• “OpenAI ผนึกกำลัง AMD สร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ แลกหุ้นสูงสุด 10% — ดีลประวัติศาสตร์ที่เขย่าอุตสาหกรรมชิป”

    OpenAI และ AMD ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมา โดย OpenAI จะซื้อชิปจาก AMD รวมกำลังประมวลผลสูงถึง 6 กิกะวัตต์ เริ่มต้นด้วยชิป MI450 รุ่นใหม่ในปี 2026 ซึ่งจะใช้ทั้งการซื้อโดยตรงและผ่านผู้ให้บริการคลาวด์

    ดีลนี้ไม่ใช่แค่การซื้อขายชิป แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ โดย AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้น (warrant) ให้ OpenAI สูงสุดถึง 160 ล้านหุ้น หรือประมาณ 10% ของบริษัท ในราคาหุ้นละ $0.01 โดยจะทยอยมอบตาม milestone ที่ OpenAI ทำสำเร็จ เช่น การติดตั้งระบบ 1 กิกะวัตต์แรก และการขยายไปถึง 6 กิกะวัตต์

    Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่าดีลนี้จะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า และถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ AMD ในการแข่งขันกับ Nvidia ซึ่งเพิ่งประกาศดีลมูลค่า $100 พันล้านกับ OpenAI เช่นกัน

    Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่าการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้ผลิตชิปไปจนถึงซัพพลายเชน และ AMD คือพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้

    การติดตั้งชุดแรกของ MI450 จะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2026 โดย OpenAI จะใช้ชิปเหล่านี้สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากผู้ใช้ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI และ AMD ร่วมมือสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์
    เริ่มต้นด้วยการติดตั้ง MI450 จำนวน 1 กิกะวัตต์ในปี 2026
    AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้นให้ OpenAI สูงสุด 160 ล้านหุ้น หรือ 10% ของบริษัท
    หุ้นจะทยอยมอบตาม milestone เช่น การติดตั้งระบบและเป้าหมายราคาหุ้น
    ดีลนี้คาดว่าจะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้ AMD ภายใน 5 ปี
    OpenAI จะใช้ชิป AMD สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการ AI
    ดีลนี้ถือเป็น “definitive agreement” ต่างจากดีลกับ Nvidia ที่ยังไม่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล
    AMD และ OpenAI จะร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีในหลายรุ่นต่อเนื่อง เช่น MI300X, MI350X

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MI450 เป็นชิปสถาปัตยกรรมใหม่ของ AMD ที่แข่งกับ Blackwell ของ Nvidia
    การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 1 กิกะวัตต์มีต้นทุนราว $50 พันล้าน โดยสองในสามเป็นค่าชิปและโครงสร้างพื้นฐาน
    OpenAI ยังมีดีลกับ Oracle มูลค่า $300 พันล้าน และ CoreWeave มูลค่า $22.4 พันล้าน
    การถือหุ้นของ OpenAI ใน AMD จะเกิดขึ้นเมื่อบรรลุเป้าหมายทั้งด้านเทคนิคและการตลาด
    หุ้น AMD ขึ้น 25% หลังประกาศดีลนี้ในตลาดก่อนเปิด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-and-amd-announce-multibillion-dollar-partnership-amd-to-supply-6-gigawatts-in-chips-openai-could-get-up-to-10-percent-of-amd-shares-in-return
    🚀 “OpenAI ผนึกกำลัง AMD สร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ แลกหุ้นสูงสุด 10% — ดีลประวัติศาสตร์ที่เขย่าอุตสาหกรรมชิป” OpenAI และ AMD ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมา โดย OpenAI จะซื้อชิปจาก AMD รวมกำลังประมวลผลสูงถึง 6 กิกะวัตต์ เริ่มต้นด้วยชิป MI450 รุ่นใหม่ในปี 2026 ซึ่งจะใช้ทั้งการซื้อโดยตรงและผ่านผู้ให้บริการคลาวด์ ดีลนี้ไม่ใช่แค่การซื้อขายชิป แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ โดย AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้น (warrant) ให้ OpenAI สูงสุดถึง 160 ล้านหุ้น หรือประมาณ 10% ของบริษัท ในราคาหุ้นละ $0.01 โดยจะทยอยมอบตาม milestone ที่ OpenAI ทำสำเร็จ เช่น การติดตั้งระบบ 1 กิกะวัตต์แรก และการขยายไปถึง 6 กิกะวัตต์ Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่าดีลนี้จะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า และถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ AMD ในการแข่งขันกับ Nvidia ซึ่งเพิ่งประกาศดีลมูลค่า $100 พันล้านกับ OpenAI เช่นกัน Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่าการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้ผลิตชิปไปจนถึงซัพพลายเชน และ AMD คือพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ การติดตั้งชุดแรกของ MI450 จะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2026 โดย OpenAI จะใช้ชิปเหล่านี้สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากผู้ใช้ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI และ AMD ร่วมมือสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ ➡️ เริ่มต้นด้วยการติดตั้ง MI450 จำนวน 1 กิกะวัตต์ในปี 2026 ➡️ AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้นให้ OpenAI สูงสุด 160 ล้านหุ้น หรือ 10% ของบริษัท ➡️ หุ้นจะทยอยมอบตาม milestone เช่น การติดตั้งระบบและเป้าหมายราคาหุ้น ➡️ ดีลนี้คาดว่าจะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้ AMD ภายใน 5 ปี ➡️ OpenAI จะใช้ชิป AMD สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการ AI ➡️ ดีลนี้ถือเป็น “definitive agreement” ต่างจากดีลกับ Nvidia ที่ยังไม่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล ➡️ AMD และ OpenAI จะร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีในหลายรุ่นต่อเนื่อง เช่น MI300X, MI350X ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MI450 เป็นชิปสถาปัตยกรรมใหม่ของ AMD ที่แข่งกับ Blackwell ของ Nvidia ➡️ การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 1 กิกะวัตต์มีต้นทุนราว $50 พันล้าน โดยสองในสามเป็นค่าชิปและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ OpenAI ยังมีดีลกับ Oracle มูลค่า $300 พันล้าน และ CoreWeave มูลค่า $22.4 พันล้าน ➡️ การถือหุ้นของ OpenAI ใน AMD จะเกิดขึ้นเมื่อบรรลุเป้าหมายทั้งด้านเทคนิคและการตลาด ➡️ หุ้น AMD ขึ้น 25% หลังประกาศดีลนี้ในตลาดก่อนเปิด https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-and-amd-announce-multibillion-dollar-partnership-amd-to-supply-6-gigawatts-in-chips-openai-could-get-up-to-10-percent-of-amd-shares-in-return
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อัปเดต iPhone ไม่ผ่าน? วิธีแก้แบบไม่เสียข้อมูล พร้อมเทคนิคป้องกันล่วงหน้า”

    หลายคนเคยเจอเหตุการณ์กดอัปเดต iOS แล้วเครื่องค้างขึ้นข้อความ “Update Failed” หรือ “Unable to Install Update” ซึ่งสร้างความหงุดหงิดไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อกลัวว่าจะสูญเสียภาพถ่าย แชต หรือข้อมูลงานสำคัญ บทความนี้จึงรวบรวมวิธีแก้ปัญหา “iPhone Software Update Failed” แบบไม่ต้องล้างเครื่อง พร้อมคำแนะนำป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ

    สาเหตุหลักของการอัปเดตไม่ผ่านมักมาจากพื้นที่เก็บข้อมูลไม่พอ, อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร, แบตเตอรี่ต่ำ, ไฟล์เฟิร์มแวร์เสีย, เครื่องเจลเบรก หรือแม้แต่ปัญหาฮาร์ดแวร์บางกรณี เช่น หน่วยความจำเสียหาย

    ก่อนเริ่มแก้ไข ควรสำรองข้อมูลผ่าน iCloud หรือ Finder/iTunes เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายหากต้องใช้วิธีที่เสี่ยง เช่น Recovery Mode

    วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่:
    รีสตาร์ทหรือ Force Restart เครื่อง
    ลบไฟล์อัปเดตที่เสียจาก Settings > General > iPhone Storage
    รีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่าย
    เชื่อมต่อกับ Mac หรือ PC แล้วอัปเดตผ่าน Finder หรือ iTunes โดยไม่ล้างข้อมูล

    หากยังไม่สำเร็จ สามารถใช้เครื่องมือซ่อมระบบ iOS เช่น Wondershare Dr.Fone – System Repair ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้กว่า 150 รูปแบบ เช่น ค้างโลโก้ Apple, หน้าจอขาว, boot loop โดยใช้ “Standard Mode” ที่ไม่ลบข้อมูล

    นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำป้องกันล่วงหน้า เช่น:
    เคลียร์พื้นที่ให้ว่าง 5–6 GB ก่อนอัปเดต
    หลีกเลี่ยง Wi-Fi ที่ไม่เสถียร
    ชาร์จแบตให้เกิน 50%
    หลีกเลี่ยงการเจลเบรก
    ล้างแคชและลบแอปที่ไม่จำเป็น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ปัญหา “iPhone Software Update Failed” เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พื้นที่ไม่พอ, อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร, แบตต่ำ
    ข้อความที่พบบ่อย ได้แก่ “Update Failed”, “Unable to Install Update”, “Error 4013/4014”
    การสำรองข้อมูลก่อนแก้ไขเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการสูญหาย
    วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ รีสตาร์ท, ลบไฟล์อัปเดต, รีเซ็ตเครือข่าย
    การอัปเดตผ่าน Finder/iTunes ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาบนเครื่อง
    Wondershare Dr.Fone – System Repair สามารถแก้ปัญหาโดยไม่ลบข้อมูล
    รองรับ iOS 26 และ iPhone 17 series
    ใช้ “Standard Mode” เพื่อรักษาข้อมูลไว้
    สามารถดาวน์เกรด iOS, เข้า/ออก Recovery/DFU Mode และแก้ปัญหา iTunes ได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การอัปเดตผ่านคอมพิวเตอร์มักเสถียรกว่า OTA เพราะไม่ขึ้นกับ Wi-Fi
    iOS ต้องใช้พื้นที่มากกว่าขนาดไฟล์อัปเดตจริงเพื่อการแตกไฟล์และตรวจสอบ
    Recovery Mode สามารถใช้ “Update” แทน “Restore” เพื่อรักษาข้อมูล
    เครื่องมืออย่าง iToolab FixGo ก็สามารถแก้ปัญหาได้โดยไม่ลบข้อมูล
    การใช้ VPN หรือ DNS ที่บล็อกเซิร์ฟเวอร์ของ Apple อาจทำให้การอัปเดตล้มเหลว

    https://hackread.com/iphone-software-update-failed-fix-without-data-loss/
    📱 “อัปเดต iPhone ไม่ผ่าน? วิธีแก้แบบไม่เสียข้อมูล พร้อมเทคนิคป้องกันล่วงหน้า” หลายคนเคยเจอเหตุการณ์กดอัปเดต iOS แล้วเครื่องค้างขึ้นข้อความ “Update Failed” หรือ “Unable to Install Update” ซึ่งสร้างความหงุดหงิดไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อกลัวว่าจะสูญเสียภาพถ่าย แชต หรือข้อมูลงานสำคัญ บทความนี้จึงรวบรวมวิธีแก้ปัญหา “iPhone Software Update Failed” แบบไม่ต้องล้างเครื่อง พร้อมคำแนะนำป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ สาเหตุหลักของการอัปเดตไม่ผ่านมักมาจากพื้นที่เก็บข้อมูลไม่พอ, อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร, แบตเตอรี่ต่ำ, ไฟล์เฟิร์มแวร์เสีย, เครื่องเจลเบรก หรือแม้แต่ปัญหาฮาร์ดแวร์บางกรณี เช่น หน่วยความจำเสียหาย ก่อนเริ่มแก้ไข ควรสำรองข้อมูลผ่าน iCloud หรือ Finder/iTunes เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายหากต้องใช้วิธีที่เสี่ยง เช่น Recovery Mode วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่: 🔰 รีสตาร์ทหรือ Force Restart เครื่อง 🔰 ลบไฟล์อัปเดตที่เสียจาก Settings > General > iPhone Storage 🔰 รีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่าย 🔰 เชื่อมต่อกับ Mac หรือ PC แล้วอัปเดตผ่าน Finder หรือ iTunes โดยไม่ล้างข้อมูล หากยังไม่สำเร็จ สามารถใช้เครื่องมือซ่อมระบบ iOS เช่น Wondershare Dr.Fone – System Repair ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้กว่า 150 รูปแบบ เช่น ค้างโลโก้ Apple, หน้าจอขาว, boot loop โดยใช้ “Standard Mode” ที่ไม่ลบข้อมูล นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำป้องกันล่วงหน้า เช่น: 🔰 เคลียร์พื้นที่ให้ว่าง 5–6 GB ก่อนอัปเดต 🔰 หลีกเลี่ยง Wi-Fi ที่ไม่เสถียร 🔰 ชาร์จแบตให้เกิน 50% 🔰 หลีกเลี่ยงการเจลเบรก 🔰 ล้างแคชและลบแอปที่ไม่จำเป็น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ปัญหา “iPhone Software Update Failed” เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พื้นที่ไม่พอ, อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร, แบตต่ำ ➡️ ข้อความที่พบบ่อย ได้แก่ “Update Failed”, “Unable to Install Update”, “Error 4013/4014” ➡️ การสำรองข้อมูลก่อนแก้ไขเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการสูญหาย ➡️ วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ รีสตาร์ท, ลบไฟล์อัปเดต, รีเซ็ตเครือข่าย ➡️ การอัปเดตผ่าน Finder/iTunes ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาบนเครื่อง ➡️ Wondershare Dr.Fone – System Repair สามารถแก้ปัญหาโดยไม่ลบข้อมูล ➡️ รองรับ iOS 26 และ iPhone 17 series ➡️ ใช้ “Standard Mode” เพื่อรักษาข้อมูลไว้ ➡️ สามารถดาวน์เกรด iOS, เข้า/ออก Recovery/DFU Mode และแก้ปัญหา iTunes ได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การอัปเดตผ่านคอมพิวเตอร์มักเสถียรกว่า OTA เพราะไม่ขึ้นกับ Wi-Fi ➡️ iOS ต้องใช้พื้นที่มากกว่าขนาดไฟล์อัปเดตจริงเพื่อการแตกไฟล์และตรวจสอบ ➡️ Recovery Mode สามารถใช้ “Update” แทน “Restore” เพื่อรักษาข้อมูล ➡️ เครื่องมืออย่าง iToolab FixGo ก็สามารถแก้ปัญหาได้โดยไม่ลบข้อมูล ➡️ การใช้ VPN หรือ DNS ที่บล็อกเซิร์ฟเวอร์ของ Apple อาจทำให้การอัปเดตล้มเหลว https://hackread.com/iphone-software-update-failed-fix-without-data-loss/
    HACKREAD.COM
    iPhone Software Update Failed? Here’s How to Fix It Without Data Loss
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วิวัฒนาการของ iPhone Unlockers — จาก Jailbreak สู่เครื่องมือปลดล็อกแบบปลอดภัยด้วย Dr.Fone”

    ตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2007 ผู้ใช้จำนวนมากต่างพยายามหาวิธี “ปลดล็อก” อุปกรณ์เพื่อให้ใช้งานได้อิสระมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแอปนอก App Store หรือเปลี่ยนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แต่ในยุคแรก การปลดล็อกมักต้องพึ่งพา “Jailbreak” ซึ่งแม้จะให้เสรีภาพ แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง เช่น เครื่องไม่เสถียร แบตหมดเร็ว หรือแม้แต่การโดนมัลแวร์

    ต่อมาเกิดการปลดล็อกแบบ SIM Unlock เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเครือข่ายได้ โดยมีทั้งวิธีขอปลดล็อกจากผู้ให้บริการอย่างถูกต้องตามสัญญา และวิธีใช้ชิปปลอมที่แอบเปลี่ยนการทำงานของ SIM ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็เสี่ยงต่อการใช้งานไม่เสถียร หรือถูกนำไปใช้ในตลาดมืด

    Apple เองก็เริ่มเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถปลดล็อกได้อย่างถูกต้อง เช่น การใช้ iCloud ลบข้อมูลผ่าน “Find My iPhone”, การ Restore ผ่าน iTunes หรือ Finder และการเข้า Recovery Mode เพื่อรีเซ็ตเครื่อง ซึ่งแม้จะปลอดภัย แต่ก็ต้องใช้ Apple ID เดิม และมักทำให้ข้อมูลหายทั้งหมด

    เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยของ Apple แข็งแกร่งขึ้น ผู้ใช้ที่ลืมรหัสผ่าน หรือซื้อเครื่องมือสองที่ล็อกอยู่ ก็เริ่มหันไปใช้เครื่องมือจากผู้พัฒนาภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ซึ่งออกแบบมาให้ปลดล็อกได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์ และรองรับการปลดล็อกหลายรูปแบบ เช่น Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และแม้แต่ SIM Lock

    Dr.Fone ยังรองรับ iOS ตั้งแต่เวอร์ชัน 7 ถึง 26 รวมถึง iPhone 17 series และสามารถทำงานผ่าน Recovery Mode หรือ DFU Mode โดยมีขั้นตอนที่ชัดเจนและปลอดภัย พร้อมคำแนะนำให้ผู้ใช้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มกระบวนการ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    การปลดล็อก iPhone เริ่มจาก Jailbreak ซึ่งเสี่ยงต่อความไม่เสถียรและมัลแวร์
    SIM Unlock มีทั้งแบบขอจากผู้ให้บริการและใช้ชิปปลอม ซึ่งมีข้อจำกัด
    Apple มีวิธีปลดล็อกอย่างเป็นทางการ เช่น iCloud, iTunes/Finder และ Recovery Mode
    เครื่องมือจากภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ช่วยปลดล็อกได้หลายรูปแบบ
    Dr.Fone รองรับ iOS 7–26 และ iPhone 17 series
    สามารถปลดล็อก Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และ SIM Lock
    ใช้ Recovery Mode หรือ DFU Mode เพื่อเริ่มกระบวนการปลดล็อก
    มีคำแนะนำให้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มใช้งานเพื่อความปลอดภัย
    การปลดล็อกผ่าน Dr.Fone เป็นวิธีที่ถูกกฎหมายและไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Jailbreaking คือการปรับแต่งระบบ iOS เพื่อให้เข้าถึงฟีเจอร์ที่ถูกจำกัด
    SIM Unlock ช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครือข่ายได้โดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่
    Recovery Mode และ DFU Mode เป็นโหมดพิเศษที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา iOS
    Dr.Fone เป็นผลิตภัณฑ์จาก Wondershare ที่มีเครื่องมือจัดการข้อมูล iOS ครบวงจร
    การปลดล็อกที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องไม่เกี่ยวข้องกับเครื่องที่ถูกขโมยหรือ IMEI ที่ถูกบล็อก

    https://securityonline.info/the-evolution-of-iphone-unlockers-from-jailbreaks-to-secure-recovery-tools/
    📱 “วิวัฒนาการของ iPhone Unlockers — จาก Jailbreak สู่เครื่องมือปลดล็อกแบบปลอดภัยด้วย Dr.Fone” ตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2007 ผู้ใช้จำนวนมากต่างพยายามหาวิธี “ปลดล็อก” อุปกรณ์เพื่อให้ใช้งานได้อิสระมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแอปนอก App Store หรือเปลี่ยนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แต่ในยุคแรก การปลดล็อกมักต้องพึ่งพา “Jailbreak” ซึ่งแม้จะให้เสรีภาพ แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง เช่น เครื่องไม่เสถียร แบตหมดเร็ว หรือแม้แต่การโดนมัลแวร์ ต่อมาเกิดการปลดล็อกแบบ SIM Unlock เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเครือข่ายได้ โดยมีทั้งวิธีขอปลดล็อกจากผู้ให้บริการอย่างถูกต้องตามสัญญา และวิธีใช้ชิปปลอมที่แอบเปลี่ยนการทำงานของ SIM ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็เสี่ยงต่อการใช้งานไม่เสถียร หรือถูกนำไปใช้ในตลาดมืด Apple เองก็เริ่มเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถปลดล็อกได้อย่างถูกต้อง เช่น การใช้ iCloud ลบข้อมูลผ่าน “Find My iPhone”, การ Restore ผ่าน iTunes หรือ Finder และการเข้า Recovery Mode เพื่อรีเซ็ตเครื่อง ซึ่งแม้จะปลอดภัย แต่ก็ต้องใช้ Apple ID เดิม และมักทำให้ข้อมูลหายทั้งหมด เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยของ Apple แข็งแกร่งขึ้น ผู้ใช้ที่ลืมรหัสผ่าน หรือซื้อเครื่องมือสองที่ล็อกอยู่ ก็เริ่มหันไปใช้เครื่องมือจากผู้พัฒนาภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ซึ่งออกแบบมาให้ปลดล็อกได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์ และรองรับการปลดล็อกหลายรูปแบบ เช่น Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และแม้แต่ SIM Lock Dr.Fone ยังรองรับ iOS ตั้งแต่เวอร์ชัน 7 ถึง 26 รวมถึง iPhone 17 series และสามารถทำงานผ่าน Recovery Mode หรือ DFU Mode โดยมีขั้นตอนที่ชัดเจนและปลอดภัย พร้อมคำแนะนำให้ผู้ใช้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มกระบวนการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ การปลดล็อก iPhone เริ่มจาก Jailbreak ซึ่งเสี่ยงต่อความไม่เสถียรและมัลแวร์ ➡️ SIM Unlock มีทั้งแบบขอจากผู้ให้บริการและใช้ชิปปลอม ซึ่งมีข้อจำกัด ➡️ Apple มีวิธีปลดล็อกอย่างเป็นทางการ เช่น iCloud, iTunes/Finder และ Recovery Mode ➡️ เครื่องมือจากภายนอก เช่น Dr.Fone – Screen Unlock (iOS) ช่วยปลดล็อกได้หลายรูปแบบ ➡️ Dr.Fone รองรับ iOS 7–26 และ iPhone 17 series ➡️ สามารถปลดล็อก Face ID, Touch ID, รหัสผ่าน, Apple ID, MDM และ SIM Lock ➡️ ใช้ Recovery Mode หรือ DFU Mode เพื่อเริ่มกระบวนการปลดล็อก ➡️ มีคำแนะนำให้สำรองข้อมูลก่อนเริ่มใช้งานเพื่อความปลอดภัย ➡️ การปลดล็อกผ่าน Dr.Fone เป็นวิธีที่ถูกกฎหมายและไม่ต้องพึ่งพาแฮกเกอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Jailbreaking คือการปรับแต่งระบบ iOS เพื่อให้เข้าถึงฟีเจอร์ที่ถูกจำกัด ➡️ SIM Unlock ช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครือข่ายได้โดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ ➡️ Recovery Mode และ DFU Mode เป็นโหมดพิเศษที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา iOS ➡️ Dr.Fone เป็นผลิตภัณฑ์จาก Wondershare ที่มีเครื่องมือจัดการข้อมูล iOS ครบวงจร ➡️ การปลดล็อกที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องไม่เกี่ยวข้องกับเครื่องที่ถูกขโมยหรือ IMEI ที่ถูกบล็อก https://securityonline.info/the-evolution-of-iphone-unlockers-from-jailbreaks-to-secure-recovery-tools/
    SECURITYONLINE.INFO
    The Evolution of iPhone Unlockers: From Jailbreaks to Secure Recovery Tools
    Looking for the best iPhone unlocker? Learn how iPhone unlocking evolved from jailbreak hacks to secure recovery tools like Dr.Fone. Read this guide for a safe and easy unlocking process.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Stanford เปิดตัว Megakernel สำหรับ Llama-70B — ใช้ GPU เต็มประสิทธิภาพ แซง SGLang ไปกว่า 22%”

    ทีมนักวิจัยจาก Hazy Research แห่งมหาวิทยาลัย Stanford ได้เปิดตัว “Megakernel” สำหรับการ inference โมเดล Llama-70B โดยใช้ GPU H100 แบบเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถแซงระบบยอดนิยมอย่าง SGLang ได้ถึง 22% ในการทดสอบชุดคำสั่งจาก ShareGPT

    แนวคิดหลักคือการรวมการประมวลผลทั้งหมดของโมเดลไว้ใน “megakernel” เดียว แทนที่จะใช้หลาย kernel แบบเดิม ซึ่งมักมีช่วงเวลาที่ GPU ว่างเปล่าและไม่ได้ทำงาน ทีมงานจึงออกแบบระบบ interpreter ที่สามารถ pipeline คำสั่งต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับ SM (Streaming Multiprocessor), ระหว่าง SM หลายตัว และระหว่าง GPU หลายตัว

    การออกแบบนี้ช่วยให้สามารถ overlap การโหลดข้อมูล, การคำนวณ, และการสื่อสารระหว่าง GPU ได้พร้อมกัน ทำให้ใช้ทรัพยากรของ GPU ได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น tensor core, memory bandwidth หรือ NVLink

    นอกจากนี้ยังมีการปรับโครงสร้างของ Llama-70B ให้เหมาะกับการทำงานแบบ parallel โดยใช้เทคนิค “distributed transpose” แทน reduce-scatter เพื่อลดการสื่อสารระหว่าง GPU ลงถึง 8 เท่า แม้จะแลกกับการใช้หน่วยความจำเพิ่มขึ้น 9GB ต่อ GPU

    ระบบนี้ถูกนำไปใช้ใน Tokasaurus ซึ่งเป็น inference engine ที่ออกแบบมาเพื่องาน throughput สูง โดยสามารถจัดการ batch ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ CPU เพียงเล็กน้อยในการจัดคิวคำสั่ง

    ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า Megakernel สามารถประมวลผลคำสั่งได้เร็วกว่า SGLang อย่างชัดเจน ทั้งในด้าน input, output และ throughput รวม โดยเฉพาะเมื่อใช้ batch ขนาดใหญ่ เช่น 8,192 prompt

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Megakernel ถูกออกแบบเพื่อ inference Llama-70B บน GPU H100
    ใช้ระบบ interpreter ที่ pipeline คำสั่งได้ทั้งใน SM, ระหว่าง SM และ GPU
    ลดช่วงเวลาที่ GPU ไม่ได้ทำงาน ด้วยการ overlap การโหลด, คำนวณ และสื่อสาร
    ใช้ distributed transpose แทน reduce-scatter เพื่อลด network traffic
    เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแบบ data-parallel โดย replicate O-projection matrix
    Megakernel ถูกนำไปใช้ใน Tokasaurus ซึ่งเป็น engine สำหรับงาน throughput สูง
    ผลการทดสอบแสดงว่า Megakernel แซง SGLang ไปกว่า 22% ในชุดคำสั่ง ShareGPT
    ใช้ global work queue และ interleaving เพื่อจัดการคำสั่งแบบ dynamic

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SM (Streaming Multiprocessor) คือหน่วยย่อยของ GPU ที่ทำงานแบบ parallel
    NVLink เป็นเทคโนโลยีเชื่อมต่อระหว่าง GPU ที่มี bandwidth สูง
    Reduce-scatter เป็นเทคนิคการรวมข้อมูลจากหลาย GPU แต่มีค่าใช้จ่ายด้าน network
    Distributed transpose ช่วยลดการสื่อสารโดยเปลี่ยนรูปแบบการจัดข้อมูล
    Tokasaurus รองรับการทำงานแบบ tensor-parallel และ pipeline-parallel

    https://hazyresearch.stanford.edu/blog/2025-09-28-tp-llama-main
    ⚙️ “Stanford เปิดตัว Megakernel สำหรับ Llama-70B — ใช้ GPU เต็มประสิทธิภาพ แซง SGLang ไปกว่า 22%” ทีมนักวิจัยจาก Hazy Research แห่งมหาวิทยาลัย Stanford ได้เปิดตัว “Megakernel” สำหรับการ inference โมเดล Llama-70B โดยใช้ GPU H100 แบบเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถแซงระบบยอดนิยมอย่าง SGLang ได้ถึง 22% ในการทดสอบชุดคำสั่งจาก ShareGPT แนวคิดหลักคือการรวมการประมวลผลทั้งหมดของโมเดลไว้ใน “megakernel” เดียว แทนที่จะใช้หลาย kernel แบบเดิม ซึ่งมักมีช่วงเวลาที่ GPU ว่างเปล่าและไม่ได้ทำงาน ทีมงานจึงออกแบบระบบ interpreter ที่สามารถ pipeline คำสั่งต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับ SM (Streaming Multiprocessor), ระหว่าง SM หลายตัว และระหว่าง GPU หลายตัว การออกแบบนี้ช่วยให้สามารถ overlap การโหลดข้อมูล, การคำนวณ, และการสื่อสารระหว่าง GPU ได้พร้อมกัน ทำให้ใช้ทรัพยากรของ GPU ได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น tensor core, memory bandwidth หรือ NVLink นอกจากนี้ยังมีการปรับโครงสร้างของ Llama-70B ให้เหมาะกับการทำงานแบบ parallel โดยใช้เทคนิค “distributed transpose” แทน reduce-scatter เพื่อลดการสื่อสารระหว่าง GPU ลงถึง 8 เท่า แม้จะแลกกับการใช้หน่วยความจำเพิ่มขึ้น 9GB ต่อ GPU ระบบนี้ถูกนำไปใช้ใน Tokasaurus ซึ่งเป็น inference engine ที่ออกแบบมาเพื่องาน throughput สูง โดยสามารถจัดการ batch ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ CPU เพียงเล็กน้อยในการจัดคิวคำสั่ง ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า Megakernel สามารถประมวลผลคำสั่งได้เร็วกว่า SGLang อย่างชัดเจน ทั้งในด้าน input, output และ throughput รวม โดยเฉพาะเมื่อใช้ batch ขนาดใหญ่ เช่น 8,192 prompt ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Megakernel ถูกออกแบบเพื่อ inference Llama-70B บน GPU H100 ➡️ ใช้ระบบ interpreter ที่ pipeline คำสั่งได้ทั้งใน SM, ระหว่าง SM และ GPU ➡️ ลดช่วงเวลาที่ GPU ไม่ได้ทำงาน ด้วยการ overlap การโหลด, คำนวณ และสื่อสาร ➡️ ใช้ distributed transpose แทน reduce-scatter เพื่อลด network traffic ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแบบ data-parallel โดย replicate O-projection matrix ➡️ Megakernel ถูกนำไปใช้ใน Tokasaurus ซึ่งเป็น engine สำหรับงาน throughput สูง ➡️ ผลการทดสอบแสดงว่า Megakernel แซง SGLang ไปกว่า 22% ในชุดคำสั่ง ShareGPT ➡️ ใช้ global work queue และ interleaving เพื่อจัดการคำสั่งแบบ dynamic ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SM (Streaming Multiprocessor) คือหน่วยย่อยของ GPU ที่ทำงานแบบ parallel ➡️ NVLink เป็นเทคโนโลยีเชื่อมต่อระหว่าง GPU ที่มี bandwidth สูง ➡️ Reduce-scatter เป็นเทคนิคการรวมข้อมูลจากหลาย GPU แต่มีค่าใช้จ่ายด้าน network ➡️ Distributed transpose ช่วยลดการสื่อสารโดยเปลี่ยนรูปแบบการจัดข้อมูล ➡️ Tokasaurus รองรับการทำงานแบบ tensor-parallel และ pipeline-parallel https://hazyresearch.stanford.edu/blog/2025-09-28-tp-llama-main
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดร.ชิดตะวัน แชร์ความเห็น หยุดสัมพันธ์การค้ากับกัมพูชา เพื่อผลประโยชน์ความมั่นคง https://www.facebook.com/share/p/14KZ829qVtW/
    ดร.ชิดตะวัน แชร์ความเห็น หยุดสัมพันธ์การค้ากับกัมพูชา เพื่อผลประโยชน์ความมั่นคง https://www.facebook.com/share/p/14KZ829qVtW/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๘
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปทอดพระเนตรการแสดงคอนเสิร์ตของนายปลาซิโด โดมิงโก (Mr. Plácido Domingo) ศิลปินโอเปราระดับตำนาน ในงานมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติกรุงเทพ ฯ ครั้งที่ ๒๗ ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร

    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    Cr. https://www.facebook.com/share/p/15zaWortt1/
    วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปทอดพระเนตรการแสดงคอนเสิร์ตของนายปลาซิโด โดมิงโก (Mr. Plácido Domingo) ศิลปินโอเปราระดับตำนาน ในงานมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติกรุงเทพ ฯ ครั้งที่ ๒๗ ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida Cr. https://www.facebook.com/share/p/15zaWortt1/
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Bitcoin กลายเป็นสินทรัพย์สถาบัน — Harvard ลงทุนกว่า $116 ล้าน, 401(k) เปิดรับคริปโต, และ DeFi เติบโตต่อเนื่อง”

    ในอดีต การพูดถึง Bitcoin ในแวดวงการเงินสถาบันอาจถูกมองว่าเป็นเรื่องตลก แต่ในปี 2025 ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อมหาวิทยาลัย Harvard เปิดเผยว่าได้ถือหุ้นในกองทุน Bitcoin ETF ของ BlackRock กว่า 2 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่ากว่า $116 ล้าน กลายเป็นการลงทุนอันดับ 5 รองจาก Microsoft, Amazon, Booking และ Meta

    การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่สถาบันการเงินเริ่มยอมรับ Bitcoin เป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ โดยเฉพาะผ่านโครงสร้าง ETF ที่มีความปลอดภัย โปร่งใส และมีการกำกับดูแลจาก SEC ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการถือครองคริปโตโดยตรง เช่น การจัดการ private key หรือความผันผวนของตลาดแลกเปลี่ยน

    นอกจากมหาวิทยาลัยแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ ยังประกาศนโยบายใหม่ที่เปิดให้รวมคริปโตเข้ากับบัญชีเกษียณ 401(k) ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การไหลเข้าของเงินทุนมหาศาลจากกองทุนเกษียณทั่วประเทศ และช่วยลดความผันผวนของตลาดในระยะยาว

    ในฝั่งของ DeFi หรือการเงินแบบกระจายอำนาจ Bitcoin ยังคงเป็น “ทองคำดิจิทัล” ที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยมีเงินทุนไหลเข้าสู่วงการกว่า $180 ล้านในช่วงครึ่งปีแรก และบริษัทด้าน stablecoin ก็สามารถระดมทุนได้ถึง $13 ล้าน เพื่อสร้างแพลตฟอร์มธนาคารที่ใช้เหรียญดิจิทัลเป็นหลัก

    Ethereum ซึ่งเป็นคริปโตอันดับสองก็มีการเติบโตเช่นกัน โดยจำนวนธุรกรรมบนเครือข่ายแตะระดับสูงสุดของปี แม้ยังมีข้อถกเถียงเรื่องการจัดประเภทของ liquid staking แต่ตลาดที่เริ่มมีความชัดเจนด้านกฎระเบียบก็ช่วยให้ ETH มีเสถียรภาพมากขึ้น

    การยอมรับ Bitcoin ในระดับสถาบัน
    Harvard ลงทุน $116 ล้านในกองทุน iShares Bitcoin ETF ของ BlackRock
    ETF ช่วยให้สถาบันเข้าถึง Bitcoin โดยไม่ต้องถือครองโดยตรง
    สินทรัพย์ภายใต้การจัดการของ Bitcoin ETF พุ่งเกิน $86.3 พันล้านหลังการอนุมัติจาก SEC
    สถาบันอื่น เช่น Brown, Emory และ University of Texas ก็เริ่มลงทุนในคริปโตเช่นกัน

    การเปิดรับคริปโตในบัญชีเกษียณ
    รัฐบาลสหรัฐฯ ออกคำสั่งให้เปิด 401(k) สำหรับคริปโต
    นโยบายนี้อาจนำไปสู่การไหลเข้าของเงินทุนจากกองทุนเกษียณ
    ช่วยเพิ่มความมั่นคงและลดความผันผวนของตลาดคริปโต
    นักลงทุนสามารถกระจายพอร์ตด้วยสินทรัพย์ทางเลือกที่มีผลตอบแทนสูง

    การเติบโตของ DeFi และ Ethereum
    Bitcoin ยังคงเป็นสินทรัพย์หลักใน DeFi โดยมีเงินทุนไหลเข้า $180 ล้าน
    บริษัทด้าน stablecoin ระดมทุน $13 ล้านเพื่อสร้างแพลตฟอร์มธนาคารดิจิทัล
    Ethereum มีธุรกรรมแตะระดับสูงสุดของปี แม้ยังมีข้อถกเถียงด้านกฎหมาย
    ตลาดคริปโตเริ่มมีความชัดเจนด้านกฎระเบียบ ส่งผลให้สินทรัพย์มีเสถียรภาพมากขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การอนุมัติ ETF โดย SEC ในปี 2024 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการยอมรับคริปโต
    Bitcoin ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ คล้ายทองคำ แต่มีความคล่องตัวสูงกว่า
    การจัดสรรคริปโตเพียง 2–3% ในพอร์ตสถาบันอาจสร้างดีมานด์กว่า $3–4 ล้านล้านดอลลาร์
    การลงทุนผ่าน ETF ช่วยลดความเสี่ยงด้านการจัดเก็บและความปลอดภัยของคริปโต

    https://hackread.com/bitcoin-continues-increase-institutional-popularity/
    💰 “Bitcoin กลายเป็นสินทรัพย์สถาบัน — Harvard ลงทุนกว่า $116 ล้าน, 401(k) เปิดรับคริปโต, และ DeFi เติบโตต่อเนื่อง” ในอดีต การพูดถึง Bitcoin ในแวดวงการเงินสถาบันอาจถูกมองว่าเป็นเรื่องตลก แต่ในปี 2025 ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อมหาวิทยาลัย Harvard เปิดเผยว่าได้ถือหุ้นในกองทุน Bitcoin ETF ของ BlackRock กว่า 2 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่ากว่า $116 ล้าน กลายเป็นการลงทุนอันดับ 5 รองจาก Microsoft, Amazon, Booking และ Meta การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่สถาบันการเงินเริ่มยอมรับ Bitcoin เป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ โดยเฉพาะผ่านโครงสร้าง ETF ที่มีความปลอดภัย โปร่งใส และมีการกำกับดูแลจาก SEC ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการถือครองคริปโตโดยตรง เช่น การจัดการ private key หรือความผันผวนของตลาดแลกเปลี่ยน นอกจากมหาวิทยาลัยแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ ยังประกาศนโยบายใหม่ที่เปิดให้รวมคริปโตเข้ากับบัญชีเกษียณ 401(k) ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การไหลเข้าของเงินทุนมหาศาลจากกองทุนเกษียณทั่วประเทศ และช่วยลดความผันผวนของตลาดในระยะยาว ในฝั่งของ DeFi หรือการเงินแบบกระจายอำนาจ Bitcoin ยังคงเป็น “ทองคำดิจิทัล” ที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยมีเงินทุนไหลเข้าสู่วงการกว่า $180 ล้านในช่วงครึ่งปีแรก และบริษัทด้าน stablecoin ก็สามารถระดมทุนได้ถึง $13 ล้าน เพื่อสร้างแพลตฟอร์มธนาคารที่ใช้เหรียญดิจิทัลเป็นหลัก Ethereum ซึ่งเป็นคริปโตอันดับสองก็มีการเติบโตเช่นกัน โดยจำนวนธุรกรรมบนเครือข่ายแตะระดับสูงสุดของปี แม้ยังมีข้อถกเถียงเรื่องการจัดประเภทของ liquid staking แต่ตลาดที่เริ่มมีความชัดเจนด้านกฎระเบียบก็ช่วยให้ ETH มีเสถียรภาพมากขึ้น ✅ การยอมรับ Bitcoin ในระดับสถาบัน ➡️ Harvard ลงทุน $116 ล้านในกองทุน iShares Bitcoin ETF ของ BlackRock ➡️ ETF ช่วยให้สถาบันเข้าถึง Bitcoin โดยไม่ต้องถือครองโดยตรง ➡️ สินทรัพย์ภายใต้การจัดการของ Bitcoin ETF พุ่งเกิน $86.3 พันล้านหลังการอนุมัติจาก SEC ➡️ สถาบันอื่น เช่น Brown, Emory และ University of Texas ก็เริ่มลงทุนในคริปโตเช่นกัน ✅ การเปิดรับคริปโตในบัญชีเกษียณ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ ออกคำสั่งให้เปิด 401(k) สำหรับคริปโต ➡️ นโยบายนี้อาจนำไปสู่การไหลเข้าของเงินทุนจากกองทุนเกษียณ ➡️ ช่วยเพิ่มความมั่นคงและลดความผันผวนของตลาดคริปโต ➡️ นักลงทุนสามารถกระจายพอร์ตด้วยสินทรัพย์ทางเลือกที่มีผลตอบแทนสูง ✅ การเติบโตของ DeFi และ Ethereum ➡️ Bitcoin ยังคงเป็นสินทรัพย์หลักใน DeFi โดยมีเงินทุนไหลเข้า $180 ล้าน ➡️ บริษัทด้าน stablecoin ระดมทุน $13 ล้านเพื่อสร้างแพลตฟอร์มธนาคารดิจิทัล ➡️ Ethereum มีธุรกรรมแตะระดับสูงสุดของปี แม้ยังมีข้อถกเถียงด้านกฎหมาย ➡️ ตลาดคริปโตเริ่มมีความชัดเจนด้านกฎระเบียบ ส่งผลให้สินทรัพย์มีเสถียรภาพมากขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การอนุมัติ ETF โดย SEC ในปี 2024 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการยอมรับคริปโต ➡️ Bitcoin ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ คล้ายทองคำ แต่มีความคล่องตัวสูงกว่า ➡️ การจัดสรรคริปโตเพียง 2–3% ในพอร์ตสถาบันอาจสร้างดีมานด์กว่า $3–4 ล้านล้านดอลลาร์ ➡️ การลงทุนผ่าน ETF ช่วยลดความเสี่ยงด้านการจัดเก็บและความปลอดภัยของคริปโต https://hackread.com/bitcoin-continues-increase-institutional-popularity/
    HACKREAD.COM
    Bitcoin continues to increase its institutional popularity
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีคนบอกว่า วัคซีน "มีประโยชน์" นี่ คือ *ผล*ประโยชน์ ที่เขาได้รับ!!
    รัฐบาลสหรัฐถือสิทธิบัตรวัคซีนและได้รับค่าลิขสิทธิ์เป็นเปอร์เซนต์ตามยอดขาย
    แพทย์ได้รับคะแนนจาก HEDIS ซึ่งเป็นระบบที่ติดตามการสั่งฉีดวัคซีน และพวกเขาได้รับโบนัสเป็นเงินสใจถ้าทำยอดได้ตามเป้า(สูงสุด 400 ดอลลาร์ต่อเด็ก 1 คนที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบตามกำหนดทุกตัว)
    กระทรวงสาธารณสุขได้รับเงินทุนสนับสนุนมากขึ้นเมื่ออัตราการฉีดวัคซีนสูงขึ้น
    โรงพยาบาลได้รับเงินชดเชยสูงขึ้น· บริษัทประกันเอกชนให้รางวัลการปฏิบัติตามข้อกำหนด
    บริษัทยา จ่ายค่าวิทยากร ให้แพทย์ที่ บรรยายโน้มน้าวให้คนฉีดวัคซีน
    https://www.facebook.com/share/p/192UbWDRdz/
    ✍️มีคนบอกว่า วัคซีน "มีประโยชน์" นี่ คือ *ผล*ประโยชน์ ที่เขาได้รับ!! 💥รัฐบาลสหรัฐถือสิทธิบัตรวัคซีนและได้รับค่าลิขสิทธิ์เป็นเปอร์เซนต์ตามยอดขาย 💥แพทย์ได้รับคะแนนจาก HEDIS ซึ่งเป็นระบบที่ติดตามการสั่งฉีดวัคซีน และพวกเขาได้รับโบนัสเป็นเงินสใจถ้าทำยอดได้ตามเป้า(สูงสุด 400 ดอลลาร์ต่อเด็ก 1 คนที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบตามกำหนดทุกตัว) 💥กระทรวงสาธารณสุขได้รับเงินทุนสนับสนุนมากขึ้นเมื่ออัตราการฉีดวัคซีนสูงขึ้น 💥 โรงพยาบาลได้รับเงินชดเชยสูงขึ้น· บริษัทประกันเอกชนให้รางวัลการปฏิบัติตามข้อกำหนด 💥บริษัทยา จ่ายค่าวิทยากร ให้แพทย์ที่ บรรยายโน้มน้าวให้คนฉีดวัคซีน https://www.facebook.com/share/p/192UbWDRdz/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tails 7.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ระบบปฏิบัติการลินุกซ์นิรนามที่เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และใช้ GNOME 48 เต็มรูปแบบ

    Tails 7.0 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของระบบปฏิบัติการแบบพกพา (Live OS) ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและการต่อต้านการเซ็นเซอร์ โดยเวอร์ชันนี้ใช้พื้นฐานจาก Debian 13 “Trixie” และมาพร้อมกับ Linux Kernel 6.12 LTS ซึ่งรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ได้ดีขึ้น

    หนึ่งในจุดเด่นของ Tails 7.0 คือการเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพ โดยปรับอัลกอริธึมการบีบอัดไฟล์จาก xz เป็น zstd ทำให้ระบบบูตเร็วขึ้น 10–15 วินาทีบนคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ แม้จะทำให้ขนาดไฟล์ ISO ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม หากใช้แฟลชไดรฟ์คุณภาพต่ำ อาจทำให้บูตช้าลงถึง 20 วินาที

    ในด้านอินเทอร์เฟซ Tails 7.0 ใช้ GNOME 48 เป็นเดสก์ท็อปหลัก พร้อมเปลี่ยนแอปเริ่มต้นหลายตัว เช่น GNOME Console แทน GNOME Terminal และ GNOME Loupe แทน GNOME Image Viewer นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตแอปสำคัญ เช่น Tor Browser 14.5.7, Thunderbird 128.14 ESR, GIMP 3.0.4, Inkscape 1.4 และ KeePassXC 2.7.10

    มีการลบฟีเจอร์ที่ล้าสมัยออก เช่น เมนู Places และ Network Connection จากหน้าต้อนรับ รวมถึงแพ็กเกจบางตัวที่ไม่จำเป็น เช่น aircrack-ng, unar และ sq เพื่อให้ระบบเบาและปลอดภัยขึ้น

    Tails 7.0 ยังเพิ่มข้อกำหนด RAM จาก 2 GB เป็น 3 GB เพื่อให้ใช้งานได้ลื่นไหล และจะแสดงแจ้งเตือนหากเครื่องไม่ตรงตามสเปก นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กเกี่ยวกับการเลือกคีย์บอร์ดสำหรับบางภาษา และอุทิศเวอร์ชันนี้ให้กับ Lunar (Jérémy Bobbio) ผู้ร่วมก่อตั้งและนักพัฒนาอิสระที่มีบทบาทสำคัญในโครงการ Tails และ Tor

    Tails 7.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
    ใช้พื้นฐานจาก Debian 13 “Trixie” และ Linux Kernel 6.12 LTS
    มุ่งเน้นความเป็นส่วนตัวและการต่อต้านการเซ็นเซอร์

    ปรับปรุงประสิทธิภาพการบูต
    เปลี่ยนการบีบอัดจาก xz เป็น zstd ทำให้บูตเร็วขึ้น 10–15 วินาที
    ขนาดไฟล์ ISO ใหญ่ขึ้น ~10% แต่คุ้มค่ากับความเร็วที่เพิ่มขึ้น

    ใช้ GNOME 48 เป็นเดสก์ท็อปหลัก
    เปลี่ยน GNOME Terminal เป็น GNOME Console
    เปลี่ยน GNOME Image Viewer เป็น GNOME Loupe

    อัปเดตแอปสำคัญหลายตัว
    Tor Browser 14.5.7, Thunderbird 128.14 ESR, GIMP 3.0.4
    KeePassXC 2.7.10, OnionShare 2.6.3, Electrum 4.5.8

    ลบฟีเจอร์และแพ็กเกจที่ไม่จำเป็น
    ลบเมนู Places และ Network Connection จากหน้าต้อนรับ
    ลบ aircrack-ng, unar และ sq จาก ISO

    เพิ่มข้อกำหนด RAM เป็น 3 GB
    แสดงแจ้งเตือนหากเครื่องมี RAM ไม่เพียงพอ
    เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานลื่นไหลและเสถียร

    อุทิศเวอร์ชันนี้ให้กับ Lunar (Jérémy Bobbio)
    ผู้ร่วมก่อตั้ง Tails และนักพัฒนาในโครงการ Tor
    มีบทบาทสำคัญในด้านเทคนิคและการออกแบบผลิตภัณฑ์

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน Tails 7.0
    หากใช้แฟลชไดรฟ์คุณภาพต่ำ อาจทำให้บูตช้าลงถึง 20 วินาที
    เครื่องที่มี RAM ต่ำกว่า 3 GB จะได้รับแจ้งเตือนและอาจใช้งานไม่ลื่น
    การลบแพ็กเกจบางตัวอาจกระทบผู้ใช้ที่เคยใช้ฟีเจอร์เฉพาะทาง
    การเปลี่ยนแอปเริ่มต้นอาจทำให้ผู้ใช้เดิมต้องปรับตัวใหม่

    https://9to5linux.com/tails-7-0-anonymous-linux-os-released-based-on-debian-13-trixie
    📰 Tails 7.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ระบบปฏิบัติการลินุกซ์นิรนามที่เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และใช้ GNOME 48 เต็มรูปแบบ Tails 7.0 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของระบบปฏิบัติการแบบพกพา (Live OS) ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและการต่อต้านการเซ็นเซอร์ โดยเวอร์ชันนี้ใช้พื้นฐานจาก Debian 13 “Trixie” และมาพร้อมกับ Linux Kernel 6.12 LTS ซึ่งรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ได้ดีขึ้น หนึ่งในจุดเด่นของ Tails 7.0 คือการเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพ โดยปรับอัลกอริธึมการบีบอัดไฟล์จาก xz เป็น zstd ทำให้ระบบบูตเร็วขึ้น 10–15 วินาทีบนคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ แม้จะทำให้ขนาดไฟล์ ISO ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม หากใช้แฟลชไดรฟ์คุณภาพต่ำ อาจทำให้บูตช้าลงถึง 20 วินาที ในด้านอินเทอร์เฟซ Tails 7.0 ใช้ GNOME 48 เป็นเดสก์ท็อปหลัก พร้อมเปลี่ยนแอปเริ่มต้นหลายตัว เช่น GNOME Console แทน GNOME Terminal และ GNOME Loupe แทน GNOME Image Viewer นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตแอปสำคัญ เช่น Tor Browser 14.5.7, Thunderbird 128.14 ESR, GIMP 3.0.4, Inkscape 1.4 และ KeePassXC 2.7.10 มีการลบฟีเจอร์ที่ล้าสมัยออก เช่น เมนู Places และ Network Connection จากหน้าต้อนรับ รวมถึงแพ็กเกจบางตัวที่ไม่จำเป็น เช่น aircrack-ng, unar และ sq เพื่อให้ระบบเบาและปลอดภัยขึ้น Tails 7.0 ยังเพิ่มข้อกำหนด RAM จาก 2 GB เป็น 3 GB เพื่อให้ใช้งานได้ลื่นไหล และจะแสดงแจ้งเตือนหากเครื่องไม่ตรงตามสเปก นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กเกี่ยวกับการเลือกคีย์บอร์ดสำหรับบางภาษา และอุทิศเวอร์ชันนี้ให้กับ Lunar (Jérémy Bobbio) ผู้ร่วมก่อตั้งและนักพัฒนาอิสระที่มีบทบาทสำคัญในโครงการ Tails และ Tor ✅ Tails 7.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ➡️ ใช้พื้นฐานจาก Debian 13 “Trixie” และ Linux Kernel 6.12 LTS ➡️ มุ่งเน้นความเป็นส่วนตัวและการต่อต้านการเซ็นเซอร์ ✅ ปรับปรุงประสิทธิภาพการบูต ➡️ เปลี่ยนการบีบอัดจาก xz เป็น zstd ทำให้บูตเร็วขึ้น 10–15 วินาที ➡️ ขนาดไฟล์ ISO ใหญ่ขึ้น ~10% แต่คุ้มค่ากับความเร็วที่เพิ่มขึ้น ✅ ใช้ GNOME 48 เป็นเดสก์ท็อปหลัก ➡️ เปลี่ยน GNOME Terminal เป็น GNOME Console ➡️ เปลี่ยน GNOME Image Viewer เป็น GNOME Loupe ✅ อัปเดตแอปสำคัญหลายตัว ➡️ Tor Browser 14.5.7, Thunderbird 128.14 ESR, GIMP 3.0.4 ➡️ KeePassXC 2.7.10, OnionShare 2.6.3, Electrum 4.5.8 ✅ ลบฟีเจอร์และแพ็กเกจที่ไม่จำเป็น ➡️ ลบเมนู Places และ Network Connection จากหน้าต้อนรับ ➡️ ลบ aircrack-ng, unar และ sq จาก ISO ✅ เพิ่มข้อกำหนด RAM เป็น 3 GB ➡️ แสดงแจ้งเตือนหากเครื่องมี RAM ไม่เพียงพอ ➡️ เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานลื่นไหลและเสถียร ✅ อุทิศเวอร์ชันนี้ให้กับ Lunar (Jérémy Bobbio) ➡️ ผู้ร่วมก่อตั้ง Tails และนักพัฒนาในโครงการ Tor ➡️ มีบทบาทสำคัญในด้านเทคนิคและการออกแบบผลิตภัณฑ์ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน Tails 7.0 ⛔ หากใช้แฟลชไดรฟ์คุณภาพต่ำ อาจทำให้บูตช้าลงถึง 20 วินาที ⛔ เครื่องที่มี RAM ต่ำกว่า 3 GB จะได้รับแจ้งเตือนและอาจใช้งานไม่ลื่น ⛔ การลบแพ็กเกจบางตัวอาจกระทบผู้ใช้ที่เคยใช้ฟีเจอร์เฉพาะทาง ⛔ การเปลี่ยนแอปเริ่มต้นอาจทำให้ผู้ใช้เดิมต้องปรับตัวใหม่ https://9to5linux.com/tails-7-0-anonymous-linux-os-released-based-on-debian-13-trixie
    9TO5LINUX.COM
    Tails 7.0 Anonymous Linux OS Officially Released, Based on Debian 13 “Trixie” - 9to5Linux
    Tails 7.0 anonymous Linux OS is now available for download based on Debian 13 “Trixie” and featuring the GNOME 48 desktop environment.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • Futurewei แชร์อาคารกับ Nvidia นานนับสิบปี — สภาคองเกรสสหรัฐฯ เปิดสอบข้อกล่าวหา “จารกรรมเทคโนโลยี” จากจีน

    เรื่องนี้เริ่มต้นจากจดหมายของสองสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้แก่ John Moolenaar (รีพับลิกัน) และ Raja Krishnamoorthi (เดโมแครต) จากคณะกรรมการ Select Committee on China ที่ส่งถึงบริษัท Futurewei ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและพัฒนาในสหรัฐฯ แต่ถูกระบุว่าเป็น “บริษัทย่อยของ Huawei” ตามเอกสารที่ยื่นในเดือนพฤษภาคม 2025

    สิ่งที่น่ากังวลคือ Futurewei ได้แชร์พื้นที่สำนักงานกับ Nvidia ที่เมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นเวลานานกว่า 10 ปี โดยถือสัญญาเช่าหลักในอาคาร 3 หลัง ก่อนที่ Nvidia จะเข้าครอบครองเต็มรูปแบบในปี 2024 ซึ่งนักการเมืองสหรัฐฯ มองว่า การอยู่ใกล้กันเช่นนี้อาจเปิดช่องให้ Futurewei เข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์และ AI ขั้นสูงของสหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องเจาะระบบ

    นอกจากนี้ยังมีการอ้างถึงเหตุการณ์ในปี 2018 ที่พนักงานของ Futurewei ถูกกล่าวหาว่าใช้ชื่อบริษัทปลอมเพื่อแอบเข้าร่วมงานประชุมของ Facebook ที่ Huawei ถูกแบน ซึ่งยิ่งเพิ่มความสงสัยว่า Futurewei อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสอดแนมทางเทคโนโลยี

    แม้ Nvidia จะออกมายืนยันว่า “แม้จะมีเพื่อนบ้าน แต่เราดำเนินงานในพื้นที่เฉพาะของ Nvidia เท่านั้น” แต่คณะกรรมการสภาฯ ยังคงเรียกร้องให้ Futurewei ส่งเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กับ Huawei และเหตุผลในการเลือกสถานที่ตั้งสำนักงานดังกล่าวภายในวันที่ 28 กันยายนนี้

    Futurewei ถูกกล่าวหาว่าเป็นบริษัทย่อยของ Huawei
    อ้างอิงจากเอกสารที่ยื่นในเดือนพฤษภาคม 2025
    มีพนักงานประมาณ 400 คน ตั้งอยู่ในซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย

    แชร์พื้นที่สำนักงานกับ Nvidia นานกว่า 10 ปี
    Futurewei ถือสัญญาเช่าหลักในอาคาร 3 หลัง
    Nvidia เข้าครอบครองพื้นที่เต็มรูปแบบในปี 2024

    สภาคองเกรสสหรัฐฯ เปิดสอบข้อกล่าวหาการจารกรรมเทคโนโลยี
    ส่งจดหมายเรียกร้องเอกสารเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับ Huawei
    ขอข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกสถานที่ตั้งและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Nvidia

    เหตุการณ์ในปี 2018 เพิ่มความสงสัย
    พนักงาน Futurewei ถูกกล่าวหาว่าใช้ชื่อบริษัทปลอมเพื่อเข้าร่วมงาน Facebook Summit
    Huawei ถูกแบนจากงานดังกล่าวในขณะนั้น

    Nvidia ยืนยันความปลอดภัยของพื้นที่ทำงาน
    ระบุว่า “เราดำเนินงานในพื้นที่เฉพาะของ Nvidia เท่านั้น”
    ไม่ได้มีการแชร์ระบบหรือข้อมูลร่วมกัน

    https://www.techradar.com/pro/security/nvidia-and-a-huawei-subsidiary-shared-a-building-now-its-being-probed-for-chinese-espionage
    📰 Futurewei แชร์อาคารกับ Nvidia นานนับสิบปี — สภาคองเกรสสหรัฐฯ เปิดสอบข้อกล่าวหา “จารกรรมเทคโนโลยี” จากจีน เรื่องนี้เริ่มต้นจากจดหมายของสองสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้แก่ John Moolenaar (รีพับลิกัน) และ Raja Krishnamoorthi (เดโมแครต) จากคณะกรรมการ Select Committee on China ที่ส่งถึงบริษัท Futurewei ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและพัฒนาในสหรัฐฯ แต่ถูกระบุว่าเป็น “บริษัทย่อยของ Huawei” ตามเอกสารที่ยื่นในเดือนพฤษภาคม 2025 สิ่งที่น่ากังวลคือ Futurewei ได้แชร์พื้นที่สำนักงานกับ Nvidia ที่เมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นเวลานานกว่า 10 ปี โดยถือสัญญาเช่าหลักในอาคาร 3 หลัง ก่อนที่ Nvidia จะเข้าครอบครองเต็มรูปแบบในปี 2024 ซึ่งนักการเมืองสหรัฐฯ มองว่า การอยู่ใกล้กันเช่นนี้อาจเปิดช่องให้ Futurewei เข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์และ AI ขั้นสูงของสหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องเจาะระบบ นอกจากนี้ยังมีการอ้างถึงเหตุการณ์ในปี 2018 ที่พนักงานของ Futurewei ถูกกล่าวหาว่าใช้ชื่อบริษัทปลอมเพื่อแอบเข้าร่วมงานประชุมของ Facebook ที่ Huawei ถูกแบน ซึ่งยิ่งเพิ่มความสงสัยว่า Futurewei อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสอดแนมทางเทคโนโลยี แม้ Nvidia จะออกมายืนยันว่า “แม้จะมีเพื่อนบ้าน แต่เราดำเนินงานในพื้นที่เฉพาะของ Nvidia เท่านั้น” แต่คณะกรรมการสภาฯ ยังคงเรียกร้องให้ Futurewei ส่งเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กับ Huawei และเหตุผลในการเลือกสถานที่ตั้งสำนักงานดังกล่าวภายในวันที่ 28 กันยายนนี้ ✅ Futurewei ถูกกล่าวหาว่าเป็นบริษัทย่อยของ Huawei ➡️ อ้างอิงจากเอกสารที่ยื่นในเดือนพฤษภาคม 2025 ➡️ มีพนักงานประมาณ 400 คน ตั้งอยู่ในซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย ✅ แชร์พื้นที่สำนักงานกับ Nvidia นานกว่า 10 ปี ➡️ Futurewei ถือสัญญาเช่าหลักในอาคาร 3 หลัง ➡️ Nvidia เข้าครอบครองพื้นที่เต็มรูปแบบในปี 2024 ✅ สภาคองเกรสสหรัฐฯ เปิดสอบข้อกล่าวหาการจารกรรมเทคโนโลยี ➡️ ส่งจดหมายเรียกร้องเอกสารเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับ Huawei ➡️ ขอข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกสถานที่ตั้งและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Nvidia ✅ เหตุการณ์ในปี 2018 เพิ่มความสงสัย ➡️ พนักงาน Futurewei ถูกกล่าวหาว่าใช้ชื่อบริษัทปลอมเพื่อเข้าร่วมงาน Facebook Summit ➡️ Huawei ถูกแบนจากงานดังกล่าวในขณะนั้น ✅ Nvidia ยืนยันความปลอดภัยของพื้นที่ทำงาน ➡️ ระบุว่า “เราดำเนินงานในพื้นที่เฉพาะของ Nvidia เท่านั้น” ➡️ ไม่ได้มีการแชร์ระบบหรือข้อมูลร่วมกัน https://www.techradar.com/pro/security/nvidia-and-a-huawei-subsidiary-shared-a-building-now-its-being-probed-for-chinese-espionage
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/ZN-1PEqrTzc?feature=shared
    https://youtu.be/ZN-1PEqrTzc?feature=shared
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • “GStreamer 1.26.6 อัปเดตใหม่ รองรับ WVC1 และ WMV3 บน Video4Linux2 — เสริมพลังมัลติมีเดียให้ลินุกซ์ยุคใหม่”

    GStreamer เฟรมเวิร์กมัลติมีเดียโอเพ่นซอร์สยอดนิยม ได้ปล่อยเวอร์ชัน 1.26.6 ซึ่งเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาครั้งที่ 6 ในซีรีส์ 1.26 โดยมุ่งเน้นการเพิ่มความสามารถและเสถียรภาพให้กับระบบวิดีโอบน Linux โดยเฉพาะผ่าน API Video4Linux2 (V4L2)

    หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเพิ่มการรองรับ codec WVC1 และ WMV3 ซึ่งเป็นฟอร์แมตวิดีโอยอดนิยมในยุคก่อน โดยเฉพาะในไฟล์ Windows Media Video ที่ยังคงมีการใช้งานอยู่ในหลายระบบ การรองรับนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเล่นไฟล์เก่าได้โดยไม่ต้องแปลงฟอร์แมต

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงในหลายส่วน เช่น การเพิ่ม blocking adapter element ในปลั๊กอิน threadshare เพื่อช่วยจัดการกับ block elements อย่าง sinks ที่ต้อง sync กับ clock, การอัปเดต librespot library เป็นเวอร์ชัน 0.7 เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงล่าสุดของ Spotify และการปรับปรุงประสิทธิภาพของปลั๊กอิน videorate เมื่อทำงานในโหมด drop-only

    ยังมีการแก้ไขบั๊กหลายรายการ เช่น ปัญหา decklinkvideosrc ที่เข้าสู่สถานะ unrecoverable เมื่ออุปกรณ์ไม่พร้อมใช้งาน, การ parsing ของ directive ใน hlsdemux2, และการแก้ไข memory leak ในหลายองค์ประกอบ รวมถึงการปรับปรุง decoder สำหรับ Vulkan และการลดการใช้ทรัพยากรใน Cerbero build system

    การอัปเดตนี้ยังแก้ regression ใน Python bindings และปรับปรุงเสถียรภาพโดยรวมของระบบ GStreamer ให้พร้อมสำหรับการใช้งานในระดับ production ทั้งในงานสตรีมมิ่ง การตัดต่อ และการพัฒนาแอปมัลติมีเดีย

    ฟีเจอร์ใหม่ใน GStreamer 1.26.6
    รองรับ codec WVC1 และ WMV3 บน Video4Linux2 (V4L2)
    เพิ่ม blocking adapter element ในปลั๊กอิน threadshare สำหรับการ sync กับ clock
    อัปเดต librespot library เป็นเวอร์ชัน 0.7 เพื่อรองรับ Spotify รุ่นใหม่
    ปรับปรุงปลั๊กอิน videorate ให้ทำงานได้ดีขึ้นในโหมด drop-only

    การแก้ไขและปรับปรุงระบบ
    แก้ปัญหา decklinkvideosrc ที่ไม่สามารถเริ่มสตรีมเมื่ออุปกรณ์ไม่พร้อม
    ปรับปรุงการ parsing directive ใน hlsdemux2 เช่น byterange และ init map
    แก้ไข memory leak และปรับปรุงเสถียรภาพใน transcriberbin และ fallbacksrc
    ปรับปรุง decoder สำหรับ Vulkan และลดการใช้ทรัพยากรใน Cerbero build system

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    WVC1 และ WMV3 เป็น codec ที่ใช้ในไฟล์วิดีโอ Windows Media ซึ่งยังพบในระบบเก่า
    Video4Linux2 เป็น API มาตรฐานสำหรับจัดการอุปกรณ์วิดีโอบน Linux
    librespot เป็นไลบรารีที่ใช้สำหรับการสตรีม Spotify แบบไม่เป็นทางการ
    GStreamer ถูกใช้ในแอปพลิเคชันหลากหลาย เช่น OBS Studio, PipeWire และ Firefox

    https://9to5linux.com/gstreamer-1-26-6-adds-support-for-wvc1-and-wmv3-codecs-to-video4linux2
    🎬 “GStreamer 1.26.6 อัปเดตใหม่ รองรับ WVC1 และ WMV3 บน Video4Linux2 — เสริมพลังมัลติมีเดียให้ลินุกซ์ยุคใหม่” GStreamer เฟรมเวิร์กมัลติมีเดียโอเพ่นซอร์สยอดนิยม ได้ปล่อยเวอร์ชัน 1.26.6 ซึ่งเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาครั้งที่ 6 ในซีรีส์ 1.26 โดยมุ่งเน้นการเพิ่มความสามารถและเสถียรภาพให้กับระบบวิดีโอบน Linux โดยเฉพาะผ่าน API Video4Linux2 (V4L2) หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเพิ่มการรองรับ codec WVC1 และ WMV3 ซึ่งเป็นฟอร์แมตวิดีโอยอดนิยมในยุคก่อน โดยเฉพาะในไฟล์ Windows Media Video ที่ยังคงมีการใช้งานอยู่ในหลายระบบ การรองรับนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเล่นไฟล์เก่าได้โดยไม่ต้องแปลงฟอร์แมต นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงในหลายส่วน เช่น การเพิ่ม blocking adapter element ในปลั๊กอิน threadshare เพื่อช่วยจัดการกับ block elements อย่าง sinks ที่ต้อง sync กับ clock, การอัปเดต librespot library เป็นเวอร์ชัน 0.7 เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงล่าสุดของ Spotify และการปรับปรุงประสิทธิภาพของปลั๊กอิน videorate เมื่อทำงานในโหมด drop-only ยังมีการแก้ไขบั๊กหลายรายการ เช่น ปัญหา decklinkvideosrc ที่เข้าสู่สถานะ unrecoverable เมื่ออุปกรณ์ไม่พร้อมใช้งาน, การ parsing ของ directive ใน hlsdemux2, และการแก้ไข memory leak ในหลายองค์ประกอบ รวมถึงการปรับปรุง decoder สำหรับ Vulkan และการลดการใช้ทรัพยากรใน Cerbero build system การอัปเดตนี้ยังแก้ regression ใน Python bindings และปรับปรุงเสถียรภาพโดยรวมของระบบ GStreamer ให้พร้อมสำหรับการใช้งานในระดับ production ทั้งในงานสตรีมมิ่ง การตัดต่อ และการพัฒนาแอปมัลติมีเดีย ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน GStreamer 1.26.6 ➡️ รองรับ codec WVC1 และ WMV3 บน Video4Linux2 (V4L2) ➡️ เพิ่ม blocking adapter element ในปลั๊กอิน threadshare สำหรับการ sync กับ clock ➡️ อัปเดต librespot library เป็นเวอร์ชัน 0.7 เพื่อรองรับ Spotify รุ่นใหม่ ➡️ ปรับปรุงปลั๊กอิน videorate ให้ทำงานได้ดีขึ้นในโหมด drop-only ✅ การแก้ไขและปรับปรุงระบบ ➡️ แก้ปัญหา decklinkvideosrc ที่ไม่สามารถเริ่มสตรีมเมื่ออุปกรณ์ไม่พร้อม ➡️ ปรับปรุงการ parsing directive ใน hlsdemux2 เช่น byterange และ init map ➡️ แก้ไข memory leak และปรับปรุงเสถียรภาพใน transcriberbin และ fallbacksrc ➡️ ปรับปรุง decoder สำหรับ Vulkan และลดการใช้ทรัพยากรใน Cerbero build system ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ WVC1 และ WMV3 เป็น codec ที่ใช้ในไฟล์วิดีโอ Windows Media ซึ่งยังพบในระบบเก่า ➡️ Video4Linux2 เป็น API มาตรฐานสำหรับจัดการอุปกรณ์วิดีโอบน Linux ➡️ librespot เป็นไลบรารีที่ใช้สำหรับการสตรีม Spotify แบบไม่เป็นทางการ ➡️ GStreamer ถูกใช้ในแอปพลิเคชันหลากหลาย เช่น OBS Studio, PipeWire และ Firefox https://9to5linux.com/gstreamer-1-26-6-adds-support-for-wvc1-and-wmv3-codecs-to-video4linux2
    9TO5LINUX.COM
    GStreamer 1.26.6 Adds Support for WVC1 and WMV3 Codecs to Video4Linux2 - 9to5Linux
    GStreamer 1.26.6 open-source multimedia framework is now available for download with various improvements and bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • mRNA ทำลาย 60% ของ ไข่ ในรังไข่ของ เด็กๆ และสาวๆ อย่าแปลกใจว่า ทำไม
    หลังฉีด mRNA แล้ว ประจำเดือนมาผิดปกติ
    แล้ว เข้าวัยทองเร็ว
    หรือ ฉีดแล้ว "เป็นหมัน"!!
    https://www.facebook.com/share/v/1CLgDfWYjt/
    ✍️mRNA ทำลาย 60% ของ ไข่ ในรังไข่ของ เด็กๆ และสาวๆ อย่าแปลกใจว่า ทำไม หลังฉีด 💉☠️ mRNA แล้ว ประจำเดือนมาผิดปกติ แล้ว เข้าวัยทองเร็ว หรือ ฉีดแล้ว "เป็นหมัน"!! https://www.facebook.com/share/v/1CLgDfWYjt/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.facebook.com/share/p/16ttvAyJvk/
    https://www.facebook.com/share/p/16ttvAyJvk/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากชาวนา 3 คนถึงเจ้าที่ดิน: เมื่อแรงงานไม่ใช่คำตอบของความอยู่รอด

    บทความนี้พาเราไปสำรวจชีวิตของชาวนา 3 กลุ่ม—The Smalls, The Middles, และ The Biggs—ที่มีแรงงานในครัวเรือนต่างกัน แต่ต้องเผชิญกับปัญหาเดียวกัน: พวกเขามีที่ดินน้อยเกินไปที่จะผลิตอาหารพอเลี้ยงครอบครัวได้

    แม้จะมีแรงงานเหลือเฟือ แต่ที่ดินที่ถือครองจริงกลับมีขนาดเล็กมาก เช่น 3–6 iugera (ประมาณ 1.8–3.8 เอเคอร์) ซึ่งไม่เพียงพอต่อการผลิตอาหารให้ครบตามความต้องการพื้นฐาน แม้จะใช้วิธีปลูกพืชที่ให้พลังงานสูงอย่างข้าวสาลี หรือเสริมด้วยสวนครัว ก็ยังไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้

    ทางออกเดียวคือ “การเช่าที่ดิน” จากเจ้าที่ดินหรือชาวนารวย ซึ่งมักมาในรูปแบบของการแบ่งผลผลิต (sharecropping) โดยชาวนาต้องแบ่งผลผลิตครึ่งหนึ่งให้เจ้าของที่ดิน แม้จะเป็นวิธีที่ช่วยให้มีที่ดินทำกินเพิ่ม แต่ก็ทำให้ผลผลิตสุทธิต่อแรงงานลดลงอย่างมาก

    เมื่อรวมแรงงานที่ต้องใช้ในการทำไร่, ซ่อมแซมเครื่องมือ, และแรงงานที่ถูกสกัดออกไปในรูปแบบของภาษี, แรงงานบังคับ (corvée), หรือการเกณฑ์ทหาร ชาวนาจึงต้องทำงานหนักถึง 2,500–3,600 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งมากกว่าคนทำงานในยุคปัจจุบัน แต่กลับได้ผลตอบแทนต่ำกว่ามาก

    ขนาดที่ดินของชาวนาในยุคก่อน
    โดยเฉลี่ยถือครองเพียง 3–6 iugera (1.8–3.8 เอเคอร์)
    ไม่เพียงพอต่อการผลิตอาหารให้ครบตามความต้องการ

    การเช่าที่ดินและระบบแบ่งผลผลิต
    ชาวนาต้องแบ่งผลผลิต 50% ให้เจ้าของที่ดิน
    ลดประสิทธิภาพการผลิตต่อแรงงานลงอย่างมาก

    ความพยายามในการเพิ่มผลผลิต
    ปลูกข้าวสาลีเพื่อเพิ่มพลังงานต่อพื้นที่
    ใช้สวนครัวเพื่อเสริมอาหาร แต่ไม่สามารถเก็บรักษาได้นาน

    การใช้แรงงานในครัวเรือน
    ชาวนามีแรงงานเหลือเฟือแต่ไม่มีที่ดินพอใช้
    ต้องทำงานหนักถึง 2,500–3,600 ชั่วโมงต่อปี

    รูปแบบการสกัดแรงงานจากชาวนา
    ภาษีสูงถึง 50% ในบางพื้นที่ เช่น อียิปต์ยุคโรมัน
    แรงงานบังคับ (corvée) เช่น สร้างถนน, ป้อมปราการ
    การเกณฑ์ทหาร เช่น ระบบ dilectus ของโรมัน

    ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
    ชาวนาไม่สามารถเข้าถึง “ตะกร้าแห่งเกียรติ” (respectability basket)
    ส่วนใหญ่ทำงานเพื่อให้ได้แค่ “อยู่รอดและอีกนิด” เท่านั้น

    https://acoup.blog/2025/09/12/collections-life-work-death-and-the-peasant-part-ivc-rent-and-extraction/
    🎙️ เรื่องเล่าจากชาวนา 3 คนถึงเจ้าที่ดิน: เมื่อแรงงานไม่ใช่คำตอบของความอยู่รอด บทความนี้พาเราไปสำรวจชีวิตของชาวนา 3 กลุ่ม—The Smalls, The Middles, และ The Biggs—ที่มีแรงงานในครัวเรือนต่างกัน แต่ต้องเผชิญกับปัญหาเดียวกัน: พวกเขามีที่ดินน้อยเกินไปที่จะผลิตอาหารพอเลี้ยงครอบครัวได้ แม้จะมีแรงงานเหลือเฟือ แต่ที่ดินที่ถือครองจริงกลับมีขนาดเล็กมาก เช่น 3–6 iugera (ประมาณ 1.8–3.8 เอเคอร์) ซึ่งไม่เพียงพอต่อการผลิตอาหารให้ครบตามความต้องการพื้นฐาน แม้จะใช้วิธีปลูกพืชที่ให้พลังงานสูงอย่างข้าวสาลี หรือเสริมด้วยสวนครัว ก็ยังไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ทางออกเดียวคือ “การเช่าที่ดิน” จากเจ้าที่ดินหรือชาวนารวย ซึ่งมักมาในรูปแบบของการแบ่งผลผลิต (sharecropping) โดยชาวนาต้องแบ่งผลผลิตครึ่งหนึ่งให้เจ้าของที่ดิน แม้จะเป็นวิธีที่ช่วยให้มีที่ดินทำกินเพิ่ม แต่ก็ทำให้ผลผลิตสุทธิต่อแรงงานลดลงอย่างมาก เมื่อรวมแรงงานที่ต้องใช้ในการทำไร่, ซ่อมแซมเครื่องมือ, และแรงงานที่ถูกสกัดออกไปในรูปแบบของภาษี, แรงงานบังคับ (corvée), หรือการเกณฑ์ทหาร ชาวนาจึงต้องทำงานหนักถึง 2,500–3,600 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งมากกว่าคนทำงานในยุคปัจจุบัน แต่กลับได้ผลตอบแทนต่ำกว่ามาก ✅ ขนาดที่ดินของชาวนาในยุคก่อน ➡️ โดยเฉลี่ยถือครองเพียง 3–6 iugera (1.8–3.8 เอเคอร์) ➡️ ไม่เพียงพอต่อการผลิตอาหารให้ครบตามความต้องการ ✅ การเช่าที่ดินและระบบแบ่งผลผลิต ➡️ ชาวนาต้องแบ่งผลผลิต 50% ให้เจ้าของที่ดิน ➡️ ลดประสิทธิภาพการผลิตต่อแรงงานลงอย่างมาก ✅ ความพยายามในการเพิ่มผลผลิต ➡️ ปลูกข้าวสาลีเพื่อเพิ่มพลังงานต่อพื้นที่ ➡️ ใช้สวนครัวเพื่อเสริมอาหาร แต่ไม่สามารถเก็บรักษาได้นาน ✅ การใช้แรงงานในครัวเรือน ➡️ ชาวนามีแรงงานเหลือเฟือแต่ไม่มีที่ดินพอใช้ ➡️ ต้องทำงานหนักถึง 2,500–3,600 ชั่วโมงต่อปี ✅ รูปแบบการสกัดแรงงานจากชาวนา ➡️ ภาษีสูงถึง 50% ในบางพื้นที่ เช่น อียิปต์ยุคโรมัน ➡️ แรงงานบังคับ (corvée) เช่น สร้างถนน, ป้อมปราการ ➡️ การเกณฑ์ทหาร เช่น ระบบ dilectus ของโรมัน ✅ ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ➡️ ชาวนาไม่สามารถเข้าถึง “ตะกร้าแห่งเกียรติ” (respectability basket) ➡️ ส่วนใหญ่ทำงานเพื่อให้ได้แค่ “อยู่รอดและอีกนิด” เท่านั้น https://acoup.blog/2025/09/12/collections-life-work-death-and-the-peasant-part-ivc-rent-and-extraction/
    ACOUP.BLOG
    Collections: Life, Work, Death and the Peasant, Part IVc: Rent and Extraction
    This is the third piece of the fourth part of our series (I, II, IIIa, IIIb, IVa, IVb) looking at the lives of pre-modern peasant farmers – a majority of all of the humans who have ever lived. Last…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Qwen3 สู่ Qwen3-Next: เมื่อโมเดล 80B ทำงานได้เท่ากับ 235B โดยใช้พลังแค่ 3B

    ในเดือนกันยายน 2025 ทีม Qwen จาก Alibaba ได้เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อว่า Qwen3-Next ซึ่งเป็นการพัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ที่เน้น “ประสิทธิภาพต่อพารามิเตอร์” และ “ความเร็วในการประมวลผลข้อความยาว” โดยใช้แนวคิดใหม่ทั้งในด้าน attention, sparsity และการพยากรณ์หลาย token พร้อมกัน

    Qwen3-Next มีพารามิเตอร์รวม 80 พันล้าน แต่เปิดใช้งานจริงเพียง 3 พันล้านระหว่างการ inference ซึ่งทำให้สามารถเทียบเคียงกับ Qwen3-235B ได้ในหลายงาน โดยใช้ต้นทุนการฝึกเพียง 9.3% ของ Qwen3-32B2

    หัวใจของ Qwen3-Next คือการผสมผสานระหว่าง Gated DeltaNet (linear attention ที่เร็วแต่แม่น) กับ standard attention (ที่แม่นแต่ช้า) ในอัตราส่วน 3:1 พร้อมเพิ่ม gating, rotary encoding แบบบางส่วน และการขยายขนาด head dimension เพื่อรองรับข้อความยาวถึง 256K tokens ได้อย่างเสถียร

    ในส่วนของ MoE (Mixture-of-Experts) Qwen3-Next ใช้โครงสร้าง ultra-sparse โดยมี 512 experts แต่เปิดใช้งานเพียง 10 + 1 shared expert ต่อ step ซึ่งทำให้ลดการใช้พลังงานและเพิ่ม throughput ได้มากกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน

    นอกจากนี้ยังมีการออกแบบเพื่อความเสถียร เช่น Zero-Centered RMSNorm, weight decay เฉพาะ norm weights และการ normalize router parameters ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้การฝึกมีความนิ่งและไม่เกิดปัญหา activation ผิดปกติ

    Qwen3-Next ยังมาพร้อม Multi-Token Prediction (MTP) ที่ช่วยให้การ inference แบบ speculative decoding มีความแม่นยำและเร็วขึ้น โดยสามารถใช้งานผ่าน Hugging Face, ModelScope, SGLang และ vLLM ได้ทันที

    สถาปัตยกรรมใหม่ของ Qwen3-Next
    ใช้ hybrid attention: Gated DeltaNet + standard attention (อัตราส่วน 3:1)
    เพิ่ม gating, rotary encoding เฉพาะ 25% ของ position dimension
    ขยาย head dimension จาก 128 เป็น 256 เพื่อรองรับข้อความยาว

    โครงสร้าง MoE แบบ ultra-sparse
    มี 512 experts แต่เปิดใช้งานเพียง 10 + 1 shared expert ต่อ step
    ลดการใช้พลังงานและเพิ่ม throughput ได้มากกว่า 10 เท่า
    ใช้ global load balancing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฝึก

    การออกแบบเพื่อความเสถียรในการฝึก
    ใช้ Zero-Centered RMSNorm แทน QK-Norm
    เพิ่ม weight decay เฉพาะ norm weights เพื่อป้องกันการโตผิดปกติ
    normalize router parameters ตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อความนิ่ง

    ประสิทธิภาพของโมเดล
    Qwen3-Next-80B-A3B-Base เทียบเท่าหรือดีกว่า Qwen3-32B โดยใช้พลังแค่ 10%
    Qwen3-Next-Instruct เทียบเคียง Qwen3-235B-A22B-Instruct-2507 ในงาน context ยาว
    Qwen3-Next-Thinking ชนะ Gemini-2.5-Flash-Thinking ในหลาย benchmark

    การใช้งานและ deployment
    รองรับ context สูงสุด 256K tokens และสามารถขยายถึง 1M ด้วยเทคนิค YaRN
    ใช้งานผ่าน Hugging Face, ModelScope, SGLang, vLLM ได้ทันที
    รองรับ speculative decoding ผ่าน MTP module

    https://qwen.ai/blog?id=4074cca80393150c248e508aa62983f9cb7d27cd&from=research.latest-advancements-list
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Qwen3 สู่ Qwen3-Next: เมื่อโมเดล 80B ทำงานได้เท่ากับ 235B โดยใช้พลังแค่ 3B ในเดือนกันยายน 2025 ทีม Qwen จาก Alibaba ได้เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อว่า Qwen3-Next ซึ่งเป็นการพัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ที่เน้น “ประสิทธิภาพต่อพารามิเตอร์” และ “ความเร็วในการประมวลผลข้อความยาว” โดยใช้แนวคิดใหม่ทั้งในด้าน attention, sparsity และการพยากรณ์หลาย token พร้อมกัน Qwen3-Next มีพารามิเตอร์รวม 80 พันล้าน แต่เปิดใช้งานจริงเพียง 3 พันล้านระหว่างการ inference ซึ่งทำให้สามารถเทียบเคียงกับ Qwen3-235B ได้ในหลายงาน โดยใช้ต้นทุนการฝึกเพียง 9.3% ของ Qwen3-32B2 หัวใจของ Qwen3-Next คือการผสมผสานระหว่าง Gated DeltaNet (linear attention ที่เร็วแต่แม่น) กับ standard attention (ที่แม่นแต่ช้า) ในอัตราส่วน 3:1 พร้อมเพิ่ม gating, rotary encoding แบบบางส่วน และการขยายขนาด head dimension เพื่อรองรับข้อความยาวถึง 256K tokens ได้อย่างเสถียร ในส่วนของ MoE (Mixture-of-Experts) Qwen3-Next ใช้โครงสร้าง ultra-sparse โดยมี 512 experts แต่เปิดใช้งานเพียง 10 + 1 shared expert ต่อ step ซึ่งทำให้ลดการใช้พลังงานและเพิ่ม throughput ได้มากกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน นอกจากนี้ยังมีการออกแบบเพื่อความเสถียร เช่น Zero-Centered RMSNorm, weight decay เฉพาะ norm weights และการ normalize router parameters ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้การฝึกมีความนิ่งและไม่เกิดปัญหา activation ผิดปกติ Qwen3-Next ยังมาพร้อม Multi-Token Prediction (MTP) ที่ช่วยให้การ inference แบบ speculative decoding มีความแม่นยำและเร็วขึ้น โดยสามารถใช้งานผ่าน Hugging Face, ModelScope, SGLang และ vLLM ได้ทันที ✅ สถาปัตยกรรมใหม่ของ Qwen3-Next ➡️ ใช้ hybrid attention: Gated DeltaNet + standard attention (อัตราส่วน 3:1) ➡️ เพิ่ม gating, rotary encoding เฉพาะ 25% ของ position dimension ➡️ ขยาย head dimension จาก 128 เป็น 256 เพื่อรองรับข้อความยาว ✅ โครงสร้าง MoE แบบ ultra-sparse ➡️ มี 512 experts แต่เปิดใช้งานเพียง 10 + 1 shared expert ต่อ step ➡️ ลดการใช้พลังงานและเพิ่ม throughput ได้มากกว่า 10 เท่า ➡️ ใช้ global load balancing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฝึก ✅ การออกแบบเพื่อความเสถียรในการฝึก ➡️ ใช้ Zero-Centered RMSNorm แทน QK-Norm ➡️ เพิ่ม weight decay เฉพาะ norm weights เพื่อป้องกันการโตผิดปกติ ➡️ normalize router parameters ตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อความนิ่ง ✅ ประสิทธิภาพของโมเดล ➡️ Qwen3-Next-80B-A3B-Base เทียบเท่าหรือดีกว่า Qwen3-32B โดยใช้พลังแค่ 10% ➡️ Qwen3-Next-Instruct เทียบเคียง Qwen3-235B-A22B-Instruct-2507 ในงาน context ยาว ➡️ Qwen3-Next-Thinking ชนะ Gemini-2.5-Flash-Thinking ในหลาย benchmark ✅ การใช้งานและ deployment ➡️ รองรับ context สูงสุด 256K tokens และสามารถขยายถึง 1M ด้วยเทคนิค YaRN ➡️ ใช้งานผ่าน Hugging Face, ModelScope, SGLang, vLLM ได้ทันที ➡️ รองรับ speculative decoding ผ่าน MTP module https://qwen.ai/blog?id=4074cca80393150c248e508aa62983f9cb7d27cd&from=research.latest-advancements-list
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • “EggStreme: มัลแวร์ไร้ไฟล์จากจีน เจาะระบบทหารฟิลิปปินส์ — เงียบแต่ลึก พร้อมระบบสอดแนมครบวงจร”

    Bitdefender เผยรายงานล่าสุดเกี่ยวกับมัลแวร์ใหม่ชื่อ “EggStreme” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อมโยงกับจีนในการโจมตีบริษัทด้านการทหารของฟิลิปปินส์ โดยมัลแวร์นี้มีลักษณะ “fileless” คือไม่ทิ้งร่องรอยไว้ในระบบไฟล์ ทำให้ตรวจจับได้ยาก และสามารถฝังตัวในหน่วยความจำเพื่อสอดแนมและควบคุมระบบได้อย่างต่อเนื่อง

    EggStreme เป็นชุดเครื่องมือแบบหลายขั้นตอน ประกอบด้วย 6 โมดูล ได้แก่ EggStremeFuel, EggStremeLoader, EggStremeReflectiveLoader, EggStremeAgent, EggStremeKeylogger และ EggStremeWizard ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างช่องทางสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2), ดึงข้อมูล, ควบคุมระบบ, และติดตั้ง backdoor สำรอง

    การโจมตีเริ่มจากการ sideload DLL ผ่านโปรแกรมที่เชื่อถือได้ เช่น mscorsvc.dll ซึ่งถูกฝังในระบบผ่าน batch script ที่รันจาก SMB share โดยไม่ทราบวิธีการเข้าถึงในขั้นต้น จากนั้นมัลแวร์จะค่อย ๆ โหลด payload เข้าสู่หน่วยความจำ และเปิดช่องทางสื่อสารแบบ gRPC เพื่อควบคุมระบบจากระยะไกล

    EggStremeAgent ซึ่งเป็นแกนหลักของระบบ มีคำสั่งมากถึง 58 แบบ เช่น การตรวจสอบระบบ, การยกระดับสิทธิ์, การเคลื่อนที่ในเครือข่าย, การดึงข้อมูล และการฝัง keylogger เพื่อเก็บข้อมูลการพิมพ์ของผู้ใช้ โดยมัลแวร์นี้ยังสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับจาก antivirus ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    แม้ Bitdefender จะไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ากลุ่มใดเป็นผู้โจมตี แต่เป้าหมายและวิธีการสอดคล้องกับกลุ่ม APT จากจีนที่เคยโจมตีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น เวียดนาม ไต้หวัน และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะในบริบทของความขัดแย้งในทะเลจีนใต้

    รายละเอียดของมัลแวร์ EggStreme
    เป็นมัลแวร์แบบ fileless ที่ทำงานในหน่วยความจำโดยไม่แตะระบบไฟล์
    ใช้ DLL sideloading ผ่านโปรแกรมที่เชื่อถือได้ เช่น mscorsvc.dll
    ประกอบด้วย 6 โมดูลหลักที่ทำงานร่วมกันแบบหลายขั้นตอน
    สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน gRPC เพื่อควบคุมระบบจากระยะไกล

    ความสามารถของแต่ละโมดูล
    EggStremeFuel: โหลด DLL เริ่มต้น, เปิด reverse shell, ตรวจสอบระบบ
    EggStremeLoader: อ่าน payload ที่เข้ารหัสและ inject เข้าสู่ process
    EggStremeReflectiveLoader: ถอดรหัสและเรียกใช้ payload สุดท้าย
    EggStremeAgent: backdoor หลัก มีคำสั่ง 58 แบบสำหรับควบคุมระบบ
    EggStremeKeylogger: ดักจับการพิมพ์และข้อมูลผู้ใช้
    EggStremeWizard: backdoor สำรองสำหรับ reverse shell และการอัปโหลดไฟล์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การโจมตีเริ่มจาก batch script บน SMB share โดยไม่ทราบวิธีการวางไฟล์
    เทคนิค fileless และ DLL sideloading ทำให้หลบเลี่ยงการตรวจจับได้ดี
    การใช้โมดูลแบบหลายขั้นตอนช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจพบ
    เป้าหมายของการโจมตีคือการสอดแนมระยะยาวและการเข้าถึงแบบถาวร

    https://www.techradar.com/pro/security/china-related-threat-actors-deployed-a-new-fileless-malware-against-the-philippines-military
    🕵️‍♂️ “EggStreme: มัลแวร์ไร้ไฟล์จากจีน เจาะระบบทหารฟิลิปปินส์ — เงียบแต่ลึก พร้อมระบบสอดแนมครบวงจร” Bitdefender เผยรายงานล่าสุดเกี่ยวกับมัลแวร์ใหม่ชื่อ “EggStreme” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อมโยงกับจีนในการโจมตีบริษัทด้านการทหารของฟิลิปปินส์ โดยมัลแวร์นี้มีลักษณะ “fileless” คือไม่ทิ้งร่องรอยไว้ในระบบไฟล์ ทำให้ตรวจจับได้ยาก และสามารถฝังตัวในหน่วยความจำเพื่อสอดแนมและควบคุมระบบได้อย่างต่อเนื่อง EggStreme เป็นชุดเครื่องมือแบบหลายขั้นตอน ประกอบด้วย 6 โมดูล ได้แก่ EggStremeFuel, EggStremeLoader, EggStremeReflectiveLoader, EggStremeAgent, EggStremeKeylogger และ EggStremeWizard ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างช่องทางสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2), ดึงข้อมูล, ควบคุมระบบ, และติดตั้ง backdoor สำรอง การโจมตีเริ่มจากการ sideload DLL ผ่านโปรแกรมที่เชื่อถือได้ เช่น mscorsvc.dll ซึ่งถูกฝังในระบบผ่าน batch script ที่รันจาก SMB share โดยไม่ทราบวิธีการเข้าถึงในขั้นต้น จากนั้นมัลแวร์จะค่อย ๆ โหลด payload เข้าสู่หน่วยความจำ และเปิดช่องทางสื่อสารแบบ gRPC เพื่อควบคุมระบบจากระยะไกล EggStremeAgent ซึ่งเป็นแกนหลักของระบบ มีคำสั่งมากถึง 58 แบบ เช่น การตรวจสอบระบบ, การยกระดับสิทธิ์, การเคลื่อนที่ในเครือข่าย, การดึงข้อมูล และการฝัง keylogger เพื่อเก็บข้อมูลการพิมพ์ของผู้ใช้ โดยมัลแวร์นี้ยังสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับจาก antivirus ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ Bitdefender จะไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ากลุ่มใดเป็นผู้โจมตี แต่เป้าหมายและวิธีการสอดคล้องกับกลุ่ม APT จากจีนที่เคยโจมตีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น เวียดนาม ไต้หวัน และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะในบริบทของความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ✅ รายละเอียดของมัลแวร์ EggStreme ➡️ เป็นมัลแวร์แบบ fileless ที่ทำงานในหน่วยความจำโดยไม่แตะระบบไฟล์ ➡️ ใช้ DLL sideloading ผ่านโปรแกรมที่เชื่อถือได้ เช่น mscorsvc.dll ➡️ ประกอบด้วย 6 โมดูลหลักที่ทำงานร่วมกันแบบหลายขั้นตอน ➡️ สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน gRPC เพื่อควบคุมระบบจากระยะไกล ✅ ความสามารถของแต่ละโมดูล ➡️ EggStremeFuel: โหลด DLL เริ่มต้น, เปิด reverse shell, ตรวจสอบระบบ ➡️ EggStremeLoader: อ่าน payload ที่เข้ารหัสและ inject เข้าสู่ process ➡️ EggStremeReflectiveLoader: ถอดรหัสและเรียกใช้ payload สุดท้าย ➡️ EggStremeAgent: backdoor หลัก มีคำสั่ง 58 แบบสำหรับควบคุมระบบ ➡️ EggStremeKeylogger: ดักจับการพิมพ์และข้อมูลผู้ใช้ ➡️ EggStremeWizard: backdoor สำรองสำหรับ reverse shell และการอัปโหลดไฟล์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การโจมตีเริ่มจาก batch script บน SMB share โดยไม่ทราบวิธีการวางไฟล์ ➡️ เทคนิค fileless และ DLL sideloading ทำให้หลบเลี่ยงการตรวจจับได้ดี ➡️ การใช้โมดูลแบบหลายขั้นตอนช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจพบ ➡️ เป้าหมายของการโจมตีคือการสอดแนมระยะยาวและการเข้าถึงแบบถาวร https://www.techradar.com/pro/security/china-related-threat-actors-deployed-a-new-fileless-malware-against-the-philippines-military
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • “VirtualBox 7.2.2 รองรับ KVM API บน Linux 6.16 — ปรับปรุงประสิทธิภาพ VM พร้อมฟีเจอร์ใหม่ทั้งด้านเครือข่ายและ USB”

    Oracle ปล่อยอัปเดต VirtualBox 7.2.2 ซึ่งเป็นเวอร์ชันบำรุงรักษาแรกของซีรีส์ 7.2 โดยมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญสำหรับผู้ใช้ Linux คือการรองรับ KVM API บนเคอร์เนล Linux 6.16 ขึ้นไป ทำให้สามารถเรียกใช้ VT-x ได้โดยตรงผ่าน KVM ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความเข้ากันได้กับระบบเสมือนจริงบน Linux hosts

    นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขปัญหาใน Linux Guest Additions ที่เคยทำให้ VBoxClient โหลด shared libraries ไม่ได้ตอนเริ่มต้น และเพิ่มอะแดปเตอร์เครือข่ายแบบใหม่ e1000 รุ่นทดลอง (82583V) ซึ่งต้องใช้ชิปเซ็ต ICH9 เนื่องจาก PIIX3 ไม่รองรับ MSIs

    ด้าน GUI มีการปรับปรุงหลายจุด เช่น การบังคับใช้ธีม XDG Desktop Portal บน Linux เมื่อมี DBus service ที่เกี่ยวข้อง และการรองรับธีมเก่าแบบ light/dark จาก Windows 10 บน Windows 11 hosts รวมถึงการแก้ไขปัญหา VBox Manager ค้างหรือแครชในหลายกรณี เช่น การลบ VM ทั้งหมด, การแสดง error notification เร็วเกินไป หรือ VM ที่มี snapshot จำนวนมาก

    ยังมีการปรับปรุงอื่น ๆ เช่น การแสดง IP address ใน status bar ให้แม่นยำขึ้น, การรองรับ virtual USB webcam ในแพ็กเกจโอเพ่นซอร์ส, การลดการใช้ CPU บน ARM hosts และการแก้ไขปัญหา TPM ที่ไม่ทำงานกับ guest บางประเภท รวมถึงการแก้ไข networking และ NAT บน macOS

    ฟีเจอร์ใหม่ใน VirtualBox 7.2.2
    รองรับ KVM API บน Linux kernel 6.16+ สำหรับการเรียกใช้ VT-x
    แก้ปัญหา VBoxClient โหลด shared libraries ไม่ได้ใน Linux Guest Additions
    เพิ่มอะแดปเตอร์ e1000 รุ่นทดลอง (82583V) — ต้องใช้ ICH9 chipset
    แก้ปัญหา nameserver 127/8 ถูกส่งไปยัง guest โดยไม่ตั้งใจ

    การปรับปรุงด้าน GUI และการใช้งาน
    บังคับใช้ธีม XDG Desktop Portal บน Linux เมื่อมี DBus service
    รองรับธีม light/dark แบบเก่าบน Windows 11 hosts
    แก้ปัญหา VBox Manager ค้างหรือแครชในหลายกรณี เช่น VM มี snapshot เยอะ
    ปรับปรุง tooltip แสดง IP address ใน status bar ให้แม่นยำขึ้น

    การปรับปรุงด้านอุปกรณ์และระบบเสมือน
    รองรับ virtual USB webcam ในแพ็กเกจโอเพ่นซอร์ส
    แก้ปัญหา USB/IP passthrough ที่เคยล้มเหลว
    ลดการใช้ CPU บน ARM hosts เมื่อ VM อยู่ในสถานะ idle
    แก้ปัญหา TPM device ไม่ทำงานกับ guest บางประเภท

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    KVM API ช่วยให้ VirtualBox ทำงานร่วมกับ Linux virtualization stack ได้ดีขึ้น
    e1000 รุ่น 82583V เป็นอะแดปเตอร์ที่มี latency ต่ำและ throughput สูง
    VirtualBox 7.2.2 รองรับการติดตั้งแบบ universal binary บนทุกดิสโทรหลัก
    Oracle เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ snapshot แบบ granular ในเวอร์ชันถัดไป

    https://9to5linux.com/virtualbox-7-2-2-adds-support-for-kvm-apis-on-linux-kernel-6-16-and-newer
    🖥️ “VirtualBox 7.2.2 รองรับ KVM API บน Linux 6.16 — ปรับปรุงประสิทธิภาพ VM พร้อมฟีเจอร์ใหม่ทั้งด้านเครือข่ายและ USB” Oracle ปล่อยอัปเดต VirtualBox 7.2.2 ซึ่งเป็นเวอร์ชันบำรุงรักษาแรกของซีรีส์ 7.2 โดยมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญสำหรับผู้ใช้ Linux คือการรองรับ KVM API บนเคอร์เนล Linux 6.16 ขึ้นไป ทำให้สามารถเรียกใช้ VT-x ได้โดยตรงผ่าน KVM ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความเข้ากันได้กับระบบเสมือนจริงบน Linux hosts นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขปัญหาใน Linux Guest Additions ที่เคยทำให้ VBoxClient โหลด shared libraries ไม่ได้ตอนเริ่มต้น และเพิ่มอะแดปเตอร์เครือข่ายแบบใหม่ e1000 รุ่นทดลอง (82583V) ซึ่งต้องใช้ชิปเซ็ต ICH9 เนื่องจาก PIIX3 ไม่รองรับ MSIs ด้าน GUI มีการปรับปรุงหลายจุด เช่น การบังคับใช้ธีม XDG Desktop Portal บน Linux เมื่อมี DBus service ที่เกี่ยวข้อง และการรองรับธีมเก่าแบบ light/dark จาก Windows 10 บน Windows 11 hosts รวมถึงการแก้ไขปัญหา VBox Manager ค้างหรือแครชในหลายกรณี เช่น การลบ VM ทั้งหมด, การแสดง error notification เร็วเกินไป หรือ VM ที่มี snapshot จำนวนมาก ยังมีการปรับปรุงอื่น ๆ เช่น การแสดง IP address ใน status bar ให้แม่นยำขึ้น, การรองรับ virtual USB webcam ในแพ็กเกจโอเพ่นซอร์ส, การลดการใช้ CPU บน ARM hosts และการแก้ไขปัญหา TPM ที่ไม่ทำงานกับ guest บางประเภท รวมถึงการแก้ไข networking และ NAT บน macOS ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน VirtualBox 7.2.2 ➡️ รองรับ KVM API บน Linux kernel 6.16+ สำหรับการเรียกใช้ VT-x ➡️ แก้ปัญหา VBoxClient โหลด shared libraries ไม่ได้ใน Linux Guest Additions ➡️ เพิ่มอะแดปเตอร์ e1000 รุ่นทดลอง (82583V) — ต้องใช้ ICH9 chipset ➡️ แก้ปัญหา nameserver 127/8 ถูกส่งไปยัง guest โดยไม่ตั้งใจ ✅ การปรับปรุงด้าน GUI และการใช้งาน ➡️ บังคับใช้ธีม XDG Desktop Portal บน Linux เมื่อมี DBus service ➡️ รองรับธีม light/dark แบบเก่าบน Windows 11 hosts ➡️ แก้ปัญหา VBox Manager ค้างหรือแครชในหลายกรณี เช่น VM มี snapshot เยอะ ➡️ ปรับปรุง tooltip แสดง IP address ใน status bar ให้แม่นยำขึ้น ✅ การปรับปรุงด้านอุปกรณ์และระบบเสมือน ➡️ รองรับ virtual USB webcam ในแพ็กเกจโอเพ่นซอร์ส ➡️ แก้ปัญหา USB/IP passthrough ที่เคยล้มเหลว ➡️ ลดการใช้ CPU บน ARM hosts เมื่อ VM อยู่ในสถานะ idle ➡️ แก้ปัญหา TPM device ไม่ทำงานกับ guest บางประเภท ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ KVM API ช่วยให้ VirtualBox ทำงานร่วมกับ Linux virtualization stack ได้ดีขึ้น ➡️ e1000 รุ่น 82583V เป็นอะแดปเตอร์ที่มี latency ต่ำและ throughput สูง ➡️ VirtualBox 7.2.2 รองรับการติดตั้งแบบ universal binary บนทุกดิสโทรหลัก ➡️ Oracle เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ snapshot แบบ granular ในเวอร์ชันถัดไป https://9to5linux.com/virtualbox-7-2-2-adds-support-for-kvm-apis-on-linux-kernel-6-16-and-newer
    9TO5LINUX.COM
    VirtualBox 7.2.2 Adds Support for KVM APIs on Linux Kernel 6.16 and Newer - 9to5Linux
    VirtualBox 7.2.2 open-source virtualization software is now available for download with support for using KVM APIs on Linux kernel 6.16.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 254 มุมมอง 0 รีวิว
  • “EggStreme: มัลแวร์ไร้ไฟล์จากจีนเจาะระบบทหารฟิลิปปินส์ — ปฏิบัติการลับที่ซับซ้อนที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”

    Bitdefender เผยการค้นพบมัลแวร์สายพันธุ์ใหม่ชื่อว่า “EggStreme” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่ม APT (Advanced Persistent Threat) จากจีนในการเจาะระบบของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกองทัพฟิลิปปินส์ และยังพบการใช้งานในองค์กรทหารทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

    EggStreme ไม่ใช่มัลแวร์ทั่วไป แต่เป็น “framework” ที่ประกอบด้วยหลายโมดูลทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจาก EggStremeFuel ซึ่งเป็นตัวโหลดที่เตรียมสภาพแวดล้อม จากนั้นจึงเรียกใช้ EggStremeAgent ซึ่งเป็น backdoor หลักที่สามารถสอดแนมระบบ, ขโมยข้อมูล, ลบหรือแก้ไขไฟล์ และฝัง keylogger ลงใน explorer.exe ทุกครั้งที่มีการเปิด session ใหม่

    ความน่ากลัวของ EggStreme คือมันเป็น “fileless malware” — ไม่มีไฟล์มัลแวร์อยู่บนดิสก์ แต่จะถอดรหัสและรัน payload ในหน่วยความจำเท่านั้น ทำให้ระบบป้องกันทั่วไปตรวจจับได้ยากมาก และยังใช้เทคนิค DLL sideloading เพื่อแอบแฝงตัวในโปรแกรมที่ดูปลอดภัย

    นอกจาก EggStremeAgent ยังมี EggStremeWizard ซึ่งเป็น backdoor รองที่ใช้ xwizard.exe ในการ sideload DLL และมีรายชื่อ fallback servers เพื่อรักษาการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) แม้เซิร์ฟเวอร์หลักจะถูกปิดไปแล้ว พร้อมกับเครื่องมือ proxy ชื่อว่า Stowaway ที่ช่วยให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลภายในเครือข่ายโดยไม่ถูกไฟร์วอลล์บล็อก

    การโจมตีนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ซึ่งฟิลิปปินส์เผชิญกับการโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นกว่า 300% ตั้งแต่ต้นปี 2024 โดย EggStreme เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สะท้อนถึงการพัฒนาเชิงอุตสาหกรรมของการจารกรรมไซเบอร์ — ไม่ใช่แค่เครื่องมือเดี่ยว แต่เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมเป้าหมายในระยะยาว

    โครงสร้างมัลแวร์ EggStreme
    เริ่มจาก EggStremeFuel ที่เตรียมระบบและเรียกใช้ EggStremeLoader
    EggStremeReflectiveLoader จะรัน EggStremeAgent ซึ่งเป็น backdoor หลัก
    EggStremeAgent รองรับคำสั่ง 58 แบบ เช่น สแกนระบบ, ขโมยข้อมูล, ฝัง payload
    ฝัง keylogger ลงใน explorer.exe ทุกครั้งที่เปิด session ใหม่

    เทคนิคการแฝงตัว
    ใช้ DLL sideloading ผ่านไฟล์ที่ดูปลอดภัย เช่น xwizard.exe
    payload ถูกถอดรหัสและรันในหน่วยความจำเท่านั้น (fileless execution)
    สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน gRPC แบบเข้ารหัส
    มี fallback servers เพื่อรักษาการเชื่อมต่อแม้เซิร์ฟเวอร์หลักถูกปิด

    เครื่องมือเสริมใน framework
    EggStremeWizard เป็น backdoor รองที่ให้ reverse shell และอัปโหลดไฟล์
    Stowaway proxy ช่วยส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายภายในโดยไม่ถูกบล็อก
    ระบบสามารถเคลื่อนย้ายภายในเครือข่าย (lateral movement) ได้อย่างแนบเนียน
    framework ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นและปรับตัวตามเป้าหมาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Bitdefender พบการโจมตีครั้งแรกในต้นปี 2024 ผ่าน batch script บน SMB share
    ฟิลิปปินส์เผชิญการโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นกว่า 300% จากความขัดแย้งในทะเลจีนใต้
    EggStreme เป็นตัวอย่างของการพัฒนา “ชุดเครื่องมือจารกรรม” ที่มีความซับซ้อนสูง
    นักวิจัยเตือนว่าองค์กรใน APAC ควรใช้ IOC ที่เผยแพร่เพื่อป้องกันการโจมตี

    https://hackread.com/chinese-apt-philippine-military-eggstreme-fileless-malware/
    🕵️‍♂️ “EggStreme: มัลแวร์ไร้ไฟล์จากจีนเจาะระบบทหารฟิลิปปินส์ — ปฏิบัติการลับที่ซับซ้อนที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” Bitdefender เผยการค้นพบมัลแวร์สายพันธุ์ใหม่ชื่อว่า “EggStreme” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่ม APT (Advanced Persistent Threat) จากจีนในการเจาะระบบของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกองทัพฟิลิปปินส์ และยังพบการใช้งานในองค์กรทหารทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก EggStreme ไม่ใช่มัลแวร์ทั่วไป แต่เป็น “framework” ที่ประกอบด้วยหลายโมดูลทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจาก EggStremeFuel ซึ่งเป็นตัวโหลดที่เตรียมสภาพแวดล้อม จากนั้นจึงเรียกใช้ EggStremeAgent ซึ่งเป็น backdoor หลักที่สามารถสอดแนมระบบ, ขโมยข้อมูล, ลบหรือแก้ไขไฟล์ และฝัง keylogger ลงใน explorer.exe ทุกครั้งที่มีการเปิด session ใหม่ ความน่ากลัวของ EggStreme คือมันเป็น “fileless malware” — ไม่มีไฟล์มัลแวร์อยู่บนดิสก์ แต่จะถอดรหัสและรัน payload ในหน่วยความจำเท่านั้น ทำให้ระบบป้องกันทั่วไปตรวจจับได้ยากมาก และยังใช้เทคนิค DLL sideloading เพื่อแอบแฝงตัวในโปรแกรมที่ดูปลอดภัย นอกจาก EggStremeAgent ยังมี EggStremeWizard ซึ่งเป็น backdoor รองที่ใช้ xwizard.exe ในการ sideload DLL และมีรายชื่อ fallback servers เพื่อรักษาการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) แม้เซิร์ฟเวอร์หลักจะถูกปิดไปแล้ว พร้อมกับเครื่องมือ proxy ชื่อว่า Stowaway ที่ช่วยให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลภายในเครือข่ายโดยไม่ถูกไฟร์วอลล์บล็อก การโจมตีนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ซึ่งฟิลิปปินส์เผชิญกับการโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นกว่า 300% ตั้งแต่ต้นปี 2024 โดย EggStreme เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สะท้อนถึงการพัฒนาเชิงอุตสาหกรรมของการจารกรรมไซเบอร์ — ไม่ใช่แค่เครื่องมือเดี่ยว แต่เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมเป้าหมายในระยะยาว ✅ โครงสร้างมัลแวร์ EggStreme ➡️ เริ่มจาก EggStremeFuel ที่เตรียมระบบและเรียกใช้ EggStremeLoader ➡️ EggStremeReflectiveLoader จะรัน EggStremeAgent ซึ่งเป็น backdoor หลัก ➡️ EggStremeAgent รองรับคำสั่ง 58 แบบ เช่น สแกนระบบ, ขโมยข้อมูล, ฝัง payload ➡️ ฝัง keylogger ลงใน explorer.exe ทุกครั้งที่เปิด session ใหม่ ✅ เทคนิคการแฝงตัว ➡️ ใช้ DLL sideloading ผ่านไฟล์ที่ดูปลอดภัย เช่น xwizard.exe ➡️ payload ถูกถอดรหัสและรันในหน่วยความจำเท่านั้น (fileless execution) ➡️ สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน gRPC แบบเข้ารหัส ➡️ มี fallback servers เพื่อรักษาการเชื่อมต่อแม้เซิร์ฟเวอร์หลักถูกปิด ✅ เครื่องมือเสริมใน framework ➡️ EggStremeWizard เป็น backdoor รองที่ให้ reverse shell และอัปโหลดไฟล์ ➡️ Stowaway proxy ช่วยส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายภายในโดยไม่ถูกบล็อก ➡️ ระบบสามารถเคลื่อนย้ายภายในเครือข่าย (lateral movement) ได้อย่างแนบเนียน ➡️ framework ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นและปรับตัวตามเป้าหมาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Bitdefender พบการโจมตีครั้งแรกในต้นปี 2024 ผ่าน batch script บน SMB share ➡️ ฟิลิปปินส์เผชิญการโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นกว่า 300% จากความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ➡️ EggStreme เป็นตัวอย่างของการพัฒนา “ชุดเครื่องมือจารกรรม” ที่มีความซับซ้อนสูง ➡️ นักวิจัยเตือนว่าองค์กรใน APAC ควรใช้ IOC ที่เผยแพร่เพื่อป้องกันการโจมตี https://hackread.com/chinese-apt-philippine-military-eggstreme-fileless-malware/
    HACKREAD.COM
    Chinese APT Hits Philippine Military Firm with New EggStreme Fileless Malware
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.facebook.com/share/p/15uSWN3vuq/?mibextid=wwXIfrปีหกแปด เก้าเดือนเก้า เศร้าที่สุด
    ทุรบุรุษ ไร้เสรี ที่บางขวาง
    เดินทางไกล ทั่วหล้า มาสุดทาง
    เปลี่ยนที่บ้าง ไปคลองเปรม เต็มน้ำตา

    เหลือหนึ่งปี อภัยโทษ โคตรแสนสั้น
    จากแปดปี ที่ลงทัณฑ์ มันคุ้มค่า
    แต่หนึ่งปี ไร้เสรี แห่งชีวา
    นับเวลา ยาวนาน สะท้านทรวง

    เห็นสัจจะ ยุติธรรม ค้ำจุนหล้า
    ทุกชีวี มีค่า คุณใหญ่หลวง
    ไม่ว่ารวย หรือจน คนทั้งปวง
    ขังรัดบ่วง อิสรภาพ รับผลกรรม

    คุกคือคุก ถูกตรา หน้าคนผิด
    กำจัดสิทธิ์ ตามศาลสั่ง วันยังค่ำ
    แต่หนึ่งปี มีค่า ถ้าเห็นธรรม
    ขอเพียงแต่ อย่าผิดซ้ำ เป็นสำคัญ .

    @“จันผา”
    10.09.2568
    https://www.facebook.com/share/p/15uSWN3vuq/?mibextid=wwXIfrปีหกแปด เก้าเดือนเก้า เศร้าที่สุด ทุรบุรุษ ไร้เสรี ที่บางขวาง เดินทางไกล ทั่วหล้า มาสุดทาง เปลี่ยนที่บ้าง ไปคลองเปรม เต็มน้ำตา เหลือหนึ่งปี อภัยโทษ โคตรแสนสั้น จากแปดปี ที่ลงทัณฑ์ มันคุ้มค่า แต่หนึ่งปี ไร้เสรี แห่งชีวา นับเวลา ยาวนาน สะท้านทรวง เห็นสัจจะ ยุติธรรม ค้ำจุนหล้า ทุกชีวี มีค่า คุณใหญ่หลวง ไม่ว่ารวย หรือจน คนทั้งปวง ขังรัดบ่วง อิสรภาพ รับผลกรรม คุกคือคุก ถูกตรา หน้าคนผิด กำจัดสิทธิ์ ตามศาลสั่ง วันยังค่ำ แต่หนึ่งปี มีค่า ถ้าเห็นธรรม ขอเพียงแต่ อย่าผิดซ้ำ เป็นสำคัญ . @“จันผา” 10.09.2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.facebook.com/share/p/15uSWN3vuq/?mibextid=wwXIfr
    https://www.facebook.com/share/p/15uSWN3vuq/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • VIDEO025 ซีรีย์จีนพากย์ไทยเรื่อง : คุณหนูตัวแทนรัก
    ฝดูซีรีย์จีนพากย์ไทยผ่าน แอป telegram :
    ซีรีย์จีนอัพเดตทุกวัน 1000 กว่าเรื่อง
    Google Play
    ลิ้งค์ดาสน์โหลด : https://play.google.com/store/apps/details?id=org.telegram.messenger&pcampaignid=web_share
    สำหรบสมาชิกทีมีแอป Telegra อยู่แล้วคลิ๊กทีลิ้งคี้ : :/https/t.me/pkextremechinaseries

    ฝากกดกดติดตามและกดแชร์เพจ Facebook ของเราด้วยนะครับ
    https://www.facebook.com/profile.php?id=100063955424118
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61580101866932
    https://www.facebook.com/hmextremechinaseries
    https://www.facebook.com/hieamaochinaseriesv2
    https://www.facebook.com/pkextreme2025
    https://www.facebook.com/thepsurachinaseriesv1

    ฝากสนับสนุนแอดมินด้วยนะครับตามความสมัครใจ
    https://promptpay.io/0638814705
    หรือสแกน QR CODE ท้ายคลิป ขอบคุณครับ

    กดลิ้งค์ด้านล่างเพื่อดูซีรีย์
    https://www.dropbox.com/scl/fi/wtm9rctbz6lksm47dbeum/025.-31-08-2025.mp4?rlkey=1p6ksmgv5v0x79ek5fdtkaqak&st=nyuqi6ex&dl=0
    https://www.bilibili.tv/th/space/1130517569
    #ร้านเฮียเมาเจ้พรตลาดปัฐวิกรณ์โครงการใหม่
    #โกดังเฮียเมาตลาดปัฐวิกรณ์โครงการใหม่
    #เฮียเมาซีรีย์จีน
    #เฮียเมาซีรีย์จีนV2
    #PKExtremeรวมซีรีย์
    #เทพสุราซีรีย์จีนV1
    #ดูจนตาเหลือกรวมซีรีย์

    VIDEO025 ซีรีย์จีนพากย์ไทยเรื่อง : คุณหนูตัวแทนรัก ฝดูซีรีย์จีนพากย์ไทยผ่าน แอป telegram : ซีรีย์จีนอัพเดตทุกวัน 1000 กว่าเรื่อง Google Play ลิ้งค์ดาสน์โหลด : https://play.google.com/store/apps/details?id=org.telegram.messenger&pcampaignid=web_share สำหรบสมาชิกทีมีแอป Telegra อยู่แล้วคลิ๊กทีลิ้งคี้ : :/https/t.me/pkextremechinaseries ฝากกดกดติดตามและกดแชร์เพจ Facebook ของเราด้วยนะครับ https://www.facebook.com/profile.php?id=100063955424118 https://www.facebook.com/profile.php?id=61580101866932 https://www.facebook.com/hmextremechinaseries https://www.facebook.com/hieamaochinaseriesv2 https://www.facebook.com/pkextreme2025 https://www.facebook.com/thepsurachinaseriesv1 ฝากสนับสนุนแอดมินด้วยนะครับตามความสมัครใจ https://promptpay.io/0638814705 หรือสแกน QR CODE ท้ายคลิป ขอบคุณครับ กดลิ้งค์ด้านล่างเพื่อดูซีรีย์ https://www.dropbox.com/scl/fi/wtm9rctbz6lksm47dbeum/025.-31-08-2025.mp4?rlkey=1p6ksmgv5v0x79ek5fdtkaqak&st=nyuqi6ex&dl=0 https://www.bilibili.tv/th/space/1130517569 #ร้านเฮียเมาเจ้พรตลาดปัฐวิกรณ์โครงการใหม่ #โกดังเฮียเมาตลาดปัฐวิกรณ์โครงการใหม่ #เฮียเมาซีรีย์จีน #เฮียเมาซีรีย์จีนV2 #PKExtremeรวมซีรีย์ #เทพสุราซีรีย์จีนV1 #ดูจนตาเหลือกรวมซีรีย์
    PLAY.GOOGLE.COM
    Telegram - Apps on Google Play
    Telegram is a messaging app with a focus on speed and security.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 364 มุมมอง 0 รีวิว
  • Why Capitalizing “Native American” Matters

    These days, social media is glut with excited folks who are sending off their cheek swabs to find out just what’s hiding in their DNA. Will they find out they had an ancestor on the Mayflower? Or, maybe they have a Native American ancestor?

    That would make them Native American too, right? Well, the definition of Native American is a lot more complicated than the genetics chart you get from your standard DNA testing center. You see, the term Native American refers to many, many different groups of people and not all of them identify with this term.

    Before we get to that, though, let’s start with the capitalization issue.

    Native American with a capital N

    The lexicographers have distinguished between native Americans and Native Americans. The first version, with the lowercase n, applies to anyone who was born here in the United States. After all, when used as an adjective, native is defined as “being the place or environment in which a person was born or a thing came into being.” If you were born in the United States of America, you are native to the country. Lowercase native American is an adjective that modifies the noun American. The lowercase native American is a noun phrase that describes someone as being an American citizen who is native to the United States.

    Simply being born in the good old US of A doesn’t make someone a Native American (capital N). Those two words are both capitalized because, when used together, they form what grammar experts refer to as a proper noun, or “a noun that is used to denote a particular person, place, or thing.” The term Native American is a very broad label that refers to a federally recognized category of Americans who are indigenous to the land that is now the United States (although some also extend the word’s usage to include all the the Indigenous Peoples of North and South America), and they make up at least two percent of the US population. They’re not just native to this area in the sense of having been born on American soil, but they have established American Indian or Alaska Native ancestry. As a general term, Native American is often used collectively to refer to the many different tribes of Indigenous Peoples who lived in the Americas long before the arrival of European colonizers. In reality, Native Americans are not a monolith, and they belong to many different tribes with their own cultures and languages. Note the words Native American should always be used together. It’s considered disparaging and offensive to refer to a group of people who are Native American simply as natives.

    Another good example of common nouns vs. proper nouns is New York City. When it’s written with a capital C, it’s specifically referring to the area that encompasses the five boroughs. When it’s written with a lowercase c, as in a New York city, it can refer to any large metropolis located anywhere in the state.

    DNA isn’t a definition

    So, all you need is a DNA test, and your ancestry falls under the definition of Native American, right? Well, that’s complicated.

    While the United States Department of Interior has its own rules regarding who qualifies for membership and enrollment in a tribe, the members of the tribes themselves don’t often agree with the government responsible for taking their lands and forcing them to live on reservations in the first place. Nor is there consensus among the more than 574 federally recognized tribal nations in the United States on what DNA results are required to establish heritage.

    Both the United Nations and Indigenous Peoples worldwide have denounced certain attempts at tracing human origins through DNA, including the Human Genome Diversity Project.

    If you feel that you have proven without a doubt that your lineage is Native American, you’ll have to turn to the individual tribe itself for the official opinion on the matter. And, even with a DNA test, you may find that you may be native American but not necessarily Native American.

    What about Indian?

    The department of the US federal government that oversees relations with the many Native American tribes is named the Bureau of Indian Affairs. The United States Census uses the term American Indian to refer to a person who identifies themself as a Native American. The term Indian referring to Native Americans has largely fallen out of general usage, and many Native American Peoples consider this term offensive. That being said, there are a significant number of Native American tribes and individuals that use the word Indian or the phrase American Indian to identify themselves.

    Even more common, though, is a group using the specific name of their tribe—especially the name used in their own language—to identify themselves. For example, a member of the Navajo tribe may refer to their particular group as Diné.

    As is often the case when it comes to language, people often have their own personal choice as to which words they prefer. If you are unsure about what words to use, the best choice is always to ask someone what they prefer.

    Native to Alaska

    The term Native American is sometimes used to include some Eskimo and Aleut peoples, specifically those whose families are native to the area now known as Alaska. The United States government uses the term Native Alaskan, and many other organizations prefer the term Alaska Native. Eskimo is still used as a self-designation by some people, while others consider it derogatory. Still other peoples will often prefer the specific name for their own people, tribe, or community—typically preferring a word from their own language. As is always the case, it’s best to let the person in question share their preferred terminology.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Why Capitalizing “Native American” Matters These days, social media is glut with excited folks who are sending off their cheek swabs to find out just what’s hiding in their DNA. Will they find out they had an ancestor on the Mayflower? Or, maybe they have a Native American ancestor? That would make them Native American too, right? Well, the definition of Native American is a lot more complicated than the genetics chart you get from your standard DNA testing center. You see, the term Native American refers to many, many different groups of people and not all of them identify with this term. Before we get to that, though, let’s start with the capitalization issue. Native American with a capital N The lexicographers have distinguished between native Americans and Native Americans. The first version, with the lowercase n, applies to anyone who was born here in the United States. After all, when used as an adjective, native is defined as “being the place or environment in which a person was born or a thing came into being.” If you were born in the United States of America, you are native to the country. Lowercase native American is an adjective that modifies the noun American. The lowercase native American is a noun phrase that describes someone as being an American citizen who is native to the United States. Simply being born in the good old US of A doesn’t make someone a Native American (capital N). Those two words are both capitalized because, when used together, they form what grammar experts refer to as a proper noun, or “a noun that is used to denote a particular person, place, or thing.” The term Native American is a very broad label that refers to a federally recognized category of Americans who are indigenous to the land that is now the United States (although some also extend the word’s usage to include all the the Indigenous Peoples of North and South America), and they make up at least two percent of the US population. They’re not just native to this area in the sense of having been born on American soil, but they have established American Indian or Alaska Native ancestry. As a general term, Native American is often used collectively to refer to the many different tribes of Indigenous Peoples who lived in the Americas long before the arrival of European colonizers. In reality, Native Americans are not a monolith, and they belong to many different tribes with their own cultures and languages. Note the words Native American should always be used together. It’s considered disparaging and offensive to refer to a group of people who are Native American simply as natives. Another good example of common nouns vs. proper nouns is New York City. When it’s written with a capital C, it’s specifically referring to the area that encompasses the five boroughs. When it’s written with a lowercase c, as in a New York city, it can refer to any large metropolis located anywhere in the state. DNA isn’t a definition So, all you need is a DNA test, and your ancestry falls under the definition of Native American, right? Well, that’s complicated. While the United States Department of Interior has its own rules regarding who qualifies for membership and enrollment in a tribe, the members of the tribes themselves don’t often agree with the government responsible for taking their lands and forcing them to live on reservations in the first place. Nor is there consensus among the more than 574 federally recognized tribal nations in the United States on what DNA results are required to establish heritage. Both the United Nations and Indigenous Peoples worldwide have denounced certain attempts at tracing human origins through DNA, including the Human Genome Diversity Project. If you feel that you have proven without a doubt that your lineage is Native American, you’ll have to turn to the individual tribe itself for the official opinion on the matter. And, even with a DNA test, you may find that you may be native American but not necessarily Native American. What about Indian? The department of the US federal government that oversees relations with the many Native American tribes is named the Bureau of Indian Affairs. The United States Census uses the term American Indian to refer to a person who identifies themself as a Native American. The term Indian referring to Native Americans has largely fallen out of general usage, and many Native American Peoples consider this term offensive. That being said, there are a significant number of Native American tribes and individuals that use the word Indian or the phrase American Indian to identify themselves. Even more common, though, is a group using the specific name of their tribe—especially the name used in their own language—to identify themselves. For example, a member of the Navajo tribe may refer to their particular group as Diné. As is often the case when it comes to language, people often have their own personal choice as to which words they prefer. If you are unsure about what words to use, the best choice is always to ask someone what they prefer. Native to Alaska The term Native American is sometimes used to include some Eskimo and Aleut peoples, specifically those whose families are native to the area now known as Alaska. The United States government uses the term Native Alaskan, and many other organizations prefer the term Alaska Native. Eskimo is still used as a self-designation by some people, while others consider it derogatory. Still other peoples will often prefer the specific name for their own people, tribe, or community—typically preferring a word from their own language. As is always the case, it’s best to let the person in question share their preferred terminology. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 509 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Pentium 4 ถึง Software Defined Super Core: เมื่อ Intel หยิบเทคนิคเก่า มาปรับใหม่เพื่ออนาคตของ CPU

    Intel ได้จดสิทธิบัตรใหม่ชื่อว่า “Software Defined Super Core” ซึ่งเป็นแนวคิดที่รวมคอร์จริงหลายตัวให้กลายเป็นคอร์เสมือนเดียวในสายตาของระบบปฏิบัติการ โดยคอร์ที่รวมกันจะทำงานแบบขนานก่อนจะจัดเรียงคำสั่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานแบบ single-thread โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดคอร์หรือความเร็วสัญญาณนาฬิกา

    แนวคิดนี้คล้ายกับ “inverse hyper-threading” ที่เคยทดลองในยุค Pentium 4 แต่ถูกปรับให้ทันสมัยขึ้น โดยใช้ shared memory และ synchronization module ขนาดเล็กในแต่ละคอร์ พร้อมพื้นที่หน่วยความจำพิเศษชื่อ wormhole address space เพื่อจัดการการส่งข้อมูลระหว่างคอร์

    ในทางปฏิบัติ ระบบปฏิบัติการจะต้องตัดสินใจว่า workload ใดควรใช้โหมด super core ซึ่งอาจทำให้การจัดตารางงานซับซ้อนขึ้น และต้องการการสนับสนุนจาก compiler หรือ binary instrumentation เพื่อแบ่งโค้ดและใส่คำสั่งควบคุม flow

    Intel หวังว่าแนวทางนี้จะช่วยเพิ่ม performance-per-watt โดยเฉพาะในงานที่ต้องการประสิทธิภาพแบบ single-thread เช่น AI inference, mining, หรือ simulation ที่ไม่สามารถกระจายงานได้ดีบน multicore แบบเดิม

    แม้จะยังไม่มีข้อมูล benchmark ที่ชัดเจน แต่แนวคิดนี้อาจเป็นทางเลือกใหม่ที่ไม่ต้องพึ่ง brute-force แบบเพิ่มจำนวนคอร์หรือขยายขนาด cache เหมือนที่ AMD และ Apple ใช้ในปัจจุบัน

    แนวคิด Software Defined Super Core ของ Intel
    รวมคอร์จริงหลายตัวให้กลายเป็นคอร์เสมือนเดียว
    ทำงานแบบขนานก่อนจัดเรียงคำสั่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    ใช้ shared memory และ synchronization module ภายในคอร์

    จุดต่างจากเทคนิคเดิม
    คล้าย inverse hyper-threading แต่ปรับให้ทันสมัย
    ต่างจาก AMD ที่ใช้ Clustered Multi-Threading โดยแบ่งคอร์เป็นโมดูล
    มีการใช้ wormhole address space เพื่อจัดการข้อมูลระหว่างคอร์

    การใช้งานและความคาดหวัง
    เหมาะกับงาน single-thread ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง
    หวังว่าจะเพิ่ม performance-per-watt โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดคอร์
    อาจใช้ในงาน AI inference, simulation, หรือ mining

    ข้อกำหนดด้านซอฟต์แวร์
    ต้องการ compiler หรือ binary instrumentation เพื่อแบ่งโค้ด
    ระบบปฏิบัติการต้องจัดการ scheduling ให้เหมาะกับโหมด super core
    ต้องการการสนับสนุนจาก ecosystem ทั้ง hardware และ software

    https://www.techradar.com/pro/is-it-a-bird-is-it-a-plane-no-its-super-core-intels-latest-patent-revives-ancient-anti-hyperthreading-cpu-technique-in-attempt-to-boost-processor-performance-but-will-it-be-enough
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Pentium 4 ถึง Software Defined Super Core: เมื่อ Intel หยิบเทคนิคเก่า มาปรับใหม่เพื่ออนาคตของ CPU Intel ได้จดสิทธิบัตรใหม่ชื่อว่า “Software Defined Super Core” ซึ่งเป็นแนวคิดที่รวมคอร์จริงหลายตัวให้กลายเป็นคอร์เสมือนเดียวในสายตาของระบบปฏิบัติการ โดยคอร์ที่รวมกันจะทำงานแบบขนานก่อนจะจัดเรียงคำสั่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานแบบ single-thread โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดคอร์หรือความเร็วสัญญาณนาฬิกา แนวคิดนี้คล้ายกับ “inverse hyper-threading” ที่เคยทดลองในยุค Pentium 4 แต่ถูกปรับให้ทันสมัยขึ้น โดยใช้ shared memory และ synchronization module ขนาดเล็กในแต่ละคอร์ พร้อมพื้นที่หน่วยความจำพิเศษชื่อ wormhole address space เพื่อจัดการการส่งข้อมูลระหว่างคอร์ ในทางปฏิบัติ ระบบปฏิบัติการจะต้องตัดสินใจว่า workload ใดควรใช้โหมด super core ซึ่งอาจทำให้การจัดตารางงานซับซ้อนขึ้น และต้องการการสนับสนุนจาก compiler หรือ binary instrumentation เพื่อแบ่งโค้ดและใส่คำสั่งควบคุม flow Intel หวังว่าแนวทางนี้จะช่วยเพิ่ม performance-per-watt โดยเฉพาะในงานที่ต้องการประสิทธิภาพแบบ single-thread เช่น AI inference, mining, หรือ simulation ที่ไม่สามารถกระจายงานได้ดีบน multicore แบบเดิม แม้จะยังไม่มีข้อมูล benchmark ที่ชัดเจน แต่แนวคิดนี้อาจเป็นทางเลือกใหม่ที่ไม่ต้องพึ่ง brute-force แบบเพิ่มจำนวนคอร์หรือขยายขนาด cache เหมือนที่ AMD และ Apple ใช้ในปัจจุบัน ✅ แนวคิด Software Defined Super Core ของ Intel ➡️ รวมคอร์จริงหลายตัวให้กลายเป็นคอร์เสมือนเดียว ➡️ ทำงานแบบขนานก่อนจัดเรียงคำสั่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ใช้ shared memory และ synchronization module ภายในคอร์ ✅ จุดต่างจากเทคนิคเดิม ➡️ คล้าย inverse hyper-threading แต่ปรับให้ทันสมัย ➡️ ต่างจาก AMD ที่ใช้ Clustered Multi-Threading โดยแบ่งคอร์เป็นโมดูล ➡️ มีการใช้ wormhole address space เพื่อจัดการข้อมูลระหว่างคอร์ ✅ การใช้งานและความคาดหวัง ➡️ เหมาะกับงาน single-thread ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ➡️ หวังว่าจะเพิ่ม performance-per-watt โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดคอร์ ➡️ อาจใช้ในงาน AI inference, simulation, หรือ mining ✅ ข้อกำหนดด้านซอฟต์แวร์ ➡️ ต้องการ compiler หรือ binary instrumentation เพื่อแบ่งโค้ด ➡️ ระบบปฏิบัติการต้องจัดการ scheduling ให้เหมาะกับโหมด super core ➡️ ต้องการการสนับสนุนจาก ecosystem ทั้ง hardware และ software https://www.techradar.com/pro/is-it-a-bird-is-it-a-plane-no-its-super-core-intels-latest-patent-revives-ancient-anti-hyperthreading-cpu-technique-in-attempt-to-boost-processor-performance-but-will-it-be-enough
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก shared สู่ private: เมื่อธุรกิจเริ่มหันหลังให้ cloud และกลับมาหาเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมได้จริง

    จากผลสำรวจของ Liquid Web ที่สอบถามผู้ใช้งานและผู้ตัดสินใจด้านเทคนิคกว่า 950 ราย พบว่า Virtual Private Server (VPS) กำลังกลายเป็นตัวเลือกหลักของธุรกิจทุกขนาด โดยเฉพาะผู้ที่เคยใช้ shared hosting และ cloud มาก่อน

    กว่า 27% ของผู้ใช้ที่ยังไม่ใช้ VPS ระบุว่ามีแผนจะย้ายมาใช้ภายใน 12 เดือน โดยผู้ใช้ shared hosting เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มสูงสุดในการเปลี่ยนมาใช้ VPS เพราะรู้สึกอึดอัดกับข้อจำกัดด้านการปรับแต่งระบบ

    ผู้ใช้ cloud hosting ส่วนใหญ่ระบุว่า “ต้นทุน” เป็นเหตุผลหลักในการเปลี่ยนมาใช้ VPS ขณะที่ผู้ใช้ dedicated hosting ไม่พอใจกับประสิทธิภาพที่ไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา

    สิ่งที่ทำให้ VPS ได้รับความนิยมคือ root-access ที่เปิดให้ผู้ใช้ควบคุมระบบได้เต็มที่ และ uptime guarantee ที่ช่วยให้ธุรกิจมั่นใจในความเสถียรของบริการ

    นอกจากนี้ยังพบว่า VPS ถูกใช้ในงานที่หลากหลายมากขึ้น เช่น hosting เว็บไซต์และแอป (48%), การ deploy หรือปรับแต่งโมเดล AI (15%), การรัน automation script, การโฮสต์เกม (เช่น Minecraft), และการจัดการร้านค้าออนไลน์

    แม้ VPS จะเคยเป็นเครื่องมือของนักพัฒนาและ DevOps เป็นหลัก แต่ตอนนี้มีผู้ใช้กลุ่ม hobbyist เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดย 19% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าใช้ VPS เพื่อโฮสต์เกม, เว็บไซต์ส่วนตัว, หรือแม้แต่ Discord bot

    ที่น่าสนใจคือ 65% ของผู้ใช้ VPS เรียนรู้จากการลองผิดลองถูกและดู tutorial ออนไลน์ โดยมีเพียง 31% เท่านั้นที่เคยได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ

    อย่างไรก็ตาม เกือบครึ่งของผู้ใช้ VPS เคยเปลี่ยนผู้ให้บริการเพราะ “ไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอ” ซึ่งสะท้อนว่าการบริการหลังบ้านยังเป็นจุดอ่อนของหลายแบรนด์

    แนวโน้มการเปลี่ยนมาใช้ VPS
    27% ของผู้ใช้ที่ยังไม่ใช้ VPS มีแผนจะย้ายภายใน 12 เดือน
    ผู้ใช้ shared hosting เปลี่ยนเพราะข้อจำกัดด้านการปรับแต่ง
    ผู้ใช้ cloud hosting เปลี่ยนเพราะต้นทุน
    ผู้ใช้ dedicated hosting เปลี่ยนเพราะประสิทธิภาพไม่คุ้มค่า

    เหตุผลที่ VPS ได้รับความนิยม
    root-access ช่วยให้ควบคุมระบบได้เต็มที่
    uptime guarantee เพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน
    รองรับการใช้งานหลากหลาย เช่น AI, ecommerce, automation

    กลุ่มผู้ใช้งานและพฤติกรรม
    50% ของ IT pros ใช้ VPS สำหรับ DevOps และ automation
    19% เป็น hobbyist ที่ใช้ VPS เพื่อเกมและโปรเจกต์ส่วนตัว
    65% เรียนรู้จาก tutorial และ trial-and-error
    มีเพียง 31% ที่เคยได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ

    ระบบปฏิบัติการที่นิยม
    Windows เป็นที่นิยมที่สุด (36%)
    Ubuntu ตามมาเป็นอันดับสอง (28%)
    CentOS ยังมีผู้ใช้อยู่บ้าง (9%)

    https://www.techradar.com/pro/sharing-might-be-caring-but-businesses-are-moving-towards-private-servers
    🎙️ เรื่องเล่าจาก shared สู่ private: เมื่อธุรกิจเริ่มหันหลังให้ cloud และกลับมาหาเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมได้จริง จากผลสำรวจของ Liquid Web ที่สอบถามผู้ใช้งานและผู้ตัดสินใจด้านเทคนิคกว่า 950 ราย พบว่า Virtual Private Server (VPS) กำลังกลายเป็นตัวเลือกหลักของธุรกิจทุกขนาด โดยเฉพาะผู้ที่เคยใช้ shared hosting และ cloud มาก่อน กว่า 27% ของผู้ใช้ที่ยังไม่ใช้ VPS ระบุว่ามีแผนจะย้ายมาใช้ภายใน 12 เดือน โดยผู้ใช้ shared hosting เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มสูงสุดในการเปลี่ยนมาใช้ VPS เพราะรู้สึกอึดอัดกับข้อจำกัดด้านการปรับแต่งระบบ ผู้ใช้ cloud hosting ส่วนใหญ่ระบุว่า “ต้นทุน” เป็นเหตุผลหลักในการเปลี่ยนมาใช้ VPS ขณะที่ผู้ใช้ dedicated hosting ไม่พอใจกับประสิทธิภาพที่ไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา สิ่งที่ทำให้ VPS ได้รับความนิยมคือ root-access ที่เปิดให้ผู้ใช้ควบคุมระบบได้เต็มที่ และ uptime guarantee ที่ช่วยให้ธุรกิจมั่นใจในความเสถียรของบริการ นอกจากนี้ยังพบว่า VPS ถูกใช้ในงานที่หลากหลายมากขึ้น เช่น hosting เว็บไซต์และแอป (48%), การ deploy หรือปรับแต่งโมเดล AI (15%), การรัน automation script, การโฮสต์เกม (เช่น Minecraft), และการจัดการร้านค้าออนไลน์ แม้ VPS จะเคยเป็นเครื่องมือของนักพัฒนาและ DevOps เป็นหลัก แต่ตอนนี้มีผู้ใช้กลุ่ม hobbyist เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดย 19% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าใช้ VPS เพื่อโฮสต์เกม, เว็บไซต์ส่วนตัว, หรือแม้แต่ Discord bot ที่น่าสนใจคือ 65% ของผู้ใช้ VPS เรียนรู้จากการลองผิดลองถูกและดู tutorial ออนไลน์ โดยมีเพียง 31% เท่านั้นที่เคยได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม เกือบครึ่งของผู้ใช้ VPS เคยเปลี่ยนผู้ให้บริการเพราะ “ไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอ” ซึ่งสะท้อนว่าการบริการหลังบ้านยังเป็นจุดอ่อนของหลายแบรนด์ ✅ แนวโน้มการเปลี่ยนมาใช้ VPS ➡️ 27% ของผู้ใช้ที่ยังไม่ใช้ VPS มีแผนจะย้ายภายใน 12 เดือน ➡️ ผู้ใช้ shared hosting เปลี่ยนเพราะข้อจำกัดด้านการปรับแต่ง ➡️ ผู้ใช้ cloud hosting เปลี่ยนเพราะต้นทุน ➡️ ผู้ใช้ dedicated hosting เปลี่ยนเพราะประสิทธิภาพไม่คุ้มค่า ✅ เหตุผลที่ VPS ได้รับความนิยม ➡️ root-access ช่วยให้ควบคุมระบบได้เต็มที่ ➡️ uptime guarantee เพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน ➡️ รองรับการใช้งานหลากหลาย เช่น AI, ecommerce, automation ✅ กลุ่มผู้ใช้งานและพฤติกรรม ➡️ 50% ของ IT pros ใช้ VPS สำหรับ DevOps และ automation ➡️ 19% เป็น hobbyist ที่ใช้ VPS เพื่อเกมและโปรเจกต์ส่วนตัว ➡️ 65% เรียนรู้จาก tutorial และ trial-and-error ➡️ มีเพียง 31% ที่เคยได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ ✅ ระบบปฏิบัติการที่นิยม ➡️ Windows เป็นที่นิยมที่สุด (36%) ➡️ Ubuntu ตามมาเป็นอันดับสอง (28%) ➡️ CentOS ยังมีผู้ใช้อยู่บ้าง (9%) https://www.techradar.com/pro/sharing-might-be-caring-but-businesses-are-moving-towards-private-servers
    WWW.TECHRADAR.COM
    Sharing might be caring, but businesses are moving towards private servers
    VPS servers are becoming the server type of choice for IT pros and hobbyists alike
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts