• คนไทยเฮลั่น! ด่วน! ทบ.เด็ดขาด รถไถทำลายกับดักยึดช่องอานม้าคืน 100% (5/8/68)
    Thais erupt in cheers! Urgent! Army takes decisive action — bulldozers destroy traps, reclaim Chong Arn Ma 100% from intruders.
    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodiaNoCeasefire
    #กัมพูชายิงก่อน
    #ไทยรบเพื่อปกป้องแผ่นดิน
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    #news1
    #thaitimes
    คนไทยเฮลั่น! ด่วน! ทบ.เด็ดขาด รถไถทำลายกับดักยึดช่องอานม้าคืน 100% (5/8/68) Thais erupt in cheers! Urgent! Army takes decisive action — bulldozers destroy traps, reclaim Chong Arn Ma 100% from intruders. #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #กัมพูชายิงก่อน #ไทยรบเพื่อปกป้องแผ่นดิน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #news1 #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อแคลเซียมกลายเป็นกุญแจไขจักรวาล—แรงที่ห้าอาจซ่อนอยู่ในลอนของ King Plot

    ทีมนักฟิสิกส์จาก ETH Zurich ร่วมกับสถาบันในเยอรมนีและออสเตรเลีย ได้ทำการวัดความเปลี่ยนแปลงพลังงานในอะตอมของแคลเซียม (Ca) ด้วยความแม่นยำระดับ sub-Hertz โดยใช้เทคนิค “isotope shift spectroscopy” ซึ่งเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงพลังงานระหว่างไอโซโทปต่าง ๆ ของแคลเซียมที่มีจำนวนโปรตอนเท่ากันแต่ต่างกันที่จำนวนของนิวตรอน

    พวกเขาใช้ “King plot” ซึ่งเป็นกราฟที่ควรจะเรียงตัวเป็นเส้นตรงหากทุกอย่างเป็นไปตามทฤษฎีฟิสิกส์มาตรฐาน (Standard Model) แต่ผลลัพธ์กลับแสดงความโค้งอย่างชัดเจน—nonlinearity ที่มีนัยสำคัญถึงระดับ 10³ σ ซึ่งเกินกว่าความผิดพลาดจากการสุ่ม

    แม้จะยังไม่สามารถยืนยันการมีอยู่ของแรงใหม่ได้ แต่ผลการทดลองนี้ได้ช่วยจำกัดขอบเขตของ “Yukawa interaction” ซึ่งเป็นแรงสมมุติที่อาจเกิดจากโบซอนชนิดใหม่ที่มีมวลระหว่าง 10 ถึง 10⁷ eV/c² และอาจเป็นตัวกลางของแรงที่ห้า

    นักวิจัยวัดการเปลี่ยนแปลงพลังงานในไอโซโทปของแคลเซียมด้วยความแม่นยำระดับ sub-Hertz
    ใช้เทคนิค ion trapping และ quantum logic spectroscopy
    วัดการเปลี่ยนแปลงในสอง transition: ³P₀ → ³P₁ และ ²S₁/₂ → ²D₅/₂

    ใช้ King plot เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของ isotope shifts
    หากทุกอย่างเป็นไปตาม Standard Model จุดจะเรียงเป็นเส้นตรง
    แต่พบความโค้ง (nonlinearity) ที่มีนัยสำคัญสูง

    ผลการทดลองช่วยจำกัดขอบเขตของ Yukawa interaction
    เป็นแรงสมมุติที่อาจเกิดจากโบซอนชนิดใหม่
    มวลของโบซอนอยู่ในช่วง 10 ถึง 10⁷ eV/c²

    การวัดร่วมกันของไอโซโทปใน ion trap ช่วยลด noise และเพิ่มความแม่นยำ
    วัดความต่างของความถี่ได้ถึงระดับ 100 millihertz
    ใช้การวัดแบบ differential เพื่อขจัดความผิดพลาดร่วม

    ผลการทดลองอาจอธิบาย nuclear polarization ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ยังไม่เข้าใจดีนัก
    เป็นการบิดเบือนของนิวเคลียสจากอิเล็กตรอนรอบข้าง
    อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ King plot โค้ง

    King plot เป็นเครื่องมือสำคัญในการค้นหาฟิสิกส์นอกเหนือจาก Standard Model
    ใช้เปรียบเทียบ isotope shifts จากหลาย transition
    ช่วยแยกสัญญาณที่อาจเกิดจากแรงใหม่

    Yukawa interaction เคยถูกเสนอในทฤษฎีแรงนิวเคลียร์ตั้งแต่ยุคแรกของฟิสิกส์ควอนตัม
    เป็นแรงที่มีระยะสั้นและเกิดจากโบซอน
    อาจเป็นกุญแจสู่การเข้าใจ dark matter และแรงที่ห้า

    การทดลองในแคลเซียมมีข้อได้เปรียบเพราะมีไอโซโทปเสถียรหลายชนิด
    Ca⁴⁰, Ca⁴², Ca⁴⁴, Ca⁴⁶, Ca⁴⁸
    ทำให้สามารถวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย

    https://www.neowin.net/news/fifth-force-of-nature-could-explain-universes-most-mysteriously-abundant-thing/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อแคลเซียมกลายเป็นกุญแจไขจักรวาล—แรงที่ห้าอาจซ่อนอยู่ในลอนของ King Plot ทีมนักฟิสิกส์จาก ETH Zurich ร่วมกับสถาบันในเยอรมนีและออสเตรเลีย ได้ทำการวัดความเปลี่ยนแปลงพลังงานในอะตอมของแคลเซียม (Ca) ด้วยความแม่นยำระดับ sub-Hertz โดยใช้เทคนิค “isotope shift spectroscopy” ซึ่งเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงพลังงานระหว่างไอโซโทปต่าง ๆ ของแคลเซียมที่มีจำนวนโปรตอนเท่ากันแต่ต่างกันที่จำนวนของนิวตรอน พวกเขาใช้ “King plot” ซึ่งเป็นกราฟที่ควรจะเรียงตัวเป็นเส้นตรงหากทุกอย่างเป็นไปตามทฤษฎีฟิสิกส์มาตรฐาน (Standard Model) แต่ผลลัพธ์กลับแสดงความโค้งอย่างชัดเจน—nonlinearity ที่มีนัยสำคัญถึงระดับ 10³ σ ซึ่งเกินกว่าความผิดพลาดจากการสุ่ม แม้จะยังไม่สามารถยืนยันการมีอยู่ของแรงใหม่ได้ แต่ผลการทดลองนี้ได้ช่วยจำกัดขอบเขตของ “Yukawa interaction” ซึ่งเป็นแรงสมมุติที่อาจเกิดจากโบซอนชนิดใหม่ที่มีมวลระหว่าง 10 ถึง 10⁷ eV/c² และอาจเป็นตัวกลางของแรงที่ห้า ✅ นักวิจัยวัดการเปลี่ยนแปลงพลังงานในไอโซโทปของแคลเซียมด้วยความแม่นยำระดับ sub-Hertz ➡️ ใช้เทคนิค ion trapping และ quantum logic spectroscopy ➡️ วัดการเปลี่ยนแปลงในสอง transition: ³P₀ → ³P₁ และ ²S₁/₂ → ²D₅/₂ ✅ ใช้ King plot เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของ isotope shifts ➡️ หากทุกอย่างเป็นไปตาม Standard Model จุดจะเรียงเป็นเส้นตรง ➡️ แต่พบความโค้ง (nonlinearity) ที่มีนัยสำคัญสูง ✅ ผลการทดลองช่วยจำกัดขอบเขตของ Yukawa interaction ➡️ เป็นแรงสมมุติที่อาจเกิดจากโบซอนชนิดใหม่ ➡️ มวลของโบซอนอยู่ในช่วง 10 ถึง 10⁷ eV/c² ✅ การวัดร่วมกันของไอโซโทปใน ion trap ช่วยลด noise และเพิ่มความแม่นยำ ➡️ วัดความต่างของความถี่ได้ถึงระดับ 100 millihertz ➡️ ใช้การวัดแบบ differential เพื่อขจัดความผิดพลาดร่วม ✅ ผลการทดลองอาจอธิบาย nuclear polarization ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ยังไม่เข้าใจดีนัก ➡️ เป็นการบิดเบือนของนิวเคลียสจากอิเล็กตรอนรอบข้าง ➡️ อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ King plot โค้ง ✅ King plot เป็นเครื่องมือสำคัญในการค้นหาฟิสิกส์นอกเหนือจาก Standard Model ➡️ ใช้เปรียบเทียบ isotope shifts จากหลาย transition ➡️ ช่วยแยกสัญญาณที่อาจเกิดจากแรงใหม่ ✅ Yukawa interaction เคยถูกเสนอในทฤษฎีแรงนิวเคลียร์ตั้งแต่ยุคแรกของฟิสิกส์ควอนตัม ➡️ เป็นแรงที่มีระยะสั้นและเกิดจากโบซอน ➡️ อาจเป็นกุญแจสู่การเข้าใจ dark matter และแรงที่ห้า ✅ การทดลองในแคลเซียมมีข้อได้เปรียบเพราะมีไอโซโทปเสถียรหลายชนิด ➡️ Ca⁴⁰, Ca⁴², Ca⁴⁴, Ca⁴⁶, Ca⁴⁸ ➡️ ทำให้สามารถวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย https://www.neowin.net/news/fifth-force-of-nature-could-explain-universes-most-mysteriously-abundant-thing/
    WWW.NEOWIN.NET
    Fifth force of nature could explain Universe's most mysteriously abundant thing
    Ultra-precise tests reveal subtle anomalies, leading to speculation about a hidden fifth force that could explain what we don't understand about the most abundant substance in the Universe.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Node.js 2025 – จาก CommonJS สู่โลกใหม่ที่สะอาดกว่าและฉลาดกว่า

    ในปี 2025 Node.js ได้เปลี่ยนโฉมไปอย่างมากจากยุคที่เต็มไปด้วย callback และ require แบบ CommonJS สู่ยุคใหม่ที่ใช้ ES Modules (ESM) เป็นมาตรฐาน พร้อมรองรับฟีเจอร์ระดับเว็บเบราว์เซอร์ เช่น fetch API และ top-level await โดยไม่ต้องพึ่งพาไลบรารีภายนอกอีกต่อไป

    การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง syntax แต่เป็นการปรับแนวคิดการพัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานเว็บสมัยใหม่ ทำให้โค้ดสะอาดขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น และลดความซับซ้อนในการจัดการ dependency

    นอกจากนี้ Node.js ยังนำเสนอแนวทางใหม่ในการจัดการกับ asynchronous data ผ่าน async iteration และการใช้ Proxy-based observables เพื่อสร้างระบบ reactive โดยไม่ต้องพึ่ง state management ที่ยุ่งยาก

    ES Modules (ESM) กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทน CommonJS
    ใช้ import/export แทน require/module.exports
    รองรับ static analysis และ tree-shaking ได้ดีขึ้น

    ใช้ node: prefix เพื่อแยก built-in modules ออกจาก npm packages
    เช่น import { readFile } from 'node:fs/promises'
    ลดความสับสนและเพิ่มความชัดเจนในการจัดการ dependency

    รองรับ top-level await โดยไม่ต้องใช้ async wrapper function
    ทำให้โค้ด initialization ง่ายขึ้นและอ่านง่ายขึ้น
    เหมาะกับการโหลด config หรือข้อมูลก่อนเริ่มเซิร์ฟเวอร์

    Fetch API ถูกนำมาใช้ใน Node.js โดยไม่ต้องติดตั้ง axios หรือ node-fetch
    รองรับการเรียก HTTP แบบ native
    มีฟีเจอร์ timeout และ cancellation ในตัว

    แนวคิด async iteration และ for-await-of กลายเป็นมาตรฐานในการจัดการ stream
    เหมาะกับ real-time data และ paginated APIs
    ลดการพึ่งพาไลบรารีภายนอก

    Proxy-based observables เริ่มได้รับความนิยมในการสร้างระบบ reactive
    ใช้ JavaScript Proxy เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ state
    ลด boilerplate และไม่ต้องใช้ state management library หนัก ๆ

    Deno กำลังกลายเป็น runtime เสริมที่น่าสนใจควบคู่กับ Node.js
    ใช้ ESM เป็นหลักตั้งแต่ต้น
    มีระบบ permission และ security ที่เข้มงวดกว่า

    Serverless architecture ยังคงนิยมใช้ Node.js เป็นหลักในปี 2025
    รองรับ AWS Lambda, Vercel, Cloudflare Workers
    เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วและความยืดหยุ่น

    JavaScript กำลังพัฒนา pattern matching แบบ native
    คล้ายกับ switch statement ที่อ่านง่ายและทรงพลัง
    อยู่ในขั้น proposal แต่เป็นเทรนด์ที่ควรจับตามอง

    https://kashw1n.com/blog/nodejs-2025/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Node.js 2025 – จาก CommonJS สู่โลกใหม่ที่สะอาดกว่าและฉลาดกว่า ในปี 2025 Node.js ได้เปลี่ยนโฉมไปอย่างมากจากยุคที่เต็มไปด้วย callback และ require แบบ CommonJS สู่ยุคใหม่ที่ใช้ ES Modules (ESM) เป็นมาตรฐาน พร้อมรองรับฟีเจอร์ระดับเว็บเบราว์เซอร์ เช่น fetch API และ top-level await โดยไม่ต้องพึ่งพาไลบรารีภายนอกอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง syntax แต่เป็นการปรับแนวคิดการพัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานเว็บสมัยใหม่ ทำให้โค้ดสะอาดขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น และลดความซับซ้อนในการจัดการ dependency นอกจากนี้ Node.js ยังนำเสนอแนวทางใหม่ในการจัดการกับ asynchronous data ผ่าน async iteration และการใช้ Proxy-based observables เพื่อสร้างระบบ reactive โดยไม่ต้องพึ่ง state management ที่ยุ่งยาก ✅ ES Modules (ESM) กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทน CommonJS ➡️ ใช้ import/export แทน require/module.exports ➡️ รองรับ static analysis และ tree-shaking ได้ดีขึ้น ✅ ใช้ node: prefix เพื่อแยก built-in modules ออกจาก npm packages ➡️ เช่น import { readFile } from 'node:fs/promises' ➡️ ลดความสับสนและเพิ่มความชัดเจนในการจัดการ dependency ✅ รองรับ top-level await โดยไม่ต้องใช้ async wrapper function ➡️ ทำให้โค้ด initialization ง่ายขึ้นและอ่านง่ายขึ้น ➡️ เหมาะกับการโหลด config หรือข้อมูลก่อนเริ่มเซิร์ฟเวอร์ ✅ Fetch API ถูกนำมาใช้ใน Node.js โดยไม่ต้องติดตั้ง axios หรือ node-fetch ➡️ รองรับการเรียก HTTP แบบ native ➡️ มีฟีเจอร์ timeout และ cancellation ในตัว ✅ แนวคิด async iteration และ for-await-of กลายเป็นมาตรฐานในการจัดการ stream ➡️ เหมาะกับ real-time data และ paginated APIs ➡️ ลดการพึ่งพาไลบรารีภายนอก ✅ Proxy-based observables เริ่มได้รับความนิยมในการสร้างระบบ reactive ➡️ ใช้ JavaScript Proxy เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ state ➡️ ลด boilerplate และไม่ต้องใช้ state management library หนัก ๆ ✅ Deno กำลังกลายเป็น runtime เสริมที่น่าสนใจควบคู่กับ Node.js ➡️ ใช้ ESM เป็นหลักตั้งแต่ต้น ➡️ มีระบบ permission และ security ที่เข้มงวดกว่า ✅ Serverless architecture ยังคงนิยมใช้ Node.js เป็นหลักในปี 2025 ➡️ รองรับ AWS Lambda, Vercel, Cloudflare Workers ➡️ เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วและความยืดหยุ่น ✅ JavaScript กำลังพัฒนา pattern matching แบบ native ➡️ คล้ายกับ switch statement ที่อ่านง่ายและทรงพลัง ➡️ อยู่ในขั้น proposal แต่เป็นเทรนด์ที่ควรจับตามอง https://kashw1n.com/blog/nodejs-2025/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Intel Core 5 120—ชื่อใหม่ สเปกเดิม กับภารกิจเคลียร์ Alder Lake ก่อนเปิดทางให้ Ultra

    Intel เปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในกลุ่มราคาประหยัดคือ Core 5 120 และ Core 5 120F โดยใช้ชื่อใหม่ที่ไม่ตรงกับซีรีส์ก่อนหน้าอย่าง Raptor Lake หรือ Core Ultra ทำให้หลายคนสับสนว่า “นี่คือรุ่นใหม่จริงหรือ?”

    เมื่อดูสเปกแล้วพบว่า Core 5 120 มีความใกล้เคียงกับ Core i5-12400 อย่างมาก: มี 6 คอร์ประสิทธิภาพ (P-core), 12 เธรด, ความเร็วพื้นฐาน 2.5 GHz และบูสต์สูงสุด 4.5 GHz ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมเพียง 100 MHz เท่านั้น

    แม้จะดูเหมือนการเปลี่ยนชื่อเฉย ๆ แต่เบื้องหลังคือกลยุทธ์ของ Intel ที่ใช้ die stepping แบบใหม่ (เช่น H0) เพื่อผลิตได้ถูกลง และเคลียร์สต็อก Alder Lake ก่อนเปิดตัว Core Ultra 200S ที่ใช้สถาปัตยกรรม Arrow Lake

    Intel เปิดตัว Core 5 120 และ 120F ในกลุ่มซีพียูราคาประหยัด
    ใช้ชื่อใหม่ที่ไม่ตรงกับซีรีส์ก่อนหน้า
    120F ไม่มีกราฟิกในตัว แต่สเปกเหมือนกัน

    Core 5 120 มีสเปกใกล้เคียงกับ Core i5-12400 อย่างมาก
    6 P-core, 12 เธรด, 2.5–4.5 GHz
    เพิ่มบูสต์เพียง 100 MHz จากรุ่นเดิม

    ใช้ L3 cache ขนาด 18MB และรองรับ DDR5-4800
    เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดบนเมนบอร์ด LGA 1700
    ไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์เดิม

    อาจใช้ die stepping แบบ H0 ที่ประหยัดต้นทุนมากกว่า C0
    ช่วยลดต้นทุนการผลิต
    ไม่มีผลต่อประสิทธิภาพในงานทั่วไป

    เปิดตัวในช่วงที่ Intel เตรียมเปิดตัว Core Ultra 200S ที่ใช้ Arrow Lake
    เป็นการเคลียร์สต็อก Alder Lake
    ใช้ชื่อใหม่เพื่อแยกกลุ่มผลิตภัณฑ์

    การใช้ชื่อใหม่อย่าง “Core 5 120” อาจทำให้ผู้ซื้อสับสนกับซีรีส์อื่น
    ไม่ตรงกับชื่อ Core Ultra หรือ Raptor Lake
    อาจเข้าใจผิดว่าเป็นสถาปัตยกรรมใหม่

    การรีแบรนด์รุ่นเก่าอาจทำให้ผู้ใช้จ่ายเงินเพิ่มโดยไม่ได้ประสิทธิภาพที่ต่างกันมาก
    เพิ่มบูสต์เพียงเล็กน้อยจากรุ่นเดิม
    ประสิทธิภาพจริงใกล้เคียงกับ i5-12400

    ไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่อง stepping ที่ใช้ใน Core 5 120
    อาจมีผลต่อความร้อนหรือการใช้พลังงาน
    ผู้ใช้ไม่สามารถเลือก stepping ได้จากข้อมูลทั่วไป

    การเปิดตัวแบบเงียบ ๆ อาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปไม่ทันสังเกตว่าเป็นรุ่นรีแบรนด์
    ไม่มีการประชาสัมพันธ์ชัดเจน
    อาจเข้าใจผิดว่าเป็นรุ่นใหม่ทั้งหมด

    https://www.techspot.com/news/108899-familiar-specs-new-name-intel-core-5-120.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Intel Core 5 120—ชื่อใหม่ สเปกเดิม กับภารกิจเคลียร์ Alder Lake ก่อนเปิดทางให้ Ultra Intel เปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในกลุ่มราคาประหยัดคือ Core 5 120 และ Core 5 120F โดยใช้ชื่อใหม่ที่ไม่ตรงกับซีรีส์ก่อนหน้าอย่าง Raptor Lake หรือ Core Ultra ทำให้หลายคนสับสนว่า “นี่คือรุ่นใหม่จริงหรือ?” เมื่อดูสเปกแล้วพบว่า Core 5 120 มีความใกล้เคียงกับ Core i5-12400 อย่างมาก: มี 6 คอร์ประสิทธิภาพ (P-core), 12 เธรด, ความเร็วพื้นฐาน 2.5 GHz และบูสต์สูงสุด 4.5 GHz ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมเพียง 100 MHz เท่านั้น แม้จะดูเหมือนการเปลี่ยนชื่อเฉย ๆ แต่เบื้องหลังคือกลยุทธ์ของ Intel ที่ใช้ die stepping แบบใหม่ (เช่น H0) เพื่อผลิตได้ถูกลง และเคลียร์สต็อก Alder Lake ก่อนเปิดตัว Core Ultra 200S ที่ใช้สถาปัตยกรรม Arrow Lake ✅ Intel เปิดตัว Core 5 120 และ 120F ในกลุ่มซีพียูราคาประหยัด ➡️ ใช้ชื่อใหม่ที่ไม่ตรงกับซีรีส์ก่อนหน้า ➡️ 120F ไม่มีกราฟิกในตัว แต่สเปกเหมือนกัน ✅ Core 5 120 มีสเปกใกล้เคียงกับ Core i5-12400 อย่างมาก ➡️ 6 P-core, 12 เธรด, 2.5–4.5 GHz ➡️ เพิ่มบูสต์เพียง 100 MHz จากรุ่นเดิม ✅ ใช้ L3 cache ขนาด 18MB และรองรับ DDR5-4800 ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดบนเมนบอร์ด LGA 1700 ➡️ ไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์เดิม ✅ อาจใช้ die stepping แบบ H0 ที่ประหยัดต้นทุนมากกว่า C0 ➡️ ช่วยลดต้นทุนการผลิต ➡️ ไม่มีผลต่อประสิทธิภาพในงานทั่วไป ✅ เปิดตัวในช่วงที่ Intel เตรียมเปิดตัว Core Ultra 200S ที่ใช้ Arrow Lake ➡️ เป็นการเคลียร์สต็อก Alder Lake ➡️ ใช้ชื่อใหม่เพื่อแยกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ‼️ การใช้ชื่อใหม่อย่าง “Core 5 120” อาจทำให้ผู้ซื้อสับสนกับซีรีส์อื่น ⛔ ไม่ตรงกับชื่อ Core Ultra หรือ Raptor Lake ⛔ อาจเข้าใจผิดว่าเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ ‼️ การรีแบรนด์รุ่นเก่าอาจทำให้ผู้ใช้จ่ายเงินเพิ่มโดยไม่ได้ประสิทธิภาพที่ต่างกันมาก ⛔ เพิ่มบูสต์เพียงเล็กน้อยจากรุ่นเดิม ⛔ ประสิทธิภาพจริงใกล้เคียงกับ i5-12400 ‼️ ไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่อง stepping ที่ใช้ใน Core 5 120 ⛔ อาจมีผลต่อความร้อนหรือการใช้พลังงาน ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถเลือก stepping ได้จากข้อมูลทั่วไป ‼️ การเปิดตัวแบบเงียบ ๆ อาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปไม่ทันสังเกตว่าเป็นรุ่นรีแบรนด์ ⛔ ไม่มีการประชาสัมพันธ์ชัดเจน ⛔ อาจเข้าใจผิดว่าเป็นรุ่นใหม่ทั้งหมด https://www.techspot.com/news/108899-familiar-specs-new-name-intel-core-5-120.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Familiar specs, new name: Intel's Core 5 120 processors enter the market
    The Core 5 120 doesn't break new ground but instead traces its lineage directly to Intel's older Alder Lake architecture. Despite the updated branding, technical specs show...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: คดีสะเทือนวงการ—เมื่อแพลตฟอร์ม X ต้องรับผิดชอบต่อการละเลยรายงานวิดีโอล่วงละเมิดเด็ก

    ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ได้รื้อฟื้นบางส่วนของคดีที่ฟ้องแพลตฟอร์ม X โดยกล่าวหาว่า X ละเลยหน้าที่ในการรายงานวิดีโอที่มีภาพล่วงละเมิดเด็กชายสองคน ซึ่งถูกหลอกลวงผ่าน Snapchat ให้ส่งภาพเปลือย ก่อนถูกแบล็กเมล์และนำภาพไปเผยแพร่บน Twitter

    วิดีโอนั้นอยู่บนแพลตฟอร์มนานถึง 9 วัน และมีผู้ชมมากกว่า 167,000 ครั้ง ก่อนจะถูกลบและรายงานไปยังศูนย์ NCMEC (National Center for Missing and Exploited Children)

    แม้ศาลจะยืนยันว่า X ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 230 ของกฎหมาย Communications Decency Act ในหลายข้อกล่าวหา แต่ก็ชี้ว่าเมื่อแพลตฟอร์ม “รับรู้จริง” ถึงเนื้อหาละเมิดแล้ว ยังไม่ดำเนินการทันที ถือเป็นความประมาทเลินเล่อที่ต้องรับผิดชอบ

    ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ให้ดำเนินคดีต่อ X ในข้อหาละเลยการรายงานวิดีโอล่วงละเมิดเด็ก
    วิดีโอมีภาพเด็กชายสองคนที่ถูกแบล็กเมล์ผ่าน Snapchat
    ถูกเผยแพร่บน Twitter และอยู่บนระบบถึง 9 วัน

    วิดีโอดังกล่าวมีผู้ชมมากกว่า 167,000 ครั้งก่อนถูกลบและรายงานไปยัง NCMEC
    การล่าช้าในการลบและรายงานถือเป็นการละเลย
    ศาลชี้ว่าเมื่อมี “ความรู้จริง” แพลตฟอร์มต้องรายงานทันที

    ศาลอนุญาตให้ดำเนินคดีในข้อกล่าวหาว่าโครงสร้างของ X ทำให้รายงานเนื้อหาล่วงละเมิดได้ยาก
    ระบบแจ้งเนื้อหาของผู้ใช้ไม่สะดวกหรือไม่ชัดเจน
    อาจเป็นอุปสรรคต่อการป้องกันการละเมิด

    ข้อกล่าวหาอื่น เช่น การได้ประโยชน์จากการค้ามนุษย์หรือการขยายเนื้อหาผ่านระบบค้นหา ถูกศาลยกฟ้อง
    ศาลเห็นว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ
    X ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายในข้อกล่าวหาเหล่านั้น

    คดีนี้เกิดขึ้นก่อน Elon Musk ซื้อ Twitter ในปี 2022 และเขาไม่ใช่จำเลยในคดีนี้
    การดำเนินคดีจึงไม่เกี่ยวกับการบริหารของ Musk โดยตรง
    แต่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของแพลตฟอร์ม

    การล่าช้าในการลบเนื้อหาล่วงละเมิดเด็กอาจสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อเหยื่อ
    เหยื่ออาจถูกเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่สามารถควบคุมได้
    ส่งผลต่อสุขภาพจิตและความปลอดภัยในระยะยาว

    ระบบแจ้งเนื้อหาที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถรายงานเนื้อหาผิดกฎหมายได้ทันเวลา
    แพลตฟอร์มต้องออกแบบให้ผู้ใช้สามารถแจ้งเนื้อหาได้ง่ายและรวดเร็ว
    การละเลยในจุดนี้อาจเป็นช่องโหว่ให้เนื้อหาผิดกฎหมายเผยแพร่ต่อไป

    การพึ่งพากฎหมายคุ้มครองแพลตฟอร์มอาจทำให้บริษัทหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบทางจริยธรรม
    แม้จะไม่ผิดตามกฎหมาย แต่ก็อาจละเมิดหลักจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม
    ผู้ใช้และสังคมควรเรียกร้องให้แพลตฟอร์มมีมาตรฐานสูงกว่าข้อกฎหมายขั้นต่ำ

    การไม่ดำเนินการทันทีเมื่อรับรู้เนื้อหาละเมิดเด็ก อาจทำให้แพลตฟอร์มถูกฟ้องร้องในข้อหาประมาทเลินเล่อ
    ศาลชี้ว่า “ความรู้จริง” คือจุดเริ่มต้นของหน้าที่ในการรายงาน
    การเพิกเฉยหลังจากรับรู้ถือเป็นการละเมิดกฎหมาย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/02/musk039s-x-must-face-part-of-lawsuit-over-child-pornography-video
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: คดีสะเทือนวงการ—เมื่อแพลตฟอร์ม X ต้องรับผิดชอบต่อการละเลยรายงานวิดีโอล่วงละเมิดเด็ก ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ได้รื้อฟื้นบางส่วนของคดีที่ฟ้องแพลตฟอร์ม X โดยกล่าวหาว่า X ละเลยหน้าที่ในการรายงานวิดีโอที่มีภาพล่วงละเมิดเด็กชายสองคน ซึ่งถูกหลอกลวงผ่าน Snapchat ให้ส่งภาพเปลือย ก่อนถูกแบล็กเมล์และนำภาพไปเผยแพร่บน Twitter วิดีโอนั้นอยู่บนแพลตฟอร์มนานถึง 9 วัน และมีผู้ชมมากกว่า 167,000 ครั้ง ก่อนจะถูกลบและรายงานไปยังศูนย์ NCMEC (National Center for Missing and Exploited Children) แม้ศาลจะยืนยันว่า X ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 230 ของกฎหมาย Communications Decency Act ในหลายข้อกล่าวหา แต่ก็ชี้ว่าเมื่อแพลตฟอร์ม “รับรู้จริง” ถึงเนื้อหาละเมิดแล้ว ยังไม่ดำเนินการทันที ถือเป็นความประมาทเลินเล่อที่ต้องรับผิดชอบ ✅ ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ให้ดำเนินคดีต่อ X ในข้อหาละเลยการรายงานวิดีโอล่วงละเมิดเด็ก ➡️ วิดีโอมีภาพเด็กชายสองคนที่ถูกแบล็กเมล์ผ่าน Snapchat ➡️ ถูกเผยแพร่บน Twitter และอยู่บนระบบถึง 9 วัน ✅ วิดีโอดังกล่าวมีผู้ชมมากกว่า 167,000 ครั้งก่อนถูกลบและรายงานไปยัง NCMEC ➡️ การล่าช้าในการลบและรายงานถือเป็นการละเลย ➡️ ศาลชี้ว่าเมื่อมี “ความรู้จริง” แพลตฟอร์มต้องรายงานทันที ✅ ศาลอนุญาตให้ดำเนินคดีในข้อกล่าวหาว่าโครงสร้างของ X ทำให้รายงานเนื้อหาล่วงละเมิดได้ยาก ➡️ ระบบแจ้งเนื้อหาของผู้ใช้ไม่สะดวกหรือไม่ชัดเจน ➡️ อาจเป็นอุปสรรคต่อการป้องกันการละเมิด ✅ ข้อกล่าวหาอื่น เช่น การได้ประโยชน์จากการค้ามนุษย์หรือการขยายเนื้อหาผ่านระบบค้นหา ถูกศาลยกฟ้อง ➡️ ศาลเห็นว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ ➡️ X ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายในข้อกล่าวหาเหล่านั้น ✅ คดีนี้เกิดขึ้นก่อน Elon Musk ซื้อ Twitter ในปี 2022 และเขาไม่ใช่จำเลยในคดีนี้ ➡️ การดำเนินคดีจึงไม่เกี่ยวกับการบริหารของ Musk โดยตรง ➡️ แต่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของแพลตฟอร์ม ‼️ การล่าช้าในการลบเนื้อหาล่วงละเมิดเด็กอาจสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อเหยื่อ ⛔ เหยื่ออาจถูกเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่สามารถควบคุมได้ ⛔ ส่งผลต่อสุขภาพจิตและความปลอดภัยในระยะยาว ‼️ ระบบแจ้งเนื้อหาที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถรายงานเนื้อหาผิดกฎหมายได้ทันเวลา ⛔ แพลตฟอร์มต้องออกแบบให้ผู้ใช้สามารถแจ้งเนื้อหาได้ง่ายและรวดเร็ว ⛔ การละเลยในจุดนี้อาจเป็นช่องโหว่ให้เนื้อหาผิดกฎหมายเผยแพร่ต่อไป ‼️ การพึ่งพากฎหมายคุ้มครองแพลตฟอร์มอาจทำให้บริษัทหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบทางจริยธรรม ⛔ แม้จะไม่ผิดตามกฎหมาย แต่ก็อาจละเมิดหลักจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม ⛔ ผู้ใช้และสังคมควรเรียกร้องให้แพลตฟอร์มมีมาตรฐานสูงกว่าข้อกฎหมายขั้นต่ำ ‼️ การไม่ดำเนินการทันทีเมื่อรับรู้เนื้อหาละเมิดเด็ก อาจทำให้แพลตฟอร์มถูกฟ้องร้องในข้อหาประมาทเลินเล่อ ⛔ ศาลชี้ว่า “ความรู้จริง” คือจุดเริ่มต้นของหน้าที่ในการรายงาน ⛔ การเพิกเฉยหลังจากรับรู้ถือเป็นการละเมิดกฎหมาย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/02/musk039s-x-must-face-part-of-lawsuit-over-child-pornography-video
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Musk's X must face part of lawsuit over child pornography video
    (Reuters) -A federal appeals court on Friday revived part of a lawsuit accusing Elon Musk's X of becoming a haven for child exploitation, though the court said the platform deserves broad immunity from claims over objectionable content.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Intel Core 5 120F—รีแบรนด์หรือรีเฟรช? เมื่อชิปเก่ากลับมาในชื่อใหม่

    Intel เปิดตัวชิป Core 5 120 และ Core 5 120F (รุ่นไม่มี iGPU) โดยระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “Core Series 1” แต่เมื่อดูสเปกแล้วกลับพบว่ามันแทบจะเหมือนกับ Core i5-12400 ทุกประการ:
    - 6 P-core / 12 threads
    - L3 cache 18MB, L2 cache 7.5MB
    - Base clock 2.5GHz, Boost clock 4.5GHz (เพิ่มจาก 4.4GHz เดิมเพียง 100MHz)
    - ไม่มี E-core และไม่รองรับการโอเวอร์คล็อก

    แม้จะใช้ชื่อใหม่ แต่สถาปัตยกรรมภายในยังคงเป็น Alder Lake หรืออาจเป็น Raptor Cove แบบตัด E-core ออก ซึ่งทำให้หลายคนมองว่าเป็นการ “แต่งหน้าชิปเก่า” เพื่อขายใหม่ในราคาที่สูงขึ้น

    Intel ยังไม่เปิดเผยราคาทางการ แต่คาดว่าจะอยู่ในช่วง $130–150 ซึ่งสูงกว่า i5-12400F ที่เคยขายต่ำกว่า $110 ในบางช่วง

    Intel เปิดตัว Core 5 120 และ Core 5 120F สำหรับตลาดเกมเมอร์งบน้อย
    ใช้ชื่อใหม่ “Core Series 1” แต่สเปกคล้าย i5-12400 มาก
    รุ่น 120F ไม่มี iGPU เหมาะกับผู้ใช้ที่มีการ์ดจอแยก

    สเปกของ Core 5 120F แทบจะเหมือนกับ i5-12400F
    6 P-core / 12 threads, ไม่มี E-core
    Boost clock เพิ่มขึ้นเพียง 100MHz เป็น 4.5GHz

    รองรับ DDR5-4800 และ DDR4-3200 บนเมนบอร์ด LGA1700 เดิม
    ใช้งานร่วมกับเมนบอร์ด Alder Lake และ Raptor Lake ได้
    ต้องอัปเดต BIOS ก่อนใช้งาน

    Intel อาจใช้ die รุ่นเก่า (H0 หรือ C0) เพื่อผลิตชิปนี้ในต้นทุนต่ำ
    ไม่มีการระบุ stepping อย่างเป็นทางการ
    อาจมีความแตกต่างด้านความร้อนและประสิทธิภาพเล็กน้อย

    ชิปนี้ถูกวางตำแหน่งเป็นตัวเลือกสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการเล่น AAA 1080p โดยไม่ต้องจ่ายแพง
    เหมาะกับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพพื้นฐานโดยไม่เน้นฟีเจอร์พิเศษ
    ใช้พลังงานเพียง 65W

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-quietly-rolls-out-new-core-5-cpus-that-look-suspiciously-like-12th-gen-chips-core-5-120-and-core-5-120f-enter-the-budget-gaming-market-with-i5-12400-specs-and-100-mhz-boost
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Intel Core 5 120F—รีแบรนด์หรือรีเฟรช? เมื่อชิปเก่ากลับมาในชื่อใหม่ Intel เปิดตัวชิป Core 5 120 และ Core 5 120F (รุ่นไม่มี iGPU) โดยระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “Core Series 1” แต่เมื่อดูสเปกแล้วกลับพบว่ามันแทบจะเหมือนกับ Core i5-12400 ทุกประการ: - 6 P-core / 12 threads - L3 cache 18MB, L2 cache 7.5MB - Base clock 2.5GHz, Boost clock 4.5GHz (เพิ่มจาก 4.4GHz เดิมเพียง 100MHz) - ไม่มี E-core และไม่รองรับการโอเวอร์คล็อก แม้จะใช้ชื่อใหม่ แต่สถาปัตยกรรมภายในยังคงเป็น Alder Lake หรืออาจเป็น Raptor Cove แบบตัด E-core ออก ซึ่งทำให้หลายคนมองว่าเป็นการ “แต่งหน้าชิปเก่า” เพื่อขายใหม่ในราคาที่สูงขึ้น Intel ยังไม่เปิดเผยราคาทางการ แต่คาดว่าจะอยู่ในช่วง $130–150 ซึ่งสูงกว่า i5-12400F ที่เคยขายต่ำกว่า $110 ในบางช่วง ✅ Intel เปิดตัว Core 5 120 และ Core 5 120F สำหรับตลาดเกมเมอร์งบน้อย ➡️ ใช้ชื่อใหม่ “Core Series 1” แต่สเปกคล้าย i5-12400 มาก ➡️ รุ่น 120F ไม่มี iGPU เหมาะกับผู้ใช้ที่มีการ์ดจอแยก ✅ สเปกของ Core 5 120F แทบจะเหมือนกับ i5-12400F ➡️ 6 P-core / 12 threads, ไม่มี E-core ➡️ Boost clock เพิ่มขึ้นเพียง 100MHz เป็น 4.5GHz ✅ รองรับ DDR5-4800 และ DDR4-3200 บนเมนบอร์ด LGA1700 เดิม ➡️ ใช้งานร่วมกับเมนบอร์ด Alder Lake และ Raptor Lake ได้ ➡️ ต้องอัปเดต BIOS ก่อนใช้งาน ✅ Intel อาจใช้ die รุ่นเก่า (H0 หรือ C0) เพื่อผลิตชิปนี้ในต้นทุนต่ำ ➡️ ไม่มีการระบุ stepping อย่างเป็นทางการ ➡️ อาจมีความแตกต่างด้านความร้อนและประสิทธิภาพเล็กน้อย ✅ ชิปนี้ถูกวางตำแหน่งเป็นตัวเลือกสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการเล่น AAA 1080p โดยไม่ต้องจ่ายแพง ➡️ เหมาะกับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพพื้นฐานโดยไม่เน้นฟีเจอร์พิเศษ ➡️ ใช้พลังงานเพียง 65W https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-quietly-rolls-out-new-core-5-cpus-that-look-suspiciously-like-12th-gen-chips-core-5-120-and-core-5-120f-enter-the-budget-gaming-market-with-i5-12400-specs-and-100-mhz-boost
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากพีซียุคใหม่: เมื่อ LLM ขนาด 128B รันได้ในเครื่องของคุณ

    AMD ได้เปิดตัวอัปเดตไดรเวอร์ใหม่ Adrenalin Edition 25.8.1 ที่ทำให้ชิป Ryzen AI Max+ รุ่น 395 สามารถรันโมเดลภาษาขนาดใหญ่ระดับ 128 พันล้านพารามิเตอร์ได้ในเครื่องพีซีทั่วไป โดยใช้เทคโนโลยี Variable Graphics Memory (VGM) ที่สามารถจัดสรรหน่วยความจำกราฟิกได้สูงถึง 96GB จากแรมรวม 128GB

    สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถรันโมเดล Llama 4 Scout จาก Meta ได้แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ซึ่งเป็นโมเดลแบบ Mixture-of-Experts ที่มีพารามิเตอร์รวม 109B แต่ใช้จริงเพียง 17B ต่อครั้ง ทำให้ประสิทธิภาพการประมวลผลยังคงสูงถึง 15 tokens ต่อวินาที

    ที่น่าตื่นเต้นคือ AMD ยังเพิ่มขนาด context window ได้ถึง 256,000 tokens ซึ่งมากกว่ามาตรฐานเดิมที่อยู่ราว 4,096 tokens ทำให้สามารถสรุปเอกสารยาว ๆ หรือทำงานแบบ agentic workflows ได้อย่างลื่นไหล

    AMD เปิดตัวไดรเวอร์ใหม่ที่รองรับโมเดล LLM ขนาด 128B บนพีซีทั่วไป
    ใช้ Adrenalin Edition 25.8.1 WHQL ร่วมกับ Ryzen AI Max+ 395
    รองรับการรันโมเดล Llama 4 Scout จาก Meta ได้แบบ local

    ใช้ Variable Graphics Memory (VGM) เพื่อจัดสรรหน่วยความจำกราฟิกสูงสุด 96GB
    จากแรมรวม 128GB บนระบบ Ryzen AI Max+
    ทำให้สามารถรันโมเดลขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องใช้ GPU แยก

    Llama 4 Scout เป็นโมเดลแบบ Mixture-of-Experts (MoE)
    มีพารามิเตอร์รวม 109B แต่ใช้จริงเพียง 17B ต่อครั้ง
    ประสิทธิภาพสูงถึง 15 tokens ต่อวินาที

    ขนาด context window เพิ่มขึ้นถึง 256,000 tokens
    รองรับงานที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากในครั้งเดียว เช่น RAG หรือ MCP
    เหมาะสำหรับงานสรุปเอกสาร, การวิเคราะห์ข้อมูล, และ agentic workflows

    เปิดทางให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงพลัง AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์
    ลดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและค่าใช้จ่ายระยะยาว
    เหมาะสำหรับนักพัฒนา, นักวิจัย, และผู้ใช้สาย productivity

    การรันโมเดลขนาดใหญ่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูงและมีราคาสูง
    Ryzen AI Max+ 395 พร้อมแรม 128GB มีราคาสูงกว่า $2,000
    ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่มีงบจำกัด

    การใช้โมเดลแบบ local ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของระบบ
    หากติดตั้งจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจเกิดความเสียหายต่อระบบ
    AMD เตือนว่าการให้ LLM เข้าถึงเครื่องอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด

    การจัดสรรหน่วยความจำกราฟิกสูงอาจกระทบต่อการใช้งานอื่น ๆ
    หากใช้ VGM เต็ม 96GB อาจทำให้ระบบขาดแรมสำหรับงานอื่น
    ต้องบริหารทรัพยากรอย่างระมัดระวัง

    การรันโมเดล MoE ต้องโหลดพารามิเตอร์ทั้งหมดแม้ใช้เพียงบางส่วน
    footprint หน่วยความจำเทียบเท่ากับโมเดล dense ขนาด 109B
    ต้องมีแรมเพียงพอแม้จะใช้แค่ 17B ในการประมวลผล

    https://wccftech.com/amd-ryzen-ai-max-processors-offer-a-96gb-memory-for-consumer-graphics/
    🎙️ เรื่องเล่าจากพีซียุคใหม่: เมื่อ LLM ขนาด 128B รันได้ในเครื่องของคุณ AMD ได้เปิดตัวอัปเดตไดรเวอร์ใหม่ Adrenalin Edition 25.8.1 ที่ทำให้ชิป Ryzen AI Max+ รุ่น 395 สามารถรันโมเดลภาษาขนาดใหญ่ระดับ 128 พันล้านพารามิเตอร์ได้ในเครื่องพีซีทั่วไป โดยใช้เทคโนโลยี Variable Graphics Memory (VGM) ที่สามารถจัดสรรหน่วยความจำกราฟิกได้สูงถึง 96GB จากแรมรวม 128GB สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถรันโมเดล Llama 4 Scout จาก Meta ได้แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ซึ่งเป็นโมเดลแบบ Mixture-of-Experts ที่มีพารามิเตอร์รวม 109B แต่ใช้จริงเพียง 17B ต่อครั้ง ทำให้ประสิทธิภาพการประมวลผลยังคงสูงถึง 15 tokens ต่อวินาที ที่น่าตื่นเต้นคือ AMD ยังเพิ่มขนาด context window ได้ถึง 256,000 tokens ซึ่งมากกว่ามาตรฐานเดิมที่อยู่ราว 4,096 tokens ทำให้สามารถสรุปเอกสารยาว ๆ หรือทำงานแบบ agentic workflows ได้อย่างลื่นไหล ✅ AMD เปิดตัวไดรเวอร์ใหม่ที่รองรับโมเดล LLM ขนาด 128B บนพีซีทั่วไป ➡️ ใช้ Adrenalin Edition 25.8.1 WHQL ร่วมกับ Ryzen AI Max+ 395 ➡️ รองรับการรันโมเดล Llama 4 Scout จาก Meta ได้แบบ local ✅ ใช้ Variable Graphics Memory (VGM) เพื่อจัดสรรหน่วยความจำกราฟิกสูงสุด 96GB ➡️ จากแรมรวม 128GB บนระบบ Ryzen AI Max+ ➡️ ทำให้สามารถรันโมเดลขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องใช้ GPU แยก ✅ Llama 4 Scout เป็นโมเดลแบบ Mixture-of-Experts (MoE) ➡️ มีพารามิเตอร์รวม 109B แต่ใช้จริงเพียง 17B ต่อครั้ง ➡️ ประสิทธิภาพสูงถึง 15 tokens ต่อวินาที ✅ ขนาด context window เพิ่มขึ้นถึง 256,000 tokens ➡️ รองรับงานที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากในครั้งเดียว เช่น RAG หรือ MCP ➡️ เหมาะสำหรับงานสรุปเอกสาร, การวิเคราะห์ข้อมูล, และ agentic workflows ✅ เปิดทางให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงพลัง AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ➡️ ลดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและค่าใช้จ่ายระยะยาว ➡️ เหมาะสำหรับนักพัฒนา, นักวิจัย, และผู้ใช้สาย productivity ‼️ การรันโมเดลขนาดใหญ่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูงและมีราคาสูง ⛔ Ryzen AI Max+ 395 พร้อมแรม 128GB มีราคาสูงกว่า $2,000 ⛔ ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่มีงบจำกัด ‼️ การใช้โมเดลแบบ local ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของระบบ ⛔ หากติดตั้งจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจเกิดความเสียหายต่อระบบ ⛔ AMD เตือนว่าการให้ LLM เข้าถึงเครื่องอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด ‼️ การจัดสรรหน่วยความจำกราฟิกสูงอาจกระทบต่อการใช้งานอื่น ๆ ⛔ หากใช้ VGM เต็ม 96GB อาจทำให้ระบบขาดแรมสำหรับงานอื่น ⛔ ต้องบริหารทรัพยากรอย่างระมัดระวัง ‼️ การรันโมเดล MoE ต้องโหลดพารามิเตอร์ทั้งหมดแม้ใช้เพียงบางส่วน ⛔ footprint หน่วยความจำเทียบเท่ากับโมเดล dense ขนาด 109B ⛔ ต้องมีแรมเพียงพอแม้จะใช้แค่ 17B ในการประมวลผล https://wccftech.com/amd-ryzen-ai-max-processors-offer-a-96gb-memory-for-consumer-graphics/
    WCCFTECH.COM
    AMD's Ryzen AI MAX+ Processors Now Offer a Whopping 96 GB Memory for Consumer Graphics, Allowing Gigantic 128B-Parameter LLMs to Run Locally on PCs
    AMD has just taken edge AI to a whole new level, as with the recent driver update, the company has now brought the support of large LLMs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีผู้ให้คำอธิบายถึงสถานการณ์ที่เรียกว่า “หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข” ดังนี้

    “ก่อนหยุดยิงและเข้าสู่โต๊ะเจรจา ใครได้พื้นที่เยอะสุดก็ได้ไป”

    สะท้อนหลักการที่มักเกิดขึ้นในความขัดแย้งทางทหาร โดยเฉพาะในสงครามหรือการสู้รบที่ไม่มีการตกลงเขตแดนแน่ชัดไว้ก่อน หรือที่เรียกว่า “ข้อเท็จจริงบนพื้นดิน” (facts on the ground)

    คำอธิบาย

    ก่อนที่คู่ขัดแย้งจะ “ตกลงหยุดยิง” หรือเข้าสู่กระบวนการเจรจา พื้นที่ที่ฝ่ายใดยึดครองอยู่ในขณะนั้น มักกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “สถานะที่เป็นอยู่” (status quo) ในการเจรจา

    ดังนั้น ฝ่ายที่ยึดพื้นที่ได้มากก่อนหยุดยิง จะมีความได้เปรียบในการเจรจา หรืออาจถูกนานาชาติยอมรับกลายๆ ว่าเป็น “ผู้ควบคุมพื้นที่” จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

    แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
    - การเจรจาทางการทูตหลังหยุดยิง
    - การรับรองจากประชาคมโลก
    - คำตัดสินจากองค์กรอย่างศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในกรณีที่มีการฟ้องร้องกัน

    คำว่า “หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข” (Unconditional Ceasefire) หมายถึง
    - ไม่ต้องถอนกำลัง
    - ไม่ต้องคืนพื้นที่
    - ไม่ต้องยอมรับข้อเสนอของอีกฝ่าย
    - ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนทางการเมืองหรือทางทหารก่อนหยุดยิง

    Pattarapol Patthongdee
    มีผู้ให้คำอธิบายถึงสถานการณ์ที่เรียกว่า “หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข” ดังนี้ “ก่อนหยุดยิงและเข้าสู่โต๊ะเจรจา ใครได้พื้นที่เยอะสุดก็ได้ไป” สะท้อนหลักการที่มักเกิดขึ้นในความขัดแย้งทางทหาร โดยเฉพาะในสงครามหรือการสู้รบที่ไม่มีการตกลงเขตแดนแน่ชัดไว้ก่อน หรือที่เรียกว่า “ข้อเท็จจริงบนพื้นดิน” (facts on the ground) คำอธิบาย ก่อนที่คู่ขัดแย้งจะ “ตกลงหยุดยิง” หรือเข้าสู่กระบวนการเจรจา พื้นที่ที่ฝ่ายใดยึดครองอยู่ในขณะนั้น มักกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “สถานะที่เป็นอยู่” (status quo) ในการเจรจา ดังนั้น ฝ่ายที่ยึดพื้นที่ได้มากก่อนหยุดยิง จะมีความได้เปรียบในการเจรจา หรืออาจถูกนานาชาติยอมรับกลายๆ ว่าเป็น “ผู้ควบคุมพื้นที่” จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ - การเจรจาทางการทูตหลังหยุดยิง - การรับรองจากประชาคมโลก - คำตัดสินจากองค์กรอย่างศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในกรณีที่มีการฟ้องร้องกัน คำว่า “หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข” (Unconditional Ceasefire) หมายถึง - ไม่ต้องถอนกำลัง - ไม่ต้องคืนพื้นที่ - ไม่ต้องยอมรับข้อเสนอของอีกฝ่าย - ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนทางการเมืองหรือทางทหารก่อนหยุดยิง Pattarapol Patthongdee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากวงการชิป: เมื่อ “แฟลช” จะมาแทน “แรม” ในงาน AI

    ลองจินตนาการว่า GPU สำหรับงาน AI ไม่ต้องพึ่ง DRAM แบบ HBM ที่แพงและจำกัดความจุอีกต่อไป แต่ใช้แฟลชความเร็วสูงที่มีความจุระดับ SSD—นั่นคือเป้าหมายของ Sandisk กับเทคโนโลยี HBF (High Bandwidth Flash)

    Sandisk ได้ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านเทคนิค โดยดึงสองตำนานแห่งวงการคอมพิวเตอร์มาเป็นผู้นำ ได้แก่ Prof. David Patterson ผู้ร่วมพัฒนา RISC และ RAID และ Raja Koduri อดีตหัวหน้าฝ่ายกราฟิกของ AMD และ Intel เพื่อผลักดัน HBF ให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของหน่วยความจำสำหรับ AI

    HBF ใช้ NAND Flash แบบ BiCS ร่วมกับเทคนิค CBA wafer bonding และการจัดเรียงชิปแบบ 16 ชั้นต่อแพ็กเกจ ทำให้สามารถให้แบนด์วิดธ์ระดับ HBM ได้ แต่มีความจุสูงถึง 4TB ต่อ GPU และต้นทุนต่ำกว่าอย่างมหาศาล

    Sandisk เปิดตัวเทคโนโลยี HBF (High Bandwidth Flash) เพื่อใช้แทน HBM ในงาน AI
    ใช้ NAND Flash แบบ BiCS ร่วมกับ CBA wafer bonding
    รองรับการจัดเรียงชิปแบบ 16 ชั้นต่อแพ็กเกจ

    HBF ให้แบนด์วิดธ์ระดับเดียวกับ HBM แต่มีความจุสูงกว่า 8 เท่าในต้นทุนใกล้เคียงกัน
    GPU ที่ใช้ HBF สามารถมี VRAM ได้ถึง 4TB
    หากใช้ร่วมกับ HBM จะได้รวมสูงสุดถึง 3TB

    Sandisk ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาโดยมี David Patterson และ Raja Koduri เป็นผู้นำ
    Patterson คือผู้ร่วมพัฒนา RISC และ RAID
    Koduri เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายกราฟิกของ AMD และ Intel

    HBF ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ทั้งในดาต้าเซ็นเตอร์และ edge computing
    Patterson ระบุว่า HBF จะช่วยลดต้นทุนของงาน AI ที่ปัจจุบันยังแพงเกินไป
    Koduri ระบุว่า HBF จะพลิกโฉม edge AI โดยให้แบนด์วิดธ์และความจุสูงในอุปกรณ์ขนาดเล็ก

    HBF ใช้ electrical interface เดียวกับ HBM และต้องปรับ protocol เพียงเล็กน้อย
    ทำให้สามารถนำไปใช้กับ GPU ได้ง่ายขึ้น
    ไม่จำเป็นต้องออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด

    เปิดตัวครั้งแรกในงาน Future FWD 2025 พร้อมแผนพัฒนา HBF รุ่นต่อไป
    มี roadmap เพิ่มความจุและแบนด์วิดธ์ในอนาคต
    อาจมี trade-off ด้านการใช้พลังงาน

    HBF ยังไม่ใช่ตัวแทนโดยตรงของ HBM และมีข้อจำกัดด้าน latency
    NAND Flash มี latency สูงกว่า DRAM
    เหมาะกับงาน inference และ training มากกว่างานที่ต้องตอบสนองเร็ว

    การใช้งาน HBF ต้องอาศัยการสนับสนุนจากผู้ผลิต GPU โดยตรง
    ต้องใช้ interposer ที่เชื่อมต่อกับ GPU โดยเฉพาะ
    หาก NVIDIA ไม่รับรอง HBF อาจจำกัดการใช้งานในตลาด

    ยังไม่มีการประกาศวันเปิดตัวหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ HBF อย่างเป็นทางการ
    อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบ
    ต้องรอการยอมรับจากอุตสาหกรรมก่อนใช้งานจริง

    การแข่งขันกับผู้ผลิต HBM อย่าง Samsung และ SK Hynix ยังเข้มข้น
    HBM มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA
    Sandisk ต้องผลักดัน HBF ให้เป็นมาตรฐานเปิดเพื่อหลีกเลี่ยงการผูกขาด

    https://www.techradar.com/pro/sandisk-recruits-risc-cofounder-amd-graphics-legend-to-spearhead-cheaper-rival-to-hbm-high-bandwidth-flash-could-bring-ssd-capacities-to-ai-gpus-without-the-cost
    ⚡ เรื่องเล่าจากวงการชิป: เมื่อ “แฟลช” จะมาแทน “แรม” ในงาน AI ลองจินตนาการว่า GPU สำหรับงาน AI ไม่ต้องพึ่ง DRAM แบบ HBM ที่แพงและจำกัดความจุอีกต่อไป แต่ใช้แฟลชความเร็วสูงที่มีความจุระดับ SSD—นั่นคือเป้าหมายของ Sandisk กับเทคโนโลยี HBF (High Bandwidth Flash) Sandisk ได้ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านเทคนิค โดยดึงสองตำนานแห่งวงการคอมพิวเตอร์มาเป็นผู้นำ ได้แก่ Prof. David Patterson ผู้ร่วมพัฒนา RISC และ RAID และ Raja Koduri อดีตหัวหน้าฝ่ายกราฟิกของ AMD และ Intel เพื่อผลักดัน HBF ให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของหน่วยความจำสำหรับ AI HBF ใช้ NAND Flash แบบ BiCS ร่วมกับเทคนิค CBA wafer bonding และการจัดเรียงชิปแบบ 16 ชั้นต่อแพ็กเกจ ทำให้สามารถให้แบนด์วิดธ์ระดับ HBM ได้ แต่มีความจุสูงถึง 4TB ต่อ GPU และต้นทุนต่ำกว่าอย่างมหาศาล ✅ Sandisk เปิดตัวเทคโนโลยี HBF (High Bandwidth Flash) เพื่อใช้แทน HBM ในงาน AI ➡️ ใช้ NAND Flash แบบ BiCS ร่วมกับ CBA wafer bonding ➡️ รองรับการจัดเรียงชิปแบบ 16 ชั้นต่อแพ็กเกจ ✅ HBF ให้แบนด์วิดธ์ระดับเดียวกับ HBM แต่มีความจุสูงกว่า 8 เท่าในต้นทุนใกล้เคียงกัน ➡️ GPU ที่ใช้ HBF สามารถมี VRAM ได้ถึง 4TB ➡️ หากใช้ร่วมกับ HBM จะได้รวมสูงสุดถึง 3TB ✅ Sandisk ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาโดยมี David Patterson และ Raja Koduri เป็นผู้นำ ➡️ Patterson คือผู้ร่วมพัฒนา RISC และ RAID ➡️ Koduri เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายกราฟิกของ AMD และ Intel ✅ HBF ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ทั้งในดาต้าเซ็นเตอร์และ edge computing ➡️ Patterson ระบุว่า HBF จะช่วยลดต้นทุนของงาน AI ที่ปัจจุบันยังแพงเกินไป ➡️ Koduri ระบุว่า HBF จะพลิกโฉม edge AI โดยให้แบนด์วิดธ์และความจุสูงในอุปกรณ์ขนาดเล็ก ✅ HBF ใช้ electrical interface เดียวกับ HBM และต้องปรับ protocol เพียงเล็กน้อย ➡️ ทำให้สามารถนำไปใช้กับ GPU ได้ง่ายขึ้น ➡️ ไม่จำเป็นต้องออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด ✅ เปิดตัวครั้งแรกในงาน Future FWD 2025 พร้อมแผนพัฒนา HBF รุ่นต่อไป ➡️ มี roadmap เพิ่มความจุและแบนด์วิดธ์ในอนาคต ➡️ อาจมี trade-off ด้านการใช้พลังงาน ‼️ HBF ยังไม่ใช่ตัวแทนโดยตรงของ HBM และมีข้อจำกัดด้าน latency ⛔ NAND Flash มี latency สูงกว่า DRAM ⛔ เหมาะกับงาน inference และ training มากกว่างานที่ต้องตอบสนองเร็ว ‼️ การใช้งาน HBF ต้องอาศัยการสนับสนุนจากผู้ผลิต GPU โดยตรง ⛔ ต้องใช้ interposer ที่เชื่อมต่อกับ GPU โดยเฉพาะ ⛔ หาก NVIDIA ไม่รับรอง HBF อาจจำกัดการใช้งานในตลาด ‼️ ยังไม่มีการประกาศวันเปิดตัวหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ HBF อย่างเป็นทางการ ⛔ อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบ ⛔ ต้องรอการยอมรับจากอุตสาหกรรมก่อนใช้งานจริง ‼️ การแข่งขันกับผู้ผลิต HBM อย่าง Samsung และ SK Hynix ยังเข้มข้น ⛔ HBM มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA ⛔ Sandisk ต้องผลักดัน HBF ให้เป็นมาตรฐานเปิดเพื่อหลีกเลี่ยงการผูกขาด https://www.techradar.com/pro/sandisk-recruits-risc-cofounder-amd-graphics-legend-to-spearhead-cheaper-rival-to-hbm-high-bandwidth-flash-could-bring-ssd-capacities-to-ai-gpus-without-the-cost
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ทหารกัมพูชาโดยคำสั่งของฮุนเซน บุคคลผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาลกัมพูชา ยิงจรวดและอาวุธสงครามใส่ประชาชนไทย โดยเน้นเป้าหมายโรงพยาบาล เขตชุมชน และโรงเรียน เป็นเหตุให้ประชาชนไทยเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 14-15 ศพ และบาดเจ็บอีกหลายสิบคน และทำให้ทรัพย์สินของประชาชนไทยเสียหายโดยยังไม่สามารถประเมินความเสียหายที่ชัดเจนได้..."

    [English Translation from the first paragraph of this Chalermchai Yodmalai's article] - "Cambodian soldiers, ordered by Hun Sen - Cambodia's de facto leader, have been firing rockets and weapons into Thailand (since July 24th, 2025) targeting hospitals, communities, and schools, causing the death of at least 14 - 15 Thais, many injured people, and also destroyed Thai properties."

    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    #TruthFromThailand
    #CambodiaOpenedFire
    #HunSenWarCriminal

    https://www.naewna.com/politic/columnist/63462
    "ทหารกัมพูชาโดยคำสั่งของฮุนเซน บุคคลผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาลกัมพูชา ยิงจรวดและอาวุธสงครามใส่ประชาชนไทย โดยเน้นเป้าหมายโรงพยาบาล เขตชุมชน และโรงเรียน เป็นเหตุให้ประชาชนไทยเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 14-15 ศพ และบาดเจ็บอีกหลายสิบคน และทำให้ทรัพย์สินของประชาชนไทยเสียหายโดยยังไม่สามารถประเมินความเสียหายที่ชัดเจนได้..." [English Translation from the first paragraph of this Chalermchai Yodmalai's article] - "Cambodian soldiers, ordered by Hun Sen - Cambodia's de facto leader, have been firing rockets and weapons into Thailand (since July 24th, 2025) targeting hospitals, communities, and schools, causing the death of at least 14 - 15 Thais, many injured people, and also destroyed Thai properties." #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #TruthFromThailand #CambodiaOpenedFire #HunSenWarCriminal https://www.naewna.com/politic/columnist/63462
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • ** Apna Khata Bhulekh A Step Towards Digital Land Records **

    In the ultramodern digital age, governance systems across India have been witnessing rapid-fire metamorphosis. One significant action in this direction is ** “ Apna Khata Bhulekh ” **, a government- driven platform aimed at digitizing land records and furnishing easy access to citizens. Particularly active in countries like Rajasthan, Bihar, and Uttar Pradesh, this system enables coproprietors and growers to pierce important land- related documents online, reducing the need for physical visits to government services.

    What's Apna Khata Bhulekh?

    “ Apna Khata Bhulekh ” is a digital portal launched by colorful state governments to allow druggies to view and download land records online. The term" Bhulekh" translates to ** land records ** or ** land description **, and “ Apna Khata ” means ** your account **, pertaining to a person's land power account. The system provides translucency in land dealings and reduces the chances of land fraud and manipulation.

    These online platforms are state-specific but operate under the common thing of ** profit department digitization **. Citizens can pierce Jamabandi Nakal( Record of Rights), Khasra figures, Khata figures, and charts of their lands from anywhere with an internet connection.

    ---

    crucial Features of Apna Khata Bhulekh

    1. ** Ease of Access **
    druggies can log in to the separate state gate using introductory details like quarter, tehsil, vill name, and Khata or Khasra number to pierce their land details.

    2. ** translucency **
    With all land records available online, the compass of corruption, illegal land occupation, and fraudulent deals is significantly reduced.

    3. ** Time- Saving **
    before, carrying land records meant long ranges at profit services. With Apna Khata Bhulekh, it can now be done within twinkles.

    4. ** Legal mileage **
    These digital land documents are fairly valid and can be used for colorful purposes similar as loan operations, land deals, and court cases.

    5. ** Map Access **
    druggies can view or download ** Bhu- Naksha **( land chart) and get visual representations of plots.

    ---

    How to Access Apna Khata Bhulekh Online

    Although the exact interface varies slightly from state to state, the general process remains the same

    1. Visit the sanctioned Bhulekh or Apna Khata website of your separate state.
    2. Choose your ** quarter **, ** tehsil **, and ** vill **.
    3. Enter details like ** Khata number **, ** Khasra number **, or ** squatter name **.
    4. Click on “ Submit ” or “ View Report ” to get the land record.

    For illustration, in ** Rajasthan **, druggies can go to( apnakhata.raj.nic.in)( http// apnakhata.raj.nic.in) to pierce the gate. also, in ** Uttar Pradesh **, the point is( upbhulekh.gov.in)( http// upbhulekh.gov.in), while ** Bihar ** residers can use( biharbhumi.bihar.gov.in)( http// biharbhumi.bihar.gov.in).

    ---

    Benefits to Farmers and Coproprietors

    * ** Loan blessing ** growers frequently need land records to get crop loans from banks. Digital Bhulekh ensures timely access to vindicated documents.
    * ** disagreement Resolution ** Land controversies can now be resolved briskly with sanctioned digital substantiation available at the click of a button.
    * ** Land Deals and Purchases ** Buyers can corroborate land power and history before making purchases, leading to safer deals.

    ---

    Challenges and the Way Forward

    While the action is estimable, certain challenges remain. In pastoral areas, numerous people are still ignorant of how to use these doors. Internet connectivity and digital knowledge also pose walls. also, some old land records are yet to be digitized, leading to gaps in data vacuity.

    To overcome these issues, state governments need to conduct mindfulness juggernauts, offer backing at ** Common Service Centers( CSCs) **, and insure that all old records are digitized and vindicated.

    ---

    Conclusion

    “ Apna Khata Bhulekh ” is a transformative step in making governance further citizen-friendly. It empowers coproprietors by giving them direct access to pivotal information and promotes translucency in land dealings. As further people embrace digital platforms, Apna Khata Bhulekh will play an indeed more critical part in icing land security and effective land operation across India. https://apnakhataonline.com

    ** Apna Khata Bhulekh A Step Towards Digital Land Records ** In the ultramodern digital age, governance systems across India have been witnessing rapid-fire metamorphosis. One significant action in this direction is ** “ Apna Khata Bhulekh ” **, a government- driven platform aimed at digitizing land records and furnishing easy access to citizens. Particularly active in countries like Rajasthan, Bihar, and Uttar Pradesh, this system enables coproprietors and growers to pierce important land- related documents online, reducing the need for physical visits to government services. What's Apna Khata Bhulekh? “ Apna Khata Bhulekh ” is a digital portal launched by colorful state governments to allow druggies to view and download land records online. The term" Bhulekh" translates to ** land records ** or ** land description **, and “ Apna Khata ” means ** your account **, pertaining to a person's land power account. The system provides translucency in land dealings and reduces the chances of land fraud and manipulation. These online platforms are state-specific but operate under the common thing of ** profit department digitization **. Citizens can pierce Jamabandi Nakal( Record of Rights), Khasra figures, Khata figures, and charts of their lands from anywhere with an internet connection. --- crucial Features of Apna Khata Bhulekh 1. ** Ease of Access ** druggies can log in to the separate state gate using introductory details like quarter, tehsil, vill name, and Khata or Khasra number to pierce their land details. 2. ** translucency ** With all land records available online, the compass of corruption, illegal land occupation, and fraudulent deals is significantly reduced. 3. ** Time- Saving ** before, carrying land records meant long ranges at profit services. With Apna Khata Bhulekh, it can now be done within twinkles. 4. ** Legal mileage ** These digital land documents are fairly valid and can be used for colorful purposes similar as loan operations, land deals, and court cases. 5. ** Map Access ** druggies can view or download ** Bhu- Naksha **( land chart) and get visual representations of plots. --- How to Access Apna Khata Bhulekh Online Although the exact interface varies slightly from state to state, the general process remains the same 1. Visit the sanctioned Bhulekh or Apna Khata website of your separate state. 2. Choose your ** quarter **, ** tehsil **, and ** vill **. 3. Enter details like ** Khata number **, ** Khasra number **, or ** squatter name **. 4. Click on “ Submit ” or “ View Report ” to get the land record. For illustration, in ** Rajasthan **, druggies can go to( apnakhata.raj.nic.in)( http// apnakhata.raj.nic.in) to pierce the gate. also, in ** Uttar Pradesh **, the point is( upbhulekh.gov.in)( http// upbhulekh.gov.in), while ** Bihar ** residers can use( biharbhumi.bihar.gov.in)( http// biharbhumi.bihar.gov.in). --- Benefits to Farmers and Coproprietors * ** Loan blessing ** growers frequently need land records to get crop loans from banks. Digital Bhulekh ensures timely access to vindicated documents. * ** disagreement Resolution ** Land controversies can now be resolved briskly with sanctioned digital substantiation available at the click of a button. * ** Land Deals and Purchases ** Buyers can corroborate land power and history before making purchases, leading to safer deals. --- Challenges and the Way Forward While the action is estimable, certain challenges remain. In pastoral areas, numerous people are still ignorant of how to use these doors. Internet connectivity and digital knowledge also pose walls. also, some old land records are yet to be digitized, leading to gaps in data vacuity. To overcome these issues, state governments need to conduct mindfulness juggernauts, offer backing at ** Common Service Centers( CSCs) **, and insure that all old records are digitized and vindicated. --- Conclusion “ Apna Khata Bhulekh ” is a transformative step in making governance further citizen-friendly. It empowers coproprietors by giving them direct access to pivotal information and promotes translucency in land dealings. As further people embrace digital platforms, Apna Khata Bhulekh will play an indeed more critical part in icing land security and effective land operation across India. https://apnakhataonline.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: AMD กลับมาท้าชน NVIDIA ด้วย “RX 10090 XT” สุดโหด
    หลังจากปล่อยให้ NVIDIA ครองบัลลังก์ GPU ระดับไฮเอนด์มาหลายปี AMD ก็เหมือนจะ “ถอย” ไปเน้นตลาดกลาง แต่ล่าสุดมีข่าวหลุดว่า AMD เตรียมเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ในสถาปัตยกรรม RDNA 5 ที่อาจใช้ชื่อว่า Radeon RX 10090 XT — และมันดู “โหด” จนหลายคนคิดว่าอาจเป็นคู่แข่งตัวจริงของ NVIDIA RTX 6090 ที่กำลังจะมา!

    เจ้า RX 10090 XT นี้มีสเปกที่น่าตื่นตาตื่นใจ:
    - 154 Compute Units
    - 36GB GDDR7 VRAM บนบัส 384-bit
    - Bandwidth สูงถึง 1.728 TB/s
    - TDP อยู่ที่ 380W

    ทั้งหมดนี้ถูกสร้างบนเทคโนโลยี TSMC 3nm และคาดว่าจะเปิดตัวช่วงปี 2026–2027 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ NVIDIA จะเปิดตัว RTX 6090 เช่นกัน

    แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่การกลับมาของ AMD ในตลาดไฮเอนด์ครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ GPU ที่กำลังขาดการแข่งขันอย่างแท้จริง

    AMD เตรียมเปิดตัว GPU RDNA 5 รุ่นไฮเอนด์
    ใช้ชื่อชั่วคราวว่า Radeon RX 10090 XT
    ตั้งเป้าแข่งขันกับ NVIDIA RTX 6090

    สเปกที่หลุดออกมานั้นทรงพลังมาก
    154 Compute Units
    36GB GDDR7 VRAM ความเร็ว 36Gbps
    บัส 384-bit และ Bandwidth 1.728 TB/s
    ใช้พลังงาน 380W

    ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับสูง
    ผลิตบนกระบวนการ TSMC 3nm
    คาดว่าจะมีประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีขึ้นจาก RDNA 4

    วางแผนเปิดตัวระหว่างปี 2026–2027
    อาจเปิดตัวพร้อมกับ RTX 6090 ของ NVIDIA
    เป็นการกลับเข้าสู่ตลาดไฮเอนด์ของ AMD อีกครั้ง

    อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการแข่งขันในตลาด GPU
    NVIDIA ครองตลาดไฮเอนด์มานานโดยไม่มีคู่แข่งที่สูสี
    การกลับมาของ AMD อาจช่วยลดราคาตลาดและเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค

    https://www.techradar.com/computing/gpu/amd-isnt-giving-up-on-high-end-gpus-a-new-leak-hints-at-a-new-radeon-gpu-challenging-nvidias-next-gen-flagship-graphics-card
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: AMD กลับมาท้าชน NVIDIA ด้วย “RX 10090 XT” สุดโหด หลังจากปล่อยให้ NVIDIA ครองบัลลังก์ GPU ระดับไฮเอนด์มาหลายปี AMD ก็เหมือนจะ “ถอย” ไปเน้นตลาดกลาง แต่ล่าสุดมีข่าวหลุดว่า AMD เตรียมเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ในสถาปัตยกรรม RDNA 5 ที่อาจใช้ชื่อว่า Radeon RX 10090 XT — และมันดู “โหด” จนหลายคนคิดว่าอาจเป็นคู่แข่งตัวจริงของ NVIDIA RTX 6090 ที่กำลังจะมา! เจ้า RX 10090 XT นี้มีสเปกที่น่าตื่นตาตื่นใจ: - 154 Compute Units - 36GB GDDR7 VRAM บนบัส 384-bit - Bandwidth สูงถึง 1.728 TB/s - TDP อยู่ที่ 380W ทั้งหมดนี้ถูกสร้างบนเทคโนโลยี TSMC 3nm และคาดว่าจะเปิดตัวช่วงปี 2026–2027 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ NVIDIA จะเปิดตัว RTX 6090 เช่นกัน แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่การกลับมาของ AMD ในตลาดไฮเอนด์ครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ GPU ที่กำลังขาดการแข่งขันอย่างแท้จริง ✅ AMD เตรียมเปิดตัว GPU RDNA 5 รุ่นไฮเอนด์ ➡️ ใช้ชื่อชั่วคราวว่า Radeon RX 10090 XT ➡️ ตั้งเป้าแข่งขันกับ NVIDIA RTX 6090 ✅ สเปกที่หลุดออกมานั้นทรงพลังมาก ➡️ 154 Compute Units ➡️ 36GB GDDR7 VRAM ความเร็ว 36Gbps ➡️ บัส 384-bit และ Bandwidth 1.728 TB/s ➡️ ใช้พลังงาน 380W ✅ ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับสูง ➡️ ผลิตบนกระบวนการ TSMC 3nm ➡️ คาดว่าจะมีประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีขึ้นจาก RDNA 4 ✅ วางแผนเปิดตัวระหว่างปี 2026–2027 ➡️ อาจเปิดตัวพร้อมกับ RTX 6090 ของ NVIDIA ➡️ เป็นการกลับเข้าสู่ตลาดไฮเอนด์ของ AMD อีกครั้ง ✅ อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการแข่งขันในตลาด GPU ➡️ NVIDIA ครองตลาดไฮเอนด์มานานโดยไม่มีคู่แข่งที่สูสี ➡️ การกลับมาของ AMD อาจช่วยลดราคาตลาดและเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค https://www.techradar.com/computing/gpu/amd-isnt-giving-up-on-high-end-gpus-a-new-leak-hints-at-a-new-radeon-gpu-challenging-nvidias-next-gen-flagship-graphics-card
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อข้อมือกลายเป็นเมาส์และคีย์บอร์ด

    ลองจินตนาการว่าแค่ “คิดจะพิมพ์” หรือ “ตั้งใจจะคลิก” ก็สามารถสั่งงานคอมพิวเตอร์ได้ทันที—ไม่ต้องแตะหน้าจอ ไม่ต้องจับเมาส์ นี่คือสิ่งที่ Meta กำลังพัฒนาอยู่ใน Reality Labs: สายรัดข้อมืออัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยี EMG (Electromyography) เพื่ออ่านสัญญาณไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นเมื่อเราตั้งใจจะขยับนิ้ว

    Thomas Reardon หัวหน้าทีมวิจัยของ Meta บอกว่า “คุณไม่จำเป็นต้องขยับจริง ๆ แค่ตั้งใจจะขยับก็พอ” เพราะสัญญาณจากสมองจะถูกส่งไปยังกล้ามเนื้อก่อนที่เราจะเคลื่อนไหวจริง และสายรัดนี้สามารถจับสัญญาณเหล่านั้นได้แม้ไม่มีการเคลื่อนไหวให้เห็น

    เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้คนทั่วไปควบคุมอุปกรณ์ได้แบบไร้สัมผัส แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้พิการทางการเคลื่อนไหวสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ด้วยเจตนาที่แฝงอยู่ในกล้ามเนื้อ แม้จะเป็นเพียงสัญญาณเบา ๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้

    Meta ใช้ข้อมูลจากผู้ใช้งานกว่า 10,000 คนในการฝึก AI ให้สามารถแปลสัญญาณกล้ามเนื้อเป็นคำสั่งได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องปรับแต่งเฉพาะบุคคล ทำให้ใครก็สามารถใช้งานได้ทันที

    Meta พัฒนาอุปกรณ์ควบคุมคอมพิวเตอร์ผ่านข้อมือ
    ใช้เทคโนโลยี EMG ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อ
    ไม่ต้องขยับจริง แค่ “ตั้งใจ” ก็สามารถสั่งงานได้

    ไม่ต้องผ่าตัดหรือฝึกใช้งาน
    ต่างจากเทคโนโลยีอย่าง Neuralink ที่ต้องฝังอุปกรณ์ในสมอง
    ผู้ใช้สามารถสวมใส่และใช้งานได้ทันที

    ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ใช้กว่า 10,000 คน
    ทำให้ระบบสามารถทำงานกับผู้ใช้ใหม่ได้ทันที
    รองรับการพิมพ์ในอากาศ การเลื่อนเมาส์ และเปิดแอป

    ช่วยผู้พิการใช้งานเทคโนโลยี
    ทดสอบกับผู้มีอาการบาดเจ็บไขสันหลังที่มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon
    แม้มีอัมพาตมือ ก็ยังมีสัญญาณกล้ามเนื้อให้ระบบแปลคำสั่งได้

    ตีพิมพ์งานวิจัยในวารสาร Nature
    เปิดเผยข้อมูล EMG กว่า 100 ชั่วโมงให้ชุมชนวิทยาศาสตร์นำไปต่อยอด

    ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
    การแปล “เจตนา” อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
    หากข้อมูลกล้ามเนื้อถูกเก็บหรือวิเคราะห์โดยบุคคลที่สาม อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม

    การพึ่งพา AI มากเกินไป
    อาจเกิด “automation bias” คือเชื่อคำสั่งจาก AI โดยไม่ตรวจสอบ
    เสี่ยงต่อการตัดสินใจผิดพลาดในสถานการณ์สำคัญ

    ผลกระทบต่อแรงงานและอุปกรณ์เดิม
    เมาส์ คีย์บอร์ด และหน้าจอสัมผัสอาจถูกลดบทบาท
    อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และแรงงานที่เกี่ยวข้อง

    https://www.techspot.com/news/108797-meta-builds-wristband-can-control-devices-flick-wrist.html
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อข้อมือกลายเป็นเมาส์และคีย์บอร์ด ลองจินตนาการว่าแค่ “คิดจะพิมพ์” หรือ “ตั้งใจจะคลิก” ก็สามารถสั่งงานคอมพิวเตอร์ได้ทันที—ไม่ต้องแตะหน้าจอ ไม่ต้องจับเมาส์ นี่คือสิ่งที่ Meta กำลังพัฒนาอยู่ใน Reality Labs: สายรัดข้อมืออัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยี EMG (Electromyography) เพื่ออ่านสัญญาณไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นเมื่อเราตั้งใจจะขยับนิ้ว Thomas Reardon หัวหน้าทีมวิจัยของ Meta บอกว่า “คุณไม่จำเป็นต้องขยับจริง ๆ แค่ตั้งใจจะขยับก็พอ” เพราะสัญญาณจากสมองจะถูกส่งไปยังกล้ามเนื้อก่อนที่เราจะเคลื่อนไหวจริง และสายรัดนี้สามารถจับสัญญาณเหล่านั้นได้แม้ไม่มีการเคลื่อนไหวให้เห็น เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้คนทั่วไปควบคุมอุปกรณ์ได้แบบไร้สัมผัส แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้พิการทางการเคลื่อนไหวสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ด้วยเจตนาที่แฝงอยู่ในกล้ามเนื้อ แม้จะเป็นเพียงสัญญาณเบา ๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ Meta ใช้ข้อมูลจากผู้ใช้งานกว่า 10,000 คนในการฝึก AI ให้สามารถแปลสัญญาณกล้ามเนื้อเป็นคำสั่งได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องปรับแต่งเฉพาะบุคคล ทำให้ใครก็สามารถใช้งานได้ทันที ✅ Meta พัฒนาอุปกรณ์ควบคุมคอมพิวเตอร์ผ่านข้อมือ ➡️ ใช้เทคโนโลยี EMG ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อ ➡️ ไม่ต้องขยับจริง แค่ “ตั้งใจ” ก็สามารถสั่งงานได้ ✅ ไม่ต้องผ่าตัดหรือฝึกใช้งาน ➡️ ต่างจากเทคโนโลยีอย่าง Neuralink ที่ต้องฝังอุปกรณ์ในสมอง ➡️ ผู้ใช้สามารถสวมใส่และใช้งานได้ทันที ✅ ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ใช้กว่า 10,000 คน ➡️ ทำให้ระบบสามารถทำงานกับผู้ใช้ใหม่ได้ทันที ➡️ รองรับการพิมพ์ในอากาศ การเลื่อนเมาส์ และเปิดแอป ✅ ช่วยผู้พิการใช้งานเทคโนโลยี ➡️ ทดสอบกับผู้มีอาการบาดเจ็บไขสันหลังที่มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon ➡️ แม้มีอัมพาตมือ ก็ยังมีสัญญาณกล้ามเนื้อให้ระบบแปลคำสั่งได้ ✅ ตีพิมพ์งานวิจัยในวารสาร Nature ➡️ เปิดเผยข้อมูล EMG กว่า 100 ชั่วโมงให้ชุมชนวิทยาศาสตร์นำไปต่อยอด ‼️ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว ⛔ การแปล “เจตนา” อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ⛔ หากข้อมูลกล้ามเนื้อถูกเก็บหรือวิเคราะห์โดยบุคคลที่สาม อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม ‼️ การพึ่งพา AI มากเกินไป ⛔ อาจเกิด “automation bias” คือเชื่อคำสั่งจาก AI โดยไม่ตรวจสอบ ⛔ เสี่ยงต่อการตัดสินใจผิดพลาดในสถานการณ์สำคัญ ‼️ ผลกระทบต่อแรงงานและอุปกรณ์เดิม ⛔ เมาส์ คีย์บอร์ด และหน้าจอสัมผัสอาจถูกลดบทบาท ⛔ อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์และแรงงานที่เกี่ยวข้อง https://www.techspot.com/news/108797-meta-builds-wristband-can-control-devices-flick-wrist.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Meta builds wristband that can control devices with a flick of the wrist
    This technology draws on the field of electromyography, or EMG, which measures muscle activity by detecting the electrical signals generated as the brain sends commands to muscle...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกมือถือ: เมื่อแอปหาคู่กลายเป็นกับดักอารมณ์และข้อมูล

    TechRadar รายงานว่าแคมเปญมัลแวร์ชื่อ SarangTrap กำลังโจมตีผู้ใช้ Android อย่างหนัก โดยมีแอปปลอมกว่า 250 แอป ที่แฝงตัวเป็นแอปหาคู่ แต่จริงๆ แล้วเป็นมัลแวร์ขโมยข้อมูลส่วนตัว แล้วนำไปใช้ข่มขู่เหยื่อให้จ่ายเงิน

    นักวิจัยจาก Zimperium zLabs พบว่าแอปปลอมเหล่านี้:

    - ถูกออกแบบให้ดูดีและน่าเชื่อถือ
    - หลอกให้ผู้ใช้ให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เช่น รูปภาพ, รายชื่อผู้ติดต่อ และไฟล์ส่วนตัว
    - ใช้เทคนิค “emotionally charged interaction” เช่น การพูดคุยเชิงโรแมนติก หรือการให้ “invitation code” พิเศษ

    เมื่อได้ข้อมูลแล้ว แฮกเกอร์จะ:
    - ค้นหาข้อมูลที่อาจทำให้เหยื่ออับอาย
    - ข่มขู่ว่าจะส่งข้อมูลนั้นให้ครอบครัวหรือเพื่อน หากไม่จ่ายเงิน

    แคมเปญนี้เน้นโจมตีผู้ใช้ในเกาหลีใต้เป็นหลัก และใช้โดเมนกว่า 80 แห่งที่ถูก index โดย search engine ทำให้ดูเหมือนเป็นเว็บไซต์จริง

    พบแอปปลอมกว่า 250 แอปบน Android ที่แฝงตัวเป็นแอปหาคู่
    แอปเหล่านี้เป็นมัลแวร์ประเภท infostealer

    แอปหลอกให้ผู้ใช้ให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว
    เช่น รูปภาพ, รายชื่อผู้ติดต่อ และไฟล์ในเครื่อง

    ใช้เทคนิค “emotionally charged interaction” เพื่อสร้างความไว้ใจ
    เช่น การพูดคุยเชิงโรแมนติก หรือการให้ invitation code

    เมื่อได้ข้อมูลแล้ว แฮกเกอร์จะข่มขู่เหยื่อให้จ่ายเงิน
    ขู่ว่าจะส่งข้อมูลให้ครอบครัวหรือเพื่อน

    แคมเปญนี้ชื่อว่า SarangTrap และเน้นโจมตีผู้ใช้ในเกาหลีใต้
    ใช้โดเมนกว่า 80 แห่งที่ถูก index โดย search engine

    แอปทั้งหมดไม่ได้อยู่ใน Play Store หรือ App Store
    มาจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ เช่น ลิงก์ในโซเชียลมีเดียหรือเว็บไซต์ปลอม

    Zimperium แนะนำให้ผู้ใช้ติดตั้งแอปจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น
    และตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขออย่างสม่ำเสมอ

    แอปปลอมเหล่านี้อาจดูน่าเชื่อถือและออกแบบอย่างดี
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่ทันสังเกตว่าเป็นมัลแวร์

    การให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลโดยไม่ระวังอาจเปิดช่องให้ถูกข่มขู่
    โดยเฉพาะข้อมูลส่วนตัวที่อ่อนไหว เช่น รูปภาพหรือข้อความส่วนตัว

    การดาวน์โหลดแอปจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการมีความเสี่ยงสูง
    แม้ search engine จะ index เว็บไซต์ แต่ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย

    ผู้ใช้ที่ไม่มีแอปป้องกันมัลแวร์อาจไม่รู้ตัวว่าถูกโจมตี
    ควรติดตั้งแอปความปลอดภัยที่สามารถตรวจจับและบล็อกมัลแวร์ได้

    การข่มขู่ทางอารมณ์เป็นรูปแบบใหม่ของการโจมตีไซเบอร์
    ทำให้เหยื่อรู้สึกกลัวและยอมจ่ายเงินโดยไม่แจ้งเจ้าหน้าที่

    https://www.techradar.com/pro/security/over-250-malicious-apps-are-targeting-android-users-heres-how-to-stay-safe
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกมือถือ: เมื่อแอปหาคู่กลายเป็นกับดักอารมณ์และข้อมูล TechRadar รายงานว่าแคมเปญมัลแวร์ชื่อ SarangTrap กำลังโจมตีผู้ใช้ Android อย่างหนัก โดยมีแอปปลอมกว่า 250 แอป ที่แฝงตัวเป็นแอปหาคู่ แต่จริงๆ แล้วเป็นมัลแวร์ขโมยข้อมูลส่วนตัว แล้วนำไปใช้ข่มขู่เหยื่อให้จ่ายเงิน 💔📱 นักวิจัยจาก Zimperium zLabs พบว่าแอปปลอมเหล่านี้: - ถูกออกแบบให้ดูดีและน่าเชื่อถือ - หลอกให้ผู้ใช้ให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เช่น รูปภาพ, รายชื่อผู้ติดต่อ และไฟล์ส่วนตัว - ใช้เทคนิค “emotionally charged interaction” เช่น การพูดคุยเชิงโรแมนติก หรือการให้ “invitation code” พิเศษ เมื่อได้ข้อมูลแล้ว แฮกเกอร์จะ: - ค้นหาข้อมูลที่อาจทำให้เหยื่ออับอาย - ข่มขู่ว่าจะส่งข้อมูลนั้นให้ครอบครัวหรือเพื่อน หากไม่จ่ายเงิน แคมเปญนี้เน้นโจมตีผู้ใช้ในเกาหลีใต้เป็นหลัก และใช้โดเมนกว่า 80 แห่งที่ถูก index โดย search engine ทำให้ดูเหมือนเป็นเว็บไซต์จริง ✅ พบแอปปลอมกว่า 250 แอปบน Android ที่แฝงตัวเป็นแอปหาคู่ ➡️ แอปเหล่านี้เป็นมัลแวร์ประเภท infostealer ✅ แอปหลอกให้ผู้ใช้ให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว ➡️ เช่น รูปภาพ, รายชื่อผู้ติดต่อ และไฟล์ในเครื่อง ✅ ใช้เทคนิค “emotionally charged interaction” เพื่อสร้างความไว้ใจ ➡️ เช่น การพูดคุยเชิงโรแมนติก หรือการให้ invitation code ✅ เมื่อได้ข้อมูลแล้ว แฮกเกอร์จะข่มขู่เหยื่อให้จ่ายเงิน ➡️ ขู่ว่าจะส่งข้อมูลให้ครอบครัวหรือเพื่อน ✅ แคมเปญนี้ชื่อว่า SarangTrap และเน้นโจมตีผู้ใช้ในเกาหลีใต้ ➡️ ใช้โดเมนกว่า 80 แห่งที่ถูก index โดย search engine ✅ แอปทั้งหมดไม่ได้อยู่ใน Play Store หรือ App Store ➡️ มาจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ เช่น ลิงก์ในโซเชียลมีเดียหรือเว็บไซต์ปลอม ✅ Zimperium แนะนำให้ผู้ใช้ติดตั้งแอปจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น ➡️ และตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขออย่างสม่ำเสมอ ‼️ แอปปลอมเหล่านี้อาจดูน่าเชื่อถือและออกแบบอย่างดี ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่ทันสังเกตว่าเป็นมัลแวร์ ‼️ การให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลโดยไม่ระวังอาจเปิดช่องให้ถูกข่มขู่ ⛔ โดยเฉพาะข้อมูลส่วนตัวที่อ่อนไหว เช่น รูปภาพหรือข้อความส่วนตัว ‼️ การดาวน์โหลดแอปจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการมีความเสี่ยงสูง ⛔ แม้ search engine จะ index เว็บไซต์ แต่ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย ‼️ ผู้ใช้ที่ไม่มีแอปป้องกันมัลแวร์อาจไม่รู้ตัวว่าถูกโจมตี ⛔ ควรติดตั้งแอปความปลอดภัยที่สามารถตรวจจับและบล็อกมัลแวร์ได้ ‼️ การข่มขู่ทางอารมณ์เป็นรูปแบบใหม่ของการโจมตีไซเบอร์ ⛔ ทำให้เหยื่อรู้สึกกลัวและยอมจ่ายเงินโดยไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ https://www.techradar.com/pro/security/over-250-malicious-apps-are-targeting-android-users-heres-how-to-stay-safe
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพการปะทุเถ้าถ่านของภูเขาไฟมาราปี (Marapi) ที่เพิ่งเกิดขึ้นบนเกาะสุมาตราตะวันตก ประเทศอินโดนีเซีย ภูเขาไฟแห่งนี้มีความสูง 2,885 เมตร
    ภาพการปะทุเถ้าถ่านของภูเขาไฟมาราปี (Marapi) ที่เพิ่งเกิดขึ้นบนเกาะสุมาตราตะวันตก ประเทศอินโดนีเซีย ภูเขาไฟแห่งนี้มีความสูง 2,885 เมตร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโรงงาน NAND: เมื่อจีนพยายามปลดล็อกตัวเองจากการคว่ำบาตร

    ตั้งแต่ปลายปี 2022 YMTC ถูกขึ้นบัญชีดำโดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงเครื่องมือผลิตชั้นสูงจากบริษัทอเมริกัน เช่น ASML, Applied Materials, KLA และ LAM Research ได้โดยตรง

    แต่ YMTC ไม่หยุดนิ่ง:
    - เริ่มผลิต NAND รุ่นใหม่ X4-9070 แบบ 3D TLC ที่มีถึง 294 ชั้น
    - เตรียมเปิดสายการผลิตทดลองที่ใช้เครื่องมือจีนทั้งหมดในครึ่งหลังของปี 2025
    - ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 150,000 wafer starts ต่อเดือน (WSPM) ภายในปีนี้
    - วางแผนเปิดตัว NAND รุ่นใหม่ เช่น X5-9080 ขนาด 2TB และ QLC รุ่นใหม่ที่เร็วขึ้น

    แม้จะยังไม่สามารถผลิต lithography tools ขั้นสูงได้เอง แต่ YMTC มีอัตราการใช้เครื่องมือในประเทศสูงถึง 45% ซึ่งมากกว่าคู่แข่งในจีนอย่าง SMIC, Hua Hong และ CXMT ที่อยู่ในช่วง 15–27%

    YMTC ถูกขึ้นบัญชีดำโดยสหรัฐฯ ตั้งแต่ปลายปี 2022
    ไม่สามารถซื้อเครื่องมือผลิต NAND ที่มีมากกว่า 128 ชั้นจากบริษัทอเมริกันได้

    YMTC เริ่มผลิต NAND รุ่น X4-9070 ที่มี 294 ชั้น และเตรียมเปิดตัวรุ่น 2TB ในปีหน้า
    ใช้เทคนิคการเชื่อมโครงสร้างหลายชั้นเพื่อเพิ่ม bit density

    เตรียมเปิดสายการผลิตทดลองที่ใช้เครื่องมือจีนทั้งหมดในครึ่งหลังของปี 2025
    เป็นก้าวสำคัญในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ

    ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 150,000 WSPM และครองตลาด NAND 15% ภายในปี 2026
    หากสำเร็จจะเปลี่ยนสมดุลของตลาด NAND ทั่วโลก

    YMTC มีอัตราการใช้เครื่องมือในประเทศสูงถึง 45%
    สูงกว่าคู่แข่งในจีน เช่น SMIC (22%), Hua Hong (20%), CXMT (20%)

    ผู้ผลิตเครื่องมือในประเทศที่ร่วมกับ YMTC ได้แก่ AMEC, Naura, Piotech และ SMEE
    มีความเชี่ยวชาญด้าน etching, deposition และ lithography ระดับพื้นฐาน

    YMTC ลงทุนผ่าน Changjiang Capital เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตเครื่องมือในประเทศ
    ใช้ช่องทางไม่เปิดเผยเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากสหรัฐฯ

    เครื่องมือผลิตในประเทศจีนยังมี yield ต่ำกว่าของอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป
    อาจทำให้สายการผลิตทดลองไม่สามารถขยายเป็นการผลิตจริงได้ทันเวลา

    การใช้เทคนิค stacking หลายชั้นทำให้ wafer ใช้เวลานานในโรงงาน
    ส่งผลให้จำนวน wafer ต่อเดือนลดลง แม้ bit output จะเพิ่มขึ้น

    การตั้งเป้าครองตลาด 15% ภายในปี 2026 อาจมองในแง่ดีเกินไป
    เพราะต้องใช้เวลานานในการปรับปรุง yield และขยายกำลังผลิตจริง

    การขาดเครื่องมือ lithography ขั้นสูงอาจเป็นอุปสรรคต่อการผลิต NAND รุ่นใหม่
    SMEE ยังผลิตได้แค่ระดับ 90nm ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับ NAND ขั้นสูง

    หาก YMTC เพิ่มกำลังผลิตเกิน 200,000 WSPM อาจกระทบราคาตลาด NAND ทั่วโลก
    ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและกระทบผู้ผลิตรายอื่น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/chinas-ymtc-moves-to-break-free-of-u-s-sanctions-by-building-production-line-with-homegrown-tools-aims-to-capture-15-percent-of-nand-market-by-late-2026
    🎙️ เรื่องเล่าจากโรงงาน NAND: เมื่อจีนพยายามปลดล็อกตัวเองจากการคว่ำบาตร ตั้งแต่ปลายปี 2022 YMTC ถูกขึ้นบัญชีดำโดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงเครื่องมือผลิตชั้นสูงจากบริษัทอเมริกัน เช่น ASML, Applied Materials, KLA และ LAM Research ได้โดยตรง แต่ YMTC ไม่หยุดนิ่ง: - เริ่มผลิต NAND รุ่นใหม่ X4-9070 แบบ 3D TLC ที่มีถึง 294 ชั้น - เตรียมเปิดสายการผลิตทดลองที่ใช้เครื่องมือจีนทั้งหมดในครึ่งหลังของปี 2025 - ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 150,000 wafer starts ต่อเดือน (WSPM) ภายในปีนี้ - วางแผนเปิดตัว NAND รุ่นใหม่ เช่น X5-9080 ขนาด 2TB และ QLC รุ่นใหม่ที่เร็วขึ้น แม้จะยังไม่สามารถผลิต lithography tools ขั้นสูงได้เอง แต่ YMTC มีอัตราการใช้เครื่องมือในประเทศสูงถึง 45% ซึ่งมากกว่าคู่แข่งในจีนอย่าง SMIC, Hua Hong และ CXMT ที่อยู่ในช่วง 15–27% ✅ YMTC ถูกขึ้นบัญชีดำโดยสหรัฐฯ ตั้งแต่ปลายปี 2022 ➡️ ไม่สามารถซื้อเครื่องมือผลิต NAND ที่มีมากกว่า 128 ชั้นจากบริษัทอเมริกันได้ ✅ YMTC เริ่มผลิต NAND รุ่น X4-9070 ที่มี 294 ชั้น และเตรียมเปิดตัวรุ่น 2TB ในปีหน้า ➡️ ใช้เทคนิคการเชื่อมโครงสร้างหลายชั้นเพื่อเพิ่ม bit density ✅ เตรียมเปิดสายการผลิตทดลองที่ใช้เครื่องมือจีนทั้งหมดในครึ่งหลังของปี 2025 ➡️ เป็นก้าวสำคัญในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ ✅ ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 150,000 WSPM และครองตลาด NAND 15% ภายในปี 2026 ➡️ หากสำเร็จจะเปลี่ยนสมดุลของตลาด NAND ทั่วโลก ✅ YMTC มีอัตราการใช้เครื่องมือในประเทศสูงถึง 45% ➡️ สูงกว่าคู่แข่งในจีน เช่น SMIC (22%), Hua Hong (20%), CXMT (20%) ✅ ผู้ผลิตเครื่องมือในประเทศที่ร่วมกับ YMTC ได้แก่ AMEC, Naura, Piotech และ SMEE ➡️ มีความเชี่ยวชาญด้าน etching, deposition และ lithography ระดับพื้นฐาน ✅ YMTC ลงทุนผ่าน Changjiang Capital เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตเครื่องมือในประเทศ ➡️ ใช้ช่องทางไม่เปิดเผยเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากสหรัฐฯ ‼️ เครื่องมือผลิตในประเทศจีนยังมี yield ต่ำกว่าของอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป ⛔ อาจทำให้สายการผลิตทดลองไม่สามารถขยายเป็นการผลิตจริงได้ทันเวลา ‼️ การใช้เทคนิค stacking หลายชั้นทำให้ wafer ใช้เวลานานในโรงงาน ⛔ ส่งผลให้จำนวน wafer ต่อเดือนลดลง แม้ bit output จะเพิ่มขึ้น ‼️ การตั้งเป้าครองตลาด 15% ภายในปี 2026 อาจมองในแง่ดีเกินไป ⛔ เพราะต้องใช้เวลานานในการปรับปรุง yield และขยายกำลังผลิตจริง ‼️ การขาดเครื่องมือ lithography ขั้นสูงอาจเป็นอุปสรรคต่อการผลิต NAND รุ่นใหม่ ⛔ SMEE ยังผลิตได้แค่ระดับ 90nm ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับ NAND ขั้นสูง ‼️ หาก YMTC เพิ่มกำลังผลิตเกิน 200,000 WSPM อาจกระทบราคาตลาด NAND ทั่วโลก ⛔ ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและกระทบผู้ผลิตรายอื่น https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/chinas-ymtc-moves-to-break-free-of-u-s-sanctions-by-building-production-line-with-homegrown-tools-aims-to-capture-15-percent-of-nand-market-by-late-2026
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากตำแหน่งผู้ใช้: เมื่อการล็อกอินไม่ใช่แค่รหัสผ่านอีกต่อไป

    ในยุคที่การโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นทุกปี และความผิดพลาดของมนุษย์ยังเป็นสาเหตุหลักของการรั่วไหลข้อมูล นักพัฒนาจึงต้องหาวิธีเพิ่มชั้นความปลอดภัยให้กับระบบล็อกอิน — หนึ่งในแนวทางที่ได้ผลคือการใช้ตำแหน่งของผู้ใช้ (geolocation) เป็นส่วนหนึ่งของการยืนยันตัวตน

    หลักการคือ:
    - ระบบจะเก็บข้อมูลตำแหน่งจากการล็อกอินก่อนหน้า เช่น GPS, IP, หรือเครือข่าย
    - หากมีการพยายามล็อกอินจากตำแหน่งใหม่ ระบบจะตรวจสอบเพิ่มเติม เช่นถาม OTP หรือบล็อกการเข้าถึง
    - ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้ที่ล็อกอินจากกรุงเทพเป็นประจำ หากมีการเข้าจากลอนดอนโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ระบบจะถือว่า “ผิดปกติ”

    React มีโครงสร้างแบบ component ที่เหมาะกับการใช้ geolocation API ทั้งจาก HTML5 และ React Native — ทำให้สามารถใช้ได้ทั้งบนเว็บและมือถือ โดยไม่กระทบ UX มากนัก

    Geolocation-based authentication ใช้ตำแหน่งของผู้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของการยืนยันตัวตน
    ช่วยตรวจจับการเข้าถึงจากตำแหน่งที่ไม่คาดคิด และลดความเสี่ยงจากการใช้รหัสผ่านเพียงอย่างเดียว

    React รองรับการใช้ geolocation API ได้ทั้งบนเว็บและมือถือ
    เช่น HTML5 Geolocation API ที่ให้ตำแหน่งแม่นยำ และสามารถใช้ร่วมกับ React hooks ได้

    ระบบจะเก็บตำแหน่งล็อกอินก่อนหน้าเป็น baseline แล้วเปรียบเทียบกับตำแหน่งใหม่
    หากพบความผิดปกติ เช่นการเข้าจากประเทศอื่น จะมีการตรวจสอบเพิ่มเติมหรือบล็อก

    การใช้ geolocation ร่วมกับ multi-factor authentication ช่วยเพิ่มความปลอดภัยอย่างมาก
    เช่นตรวจจับพฤติกรรมเดินทางที่เป็นไปไม่ได้ หรือการแชร์บัญชี

    การวิเคราะห์พฤติกรรมจากตำแหน่ง เช่น geographic velocity analysis สามารถตรวจจับการโจมตีได้แม่นยำ
    เช่นการล็อกอินจากนิวยอร์กแล้วอีก 10 นาทีจากโตเกียว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ทางกายภาพ

    การรวม geolocation เข้ากับระบบความปลอดภัยอื่น เช่น device fingerprinting และ risk analysis
    ช่วยให้ระบบตอบสนองตามระดับความเสี่ยง เช่นขอ OTP หรือบล็อกทันที

    การใช้ geolocation ยังช่วยให้บริษัทปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น GDPR และ NIS2
    โดยมีข้อมูลตำแหน่งสำหรับการตรวจสอบการเข้าถึงย้อนหลัง

    https://hackread.com/why-geolocation-react-apps-authentication-process/
    🎙️ เรื่องเล่าจากตำแหน่งผู้ใช้: เมื่อการล็อกอินไม่ใช่แค่รหัสผ่านอีกต่อไป ในยุคที่การโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นทุกปี และความผิดพลาดของมนุษย์ยังเป็นสาเหตุหลักของการรั่วไหลข้อมูล นักพัฒนาจึงต้องหาวิธีเพิ่มชั้นความปลอดภัยให้กับระบบล็อกอิน — หนึ่งในแนวทางที่ได้ผลคือการใช้ตำแหน่งของผู้ใช้ (geolocation) เป็นส่วนหนึ่งของการยืนยันตัวตน หลักการคือ: - ระบบจะเก็บข้อมูลตำแหน่งจากการล็อกอินก่อนหน้า เช่น GPS, IP, หรือเครือข่าย - หากมีการพยายามล็อกอินจากตำแหน่งใหม่ ระบบจะตรวจสอบเพิ่มเติม เช่นถาม OTP หรือบล็อกการเข้าถึง - ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้ที่ล็อกอินจากกรุงเทพเป็นประจำ หากมีการเข้าจากลอนดอนโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ระบบจะถือว่า “ผิดปกติ” React มีโครงสร้างแบบ component ที่เหมาะกับการใช้ geolocation API ทั้งจาก HTML5 และ React Native — ทำให้สามารถใช้ได้ทั้งบนเว็บและมือถือ โดยไม่กระทบ UX มากนัก ✅ Geolocation-based authentication ใช้ตำแหน่งของผู้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของการยืนยันตัวตน ➡️ ช่วยตรวจจับการเข้าถึงจากตำแหน่งที่ไม่คาดคิด และลดความเสี่ยงจากการใช้รหัสผ่านเพียงอย่างเดียว ✅ React รองรับการใช้ geolocation API ได้ทั้งบนเว็บและมือถือ ➡️ เช่น HTML5 Geolocation API ที่ให้ตำแหน่งแม่นยำ และสามารถใช้ร่วมกับ React hooks ได้ ✅ ระบบจะเก็บตำแหน่งล็อกอินก่อนหน้าเป็น baseline แล้วเปรียบเทียบกับตำแหน่งใหม่ ➡️ หากพบความผิดปกติ เช่นการเข้าจากประเทศอื่น จะมีการตรวจสอบเพิ่มเติมหรือบล็อก ✅ การใช้ geolocation ร่วมกับ multi-factor authentication ช่วยเพิ่มความปลอดภัยอย่างมาก ➡️ เช่นตรวจจับพฤติกรรมเดินทางที่เป็นไปไม่ได้ หรือการแชร์บัญชี ✅ การวิเคราะห์พฤติกรรมจากตำแหน่ง เช่น geographic velocity analysis สามารถตรวจจับการโจมตีได้แม่นยำ ➡️ เช่นการล็อกอินจากนิวยอร์กแล้วอีก 10 นาทีจากโตเกียว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ทางกายภาพ ✅ การรวม geolocation เข้ากับระบบความปลอดภัยอื่น เช่น device fingerprinting และ risk analysis ➡️ ช่วยให้ระบบตอบสนองตามระดับความเสี่ยง เช่นขอ OTP หรือบล็อกทันที ✅ การใช้ geolocation ยังช่วยให้บริษัทปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น GDPR และ NIS2 ➡️ โดยมีข้อมูลตำแหน่งสำหรับการตรวจสอบการเข้าถึงย้อนหลัง https://hackread.com/why-geolocation-react-apps-authentication-process/
    HACKREAD.COM
    Why You Should Use Geolocation in Your React App’s Authentication Process
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก Async: ทำไม "Asynchrony ไม่ใช่ Concurrency"

    เรามักจะได้ยินว่า “Concurrency ≠ Parallelism” แต่ผู้เขียนเสนอว่า มีสิ่งที่ “ขาดหายไปจากนิยาม” คือ Asynchrony และการละเลยความแตกต่างนี้ ส่งผลเสียต่อโลกการเขียนโปรแกรม เช่น การต้องสร้างไลบรารีแยกระหว่าง synchronous และ asynchronous โดยไม่จำเป็น

    คำจำกัดความใหม่ที่บทความเสนอ
    Asynchrony คือความเป็นไปได้ที่ task จะทำงาน “นอกลำดับ” ได้โดยไม่ผิด
    เช่น การเซฟไฟล์ A และ B ไม่ต้องรอหรือสลับกันก็ได้ หากผลลัพธ์สุดท้ายถูกต้อง

    Concurrency คือความสามารถในการ “ทำงานหลายอย่างพร้อมกัน”
    จะเป็นแบบ task switching หรือหลาย thread ก็ได้

    Parallelism คือ “การรันหลาย task ทางกายภาพพร้อมกันจริง ๆ”
    ใช้ CPU หลายตัว หรือหลาย core ในเวลาเดียวกัน

    ตัวอย่างที่ใช้ช่วยให้เข้าใจ Asynchrony vs Concurrency ได้ดี
    เช่นเซฟไฟล์ที่ลำดับไม่สำคัญ = asynchronous แต่ client-server ต้อง concurrent

    Zig แสดงให้เห็นว่า async ไม่ได้หมายถึง concurrent เสมอ
    io.async ใน Zig สามารถรันแบบ single-threaded ได้โดยไม่ deadlock ถ้าไม่มีความต้องการ concurrency

    Zig มี primitive แยกสำหรับ async ที่ต้อง concurrent คือ io.asyncConcurrent
    ช่วยให้โค้ด “แสดงเจตนา” ชัดเจนว่าการทำงานต้องพร้อมกันเพื่อให้ถูกต้อง

    Green threads ทำงานโดยการ “yield” (สลับ stack memory)
    ช่วยให้ synchronous code ทำงานร่วมกับ concurrency โดยไม่ต้องใช้ async/await keyword เลย

    การแยก async กับ concurrency ช่วยลดการแพร่ async แบบ viral
    ไม่ต้องให้ผู้ใช้หรือไลบรารีถูกบังคับเขียน async ทั้งหมดจาก dependency เดียว

    โค้ด synchronous ยังสามารถรันได้พร้อมกัน ถ้า wrapper รอบ ๆ เป็น asynchronous
    ทำให้ ecosystem ไม่ต้องแยก async กับ sync libraries

    การใช้ async โดยไม่เข้าใจความต้องการ concurrency อาจทำให้โค้ดผิดพลาด
    เช่น server.accept กับ client.connect ต้อง concurrency ไม่ใช่แค่ async ธรรมดา

    การใช้ async แบบ “viral” ส่งผลเสียต่อ ecosystem ไลบรารี
    เช่นต้องสร้าง redis-py กับ asyncio-redis แยกกัน โดยไม่มีความจำเป็นจริง

    ไม่ใช้ yield หรือ task switching primitives ทำให้ async ไม่สามารถรัน concurrent ได้
    เพราะ async “เป็นแค่ลำดับรันแบบไม่เรียง” ไม่ใช่ระบบรันหลายงานพร้อมกัน

    ระบบที่บังคับใช้ stackless coroutine + async/await อาจสร้าง deadlock หากไม่ได้ออกแบบดี
    โดยเฉพาะถ้าระบบไม่มีการแสดงเจตนาในโค้ดว่าต้อง concurrent

    https://kristoff.it/blog/asynchrony-is-not-concurrency/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลก Async: ทำไม "Asynchrony ไม่ใช่ Concurrency" เรามักจะได้ยินว่า “Concurrency ≠ Parallelism” แต่ผู้เขียนเสนอว่า มีสิ่งที่ “ขาดหายไปจากนิยาม” คือ Asynchrony และการละเลยความแตกต่างนี้ ส่งผลเสียต่อโลกการเขียนโปรแกรม เช่น การต้องสร้างไลบรารีแยกระหว่าง synchronous และ asynchronous โดยไม่จำเป็น 💡 คำจำกัดความใหม่ที่บทความเสนอ ✅ Asynchrony คือความเป็นไปได้ที่ task จะทำงาน “นอกลำดับ” ได้โดยไม่ผิด ➡️ เช่น การเซฟไฟล์ A และ B ไม่ต้องรอหรือสลับกันก็ได้ หากผลลัพธ์สุดท้ายถูกต้อง ✅ Concurrency คือความสามารถในการ “ทำงานหลายอย่างพร้อมกัน” ➡️ จะเป็นแบบ task switching หรือหลาย thread ก็ได้ ✅ Parallelism คือ “การรันหลาย task ทางกายภาพพร้อมกันจริง ๆ” ➡️ ใช้ CPU หลายตัว หรือหลาย core ในเวลาเดียวกัน ✅ ตัวอย่างที่ใช้ช่วยให้เข้าใจ Asynchrony vs Concurrency ได้ดี ➡️ เช่นเซฟไฟล์ที่ลำดับไม่สำคัญ = asynchronous แต่ client-server ต้อง concurrent ✅ Zig แสดงให้เห็นว่า async ไม่ได้หมายถึง concurrent เสมอ ➡️ io.async ใน Zig สามารถรันแบบ single-threaded ได้โดยไม่ deadlock ถ้าไม่มีความต้องการ concurrency ✅ Zig มี primitive แยกสำหรับ async ที่ต้อง concurrent คือ io.asyncConcurrent ➡️ ช่วยให้โค้ด “แสดงเจตนา” ชัดเจนว่าการทำงานต้องพร้อมกันเพื่อให้ถูกต้อง ✅ Green threads ทำงานโดยการ “yield” (สลับ stack memory) ➡️ ช่วยให้ synchronous code ทำงานร่วมกับ concurrency โดยไม่ต้องใช้ async/await keyword เลย ✅ การแยก async กับ concurrency ช่วยลดการแพร่ async แบบ viral ➡️ ไม่ต้องให้ผู้ใช้หรือไลบรารีถูกบังคับเขียน async ทั้งหมดจาก dependency เดียว ✅ โค้ด synchronous ยังสามารถรันได้พร้อมกัน ถ้า wrapper รอบ ๆ เป็น asynchronous ➡️ ทำให้ ecosystem ไม่ต้องแยก async กับ sync libraries ‼️ การใช้ async โดยไม่เข้าใจความต้องการ concurrency อาจทำให้โค้ดผิดพลาด ⛔ เช่น server.accept กับ client.connect ต้อง concurrency ไม่ใช่แค่ async ธรรมดา ‼️ การใช้ async แบบ “viral” ส่งผลเสียต่อ ecosystem ไลบรารี ⛔ เช่นต้องสร้าง redis-py กับ asyncio-redis แยกกัน โดยไม่มีความจำเป็นจริง ‼️ ไม่ใช้ yield หรือ task switching primitives ทำให้ async ไม่สามารถรัน concurrent ได้ ⛔ เพราะ async “เป็นแค่ลำดับรันแบบไม่เรียง” ไม่ใช่ระบบรันหลายงานพร้อมกัน ‼️ ระบบที่บังคับใช้ stackless coroutine + async/await อาจสร้าง deadlock หากไม่ได้ออกแบบดี ⛔ โดยเฉพาะถ้าระบบไม่มีการแสดงเจตนาในโค้ดว่าต้อง concurrent https://kristoff.it/blog/asynchrony-is-not-concurrency/
    KRISTOFF.IT
    Asynchrony is not Concurrency
    Yes I know about that one talk from Rob Pike.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวดี⭐️⭐️
    HHS และกระทรวงการต่างประเทศ: สหรัฐอเมริกาปฏิเสธการแก้ไขกฎระเบียบด้านสุขภาพระหว่างประเทศ

    วอชิงตัน—18 กรกฎาคม 2568—
    วันนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ปี 2567 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างเป็นทางการกฎหมายสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขนี้จะทำให้ WHO สามารถสั่งปิดประเทศทั่วโลก จำกัดการเดินทาง หรือมาตรการอื่นใดที่ WHO เห็นสมควร เพื่อรับมือกับ “ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้น” ที่คลุมเครือ กฎระเบียบเหล่านี้จะมีผลผูกพันหากไม่ได้รับการปฏิเสธภายในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 โดยไม่คำนึงถึงการถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจาก WHO-
    “การแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศที่เสนอขึ้นนี้เปิดโอกาสให้เกิดการจัดการเรื่องเล่า การโฆษณาชวนเชื่อ และการเซ็นเซอร์แบบที่เราพบเห็นในช่วงการระบาดของโควิด-19” รัฐมนตรีเคนเนดีกล่าว

    “สหรัฐอเมริกาสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นๆ โดยไม่กระทบต่อเสรีภาพพลเมืองของเรา โดยไม่บ่อนทำลายรัฐธรรมนูญของเรา และโดยไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตยอันล้ำค่าของอเมริกาไป”
    รัฐมนตรีเคนเนดียังเผยแพร่วิดีโอ ด้วยอธิบายการกระทำดังกล่าวให้ชาวอเมริกันทราบ“
    คำศัพท์ที่ใช้ตลอดทั้งฉบับแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2567 นั้นคลุมเครือและกว้างเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการตอบสนองระหว่างประเทศที่ประสานงานโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทางการเมือง เช่น ความสามัคคี มากกว่าการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” รัฐมนตรีรูบิโอกล่าว

    “หน่วยงานของเราได้ดำเนินการอย่างชัดเจนมาโดยตลอดและจะยังคงดำเนินการต่อไป นั่นคือ เราจะให้ความสำคัญกับชาวอเมริกันเป็นอันดับแรกในทุกการกระทำของเรา และเราจะไม่ยอมให้มีนโยบายระหว่างประเทศที่ละเมิดสิทธิในการพูด ความเป็นส่วนตัว หรือเสรีภาพส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน”เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สมัชชาอนามัยโลก (WHA) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของ WHO ได้นำข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขมาใช้โดยผ่านกระบวนการเร่งรีบ ขาดการอภิปรายและการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะอย่างเพียงพอคำชื่นชมต่อการกระทำในวันนี้จากสมาชิกรัฐสภา:การระบาดใหญ่ของโควิด-19 เผยให้เห็นว่าความไร้ประสิทธิภาพและการคอร์รัปชันขององค์การอนามัยโลก
    เรียกร้องให้มีการปฏิรูปอย่างครอบคลุม แทนที่จะจัดการกับนโยบายสาธารณสุขที่ย่ำแย่ในช่วงโควิด องค์การอนามัยโลกกลับต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎระเบียบสุขภาพระหว่างประเทศและสนธิสัญญาโรคระบาดเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในประเทศสมาชิก ซึ่งอาจรวมถึงการตอบสนองที่เข้มงวดแต่ล้มเหลว เช่น การปิดธุรกิจและโรงเรียน และคำสั่งให้ฉีดวัคซีน ตั้งแต่ปี 2565 ผมได้นำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการไม่เตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาดขององค์การอนามัยโลกโดยปราศจากการอนุมัติจากวุฒิสภาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างไปเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาจะไม่อนุญาตให้องค์การอนามัยโลกใช้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อทำลายล้างประเทศชาติ ผมสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ที่จะปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมของกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศ (IHR)”
    วุฒิสมาชิกรอน จอห์นสันกล่าว

    “นโยบายสาธารณสุขของอเมริกาเป็นของชาวอเมริกัน และไม่ควรถูกกำหนดโดยนักโลกาภิวัตน์ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในองค์การอนามัยโลกหรือสหประชาชาติ WHO ได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า WHO ไม่สามารถไว้วางใจได้ และผมรู้สึกขอบคุณที่รัฐบาลทรัมป์ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตยของอเมริกา” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทอม ทิฟฟานี กล่าว

    “สหรัฐอเมริกาต้องไม่สละอำนาจอธิปไตยของเราให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น ผมขอชื่นชมรัฐมนตรีเคนเนดีและรัฐมนตรีรูบิโอที่ปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ไม่รอบคอบ ผมสนับสนุนให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก WHO และตัดงบประมาณองค์กรที่กระหายอำนาจของตนมานานแล้ว กฎหมายของผม HR 401 ซึ่งนำเสนอครั้งแรกในรัฐสภาชุดที่ 117 ถือเป็นการกระทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมพันธกิจของอเมริกาต้องมาก่อนและเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพ WHO ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และเราต้องมั่นใจว่าจะไม่มีรัฐบาลชุดใดในอนาคตที่จะมอบความชอบธรรมหรืออำนาจใดๆ ให้แก่พวกเขาเหนือสุขภาพของชาวอเมริกัน” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชิป รอยกล่าว

    “รัฐมนตรีเคนเนดีและประธานาธิบดีทรัมป์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก WHO เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ปราศจากความรับผิดชอบ ซึ่งมอบสิทธิเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนให้กับข้าราชการที่ทุจริต ผมรู้สึกขอบคุณรัฐมนตรีเคนเนดีที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อข้อตกลงโรคระบาดของ WHO ซึ่งจะปกป้องเสรีภาพด้านสุขภาพและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน เรามาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่และมีสุขภาพดีอีกครั้งกันเถอะ” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแอนดี บิ๊กส์ กล่าว

    การประกาศในวันนี้ถือเป็นการดำเนินการล่าสุดของรัฐมนตรีเคนเนดีและ HHS ในการให้ WHOรับผิดชอบ

    HHS & State Department: The United States Rejects Amendments to International Health Regulations

    WASHINGTON—JULY 18, 2025—U.S. Health and Human Services Secretary Robert F. Kennedy, Jr. and Secretary of State Marco Rubio today issued a Joint Statement of formal rejection by the United States of the 2024 International Heath Regulations (IHR) Amendments by the World Health Organization (WHO).The amended IHR would give the WHO the ability to order global lockdowns, travel restrictions, or any other measures it sees fit to respond to nebulous “potential public health risks.” These regulations are set to become binding if not rejected by July 19, 2025, regardless of the United States’ withdrawal from the WHO.“The proposed amendments to the International Health Regulations open the door to the kind of narrative management, propaganda, and censorship that we saw during the COVID pandemic,” Secretary Kennedy said. “The United States can cooperate with other nations without jeopardizing our civil liberties, without undermining our Constitution, and without ceding away America’s treasured sovereignty.”Secretary Kennedy also released a video explaining the action to the American people.“Terminology throughout the amendments to the 2024 International Health Regulations is vague and broad, risking WHO-coordinated international responses that focus on political issues like solidarity, rather than rapid and effective actions,” Secretary Rubio said. “Our Agencies have been and will continue to be clear: we will put Americans first in all our actions and we will not tolerate international policies that infringe on Americans’ speech, privacy, or personal liberties.”On June 1, 2024, the World Health Assembly (WHA), the highest decision-making body of the WHO, adopted a revised version of the International Health Regulations through a rushed process lacking sufficient debate and public input.Praise for today’s action from members of Congress:“The COVID-19 pandemic exposed how the incompetency and corruption at the WHO demands comprehensive reforms. Instead of addressing its disastrous public health policies during COVID, the WHO wants International Health Regulation amendments and a pandemic treaty to declare public health emergencies in member states, which could include failed draconian responses like business and school closures and vaccine mandates. Since 2022, I have led the No WHO Pandemic Preparedness Treaty Without Senate Approval Act, which the House passed last year. The United States will not allow the WHO to use public health emergencies to devastate our nation. I fully support the Trump administration’s decision to reject the IHR amendments,” said Senator Ron Johnson.“America’s public health policy belongs to the American people and should never be dictated by unelected globalists at the WHO or the UN. Time and time again, the WHO has demonstrated it cannot be trusted, and I am grateful that the Trump administration is standing strong to protect American sovereignty,” said Congressman Tom Tiffany.“The United States must never cede our sovereignty to any international entity or organization. I applaud Secretary Kennedy and Secretary Rubio for rejecting the World Health Organization’s (WHO) ill-advised International Health Regulations (IHR) amendments. I have long supported the U.S. withdrawing from the WHO and defunding their power-hungry organization. My legislation, H.R. 401, first introduced in the 117th Congress, does just that while advancing the mission statements of America First and Healthcare Freedom. The WHO, a widely discredited international organization, lost any potential credibility during the COVID-19 pandemic, and we must ensure no future administration grants them any legitimacy or further power over the health of Americans," said Congressman Chip Roy.“Secretary Kennedy and President Trump have proven their commitment to putting America First. WHO is an unaccountable international organization that hands individuals’ healthcare freedoms to corrupt bureaucrats. I’m thankful for Secretary Kennedy’s firm stance against WHO’s Pandemic Agreement that will protect Americans’ health freedom and privacy. Let’s Make America Great and Healthy Again,” said Congressman Andy Biggs.Today’s announcement is the latest action by Secretary Kennedy and HHS to hold the WHO accountable.
    https://www.hhs.gov/press-room/state-department-hhs-rejects-amendments-to-international-health-regulations.html
    July 18, 2025
    ☘️🌿 ข่าวดี⭐️⭐️ HHS และกระทรวงการต่างประเทศ: สหรัฐอเมริกาปฏิเสธการแก้ไขกฎระเบียบด้านสุขภาพระหว่างประเทศ วอชิงตัน—18 กรกฎาคม 2568— วันนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ปี 2567 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างเป็นทางการกฎหมายสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขนี้จะทำให้ WHO สามารถสั่งปิดประเทศทั่วโลก จำกัดการเดินทาง หรือมาตรการอื่นใดที่ WHO เห็นสมควร เพื่อรับมือกับ “ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้น” ที่คลุมเครือ กฎระเบียบเหล่านี้จะมีผลผูกพันหากไม่ได้รับการปฏิเสธภายในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 โดยไม่คำนึงถึงการถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจาก WHO- “การแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศที่เสนอขึ้นนี้เปิดโอกาสให้เกิดการจัดการเรื่องเล่า การโฆษณาชวนเชื่อ และการเซ็นเซอร์แบบที่เราพบเห็นในช่วงการระบาดของโควิด-19” รัฐมนตรีเคนเนดีกล่าว “สหรัฐอเมริกาสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นๆ โดยไม่กระทบต่อเสรีภาพพลเมืองของเรา โดยไม่บ่อนทำลายรัฐธรรมนูญของเรา และโดยไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตยอันล้ำค่าของอเมริกาไป” รัฐมนตรีเคนเนดียังเผยแพร่วิดีโอ ด้วยอธิบายการกระทำดังกล่าวให้ชาวอเมริกันทราบ“ คำศัพท์ที่ใช้ตลอดทั้งฉบับแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2567 นั้นคลุมเครือและกว้างเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการตอบสนองระหว่างประเทศที่ประสานงานโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทางการเมือง เช่น ความสามัคคี มากกว่าการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” รัฐมนตรีรูบิโอกล่าว “หน่วยงานของเราได้ดำเนินการอย่างชัดเจนมาโดยตลอดและจะยังคงดำเนินการต่อไป นั่นคือ เราจะให้ความสำคัญกับชาวอเมริกันเป็นอันดับแรกในทุกการกระทำของเรา และเราจะไม่ยอมให้มีนโยบายระหว่างประเทศที่ละเมิดสิทธิในการพูด ความเป็นส่วนตัว หรือเสรีภาพส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน”เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สมัชชาอนามัยโลก (WHA) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของ WHO ได้นำข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขมาใช้โดยผ่านกระบวนการเร่งรีบ ขาดการอภิปรายและการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะอย่างเพียงพอคำชื่นชมต่อการกระทำในวันนี้จากสมาชิกรัฐสภา:การระบาดใหญ่ของโควิด-19 เผยให้เห็นว่าความไร้ประสิทธิภาพและการคอร์รัปชันขององค์การอนามัยโลก เรียกร้องให้มีการปฏิรูปอย่างครอบคลุม แทนที่จะจัดการกับนโยบายสาธารณสุขที่ย่ำแย่ในช่วงโควิด องค์การอนามัยโลกกลับต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎระเบียบสุขภาพระหว่างประเทศและสนธิสัญญาโรคระบาดเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในประเทศสมาชิก ซึ่งอาจรวมถึงการตอบสนองที่เข้มงวดแต่ล้มเหลว เช่น การปิดธุรกิจและโรงเรียน และคำสั่งให้ฉีดวัคซีน ตั้งแต่ปี 2565 ผมได้นำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการไม่เตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาดขององค์การอนามัยโลกโดยปราศจากการอนุมัติจากวุฒิสภาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างไปเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาจะไม่อนุญาตให้องค์การอนามัยโลกใช้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อทำลายล้างประเทศชาติ ผมสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ที่จะปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมของกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศ (IHR)” วุฒิสมาชิกรอน จอห์นสันกล่าว “นโยบายสาธารณสุขของอเมริกาเป็นของชาวอเมริกัน และไม่ควรถูกกำหนดโดยนักโลกาภิวัตน์ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในองค์การอนามัยโลกหรือสหประชาชาติ WHO ได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า WHO ไม่สามารถไว้วางใจได้ และผมรู้สึกขอบคุณที่รัฐบาลทรัมป์ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตยของอเมริกา” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทอม ทิฟฟานี กล่าว “สหรัฐอเมริกาต้องไม่สละอำนาจอธิปไตยของเราให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น ผมขอชื่นชมรัฐมนตรีเคนเนดีและรัฐมนตรีรูบิโอที่ปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ไม่รอบคอบ ผมสนับสนุนให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก WHO และตัดงบประมาณองค์กรที่กระหายอำนาจของตนมานานแล้ว กฎหมายของผม HR 401 ซึ่งนำเสนอครั้งแรกในรัฐสภาชุดที่ 117 ถือเป็นการกระทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมพันธกิจของอเมริกาต้องมาก่อนและเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพ WHO ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และเราต้องมั่นใจว่าจะไม่มีรัฐบาลชุดใดในอนาคตที่จะมอบความชอบธรรมหรืออำนาจใดๆ ให้แก่พวกเขาเหนือสุขภาพของชาวอเมริกัน” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชิป รอยกล่าว “รัฐมนตรีเคนเนดีและประธานาธิบดีทรัมป์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก WHO เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ปราศจากความรับผิดชอบ ซึ่งมอบสิทธิเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนให้กับข้าราชการที่ทุจริต ผมรู้สึกขอบคุณรัฐมนตรีเคนเนดีที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อข้อตกลงโรคระบาดของ WHO ซึ่งจะปกป้องเสรีภาพด้านสุขภาพและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน เรามาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่และมีสุขภาพดีอีกครั้งกันเถอะ” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแอนดี บิ๊กส์ กล่าว การประกาศในวันนี้ถือเป็นการดำเนินการล่าสุดของรัฐมนตรีเคนเนดีและ HHS ในการให้ WHOรับผิดชอบ HHS & State Department: The United States Rejects Amendments to International Health Regulations WASHINGTON—JULY 18, 2025—U.S. Health and Human Services Secretary Robert F. Kennedy, Jr. and Secretary of State Marco Rubio today issued a Joint Statement of formal rejection by the United States of the 2024 International Heath Regulations (IHR) Amendments by the World Health Organization (WHO).The amended IHR would give the WHO the ability to order global lockdowns, travel restrictions, or any other measures it sees fit to respond to nebulous “potential public health risks.” These regulations are set to become binding if not rejected by July 19, 2025, regardless of the United States’ withdrawal from the WHO.“The proposed amendments to the International Health Regulations open the door to the kind of narrative management, propaganda, and censorship that we saw during the COVID pandemic,” Secretary Kennedy said. “The United States can cooperate with other nations without jeopardizing our civil liberties, without undermining our Constitution, and without ceding away America’s treasured sovereignty.”Secretary Kennedy also released a video explaining the action to the American people.“Terminology throughout the amendments to the 2024 International Health Regulations is vague and broad, risking WHO-coordinated international responses that focus on political issues like solidarity, rather than rapid and effective actions,” Secretary Rubio said. “Our Agencies have been and will continue to be clear: we will put Americans first in all our actions and we will not tolerate international policies that infringe on Americans’ speech, privacy, or personal liberties.”On June 1, 2024, the World Health Assembly (WHA), the highest decision-making body of the WHO, adopted a revised version of the International Health Regulations through a rushed process lacking sufficient debate and public input.Praise for today’s action from members of Congress:“The COVID-19 pandemic exposed how the incompetency and corruption at the WHO demands comprehensive reforms. Instead of addressing its disastrous public health policies during COVID, the WHO wants International Health Regulation amendments and a pandemic treaty to declare public health emergencies in member states, which could include failed draconian responses like business and school closures and vaccine mandates. Since 2022, I have led the No WHO Pandemic Preparedness Treaty Without Senate Approval Act, which the House passed last year. The United States will not allow the WHO to use public health emergencies to devastate our nation. I fully support the Trump administration’s decision to reject the IHR amendments,” said Senator Ron Johnson.“America’s public health policy belongs to the American people and should never be dictated by unelected globalists at the WHO or the UN. Time and time again, the WHO has demonstrated it cannot be trusted, and I am grateful that the Trump administration is standing strong to protect American sovereignty,” said Congressman Tom Tiffany.“The United States must never cede our sovereignty to any international entity or organization. I applaud Secretary Kennedy and Secretary Rubio for rejecting the World Health Organization’s (WHO) ill-advised International Health Regulations (IHR) amendments. I have long supported the U.S. withdrawing from the WHO and defunding their power-hungry organization. My legislation, H.R. 401, first introduced in the 117th Congress, does just that while advancing the mission statements of America First and Healthcare Freedom. The WHO, a widely discredited international organization, lost any potential credibility during the COVID-19 pandemic, and we must ensure no future administration grants them any legitimacy or further power over the health of Americans," said Congressman Chip Roy.“Secretary Kennedy and President Trump have proven their commitment to putting America First. WHO is an unaccountable international organization that hands individuals’ healthcare freedoms to corrupt bureaucrats. I’m thankful for Secretary Kennedy’s firm stance against WHO’s Pandemic Agreement that will protect Americans’ health freedom and privacy. Let’s Make America Great and Healthy Again,” said Congressman Andy Biggs.Today’s announcement is the latest action by Secretary Kennedy and HHS to hold the WHO accountable. https://www.hhs.gov/press-room/state-department-hhs-rejects-amendments-to-international-health-regulations.html July 18, 2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 524 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกฮาร์ดแวร์: GPU ที่ใส่ SSD ได้...เท่หรือเกินจำเป็น?

    Colorful ได้เผยโฉมกราฟิกการ์ดรุ่นหนึ่งในซีรีส์ iGame Ultra ที่งาน Bilibili World 2025 โดยการ์ดตัวนี้ติดตั้งสล็อต M.2 สองช่องไว้ที่ด้านหลัง PCB ใกล้กับ I/O bracket และใช้ระบบพัดลมคู่ในการระบายความร้อนให้ทั้ง GPU และ SSD พร้อมจุดติดตั้งซิงก์เสริมเพื่อจัดการความร้อน SSD โดยเฉพาะ

    จากการออกแบบ ระบบ PCIe บนการ์ดจะแบ่งแบนด์วิดธ์ x16 ดังนี้:
    - x8 สำหรับกราฟิกการ์ด
    - x4 สำหรับ SSD ตัวที่หนึ่ง
    - x4 สำหรับ SSD ตัวที่สอง

    การทำแบบนี้เรียกว่า PCIe bifurcation ซึ่งสามารถใช้งานได้ในเมนบอร์ดบางรุ่นที่รองรับโดยไม่ต้องใช้ riser หรือ adapter เพิ่มเติม

    แนวคิดนี้เหมาะกับเคสขนาดเล็ก หรือเมนบอร์ดที่มีสล็อต M.2 จำกัด — แต่ก็มีคำถามเรื่องประสิทธิภาพทั้งด้านกราฟิกและการจัดเก็บข้อมูล เช่น SSD จะมีความเร็วต่ำกว่า M.2 ที่ต่อโดยตรงกับเมนบอร์ด หรือการอัปเกรดอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งในอนาคตจะทำได้ยากขึ้น

    Colorful ยังไม่เผยข้อมูลสเปกเต็มหรือราคา ณ ตอนนี้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมองว่ายังเป็น “ผลิตภัณฑ์ทดลอง” มากกว่า “ตัวเลือกที่จริงจัง” สำหรับตลาดหลัก

    https://www.techradar.com/pro/graphics-cards-with-ssd-slots-are-becoming-more-popular-but-i-fail-to-understand-why-these-products-actually-exist
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกฮาร์ดแวร์: GPU ที่ใส่ SSD ได้...เท่หรือเกินจำเป็น? Colorful ได้เผยโฉมกราฟิกการ์ดรุ่นหนึ่งในซีรีส์ iGame Ultra ที่งาน Bilibili World 2025 โดยการ์ดตัวนี้ติดตั้งสล็อต M.2 สองช่องไว้ที่ด้านหลัง PCB ใกล้กับ I/O bracket และใช้ระบบพัดลมคู่ในการระบายความร้อนให้ทั้ง GPU และ SSD พร้อมจุดติดตั้งซิงก์เสริมเพื่อจัดการความร้อน SSD โดยเฉพาะ จากการออกแบบ ระบบ PCIe บนการ์ดจะแบ่งแบนด์วิดธ์ x16 ดังนี้: - x8 สำหรับกราฟิกการ์ด - x4 สำหรับ SSD ตัวที่หนึ่ง - x4 สำหรับ SSD ตัวที่สอง การทำแบบนี้เรียกว่า PCIe bifurcation ซึ่งสามารถใช้งานได้ในเมนบอร์ดบางรุ่นที่รองรับโดยไม่ต้องใช้ riser หรือ adapter เพิ่มเติม แนวคิดนี้เหมาะกับเคสขนาดเล็ก หรือเมนบอร์ดที่มีสล็อต M.2 จำกัด — แต่ก็มีคำถามเรื่องประสิทธิภาพทั้งด้านกราฟิกและการจัดเก็บข้อมูล เช่น SSD จะมีความเร็วต่ำกว่า M.2 ที่ต่อโดยตรงกับเมนบอร์ด หรือการอัปเกรดอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งในอนาคตจะทำได้ยากขึ้น Colorful ยังไม่เผยข้อมูลสเปกเต็มหรือราคา ณ ตอนนี้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมองว่ายังเป็น “ผลิตภัณฑ์ทดลอง” มากกว่า “ตัวเลือกที่จริงจัง” สำหรับตลาดหลัก https://www.techradar.com/pro/graphics-cards-with-ssd-slots-are-becoming-more-popular-but-i-fail-to-understand-why-these-products-actually-exist
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงอยากให้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซื้อมาให้นักวิจัยไทยได้ลองให้ลองสร้าง Chip เองบ้าง

    เรื่องเล่าจากโรงงานแห่งอนาคต: Nikon พลิกโฉมการผลิตชิปยุค AI ด้วยแผ่นขนาด 600 มม.

    ในขณะที่ผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง TSMC, Intel และ Samsung กำลังมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีการแพ็กเกจระดับแผง (Panel-Level Packaging หรือ PLP) เพื่อลดข้อจำกัดด้านขนาดและต้นทุนของเวเฟอร์แบบกลม 300 มม.—Nikon ก็เปิดตัวเครื่อง DSP-100 Digital Lithography System สำหรับฉายลวดลายลงแผ่นแบบสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่โดยตรง

    เครื่องนี้สามารถ:
    - ฉายลวดลายแบบละเอียดระดับ 1.0 µm บนแผ่นขนาด 600×600 มม.
    - ได้ความแม่นยำระดับ ±0.3 µm
    - ผลิตได้ 50 แผ่นต่อชั่วโมง ที่ขนาดมาตรฐาน 510×515 มม.

    สิ่งที่โดดเด่นคือการ “ไม่ใช้ photomask” เหมือนระบบ lithography แบบเดิม แต่ใช้ แหล่งกำเนิดแสงแบบ i-line equivalent และ ระบบ spatial light modulator (SLM) ร่วมกับ เลนส์หลายตัว (multi-lens array) ที่ถูกพัฒนาจากเทคโนโลยีจอภาพ ทำให้แพตเทิร์นถูกฉายได้ครอบคลุมทั่วแผ่นอย่างไร้รอยต่อ

    เมื่อใช้แผ่นขนาด 600 มม. หนึ่งแผ่นสามารถบรรจุแพ็กเกจขนาด 100×100 มม. ได้ถึง 36 ชิ้น เท่ากับ productivity เพิ่มขึ้นถึง 9 เท่าเมื่อเทียบกับเวเฟอร์ 300 มม.—ทำให้ต้นทุนต่อ die ลดลงมหาศาล และเหมาะกับยุคที่ AI accelerator ต้องการ HBM4 stacks และ chiplet จำนวนมาก

    Nikon เปิดตัวเครื่องฉายลวดลาย DSP-100 สำหรับแผ่นขนาดใหญ่ 600×600 มม.
    รองรับ panel-level packaging สำหรับชิปรุ่นใหม่ที่ใช้ chiplet และ HBM4

    ใช้เทคนิค maskless lithography ด้วยระบบ spatial light modulator
    ลดความบิดเบี้ยวจากเลนส์เดี่ยวและประหยัดต้นทุน photomask

    ความละเอียดการฉาย 1.0 µm และความแม่นยำ ±0.3 µm
    เหมาะกับการผลิตชิประดับสูงในยุค generative AI

    หนึ่งแผ่นขนาด 600 มม. บรรจุแพ็กเกจ 36 ชิ้น — productivity สูงกว่าเวเฟอร์ 9 เท่า
    ลดต้นทุนต่อ die และเพิ่มการผลิตแบบแผ่นเดียวต่อรอบ

    เครื่องจะเริ่มผลิตจริงในปี 2026 และเปิดรับออร์เดอร์แล้ววันนี้
    ราคาจำกัดเฉพาะลูกค้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสม

    https://www.techpowerup.com/339060/nikon-introduces-600x600-mm-substrates-for-advanced-ai-silicon
    ลุงอยากให้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซื้อมาให้นักวิจัยไทยได้ลองให้ลองสร้าง Chip เองบ้าง 🎙️ เรื่องเล่าจากโรงงานแห่งอนาคต: Nikon พลิกโฉมการผลิตชิปยุค AI ด้วยแผ่นขนาด 600 มม. ในขณะที่ผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง TSMC, Intel และ Samsung กำลังมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีการแพ็กเกจระดับแผง (Panel-Level Packaging หรือ PLP) เพื่อลดข้อจำกัดด้านขนาดและต้นทุนของเวเฟอร์แบบกลม 300 มม.—Nikon ก็เปิดตัวเครื่อง DSP-100 Digital Lithography System สำหรับฉายลวดลายลงแผ่นแบบสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่โดยตรง เครื่องนี้สามารถ: - ฉายลวดลายแบบละเอียดระดับ 1.0 µm บนแผ่นขนาด 600×600 มม. - ได้ความแม่นยำระดับ ±0.3 µm - ผลิตได้ 50 แผ่นต่อชั่วโมง ที่ขนาดมาตรฐาน 510×515 มม. สิ่งที่โดดเด่นคือการ “ไม่ใช้ photomask” เหมือนระบบ lithography แบบเดิม แต่ใช้ แหล่งกำเนิดแสงแบบ i-line equivalent และ ระบบ spatial light modulator (SLM) ร่วมกับ เลนส์หลายตัว (multi-lens array) ที่ถูกพัฒนาจากเทคโนโลยีจอภาพ ทำให้แพตเทิร์นถูกฉายได้ครอบคลุมทั่วแผ่นอย่างไร้รอยต่อ เมื่อใช้แผ่นขนาด 600 มม. หนึ่งแผ่นสามารถบรรจุแพ็กเกจขนาด 100×100 มม. ได้ถึง 36 ชิ้น เท่ากับ productivity เพิ่มขึ้นถึง 9 เท่าเมื่อเทียบกับเวเฟอร์ 300 มม.—ทำให้ต้นทุนต่อ die ลดลงมหาศาล และเหมาะกับยุคที่ AI accelerator ต้องการ HBM4 stacks และ chiplet จำนวนมาก ✅ Nikon เปิดตัวเครื่องฉายลวดลาย DSP-100 สำหรับแผ่นขนาดใหญ่ 600×600 มม. ➡️ รองรับ panel-level packaging สำหรับชิปรุ่นใหม่ที่ใช้ chiplet และ HBM4 ✅ ใช้เทคนิค maskless lithography ด้วยระบบ spatial light modulator ➡️ ลดความบิดเบี้ยวจากเลนส์เดี่ยวและประหยัดต้นทุน photomask ✅ ความละเอียดการฉาย 1.0 µm และความแม่นยำ ±0.3 µm ➡️ เหมาะกับการผลิตชิประดับสูงในยุค generative AI ✅ หนึ่งแผ่นขนาด 600 มม. บรรจุแพ็กเกจ 36 ชิ้น — productivity สูงกว่าเวเฟอร์ 9 เท่า ➡️ ลดต้นทุนต่อ die และเพิ่มการผลิตแบบแผ่นเดียวต่อรอบ ✅ เครื่องจะเริ่มผลิตจริงในปี 2026 และเปิดรับออร์เดอร์แล้ววันนี้ ➡️ ราคาจำกัดเฉพาะลูกค้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสม https://www.techpowerup.com/339060/nikon-introduces-600x600-mm-substrates-for-advanced-ai-silicon
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Nikon Introduces 600x600 mm Substrates for Advanced AI Silicon
    Nikon announced that it will begin accepting orders today for its Digital Lithography System DSP-100, a back-end tool purpose-built for the next-gen of advanced semiconductor packaging. The company will deliver the first units during fiscal year 2026. The DSP-100 is specifically designed for panel-l...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเซมิคอนดักเตอร์: Rapidus ญี่ปุ่นกับการทดสอบผลิตชิป 2nm ด้วยแนวทางใหม่

    Rapidus เริ่มต้นทดสอบวงจรที่ใช้ทรานซิสเตอร์แบบ GAA (Gate-All-Around) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุดในการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ระดับ 2nm โดยชิ้นทดสอบสามารถแสดงผลทางไฟฟ้าที่ตรงตามเป้าหมาย แสดงว่าทั้งเครื่องมือและกระบวนการของโรงงานทำงานได้ตามแผน

    สิ่งที่โดดเด่นคือ Rapidus เลือกใช้ระบบ “single-wafer processing” ทุกขั้นตอน ซึ่งปกติในอุตสาหกรรมมักใช้แบบผสมระหว่าง batch และ single wafer เพื่อประหยัดเวลาและต้นทุน — แต่ Rapidus เชื่อว่าการประมวลผลแบบแผ่นต่อแผ่นช่วยลดความผิดพลาด เพิ่มคุณภาพ และทำให้การควบคุมกระบวนการแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเสริมด้วยระบบ AI สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลระดับละเอียดจากแต่ละแผ่นชิป

    การติดตั้งอุปกรณ์ EUV และ DUV ที่โรงงาน IIM-1 ก็เสร็จสมบูรณ์แล้วกว่า 200 เครื่อง พร้อมใช้งานในไตรมาสที่สองของปีนี้ และจะเปิดให้ลูกค้าเข้ามาออกแบบและทดสอบชิปในปี 2026 ด้วย PDK รุ่นแรก

    Rapidus เริ่มทดสอบการผลิตชิป 2nm ที่โรงงาน IIM-1 ในญี่ปุ่น
    ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ Gate-All-Around (GAA)

    ชิ้นทดสอบแสดงผลทางไฟฟ้าได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
    สะท้อนความพร้อมของเครื่องมือและความแม่นยำของกระบวนการ

    โรงงานติดตั้ง EUV และ DUV lithography แล้วกว่า 200 เครื่อง
    พร้อมทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีระดับนาโน

    Rapidus ใช้ระบบ single-wafer processing ครบทุกขั้นตอน
    แยกแผ่นชิปแต่ละชิ้นตรวจละเอียด แทนการประมวลผลแบบชุดใหญ่

    ข้อมูลจากการผลิตจะถูกใช้กับ AI เพื่อปรับปรุงกระบวนการแบบเรียลไทม์
    ช่วยลด defect และเพิ่ม yield ของการผลิต

    ระบบนี้ช่วยรองรับการผลิตทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ได้ง่าย
    ทำให้เหมาะกับลูกค้ารายย่อยและงานออกแบบเฉพาะทาง

    Rapidus เตรียมเปิดตัว PDK รุ่นแรกสำหรับลูกค้าในไตรมาสแรกของปี 2026
    เพื่อเริ่มขั้นตอนการออกแบบชิปบนเทคโนโลยี 2nm

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/japanese-chipmaker-rapidus-begins-test-production-of-2nm-circuits-company-commits-to-single-wafer-processing-ahead-of-2027-mass-production-target
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเซมิคอนดักเตอร์: Rapidus ญี่ปุ่นกับการทดสอบผลิตชิป 2nm ด้วยแนวทางใหม่ Rapidus เริ่มต้นทดสอบวงจรที่ใช้ทรานซิสเตอร์แบบ GAA (Gate-All-Around) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุดในการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ระดับ 2nm โดยชิ้นทดสอบสามารถแสดงผลทางไฟฟ้าที่ตรงตามเป้าหมาย แสดงว่าทั้งเครื่องมือและกระบวนการของโรงงานทำงานได้ตามแผน สิ่งที่โดดเด่นคือ Rapidus เลือกใช้ระบบ “single-wafer processing” ทุกขั้นตอน ซึ่งปกติในอุตสาหกรรมมักใช้แบบผสมระหว่าง batch และ single wafer เพื่อประหยัดเวลาและต้นทุน — แต่ Rapidus เชื่อว่าการประมวลผลแบบแผ่นต่อแผ่นช่วยลดความผิดพลาด เพิ่มคุณภาพ และทำให้การควบคุมกระบวนการแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเสริมด้วยระบบ AI สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลระดับละเอียดจากแต่ละแผ่นชิป การติดตั้งอุปกรณ์ EUV และ DUV ที่โรงงาน IIM-1 ก็เสร็จสมบูรณ์แล้วกว่า 200 เครื่อง พร้อมใช้งานในไตรมาสที่สองของปีนี้ และจะเปิดให้ลูกค้าเข้ามาออกแบบและทดสอบชิปในปี 2026 ด้วย PDK รุ่นแรก ✅ Rapidus เริ่มทดสอบการผลิตชิป 2nm ที่โรงงาน IIM-1 ในญี่ปุ่น ➡️ ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ Gate-All-Around (GAA) ✅ ชิ้นทดสอบแสดงผลทางไฟฟ้าได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ➡️ สะท้อนความพร้อมของเครื่องมือและความแม่นยำของกระบวนการ ✅ โรงงานติดตั้ง EUV และ DUV lithography แล้วกว่า 200 เครื่อง ➡️ พร้อมทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีระดับนาโน ✅ Rapidus ใช้ระบบ single-wafer processing ครบทุกขั้นตอน ➡️ แยกแผ่นชิปแต่ละชิ้นตรวจละเอียด แทนการประมวลผลแบบชุดใหญ่ ✅ ข้อมูลจากการผลิตจะถูกใช้กับ AI เพื่อปรับปรุงกระบวนการแบบเรียลไทม์ ➡️ ช่วยลด defect และเพิ่ม yield ของการผลิต ✅ ระบบนี้ช่วยรองรับการผลิตทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ได้ง่าย ➡️ ทำให้เหมาะกับลูกค้ารายย่อยและงานออกแบบเฉพาะทาง ✅ Rapidus เตรียมเปิดตัว PDK รุ่นแรกสำหรับลูกค้าในไตรมาสแรกของปี 2026 ➡️ เพื่อเริ่มขั้นตอนการออกแบบชิปบนเทคโนโลยี 2nm https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/japanese-chipmaker-rapidus-begins-test-production-of-2nm-circuits-company-commits-to-single-wafer-processing-ahead-of-2027-mass-production-target
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 236 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก AI Agent: ChatGPT ก้าวเข้าสู่ยุคทำงานจริงแบบอัตโนมัติ

    ในงานเปิดตัวล่าสุด OpenAI ประกาศฟีเจอร์ “agent mode” ที่ใช้ virtual browser ในคลาวด์ ทำงานได้อย่างอิสระแทบทุกอย่างที่มนุษย์ทำบนคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่แค่ตอบคำถามแบบเดิม ๆ อีกต่อไป

    ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ ChatGPT สามารถ:
    - เข้าเว็บ คลิกเมนู เลือกสินค้า เพิ่มลงตะกร้า
    - กรอกฟอร์ม จองโรงแรม จัดตารางเดินทาง
    - สร้างสไลด์ PowerPoint, Excel Spreadsheet และรายงานเต็มรูปแบบ
    - ตัดสินใจเองเมื่อจำเป็น เช่น เลือกร้านหรือสินค้าที่เหมาะกับบริบท

    แม้จะทำงานอัตโนมัติได้ แต่ผู้ใช้ยังสามารถควบคุมได้ เช่น หยุดงานเมื่อใดก็ได้ หรือเข้ามาปรับ prompt ตรงกลางการทำงานโดยไม่เสียความคืบหน้า

    ในงานเปิดตัว CEO Sam Altman สาธิตการใช้งานแบบเต็มรูปแบบ โดยให้ agent วางแผนงานแต่งงาน—ตั้งแต่ซื้อชุด ไปจนถึงจองตั๋วและเลือกของขวัญอย่างครบวงจร!

    OpenAI เปิดตัว “ChatGPT Agent Mode” สำหรับทำงานอัตโนมัติ
    ใช้ virtual browser คลาวด์เพื่อจัดการ task ซับซ้อนได้อย่างสมบูรณ์

    Agent สามารถกรอกฟอร์ม สร้างไฟล์ PowerPoint, Excel และรายงาน
    รองรับงานองค์กรระดับสูง เช่น presentation และ data analysis

    สามารถเข้าเว็บไซต์จริง เลือกสินค้า คลิก และจองโรงแรมหรือเที่ยวบิน
    ทำได้ผ่านการเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์ในการใช้งานเว็บ

    Agent ยังใช้ Web scraping และ deep synthesis เพื่อวิจัยข้อมูล
    ทำงานเป็น “ผู้ช่วยวิเคราะห์” ที่มีความเข้าใจบริบทมากขึ้น

    มีระบบให้ผู้ใช้ควบคุม agent ได้ระหว่างทำงาน
    เช่น ปรับเปลี่ยนคำสั่งหรือหยุดการทำงานได้ทุกเวลา

    มีการเปิดตัว URL แบบ “No AI” สำหรับค้นหาแบบไม่เกี่ยวข้องกับ AI
    เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการค้นหาแบบดั้งเดิม

    เริ่มเปิดให้ใช้ในกลุ่ม Pro แล้ว และจะขยายไปยัง Plus, Team และ Enterprise เร็ว ๆ นี้
    Pro จะมีสิทธิใช้งาน 400 queries/เดือน ส่วน Plus ได้ 40 queries/เดือน

    แม้จะมีระบบ safeguard แต่ OpenAI ยอมรับว่า agent อาจไม่อยู่ในกรอบเสมอไป
    บริษัทแนะนำให้ให้สิทธิ์ต่ำที่สุดเท่าที่จำเป็นเพื่อป้องกันความเสี่ยง

    ฟีเจอร์นี้สามารถล็อกอินเข้าสู่ระบบได้ หากได้รับสิทธิ์จากผู้ใช้
    ต้องระวังข้อมูลส่วนตัวที่อาจถูกเข้าถึงโดยไม่ตั้งใจ

    ความสามารถในการตัดสินใจเองของ agent อาจมีผลลัพธ์ที่ไม่เหมาะสม
    เช่น เลือกร้านหรือสินค้าที่ไม่ตรงความต้องการโดยไม่มีการถามซ้ำ

    แม้จะทำงานแบบ “automation” ได้เต็มรูปแบบ แต่ยังต้องมี oversight จากมนุษย์
    หากปล่อยให้ agent ทำงานลำพัง อาจเกิดความผิดพลาดหรือหลุดขอบเขตทางจริยธรรม

    https://www.techspot.com/news/108721-openai-new-chatgpt-agent-can-fill-out-online.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลก AI Agent: ChatGPT ก้าวเข้าสู่ยุคทำงานจริงแบบอัตโนมัติ ในงานเปิดตัวล่าสุด OpenAI ประกาศฟีเจอร์ “agent mode” ที่ใช้ virtual browser ในคลาวด์ ทำงานได้อย่างอิสระแทบทุกอย่างที่มนุษย์ทำบนคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่แค่ตอบคำถามแบบเดิม ๆ อีกต่อไป ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ ChatGPT สามารถ: - เข้าเว็บ คลิกเมนู เลือกสินค้า เพิ่มลงตะกร้า - กรอกฟอร์ม จองโรงแรม จัดตารางเดินทาง - สร้างสไลด์ PowerPoint, Excel Spreadsheet และรายงานเต็มรูปแบบ - ตัดสินใจเองเมื่อจำเป็น เช่น เลือกร้านหรือสินค้าที่เหมาะกับบริบท แม้จะทำงานอัตโนมัติได้ แต่ผู้ใช้ยังสามารถควบคุมได้ เช่น หยุดงานเมื่อใดก็ได้ หรือเข้ามาปรับ prompt ตรงกลางการทำงานโดยไม่เสียความคืบหน้า ในงานเปิดตัว CEO Sam Altman สาธิตการใช้งานแบบเต็มรูปแบบ โดยให้ agent วางแผนงานแต่งงาน—ตั้งแต่ซื้อชุด ไปจนถึงจองตั๋วและเลือกของขวัญอย่างครบวงจร! ✅ OpenAI เปิดตัว “ChatGPT Agent Mode” สำหรับทำงานอัตโนมัติ ➡️ ใช้ virtual browser คลาวด์เพื่อจัดการ task ซับซ้อนได้อย่างสมบูรณ์ ✅ Agent สามารถกรอกฟอร์ม สร้างไฟล์ PowerPoint, Excel และรายงาน ➡️ รองรับงานองค์กรระดับสูง เช่น presentation และ data analysis ✅ สามารถเข้าเว็บไซต์จริง เลือกสินค้า คลิก และจองโรงแรมหรือเที่ยวบิน ➡️ ทำได้ผ่านการเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์ในการใช้งานเว็บ ✅ Agent ยังใช้ Web scraping และ deep synthesis เพื่อวิจัยข้อมูล ➡️ ทำงานเป็น “ผู้ช่วยวิเคราะห์” ที่มีความเข้าใจบริบทมากขึ้น ✅ มีระบบให้ผู้ใช้ควบคุม agent ได้ระหว่างทำงาน ➡️ เช่น ปรับเปลี่ยนคำสั่งหรือหยุดการทำงานได้ทุกเวลา ✅ มีการเปิดตัว URL แบบ “No AI” สำหรับค้นหาแบบไม่เกี่ยวข้องกับ AI ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการค้นหาแบบดั้งเดิม ✅ เริ่มเปิดให้ใช้ในกลุ่ม Pro แล้ว และจะขยายไปยัง Plus, Team และ Enterprise เร็ว ๆ นี้ ➡️ Pro จะมีสิทธิใช้งาน 400 queries/เดือน ส่วน Plus ได้ 40 queries/เดือน ‼️ แม้จะมีระบบ safeguard แต่ OpenAI ยอมรับว่า agent อาจไม่อยู่ในกรอบเสมอไป ⛔ บริษัทแนะนำให้ให้สิทธิ์ต่ำที่สุดเท่าที่จำเป็นเพื่อป้องกันความเสี่ยง ‼️ ฟีเจอร์นี้สามารถล็อกอินเข้าสู่ระบบได้ หากได้รับสิทธิ์จากผู้ใช้ ⛔ ต้องระวังข้อมูลส่วนตัวที่อาจถูกเข้าถึงโดยไม่ตั้งใจ ‼️ ความสามารถในการตัดสินใจเองของ agent อาจมีผลลัพธ์ที่ไม่เหมาะสม ⛔ เช่น เลือกร้านหรือสินค้าที่ไม่ตรงความต้องการโดยไม่มีการถามซ้ำ ‼️ แม้จะทำงานแบบ “automation” ได้เต็มรูปแบบ แต่ยังต้องมี oversight จากมนุษย์ ⛔ หากปล่อยให้ agent ทำงานลำพัง อาจเกิดความผิดพลาดหรือหลุดขอบเขตทางจริยธรรม https://www.techspot.com/news/108721-openai-new-chatgpt-agent-can-fill-out-online.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    ChatGPT's new AI agent can fill out online forms and generate PowerPoint presentations
    The tool builds on existing operator functionality and uses a virtual browser in the cloud to handle complex tasks. OpenAI claims it can perform real actions, including...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกกราฟิกเกม: Intel เปิดตัว CGVQM เครื่องมือ AI วัดคุณภาพภาพเกมแบบเรียลไทม์

    ในยุคที่เกมสมัยใหม่ใช้เทคนิคเรนเดอร์ขั้นสูง เช่น supersampling, denoising, frame interpolation และ shading แบบปรับอัตราอัตโนมัติ การประเมินคุณภาพภาพด้วยสายตาอาจไม่แม่นยำพอ Intel จึงเปิดตัว CGVQM ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่สามารถวิเคราะห์และให้คะแนนคุณภาพภาพของเกมได้อย่างแม่นยำและเป็นกลาง

    CGVQM ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก:
    1️⃣ ชุดข้อมูลวิดีโอ CGVQD ที่รวบรวมตัวอย่างภาพผิดเพี้ยนจากเทคนิคเรนเดอร์ต่าง ๆ
    2️⃣ โมเดล AI แบบ 3D-ResNet ที่ถูกฝึกให้รู้จักความผิดเพี้ยน เช่น ghosting, flicker, aliasing และ disocclusion โดยเทียบกับการให้คะแนนจากมนุษย์

    ผลการทดสอบพบว่า CGVQM-5 มีความแม่นยำใกล้เคียงกับการประเมินของมนุษย์ ส่วน CGVQM-2 ก็ยังติดอันดับ 3 จากเครื่องมือทั้งหมดที่นำมาทดสอบ

    เครื่องมือนี้เปิดให้ใช้งานฟรีบน GitHub ในรูปแบบ PyTorch application และสามารถนำไปใช้วิเคราะห์คุณภาพภาพของเกมหรือแอปพลิเคชันกราฟิกแบบเรียลไทม์ได้ทันที

    Intel เปิดตัว CGVQM เครื่องมือ AI สำหรับวัดคุณภาพภาพเกม
    ใช้โมเดล 3D convolutional neural network (3D-ResNet-18)

    CGVQM ประเมินภาพผิดเพี้ยนจากเทคนิคเรนเดอร์สมัยใหม่
    เช่น DLSS, FSR, XeSS, Gaussian splatting, frame gen, denoising

    สร้างชุดข้อมูล CGVQD เพื่อฝึกโมเดล AI
    ประกอบด้วยวิดีโอที่มี distortions หลากหลายรูปแบบ

    ใช้การให้คะแนนจากมนุษย์เป็น baseline
    เพื่อฝึกโมเดลให้เข้าใจความรู้สึกต่อภาพผิดเพี้ยน

    CGVQM-5 มีความแม่นยำใกล้เคียงกับมนุษย์
    ส่วน CGVQM-2 ก็ยังติดอันดับ 3 จากเครื่องมือที่ทดสอบ

    เปิดให้ใช้งานฟรีบน GitHub ในรูปแบบ PyTorch
    เหมาะสำหรับนักพัฒนาเกมและนักวิจัยด้านกราฟิก

    CGVQM ยังไม่เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม
    ต้องรอการยอมรับจากนักพัฒนาและผู้ผลิตเกมในวงกว้าง

    โมเดล AI อาจไม่แม่นยำกับวิดีโอที่อยู่นอกชุดข้อมูลฝึก
    แม้จะมีความสามารถในการ generalize แต่ยังต้องทดสอบเพิ่มเติม

    การใช้โมเดล 3D-CNN ต้องใช้ทรัพยากรค่อนข้างสูง
    อาจไม่เหมาะกับการประเมินแบบเรียลไทม์ในระบบที่จำกัด

    ยังไม่มีการเปรียบเทียบกับโมเดลแบบ transformer อย่างละเอียด
    ซึ่งอาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในอนาคตแต่ต้องใช้พลังประมวลผลมาก

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/intel-releases-new-tool-to-measure-gaming-image-quality-in-real-time-ai-tool-measures-impact-of-upscalers-frame-gen-others-computer-graphics-video-quality-metric-now-available-on-github
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกกราฟิกเกม: Intel เปิดตัว CGVQM เครื่องมือ AI วัดคุณภาพภาพเกมแบบเรียลไทม์ ในยุคที่เกมสมัยใหม่ใช้เทคนิคเรนเดอร์ขั้นสูง เช่น supersampling, denoising, frame interpolation และ shading แบบปรับอัตราอัตโนมัติ การประเมินคุณภาพภาพด้วยสายตาอาจไม่แม่นยำพอ Intel จึงเปิดตัว CGVQM ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่สามารถวิเคราะห์และให้คะแนนคุณภาพภาพของเกมได้อย่างแม่นยำและเป็นกลาง CGVQM ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก: 1️⃣ ชุดข้อมูลวิดีโอ CGVQD ที่รวบรวมตัวอย่างภาพผิดเพี้ยนจากเทคนิคเรนเดอร์ต่าง ๆ 2️⃣ โมเดล AI แบบ 3D-ResNet ที่ถูกฝึกให้รู้จักความผิดเพี้ยน เช่น ghosting, flicker, aliasing และ disocclusion โดยเทียบกับการให้คะแนนจากมนุษย์ ผลการทดสอบพบว่า CGVQM-5 มีความแม่นยำใกล้เคียงกับการประเมินของมนุษย์ ส่วน CGVQM-2 ก็ยังติดอันดับ 3 จากเครื่องมือทั้งหมดที่นำมาทดสอบ เครื่องมือนี้เปิดให้ใช้งานฟรีบน GitHub ในรูปแบบ PyTorch application และสามารถนำไปใช้วิเคราะห์คุณภาพภาพของเกมหรือแอปพลิเคชันกราฟิกแบบเรียลไทม์ได้ทันที ✅ Intel เปิดตัว CGVQM เครื่องมือ AI สำหรับวัดคุณภาพภาพเกม ➡️ ใช้โมเดล 3D convolutional neural network (3D-ResNet-18) ✅ CGVQM ประเมินภาพผิดเพี้ยนจากเทคนิคเรนเดอร์สมัยใหม่ ➡️ เช่น DLSS, FSR, XeSS, Gaussian splatting, frame gen, denoising ✅ สร้างชุดข้อมูล CGVQD เพื่อฝึกโมเดล AI ➡️ ประกอบด้วยวิดีโอที่มี distortions หลากหลายรูปแบบ ✅ ใช้การให้คะแนนจากมนุษย์เป็น baseline ➡️ เพื่อฝึกโมเดลให้เข้าใจความรู้สึกต่อภาพผิดเพี้ยน ✅ CGVQM-5 มีความแม่นยำใกล้เคียงกับมนุษย์ ➡️ ส่วน CGVQM-2 ก็ยังติดอันดับ 3 จากเครื่องมือที่ทดสอบ ✅ เปิดให้ใช้งานฟรีบน GitHub ในรูปแบบ PyTorch ➡️ เหมาะสำหรับนักพัฒนาเกมและนักวิจัยด้านกราฟิก ‼️ CGVQM ยังไม่เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม ⛔ ต้องรอการยอมรับจากนักพัฒนาและผู้ผลิตเกมในวงกว้าง ‼️ โมเดล AI อาจไม่แม่นยำกับวิดีโอที่อยู่นอกชุดข้อมูลฝึก ⛔ แม้จะมีความสามารถในการ generalize แต่ยังต้องทดสอบเพิ่มเติม ‼️ การใช้โมเดล 3D-CNN ต้องใช้ทรัพยากรค่อนข้างสูง ⛔ อาจไม่เหมาะกับการประเมินแบบเรียลไทม์ในระบบที่จำกัด ‼️ ยังไม่มีการเปรียบเทียบกับโมเดลแบบ transformer อย่างละเอียด ⛔ ซึ่งอาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในอนาคตแต่ต้องใช้พลังประมวลผลมาก https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/intel-releases-new-tool-to-measure-gaming-image-quality-in-real-time-ai-tool-measures-impact-of-upscalers-frame-gen-others-computer-graphics-video-quality-metric-now-available-on-github
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Intel releases new tool to measure gaming image quality — AI tool measures impact of upscalers, frame gen, others; Computer Graphics Video Quality Metric now available on GitHub
    New dataset and companion AI model chart a new path forward for objectively quantifying image quality from modern rendering techniques
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกซีพียู: เมื่อความร้อนทำให้ Firefox ล่มเพราะ Intel Raptor Lake

    Gabriele Svelto วิศวกรอาวุโสของ Mozilla เปิดเผยว่า Firefox crash จำนวนมากในช่วงฤดูร้อนปี 2025 มาจากเครื่องที่ใช้ซีพียู Intel Raptor Lake โดยเฉพาะรุ่น Core i7-14700K ซึ่งมีปัญหาความไม่เสถียรที่รุนแรงขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูง

    ทีม Mozilla พบว่ารายงาน crash จาก Firefox สามารถบอกได้เลยว่าประเทศไหนในยุโรปกำลังเผชิญคลื่นความร้อน เพราะจำนวน crash จาก Raptor Lake พุ่งสูงในพื้นที่เหล่านั้น

    ปัญหานี้เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2023 และ Intel ใช้เวลาหลายเดือนในการหาสาเหตุ ซึ่งพบว่าเป็นการเสื่อมสภาพทางกายภาพของซิลิคอน ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยซอฟต์แวร์ มีเพียงการอัปเดต microcode เพื่อ “ลดโอกาส” ที่จะเกิดเท่านั้น

    ล่าสุด Intel ปล่อย microcode เวอร์ชัน 0x12F เพื่อแก้ปัญหา Vmin shift (แรงดันไฟต่ำผิดปกติ) แต่กลับทำให้บั๊กกลับมาอีกครั้งอย่างรุนแรง

    Mozilla จึงตัดสินใจปิดระบบ bot ที่ส่ง crash report อัตโนมัติ เพราะข้อมูลจาก Raptor Lake ล้นระบบ และไม่สามารถแยกแยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Firefox crash จำนวนมากเกิดจากเครื่องที่ใช้ Intel Raptor Lake
    โดยเฉพาะรุ่น Core i7-14700K ในพื้นที่ที่มีคลื่นความร้อน

    Mozilla พบว่ารายงาน crash สะท้อนสภาพอากาศในยุโรปได้
    เพราะจำนวน crash พุ่งสูงในประเทศที่มีอุณหภูมิสูง

    ปัญหาความไม่เสถียรของ Raptor Lake เกิดจากการเสื่อมสภาพของซิลิคอน
    ไม่สามารถแก้ด้วย patch หรือซอฟต์แวร์

    Intel ปล่อย microcode 0x12F เพื่อแก้ Vmin shift
    แต่กลับทำให้บั๊กกลับมาอีกครั้ง

    Mozilla ปิดระบบ bot ที่ส่ง crash report อัตโนมัติ
    เพราะข้อมูลจาก Raptor Lake ล้นระบบและทำให้การวิเคราะห์ผิดเพี้ยน

    Intel ขยายระยะประกันจาก 3 ปีเป็น 5 ปีสำหรับชิปที่ได้รับผลกระทบ
    ผู้ใช้สามารถ RMA เพื่อขอเปลี่ยนชิปได้

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/firefox-dev-says-intel-raptor-lake-crashes-are-increasing-with-rising-temperatures-in-record-european-heat-wave-mozilla-staffs-tracking-overwhelmed-by-intel-crash-reports-team-disables-the-function
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกซีพียู: เมื่อความร้อนทำให้ Firefox ล่มเพราะ Intel Raptor Lake Gabriele Svelto วิศวกรอาวุโสของ Mozilla เปิดเผยว่า Firefox crash จำนวนมากในช่วงฤดูร้อนปี 2025 มาจากเครื่องที่ใช้ซีพียู Intel Raptor Lake โดยเฉพาะรุ่น Core i7-14700K ซึ่งมีปัญหาความไม่เสถียรที่รุนแรงขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูง ทีม Mozilla พบว่ารายงาน crash จาก Firefox สามารถบอกได้เลยว่าประเทศไหนในยุโรปกำลังเผชิญคลื่นความร้อน เพราะจำนวน crash จาก Raptor Lake พุ่งสูงในพื้นที่เหล่านั้น ปัญหานี้เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2023 และ Intel ใช้เวลาหลายเดือนในการหาสาเหตุ ซึ่งพบว่าเป็นการเสื่อมสภาพทางกายภาพของซิลิคอน ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยซอฟต์แวร์ มีเพียงการอัปเดต microcode เพื่อ “ลดโอกาส” ที่จะเกิดเท่านั้น ล่าสุด Intel ปล่อย microcode เวอร์ชัน 0x12F เพื่อแก้ปัญหา Vmin shift (แรงดันไฟต่ำผิดปกติ) แต่กลับทำให้บั๊กกลับมาอีกครั้งอย่างรุนแรง Mozilla จึงตัดสินใจปิดระบบ bot ที่ส่ง crash report อัตโนมัติ เพราะข้อมูลจาก Raptor Lake ล้นระบบ และไม่สามารถแยกแยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ Firefox crash จำนวนมากเกิดจากเครื่องที่ใช้ Intel Raptor Lake ➡️ โดยเฉพาะรุ่น Core i7-14700K ในพื้นที่ที่มีคลื่นความร้อน ✅ Mozilla พบว่ารายงาน crash สะท้อนสภาพอากาศในยุโรปได้ ➡️ เพราะจำนวน crash พุ่งสูงในประเทศที่มีอุณหภูมิสูง ✅ ปัญหาความไม่เสถียรของ Raptor Lake เกิดจากการเสื่อมสภาพของซิลิคอน ➡️ ไม่สามารถแก้ด้วย patch หรือซอฟต์แวร์ ✅ Intel ปล่อย microcode 0x12F เพื่อแก้ Vmin shift ➡️ แต่กลับทำให้บั๊กกลับมาอีกครั้ง ✅ Mozilla ปิดระบบ bot ที่ส่ง crash report อัตโนมัติ ➡️ เพราะข้อมูลจาก Raptor Lake ล้นระบบและทำให้การวิเคราะห์ผิดเพี้ยน ✅ Intel ขยายระยะประกันจาก 3 ปีเป็น 5 ปีสำหรับชิปที่ได้รับผลกระทบ ➡️ ผู้ใช้สามารถ RMA เพื่อขอเปลี่ยนชิปได้ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/firefox-dev-says-intel-raptor-lake-crashes-are-increasing-with-rising-temperatures-in-record-european-heat-wave-mozilla-staffs-tracking-overwhelmed-by-intel-crash-reports-team-disables-the-function
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts