• รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 3
    “รุกฆาต หรือ รุกคืบ”
    ตอนที่ 3

    บรรดาลูกพี่ของพรรค Republican ต่างหงุดหงิด กับหนังเรื่อง ตัดเหี้ยน Sequestration ฉายมา 2 ปีแล้ว เอาออกจากโรงไม่ได้เสียที แต่โอกาสกำลังมารำไร ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สภาสูงของอเมริกา มีการเลือกตั้งสมาชิก ที่เรียกว่า mid term election และ พรรค Republican ได้จำนวนที่นั่งเป็นเสียงข้างมากครั้งแรก ตั้งแต่เสียตำแหน่งไปในปี 2006 คราวนี้น่าจะตีแตก เปลี่ยนเอาหนังเรื่องใหม่มาฉายตามใจพวกเหยี่ยว

    สภาสูงที่มี Republican ฝ่ายค้านกุมเสียงข้างมาก จะเปิดประชุมสมัยที่ 114 ประมาณต้นเดือน มกราคม 2015 คาดว่าจะมีนาย John McCain วุฒิสมาชิกตัวแสบ ผู้ทรงอืทธิพลของ Republican มาเป็นประธานกรรมาธิการ Armed Services Commitee และ วุฒิสมาชิก Thad Cochran เป็นหัวหน้า Senate Appropriation Committee-Defense Subcommittee ฝ่ายค้านเตรียมพร้อมยึดอำนาจ งาบการคุมงบกองทัพไปจากรัฐบาล…

    ดูเหมือนรัฐบาลนายโอบามา กำลังถูกต้อนเข้ามุมอับ แม้แต่เรื่องภายในบ้านหลายเรื่องยังค้างคาอยู่ นี่ยังมาเสียทีฝ่ายค้านเพิ่ม เป็นรัฐบาลแต่คุมเสียงสภาสูงไม่ได้ สงสัยจะเอาตัวไม่รอด อย่าว่าแต่จะคิดทำสงครามชิงแชมป์โลกเล้ย!

    อย่าเพิ่งสรุปใส่นักล่าใบตองแห้ง ผู้กำลังท้าชิงแชมป์โลกเช่นนั้น…

    ถ้าย้อนกลับไป ดูจังหวะการออกมาร้องเพลงประสานเสียงของฝ่ายกลาโหม เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียง กับที่รัฐบาลโอบามาประกาศส่งกำลังทางอากาศไปกวาดหน่อ ISIS ที่ กำลังวิ่งเล่นอยู่แถวอืรัค ซีเรีย ก็น่าคิดว่า นายโอบามา กำลังวางแผน หาทางตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง หลังจากมึนหัว หลงทิศอยู่หลายเดือนเมื่อได้รับสัญญาณส่ง ของคุณพี่ปูติน กรณียึด Crimea เมื่อเดือนมีนาคม

    นายโอบามาจะกลับลำ เรื่องตัดเหี้ยน มาเตรียมความพร้อมของกองทัพ เพื่อเดินหมากกลับเข้าไปอยู่ใน เส้นเขตเข้าชิงแชมป์ ตามแผนที่วางมาร้อยปี มันต้องยอมเดินหมาก แบบถอยหลังมาสัก สอง สาม จังหวะก่อน ค่อยเดินรุกใหม่ แต่จะเดินเองเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด มันก็เหมือนฟ้องว่าเสียเชิงคุณพี่ปูตินเขาไปเรียบร้อยแล้ว นักล่าหน้าไม่เหลือให้เชื่อถือ ลูกหาบรวนเรแตกแถวแน่ คณะประสานเสียงกลาโหม จึงต้องมารับบทร้องนำ การเดินหมาก ถอยหลังจังหวะที่หนึ่งก่อน หลังจากส่งคณะ อีโบลา และ ไอซิส ไปเล่นละครสลับฉาก ระหว่างซื้อเวลา เพื่อจัดการปรุงยาแก้การมึนหัว หลงทิศให้ได้ก่อน

    หมากจังหวะที่สองคือ การเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกลาโหม จากนาย Chuck Hagel ซึ่งนายโอบามาเลือกมา ให้รับภาระกิจ ถอนกองทัพออกมาจากอาฟกานิสถาน แต่เมื่อปรับแผนเตรียมจะเล่นจังหวะรุก นาย Hagel ย่อมไม่เหมาะ รายชื่อที่เป็นตัวเก็งหมายเลขหนึ่ง คือนาง Flournoy ซึ่งเป็นนักยุทธศาสตร์ นายโอบามาไม่เลือก และนาง Flournoy ก็รีบออกมาปฏิเสธ ไม่ขออยู่ในรายชื่อตัวเก็งตั้งแต่วันแรกๆ ที่มีชื่อออกมา
    ล่าสุดมีข่าวว่า ค่อนข้างแน่นอนแล้ว ว่านายโอบามาจะเลือกนาย Ashton Carter ผู้ชำนาญด้านระบบ IT ที่เคยรับผิดชอบนโยบายด้านความมั่นคง เกี่ยวกับรัฐที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และนโยบายเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ และการจัดซื้ออาวุธของกลาโหม มาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม นับเป็นการเลือกแม่ทัพ ของนายโอบามา ที่ทำให้เห็นชัดว่าอเมริกา กำลังรีบตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง หลังจากออกอ่าวไปจริงๆ

    ผู้รับหน้าที่เดินหมากจังหวะที่สาม กลายเป็นฝ่ายค้าน เข้าไปกวาดเสียงข้างมากในสภาสูง เตรียมทำหน้าที่ ปลดหนังเรื่องตัดเหี้ยน Sequestration ออกจากโรง แต่ถ้าเล่นหมากนี้โดดๆ มันเสียทั้งหน้า เสียทั้งงบ จะทำยังไงให้มันมีแต่ได้ กับได้

    วันที่ 4 ธันวาคม 2014 จึงมีฉากการลงมติประณามรัสเซียอย่างรุนแรง ผ่านสภาด้วยคะแนนเสียงท้วมท้น ปูทางสำหรับการเดินหมาก จังหวะใหม่ของอเมริกา จะเป็นจังหวะรุกเข้าไปใหม่ หรือจะเป็นจังหวะรับแบบหมดท่า หลงทิศซ้ำซาก เช่นเมื่อกลางปี ก็แล้วแต่ว่า นายโอบามา จะจับมือเล่นกับสภาสูงแบบไหน การเมืองอเมริกานั้น เวลาปรกติ ก็คัดค้านกันเอาเป็นเอาตาย แต่เมื่อถึงคราวจำเป็น เกี่ยวกับผลประโยชน์มหาศาล รัฐบาลและฝ่ายค้านก็พร้อมจับมือกันเสมอ

    หมากนี้ ต้องขอปรบมือให้กับผู้กำกับฝ่ายตัดต่อหนังของวอชิงตัน

    นอกจากนี้ ช่วงที่รัสเซียถูกกล่าวหาว่าเข้า ไปแทรกแซง Ukraine ยาวไปถึงการผนวก Crimea เข้ามานั้น สายเหยี่ยวกระหายเลือดของ Republican ดูเหมือนจะขัดอกขัดใจมาก ที่นายโอบามาแค่คว่ำบาตรรัสเซีย แทนที่จะเปิดเกมรุก วุฒิสมาชิกกลุ่มนาย John McCain เจ้าเก่า จึงยื่นร่างกฏหมาย Russian Aggression Prevention Act (RAPA) เข้าสภาสูงเมื่อประมาณเดื่อนพฤษภาคม 2014 เรียกร้องให้ มีการย้ายกองกำลัง ทั้งของอเมริกาเอง และของ NATO ไปจ่อประตูหลังบ้านรัสเซีย และให้อเมริกาจัดส่งอาวุธให้ Poland เป็นกรณีพิเศษ เพื่อเอาไว้รับมือกับรัสเซียเป็น ด่านแรก และที่น่าสนใจ ร่างนี้ ให้ ถือว่า Ukraine, Maldova และ Georgia เป็นพันธมิตร นอก NATO ร่างนี้ ยังอยู้ในขั้นตอนการพิจารณาของสภาสูง

    เมื่อเอามาวางต่อกับหมากสาม ที่สภาล่างเพิ่งลงมติประณามรัสเซียไป 2 ฉากนี้ เหมือนเป็นละครเรื่องเดียวกัน แต่เป็นการใช้ฝ่ายค้านมาเข้าฉาก ออกแรงตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง ที่แนบเนียน และน่าสนใจทีเดียว

    คุณพี่ ปูตินยาตราทัพเข้าไปยึด Crimea ตั้งแต่เดือนมีนาคม อเมริกาได้แต่เล่นบทสั่ง ให้พรรคพวกช่วยกันขัดบาตร เอามาคว่ำใส่รัสเสีย พร้อมกับส่งเสียงขู่สไตล์นักล่าใบตองแห้ง เป็นเวลารวมทั้งสิ้นเกือบ 9 เดือน นี่ถ้าพร้อมจริง ไม่ออกอ่าวไปตั้งแต่ปี 2011 ที่ จะวิ่งมาดักตีหัวแถวแปซิฟิก คงไม่ต้องรอลมเบ่งนาน 9 เดือน วางหมากถอยหลังก่อนเดินหน้าขนาดนี้กระมัง

    เอาละ หลังสภาสูงเปิดในต้นเดือนมกราคม 2015 อเมริกาน่าจะตีกรรเชียงเข้าฝั่งเรียบร้อย พร้อมเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ชิงโลกของตน อเมริกาจะเลือกเดินหมากต่อไปอย่างไร

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 ธค. 2557
    รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 3 “รุกฆาต หรือ รุกคืบ” ตอนที่ 3 บรรดาลูกพี่ของพรรค Republican ต่างหงุดหงิด กับหนังเรื่อง ตัดเหี้ยน Sequestration ฉายมา 2 ปีแล้ว เอาออกจากโรงไม่ได้เสียที แต่โอกาสกำลังมารำไร ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สภาสูงของอเมริกา มีการเลือกตั้งสมาชิก ที่เรียกว่า mid term election และ พรรค Republican ได้จำนวนที่นั่งเป็นเสียงข้างมากครั้งแรก ตั้งแต่เสียตำแหน่งไปในปี 2006 คราวนี้น่าจะตีแตก เปลี่ยนเอาหนังเรื่องใหม่มาฉายตามใจพวกเหยี่ยว สภาสูงที่มี Republican ฝ่ายค้านกุมเสียงข้างมาก จะเปิดประชุมสมัยที่ 114 ประมาณต้นเดือน มกราคม 2015 คาดว่าจะมีนาย John McCain วุฒิสมาชิกตัวแสบ ผู้ทรงอืทธิพลของ Republican มาเป็นประธานกรรมาธิการ Armed Services Commitee และ วุฒิสมาชิก Thad Cochran เป็นหัวหน้า Senate Appropriation Committee-Defense Subcommittee ฝ่ายค้านเตรียมพร้อมยึดอำนาจ งาบการคุมงบกองทัพไปจากรัฐบาล… ดูเหมือนรัฐบาลนายโอบามา กำลังถูกต้อนเข้ามุมอับ แม้แต่เรื่องภายในบ้านหลายเรื่องยังค้างคาอยู่ นี่ยังมาเสียทีฝ่ายค้านเพิ่ม เป็นรัฐบาลแต่คุมเสียงสภาสูงไม่ได้ สงสัยจะเอาตัวไม่รอด อย่าว่าแต่จะคิดทำสงครามชิงแชมป์โลกเล้ย! อย่าเพิ่งสรุปใส่นักล่าใบตองแห้ง ผู้กำลังท้าชิงแชมป์โลกเช่นนั้น… ถ้าย้อนกลับไป ดูจังหวะการออกมาร้องเพลงประสานเสียงของฝ่ายกลาโหม เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียง กับที่รัฐบาลโอบามาประกาศส่งกำลังทางอากาศไปกวาดหน่อ ISIS ที่ กำลังวิ่งเล่นอยู่แถวอืรัค ซีเรีย ก็น่าคิดว่า นายโอบามา กำลังวางแผน หาทางตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง หลังจากมึนหัว หลงทิศอยู่หลายเดือนเมื่อได้รับสัญญาณส่ง ของคุณพี่ปูติน กรณียึด Crimea เมื่อเดือนมีนาคม นายโอบามาจะกลับลำ เรื่องตัดเหี้ยน มาเตรียมความพร้อมของกองทัพ เพื่อเดินหมากกลับเข้าไปอยู่ใน เส้นเขตเข้าชิงแชมป์ ตามแผนที่วางมาร้อยปี มันต้องยอมเดินหมาก แบบถอยหลังมาสัก สอง สาม จังหวะก่อน ค่อยเดินรุกใหม่ แต่จะเดินเองเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด มันก็เหมือนฟ้องว่าเสียเชิงคุณพี่ปูตินเขาไปเรียบร้อยแล้ว นักล่าหน้าไม่เหลือให้เชื่อถือ ลูกหาบรวนเรแตกแถวแน่ คณะประสานเสียงกลาโหม จึงต้องมารับบทร้องนำ การเดินหมาก ถอยหลังจังหวะที่หนึ่งก่อน หลังจากส่งคณะ อีโบลา และ ไอซิส ไปเล่นละครสลับฉาก ระหว่างซื้อเวลา เพื่อจัดการปรุงยาแก้การมึนหัว หลงทิศให้ได้ก่อน หมากจังหวะที่สองคือ การเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกลาโหม จากนาย Chuck Hagel ซึ่งนายโอบามาเลือกมา ให้รับภาระกิจ ถอนกองทัพออกมาจากอาฟกานิสถาน แต่เมื่อปรับแผนเตรียมจะเล่นจังหวะรุก นาย Hagel ย่อมไม่เหมาะ รายชื่อที่เป็นตัวเก็งหมายเลขหนึ่ง คือนาง Flournoy ซึ่งเป็นนักยุทธศาสตร์ นายโอบามาไม่เลือก และนาง Flournoy ก็รีบออกมาปฏิเสธ ไม่ขออยู่ในรายชื่อตัวเก็งตั้งแต่วันแรกๆ ที่มีชื่อออกมา ล่าสุดมีข่าวว่า ค่อนข้างแน่นอนแล้ว ว่านายโอบามาจะเลือกนาย Ashton Carter ผู้ชำนาญด้านระบบ IT ที่เคยรับผิดชอบนโยบายด้านความมั่นคง เกี่ยวกับรัฐที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และนโยบายเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ และการจัดซื้ออาวุธของกลาโหม มาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม นับเป็นการเลือกแม่ทัพ ของนายโอบามา ที่ทำให้เห็นชัดว่าอเมริกา กำลังรีบตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง หลังจากออกอ่าวไปจริงๆ ผู้รับหน้าที่เดินหมากจังหวะที่สาม กลายเป็นฝ่ายค้าน เข้าไปกวาดเสียงข้างมากในสภาสูง เตรียมทำหน้าที่ ปลดหนังเรื่องตัดเหี้ยน Sequestration ออกจากโรง แต่ถ้าเล่นหมากนี้โดดๆ มันเสียทั้งหน้า เสียทั้งงบ จะทำยังไงให้มันมีแต่ได้ กับได้ วันที่ 4 ธันวาคม 2014 จึงมีฉากการลงมติประณามรัสเซียอย่างรุนแรง ผ่านสภาด้วยคะแนนเสียงท้วมท้น ปูทางสำหรับการเดินหมาก จังหวะใหม่ของอเมริกา จะเป็นจังหวะรุกเข้าไปใหม่ หรือจะเป็นจังหวะรับแบบหมดท่า หลงทิศซ้ำซาก เช่นเมื่อกลางปี ก็แล้วแต่ว่า นายโอบามา จะจับมือเล่นกับสภาสูงแบบไหน การเมืองอเมริกานั้น เวลาปรกติ ก็คัดค้านกันเอาเป็นเอาตาย แต่เมื่อถึงคราวจำเป็น เกี่ยวกับผลประโยชน์มหาศาล รัฐบาลและฝ่ายค้านก็พร้อมจับมือกันเสมอ หมากนี้ ต้องขอปรบมือให้กับผู้กำกับฝ่ายตัดต่อหนังของวอชิงตัน นอกจากนี้ ช่วงที่รัสเซียถูกกล่าวหาว่าเข้า ไปแทรกแซง Ukraine ยาวไปถึงการผนวก Crimea เข้ามานั้น สายเหยี่ยวกระหายเลือดของ Republican ดูเหมือนจะขัดอกขัดใจมาก ที่นายโอบามาแค่คว่ำบาตรรัสเซีย แทนที่จะเปิดเกมรุก วุฒิสมาชิกกลุ่มนาย John McCain เจ้าเก่า จึงยื่นร่างกฏหมาย Russian Aggression Prevention Act (RAPA) เข้าสภาสูงเมื่อประมาณเดื่อนพฤษภาคม 2014 เรียกร้องให้ มีการย้ายกองกำลัง ทั้งของอเมริกาเอง และของ NATO ไปจ่อประตูหลังบ้านรัสเซีย และให้อเมริกาจัดส่งอาวุธให้ Poland เป็นกรณีพิเศษ เพื่อเอาไว้รับมือกับรัสเซียเป็น ด่านแรก และที่น่าสนใจ ร่างนี้ ให้ ถือว่า Ukraine, Maldova และ Georgia เป็นพันธมิตร นอก NATO ร่างนี้ ยังอยู้ในขั้นตอนการพิจารณาของสภาสูง เมื่อเอามาวางต่อกับหมากสาม ที่สภาล่างเพิ่งลงมติประณามรัสเซียไป 2 ฉากนี้ เหมือนเป็นละครเรื่องเดียวกัน แต่เป็นการใช้ฝ่ายค้านมาเข้าฉาก ออกแรงตีกรรเชียงกลับเข้าฝั่ง ที่แนบเนียน และน่าสนใจทีเดียว คุณพี่ ปูตินยาตราทัพเข้าไปยึด Crimea ตั้งแต่เดือนมีนาคม อเมริกาได้แต่เล่นบทสั่ง ให้พรรคพวกช่วยกันขัดบาตร เอามาคว่ำใส่รัสเสีย พร้อมกับส่งเสียงขู่สไตล์นักล่าใบตองแห้ง เป็นเวลารวมทั้งสิ้นเกือบ 9 เดือน นี่ถ้าพร้อมจริง ไม่ออกอ่าวไปตั้งแต่ปี 2011 ที่ จะวิ่งมาดักตีหัวแถวแปซิฟิก คงไม่ต้องรอลมเบ่งนาน 9 เดือน วางหมากถอยหลังก่อนเดินหน้าขนาดนี้กระมัง เอาละ หลังสภาสูงเปิดในต้นเดือนมกราคม 2015 อเมริกาน่าจะตีกรรเชียงเข้าฝั่งเรียบร้อย พร้อมเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ชิงโลกของตน อเมริกาจะเลือกเดินหมากต่อไปอย่างไร สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jewelbug จากจีนล้วงข้อมูลบริษัท IT รัสเซีย 5 เดือนเต็ม” — ใช้ Yandex Cloud และ Microsoft Graph API พรางตัวแบบแนบเนียน

    ในรายงานล่าสุดจากทีม Symantec Threat Hunter ได้เปิดเผยการโจมตีไซเบอร์ที่น่าตกใจโดยกลุ่ม APT จากจีนชื่อ “Jewelbug” ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าไปในระบบของบริษัท IT สัญชาติรัสเซียได้นานถึง 5 เดือนในช่วงต้นปี 2025 โดยใช้เทคนิคที่ซับซ้อนและแอบแฝงผ่านบริการคลาวด์ที่ได้รับความนิยมในรัสเซียอย่าง Yandex Cloud รวมถึงใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุมมัลแวร์ (C2) เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไป

    การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของจีนในด้านการจารกรรมไซเบอร์ โดยก่อนหน้านี้กลุ่ม APT จากจีนมักไม่โจมตีเป้าหมายในรัสเซีย แต่หลังจากสงครามยูเครนเริ่มต้น ความร่วมมือระหว่างสองประเทศในโลกไซเบอร์เริ่มสั่นคลอน และ Jewelbug ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนี้

    Jewelbug ใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น การเปลี่ยนชื่อไฟล์ cdb.exe เป็น “7zup.exe” เพื่อหลบ whitelist, การใช้ scheduled tasks เพื่อคงการเข้าถึงระบบ, การล้าง log เพื่อลบร่องรอย และการใช้ไฟล์ “yandex2.exe” ในการส่งข้อมูลออกไปยัง Yandex Cloud

    นอกจากนี้ยังพบมัลแวร์รุ่นใหม่ที่ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา ซึ่งใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุม โดยมีการสร้างโฟลเดอร์ลับในระบบ, อัปโหลดรายการไฟล์, และเก็บข้อมูลระบบ เช่น IP และเวอร์ชัน Windows

    ในแคมเปญก่อนหน้านี้ Jewelbug ยังใช้เทคนิค BYOVD (Bring-Your-Own-Vulnerable-Driver) โดยนำไดรเวอร์จากระบบป้องกันเกม ECHOAC มาใช้เจาะระดับ kernel และใช้เครื่องมือเช่น KillAV, ShadowPad, Mimikatz และ Earthworm เพื่อเคลื่อนย้ายภายในระบบ

    การโจมตีครั้งนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความสามารถของ Jewelbug แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทลูกค้าของผู้ให้บริการ IT รัสเซียจำนวนมาก

    ข้อมูลในข่าว
    Jewelbug เป็นกลุ่ม APT จากจีนที่แฮกระบบบริษัท IT รัสเซียได้นานถึง 5 เดือน
    ใช้ Yandex Cloud ในการส่งข้อมูลออกเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    ใช้ไฟล์ “7zup.exe” ซึ่งเป็น cdb.exe ที่ถูกเปลี่ยนชื่อเพื่อหลบ whitelist
    ใช้ scheduled tasks, credential dumping, log clearing และไฟล์ “yandex2.exe” ในการโจมตี
    พบมัลแวร์ใหม่ที่ใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุม (C2)
    มัลแวร์สามารถสร้างโฟลเดอร์ลับ, อัปโหลดไฟล์, และเก็บข้อมูลระบบ
    ในแคมเปญก่อนหน้านี้ Jewelbug ใช้เทคนิค BYOVD โดยนำไดรเวอร์ ECHOAC มาใช้เจาะระดับ kernel
    ใช้เครื่องมือเช่น KillAV, ShadowPad, Mimikatz, SMBExec และ Earthworm
    มัลแวร์ถูกฝังใน mspaint.exe ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะของ Jewelbug
    มีความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนที่อาจส่งผลต่อบริษัทลูกค้าจำนวนมากในรัสเซีย
    การโจมตีสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของจีนหลังสงครามยูเครน

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การใช้บริการคลาวด์ที่ได้รับความนิยมในประเทศเป้าหมายอาจทำให้การตรวจจับยากขึ้น
    การเปลี่ยนชื่อไฟล์ระบบเพื่อหลบ whitelist เป็นเทคนิคที่สามารถใช้ได้กับหลายองค์กร
    การใช้ Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุมอาจทำให้มัลแวร์พรางตัวได้ดีในทราฟฟิกปกติ
    การใช้เทคนิค BYOVD และเครื่องมือเจาะระบบระดับ kernel อาจทำให้ระบบป้องกันทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้
    ความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนอาจขยายผลไปยังบริษัทอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับผู้ให้บริการที่ถูกแฮก
    การฝังมัลแวร์ในโปรแกรมทั่วไปอย่าง mspaint.exe ทำให้ผู้ใช้ไม่สงสัยและยากต่อการตรวจสอบ

    https://securityonline.info/chinas-jewelbug-apt-breaches-russian-it-provider-for-5-months-using-yandex-cloud-and-graph-api-c2/
    🕵️ “Jewelbug จากจีนล้วงข้อมูลบริษัท IT รัสเซีย 5 เดือนเต็ม” — ใช้ Yandex Cloud และ Microsoft Graph API พรางตัวแบบแนบเนียน ในรายงานล่าสุดจากทีม Symantec Threat Hunter ได้เปิดเผยการโจมตีไซเบอร์ที่น่าตกใจโดยกลุ่ม APT จากจีนชื่อ “Jewelbug” ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าไปในระบบของบริษัท IT สัญชาติรัสเซียได้นานถึง 5 เดือนในช่วงต้นปี 2025 โดยใช้เทคนิคที่ซับซ้อนและแอบแฝงผ่านบริการคลาวด์ที่ได้รับความนิยมในรัสเซียอย่าง Yandex Cloud รวมถึงใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุมมัลแวร์ (C2) เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไป การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของจีนในด้านการจารกรรมไซเบอร์ โดยก่อนหน้านี้กลุ่ม APT จากจีนมักไม่โจมตีเป้าหมายในรัสเซีย แต่หลังจากสงครามยูเครนเริ่มต้น ความร่วมมือระหว่างสองประเทศในโลกไซเบอร์เริ่มสั่นคลอน และ Jewelbug ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ Jewelbug ใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น การเปลี่ยนชื่อไฟล์ cdb.exe เป็น “7zup.exe” เพื่อหลบ whitelist, การใช้ scheduled tasks เพื่อคงการเข้าถึงระบบ, การล้าง log เพื่อลบร่องรอย และการใช้ไฟล์ “yandex2.exe” ในการส่งข้อมูลออกไปยัง Yandex Cloud นอกจากนี้ยังพบมัลแวร์รุ่นใหม่ที่ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา ซึ่งใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุม โดยมีการสร้างโฟลเดอร์ลับในระบบ, อัปโหลดรายการไฟล์, และเก็บข้อมูลระบบ เช่น IP และเวอร์ชัน Windows ในแคมเปญก่อนหน้านี้ Jewelbug ยังใช้เทคนิค BYOVD (Bring-Your-Own-Vulnerable-Driver) โดยนำไดรเวอร์จากระบบป้องกันเกม ECHOAC มาใช้เจาะระดับ kernel และใช้เครื่องมือเช่น KillAV, ShadowPad, Mimikatz และ Earthworm เพื่อเคลื่อนย้ายภายในระบบ การโจมตีครั้งนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความสามารถของ Jewelbug แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทลูกค้าของผู้ให้บริการ IT รัสเซียจำนวนมาก ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Jewelbug เป็นกลุ่ม APT จากจีนที่แฮกระบบบริษัท IT รัสเซียได้นานถึง 5 เดือน ➡️ ใช้ Yandex Cloud ในการส่งข้อมูลออกเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ ใช้ไฟล์ “7zup.exe” ซึ่งเป็น cdb.exe ที่ถูกเปลี่ยนชื่อเพื่อหลบ whitelist ➡️ ใช้ scheduled tasks, credential dumping, log clearing และไฟล์ “yandex2.exe” ในการโจมตี ➡️ พบมัลแวร์ใหม่ที่ใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุม (C2) ➡️ มัลแวร์สามารถสร้างโฟลเดอร์ลับ, อัปโหลดไฟล์, และเก็บข้อมูลระบบ ➡️ ในแคมเปญก่อนหน้านี้ Jewelbug ใช้เทคนิค BYOVD โดยนำไดรเวอร์ ECHOAC มาใช้เจาะระดับ kernel ➡️ ใช้เครื่องมือเช่น KillAV, ShadowPad, Mimikatz, SMBExec และ Earthworm ➡️ มัลแวร์ถูกฝังใน mspaint.exe ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะของ Jewelbug ➡️ มีความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนที่อาจส่งผลต่อบริษัทลูกค้าจำนวนมากในรัสเซีย ➡️ การโจมตีสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของจีนหลังสงครามยูเครน ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การใช้บริการคลาวด์ที่ได้รับความนิยมในประเทศเป้าหมายอาจทำให้การตรวจจับยากขึ้น ⛔ การเปลี่ยนชื่อไฟล์ระบบเพื่อหลบ whitelist เป็นเทคนิคที่สามารถใช้ได้กับหลายองค์กร ⛔ การใช้ Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุมอาจทำให้มัลแวร์พรางตัวได้ดีในทราฟฟิกปกติ ⛔ การใช้เทคนิค BYOVD และเครื่องมือเจาะระบบระดับ kernel อาจทำให้ระบบป้องกันทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ ⛔ ความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนอาจขยายผลไปยังบริษัทอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับผู้ให้บริการที่ถูกแฮก ⛔ การฝังมัลแวร์ในโปรแกรมทั่วไปอย่าง mspaint.exe ทำให้ผู้ใช้ไม่สงสัยและยากต่อการตรวจสอบ https://securityonline.info/chinas-jewelbug-apt-breaches-russian-it-provider-for-5-months-using-yandex-cloud-and-graph-api-c2/
    SECURITYONLINE.INFO
    China's Jewelbug APT Breaches Russian IT Provider for 5 Months, Using Yandex Cloud and Graph API C2
    Symantec exposed China's Jewelbug APT in an unprecedented 5-month intrusion on a Russian IT provider. The group used Yandex Cloud for data exfiltration and Graph API for stealthy C2 via custom malware.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel เปิดตัว Crescent Island” — GPU สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ พร้อมหน่วยความจำ 160GB และสถาปัตยกรรม Xe3P

    Intel ประกาศเปิดตัว GPU รุ่นใหม่สำหรับศูนย์ข้อมูลในชื่อ “Crescent Island” ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI inference โดยเฉพาะ โดยใช้สถาปัตยกรรมกราฟิก Xe3P ที่พัฒนาต่อจาก Xe3 ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในซีรีส์ Arc C สำหรับลูกค้าทั่วไป และ Arc Pro B สำหรับงานมืออาชีพ

    Crescent Island ถูกออกแบบให้เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ โดยเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์และต้นทุนที่เหมาะสม พร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาดมหาศาลถึง 160GB ซึ่งช่วยเพิ่มแบนด์วิดธ์และรองรับข้อมูลหลากหลายประเภทที่ใช้ในงาน inference ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ให้บริการ “tokens-as-a-service” ที่ต้องการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่

    Intel ยังพัฒนา software stack แบบ unified สำหรับระบบ AI heterogeneous ซึ่งกำลังทดสอบอยู่บน Arc Pro B-Series เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับ Crescent Island ได้ทันทีเมื่อเปิดตัว

    การส่งมอบตัวอย่าง GPU รุ่นนี้ให้ลูกค้าเริ่มต้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ซึ่งถือเป็นการกลับมาแข่งขันในตลาดศูนย์ข้อมูล AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเน้นความคุ้มค่าและการใช้งานที่ยืดหยุ่นมากกว่าการใช้หน่วยความจำ HBM ที่มีต้นทุนสูงและหายาก

    ข้อมูลในข่าว
    Intel เปิดตัว GPU “Crescent Island” สำหรับงาน AI inference โดยเฉพาะ
    ใช้สถาปัตยกรรม Xe3P ที่พัฒนาต่อจาก Xe3 และจะใช้ใน Arc C-Series และ Arc Pro B-Series
    มาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 160GB
    ออกแบบให้เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ
    รองรับข้อมูลหลากหลายประเภท เหมาะกับผู้ให้บริการ tokens-as-a-service
    พัฒนา software stack แบบ unified สำหรับระบบ AI heterogeneous
    เริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าในครึ่งหลังของปี 2026

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การใช้ LPDDR5X แทน HBM อาจมีข้อจำกัดด้าน latency และ bandwidth ในบางกรณี
    หาก software stack ไม่พร้อมใช้งานเมื่อเปิดตัว อาจกระทบต่อการนำไปใช้งานจริง
    การแข่งขันในตลาด inference GPU ยังมีผู้เล่นรายใหญ่อย่าง NVIDIA และ AMD
    การออกแบบสำหรับเซิร์ฟเวอร์แบบ air-cooled อาจไม่เหมาะกับงานที่ใช้พลังงานสูงมาก

    https://wccftech.com/intel-crescent-island-gpu-next-gen-xe3p-graphics-160-gb-lpddr5x-ai-inference/
    🧠 “Intel เปิดตัว Crescent Island” — GPU สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ พร้อมหน่วยความจำ 160GB และสถาปัตยกรรม Xe3P Intel ประกาศเปิดตัว GPU รุ่นใหม่สำหรับศูนย์ข้อมูลในชื่อ “Crescent Island” ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI inference โดยเฉพาะ โดยใช้สถาปัตยกรรมกราฟิก Xe3P ที่พัฒนาต่อจาก Xe3 ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในซีรีส์ Arc C สำหรับลูกค้าทั่วไป และ Arc Pro B สำหรับงานมืออาชีพ Crescent Island ถูกออกแบบให้เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ โดยเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์และต้นทุนที่เหมาะสม พร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาดมหาศาลถึง 160GB ซึ่งช่วยเพิ่มแบนด์วิดธ์และรองรับข้อมูลหลากหลายประเภทที่ใช้ในงาน inference ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ให้บริการ “tokens-as-a-service” ที่ต้องการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่ Intel ยังพัฒนา software stack แบบ unified สำหรับระบบ AI heterogeneous ซึ่งกำลังทดสอบอยู่บน Arc Pro B-Series เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับ Crescent Island ได้ทันทีเมื่อเปิดตัว การส่งมอบตัวอย่าง GPU รุ่นนี้ให้ลูกค้าเริ่มต้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ซึ่งถือเป็นการกลับมาแข่งขันในตลาดศูนย์ข้อมูล AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเน้นความคุ้มค่าและการใช้งานที่ยืดหยุ่นมากกว่าการใช้หน่วยความจำ HBM ที่มีต้นทุนสูงและหายาก ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Intel เปิดตัว GPU “Crescent Island” สำหรับงาน AI inference โดยเฉพาะ ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Xe3P ที่พัฒนาต่อจาก Xe3 และจะใช้ใน Arc C-Series และ Arc Pro B-Series ➡️ มาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 160GB ➡️ ออกแบบให้เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ➡️ รองรับข้อมูลหลากหลายประเภท เหมาะกับผู้ให้บริการ tokens-as-a-service ➡️ พัฒนา software stack แบบ unified สำหรับระบบ AI heterogeneous ➡️ เริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าในครึ่งหลังของปี 2026 ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การใช้ LPDDR5X แทน HBM อาจมีข้อจำกัดด้าน latency และ bandwidth ในบางกรณี ⛔ หาก software stack ไม่พร้อมใช้งานเมื่อเปิดตัว อาจกระทบต่อการนำไปใช้งานจริง ⛔ การแข่งขันในตลาด inference GPU ยังมีผู้เล่นรายใหญ่อย่าง NVIDIA และ AMD ⛔ การออกแบบสำหรับเซิร์ฟเวอร์แบบ air-cooled อาจไม่เหมาะกับงานที่ใช้พลังงานสูงมาก https://wccftech.com/intel-crescent-island-gpu-next-gen-xe3p-graphics-160-gb-lpddr5x-ai-inference/
    WCCFTECH.COM
    Intel Crescent Island GPU Unveiled: Features Next-Gen Xe3P Graphics Architecture, 160 GB LPDDR5X For AI Inference
    Intel has unveiled its brand new AI inference GPU solution for data centers, codenamed Crescent Island, which features the Xe3P architecture.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AMD และ Intel ฉลองครบรอบพันธมิตร x86” — พร้อมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่เสริมความปลอดภัยใน CPU ยุคหน้า

    AMD และ Intel สองยักษ์ใหญ่แห่งวงการซีพียู ได้ร่วมฉลองครบรอบ 1 ปีของการก่อตั้งกลุ่มพันธมิตร x86 Ecosystem Advisory Group ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาและประสานงานฟีเจอร์ใหม่ในสถาปัตยกรรม x86 ให้รองรับร่วมกันระหว่างสองค่าย

    ในปีแรกของความร่วมมือ ทั้งสองบริษัทสามารถผลักดันฟีเจอร์ใหม่ได้ถึง 4 รายการ ได้แก่ ACE (Advanced Matrix Extension), AVX10, FRED (Flexible Return and Event Delivery) และ ChkTag (x86 Memory Tagging) ซึ่งทั้งหมดมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบ

    ฟีเจอร์ ACE และ AVX10 จะช่วยเพิ่มความเร็วในการคำนวณเมทริกซ์และเวกเตอร์ โดย Intel ได้เริ่มใช้งาน AVX10.1 และ AMX ในซีพียู Granite Rapids แล้ว ส่วน AMD จะเริ่มรองรับในรุ่นถัดไป เช่น Zen 6 หรือ Zen 7

    FRED เป็นฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อแทนที่กลไกการจัดการ interrupt แบบเดิมของ x86 โดยใช้เส้นทางการเข้าออกจากโหมดผู้ใช้และโหมดเคอร์เนลที่กำหนดโดยฮาร์ดแวร์ ซึ่งช่วยลด latency และเพิ่มความปลอดภัยในการสลับบริบทระหว่างแอปพลิเคชันกับระบบปฏิบัติการ

    ChkTag หรือ x86 Memory Tagging เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก แต่มีความสำคัญในการตรวจจับข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัยของหน่วยความจำ เช่น buffer overflow และ use-after-free โดยใช้การติดแท็กหน่วยความจำในระดับฮาร์ดแวร์ ซึ่งคล้ายกับเทคโนโลยี MTE ของ Arm ที่ Apple และ Ampere ใช้อยู่

    แม้จะยังไม่มีกรอบเวลาชัดเจนในการนำฟีเจอร์เหล่านี้มาใช้งานจริงในผลิตภัณฑ์ แต่การรับรองจากกลุ่มพันธมิตร x86 ถือเป็นสัญญาณว่าอนาคตของซีพียูจะมีความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างแน่นอน

    ข้อมูลในข่าว
    AMD และ Intel ฉลองครบรอบ 1 ปีของกลุ่มพันธมิตร x86 Ecosystem Advisory Group
    ฟีเจอร์ใหม่ที่ได้รับการรับรอง ได้แก่ ACE, AVX10, FRED และ ChkTag
    ACE และ AVX10 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการคำนวณเมทริกซ์และเวกเตอร์
    Intel เริ่มใช้งาน AVX10.1 และ AMX แล้ว ส่วน AMD จะรองรับใน Zen รุ่นถัดไป
    FRED แทนที่กลไก interrupt แบบเดิมด้วยเส้นทางที่กำหนดโดยฮาร์ดแวร์
    ChkTag ตรวจจับข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัยของหน่วยความจำในระดับฮาร์ดแวร์
    เทคโนโลยีคล้ายกับ MTE ของ Arm ที่ Apple และ Ampere ใช้

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-and-intel-celebrate-first-anniversary-of-x86-alliance-new-security-features-coming-to-x86-cpus
    🤝 “AMD และ Intel ฉลองครบรอบพันธมิตร x86” — พร้อมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่เสริมความปลอดภัยใน CPU ยุคหน้า AMD และ Intel สองยักษ์ใหญ่แห่งวงการซีพียู ได้ร่วมฉลองครบรอบ 1 ปีของการก่อตั้งกลุ่มพันธมิตร x86 Ecosystem Advisory Group ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาและประสานงานฟีเจอร์ใหม่ในสถาปัตยกรรม x86 ให้รองรับร่วมกันระหว่างสองค่าย ในปีแรกของความร่วมมือ ทั้งสองบริษัทสามารถผลักดันฟีเจอร์ใหม่ได้ถึง 4 รายการ ได้แก่ ACE (Advanced Matrix Extension), AVX10, FRED (Flexible Return and Event Delivery) และ ChkTag (x86 Memory Tagging) ซึ่งทั้งหมดมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบ ฟีเจอร์ ACE และ AVX10 จะช่วยเพิ่มความเร็วในการคำนวณเมทริกซ์และเวกเตอร์ โดย Intel ได้เริ่มใช้งาน AVX10.1 และ AMX ในซีพียู Granite Rapids แล้ว ส่วน AMD จะเริ่มรองรับในรุ่นถัดไป เช่น Zen 6 หรือ Zen 7 FRED เป็นฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อแทนที่กลไกการจัดการ interrupt แบบเดิมของ x86 โดยใช้เส้นทางการเข้าออกจากโหมดผู้ใช้และโหมดเคอร์เนลที่กำหนดโดยฮาร์ดแวร์ ซึ่งช่วยลด latency และเพิ่มความปลอดภัยในการสลับบริบทระหว่างแอปพลิเคชันกับระบบปฏิบัติการ ChkTag หรือ x86 Memory Tagging เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก แต่มีความสำคัญในการตรวจจับข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัยของหน่วยความจำ เช่น buffer overflow และ use-after-free โดยใช้การติดแท็กหน่วยความจำในระดับฮาร์ดแวร์ ซึ่งคล้ายกับเทคโนโลยี MTE ของ Arm ที่ Apple และ Ampere ใช้อยู่ แม้จะยังไม่มีกรอบเวลาชัดเจนในการนำฟีเจอร์เหล่านี้มาใช้งานจริงในผลิตภัณฑ์ แต่การรับรองจากกลุ่มพันธมิตร x86 ถือเป็นสัญญาณว่าอนาคตของซีพียูจะมีความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างแน่นอน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ AMD และ Intel ฉลองครบรอบ 1 ปีของกลุ่มพันธมิตร x86 Ecosystem Advisory Group ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ที่ได้รับการรับรอง ได้แก่ ACE, AVX10, FRED และ ChkTag ➡️ ACE และ AVX10 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการคำนวณเมทริกซ์และเวกเตอร์ ➡️ Intel เริ่มใช้งาน AVX10.1 และ AMX แล้ว ส่วน AMD จะรองรับใน Zen รุ่นถัดไป ➡️ FRED แทนที่กลไก interrupt แบบเดิมด้วยเส้นทางที่กำหนดโดยฮาร์ดแวร์ ➡️ ChkTag ตรวจจับข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัยของหน่วยความจำในระดับฮาร์ดแวร์ ➡️ เทคโนโลยีคล้ายกับ MTE ของ Arm ที่ Apple และ Ampere ใช้ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-and-intel-celebrate-first-anniversary-of-x86-alliance-new-security-features-coming-to-x86-cpus
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • Decoding Market Opportunities: Key Insights from the Insomnia Market Research

    Recent Insomnia Market research highlights how evolving patient expectations and technology integration are reshaping treatment methodologies. Research shows that insomnia affects more than one-third of adults globally, contributing to increased healthcare costs and lost productivity. The condition’s psychological and physiological impacts are encouraging pharmaceutical and technology companies to innovate beyond traditional medication-based therapies. Behavioral therapies, digital platforms, and wearable monitoring devices are at the forefront of this evolution. The increasing preference for non-drug treatments is transforming the competitive landscape, allowing new entrants and startups to thrive.

    Ref - https://www.marketresearchfuture.com/reports/insomnia-market-545
    Decoding Market Opportunities: Key Insights from the Insomnia Market Research Recent Insomnia Market research highlights how evolving patient expectations and technology integration are reshaping treatment methodologies. Research shows that insomnia affects more than one-third of adults globally, contributing to increased healthcare costs and lost productivity. The condition’s psychological and physiological impacts are encouraging pharmaceutical and technology companies to innovate beyond traditional medication-based therapies. Behavioral therapies, digital platforms, and wearable monitoring devices are at the forefront of this evolution. The increasing preference for non-drug treatments is transforming the competitive landscape, allowing new entrants and startups to thrive. Ref - https://www.marketresearchfuture.com/reports/insomnia-market-545
    WWW.MARKETRESEARCHFUTURE.COM
    Insomnia Market Size, Trends Analysis, Growth Report 2035
    Insomnia Market growth is projected to reach 8.64 USD billion, at a 5.8% CAGR by driving industry size, share, top company analysis, segments research, trends and forecast report 2024 to 2032.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • Congratulations to the 2025 Nobel Prize Laureates in Physiology or Medicine
    Congratulations to Mary E. Brunkow, Fred Ramsdell, and Shimon Sakaguchi, awarded the 2025 Nobel Prize in Physiology or Medicine for their work on peripheral immune tolerance. Sakaguchi’s discovery of regulatory T cells in 1995 revealed the immune system’s peacekeepers, while Brunkow and Ramsdell’s identification of the Foxp3 gene in 2001 showed its vital role in preventing autoimmune disease. Their combined research transformed immunology, explaining how our bodies avoid harmful self-attacks and unlocking new possibilities for therapies in autoimmune disorders, cancer, and organ transplantation.

    https://www.facebook.com/share/r/1Bkun4BY3v/?mibextid=UalRPS
    Congratulations to the 2025 Nobel Prize Laureates in Physiology or Medicine Congratulations to Mary E. Brunkow, Fred Ramsdell, and Shimon Sakaguchi, awarded the 2025 Nobel Prize in Physiology or Medicine for their work on peripheral immune tolerance. Sakaguchi’s discovery of regulatory T cells in 1995 revealed the immune system’s peacekeepers, while Brunkow and Ramsdell’s identification of the Foxp3 gene in 2001 showed its vital role in preventing autoimmune disease. Their combined research transformed immunology, explaining how our bodies avoid harmful self-attacks and unlocking new possibilities for therapies in autoimmune disorders, cancer, and organ transplantation. https://www.facebook.com/share/r/1Bkun4BY3v/?mibextid=UalRPS
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 1

    กลิ่นสงครามโลกฉุนขึ้นทุกวัน สงครามชิงความเป็นเจ้าของโลกถ้าจะเลี่ยงยาก จะเริ่มเมื่อไหร่และจะเริ่มที่ไหนเท่านั้นเอง

    อันที่จริง สงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มส่งสัญญาณ ส่งกลิ่นครั้งแรกมาแล้วตั้งแต่ วันที่รัสเซียยกกองทัพเข้าไปยึด Crimea เมื่อ 21 มีนาคม ค.ศ.2014 !

    รัสเซียเป็นฝ่ายจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างนั้นหรือ อย่าเพิ่งลงความเห็น ใจเย็น ตามอ่านกันไปเรื่อยๆก่อนครับ

    ถ้าสังเกตกัน ผมเริ่มเขียนนิทานและเอาลงให้อ่านในเพจนิทานฯ ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว (ค.ศ.2013) แต่ ละเรื่องที่ผมเขียน เกี่ยวเนื่องและขยายความซึ่งกันและกัน เป็นการปูพื้นเรื่องราว เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ท่านผู้อ่าน ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในบ้านเราและนอกบ้าน ซึ่งในที่สุดแล้ว จะนำไปสู่เหตุการณ์วิกฤติสำคัญของโลก ซึ่งผมคาดว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะเกิดขึ้น ในช่วงเวลาตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป

    คงจำกันได้ (ถ้าจำไม่ได้โปรดกลับไปอ่านนิทานเรื่อง หักหน้า หักหลัง ใหม่ นะครับ) ผมได้เล่าให้ฟังว่า Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษด้านภูมิศาสตร์ การเมือง (Geopolitics) บอกมา 100 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 ในการสัมมนาของ Rayal Geographic Society ที่ London ว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นจะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และนั่นหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์

    Eurasia คือบริเวณที่เริ่มตั้งแต่แม่น้ำ Elbe ในเยอรมัน ยาวลงมาถึงทะเล Adriatic ผ่าน Sofia, Bulgaria ข้ามมา Black Sea และ Caspian Sea จน มาถึงเอเซียกลาง ยาวไปถึงจีน เป็นบริเวณที่กว้างใหญ่และอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน ก๊าซ และแร่ธาตุชั้นดีต่างๆ (คร่าวๆก็คือสหภาพโซเวียตและส่วนเหนือของตะวันออกกลางน่ะครับ)

    ครู Mac เรียกใจกลาง Eurasia ว่า Heartland กล่องดวงใจ ซึ่งเป็นอาณาบริเวณปัจจุบัน ของรัสเซียและยูเครน !
    รอบกล่องดวงใจ จะมีประเทศที่สำคัญเช่น เยอรมัน ออสเตรีย ตุรกี อินเดีย และจีน ล้อมรอบอยู่

    แต่ถ้าเอา Eurasia ยุโรป และเอเซียมารวมกัน ครู Mac เรียกอาณาบริเวณทั้งหมดนั้น ว่า World Island ซึ่ง World Island นี่ ครู Mac ไม่นับรวมอังกฤษ เกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เข้าไปด้วย เพราะครู Mac วางแผนให้อังกฤษเท่านั้น เป็นผู้ครอบครอง World Island ทั้งหมด! แน่จริงครู!

    ครู Mac บอกว่า สหภาพโซเวียต เป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่เข้มแข็งที่สุดโดยสภาพของธรรมชาติ ที่ทำให้สามารถป้องกันตัวเองได้เป็นอย่างดี และมีความได้เปรียบอย่างสำคัญ นอกจากนี้สหภาพโซเวียต ยังเพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพอย่างยิ่ง เป็นจำนวนมาก

    บทเรียนเกี่ยวกับยุทธศาสตร์สำคัญของครู Mac ที่ก้องอยู่ ในรูหู ของเหล่าบรรดาลูกศิษย์ ซึ่งมีทั้งอยู่ทั้งในอังกฤษและอเมริกา ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1904 และกลายเป็นต้นกำเนิดของยุทธศาสตร์การชิงโลก หรือการทำสงครามโลก ตั้งแต่ครั้งที่ 1, 2 และอาจจะครั้งที่ 3 ด้วย คือ

    Who rules East Europe commands the Heartland
    Who rules the Heartland commands the World Island
    Who rules the World Island commands the World

    นอกจากนี้ครู Mac ยังบอกกับอังกฤษศิษย์รักว่า ยุทธศาสตร์ที่อังกฤษจะต้องยึดถือเป็นหลัก จำใส่หัวไว้อย่าได้ลืมเป็นอันขาด คือต้องทำทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้มีการรวมตัวกันระหว่าง Poland, Czecho, Austria, Hungary และ Russia

    แนวความคิดของครู Mac เป็น เสมือนเข็มทิศ แรงผลักดันที่สำคัญ ที่ทำให้อังกฤษคิดครองโลก และนำไปสู่การตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ.1914 เมื่ออังกฤษรู้ว่า “น้ำมัน” คืออาวุธสำคัญในการครองโลก และขณะนั้นอังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง แม้แต่แหล่งเดียว ขณะ เดียวกัน อังกฤษก็เตรียมพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อทำลายเยอรมัน ซึ่งอังกฤษคิดว่าเป็นคู่แข่งสำคัญในแผนการครองโลกของอังกฤษ (รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในนิทานชุดเหยื่อ)

    คงไม่เกินไป ถ้าจะบอกว่า ความหายนะของโลกนี้ ที่เกิดขึ้นจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เริ่มต้นจากทฤษฎีครู Mac ตัณหาและความอยากครองโลกของอังกฤษ ผู้เป็นเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    30 พย. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 1 กลิ่นสงครามโลกฉุนขึ้นทุกวัน สงครามชิงความเป็นเจ้าของโลกถ้าจะเลี่ยงยาก จะเริ่มเมื่อไหร่และจะเริ่มที่ไหนเท่านั้นเอง อันที่จริง สงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มส่งสัญญาณ ส่งกลิ่นครั้งแรกมาแล้วตั้งแต่ วันที่รัสเซียยกกองทัพเข้าไปยึด Crimea เมื่อ 21 มีนาคม ค.ศ.2014 ! รัสเซียเป็นฝ่ายจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างนั้นหรือ อย่าเพิ่งลงความเห็น ใจเย็น ตามอ่านกันไปเรื่อยๆก่อนครับ ถ้าสังเกตกัน ผมเริ่มเขียนนิทานและเอาลงให้อ่านในเพจนิทานฯ ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว (ค.ศ.2013) แต่ ละเรื่องที่ผมเขียน เกี่ยวเนื่องและขยายความซึ่งกันและกัน เป็นการปูพื้นเรื่องราว เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ท่านผู้อ่าน ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในบ้านเราและนอกบ้าน ซึ่งในที่สุดแล้ว จะนำไปสู่เหตุการณ์วิกฤติสำคัญของโลก ซึ่งผมคาดว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะเกิดขึ้น ในช่วงเวลาตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป คงจำกันได้ (ถ้าจำไม่ได้โปรดกลับไปอ่านนิทานเรื่อง หักหน้า หักหลัง ใหม่ นะครับ) ผมได้เล่าให้ฟังว่า Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษด้านภูมิศาสตร์ การเมือง (Geopolitics) บอกมา 100 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 ในการสัมมนาของ Rayal Geographic Society ที่ London ว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นจะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และนั่นหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์ Eurasia คือบริเวณที่เริ่มตั้งแต่แม่น้ำ Elbe ในเยอรมัน ยาวลงมาถึงทะเล Adriatic ผ่าน Sofia, Bulgaria ข้ามมา Black Sea และ Caspian Sea จน มาถึงเอเซียกลาง ยาวไปถึงจีน เป็นบริเวณที่กว้างใหญ่และอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน ก๊าซ และแร่ธาตุชั้นดีต่างๆ (คร่าวๆก็คือสหภาพโซเวียตและส่วนเหนือของตะวันออกกลางน่ะครับ) ครู Mac เรียกใจกลาง Eurasia ว่า Heartland กล่องดวงใจ ซึ่งเป็นอาณาบริเวณปัจจุบัน ของรัสเซียและยูเครน ! รอบกล่องดวงใจ จะมีประเทศที่สำคัญเช่น เยอรมัน ออสเตรีย ตุรกี อินเดีย และจีน ล้อมรอบอยู่ แต่ถ้าเอา Eurasia ยุโรป และเอเซียมารวมกัน ครู Mac เรียกอาณาบริเวณทั้งหมดนั้น ว่า World Island ซึ่ง World Island นี่ ครู Mac ไม่นับรวมอังกฤษ เกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เข้าไปด้วย เพราะครู Mac วางแผนให้อังกฤษเท่านั้น เป็นผู้ครอบครอง World Island ทั้งหมด! แน่จริงครู! ครู Mac บอกว่า สหภาพโซเวียต เป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่เข้มแข็งที่สุดโดยสภาพของธรรมชาติ ที่ทำให้สามารถป้องกันตัวเองได้เป็นอย่างดี และมีความได้เปรียบอย่างสำคัญ นอกจากนี้สหภาพโซเวียต ยังเพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพอย่างยิ่ง เป็นจำนวนมาก บทเรียนเกี่ยวกับยุทธศาสตร์สำคัญของครู Mac ที่ก้องอยู่ ในรูหู ของเหล่าบรรดาลูกศิษย์ ซึ่งมีทั้งอยู่ทั้งในอังกฤษและอเมริกา ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1904 และกลายเป็นต้นกำเนิดของยุทธศาสตร์การชิงโลก หรือการทำสงครามโลก ตั้งแต่ครั้งที่ 1, 2 และอาจจะครั้งที่ 3 ด้วย คือ Who rules East Europe commands the Heartland Who rules the Heartland commands the World Island Who rules the World Island commands the World นอกจากนี้ครู Mac ยังบอกกับอังกฤษศิษย์รักว่า ยุทธศาสตร์ที่อังกฤษจะต้องยึดถือเป็นหลัก จำใส่หัวไว้อย่าได้ลืมเป็นอันขาด คือต้องทำทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้มีการรวมตัวกันระหว่าง Poland, Czecho, Austria, Hungary และ Russia แนวความคิดของครู Mac เป็น เสมือนเข็มทิศ แรงผลักดันที่สำคัญ ที่ทำให้อังกฤษคิดครองโลก และนำไปสู่การตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ.1914 เมื่ออังกฤษรู้ว่า “น้ำมัน” คืออาวุธสำคัญในการครองโลก และขณะนั้นอังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง แม้แต่แหล่งเดียว ขณะ เดียวกัน อังกฤษก็เตรียมพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อทำลายเยอรมัน ซึ่งอังกฤษคิดว่าเป็นคู่แข่งสำคัญในแผนการครองโลกของอังกฤษ (รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในนิทานชุดเหยื่อ) คงไม่เกินไป ถ้าจะบอกว่า ความหายนะของโลกนี้ ที่เกิดขึ้นจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เริ่มต้นจากทฤษฎีครู Mac ตัณหาและความอยากครองโลกของอังกฤษ ผู้เป็นเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 30 พย. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel เปิดตัว XeSS 3 พร้อม Multi-Frame Generation — เพิ่มเฟรม 4 เท่า รองรับ GPU รุ่นเก่า ท้าชน DLSS และ FSR”

    Intel ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยี XeSS 3 รุ่นใหม่ที่มาพร้อมฟีเจอร์ Multi-Frame Generation (MFG) ซึ่งสามารถสร้างเฟรมภาพด้วย AI ได้สูงสุดถึง 4 เท่า โดยใช้การแทรกเฟรมระหว่างเฟรมจริงที่ GPU เรนเดอร์ เพื่อเพิ่มความลื่นไหลของภาพในเกมและแอปพลิเคชันกราฟิก

    จุดเด่นของ XeSS-MFG คือ “รองรับ GPU รุ่นเก่า” ทั้ง Arc Alchemist รุ่นแรก, Xe2 และแม้แต่ Xe1 ในอนาคต ซึ่งแตกต่างจาก Nvidia ที่จำกัด MFG เฉพาะ RTX 5000 เท่านั้น ทำให้ Intel กลายเป็นผู้ผลิต GPU รายแรกที่เปิดให้ใช้ MFG ได้หลายเจเนอเรชัน

    เทคโนโลยีนี้จะถูกฝังอยู่ในชิปกราฟิก Xe3 ที่มาพร้อมกับซีพียู Panther Lake ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนมกราคม 2026 โดย Intel ระบุว่า Xe3 จะมีประสิทธิภาพด้านกราฟิกสูงกว่า Xe2 ถึง 50% และเมื่อรวมกับ MFG จะสามารถเพิ่มเฟรมเรตได้อย่างมหาศาลในเกมที่รองรับ

    XeSS-MFG ใช้ motion vectors และ depth buffers เพื่อสร้าง optical flow network แล้วแทรกเฟรมภาพ 3 เฟรมระหว่างเฟรมจริง 2 เฟรม ทำให้ได้เฟรมรวมสูงสุด 4 เท่า พร้อมระบบ Frame Pacing เพื่อให้เฟรมแสดงผลตรงจังหวะ

    Intel ยังเตรียมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในแอป Graphics Software เช่น Frame Generation Override ที่ให้ผู้ใช้เลือกโหมด 2x, 3x หรือ 4x ได้เอง และ Shared GPU/NPU Memory Override ที่ให้ผู้ใช้จัดสรรหน่วยความจำระบบสำหรับงาน AI ได้คล้ายกับฟีเจอร์ของ AMD

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel เปิดตัว XeSS 3 พร้อมฟีเจอร์ Multi-Frame Generation (MFG)
    MFG สามารถสร้างเฟรมภาพได้สูงสุด 4 เท่า (3 เฟรม AI ต่อ 1 เฟรมจริง)
    ใช้ motion vectors และ depth buffers สร้าง optical flow network
    รองรับ GPU รุ่นเก่า เช่น Arc Alchemist, Xe2 และ Xe1 ในอนาคต
    XeSS-MFG จะฝังอยู่ในชิป Xe3 ที่มากับซีพียู Panther Lake
    Xe3 มีประสิทธิภาพกราฟิกสูงกว่า Xe2 ถึง 50%
    Frame Generation Override ให้ผู้ใช้เลือกโหมดเฟรมได้เอง
    Shared GPU/NPU Memory Override ให้จัดสรรหน่วยความจำสำหรับงาน AI
    XeSS 3 จะเปิดตัวพร้อม Panther Lake ในเดือนมกราคม 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nvidia เปิดตัว MFG ใน DLSS 4 แต่จำกัดเฉพาะ RTX 5000 เท่านั้น
    AMD เตรียมเปิดตัว FSR Redstone ที่มีฟีเจอร์ frame generation ในปี 2026
    Optical flow network เป็นเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของภาพ
    Frame Pacing ช่วยให้เฟรมที่สร้างขึ้นแสดงผลตรงจังหวะ ไม่กระตุก
    XeSS 3 ใช้ AI และ machine learning เพื่อปรับปรุงคุณภาพภาพและความลื่นไหล

    https://www.techradar.com/computing/gpu/intel-reveals-xess-3-with-multi-frame-generation-and-unlike-nvidias-mfg-it-works-on-older-gpus
    🚀 “Intel เปิดตัว XeSS 3 พร้อม Multi-Frame Generation — เพิ่มเฟรม 4 เท่า รองรับ GPU รุ่นเก่า ท้าชน DLSS และ FSR” Intel ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยี XeSS 3 รุ่นใหม่ที่มาพร้อมฟีเจอร์ Multi-Frame Generation (MFG) ซึ่งสามารถสร้างเฟรมภาพด้วย AI ได้สูงสุดถึง 4 เท่า โดยใช้การแทรกเฟรมระหว่างเฟรมจริงที่ GPU เรนเดอร์ เพื่อเพิ่มความลื่นไหลของภาพในเกมและแอปพลิเคชันกราฟิก จุดเด่นของ XeSS-MFG คือ “รองรับ GPU รุ่นเก่า” ทั้ง Arc Alchemist รุ่นแรก, Xe2 และแม้แต่ Xe1 ในอนาคต ซึ่งแตกต่างจาก Nvidia ที่จำกัด MFG เฉพาะ RTX 5000 เท่านั้น ทำให้ Intel กลายเป็นผู้ผลิต GPU รายแรกที่เปิดให้ใช้ MFG ได้หลายเจเนอเรชัน เทคโนโลยีนี้จะถูกฝังอยู่ในชิปกราฟิก Xe3 ที่มาพร้อมกับซีพียู Panther Lake ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนมกราคม 2026 โดย Intel ระบุว่า Xe3 จะมีประสิทธิภาพด้านกราฟิกสูงกว่า Xe2 ถึง 50% และเมื่อรวมกับ MFG จะสามารถเพิ่มเฟรมเรตได้อย่างมหาศาลในเกมที่รองรับ XeSS-MFG ใช้ motion vectors และ depth buffers เพื่อสร้าง optical flow network แล้วแทรกเฟรมภาพ 3 เฟรมระหว่างเฟรมจริง 2 เฟรม ทำให้ได้เฟรมรวมสูงสุด 4 เท่า พร้อมระบบ Frame Pacing เพื่อให้เฟรมแสดงผลตรงจังหวะ Intel ยังเตรียมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในแอป Graphics Software เช่น Frame Generation Override ที่ให้ผู้ใช้เลือกโหมด 2x, 3x หรือ 4x ได้เอง และ Shared GPU/NPU Memory Override ที่ให้ผู้ใช้จัดสรรหน่วยความจำระบบสำหรับงาน AI ได้คล้ายกับฟีเจอร์ของ AMD ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel เปิดตัว XeSS 3 พร้อมฟีเจอร์ Multi-Frame Generation (MFG) ➡️ MFG สามารถสร้างเฟรมภาพได้สูงสุด 4 เท่า (3 เฟรม AI ต่อ 1 เฟรมจริง) ➡️ ใช้ motion vectors และ depth buffers สร้าง optical flow network ➡️ รองรับ GPU รุ่นเก่า เช่น Arc Alchemist, Xe2 และ Xe1 ในอนาคต ➡️ XeSS-MFG จะฝังอยู่ในชิป Xe3 ที่มากับซีพียู Panther Lake ➡️ Xe3 มีประสิทธิภาพกราฟิกสูงกว่า Xe2 ถึง 50% ➡️ Frame Generation Override ให้ผู้ใช้เลือกโหมดเฟรมได้เอง ➡️ Shared GPU/NPU Memory Override ให้จัดสรรหน่วยความจำสำหรับงาน AI ➡️ XeSS 3 จะเปิดตัวพร้อม Panther Lake ในเดือนมกราคม 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nvidia เปิดตัว MFG ใน DLSS 4 แต่จำกัดเฉพาะ RTX 5000 เท่านั้น ➡️ AMD เตรียมเปิดตัว FSR Redstone ที่มีฟีเจอร์ frame generation ในปี 2026 ➡️ Optical flow network เป็นเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของภาพ ➡️ Frame Pacing ช่วยให้เฟรมที่สร้างขึ้นแสดงผลตรงจังหวะ ไม่กระตุก ➡️ XeSS 3 ใช้ AI และ machine learning เพื่อปรับปรุงคุณภาพภาพและความลื่นไหล https://www.techradar.com/computing/gpu/intel-reveals-xess-3-with-multi-frame-generation-and-unlike-nvidias-mfg-it-works-on-older-gpus
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Crimson Collective เจาะระบบ AWS ด้วย TruffleHog — ขโมยข้อมูล 570GB จาก Red Hat และเริ่มขยายเป้าหมายสู่คลาวด์ทั่วโลก”

    กลุ่มแฮกเกอร์ Crimson Collective ซึ่งเคยสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับ Red Hat ด้วยการขโมยข้อมูลกว่า 570GB จาก GitLab repository ภายในองค์กร กำลังขยายเป้าหมายไปยังระบบคลาวด์ของ Amazon Web Services (AWS) โดยใช้เครื่องมือโอเพ่นซอร์สชื่อ TruffleHog ในการค้นหาคีย์ลับและข้อมูลรับรองที่หลุดจากโค้ดหรือ repository สาธารณะ

    เมื่อได้ข้อมูลรับรองของ AWS แล้ว กลุ่มนี้จะใช้ API เพื่อสร้าง IAM users และ access keys ใหม่ พร้อมแนบ policy ระดับสูงอย่าง AdministratorAccess เพื่อยกระดับสิทธิ์ จากนั้นจะทำการสำรวจโครงสร้างระบบของเหยื่อ เช่น EC2, S3, RDS และ EBS เพื่อวางแผนการขโมยข้อมูลและการเรียกค่าไถ่

    ในกรณีของ Red Hat ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึง Customer Engagement Records (CER) จำนวน 800 รายการ ซึ่งเป็นเอกสารภายในที่มีข้อมูลโครงสร้างระบบของลูกค้า เช่น network architecture, system configuration, credentials และคำแนะนำในการแก้ปัญหา

    นักวิจัยจาก Rapid7 พบว่า Crimson Collective ใช้หลาย IP address และมีการ reuse บาง IP ในหลายเหตุการณ์ ทำให้สามารถติดตามพฤติกรรมได้บางส่วน นอกจากนี้ยังมีการส่งอีเมลเรียกค่าไถ่ผ่านระบบ AWS Simple Email Service (SES) ภายในบัญชีที่ถูกเจาะ

    AWS แนะนำให้ผู้ใช้ใช้ credentials แบบ short-term และ least privilege พร้อมตั้ง IAM policy ที่จำกัดสิทธิ์อย่างเข้มงวด และหากสงสัยว่าข้อมูลรับรองอาจหลุด ควรดำเนินการตามขั้นตอนที่ AWS แนะนำทันที

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Crimson Collective ขโมยข้อมูล 570GB จาก Red Hat โดยใช้ TruffleHog
    ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึง 800 CER ที่มีข้อมูลโครงสร้างระบบของลูกค้า
    กลุ่มนี้ขยายเป้าหมายไปยัง AWS โดยใช้ credentials ที่หลุดจาก repository
    ใช้ API สร้าง IAM users และ access keys พร้อมแนบ AdministratorAccess
    สำรวจ EC2, S3, RDS, EBS เพื่อวางแผนการขโมยข้อมูล
    ส่งอีเมลเรียกค่าไถ่ผ่าน AWS SES ภายในบัญชีที่ถูกเจาะ
    Rapid7 พบการใช้หลาย IP และการ reuse IP ในหลายเหตุการณ์
    AWS แนะนำให้ใช้ credentials แบบ short-term และ least privilege
    หากสงสัยว่าข้อมูลหลุด ควรดำเนินการตามขั้นตอนที่ AWS แนะนำ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TruffleHog เป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ใช้ค้นหาคีย์ลับในโค้ดและ repository
    IAM (Identity and Access Management) เป็นระบบจัดการสิทธิ์ใน AWS
    AdministratorAccess เป็น policy ที่ให้สิทธิ์เต็มรูปแบบในบัญชี AWS
    CER ของ Red Hat มักมีข้อมูลละเอียดที่ใช้ในการให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าองค์กร
    การใช้ SES ภายในบัญชีที่ถูกเจาะช่วยให้แฮกเกอร์ส่งอีเมลได้โดยไม่ถูกบล็อก

    https://www.techradar.com/pro/security/red-hat-hackers-crimson-collective-are-now-going-after-aws-instances
    🛡️ “Crimson Collective เจาะระบบ AWS ด้วย TruffleHog — ขโมยข้อมูล 570GB จาก Red Hat และเริ่มขยายเป้าหมายสู่คลาวด์ทั่วโลก” กลุ่มแฮกเกอร์ Crimson Collective ซึ่งเคยสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับ Red Hat ด้วยการขโมยข้อมูลกว่า 570GB จาก GitLab repository ภายในองค์กร กำลังขยายเป้าหมายไปยังระบบคลาวด์ของ Amazon Web Services (AWS) โดยใช้เครื่องมือโอเพ่นซอร์สชื่อ TruffleHog ในการค้นหาคีย์ลับและข้อมูลรับรองที่หลุดจากโค้ดหรือ repository สาธารณะ เมื่อได้ข้อมูลรับรองของ AWS แล้ว กลุ่มนี้จะใช้ API เพื่อสร้าง IAM users และ access keys ใหม่ พร้อมแนบ policy ระดับสูงอย่าง AdministratorAccess เพื่อยกระดับสิทธิ์ จากนั้นจะทำการสำรวจโครงสร้างระบบของเหยื่อ เช่น EC2, S3, RDS และ EBS เพื่อวางแผนการขโมยข้อมูลและการเรียกค่าไถ่ ในกรณีของ Red Hat ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึง Customer Engagement Records (CER) จำนวน 800 รายการ ซึ่งเป็นเอกสารภายในที่มีข้อมูลโครงสร้างระบบของลูกค้า เช่น network architecture, system configuration, credentials และคำแนะนำในการแก้ปัญหา นักวิจัยจาก Rapid7 พบว่า Crimson Collective ใช้หลาย IP address และมีการ reuse บาง IP ในหลายเหตุการณ์ ทำให้สามารถติดตามพฤติกรรมได้บางส่วน นอกจากนี้ยังมีการส่งอีเมลเรียกค่าไถ่ผ่านระบบ AWS Simple Email Service (SES) ภายในบัญชีที่ถูกเจาะ AWS แนะนำให้ผู้ใช้ใช้ credentials แบบ short-term และ least privilege พร้อมตั้ง IAM policy ที่จำกัดสิทธิ์อย่างเข้มงวด และหากสงสัยว่าข้อมูลรับรองอาจหลุด ควรดำเนินการตามขั้นตอนที่ AWS แนะนำทันที ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Crimson Collective ขโมยข้อมูล 570GB จาก Red Hat โดยใช้ TruffleHog ➡️ ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึง 800 CER ที่มีข้อมูลโครงสร้างระบบของลูกค้า ➡️ กลุ่มนี้ขยายเป้าหมายไปยัง AWS โดยใช้ credentials ที่หลุดจาก repository ➡️ ใช้ API สร้าง IAM users และ access keys พร้อมแนบ AdministratorAccess ➡️ สำรวจ EC2, S3, RDS, EBS เพื่อวางแผนการขโมยข้อมูล ➡️ ส่งอีเมลเรียกค่าไถ่ผ่าน AWS SES ภายในบัญชีที่ถูกเจาะ ➡️ Rapid7 พบการใช้หลาย IP และการ reuse IP ในหลายเหตุการณ์ ➡️ AWS แนะนำให้ใช้ credentials แบบ short-term และ least privilege ➡️ หากสงสัยว่าข้อมูลหลุด ควรดำเนินการตามขั้นตอนที่ AWS แนะนำ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TruffleHog เป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ใช้ค้นหาคีย์ลับในโค้ดและ repository ➡️ IAM (Identity and Access Management) เป็นระบบจัดการสิทธิ์ใน AWS ➡️ AdministratorAccess เป็น policy ที่ให้สิทธิ์เต็มรูปแบบในบัญชี AWS ➡️ CER ของ Red Hat มักมีข้อมูลละเอียดที่ใช้ในการให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าองค์กร ➡️ การใช้ SES ภายในบัญชีที่ถูกเจาะช่วยให้แฮกเกอร์ส่งอีเมลได้โดยไม่ถูกบล็อก https://www.techradar.com/pro/security/red-hat-hackers-crimson-collective-are-now-going-after-aws-instances
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แว่นตาอัจฉริยะจะมาแทนสมาร์ตโฟน? EssilorLuxottica และ Meta เดินหน้าผลิต 10 ล้านชิ้นต่อปี แม้ตลาดยังไม่พร้อม”

    Francesco Milleri ซีอีโอของ EssilorLuxottica ผู้ผลิตแว่นตารายใหญ่ของโลกและพันธมิตรหลักของ Meta ได้ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า “แว่นตาอัจฉริยะจะกลายเป็นอุปกรณ์หลักในชีวิตของผู้คน และอาจแทนที่สมาร์ตโฟนในอนาคตอันใกล้” โดยเขาเชื่อว่าเราจะได้เห็น “ชุมชนขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันผ่านแว่นตาอัจฉริยะหลายร้อยล้านชิ้น”

    เพื่อเตรียมรับความต้องการนี้ EssilorLuxottica ได้เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 10 ล้านชิ้นต่อปีภายในสิ้นปี 2026 โดยไม่เพียงรองรับ Meta เท่านั้น แต่ยังรวมถึงแว่นตา Nuance Audio ที่มีฟังก์ชันช่วยการได้ยินด้วย

    อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า “ความฝันนี้ยังห่างไกลจากความเป็นจริง” เพราะยอดขายสมาร์ตโฟนทั่วโลกยังสูงมาก เช่น Apple ขาย iPhone ได้ถึง 232 ล้านเครื่องในปี 2024 ขณะที่ตลาดรวมของแว่นตาอัจฉริยะคาดว่าจะอยู่ที่ 60 ล้านชิ้นภายในปี 2035 เท่านั้น

    Meta เองก็เร่งพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่ เช่น Ray-Ban Display ที่มีหน้าจอในตัว ความสว่างสูงถึง 5,000 nits และระบบควบคุมผ่าน EMG (electromyography) ที่ตรวจจับสัญญาณจากมือเพื่อสั่งงานด้วยท่าทาง โดยแว่นตารุ่นนี้วางขายแล้วในราคา $799

    Apple ถึงกับหยุดพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่ เพื่อหันมาโฟกัสกับแว่นตาอัจฉริยะที่ใช้ AI เช่นกัน ซึ่งสะท้อนว่าเทรนด์นี้กำลังมาแรง แม้จะยังไม่พร้อมแทนที่สมาร์ตโฟนในเร็ววัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    EssilorLuxottica เพิ่มกำลังการผลิตแว่นตาอัจฉริยะเป็น 10 ล้านชิ้นต่อปีภายในปี 2026
    Francesco Milleri เชื่อว่าแว่นตาอัจฉริยะจะมาแทนสมาร์ตโฟนในอนาคต
    Nuance Audio เป็นแว่นตาที่รวมเทคโนโลยีช่วยการได้ยิน
    ตลาดรวมของแว่นตาอัจฉริยะคาดว่าจะอยู่ที่ 60 ล้านชิ้นภายในปี 2035
    Apple ขาย iPhone ได้ 232 ล้านเครื่องในปี 2024
    Meta เปิดตัว Ray-Ban Display ที่มีหน้าจอในตัวและระบบควบคุมด้วย EMG
    Ray-Ban Display วางขายแล้วในราคา $799
    Apple หยุดพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่เพื่อหันไปโฟกัสกับแว่นตา AI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    EMG คือเทคโนโลยีที่ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อเพื่อควบคุมอุปกรณ์
    Ray-Ban Meta Gen 2 มีแบตเตอรี่ใช้งานได้ 8 ชั่วโมง และกล้อง 12MP ถ่ายวิดีโอ 3K
    Oakley Meta Vanguard เป็นแว่นตาอัจฉริยะสำหรับนักกีฬา พร้อมลำโพงและกล้องมุมกว้าง
    แว่นตาอัจฉริยะสามารถใช้เลนส์สายตาแบบ Transitions Gen S ได้
    Meta และ EssilorLuxottica มีแผนขยายผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มแฟชั่นและสุขภาพ

    https://wccftech.com/essilorluxottica-ceo-sees-smart-glasses-replacing-smartphones-but-there-is-a-disconnect-in-the-numbers/
    👓 “แว่นตาอัจฉริยะจะมาแทนสมาร์ตโฟน? EssilorLuxottica และ Meta เดินหน้าผลิต 10 ล้านชิ้นต่อปี แม้ตลาดยังไม่พร้อม” Francesco Milleri ซีอีโอของ EssilorLuxottica ผู้ผลิตแว่นตารายใหญ่ของโลกและพันธมิตรหลักของ Meta ได้ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า “แว่นตาอัจฉริยะจะกลายเป็นอุปกรณ์หลักในชีวิตของผู้คน และอาจแทนที่สมาร์ตโฟนในอนาคตอันใกล้” โดยเขาเชื่อว่าเราจะได้เห็น “ชุมชนขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันผ่านแว่นตาอัจฉริยะหลายร้อยล้านชิ้น” เพื่อเตรียมรับความต้องการนี้ EssilorLuxottica ได้เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 10 ล้านชิ้นต่อปีภายในสิ้นปี 2026 โดยไม่เพียงรองรับ Meta เท่านั้น แต่ยังรวมถึงแว่นตา Nuance Audio ที่มีฟังก์ชันช่วยการได้ยินด้วย อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า “ความฝันนี้ยังห่างไกลจากความเป็นจริง” เพราะยอดขายสมาร์ตโฟนทั่วโลกยังสูงมาก เช่น Apple ขาย iPhone ได้ถึง 232 ล้านเครื่องในปี 2024 ขณะที่ตลาดรวมของแว่นตาอัจฉริยะคาดว่าจะอยู่ที่ 60 ล้านชิ้นภายในปี 2035 เท่านั้น Meta เองก็เร่งพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่ เช่น Ray-Ban Display ที่มีหน้าจอในตัว ความสว่างสูงถึง 5,000 nits และระบบควบคุมผ่าน EMG (electromyography) ที่ตรวจจับสัญญาณจากมือเพื่อสั่งงานด้วยท่าทาง โดยแว่นตารุ่นนี้วางขายแล้วในราคา $799 Apple ถึงกับหยุดพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่ เพื่อหันมาโฟกัสกับแว่นตาอัจฉริยะที่ใช้ AI เช่นกัน ซึ่งสะท้อนว่าเทรนด์นี้กำลังมาแรง แม้จะยังไม่พร้อมแทนที่สมาร์ตโฟนในเร็ววัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ EssilorLuxottica เพิ่มกำลังการผลิตแว่นตาอัจฉริยะเป็น 10 ล้านชิ้นต่อปีภายในปี 2026 ➡️ Francesco Milleri เชื่อว่าแว่นตาอัจฉริยะจะมาแทนสมาร์ตโฟนในอนาคต ➡️ Nuance Audio เป็นแว่นตาที่รวมเทคโนโลยีช่วยการได้ยิน ➡️ ตลาดรวมของแว่นตาอัจฉริยะคาดว่าจะอยู่ที่ 60 ล้านชิ้นภายในปี 2035 ➡️ Apple ขาย iPhone ได้ 232 ล้านเครื่องในปี 2024 ➡️ Meta เปิดตัว Ray-Ban Display ที่มีหน้าจอในตัวและระบบควบคุมด้วย EMG ➡️ Ray-Ban Display วางขายแล้วในราคา $799 ➡️ Apple หยุดพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่เพื่อหันไปโฟกัสกับแว่นตา AI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ EMG คือเทคโนโลยีที่ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อเพื่อควบคุมอุปกรณ์ ➡️ Ray-Ban Meta Gen 2 มีแบตเตอรี่ใช้งานได้ 8 ชั่วโมง และกล้อง 12MP ถ่ายวิดีโอ 3K ➡️ Oakley Meta Vanguard เป็นแว่นตาอัจฉริยะสำหรับนักกีฬา พร้อมลำโพงและกล้องมุมกว้าง ➡️ แว่นตาอัจฉริยะสามารถใช้เลนส์สายตาแบบ Transitions Gen S ได้ ➡️ Meta และ EssilorLuxottica มีแผนขยายผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มแฟชั่นและสุขภาพ https://wccftech.com/essilorluxottica-ceo-sees-smart-glasses-replacing-smartphones-but-there-is-a-disconnect-in-the-numbers/
    WCCFTECH.COM
    EssilorLuxottica CEO Sees Smart Glasses Replacing Smartphones, But There Is A Disconnect In The Numbers
    Most analyst see the TAM for smart glasses rising to 60 million units by 2035, which pales in comparison to the global smartphone sales.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ASML ตั้ง Marco Pieters เป็น CTO คนใหม่ — ผู้นำเทคโนโลยีลิเธียกราฟีระดับโลกเตรียมขยายบอร์ดบริหารในปี 2026”

    ASML บริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรลิเธียกราฟีสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศแต่งตั้ง Marco Pieters เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) คนใหม่ โดยมีผลทันทีในเดือนตุลาคม 2025 พร้อมเตรียมเสนอชื่อเขาเข้าสู่คณะกรรมการบริหารในเดือนเมษายน 2026

    Pieters เป็นบุคลากรที่อยู่กับ ASML มานานกว่า 25 ปี โดยก่อนหน้านี้ดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์ Applications และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีลิเธียกราฟีแบบ Holistic Lithography ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิปความละเอียดสูงในยุคปัจจุบัน

    การแต่งตั้งครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนสืบทอดตำแหน่งที่วางไว้อย่างรอบคอบ โดย CEO Christophe Fouquet กล่าวว่า “Marco คือผู้นำที่มีความเข้าใจลึกซึ้งในเทคโนโลยีของเรา และจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนแผนงานด้านเทคโนโลยีในอนาคต”

    นอกจากนี้ ASML ยังเตรียมเสนอการแต่งตั้ง Pieters เข้าสู่คณะกรรมการบริหารในการประชุม AGM วันที่ 22 เมษายน 2026 ซึ่งจะทำให้จำนวนสมาชิกเพิ่มจาก 5 เป็น 6 คน พร้อมกับการต่อวาระของ CFO Roger Dassen และ COO Frédéric Schneider-Maunoury เพื่อรักษาความต่อเนื่องของทีมบริหาร

    ASML มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเทคโนโลยีการผลิตชิปทั่วโลก โดยเครื่อง EUV ของบริษัทมีราคาสูงถึง 400 ล้านดอลลาร์ต่อเครื่อง และถูกใช้โดยผู้ผลิตชิปรายใหญ่ เช่น TSMC, Intel และ Samsung

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ASML แต่งตั้ง Marco Pieters เป็น CTO คนใหม่ มีผลทันทีในเดือนตุลาคม 2025
    Pieters มีประสบการณ์กว่า 25 ปีใน ASML และเคยเป็น EVP ฝ่าย Applications
    เคยดูแลโครงการ Holistic Lithography ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญของ ASML
    CEO Christophe Fouquet สนับสนุนการแต่งตั้งอย่างเต็มที่
    Pieters จะถูกเสนอชื่อเข้าสู่คณะกรรมการบริหารในการประชุม AGM วันที่ 22 เมษายน 2026
    คณะกรรมการจะขยายจาก 5 เป็น 6 คน
    CFO Roger Dassen จะต่อวาระอีก 4 ปี และ COO Frédéric Schneider-Maunoury อีก 2 ปี
    ASML เป็นผู้นำด้านเครื่องจักรลิเธียกราฟีสำหรับการผลิตชิประดับโลก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Holistic Lithography คือการรวมการออกแบบ การตรวจสอบ และการผลิตชิปเข้าด้วยกันแบบครบวงจร
    เครื่อง EUV ของ ASML ใช้เลเซอร์พลังสูงในการสร้างลวดลายบนเวเฟอร์ซิลิคอน
    ASML มีสำนักงานทั่วโลก และมีพนักงานมากกว่า 44,000 คน
    บริษัทมีรายได้รวมกว่า €28.3 พันล้านยูโรในปี 2024
    การแต่งตั้ง CTO จากภายในองค์กรช่วยรักษาความต่อเนื่องและวัฒนธรรมองค์กร

    https://www.techpowerup.com/341731/asml-appoints-marco-pieters-as-next-chief-technology-officer
    🧠 “ASML ตั้ง Marco Pieters เป็น CTO คนใหม่ — ผู้นำเทคโนโลยีลิเธียกราฟีระดับโลกเตรียมขยายบอร์ดบริหารในปี 2026” ASML บริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรลิเธียกราฟีสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศแต่งตั้ง Marco Pieters เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) คนใหม่ โดยมีผลทันทีในเดือนตุลาคม 2025 พร้อมเตรียมเสนอชื่อเขาเข้าสู่คณะกรรมการบริหารในเดือนเมษายน 2026 Pieters เป็นบุคลากรที่อยู่กับ ASML มานานกว่า 25 ปี โดยก่อนหน้านี้ดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์ Applications และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีลิเธียกราฟีแบบ Holistic Lithography ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิปความละเอียดสูงในยุคปัจจุบัน การแต่งตั้งครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนสืบทอดตำแหน่งที่วางไว้อย่างรอบคอบ โดย CEO Christophe Fouquet กล่าวว่า “Marco คือผู้นำที่มีความเข้าใจลึกซึ้งในเทคโนโลยีของเรา และจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนแผนงานด้านเทคโนโลยีในอนาคต” นอกจากนี้ ASML ยังเตรียมเสนอการแต่งตั้ง Pieters เข้าสู่คณะกรรมการบริหารในการประชุม AGM วันที่ 22 เมษายน 2026 ซึ่งจะทำให้จำนวนสมาชิกเพิ่มจาก 5 เป็น 6 คน พร้อมกับการต่อวาระของ CFO Roger Dassen และ COO Frédéric Schneider-Maunoury เพื่อรักษาความต่อเนื่องของทีมบริหาร ASML มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเทคโนโลยีการผลิตชิปทั่วโลก โดยเครื่อง EUV ของบริษัทมีราคาสูงถึง 400 ล้านดอลลาร์ต่อเครื่อง และถูกใช้โดยผู้ผลิตชิปรายใหญ่ เช่น TSMC, Intel และ Samsung ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ASML แต่งตั้ง Marco Pieters เป็น CTO คนใหม่ มีผลทันทีในเดือนตุลาคม 2025 ➡️ Pieters มีประสบการณ์กว่า 25 ปีใน ASML และเคยเป็น EVP ฝ่าย Applications ➡️ เคยดูแลโครงการ Holistic Lithography ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญของ ASML ➡️ CEO Christophe Fouquet สนับสนุนการแต่งตั้งอย่างเต็มที่ ➡️ Pieters จะถูกเสนอชื่อเข้าสู่คณะกรรมการบริหารในการประชุม AGM วันที่ 22 เมษายน 2026 ➡️ คณะกรรมการจะขยายจาก 5 เป็น 6 คน ➡️ CFO Roger Dassen จะต่อวาระอีก 4 ปี และ COO Frédéric Schneider-Maunoury อีก 2 ปี ➡️ ASML เป็นผู้นำด้านเครื่องจักรลิเธียกราฟีสำหรับการผลิตชิประดับโลก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Holistic Lithography คือการรวมการออกแบบ การตรวจสอบ และการผลิตชิปเข้าด้วยกันแบบครบวงจร ➡️ เครื่อง EUV ของ ASML ใช้เลเซอร์พลังสูงในการสร้างลวดลายบนเวเฟอร์ซิลิคอน ➡️ ASML มีสำนักงานทั่วโลก และมีพนักงานมากกว่า 44,000 คน ➡️ บริษัทมีรายได้รวมกว่า €28.3 พันล้านยูโรในปี 2024 ➡️ การแต่งตั้ง CTO จากภายในองค์กรช่วยรักษาความต่อเนื่องและวัฒนธรรมองค์กร https://www.techpowerup.com/341731/asml-appoints-marco-pieters-as-next-chief-technology-officer
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    ASML Appoints Marco Pieters as Next Chief Technology Officer
    ASML Holding NV (ASML) today announced the appointment of Marco Pieters as Executive Vice President and Chief Technology Officer, reporting to President and Chief Executive Officer, Christophe Fouquet. With over 25 years of experience at ASML, most recently as Executive Vice President for the produc...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ไฟไหม้ศูนย์ข้อมูลรัฐบาลเกาหลีใต้ — สูญข้อมูล 858TB เพราะไม่มีระบบสำรอง”

    เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025 เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ศูนย์ข้อมูล National Information Resources Service ในเมืองแทจอน ประเทศเกาหลีใต้ โดยต้นเหตุคือแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ระเบิดระหว่างการบำรุงรักษา ส่งผลให้ระบบ G-Drive ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดเก็บเอกสารของรัฐบาลถูกทำลายทั้งหมด พร้อมข้อมูลกว่า 858 เทราไบต์ที่ไม่มีการสำรองไว้เลย

    G-Drive ถูกใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 125,000 คนจาก 74 หน่วยงาน และเป็นศูนย์กลางของบริการสาธารณะกว่า 160 รายการ เช่น ระบบภาษี การติดตามฉุกเฉิน 119 ระบบร้องเรียน และอีเมลราชการ การสูญเสียข้อมูลครั้งนี้ทำให้ระบบหลายส่วนหยุดชะงักทันที และการกู้คืนยังคงดำเนินไปอย่างล่าช้า โดย ณ วันที่ 4 ตุลาคม มีเพียง 17.8% ของระบบที่กลับมาออนไลน์

    เจ้าหน้าที่อ้างว่า G-Drive ไม่สามารถสำรองข้อมูลได้เพราะมีขนาดใหญ่เกินไป แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปริมาณ 858TB นั้นสามารถสำรองบนคลาวด์ได้ในราคาประมาณ $20,000 ต่อเดือน ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น

    เหตุการณ์นี้ยังนำไปสู่โศกนาฏกรรม เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลการกู้คืนข้อมูลเสียชีวิตจากการกระโดดตึกในวันที่ 3 ตุลาคม โดยอยู่ระหว่างการสอบสวนว่าเกิดจากความเครียดหรือแรงกดดันจากงานหรือไม่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เกิดไฟไหม้ศูนย์ข้อมูลรัฐบาลเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025
    ระบบ G-Drive ถูกทำลายพร้อมข้อมูล 858TB โดยไม่มีการสำรอง
    G-Drive ใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 125,000 คนจาก 74 หน่วยงาน
    บริการสาธารณะกว่า 160 รายการได้รับผลกระทบ เช่น ภาษี อีเมล และระบบฉุกเฉิน
    ณ วันที่ 4 ตุลาคม มีเพียง 17.8% ของระบบที่กลับมาออนไลน์
    เจ้าหน้าที่อ้างว่าไม่สามารถสำรองข้อมูลได้เพราะขนาดใหญ่เกินไป
    ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการสำรองข้อมูล 858TB บนคลาวด์มีค่าใช้จ่ายเพียง $20,000 ต่อเดือน
    เจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลการกู้คืนข้อมูลเสียชีวิตจากการกระโดดตึก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีความหนาแน่นพลังงานสูงแต่เสี่ยงต่อการระเบิด
    เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดที่ OVHcloud ในฝรั่งเศสปี 2021 แต่มีระบบสำรองจากผู้ให้บริการภายนอก
    การไม่มีระบบสำรองแบบ geographic redundancy ทำให้ไฟไหม้กลายเป็นวิกฤตระดับชาติ
    ระบบ G-Drive มี quota 30GB ต่อเจ้าหน้าที่ และเป็นศูนย์กลางเอกสารราชการ
    การกู้คืนข้อมูลบางส่วนต้องใช้วิธี manual recreation ซึ่งใช้เวลานานและไม่สมบูรณ์

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การไม่มีระบบสำรองข้อมูลทำให้เกิดการสูญเสียระดับชาติ
    การพึ่งพาศูนย์ข้อมูลเดียวโดยไม่มี geographic redundancy เป็นความเสี่ยงสูง
    การอ้างว่ข้อมูลใหญ่เกินกว่าจะสำรองได้ไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีปัจจุบัน
    การกู้คืนข้อมูลล่าช้าอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน
    ความเครียดจากการกู้คืนข้อมูลอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของเจ้าหน้าที่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/south-korean-government-learns-the-importance-of-backups-the-hard-way-after-catastrophic-fire-858-terabytes-of-data-goes-up-in-magic-smoke
    🔥 “ไฟไหม้ศูนย์ข้อมูลรัฐบาลเกาหลีใต้ — สูญข้อมูล 858TB เพราะไม่มีระบบสำรอง” เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025 เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ศูนย์ข้อมูล National Information Resources Service ในเมืองแทจอน ประเทศเกาหลีใต้ โดยต้นเหตุคือแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ระเบิดระหว่างการบำรุงรักษา ส่งผลให้ระบบ G-Drive ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดเก็บเอกสารของรัฐบาลถูกทำลายทั้งหมด พร้อมข้อมูลกว่า 858 เทราไบต์ที่ไม่มีการสำรองไว้เลย G-Drive ถูกใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 125,000 คนจาก 74 หน่วยงาน และเป็นศูนย์กลางของบริการสาธารณะกว่า 160 รายการ เช่น ระบบภาษี การติดตามฉุกเฉิน 119 ระบบร้องเรียน และอีเมลราชการ การสูญเสียข้อมูลครั้งนี้ทำให้ระบบหลายส่วนหยุดชะงักทันที และการกู้คืนยังคงดำเนินไปอย่างล่าช้า โดย ณ วันที่ 4 ตุลาคม มีเพียง 17.8% ของระบบที่กลับมาออนไลน์ เจ้าหน้าที่อ้างว่า G-Drive ไม่สามารถสำรองข้อมูลได้เพราะมีขนาดใหญ่เกินไป แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปริมาณ 858TB นั้นสามารถสำรองบนคลาวด์ได้ในราคาประมาณ $20,000 ต่อเดือน ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น เหตุการณ์นี้ยังนำไปสู่โศกนาฏกรรม เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลการกู้คืนข้อมูลเสียชีวิตจากการกระโดดตึกในวันที่ 3 ตุลาคม โดยอยู่ระหว่างการสอบสวนว่าเกิดจากความเครียดหรือแรงกดดันจากงานหรือไม่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เกิดไฟไหม้ศูนย์ข้อมูลรัฐบาลเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025 ➡️ ระบบ G-Drive ถูกทำลายพร้อมข้อมูล 858TB โดยไม่มีการสำรอง ➡️ G-Drive ใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 125,000 คนจาก 74 หน่วยงาน ➡️ บริการสาธารณะกว่า 160 รายการได้รับผลกระทบ เช่น ภาษี อีเมล และระบบฉุกเฉิน ➡️ ณ วันที่ 4 ตุลาคม มีเพียง 17.8% ของระบบที่กลับมาออนไลน์ ➡️ เจ้าหน้าที่อ้างว่าไม่สามารถสำรองข้อมูลได้เพราะขนาดใหญ่เกินไป ➡️ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการสำรองข้อมูล 858TB บนคลาวด์มีค่าใช้จ่ายเพียง $20,000 ต่อเดือน ➡️ เจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลการกู้คืนข้อมูลเสียชีวิตจากการกระโดดตึก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีความหนาแน่นพลังงานสูงแต่เสี่ยงต่อการระเบิด ➡️ เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดที่ OVHcloud ในฝรั่งเศสปี 2021 แต่มีระบบสำรองจากผู้ให้บริการภายนอก ➡️ การไม่มีระบบสำรองแบบ geographic redundancy ทำให้ไฟไหม้กลายเป็นวิกฤตระดับชาติ ➡️ ระบบ G-Drive มี quota 30GB ต่อเจ้าหน้าที่ และเป็นศูนย์กลางเอกสารราชการ ➡️ การกู้คืนข้อมูลบางส่วนต้องใช้วิธี manual recreation ซึ่งใช้เวลานานและไม่สมบูรณ์ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การไม่มีระบบสำรองข้อมูลทำให้เกิดการสูญเสียระดับชาติ ⛔ การพึ่งพาศูนย์ข้อมูลเดียวโดยไม่มี geographic redundancy เป็นความเสี่ยงสูง ⛔ การอ้างว่ข้อมูลใหญ่เกินกว่าจะสำรองได้ไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีปัจจุบัน ⛔ การกู้คืนข้อมูลล่าช้าอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ⛔ ความเครียดจากการกู้คืนข้อมูลอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของเจ้าหน้าที่ https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/south-korean-government-learns-the-importance-of-backups-the-hard-way-after-catastrophic-fire-858-terabytes-of-data-goes-up-in-magic-smoke
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenSSL 3.5.4 เตรียมผ่านมาตรฐาน FIPS 140-3 — พร้อมรับมือยุคควอนตัมด้วยโมดูลเข้ารหัสแบบเปิด”

    Lightship Security ร่วมกับ OpenSSL Corporation ได้ประกาศการส่ง OpenSSL เวอร์ชัน 3.5.4 เข้าสู่กระบวนการรับรองมาตรฐาน FIPS 140-3 โดย Cryptographic Module Validation Program (CMVP) ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการออกใบรับรองอย่างเป็นทางการจาก NIST

    การส่งครั้งนี้ยืนยันว่าโค้ดของโมดูลเข้ารหัสได้ผ่านการทดสอบจากห้องแล็บอิสระและผ่านเกณฑ์ของ NIST แล้วทั้งหมด โดย OpenSSL 3.5.4 ถือเป็นโมดูลแบบ open-source ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน FIPS 140-3 ซึ่งจะช่วยให้องค์กรภาครัฐและเอกชนสามารถนำไปใช้งานได้อย่างมั่นใจในด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนด

    OpenSSL 3.5 ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนเมษายน 2025 ได้เพิ่มการรองรับอัลกอริธึมเข้ารหัสแบบ post-quantum เช่น ML-KEM, ML-DSA และ SLH-DSA ตามแนวทางการมาตรฐานของ NIST เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับยุคที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจทำลายระบบเข้ารหัสแบบเดิม

    Jason Lawlor ประธานของ Lightship Security กล่าวว่า “นี่คือก้าวสำคัญในการรักษาความปลอดภัยแบบมาตรฐานในหนึ่งในไลบรารีโอเพ่นซอร์สที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก” ขณะที่ Tim Hudson จาก OpenSSL Corporation ย้ำว่า “โมดูลนี้พร้อมใช้งานแล้ว แม้ใบรับรองจะยังไม่ออกก็ตาม”

    การร่วมมือครั้งนี้ยังสานต่อประวัติศาสตร์ของ OpenSSL ในการพัฒนาโมดูลที่ได้รับการรับรอง FIPS ซึ่งถูกใช้งานในระบบของรัฐบาล กลาโหม และองค์กรเชิงพาณิชย์ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenSSL 3.5.4 ถูกส่งเข้าสู่กระบวนการรับรอง FIPS 140-3 โดย CMVP
    โมดูลผ่านการทดสอบจาก NIST และห้องแล็บอิสระเรียบร้อยแล้ว
    เป็นโมดูลแบบ open-source ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน FIPS 140-3
    OpenSSL 3.5 รองรับอัลกอริธึม post-quantum เช่น ML-KEM, ML-DSA, SLH-DSA
    โมดูลนี้ถูกใช้งานในระบบของรัฐบาล กลาโหม และองค์กรเชิงพาณิชย์
    Jason Lawlor และ Tim Hudson ยืนยันว่าโมดูลพร้อมใช้งานแล้ว
    การรับรองจะช่วยให้องค์กรสามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจในด้าน compliance

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FIPS 140-3 เป็นมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับโมดูลเข้ารหัสที่ใช้ในภาครัฐสหรัฐฯ
    Post-quantum cryptography คือการเข้ารหัสที่ทนต่อการโจมตีจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม
    ML-KEM และ ML-DSA เป็นอัลกอริธึมที่ได้รับการเสนอโดย NIST สำหรับการใช้งานในอนาคต
    OpenSSL เป็นไลบรารีเข้ารหัสที่ใช้ในระบบอินเทอร์เน็ตและ embedded systems ทั่วโลก
    การรับรอง FIPS ช่วยให้องค์กรสามารถผ่านข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของหลายประเทศ

    https://securityonline.info/lightship-security-and-the-openssl-corporation-submit-openssl-3-5-4-for-fips-140-3-validation/
    🔐 “OpenSSL 3.5.4 เตรียมผ่านมาตรฐาน FIPS 140-3 — พร้อมรับมือยุคควอนตัมด้วยโมดูลเข้ารหัสแบบเปิด” Lightship Security ร่วมกับ OpenSSL Corporation ได้ประกาศการส่ง OpenSSL เวอร์ชัน 3.5.4 เข้าสู่กระบวนการรับรองมาตรฐาน FIPS 140-3 โดย Cryptographic Module Validation Program (CMVP) ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการออกใบรับรองอย่างเป็นทางการจาก NIST การส่งครั้งนี้ยืนยันว่าโค้ดของโมดูลเข้ารหัสได้ผ่านการทดสอบจากห้องแล็บอิสระและผ่านเกณฑ์ของ NIST แล้วทั้งหมด โดย OpenSSL 3.5.4 ถือเป็นโมดูลแบบ open-source ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน FIPS 140-3 ซึ่งจะช่วยให้องค์กรภาครัฐและเอกชนสามารถนำไปใช้งานได้อย่างมั่นใจในด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนด OpenSSL 3.5 ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนเมษายน 2025 ได้เพิ่มการรองรับอัลกอริธึมเข้ารหัสแบบ post-quantum เช่น ML-KEM, ML-DSA และ SLH-DSA ตามแนวทางการมาตรฐานของ NIST เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับยุคที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจทำลายระบบเข้ารหัสแบบเดิม Jason Lawlor ประธานของ Lightship Security กล่าวว่า “นี่คือก้าวสำคัญในการรักษาความปลอดภัยแบบมาตรฐานในหนึ่งในไลบรารีโอเพ่นซอร์สที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก” ขณะที่ Tim Hudson จาก OpenSSL Corporation ย้ำว่า “โมดูลนี้พร้อมใช้งานแล้ว แม้ใบรับรองจะยังไม่ออกก็ตาม” การร่วมมือครั้งนี้ยังสานต่อประวัติศาสตร์ของ OpenSSL ในการพัฒนาโมดูลที่ได้รับการรับรอง FIPS ซึ่งถูกใช้งานในระบบของรัฐบาล กลาโหม และองค์กรเชิงพาณิชย์ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenSSL 3.5.4 ถูกส่งเข้าสู่กระบวนการรับรอง FIPS 140-3 โดย CMVP ➡️ โมดูลผ่านการทดสอบจาก NIST และห้องแล็บอิสระเรียบร้อยแล้ว ➡️ เป็นโมดูลแบบ open-source ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน FIPS 140-3 ➡️ OpenSSL 3.5 รองรับอัลกอริธึม post-quantum เช่น ML-KEM, ML-DSA, SLH-DSA ➡️ โมดูลนี้ถูกใช้งานในระบบของรัฐบาล กลาโหม และองค์กรเชิงพาณิชย์ ➡️ Jason Lawlor และ Tim Hudson ยืนยันว่าโมดูลพร้อมใช้งานแล้ว ➡️ การรับรองจะช่วยให้องค์กรสามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจในด้าน compliance ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FIPS 140-3 เป็นมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับโมดูลเข้ารหัสที่ใช้ในภาครัฐสหรัฐฯ ➡️ Post-quantum cryptography คือการเข้ารหัสที่ทนต่อการโจมตีจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม ➡️ ML-KEM และ ML-DSA เป็นอัลกอริธึมที่ได้รับการเสนอโดย NIST สำหรับการใช้งานในอนาคต ➡️ OpenSSL เป็นไลบรารีเข้ารหัสที่ใช้ในระบบอินเทอร์เน็ตและ embedded systems ทั่วโลก ➡️ การรับรอง FIPS ช่วยให้องค์กรสามารถผ่านข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของหลายประเทศ https://securityonline.info/lightship-security-and-the-openssl-corporation-submit-openssl-3-5-4-for-fips-140-3-validation/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Huawei เดินเกมเดี่ยวผลักดัน 5G-Advanced พร้อม AI — คาดมือถือรองรับแตะ 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025”

    Huawei ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในงาน Huawei Connect 2025 โดยมุ่งผลักดันเทคโนโลยี 5G-Advanced (5G-A) ที่ผสานการเชื่อมต่อไร้สายเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างเครือข่ายที่ “เข้าใจผู้ใช้” และ “ตอบสนองแบบเรียลไทม์” โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2025 จะมีสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่อง และมีเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งเปิดใช้งานทั่วโลก

    หัวใจของแนวทางนี้คือ AgenticRAN — เฟรมเวิร์กที่ฝัง AI เข้าไปในทุกชั้นของเครือข่าย ตั้งแต่การจัดการคลื่นความถี่ พลังงาน ไปจนถึงการดำเนินงาน โดย Huawei ระบุว่าเป็นก้าวสู่ระบบอัตโนมัติระดับ AN L4 แม้จะยังไม่ใช่มาตรฐานสากร แต่ถือเป็นหมุดหมายภายในของบริษัท

    ฮาร์ดแวร์ใหม่อย่าง AAU ซีรีส์ล่าสุดมาพร้อมดีไซน์ dual-band fused array ที่ช่วยเพิ่มความครอบคลุมและลด latency สำหรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสื่อสารด้วย intent-driven, การทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ และแม้แต่การโต้ตอบแบบ holographic

    Huawei ยังเน้นการเชื่อมต่อในทุกพื้นที่ ตั้งแต่เมืองหนาแน่นไปจนถึงชนบทห่างไกล โดยมีโซลูชันอย่าง RuralCow และ LampSite X ที่สามารถติดตั้งในทะเลทรายหรือกลางมหาสมุทรได้ พร้อมระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนส่วนประกอบแบบ passive ให้กลายเป็นโครงสร้างที่รับรู้ข้อมูลและควบคุมได้

    นอกจากนี้ Huawei ยังคาดการณ์ว่าในปี 2030 จำนวน AI agents จะมากกว่าแอปพลิเคชันแบบเดิม และจะเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับอุปกรณ์อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกฝังเข้าไปในเครือข่ายและอุปกรณ์โดยตรง

    แม้ Huawei จะวางแผนอย่างทะเยอทะยาน แต่การยอมรับในระดับโลกยังเป็นคำถามใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดนอกจีนที่ยังมีข้อจำกัดด้านการทำงานร่วมกันและต้นทุนการปรับโครงสร้างเครือข่าย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Huawei ผลักดัน 5G-Advanced (5G-A) ผสาน AI เพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะ
    คาดว่าจะมีสมาร์ตโฟนรองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025
    เครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งจะเปิดใช้งานทั่วโลก
    ใช้เฟรมเวิร์ก AgenticRAN เพื่อฝัง AI ในคลื่น พลังงาน และการดำเนินงาน
    ฮาร์ดแวร์ใหม่ AAU ซีรีส์ ใช้ dual-band fused array เพิ่มความเร็วและลด latency
    โซลูชัน RuralCow และ LampSite X รองรับการติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล
    ระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม
    คาดว่า AI agents จะมากกว่าแอปทั่วไปภายในปี 2030
    Huawei มองว่า 5G-A จะเป็นทั้งเทคโนโลยีและตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    5G-Advanced คือการพัฒนาเพิ่มเติมจาก 5G ที่เน้นความเร็ว ultra-low latency และ AI integration
    AI agents คือระบบที่สามารถเข้าใจเจตนาและโต้ตอบกับผู้ใช้แบบอัตโนมัติ
    การสื่อสารแบบ intent-driven ช่วยให้ผู้ใช้สั่งงานด้วยความหมาย ไม่ใช่คำสั่งแบบเดิม
    การเชื่อมต่อแบบ ubiquitous IoT จะเป็นรากฐานของเมืองอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ
    Huawei เป็นผู้นำด้านเครือข่ายในจีน โดยมีข้อได้เปรียบด้านการผลิตและนโยบาย

    https://www.techradar.com/pro/chinas-huawei-powers-ahead-solo-with-5g-advanced-predicts-100-million-smartphones-will-be-5g-a-compatible-by-the-end-of-2025-and-it-is-just-getting-started
    📶 “Huawei เดินเกมเดี่ยวผลักดัน 5G-Advanced พร้อม AI — คาดมือถือรองรับแตะ 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025” Huawei ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในงาน Huawei Connect 2025 โดยมุ่งผลักดันเทคโนโลยี 5G-Advanced (5G-A) ที่ผสานการเชื่อมต่อไร้สายเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างเครือข่ายที่ “เข้าใจผู้ใช้” และ “ตอบสนองแบบเรียลไทม์” โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2025 จะมีสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่อง และมีเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งเปิดใช้งานทั่วโลก หัวใจของแนวทางนี้คือ AgenticRAN — เฟรมเวิร์กที่ฝัง AI เข้าไปในทุกชั้นของเครือข่าย ตั้งแต่การจัดการคลื่นความถี่ พลังงาน ไปจนถึงการดำเนินงาน โดย Huawei ระบุว่าเป็นก้าวสู่ระบบอัตโนมัติระดับ AN L4 แม้จะยังไม่ใช่มาตรฐานสากร แต่ถือเป็นหมุดหมายภายในของบริษัท ฮาร์ดแวร์ใหม่อย่าง AAU ซีรีส์ล่าสุดมาพร้อมดีไซน์ dual-band fused array ที่ช่วยเพิ่มความครอบคลุมและลด latency สำหรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสื่อสารด้วย intent-driven, การทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ และแม้แต่การโต้ตอบแบบ holographic Huawei ยังเน้นการเชื่อมต่อในทุกพื้นที่ ตั้งแต่เมืองหนาแน่นไปจนถึงชนบทห่างไกล โดยมีโซลูชันอย่าง RuralCow และ LampSite X ที่สามารถติดตั้งในทะเลทรายหรือกลางมหาสมุทรได้ พร้อมระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนส่วนประกอบแบบ passive ให้กลายเป็นโครงสร้างที่รับรู้ข้อมูลและควบคุมได้ นอกจากนี้ Huawei ยังคาดการณ์ว่าในปี 2030 จำนวน AI agents จะมากกว่าแอปพลิเคชันแบบเดิม และจะเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับอุปกรณ์อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกฝังเข้าไปในเครือข่ายและอุปกรณ์โดยตรง แม้ Huawei จะวางแผนอย่างทะเยอทะยาน แต่การยอมรับในระดับโลกยังเป็นคำถามใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดนอกจีนที่ยังมีข้อจำกัดด้านการทำงานร่วมกันและต้นทุนการปรับโครงสร้างเครือข่าย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Huawei ผลักดัน 5G-Advanced (5G-A) ผสาน AI เพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะ ➡️ คาดว่าจะมีสมาร์ตโฟนรองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025 ➡️ เครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งจะเปิดใช้งานทั่วโลก ➡️ ใช้เฟรมเวิร์ก AgenticRAN เพื่อฝัง AI ในคลื่น พลังงาน และการดำเนินงาน ➡️ ฮาร์ดแวร์ใหม่ AAU ซีรีส์ ใช้ dual-band fused array เพิ่มความเร็วและลด latency ➡️ โซลูชัน RuralCow และ LampSite X รองรับการติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล ➡️ ระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม ➡️ คาดว่า AI agents จะมากกว่าแอปทั่วไปภายในปี 2030 ➡️ Huawei มองว่า 5G-A จะเป็นทั้งเทคโนโลยีและตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 5G-Advanced คือการพัฒนาเพิ่มเติมจาก 5G ที่เน้นความเร็ว ultra-low latency และ AI integration ➡️ AI agents คือระบบที่สามารถเข้าใจเจตนาและโต้ตอบกับผู้ใช้แบบอัตโนมัติ ➡️ การสื่อสารแบบ intent-driven ช่วยให้ผู้ใช้สั่งงานด้วยความหมาย ไม่ใช่คำสั่งแบบเดิม ➡️ การเชื่อมต่อแบบ ubiquitous IoT จะเป็นรากฐานของเมืองอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ ➡️ Huawei เป็นผู้นำด้านเครือข่ายในจีน โดยมีข้อได้เปรียบด้านการผลิตและนโยบาย https://www.techradar.com/pro/chinas-huawei-powers-ahead-solo-with-5g-advanced-predicts-100-million-smartphones-will-be-5g-a-compatible-by-the-end-of-2025-and-it-is-just-getting-started
    WWW.TECHRADAR.COM
    Huawei 5G-Advanced promises futuristic connectivity and AI agents
    Huawei's market is likely to be mostly, if not entirely, in China
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI เปลี่ยนชีวิตช่างภาพ — ลูกค้าไม่รู้ว่าใช้ AI แก้ภาพ แต่ช่างภาพรู้ว่าได้ชีวิตคืน”

    ในยุคที่ความเร็วกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของงานสร้างสรรค์ รายงาน Aftershoot Photography Workflow Report ปี 2025 เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการถ่ายภาพมืออาชีพทั่วโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากการใช้ AI ในการจัดการงานหลังกล้อง ที่ไม่เพียงช่วยลดเวลา แต่ยังเปลี่ยนวิธีคิดของช่างภาพเกี่ยวกับ “ความสร้างสรรค์” และ “ความยั่งยืน” ในอาชีพ

    จากการสำรวจช่างภาพกว่า 1,000 คนทั่วโลก พบว่า 81% ของผู้ที่ใช้ AI ใน workflow รายงานว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการลดเวลาการแก้ภาพและการจัดการหลังงานถ่าย ส่วนที่น่าตกใจคือ 64% ระบุว่าลูกค้า “ไม่รู้เลย” ว่าภาพที่ได้รับผ่านการแก้ด้วย AI และมีเพียง 1% เท่านั้นที่ให้ feedback เชิงลบ

    สิ่งนี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้ลดคุณภาพงาน แต่กลับช่วยให้ช่างภาพสามารถส่งงานได้เร็วขึ้น โดย 28% ของผู้ตอบแบบสอบถามสามารถส่งภาพครบชุดภายในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปี 2024

    นอกจากเรื่องเวลา ช่างภาพยังใช้เวลาที่ได้คืนจาก AI ไปกับการพัฒนาทักษะใหม่ สร้างโปรเจกต์ส่วนตัว หรือแม้แต่ฟื้นฟูสุขภาพจิตและความสัมพันธ์กับลูกค้า โดย 32% ระบุว่าใช้เวลานี้เพื่อขยายธุรกิจหรือเรียนรู้เพิ่มเติม

    แม้จะยังมีข้อถกเถียงเรื่อง “AI กับความสร้างสรรค์” แต่รายงานชี้ว่าช่างภาพที่ประสบความสำเร็จคือผู้ที่ใช้ AI อย่างมีกลยุทธ์ โดยเลือกใช้ในส่วนที่ซ้ำซาก เช่น การคัดภาพหรือแก้แสง แต่ยังคงควบคุมด้านศิลปะด้วยตัวเอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รายงาน Aftershoot ปี 2025 สำรวจช่างภาพกว่า 1,000 คนทั่วโลก
    81% ของผู้ใช้ AI รายงานว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้น
    64% ระบุว่าลูกค้าไม่รู้ว่าภาพผ่านการแก้ด้วย AI
    มีเพียง 1% ที่ให้ feedback เชิงลบเกี่ยวกับภาพที่ใช้ AI
    28% ส่งภาพครบชุดภายในหนึ่งสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจากปี 2024
    32% ใช้เวลาที่ได้คืนจาก AI ไปกับโปรเจกต์สร้างสรรค์หรือพัฒนาธุรกิจ
    ช่างภาพใช้ AI เพื่อจัดการงานหลังกล้อง เช่น คัดภาพและแก้แสง
    AI ช่วยเปลี่ยนแนวคิดจาก “ทำงานหนัก” เป็น “ทำงานอย่างยั่งยืน”

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Aftershoot เป็นแพลตฟอร์ม AI ที่ช่วยคัดภาพและแก้แสงอัตโนมัติ
    Lightroom และ Photoshop ยังเป็นเครื่องมือหลักในการรีทัชภาพ
    AI video editor และ photo editor ช่วยเร่งการผลิตคอนเทนต์ในหลายอุตสาหกรรม
    RAG (Retrieval-Augmented Generation) เป็นเทคนิค AI ที่ใช้ข้อมูลภายนอกช่วยตอบคำถาม
    การใช้ AI ในงานสร้างสรรค์กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมภาพนิ่งและวิดีโอ

    https://www.techradar.com/pro/a-wake-up-call-shocking-ai-survey-finds-that-clients-of-most-photographers-dont-notice-any-difference-in-ai-edited-work-and-thats-making-these-pros-less-stressed
    📸 “AI เปลี่ยนชีวิตช่างภาพ — ลูกค้าไม่รู้ว่าใช้ AI แก้ภาพ แต่ช่างภาพรู้ว่าได้ชีวิตคืน” ในยุคที่ความเร็วกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของงานสร้างสรรค์ รายงาน Aftershoot Photography Workflow Report ปี 2025 เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการถ่ายภาพมืออาชีพทั่วโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากการใช้ AI ในการจัดการงานหลังกล้อง ที่ไม่เพียงช่วยลดเวลา แต่ยังเปลี่ยนวิธีคิดของช่างภาพเกี่ยวกับ “ความสร้างสรรค์” และ “ความยั่งยืน” ในอาชีพ จากการสำรวจช่างภาพกว่า 1,000 คนทั่วโลก พบว่า 81% ของผู้ที่ใช้ AI ใน workflow รายงานว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการลดเวลาการแก้ภาพและการจัดการหลังงานถ่าย ส่วนที่น่าตกใจคือ 64% ระบุว่าลูกค้า “ไม่รู้เลย” ว่าภาพที่ได้รับผ่านการแก้ด้วย AI และมีเพียง 1% เท่านั้นที่ให้ feedback เชิงลบ สิ่งนี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้ลดคุณภาพงาน แต่กลับช่วยให้ช่างภาพสามารถส่งงานได้เร็วขึ้น โดย 28% ของผู้ตอบแบบสอบถามสามารถส่งภาพครบชุดภายในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปี 2024 นอกจากเรื่องเวลา ช่างภาพยังใช้เวลาที่ได้คืนจาก AI ไปกับการพัฒนาทักษะใหม่ สร้างโปรเจกต์ส่วนตัว หรือแม้แต่ฟื้นฟูสุขภาพจิตและความสัมพันธ์กับลูกค้า โดย 32% ระบุว่าใช้เวลานี้เพื่อขยายธุรกิจหรือเรียนรู้เพิ่มเติม แม้จะยังมีข้อถกเถียงเรื่อง “AI กับความสร้างสรรค์” แต่รายงานชี้ว่าช่างภาพที่ประสบความสำเร็จคือผู้ที่ใช้ AI อย่างมีกลยุทธ์ โดยเลือกใช้ในส่วนที่ซ้ำซาก เช่น การคัดภาพหรือแก้แสง แต่ยังคงควบคุมด้านศิลปะด้วยตัวเอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รายงาน Aftershoot ปี 2025 สำรวจช่างภาพกว่า 1,000 คนทั่วโลก ➡️ 81% ของผู้ใช้ AI รายงานว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้น ➡️ 64% ระบุว่าลูกค้าไม่รู้ว่าภาพผ่านการแก้ด้วย AI ➡️ มีเพียง 1% ที่ให้ feedback เชิงลบเกี่ยวกับภาพที่ใช้ AI ➡️ 28% ส่งภาพครบชุดภายในหนึ่งสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจากปี 2024 ➡️ 32% ใช้เวลาที่ได้คืนจาก AI ไปกับโปรเจกต์สร้างสรรค์หรือพัฒนาธุรกิจ ➡️ ช่างภาพใช้ AI เพื่อจัดการงานหลังกล้อง เช่น คัดภาพและแก้แสง ➡️ AI ช่วยเปลี่ยนแนวคิดจาก “ทำงานหนัก” เป็น “ทำงานอย่างยั่งยืน” ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Aftershoot เป็นแพลตฟอร์ม AI ที่ช่วยคัดภาพและแก้แสงอัตโนมัติ ➡️ Lightroom และ Photoshop ยังเป็นเครื่องมือหลักในการรีทัชภาพ ➡️ AI video editor และ photo editor ช่วยเร่งการผลิตคอนเทนต์ในหลายอุตสาหกรรม ➡️ RAG (Retrieval-Augmented Generation) เป็นเทคนิค AI ที่ใช้ข้อมูลภายนอกช่วยตอบคำถาม ➡️ การใช้ AI ในงานสร้างสรรค์กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมภาพนิ่งและวิดีโอ https://www.techradar.com/pro/a-wake-up-call-shocking-ai-survey-finds-that-clients-of-most-photographers-dont-notice-any-difference-in-ai-edited-work-and-thats-making-these-pros-less-stressed
    WWW.TECHRADAR.COM
    AI is rewriting photography’s future
    AI-driven consistency is turning speed and reliability into new creative currencies
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel Granite Rapids-WS หลุดสเปก! ซีพียู 86 คอร์ 172 เธรด เตรียมท้าชน AMD Threadripper ในตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูง”

    Intel กำลังกลับมาอย่างแข็งแกร่งในตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูง (HEDT) หลังจากมีข้อมูลหลุดจาก OpenBenchmarking.org เกี่ยวกับซีพียูรุ่นใหม่ Granite Rapids-WS ที่มาพร้อม 86 คอร์ 172 เธรด และความเร็วสูงสุด 4.8GHz ซึ่งอาจเป็นความเร็วแบบ Turbo บนบางคอร์ ไม่ใช่ความเร็วพื้นฐานทั้งหมด

    ซีพียูรุ่นนี้ยังไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการ โดยถูกระบุในฐานข้อมูลว่า “Intel 0000” และเป็นตัวอย่างทางวิศวกรรม (engineering sample) ที่ใช้โครงสร้างจากชิป XCC (Extreme Core Count) ซึ่งประกอบด้วย compute tiles 2 ชุด และ I/O tiles อีก 2 ชุด เพื่อรองรับ PCIe และหน่วยความจำ

    แม้จะยังไม่มีข้อมูลเรื่อง TDP หรือความเร็วพื้นฐาน แต่ระบบทดสอบที่ใช้ซีพียูนี้มี RAM 512GB, SSD 1TB และการ์ดจอ NVIDIA RTX 3090 โดยรันบน Red Hat Enterprise Linux 9.6 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าซีพียูนี้ถูกออกแบบมาสำหรับงานหนักระดับมืออาชีพ

    Granite Rapids-WS อาจใช้แพลตฟอร์มใหม่ W890 ที่รองรับ DDR5 แบบ 8 ช่อง และ PCIe Gen5 สูงสุด 128 เลน ซึ่งจะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AMD Threadripper Pro 9000 ที่มี 96 คอร์ และแคชสูงถึง 384MB

    หาก Intel เปิดตัว Granite Rapids-WS อย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ ก็อาจเป็นการกลับเข้าสู่ตลาด HEDT ที่เคยถูกครองโดย AMD มานาน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ระดับมืออาชีพ เช่น นักสร้างคอนเทนต์ นักวิจัย และผู้พัฒนา AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel Granite Rapids-WS หลุดข้อมูลจาก OpenBenchmarking.org
    มี 86 คอร์ 172 เธรด และความเร็วสูงสุด 4.8GHz (Turbo บางคอร์)
    ใช้โครงสร้าง XCC: 2 compute tiles + 2 I/O tiles
    ระบบทดสอบมี RAM 512GB, SSD 1TB, GPU RTX 3090
    รันบน Red Hat Enterprise Linux 9.6
    อาจใช้แพลตฟอร์ม W890 รองรับ DDR5 แบบ 8 ช่อง และ PCIe Gen5 สูงสุด 128 เลน
    เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AMD Threadripper Pro 9000
    ยังไม่มีข้อมูลเรื่อง TDP, base clock หรือ thermal envelope

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    XCC เป็นโครงสร้างที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ระดับสูงของ Intel
    DDR5-6400 และ MR-DIMM ช่วยเพิ่มความเร็วและความจุของหน่วยความจำ
    AMD Threadripper Pro 9995WX มี 96 คอร์ และแคช 384MB
    ตลาด HEDT เคยถูก Intel ครอง แต่ถูก AMD แซงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
    การกลับมาของ Intel ในตลาดนี้อาจช่วยเพิ่มตัวเลือกให้กับ OEM และผู้ใช้มืออาชีพ

    https://www.techradar.com/pro/intels-most-powerful-cpu-ever-may-have-been-spotted-86-core-granite-rapids-ws-has-a-4-8ghz-base-speed-and-will-give-amds-threadripper-hedt-a-run-for-its-money
    🧠 “Intel Granite Rapids-WS หลุดสเปก! ซีพียู 86 คอร์ 172 เธรด เตรียมท้าชน AMD Threadripper ในตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูง” Intel กำลังกลับมาอย่างแข็งแกร่งในตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูง (HEDT) หลังจากมีข้อมูลหลุดจาก OpenBenchmarking.org เกี่ยวกับซีพียูรุ่นใหม่ Granite Rapids-WS ที่มาพร้อม 86 คอร์ 172 เธรด และความเร็วสูงสุด 4.8GHz ซึ่งอาจเป็นความเร็วแบบ Turbo บนบางคอร์ ไม่ใช่ความเร็วพื้นฐานทั้งหมด ซีพียูรุ่นนี้ยังไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการ โดยถูกระบุในฐานข้อมูลว่า “Intel 0000” และเป็นตัวอย่างทางวิศวกรรม (engineering sample) ที่ใช้โครงสร้างจากชิป XCC (Extreme Core Count) ซึ่งประกอบด้วย compute tiles 2 ชุด และ I/O tiles อีก 2 ชุด เพื่อรองรับ PCIe และหน่วยความจำ แม้จะยังไม่มีข้อมูลเรื่อง TDP หรือความเร็วพื้นฐาน แต่ระบบทดสอบที่ใช้ซีพียูนี้มี RAM 512GB, SSD 1TB และการ์ดจอ NVIDIA RTX 3090 โดยรันบน Red Hat Enterprise Linux 9.6 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าซีพียูนี้ถูกออกแบบมาสำหรับงานหนักระดับมืออาชีพ Granite Rapids-WS อาจใช้แพลตฟอร์มใหม่ W890 ที่รองรับ DDR5 แบบ 8 ช่อง และ PCIe Gen5 สูงสุด 128 เลน ซึ่งจะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AMD Threadripper Pro 9000 ที่มี 96 คอร์ และแคชสูงถึง 384MB หาก Intel เปิดตัว Granite Rapids-WS อย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ ก็อาจเป็นการกลับเข้าสู่ตลาด HEDT ที่เคยถูกครองโดย AMD มานาน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ระดับมืออาชีพ เช่น นักสร้างคอนเทนต์ นักวิจัย และผู้พัฒนา AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel Granite Rapids-WS หลุดข้อมูลจาก OpenBenchmarking.org ➡️ มี 86 คอร์ 172 เธรด และความเร็วสูงสุด 4.8GHz (Turbo บางคอร์) ➡️ ใช้โครงสร้าง XCC: 2 compute tiles + 2 I/O tiles ➡️ ระบบทดสอบมี RAM 512GB, SSD 1TB, GPU RTX 3090 ➡️ รันบน Red Hat Enterprise Linux 9.6 ➡️ อาจใช้แพลตฟอร์ม W890 รองรับ DDR5 แบบ 8 ช่อง และ PCIe Gen5 สูงสุด 128 เลน ➡️ เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AMD Threadripper Pro 9000 ➡️ ยังไม่มีข้อมูลเรื่อง TDP, base clock หรือ thermal envelope ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ XCC เป็นโครงสร้างที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ระดับสูงของ Intel ➡️ DDR5-6400 และ MR-DIMM ช่วยเพิ่มความเร็วและความจุของหน่วยความจำ ➡️ AMD Threadripper Pro 9995WX มี 96 คอร์ และแคช 384MB ➡️ ตลาด HEDT เคยถูก Intel ครอง แต่ถูก AMD แซงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ➡️ การกลับมาของ Intel ในตลาดนี้อาจช่วยเพิ่มตัวเลือกให้กับ OEM และผู้ใช้มืออาชีพ https://www.techradar.com/pro/intels-most-powerful-cpu-ever-may-have-been-spotted-86-core-granite-rapids-ws-has-a-4-8ghz-base-speed-and-will-give-amds-threadripper-hedt-a-run-for-its-money
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • “NTT สร้างชิปแสงอัจฉริยะตัวแรกของโลก — เปลี่ยนคลื่นแสงให้กลายเป็นเครื่องมือคำนวณที่ปรับเปลี่ยนได้ทันที”

    NTT Research ร่วมกับมหาวิทยาลัย Cornell และ Stanford ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเปลี่ยนโฉมวงการออปติกและควอนตัมคอมพิวติ้งไปตลอดกาล — ชิปแสงแบบ nonlinear photonics ที่สามารถ “โปรแกรม” ฟังก์ชันได้แบบเรียลไทม์บนชิปเดียว โดยไม่ต้องผลิตอุปกรณ์ใหม่สำหรับแต่ละฟังก์ชันอีกต่อไป

    เทคโนโลยีนี้ใช้แกนกลางเป็นวัสดุ silicon nitride ที่สามารถปรับเปลี่ยนคุณสมบัติไม่เชิงเส้น (nonlinearity) ได้ด้วยการฉายแสงแบบมีโครงสร้าง (structured light) ลงบนชิป ซึ่งจะสร้างรูปแบบการตอบสนองของแสงที่แตกต่างกันไปตามลวดลายของแสงที่ฉาย ทำให้ชิปเดียวสามารถทำงานได้หลากหลาย เช่น สร้างคลื่นแสงแบบกำหนดเอง, สร้างฮาร์มอนิกที่ปรับได้, สร้างแสง holographic และออกแบบฟังก์ชันแบบย้อนกลับ (inverse design) ได้ทันที

    งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 และจะตีพิมพ์ฉบับพิมพ์ในเดือนพฤศจิกายน โดยนักวิจัย Ryotatsu Yanagimoto จาก NTT Research เป็นผู้นำทีมภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ Peter McMahon จาก Cornell

    ผลลัพธ์ของงานนี้คือการ “ทำลายกรอบเดิม” ที่อุปกรณ์แสงหนึ่งตัวทำได้เพียงหนึ่งฟังก์ชัน ซึ่งเคยเป็นข้อจำกัดใหญ่ของวงการ photonics โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง เช่น การสื่อสารด้วยแสง, คอมพิวเตอร์ควอนตัม, การสร้างแหล่งกำเนิดแสงที่ปรับได้ และการวิเคราะห์คลื่นแสงในงานวิทยาศาสตร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    NTT Research ร่วมกับ Cornell และ Stanford พัฒนาชิป nonlinear photonics ที่โปรแกรมได้
    ใช้ structured light เพื่อปรับเปลี่ยนคุณสมบัติไม่เชิงเส้นของวัสดุ silicon nitride
    ชิปสามารถทำงานได้หลายฟังก์ชัน เช่น pulse shaping, second-harmonic generation, holography
    งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025
    นำโดยนักวิจัย Ryotatsu Yanagimoto ภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ Peter McMahon
    ชิปสามารถปรับฟังก์ชันแบบเรียลไทม์และทนต่อข้อผิดพลาดจากการผลิต
    เปลี่ยนแนวคิด “one device, one function” เป็น “one chip, many functions”
    มีศักยภาพในการใช้งานใน quantum computing, optical communication, sensing และ imaging

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ตลาด photonic-integrated circuits คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $50 พันล้านภายในปี 2035
    structured light ถูกใช้ในงาน imaging, holography และการควบคุมแสงในระดับนาโน
    inverse design คือการออกแบบฟังก์ชันโดยเริ่มจากผลลัพธ์ที่ต้องการ แล้วหาวิธีสร้าง
    quantum frequency conversion เป็นเทคนิคสำคัญในการเชื่อมโยงระบบควอนตัมต่างชนิด
    photonics เป็นเทคโนโลยีหลักในการลดพลังงานและเพิ่มความเร็วของการประมวลผล

    https://www.techpowerup.com/341717/ntt-research-collaboration-breaks-the-one-device-one-function-paradigm-with-worlds-first-programmable-nonlinear-photonics-chip
    💡 “NTT สร้างชิปแสงอัจฉริยะตัวแรกของโลก — เปลี่ยนคลื่นแสงให้กลายเป็นเครื่องมือคำนวณที่ปรับเปลี่ยนได้ทันที” NTT Research ร่วมกับมหาวิทยาลัย Cornell และ Stanford ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเปลี่ยนโฉมวงการออปติกและควอนตัมคอมพิวติ้งไปตลอดกาล — ชิปแสงแบบ nonlinear photonics ที่สามารถ “โปรแกรม” ฟังก์ชันได้แบบเรียลไทม์บนชิปเดียว โดยไม่ต้องผลิตอุปกรณ์ใหม่สำหรับแต่ละฟังก์ชันอีกต่อไป เทคโนโลยีนี้ใช้แกนกลางเป็นวัสดุ silicon nitride ที่สามารถปรับเปลี่ยนคุณสมบัติไม่เชิงเส้น (nonlinearity) ได้ด้วยการฉายแสงแบบมีโครงสร้าง (structured light) ลงบนชิป ซึ่งจะสร้างรูปแบบการตอบสนองของแสงที่แตกต่างกันไปตามลวดลายของแสงที่ฉาย ทำให้ชิปเดียวสามารถทำงานได้หลากหลาย เช่น สร้างคลื่นแสงแบบกำหนดเอง, สร้างฮาร์มอนิกที่ปรับได้, สร้างแสง holographic และออกแบบฟังก์ชันแบบย้อนกลับ (inverse design) ได้ทันที งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 และจะตีพิมพ์ฉบับพิมพ์ในเดือนพฤศจิกายน โดยนักวิจัย Ryotatsu Yanagimoto จาก NTT Research เป็นผู้นำทีมภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ Peter McMahon จาก Cornell ผลลัพธ์ของงานนี้คือการ “ทำลายกรอบเดิม” ที่อุปกรณ์แสงหนึ่งตัวทำได้เพียงหนึ่งฟังก์ชัน ซึ่งเคยเป็นข้อจำกัดใหญ่ของวงการ photonics โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง เช่น การสื่อสารด้วยแสง, คอมพิวเตอร์ควอนตัม, การสร้างแหล่งกำเนิดแสงที่ปรับได้ และการวิเคราะห์คลื่นแสงในงานวิทยาศาสตร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ NTT Research ร่วมกับ Cornell และ Stanford พัฒนาชิป nonlinear photonics ที่โปรแกรมได้ ➡️ ใช้ structured light เพื่อปรับเปลี่ยนคุณสมบัติไม่เชิงเส้นของวัสดุ silicon nitride ➡️ ชิปสามารถทำงานได้หลายฟังก์ชัน เช่น pulse shaping, second-harmonic generation, holography ➡️ งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 ➡️ นำโดยนักวิจัย Ryotatsu Yanagimoto ภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ Peter McMahon ➡️ ชิปสามารถปรับฟังก์ชันแบบเรียลไทม์และทนต่อข้อผิดพลาดจากการผลิต ➡️ เปลี่ยนแนวคิด “one device, one function” เป็น “one chip, many functions” ➡️ มีศักยภาพในการใช้งานใน quantum computing, optical communication, sensing และ imaging ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ตลาด photonic-integrated circuits คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $50 พันล้านภายในปี 2035 ➡️ structured light ถูกใช้ในงาน imaging, holography และการควบคุมแสงในระดับนาโน ➡️ inverse design คือการออกแบบฟังก์ชันโดยเริ่มจากผลลัพธ์ที่ต้องการ แล้วหาวิธีสร้าง ➡️ quantum frequency conversion เป็นเทคนิคสำคัญในการเชื่อมโยงระบบควอนตัมต่างชนิด ➡️ photonics เป็นเทคโนโลยีหลักในการลดพลังงานและเพิ่มความเร็วของการประมวลผล https://www.techpowerup.com/341717/ntt-research-collaboration-breaks-the-one-device-one-function-paradigm-with-worlds-first-programmable-nonlinear-photonics-chip
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    NTT Research Collaboration Breaks the "One Device, One Function" Paradigm with World's First Programmable Nonlinear Photonics Chip
    NTT Research, Inc., a division of NTT, announced that its Physics and Informatics (PHI) Lab, working with Cornell University and Stanford University, has developed the world's first programmable nonlinear photonic waveguide that can switch between multiple nonlinear-optical functions on a single chi...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • “GitLab อุดช่องโหว่ร้ายแรงใน GraphQL API — เสี่ยงเขียนข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต และโจมตีระบบให้ล่มจากระยะไกล”

    GitLab ได้ออกแพตช์อัปเดตความปลอดภัยเพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรง 2 รายการใน GraphQL API ที่ส่งผลกระทบต่อทั้ง Community Edition (CE) และ Enterprise Edition (EE) โดยช่องโหว่เหล่านี้อาจเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถเขียนข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือทำให้ระบบ GitLab ไม่ตอบสนองผ่านการโจมตีแบบ denial-of-service (DoS)

    ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-11340 ซึ่งมีคะแนนความรุนแรง CVSS 7.7 โดยเปิดช่องให้ผู้ใช้ที่มี API token แบบ read-only สามารถเขียนข้อมูลลงใน vulnerability records ได้โดยไม่ควรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการละเมิดขอบเขตสิทธิ์อย่างชัดเจน

    ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-10004 มีคะแนน CVSS 7.5 และสามารถถูกโจมตีจากระยะไกลโดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน ผู้โจมตีสามารถส่ง GraphQL query ที่ร้องขอ blob ขนาดใหญ่มากจาก repository ซึ่งจะทำให้ระบบ GitLab ทำงานช้าลงหรือไม่ตอบสนองเลย

    GitLab ได้ออกแพตช์สำหรับเวอร์ชัน 18.4.2, 18.3.4 และ 18.2.8 พร้อมแนะนำให้ผู้ดูแลระบบที่ใช้ GitLab แบบ self-managed รีบอัปเดตทันที เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในระบบที่เปิดให้เข้าถึงจากสาธารณะ

    นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขช่องโหว่ระดับกลางและต่ำ เช่น CVE-2025-9825 (เกี่ยวกับ CI/CD variables) และ CVE-2025-2934 (DoS ผ่าน webhook) แต่ GitLab ให้ความสำคัญกับช่องโหว่ใน GraphQL เป็นอันดับแรก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    GitLab ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ CVE-2025-11340 และ CVE-2025-10004
    CVE-2025-11340 เปิดช่องให้ผู้ใช้ read-only API token เขียนข้อมูล vulnerability records ได้
    CVE-2025-10004 เปิดช่องให้โจมตีจากระยะไกลผ่าน GraphQL query ที่ร้องขอ blob ขนาดใหญ่
    ช่องโหว่ส่งผลกระทบต่อทั้ง GitLab CE และ EE
    แพตช์ออกสำหรับเวอร์ชัน 18.4.2, 18.3.4 และ 18.2.8
    GitLab แนะนำให้ผู้ดูแลระบบ self-managed รีบอัปเดตทันที
    ช่องโหว่ CVE-2025-10004 ไม่ต้องใช้การยืนยันตัวตน เพิ่มความเสี่ยงในการโจมตี
    มีการแก้ไขช่องโหว่ระดับกลางและต่ำเพิ่มเติม เช่น CVE-2025-9825 และ CVE-2025-2934

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GraphQL API เป็นช่องทางหลักในการสื่อสารข้อมูลระหว่าง client และ server ใน GitLab
    การโจมตีแบบ blob overload เคยถูกใช้ในระบบอื่นเพื่อทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่ม
    GitLab Duo มีฟีเจอร์ช่วยอธิบายช่องโหว่และเสนอวิธีแก้ไขโดยใช้ AI
    GitLab Dedicated ได้รับแพตช์แล้วโดยอัตโนมัติ
    การอัปเดตเวอร์ชันใหม่ไม่ต้อง migration ฐานข้อมูล และสามารถทำแบบ zero downtime ได้

    https://securityonline.info/gitlab-patches-two-high-severity-flaws-in-graphql-api-affecting-both-ce-and-ee-editions/
    🔐 “GitLab อุดช่องโหว่ร้ายแรงใน GraphQL API — เสี่ยงเขียนข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต และโจมตีระบบให้ล่มจากระยะไกล” GitLab ได้ออกแพตช์อัปเดตความปลอดภัยเพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรง 2 รายการใน GraphQL API ที่ส่งผลกระทบต่อทั้ง Community Edition (CE) และ Enterprise Edition (EE) โดยช่องโหว่เหล่านี้อาจเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถเขียนข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือทำให้ระบบ GitLab ไม่ตอบสนองผ่านการโจมตีแบบ denial-of-service (DoS) ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-11340 ซึ่งมีคะแนนความรุนแรง CVSS 7.7 โดยเปิดช่องให้ผู้ใช้ที่มี API token แบบ read-only สามารถเขียนข้อมูลลงใน vulnerability records ได้โดยไม่ควรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการละเมิดขอบเขตสิทธิ์อย่างชัดเจน ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-10004 มีคะแนน CVSS 7.5 และสามารถถูกโจมตีจากระยะไกลโดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน ผู้โจมตีสามารถส่ง GraphQL query ที่ร้องขอ blob ขนาดใหญ่มากจาก repository ซึ่งจะทำให้ระบบ GitLab ทำงานช้าลงหรือไม่ตอบสนองเลย GitLab ได้ออกแพตช์สำหรับเวอร์ชัน 18.4.2, 18.3.4 และ 18.2.8 พร้อมแนะนำให้ผู้ดูแลระบบที่ใช้ GitLab แบบ self-managed รีบอัปเดตทันที เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในระบบที่เปิดให้เข้าถึงจากสาธารณะ นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขช่องโหว่ระดับกลางและต่ำ เช่น CVE-2025-9825 (เกี่ยวกับ CI/CD variables) และ CVE-2025-2934 (DoS ผ่าน webhook) แต่ GitLab ให้ความสำคัญกับช่องโหว่ใน GraphQL เป็นอันดับแรก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ GitLab ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ CVE-2025-11340 และ CVE-2025-10004 ➡️ CVE-2025-11340 เปิดช่องให้ผู้ใช้ read-only API token เขียนข้อมูล vulnerability records ได้ ➡️ CVE-2025-10004 เปิดช่องให้โจมตีจากระยะไกลผ่าน GraphQL query ที่ร้องขอ blob ขนาดใหญ่ ➡️ ช่องโหว่ส่งผลกระทบต่อทั้ง GitLab CE และ EE ➡️ แพตช์ออกสำหรับเวอร์ชัน 18.4.2, 18.3.4 และ 18.2.8 ➡️ GitLab แนะนำให้ผู้ดูแลระบบ self-managed รีบอัปเดตทันที ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-10004 ไม่ต้องใช้การยืนยันตัวตน เพิ่มความเสี่ยงในการโจมตี ➡️ มีการแก้ไขช่องโหว่ระดับกลางและต่ำเพิ่มเติม เช่น CVE-2025-9825 และ CVE-2025-2934 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GraphQL API เป็นช่องทางหลักในการสื่อสารข้อมูลระหว่าง client และ server ใน GitLab ➡️ การโจมตีแบบ blob overload เคยถูกใช้ในระบบอื่นเพื่อทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่ม ➡️ GitLab Duo มีฟีเจอร์ช่วยอธิบายช่องโหว่และเสนอวิธีแก้ไขโดยใช้ AI ➡️ GitLab Dedicated ได้รับแพตช์แล้วโดยอัตโนมัติ ➡️ การอัปเดตเวอร์ชันใหม่ไม่ต้อง migration ฐานข้อมูล และสามารถทำแบบ zero downtime ได้ https://securityonline.info/gitlab-patches-two-high-severity-flaws-in-graphql-api-affecting-both-ce-and-ee-editions/
    SECURITYONLINE.INFO
    GitLab Patches Two High-Severity Flaws in GraphQL API Affecting Both CE and EE Editions
    GitLab patched two high-severity flaws: CVE-2025-11340 (Auth Bypass) allows API write access with read-only tokens, and CVE-2025-10004 permits unauthenticated DoS via GraphQL.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • “TSMC เปิดราคาชิป 2nm — แพงขึ้นไม่มาก แต่มีเงื่อนไขซ่อนอยู่ที่ลูกค้าต้องรับมือ”

    หลังจากมีข่าวลือว่าชิป 2nm จาก TSMC จะมีราคาสูงกว่ารุ่น 3nm ถึง 50% ล่าสุดมีรายงานใหม่ระบุว่าราคาจริงของแผ่นเวเฟอร์ 2nm จะเพิ่มขึ้นเพียง 10–20% เท่านั้นเมื่อเทียบกับรุ่น 3nm อย่าง N3P และ N3E แต่ความจริงที่ซ่อนอยู่คือ TSMC กำลังปรับราคาของเวเฟอร์ 3nm ให้สูงขึ้นด้วย ทำให้ช่องว่างระหว่างรุ่นดูแคบลง

    ราคาของเวเฟอร์ 2nm ยังคงอยู่ที่ประมาณ $30,000 ต่อแผ่น ซึ่งเป็นราคาที่สูงมากสำหรับการผลิตชิปในระดับผู้บริโภค โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวเฟอร์ 3nm ที่เคยอยู่ที่ $25,000–$27,000 แต่กำลังถูกปรับขึ้นเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านไปยัง 2nm ดู “สมเหตุสมผล”

    Qualcomm และ MediaTek เป็นสองบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนไปใช้ N3P โดยต้องจ่ายเพิ่มถึง 16–24% สำหรับชิปรุ่นใหม่ เช่น Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ Dimensity 9500 ขณะที่ Qualcomm เตรียมย้ายไปใช้ N2P สำหรับ Snapdragon 8 Elite Gen 6 ในปีหน้า

    แม้ราคาจะไม่พุ่งแรงอย่างที่คาด แต่ผลกระทบต่อราคาสินค้า เช่น สมาร์ตโฟนและแท็บเล็ต ยังคงมีอยู่ เพราะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจะถูกผลักไปยังผู้บริโภค โดยเฉพาะในยุคที่การผลิตชิปต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Gate-All-Around และ EUV ที่มีต้นทุนสูงมาก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ราคาของเวเฟอร์ 2nm อยู่ที่ประมาณ $30,000 ต่อแผ่น
    เพิ่มขึ้นจากเวเฟอร์ 3nm เพียง 10–20% ไม่ใช่ 50% ตามข่าวลือ
    TSMC ปรับราคาของเวเฟอร์ 3nm เช่น N3E และ N3P ให้สูงขึ้น
    Qualcomm และ MediaTek ได้รับผลกระทบจากราคาที่เพิ่มขึ้น
    Qualcomm เตรียมใช้ N2P สำหรับ Snapdragon 8 Elite Gen 6
    ราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จะเพิ่มขึ้นตามต้นทุนเวเฟอร์
    การผลิตชิป 2nm ใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around และ EUV
    TSMC เริ่มผลิต 2nm ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gate-All-Around เป็นเทคโนโลยีทรานซิสเตอร์ที่ลดการรั่วไหลของกระแสไฟ
    EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) เป็นเทคนิคพิมพ์ลวดลายที่ใช้แสงความยาวคลื่นสั้น
    การผลิตเวเฟอร์ในสหรัฐฯ เช่นที่โรงงานใน Arizona มีต้นทุนสูงกว่าที่ไต้หวันถึง 20–30%
    Apple และ AMD เป็นลูกค้าหลักของ TSMC ที่เตรียมใช้ 2nm ในผลิตภัณฑ์ปี 2026
    Chiplet architecture ช่วยลดต้นทุนโดยใช้เวเฟอร์ขั้นสูงเฉพาะในส่วนสำคัญของชิป

    https://wccftech.com/tsmc-2nm-wafers-to-be-10-to-20-percent-more-expensive-than-3nm/
    💰 “TSMC เปิดราคาชิป 2nm — แพงขึ้นไม่มาก แต่มีเงื่อนไขซ่อนอยู่ที่ลูกค้าต้องรับมือ” หลังจากมีข่าวลือว่าชิป 2nm จาก TSMC จะมีราคาสูงกว่ารุ่น 3nm ถึง 50% ล่าสุดมีรายงานใหม่ระบุว่าราคาจริงของแผ่นเวเฟอร์ 2nm จะเพิ่มขึ้นเพียง 10–20% เท่านั้นเมื่อเทียบกับรุ่น 3nm อย่าง N3P และ N3E แต่ความจริงที่ซ่อนอยู่คือ TSMC กำลังปรับราคาของเวเฟอร์ 3nm ให้สูงขึ้นด้วย ทำให้ช่องว่างระหว่างรุ่นดูแคบลง ราคาของเวเฟอร์ 2nm ยังคงอยู่ที่ประมาณ $30,000 ต่อแผ่น ซึ่งเป็นราคาที่สูงมากสำหรับการผลิตชิปในระดับผู้บริโภค โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวเฟอร์ 3nm ที่เคยอยู่ที่ $25,000–$27,000 แต่กำลังถูกปรับขึ้นเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านไปยัง 2nm ดู “สมเหตุสมผล” Qualcomm และ MediaTek เป็นสองบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนไปใช้ N3P โดยต้องจ่ายเพิ่มถึง 16–24% สำหรับชิปรุ่นใหม่ เช่น Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ Dimensity 9500 ขณะที่ Qualcomm เตรียมย้ายไปใช้ N2P สำหรับ Snapdragon 8 Elite Gen 6 ในปีหน้า แม้ราคาจะไม่พุ่งแรงอย่างที่คาด แต่ผลกระทบต่อราคาสินค้า เช่น สมาร์ตโฟนและแท็บเล็ต ยังคงมีอยู่ เพราะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจะถูกผลักไปยังผู้บริโภค โดยเฉพาะในยุคที่การผลิตชิปต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Gate-All-Around และ EUV ที่มีต้นทุนสูงมาก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ราคาของเวเฟอร์ 2nm อยู่ที่ประมาณ $30,000 ต่อแผ่น ➡️ เพิ่มขึ้นจากเวเฟอร์ 3nm เพียง 10–20% ไม่ใช่ 50% ตามข่าวลือ ➡️ TSMC ปรับราคาของเวเฟอร์ 3nm เช่น N3E และ N3P ให้สูงขึ้น ➡️ Qualcomm และ MediaTek ได้รับผลกระทบจากราคาที่เพิ่มขึ้น ➡️ Qualcomm เตรียมใช้ N2P สำหรับ Snapdragon 8 Elite Gen 6 ➡️ ราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จะเพิ่มขึ้นตามต้นทุนเวเฟอร์ ➡️ การผลิตชิป 2nm ใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around และ EUV ➡️ TSMC เริ่มผลิต 2nm ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gate-All-Around เป็นเทคโนโลยีทรานซิสเตอร์ที่ลดการรั่วไหลของกระแสไฟ ➡️ EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) เป็นเทคนิคพิมพ์ลวดลายที่ใช้แสงความยาวคลื่นสั้น ➡️ การผลิตเวเฟอร์ในสหรัฐฯ เช่นที่โรงงานใน Arizona มีต้นทุนสูงกว่าที่ไต้หวันถึง 20–30% ➡️ Apple และ AMD เป็นลูกค้าหลักของ TSMC ที่เตรียมใช้ 2nm ในผลิตภัณฑ์ปี 2026 ➡️ Chiplet architecture ช่วยลดต้นทุนโดยใช้เวเฟอร์ขั้นสูงเฉพาะในส่วนสำคัญของชิป https://wccftech.com/tsmc-2nm-wafers-to-be-10-to-20-percent-more-expensive-than-3nm/
    WCCFTECH.COM
    TSMC’s 2nm Customers Can Take A Breather; Wafers Reportedly Only 10-20 Percent More Expensive Than 3nm But There Is A Catch
    A new report states that instead of TSMC’s 2nm wafers being 50 percent more expensive than 3nm, they will be between 10-20 percent pricier
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • “CSS น้อยแต่ได้ผล — เคล็ดลับสร้างเว็บไซต์ดูดีโดยใช้โค้ดน้อยที่สุด”

    Kevin Powell นักพัฒนาและผู้สอนด้าน CSS ได้เผยแพร่บทความใน The Cascade ว่าด้วยการใช้ “CSS ให้น้อยที่สุด” เพื่อสร้างเว็บไซต์ที่ดูดีและใช้งานได้จริง โดยเน้นหลักการว่า “HTML ที่ดีคือจุดเริ่มต้นของเว็บไซต์ responsive โดยไม่ต้องพึ่ง CSS มากมาย” ซึ่งเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ต้องการสร้างหน้าเว็บแบบเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ

    เขาเริ่มจากการจัดการกับภาพและวิดีโอที่มักทำให้เกิดปัญหา overflow โดยใช้ CSS เพียงไม่กี่บรรทัด:


    img, svg, video {
    max-width: 100%;
    display: block;
    }

    จากนั้นปรับปรุง typography ด้วยการใช้ฟอนต์ system-ui ซึ่งมีความเข้ากันได้ดีในทุกระบบ และปรับขนาดตัวอักษรกับ line-height เพื่อให้อ่านง่ายขึ้น:


    body {
    font-family: system-ui;
    font-size: 1.25rem;
    line-height: 1.5;
    }

    เพื่อรองรับ dark mode ตามการตั้งค่าระบบของผู้ใช้ เขาใช้ property color-scheme:


    html {
    color-scheme: light dark;
    }

    และสุดท้ายคือการจำกัดความกว้างของเนื้อหาเพื่อให้อ่านง่าย โดยใช้ main element และฟังก์ชัน min():


    main {
    max-width: min(70ch, 100% - 4rem);
    margin-inline: auto;
    }


    ทั้งหมดนี้รวมกันแล้วเป็น CSS ที่สั้น กระชับ และสามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับเว็บไซต์ที่ดูดีโดยไม่ต้องใช้เฟรมเวิร์กหรือไฟล์ขนาดใหญ่

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    HTML ที่ดีสามารถสร้างเว็บไซต์ responsive ได้โดยไม่ต้องใช้ CSS มาก
    ใช้ CSS เพียงไม่กี่บรรทัดเพื่อจัดการภาพและวิดีโอให้ไม่ overflow
    ปรับ typography ด้วย system-ui, font-size 1.25rem และ line-height 1.5
    รองรับ dark mode ด้วย color-scheme: light dark
    จำกัดความกว้างของเนื้อหาด้วย max-width: min(70ch, 100% - 4rem)
    ใช้ margin-inline: auto เพื่อจัดเนื้อหาให้อยู่ตรงกลาง
    CSS ทั้งหมดสามารถใช้กับหน้าเว็บเรียบง่ายได้ทันที
    เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ต้องการโครงสร้างเบื้องต้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    system-ui เป็นฟอนต์ที่ใช้ UI ของระบบปฏิบัติการ เช่น San Francisco บน macOS
    color-scheme ช่วยให้เบราว์เซอร์ปรับ user-agent styles ตามธีมของระบบ
    ch คือหน่วยวัดความกว้างของตัวอักษร “0” ในฟอนต์ปัจจุบัน
    min() เป็นฟังก์ชัน CSS ที่เลือกค่าที่น้อยที่สุดจากหลายตัวเลือก
    margin-inline ใช้จัดระยะห่างในแนวแกน inline ซึ่งเหมาะกับการจัด layout แบบ responsive

    https://thecascade.dev/article/least-amount-of-css/
    🎨 “CSS น้อยแต่ได้ผล — เคล็ดลับสร้างเว็บไซต์ดูดีโดยใช้โค้ดน้อยที่สุด” Kevin Powell นักพัฒนาและผู้สอนด้าน CSS ได้เผยแพร่บทความใน The Cascade ว่าด้วยการใช้ “CSS ให้น้อยที่สุด” เพื่อสร้างเว็บไซต์ที่ดูดีและใช้งานได้จริง โดยเน้นหลักการว่า “HTML ที่ดีคือจุดเริ่มต้นของเว็บไซต์ responsive โดยไม่ต้องพึ่ง CSS มากมาย” ซึ่งเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ต้องการสร้างหน้าเว็บแบบเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ เขาเริ่มจากการจัดการกับภาพและวิดีโอที่มักทำให้เกิดปัญหา overflow โดยใช้ CSS เพียงไม่กี่บรรทัด: 🔖 img, svg, video { max-width: 100%; display: block; } จากนั้นปรับปรุง typography ด้วยการใช้ฟอนต์ system-ui ซึ่งมีความเข้ากันได้ดีในทุกระบบ และปรับขนาดตัวอักษรกับ line-height เพื่อให้อ่านง่ายขึ้น: 🔖 body { font-family: system-ui; font-size: 1.25rem; line-height: 1.5; } เพื่อรองรับ dark mode ตามการตั้งค่าระบบของผู้ใช้ เขาใช้ property color-scheme: 🔖 html { color-scheme: light dark; } และสุดท้ายคือการจำกัดความกว้างของเนื้อหาเพื่อให้อ่านง่าย โดยใช้ main element และฟังก์ชัน min(): 🔖 main { max-width: min(70ch, 100% - 4rem); margin-inline: auto; } ทั้งหมดนี้รวมกันแล้วเป็น CSS ที่สั้น กระชับ และสามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับเว็บไซต์ที่ดูดีโดยไม่ต้องใช้เฟรมเวิร์กหรือไฟล์ขนาดใหญ่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ HTML ที่ดีสามารถสร้างเว็บไซต์ responsive ได้โดยไม่ต้องใช้ CSS มาก ➡️ ใช้ CSS เพียงไม่กี่บรรทัดเพื่อจัดการภาพและวิดีโอให้ไม่ overflow ➡️ ปรับ typography ด้วย system-ui, font-size 1.25rem และ line-height 1.5 ➡️ รองรับ dark mode ด้วย color-scheme: light dark ➡️ จำกัดความกว้างของเนื้อหาด้วย max-width: min(70ch, 100% - 4rem) ➡️ ใช้ margin-inline: auto เพื่อจัดเนื้อหาให้อยู่ตรงกลาง ➡️ CSS ทั้งหมดสามารถใช้กับหน้าเว็บเรียบง่ายได้ทันที ➡️ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ต้องการโครงสร้างเบื้องต้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ system-ui เป็นฟอนต์ที่ใช้ UI ของระบบปฏิบัติการ เช่น San Francisco บน macOS ➡️ color-scheme ช่วยให้เบราว์เซอร์ปรับ user-agent styles ตามธีมของระบบ ➡️ ch คือหน่วยวัดความกว้างของตัวอักษร “0” ในฟอนต์ปัจจุบัน ➡️ min() เป็นฟังก์ชัน CSS ที่เลือกค่าที่น้อยที่สุดจากหลายตัวเลือก ➡️ margin-inline ใช้จัดระยะห่างในแนวแกน inline ซึ่งเหมาะกับการจัด layout แบบ responsive https://thecascade.dev/article/least-amount-of-css/
    THECASCADE.DEV
    The Cascade
    Sharing CSS tips, tricks, and best practices
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 6 – ซาอุดิฯ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 6”
    ซาอุดิ 5
การป้อน เหยื่อของอเมริกาแบบไม่อั้น ทำให้อังกฤษทนดูไม่ไหว เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1944 นายกรัฐมนตรีอังกฤษ Winston Churchill ลงทุนบินไปหาประธานาธิบดี Roosevelt เพื่อถามว่าอเมริกาจะเอาอย่างไรในตะวันออกกลาง อังกฤษพร้อมจะถอยจากการแย่งกันป้อนเหยื่อในซาอุดิอารเบีย ถ้า อเมริกา ถอยจากอิหร่านและอิรักเช่นกัน
    หลอด Churchill คงได้คำตอบกลับไปชัดเจน เพราะหลังจากนั้น Aramco Camp ที่อยู่ในเมือง Casoc ของซาอุดิ ก็เปลี่ยนโฉมหน้า กลายเป็นรัฐใหม่ของอเมริกา
    นัก ล่าหน้าใหม่ เรียนรู้จากวิธีการล่าเหยื่อ ของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วฯ ว่า แม้จะได้อาณาจักรเขามา แต่ไม่ได้ใจชาวเมือง การดูถูก กดขี่ แบ่งชั้น มีให้เห็นอยู่ตลอด แล้วมันจะกินเหยื่อได้นานอย่างไร
    อเมริกา เปลี่ยนรูปแบบอาณานิคม โดยป้อนวัฒนธรรมอเมริกันให้แทน เหยื่อเสพเข้าไปทุกเมนู โดยไม่รู้ว่านั่นเป็นกับดักการล่าชนิดใหม่ ที่มีอานุภาพรุนแรงเกินต้านทาน อเมริกาเอา International Telephone and Telegraph (ITT) และ Trans World Airways (TWA) เข้าไปให้การสื่อสารและการเดินทางในซาอุดิอารเบียสะดวกขึ้น อูฐและนกพิราบจะได้มีเวลาหยุดพักร้อน อเมริกาส่งความสะดวกทุกอย่างให้เหยื่อ เสพจนติดใจอย่างไม่รู้ตัว ถึงรู้ตัวก็สายเกินถอน
    ในช่วง ค.ศ.1940 กว่าเป็นต้นมา อเมริกาเลี้ยงซาอุดิอารเบีย ด้วยกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์จนอิ่มแปร้ เจ้าหน้าที่สถานฑูตและกองทัพของอเมริกาที่อยู่ในซาอุดิเปิดเผยว่า หน้าที่หลักของพวกเขาคือ ทำอะไรก็ได้ ที่จะทำให้ซาอุดิอาราเบียพอใจและอยู่ใน(กำ) มือของอเมริกาตลอดกาล
    ค.ศ.1945 อเมริกาตั้งฐานทัพที่ Dhahram เป็นฐานทัพที่มีทหารอเมริกันประจำการอยู่เต็มอัตรา Aramco ได้รับอนุญาตให้ใช้ฐานทัพ เพื่อธุรกิจน้ำมันอย่างสะดวกเช่นกัน เสียงนกเสียงกาบอกว่า ฐานทัพนี้จัดขึ้นเพื่อ Aramco แท้ๆ อย่าไปฟัง มันเป็นเสียงของความอิจฉาหมั่นไส้ทั้งนั้น ด้านทหารบอก ฐานทัพนี้มีไว้เพื่อยุทธศาสตร์การป้องกันตะวันออกกลางและเมดิเตอร์เรเนียน ต่างหาก เป็นการดูแลเชื่อมกันระหว่างยุโรปกับตะวันออกไกล
ไม่รู้ว่าทหารก็ แถเก่ง ไม่ว่าชาติไหน
    วัน หนึ่งใน ค.ศ.1945 กษัตริย์ซาอุดิ จับเข่าถามประธานาธิบดี Roosevelt ที่ Great Bitter Lake (ชื่อไม่เป็นมงคลเลย ! ) กษัตริย์ต้องการคำมั่นในการสนับสนุนจากอเมริกา ประธานาธิบดีรับปากว่า อเมริกาจะป้อนกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ให้กับประเทศท่านตลอดไป และจะสนับสนุนฝ่ายอาหรับในกรณีปาเลสไตน์ รับปากเสร็จ ไม่นานประธานาธิบดี Roosevelt ก็เสียชีวิต
    ประธานาธิบดี Truman มารับงานต่อ เขาไม่ลืมคำรับปากของ Roosevelt เขาป้อนกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ให้ซาอุดิอารเบียต่อ เพียงแต่ขอเปลี่ยนแหล่งส่งกระ ดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ จากกระทรวงต่างประเทศ เป็น Export Import Bank (EXIM) แต่ท่านก็ได้กระดาษสีเขียว ตรานกอินทรีย์เหมือนกันแหละ ไม่ต้องตกใจนะ
    เหยื่อ เสพติดกระดาษสีเขียว จนถอนตัวไม่ขึ้น ก็ยอมรับ เงินให้กู้ ของ EXIM ที่มีเงื่อนไขติดมา ว่าเงินกู้นี้ ต้องใช้ ในการซื้อสินค้า หรือการจ้างงานสัญชาติอเมริกันเท่านั้น !
    การป้อนเหยื่อด้วยวิธีการนี้ ทำให้เศรษฐกิจของซาอุดิอารเบีย ตกอยู่ในวงล้อมและกำมือของอเมริกาโดยสมบูรณ์ ซาอุดิอารเบียกลัวตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ อยากให้อเมริกาเข้ามาช่วย อเมริกาก็มาช่วยสมใจ แต่ซาอุดิอารเบียจะรู้ไหมว่า อาณานิคมแบบใหม่ กับแบบเก่า มันก็เป็นเหยื่อเขาเช่นเดียวกัน
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 6 – ซาอุดิฯ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 6” ซาอุดิ 5
การป้อน เหยื่อของอเมริกาแบบไม่อั้น ทำให้อังกฤษทนดูไม่ไหว เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1944 นายกรัฐมนตรีอังกฤษ Winston Churchill ลงทุนบินไปหาประธานาธิบดี Roosevelt เพื่อถามว่าอเมริกาจะเอาอย่างไรในตะวันออกกลาง อังกฤษพร้อมจะถอยจากการแย่งกันป้อนเหยื่อในซาอุดิอารเบีย ถ้า อเมริกา ถอยจากอิหร่านและอิรักเช่นกัน หลอด Churchill คงได้คำตอบกลับไปชัดเจน เพราะหลังจากนั้น Aramco Camp ที่อยู่ในเมือง Casoc ของซาอุดิ ก็เปลี่ยนโฉมหน้า กลายเป็นรัฐใหม่ของอเมริกา นัก ล่าหน้าใหม่ เรียนรู้จากวิธีการล่าเหยื่อ ของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วฯ ว่า แม้จะได้อาณาจักรเขามา แต่ไม่ได้ใจชาวเมือง การดูถูก กดขี่ แบ่งชั้น มีให้เห็นอยู่ตลอด แล้วมันจะกินเหยื่อได้นานอย่างไร อเมริกา เปลี่ยนรูปแบบอาณานิคม โดยป้อนวัฒนธรรมอเมริกันให้แทน เหยื่อเสพเข้าไปทุกเมนู โดยไม่รู้ว่านั่นเป็นกับดักการล่าชนิดใหม่ ที่มีอานุภาพรุนแรงเกินต้านทาน อเมริกาเอา International Telephone and Telegraph (ITT) และ Trans World Airways (TWA) เข้าไปให้การสื่อสารและการเดินทางในซาอุดิอารเบียสะดวกขึ้น อูฐและนกพิราบจะได้มีเวลาหยุดพักร้อน อเมริกาส่งความสะดวกทุกอย่างให้เหยื่อ เสพจนติดใจอย่างไม่รู้ตัว ถึงรู้ตัวก็สายเกินถอน ในช่วง ค.ศ.1940 กว่าเป็นต้นมา อเมริกาเลี้ยงซาอุดิอารเบีย ด้วยกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์จนอิ่มแปร้ เจ้าหน้าที่สถานฑูตและกองทัพของอเมริกาที่อยู่ในซาอุดิเปิดเผยว่า หน้าที่หลักของพวกเขาคือ ทำอะไรก็ได้ ที่จะทำให้ซาอุดิอาราเบียพอใจและอยู่ใน(กำ) มือของอเมริกาตลอดกาล ค.ศ.1945 อเมริกาตั้งฐานทัพที่ Dhahram เป็นฐานทัพที่มีทหารอเมริกันประจำการอยู่เต็มอัตรา Aramco ได้รับอนุญาตให้ใช้ฐานทัพ เพื่อธุรกิจน้ำมันอย่างสะดวกเช่นกัน เสียงนกเสียงกาบอกว่า ฐานทัพนี้จัดขึ้นเพื่อ Aramco แท้ๆ อย่าไปฟัง มันเป็นเสียงของความอิจฉาหมั่นไส้ทั้งนั้น ด้านทหารบอก ฐานทัพนี้มีไว้เพื่อยุทธศาสตร์การป้องกันตะวันออกกลางและเมดิเตอร์เรเนียน ต่างหาก เป็นการดูแลเชื่อมกันระหว่างยุโรปกับตะวันออกไกล
ไม่รู้ว่าทหารก็ แถเก่ง ไม่ว่าชาติไหน วัน หนึ่งใน ค.ศ.1945 กษัตริย์ซาอุดิ จับเข่าถามประธานาธิบดี Roosevelt ที่ Great Bitter Lake (ชื่อไม่เป็นมงคลเลย ! ) กษัตริย์ต้องการคำมั่นในการสนับสนุนจากอเมริกา ประธานาธิบดีรับปากว่า อเมริกาจะป้อนกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ให้กับประเทศท่านตลอดไป และจะสนับสนุนฝ่ายอาหรับในกรณีปาเลสไตน์ รับปากเสร็จ ไม่นานประธานาธิบดี Roosevelt ก็เสียชีวิต ประธานาธิบดี Truman มารับงานต่อ เขาไม่ลืมคำรับปากของ Roosevelt เขาป้อนกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ให้ซาอุดิอารเบียต่อ เพียงแต่ขอเปลี่ยนแหล่งส่งกระ ดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ จากกระทรวงต่างประเทศ เป็น Export Import Bank (EXIM) แต่ท่านก็ได้กระดาษสีเขียว ตรานกอินทรีย์เหมือนกันแหละ ไม่ต้องตกใจนะ เหยื่อ เสพติดกระดาษสีเขียว จนถอนตัวไม่ขึ้น ก็ยอมรับ เงินให้กู้ ของ EXIM ที่มีเงื่อนไขติดมา ว่าเงินกู้นี้ ต้องใช้ ในการซื้อสินค้า หรือการจ้างงานสัญชาติอเมริกันเท่านั้น ! การป้อนเหยื่อด้วยวิธีการนี้ ทำให้เศรษฐกิจของซาอุดิอารเบีย ตกอยู่ในวงล้อมและกำมือของอเมริกาโดยสมบูรณ์ ซาอุดิอารเบียกลัวตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ อยากให้อเมริกาเข้ามาช่วย อเมริกาก็มาช่วยสมใจ แต่ซาอุดิอารเบียจะรู้ไหมว่า อาณานิคมแบบใหม่ กับแบบเก่า มันก็เป็นเหยื่อเขาเช่นเดียวกัน สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Bruno Le Maire ยุติบทบาทที่ ASML หลังรัฐบาลฝรั่งเศสล่ม — สะเทือนวงการชิปยุโรป”

    Bruno Le Maire อดีตรัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส ได้ยุติบทบาทที่ปรึกษาพิเศษของบริษัท ASML ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจาก Le Maire ถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศส แต่รัฐบาลดังกล่าวกลับล่มภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการแต่งตั้ง

    Le Maire ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษของคณะกรรมการบริหาร ASML ตั้งแต่ปี 2024 โดยมีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำด้านการลงทุนเพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมชิปในยุโรป ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของสหภาพยุโรปในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ และจีน

    ASML เพิ่งลงทุนกว่า 1.3 พันล้านยูโรในบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ของฝรั่งเศสชื่อ Mistral AI ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบปี และสะท้อนถึงความพยายามของยุโรปในการผลักดันเทคโนโลยีล้ำหน้าให้เติบโตภายในภูมิภาค

    แม้ ASML จะปฏิเสธให้ความเห็นว่า Le Maire จะกลับมารับตำแหน่งอีกหรือไม่หลังจากการล่มของรัฐบาล แต่การถอนตัวครั้งนี้ก็สร้างคำถามถึงเสถียรภาพของการผลักดันนโยบายเทคโนโลยีในยุโรป และบทบาทของนักการเมืองระดับสูงในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงระดับโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Bruno Le Maire ยุติบทบาทที่ปรึกษาพิเศษของ ASML
    เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส และถูกเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีกลาโหม
    รัฐบาลฝรั่งเศสชุดใหม่ล่มภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการแต่งตั้ง
    Le Maire ได้รับตำแหน่งที่ ASML ตั้งแต่ปี 2024 เพื่อให้คำแนะนำด้านการลงทุน
    ASML เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก
    ASML ลงทุน 1.3 พันล้านยูโรในบริษัท Mistral AI ของฝรั่งเศส
    การลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เสริมสร้างระบบชิปในยุโรป
    ASML ปฏิเสธให้ความเห็นว่า Le Maire จะกลับมารับตำแหน่งอีกหรือไม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ASML เป็นบริษัทเดียวในโลกที่ผลิตเครื่อง EUV lithography ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตชิประดับ 3 นาโนเมตร
    Mistral AI เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลฝรั่งเศสเพื่อแข่งขันกับ OpenAI และ Anthropic
    การพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศทำให้ยุโรปต้องเร่งสร้างความมั่นคงด้านชิป
    Le Maire เคยผลักดันโครงการ European Chips Act เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปภายในภูมิภาค
    การล่มของรัฐบาลฝรั่งเศสอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของนโยบายเทคโนโลยีระดับชาติ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/bruno-le-maire-no-longer-advising-asml-company-says
    🇪🇺 “Bruno Le Maire ยุติบทบาทที่ ASML หลังรัฐบาลฝรั่งเศสล่ม — สะเทือนวงการชิปยุโรป” Bruno Le Maire อดีตรัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส ได้ยุติบทบาทที่ปรึกษาพิเศษของบริษัท ASML ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจาก Le Maire ถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศส แต่รัฐบาลดังกล่าวกลับล่มภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการแต่งตั้ง Le Maire ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษของคณะกรรมการบริหาร ASML ตั้งแต่ปี 2024 โดยมีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำด้านการลงทุนเพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมชิปในยุโรป ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของสหภาพยุโรปในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ และจีน ASML เพิ่งลงทุนกว่า 1.3 พันล้านยูโรในบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ของฝรั่งเศสชื่อ Mistral AI ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบปี และสะท้อนถึงความพยายามของยุโรปในการผลักดันเทคโนโลยีล้ำหน้าให้เติบโตภายในภูมิภาค แม้ ASML จะปฏิเสธให้ความเห็นว่า Le Maire จะกลับมารับตำแหน่งอีกหรือไม่หลังจากการล่มของรัฐบาล แต่การถอนตัวครั้งนี้ก็สร้างคำถามถึงเสถียรภาพของการผลักดันนโยบายเทคโนโลยีในยุโรป และบทบาทของนักการเมืองระดับสูงในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงระดับโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Bruno Le Maire ยุติบทบาทที่ปรึกษาพิเศษของ ASML ➡️ เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส และถูกเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีกลาโหม ➡️ รัฐบาลฝรั่งเศสชุดใหม่ล่มภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการแต่งตั้ง ➡️ Le Maire ได้รับตำแหน่งที่ ASML ตั้งแต่ปี 2024 เพื่อให้คำแนะนำด้านการลงทุน ➡️ ASML เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ ASML ลงทุน 1.3 พันล้านยูโรในบริษัท Mistral AI ของฝรั่งเศส ➡️ การลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เสริมสร้างระบบชิปในยุโรป ➡️ ASML ปฏิเสธให้ความเห็นว่า Le Maire จะกลับมารับตำแหน่งอีกหรือไม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ASML เป็นบริษัทเดียวในโลกที่ผลิตเครื่อง EUV lithography ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตชิประดับ 3 นาโนเมตร ➡️ Mistral AI เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลฝรั่งเศสเพื่อแข่งขันกับ OpenAI และ Anthropic ➡️ การพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศทำให้ยุโรปต้องเร่งสร้างความมั่นคงด้านชิป ➡️ Le Maire เคยผลักดันโครงการ European Chips Act เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปภายในภูมิภาค ➡️ การล่มของรัฐบาลฝรั่งเศสอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของนโยบายเทคโนโลยีระดับชาติ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/bruno-le-maire-no-longer-advising-asml-company-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bruno Le Maire no longer advising ASML, company says
    (Reuters) -France's former finance minister Bruno Le Maire is no longer an advisor at ASML, a spokesperson for the Dutch chip equipment maker told Reuters on Monday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Wikidata เปิดตัวฐานข้อมูลเวกเตอร์ฟรี — ทางเลือกใหม่ของ AI ที่โปร่งใสและตรวจสอบได้”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสารและวิเคราะห์ข้อมูล Wikidata ซึ่งเป็นฐานข้อมูลเปิดขนาดใหญ่ในเครือ Wikimedia ได้เปิดตัวโครงการใหม่ชื่อว่า “Wikidata Embedding Project” โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ข้อมูลเชิงโครงสร้างกว่า 119 ล้านรายการสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับระบบ AI โดยเฉพาะโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs)

    โครงการนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดย Wikimedia Deutschland ร่วมมือกับ Jina.AI และ DataStax เพื่อสร้างฐานข้อมูลเวกเตอร์ที่สามารถค้นหาข้อมูลตาม “ความหมาย” ไม่ใช่แค่คำสำคัญแบบเดิม ซึ่งช่วยให้ AI เข้าใจบริบทและความสัมพันธ์ของข้อมูลได้ดีขึ้น

    ระบบนี้ใช้โมเดล embedding จาก Jina ที่รองรับมากกว่า 100 ภาษา และสามารถประมวลผลข้อความได้ถึง 8,192 โทเคน โดยจัดเก็บเวกเตอร์ใน Astra DB ของ DataStax ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ

    ฐานข้อมูลเวกเตอร์นี้เปิดให้ใช้งานฟรีและเป็นโอเพ่นซอร์ส นักพัฒนาสามารถนำไปใช้ในงานหลากหลาย เช่น การตรวจสอบข้อเท็จจริง การจำแนกข้อมูลแบบ zero-shot การแยกชื่อบุคคลที่คล้ายกัน และการสร้างภาพเชิงความหมายของกราฟความรู้ นอกจากนี้ยังรองรับ GraphRAG ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ที่ผสานการค้นหาแบบเวกเตอร์กับกราฟเพื่อการดึงข้อมูลที่แม่นยำยิ่งขึ้น

    Lydia Pintscher หัวหน้าโครงการ Wikidata กล่าวว่าการเปิดตัวครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการสร้าง AI ที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยใช้ข้อมูลที่ได้รับการยืนยันแล้วจากชุมชนทั่วโลก แทนที่จะพึ่งพาข้อมูลปิดจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่

    ผู้ใช้สามารถทดลองใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทะเบียน และ Wikimedia Deutschland ยังจัดสัมมนาออนไลน์ในวันที่ 9 ตุลาคม เพื่อแนะนำการใช้งานและแนวทางการนำไปใช้ในระบบ AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Wikidata เปิดตัว Wikidata Embedding Project ฐานข้อมูลเวกเตอร์แบบโอเพ่นซอร์ส
    รองรับการค้นหาข้อมูลตามความหมาย (semantic search) ไม่ใช่แค่คำสำคัญ
    ใช้โมเดล embedding จาก Jina ที่รองรับมากกว่า 100 ภาษา
    เวกเตอร์ถูกจัดเก็บใน Astra DB ของ DataStax
    รองรับการใช้งานฟรีโดยไม่ต้องลงทะเบียนหรือ API key
    เปิดให้ใช้งานตั้งแต่ตุลาคม 2025 โดยร่วมมือกับ Jina.AI และ DataStax
    รองรับภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และอาหรับในช่วงแรก
    ใช้ได้กับงาน AI เช่น fact-checking, zero-shot classification, named entity disambiguation
    รองรับ GraphRAG เพื่อการค้นหาข้อมูลแบบผสมระหว่างเวกเตอร์และกราฟ
    Wikimedia Deutschland จัดสัมมนาออนไลน์วันที่ 9 ตุลาคม เพื่อแนะนำการใช้งาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wikidata เป็นฐานข้อมูลเปิดที่มีมากกว่า 119 ล้านรายการ และดูแลโดยอาสาสมัครกว่า 24,000 คน
    Vector database ช่วยให้ AI เข้าใจบริบทของข้อมูลได้ดีกว่าการค้นหาแบบ keyword
    GraphRAG เป็นเทคนิคใหม่ที่ใช้ในระบบ retrieval-augmented generation เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
    การใช้ข้อมูลที่ตรวจสอบได้ช่วยลดปัญหา “hallucination” ในการสร้างเนื้อหาโดย AI
    การเปิดให้ใช้งานฟรีช่วยส่งเสริมการพัฒนา AI ในภาคการศึกษาและองค์กรไม่แสวงหากำไร

    https://news.itsfoss.com/wikidata-launches-vector-database/
    🧠 “Wikidata เปิดตัวฐานข้อมูลเวกเตอร์ฟรี — ทางเลือกใหม่ของ AI ที่โปร่งใสและตรวจสอบได้” ในยุคที่ AI กลายเป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสารและวิเคราะห์ข้อมูล Wikidata ซึ่งเป็นฐานข้อมูลเปิดขนาดใหญ่ในเครือ Wikimedia ได้เปิดตัวโครงการใหม่ชื่อว่า “Wikidata Embedding Project” โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ข้อมูลเชิงโครงสร้างกว่า 119 ล้านรายการสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับระบบ AI โดยเฉพาะโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) โครงการนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดย Wikimedia Deutschland ร่วมมือกับ Jina.AI และ DataStax เพื่อสร้างฐานข้อมูลเวกเตอร์ที่สามารถค้นหาข้อมูลตาม “ความหมาย” ไม่ใช่แค่คำสำคัญแบบเดิม ซึ่งช่วยให้ AI เข้าใจบริบทและความสัมพันธ์ของข้อมูลได้ดีขึ้น ระบบนี้ใช้โมเดล embedding จาก Jina ที่รองรับมากกว่า 100 ภาษา และสามารถประมวลผลข้อความได้ถึง 8,192 โทเคน โดยจัดเก็บเวกเตอร์ใน Astra DB ของ DataStax ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ ฐานข้อมูลเวกเตอร์นี้เปิดให้ใช้งานฟรีและเป็นโอเพ่นซอร์ส นักพัฒนาสามารถนำไปใช้ในงานหลากหลาย เช่น การตรวจสอบข้อเท็จจริง การจำแนกข้อมูลแบบ zero-shot การแยกชื่อบุคคลที่คล้ายกัน และการสร้างภาพเชิงความหมายของกราฟความรู้ นอกจากนี้ยังรองรับ GraphRAG ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ที่ผสานการค้นหาแบบเวกเตอร์กับกราฟเพื่อการดึงข้อมูลที่แม่นยำยิ่งขึ้น Lydia Pintscher หัวหน้าโครงการ Wikidata กล่าวว่าการเปิดตัวครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการสร้าง AI ที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยใช้ข้อมูลที่ได้รับการยืนยันแล้วจากชุมชนทั่วโลก แทนที่จะพึ่งพาข้อมูลปิดจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ผู้ใช้สามารถทดลองใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทะเบียน และ Wikimedia Deutschland ยังจัดสัมมนาออนไลน์ในวันที่ 9 ตุลาคม เพื่อแนะนำการใช้งานและแนวทางการนำไปใช้ในระบบ AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Wikidata เปิดตัว Wikidata Embedding Project ฐานข้อมูลเวกเตอร์แบบโอเพ่นซอร์ส ➡️ รองรับการค้นหาข้อมูลตามความหมาย (semantic search) ไม่ใช่แค่คำสำคัญ ➡️ ใช้โมเดล embedding จาก Jina ที่รองรับมากกว่า 100 ภาษา ➡️ เวกเตอร์ถูกจัดเก็บใน Astra DB ของ DataStax ➡️ รองรับการใช้งานฟรีโดยไม่ต้องลงทะเบียนหรือ API key ➡️ เปิดให้ใช้งานตั้งแต่ตุลาคม 2025 โดยร่วมมือกับ Jina.AI และ DataStax ➡️ รองรับภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และอาหรับในช่วงแรก ➡️ ใช้ได้กับงาน AI เช่น fact-checking, zero-shot classification, named entity disambiguation ➡️ รองรับ GraphRAG เพื่อการค้นหาข้อมูลแบบผสมระหว่างเวกเตอร์และกราฟ ➡️ Wikimedia Deutschland จัดสัมมนาออนไลน์วันที่ 9 ตุลาคม เพื่อแนะนำการใช้งาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wikidata เป็นฐานข้อมูลเปิดที่มีมากกว่า 119 ล้านรายการ และดูแลโดยอาสาสมัครกว่า 24,000 คน ➡️ Vector database ช่วยให้ AI เข้าใจบริบทของข้อมูลได้ดีกว่าการค้นหาแบบ keyword ➡️ GraphRAG เป็นเทคนิคใหม่ที่ใช้ในระบบ retrieval-augmented generation เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ➡️ การใช้ข้อมูลที่ตรวจสอบได้ช่วยลดปัญหา “hallucination” ในการสร้างเนื้อหาโดย AI ➡️ การเปิดให้ใช้งานฟรีช่วยส่งเสริมการพัฒนา AI ในภาคการศึกษาและองค์กรไม่แสวงหากำไร https://news.itsfoss.com/wikidata-launches-vector-database/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Acer เตือนดีล Nvidia–Intel อาจทำให้ซัพพลายเชน PC ยุ่งยากขึ้น — ขณะที่แผนผลิตชิป 50/50 ระหว่างสหรัฐฯ–ไต้หวันอาจใช้เวลาถึง 50 ปี”

    ในงาน Long Time Smile Awards ของ Acer ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2025 Jason Chen ซีอีโอของ Acer ได้แสดงความกังวลต่อดีลระหว่าง Nvidia และ Intel ที่ร่วมกันพัฒนาชิป x86 รุ่นใหม่ โดยระบุว่าการมีผู้ผลิตชิปเพิ่มขึ้นจากสองรายหลัก (Intel และ AMD) เป็นสามราย จะทำให้ซัพพลายเชนของอุตสาหกรรม PC ยุ่งยากขึ้นอย่างมาก

    Chen ชี้ว่าในปัจจุบัน ผู้ผลิตต้องจัดการกับหลายเจเนอเรชันของชิปจาก Intel และ AMD ที่มีความแตกต่างทั้งด้านราคา ประสิทธิภาพ และการใช้พลังงาน การเพิ่ม Nvidia เข้ามาในฐานะผู้ผลิต CPU จะทำให้การเลือกจับคู่ CPU, GPU, RAM และ PSU ยิ่งซับซ้อนขึ้น และอาจทำให้ผู้บริโภคเกิด “decision fatigue” จนเลือกซื้อจากแบรนด์ที่คุ้นเคยแทน

    ในงานเดียวกัน Stan Shih ผู้ก่อตั้ง Acer ยังได้แสดงความเห็นต่อข้อเสนอของ Howard Lutnick รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่เสนอให้แบ่งการผลิตชิปสำหรับตลาดสหรัฐฯ ระหว่างไต้หวันและสหรัฐฯ แบบ 50/50 โดย Shih มองว่าแนวคิดนี้เป็นไปได้ในระยะยาว แต่ต้องใช้เวลาถึง 50 ปีในการปรับโครงสร้างซัพพลายเชนให้รองรับ

    Acer ได้เริ่มปรับกระบวนการผลิตสำหรับสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของทำเนียบขาว และอาจต้องปรับเพิ่มอีก หากผลการสอบสวนตามมาตรา 232 นำไปสู่การเก็บภาษีชิปสูงถึง 200–300%

    สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากดีลพันธมิตรใหม่ ภาษี การขาดแคลน และแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งทุกบริษัทต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Acer เตือนว่าดีล Nvidia–Intel จะทำให้ซัพพลายเชน PC ซับซ้อนขึ้น
    ผู้ผลิตต้องจัดการกับหลายเจเนอเรชันของชิปจาก Intel และ AMD
    การเพิ่ม Nvidia เป็นผู้ผลิต CPU จะทำให้การเลือกอุปกรณ์ยิ่งยุ่งยาก
    ผู้บริโภคอาจเกิด decision fatigue และเลือกแบรนด์ที่คุ้นเคย
    Stan Shih มองว่าแผนผลิตชิป 50/50 ระหว่างไต้หวัน–สหรัฐฯ อาจใช้เวลาถึง 50 ปี
    Acer ปรับกระบวนการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากนโยบายของสหรัฐฯ
    อาจต้องปรับเพิ่มอีก หากผลสอบสวนตามมาตรา 232 นำไปสู่ภาษีชิป 200–300%
    อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nvidia และ Intel ร่วมพัฒนาชิป x86 เพื่อแข่งขันกับ AMD
    Intel เพิ่งขึ้นราคาชิป Raptor Lake แม้จะเป็นเจเนอเรชันเก่า
    AMD เปิดตัว Ryzen 3 5100 บนแพลตฟอร์ม AM4 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 3
    Lutnick เสนอแผน 50/50 เพื่อให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาไต้หวันด้านชิป
    การผลิตชิปในไต้หวันคิดเป็นกว่า 90% ของชิปขั้นสูงทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/acer-chief-says-nvidias-intel-investment-will-complicate-pc-supply-chains-says-lutnicks-50-50-proposal-could-take-50-years-to-realize
    🔧 “Acer เตือนดีล Nvidia–Intel อาจทำให้ซัพพลายเชน PC ยุ่งยากขึ้น — ขณะที่แผนผลิตชิป 50/50 ระหว่างสหรัฐฯ–ไต้หวันอาจใช้เวลาถึง 50 ปี” ในงาน Long Time Smile Awards ของ Acer ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2025 Jason Chen ซีอีโอของ Acer ได้แสดงความกังวลต่อดีลระหว่าง Nvidia และ Intel ที่ร่วมกันพัฒนาชิป x86 รุ่นใหม่ โดยระบุว่าการมีผู้ผลิตชิปเพิ่มขึ้นจากสองรายหลัก (Intel และ AMD) เป็นสามราย จะทำให้ซัพพลายเชนของอุตสาหกรรม PC ยุ่งยากขึ้นอย่างมาก Chen ชี้ว่าในปัจจุบัน ผู้ผลิตต้องจัดการกับหลายเจเนอเรชันของชิปจาก Intel และ AMD ที่มีความแตกต่างทั้งด้านราคา ประสิทธิภาพ และการใช้พลังงาน การเพิ่ม Nvidia เข้ามาในฐานะผู้ผลิต CPU จะทำให้การเลือกจับคู่ CPU, GPU, RAM และ PSU ยิ่งซับซ้อนขึ้น และอาจทำให้ผู้บริโภคเกิด “decision fatigue” จนเลือกซื้อจากแบรนด์ที่คุ้นเคยแทน ในงานเดียวกัน Stan Shih ผู้ก่อตั้ง Acer ยังได้แสดงความเห็นต่อข้อเสนอของ Howard Lutnick รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่เสนอให้แบ่งการผลิตชิปสำหรับตลาดสหรัฐฯ ระหว่างไต้หวันและสหรัฐฯ แบบ 50/50 โดย Shih มองว่าแนวคิดนี้เป็นไปได้ในระยะยาว แต่ต้องใช้เวลาถึง 50 ปีในการปรับโครงสร้างซัพพลายเชนให้รองรับ Acer ได้เริ่มปรับกระบวนการผลิตสำหรับสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของทำเนียบขาว และอาจต้องปรับเพิ่มอีก หากผลการสอบสวนตามมาตรา 232 นำไปสู่การเก็บภาษีชิปสูงถึง 200–300% สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากดีลพันธมิตรใหม่ ภาษี การขาดแคลน และแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งทุกบริษัทต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Acer เตือนว่าดีล Nvidia–Intel จะทำให้ซัพพลายเชน PC ซับซ้อนขึ้น ➡️ ผู้ผลิตต้องจัดการกับหลายเจเนอเรชันของชิปจาก Intel และ AMD ➡️ การเพิ่ม Nvidia เป็นผู้ผลิต CPU จะทำให้การเลือกอุปกรณ์ยิ่งยุ่งยาก ➡️ ผู้บริโภคอาจเกิด decision fatigue และเลือกแบรนด์ที่คุ้นเคย ➡️ Stan Shih มองว่าแผนผลิตชิป 50/50 ระหว่างไต้หวัน–สหรัฐฯ อาจใช้เวลาถึง 50 ปี ➡️ Acer ปรับกระบวนการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากนโยบายของสหรัฐฯ ➡️ อาจต้องปรับเพิ่มอีก หากผลสอบสวนตามมาตรา 232 นำไปสู่ภาษีชิป 200–300% ➡️ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nvidia และ Intel ร่วมพัฒนาชิป x86 เพื่อแข่งขันกับ AMD ➡️ Intel เพิ่งขึ้นราคาชิป Raptor Lake แม้จะเป็นเจเนอเรชันเก่า ➡️ AMD เปิดตัว Ryzen 3 5100 บนแพลตฟอร์ม AM4 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 3 ➡️ Lutnick เสนอแผน 50/50 เพื่อให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาไต้หวันด้านชิป ➡️ การผลิตชิปในไต้หวันคิดเป็นกว่า 90% ของชิปขั้นสูงทั่วโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/acer-chief-says-nvidias-intel-investment-will-complicate-pc-supply-chains-says-lutnicks-50-50-proposal-could-take-50-years-to-realize
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft ปิดช่องโหว่ SVG บน Outlook — หยุดภาพแฝงมัลแวร์ที่เคยหลอกผู้ใช้ทั่วโลก”

    Microsoft ประกาศปรับปรุงระบบความปลอดภัยของ Outlook โดยจะ “หยุดแสดงภาพ SVG แบบ inline” ทั้งใน Outlook for Web และ Outlook for Windows รุ่นใหม่ เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ phishing และมัลแวร์ที่แฝงมากับไฟล์ภาพ ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่ที่ถูกใช้มากขึ้นในช่วงหลัง

    SVG (Scalable Vector Graphics) เป็นไฟล์ภาพที่ใช้โค้ด XML ในการกำหนดรูปแบบ ทำให้สามารถฝัง JavaScript หรือโค้ดอันตรายอื่น ๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อแสดงแบบ inline ในอีเมล ซึ่ง Outlook เคยอนุญาตให้แสดงโดยตรงในเนื้อหาอีเมล

    จากรายงานของ Microsoft และนักวิจัยด้านความปลอดภัย พบว่าการโจมตีผ่าน SVG เพิ่มขึ้นกว่า 1,800% ระหว่างต้นปี 2024 ถึงกลางปี 2025 โดยมีการใช้แพลตฟอร์ม Phishing-as-a-Service (PhaaS) เช่น Tycoon2FA และ Sneaky2FA เพื่อสร้างภาพ SVG ปลอมที่หลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัว

    การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ผู้ใช้เห็น “ช่องว่างเปล่า” แทนภาพ SVG ที่เคยแสดงในอีเมล แต่ยังสามารถเปิดดูไฟล์ SVG ที่แนบมาแบบ attachment ได้ตามปกติ โดย Microsoft ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะกระทบผู้ใช้น้อยมาก เพราะมีเพียง 0.1% ของภาพใน Outlook ที่ใช้ SVG แบบ inline

    นอกจากนี้ Microsoft ยังเดินหน้าปรับปรุงระบบความปลอดภัยใน Office และ Windows อย่างต่อเนื่อง เช่น การบล็อกไฟล์ .library-ms และ .search-ms ที่เคยถูกใช้โจมตีหน่วยงานรัฐบาล รวมถึงการปิดใช้งาน VBA macros, ActiveX และ XLL add-ins ที่ไม่ปลอดภัย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft ปิดการแสดงภาพ SVG แบบ inline ใน Outlook for Web และ Outlook for Windows
    ผู้ใช้จะเห็นช่องว่างเปล่าแทนภาพ SVG ที่เคยแสดงในเนื้อหาอีเมล
    ไฟล์ SVG ที่แนบมาแบบ attachment ยังสามารถเปิดดูได้ตามปกติ
    การเปลี่ยนแปลงนี้กระทบผู้ใช้น้อยมาก เพราะมีเพียง 0.1% ที่ใช้ SVG inline
    การโจมตีผ่าน SVG เพิ่มขึ้นกว่า 1,800% ในช่วงปี 2024–2025
    แพลตฟอร์ม PhaaS เช่น Tycoon2FA และ Sneaky2FA ถูกใช้สร้างภาพ SVG ปลอม
    Microsoft ปรับปรุงระบบความปลอดภัยใน Office และ Windows อย่างต่อเนื่อง
    มีการบล็อกไฟล์ .library-ms, .search-ms, VBA macros, ActiveX และ XLL add-ins

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SVG เป็นไฟล์ภาพแบบเวกเตอร์ที่สามารถฝังโค้ด JavaScript ได้
    การแสดงภาพแบบ inline หมายถึงการฝังภาพไว้ในเนื้อหาอีเมลโดยตรง
    Phishing-as-a-Service คือบริการที่เปิดให้แฮกเกอร์สร้างแคมเปญหลอกลวงได้ง่ายขึ้น
    การบล็อกฟีเจอร์ที่เสี่ยงเป็นแนวทางที่ Microsoft ใช้เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ zero-day
    Outlook เป็นหนึ่งในแอปอีเมลที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก โดยเฉพาะในองค์กร

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-outlook-will-no-longer-show-inline-svg-images-regularly-exploited-in-phishing-attacks
    🛡️ “Microsoft ปิดช่องโหว่ SVG บน Outlook — หยุดภาพแฝงมัลแวร์ที่เคยหลอกผู้ใช้ทั่วโลก” Microsoft ประกาศปรับปรุงระบบความปลอดภัยของ Outlook โดยจะ “หยุดแสดงภาพ SVG แบบ inline” ทั้งใน Outlook for Web และ Outlook for Windows รุ่นใหม่ เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ phishing และมัลแวร์ที่แฝงมากับไฟล์ภาพ ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่ที่ถูกใช้มากขึ้นในช่วงหลัง SVG (Scalable Vector Graphics) เป็นไฟล์ภาพที่ใช้โค้ด XML ในการกำหนดรูปแบบ ทำให้สามารถฝัง JavaScript หรือโค้ดอันตรายอื่น ๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อแสดงแบบ inline ในอีเมล ซึ่ง Outlook เคยอนุญาตให้แสดงโดยตรงในเนื้อหาอีเมล จากรายงานของ Microsoft และนักวิจัยด้านความปลอดภัย พบว่าการโจมตีผ่าน SVG เพิ่มขึ้นกว่า 1,800% ระหว่างต้นปี 2024 ถึงกลางปี 2025 โดยมีการใช้แพลตฟอร์ม Phishing-as-a-Service (PhaaS) เช่น Tycoon2FA และ Sneaky2FA เพื่อสร้างภาพ SVG ปลอมที่หลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัว การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ผู้ใช้เห็น “ช่องว่างเปล่า” แทนภาพ SVG ที่เคยแสดงในอีเมล แต่ยังสามารถเปิดดูไฟล์ SVG ที่แนบมาแบบ attachment ได้ตามปกติ โดย Microsoft ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะกระทบผู้ใช้น้อยมาก เพราะมีเพียง 0.1% ของภาพใน Outlook ที่ใช้ SVG แบบ inline นอกจากนี้ Microsoft ยังเดินหน้าปรับปรุงระบบความปลอดภัยใน Office และ Windows อย่างต่อเนื่อง เช่น การบล็อกไฟล์ .library-ms และ .search-ms ที่เคยถูกใช้โจมตีหน่วยงานรัฐบาล รวมถึงการปิดใช้งาน VBA macros, ActiveX และ XLL add-ins ที่ไม่ปลอดภัย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft ปิดการแสดงภาพ SVG แบบ inline ใน Outlook for Web และ Outlook for Windows ➡️ ผู้ใช้จะเห็นช่องว่างเปล่าแทนภาพ SVG ที่เคยแสดงในเนื้อหาอีเมล ➡️ ไฟล์ SVG ที่แนบมาแบบ attachment ยังสามารถเปิดดูได้ตามปกติ ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้กระทบผู้ใช้น้อยมาก เพราะมีเพียง 0.1% ที่ใช้ SVG inline ➡️ การโจมตีผ่าน SVG เพิ่มขึ้นกว่า 1,800% ในช่วงปี 2024–2025 ➡️ แพลตฟอร์ม PhaaS เช่น Tycoon2FA และ Sneaky2FA ถูกใช้สร้างภาพ SVG ปลอม ➡️ Microsoft ปรับปรุงระบบความปลอดภัยใน Office และ Windows อย่างต่อเนื่อง ➡️ มีการบล็อกไฟล์ .library-ms, .search-ms, VBA macros, ActiveX และ XLL add-ins ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SVG เป็นไฟล์ภาพแบบเวกเตอร์ที่สามารถฝังโค้ด JavaScript ได้ ➡️ การแสดงภาพแบบ inline หมายถึงการฝังภาพไว้ในเนื้อหาอีเมลโดยตรง ➡️ Phishing-as-a-Service คือบริการที่เปิดให้แฮกเกอร์สร้างแคมเปญหลอกลวงได้ง่ายขึ้น ➡️ การบล็อกฟีเจอร์ที่เสี่ยงเป็นแนวทางที่ Microsoft ใช้เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ zero-day ➡️ Outlook เป็นหนึ่งในแอปอีเมลที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก โดยเฉพาะในองค์กร https://www.techradar.com/pro/microsoft-outlook-will-no-longer-show-inline-svg-images-regularly-exploited-in-phishing-attacks
    WWW.TECHRADAR.COM
    Microsoft Outlook will no longer render inline SVG content
    User will just see blank spaces where these images would have been
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts