอนแล้ว และเริ่มตั้งแต่ เดือนกรกฎาคม 2025 เป็นต้นไป

    สินค้าเป้าหมายในการขึ้นราคาได้แก่:
    - SharePoint Server
    - Exchange Server
    - Skype for Business Server  → ขึ้นราคา 10%

    ส่วนที่ขึ้นหนักกว่านั้นคือพวก CAL (สิทธิ์ที่ให้ผู้ใช้หรืออุปกรณ์เชื่อมเข้าระบบเซิร์ฟเวอร์ของ Microsoft ได้):
    - Core CAL Suite → ขึ้น 15%
    - Enterprise CAL Suite → ขึ้นถึง 20%

    Microsoft อ้างว่าสาเหตุหลักคือ “ต้นทุนการดูแลรักษาและอัปเดตผลิตภัณฑ์ฝั่ง on-premises” รวมถึงยอดรายได้จากส่วนนี้ที่ “ลดลง” ในช่วงปีหลัง ๆ — จึงต้องขึ้นราคาเพื่อชดเชย พร้อมกันนั้น Microsoft ก็ไม่ลืมกระตุ้นให้คน “ย้ายไปใช้บริการแบบคลาวด์แทน”

    อีกสิ่งที่น่าสนใจคือ Microsoft เริ่มออก “Subscription Edition” สำหรับ Exchange Server และ Skype for Business Server → ย้ายการซัพพอร์ตไปใช้โมเดลแบบ Modern Lifecycle (อัปเดตต่อเนื่อง แทนที่จะมีเวอร์ชันใหญ่ใหม่ทุก 3 ปี)

    https://www.neowin.net/news/microsoft-jacks-up-prices-for-on-premises-server-products-and-cals/
    Microsoft เคยประกาศไว้ล่วงหน้าว่าจะขึ้นราคาผลิตภัณฑ์กลุ่ม server ที่ติดตั้งใช้งานในองค์กร (ไม่ใช่ระบบ cloud อย่าง Microsoft 365 หรือ Azure) แต่ตอนนี้มาแน่นอนแล้ว และเริ่มตั้งแต่ เดือนกรกฎาคม 2025 เป็นต้นไป สินค้าเป้าหมายในการขึ้นราคาได้แก่: - SharePoint Server - Exchange Server - Skype for Business Server  → ขึ้นราคา 10% ส่วนที่ขึ้นหนักกว่านั้นคือพวก CAL (สิทธิ์ที่ให้ผู้ใช้หรืออุปกรณ์เชื่อมเข้าระบบเซิร์ฟเวอร์ของ Microsoft ได้): - Core CAL Suite → ขึ้น 15% - Enterprise CAL Suite → ขึ้นถึง 20% Microsoft อ้างว่าสาเหตุหลักคือ “ต้นทุนการดูแลรักษาและอัปเดตผลิตภัณฑ์ฝั่ง on-premises” รวมถึงยอดรายได้จากส่วนนี้ที่ “ลดลง” ในช่วงปีหลัง ๆ — จึงต้องขึ้นราคาเพื่อชดเชย พร้อมกันนั้น Microsoft ก็ไม่ลืมกระตุ้นให้คน “ย้ายไปใช้บริการแบบคลาวด์แทน” อีกสิ่งที่น่าสนใจคือ Microsoft เริ่มออก “Subscription Edition” สำหรับ Exchange Server และ Skype for Business Server → ย้ายการซัพพอร์ตไปใช้โมเดลแบบ Modern Lifecycle (อัปเดตต่อเนื่อง แทนที่จะมีเวอร์ชันใหญ่ใหม่ทุก 3 ปี) https://www.neowin.net/news/microsoft-jacks-up-prices-for-on-premises-server-products-and-cals/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft jacks up prices for on-premises server products and CALs
    Microsoft has increased the prices of its on-premises server products and Client Access License (CAL) Suites by up to 20%. Organizations will have to decide whether to stay or go to Cloud products.
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว ประกอบกับนายภูมิธรรม เวชยชัย พ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แม้จะมีการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ลงมาแล้ว แต่ยังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้จนกว่าจะเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ทำให้ตนต้องทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีไปก่อน โดยคาดว่าในวันพรุ่งนี้ (3 ก.ค. 68) จะนำครม.ใหม่เข้าถวายสัตย์ และเมื่อถวายสัตย์แล้ว นายภูมิธรรมก็คงจะกลับมาเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีตามเดิม อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ก็จะทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีให้เป็นไปตามกฎหมายเมื่อถามว่าในช่วงนี้มีเรื่องอะไรที่ต้องเร่งดำเนินการบ้าง นายสุริยะกล่าวว่า เมื่อเช้า ทางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) นำเอกสารมาให้เซ็นเพื่อมอบให้นายภูมิธรรมเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี เรื่องอื่นไม่มีเมื่อถามอีกว่า ความรู้สึกที่ได้รักษาการนายกรัฐมนตรี นายสุริยะกล่าวว่า ตลอด 10 เดือนที่ทำงานกับนางสาวแพทองธาร ท่านก็ตั้งใจ ทุ่มเทในการทำหน้าที่ ไม่เคยคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัวของตัวเอง และกำชับให้รัฐมนตรีทุกท่านทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ดังนั้น เมื่อดูเทปที่ออกมา ท่านก็อยากให้ทั้งสองประเทศสงบสุข และไม่มีเจตนาทำให้กองทัพลดบทบาทลง ก็เป็นเรื่องที่อยากชี้แจงให้ทราบผู้สื่อข่าวถามว่า นางสาวแพทองธาร สามารถเข้าถวายสัตย์ฯได้หรือไม่ นายสุริยะตอบว่า ได้ปรึกษากับ สลค.และฝ่ายกฎหมายคือสำนักงานกฤษฎีกาแล้ว เห็นตรงกันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบกฎหมาย ไม่มีความห่วงใยอะไรตรงนี้ ทุกอย่างปรึกษาฝ่ายกฎหมายแล้ว ไม่มีอะไรผิด ส่วนหลังถวายสัตย์จะมีการประชุมครม.นัดพิเศษเพื่อมอบหมายงานหรือไม่นั้น ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น@ยัน 'แพทองธาร' เข้าพิธีถวายสัตย์ฯได้ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า เอกสารหลักฐานต่างๆที่นายกรัฐมนตรีจะชี้แจงเรามีครบ เพราะเตรียมไว้แล้ว เพียงแต่อาจต้องเรียบเรียงดูว่ามีอะไรเพิ่มเติมอย่างไรเมื่อถามว่า มีนักวิชาการออกมาตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับคุณสมบัติของนางสาวแพทองธาร ยังมั่นใจใช่หรือไม่ว่าจะสามารถเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ความเห็นของนักวิชาการ รวมถึงอดีตศาลมองว่าเป็นคุณสมบัติเดียวกับนายกฯ หากตีความเช่นนั้นเท่ากับวินิจฉัยว่า นางสาวแพทองธาร มีความผิดไปแล้ว ทั้งที่ความจริงศาลยังไม่ได้วินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติอะไรหรือไม่ เพียงแต่รับคำร้องไว้และให้ชี้แจง ฉะนั้นจึงต้องถือว่านางสาวแพทองธาร ยังคงมีคุณสมบัติเต็มที่ในการทำหน้าที่รัฐมนตรี ศาลยังไม่ได้วินิจฉัยให้รวมไปถึงตำแหน่งอื่น หากจะวินิจฉัยเช่นนั้นก็ไม่ได้ เพราะเกินคำร้องเมื่อถามย้ำว่า หากมีคนไปร้องภายหลังนายสุริยะ นำเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณจะมีความผิดหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ร้องอะไร ขณะนี้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯลงมาแล้วเหลือเพียงขั้นตอนถวายสัตย์ปฏิญาณคิดว่าไม่มีอะไรห้ามส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยไม่มีประสิทธิภาพ ขณะนี้ได้ปรึกษาทีมกฎหมายเพิ่มเติม เช่น นายวิษณุ เครืองาม หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า “ถ้าพูดแบบนั้นก็คิดกันไป แต่ผมคิดว่าเราก็ทำงานกันเต็มที่ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องรับรู้กันทั่วไป และผมย้ำมาตลอด กฎหมายที่มีอยู่ในขณะนี้ต้องไปทบทวนว่ามีความเป็นธรรมมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้ชัดเจนที่สุด คือเรื่องซื่อสัตย์สุจริต เรื่องจริยธรรม ผมเคยบอกว่า เกณฑ์มาตรฐานที่ไม่แน่นอนกลายเป็นดุลพินิจของศาล ที่รับแล้วว่ากันไป เคยเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญตรงนี้ ถ้าฝ่ายกฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ ผมก็ไม่ปฏิเสธ แต่อยากให้ดูถึงรากเหง้าของปัญหา"https://www.facebook.com/share/p/1NZ67YCzM6/?mibextid=wwXIfr
    สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว ประกอบกับนายภูมิธรรม เวชยชัย พ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แม้จะมีการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ลงมาแล้ว แต่ยังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้จนกว่าจะเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ทำให้ตนต้องทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีไปก่อน โดยคาดว่าในวันพรุ่งนี้ (3 ก.ค. 68) จะนำครม.ใหม่เข้าถวายสัตย์ และเมื่อถวายสัตย์แล้ว นายภูมิธรรมก็คงจะกลับมาเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีตามเดิม อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ก็จะทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีให้เป็นไปตามกฎหมายเมื่อถามว่าในช่วงนี้มีเรื่องอะไรที่ต้องเร่งดำเนินการบ้าง นายสุริยะกล่าวว่า เมื่อเช้า ทางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) นำเอกสารมาให้เซ็นเพื่อมอบให้นายภูมิธรรมเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี เรื่องอื่นไม่มีเมื่อถามอีกว่า ความรู้สึกที่ได้รักษาการนายกรัฐมนตรี นายสุริยะกล่าวว่า ตลอด 10 เดือนที่ทำงานกับนางสาวแพทองธาร ท่านก็ตั้งใจ ทุ่มเทในการทำหน้าที่ ไม่เคยคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัวของตัวเอง และกำชับให้รัฐมนตรีทุกท่านทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ดังนั้น เมื่อดูเทปที่ออกมา ท่านก็อยากให้ทั้งสองประเทศสงบสุข และไม่มีเจตนาทำให้กองทัพลดบทบาทลง ก็เป็นเรื่องที่อยากชี้แจงให้ทราบผู้สื่อข่าวถามว่า นางสาวแพทองธาร สามารถเข้าถวายสัตย์ฯได้หรือไม่ นายสุริยะตอบว่า ได้ปรึกษากับ สลค.และฝ่ายกฎหมายคือสำนักงานกฤษฎีกาแล้ว เห็นตรงกันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบกฎหมาย ไม่มีความห่วงใยอะไรตรงนี้ ทุกอย่างปรึกษาฝ่ายกฎหมายแล้ว ไม่มีอะไรผิด ส่วนหลังถวายสัตย์จะมีการประชุมครม.นัดพิเศษเพื่อมอบหมายงานหรือไม่นั้น ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น@ยัน 'แพทองธาร' เข้าพิธีถวายสัตย์ฯได้ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า เอกสารหลักฐานต่างๆที่นายกรัฐมนตรีจะชี้แจงเรามีครบ เพราะเตรียมไว้แล้ว เพียงแต่อาจต้องเรียบเรียงดูว่ามีอะไรเพิ่มเติมอย่างไรเมื่อถามว่า มีนักวิชาการออกมาตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับคุณสมบัติของนางสาวแพทองธาร ยังมั่นใจใช่หรือไม่ว่าจะสามารถเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ความเห็นของนักวิชาการ รวมถึงอดีตศาลมองว่าเป็นคุณสมบัติเดียวกับนายกฯ หากตีความเช่นนั้นเท่ากับวินิจฉัยว่า นางสาวแพทองธาร มีความผิดไปแล้ว ทั้งที่ความจริงศาลยังไม่ได้วินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติอะไรหรือไม่ เพียงแต่รับคำร้องไว้และให้ชี้แจง ฉะนั้นจึงต้องถือว่านางสาวแพทองธาร ยังคงมีคุณสมบัติเต็มที่ในการทำหน้าที่รัฐมนตรี ศาลยังไม่ได้วินิจฉัยให้รวมไปถึงตำแหน่งอื่น หากจะวินิจฉัยเช่นนั้นก็ไม่ได้ เพราะเกินคำร้องเมื่อถามย้ำว่า หากมีคนไปร้องภายหลังนายสุริยะ นำเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณจะมีความผิดหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ร้องอะไร ขณะนี้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯลงมาแล้วเหลือเพียงขั้นตอนถวายสัตย์ปฏิญาณคิดว่าไม่มีอะไรห้ามส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยไม่มีประสิทธิภาพ ขณะนี้ได้ปรึกษาทีมกฎหมายเพิ่มเติม เช่น นายวิษณุ เครืองาม หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า “ถ้าพูดแบบนั้นก็คิดกันไป แต่ผมคิดว่าเราก็ทำงานกันเต็มที่ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องรับรู้กันทั่วไป และผมย้ำมาตลอด กฎหมายที่มีอยู่ในขณะนี้ต้องไปทบทวนว่ามีความเป็นธรรมมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้ชัดเจนที่สุด คือเรื่องซื่อสัตย์สุจริต เรื่องจริยธรรม ผมเคยบอกว่า เกณฑ์มาตรฐานที่ไม่แน่นอนกลายเป็นดุลพินิจของศาล ที่รับแล้วว่ากันไป เคยเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญตรงนี้ ถ้าฝ่ายกฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ ผมก็ไม่ปฏิเสธ แต่อยากให้ดูถึงรากเหง้าของปัญหา"https://www.facebook.com/share/p/1NZ67YCzM6/?mibextid=wwXIfr
    0 Comments 0 Shares 373 Views 0 Reviews
  • Meta เคยเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่ — มี Facebook ครองโลก, ซื้อ Instagram มาต่อยอด, ทุ่มเงินซื้อ WhatsApp พร้อมสัญญาว่าจะไม่มีโฆษณา…แต่สุดท้ายทุกอย่างกำลังย้อนกลับ

    WhatsApp ตอนนี้มีโฆษณา Metaverse ทุ่มเงินหลายพันล้านเหรียญ → ยังไม่เห็นผล Libra (คริปโตของ Meta) → ตาย แม้แต่ AI — LLaMA ยังตามหลัง ChatGPT, Claude และ Gemini อยู่หลายร้อยแต้ม

    นักเขียนบทความนี้ (Howard Yu) วิเคราะห์ว่า Mark Zuckerberg เรียนรู้เชิงธุรกิจเก่งมาก แต่ “ไม่เคยเรียนรู้จากผลกระทบที่ Meta ก่อในสังคม” เช่น การถูกใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่น, ปัญหาสุขภาพจิตวัยรุ่น, และกรณีรุนแรงอย่างความขัดแย้งในเมียนมา

    บทวิเคราะห์เปรียบเทียบ Mark กับ Steve Jobs ไว้อย่างน่าสนใจ:
    - Jobs เคยผิดพลาด, เคยล้ม, เคยถูกไล่ออกจาก Apple
    - แต่เขากลับมาใหม่ด้วยการ “เติบโตทางจิตใจ” ไม่ใช่แค่ทางเทคโนโลยี
    - เขายอมฟังคนอื่น, สร้างทีมที่เก่งกว่า, ไม่พยายามควบคุมทุกอย่าง → และสร้าง Apple ยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเอง

    ส่วน Zuckerberg ใช้อำนาจหุ้นพิเศษ (super-voting shares) ทำให้ไม่มีใครปลดเขาได้ → ไม่มีแรงกดดันให้เติบโต เปลี่ยนแปลง หรือยอมรับความผิดพลาด → ผลลัพธ์คือ Meta วนลูปเดิม ๆ — ปรับ feed เพิ่ม engagement → ขายโฆษณา → repeat

    Meta เคยล้มเหลวหลายโปรเจกต์ใหญ่:  
    • Facebook phone → ล้มเหลว  
    • Free Basics → ถูกแบนในอินเดีย  
    • Libra → ถูกต่อต้านโดยรัฐบาล  
    • Metaverse → ทุ่มเงินมหาศาล แต่ยังไม่คืนทุน

    AI ของ Meta (LLaMA 4) ยังตามหลัง OpenAI (ChatGPT), Anthropic (Claude), Google (Gemini)  
    • คะแนน Elo ห่างคู่แข่งหลายสิบถึงหลายร้อยแต้ม  
    • แม้ใช้ open-source เป็นยุทธศาสตร์หลัก แต่ยังไม่ดึงใจนักพัฒนาเท่าที่ควร

    ผู้เขียนชี้ว่า Zuckerberg ไม่เคยเรียนรู้จาก ‘ผลเสียต่อสังคม’ ที่ Meta สร้างไว้:  
    • กรณี Facebook ในเมียนมา → ปล่อยให้ Hate speech ลุกลาม  
    • Facebook ถูกใช้ในการปลุกระดม, ปั่นเลือกตั้ง (Cambridge Analytica)  
    • ระบบโฆษณาใช้ microtargeting เพื่อกด turnout กลุ่มเป้าหมายบางกลุ่ม

    โครงสร้างอำนาจของ Meta = Zuckerberg คุมทุกอย่าง:  
    • เขาถือหุ้น 13% แต่มีสิทธิ์โหวตกว่า 50%  
    • ไม่มีใครปลดเขาได้ จึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อใคร

    เปรียบเทียบกับ Steve Jobs:  
    • Jobs ล้มเหลว, ถูกไล่ออกจาก Apple  
    • แต่กลับมาใหม่แบบถ่อมตนและเรียนรู้  
    • สร้างวัฒนธรรมที่ Apple แข็งแรงพอจะอยู่ได้แม้เขาจากไป

    Meta แม้จะยังทำเงินได้มากจากโฆษณา แต่กำลัง “ไร้วิสัยทัศน์ที่สดใหม่” สำหรับโลกยุคหลังโฆษณา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/why-mark-zuckerberg-and-meta-cant-build-the-future
    Meta เคยเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่ — มี Facebook ครองโลก, ซื้อ Instagram มาต่อยอด, ทุ่มเงินซื้อ WhatsApp พร้อมสัญญาว่าจะไม่มีโฆษณา…แต่สุดท้ายทุกอย่างกำลังย้อนกลับ WhatsApp ตอนนี้มีโฆษณา Metaverse ทุ่มเงินหลายพันล้านเหรียญ → ยังไม่เห็นผล Libra (คริปโตของ Meta) → ตาย แม้แต่ AI — LLaMA ยังตามหลัง ChatGPT, Claude และ Gemini อยู่หลายร้อยแต้ม นักเขียนบทความนี้ (Howard Yu) วิเคราะห์ว่า Mark Zuckerberg เรียนรู้เชิงธุรกิจเก่งมาก แต่ “ไม่เคยเรียนรู้จากผลกระทบที่ Meta ก่อในสังคม” เช่น การถูกใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่น, ปัญหาสุขภาพจิตวัยรุ่น, และกรณีรุนแรงอย่างความขัดแย้งในเมียนมา บทวิเคราะห์เปรียบเทียบ Mark กับ Steve Jobs ไว้อย่างน่าสนใจ: - Jobs เคยผิดพลาด, เคยล้ม, เคยถูกไล่ออกจาก Apple - แต่เขากลับมาใหม่ด้วยการ “เติบโตทางจิตใจ” ไม่ใช่แค่ทางเทคโนโลยี - เขายอมฟังคนอื่น, สร้างทีมที่เก่งกว่า, ไม่พยายามควบคุมทุกอย่าง → และสร้าง Apple ยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเอง ส่วน Zuckerberg ใช้อำนาจหุ้นพิเศษ (super-voting shares) ทำให้ไม่มีใครปลดเขาได้ → ไม่มีแรงกดดันให้เติบโต เปลี่ยนแปลง หรือยอมรับความผิดพลาด → ผลลัพธ์คือ Meta วนลูปเดิม ๆ — ปรับ feed เพิ่ม engagement → ขายโฆษณา → repeat ✅ Meta เคยล้มเหลวหลายโปรเจกต์ใหญ่:   • Facebook phone → ล้มเหลว   • Free Basics → ถูกแบนในอินเดีย   • Libra → ถูกต่อต้านโดยรัฐบาล   • Metaverse → ทุ่มเงินมหาศาล แต่ยังไม่คืนทุน ✅ AI ของ Meta (LLaMA 4) ยังตามหลัง OpenAI (ChatGPT), Anthropic (Claude), Google (Gemini)   • คะแนน Elo ห่างคู่แข่งหลายสิบถึงหลายร้อยแต้ม   • แม้ใช้ open-source เป็นยุทธศาสตร์หลัก แต่ยังไม่ดึงใจนักพัฒนาเท่าที่ควร ✅ ผู้เขียนชี้ว่า Zuckerberg ไม่เคยเรียนรู้จาก ‘ผลเสียต่อสังคม’ ที่ Meta สร้างไว้:   • กรณี Facebook ในเมียนมา → ปล่อยให้ Hate speech ลุกลาม   • Facebook ถูกใช้ในการปลุกระดม, ปั่นเลือกตั้ง (Cambridge Analytica)   • ระบบโฆษณาใช้ microtargeting เพื่อกด turnout กลุ่มเป้าหมายบางกลุ่ม ✅ โครงสร้างอำนาจของ Meta = Zuckerberg คุมทุกอย่าง:   • เขาถือหุ้น 13% แต่มีสิทธิ์โหวตกว่า 50%   • ไม่มีใครปลดเขาได้ จึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อใคร ✅ เปรียบเทียบกับ Steve Jobs:   • Jobs ล้มเหลว, ถูกไล่ออกจาก Apple   • แต่กลับมาใหม่แบบถ่อมตนและเรียนรู้   • สร้างวัฒนธรรมที่ Apple แข็งแรงพอจะอยู่ได้แม้เขาจากไป ✅ Meta แม้จะยังทำเงินได้มากจากโฆษณา แต่กำลัง “ไร้วิสัยทัศน์ที่สดใหม่” สำหรับโลกยุคหลังโฆษณา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/why-mark-zuckerberg-and-meta-cant-build-the-future
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why Mark Zuckerberg and Meta can't build the future
    Here's how absolute power trapped Facebook's parent company — and how Steve Jobs broke free.
    0 Comments 0 Shares 274 Views 0 Reviews
  • คลิป 2 ชั่วโมงที่คนไทยทุกคนควรดู

    "เบื้องหลัง IHR ใหม่: สิทธิเสรีภาพของคุณอาจหายไปโดยไม่รู้ตัว!"
    ในขณะที่โลกกำลังวุ่นวาย มีกฎหมายฉบับใหม่ที่รัฐบาลหลายประเทศรวมถึงไทยกำลังเซ็นรับกับองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อแก้ไขกฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR) ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยที่หลายคนยังไม่รู้ตัว?
    ในวิดีโอนี้ เราจะพาคุณไปเจาะลึกถึง
    ❗️สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการแก้ไข IHR
    ❗️ความเสี่ยงต่อสิทธิมนุษยชน
    ❗️ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตประจำวันของคุณ
    แชร์ให้คนที่คุณรักรู้ก่อนที่จะสายเกินไป
    #วิเคราะห์ลึก #WHO #IHR2025 #หยุดแผนลับ #สิทธิมนุษยชน #ข่าวจริงไม่เฟคนิวส์
    https://www.facebook.com/share/v/1CHPifWEQX/
    https://t.me/ThaiPitaksithData/6889
    คลิป 2 ชั่วโมงที่คนไทยทุกคนควรดู 🧨 "เบื้องหลัง IHR ใหม่: สิทธิเสรีภาพของคุณอาจหายไปโดยไม่รู้ตัว!" ในขณะที่โลกกำลังวุ่นวาย มีกฎหมายฉบับใหม่ที่รัฐบาลหลายประเทศรวมถึงไทยกำลังเซ็นรับกับองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อแก้ไขกฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR) ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยที่หลายคนยังไม่รู้ตัว? ในวิดีโอนี้ เราจะพาคุณไปเจาะลึกถึง ❗️สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการแก้ไข IHR ❗️ความเสี่ยงต่อสิทธิมนุษยชน ❗️ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตประจำวันของคุณ 🔁 แชร์ให้คนที่คุณรักรู้ก่อนที่จะสายเกินไป #วิเคราะห์ลึก #WHO #IHR2025 #หยุดแผนลับ #สิทธิมนุษยชน #ข่าวจริงไม่เฟคนิวส์ https://www.facebook.com/share/v/1CHPifWEQX/ https://t.me/ThaiPitaksithData/6889
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • ภาพยนตร์ประวัติศาตร์ การเจรจาต่อรองฝรั่งเศสไทย ไม่รู้จริงไหม https://www.facebook.com/share/v/1EzukEEV6X/
    ภาพยนตร์ประวัติศาตร์ การเจรจาต่อรองฝรั่งเศสไทย ไม่รู้จริงไหม https://www.facebook.com/share/v/1EzukEEV6X/
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
More Results