• Buy Verified Wise Accounts

    https://globalseoshop.com/product/buy-verified-wise-accounts/

    On the off chance that you need more data simply thump us-
    Email: Globalseoshop@gmail.com
    WhatsApp: +18647088783
    Skype: GlobalSeoShop
    Telegram: @GlobalSeoShop

    #BuyWiseAccounts
    #VerifiedWiseAccounts
    #WiseAccountsForSale
    #BuyVerifiedWise
    #GlobalSEOShop
    Buy Verified Wise Accounts https://globalseoshop.com/product/buy-verified-wise-accounts/ On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp: +18647088783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop #BuyWiseAccounts #VerifiedWiseAccounts #WiseAccountsForSale #BuyVerifiedWise #GlobalSEOShop
    GLOBALSEOSHOP.COM
    Buy Verified Wise Accounts
    If you are looking to buy verified Wise accounts, both old and new, you have come to the right place. Wise, formerly known as TransferWise, is a popular online money transfer service
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อไทย ยื่น 7 ข้อเรียกร้อง จี้รัฐบาลใช้ "3 ตัด" สกัดสแกมเมอร์ชายแดน และกดดันกัมพูชาอย่างจริงจัง
    https://www.thai-tai.tv/news/21925/
    .
    #ไทยไท #พรรคเพื่อไทย #สแกมเมอร์ #บัญชีม้า #3ตัด #AOC1441 #ความมั่นคงชายแดน #ASEANSUMMIT

    เพื่อไทย ยื่น 7 ข้อเรียกร้อง จี้รัฐบาลใช้ "3 ตัด" สกัดสแกมเมอร์ชายแดน และกดดันกัมพูชาอย่างจริงจัง https://www.thai-tai.tv/news/21925/ . #ไทยไท #พรรคเพื่อไทย #สแกมเมอร์ #บัญชีม้า #3ตัด #AOC1441 #ความมั่นคงชายแดน #ASEANSUMMIT
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • “MIPS I8500: โปรเซสเซอร์ยุคใหม่เพื่อขับเคลื่อน Physical AI” — สถาปัตยกรรม RISC-V ที่ออกแบบมาเพื่อการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบอัจฉริยะ

    บริษัท MIPS ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ GlobalFoundries ได้เปิดตัวโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ชื่อว่า MIPS I8500 โดยเน้นการจัดการข้อมูลแบบเรียลไทม์สำหรับแพลตฟอร์มที่ต้องการการตอบสนองทันที เช่น ระบบ AI ที่ทำงานนอกศูนย์ข้อมูล (Physical AI), โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร, อุตสาหกรรม, ยานยนต์ และระบบจัดเก็บข้อมูล

    I8500 ถูกออกแบบบนสถาปัตยกรรม RISC-V และมีความสามารถในการประมวลผลแบบ multithread สูงถึง 24 threads ต่อ cluster โดยมี 4 threads ต่อ core และรองรับการทำงานแบบ multi-cluster เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน

    จุดเด่นของ I8500 คือการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบ deterministic (กำหนดได้แน่นอน) และมี latency ต่ำมาก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เหมาะสำหรับการจัดการ packet flows ระหว่าง accelerator ต่าง ๆ และการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับระบบคอมพิวเตอร์

    โปรเซสเซอร์นี้ยังรองรับระบบปฏิบัติการ Linux และ Real-Time OS พร้อมความสามารถในการทำงานร่วมกับโปรไฟล์ RVA23 ซึ่งช่วยให้พัฒนาแอปพลิเคชันได้ง่ายขึ้นในระบบนิเวศของ RISC-V

    Steven Dickens จาก HyperFRAME Research กล่าวว่า I8500 เป็นก้าวสำคัญของการประมวลผลแบบ event-driven ที่ตอบโจทย์ตลาดใหม่ เช่น ยานยนต์อัตโนมัติและระบบควบคุมอุตสาหกรรม

    ข้อมูลในข่าว
    MIPS เปิดตัวโปรเซสเซอร์ I8500 สำหรับงาน Physical AI และการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบอัจฉริยะ
    ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V พร้อม multithread สูงสุด 24 threads ต่อ cluster
    รองรับ multi-cluster deployments เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน
    มี latency ต่ำและ deterministic data movement พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว
    เหมาะสำหรับงานในศูนย์ข้อมูล, ยานยนต์, อุตสาหกรรม และระบบสื่อสาร
    รองรับ Linux และ Real-Time OS พร้อมโปรไฟล์ RVA23
    ช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันในระบบ RISC-V เป็นไปอย่างราบรื่น
    Steven Dickens ระบุว่า I8500 เป็นก้าวสำคัญของการประมวลผลแบบ event-driven
    มี Atlas Explorer Core Model สำหรับการทดสอบร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
    เตรียมเปิดตัวในงาน RISC-V Summit North America วันที่ 22–23 ตุลาคม

    https://www.techpowerup.com/341911/mips-i8500-processor-orchestrates-data-movement-for-the-ai-era
    ⚙️ “MIPS I8500: โปรเซสเซอร์ยุคใหม่เพื่อขับเคลื่อน Physical AI” — สถาปัตยกรรม RISC-V ที่ออกแบบมาเพื่อการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบอัจฉริยะ บริษัท MIPS ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ GlobalFoundries ได้เปิดตัวโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ชื่อว่า MIPS I8500 โดยเน้นการจัดการข้อมูลแบบเรียลไทม์สำหรับแพลตฟอร์มที่ต้องการการตอบสนองทันที เช่น ระบบ AI ที่ทำงานนอกศูนย์ข้อมูล (Physical AI), โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร, อุตสาหกรรม, ยานยนต์ และระบบจัดเก็บข้อมูล I8500 ถูกออกแบบบนสถาปัตยกรรม RISC-V และมีความสามารถในการประมวลผลแบบ multithread สูงถึง 24 threads ต่อ cluster โดยมี 4 threads ต่อ core และรองรับการทำงานแบบ multi-cluster เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน จุดเด่นของ I8500 คือการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบ deterministic (กำหนดได้แน่นอน) และมี latency ต่ำมาก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เหมาะสำหรับการจัดการ packet flows ระหว่าง accelerator ต่าง ๆ และการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับระบบคอมพิวเตอร์ โปรเซสเซอร์นี้ยังรองรับระบบปฏิบัติการ Linux และ Real-Time OS พร้อมความสามารถในการทำงานร่วมกับโปรไฟล์ RVA23 ซึ่งช่วยให้พัฒนาแอปพลิเคชันได้ง่ายขึ้นในระบบนิเวศของ RISC-V Steven Dickens จาก HyperFRAME Research กล่าวว่า I8500 เป็นก้าวสำคัญของการประมวลผลแบบ event-driven ที่ตอบโจทย์ตลาดใหม่ เช่น ยานยนต์อัตโนมัติและระบบควบคุมอุตสาหกรรม ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ MIPS เปิดตัวโปรเซสเซอร์ I8500 สำหรับงาน Physical AI และการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบอัจฉริยะ ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V พร้อม multithread สูงสุด 24 threads ต่อ cluster ➡️ รองรับ multi-cluster deployments เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน ➡️ มี latency ต่ำและ deterministic data movement พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว ➡️ เหมาะสำหรับงานในศูนย์ข้อมูล, ยานยนต์, อุตสาหกรรม และระบบสื่อสาร ➡️ รองรับ Linux และ Real-Time OS พร้อมโปรไฟล์ RVA23 ➡️ ช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันในระบบ RISC-V เป็นไปอย่างราบรื่น ➡️ Steven Dickens ระบุว่า I8500 เป็นก้าวสำคัญของการประมวลผลแบบ event-driven ➡️ มี Atlas Explorer Core Model สำหรับการทดสอบร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ➡️ เตรียมเปิดตัวในงาน RISC-V Summit North America วันที่ 22–23 ตุลาคม https://www.techpowerup.com/341911/mips-i8500-processor-orchestrates-data-movement-for-the-ai-era
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    MIPS I8500 Processor Orchestrates Data Movement for the AI Era
    MIPS, a GlobalFoundries company, announced today the MIPS I8500 processor is now sampling to lead customers. Featured at GlobalFoundries' Technology Summit in Munich, Germany today, the I8500 represents a class of intelligent data movement processor IP designed for real-time, event-driven computing ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ฐานข้อมูลเวกเตอร์: หัวใจของการค้นหาแบบเข้าใจความหมายในยุค AI” — จากการค้นหาด้วยคำสู่การค้นหาด้วยความเข้าใจ

    ในอดีต การค้นหาข้อมูลต้องอาศัยคำที่ตรงเป๊ะ เช่น ชื่อผู้ใช้หรือรหัสสินค้า แต่เมื่อโลกเต็มไปด้วยข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง เช่น รูปภาพ ข้อความ หรือเสียง การค้นหาแบบเดิมก็เริ่มล้าสมัย นี่คือจุดที่ “ฐานข้อมูลเวกเตอร์” (Vector Database) เข้ามาเปลี่ยนเกม

    หลักการคือการใช้โมเดล AI สร้าง “embedding” หรือ “ลายนิ้วมือดิจิทัล” ของข้อมูล เช่น รูปภาพหรือข้อความ แล้วเปลี่ยนเป็นเวกเตอร์ (ชุดตัวเลข) ที่สะท้อนความหมายและบริบทของข้อมูลนั้น จากนั้นฐานข้อมูลเวกเตอร์จะจัดเก็บและค้นหาเวกเตอร์ที่ใกล้เคียงกันในเชิงคณิตศาสตร์ เพื่อหาข้อมูลที่ “คล้ายกัน” แม้จะไม่เหมือนกันเป๊ะ

    ตัวอย่างเช่น หากคุณอัปโหลดภาพสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ระบบสามารถค้นหาภาพที่คล้ายกัน เช่น ลาบราดอร์ในสวน โดยไม่ต้องใช้คำว่า “สุนัข” เลย เพราะ embedding เข้าใจความหมายของภาพ

    ฐานข้อมูลเวกเตอร์ใช้เทคนิคการค้นหาแบบ Approximate Nearest Neighbor (ANN) เพื่อให้ค้นหาได้เร็วมากในระดับมิลลิวินาที แม้จะมีข้อมูลเป็นพันล้านรายการ โดยยอมแลกความแม่นยำเล็กน้อยเพื่อความเร็ว

    เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ในหลายวงการ เช่น:
    อีคอมเมิร์ซ: แนะนำสินค้าที่คล้ายกับที่ผู้ใช้ดู
    ความปลอดภัยไซเบอร์: ค้นหามัลแวร์ที่คล้ายกับตัวอย่างที่พบ
    แชตบอท AI: ค้นหาข้อมูลในเอกสารภายในองค์กรเพื่อตอบคำถาม
    ตรวจสอบลิขสิทธิ์: เปรียบเทียบเสียงหรือภาพกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่

    มีฐานข้อมูลเวกเตอร์หลายประเภท เช่น Pinecone, Weaviate, Milvus, Qdrant, FAISS และ Chroma รวมถึง PostgreSQL ที่เพิ่มความสามารถด้านเวกเตอร์ผ่าน pgvector

    ข้อมูลในข่าว
    ฐานข้อมูลเวกเตอร์ช่วยค้นหาข้อมูลที่คล้ายกันในเชิงความหมาย ไม่ใช่แค่คำ
    ใช้ embedding จากโมเดล AI เพื่อแปลงข้อมูลเป็นเวกเตอร์
    เวกเตอร์คือชุดตัวเลขที่สะท้อนความหมายของข้อมูล
    ใช้ ANN เพื่อค้นหาเวกเตอร์ที่ใกล้เคียงกันอย่างรวดเร็ว
    ถูกนำไปใช้ในอีคอมเมิร์ซ, ความปลอดภัยไซเบอร์, แชตบอท และการตรวจสอบลิขสิทธิ์
    มีฐานข้อมูลเวกเตอร์หลายประเภท ทั้งแบบคลาวด์, โอเพ่นซอร์ส และฝังในแอป
    Pinecone และ Weaviate เหมาะกับการใช้งานแบบ API
    Milvus และ Qdrant เหมาะกับองค์กรที่ต้องการควบคุมระบบเอง
    FAISS และ Chroma เหมาะกับนักพัฒนาที่ต้องการฝังในแอปขนาดเล็ก
    PostgreSQL เพิ่มความสามารถด้านเวกเตอร์ผ่าน pgvector

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การใช้ ANN อาจแลกความแม่นยำเล็กน้อยเพื่อความเร็ว
    หาก embedding ไม่ดี อาจทำให้ผลลัพธ์การค้นหาไม่ตรงความต้องการ
    การจัดการฐานข้อมูลเวกเตอร์ขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรสูง
    การฝึก embedding ต้องใช้ข้อมูลคุณภาพสูงเพื่อให้ผลลัพธ์มีความหมาย
    การนำไปใช้ในระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การแพทย์ ต้องระวังเป็นพิเศษ

    https://hackread.com/power-of-vector-databases-era-of-ai-search/
    🔍 “ฐานข้อมูลเวกเตอร์: หัวใจของการค้นหาแบบเข้าใจความหมายในยุค AI” — จากการค้นหาด้วยคำสู่การค้นหาด้วยความเข้าใจ ในอดีต การค้นหาข้อมูลต้องอาศัยคำที่ตรงเป๊ะ เช่น ชื่อผู้ใช้หรือรหัสสินค้า แต่เมื่อโลกเต็มไปด้วยข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง เช่น รูปภาพ ข้อความ หรือเสียง การค้นหาแบบเดิมก็เริ่มล้าสมัย นี่คือจุดที่ “ฐานข้อมูลเวกเตอร์” (Vector Database) เข้ามาเปลี่ยนเกม หลักการคือการใช้โมเดล AI สร้าง “embedding” หรือ “ลายนิ้วมือดิจิทัล” ของข้อมูล เช่น รูปภาพหรือข้อความ แล้วเปลี่ยนเป็นเวกเตอร์ (ชุดตัวเลข) ที่สะท้อนความหมายและบริบทของข้อมูลนั้น จากนั้นฐานข้อมูลเวกเตอร์จะจัดเก็บและค้นหาเวกเตอร์ที่ใกล้เคียงกันในเชิงคณิตศาสตร์ เพื่อหาข้อมูลที่ “คล้ายกัน” แม้จะไม่เหมือนกันเป๊ะ ตัวอย่างเช่น หากคุณอัปโหลดภาพสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ระบบสามารถค้นหาภาพที่คล้ายกัน เช่น ลาบราดอร์ในสวน โดยไม่ต้องใช้คำว่า “สุนัข” เลย เพราะ embedding เข้าใจความหมายของภาพ ฐานข้อมูลเวกเตอร์ใช้เทคนิคการค้นหาแบบ Approximate Nearest Neighbor (ANN) เพื่อให้ค้นหาได้เร็วมากในระดับมิลลิวินาที แม้จะมีข้อมูลเป็นพันล้านรายการ โดยยอมแลกความแม่นยำเล็กน้อยเพื่อความเร็ว เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ในหลายวงการ เช่น: ⭐ อีคอมเมิร์ซ: แนะนำสินค้าที่คล้ายกับที่ผู้ใช้ดู ⭐ ความปลอดภัยไซเบอร์: ค้นหามัลแวร์ที่คล้ายกับตัวอย่างที่พบ ⭐ แชตบอท AI: ค้นหาข้อมูลในเอกสารภายในองค์กรเพื่อตอบคำถาม ⭐ ตรวจสอบลิขสิทธิ์: เปรียบเทียบเสียงหรือภาพกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ มีฐานข้อมูลเวกเตอร์หลายประเภท เช่น Pinecone, Weaviate, Milvus, Qdrant, FAISS และ Chroma รวมถึง PostgreSQL ที่เพิ่มความสามารถด้านเวกเตอร์ผ่าน pgvector ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ฐานข้อมูลเวกเตอร์ช่วยค้นหาข้อมูลที่คล้ายกันในเชิงความหมาย ไม่ใช่แค่คำ ➡️ ใช้ embedding จากโมเดล AI เพื่อแปลงข้อมูลเป็นเวกเตอร์ ➡️ เวกเตอร์คือชุดตัวเลขที่สะท้อนความหมายของข้อมูล ➡️ ใช้ ANN เพื่อค้นหาเวกเตอร์ที่ใกล้เคียงกันอย่างรวดเร็ว ➡️ ถูกนำไปใช้ในอีคอมเมิร์ซ, ความปลอดภัยไซเบอร์, แชตบอท และการตรวจสอบลิขสิทธิ์ ➡️ มีฐานข้อมูลเวกเตอร์หลายประเภท ทั้งแบบคลาวด์, โอเพ่นซอร์ส และฝังในแอป ➡️ Pinecone และ Weaviate เหมาะกับการใช้งานแบบ API ➡️ Milvus และ Qdrant เหมาะกับองค์กรที่ต้องการควบคุมระบบเอง ➡️ FAISS และ Chroma เหมาะกับนักพัฒนาที่ต้องการฝังในแอปขนาดเล็ก ➡️ PostgreSQL เพิ่มความสามารถด้านเวกเตอร์ผ่าน pgvector ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การใช้ ANN อาจแลกความแม่นยำเล็กน้อยเพื่อความเร็ว ⛔ หาก embedding ไม่ดี อาจทำให้ผลลัพธ์การค้นหาไม่ตรงความต้องการ ⛔ การจัดการฐานข้อมูลเวกเตอร์ขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรสูง ⛔ การฝึก embedding ต้องใช้ข้อมูลคุณภาพสูงเพื่อให้ผลลัพธ์มีความหมาย ⛔ การนำไปใช้ในระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การแพทย์ ต้องระวังเป็นพิเศษ https://hackread.com/power-of-vector-databases-era-of-ai-search/
    HACKREAD.COM
    The Power of Vector Databases in the New Era of AI Search
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • Buy Verified Wise Accounts

    https://globalseoshop.com/product/buy-verified-wise-accounts/

    On the off chance that you need more data simply thump us-
    Email: Globalseoshop@gmail.com
    WhatsApp: +18647088783
    Skype: GlobalSeoShop
    Telegram: @GlobalSeoShop

    #BuyWiseAccounts
    #VerifiedWiseAccounts
    #WiseAccountsForSale
    #BuyVerifiedWise
    #GlobalSEOShop
    Buy Verified Wise Accounts https://globalseoshop.com/product/buy-verified-wise-accounts/ On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp: +18647088783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop #BuyWiseAccounts #VerifiedWiseAccounts #WiseAccountsForSale #BuyVerifiedWise #GlobalSEOShop
    GLOBALSEOSHOP.COM
    Buy Verified Wise Accounts
    If you are looking to buy verified Wise accounts, both old and new, you have come to the right place. Wise, formerly known as TransferWise, is a popular online money transfer service
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • Buy Verified Wise Accounts

    https://globalseoshop.com/product/buy-verified-wise-accounts/

    On the off chance that you need more data simply thump us-
    Email: Globalseoshop@gmail.com
    WhatsApp: +18647088783
    Skype: GlobalSeoShop
    Telegram: @GlobalSeoShop

    #BuyWiseAccounts
    #VerifiedWiseAccounts
    #WiseAccountsForSale
    #BuyVerifiedWise
    #GlobalSEOShop
    #WiseAccountSeller
    #WiseVerifiedLogin
    Buy Verified Wise Accounts https://globalseoshop.com/product/buy-verified-wise-accounts/ On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp: +18647088783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop #BuyWiseAccounts #VerifiedWiseAccounts #WiseAccountsForSale #BuyVerifiedWise #GlobalSEOShop #WiseAccountSeller #WiseVerifiedLogin
    GLOBALSEOSHOP.COM
    Buy Verified Wise Accounts
    If you are looking to buy verified Wise accounts, both old and new, you have come to the right place. Wise, formerly known as TransferWise, is a popular online money transfer service
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 13
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 13

    ส่วนกองกำลังนอกระบบนั้น เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง เริ่มมีมาตั้งแต่หลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทหารเกณฑ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะจากอังกฤษและแถบยุโรป เมื่อปลดประจำการ แต่ยังติดใจรสชาติการต่อสู้อยู่ ก็พากันไปเป็นทหารรับจ้าง Mercenaries ในแถบอาฟริกา และเมืองต่างๆที่เคยเป็นอาณานิคม และดิ้นรนที่จะให้หลุดพ้นจากการปกครอง ของพวกนักล่าอาณานิคม

    หลังสงครามเย็นเลิก และเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย ในปี ค.ศ.1991 เป็นต้นมา บรรดารัฐต่างๆ ที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต ต่างประกาศตัวเป็นอิสระ ขณะเดียวกับที่อเมริกา ก็เข้าไปแทรกแซงในการต่อสู้เพื่อเป็นอิสระของรัฐเหล่านั้น อเมริกาไม่ใช้กองทัพของตนเข้าไปทั้งหมด แต่ว่าจ้างให้กลุ่มนักรบเข้าไป ทำการแทน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพวก Contractors ซึ่งทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Mercenaries นัก และเมื่อมีการเข้าไปสำรวจ ขุดเจาะ ทรัพยากรในตะวันออกกลาง อาฟริกา ลาตินอเมริกา ฯลฯ พวกที่เข้าไปสำรวจ ก็จ้างนักรบเข้าไปดูแลทรัพย์สินและเจ้าหน้าที่ของตนด้วย Contractors จึงมีอีกชื่อหนึ่ง เรียกกันว่า Private Military Contractors หรือ (PMC) หรือ Private Security Contractors (PSC)

    สำหรับอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลคาวบอย Bush, Clinton รวมถึง Obama ล้วนใช้บริการของ Contractors ทั้งสิ้น และที่น่าสนใจ สหประชาชาติเอง ในการส่งกองกำลังของสหประชาชาติ ไปดูแลความสงบในประเทศใดๆ ที่อ้างว่ามีทหารจากประเทศสมาชิกส่งไปนั้น ของจริงมีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวก Contractors ทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีการปะทะกันรุนแรง

    อเมริกาเลือกใช้บริการของ Contractors เพื่อหลีกเลี่ยงการแถลงความจริงต่อสภาสูง เนื่องจากการส่งกองทัพไปประจำที่ใด ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูง และที่สำคัญ การใช้ Contractors มี ความคล่องตัวในการย้ายกองกำลังและทุนที่ใช้ โดยใช้ผ่านงบลับต่างๆ ซึ่งอเมริกาชำนาญการเดินเรื่องแบบสีเทาใต้โต๊ะเช่นนี้อยู่แล้ว และหากมีปัญหาอะไร การเก็บกวาดง่ายกว่าเป็นกองทัพ

    อเมริกาส่งกองกำลัง Contractors ไปทุกแห่ง ทั้งแถบอดีตสหภาพโซเวียต อาฟริกา ลาติน อาฟกานิสถาน เอเซีย ตะวันออกกลาง สำหรับตะวันออกกลางนั้น มีรายงานบอกว่า เมื่อสมัยทำสงครามอ่าว อัตราส่วนระหว่างพลประจำกองทัพ กับพวก Contractors ประมาณ 1:50 แต่เมื่ออเมริกาเข้าไปปฏิบัติการในอิรัก และอาฟกานิสถาน จำนวนของ Contractors มีจำนวนมากกว่า จำนวนทหารในกองทัพเสียอีก !
    ช่วงอเมริกาขยิ้อิรัก เขาว่าบริษัท Contractors งอก ขึ้นมาเป็นร้อย ในช่วงสูงสุดใช้ถึง 500 บริษัท มีทั้งบริษัทใหญ่ บริษัทย่อยและเป็นที่รู้กันว่า ในการรบ ปะทะ ยึดเมือง ทั้งหมด เกือบทุกรายการของอเมริกา ใช้ Contractors เป็นหัวเจาะนำเข้าไปก่อน และคุมพื้นที่ให้จนเรียบร้อย กองทัพตัวจริงจึงเข้ามา ดังนั้นความใหญ่ กร่าง และราคาของ Contractors จึงสูงขึ้นตามไปด้วย

    Contractors ส่วน ใหญ่ มีคนในรัฐบาลอเมริกันนั่นแหละ เป็นผู้มีส่วนจัดตั้ง ดูแล ส่งงานให้ และเป็นลูกพี่คุ้มหัวให้อีกต่อ เป็นธุรกิจมืดที่โด่งดัง มีอิทธิพล และราคาสูงจนน่าตกใจของอเมริกา

    Contractors ระดับ เจ้าพ่อของอเมริกา ที่สามารถระดมพลได้เป็นเรือนแสน และรับงานได้ทุกระดับความอันตราย ทุกพื้นที่ และเป็นเรื่องที่เป็นความลับสุดยอด ที่โด่งดัง มีอยู่ไม่เกิน 5 บริษัท หนึ่งในนั้นคือ Blackwater !

    ผมเคยเล่าเรื่อง Blackwater ให้ฟังกันประมาณกลางปีนี้ ในบทความนิทาน “หวังว่าเป็นเพียงข่าวลือ” สำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่าน หรือจำไม่ได้ ผมจะทบทวนให้ฟังเล็กน้อย

    Blackwater ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.1997 โดยนาย Eric Prince ลูกเศรษฐีที่ชอบการต่อสู้ เขาเป็นอดีตนาวิกโยธิน และประจำหน่วย Seal ฝีมือดีของกองทัพอเมริกา Blackwater รับงานระดับจัดหนัก hardcore ทั้งสิ้น เช่น ปฎิบัติการที่ อาฟกานิสถาน อิรัก ลิเบีย ฯลฯ การเก็บผู้ก่อการร้ายสำคัญ ล้วนเป็นฝีมือของพวก Blackwater เป็นส่วนมาก ค่าจ้างของ Blackwater เป็นหลักพันล้านเหรียญขึ้นไป ธุรกิจของ Blackwaterไปได้สวยและโด่งดังมาก จน Blackwater ไปสะดุดหัวแม่เท้าของใครไม่ทราบ ปี ค.ศ.2009 ลูกน้องของเขาถูกจับและถูกสอบสวน กรณีทำให้ชาวบ้านตายที่อิรัก ส่วนตัวนาย Prince ถูกเล่นงานด้วยข้อหาหนีภาษี

    ข่าวบอกว่า Eric Prince ขายหุ้นใน Blackwater ทิ้งในปี ค.ศ.2010 และตัวเขาหลบไปอยู่ที่ Abu Dhabi บ้างก็ว่าไปอยู่ฮ่องกง ส่วน Blackwater เปลี่ยนผู้บริหารและเปลี่ยนชื่อเป็น Academi

    แต่นาย Eric Prince ไม่ได้ทิ้งงาน Contractors ไปจริงๆหรอก มีข่าวว่า เขาเข้าไปทำธุรกิจที่อาฟริกา ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Frontier Resource Group อ้างว่าเป็นการลงทุนด้าน infrastructure ใน อาฟริการ่วมกับบริษัทจีน แถบซูดาน คองโก และไนจีเรีย จริงๆก็คือไปดูแลธุรกิจของจีน และนักลงทุนจีน ที่เข้าไปอยู่กันเต็มในอาฟริกา ตั้งแต่ปี คศ 2000 เป็นต้นมา
    หลังจากนั้นก็มีข่าวทยอยมาอีกว่า Frontier ไม่ ได้รับงานแค่ 3 ประเทศ แต่ดูแลไปถึง เคนยา, แองโกลา, เอธิโอเปีย, แทนซาเนีย, ยูกานดา, พิทแลนด์ ซึ่งเป็นรัฐอิสระอยู่ในโซมาเลีย ก็เกือบหมดอาฟริกานั่นแหละ !

    ที่อาฟริกา Frontier ของนาย Eric Prince ทำงานร่วมกับ Contractors ระดับเจ้าพ่ออีกรายชื่อ บริษัท Saracen ซึ่งมีสำนักงานอยู่หลายแห่ง เช่นที่ South Africa และ Lebanon เจ้าของ Saracenเป็นใคร ข้อมูลบางรายบอกว่าเป็นของนาย Lafras Luitingh บ้าง บางรายก็บอกว่านาย Luitingh ก็เป็นคู่หูของนาย Eric Prince นั่นแหละ

    Saracen มีฐานสำคัญอยู่อีก 2 ที่ ที่หนึ่งคือ Somalia อีกที่หนึ่งคือ Kosovo ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Poland ลองเดาดูกันมั่งครับ ว่ามีความหมายอย่างไร

    ท่านผู้อ่านคงสงสัย ผมเล่าเรื่องนาย Eric Prince และ Frontier กับ Saracen ทำไมยืดยาว

    เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ.2014 South China Morning Post ลงข่าวแบบไม่ตีปีบว่า หุ้น DVN Holding ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือนายJohnson Ko Chun-shun และ Citic Group ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีน ทะยานขึ้น 7.3% ตั้งแต่มีการตั้งนาย Eric Prince อดีตเจ้าของบริษัท Blackwater ที่อื้อฉาวเป็นประธานบริษัท DVN ยังให้ สิทธิ Option ในการซื้อหุ้นแก่นาย Eric อีกด้วย DVN เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง !

    เรื่องนี้คงไม่เป็นแค่ข่าวลือ เพราะ South China ลงข่าวอย่างเป็นทางการ

    และหลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน วันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ.2014 ก็มีการแถลงข่าวที่อเมริกาว่า Academi (ชื่อใหม่ของ Blackwater ที่นาย Prince อ้างว่า ขายไปแล้ว) และบริษัท Contractors อีก 5 บริษัท ได้ควบรวมกับ Triple Canopy และตั้งเป็นบริษัท Contractors ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ Constellis Holding ถือเป็นข่าวสะท้านวงการของพวกกองกำลังนอกระบบ และเสทือนไปถึงกองกำลังในระบบของอเมริกา !

    ในวงการเขาเล่ากันว่า นาย Eric Prince นั้นคุมกองกำลังพวก Contractors ประมาณ 30 % ของ Contractors ทั้งหมด ส่วน Constellis คุมอีก 40% ที่เหลือน่าจะเป็นของ Dyn Corp (ซึ่งเป็นของพวกทหาร ที่ออกมาจากหน่วย Special Force เป็นส่วนใหญ่ กลุ่มนี้ เป็นรุ่นแรกที่เป็นนักรบรับจ้างตั้งแต่สมัยสงครามเย็น โดยเข้าไปใน Bosnia, Kosovo) และบริษัทรายย่อย

    สำหรับนาย Eric Prince คงชัดเจนว่าแปรพักตร์ไปเรียบร้อยแล้วจากอเมริกา เขาเป็นผู้ชำนาญการแถบตะวันออกกลาง ถ้าดูระยะเวลาเมื่อดอก ISIS บาน ที่อิรักเมื่อกลางปี ค.ศ.2014 และพวกเสี่ยน้ำมันตะวันออกกลางกลุ่มซาอุดิ พยายามกดดันให้อเมริกาส่งกองกำลังไปจัดการ คงพอเป็นคำตอบได้ว่า อเมริกาจะเอากองกำลังนอกระบบที่ไหน ที่จะเข้าไปไล่จับ ISIS ในตะวันออกกลาง อย่างน้อยกองกำลังนอกระบบก็หายไปแล้ว 30% ที่เหลืออยู่ใช่ว่าจะอยู่ว่างๆเดินเล่น ต่างก็อาจติดภาระกิจที่ทำสัญญากันไว้แล้ว

    และถ้าปรากฏว่า Constellis Holding นั้น ก็ย้ายมาอยู่ฝั่งเดียวกับนาย Eric Prince ด้วย แล้ว อเมริกาคงเหนื่อยแน่ ดูจากสีหน้าอันโทรมจัดของนายโอบามา ระยะหลัง โดยเฉพาะเมื่อไปโผล่หน้าที่แดนมังกร ฝืนยิ้มได้ฝืดตลอดรายการ ก็เกือบจะเชื่อแล้วว่ามีการย้ายฝั่งกันจริง นายโอบามาคงจะเดินเสียวสันหลังตลอดเวลาที่อยู่แดนมังกร ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อเมริกาจะแก้เกมอันนี้อย่างไรล่ะ ก็ต้องพึ่งกองกำลังในระบบคือกองทัพอย่างเดียว มิน่าเล่า นาย Chuck Hagel รัฐมนตรีกลาโหม ถึงได้ร้องเพลงถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า ไม่ต้องให้นายโอบามาบีบหรอกครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 13 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 13 ส่วนกองกำลังนอกระบบนั้น เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง เริ่มมีมาตั้งแต่หลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทหารเกณฑ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะจากอังกฤษและแถบยุโรป เมื่อปลดประจำการ แต่ยังติดใจรสชาติการต่อสู้อยู่ ก็พากันไปเป็นทหารรับจ้าง Mercenaries ในแถบอาฟริกา และเมืองต่างๆที่เคยเป็นอาณานิคม และดิ้นรนที่จะให้หลุดพ้นจากการปกครอง ของพวกนักล่าอาณานิคม หลังสงครามเย็นเลิก และเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย ในปี ค.ศ.1991 เป็นต้นมา บรรดารัฐต่างๆ ที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต ต่างประกาศตัวเป็นอิสระ ขณะเดียวกับที่อเมริกา ก็เข้าไปแทรกแซงในการต่อสู้เพื่อเป็นอิสระของรัฐเหล่านั้น อเมริกาไม่ใช้กองทัพของตนเข้าไปทั้งหมด แต่ว่าจ้างให้กลุ่มนักรบเข้าไป ทำการแทน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพวก Contractors ซึ่งทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Mercenaries นัก และเมื่อมีการเข้าไปสำรวจ ขุดเจาะ ทรัพยากรในตะวันออกกลาง อาฟริกา ลาตินอเมริกา ฯลฯ พวกที่เข้าไปสำรวจ ก็จ้างนักรบเข้าไปดูแลทรัพย์สินและเจ้าหน้าที่ของตนด้วย Contractors จึงมีอีกชื่อหนึ่ง เรียกกันว่า Private Military Contractors หรือ (PMC) หรือ Private Security Contractors (PSC) สำหรับอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลคาวบอย Bush, Clinton รวมถึง Obama ล้วนใช้บริการของ Contractors ทั้งสิ้น และที่น่าสนใจ สหประชาชาติเอง ในการส่งกองกำลังของสหประชาชาติ ไปดูแลความสงบในประเทศใดๆ ที่อ้างว่ามีทหารจากประเทศสมาชิกส่งไปนั้น ของจริงมีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวก Contractors ทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีการปะทะกันรุนแรง อเมริกาเลือกใช้บริการของ Contractors เพื่อหลีกเลี่ยงการแถลงความจริงต่อสภาสูง เนื่องจากการส่งกองทัพไปประจำที่ใด ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูง และที่สำคัญ การใช้ Contractors มี ความคล่องตัวในการย้ายกองกำลังและทุนที่ใช้ โดยใช้ผ่านงบลับต่างๆ ซึ่งอเมริกาชำนาญการเดินเรื่องแบบสีเทาใต้โต๊ะเช่นนี้อยู่แล้ว และหากมีปัญหาอะไร การเก็บกวาดง่ายกว่าเป็นกองทัพ อเมริกาส่งกองกำลัง Contractors ไปทุกแห่ง ทั้งแถบอดีตสหภาพโซเวียต อาฟริกา ลาติน อาฟกานิสถาน เอเซีย ตะวันออกกลาง สำหรับตะวันออกกลางนั้น มีรายงานบอกว่า เมื่อสมัยทำสงครามอ่าว อัตราส่วนระหว่างพลประจำกองทัพ กับพวก Contractors ประมาณ 1:50 แต่เมื่ออเมริกาเข้าไปปฏิบัติการในอิรัก และอาฟกานิสถาน จำนวนของ Contractors มีจำนวนมากกว่า จำนวนทหารในกองทัพเสียอีก ! ช่วงอเมริกาขยิ้อิรัก เขาว่าบริษัท Contractors งอก ขึ้นมาเป็นร้อย ในช่วงสูงสุดใช้ถึง 500 บริษัท มีทั้งบริษัทใหญ่ บริษัทย่อยและเป็นที่รู้กันว่า ในการรบ ปะทะ ยึดเมือง ทั้งหมด เกือบทุกรายการของอเมริกา ใช้ Contractors เป็นหัวเจาะนำเข้าไปก่อน และคุมพื้นที่ให้จนเรียบร้อย กองทัพตัวจริงจึงเข้ามา ดังนั้นความใหญ่ กร่าง และราคาของ Contractors จึงสูงขึ้นตามไปด้วย Contractors ส่วน ใหญ่ มีคนในรัฐบาลอเมริกันนั่นแหละ เป็นผู้มีส่วนจัดตั้ง ดูแล ส่งงานให้ และเป็นลูกพี่คุ้มหัวให้อีกต่อ เป็นธุรกิจมืดที่โด่งดัง มีอิทธิพล และราคาสูงจนน่าตกใจของอเมริกา Contractors ระดับ เจ้าพ่อของอเมริกา ที่สามารถระดมพลได้เป็นเรือนแสน และรับงานได้ทุกระดับความอันตราย ทุกพื้นที่ และเป็นเรื่องที่เป็นความลับสุดยอด ที่โด่งดัง มีอยู่ไม่เกิน 5 บริษัท หนึ่งในนั้นคือ Blackwater ! ผมเคยเล่าเรื่อง Blackwater ให้ฟังกันประมาณกลางปีนี้ ในบทความนิทาน “หวังว่าเป็นเพียงข่าวลือ” สำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่าน หรือจำไม่ได้ ผมจะทบทวนให้ฟังเล็กน้อย Blackwater ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.1997 โดยนาย Eric Prince ลูกเศรษฐีที่ชอบการต่อสู้ เขาเป็นอดีตนาวิกโยธิน และประจำหน่วย Seal ฝีมือดีของกองทัพอเมริกา Blackwater รับงานระดับจัดหนัก hardcore ทั้งสิ้น เช่น ปฎิบัติการที่ อาฟกานิสถาน อิรัก ลิเบีย ฯลฯ การเก็บผู้ก่อการร้ายสำคัญ ล้วนเป็นฝีมือของพวก Blackwater เป็นส่วนมาก ค่าจ้างของ Blackwater เป็นหลักพันล้านเหรียญขึ้นไป ธุรกิจของ Blackwaterไปได้สวยและโด่งดังมาก จน Blackwater ไปสะดุดหัวแม่เท้าของใครไม่ทราบ ปี ค.ศ.2009 ลูกน้องของเขาถูกจับและถูกสอบสวน กรณีทำให้ชาวบ้านตายที่อิรัก ส่วนตัวนาย Prince ถูกเล่นงานด้วยข้อหาหนีภาษี ข่าวบอกว่า Eric Prince ขายหุ้นใน Blackwater ทิ้งในปี ค.ศ.2010 และตัวเขาหลบไปอยู่ที่ Abu Dhabi บ้างก็ว่าไปอยู่ฮ่องกง ส่วน Blackwater เปลี่ยนผู้บริหารและเปลี่ยนชื่อเป็น Academi แต่นาย Eric Prince ไม่ได้ทิ้งงาน Contractors ไปจริงๆหรอก มีข่าวว่า เขาเข้าไปทำธุรกิจที่อาฟริกา ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Frontier Resource Group อ้างว่าเป็นการลงทุนด้าน infrastructure ใน อาฟริการ่วมกับบริษัทจีน แถบซูดาน คองโก และไนจีเรีย จริงๆก็คือไปดูแลธุรกิจของจีน และนักลงทุนจีน ที่เข้าไปอยู่กันเต็มในอาฟริกา ตั้งแต่ปี คศ 2000 เป็นต้นมา หลังจากนั้นก็มีข่าวทยอยมาอีกว่า Frontier ไม่ ได้รับงานแค่ 3 ประเทศ แต่ดูแลไปถึง เคนยา, แองโกลา, เอธิโอเปีย, แทนซาเนีย, ยูกานดา, พิทแลนด์ ซึ่งเป็นรัฐอิสระอยู่ในโซมาเลีย ก็เกือบหมดอาฟริกานั่นแหละ ! ที่อาฟริกา Frontier ของนาย Eric Prince ทำงานร่วมกับ Contractors ระดับเจ้าพ่ออีกรายชื่อ บริษัท Saracen ซึ่งมีสำนักงานอยู่หลายแห่ง เช่นที่ South Africa และ Lebanon เจ้าของ Saracenเป็นใคร ข้อมูลบางรายบอกว่าเป็นของนาย Lafras Luitingh บ้าง บางรายก็บอกว่านาย Luitingh ก็เป็นคู่หูของนาย Eric Prince นั่นแหละ Saracen มีฐานสำคัญอยู่อีก 2 ที่ ที่หนึ่งคือ Somalia อีกที่หนึ่งคือ Kosovo ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Poland ลองเดาดูกันมั่งครับ ว่ามีความหมายอย่างไร ท่านผู้อ่านคงสงสัย ผมเล่าเรื่องนาย Eric Prince และ Frontier กับ Saracen ทำไมยืดยาว เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ.2014 South China Morning Post ลงข่าวแบบไม่ตีปีบว่า หุ้น DVN Holding ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือนายJohnson Ko Chun-shun และ Citic Group ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีน ทะยานขึ้น 7.3% ตั้งแต่มีการตั้งนาย Eric Prince อดีตเจ้าของบริษัท Blackwater ที่อื้อฉาวเป็นประธานบริษัท DVN ยังให้ สิทธิ Option ในการซื้อหุ้นแก่นาย Eric อีกด้วย DVN เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ! เรื่องนี้คงไม่เป็นแค่ข่าวลือ เพราะ South China ลงข่าวอย่างเป็นทางการ และหลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน วันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ.2014 ก็มีการแถลงข่าวที่อเมริกาว่า Academi (ชื่อใหม่ของ Blackwater ที่นาย Prince อ้างว่า ขายไปแล้ว) และบริษัท Contractors อีก 5 บริษัท ได้ควบรวมกับ Triple Canopy และตั้งเป็นบริษัท Contractors ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ Constellis Holding ถือเป็นข่าวสะท้านวงการของพวกกองกำลังนอกระบบ และเสทือนไปถึงกองกำลังในระบบของอเมริกา ! ในวงการเขาเล่ากันว่า นาย Eric Prince นั้นคุมกองกำลังพวก Contractors ประมาณ 30 % ของ Contractors ทั้งหมด ส่วน Constellis คุมอีก 40% ที่เหลือน่าจะเป็นของ Dyn Corp (ซึ่งเป็นของพวกทหาร ที่ออกมาจากหน่วย Special Force เป็นส่วนใหญ่ กลุ่มนี้ เป็นรุ่นแรกที่เป็นนักรบรับจ้างตั้งแต่สมัยสงครามเย็น โดยเข้าไปใน Bosnia, Kosovo) และบริษัทรายย่อย สำหรับนาย Eric Prince คงชัดเจนว่าแปรพักตร์ไปเรียบร้อยแล้วจากอเมริกา เขาเป็นผู้ชำนาญการแถบตะวันออกกลาง ถ้าดูระยะเวลาเมื่อดอก ISIS บาน ที่อิรักเมื่อกลางปี ค.ศ.2014 และพวกเสี่ยน้ำมันตะวันออกกลางกลุ่มซาอุดิ พยายามกดดันให้อเมริกาส่งกองกำลังไปจัดการ คงพอเป็นคำตอบได้ว่า อเมริกาจะเอากองกำลังนอกระบบที่ไหน ที่จะเข้าไปไล่จับ ISIS ในตะวันออกกลาง อย่างน้อยกองกำลังนอกระบบก็หายไปแล้ว 30% ที่เหลืออยู่ใช่ว่าจะอยู่ว่างๆเดินเล่น ต่างก็อาจติดภาระกิจที่ทำสัญญากันไว้แล้ว และถ้าปรากฏว่า Constellis Holding นั้น ก็ย้ายมาอยู่ฝั่งเดียวกับนาย Eric Prince ด้วย แล้ว อเมริกาคงเหนื่อยแน่ ดูจากสีหน้าอันโทรมจัดของนายโอบามา ระยะหลัง โดยเฉพาะเมื่อไปโผล่หน้าที่แดนมังกร ฝืนยิ้มได้ฝืดตลอดรายการ ก็เกือบจะเชื่อแล้วว่ามีการย้ายฝั่งกันจริง นายโอบามาคงจะเดินเสียวสันหลังตลอดเวลาที่อยู่แดนมังกร ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อเมริกาจะแก้เกมอันนี้อย่างไรล่ะ ก็ต้องพึ่งกองกำลังในระบบคือกองทัพอย่างเดียว มิน่าเล่า นาย Chuck Hagel รัฐมนตรีกลาโหม ถึงได้ร้องเพลงถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า ไม่ต้องให้นายโอบามาบีบหรอกครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Toshiba เปิดตัวเทคโนโลยี 12 จานใน HDD” — เตรียมส่งฮาร์ดดิสก์ความจุ 40TB สู่ตลาดในปี 2027

    Toshiba ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในวงการจัดเก็บข้อมูล ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีการจัดเรียงจานแม่เหล็กในฮาร์ดดิสก์แบบใหม่ที่สามารถบรรจุได้ถึง 12 จานในขนาดมาตรฐาน 3.5 นิ้ว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรม โดยทั่วไปฮาร์ดดิสก์ขนาดนี้จะรองรับได้เพียง 10 จานเท่านั้น

    ความสำเร็จนี้เกิดจากการใช้วัสดุใหม่คือแผ่นกระจกแทนแผ่นอลูมิเนียมเดิม ซึ่งมีความทนทานและสามารถผลิตให้บางลงได้ ส่งผลให้สามารถเพิ่มจำนวนจานได้โดยไม่เพิ่มขนาดของตัวเครื่อง พร้อมทั้งพัฒนาอุปกรณ์ภายในใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับการจัดเรียงแบบแน่นหนา

    Toshiba ยังประกาศว่าจะใช้เทคโนโลยี Microwave-Assisted Magnetic Recording (MAMR) กับฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่นี้ ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นในการบันทึกข้อมูลโดยไม่ลดความเสถียรของระบบ และมีแผนจะสำรวจการใช้ Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) ในอนาคต เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Seagate และ Western Digital ที่กำลังพัฒนา HDD ความจุเกิน 100TB ด้วย HAMR

    ฮาร์ดดิสก์ 40TB รุ่นใหม่นี้จะเน้นตลาดศูนย์ข้อมูลที่ต้องการความจุสูงและความทนทาน โดย Toshiba จะเปิดเผยข้อมูลเชิงเทคนิคเพิ่มเติมในงาน IDEMA Symposium ที่ญี่ปุ่นในเดือนตุลาคม 2025

    ข้อมูลในข่าว
    Toshiba พัฒนา HDD ขนาด 3.5 นิ้วที่บรรจุได้ถึง 12 จานเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรม
    ใช้แผ่นกระจกแทนอลูมิเนียมเพื่อให้บางลงและทนทานขึ้น
    เตรียมเปิดตัว HDD ความจุ 40TB สำหรับศูนย์ข้อมูลในปี 2027
    ใช้เทคโนโลยี MAMR เพื่อเพิ่มความหนาแน่นในการบันทึกข้อมูล
    กำลังสำรวจการใช้ HAMR เพื่อแข่งขันกับ Seagate และ WD
    จะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมในงาน IDEMA Symposium เดือนตุลาคม 2025

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การเปลี่ยนวัสดุและเทคโนโลยีอาจต้องใช้เวลาทดสอบความเสถียรและความเข้ากันได้กับระบบเดิม
    MAMR ยังมีข้อจำกัดด้านความหนาแน่นเมื่อเทียบกับ HAMR ที่คู่แข่งใช้อยู่
    การเพิ่มจำนวนจานใน HDD อาจเพิ่มความซับซ้อนในการระบายความร้อนและการจัดการพลังงาน
    ศูนย์ข้อมูลต้องเตรียมโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับ HDD ความจุสูงและเทคโนโลยีใหม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/toshiba-touts-industry-first-12-disk-hdd-stacking-technology-will-pair-with-microwave-based-recording-tech-says-advance-will-enable-40tb-drives-in-2027
    💽 “Toshiba เปิดตัวเทคโนโลยี 12 จานใน HDD” — เตรียมส่งฮาร์ดดิสก์ความจุ 40TB สู่ตลาดในปี 2027 Toshiba ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในวงการจัดเก็บข้อมูล ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีการจัดเรียงจานแม่เหล็กในฮาร์ดดิสก์แบบใหม่ที่สามารถบรรจุได้ถึง 12 จานในขนาดมาตรฐาน 3.5 นิ้ว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรม โดยทั่วไปฮาร์ดดิสก์ขนาดนี้จะรองรับได้เพียง 10 จานเท่านั้น ความสำเร็จนี้เกิดจากการใช้วัสดุใหม่คือแผ่นกระจกแทนแผ่นอลูมิเนียมเดิม ซึ่งมีความทนทานและสามารถผลิตให้บางลงได้ ส่งผลให้สามารถเพิ่มจำนวนจานได้โดยไม่เพิ่มขนาดของตัวเครื่อง พร้อมทั้งพัฒนาอุปกรณ์ภายในใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับการจัดเรียงแบบแน่นหนา Toshiba ยังประกาศว่าจะใช้เทคโนโลยี Microwave-Assisted Magnetic Recording (MAMR) กับฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่นี้ ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นในการบันทึกข้อมูลโดยไม่ลดความเสถียรของระบบ และมีแผนจะสำรวจการใช้ Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) ในอนาคต เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Seagate และ Western Digital ที่กำลังพัฒนา HDD ความจุเกิน 100TB ด้วย HAMR ฮาร์ดดิสก์ 40TB รุ่นใหม่นี้จะเน้นตลาดศูนย์ข้อมูลที่ต้องการความจุสูงและความทนทาน โดย Toshiba จะเปิดเผยข้อมูลเชิงเทคนิคเพิ่มเติมในงาน IDEMA Symposium ที่ญี่ปุ่นในเดือนตุลาคม 2025 ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Toshiba พัฒนา HDD ขนาด 3.5 นิ้วที่บรรจุได้ถึง 12 จานเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรม ➡️ ใช้แผ่นกระจกแทนอลูมิเนียมเพื่อให้บางลงและทนทานขึ้น ➡️ เตรียมเปิดตัว HDD ความจุ 40TB สำหรับศูนย์ข้อมูลในปี 2027 ➡️ ใช้เทคโนโลยี MAMR เพื่อเพิ่มความหนาแน่นในการบันทึกข้อมูล ➡️ กำลังสำรวจการใช้ HAMR เพื่อแข่งขันกับ Seagate และ WD ➡️ จะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมในงาน IDEMA Symposium เดือนตุลาคม 2025 ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การเปลี่ยนวัสดุและเทคโนโลยีอาจต้องใช้เวลาทดสอบความเสถียรและความเข้ากันได้กับระบบเดิม ⛔ MAMR ยังมีข้อจำกัดด้านความหนาแน่นเมื่อเทียบกับ HAMR ที่คู่แข่งใช้อยู่ ⛔ การเพิ่มจำนวนจานใน HDD อาจเพิ่มความซับซ้อนในการระบายความร้อนและการจัดการพลังงาน ⛔ ศูนย์ข้อมูลต้องเตรียมโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับ HDD ความจุสูงและเทคโนโลยีใหม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/toshiba-touts-industry-first-12-disk-hdd-stacking-technology-will-pair-with-microwave-based-recording-tech-says-advance-will-enable-40tb-drives-in-2027
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • “MRAM เจเนอเรชันใหม่ – พลิกวงการหน่วยความจำด้วยชั้นทังสเตน เร็วแรงเทียบ SRAM แต่กินไฟต่ำกว่า”

    ในโลกของหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ เรามักได้ยินชื่อของ DRAM และ SRAM เป็นหลัก แต่ตอนนี้มีผู้ท้าชิงรายใหม่ที่กำลังมาแรงอย่าง “MRAM” หรือ Magnetoresistive RAM ซึ่งล่าสุดนักวิจัยได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ “ชั้นทังสเตน” (Tungsten Layer) เพื่อเพิ่มความเร็วในการสลับบิต (bit flipping) ให้เทียบเท่ากับ SRAM แต่ใช้พลังงานต่ำกว่ามาก

    MRAM เป็นหน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน (non-volatile) ซึ่งหมายความว่ามันสามารถเก็บข้อมูลได้แม้ไม่มีไฟฟ้า ต่างจาก DRAM ที่ต้องรีเฟรชตลอดเวลา หรือ SRAM ที่เร็วแต่กินไฟสูงและมีขนาดใหญ่

    การใช้ชั้นทังสเตนในโครงสร้างของ MRAM ช่วยให้สามารถควบคุมสนามแม่เหล็กได้แม่นยำขึ้น ทำให้การเขียนข้อมูลเร็วขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง ซึ่งเป็นก้าวกระโดดสำคัญในการพัฒนา MRAM ให้สามารถใช้งานในระดับเดียวกับหน่วยความจำหลัก (main memory) ได้ในอนาคต

    หากเทคโนโลยีนี้ถูกนำไปผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้สำเร็จ มันอาจเปลี่ยนโฉมหน้าของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่สมาร์ตโฟนไปจนถึงเซิร์ฟเวอร์ระดับดาต้าเซ็นเตอร์ เพราะจะได้หน่วยความจำที่เร็วเท่า SRAM แต่ประหยัดพลังงานและไม่ลบเลือนเหมือน SSD

    MRAM คืออะไร
    ย่อมาจาก Magnetoresistive Random Access Memory
    เป็นหน่วยความจำแบบ non-volatile ที่ใช้สนามแม่เหล็กในการเก็บข้อมูล
    รวมข้อดีของ DRAM (เร็ว) และ Flash (ไม่ลบเลือน) เข้าด้วยกัน

    ความก้าวหน้าล่าสุด
    นักวิจัยพัฒนา MRAM ที่ใช้ชั้นทังสเตนเพื่อควบคุมสนามแม่เหล็ก
    ทำให้สามารถสลับบิตได้เร็วเทียบเท่า SRAM
    ใช้พลังงานต่ำกว่าหน่วยความจำแบบเดิมอย่างมีนัยสำคัญ

    ศักยภาพของ MRAM ในอนาคต
    อาจแทนที่ DRAM และ SRAM ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    เหมาะกับอุปกรณ์พกพาและ IoT ที่ต้องการประหยัดพลังงาน
    มีความทนทานสูงและอายุการใช้งานยาวนานกว่าหน่วยความจำแบบ Flash

    ความท้าทายในการผลิต
    การผลิต MRAM ยังมีต้นทุนสูงเมื่อเทียบกับ DRAM
    การควบคุมสนามแม่เหล็กในระดับนาโนเมตรต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
    การนำไปใช้ในระดับ mass production ยังต้องใช้เวลาและการทดสอบเพิ่มเติม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/next-gen-mram-breakthrough-using-a-tungsten-layer-can-flip-bits-at-sram-rivalling-speeds-with-very-low-power-researchers-claim-true-next-gen-breakthrough
    ⚙️ “MRAM เจเนอเรชันใหม่ – พลิกวงการหน่วยความจำด้วยชั้นทังสเตน เร็วแรงเทียบ SRAM แต่กินไฟต่ำกว่า” ในโลกของหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ เรามักได้ยินชื่อของ DRAM และ SRAM เป็นหลัก แต่ตอนนี้มีผู้ท้าชิงรายใหม่ที่กำลังมาแรงอย่าง “MRAM” หรือ Magnetoresistive RAM ซึ่งล่าสุดนักวิจัยได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ “ชั้นทังสเตน” (Tungsten Layer) เพื่อเพิ่มความเร็วในการสลับบิต (bit flipping) ให้เทียบเท่ากับ SRAM แต่ใช้พลังงานต่ำกว่ามาก MRAM เป็นหน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน (non-volatile) ซึ่งหมายความว่ามันสามารถเก็บข้อมูลได้แม้ไม่มีไฟฟ้า ต่างจาก DRAM ที่ต้องรีเฟรชตลอดเวลา หรือ SRAM ที่เร็วแต่กินไฟสูงและมีขนาดใหญ่ การใช้ชั้นทังสเตนในโครงสร้างของ MRAM ช่วยให้สามารถควบคุมสนามแม่เหล็กได้แม่นยำขึ้น ทำให้การเขียนข้อมูลเร็วขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง ซึ่งเป็นก้าวกระโดดสำคัญในการพัฒนา MRAM ให้สามารถใช้งานในระดับเดียวกับหน่วยความจำหลัก (main memory) ได้ในอนาคต หากเทคโนโลยีนี้ถูกนำไปผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้สำเร็จ มันอาจเปลี่ยนโฉมหน้าของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่สมาร์ตโฟนไปจนถึงเซิร์ฟเวอร์ระดับดาต้าเซ็นเตอร์ เพราะจะได้หน่วยความจำที่เร็วเท่า SRAM แต่ประหยัดพลังงานและไม่ลบเลือนเหมือน SSD ✅ MRAM คืออะไร ➡️ ย่อมาจาก Magnetoresistive Random Access Memory ➡️ เป็นหน่วยความจำแบบ non-volatile ที่ใช้สนามแม่เหล็กในการเก็บข้อมูล ➡️ รวมข้อดีของ DRAM (เร็ว) และ Flash (ไม่ลบเลือน) เข้าด้วยกัน ✅ ความก้าวหน้าล่าสุด ➡️ นักวิจัยพัฒนา MRAM ที่ใช้ชั้นทังสเตนเพื่อควบคุมสนามแม่เหล็ก ➡️ ทำให้สามารถสลับบิตได้เร็วเทียบเท่า SRAM ➡️ ใช้พลังงานต่ำกว่าหน่วยความจำแบบเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ✅ ศักยภาพของ MRAM ในอนาคต ➡️ อาจแทนที่ DRAM และ SRAM ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ➡️ เหมาะกับอุปกรณ์พกพาและ IoT ที่ต้องการประหยัดพลังงาน ➡️ มีความทนทานสูงและอายุการใช้งานยาวนานกว่าหน่วยความจำแบบ Flash ‼️ ความท้าทายในการผลิต ⛔ การผลิต MRAM ยังมีต้นทุนสูงเมื่อเทียบกับ DRAM ⛔ การควบคุมสนามแม่เหล็กในระดับนาโนเมตรต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ⛔ การนำไปใช้ในระดับ mass production ยังต้องใช้เวลาและการทดสอบเพิ่มเติม https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/next-gen-mram-breakthrough-using-a-tungsten-layer-can-flip-bits-at-sram-rivalling-speeds-with-very-low-power-researchers-claim-true-next-gen-breakthrough
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตลาดบริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล: พลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยพลังของข้อมูล

    ในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ธุรกิจทั่วโลกต่างมองหาวิธีในการแบ่งปันและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ตลาด บริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล (Data Exchange Platform Services Market) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ โดยช่วยให้บริษัท หน่วยงานรัฐบาล และสตาร์ทอัพ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อย่างโปร่งใส ปลอดภัย และรวดเร็ว
    https://www.marketresearchfuture.com/reports/data-exchange-platform-services-market-23989
    แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อมข้อมูล” ระหว่างองค์กร โดยมีระบบเข้ารหัสและการควบคุมสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวและการรั่วไหลของข้อมูล ผู้ใช้งานสามารถแชร์ข้อมูลเชิงลึก เช่น ข้อมูลผู้บริโภค ข้อมูลตลาด และข้อมูลอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของตลาด

    หนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักคือ การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ บิ๊กดาต้า (Big Data) ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลปริมาณมหาศาลจากหลายแหล่งเพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบด้านความปลอดภัยข้อมูล เช่น GDPR และ PDPA ทำให้องค์กรต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น

    ในภาคอุตสาหกรรม เช่น การเงิน การดูแลสุขภาพ และพลังงาน แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลถูกใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำธุรกรรม ข้อมูลผู้ป่วย และข้อมูลการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
    ตลาดบริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล: พลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยพลังของข้อมูล ในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ธุรกิจทั่วโลกต่างมองหาวิธีในการแบ่งปันและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ตลาด บริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล (Data Exchange Platform Services Market) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ โดยช่วยให้บริษัท หน่วยงานรัฐบาล และสตาร์ทอัพ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อย่างโปร่งใส ปลอดภัย และรวดเร็ว https://www.marketresearchfuture.com/reports/data-exchange-platform-services-market-23989 แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อมข้อมูล” ระหว่างองค์กร โดยมีระบบเข้ารหัสและการควบคุมสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวและการรั่วไหลของข้อมูล ผู้ใช้งานสามารถแชร์ข้อมูลเชิงลึก เช่น ข้อมูลผู้บริโภค ข้อมูลตลาด และข้อมูลอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของตลาด หนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักคือ การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ บิ๊กดาต้า (Big Data) ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลปริมาณมหาศาลจากหลายแหล่งเพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบด้านความปลอดภัยข้อมูล เช่น GDPR และ PDPA ทำให้องค์กรต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น ในภาคอุตสาหกรรม เช่น การเงิน การดูแลสุขภาพ และพลังงาน แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลถูกใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำธุรกรรม ข้อมูลผู้ป่วย และข้อมูลการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
    WWW.MARKETRESEARCHFUTURE.COM
    Data Exchange Platform Services Market Size, Industry Share
    Data Exchange Platform Services Market size is expected to reach USD 51.69 billion by 2034, growing at a CAGR of 17.91% during the forecast period 2025-2034.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถอดรหัสโอกาสทางการตลาด: ข้อมูลเชิงลึกสำคัญจากงานวิจัยตลาดโรคนอนไม่หลับ

    งานวิจัยตลาดโรคนอนไม่หลับล่าสุดชี้ให้เห็นว่าความคาดหวังของผู้ป่วยที่เปลี่ยนแปลงไปและการบูรณาการเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการรักษา งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าโรคนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อผู้ใหญ่มากกว่าหนึ่งในสามทั่วโลก ส่งผลให้ต้นทุนการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นและสูญเสียประสิทธิภาพการทำงาน ผลกระทบทางจิตวิทยาและสรีรวิทยาของโรคนี้กำลังกระตุ้นให้บริษัทยาและเทคโนโลยีพัฒนานวัตกรรมที่ก้าวล้ำกว่าการบำบัดด้วยยาแบบดั้งเดิม การบำบัดพฤติกรรม แพลตฟอร์มดิจิทัล และอุปกรณ์ติดตามแบบสวมใส่ได้ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในวิวัฒนาการนี้ ความนิยมที่เพิ่มขึ้นในการรักษาแบบไม่ใช้ยากำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การแข่งขัน ช่วยให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่และสตาร์ทอัพสามารถเติบโตได้

    อ้างอิง - https://www.marketresearchfuture.com/reports/insomnia-market-545
    อ่านน้อยลง
    ถอดรหัสโอกาสทางการตลาด: ข้อมูลเชิงลึกสำคัญจากงานวิจัยตลาดโรคนอนไม่หลับ งานวิจัยตลาดโรคนอนไม่หลับล่าสุดชี้ให้เห็นว่าความคาดหวังของผู้ป่วยที่เปลี่ยนแปลงไปและการบูรณาการเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการรักษา งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าโรคนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อผู้ใหญ่มากกว่าหนึ่งในสามทั่วโลก ส่งผลให้ต้นทุนการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นและสูญเสียประสิทธิภาพการทำงาน ผลกระทบทางจิตวิทยาและสรีรวิทยาของโรคนี้กำลังกระตุ้นให้บริษัทยาและเทคโนโลยีพัฒนานวัตกรรมที่ก้าวล้ำกว่าการบำบัดด้วยยาแบบดั้งเดิม การบำบัดพฤติกรรม แพลตฟอร์มดิจิทัล และอุปกรณ์ติดตามแบบสวมใส่ได้ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในวิวัฒนาการนี้ ความนิยมที่เพิ่มขึ้นในการรักษาแบบไม่ใช้ยากำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การแข่งขัน ช่วยให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่และสตาร์ทอัพสามารถเติบโตได้ อ้างอิง - https://www.marketresearchfuture.com/reports/insomnia-market-545 อ่านน้อยลง
    WWW.MARKETRESEARCHFUTURE.COM
    Insomnia Market Size, Trends Analysis, Growth Report 2035
    Insomnia Market growth is projected to reach 8.64 USD billion, at a 5.8% CAGR by driving industry size, share, top company analysis, segments research, trends and forecast report 2024 to 2032.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • Buy Verified Wise Accounts

    https://globalseoshop.com/product/buy-verified-wise-accounts/

    On the off chance that you need more data simply thump us-
    Email: Globalseoshop@gmail.com
    WhatsApp: +18647088783
    Skype: GlobalSeoShop
    Telegram: @GlobalSeoShop

    #BuyWiseAccounts
    #VerifiedWiseAccounts
    #WiseAccountsForSale
    #BuyVerifiedWise
    #GlobalSEOShop
    #WiseAccountSeller
    #WiseVerifiedLogin
    #WiseBusinessAccounts
    #Wise2025
    #OnlinePaymentAccounts
    Buy Verified Wise Accounts https://globalseoshop.com/product/buy-verified-wise-accounts/ On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp: +18647088783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop #BuyWiseAccounts #VerifiedWiseAccounts #WiseAccountsForSale #BuyVerifiedWise #GlobalSEOShop #WiseAccountSeller #WiseVerifiedLogin #WiseBusinessAccounts #Wise2025 #OnlinePaymentAccounts
    GLOBALSEOSHOP.COM
    Buy Verified Wise Accounts
    If you are looking to buy verified Wise accounts, both old and new, you have come to the right place. Wise, formerly known as TransferWise, is a popular online money transfer service
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Fudan สร้างชิปหน่วยความจำจากวัสดุ 2D บนซิลิคอนสำเร็จ — จุดเปลี่ยนวงการเซมิคอนดักเตอร์ระดับอะตอม”

    ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Fudan ประเทศจีน ได้สร้างชิปหน่วยความจำที่ใช้งานได้จริงโดยใช้วัสดุสองมิติ (2D materials) และฝังลงบนซิลิคอนแบบดั้งเดิมได้สำเร็จเป็นครั้งแรก โดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า “ATOM2CHIP” ซึ่งช่วยให้สามารถเติบโตชั้น molybdenum disulfide (MoS₂) ที่บางเพียงไม่กี่อะตอมลงบนชิป CMOS ขนาด 0.13 ไมโครเมตรได้โดยตรง

    ผลลัพธ์คือชิปไฮบริดที่รวมหน่วยความจำแฟลชแบบ NOR ที่สร้างจากวัสดุ 2D เข้ากับคอนโทรลเลอร์ CMOS แบบมาตรฐาน ทำให้สามารถเขียน/ลบข้อมูลได้ในเวลาเพียง 20 นาโนวินาที เก็บข้อมูลได้นานถึง 10 ปี และทนต่อการเขียนซ้ำได้มากกว่า 100,000 ครั้ง โดยใช้พลังงานเพียง 0.644 พิโคจูลต่อบิต ซึ่งต่ำกว่าชิปแฟลชทั่วไปอย่างมาก

    ทีมวิจัยยังรายงานว่า yield ของการผลิตเต็มชิปอยู่ที่ 94.34% ซึ่งใกล้เคียงกับระดับการผลิตเชิงพาณิชย์ และถือเป็นก้าวสำคัญในการนำวัสดุ 2D เข้าสู่การใช้งานจริงในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    เพื่อให้วัสดุ 2D สามารถฝังลงบนพื้นผิวซิลิคอนได้โดยไม่เสียหาย ทีมงานได้พัฒนาเทคนิคการยึดเกาะแบบ conformal adhesion ที่ช่วยให้วัสดุสามารถ “ไหล” ไปตามพื้นผิวที่ไม่เรียบของซิลิคอนได้อย่างนุ่มนวล พร้อมระบบบรรจุภัณฑ์ที่ป้องกันความร้อนและไฟฟ้าสถิต

    นอกจากนี้ยังมีการออกแบบระบบ cross-platform interface ที่ช่วยให้ชั้น 2D สามารถสื่อสารกับตรรกะ CMOS ได้อย่างไร้รอยต่อ รองรับการทำงานแบบ instruction-driven, 32-bit parallelism และ random access

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    นักวิจัย Fudan สร้างชิปหน่วยความจำจากวัสดุ 2D บนซิลิคอนสำเร็จ
    ใช้กระบวนการ ATOM2CHIP เพื่อฝัง MoS₂ บน CMOS 0.13μm
    ชิปไฮบริดรวม NOR flash 2D กับคอนโทรลเลอร์ CMOS
    เขียน/ลบข้อมูลได้ใน 20 นาโนวินาที
    เก็บข้อมูลได้นาน 10 ปี และเขียนซ้ำได้มากกว่า 100,000 ครั้ง
    ใช้พลังงานเพียง 0.644 พิโคจูลต่อบิต
    Yield การผลิตเต็มชิปอยู่ที่ 94.34%
    ใช้เทคนิค conformal adhesion เพื่อฝังวัสดุ 2D บนพื้นผิวซิลิคอน
    มีระบบบรรจุภัณฑ์ป้องกันความร้อนและไฟฟ้าสถิต
    ออกแบบ cross-platform interface เพื่อเชื่อมต่อกับ CMOS logic

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    วัสดุ 2D เช่น MoS₂ มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าและความบางระดับอะตอม
    NOR flash เป็นหน่วยความจำที่ใช้ในงานที่ต้องการความเร็วสูงและความทนทาน
    Yield สูงกว่า 90% ถือว่าใกล้เคียงกับระดับการผลิตเชิงพาณิชย์
    การใช้ conformal adhesion ช่วยลดความเสียหายจากพื้นผิวที่ไม่เรียบ
    การเชื่อมต่อกับ CMOS logic เป็นกุญแจสำคัญในการนำวัสดุ 2D ไปใช้งานจริง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/researchers-achieve-breakthrough-integration-of-2d-materials-on-silicon-chips
    🔬 “Fudan สร้างชิปหน่วยความจำจากวัสดุ 2D บนซิลิคอนสำเร็จ — จุดเปลี่ยนวงการเซมิคอนดักเตอร์ระดับอะตอม” ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Fudan ประเทศจีน ได้สร้างชิปหน่วยความจำที่ใช้งานได้จริงโดยใช้วัสดุสองมิติ (2D materials) และฝังลงบนซิลิคอนแบบดั้งเดิมได้สำเร็จเป็นครั้งแรก โดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า “ATOM2CHIP” ซึ่งช่วยให้สามารถเติบโตชั้น molybdenum disulfide (MoS₂) ที่บางเพียงไม่กี่อะตอมลงบนชิป CMOS ขนาด 0.13 ไมโครเมตรได้โดยตรง ผลลัพธ์คือชิปไฮบริดที่รวมหน่วยความจำแฟลชแบบ NOR ที่สร้างจากวัสดุ 2D เข้ากับคอนโทรลเลอร์ CMOS แบบมาตรฐาน ทำให้สามารถเขียน/ลบข้อมูลได้ในเวลาเพียง 20 นาโนวินาที เก็บข้อมูลได้นานถึง 10 ปี และทนต่อการเขียนซ้ำได้มากกว่า 100,000 ครั้ง โดยใช้พลังงานเพียง 0.644 พิโคจูลต่อบิต ซึ่งต่ำกว่าชิปแฟลชทั่วไปอย่างมาก ทีมวิจัยยังรายงานว่า yield ของการผลิตเต็มชิปอยู่ที่ 94.34% ซึ่งใกล้เคียงกับระดับการผลิตเชิงพาณิชย์ และถือเป็นก้าวสำคัญในการนำวัสดุ 2D เข้าสู่การใช้งานจริงในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อให้วัสดุ 2D สามารถฝังลงบนพื้นผิวซิลิคอนได้โดยไม่เสียหาย ทีมงานได้พัฒนาเทคนิคการยึดเกาะแบบ conformal adhesion ที่ช่วยให้วัสดุสามารถ “ไหล” ไปตามพื้นผิวที่ไม่เรียบของซิลิคอนได้อย่างนุ่มนวล พร้อมระบบบรรจุภัณฑ์ที่ป้องกันความร้อนและไฟฟ้าสถิต นอกจากนี้ยังมีการออกแบบระบบ cross-platform interface ที่ช่วยให้ชั้น 2D สามารถสื่อสารกับตรรกะ CMOS ได้อย่างไร้รอยต่อ รองรับการทำงานแบบ instruction-driven, 32-bit parallelism และ random access ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ นักวิจัย Fudan สร้างชิปหน่วยความจำจากวัสดุ 2D บนซิลิคอนสำเร็จ ➡️ ใช้กระบวนการ ATOM2CHIP เพื่อฝัง MoS₂ บน CMOS 0.13μm ➡️ ชิปไฮบริดรวม NOR flash 2D กับคอนโทรลเลอร์ CMOS ➡️ เขียน/ลบข้อมูลได้ใน 20 นาโนวินาที ➡️ เก็บข้อมูลได้นาน 10 ปี และเขียนซ้ำได้มากกว่า 100,000 ครั้ง ➡️ ใช้พลังงานเพียง 0.644 พิโคจูลต่อบิต ➡️ Yield การผลิตเต็มชิปอยู่ที่ 94.34% ➡️ ใช้เทคนิค conformal adhesion เพื่อฝังวัสดุ 2D บนพื้นผิวซิลิคอน ➡️ มีระบบบรรจุภัณฑ์ป้องกันความร้อนและไฟฟ้าสถิต ➡️ ออกแบบ cross-platform interface เพื่อเชื่อมต่อกับ CMOS logic ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ วัสดุ 2D เช่น MoS₂ มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าและความบางระดับอะตอม ➡️ NOR flash เป็นหน่วยความจำที่ใช้ในงานที่ต้องการความเร็วสูงและความทนทาน ➡️ Yield สูงกว่า 90% ถือว่าใกล้เคียงกับระดับการผลิตเชิงพาณิชย์ ➡️ การใช้ conformal adhesion ช่วยลดความเสียหายจากพื้นผิวที่ไม่เรียบ ➡️ การเชื่อมต่อกับ CMOS logic เป็นกุญแจสำคัญในการนำวัสดุ 2D ไปใช้งานจริง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/researchers-achieve-breakthrough-integration-of-2d-materials-on-silicon-chips
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Researchers achieve breakthrough integration of 2D materials on standard silicon chips
    Researchers at Fudan University have created a working memory chip just a few atoms thick.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนขึ้นบัญชีดำ TechInsights — บริษัทแคนาดาที่เปิดโปง Huawei ใช้เทคโนโลยี TSMC ฝ่าฝืนมาตรการสหรัฐฯ”

    รัฐบาลจีนประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัท TechInsights จากแคนาดา โดยระบุว่าเป็น “หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ” หลังจากบริษัทดังกล่าวเปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีจาก TSMC และผู้ผลิตชิปต่างประเทศในผลิตภัณฑ์ของ Huawei แม้จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ

    TechInsights เป็นบริษัทวิจัยด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่เชี่ยวชาญในการ “แยกชิ้นส่วน” อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างภายใน โดยรายงานล่าสุดของบริษัทพบว่า Huawei ยังคงใช้ชิ้นส่วนจาก TSMC, Samsung และ SK Hynix ในชิป AI รุ่น Ascend 910C ซึ่งขัดกับมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่พยายามจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน

    กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า TechInsights และบริษัทในเครือทั่วโลกจะถูกห้ามไม่ให้ทำธุรกรรมหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับองค์กรหรือบุคคลในจีน โดยให้เหตุผลว่า TechInsightsมีส่วนร่วมใน “ความร่วมมือทางเทคนิคทางทหารกับไต้หวัน” และ “ให้ข้อมูลที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของจีน”

    การขึ้นบัญชีดำครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจาก TechInsights เผยแพร่รายงานที่แสดงให้เห็นว่า Huawei ยังพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ แม้จะพยายามสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศเองก็ตาม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    จีนขึ้นบัญชีดำ TechInsights โดยระบุว่าเป็น “หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ”
    TechInsights เปิดเผยว่า Huawei ใช้ชิ้นส่วนจาก TSMC, Samsung และ SK Hynix
    ชิ้นส่วนเหล่านี้ปรากฏในชิป AI รุ่น Ascend 910C ของ Huawei
    การเปิดเผยขัดกับมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ
    กระทรวงพาณิชย์จีนห้าม TechInsights ทำธุรกรรมหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับองค์กรในจีน
    เหตุผลที่จีนให้คือความร่วมมือทางเทคนิคกับไต้หวันและการให้ข้อมูลที่เป็นภัยต่อจีน
    TechInsights เป็นบริษัทวิจัยที่เชี่ยวชาญด้านการแยกชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Huawei ถูกขึ้นบัญชีดำโดยสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2019
    TSMC และ Samsung อยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน
    Ascend 910C เป็นชิป AI ระดับสูงที่ใช้ในงานประมวลผลแบบ deep learning
    การแยกชิ้นส่วน (teardown) เป็นวิธีการวิเคราะห์ที่ใช้ตรวจสอบแหล่งที่มาของชิ้นส่วน
    การควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ มุ่งลดความสามารถของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีทางทหาร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-bans-research-company-that-helped-unearth-huaweis-use-of-tsmc-tech-despite-u-s-bans-techinsights-added-to-unreliable-entity-list-by-state-authorities
    🚫 “จีนขึ้นบัญชีดำ TechInsights — บริษัทแคนาดาที่เปิดโปง Huawei ใช้เทคโนโลยี TSMC ฝ่าฝืนมาตรการสหรัฐฯ” รัฐบาลจีนประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัท TechInsights จากแคนาดา โดยระบุว่าเป็น “หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ” หลังจากบริษัทดังกล่าวเปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีจาก TSMC และผู้ผลิตชิปต่างประเทศในผลิตภัณฑ์ของ Huawei แม้จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ TechInsights เป็นบริษัทวิจัยด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่เชี่ยวชาญในการ “แยกชิ้นส่วน” อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างภายใน โดยรายงานล่าสุดของบริษัทพบว่า Huawei ยังคงใช้ชิ้นส่วนจาก TSMC, Samsung และ SK Hynix ในชิป AI รุ่น Ascend 910C ซึ่งขัดกับมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่พยายามจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า TechInsights และบริษัทในเครือทั่วโลกจะถูกห้ามไม่ให้ทำธุรกรรมหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับองค์กรหรือบุคคลในจีน โดยให้เหตุผลว่า TechInsightsมีส่วนร่วมใน “ความร่วมมือทางเทคนิคทางทหารกับไต้หวัน” และ “ให้ข้อมูลที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของจีน” การขึ้นบัญชีดำครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจาก TechInsights เผยแพร่รายงานที่แสดงให้เห็นว่า Huawei ยังพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ แม้จะพยายามสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศเองก็ตาม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ จีนขึ้นบัญชีดำ TechInsights โดยระบุว่าเป็น “หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ” ➡️ TechInsights เปิดเผยว่า Huawei ใช้ชิ้นส่วนจาก TSMC, Samsung และ SK Hynix ➡️ ชิ้นส่วนเหล่านี้ปรากฏในชิป AI รุ่น Ascend 910C ของ Huawei ➡️ การเปิดเผยขัดกับมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ➡️ กระทรวงพาณิชย์จีนห้าม TechInsights ทำธุรกรรมหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับองค์กรในจีน ➡️ เหตุผลที่จีนให้คือความร่วมมือทางเทคนิคกับไต้หวันและการให้ข้อมูลที่เป็นภัยต่อจีน ➡️ TechInsights เป็นบริษัทวิจัยที่เชี่ยวชาญด้านการแยกชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Huawei ถูกขึ้นบัญชีดำโดยสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2019 ➡️ TSMC และ Samsung อยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน ➡️ Ascend 910C เป็นชิป AI ระดับสูงที่ใช้ในงานประมวลผลแบบ deep learning ➡️ การแยกชิ้นส่วน (teardown) เป็นวิธีการวิเคราะห์ที่ใช้ตรวจสอบแหล่งที่มาของชิ้นส่วน ➡️ การควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ มุ่งลดความสามารถของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีทางทหาร https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-bans-research-company-that-helped-unearth-huaweis-use-of-tsmc-tech-despite-u-s-bans-techinsights-added-to-unreliable-entity-list-by-state-authorities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • Decoding Market Opportunities: Key Insights from the Insomnia Market Research

    Recent Insomnia Market research highlights how evolving patient expectations and technology integration are reshaping treatment methodologies. Research shows that insomnia affects more than one-third of adults globally, contributing to increased healthcare costs and lost productivity. The condition’s psychological and physiological impacts are encouraging pharmaceutical and technology companies to innovate beyond traditional medication-based therapies. Behavioral therapies, digital platforms, and wearable monitoring devices are at the forefront of this evolution. The increasing preference for non-drug treatments is transforming the competitive landscape, allowing new entrants and startups to thrive.

    Ref - https://www.marketresearchfuture.com/reports/insomnia-market-545
    Decoding Market Opportunities: Key Insights from the Insomnia Market Research Recent Insomnia Market research highlights how evolving patient expectations and technology integration are reshaping treatment methodologies. Research shows that insomnia affects more than one-third of adults globally, contributing to increased healthcare costs and lost productivity. The condition’s psychological and physiological impacts are encouraging pharmaceutical and technology companies to innovate beyond traditional medication-based therapies. Behavioral therapies, digital platforms, and wearable monitoring devices are at the forefront of this evolution. The increasing preference for non-drug treatments is transforming the competitive landscape, allowing new entrants and startups to thrive. Ref - https://www.marketresearchfuture.com/reports/insomnia-market-545
    WWW.MARKETRESEARCHFUTURE.COM
    Insomnia Market Size, Trends Analysis, Growth Report 2035
    Insomnia Market growth is projected to reach 8.64 USD billion, at a 5.8% CAGR by driving industry size, share, top company analysis, segments research, trends and forecast report 2024 to 2032.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Claude Sonnet 4.5 จาก Anthropic เขียนโค้ดต่อเนื่อง 30 ชั่วโมง — ก้าวใหม่ของ AI ด้านการพัฒนาโปรแกรม”

    Anthropic บริษัท AI คู่แข่งของ OpenAI ได้ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการพัฒนาโมเดล AI สำหรับงานเขียนโปรแกรม โดย Claude Sonnet 4.5 สามารถทำงานเขียนโค้ดได้ต่อเนื่องถึง 30 ชั่วโมงโดยไม่สะดุด ซึ่งถือเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากเวอร์ชันก่อนหน้าที่ทำงานได้เพียง 7 ชั่วโมง

    Sean Ward ซีอีโอของ Anthropic ระบุว่า “Claude Sonnet 4.5 ได้เปลี่ยนความคาดหวังของเรา — มันช่วยให้วิศวกรสามารถจัดการงานโครงสร้างซับซ้อนที่กินเวลาหลายเดือนให้เสร็จได้ในเวลาอันสั้น พร้อมรักษาความสอดคล้องของโค้ดขนาดใหญ่ได้อย่างดีเยี่ยม”

    นอกจากความสามารถในการเขียนโค้ดต่อเนื่องแล้ว Claude Sonnet 4.5 ยังมีจุดเด่นด้านการตรวจจับช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ และถูกนำไปใช้จริงในการพัฒนาซอฟต์แวร์ภายในของบริษัท

    การพัฒนา AI ด้านการเขียนโปรแกรมกำลังกลายเป็นสนามแข่งขันใหม่ของบริษัทเทคโนโลยี โดย OpenAI เองก็เปิดตัว Codex สำหรับนักพัฒนาไปก่อนหน้านี้ และ Claude Sonnet 4.5 ถือเป็นการตอบโต้ที่ทรงพลังจากฝั่ง Anthropic

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Claude Sonnet 4.5 เขียนโค้ดต่อเนื่องได้ถึง 30 ชั่วโมง
    เวอร์ชันก่อนหน้าทำงานได้เพียง 7 ชั่วโมง
    ช่วยวิศวกรลดเวลาในการจัดการโครงสร้างซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่
    ตรวจจับช่องโหว่ในโค้ดที่อาจถูกใช้โจมตีทางไซเบอร์
    ถูกนำไปใช้จริงในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของ Anthropic
    เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Codex จาก OpenAI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Claude Sonnet 4.5 ใช้เทคนิค reasoning agent และ memory optimization เพื่อรักษาความต่อเนื่อง
    การเขียนโค้ดต่อเนื่องช่วยลด context switching ของนักพัฒนา
    การตรวจจับช่องโหว่ด้วย AI ช่วยลดภาระของทีม security
    Claude Sonnet 4.5 รองรับการเขียนหลายภาษา เช่น Python, JavaScript, Go และ Rust
    โมเดลนี้สามารถทำงานร่วมกับ IDE ผ่าน API ได้โดยตรง

    คำเตือนและข้อจำกัด
    Claude Sonnet 4.5 ยังอยู่ในช่วงทดลอง อาจมีข้อผิดพลาดในการวิเคราะห์โค้ด
    การพึ่งพา AI ในการเขียนโค้ดทั้งหมดอาจทำให้เกิด blind spot ด้านความปลอดภัย
    การตรวจจับช่องโหว่ด้วย AI ยังไม่สามารถแทนที่การตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญได้
    การใช้งานต่อเนื่อง 30 ชั่วโมงอาจต้องการทรัพยากรระบบสูง
    การนำไปใช้ในองค์กรต้องมีการปรับแต่งและควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงอย่างรัดกุม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/12/anthropic039s-new-ai-model-can-write-code-for-30-hours-straight
    💻 “Claude Sonnet 4.5 จาก Anthropic เขียนโค้ดต่อเนื่อง 30 ชั่วโมง — ก้าวใหม่ของ AI ด้านการพัฒนาโปรแกรม” Anthropic บริษัท AI คู่แข่งของ OpenAI ได้ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการพัฒนาโมเดล AI สำหรับงานเขียนโปรแกรม โดย Claude Sonnet 4.5 สามารถทำงานเขียนโค้ดได้ต่อเนื่องถึง 30 ชั่วโมงโดยไม่สะดุด ซึ่งถือเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากเวอร์ชันก่อนหน้าที่ทำงานได้เพียง 7 ชั่วโมง Sean Ward ซีอีโอของ Anthropic ระบุว่า “Claude Sonnet 4.5 ได้เปลี่ยนความคาดหวังของเรา — มันช่วยให้วิศวกรสามารถจัดการงานโครงสร้างซับซ้อนที่กินเวลาหลายเดือนให้เสร็จได้ในเวลาอันสั้น พร้อมรักษาความสอดคล้องของโค้ดขนาดใหญ่ได้อย่างดีเยี่ยม” นอกจากความสามารถในการเขียนโค้ดต่อเนื่องแล้ว Claude Sonnet 4.5 ยังมีจุดเด่นด้านการตรวจจับช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ และถูกนำไปใช้จริงในการพัฒนาซอฟต์แวร์ภายในของบริษัท การพัฒนา AI ด้านการเขียนโปรแกรมกำลังกลายเป็นสนามแข่งขันใหม่ของบริษัทเทคโนโลยี โดย OpenAI เองก็เปิดตัว Codex สำหรับนักพัฒนาไปก่อนหน้านี้ และ Claude Sonnet 4.5 ถือเป็นการตอบโต้ที่ทรงพลังจากฝั่ง Anthropic ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Claude Sonnet 4.5 เขียนโค้ดต่อเนื่องได้ถึง 30 ชั่วโมง ➡️ เวอร์ชันก่อนหน้าทำงานได้เพียง 7 ชั่วโมง ➡️ ช่วยวิศวกรลดเวลาในการจัดการโครงสร้างซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ ➡️ ตรวจจับช่องโหว่ในโค้ดที่อาจถูกใช้โจมตีทางไซเบอร์ ➡️ ถูกนำไปใช้จริงในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของ Anthropic ➡️ เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Codex จาก OpenAI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Claude Sonnet 4.5 ใช้เทคนิค reasoning agent และ memory optimization เพื่อรักษาความต่อเนื่อง ➡️ การเขียนโค้ดต่อเนื่องช่วยลด context switching ของนักพัฒนา ➡️ การตรวจจับช่องโหว่ด้วย AI ช่วยลดภาระของทีม security ➡️ Claude Sonnet 4.5 รองรับการเขียนหลายภาษา เช่น Python, JavaScript, Go และ Rust ➡️ โมเดลนี้สามารถทำงานร่วมกับ IDE ผ่าน API ได้โดยตรง ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ Claude Sonnet 4.5 ยังอยู่ในช่วงทดลอง อาจมีข้อผิดพลาดในการวิเคราะห์โค้ด ⛔ การพึ่งพา AI ในการเขียนโค้ดทั้งหมดอาจทำให้เกิด blind spot ด้านความปลอดภัย ⛔ การตรวจจับช่องโหว่ด้วย AI ยังไม่สามารถแทนที่การตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญได้ ⛔ การใช้งานต่อเนื่อง 30 ชั่วโมงอาจต้องการทรัพยากรระบบสูง ⛔ การนำไปใช้ในองค์กรต้องมีการปรับแต่งและควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงอย่างรัดกุม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/12/anthropic039s-new-ai-model-can-write-code-for-30-hours-straight
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Anthropic's new AI model can write code for 30 hours straight
    Anthropic – an AI company competing with the likes of ChatGPT maker OpenAI – has reached a milestone in using its software for programming.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • Congratulations to the 2025 Nobel Prize Laureates in Physiology or Medicine
    Congratulations to Mary E. Brunkow, Fred Ramsdell, and Shimon Sakaguchi, awarded the 2025 Nobel Prize in Physiology or Medicine for their work on peripheral immune tolerance. Sakaguchi’s discovery of regulatory T cells in 1995 revealed the immune system’s peacekeepers, while Brunkow and Ramsdell’s identification of the Foxp3 gene in 2001 showed its vital role in preventing autoimmune disease. Their combined research transformed immunology, explaining how our bodies avoid harmful self-attacks and unlocking new possibilities for therapies in autoimmune disorders, cancer, and organ transplantation.

    https://www.facebook.com/share/r/1Bkun4BY3v/?mibextid=UalRPS
    Congratulations to the 2025 Nobel Prize Laureates in Physiology or Medicine Congratulations to Mary E. Brunkow, Fred Ramsdell, and Shimon Sakaguchi, awarded the 2025 Nobel Prize in Physiology or Medicine for their work on peripheral immune tolerance. Sakaguchi’s discovery of regulatory T cells in 1995 revealed the immune system’s peacekeepers, while Brunkow and Ramsdell’s identification of the Foxp3 gene in 2001 showed its vital role in preventing autoimmune disease. Their combined research transformed immunology, explaining how our bodies avoid harmful self-attacks and unlocking new possibilities for therapies in autoimmune disorders, cancer, and organ transplantation. https://www.facebook.com/share/r/1Bkun4BY3v/?mibextid=UalRPS
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • Buy Verified Wise Accounts

    https://globalseoshop.com/product/buy-verified-wise-accounts/

    On the off chance that you need more data simply thump us-
    Email: Globalseoshop@gmail.com
    WhatsApp: +18647088783
    Skype: GlobalSeoShop
    Telegram: @GlobalSeoShop

    #BuyWiseAccounts
    #VerifiedWiseAccounts
    #WiseAccountsForSale
    #BuyVerifiedWise
    #GlobalSEOShop
    Buy Verified Wise Accounts https://globalseoshop.com/product/buy-verified-wise-accounts/ On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp: +18647088783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop #BuyWiseAccounts #VerifiedWiseAccounts #WiseAccountsForSale #BuyVerifiedWise #GlobalSEOShop
    GLOBALSEOSHOP.COM
    Buy Verified Wise Accounts
    If you are looking to buy verified Wise accounts, both old and new, you have come to the right place. Wise, formerly known as TransferWise, is a popular online money transfer service
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • Buy Verified Wise Accounts

    https://globalseoshop.com/product/buy-verified-wise-accounts/

    On the off chance that you need more data simply thump us-
    Email: Globalseoshop@gmail.com
    WhatsApp: +18647088783
    Skype: GlobalSeoShop
    Telegram: @GlobalSeoShop

    #BuyWiseAccounts
    #VerifiedWiseAccounts
    #WiseAccountsForSale
    #BuyVerifiedWise
    #GlobalSEOShop
    #WiseAccountSeller
    #WiseVerifiedLogin
    #WiseBusinessAccounts
    #Wise2025
    Buy Verified Wise Accounts https://globalseoshop.com/product/buy-verified-wise-accounts/ On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp: +18647088783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop #BuyWiseAccounts #VerifiedWiseAccounts #WiseAccountsForSale #BuyVerifiedWise #GlobalSEOShop #WiseAccountSeller #WiseVerifiedLogin #WiseBusinessAccounts #Wise2025
    GLOBALSEOSHOP.COM
    Buy Verified Wise Accounts
    If you are looking to buy verified Wise accounts, both old and new, you have come to the right place. Wise, formerly known as TransferWise, is a popular online money transfer service
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 1

    กลิ่นสงครามโลกฉุนขึ้นทุกวัน สงครามชิงความเป็นเจ้าของโลกถ้าจะเลี่ยงยาก จะเริ่มเมื่อไหร่และจะเริ่มที่ไหนเท่านั้นเอง

    อันที่จริง สงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มส่งสัญญาณ ส่งกลิ่นครั้งแรกมาแล้วตั้งแต่ วันที่รัสเซียยกกองทัพเข้าไปยึด Crimea เมื่อ 21 มีนาคม ค.ศ.2014 !

    รัสเซียเป็นฝ่ายจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างนั้นหรือ อย่าเพิ่งลงความเห็น ใจเย็น ตามอ่านกันไปเรื่อยๆก่อนครับ

    ถ้าสังเกตกัน ผมเริ่มเขียนนิทานและเอาลงให้อ่านในเพจนิทานฯ ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว (ค.ศ.2013) แต่ ละเรื่องที่ผมเขียน เกี่ยวเนื่องและขยายความซึ่งกันและกัน เป็นการปูพื้นเรื่องราว เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ท่านผู้อ่าน ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในบ้านเราและนอกบ้าน ซึ่งในที่สุดแล้ว จะนำไปสู่เหตุการณ์วิกฤติสำคัญของโลก ซึ่งผมคาดว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะเกิดขึ้น ในช่วงเวลาตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป

    คงจำกันได้ (ถ้าจำไม่ได้โปรดกลับไปอ่านนิทานเรื่อง หักหน้า หักหลัง ใหม่ นะครับ) ผมได้เล่าให้ฟังว่า Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษด้านภูมิศาสตร์ การเมือง (Geopolitics) บอกมา 100 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 ในการสัมมนาของ Rayal Geographic Society ที่ London ว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นจะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และนั่นหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์

    Eurasia คือบริเวณที่เริ่มตั้งแต่แม่น้ำ Elbe ในเยอรมัน ยาวลงมาถึงทะเล Adriatic ผ่าน Sofia, Bulgaria ข้ามมา Black Sea และ Caspian Sea จน มาถึงเอเซียกลาง ยาวไปถึงจีน เป็นบริเวณที่กว้างใหญ่และอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน ก๊าซ และแร่ธาตุชั้นดีต่างๆ (คร่าวๆก็คือสหภาพโซเวียตและส่วนเหนือของตะวันออกกลางน่ะครับ)

    ครู Mac เรียกใจกลาง Eurasia ว่า Heartland กล่องดวงใจ ซึ่งเป็นอาณาบริเวณปัจจุบัน ของรัสเซียและยูเครน !
    รอบกล่องดวงใจ จะมีประเทศที่สำคัญเช่น เยอรมัน ออสเตรีย ตุรกี อินเดีย และจีน ล้อมรอบอยู่

    แต่ถ้าเอา Eurasia ยุโรป และเอเซียมารวมกัน ครู Mac เรียกอาณาบริเวณทั้งหมดนั้น ว่า World Island ซึ่ง World Island นี่ ครู Mac ไม่นับรวมอังกฤษ เกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เข้าไปด้วย เพราะครู Mac วางแผนให้อังกฤษเท่านั้น เป็นผู้ครอบครอง World Island ทั้งหมด! แน่จริงครู!

    ครู Mac บอกว่า สหภาพโซเวียต เป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่เข้มแข็งที่สุดโดยสภาพของธรรมชาติ ที่ทำให้สามารถป้องกันตัวเองได้เป็นอย่างดี และมีความได้เปรียบอย่างสำคัญ นอกจากนี้สหภาพโซเวียต ยังเพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพอย่างยิ่ง เป็นจำนวนมาก

    บทเรียนเกี่ยวกับยุทธศาสตร์สำคัญของครู Mac ที่ก้องอยู่ ในรูหู ของเหล่าบรรดาลูกศิษย์ ซึ่งมีทั้งอยู่ทั้งในอังกฤษและอเมริกา ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1904 และกลายเป็นต้นกำเนิดของยุทธศาสตร์การชิงโลก หรือการทำสงครามโลก ตั้งแต่ครั้งที่ 1, 2 และอาจจะครั้งที่ 3 ด้วย คือ

    Who rules East Europe commands the Heartland
    Who rules the Heartland commands the World Island
    Who rules the World Island commands the World

    นอกจากนี้ครู Mac ยังบอกกับอังกฤษศิษย์รักว่า ยุทธศาสตร์ที่อังกฤษจะต้องยึดถือเป็นหลัก จำใส่หัวไว้อย่าได้ลืมเป็นอันขาด คือต้องทำทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้มีการรวมตัวกันระหว่าง Poland, Czecho, Austria, Hungary และ Russia

    แนวความคิดของครู Mac เป็น เสมือนเข็มทิศ แรงผลักดันที่สำคัญ ที่ทำให้อังกฤษคิดครองโลก และนำไปสู่การตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ.1914 เมื่ออังกฤษรู้ว่า “น้ำมัน” คืออาวุธสำคัญในการครองโลก และขณะนั้นอังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง แม้แต่แหล่งเดียว ขณะ เดียวกัน อังกฤษก็เตรียมพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อทำลายเยอรมัน ซึ่งอังกฤษคิดว่าเป็นคู่แข่งสำคัญในแผนการครองโลกของอังกฤษ (รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในนิทานชุดเหยื่อ)

    คงไม่เกินไป ถ้าจะบอกว่า ความหายนะของโลกนี้ ที่เกิดขึ้นจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เริ่มต้นจากทฤษฎีครู Mac ตัณหาและความอยากครองโลกของอังกฤษ ผู้เป็นเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    30 พย. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 1 กลิ่นสงครามโลกฉุนขึ้นทุกวัน สงครามชิงความเป็นเจ้าของโลกถ้าจะเลี่ยงยาก จะเริ่มเมื่อไหร่และจะเริ่มที่ไหนเท่านั้นเอง อันที่จริง สงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มส่งสัญญาณ ส่งกลิ่นครั้งแรกมาแล้วตั้งแต่ วันที่รัสเซียยกกองทัพเข้าไปยึด Crimea เมื่อ 21 มีนาคม ค.ศ.2014 ! รัสเซียเป็นฝ่ายจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างนั้นหรือ อย่าเพิ่งลงความเห็น ใจเย็น ตามอ่านกันไปเรื่อยๆก่อนครับ ถ้าสังเกตกัน ผมเริ่มเขียนนิทานและเอาลงให้อ่านในเพจนิทานฯ ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว (ค.ศ.2013) แต่ ละเรื่องที่ผมเขียน เกี่ยวเนื่องและขยายความซึ่งกันและกัน เป็นการปูพื้นเรื่องราว เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ท่านผู้อ่าน ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในบ้านเราและนอกบ้าน ซึ่งในที่สุดแล้ว จะนำไปสู่เหตุการณ์วิกฤติสำคัญของโลก ซึ่งผมคาดว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะเกิดขึ้น ในช่วงเวลาตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป คงจำกันได้ (ถ้าจำไม่ได้โปรดกลับไปอ่านนิทานเรื่อง หักหน้า หักหลัง ใหม่ นะครับ) ผมได้เล่าให้ฟังว่า Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษด้านภูมิศาสตร์ การเมือง (Geopolitics) บอกมา 100 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 ในการสัมมนาของ Rayal Geographic Society ที่ London ว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นจะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และนั่นหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์ Eurasia คือบริเวณที่เริ่มตั้งแต่แม่น้ำ Elbe ในเยอรมัน ยาวลงมาถึงทะเล Adriatic ผ่าน Sofia, Bulgaria ข้ามมา Black Sea และ Caspian Sea จน มาถึงเอเซียกลาง ยาวไปถึงจีน เป็นบริเวณที่กว้างใหญ่และอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน ก๊าซ และแร่ธาตุชั้นดีต่างๆ (คร่าวๆก็คือสหภาพโซเวียตและส่วนเหนือของตะวันออกกลางน่ะครับ) ครู Mac เรียกใจกลาง Eurasia ว่า Heartland กล่องดวงใจ ซึ่งเป็นอาณาบริเวณปัจจุบัน ของรัสเซียและยูเครน ! รอบกล่องดวงใจ จะมีประเทศที่สำคัญเช่น เยอรมัน ออสเตรีย ตุรกี อินเดีย และจีน ล้อมรอบอยู่ แต่ถ้าเอา Eurasia ยุโรป และเอเซียมารวมกัน ครู Mac เรียกอาณาบริเวณทั้งหมดนั้น ว่า World Island ซึ่ง World Island นี่ ครู Mac ไม่นับรวมอังกฤษ เกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เข้าไปด้วย เพราะครู Mac วางแผนให้อังกฤษเท่านั้น เป็นผู้ครอบครอง World Island ทั้งหมด! แน่จริงครู! ครู Mac บอกว่า สหภาพโซเวียต เป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่เข้มแข็งที่สุดโดยสภาพของธรรมชาติ ที่ทำให้สามารถป้องกันตัวเองได้เป็นอย่างดี และมีความได้เปรียบอย่างสำคัญ นอกจากนี้สหภาพโซเวียต ยังเพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพอย่างยิ่ง เป็นจำนวนมาก บทเรียนเกี่ยวกับยุทธศาสตร์สำคัญของครู Mac ที่ก้องอยู่ ในรูหู ของเหล่าบรรดาลูกศิษย์ ซึ่งมีทั้งอยู่ทั้งในอังกฤษและอเมริกา ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1904 และกลายเป็นต้นกำเนิดของยุทธศาสตร์การชิงโลก หรือการทำสงครามโลก ตั้งแต่ครั้งที่ 1, 2 และอาจจะครั้งที่ 3 ด้วย คือ Who rules East Europe commands the Heartland Who rules the Heartland commands the World Island Who rules the World Island commands the World นอกจากนี้ครู Mac ยังบอกกับอังกฤษศิษย์รักว่า ยุทธศาสตร์ที่อังกฤษจะต้องยึดถือเป็นหลัก จำใส่หัวไว้อย่าได้ลืมเป็นอันขาด คือต้องทำทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้มีการรวมตัวกันระหว่าง Poland, Czecho, Austria, Hungary และ Russia แนวความคิดของครู Mac เป็น เสมือนเข็มทิศ แรงผลักดันที่สำคัญ ที่ทำให้อังกฤษคิดครองโลก และนำไปสู่การตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ.1914 เมื่ออังกฤษรู้ว่า “น้ำมัน” คืออาวุธสำคัญในการครองโลก และขณะนั้นอังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง แม้แต่แหล่งเดียว ขณะ เดียวกัน อังกฤษก็เตรียมพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อทำลายเยอรมัน ซึ่งอังกฤษคิดว่าเป็นคู่แข่งสำคัญในแผนการครองโลกของอังกฤษ (รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในนิทานชุดเหยื่อ) คงไม่เกินไป ถ้าจะบอกว่า ความหายนะของโลกนี้ ที่เกิดขึ้นจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เริ่มต้นจากทฤษฎีครู Mac ตัณหาและความอยากครองโลกของอังกฤษ ผู้เป็นเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 30 พย. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • “PipeWire 1.4.9 มาแล้ว! เสถียรขึ้น รองรับ libcamera sandbox และแก้ปัญหาเสียง ALSA อย่างชาญฉลาด”

    PipeWire 1.4.9 ได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 โดยเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาในซีรีส์ 1.4 ของระบบจัดการสตรีมเสียงและวิดีโอแบบโอเพ่นซอร์สบน Linux ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน เวอร์ชันนี้เน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับ libcamera และ ALSA

    หนึ่งในจุดเด่นคือการปรับปรุงการกู้คืนเสียงเมื่อ ALSA ไม่รองรับ “3 periods” ซึ่งเคยทำให้ระบบเสียงล่มหรือไม่ตอบสนอง นอกจากนี้ยังแก้ regression ที่ทำให้ node ไม่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน และแก้ปัญหาการเริ่มต้น adapter ที่ล้มเหลว

    PipeWire 1.4.9 ยังลบการตั้งค่า RestrictNamespaces ออกจากไฟล์ systemd เพื่อให้ libcamera สามารถโหลด IPA modules แบบ sandbox ได้ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้ระบบกล้องใน Linux ทำงานได้ปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในเบราว์เซอร์อย่าง Firefox ที่ใช้ PipeWire เป็น backend สำหรับกล้อง

    การอัปเดตนี้ยังรวมถึงการแก้ไข SDP session hash, session-id, NULL dereference ใน profiler, และการเปรียบเทียบ event ใน UMP ที่ผิดพลาด รวมถึงการ backport patch จาก libcamera เพื่อรองรับ calorimetry และปรับปรุง thread-safety

    PipeWire ยังเพิ่มการจัดการข้อผิดพลาดในการจัดสรร file descriptor ใน Avahi และปรับค่า headroom สำหรับ SOF cards ให้ใช้ minimal period size โดยค่าเริ่มต้น เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการใช้งานกับอุปกรณ์เสียงรุ่นใหม่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    PipeWire 1.4.9 เปิดตัวเมื่อ 9 ตุลาคม 2025 เป็นการอัปเดตบำรุงรักษา
    แก้ regression ที่ทำให้ node ไม่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน
    ปรับปรุงการกู้คืนเสียงเมื่อ ALSA ไม่รองรับ “3 periods”
    ลบ RestrictNamespaces จาก systemd เพื่อให้ libcamera โหลด IPA modules แบบ sandbox ได้
    แก้ SDP session hash และ session-id ให้ถูกต้อง
    แก้ NULL dereference ใน profiler และ UMP event compare function
    แก้ปัญหา adapter ที่เริ่มต้นและ resume ไม่ได้
    ปรับค่า headroom สำหรับ SOF cards ให้ใช้ minimal period size
    Backport patch จาก libcamera เช่น calorimetry และ thread-safety
    เพิ่มการจัดการข้อผิดพลาด fd allocation ใน Avahi

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PipeWire เป็น backend หลักสำหรับเสียงและวิดีโอบน Linux แทน PulseAudio และ JACK
    libcamera เป็นระบบจัดการกล้องแบบใหม่ที่ใช้ใน Linux และ Android
    IPA modules คือ Image Processing Algorithm ที่ช่วยปรับภาพจากกล้องให้เหมาะสม
    systemd RestrictNamespaces เป็นการจำกัดการเข้าถึง namespace เพื่อความปลอดภัย
    SOF (Sound Open Firmware) เป็นเฟรมเวิร์กเสียงของ Intel ที่ใช้ในอุปกรณ์รุ่นใหม่

    https://9to5linux.com/pipewire-1-4-9-improves-alsa-recovery-and-adapts-to-newer-libcamera-changes
    🎧 “PipeWire 1.4.9 มาแล้ว! เสถียรขึ้น รองรับ libcamera sandbox และแก้ปัญหาเสียง ALSA อย่างชาญฉลาด” PipeWire 1.4.9 ได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 โดยเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาในซีรีส์ 1.4 ของระบบจัดการสตรีมเสียงและวิดีโอแบบโอเพ่นซอร์สบน Linux ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน เวอร์ชันนี้เน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับ libcamera และ ALSA หนึ่งในจุดเด่นคือการปรับปรุงการกู้คืนเสียงเมื่อ ALSA ไม่รองรับ “3 periods” ซึ่งเคยทำให้ระบบเสียงล่มหรือไม่ตอบสนอง นอกจากนี้ยังแก้ regression ที่ทำให้ node ไม่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน และแก้ปัญหาการเริ่มต้น adapter ที่ล้มเหลว PipeWire 1.4.9 ยังลบการตั้งค่า RestrictNamespaces ออกจากไฟล์ systemd เพื่อให้ libcamera สามารถโหลด IPA modules แบบ sandbox ได้ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้ระบบกล้องใน Linux ทำงานได้ปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในเบราว์เซอร์อย่าง Firefox ที่ใช้ PipeWire เป็น backend สำหรับกล้อง การอัปเดตนี้ยังรวมถึงการแก้ไข SDP session hash, session-id, NULL dereference ใน profiler, และการเปรียบเทียบ event ใน UMP ที่ผิดพลาด รวมถึงการ backport patch จาก libcamera เพื่อรองรับ calorimetry และปรับปรุง thread-safety PipeWire ยังเพิ่มการจัดการข้อผิดพลาดในการจัดสรร file descriptor ใน Avahi และปรับค่า headroom สำหรับ SOF cards ให้ใช้ minimal period size โดยค่าเริ่มต้น เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการใช้งานกับอุปกรณ์เสียงรุ่นใหม่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ PipeWire 1.4.9 เปิดตัวเมื่อ 9 ตุลาคม 2025 เป็นการอัปเดตบำรุงรักษา ➡️ แก้ regression ที่ทำให้ node ไม่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน ➡️ ปรับปรุงการกู้คืนเสียงเมื่อ ALSA ไม่รองรับ “3 periods” ➡️ ลบ RestrictNamespaces จาก systemd เพื่อให้ libcamera โหลด IPA modules แบบ sandbox ได้ ➡️ แก้ SDP session hash และ session-id ให้ถูกต้อง ➡️ แก้ NULL dereference ใน profiler และ UMP event compare function ➡️ แก้ปัญหา adapter ที่เริ่มต้นและ resume ไม่ได้ ➡️ ปรับค่า headroom สำหรับ SOF cards ให้ใช้ minimal period size ➡️ Backport patch จาก libcamera เช่น calorimetry และ thread-safety ➡️ เพิ่มการจัดการข้อผิดพลาด fd allocation ใน Avahi ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PipeWire เป็น backend หลักสำหรับเสียงและวิดีโอบน Linux แทน PulseAudio และ JACK ➡️ libcamera เป็นระบบจัดการกล้องแบบใหม่ที่ใช้ใน Linux และ Android ➡️ IPA modules คือ Image Processing Algorithm ที่ช่วยปรับภาพจากกล้องให้เหมาะสม ➡️ systemd RestrictNamespaces เป็นการจำกัดการเข้าถึง namespace เพื่อความปลอดภัย ➡️ SOF (Sound Open Firmware) เป็นเฟรมเวิร์กเสียงของ Intel ที่ใช้ในอุปกรณ์รุ่นใหม่ https://9to5linux.com/pipewire-1-4-9-improves-alsa-recovery-and-adapts-to-newer-libcamera-changes
    9TO5LINUX.COM
    PipeWire 1.4.9 Improves ALSA Recovery and Adapts to Newer libcamera Changes - 9to5Linux
    PipeWire 1.4.9 open-source server for handling audio/video streams and hardware on Linux is now available for download with various changes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Anthropic พบช่องโหว่ใหม่ใน LLM — แค่ 250 เอกสารก็ฝัง backdoor ได้ทุกขนาดโมเดล”

    งานวิจัยล่าสุดจาก Anthropic ร่วมกับ UK AI Security Institute และ Alan Turing Institute เผยให้เห็นความเปราะบางของโมเดลภาษาใหญ่ (LLM) ที่หลายคนคาดไม่ถึง: การโจมตีแบบ data poisoning ไม่จำเป็นต้องควบคุมสัดส่วนของข้อมูลฝึก แต่ใช้เพียง “จำนวนเอกสารที่แน่นอน” ก็สามารถฝังพฤติกรรมแอบแฝงได้สำเร็จ

    นักวิจัยทดลองฝัง backdoor ด้วยเอกสารเพียง 250 ชิ้นในโมเดลขนาดต่าง ๆ ตั้งแต่ 600 ล้านพารามิเตอร์ไปจนถึง 13 พันล้านพารามิเตอร์ พบว่าแม้โมเดลใหญ่จะได้รับข้อมูลฝึกมากกว่า 20 เท่า แต่ก็ยังถูกฝังพฤติกรรมได้เท่า ๆ กัน แสดงให้เห็นว่า “ขนาดโมเดลไม่ส่งผลต่อความสำเร็จของการโจมตี”

    การโจมตีในงานนี้เป็นแบบ denial-of-service โดยใช้ trigger phrase เช่น <SUDO> เพื่อให้โมเดลตอบกลับด้วยข้อความมั่ว ๆ (gibberish) เมื่อเจอคำสั่งนั้น แม้จะเป็นพฤติกรรมที่ไม่อันตรายโดยตรง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการฝังพฤติกรรมอื่นที่อันตรายกว่า เช่น การขโมยข้อมูลหรือการหลบเลี่ยงระบบความปลอดภัย

    สิ่งที่น่ากังวลคือ เอกสารที่ใช้ฝัง backdoor สามารถสร้างได้ง่าย และอาจถูกแทรกเข้าไปในข้อมูลฝึกผ่านเว็บไซต์หรือบล็อกที่เปิดสาธารณะ ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลหลักของโมเดล LLM ในปัจจุบัน

    แม้การโจมตีแบบนี้จะยังไม่แสดงผลในโมเดลระดับ frontier ที่มีการป้องกันสูง แต่ Anthropic เลือกเปิดเผยผลการทดลองเพื่อกระตุ้นให้เกิดการวิจัยด้านการป้องกัน และเตือนให้ผู้พัฒนาไม่ประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    งานวิจัยร่วมระหว่าง Anthropic, UK AI Security Institute และ Alan Turing Institute
    พบว่าใช้เพียง 250 เอกสารก็สามารถฝัง backdoor ได้ในโมเดลทุกขนาด
    การโจมตีใช้ trigger phrase เช่น <SUDO> เพื่อให้โมเดลตอบกลับด้วยข้อความมั่ว
    โมเดลที่ทดลองมีขนาดตั้งแต่ 600M ถึง 13B พารามิเตอร์
    การฝัง backdoor สำเร็จแม้โมเดลใหญ่จะมีข้อมูลฝึกมากกว่า 20 เท่า
    การโจมตีไม่ต้องใช้การ fine-tune สามารถวัดผลได้จาก checkpoint โดยตรง
    เอกสารที่ใช้ฝังประกอบด้วยข้อความทั่วไป + trigger + token แบบสุ่ม
    การโจมตีสำเร็จเมื่อโมเดลตอบกลับด้วย perplexity สูงเมื่อเจอ trigger

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LLM มักฝึกจากข้อมูลสาธารณะ เช่น เว็บไซต์ บล็อก และบทความ
    Backdoor คือพฤติกรรมที่ถูกฝังไว้ให้แสดงออกเมื่อเจอคำสั่งเฉพาะ
    Perplexity คือค่าที่ใช้วัดความมั่วของข้อความที่โมเดลสร้าง
    การโจมตีแบบนี้สามารถใช้เพื่อทำให้โมเดลขัดข้องหรือหลบเลี่ยงระบบตรวจสอบ
    การฝัง backdoor ผ่าน pretraining มีความเสี่ยงสูงเพราะยากต่อการตรวจสอบย้อนหลัง

    https://www.anthropic.com/research/small-samples-poison
    🧠 “Anthropic พบช่องโหว่ใหม่ใน LLM — แค่ 250 เอกสารก็ฝัง backdoor ได้ทุกขนาดโมเดล” งานวิจัยล่าสุดจาก Anthropic ร่วมกับ UK AI Security Institute และ Alan Turing Institute เผยให้เห็นความเปราะบางของโมเดลภาษาใหญ่ (LLM) ที่หลายคนคาดไม่ถึง: การโจมตีแบบ data poisoning ไม่จำเป็นต้องควบคุมสัดส่วนของข้อมูลฝึก แต่ใช้เพียง “จำนวนเอกสารที่แน่นอน” ก็สามารถฝังพฤติกรรมแอบแฝงได้สำเร็จ นักวิจัยทดลองฝัง backdoor ด้วยเอกสารเพียง 250 ชิ้นในโมเดลขนาดต่าง ๆ ตั้งแต่ 600 ล้านพารามิเตอร์ไปจนถึง 13 พันล้านพารามิเตอร์ พบว่าแม้โมเดลใหญ่จะได้รับข้อมูลฝึกมากกว่า 20 เท่า แต่ก็ยังถูกฝังพฤติกรรมได้เท่า ๆ กัน แสดงให้เห็นว่า “ขนาดโมเดลไม่ส่งผลต่อความสำเร็จของการโจมตี” การโจมตีในงานนี้เป็นแบบ denial-of-service โดยใช้ trigger phrase เช่น <SUDO> เพื่อให้โมเดลตอบกลับด้วยข้อความมั่ว ๆ (gibberish) เมื่อเจอคำสั่งนั้น แม้จะเป็นพฤติกรรมที่ไม่อันตรายโดยตรง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการฝังพฤติกรรมอื่นที่อันตรายกว่า เช่น การขโมยข้อมูลหรือการหลบเลี่ยงระบบความปลอดภัย สิ่งที่น่ากังวลคือ เอกสารที่ใช้ฝัง backdoor สามารถสร้างได้ง่าย และอาจถูกแทรกเข้าไปในข้อมูลฝึกผ่านเว็บไซต์หรือบล็อกที่เปิดสาธารณะ ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลหลักของโมเดล LLM ในปัจจุบัน แม้การโจมตีแบบนี้จะยังไม่แสดงผลในโมเดลระดับ frontier ที่มีการป้องกันสูง แต่ Anthropic เลือกเปิดเผยผลการทดลองเพื่อกระตุ้นให้เกิดการวิจัยด้านการป้องกัน และเตือนให้ผู้พัฒนาไม่ประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ งานวิจัยร่วมระหว่าง Anthropic, UK AI Security Institute และ Alan Turing Institute ➡️ พบว่าใช้เพียง 250 เอกสารก็สามารถฝัง backdoor ได้ในโมเดลทุกขนาด ➡️ การโจมตีใช้ trigger phrase เช่น <SUDO> เพื่อให้โมเดลตอบกลับด้วยข้อความมั่ว ➡️ โมเดลที่ทดลองมีขนาดตั้งแต่ 600M ถึง 13B พารามิเตอร์ ➡️ การฝัง backdoor สำเร็จแม้โมเดลใหญ่จะมีข้อมูลฝึกมากกว่า 20 เท่า ➡️ การโจมตีไม่ต้องใช้การ fine-tune สามารถวัดผลได้จาก checkpoint โดยตรง ➡️ เอกสารที่ใช้ฝังประกอบด้วยข้อความทั่วไป + trigger + token แบบสุ่ม ➡️ การโจมตีสำเร็จเมื่อโมเดลตอบกลับด้วย perplexity สูงเมื่อเจอ trigger ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LLM มักฝึกจากข้อมูลสาธารณะ เช่น เว็บไซต์ บล็อก และบทความ ➡️ Backdoor คือพฤติกรรมที่ถูกฝังไว้ให้แสดงออกเมื่อเจอคำสั่งเฉพาะ ➡️ Perplexity คือค่าที่ใช้วัดความมั่วของข้อความที่โมเดลสร้าง ➡️ การโจมตีแบบนี้สามารถใช้เพื่อทำให้โมเดลขัดข้องหรือหลบเลี่ยงระบบตรวจสอบ ➡️ การฝัง backdoor ผ่าน pretraining มีความเสี่ยงสูงเพราะยากต่อการตรวจสอบย้อนหลัง https://www.anthropic.com/research/small-samples-poison
    WWW.ANTHROPIC.COM
    A small number of samples can poison LLMs of any size
    Anthropic research on data-poisoning attacks in large language models
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อติดคอ ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ”
    ตอนที่ 6

    สงครามอิรักอิหร่าน ที่ถูกชักใยโดยอเมริกา ทำให้ชาวอิหร่านตายไปไม่น้อยกว่า 300,000 คน และชีวิตชาวอิรักอีกประมาณ 100,000 คน มีคนเจ็บประเทศละไม่น้อยกว่า 700,000 คน ส่วนการรบในอาฟกานิสถาน ระหว่าง ค.ศ.1979-1989 ชีวิตของคนอาฟกันต้องเสียไปประมาณ 1 ล้านคน (รวมทั้งทหารของสหภาพโซเวียตอีก 15,000 นาย) 1 ใน 3 ของชาวอาฟกันกลายเป็นผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ตามเต้นท์ และมันกลายเป็นการเริ่มต้นใหม่ของการต่อต้านการล่าอาณานิคม คราวนี้ไม่ใช่นักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แต่เป็นอเมริกา นักล่าหน้าใหม่ ใจเหี้ยมโหด จากแผ่นดินใหญ่ที่แย่งชิงมาจากอินเดียนแดง เป็นวีรกรรมที่ต้องบันทึกไว้

    เมื่อสหภาพโซเวียตล้มครืนในปี ค.ศ.1991 อเมริกากระหยิ่ม คิดว่าเส้นทางก้าวสู่การเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกสะดวกโล่ง เมื่อคู่แข่งคนสำคัญถูกเขี่ยตกไปจากลู่แข่ง มันอาจจะเป็นการตกจากลู่แข่งเป็นการชั่วคราวเท่านั้น แต่ตอนนั้นอเมริกาไม่ได้คิดอย่างนั้น ความเกลียด ความสะใจคงจะทำให้มองภาพไม่ชัด อเมริกาคิดว่านี่เป็นโอกาสเหมาะ ที่จะสยายปีกมาทางตะวันออกกลาง และยิ่งเมื่อ Khomeini ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว อิหร่านคงไม่แกร่งอย่างเดิม อเมริกาไม่จำเป็นต้อง “เลี้ยง” อิหร่านอีกต่อไป ยักษ์ล้มไปแล้ว ยันต์กันยักษ์ไม่มีความหมายเหมือนเก่า

    แต่ดูเหมือนอเมริกาจะอ่านไม่ขาด สงครามอิรัก อิหร่าน กลับทำให้การปกครองของ Khomeini เข้มแข็งขึ้น ชาวตะวันออกเห็นความอึดและเด็ดขาดของ Khomeini ชัดเจน มีการรวมตัวกันมากขึ้น เพราะเห็นเป้าหมายชัดเจน ยิ่งเมื่อสหภาพโซเวียตที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งคนเดียว ที่พอจะต่อกรกับอเมริกาได้ถูกน๊อคนับ 10 กลุ่มอิสลามกลับคิดรวมตัวกัน เพื่อป้องกันการครอบครองของอเมริกา และเริ่มเข้าไปมีส่วนในการเมืองในภูมิภาคของตนเอง

    นอกจากนั้น การที่อเมริกาอุดหนุนให้อาวุธ และทำการฝึกให้กลุ่มอาฟกันและ Mujahadeen เพื่อให้ไปโซ้ยกับรัสเซียแทนตนนั้น ทำให้กลุ่มอิสลามติดอาวุธพวกนี้ยิ่งฮึกเหิม พวกเขาเชื่อว่า เมื่อล้มยักษ์ได้ตัวหนึ่ง (สหภาพโซเวียต) ทำไมจะล้มยักษ์ตัวอื่นๆอีกไม่ได้ และเมื่อเริ่ม ค.ศ.1990 เป็นต้นมา กลุ่มอิสลามหัวรุนแรงก็ดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นเหยื่อที่มีก้าง ติดเสียบค้างอยู่กลางคอของอเมริกา

    การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ไม่ได้นำความสะใจมาให้อเมริกาแต่อย่างเดียว น่าจะนำความวุ่นวายใจมาให้ด้วย หลังสหภาพโซเวียตล่ม กลับมีการเกิดใหม่ของรัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยอยู่ในอ้อมแขนของสหภาพโซเวียต ทยอยออกมาตั้งเป็นรัฐอิสระ รัฐเล็กๆเหล่านี้เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากร จิ้มไปตรงไหน ไม่น้ำมันผุดก็แก๊สพุ่ง แบบนี้นักล่าต่างๆจะอดใจไหวอย่างไร แต่คราวนี้พวกที่จ้องกันน้ำลายไหลไม่ได้มีแต่นักล่าตะวันตก ประเทศที่เพิ่งโตเช่น จีน และแม้แต่เจ้าของเก่าเช่นรัสเซีย ก็ออกอาการ

    นาย Zbigniew Brzezinski ที่ปรึกษาใหญ่ ออกมากระตุกแขนอเมริกา อย่าลืมนะ รางวัลใหญ่คือ Eurasia ปล่อยให้หลุดมือไม่ได้

    อิหร่านที่มีเขตแดนติดอยู่กับสหภาพโซเวียตเดิม ยาวพันกว่ากิโลเมตร เป็นเพื่อนบ้านกันมากับรัฐเล็ก รัฐน้อยแถบนั้น ผูกพันกันทั้งด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และภาษา จะปล่อยให้คนแปลกหน้าต่างถิ่น เดินเข้าไปชิงตัดหน้าอย่างนั้นหรือ อิหร่านเริ่มเสนอโครงการท่อส่งสามัคคี ยาวตั้งแต่ Caspian Sea จากทางเหนือลงใต้ไปถึงอ่าว Persia ถ้าข้อเสนอของอิหร่านเกิดขึ้น ความฝันที่จะชิงรางวัลใหญ่ของอเมริกาก็คงริบหรี่ แล้วจะปล่อยไปได้อย่างไร
    อเมริกาพยายามคิดวิธีการที่จะจัดการกับอิหร่าน สมัยรัฐบาล Clinton เขาบอกว่า ไม่ต้องยกทัพไปขยี้อิหร่านหรอก อิหร่านไม่ใช่คู่แข่งของเรา เราเอาการค้านำหน้า เป็นการค้าเสรีให้มันทั่วโลก พวกเขาไม่ฉลาดเท่าเราหรอก เราเปิดให้ทุนเข้าไปไม่เท่าไร เดี๋ยวเราก็กินเขาได้หมดเองน่า เออ! มันก็ได้ผลหลายที่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกแห่งจะคี้ยวได้ง่าย แต่สายเหยี่ยวของอเมริกาไม่เห็นด้วย เขายืนยันว่าอิหร่านเป็นเป้าสำคัญในตะวันออกกลาง ถ้าเราปล่อยให้อิหร่านโตไปเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าต่อไปอิหร่านจะหันหน้าไปซบใคร สู้ตัดตอนมันไปเสียก่อนไม่ดีกว่าหรือ

    เมื่อ George Bush ได้เป็นประธานาธิบดีใน ค.ศ.2000 หลังจากเกิดเหตุการณ์ 11 กันยา สายเหยี่ยวได้โอกาส (หรือสร้างโอกาส..!?) ประกาศว่า เราต้องจัดระเบียบโลกใหม่เกี่ยวกับเรื่องการก่อการร้าย แล้วอิหร่านและอิรักก็ได้รับเกียรติเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย ที่อเมริกาจะต้อง “จัดการ” รุ่นแรก

    รัฐมนตรีกลาโหม Donald Rumsfeld และผู้ช่วยตัวแสบ Paul Wolfowitz บอกว่าเราต้องสูบพวกนี้ออกมาให้หมดจากบริเวณตะวันออกกลาง “draining the swamp” แล้วพ่วงเอาผู้ปกครองอิรัก อิหร่าน และซีเรียไปด้วย เพราะพวกนี้แหละที่เป็นตัวขวางไม่ให้อเมริกาสยายปีกการล่าเหยื่อในตะวันออกกลาง

    การสูบน้ำออกจากหนอง แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน เริ่มแรกเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.2001 เมื่ออเมริกาทิ้งบอมบ์อาฟกานิสถาน และล้มรัฐบาลตาลีบัน (ซึ่งสร้างมากับมือ) อิรักเป็นขั้นตอนต่อไป แม้ Saddam จะไม่เป็นอิสลาม และไม่ได้เป็นพวกอัลกออิดะห์ แต่การอยู่ของ Saddam ทำให้อเมริการำคาญใจ เพราะเกะกะขวางทางการไปเอาน้ำมันในอิรัก ขั้นตอนสุดท้ายคืออิหร่าน ซึ่งไม่เกี่ยวกับรายการ 11 กันยา แถมยังยอมให้อเมริกาเข้ามาในเขตแดนของอิหร่าน ตอนกวาดพวกตาลีบันด้วย

    แต่อิหร่านเป็นแม่พิมพ์ของพวกอิสลามเคร่งครัด ถ้าแม่พิมพ์ยังอยู่ดี เดี๋ยวก็มีการถ่ายแบบกันไปทั่วตะวันออกกลาง อเมริการับไม่ได้ แต่ที่สำคัญ น่าจะเป็นข่าวที่เริ่มกระจายออกไปว่า อิหร่านก็คิดมีเพื่อน และเพื่อนที่อิหร่านอยากคบคือรัสเซียและจีน ซึ่งยืนตรงกันข้ามกับอเมริกา โดยเฉพาะรัสเซีย และจากสาเหตุสุดท้ายนี้ อิหร่านก็ได้ถูกเลื่อนอันดับอย่างรวดเร็ว โดยรัฐบาล Bush เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งที่จะต้องถูกจัดการสังเวยความกระหายน้ำมันและอำนาจ บวกความหมั่นไส้ที่ไม่รู้จักเลือกคบเพื่อน มองข้ามหัวอเมริกาอย่างท้าท้าย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 กันยายน 2557
    เหยื่อติดคอ ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ” ตอนที่ 6 สงครามอิรักอิหร่าน ที่ถูกชักใยโดยอเมริกา ทำให้ชาวอิหร่านตายไปไม่น้อยกว่า 300,000 คน และชีวิตชาวอิรักอีกประมาณ 100,000 คน มีคนเจ็บประเทศละไม่น้อยกว่า 700,000 คน ส่วนการรบในอาฟกานิสถาน ระหว่าง ค.ศ.1979-1989 ชีวิตของคนอาฟกันต้องเสียไปประมาณ 1 ล้านคน (รวมทั้งทหารของสหภาพโซเวียตอีก 15,000 นาย) 1 ใน 3 ของชาวอาฟกันกลายเป็นผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ตามเต้นท์ และมันกลายเป็นการเริ่มต้นใหม่ของการต่อต้านการล่าอาณานิคม คราวนี้ไม่ใช่นักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แต่เป็นอเมริกา นักล่าหน้าใหม่ ใจเหี้ยมโหด จากแผ่นดินใหญ่ที่แย่งชิงมาจากอินเดียนแดง เป็นวีรกรรมที่ต้องบันทึกไว้ เมื่อสหภาพโซเวียตล้มครืนในปี ค.ศ.1991 อเมริกากระหยิ่ม คิดว่าเส้นทางก้าวสู่การเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกสะดวกโล่ง เมื่อคู่แข่งคนสำคัญถูกเขี่ยตกไปจากลู่แข่ง มันอาจจะเป็นการตกจากลู่แข่งเป็นการชั่วคราวเท่านั้น แต่ตอนนั้นอเมริกาไม่ได้คิดอย่างนั้น ความเกลียด ความสะใจคงจะทำให้มองภาพไม่ชัด อเมริกาคิดว่านี่เป็นโอกาสเหมาะ ที่จะสยายปีกมาทางตะวันออกกลาง และยิ่งเมื่อ Khomeini ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว อิหร่านคงไม่แกร่งอย่างเดิม อเมริกาไม่จำเป็นต้อง “เลี้ยง” อิหร่านอีกต่อไป ยักษ์ล้มไปแล้ว ยันต์กันยักษ์ไม่มีความหมายเหมือนเก่า แต่ดูเหมือนอเมริกาจะอ่านไม่ขาด สงครามอิรัก อิหร่าน กลับทำให้การปกครองของ Khomeini เข้มแข็งขึ้น ชาวตะวันออกเห็นความอึดและเด็ดขาดของ Khomeini ชัดเจน มีการรวมตัวกันมากขึ้น เพราะเห็นเป้าหมายชัดเจน ยิ่งเมื่อสหภาพโซเวียตที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งคนเดียว ที่พอจะต่อกรกับอเมริกาได้ถูกน๊อคนับ 10 กลุ่มอิสลามกลับคิดรวมตัวกัน เพื่อป้องกันการครอบครองของอเมริกา และเริ่มเข้าไปมีส่วนในการเมืองในภูมิภาคของตนเอง นอกจากนั้น การที่อเมริกาอุดหนุนให้อาวุธ และทำการฝึกให้กลุ่มอาฟกันและ Mujahadeen เพื่อให้ไปโซ้ยกับรัสเซียแทนตนนั้น ทำให้กลุ่มอิสลามติดอาวุธพวกนี้ยิ่งฮึกเหิม พวกเขาเชื่อว่า เมื่อล้มยักษ์ได้ตัวหนึ่ง (สหภาพโซเวียต) ทำไมจะล้มยักษ์ตัวอื่นๆอีกไม่ได้ และเมื่อเริ่ม ค.ศ.1990 เป็นต้นมา กลุ่มอิสลามหัวรุนแรงก็ดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นเหยื่อที่มีก้าง ติดเสียบค้างอยู่กลางคอของอเมริกา การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ไม่ได้นำความสะใจมาให้อเมริกาแต่อย่างเดียว น่าจะนำความวุ่นวายใจมาให้ด้วย หลังสหภาพโซเวียตล่ม กลับมีการเกิดใหม่ของรัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยอยู่ในอ้อมแขนของสหภาพโซเวียต ทยอยออกมาตั้งเป็นรัฐอิสระ รัฐเล็กๆเหล่านี้เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากร จิ้มไปตรงไหน ไม่น้ำมันผุดก็แก๊สพุ่ง แบบนี้นักล่าต่างๆจะอดใจไหวอย่างไร แต่คราวนี้พวกที่จ้องกันน้ำลายไหลไม่ได้มีแต่นักล่าตะวันตก ประเทศที่เพิ่งโตเช่น จีน และแม้แต่เจ้าของเก่าเช่นรัสเซีย ก็ออกอาการ นาย Zbigniew Brzezinski ที่ปรึกษาใหญ่ ออกมากระตุกแขนอเมริกา อย่าลืมนะ รางวัลใหญ่คือ Eurasia ปล่อยให้หลุดมือไม่ได้ อิหร่านที่มีเขตแดนติดอยู่กับสหภาพโซเวียตเดิม ยาวพันกว่ากิโลเมตร เป็นเพื่อนบ้านกันมากับรัฐเล็ก รัฐน้อยแถบนั้น ผูกพันกันทั้งด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และภาษา จะปล่อยให้คนแปลกหน้าต่างถิ่น เดินเข้าไปชิงตัดหน้าอย่างนั้นหรือ อิหร่านเริ่มเสนอโครงการท่อส่งสามัคคี ยาวตั้งแต่ Caspian Sea จากทางเหนือลงใต้ไปถึงอ่าว Persia ถ้าข้อเสนอของอิหร่านเกิดขึ้น ความฝันที่จะชิงรางวัลใหญ่ของอเมริกาก็คงริบหรี่ แล้วจะปล่อยไปได้อย่างไร อเมริกาพยายามคิดวิธีการที่จะจัดการกับอิหร่าน สมัยรัฐบาล Clinton เขาบอกว่า ไม่ต้องยกทัพไปขยี้อิหร่านหรอก อิหร่านไม่ใช่คู่แข่งของเรา เราเอาการค้านำหน้า เป็นการค้าเสรีให้มันทั่วโลก พวกเขาไม่ฉลาดเท่าเราหรอก เราเปิดให้ทุนเข้าไปไม่เท่าไร เดี๋ยวเราก็กินเขาได้หมดเองน่า เออ! มันก็ได้ผลหลายที่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกแห่งจะคี้ยวได้ง่าย แต่สายเหยี่ยวของอเมริกาไม่เห็นด้วย เขายืนยันว่าอิหร่านเป็นเป้าสำคัญในตะวันออกกลาง ถ้าเราปล่อยให้อิหร่านโตไปเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าต่อไปอิหร่านจะหันหน้าไปซบใคร สู้ตัดตอนมันไปเสียก่อนไม่ดีกว่าหรือ เมื่อ George Bush ได้เป็นประธานาธิบดีใน ค.ศ.2000 หลังจากเกิดเหตุการณ์ 11 กันยา สายเหยี่ยวได้โอกาส (หรือสร้างโอกาส..!?) ประกาศว่า เราต้องจัดระเบียบโลกใหม่เกี่ยวกับเรื่องการก่อการร้าย แล้วอิหร่านและอิรักก็ได้รับเกียรติเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย ที่อเมริกาจะต้อง “จัดการ” รุ่นแรก รัฐมนตรีกลาโหม Donald Rumsfeld และผู้ช่วยตัวแสบ Paul Wolfowitz บอกว่าเราต้องสูบพวกนี้ออกมาให้หมดจากบริเวณตะวันออกกลาง “draining the swamp” แล้วพ่วงเอาผู้ปกครองอิรัก อิหร่าน และซีเรียไปด้วย เพราะพวกนี้แหละที่เป็นตัวขวางไม่ให้อเมริกาสยายปีกการล่าเหยื่อในตะวันออกกลาง การสูบน้ำออกจากหนอง แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน เริ่มแรกเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.2001 เมื่ออเมริกาทิ้งบอมบ์อาฟกานิสถาน และล้มรัฐบาลตาลีบัน (ซึ่งสร้างมากับมือ) อิรักเป็นขั้นตอนต่อไป แม้ Saddam จะไม่เป็นอิสลาม และไม่ได้เป็นพวกอัลกออิดะห์ แต่การอยู่ของ Saddam ทำให้อเมริการำคาญใจ เพราะเกะกะขวางทางการไปเอาน้ำมันในอิรัก ขั้นตอนสุดท้ายคืออิหร่าน ซึ่งไม่เกี่ยวกับรายการ 11 กันยา แถมยังยอมให้อเมริกาเข้ามาในเขตแดนของอิหร่าน ตอนกวาดพวกตาลีบันด้วย แต่อิหร่านเป็นแม่พิมพ์ของพวกอิสลามเคร่งครัด ถ้าแม่พิมพ์ยังอยู่ดี เดี๋ยวก็มีการถ่ายแบบกันไปทั่วตะวันออกกลาง อเมริการับไม่ได้ แต่ที่สำคัญ น่าจะเป็นข่าวที่เริ่มกระจายออกไปว่า อิหร่านก็คิดมีเพื่อน และเพื่อนที่อิหร่านอยากคบคือรัสเซียและจีน ซึ่งยืนตรงกันข้ามกับอเมริกา โดยเฉพาะรัสเซีย และจากสาเหตุสุดท้ายนี้ อิหร่านก็ได้ถูกเลื่อนอันดับอย่างรวดเร็ว โดยรัฐบาล Bush เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งที่จะต้องถูกจัดการสังเวยความกระหายน้ำมันและอำนาจ บวกความหมั่นไส้ที่ไม่รู้จักเลือกคบเพื่อน มองข้ามหัวอเมริกาอย่างท้าท้าย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 กันยายน 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • “NTT สร้างชิปแสงอัจฉริยะตัวแรกของโลก — เปลี่ยนคลื่นแสงให้กลายเป็นเครื่องมือคำนวณที่ปรับเปลี่ยนได้ทันที”

    NTT Research ร่วมกับมหาวิทยาลัย Cornell และ Stanford ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเปลี่ยนโฉมวงการออปติกและควอนตัมคอมพิวติ้งไปตลอดกาล — ชิปแสงแบบ nonlinear photonics ที่สามารถ “โปรแกรม” ฟังก์ชันได้แบบเรียลไทม์บนชิปเดียว โดยไม่ต้องผลิตอุปกรณ์ใหม่สำหรับแต่ละฟังก์ชันอีกต่อไป

    เทคโนโลยีนี้ใช้แกนกลางเป็นวัสดุ silicon nitride ที่สามารถปรับเปลี่ยนคุณสมบัติไม่เชิงเส้น (nonlinearity) ได้ด้วยการฉายแสงแบบมีโครงสร้าง (structured light) ลงบนชิป ซึ่งจะสร้างรูปแบบการตอบสนองของแสงที่แตกต่างกันไปตามลวดลายของแสงที่ฉาย ทำให้ชิปเดียวสามารถทำงานได้หลากหลาย เช่น สร้างคลื่นแสงแบบกำหนดเอง, สร้างฮาร์มอนิกที่ปรับได้, สร้างแสง holographic และออกแบบฟังก์ชันแบบย้อนกลับ (inverse design) ได้ทันที

    งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 และจะตีพิมพ์ฉบับพิมพ์ในเดือนพฤศจิกายน โดยนักวิจัย Ryotatsu Yanagimoto จาก NTT Research เป็นผู้นำทีมภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ Peter McMahon จาก Cornell

    ผลลัพธ์ของงานนี้คือการ “ทำลายกรอบเดิม” ที่อุปกรณ์แสงหนึ่งตัวทำได้เพียงหนึ่งฟังก์ชัน ซึ่งเคยเป็นข้อจำกัดใหญ่ของวงการ photonics โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง เช่น การสื่อสารด้วยแสง, คอมพิวเตอร์ควอนตัม, การสร้างแหล่งกำเนิดแสงที่ปรับได้ และการวิเคราะห์คลื่นแสงในงานวิทยาศาสตร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    NTT Research ร่วมกับ Cornell และ Stanford พัฒนาชิป nonlinear photonics ที่โปรแกรมได้
    ใช้ structured light เพื่อปรับเปลี่ยนคุณสมบัติไม่เชิงเส้นของวัสดุ silicon nitride
    ชิปสามารถทำงานได้หลายฟังก์ชัน เช่น pulse shaping, second-harmonic generation, holography
    งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025
    นำโดยนักวิจัย Ryotatsu Yanagimoto ภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ Peter McMahon
    ชิปสามารถปรับฟังก์ชันแบบเรียลไทม์และทนต่อข้อผิดพลาดจากการผลิต
    เปลี่ยนแนวคิด “one device, one function” เป็น “one chip, many functions”
    มีศักยภาพในการใช้งานใน quantum computing, optical communication, sensing และ imaging

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ตลาด photonic-integrated circuits คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $50 พันล้านภายในปี 2035
    structured light ถูกใช้ในงาน imaging, holography และการควบคุมแสงในระดับนาโน
    inverse design คือการออกแบบฟังก์ชันโดยเริ่มจากผลลัพธ์ที่ต้องการ แล้วหาวิธีสร้าง
    quantum frequency conversion เป็นเทคนิคสำคัญในการเชื่อมโยงระบบควอนตัมต่างชนิด
    photonics เป็นเทคโนโลยีหลักในการลดพลังงานและเพิ่มความเร็วของการประมวลผล

    https://www.techpowerup.com/341717/ntt-research-collaboration-breaks-the-one-device-one-function-paradigm-with-worlds-first-programmable-nonlinear-photonics-chip
    💡 “NTT สร้างชิปแสงอัจฉริยะตัวแรกของโลก — เปลี่ยนคลื่นแสงให้กลายเป็นเครื่องมือคำนวณที่ปรับเปลี่ยนได้ทันที” NTT Research ร่วมกับมหาวิทยาลัย Cornell และ Stanford ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเปลี่ยนโฉมวงการออปติกและควอนตัมคอมพิวติ้งไปตลอดกาล — ชิปแสงแบบ nonlinear photonics ที่สามารถ “โปรแกรม” ฟังก์ชันได้แบบเรียลไทม์บนชิปเดียว โดยไม่ต้องผลิตอุปกรณ์ใหม่สำหรับแต่ละฟังก์ชันอีกต่อไป เทคโนโลยีนี้ใช้แกนกลางเป็นวัสดุ silicon nitride ที่สามารถปรับเปลี่ยนคุณสมบัติไม่เชิงเส้น (nonlinearity) ได้ด้วยการฉายแสงแบบมีโครงสร้าง (structured light) ลงบนชิป ซึ่งจะสร้างรูปแบบการตอบสนองของแสงที่แตกต่างกันไปตามลวดลายของแสงที่ฉาย ทำให้ชิปเดียวสามารถทำงานได้หลากหลาย เช่น สร้างคลื่นแสงแบบกำหนดเอง, สร้างฮาร์มอนิกที่ปรับได้, สร้างแสง holographic และออกแบบฟังก์ชันแบบย้อนกลับ (inverse design) ได้ทันที งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 และจะตีพิมพ์ฉบับพิมพ์ในเดือนพฤศจิกายน โดยนักวิจัย Ryotatsu Yanagimoto จาก NTT Research เป็นผู้นำทีมภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ Peter McMahon จาก Cornell ผลลัพธ์ของงานนี้คือการ “ทำลายกรอบเดิม” ที่อุปกรณ์แสงหนึ่งตัวทำได้เพียงหนึ่งฟังก์ชัน ซึ่งเคยเป็นข้อจำกัดใหญ่ของวงการ photonics โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง เช่น การสื่อสารด้วยแสง, คอมพิวเตอร์ควอนตัม, การสร้างแหล่งกำเนิดแสงที่ปรับได้ และการวิเคราะห์คลื่นแสงในงานวิทยาศาสตร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ NTT Research ร่วมกับ Cornell และ Stanford พัฒนาชิป nonlinear photonics ที่โปรแกรมได้ ➡️ ใช้ structured light เพื่อปรับเปลี่ยนคุณสมบัติไม่เชิงเส้นของวัสดุ silicon nitride ➡️ ชิปสามารถทำงานได้หลายฟังก์ชัน เช่น pulse shaping, second-harmonic generation, holography ➡️ งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 ➡️ นำโดยนักวิจัย Ryotatsu Yanagimoto ภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ Peter McMahon ➡️ ชิปสามารถปรับฟังก์ชันแบบเรียลไทม์และทนต่อข้อผิดพลาดจากการผลิต ➡️ เปลี่ยนแนวคิด “one device, one function” เป็น “one chip, many functions” ➡️ มีศักยภาพในการใช้งานใน quantum computing, optical communication, sensing และ imaging ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ตลาด photonic-integrated circuits คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $50 พันล้านภายในปี 2035 ➡️ structured light ถูกใช้ในงาน imaging, holography และการควบคุมแสงในระดับนาโน ➡️ inverse design คือการออกแบบฟังก์ชันโดยเริ่มจากผลลัพธ์ที่ต้องการ แล้วหาวิธีสร้าง ➡️ quantum frequency conversion เป็นเทคนิคสำคัญในการเชื่อมโยงระบบควอนตัมต่างชนิด ➡️ photonics เป็นเทคโนโลยีหลักในการลดพลังงานและเพิ่มความเร็วของการประมวลผล https://www.techpowerup.com/341717/ntt-research-collaboration-breaks-the-one-device-one-function-paradigm-with-worlds-first-programmable-nonlinear-photonics-chip
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    NTT Research Collaboration Breaks the "One Device, One Function" Paradigm with World's First Programmable Nonlinear Photonics Chip
    NTT Research, Inc., a division of NTT, announced that its Physics and Informatics (PHI) Lab, working with Cornell University and Stanford University, has developed the world's first programmable nonlinear photonic waveguide that can switch between multiple nonlinear-optical functions on a single chi...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Gemini 2.5 Computer Use — โมเดล AI ที่คลิก พิมพ์ และเลื่อนหน้าเว็บแทนคุณได้จริง เปิดประตูสู่ยุคผู้ช่วยดิจิทัลที่ลงมือทำ”

    Google DeepMind เปิดตัวโมเดลใหม่ “Gemini 2.5 Computer Use” ซึ่งเป็นเวอร์ชันเฉพาะทางของ Gemini 2.5 Pro ที่ออกแบบมาเพื่อให้ AI สามารถควบคุมอินเทอร์เฟซของเว็บไซต์และแอปได้โดยตรง ไม่ใช่แค่เข้าใจคำสั่งหรือภาพ แต่สามารถ “ลงมือทำ” ได้จริง เช่น คลิกปุ่ม พิมพ์ข้อความ เลื่อนหน้าเว็บ หรือกรอกแบบฟอร์ม — ทั้งหมดนี้จากคำสั่งเดียวของผู้ใช้

    โมเดลนี้เปิดให้ใช้งานผ่าน Gemini API บน Google AI Studio และ Vertex AI โดยใช้เครื่องมือใหม่ชื่อว่า computer_use ซึ่งทำงานในรูปแบบลูป: รับคำสั่ง → วิเคราะห์ภาพหน้าจอและประวัติการกระทำ → สร้างคำสั่ง UI → ส่งกลับไปยังระบบ → ถ่ายภาพหน้าจอใหม่ → ประเมินผล → ทำต่อหรือหยุด

    Gemini 2.5 Computer Use รองรับคำสั่ง UI 13 รูปแบบ เช่น คลิก พิมพ์ ลากวัตถุ เลื่อนหน้าเว็บ และจัดการ dropdown โดยสามารถทำงานหลังล็อกอินได้ด้วย ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง “agent” ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในระบบดิจิทัล

    ด้านความปลอดภัย Google ได้ฝังระบบตรวจสอบไว้ในตัวโมเดล เช่น per-step safety service ที่ตรวจสอบทุกคำสั่งก่อนรัน และ system instructions ที่ให้ผู้พัฒนากำหนดว่าต้องขออนุมัติก่อนทำงานที่มีความเสี่ยง เช่น การซื้อของหรือควบคุมอุปกรณ์ทางการแพทย์

    ทีมภายในของ Google ได้ใช้โมเดลนี้ในงานจริง เช่น Project Mariner, Firebase Testing Agent และ AI Mode ใน Search โดยช่วยลดเวลาในการทดสอบ UI และแก้ปัญหาการทำงานล้มเหลวได้ถึง 60% ในบางกรณี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Gemini 2.5 Computer Use เป็นโมเดล AI ที่ควบคุม UI ได้โดยตรง
    ทำงานผ่าน Gemini API บน Google AI Studio และ Vertex AI
    ใช้เครื่องมือ computer_use ที่ทำงานแบบลูปต่อเนื่อง
    รองรับคำสั่ง UI 13 รูปแบบ เช่น คลิก พิมพ์ ลาก เลื่อน dropdown
    สามารถทำงานหลังล็อกอิน และจัดการฟอร์มได้เหมือนมนุษย์
    มีระบบ per-step safety service ตรวจสอบคำสั่งก่อนรัน
    ผู้พัฒนาสามารถตั้ง system instructions เพื่อป้องกันความเสี่ยง
    ใช้ในโปรเจกต์จริงของ Google เช่น Project Mariner และ Firebase Testing Agent
    ช่วยลดเวลาในการทดสอบ UI และเพิ่มความแม่นยำในการทำงาน
    เปิดให้ใช้งานแบบ public preview แล้ววันนี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Browserbase เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ทดสอบ Gemini 2.5 Computer Use แบบ headless browser
    โมเดลนี้ outperform คู่แข่งใน benchmark เช่น Online-Mind2Web และ AndroidWorld
    Claude Sonnet 4.5 และ ChatGPT Agent ก็มีฟีเจอร์ควบคุม UI แต่ยังไม่เน้นภาพหน้าจอ
    การควบคุม UI ด้วยภาพหน้าจอช่วยให้ AI ทำงานในระบบที่ไม่มี API ได้
    Gemini 2.5 Computer Use ใช้ Gemini Pro เป็นฐาน โดยเสริมความเข้าใจภาพและตรรกะ

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ยังไม่รองรับการควบคุมระบบปฏิบัติการแบบเต็ม เช่น Windows หรือ macOS
    การทำงานผ่านภาพหน้าจออาจมีข้อจำกัดในแอปที่เปลี่ยน UI แบบไดนามิก
    หากไม่มีการตั้งค่าความปลอดภัย อาจเกิดการคลิกผิดหรือกรอกข้อมูลผิด
    การใช้งานในระบบที่มีข้อมูลอ่อนไหวต้องมีการยืนยันจากผู้ใช้ก่อนเสมอ
    ผู้พัฒนาต้องทดสอบระบบอย่างละเอียดก่อนนำไปใช้จริงในองค์กร

    https://blog.google/technology/google-deepmind/gemini-computer-use-model/
    🖱️ “Gemini 2.5 Computer Use — โมเดล AI ที่คลิก พิมพ์ และเลื่อนหน้าเว็บแทนคุณได้จริง เปิดประตูสู่ยุคผู้ช่วยดิจิทัลที่ลงมือทำ” Google DeepMind เปิดตัวโมเดลใหม่ “Gemini 2.5 Computer Use” ซึ่งเป็นเวอร์ชันเฉพาะทางของ Gemini 2.5 Pro ที่ออกแบบมาเพื่อให้ AI สามารถควบคุมอินเทอร์เฟซของเว็บไซต์และแอปได้โดยตรง ไม่ใช่แค่เข้าใจคำสั่งหรือภาพ แต่สามารถ “ลงมือทำ” ได้จริง เช่น คลิกปุ่ม พิมพ์ข้อความ เลื่อนหน้าเว็บ หรือกรอกแบบฟอร์ม — ทั้งหมดนี้จากคำสั่งเดียวของผู้ใช้ โมเดลนี้เปิดให้ใช้งานผ่าน Gemini API บน Google AI Studio และ Vertex AI โดยใช้เครื่องมือใหม่ชื่อว่า computer_use ซึ่งทำงานในรูปแบบลูป: รับคำสั่ง → วิเคราะห์ภาพหน้าจอและประวัติการกระทำ → สร้างคำสั่ง UI → ส่งกลับไปยังระบบ → ถ่ายภาพหน้าจอใหม่ → ประเมินผล → ทำต่อหรือหยุด Gemini 2.5 Computer Use รองรับคำสั่ง UI 13 รูปแบบ เช่น คลิก พิมพ์ ลากวัตถุ เลื่อนหน้าเว็บ และจัดการ dropdown โดยสามารถทำงานหลังล็อกอินได้ด้วย ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง “agent” ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในระบบดิจิทัล ด้านความปลอดภัย Google ได้ฝังระบบตรวจสอบไว้ในตัวโมเดล เช่น per-step safety service ที่ตรวจสอบทุกคำสั่งก่อนรัน และ system instructions ที่ให้ผู้พัฒนากำหนดว่าต้องขออนุมัติก่อนทำงานที่มีความเสี่ยง เช่น การซื้อของหรือควบคุมอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทีมภายในของ Google ได้ใช้โมเดลนี้ในงานจริง เช่น Project Mariner, Firebase Testing Agent และ AI Mode ใน Search โดยช่วยลดเวลาในการทดสอบ UI และแก้ปัญหาการทำงานล้มเหลวได้ถึง 60% ในบางกรณี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Gemini 2.5 Computer Use เป็นโมเดล AI ที่ควบคุม UI ได้โดยตรง ➡️ ทำงานผ่าน Gemini API บน Google AI Studio และ Vertex AI ➡️ ใช้เครื่องมือ computer_use ที่ทำงานแบบลูปต่อเนื่อง ➡️ รองรับคำสั่ง UI 13 รูปแบบ เช่น คลิก พิมพ์ ลาก เลื่อน dropdown ➡️ สามารถทำงานหลังล็อกอิน และจัดการฟอร์มได้เหมือนมนุษย์ ➡️ มีระบบ per-step safety service ตรวจสอบคำสั่งก่อนรัน ➡️ ผู้พัฒนาสามารถตั้ง system instructions เพื่อป้องกันความเสี่ยง ➡️ ใช้ในโปรเจกต์จริงของ Google เช่น Project Mariner และ Firebase Testing Agent ➡️ ช่วยลดเวลาในการทดสอบ UI และเพิ่มความแม่นยำในการทำงาน ➡️ เปิดให้ใช้งานแบบ public preview แล้ววันนี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Browserbase เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ทดสอบ Gemini 2.5 Computer Use แบบ headless browser ➡️ โมเดลนี้ outperform คู่แข่งใน benchmark เช่น Online-Mind2Web และ AndroidWorld ➡️ Claude Sonnet 4.5 และ ChatGPT Agent ก็มีฟีเจอร์ควบคุม UI แต่ยังไม่เน้นภาพหน้าจอ ➡️ การควบคุม UI ด้วยภาพหน้าจอช่วยให้ AI ทำงานในระบบที่ไม่มี API ได้ ➡️ Gemini 2.5 Computer Use ใช้ Gemini Pro เป็นฐาน โดยเสริมความเข้าใจภาพและตรรกะ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ยังไม่รองรับการควบคุมระบบปฏิบัติการแบบเต็ม เช่น Windows หรือ macOS ⛔ การทำงานผ่านภาพหน้าจออาจมีข้อจำกัดในแอปที่เปลี่ยน UI แบบไดนามิก ⛔ หากไม่มีการตั้งค่าความปลอดภัย อาจเกิดการคลิกผิดหรือกรอกข้อมูลผิด ⛔ การใช้งานในระบบที่มีข้อมูลอ่อนไหวต้องมีการยืนยันจากผู้ใช้ก่อนเสมอ ⛔ ผู้พัฒนาต้องทดสอบระบบอย่างละเอียดก่อนนำไปใช้จริงในองค์กร https://blog.google/technology/google-deepmind/gemini-computer-use-model/
    BLOG.GOOGLE
    Introducing the Gemini 2.5 Computer Use model
    Today we are releasing the Gemini 2.5 Computer Use model via the API, which outperforms leading alternatives at browser and mobile tasks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts