• คุ้มค่าเน็ต! รถหุ้มเกราะเขมรหงายเก๋ง นักรบประเทศ JONE หมดสภาพ (28/10/68)

    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #กัมพูชา #รถหุ้มเกราะ #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพกัมพูชา #ความมั่นคง #ข่าวต่างประเทศ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate #ข่าวtiktok
    คุ้มค่าเน็ต! รถหุ้มเกราะเขมรหงายเก๋ง นักรบประเทศ JONE หมดสภาพ (28/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #กัมพูชา #รถหุ้มเกราะ #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพกัมพูชา #ความมั่นคง #ข่าวต่างประเทศ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Lenovo Legion บน Linux เตรียมได้โหมด Extreme ที่แท้จริง — แก้ปัญหาพลังงานผิดพลาด พร้อมระบบอนุญาตเฉพาะรุ่นที่รองรับ

    บทความจาก Tom’s Hardware รายงานว่า Lenovo Legion ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux กำลังจะได้รับการอัปเดตใหม่ที่เพิ่มโหมด “Extreme” สำหรับการใช้งานประสิทธิภาพสูง โดยจะมีการตรวจสอบรุ่นก่อนอนุญาตให้ใช้งาน เพื่อป้องกันปัญหาความร้อนและการใช้พลังงานเกินขีดจำกัด

    ก่อนหน้านี้ Legion บน Linux มีปัญหาเรื่อง power profile ที่ไม่ตรงกับความสามารถของเครื่อง เช่น โหมด Extreme ถูกเปิดใช้งานในรุ่นที่ไม่รองรับ ทำให้เกิดความไม่เสถียรและอาจทำให้แบตเตอรี่เสียหาย

    นักพัฒนาอิสระ Derek Clark ได้เสนอ patch ใหม่ให้กับ Lenovo WMI GameZone driver ซึ่งเป็นตัวควบคุมโหมดพลังงานบน Linux โดยเปลี่ยนจากระบบ “deny list” เป็น “allow list” หมายความว่า เฉพาะรุ่นที่ผ่านการตรวจสอบแล้วเท่านั้นที่จะสามารถเปิดใช้งานโหมด Extreme ได้

    โหมดนี้จะตั้งค่า PPT/SPL สูงสุด ทำให้ CPU ใช้พลังงานเต็มที่ เหมาะสำหรับการใช้งานขณะเสียบปลั๊กเท่านั้น เพราะอาจกินพลังงานเกินที่แบตเตอรี่จะรับไหว

    ปัญหาเดิมบน Linux
    โหมด Extreme เปิดใช้งานในรุ่นที่ไม่รองรับ
    ทำให้ระบบไม่เสถียรและแบตเตอรี่เสียหาย

    การแก้ไขด้วย patch ใหม่
    เปลี่ยนจาก deny list เป็น allow list
    เฉพาะรุ่นที่ผ่านการตรวจสอบเท่านั้นที่เปิด Extreme ได้
    ใช้กับ Lenovo WMI GameZone driver บน Linux

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    โหมด Extreme ใช้พลังงานสูงมาก
    เหมาะกับการใช้งานแบบเสียบปลั๊กเท่านั้น
    ยังไม่มีรุ่นใดที่ผ่านการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux บน Legion
    อย่าเปิดโหมด Extreme หากเครื่องยังไม่อยู่ใน allow list
    ตรวจสอบ patch และรุ่นที่รองรับก่อนใช้งาน
    ใช้โหมดนี้เฉพาะเมื่อต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและมีระบบระบายความร้อนเพียงพอ

    https://www.tomshardware.com/software/linux/lenovo-legion-devices-running-linux-set-to-get-new-extreme-mode-that-fixes-previously-broken-power-limits-only-approved-devices-will-be-able-to-run-the-maximum-performance-mode
    ⚡ Lenovo Legion บน Linux เตรียมได้โหมด Extreme ที่แท้จริง — แก้ปัญหาพลังงานผิดพลาด พร้อมระบบอนุญาตเฉพาะรุ่นที่รองรับ บทความจาก Tom’s Hardware รายงานว่า Lenovo Legion ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux กำลังจะได้รับการอัปเดตใหม่ที่เพิ่มโหมด “Extreme” สำหรับการใช้งานประสิทธิภาพสูง โดยจะมีการตรวจสอบรุ่นก่อนอนุญาตให้ใช้งาน เพื่อป้องกันปัญหาความร้อนและการใช้พลังงานเกินขีดจำกัด ก่อนหน้านี้ Legion บน Linux มีปัญหาเรื่อง power profile ที่ไม่ตรงกับความสามารถของเครื่อง เช่น โหมด Extreme ถูกเปิดใช้งานในรุ่นที่ไม่รองรับ ทำให้เกิดความไม่เสถียรและอาจทำให้แบตเตอรี่เสียหาย นักพัฒนาอิสระ Derek Clark ได้เสนอ patch ใหม่ให้กับ Lenovo WMI GameZone driver ซึ่งเป็นตัวควบคุมโหมดพลังงานบน Linux โดยเปลี่ยนจากระบบ “deny list” เป็น “allow list” หมายความว่า เฉพาะรุ่นที่ผ่านการตรวจสอบแล้วเท่านั้นที่จะสามารถเปิดใช้งานโหมด Extreme ได้ โหมดนี้จะตั้งค่า PPT/SPL สูงสุด ทำให้ CPU ใช้พลังงานเต็มที่ เหมาะสำหรับการใช้งานขณะเสียบปลั๊กเท่านั้น เพราะอาจกินพลังงานเกินที่แบตเตอรี่จะรับไหว ✅ ปัญหาเดิมบน Linux ➡️ โหมด Extreme เปิดใช้งานในรุ่นที่ไม่รองรับ ➡️ ทำให้ระบบไม่เสถียรและแบตเตอรี่เสียหาย ✅ การแก้ไขด้วย patch ใหม่ ➡️ เปลี่ยนจาก deny list เป็น allow list ➡️ เฉพาะรุ่นที่ผ่านการตรวจสอบเท่านั้นที่เปิด Extreme ได้ ➡️ ใช้กับ Lenovo WMI GameZone driver บน Linux ✅ ข้อควรระวังในการใช้งาน ➡️ โหมด Extreme ใช้พลังงานสูงมาก ➡️ เหมาะกับการใช้งานแบบเสียบปลั๊กเท่านั้น ➡️ ยังไม่มีรุ่นใดที่ผ่านการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux บน Legion ⛔ อย่าเปิดโหมด Extreme หากเครื่องยังไม่อยู่ใน allow list ⛔ ตรวจสอบ patch และรุ่นที่รองรับก่อนใช้งาน ⛔ ใช้โหมดนี้เฉพาะเมื่อต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและมีระบบระบายความร้อนเพียงพอ https://www.tomshardware.com/software/linux/lenovo-legion-devices-running-linux-set-to-get-new-extreme-mode-that-fixes-previously-broken-power-limits-only-approved-devices-will-be-able-to-run-the-maximum-performance-mode
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • Generative AI สร้างดีไซน์เครื่องพิมพ์ 3D แบบ 5 แกนสุดล้ำ — พิมพ์วัตถุซับซ้อนโดยไม่ต้องใช้โครงรองรับ

    บทความจาก Tom’s Hardware เผยว่า Generative Machine และ Aibuild สองบริษัทจากลอนดอนร่วมกันพัฒนาเครื่องพิมพ์ 3D รุ่นใหม่ชื่อว่า GenerationOne 5-axis โดยใช้ Generative AI ออกแบบโครงสร้างและระบบการพิมพ์ที่สามารถเคลื่อนหัวฉีดได้ 5 แกน ทำให้พิมพ์วัตถุซับซ้อนโดยไม่ต้องใช้ support structure และได้ผิวงานที่เรียบกว่าเดิม

    เครื่องพิมพ์ GenerationOne มีดีไซน์คล้าย Bambu Labs A1 Mini แต่เพิ่มความ “organic” ด้วยแขนพยุงที่ดูเหมือนเส้นใยชีวภาพ ตัวเครื่องใช้ linear rails เพื่อความแม่นยำในการเคลื่อนที่ และสามารถเปลี่ยนแพลตฟอร์มพิมพ์ได้อัตโนมัติ

    Generative AI ถูกใช้ในการออกแบบทั้งโครงสร้างเครื่องและระบบควบคุมการพิมพ์ โดยเน้นการพิมพ์แบบ non-conformal คือสามารถหมุนหัวฉีดให้พิมพ์ในทิศทางที่เหมาะสมกับรูปทรงของวัตถุ ซึ่งช่วยให้ชิ้นงานแข็งแรงขึ้นและไม่ต้องใช้โครงรองรับ

    ซอฟต์แวร์ควบคุมที่ใช้เป็นระดับอุตสาหกรรม โดย Aibuild พัฒนาให้รองรับการ slice แบบ parametric, สร้าง toolpath อัตโนมัติ และ optimize การพิมพ์แบบ multi-axis

    แม้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคา แต่เครื่องจะเปิดตัวแบบจำกัดจำนวนในงาน Formnext Expo ที่แฟรงก์เฟิร์ต วันที่ 18 พฤศจิกายนนี้

    เครื่องพิมพ์ GenerationOne 5-axis
    ใช้ Generative AI ออกแบบทั้งโครงสร้างและระบบพิมพ์
    เคลื่อนหัวฉีดได้ 5 แกน พิมพ์แบบ non-conformal
    ไม่ต้องใช้ support structure และได้ผิวงานเรียบ

    ดีไซน์และโครงสร้าง
    คล้าย Bambu Labs A1 Mini แต่มีแขนพยุงแบบ organic
    ใช้ linear rails เพื่อความแม่นยำ
    แพลตฟอร์มพิมพ์เปลี่ยนได้อัตโนมัติ

    ซอฟต์แวร์ควบคุมระดับอุตสาหกรรม
    รองรับ parametric slicing และ toolpath generation
    optimize การพิมพ์แบบ multi-axis
    พัฒนาโดย Aibuild

    การเปิดตัว
    เปิดตัวแบบจำกัดจำนวนในงาน Formnext Expo วันที่ 18 พ.ย.
    ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคา

    คำเตือนสำหรับผู้สนใจ
    ยังไม่รองรับวัสดุขั้นสูง เช่น carbon fiber หรือ engineering-grade filament
    เหมาะกับ PLA และ PETG เท่านั้นในรุ่นแรก
    ต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องราคาและการจัดจำหน่าย

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/generative-ai-used-to-create-wild-new-3d-printer-design-exotic-collaboration-brings-5-axis-3d-printing-to-the-desktop
    🧠 Generative AI สร้างดีไซน์เครื่องพิมพ์ 3D แบบ 5 แกนสุดล้ำ — พิมพ์วัตถุซับซ้อนโดยไม่ต้องใช้โครงรองรับ บทความจาก Tom’s Hardware เผยว่า Generative Machine และ Aibuild สองบริษัทจากลอนดอนร่วมกันพัฒนาเครื่องพิมพ์ 3D รุ่นใหม่ชื่อว่า GenerationOne 5-axis โดยใช้ Generative AI ออกแบบโครงสร้างและระบบการพิมพ์ที่สามารถเคลื่อนหัวฉีดได้ 5 แกน ทำให้พิมพ์วัตถุซับซ้อนโดยไม่ต้องใช้ support structure และได้ผิวงานที่เรียบกว่าเดิม เครื่องพิมพ์ GenerationOne มีดีไซน์คล้าย Bambu Labs A1 Mini แต่เพิ่มความ “organic” ด้วยแขนพยุงที่ดูเหมือนเส้นใยชีวภาพ ตัวเครื่องใช้ linear rails เพื่อความแม่นยำในการเคลื่อนที่ และสามารถเปลี่ยนแพลตฟอร์มพิมพ์ได้อัตโนมัติ Generative AI ถูกใช้ในการออกแบบทั้งโครงสร้างเครื่องและระบบควบคุมการพิมพ์ โดยเน้นการพิมพ์แบบ non-conformal คือสามารถหมุนหัวฉีดให้พิมพ์ในทิศทางที่เหมาะสมกับรูปทรงของวัตถุ ซึ่งช่วยให้ชิ้นงานแข็งแรงขึ้นและไม่ต้องใช้โครงรองรับ ซอฟต์แวร์ควบคุมที่ใช้เป็นระดับอุตสาหกรรม โดย Aibuild พัฒนาให้รองรับการ slice แบบ parametric, สร้าง toolpath อัตโนมัติ และ optimize การพิมพ์แบบ multi-axis แม้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคา แต่เครื่องจะเปิดตัวแบบจำกัดจำนวนในงาน Formnext Expo ที่แฟรงก์เฟิร์ต วันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ ✅ เครื่องพิมพ์ GenerationOne 5-axis ➡️ ใช้ Generative AI ออกแบบทั้งโครงสร้างและระบบพิมพ์ ➡️ เคลื่อนหัวฉีดได้ 5 แกน พิมพ์แบบ non-conformal ➡️ ไม่ต้องใช้ support structure และได้ผิวงานเรียบ ✅ ดีไซน์และโครงสร้าง ➡️ คล้าย Bambu Labs A1 Mini แต่มีแขนพยุงแบบ organic ➡️ ใช้ linear rails เพื่อความแม่นยำ ➡️ แพลตฟอร์มพิมพ์เปลี่ยนได้อัตโนมัติ ✅ ซอฟต์แวร์ควบคุมระดับอุตสาหกรรม ➡️ รองรับ parametric slicing และ toolpath generation ➡️ optimize การพิมพ์แบบ multi-axis ➡️ พัฒนาโดย Aibuild ✅ การเปิดตัว ➡️ เปิดตัวแบบจำกัดจำนวนในงาน Formnext Expo วันที่ 18 พ.ย. ➡️ ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคา ‼️ คำเตือนสำหรับผู้สนใจ ⛔ ยังไม่รองรับวัสดุขั้นสูง เช่น carbon fiber หรือ engineering-grade filament ⛔ เหมาะกับ PLA และ PETG เท่านั้นในรุ่นแรก ⛔ ต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องราคาและการจัดจำหน่าย https://www.tomshardware.com/3d-printing/generative-ai-used-to-create-wild-new-3d-printer-design-exotic-collaboration-brings-5-axis-3d-printing-to-the-desktop
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนยังใช้ชิป Nvidia H100 ในโดรนทหารอัตโนมัติ แม้ถูกสหรัฐฯ แบน — DeepSeek ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยเทคโนโลยีอเมริกัน

    บทความจาก Tom’s Hardware เผยว่าโดรนทหารอัตโนมัติรุ่น P60 ของ Norinco ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐจีน ใช้ระบบ AI ที่ชื่อว่า DeepSeek ในการควบคุมการเคลื่อนที่และสนับสนุนการรบ โดยมีหลักฐานว่าระบบนี้อาจถูกเทรนด้วยชิป Nvidia H100 ที่ถูกสหรัฐฯ แบนการส่งออกไปยังจีนตั้งแต่ปี 2022

    แม้สหรัฐฯ จะจำกัดการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100 และ A100 ไปยังจีน แต่การสืบสวนของ Reuters พบว่าหน่วยงานวิจัยของกองทัพจีน เช่น National University of Defense Technology (NUDT) ยังมีการใช้ชิปเหล่านี้ในงานวิจัย โดยมีการกล่าวถึงในสิทธิบัตรกว่า 35 ฉบับ

    หนึ่งในสิทธิบัตรถูกยื่นในเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งอาจหมายถึงการใช้งานหลังจากมีการควบคุมการส่งออกแล้ว แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่าชิปถูกนำเข้าอย่างถูกกฎหมายหรือผ่านตลาดมือสอง

    DeepSeek ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ใช้ในโดรน P60 ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยชิป Nvidia แต่รุ่นล่าสุดของมันสามารถทำงานร่วมกับชิป Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN ของจีนได้แล้ว

    Nvidia ระบุว่า “การรีไซเคิลชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามใหม่” และ “การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกจำกัดในงานทหารจะไม่สามารถทำงานได้โดยไม่มีซอฟต์แวร์และการสนับสนุน”

    โดรน P60 ของจีนใช้ระบบ AI DeepSeek
    พัฒนาโดย Norinco บริษัทของรัฐ
    เคลื่อนที่ได้ 50 กม./ชม. และมีความสามารถสนับสนุนการรบอัตโนมัติ

    การใช้ชิป Nvidia H100 แม้ถูกแบน
    พบในสิทธิบัตรของ NUDT และสถาบันวิจัยอื่น ๆ
    มีสิทธิบัตรล่าสุดในปี 2025 ที่กล่าวถึง A100
    อาจได้มาจากตลาดมือสองหรือก่อนการควบคุม

    ความพยายามของจีนในการพึ่งพาชิปในประเทศ
    ใช้ Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN
    DeepSeek รุ่นใหม่รองรับชิปจีนโดยตรง

    มุมมองจาก Nvidia
    การใช้ชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยใหม่
    ไม่มีซอฟต์แวร์หรือการสนับสนุนสำหรับงานทหาร

    คำเตือนด้านความมั่นคง
    การใช้ชิป AI ในงานทหารอาจนำไปสู่การพัฒนาอาวุธอัตโนมัติ
    การควบคุมการส่งออกอาจไม่สามารถหยุดการใช้งานได้จริง
    การพึ่งพาตลาดมือสองเปิดช่องให้เกิดการละเมิดนโยบาย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-autonomous-military-combat-drone-powered-by-deepseek-highlights-nvidia-reliance-investigation-reveals-peoples-liberation-army-supporting-institutions-continue-to-use-restricted-h100-chips
    🇨🇳 จีนยังใช้ชิป Nvidia H100 ในโดรนทหารอัตโนมัติ แม้ถูกสหรัฐฯ แบน — DeepSeek ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยเทคโนโลยีอเมริกัน บทความจาก Tom’s Hardware เผยว่าโดรนทหารอัตโนมัติรุ่น P60 ของ Norinco ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐจีน ใช้ระบบ AI ที่ชื่อว่า DeepSeek ในการควบคุมการเคลื่อนที่และสนับสนุนการรบ โดยมีหลักฐานว่าระบบนี้อาจถูกเทรนด้วยชิป Nvidia H100 ที่ถูกสหรัฐฯ แบนการส่งออกไปยังจีนตั้งแต่ปี 2022 แม้สหรัฐฯ จะจำกัดการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100 และ A100 ไปยังจีน แต่การสืบสวนของ Reuters พบว่าหน่วยงานวิจัยของกองทัพจีน เช่น National University of Defense Technology (NUDT) ยังมีการใช้ชิปเหล่านี้ในงานวิจัย โดยมีการกล่าวถึงในสิทธิบัตรกว่า 35 ฉบับ หนึ่งในสิทธิบัตรถูกยื่นในเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งอาจหมายถึงการใช้งานหลังจากมีการควบคุมการส่งออกแล้ว แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่าชิปถูกนำเข้าอย่างถูกกฎหมายหรือผ่านตลาดมือสอง DeepSeek ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ใช้ในโดรน P60 ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยชิป Nvidia แต่รุ่นล่าสุดของมันสามารถทำงานร่วมกับชิป Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN ของจีนได้แล้ว Nvidia ระบุว่า “การรีไซเคิลชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามใหม่” และ “การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกจำกัดในงานทหารจะไม่สามารถทำงานได้โดยไม่มีซอฟต์แวร์และการสนับสนุน” ✅ โดรน P60 ของจีนใช้ระบบ AI DeepSeek ➡️ พัฒนาโดย Norinco บริษัทของรัฐ ➡️ เคลื่อนที่ได้ 50 กม./ชม. และมีความสามารถสนับสนุนการรบอัตโนมัติ ✅ การใช้ชิป Nvidia H100 แม้ถูกแบน ➡️ พบในสิทธิบัตรของ NUDT และสถาบันวิจัยอื่น ๆ ➡️ มีสิทธิบัตรล่าสุดในปี 2025 ที่กล่าวถึง A100 ➡️ อาจได้มาจากตลาดมือสองหรือก่อนการควบคุม ✅ ความพยายามของจีนในการพึ่งพาชิปในประเทศ ➡️ ใช้ Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN ➡️ DeepSeek รุ่นใหม่รองรับชิปจีนโดยตรง ✅ มุมมองจาก Nvidia ➡️ การใช้ชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยใหม่ ➡️ ไม่มีซอฟต์แวร์หรือการสนับสนุนสำหรับงานทหาร ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคง ⛔ การใช้ชิป AI ในงานทหารอาจนำไปสู่การพัฒนาอาวุธอัตโนมัติ ⛔ การควบคุมการส่งออกอาจไม่สามารถหยุดการใช้งานได้จริง ⛔ การพึ่งพาตลาดมือสองเปิดช่องให้เกิดการละเมิดนโยบาย https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-autonomous-military-combat-drone-powered-by-deepseek-highlights-nvidia-reliance-investigation-reveals-peoples-liberation-army-supporting-institutions-continue-to-use-restricted-h100-chips
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD รีแบรนด์ซีพียู Ryzen 7035 และ 7020 สำหรับโน้ตบุ๊ก — เปลี่ยนชื่อใหม่แต่สเปกเดิม เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้ทันยุค

    AMD ประกาศรีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊กในกลุ่ม Ryzen 7035 (Zen 3+) และ Ryzen 7020 (Zen 2) โดยเปลี่ยนชื่อรุ่นให้สั้นลงเป็น Ryzen 100 และ Ryzen 10 ตามลำดับ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสเปกหรือประสิทธิภาพ แต่เน้นปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยและสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Ryzen AI และ Ryzen 9000

    AMD เลือกใช้วิธีรีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊กที่เปิดตัวในปี 2023 โดยเปลี่ยนชื่อจากรุ่นเดิม เช่น Ryzen 7 7735HS เป็น Ryzen 7 170 หรือ Ryzen 5 7520U เป็น Ryzen 5 40 โดยซีพียูเหล่านี้ยังคงใช้สถาปัตยกรรมเดิมคือ Zen 3+ (Rembrandt-R) และ Zen 2 (Mendocino) พร้อมกราฟิก RDNA 2

    การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้คล้ายกับแนวทางของ Intel ที่ใช้ชื่อ Core 5 120 แทน Core i5-1135G7 เพื่อให้ดูเรียบง่ายและทันสมัยมากขึ้น แม้จะเป็นชิปรุ่นเก่าก็ตาม

    AMD ระบุว่าการรีแบรนด์นี้เป็นการปรับภาพลักษณ์ให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น Ryzen AI 300 และ Ryzen 9000 ที่ใช้ชื่อแบบสามหลัก และอาจเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงระบบการตั้งชื่อในอนาคต

    AMD รีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊ก
    Ryzen 7035 (Rembrandt-R) เปลี่ยนเป็น Ryzen 100 series
    Ryzen 7020 (Mendocino) เปลี่ยนเป็น Ryzen 10 series
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสเปกหรือประสิทธิภาพ

    ตัวอย่างการเปลี่ยนชื่อ
    Ryzen 7 7735HS → Ryzen 7 170
    Ryzen 5 7535U → Ryzen 5 130
    Ryzen 3 7320U → Ryzen 3 30
    Athlon Gold 7220U → Athlon Gold 20

    เป้าหมายของการรีแบรนด์
    ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย
    สอดคล้องกับชื่อรุ่นใหม่ เช่น Ryzen AI 300 และ Ryzen 9000
    อาจเป็นการเตรียมระบบการตั้งชื่อใหม่ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-rebrands-ryzen-7035-7020-series-mobile-processors-zen-2-and-zen-3-chips-receive-new-identities
    🔄 AMD รีแบรนด์ซีพียู Ryzen 7035 และ 7020 สำหรับโน้ตบุ๊ก — เปลี่ยนชื่อใหม่แต่สเปกเดิม เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้ทันยุค AMD ประกาศรีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊กในกลุ่ม Ryzen 7035 (Zen 3+) และ Ryzen 7020 (Zen 2) โดยเปลี่ยนชื่อรุ่นให้สั้นลงเป็น Ryzen 100 และ Ryzen 10 ตามลำดับ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสเปกหรือประสิทธิภาพ แต่เน้นปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยและสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Ryzen AI และ Ryzen 9000 AMD เลือกใช้วิธีรีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊กที่เปิดตัวในปี 2023 โดยเปลี่ยนชื่อจากรุ่นเดิม เช่น Ryzen 7 7735HS เป็น Ryzen 7 170 หรือ Ryzen 5 7520U เป็น Ryzen 5 40 โดยซีพียูเหล่านี้ยังคงใช้สถาปัตยกรรมเดิมคือ Zen 3+ (Rembrandt-R) และ Zen 2 (Mendocino) พร้อมกราฟิก RDNA 2 การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้คล้ายกับแนวทางของ Intel ที่ใช้ชื่อ Core 5 120 แทน Core i5-1135G7 เพื่อให้ดูเรียบง่ายและทันสมัยมากขึ้น แม้จะเป็นชิปรุ่นเก่าก็ตาม AMD ระบุว่าการรีแบรนด์นี้เป็นการปรับภาพลักษณ์ให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น Ryzen AI 300 และ Ryzen 9000 ที่ใช้ชื่อแบบสามหลัก และอาจเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงระบบการตั้งชื่อในอนาคต ✅ AMD รีแบรนด์ซีพียูโน้ตบุ๊ก ➡️ Ryzen 7035 (Rembrandt-R) เปลี่ยนเป็น Ryzen 100 series ➡️ Ryzen 7020 (Mendocino) เปลี่ยนเป็น Ryzen 10 series ➡️ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสเปกหรือประสิทธิภาพ ✅ ตัวอย่างการเปลี่ยนชื่อ ➡️ Ryzen 7 7735HS → Ryzen 7 170 ➡️ Ryzen 5 7535U → Ryzen 5 130 ➡️ Ryzen 3 7320U → Ryzen 3 30 ➡️ Athlon Gold 7220U → Athlon Gold 20 ✅ เป้าหมายของการรีแบรนด์ ➡️ ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย ➡️ สอดคล้องกับชื่อรุ่นใหม่ เช่น Ryzen AI 300 และ Ryzen 9000 ➡️ อาจเป็นการเตรียมระบบการตั้งชื่อใหม่ในอนาคต https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-rebrands-ryzen-7035-7020-series-mobile-processors-zen-2-and-zen-3-chips-receive-new-identities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Vibecoding” คือแนวทางใหม่ที่ใช้ AI สร้างแอปได้ง่ายขึ้น — แม้ไม่รู้โค้ด ก็สร้างเว็บไซต์หรือโปรเจกต์ได้ด้วยภาษาพูด

    บทความจาก The Star อธิบายปรากฏการณ์ “vibecoding” ซึ่งเป็นการใช้ภาษาธรรมชาติพูดคุยกับ AI เพื่อให้ช่วยเขียนโค้ดหรือสร้างแอป โดยไม่ต้องมีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งมาก่อน แนวคิดนี้กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักพัฒนา นักเรียน และผู้ใช้ทั่วไปที่อยากสร้างสิ่งใหม่ ๆ โดยไม่ต้องเรียนภาษา Java หรือ C++

    “Vibecoding” เป็นคำที่ใช้เรียกการเขียนโค้ดร่วมกับ AI โดยใช้ภาษาพูดหรือคำสั่งง่าย ๆ เช่น “ช่วยสร้างเว็บไซต์ขายเสื้อผ้าให้ฉัน” แล้ว AI จะสร้างโครงสร้าง HTML, CSS หรือแม้แต่ backend ให้ทันที

    แนวคิดนี้เริ่มเป็นที่รู้จักจาก Andrej Karpathy ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI และถูกนำไปใช้ในหลายวงการ เช่น vibe marketing, vibe analytics และ vibe designing โดย Microsoft ก็ใช้แนวทางนี้ใน Copilot เพื่อช่วยสร้างสไลด์และสเปรดชีต

    Kyle Jensen จาก Yale School of Management กล่าวว่า “AI-assisted software development” ฟังดูเป็นทางการเกินไป แต่ “vibecoding” ให้ความรู้สึกเข้าถึงง่ายและเป็นกันเองมากกว่า

    แม้จะดูง่าย แต่การใช้ AI สร้างแอปก็ยังมีข้อจำกัด เช่น AI อาจสร้างโค้ดผิดพลาด หรือหลุดจากบริบทที่ผู้ใช้ต้องการได้ ดังนั้นผู้ที่มีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งจะสามารถควบคุมและแก้ไขได้ดีกว่า

    นักพัฒนาอย่าง Simon Last จาก Notion เปรียบเทียบว่า การใช้ AI เขียนโค้ดก็เหมือน “ดูแลเด็กฝึกงาน” ที่ต้องคอยตรวจสอบและแก้ไขให้ถูกต้อง

    ความหมายของ “vibecoding”
    ใช้ภาษาธรรมชาติสั่ง AI ให้สร้างโค้ดหรือแอป
    ไม่ต้องมีพื้นฐานโปรแกรมมิ่งก็เริ่มต้นได้

    จุดเด่นของแนวทางนี้
    เข้าถึงง่าย เหมาะกับผู้เริ่มต้น
    ใช้ในหลายวงการ เช่น marketing, analytics, design
    Microsoft ใช้ใน Copilot เพื่อสร้างงานนำเสนอและเอกสาร

    ข้อจำกัดของ vibecoding
    AI อาจสร้างโค้ดผิดหรือหลุดบริบท
    ผู้ใช้ที่เข้าใจโค้ดจะสามารถควบคุมได้ดีกว่า
    ต้องมีการตรวจสอบและแก้ไขจากมนุษย์

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    เปรียบเทียบ AI coding tools กับเด็กฝึกงาน
    เป็นผู้ช่วยที่ดี แต่ยังไม่แทนมนุษย์ได้ทั้งหมด
    ช่วยให้การเรียนรู้เร็วขึ้นและลดความยากในการเริ่มต้น

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ AI สร้างโค้ด
    อย่าพึ่งพา AI โดยไม่ตรวจสอบผลลัพธ์
    ควรเรียนรู้พื้นฐานโค้ดเพื่อควบคุมและแก้ไขได้
    อย่าใช้ AI สร้างระบบที่มีความเสี่ยงสูงโดยไม่มีการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/27/with-vibecoding-ai-can-help-anyone-build-an-app
    🧠 “Vibecoding” คือแนวทางใหม่ที่ใช้ AI สร้างแอปได้ง่ายขึ้น — แม้ไม่รู้โค้ด ก็สร้างเว็บไซต์หรือโปรเจกต์ได้ด้วยภาษาพูด บทความจาก The Star อธิบายปรากฏการณ์ “vibecoding” ซึ่งเป็นการใช้ภาษาธรรมชาติพูดคุยกับ AI เพื่อให้ช่วยเขียนโค้ดหรือสร้างแอป โดยไม่ต้องมีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งมาก่อน แนวคิดนี้กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักพัฒนา นักเรียน และผู้ใช้ทั่วไปที่อยากสร้างสิ่งใหม่ ๆ โดยไม่ต้องเรียนภาษา Java หรือ C++ “Vibecoding” เป็นคำที่ใช้เรียกการเขียนโค้ดร่วมกับ AI โดยใช้ภาษาพูดหรือคำสั่งง่าย ๆ เช่น “ช่วยสร้างเว็บไซต์ขายเสื้อผ้าให้ฉัน” แล้ว AI จะสร้างโครงสร้าง HTML, CSS หรือแม้แต่ backend ให้ทันที แนวคิดนี้เริ่มเป็นที่รู้จักจาก Andrej Karpathy ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI และถูกนำไปใช้ในหลายวงการ เช่น vibe marketing, vibe analytics และ vibe designing โดย Microsoft ก็ใช้แนวทางนี้ใน Copilot เพื่อช่วยสร้างสไลด์และสเปรดชีต Kyle Jensen จาก Yale School of Management กล่าวว่า “AI-assisted software development” ฟังดูเป็นทางการเกินไป แต่ “vibecoding” ให้ความรู้สึกเข้าถึงง่ายและเป็นกันเองมากกว่า แม้จะดูง่าย แต่การใช้ AI สร้างแอปก็ยังมีข้อจำกัด เช่น AI อาจสร้างโค้ดผิดพลาด หรือหลุดจากบริบทที่ผู้ใช้ต้องการได้ ดังนั้นผู้ที่มีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งจะสามารถควบคุมและแก้ไขได้ดีกว่า นักพัฒนาอย่าง Simon Last จาก Notion เปรียบเทียบว่า การใช้ AI เขียนโค้ดก็เหมือน “ดูแลเด็กฝึกงาน” ที่ต้องคอยตรวจสอบและแก้ไขให้ถูกต้อง ✅ ความหมายของ “vibecoding” ➡️ ใช้ภาษาธรรมชาติสั่ง AI ให้สร้างโค้ดหรือแอป ➡️ ไม่ต้องมีพื้นฐานโปรแกรมมิ่งก็เริ่มต้นได้ ✅ จุดเด่นของแนวทางนี้ ➡️ เข้าถึงง่าย เหมาะกับผู้เริ่มต้น ➡️ ใช้ในหลายวงการ เช่น marketing, analytics, design ➡️ Microsoft ใช้ใน Copilot เพื่อสร้างงานนำเสนอและเอกสาร ✅ ข้อจำกัดของ vibecoding ➡️ AI อาจสร้างโค้ดผิดหรือหลุดบริบท ➡️ ผู้ใช้ที่เข้าใจโค้ดจะสามารถควบคุมได้ดีกว่า ➡️ ต้องมีการตรวจสอบและแก้ไขจากมนุษย์ ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ เปรียบเทียบ AI coding tools กับเด็กฝึกงาน ➡️ เป็นผู้ช่วยที่ดี แต่ยังไม่แทนมนุษย์ได้ทั้งหมด ➡️ ช่วยให้การเรียนรู้เร็วขึ้นและลดความยากในการเริ่มต้น ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ AI สร้างโค้ด ⛔ อย่าพึ่งพา AI โดยไม่ตรวจสอบผลลัพธ์ ⛔ ควรเรียนรู้พื้นฐานโค้ดเพื่อควบคุมและแก้ไขได้ ⛔ อย่าใช้ AI สร้างระบบที่มีความเสี่ยงสูงโดยไม่มีการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/27/with-vibecoding-ai-can-help-anyone-build-an-app
    WWW.THESTAR.COM.MY
    With 'vibecoding', AI can help anyone build an app
    Bringing on artificial intelligence as a collaborator can make coding feel more accessible to those with little training in it, but there are trade-offs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้า Pixel Watch 4 แพงเกินไป — นี่คือ 5 สมาร์ตวอทช์ทางเลือกที่คุ้มค่า ฟีเจอร์ครบ ราคาเบากว่า

    บทความจาก SlashGear แนะนำสมาร์ตวอทช์ 5 รุ่นที่เป็นทางเลือกที่ถูกกว่า Pixel Watch 4 แต่ยังให้ฟีเจอร์ด้านสุขภาพ การออกกำลังกาย และการใช้งานทั่วไปได้ครบถ้วน โดยมีราคาตั้งแต่ประมาณ $99 ถึง $185

    OnePlus Watch 3
    ดีไซน์พรีเมียม จอ OLED 1.32 นิ้ว พร้อม Always-on
    แบตเตอรี่ใช้งานได้ถึง 60 ชั่วโมง
    รองรับ Wear OS และแอปยอดนิยม เช่น Spotify, WhatsApp
    ไม่มี ECG/BP แต่ฟีเจอร์สุขภาพหลักครบ

    Samsung Galaxy Watch 7
    รองรับ ECG, BP, body composition, และ sleep tracking
    มีรุ่น LTE และขนาด 40/44mm ให้เลือก
    ใช้ Wear OS + One UI Watch ที่ลื่นไหล
    ราคาเพียง $185 ถูกกว่ารุ่นใหม่แต่ฟีเจอร์ใกล้เคียง

    CMF Watch 3 Pro
    ราคาเพียง $99 เหมาะกับผู้เริ่มต้น
    ใช้ RTOS ไม่รองรับแอปภายนอก แต่มีฟีเจอร์พื้นฐานครบ
    ดีไซน์ดูดี ใช้งานได้ถึง 2 สัปดาห์ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
    ไม่มี ECG/BP แต่รองรับการแจ้งเตือนและรับสาย

    TicWatch Pro 5
    ใช้จอคู่ OLED + monochrome ประหยัดแบต
    ใช้งานได้ถึง 90 ชั่วโมง และชาร์จเร็ว
    รองรับ NFC, GPS, และแอป Wear OS
    ราคาเหลือประมาณ $150 จากเดิมที่แพงกว่านี้

    Samsung Galaxy Watch FE
    รุ่นอัปเดตจาก Watch 4 ในราคาประมาณ $100
    รองรับ ECG, BP, และฟีเจอร์สุขภาพครบ
    ใช้ Wear OS และมีแอปให้เลือกมากมาย
    แบตเตอรี่ค่อนข้างสั้น ต้องชาร์จทุกวัน

    https://www.slashgear.com/2005004/cheaper-pixel-watch-4-alternatives/
    ⌚ ถ้า Pixel Watch 4 แพงเกินไป — นี่คือ 5 สมาร์ตวอทช์ทางเลือกที่คุ้มค่า ฟีเจอร์ครบ ราคาเบากว่า บทความจาก SlashGear แนะนำสมาร์ตวอทช์ 5 รุ่นที่เป็นทางเลือกที่ถูกกว่า Pixel Watch 4 แต่ยังให้ฟีเจอร์ด้านสุขภาพ การออกกำลังกาย และการใช้งานทั่วไปได้ครบถ้วน โดยมีราคาตั้งแต่ประมาณ $99 ถึง $185 ✅ OnePlus Watch 3 ➡️ ดีไซน์พรีเมียม จอ OLED 1.32 นิ้ว พร้อม Always-on ➡️ แบตเตอรี่ใช้งานได้ถึง 60 ชั่วโมง ➡️ รองรับ Wear OS และแอปยอดนิยม เช่น Spotify, WhatsApp ➡️ ไม่มี ECG/BP แต่ฟีเจอร์สุขภาพหลักครบ ✅ Samsung Galaxy Watch 7 ➡️ รองรับ ECG, BP, body composition, และ sleep tracking ➡️ มีรุ่น LTE และขนาด 40/44mm ให้เลือก ➡️ ใช้ Wear OS + One UI Watch ที่ลื่นไหล ➡️ ราคาเพียง $185 ถูกกว่ารุ่นใหม่แต่ฟีเจอร์ใกล้เคียง ✅ CMF Watch 3 Pro ➡️ ราคาเพียง $99 เหมาะกับผู้เริ่มต้น ➡️ ใช้ RTOS ไม่รองรับแอปภายนอก แต่มีฟีเจอร์พื้นฐานครบ ➡️ ดีไซน์ดูดี ใช้งานได้ถึง 2 สัปดาห์ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ➡️ ไม่มี ECG/BP แต่รองรับการแจ้งเตือนและรับสาย ✅ TicWatch Pro 5 ➡️ ใช้จอคู่ OLED + monochrome ประหยัดแบต ➡️ ใช้งานได้ถึง 90 ชั่วโมง และชาร์จเร็ว ➡️ รองรับ NFC, GPS, และแอป Wear OS ➡️ ราคาเหลือประมาณ $150 จากเดิมที่แพงกว่านี้ ✅ Samsung Galaxy Watch FE ➡️ รุ่นอัปเดตจาก Watch 4 ในราคาประมาณ $100 ➡️ รองรับ ECG, BP, และฟีเจอร์สุขภาพครบ ➡️ ใช้ Wear OS และมีแอปให้เลือกมากมาย ➡️ แบตเตอรี่ค่อนข้างสั้น ต้องชาร์จทุกวัน https://www.slashgear.com/2005004/cheaper-pixel-watch-4-alternatives/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Cheaper Alternatives To The Pixel Watch 4 - SlashGear
    Looking for a solid smartwatch without spending $400? These Android-friendly options balance features, battery life, and style for less.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • GPUI Component คือชุด UI สำหรับสร้างแอปเดสก์ท็อปด้วย Rust ที่เน้นความเร็ว ความยืดหยุ่น และดีไซน์ทันสมัย

    GPUI Component เป็นไลบรารี UI แบบ cross-platform ที่พัฒนาโดย Longbridge เพื่อใช้กับเฟรมเวิร์ก GPUI โดยเน้นการสร้างแอปเดสก์ท็อปที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้งานง่าย และมีดีไซน์ทันสมัยคล้าย macOS และ Windows

    จุดเด่นของ GPUI Component

    มีมากกว่า 60 UI components เช่น ปุ่ม, ตาราง, กราฟ, Markdown viewer, code editor
    ดีไซน์ทันสมัย ได้แรงบันดาลใจจาก shadcn/ui และ native controls ของ macOS/Windows
    ใช้งานง่าย ด้วยแนวคิด Stateless RenderOnce และ API ที่เป็นธรรมชาติ
    รองรับธีมหลายแบบ และปรับแต่งสีผ่าน ThemeColor ได้
    รองรับ layout ที่ยืดหยุ่น เช่น dock layout และ tiles layout
    ประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะกับข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น virtualized table/list
    รองรับ Markdown และ HTML รวมถึง syntax highlighting ด้วย Tree Sitter
    มี code editor ในตัว รองรับ LSP และไฟล์ขนาดใหญ่ถึง 200K บรรทัด

    ฟีเจอร์เพิ่มเติมที่น่าสนใจ
    WebView (ทดลองใช้): ใช้ Wry เป็น backend สำหรับแสดงเว็บในแอป
    ระบบ Icon: รองรับ SVG โดยใช้ Lucide หรือไอคอนที่กำหนดเอง
    ระบบ Theme: รองรับ multi-theme และการกำหนดค่าผ่าน JSON schema
    ตัวอย่างการใช้งาน: มีตัวอย่างในโฟลเดอร์ examples และสามารถรันด้วย cargo run --example <name>

    https://github.com/longbridge/gpui-component
    📦 GPUI Component คือชุด UI สำหรับสร้างแอปเดสก์ท็อปด้วย Rust ที่เน้นความเร็ว ความยืดหยุ่น และดีไซน์ทันสมัย GPUI Component เป็นไลบรารี UI แบบ cross-platform ที่พัฒนาโดย Longbridge เพื่อใช้กับเฟรมเวิร์ก GPUI โดยเน้นการสร้างแอปเดสก์ท็อปที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้งานง่าย และมีดีไซน์ทันสมัยคล้าย macOS และ Windows 🎯 จุดเด่นของ GPUI Component 🎗️ มีมากกว่า 60 UI components เช่น ปุ่ม, ตาราง, กราฟ, Markdown viewer, code editor 🎗️ ดีไซน์ทันสมัย ได้แรงบันดาลใจจาก shadcn/ui และ native controls ของ macOS/Windows 🎗️ ใช้งานง่าย ด้วยแนวคิด Stateless RenderOnce และ API ที่เป็นธรรมชาติ 🎗️ รองรับธีมหลายแบบ และปรับแต่งสีผ่าน ThemeColor ได้ 🎗️ รองรับ layout ที่ยืดหยุ่น เช่น dock layout และ tiles layout 🎗️ ประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะกับข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น virtualized table/list 🎗️ รองรับ Markdown และ HTML รวมถึง syntax highlighting ด้วย Tree Sitter 🎗️ มี code editor ในตัว รองรับ LSP และไฟล์ขนาดใหญ่ถึง 200K บรรทัด 🧪 ฟีเจอร์เพิ่มเติมที่น่าสนใจ 🎗️ WebView (ทดลองใช้): ใช้ Wry เป็น backend สำหรับแสดงเว็บในแอป 🎗️ ระบบ Icon: รองรับ SVG โดยใช้ Lucide หรือไอคอนที่กำหนดเอง 🎗️ ระบบ Theme: รองรับ multi-theme และการกำหนดค่าผ่าน JSON schema 🎗️ ตัวอย่างการใช้งาน: มีตัวอย่างในโฟลเดอร์ examples และสามารถรันด้วย cargo run --example <name> https://github.com/longbridge/gpui-component
    GITHUB.COM
    GitHub - longbridge/gpui-component: Rust GUI components for building fantastic cross-platform desktop application by using GPUI.
    Rust GUI components for building fantastic cross-platform desktop application by using GPUI. - longbridge/gpui-component
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • iPad Pro รุ่นใหม่จะมาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber และชิป M6 เปิดตัวปี 2027

    Apple เตรียมเปิดตัว iPad Pro รุ่นถัดไปที่ใช้ชิป M6 พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber ซึ่งจะช่วยลดปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพตกเมื่อใช้งานหนัก เช่น การตัดต่อวิดีโอหรือเรนเดอร์ 3D โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2027

    Apple กำลังพัฒนา iPad Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M6 ซึ่งจะมาพร้อมเทคโนโลยีระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber (VC) ที่เคยใช้ใน iPhone 17 Pro โดยระบบนี้จะช่วยลดความร้อนสะสมและป้องกันการลดประสิทธิภาพเมื่อใช้งานหนัก

    การใช้ Vapor Chamber ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะ iPad Pro เริ่มถูกใช้ในงานระดับมืออาชีพมากขึ้น เช่น ตัดต่อวิดีโอ 4K, สร้างโมเดล 3D หรือทำงานกราฟิก ซึ่งต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพสูงอย่างต่อเนื่อง

    หากการใช้งาน VC ใน iPhone และ iPad Pro ได้ผลดี Apple อาจขยายไปยังอุปกรณ์อื่นที่ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive เช่น MacBook Air ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีพัดลม

    Apple ยังคงรักษารอบการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไว้ที่ประมาณ 18 เดือน ทำให้ iPad Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M6 และระบบ VC น่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2027

    iPad Pro รุ่นใหม่
    ใช้ชิป M6 ที่มีประสิทธิภาพสูง
    มาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber
    ลดปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพตก

    ประโยชน์ของ Vapor Chamber
    ป้องกัน thermal throttling เมื่อใช้งานหนัก
    เหมาะกับงานระดับมืออาชีพ เช่น ตัดต่อวิดีโอและเรนเดอร์ 3D
    เพิ่มความเสถียรในการทำงานต่อเนื่อง

    แนวโน้มการขยายเทคโนโลยี
    หากได้ผลดี อาจนำไปใช้กับ MacBook Air และอุปกรณ์อื่น
    รองรับการใช้งานที่ต้องการระบบ passive cooling

    กำหนดการเปิดตัว
    คาดว่าจะเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2027
    อยู่ในรอบการรีเฟรชผลิตภัณฑ์ทุก 18 เดือน

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ
    หากใช้งานหนักโดยไม่มีระบบระบายความร้อนที่ดี อาจทำให้เครื่องร้อนและช้าลง
    อุปกรณ์ที่ไม่มีพัดลมอาจไม่เหมาะกับงานที่ใช้ทรัพยากรสูงต่อเนื่อง

    https://securityonline.info/next-gen-power-ipad-pro-gets-vapor-chamber-cooling-for-m6-chip/
    📱 iPad Pro รุ่นใหม่จะมาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber และชิป M6 เปิดตัวปี 2027 Apple เตรียมเปิดตัว iPad Pro รุ่นถัดไปที่ใช้ชิป M6 พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber ซึ่งจะช่วยลดปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพตกเมื่อใช้งานหนัก เช่น การตัดต่อวิดีโอหรือเรนเดอร์ 3D โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2027 Apple กำลังพัฒนา iPad Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M6 ซึ่งจะมาพร้อมเทคโนโลยีระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber (VC) ที่เคยใช้ใน iPhone 17 Pro โดยระบบนี้จะช่วยลดความร้อนสะสมและป้องกันการลดประสิทธิภาพเมื่อใช้งานหนัก การใช้ Vapor Chamber ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะ iPad Pro เริ่มถูกใช้ในงานระดับมืออาชีพมากขึ้น เช่น ตัดต่อวิดีโอ 4K, สร้างโมเดล 3D หรือทำงานกราฟิก ซึ่งต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพสูงอย่างต่อเนื่อง หากการใช้งาน VC ใน iPhone และ iPad Pro ได้ผลดี Apple อาจขยายไปยังอุปกรณ์อื่นที่ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive เช่น MacBook Air ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีพัดลม Apple ยังคงรักษารอบการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไว้ที่ประมาณ 18 เดือน ทำให้ iPad Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M6 และระบบ VC น่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2027 ✅ iPad Pro รุ่นใหม่ ➡️ ใช้ชิป M6 ที่มีประสิทธิภาพสูง ➡️ มาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber ➡️ ลดปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพตก ✅ ประโยชน์ของ Vapor Chamber ➡️ ป้องกัน thermal throttling เมื่อใช้งานหนัก ➡️ เหมาะกับงานระดับมืออาชีพ เช่น ตัดต่อวิดีโอและเรนเดอร์ 3D ➡️ เพิ่มความเสถียรในการทำงานต่อเนื่อง ✅ แนวโน้มการขยายเทคโนโลยี ➡️ หากได้ผลดี อาจนำไปใช้กับ MacBook Air และอุปกรณ์อื่น ➡️ รองรับการใช้งานที่ต้องการระบบ passive cooling ✅ กำหนดการเปิดตัว ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2027 ➡️ อยู่ในรอบการรีเฟรชผลิตภัณฑ์ทุก 18 เดือน ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ ⛔ หากใช้งานหนักโดยไม่มีระบบระบายความร้อนที่ดี อาจทำให้เครื่องร้อนและช้าลง ⛔ อุปกรณ์ที่ไม่มีพัดลมอาจไม่เหมาะกับงานที่ใช้ทรัพยากรสูงต่อเนื่อง https://securityonline.info/next-gen-power-ipad-pro-gets-vapor-chamber-cooling-for-m6-chip/
    SECURITYONLINE.INFO
    Next-Gen Power: iPad Pro Gets Vapor Chamber Cooling for M6 Chip
    Apple plans to add vapor chamber cooling to the M6-powered iPad Pro (expected 2027) to prevent thermal throttling during intensive professional workloads.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริการ Virtual CISO กำลังมาแรง แต่เลือกผิดอาจเสี่ยงถูกเจาะระบบ — ผู้เชี่ยวชาญเตือนให้ดูให้ดี ก่อนจ้าง

    บริการ Virtual CISO (Chief Information Security Officer) หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบจ้างภายนอก กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในองค์กรขนาดกลางที่ไม่สามารถจ้าง CISO เต็มเวลาได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากเลือกผิด อาจได้แค่ “ที่ปรึกษาแพงๆ” ที่ไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามได้จริง

    Sergei Beliachkov อดีต CISO ที่เคยดูแลระบบให้กับองค์กรขนาดใหญ่กว่า 7,000 ผู้ใช้ และปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการ Virtual CISO ได้แบ่งปันประสบการณ์ตรงว่า ทำไมบริการนี้ถึงเติบโต และอะไรคือ “ธงแดง” ที่ควรระวัง

    ความต้องการ Virtual CISO เพิ่มขึ้นเพราะ:

    ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ทั่วโลกกว่า 4.8 ล้านตำแหน่ง
    ค่าจ้าง CISO เต็มเวลาสูงเกินเอื้อม (มากกว่า $300,000 ต่อปี)
    กฎหมายใหม่ เช่น NIS2 และ DORA บังคับให้องค์กรต้องมีการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย

    แต่ปัญหาคือ หลายองค์กรจ้าง Virtual CISO โดยไม่เข้าใจบทบาทที่แท้จริง ทำให้ได้เพียง “ที่ปรึกษา” ที่ไม่สามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์หรือรับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง

    Beliachkov แนะนำว่า Virtual CISO ที่ดีต้องมีประสบการณ์ทั้งด้านเทคนิคและการบริหาร มีแผนการทำงานชัดเจน และสามารถสื่อสารกับผู้บริหารระดับสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เหตุผลที่บริการ Virtual CISO กำลังเติบโต
    ค่าจ้าง CISO เต็มเวลาสูงเกินไปสำหรับองค์กรขนาดกลาง
    กฎหมายใหม่บังคับให้มีการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย
    Virtual CISO ช่วยลดต้นทุนโดยไม่ต้องจ้างพนักงานประจำ

    บทบาทของ Virtual CISO ที่แท้จริง
    วางกลยุทธ์ความปลอดภัยระดับองค์กร
    กำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน
    ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติงาน เช่น การตั้งค่าไฟร์วอลล์หรือดูแลระบบ

    โมเดลการให้บริการที่ดีควรมี
    SLA ชัดเจนเรื่องเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ
    ขอบเขตงานที่ระบุชัดเจนว่า “ทำอะไร” และ “ไม่ทำอะไร”
    แผนการส่งมอบความรู้และเอกสารเมื่อสิ้นสุดสัญญา

    คำเตือนในการเลือก Virtual CISO
    ผู้ให้บริการที่ไม่สามารถอธิบายวิธีจัดการความขัดแย้งผลประโยชน์
    ไม่ยอมระบุ SLA หรือเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ
    โฆษณาว่าทำได้เหมือน CISO เต็มเวลาในราคาถูก — เสี่ยงสูง
    ไม่เคยพูดถึงความล้มเหลวหรือบทเรียนจากเหตุการณ์จริง

    https://securityonline.info/why-virtual-ciso-services-are-booming-and-how-to-avoid-hiring-the-wrong-one/
    🛡️ บริการ Virtual CISO กำลังมาแรง แต่เลือกผิดอาจเสี่ยงถูกเจาะระบบ — ผู้เชี่ยวชาญเตือนให้ดูให้ดี ก่อนจ้าง บริการ Virtual CISO (Chief Information Security Officer) หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบจ้างภายนอก กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในองค์กรขนาดกลางที่ไม่สามารถจ้าง CISO เต็มเวลาได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากเลือกผิด อาจได้แค่ “ที่ปรึกษาแพงๆ” ที่ไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามได้จริง Sergei Beliachkov อดีต CISO ที่เคยดูแลระบบให้กับองค์กรขนาดใหญ่กว่า 7,000 ผู้ใช้ และปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการ Virtual CISO ได้แบ่งปันประสบการณ์ตรงว่า ทำไมบริการนี้ถึงเติบโต และอะไรคือ “ธงแดง” ที่ควรระวัง 📈 ความต้องการ Virtual CISO เพิ่มขึ้นเพราะ: 🎗️ ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ทั่วโลกกว่า 4.8 ล้านตำแหน่ง 🎗️ ค่าจ้าง CISO เต็มเวลาสูงเกินเอื้อม (มากกว่า $300,000 ต่อปี) 🎗️ กฎหมายใหม่ เช่น NIS2 และ DORA บังคับให้องค์กรต้องมีการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย แต่ปัญหาคือ หลายองค์กรจ้าง Virtual CISO โดยไม่เข้าใจบทบาทที่แท้จริง ทำให้ได้เพียง “ที่ปรึกษา” ที่ไม่สามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์หรือรับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง Beliachkov แนะนำว่า Virtual CISO ที่ดีต้องมีประสบการณ์ทั้งด้านเทคนิคและการบริหาร มีแผนการทำงานชัดเจน และสามารถสื่อสารกับผู้บริหารระดับสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ เหตุผลที่บริการ Virtual CISO กำลังเติบโต ➡️ ค่าจ้าง CISO เต็มเวลาสูงเกินไปสำหรับองค์กรขนาดกลาง ➡️ กฎหมายใหม่บังคับให้มีการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย ➡️ Virtual CISO ช่วยลดต้นทุนโดยไม่ต้องจ้างพนักงานประจำ ✅ บทบาทของ Virtual CISO ที่แท้จริง ➡️ วางกลยุทธ์ความปลอดภัยระดับองค์กร ➡️ กำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน ➡️ ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติงาน เช่น การตั้งค่าไฟร์วอลล์หรือดูแลระบบ ✅ โมเดลการให้บริการที่ดีควรมี ➡️ SLA ชัดเจนเรื่องเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ ➡️ ขอบเขตงานที่ระบุชัดเจนว่า “ทำอะไร” และ “ไม่ทำอะไร” ➡️ แผนการส่งมอบความรู้และเอกสารเมื่อสิ้นสุดสัญญา ‼️ คำเตือนในการเลือก Virtual CISO ⛔ ผู้ให้บริการที่ไม่สามารถอธิบายวิธีจัดการความขัดแย้งผลประโยชน์ ⛔ ไม่ยอมระบุ SLA หรือเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ ⛔ โฆษณาว่าทำได้เหมือน CISO เต็มเวลาในราคาถูก — เสี่ยงสูง ⛔ ไม่เคยพูดถึงความล้มเหลวหรือบทเรียนจากเหตุการณ์จริง https://securityonline.info/why-virtual-ciso-services-are-booming-and-how-to-avoid-hiring-the-wrong-one/
    SECURITYONLINE.INFO
    Why Virtual CISO Services Are Booming—And How to Avoid Hiring the Wrong One
    Sergei Beliachkov, who managed security for 7,000+ users as a virtual CISO and later launched the service for
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่างซ่อมเตือน “อย่าซื้อ RTX 5090 Founders Edition” – พบจุดอ่อนร้ายแรงซ่อมไม่ได้

    Alex จากช่อง YouTube “Northridge Fix” ได้รับการ์ดจอ RTX 5090 Founders Edition ที่หยุดทำงานหลังจากผู้ใช้ติดตั้งชุดน้ำ (water block) เพิ่มเข้าไป เมื่อเขาแกะเครื่องเพื่อตรวจสอบ พบว่าไม่มีปัญหากับแรงดันไฟหรือวงจรหลัก แต่กลับพบว่าปัญหาอยู่ที่ “ขั้วต่อภายใน” (board-to-board connector) ซึ่งเสียหายและไม่สามารถหาชิ้นส่วนทดแทนได้

    การ์ดรุ่นนี้ถูกออกแบบให้มีโครงสร้างแบบแยกส่วน (modular) คือแบ่งเป็นสองชิ้น: ตัวการ์ดหลักและชุดเชื่อมต่อ PCIe ซึ่งเชื่อมกันด้วยสาย FPC ที่เปราะบางมาก Alex เปรียบเทียบว่า “เหมือนระบบท่อที่มีข้อต่อเยอะ ยิ่งมีจุดเชื่อมต่อมาก ก็ยิ่งมีโอกาสเสียมาก”

    เขายังเสริมว่าขั้วต่อที่เสียหายนี้ไม่สามารถหาซื้อได้ในท้องตลาดทั่วไป และเตือนผู้ใช้ว่า “ถ้าไม่เสีย อย่าไปยุ่งกับมันเลย” พร้อมสรุปว่า RTX 5090 Founders Edition เป็นหนึ่งในการออกแบบที่แย่ที่สุดที่เขาเคยเจอในวงการ GPU.

    โครงสร้างของ RTX 5090 Founders Edition
    ใช้การออกแบบแบบแยกส่วน (modular)
    เชื่อมต่อด้วยสาย FPC ที่เปราะบาง
    จุดเชื่อมต่อภายในเป็นจุดเสี่ยงต่อความเสียหาย

    ปัญหาที่พบจากการซ่อม
    ขั้วต่อภายในเสียหายหลังติดตั้ง water block
    ไม่สามารถหาชิ้นส่วนทดแทนได้
    ไม่มีความเสียหายอื่นในวงจรหลัก

    คำเตือนจากช่างซ่อม
    หลีกเลี่ยงการเปิดหรือดัดแปลงการ์ด
    หากเสียหาย อาจซ่อมไม่ได้เลย
    เรียกการออกแบบนี้ว่า “หนึ่งในดีไซน์ที่แย่ที่สุด”

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/northridge-fix-slams-flagship-nvidia-5090
    ⚠️ ช่างซ่อมเตือน “อย่าซื้อ RTX 5090 Founders Edition” – พบจุดอ่อนร้ายแรงซ่อมไม่ได้ Alex จากช่อง YouTube “Northridge Fix” ได้รับการ์ดจอ RTX 5090 Founders Edition ที่หยุดทำงานหลังจากผู้ใช้ติดตั้งชุดน้ำ (water block) เพิ่มเข้าไป เมื่อเขาแกะเครื่องเพื่อตรวจสอบ พบว่าไม่มีปัญหากับแรงดันไฟหรือวงจรหลัก แต่กลับพบว่าปัญหาอยู่ที่ “ขั้วต่อภายใน” (board-to-board connector) ซึ่งเสียหายและไม่สามารถหาชิ้นส่วนทดแทนได้ การ์ดรุ่นนี้ถูกออกแบบให้มีโครงสร้างแบบแยกส่วน (modular) คือแบ่งเป็นสองชิ้น: ตัวการ์ดหลักและชุดเชื่อมต่อ PCIe ซึ่งเชื่อมกันด้วยสาย FPC ที่เปราะบางมาก Alex เปรียบเทียบว่า “เหมือนระบบท่อที่มีข้อต่อเยอะ ยิ่งมีจุดเชื่อมต่อมาก ก็ยิ่งมีโอกาสเสียมาก” เขายังเสริมว่าขั้วต่อที่เสียหายนี้ไม่สามารถหาซื้อได้ในท้องตลาดทั่วไป และเตือนผู้ใช้ว่า “ถ้าไม่เสีย อย่าไปยุ่งกับมันเลย” พร้อมสรุปว่า RTX 5090 Founders Edition เป็นหนึ่งในการออกแบบที่แย่ที่สุดที่เขาเคยเจอในวงการ GPU. ✅ โครงสร้างของ RTX 5090 Founders Edition ➡️ ใช้การออกแบบแบบแยกส่วน (modular) ➡️ เชื่อมต่อด้วยสาย FPC ที่เปราะบาง ➡️ จุดเชื่อมต่อภายในเป็นจุดเสี่ยงต่อความเสียหาย ✅ ปัญหาที่พบจากการซ่อม ➡️ ขั้วต่อภายในเสียหายหลังติดตั้ง water block ➡️ ไม่สามารถหาชิ้นส่วนทดแทนได้ ➡️ ไม่มีความเสียหายอื่นในวงจรหลัก ✅ คำเตือนจากช่างซ่อม ➡️ หลีกเลี่ยงการเปิดหรือดัดแปลงการ์ด ➡️ หากเสียหาย อาจซ่อมไม่ได้เลย ➡️ เรียกการออกแบบนี้ว่า “หนึ่งในดีไซน์ที่แย่ที่สุด” https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/northridge-fix-slams-flagship-nvidia-5090
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD สร้างปรากฏการณ์ใหม่ – รันอัลกอริธึมควอนตัมบนชิปทั่วไป แซงหน้า NVIDIA ในสนามควอนตัม

    ในโลกของควอนตัมคอมพิวติ้ง “qubit” คือหน่วยข้อมูลที่เปราะบางมาก แค่แรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยก็ทำให้ข้อมูลผิดพลาดได้ ดังนั้นการมีอัลกอริธึมที่สามารถตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาดโดยไม่ทำลายสถานะของ qubit จึงเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาระบบควอนตัมที่ใช้งานได้จริง

    IBM ได้พัฒนาอัลกอริธึม QEC และทดลองรันบนชิป FPGA ของ AMD ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ทั่วไปที่สามารถปรับแต่งได้ตามงานเฉพาะ (reconfigurable hardware) ผลลัพธ์คือความเร็วในการประมวลผลสูงกว่าที่คาดไว้ถึง 10 เท่า และไม่ต้องใช้ชิปเฉพาะทางราคาแพง

    นี่คือจุดที่ AMD ได้เปรียบ เพราะมี Xilinx อยู่ในเครือ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน FPGA ขณะที่ NVIDIA ใช้แนวทางต่างออกไป โดยพัฒนาแพลตฟอร์ม DGX Quantum ที่รวมซอฟต์แวร์ CUDA-Q เข้ากับฮาร์ดแวร์ระดับสูง แต่ยังไม่สามารถรัน QEC บนชิปทั่วไปได้เหมือน AMD

    แม้ NVIDIA จะมีเทคโนโลยีที่ทรงพลัง แต่ความสำเร็จของ AMD ในการใช้ฮาร์ดแวร์ “off-the-shelf” กับงานควอนตัม ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนแนวทางของอุตสาหกรรมในอนาคต

    ความสำเร็จของ AMD กับอัลกอริธึม QEC
    รันบนชิป FPGA ที่ปรับแต่งได้
    ประสิทธิภาพสูงกว่าที่คาดไว้ถึง 10 เท่า
    ไม่ต้องใช้ชิปเฉพาะทางราคาแพง

    จุดเด่นของ FPGA ในงานควอนตัม
    ปรับแต่งได้ตามงานเฉพาะ
    รองรับ feedback loop ที่มี latency ต่ำ
    เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง

    ความแตกต่างจากแนวทางของ NVIDIA
    ใช้แพลตฟอร์ม DGX Quantum + CUDA-Q
    ยังไม่สามารถใช้ฮาร์ดแวร์ทั่วไปกับ QEC ได้
    ขาดทรัพยากรด้าน FPGA แบบที่ AMD มีจาก Xilinx

    https://wccftech.com/amd-beats-nvidia-in-quantum-computing-milestone-for-now/
    🧠 AMD สร้างปรากฏการณ์ใหม่ – รันอัลกอริธึมควอนตัมบนชิปทั่วไป แซงหน้า NVIDIA ในสนามควอนตัม ในโลกของควอนตัมคอมพิวติ้ง “qubit” คือหน่วยข้อมูลที่เปราะบางมาก แค่แรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยก็ทำให้ข้อมูลผิดพลาดได้ ดังนั้นการมีอัลกอริธึมที่สามารถตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาดโดยไม่ทำลายสถานะของ qubit จึงเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาระบบควอนตัมที่ใช้งานได้จริง IBM ได้พัฒนาอัลกอริธึม QEC และทดลองรันบนชิป FPGA ของ AMD ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ทั่วไปที่สามารถปรับแต่งได้ตามงานเฉพาะ (reconfigurable hardware) ผลลัพธ์คือความเร็วในการประมวลผลสูงกว่าที่คาดไว้ถึง 10 เท่า และไม่ต้องใช้ชิปเฉพาะทางราคาแพง นี่คือจุดที่ AMD ได้เปรียบ เพราะมี Xilinx อยู่ในเครือ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน FPGA ขณะที่ NVIDIA ใช้แนวทางต่างออกไป โดยพัฒนาแพลตฟอร์ม DGX Quantum ที่รวมซอฟต์แวร์ CUDA-Q เข้ากับฮาร์ดแวร์ระดับสูง แต่ยังไม่สามารถรัน QEC บนชิปทั่วไปได้เหมือน AMD แม้ NVIDIA จะมีเทคโนโลยีที่ทรงพลัง แต่ความสำเร็จของ AMD ในการใช้ฮาร์ดแวร์ “off-the-shelf” กับงานควอนตัม ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนแนวทางของอุตสาหกรรมในอนาคต ✅ ความสำเร็จของ AMD กับอัลกอริธึม QEC ➡️ รันบนชิป FPGA ที่ปรับแต่งได้ ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่าที่คาดไว้ถึง 10 เท่า ➡️ ไม่ต้องใช้ชิปเฉพาะทางราคาแพง ✅ จุดเด่นของ FPGA ในงานควอนตัม ➡️ ปรับแต่งได้ตามงานเฉพาะ ➡️ รองรับ feedback loop ที่มี latency ต่ำ ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง ✅ ความแตกต่างจากแนวทางของ NVIDIA ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม DGX Quantum + CUDA-Q ➡️ ยังไม่สามารถใช้ฮาร์ดแวร์ทั่วไปกับ QEC ได้ ➡️ ขาดทรัพยากรด้าน FPGA แบบที่ AMD มีจาก Xilinx https://wccftech.com/amd-beats-nvidia-in-quantum-computing-milestone-for-now/
    WCCFTECH.COM
    AMD Beats NVIDIA in Quantum Computing Milestone For Now, By Running IBM's Error-Correction Algorithm On Standard Chips
    IBM has announced a breakthrough in quantum computing, as AMD's standard chips have successfully run a key error correction algorithm.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • RedMagic 11 Pro – สมาร์ทโฟนเกมมิ่งเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว

    ถ้าคุณเป็นสายเกมมือถือที่กำลังมองหาเครื่องแรงๆ RedMagic 11 Pro อาจเป็นคำตอบที่คุณรอคอย เพราะมันมาพร้อมกับชิป Snapdragon 8 Elite Gen5 ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ แถมยังมีชิปกราฟิกเฉพาะ RedCore R4 ที่ช่วยให้ภาพลื่นไหลไม่มีสะดุด

    แต่ไฮไลต์เด็ดจริงๆ คือระบบระบายความร้อน “AquaCore” ที่ใช้ของเหลวหมุนเวียนผ่านท่อใสด้านหลังเครื่อง พร้อมพัดลมหมุนเร็วถึง 24,000 รอบต่อนาที! นี่ไม่ใช่แค่เท่ แต่ช่วยให้เครื่องไม่ร้อนแม้เล่นเกมหนักๆ ต่อเนื่องหลายชั่วโมง

    แม้จะอัดแน่นด้วยเทคโนโลยี แต่ตัวเครื่องยังบางเพียง 8.9 มม. และหนักแค่ 230 กรัม พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 7,500mAh ที่เล่นเกมได้ต่อเนื่องถึง 13 ชั่วโมง

    หน้าจอก็ไม่ธรรมดา เป็น AMOLED รีเฟรชเรต 144Hz ความละเอียด 1.5K (2,688 x 1,216 พิกเซล) พร้อมเทคโนโลยี “ใต้หน้าจอ” และ “ถนอมสายตา” สำหรับเกมเมอร์ตัวจริง

    จุดเด่นของ RedMagic 11 Pro
    เปิดตัวในสหรัฐฯ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2025
    ใช้ชิป Snapdragon 8 Elite Gen5 + RedCore R4
    ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว + พัดลม 24,000rpm
    แบตเตอรี่ 7,500mAh เล่นเกมได้ต่อเนื่อง 13 ชั่วโมง
    หน้าจอ AMOLED 144Hz ความละเอียด 1.5K
    ดีไซน์บาง 8.9 มม. น้ำหนัก 230 กรัม

    ความแตกต่างจากรุ่นจีน
    รุ่นจีนมี 2 แบบ: Pro (80W) และ Pro+ (120W)
    รุ่น Global ลดแบตจาก 8,000mAh เหลือ 7,500mAh
    ยังไม่ยืนยันว่าจะวางขายรุ่น Pro+ ทั่วโลกหรือไม่

    ราคาโดยประมาณ
    รุ่น 12GB RAM + 256GB ราคา ~ $700
    รุ่น 16GB RAM + 512GB ราคา ~ $800
    รุ่น Pro+ (เฉพาะจีน) มีถึง 24GB RAM + 1TB ราคาเกิน $1,000

    https://www.slashgear.com/2003821/redmagic-11-pro-liquid-cooled-smartphone-details/
    📱 RedMagic 11 Pro – สมาร์ทโฟนเกมมิ่งเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว ถ้าคุณเป็นสายเกมมือถือที่กำลังมองหาเครื่องแรงๆ RedMagic 11 Pro อาจเป็นคำตอบที่คุณรอคอย เพราะมันมาพร้อมกับชิป Snapdragon 8 Elite Gen5 ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ แถมยังมีชิปกราฟิกเฉพาะ RedCore R4 ที่ช่วยให้ภาพลื่นไหลไม่มีสะดุด แต่ไฮไลต์เด็ดจริงๆ คือระบบระบายความร้อน “AquaCore” ที่ใช้ของเหลวหมุนเวียนผ่านท่อใสด้านหลังเครื่อง พร้อมพัดลมหมุนเร็วถึง 24,000 รอบต่อนาที! นี่ไม่ใช่แค่เท่ แต่ช่วยให้เครื่องไม่ร้อนแม้เล่นเกมหนักๆ ต่อเนื่องหลายชั่วโมง แม้จะอัดแน่นด้วยเทคโนโลยี แต่ตัวเครื่องยังบางเพียง 8.9 มม. และหนักแค่ 230 กรัม พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 7,500mAh ที่เล่นเกมได้ต่อเนื่องถึง 13 ชั่วโมง หน้าจอก็ไม่ธรรมดา เป็น AMOLED รีเฟรชเรต 144Hz ความละเอียด 1.5K (2,688 x 1,216 พิกเซล) พร้อมเทคโนโลยี “ใต้หน้าจอ” และ “ถนอมสายตา” สำหรับเกมเมอร์ตัวจริง ✅ จุดเด่นของ RedMagic 11 Pro ➡️ เปิดตัวในสหรัฐฯ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2025 ➡️ ใช้ชิป Snapdragon 8 Elite Gen5 + RedCore R4 ➡️ ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว + พัดลม 24,000rpm ➡️ แบตเตอรี่ 7,500mAh เล่นเกมได้ต่อเนื่อง 13 ชั่วโมง ➡️ หน้าจอ AMOLED 144Hz ความละเอียด 1.5K ➡️ ดีไซน์บาง 8.9 มม. น้ำหนัก 230 กรัม ✅ ความแตกต่างจากรุ่นจีน ➡️ รุ่นจีนมี 2 แบบ: Pro (80W) และ Pro+ (120W) ➡️ รุ่น Global ลดแบตจาก 8,000mAh เหลือ 7,500mAh ➡️ ยังไม่ยืนยันว่าจะวางขายรุ่น Pro+ ทั่วโลกหรือไม่ ✅ ราคาโดยประมาณ ➡️ รุ่น 12GB RAM + 256GB ราคา ~ $700 ➡️ รุ่น 16GB RAM + 512GB ราคา ~ $800 ➡️ รุ่น Pro+ (เฉพาะจีน) มีถึง 24GB RAM + 1TB ราคาเกิน $1,000 https://www.slashgear.com/2003821/redmagic-11-pro-liquid-cooled-smartphone-details/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The World's First Liquid-Cooled Smartphone Is About To Hit The Market - SlashGear
    RedMagic is coming out with a new smartphone with a liquid-cooled processor, enabling the Snapdragon 8 Gen 5 chip to run even harder for optimal gaming.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประกอบคอมไม่ต้องแพง! 4 อุปกรณ์ที่ซื้อถูกได้ กับ 1 ชิ้นที่ควรลงทุน

    ถ้าคุณกำลังคิดจะประกอบคอมใหม่ ไม่ว่าจะเพื่อเล่นเกม ทำงาน หรือตัดต่อวิดีโอ คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงทุกชิ้น! มีหลายอุปกรณ์ที่สามารถซื้อแบบราคาประหยัดได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องคุณภาพมากนัก

    พัดลมซีพียู (CPU Fan): ไม่ต้องไปถึงระบบน้ำ แค่พัดลมอากาศดีๆ อย่าง Cooler Master Hyper 212 ก็เอาอยู่แล้ว แถมติดตั้งง่าย ราคาประมาณ $30 เท่านั้น

    เคส (Case): ถ้าไม่ได้โชว์เคสบนโต๊ะ ก็ไม่ต้องซื้อแพง เคสอย่าง Cooler Master Q300L ราคาแค่ $40 ก็สวยและใช้งานดี

    แรม (RAM): ตอนนี้ 32GB กลายเป็นมาตรฐานใหม่แล้ว แต่ก็ยังหาซื้อได้ในราคาประมาณ $100 ถ้าเลือกแบรนด์ดีๆ อย่าง Corsair หรือ G.SKILL

    เมนบอร์ด (Motherboard): ถ้าไม่ต้องการฟีเจอร์ล้ำๆ ก็เลือกเมนบอร์ดราคาประหยัดได้ เช่น ASRock B650M-H/M.2+ ราคาแค่ $99 รองรับ DDR5 และ CPU รุ่นใหม่

    แต่มีหนึ่งชิ้นที่ไม่ควรประหยัด นั่นคือ การ์ดจอ (GPU) เพราะเกมสมัยนี้กินสเปคหนักมาก ถ้าอยากเล่นลื่นๆ ต้องลงทุนหน่อย เช่น Intel Arc B580 ที่ราคาไม่แรงแต่ประสิทธิภาพดี หรือ AMD RX 7900 XTX ที่คุ้มค่ากว่า NVIDIA RTX 4080

    พัดลมซีพียู (CPU Fan)
    พัดลมอากาศราคาถูกติดตั้งง่ายและเย็นพอ
    Cooler Master Hyper 212 ราคาเพียง $29.99
    ควรตรวจสอบความสูงก่อนซื้อให้พอดีกับเคส

    เคส (Case)
    เคสราคาประหยัดยังมีดีไซน์สวยและรองรับอุปกรณ์ใหญ่
    Cooler Master Q300L ราคา $39.99
    ข้อเสียคือพอร์ต USB ด้านหน้าอาจน้อย

    แรม (RAM)
    32GB กลายเป็นมาตรฐานใหม่
    DDR5 ราคาประมาณ $80–130
    ควรเลือกแบรนด์ใหญ่และความเร็วสูง

    เมนบอร์ด (Motherboard)
    เมนบอร์ดราคาถูกยังรองรับ CPU และ RAM รุ่นใหม่
    ASRock B650M-H/M.2+ ราคา $99
    ข้อเสียคืออาจไม่มี Wi-Fi หรือ Bluetooth

    การ์ดจอ (GPU)
    ควรลงทุนเพื่อประสิทธิภาพในการเล่นเกม
    เกมใหม่ต้องใช้ GPU แรงเพื่อภาพลื่นและสวย
    Intel Arc B580 เป็นตัวเลือกคุ้มค่า
    AMD RX 7900 XTX ดีกว่า NVIDIA RTX 4080 ในราคาต่อประสิทธิภาพ

    https://www.slashgear.com/2002844/pc-parts-can-buy-cheap-ones-you-should-splurge-on/
    🖥️ ประกอบคอมไม่ต้องแพง! 4 อุปกรณ์ที่ซื้อถูกได้ กับ 1 ชิ้นที่ควรลงทุน ถ้าคุณกำลังคิดจะประกอบคอมใหม่ ไม่ว่าจะเพื่อเล่นเกม ทำงาน หรือตัดต่อวิดีโอ คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงทุกชิ้น! มีหลายอุปกรณ์ที่สามารถซื้อแบบราคาประหยัดได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องคุณภาพมากนัก 🎗️ พัดลมซีพียู (CPU Fan): ไม่ต้องไปถึงระบบน้ำ แค่พัดลมอากาศดีๆ อย่าง Cooler Master Hyper 212 ก็เอาอยู่แล้ว แถมติดตั้งง่าย ราคาประมาณ $30 เท่านั้น 🎗️ เคส (Case): ถ้าไม่ได้โชว์เคสบนโต๊ะ ก็ไม่ต้องซื้อแพง เคสอย่าง Cooler Master Q300L ราคาแค่ $40 ก็สวยและใช้งานดี 🎗️ แรม (RAM): ตอนนี้ 32GB กลายเป็นมาตรฐานใหม่แล้ว แต่ก็ยังหาซื้อได้ในราคาประมาณ $100 ถ้าเลือกแบรนด์ดีๆ อย่าง Corsair หรือ G.SKILL 🎗️ เมนบอร์ด (Motherboard): ถ้าไม่ต้องการฟีเจอร์ล้ำๆ ก็เลือกเมนบอร์ดราคาประหยัดได้ เช่น ASRock B650M-H/M.2+ ราคาแค่ $99 รองรับ DDR5 และ CPU รุ่นใหม่ แต่มีหนึ่งชิ้นที่ไม่ควรประหยัด นั่นคือ การ์ดจอ (GPU) เพราะเกมสมัยนี้กินสเปคหนักมาก ถ้าอยากเล่นลื่นๆ ต้องลงทุนหน่อย เช่น Intel Arc B580 ที่ราคาไม่แรงแต่ประสิทธิภาพดี หรือ AMD RX 7900 XTX ที่คุ้มค่ากว่า NVIDIA RTX 4080 ✅ พัดลมซีพียู (CPU Fan) ➡️ พัดลมอากาศราคาถูกติดตั้งง่ายและเย็นพอ ➡️ Cooler Master Hyper 212 ราคาเพียง $29.99 ➡️ ควรตรวจสอบความสูงก่อนซื้อให้พอดีกับเคส ✅ เคส (Case) ➡️ เคสราคาประหยัดยังมีดีไซน์สวยและรองรับอุปกรณ์ใหญ่ ➡️ Cooler Master Q300L ราคา $39.99 ➡️ ข้อเสียคือพอร์ต USB ด้านหน้าอาจน้อย ✅ แรม (RAM) ➡️ 32GB กลายเป็นมาตรฐานใหม่ ➡️ DDR5 ราคาประมาณ $80–130 ➡️ ควรเลือกแบรนด์ใหญ่และความเร็วสูง ✅ เมนบอร์ด (Motherboard) ➡️ เมนบอร์ดราคาถูกยังรองรับ CPU และ RAM รุ่นใหม่ ➡️ ASRock B650M-H/M.2+ ราคา $99 ➡️ ข้อเสียคืออาจไม่มี Wi-Fi หรือ Bluetooth ‼️ การ์ดจอ (GPU) ⛔ ควรลงทุนเพื่อประสิทธิภาพในการเล่นเกม ⛔ เกมใหม่ต้องใช้ GPU แรงเพื่อภาพลื่นและสวย ⛔ Intel Arc B580 เป็นตัวเลือกคุ้มค่า ⛔ AMD RX 7900 XTX ดีกว่า NVIDIA RTX 4080 ในราคาต่อประสิทธิภาพ https://www.slashgear.com/2002844/pc-parts-can-buy-cheap-ones-you-should-splurge-on/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    4 PC Parts You Can Buy Cheap (And 1 You Should Splurge On) - SlashGear
    Building your own PC is not as hard as you might think, but doing so on the cheap means learning when to save money on parts and when to invest.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • Starshield ดาวเทียมทหารสหรัฐฯ ส่งสัญญาณรบกวนระบบพลเรือน – ความลับที่เพิ่งถูกเปิดเผย

    ในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2025 มีเหตุการณ์ที่ทำให้วงการอวกาศต้องหันมามองอย่างจริงจัง เมื่อเครือข่ายดาวเทียม Starshield ซึ่งเป็นระบบสื่อสารของกองทัพสหรัฐฯ ที่พัฒนาโดย SpaceX ภายใต้สัญญากับสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ (NRO) ถูกพบว่ากำลังส่งสัญญาณรบกวนคลื่นความถี่ที่ใช้โดยดาวเทียมพลเรือน

    เรื่องนี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยโดยหน่วยงานรัฐ แต่กลับเป็น Scott Tilley นักดาราศาสตร์สมัครเล่นจากแคนาดา ที่บังเอิญตรวจพบสัญญาณจากอวกาศที่เชื่อมโยงกลับไปยัง Starshield โดยตรง เขาให้สัมภาษณ์กับ NPR แต่ยังไม่แสดงความเห็นเพิ่มเติมในช่องทางอื่น

    แม้ว่าเหตุการณ์นี้ยังไม่ส่งผลกระทบในระดับรุนแรง แต่หากการรบกวนยังดำเนินต่อไป อาจสร้างปัญหาใหญ่ต่อระบบสื่อสารพลเรือน เช่น GPS, การพยากรณ์อากาศ และอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม

    Starshield มีจุดเด่นคือใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ซึ่งช่วยให้การส่งข้อมูลทางทหารรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่างจากระบบเดิมที่ใช้ดาวเทียมวงโคจรสูงที่มีต้นทุนสูงและจำกัดผู้ให้บริการ

    นอกจากนี้ การใช้คลื่นความถี่ที่ไม่ใช่ของทหารโดยไม่มีคำอธิบายชัดเจน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นเพราะช่องสัญญาณเดิมแออัด หรือมีเหตุผลลับอื่นที่ยังไม่เปิดเผย

    ระบบดาวเทียม Starshield ของกองทัพสหรัฐฯ
    พัฒนาโดย SpaceX ภายใต้สัญญากับ NRO
    ใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร
    ช่วยให้ทหารภาคสนามรับข้อมูลได้เกือบทันที

    การรบกวนคลื่นความถี่ของดาวเทียมพลเรือน
    เกิดจากสัญญาณที่ส่งจาก Starshield โดยไม่ใช่คลื่นทหารทั่วไป
    อาจเป็นเพราะช่องสัญญาณทหารแออัด
    ยังไม่มีคำชี้แจงจาก SpaceX หรือ NRO

    การค้นพบโดยนักดาราศาสตร์สมัครเล่น
    Scott Tilley ตรวจพบสัญญาณโดยบังเอิญ
    ให้สัมภาษณ์กับ NPR แต่ยังไม่โพสต์ในโซเชียลมีเดีย

    ความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมดาวเทียม
    ดาวเทียมวงโคจรต่ำเปิดโอกาสให้บริษัทใหม่เข้ามาแข่งขัน
    เช่น Project Kuiper และ OneWeb

    ความเสี่ยงต่อระบบสื่อสารพลเรือน
    หากการรบกวนเพิ่มขึ้น อาจกระทบ GPS, อินเทอร์เน็ต และการพยากรณ์อากาศ
    ยังไม่มีการสอบสวนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

    การใช้คลื่นความถี่โดยไม่มีการแจ้งเตือน
    อาจละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศด้านการสื่อสาร
    สร้างความไม่ไว้วางใจต่อการใช้งานดาวเทียมทหารในพื้นที่พลเรือน

    https://www.slashgear.com/2005346/starlink-vs-starshield-civilian-satellite-control/
    🛰️ Starshield ดาวเทียมทหารสหรัฐฯ ส่งสัญญาณรบกวนระบบพลเรือน – ความลับที่เพิ่งถูกเปิดเผย ในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2025 มีเหตุการณ์ที่ทำให้วงการอวกาศต้องหันมามองอย่างจริงจัง เมื่อเครือข่ายดาวเทียม Starshield ซึ่งเป็นระบบสื่อสารของกองทัพสหรัฐฯ ที่พัฒนาโดย SpaceX ภายใต้สัญญากับสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ (NRO) ถูกพบว่ากำลังส่งสัญญาณรบกวนคลื่นความถี่ที่ใช้โดยดาวเทียมพลเรือน เรื่องนี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยโดยหน่วยงานรัฐ แต่กลับเป็น Scott Tilley นักดาราศาสตร์สมัครเล่นจากแคนาดา ที่บังเอิญตรวจพบสัญญาณจากอวกาศที่เชื่อมโยงกลับไปยัง Starshield โดยตรง เขาให้สัมภาษณ์กับ NPR แต่ยังไม่แสดงความเห็นเพิ่มเติมในช่องทางอื่น แม้ว่าเหตุการณ์นี้ยังไม่ส่งผลกระทบในระดับรุนแรง แต่หากการรบกวนยังดำเนินต่อไป อาจสร้างปัญหาใหญ่ต่อระบบสื่อสารพลเรือน เช่น GPS, การพยากรณ์อากาศ และอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม Starshield มีจุดเด่นคือใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ซึ่งช่วยให้การส่งข้อมูลทางทหารรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่างจากระบบเดิมที่ใช้ดาวเทียมวงโคจรสูงที่มีต้นทุนสูงและจำกัดผู้ให้บริการ นอกจากนี้ การใช้คลื่นความถี่ที่ไม่ใช่ของทหารโดยไม่มีคำอธิบายชัดเจน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นเพราะช่องสัญญาณเดิมแออัด หรือมีเหตุผลลับอื่นที่ยังไม่เปิดเผย ✅ ระบบดาวเทียม Starshield ของกองทัพสหรัฐฯ ➡️ พัฒนาโดย SpaceX ภายใต้สัญญากับ NRO ➡️ ใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร ➡️ ช่วยให้ทหารภาคสนามรับข้อมูลได้เกือบทันที ✅ การรบกวนคลื่นความถี่ของดาวเทียมพลเรือน ➡️ เกิดจากสัญญาณที่ส่งจาก Starshield โดยไม่ใช่คลื่นทหารทั่วไป ➡️ อาจเป็นเพราะช่องสัญญาณทหารแออัด ➡️ ยังไม่มีคำชี้แจงจาก SpaceX หรือ NRO ✅ การค้นพบโดยนักดาราศาสตร์สมัครเล่น ➡️ Scott Tilley ตรวจพบสัญญาณโดยบังเอิญ ➡️ ให้สัมภาษณ์กับ NPR แต่ยังไม่โพสต์ในโซเชียลมีเดีย ✅ ความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมดาวเทียม ➡️ ดาวเทียมวงโคจรต่ำเปิดโอกาสให้บริษัทใหม่เข้ามาแข่งขัน ➡️ เช่น Project Kuiper และ OneWeb ‼️ ความเสี่ยงต่อระบบสื่อสารพลเรือน ⛔ หากการรบกวนเพิ่มขึ้น อาจกระทบ GPS, อินเทอร์เน็ต และการพยากรณ์อากาศ ⛔ ยังไม่มีการสอบสวนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ‼️ การใช้คลื่นความถี่โดยไม่มีการแจ้งเตือน ⛔ อาจละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศด้านการสื่อสาร ⛔ สร้างความไม่ไว้วางใจต่อการใช้งานดาวเทียมทหารในพื้นที่พลเรือน https://www.slashgear.com/2005346/starlink-vs-starshield-civilian-satellite-control/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Military Version Of Starlink Is Causing Problems For Civilian Satellites - SlashGear
    The military's equivalent of Starlink, which allows for troops to remain in contact, is now disrupting other satellites, as discovered by a civilian tracker.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • “USD.AI: สเตเบิลคอยน์ใหม่เชื่อมโลกคริปโตกับ GPU จริงของ Nvidia เพื่อสร้างรายได้จาก AI”

    ตอนนี้มีโปรเจกต์ใหม่ที่ชื่อว่า USD.AI ซึ่งเป็นสเตเบิลคอยน์ในโลก DeFi ที่ไม่ได้แค่เก็บมูลค่าไว้เฉย ๆ แต่เอาเงินของนักลงทุนไปซื้อ GPU จริง ๆ ของ Nvidia แล้วปล่อยเช่าให้กับนักพัฒนา AI เพื่อหารายได้กลับมาให้ผู้ถือเหรียญ!

    พูดง่าย ๆ คือ ถ้าคุณถือเหรียญ USD.AI ก็เหมือนคุณลงทุนในฮาร์ดแวร์ที่มีคนเช่าใช้งานจริง แล้วรายได้จากการเช่าก็จะถูกนำมาจ่ายคืนให้คุณเป็นผลตอบแทน ซึ่งตอนนี้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 13–17% ต่อปี—สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แบบเห็น ๆ

    ระบบนี้มีโครงสร้างป้องกันความเสี่ยงแบบ 3 ชั้น ได้แก่ CALIBER, FiLO และ QEV ที่ช่วยให้การลงทุนปลอดภัยขึ้น เช่น การแปลง GPU เป็น NFT เพื่อใช้เป็นหลักประกัน, การมีผู้คัดกรองความเสี่ยงที่ลงทุนเงินของตัวเอง และระบบคิวสำหรับการถอนเงินที่ควบคุมสภาพคล่องได้ดี

    USD.AI คืออะไร
    เป็นโปรโตคอล DeFi ที่ใช้ stablecoin เพื่อซื้อ GPU จริงของ Nvidia
    GPU เหล่านี้ถูกนำไปปล่อยเช่าให้กับนักพัฒนา AI
    รายได้จากการเช่าถูกนำมาจ่ายคืนให้ผู้ถือเหรียญเป็นผลตอบแทน

    ผลตอบแทนที่น่าสนใจ
    อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 13–17% ต่อปี
    สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี
    รายได้มาจากการใช้งานจริง ไม่ใช่การปั่นเหรียญหรือวงจรเลเวอเรจ

    โครงสร้างความปลอดภัยแบบ 3 ชั้น
    CALIBER: แปลง GPU เป็น NFT และใช้เป็นหลักประกัน
    FiLO: มีผู้คัดกรองความเสี่ยงที่ลงทุนเงินของตัวเองเพื่อรับผิดชอบหากเกิดความเสียหาย
    QEV: ระบบคิวสำหรับการถอนเงินที่ควบคุมสภาพคล่องและให้ผลตอบแทนแก่ผู้รอ

    ประโยชน์ต่อผู้ถือเหรียญและนักพัฒนา AI
    นักลงทุนได้ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า GPU
    นักพัฒนา AI เข้าถึงฮาร์ดแวร์ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนเอง
    เป็นการเชื่อมโลกคริปโตกับการใช้งานจริงในอุตสาหกรรม AI

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/new-stablecoin-connects-crypto-investors-to-real-world-nvidia-ai-gpus-that-earn-money-by-renting-out-compute-power-to-ai-devs-usd-ai-lets-crypto-investors-make-bank-off-ai-compute-rentals
    🪙“USD.AI: สเตเบิลคอยน์ใหม่เชื่อมโลกคริปโตกับ GPU จริงของ Nvidia เพื่อสร้างรายได้จาก AI” ตอนนี้มีโปรเจกต์ใหม่ที่ชื่อว่า USD.AI ซึ่งเป็นสเตเบิลคอยน์ในโลก DeFi ที่ไม่ได้แค่เก็บมูลค่าไว้เฉย ๆ แต่เอาเงินของนักลงทุนไปซื้อ GPU จริง ๆ ของ Nvidia แล้วปล่อยเช่าให้กับนักพัฒนา AI เพื่อหารายได้กลับมาให้ผู้ถือเหรียญ! พูดง่าย ๆ คือ ถ้าคุณถือเหรียญ USD.AI ก็เหมือนคุณลงทุนในฮาร์ดแวร์ที่มีคนเช่าใช้งานจริง แล้วรายได้จากการเช่าก็จะถูกนำมาจ่ายคืนให้คุณเป็นผลตอบแทน ซึ่งตอนนี้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 13–17% ต่อปี—สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แบบเห็น ๆ ระบบนี้มีโครงสร้างป้องกันความเสี่ยงแบบ 3 ชั้น ได้แก่ CALIBER, FiLO และ QEV ที่ช่วยให้การลงทุนปลอดภัยขึ้น เช่น การแปลง GPU เป็น NFT เพื่อใช้เป็นหลักประกัน, การมีผู้คัดกรองความเสี่ยงที่ลงทุนเงินของตัวเอง และระบบคิวสำหรับการถอนเงินที่ควบคุมสภาพคล่องได้ดี ✅ USD.AI คืออะไร ➡️ เป็นโปรโตคอล DeFi ที่ใช้ stablecoin เพื่อซื้อ GPU จริงของ Nvidia ➡️ GPU เหล่านี้ถูกนำไปปล่อยเช่าให้กับนักพัฒนา AI ➡️ รายได้จากการเช่าถูกนำมาจ่ายคืนให้ผู้ถือเหรียญเป็นผลตอบแทน ✅ ผลตอบแทนที่น่าสนใจ ➡️ อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 13–17% ต่อปี ➡️ สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี ➡️ รายได้มาจากการใช้งานจริง ไม่ใช่การปั่นเหรียญหรือวงจรเลเวอเรจ ✅ โครงสร้างความปลอดภัยแบบ 3 ชั้น ➡️ CALIBER: แปลง GPU เป็น NFT และใช้เป็นหลักประกัน ➡️ FiLO: มีผู้คัดกรองความเสี่ยงที่ลงทุนเงินของตัวเองเพื่อรับผิดชอบหากเกิดความเสียหาย ➡️ QEV: ระบบคิวสำหรับการถอนเงินที่ควบคุมสภาพคล่องและให้ผลตอบแทนแก่ผู้รอ ✅ ประโยชน์ต่อผู้ถือเหรียญและนักพัฒนา AI ➡️ นักลงทุนได้ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า GPU ➡️ นักพัฒนา AI เข้าถึงฮาร์ดแวร์ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนเอง ➡️ เป็นการเชื่อมโลกคริปโตกับการใช้งานจริงในอุตสาหกรรม AI https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/new-stablecoin-connects-crypto-investors-to-real-world-nvidia-ai-gpus-that-earn-money-by-renting-out-compute-power-to-ai-devs-usd-ai-lets-crypto-investors-make-bank-off-ai-compute-rentals
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ย้อนรอย 50 ปี AMD กับชิป Am9080: จากการลอกแบบสู่การครองตลาด CPU”

    รู้ไหมว่า AMD เริ่มต้นเข้าสู่ตลาด CPU ด้วยการ “ลอกแบบ” ชิปของ Intel? เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 50 ปีก่อน ตอนที่ AMD ผลิตชิปชื่อว่า Am9080 ซึ่งเป็นการ reverse-engineer จาก Intel 8080 โดยตรง

    เรื่องเริ่มจากทีมวิศวกร 3 คน—Ashawna Hailey, Kim Hailey และ Jay Kumar—ที่ถ่ายภาพตัวอย่างชิป Intel 8080 แล้วนำไปสร้างแผนผังวงจรขึ้นมาใหม่ จากนั้นก็เสนอให้บริษัทต่าง ๆ ใน Silicon Valley พิจารณา และ AMD ก็ตอบรับทันที

    ชิป Am9080 นี้ผลิตได้ในราคาประมาณ 50 เซนต์ต่อชิ้น แต่สามารถขายให้ลูกค้าระดับองค์กร เช่น กองทัพ ได้ในราคาสูงถึง 700 ดอลลาร์! เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ AMD มีทุนและชื่อเสียงในการเข้าสู่ตลาด CPU อย่างจริงจัง

    แม้จะเริ่มต้นด้วยการลอกแบบ แต่ AMD ก็ไม่หยุดแค่นั้น ในปี 1976 พวกเขาทำข้อตกลงกับ Intel เพื่อเป็นผู้ผลิตสำรอง (second source) อย่างถูกกฎหมาย และต่อยอดไปสู่การผลิตชิป x86 ของตัวเองในปี 1982

    ชิป Am9080 ยังมีจุดเด่นที่เหนือกว่า Intel 8080 ด้วยการใช้กระบวนการผลิตแบบ N-channel MOS ที่ทันสมัยกว่า ทำให้มีขนาดเล็กกว่าและความเร็วสูงกว่า โดยบางรุ่นสามารถทำงานได้ถึง 4.0 MHz ในขณะที่ Intel 8080 ทำได้สูงสุดแค่ 3.125 MHz เท่านั้น

    จุดเริ่มต้นของ AMD ในตลาด CPU
    ปี 1975 AMD เริ่มผลิต Am9080 โดยลอกแบบจาก Intel 8080
    ใช้ภาพถ่ายจากตัวอย่างชิปเพื่อสร้างแผนผังวงจรใหม่
    เป็นการ reverse-engineer ที่นำไปสู่การผลิตจริง

    ต้นทุนต่ำ กำไรสูง
    ต้นทุนการผลิตชิป Am9080 อยู่ที่ประมาณ 50 เซนต์ต่อชิ้น
    ขายให้ลูกค้าระดับองค์กรในราคาสูงถึง 700 ดอลลาร์
    เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยสร้างฐานการเงินให้ AMD

    ข้อตกลงกับ Intel เพื่อความถูกต้องตามกฎหมาย
    ปี 1976 AMD เซ็นสัญญา cross-licensing กับ Intel
    จ่ายค่าลิขสิทธิ์ 25,000 ดอลลาร์ และ 75,000 ดอลลาร์ต่อปี
    ได้สิทธิ์เป็นผู้ผลิตสำรอง (second source) อย่างเป็นทางการ

    การพัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือกว่า Intel
    ใช้กระบวนการผลิต N-channel MOS ที่ทันสมัยกว่า
    ขนาด die ของ Am9080 เล็กกว่า Intel 8080
    ความเร็วสูงสุดของ Am9080 อยู่ที่ 4.0 MHz ในขณะที่ Intel 8080 สูงสุดแค่ 3.125 MHz

    การต่อยอดสู่ชิป x86 ของ AMD
    ปี 1982 AMD ผลิต Am286 ซึ่งเป็นเวอร์ชันลิขสิทธิ์ของ Intel 80286
    เป็นจุดเริ่มต้นของการผลิต CPU x86 ของ AMD อย่างเต็มตัว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-first-entered-the-cpu-market-with-reverse-engineered-intel-8080-clone-50-years-ago-the-am9080-cost-50-cents-apiece-to-make-but-sold-for-usd700
    🕰️ “ย้อนรอย 50 ปี AMD กับชิป Am9080: จากการลอกแบบสู่การครองตลาด CPU” รู้ไหมว่า AMD เริ่มต้นเข้าสู่ตลาด CPU ด้วยการ “ลอกแบบ” ชิปของ Intel? เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 50 ปีก่อน ตอนที่ AMD ผลิตชิปชื่อว่า Am9080 ซึ่งเป็นการ reverse-engineer จาก Intel 8080 โดยตรง เรื่องเริ่มจากทีมวิศวกร 3 คน—Ashawna Hailey, Kim Hailey และ Jay Kumar—ที่ถ่ายภาพตัวอย่างชิป Intel 8080 แล้วนำไปสร้างแผนผังวงจรขึ้นมาใหม่ จากนั้นก็เสนอให้บริษัทต่าง ๆ ใน Silicon Valley พิจารณา และ AMD ก็ตอบรับทันที ชิป Am9080 นี้ผลิตได้ในราคาประมาณ 50 เซนต์ต่อชิ้น แต่สามารถขายให้ลูกค้าระดับองค์กร เช่น กองทัพ ได้ในราคาสูงถึง 700 ดอลลาร์! เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ AMD มีทุนและชื่อเสียงในการเข้าสู่ตลาด CPU อย่างจริงจัง แม้จะเริ่มต้นด้วยการลอกแบบ แต่ AMD ก็ไม่หยุดแค่นั้น ในปี 1976 พวกเขาทำข้อตกลงกับ Intel เพื่อเป็นผู้ผลิตสำรอง (second source) อย่างถูกกฎหมาย และต่อยอดไปสู่การผลิตชิป x86 ของตัวเองในปี 1982 ชิป Am9080 ยังมีจุดเด่นที่เหนือกว่า Intel 8080 ด้วยการใช้กระบวนการผลิตแบบ N-channel MOS ที่ทันสมัยกว่า ทำให้มีขนาดเล็กกว่าและความเร็วสูงกว่า โดยบางรุ่นสามารถทำงานได้ถึง 4.0 MHz ในขณะที่ Intel 8080 ทำได้สูงสุดแค่ 3.125 MHz เท่านั้น ✅ จุดเริ่มต้นของ AMD ในตลาด CPU ➡️ ปี 1975 AMD เริ่มผลิต Am9080 โดยลอกแบบจาก Intel 8080 ➡️ ใช้ภาพถ่ายจากตัวอย่างชิปเพื่อสร้างแผนผังวงจรใหม่ ➡️ เป็นการ reverse-engineer ที่นำไปสู่การผลิตจริง ✅ ต้นทุนต่ำ กำไรสูง ➡️ ต้นทุนการผลิตชิป Am9080 อยู่ที่ประมาณ 50 เซนต์ต่อชิ้น ➡️ ขายให้ลูกค้าระดับองค์กรในราคาสูงถึง 700 ดอลลาร์ ➡️ เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยสร้างฐานการเงินให้ AMD ✅ ข้อตกลงกับ Intel เพื่อความถูกต้องตามกฎหมาย ➡️ ปี 1976 AMD เซ็นสัญญา cross-licensing กับ Intel ➡️ จ่ายค่าลิขสิทธิ์ 25,000 ดอลลาร์ และ 75,000 ดอลลาร์ต่อปี ➡️ ได้สิทธิ์เป็นผู้ผลิตสำรอง (second source) อย่างเป็นทางการ ✅ การพัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือกว่า Intel ➡️ ใช้กระบวนการผลิต N-channel MOS ที่ทันสมัยกว่า ➡️ ขนาด die ของ Am9080 เล็กกว่า Intel 8080 ➡️ ความเร็วสูงสุดของ Am9080 อยู่ที่ 4.0 MHz ในขณะที่ Intel 8080 สูงสุดแค่ 3.125 MHz ✅ การต่อยอดสู่ชิป x86 ของ AMD ➡️ ปี 1982 AMD ผลิต Am286 ซึ่งเป็นเวอร์ชันลิขสิทธิ์ของ Intel 80286 ➡️ เป็นจุดเริ่มต้นของการผลิต CPU x86 ของ AMD อย่างเต็มตัว https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-first-entered-the-cpu-market-with-reverse-engineered-intel-8080-clone-50-years-ago-the-am9080-cost-50-cents-apiece-to-make-but-sold-for-usd700
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD first entered the CPU market with reverse-engineered Intel 8080 clone 50 years ago — the Am9080 cost 50 cents apiece to make, but sold for $700
    In 1975, AMD could make these processors for 50 cents and sell them for $700, providing a great financial springboard to establish the company in PC CPU making.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอกย้ำกัมพูชาเป็นประเทศ JONE คลิปต่างชาติเจอความ "เถื่อน" เขมร (25/10/68)

    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #กัมพูชา #ต่างชาติ #สังคมกัมพูชา #ข่าวต่างประเทศ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate #ข่าวtiktok
    ตอกย้ำกัมพูชาเป็นประเทศ JONE คลิปต่างชาติเจอความ "เถื่อน" เขมร (25/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #กัมพูชา #ต่างชาติ #สังคมกัมพูชา #ข่าวต่างประเทศ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Apple กำลังเตรียมเปิดตัว iPhone 18 ในปี 2026 พร้อมชิปเซ็ตใหม่ล่าสุด A20 และ A20 Pro ซึ่งจะเป็นชิปขนาด 2nm รุ่นแรกของบริษัท โดยมีการเปิดเผยโค้ดเนมของแต่ละรุ่นดังนี้:

    รายละเอียดชิป A20 และ A20 Pro
    A20 (โค้ดเนม: Borneo): ใช้ใน iPhone 18 รุ่นพื้นฐาน
    A20 Pro (โค้ดเนม: Borneo Ultra): ใช้ใน iPhone 18 Pro, iPhone 18 Pro Max และ iPhone รุ่นพับได้

    แม้จะมีเพียงสองชื่อชิป แต่คาดว่าจะมี สามเวอร์ชัน เหมือนกับ A19 ที่มีรุ่น “Air” ซึ่งใช้ชิป A19 Pro แบบลดสเปก และรุ่น Pro/Pro Max ที่ใช้ชิปแบบเต็มประสิทธิภาพ

    สเปกที่คาดการณ์
    CPU แบบ 6-core: 2 คอร์ประสิทธิภาพ + 4 คอร์ประหยัดพลังงาน
    ผลิตด้วยเทคโนโลยี TSMC 2nm N2 process
    ชิป A20 และ A20 Pro จะถูกใช้ทั้งใน iPhone และ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่มีหน้าจอ OLED แบบสัมผัส

    ความเคลื่อนไหวล่าสุด
    Apple ได้สั่งซื้อ DRAM ขนาด 10nm LPDDR5X จำนวน 13 ล้านชิ้นจาก Samsung เพื่อเตรียมการผลิต iPhone 18 ล่วงหน้า

    https://wccftech.com/apple-a20-pro-codenames-revealed-which-iphone-18-will-feature-which-soc/
    Apple กำลังเตรียมเปิดตัว iPhone 18 ในปี 2026 พร้อมชิปเซ็ตใหม่ล่าสุด A20 และ A20 Pro ซึ่งจะเป็นชิปขนาด 2nm รุ่นแรกของบริษัท โดยมีการเปิดเผยโค้ดเนมของแต่ละรุ่นดังนี้: 🔍 รายละเอียดชิป A20 และ A20 Pro 🔊 A20 (โค้ดเนม: Borneo): ใช้ใน iPhone 18 รุ่นพื้นฐาน 🔊 A20 Pro (โค้ดเนม: Borneo Ultra): ใช้ใน iPhone 18 Pro, iPhone 18 Pro Max และ iPhone รุ่นพับได้ แม้จะมีเพียงสองชื่อชิป แต่คาดว่าจะมี สามเวอร์ชัน เหมือนกับ A19 ที่มีรุ่น “Air” ซึ่งใช้ชิป A19 Pro แบบลดสเปก และรุ่น Pro/Pro Max ที่ใช้ชิปแบบเต็มประสิทธิภาพ ⚙️ สเปกที่คาดการณ์ 📐 CPU แบบ 6-core: 2 คอร์ประสิทธิภาพ + 4 คอร์ประหยัดพลังงาน 📐 ผลิตด้วยเทคโนโลยี TSMC 2nm N2 process 📐 ชิป A20 และ A20 Pro จะถูกใช้ทั้งใน iPhone และ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่มีหน้าจอ OLED แบบสัมผัส 📦 ความเคลื่อนไหวล่าสุด ⚡ Apple ได้สั่งซื้อ DRAM ขนาด 10nm LPDDR5X จำนวน 13 ล้านชิ้นจาก Samsung เพื่อเตรียมการผลิต iPhone 18 ล่วงหน้า https://wccftech.com/apple-a20-pro-codenames-revealed-which-iphone-18-will-feature-which-soc/
    WCCFTECH.COM
    Apple’s A20, A20 Pro Chipset Codenames Revealed - Rumor Provides Details On Which SoC Will Power The iPhone 18 Next Year
    A rumor not only sheds light on the A20 and A20 Pro codenames, but also which iPhone 18 model will be treated to which silicon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • HP ต้องถอนอัปเดต OneAgent หลังทำให้เครื่องหลุดจากระบบความปลอดภัยของ Microsoft


    HP เผลอปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์ OneAgent รุ่น 1.2.50.9581 ที่มีสคริปต์ลบไฟล์ที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ 1E Performance Assist โดยตั้งเงื่อนไขให้ลบไฟล์ที่มีคำว่า “1E” ในชื่อ certificate ซึ่งดันไปลบ certificate สำคัญของ Microsoft ที่ชื่อว่า “MS-Organization-Access” ซึ่งจำเป็นต่อการเชื่อมต่อกับ Microsoft Entra ID และ Intune

    ผลคือเครื่องที่ได้รับอัปเดตนี้จะหลุดออกจากระบบ cloud ของ Microsoft โดยไม่รู้ตัว ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถล็อกอินหรือใช้งานระบบองค์กรได้ตามปกติ

    แม้จะมีผลกระทบเฉพาะกับเครื่อง HP AI PC ที่ใช้ certificate ที่มีคำว่า “1E” ซึ่งมีโอกาสเกิดน้อยกว่า 10% แต่ก็สร้างความเสียหายให้กับองค์กรที่ใช้ระบบ Entra ID อย่างชัดเจน

    HP ได้ถอนอัปเดตนี้ออกแล้ว และกำลังช่วยเหลือผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบ

    เกิดอะไรขึ้น
    HP ปล่อยอัปเดต OneAgent ที่มีสคริปต์ลบ certificate
    ลบ certificate “MS-Organization-Access” ของ Microsoft โดยไม่ตั้งใจ
    ทำให้เครื่องหลุดจากระบบ Entra ID และ Intune
    ผู้ใช้ไม่สามารถล็อกอินหรือใช้งานระบบองค์กรได้

    ผลกระทบ
    กระทบเฉพาะ HP AI PC ที่มี certificate “1E”
    โอกาสเกิดน้อยกว่า 10% แต่ส่งผลรุนแรง
    เครื่องหลุดจาก cloud โดยไม่มีการแจ้งเตือน

    การตอบสนองของ HP
    ถอนอัปเดตออกจากระบบแล้ว
    ช่วยเหลือผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบ
    ยืนยันว่าอัปเดตนี้จะไม่ถูกปล่อยอีก

    https://www.techradar.com/pro/security/hp-forced-to-pull-software-update-which-broke-microsoft-security-tools
    🛠️ HP ต้องถอนอัปเดต OneAgent หลังทำให้เครื่องหลุดจากระบบความปลอดภัยของ Microsoft HP เผลอปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์ OneAgent รุ่น 1.2.50.9581 ที่มีสคริปต์ลบไฟล์ที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ 1E Performance Assist โดยตั้งเงื่อนไขให้ลบไฟล์ที่มีคำว่า “1E” ในชื่อ certificate ซึ่งดันไปลบ certificate สำคัญของ Microsoft ที่ชื่อว่า “MS-Organization-Access” ซึ่งจำเป็นต่อการเชื่อมต่อกับ Microsoft Entra ID และ Intune ผลคือเครื่องที่ได้รับอัปเดตนี้จะหลุดออกจากระบบ cloud ของ Microsoft โดยไม่รู้ตัว ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถล็อกอินหรือใช้งานระบบองค์กรได้ตามปกติ แม้จะมีผลกระทบเฉพาะกับเครื่อง HP AI PC ที่ใช้ certificate ที่มีคำว่า “1E” ซึ่งมีโอกาสเกิดน้อยกว่า 10% แต่ก็สร้างความเสียหายให้กับองค์กรที่ใช้ระบบ Entra ID อย่างชัดเจน HP ได้ถอนอัปเดตนี้ออกแล้ว และกำลังช่วยเหลือผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบ ✅ เกิดอะไรขึ้น ➡️ HP ปล่อยอัปเดต OneAgent ที่มีสคริปต์ลบ certificate ➡️ ลบ certificate “MS-Organization-Access” ของ Microsoft โดยไม่ตั้งใจ ➡️ ทำให้เครื่องหลุดจากระบบ Entra ID และ Intune ➡️ ผู้ใช้ไม่สามารถล็อกอินหรือใช้งานระบบองค์กรได้ ✅ ผลกระทบ ➡️ กระทบเฉพาะ HP AI PC ที่มี certificate “1E” ➡️ โอกาสเกิดน้อยกว่า 10% แต่ส่งผลรุนแรง ➡️ เครื่องหลุดจาก cloud โดยไม่มีการแจ้งเตือน ✅ การตอบสนองของ HP ➡️ ถอนอัปเดตออกจากระบบแล้ว ➡️ ช่วยเหลือผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบ ➡️ ยืนยันว่าอัปเดตนี้จะไม่ถูกปล่อยอีก https://www.techradar.com/pro/security/hp-forced-to-pull-software-update-which-broke-microsoft-security-tools
    WWW.TECHRADAR.COM
    HP forced to pull software update which broke Microsoft security tools
    An update made the trust between Windows and Entra ID "disappear"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • OCCT v15 เพิ่มฟีเจอร์ตรวจจับเสียง Coil Whine โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน – เปลี่ยนเสียงรบกวนให้กลายเป็นเครื่องมือวิเคราะห์

    OCCT โปรแกรม stress test ยอดนิยมสำหรับพีซี ได้เปิดตัวเวอร์ชัน 15 พร้อมฟีเจอร์ใหม่สุดอัจฉริยะที่ช่วยตรวจจับเสียง “coil whine” โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟนเลย ฟีเจอร์นี้ใช้เทคนิคการโหลดระบบด้วย “สามเสียงที่กำหนดไว้ล่วงหน้า” เพื่อเปลี่ยนเสียงรบกวนจากอุปกรณ์ให้กลายเป็นเสียงที่มีรูปแบบเฉพาะ ทำให้ผู้ใช้สามารถแยกแยะได้ง่ายว่าเสียงนั้นมาจากส่วนไหนของเครื่อง เช่น การ์ดจอ เมนบอร์ด หรือ PSU

    Coil whine (เสียงคอยล์หวีด) คือเสียงแหลมสูงหรือเสียงฮัมที่เกิดจากการสั่นของขดลวด (coil) หรือชิ้นส่วนตัวเหนี่ยวนำ (inductor) ภายในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น การ์ดจอ เมนบอร์ด หรือแหล่งจ่ายไฟ (PSU) เมื่อมี กระแสไฟฟ้าความถี่สูง ไหลผ่าน

    ฟีเจอร์นี้เหมาะมากสำหรับผู้ที่ใช้งานในพื้นที่เสียงรบกวนสูง เช่น อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ หรือออฟฟิศที่มีหลายเครื่อง เพราะเสียง coil whine จะถูก “ดึงออกมา” ให้เด่นชัดขึ้นจากเสียงแวดล้อม

    ฟีเจอร์ใหม่ใน OCCT v15
    ตรวจจับเสียง coil whine โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน
    ใช้การโหลดระบบด้วยเสียงที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
    เปลี่ยนเสียงรบกวนให้กลายเป็นเสียงที่มีรูปแบบเฉพาะ
    ช่วยให้แยกแยะแหล่งที่มาของเสียงได้ง่ายขึ้น

    เหมาะกับสถานการณ์แบบไหน
    พื้นที่เสียงรบกวนสูง เช่น อินเทอร์เน็ตคาเฟ่หรือออฟฟิศ
    ผู้ใช้ที่ไม่สามารถใช้ไมโครโฟนได้
    ช่วยตรวจสอบว่าเสียงที่ได้ยินเป็น coil whine หรือปัญหาอื่น

    ความรู้เกี่ยวกับ coil whine
    เกิดจากการสั่นของขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าเมื่อมีไฟฟ้าไหลผ่าน
    มักเกิดในอุปกรณ์ที่มีการโหลดไฟสูง เช่น GPU, PSU, เมนบอร์ด
    เสียงอาจเปลี่ยนไปตามระดับการโหลด เช่น เล่นเกมที่ FPS สูง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/occt-version-15-adds-coil-whine-detection-that-doesnt-require-a-microphone-popular-stress-tester-gets-genius-new-feature-to-silence-your-pc
    🔧 OCCT v15 เพิ่มฟีเจอร์ตรวจจับเสียง Coil Whine โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน – เปลี่ยนเสียงรบกวนให้กลายเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ OCCT โปรแกรม stress test ยอดนิยมสำหรับพีซี ได้เปิดตัวเวอร์ชัน 15 พร้อมฟีเจอร์ใหม่สุดอัจฉริยะที่ช่วยตรวจจับเสียง “coil whine” โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟนเลย ฟีเจอร์นี้ใช้เทคนิคการโหลดระบบด้วย “สามเสียงที่กำหนดไว้ล่วงหน้า” เพื่อเปลี่ยนเสียงรบกวนจากอุปกรณ์ให้กลายเป็นเสียงที่มีรูปแบบเฉพาะ ทำให้ผู้ใช้สามารถแยกแยะได้ง่ายว่าเสียงนั้นมาจากส่วนไหนของเครื่อง เช่น การ์ดจอ เมนบอร์ด หรือ PSU Coil whine (เสียงคอยล์หวีด) คือเสียงแหลมสูงหรือเสียงฮัมที่เกิดจากการสั่นของขดลวด (coil) หรือชิ้นส่วนตัวเหนี่ยวนำ (inductor) ภายในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น การ์ดจอ เมนบอร์ด หรือแหล่งจ่ายไฟ (PSU) เมื่อมี กระแสไฟฟ้าความถี่สูง ไหลผ่าน ฟีเจอร์นี้เหมาะมากสำหรับผู้ที่ใช้งานในพื้นที่เสียงรบกวนสูง เช่น อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ หรือออฟฟิศที่มีหลายเครื่อง เพราะเสียง coil whine จะถูก “ดึงออกมา” ให้เด่นชัดขึ้นจากเสียงแวดล้อม ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน OCCT v15 ➡️ ตรวจจับเสียง coil whine โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน ➡️ ใช้การโหลดระบบด้วยเสียงที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ➡️ เปลี่ยนเสียงรบกวนให้กลายเป็นเสียงที่มีรูปแบบเฉพาะ ➡️ ช่วยให้แยกแยะแหล่งที่มาของเสียงได้ง่ายขึ้น ✅ เหมาะกับสถานการณ์แบบไหน ➡️ พื้นที่เสียงรบกวนสูง เช่น อินเทอร์เน็ตคาเฟ่หรือออฟฟิศ ➡️ ผู้ใช้ที่ไม่สามารถใช้ไมโครโฟนได้ ➡️ ช่วยตรวจสอบว่าเสียงที่ได้ยินเป็น coil whine หรือปัญหาอื่น ✅ ความรู้เกี่ยวกับ coil whine ➡️ เกิดจากการสั่นของขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าเมื่อมีไฟฟ้าไหลผ่าน ➡️ มักเกิดในอุปกรณ์ที่มีการโหลดไฟสูง เช่น GPU, PSU, เมนบอร์ด ➡️ เสียงอาจเปลี่ยนไปตามระดับการโหลด เช่น เล่นเกมที่ FPS สูง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/occt-version-15-adds-coil-whine-detection-that-doesnt-require-a-microphone-popular-stress-tester-gets-genius-new-feature-to-silence-your-pc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • เซิร์ฟเวอร์ AI ผลิตในฮิวสตันของ Apple เริ่มจัดส่งแล้ว – รองรับ Private Cloud Compute เพื่อความเป็นส่วนตัวสูงสุด

    Apple ประกาศเริ่มจัดส่งเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ผลิตในโรงงานใหม่ที่เมืองฮิวสตัน สหรัฐอเมริกา โดยเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในระบบ Private Cloud Compute (PCC) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่เน้นความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เป็นหลัก

    PCC ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับอุปกรณ์ของผู้ใช้ เช่น iPhone หรือ Mac โดยเมื่ออุปกรณ์ต้องส่งคำขอไปยังคลาวด์ ข้อมูลจะถูกส่งไปยังระบบปฏิบัติการแบบ clean-room ที่ไม่มีการเก็บข้อมูล ไม่มีการติดตาม และไม่มีหน่วยความจำถาวร หลังจากประมวลผลเสร็จ ข้อมูลจะถูกลบออกทันที

    Apple ยังเปิดให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยตรวจสอบระบบ PCC ได้ผ่าน Virtual Research Environment และจะเผยแพร่ภาพของระบบปฏิบัติการที่ใช้ในแต่ละเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้ตรวจสอบความปลอดภัยได้อย่างโปร่งใส

    แม้จะยังไม่เปิดเผยว่าเซิร์ฟเวอร์ใช้ชิปอะไร แต่คาดว่าเป็น Apple Silicon รุ่นใหม่ที่พัฒนาต่อจากซีรีส์ M โดยเน้นการประมวลผล AI แบบไฮบริด คือทำงานบนอุปกรณ์ก่อน แล้วค่อยส่งต่อไปยัง PCC เมื่อจำเป็น

    การเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ AI ของ Apple
    ผลิตในโรงงานใหม่ที่ฮิวสตัน สหรัฐอเมริกา
    ใช้ในระบบ Private Cloud Compute (PCC)
    รองรับการประมวลผล AI แบบไฮบริด (on-device + cloud)
    เน้นความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

    ความปลอดภัยของ PCC
    ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ clean-room ไม่มีการเก็บข้อมูล
    ไม่มีหน่วยความจำถาวร ไม่มี telemetry
    ลบข้อมูลทันทีหลังประมวลผล
    เปิดให้ตรวจสอบผ่าน Virtual Research Environment

    ความคาดหวังและผลกระทบ
    เป็นส่วนหนึ่งของแผนลงทุน $600 พันล้านในสหรัฐฯ
    ช่วยขยายขีดความสามารถของ Apple Intelligence
    ไม่พึ่งพาฮาร์ดแวร์จากผู้ผลิตรายอื่น
    ท้าทายแนวทางของ Microsoft และ Google ที่ใช้ GPU-heavy cloud

    https://www.tomshardware.com/desktops/servers/apples-houston-built-ai-servers-now-shipping
    🚚 เซิร์ฟเวอร์ AI ผลิตในฮิวสตันของ Apple เริ่มจัดส่งแล้ว – รองรับ Private Cloud Compute เพื่อความเป็นส่วนตัวสูงสุด Apple ประกาศเริ่มจัดส่งเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ผลิตในโรงงานใหม่ที่เมืองฮิวสตัน สหรัฐอเมริกา โดยเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในระบบ Private Cloud Compute (PCC) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่เน้นความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เป็นหลัก PCC ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับอุปกรณ์ของผู้ใช้ เช่น iPhone หรือ Mac โดยเมื่ออุปกรณ์ต้องส่งคำขอไปยังคลาวด์ ข้อมูลจะถูกส่งไปยังระบบปฏิบัติการแบบ clean-room ที่ไม่มีการเก็บข้อมูล ไม่มีการติดตาม และไม่มีหน่วยความจำถาวร หลังจากประมวลผลเสร็จ ข้อมูลจะถูกลบออกทันที Apple ยังเปิดให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยตรวจสอบระบบ PCC ได้ผ่าน Virtual Research Environment และจะเผยแพร่ภาพของระบบปฏิบัติการที่ใช้ในแต่ละเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้ตรวจสอบความปลอดภัยได้อย่างโปร่งใส แม้จะยังไม่เปิดเผยว่าเซิร์ฟเวอร์ใช้ชิปอะไร แต่คาดว่าเป็น Apple Silicon รุ่นใหม่ที่พัฒนาต่อจากซีรีส์ M โดยเน้นการประมวลผล AI แบบไฮบริด คือทำงานบนอุปกรณ์ก่อน แล้วค่อยส่งต่อไปยัง PCC เมื่อจำเป็น ✅ การเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ AI ของ Apple ➡️ ผลิตในโรงงานใหม่ที่ฮิวสตัน สหรัฐอเมริกา ➡️ ใช้ในระบบ Private Cloud Compute (PCC) ➡️ รองรับการประมวลผล AI แบบไฮบริด (on-device + cloud) ➡️ เน้นความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ✅ ความปลอดภัยของ PCC ➡️ ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ clean-room ไม่มีการเก็บข้อมูล ➡️ ไม่มีหน่วยความจำถาวร ไม่มี telemetry ➡️ ลบข้อมูลทันทีหลังประมวลผล ➡️ เปิดให้ตรวจสอบผ่าน Virtual Research Environment ✅ ความคาดหวังและผลกระทบ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของแผนลงทุน $600 พันล้านในสหรัฐฯ ➡️ ช่วยขยายขีดความสามารถของ Apple Intelligence ➡️ ไม่พึ่งพาฮาร์ดแวร์จากผู้ผลิตรายอื่น ➡️ ท้าทายแนวทางของ Microsoft และ Google ที่ใช้ GPU-heavy cloud https://www.tomshardware.com/desktops/servers/apples-houston-built-ai-servers-now-shipping
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Apple's Houston-built AI servers are now shipping, according to CEO Tim Cook — custom silicon to power Private Cloud Compute
    Apple has begun deploying custom silicon servers from a new US facility to power Private Cloud Compute, its privacy-first AI backend.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel Core Ultra 5 338H โผล่ใน Geekbench – ยืนยันใช้ iGPU Arc B370 Xe3 และไม่มี “X” ในชื่อรุ่น

    Intel Core Ultra 5 338H ได้รับการเปิดเผยผ่านผลการทดสอบ Geekbench ล่าสุด โดยชิปนี้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูล Panther Lake ที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2025 จุดเด่นคือการใช้ iGPU รุ่นใหม่ Arc B370 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม Xe3 ที่พัฒนาจาก Battlemage IP และมีจำนวนคอร์กราฟิก 10 คอร์

    แม้จะอยู่ในกลุ่มชิปประสิทธิภาพสูง แต่ Core Ultra 5 338H ไม่มี “X” ในชื่อรุ่น ซึ่งแตกต่างจากรุ่น Core Ultra X7 และ X9 ที่มี 12 คอร์กราฟิกและได้รับการจัดอยู่ในกลุ่ม “X” สำหรับงานกราฟิกเต็มรูปแบบ

    ผลการทดสอบ Vulkan บน Geekbench แสดงคะแนน 39,406 ซึ่งสูงกว่า Arc A140T ของ Lunar Lake เล็กน้อย (~4%) และใกล้เคียงกับ Radeon 880M ของ AMD ที่ได้ประมาณ 39,917 คะแนน

    Intel Core Ultra 5 338H
    ใช้ iGPU Arc B370 Xe3 (10 คอร์กราฟิก)
    ไม่มี “X” ในชื่อรุ่น แม้ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกับรุ่น X
    คะแนน Vulkan บน Geekbench: 39,406
    สูงกว่า Arc A140T (~4%) และใกล้เคียง Radeon 880M

    สถาปัตยกรรม Panther Lake
    ใช้ Xe3 GPU จาก Battlemage IP
    มีการเปลี่ยนแปลงระบบตั้งชื่อรุ่นใหม่
    รุ่นที่มี “X” จะมี 12 คอร์กราฟิก เช่น X7 358H, X9 388H
    Core Ultra 5 338H ใช้เวอร์ชันลดสเปกของ GPU เดียวกัน

    ความหมายของการไม่มี “X”
    ไม่ใช่รุ่นกราฟิกเต็มสเปก แต่ยังอยู่ในกลุ่มประสิทธิภาพสูง
    เหมาะกับงานทั่วไปและเกมระดับกลาง
    ช่วยลดต้นทุนและพลังงานโดยยังคงประสิทธิภาพที่ดี

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-core-ultra-5-338h-appears-in-geekbench-listing-confirming-new-arc-b370-xe3-igpu-no-x-branding-in-sight-as-panther-lakes-naming-scheme-becomes-clear
    🧠 Intel Core Ultra 5 338H โผล่ใน Geekbench – ยืนยันใช้ iGPU Arc B370 Xe3 และไม่มี “X” ในชื่อรุ่น Intel Core Ultra 5 338H ได้รับการเปิดเผยผ่านผลการทดสอบ Geekbench ล่าสุด โดยชิปนี้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูล Panther Lake ที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2025 จุดเด่นคือการใช้ iGPU รุ่นใหม่ Arc B370 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม Xe3 ที่พัฒนาจาก Battlemage IP และมีจำนวนคอร์กราฟิก 10 คอร์ แม้จะอยู่ในกลุ่มชิปประสิทธิภาพสูง แต่ Core Ultra 5 338H ไม่มี “X” ในชื่อรุ่น ซึ่งแตกต่างจากรุ่น Core Ultra X7 และ X9 ที่มี 12 คอร์กราฟิกและได้รับการจัดอยู่ในกลุ่ม “X” สำหรับงานกราฟิกเต็มรูปแบบ ผลการทดสอบ Vulkan บน Geekbench แสดงคะแนน 39,406 ซึ่งสูงกว่า Arc A140T ของ Lunar Lake เล็กน้อย (~4%) และใกล้เคียงกับ Radeon 880M ของ AMD ที่ได้ประมาณ 39,917 คะแนน ✅ Intel Core Ultra 5 338H ➡️ ใช้ iGPU Arc B370 Xe3 (10 คอร์กราฟิก) ➡️ ไม่มี “X” ในชื่อรุ่น แม้ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกับรุ่น X ➡️ คะแนน Vulkan บน Geekbench: 39,406 ➡️ สูงกว่า Arc A140T (~4%) และใกล้เคียง Radeon 880M ✅ สถาปัตยกรรม Panther Lake ➡️ ใช้ Xe3 GPU จาก Battlemage IP ➡️ มีการเปลี่ยนแปลงระบบตั้งชื่อรุ่นใหม่ ➡️ รุ่นที่มี “X” จะมี 12 คอร์กราฟิก เช่น X7 358H, X9 388H ➡️ Core Ultra 5 338H ใช้เวอร์ชันลดสเปกของ GPU เดียวกัน ✅ ความหมายของการไม่มี “X” ➡️ ไม่ใช่รุ่นกราฟิกเต็มสเปก แต่ยังอยู่ในกลุ่มประสิทธิภาพสูง ➡️ เหมาะกับงานทั่วไปและเกมระดับกลาง ➡️ ช่วยลดต้นทุนและพลังงานโดยยังคงประสิทธิภาพที่ดี https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-core-ultra-5-338h-appears-in-geekbench-listing-confirming-new-arc-b370-xe3-igpu-no-x-branding-in-sight-as-panther-lakes-naming-scheme-becomes-clear
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ปลดพนักงานกว่า 35,500 คนในเวลาไม่ถึง 2 ปี – CEO คนใหม่เดินหน้าฟื้นฟูองค์กรอย่างเข้มข้น

    Intel กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูองค์กรครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan โดยในช่วงไม่ถึง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ปลดพนักงานไปแล้วกว่า 35,500 คน ซึ่งรวมถึง 20,500 คนในช่วง 3 เดือนล่าสุดเพียงอย่างเดียว ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Intel

    แม้ในตอนแรกจะประกาศลดจำนวนผู้จัดการระดับกลาง แต่ในความเป็นจริงกลับมีวิศวกรและช่างเทคนิคจำนวนมากถูกปลด โดยเฉพาะในโรงงานที่รัฐ Oregon ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวิจัยและพัฒนาอย่างชัดเจน

    Intel ยังลดงบประมาณด้าน R&D ลงกว่า $800 ล้าน แม้รายได้จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสล่าสุด โดยมุ่งเน้นการลงทุนเฉพาะในโครงการที่มีผลตอบแทนชัดเจน เช่น เทคโนโลยี Intel 18A, 14A, ผลิตภัณฑ์ด้าน AI และการบรรจุชิปขั้นสูง

    การปลดพนักงานของ Intel
    ปลดรวมกว่า 35,500 คนในเวลาไม่ถึง 2 ปี
    20,500 คนถูกปลดในช่วง 3 เดือนล่าสุด
    ส่วนใหญ่เป็นวิศวกรและช่างเทคนิค ไม่ใช่ผู้จัดการ
    โรงงานใน Oregon ได้รับผลกระทบหนัก

    การปรับโครงสร้างองค์กร
    ลดงบประมาณ R&D ลงกว่า $800 ล้าน
    มุ่งเน้นโครงการที่มีผลตอบแทนชัดเจน
    ควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ที่ $16 พันล้านในปี 2026
    ลงทุนเฉพาะใน Intel 18A, 14A, AI และ advanced packaging

    วิสัยทัศน์ของ CEO Lip-Bu Tan
    สร้าง Intel ที่ “เล็กลงแต่แข็งแกร่งขึ้น”
    ลดความซ้ำซ้อนของโปรเจกต์
    เน้นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น client, data center & AI, และ Foundry
    เปลี่ยนแนวคิดจาก “ลดต้นทุน” เป็น “ควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัย”

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-has-cut-35-500-jobs-in-less-than-two-years-more-than-20-000-let-go-in-in-recent-months-as-lip-bu-tan-continues-drastic-recovery-journey
    📉 Intel ปลดพนักงานกว่า 35,500 คนในเวลาไม่ถึง 2 ปี – CEO คนใหม่เดินหน้าฟื้นฟูองค์กรอย่างเข้มข้น Intel กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูองค์กรครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan โดยในช่วงไม่ถึง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ปลดพนักงานไปแล้วกว่า 35,500 คน ซึ่งรวมถึง 20,500 คนในช่วง 3 เดือนล่าสุดเพียงอย่างเดียว ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Intel แม้ในตอนแรกจะประกาศลดจำนวนผู้จัดการระดับกลาง แต่ในความเป็นจริงกลับมีวิศวกรและช่างเทคนิคจำนวนมากถูกปลด โดยเฉพาะในโรงงานที่รัฐ Oregon ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวิจัยและพัฒนาอย่างชัดเจน Intel ยังลดงบประมาณด้าน R&D ลงกว่า $800 ล้าน แม้รายได้จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสล่าสุด โดยมุ่งเน้นการลงทุนเฉพาะในโครงการที่มีผลตอบแทนชัดเจน เช่น เทคโนโลยี Intel 18A, 14A, ผลิตภัณฑ์ด้าน AI และการบรรจุชิปขั้นสูง ✅ การปลดพนักงานของ Intel ➡️ ปลดรวมกว่า 35,500 คนในเวลาไม่ถึง 2 ปี ➡️ 20,500 คนถูกปลดในช่วง 3 เดือนล่าสุด ➡️ ส่วนใหญ่เป็นวิศวกรและช่างเทคนิค ไม่ใช่ผู้จัดการ ➡️ โรงงานใน Oregon ได้รับผลกระทบหนัก ✅ การปรับโครงสร้างองค์กร ➡️ ลดงบประมาณ R&D ลงกว่า $800 ล้าน ➡️ มุ่งเน้นโครงการที่มีผลตอบแทนชัดเจน ➡️ ควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ที่ $16 พันล้านในปี 2026 ➡️ ลงทุนเฉพาะใน Intel 18A, 14A, AI และ advanced packaging ✅ วิสัยทัศน์ของ CEO Lip-Bu Tan ➡️ สร้าง Intel ที่ “เล็กลงแต่แข็งแกร่งขึ้น” ➡️ ลดความซ้ำซ้อนของโปรเจกต์ ➡️ เน้นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น client, data center & AI, และ Foundry ➡️ เปลี่ยนแนวคิดจาก “ลดต้นทุน” เป็น “ควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัย” https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-has-cut-35-500-jobs-in-less-than-two-years-more-than-20-000-let-go-in-in-recent-months-as-lip-bu-tan-continues-drastic-recovery-journey
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel เผชิญปัญหาขาดแคลนการผลิต – เตรียมขึ้นราคาชิปและเน้นส่งมอบให้ศูนย์ข้อมูลก่อนผู้บริโภค

    Intel กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนการผลิตอย่างหนัก โดยเฉพาะในกระบวนการผลิต Intel 7 และ Intel 10 ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถผลิตชิปได้เพียงพอต่อความต้องการทั้งฝั่งผู้บริโภคและศูนย์ข้อมูล ส่งผลให้ราคาชิปบางรุ่น เช่น Raptor Lake เริ่มปรับตัวสูงขึ้น และจะยังคงขาดตลาดไปจนถึงปี 2026

    บริษัทตัดสินใจ “จัดลำดับความสำคัญ” โดยจะเน้นการผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลก่อน เช่น Xeon 6 ‘Granite Rapids’ และ Xeon Scalable ‘Emerald Rapids’ เพราะสามารถขายได้ในราคาหลายพันดอลลาร์ต่อหน่วย ในขณะที่ชิปสำหรับผู้บริโภคมีราคาต่ำกว่า $600

    นอกจากนี้ยังมีปัญหาขาดแคลนวัสดุพื้นฐาน เช่น substrate ที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจชิป ซึ่งยิ่งซ้ำเติมปัญหาการผลิตให้รุนแรงขึ้น

    ปัญหาการผลิตของ Intel
    ขาดแคลนกำลังการผลิตใน Intel 7 และ Intel 10
    ส่งผลต่อการผลิตทั้งฝั่งผู้บริโภคและศูนย์ข้อมูล
    ราคาชิป Raptor Lake เริ่มปรับตัวสูงขึ้น
    คาดว่าปัญหาจะลากยาวไปถึงปี 2026

    การจัดลำดับความสำคัญ
    Intel จะเน้นผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลก่อน
    เช่น Xeon 6 ‘Granite Rapids’ และ Xeon ‘Emerald Rapids’
    เพราะขายได้ราคาสูงกว่าชิปผู้บริโภคหลายเท่า
    ชิปสำหรับผู้บริโภคจะถูกลดปริมาณการผลิต

    ปัจจัยซ้ำเติม
    ขาดแคลน substrate ที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจชิป
    ทำให้แม้มี wafer ก็ไม่สามารถผลิตชิปได้ครบวงจร
    ส่งผลให้ราคาชิปเพิ่มขึ้นและสินค้าขาดตลาด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-hamstrung-by-supply-shortages-across-its-business-including-production-capacity-says-it-will-prioritize-data-center-cpus-over-consumer-chips-warns-of-price-hikes
    💥 Intel เผชิญปัญหาขาดแคลนการผลิต – เตรียมขึ้นราคาชิปและเน้นส่งมอบให้ศูนย์ข้อมูลก่อนผู้บริโภค Intel กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนการผลิตอย่างหนัก โดยเฉพาะในกระบวนการผลิต Intel 7 และ Intel 10 ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถผลิตชิปได้เพียงพอต่อความต้องการทั้งฝั่งผู้บริโภคและศูนย์ข้อมูล ส่งผลให้ราคาชิปบางรุ่น เช่น Raptor Lake เริ่มปรับตัวสูงขึ้น และจะยังคงขาดตลาดไปจนถึงปี 2026 บริษัทตัดสินใจ “จัดลำดับความสำคัญ” โดยจะเน้นการผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลก่อน เช่น Xeon 6 ‘Granite Rapids’ และ Xeon Scalable ‘Emerald Rapids’ เพราะสามารถขายได้ในราคาหลายพันดอลลาร์ต่อหน่วย ในขณะที่ชิปสำหรับผู้บริโภคมีราคาต่ำกว่า $600 นอกจากนี้ยังมีปัญหาขาดแคลนวัสดุพื้นฐาน เช่น substrate ที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจชิป ซึ่งยิ่งซ้ำเติมปัญหาการผลิตให้รุนแรงขึ้น ✅ ปัญหาการผลิตของ Intel ➡️ ขาดแคลนกำลังการผลิตใน Intel 7 และ Intel 10 ➡️ ส่งผลต่อการผลิตทั้งฝั่งผู้บริโภคและศูนย์ข้อมูล ➡️ ราคาชิป Raptor Lake เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ➡️ คาดว่าปัญหาจะลากยาวไปถึงปี 2026 ✅ การจัดลำดับความสำคัญ ➡️ Intel จะเน้นผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลก่อน ➡️ เช่น Xeon 6 ‘Granite Rapids’ และ Xeon ‘Emerald Rapids’ ➡️ เพราะขายได้ราคาสูงกว่าชิปผู้บริโภคหลายเท่า ➡️ ชิปสำหรับผู้บริโภคจะถูกลดปริมาณการผลิต ✅ ปัจจัยซ้ำเติม ➡️ ขาดแคลน substrate ที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจชิป ➡️ ทำให้แม้มี wafer ก็ไม่สามารถผลิตชิปได้ครบวงจร ➡️ ส่งผลให้ราคาชิปเพิ่มขึ้นและสินค้าขาดตลาด https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-hamstrung-by-supply-shortages-across-its-business-including-production-capacity-says-it-will-prioritize-data-center-cpus-over-consumer-chips-warns-of-price-hikes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts