• “โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเข้าถึงง่าย”: กระจกบานใหญ่จาก Bundestag สู่สภาไทย

    ในขณะที่การเมืองไทยยังคงติดหล่มแห่งความไม่โปร่งใส การซื้อเสียง ความไม่รับผิดชอบ และการลอยตัวของผู้มีอำนาจเหนือประชาชน ประเทศเยอรมนีกลับสร้างต้นแบบของความซื่อสัตย์สุจริตไว้ตรงกลางกรุงเบอร์ลิน

    Bundestag หรือรัฐสภาเยอรมัน ที่สะท้อนหลักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

    ตัวอาคาร Reichstag ไม่ได้มีดีแค่ความอลังการทางสถาปัตยกรรม แต่คือคำประกาศเจตนารมณ์แห่งความโปร่งใส โดมแก้วเหนือห้องประชุมคือการบอกกับประชาชนว่า “พวกคุณมีสิทธิ์รู้ เห็น และตรวจสอบได้ทุกการเคลื่อนไหวของเรา” ผู้แทนราษฎรที่นั่งอยู่ภายใต้แสงธรรมชาติจากโดมแก้วนั้น จึงไม่มีที่ให้ซ่อน ไม่มีเงามืดให้แอบแฝง

    ขณะที่เมืองไทยกลับเต็มไปด้วย "โดมทึบ" ที่ประชาชนไม่มีวันมองผ่านได้ ห้องประชุมที่ถูกใช้เป็นเวทีลิเก ผลาญงบประมาณและโต้เถียงกันเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม มากกว่าจะออกกฎหมายที่ตอบสนองต่อเสียงของประชาชน

    นักการเมืองไทยบางคนกลัวความโปร่งใสเหมือนผีเห็นแสงแดด กลัวการตรวจสอบเหมือนขโมยกลัวกล้องวงจรปิด เพราะพวกเขาไม่ได้มองว่าตัวเองเป็น "ผู้รับใช้ประชาชน" แต่เป็นเจ้าของอำนาจ

    ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประเทศไทยจะสร้าง "Reichstag ทางจิตวิญญาณ" — ที่ไม่ต้องใช้กระจกจริงมาติด แต่ใช้หลักคิดแห่งความโปร่งใส เปิดเผย และเคารพประชาชนอย่างแท้จริง

    ความโปร่งใสไม่ใช่แค่เครื่องประดับของระบอบประชาธิปไตย แต่มันคือหัวใจของมัน ถ้าไม่มีหัวใจนี้ สภาก็ไม่ต่างอะไรจากโรงละครที่แสดงละครซ้ำซากเรื่องเดียว — “อำนาจเป็นของข้า ประชาชนจงเงียบ”

    #thawornboonyawan
    #คนไทยต้องรอด
    #คนดีสำคัญกว่าทุกสิ่ง
    Credit image : Twontrot Boon

    “Transparency, Accountability, and Accessibility”: A Giant Mirror from the Bundestag to Thailand’s Parliament

    While Thai politics remains mired in a culture of opacity, vote-buying, irresponsibility, and the detachment of power from the people, Germany has built a powerful symbol of integrity in the heart of Berlin — the Bundestag, or German federal parliament, which embodies the true essence of democracy.

    The Reichstag building is more than an architectural marvel; it is a declaration of transparency. The glass dome above the parliamentary chamber sends a clear message to the public: “You have the right to see, know, and scrutinize every action we take.” Lawmakers sit beneath natural light, visible from above — there is nowhere to hide, no shadow to scheme in.

    In contrast, Thailand is shrouded in “opaque domes” through which the people can never see. Parliamentary halls have become theatrical stages — wasting public funds and bickering over special interests rather than legislating in the people's best interest.

    Some Thai politicians fear transparency like ghosts fear daylight. They fear scrutiny the way thieves fear surveillance cameras. Because deep down, they don't see themselves as public servants — but as power-holders.

    Isn’t it time for Thailand to build its own “spiritual Reichstag”? Not with physical glass, but with a mindset rooted in openness, honesty, and deep respect for the people.

    Transparency is not a decorative feature of democracy — it is its heart. Without that heart, the parliament is nothing more than a stage for a tired play, endlessly repeating the same act: “Power belongs to us; the people must stay silent.”
    “โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเข้าถึงง่าย”: กระจกบานใหญ่จาก Bundestag สู่สภาไทย ในขณะที่การเมืองไทยยังคงติดหล่มแห่งความไม่โปร่งใส การซื้อเสียง ความไม่รับผิดชอบ และการลอยตัวของผู้มีอำนาจเหนือประชาชน ประเทศเยอรมนีกลับสร้างต้นแบบของความซื่อสัตย์สุจริตไว้ตรงกลางกรุงเบอร์ลิน Bundestag หรือรัฐสภาเยอรมัน ที่สะท้อนหลักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ตัวอาคาร Reichstag ไม่ได้มีดีแค่ความอลังการทางสถาปัตยกรรม แต่คือคำประกาศเจตนารมณ์แห่งความโปร่งใส โดมแก้วเหนือห้องประชุมคือการบอกกับประชาชนว่า “พวกคุณมีสิทธิ์รู้ เห็น และตรวจสอบได้ทุกการเคลื่อนไหวของเรา” ผู้แทนราษฎรที่นั่งอยู่ภายใต้แสงธรรมชาติจากโดมแก้วนั้น จึงไม่มีที่ให้ซ่อน ไม่มีเงามืดให้แอบแฝง ขณะที่เมืองไทยกลับเต็มไปด้วย "โดมทึบ" ที่ประชาชนไม่มีวันมองผ่านได้ ห้องประชุมที่ถูกใช้เป็นเวทีลิเก ผลาญงบประมาณและโต้เถียงกันเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม มากกว่าจะออกกฎหมายที่ตอบสนองต่อเสียงของประชาชน นักการเมืองไทยบางคนกลัวความโปร่งใสเหมือนผีเห็นแสงแดด กลัวการตรวจสอบเหมือนขโมยกลัวกล้องวงจรปิด เพราะพวกเขาไม่ได้มองว่าตัวเองเป็น "ผู้รับใช้ประชาชน" แต่เป็นเจ้าของอำนาจ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประเทศไทยจะสร้าง "Reichstag ทางจิตวิญญาณ" — ที่ไม่ต้องใช้กระจกจริงมาติด แต่ใช้หลักคิดแห่งความโปร่งใส เปิดเผย และเคารพประชาชนอย่างแท้จริง ความโปร่งใสไม่ใช่แค่เครื่องประดับของระบอบประชาธิปไตย แต่มันคือหัวใจของมัน ถ้าไม่มีหัวใจนี้ สภาก็ไม่ต่างอะไรจากโรงละครที่แสดงละครซ้ำซากเรื่องเดียว — “อำนาจเป็นของข้า ประชาชนจงเงียบ” #thawornboonyawan #คนไทยต้องรอด #คนดีสำคัญกว่าทุกสิ่ง Credit image : Twontrot Boon “Transparency, Accountability, and Accessibility”: A Giant Mirror from the Bundestag to Thailand’s Parliament While Thai politics remains mired in a culture of opacity, vote-buying, irresponsibility, and the detachment of power from the people, Germany has built a powerful symbol of integrity in the heart of Berlin — the Bundestag, or German federal parliament, which embodies the true essence of democracy. The Reichstag building is more than an architectural marvel; it is a declaration of transparency. The glass dome above the parliamentary chamber sends a clear message to the public: “You have the right to see, know, and scrutinize every action we take.” Lawmakers sit beneath natural light, visible from above — there is nowhere to hide, no shadow to scheme in. In contrast, Thailand is shrouded in “opaque domes” through which the people can never see. Parliamentary halls have become theatrical stages — wasting public funds and bickering over special interests rather than legislating in the people's best interest. Some Thai politicians fear transparency like ghosts fear daylight. They fear scrutiny the way thieves fear surveillance cameras. Because deep down, they don't see themselves as public servants — but as power-holders. Isn’t it time for Thailand to build its own “spiritual Reichstag”? Not with physical glass, but with a mindset rooted in openness, honesty, and deep respect for the people. Transparency is not a decorative feature of democracy — it is its heart. Without that heart, the parliament is nothing more than a stage for a tired play, endlessly repeating the same act: “Power belongs to us; the people must stay silent.”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • หน้าจอมือถือของข้าพเจ้าสว่างวาบกลางดึก ข่าวใหญ่จาก CNN กระแทกตาเหมือนไฟฉายส่องกลางป่ามืด – “American academic faces years in jail after being charged with insulting Thai monarchy.” ชื่อ Paul Chambers กระโดดขึ้นมาเป็นตัวหนา — นักวิชาการอเมริกัน ผู้เคยวิพากษ์กองทัพไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้ถูกจับกุมข้อหา 112เพราะหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์สังเกตดูดีๆนะครับเขาใช้คำว่า insuiting ที่แปลว่าการลบหลู่ดูหมิ่น ไม่ใช่คำว่าวิพากษ์วิจารณ์นะครับพาดหัวแค่บรรทัดเดียวก็เชื่อว่าทำให้หลายๆคนรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย แต่สำหรับข้าพเจ้า กลิ่นบางอย่างลอยมาตามลม — กลิ่นเงินทุนที่คุ้นจมูกข้าพเจ้าเลื่อนนิ้วลงไปจนเจอชื่อผู้เขียน Helen Regan นักข่าวประจำฮ่องกงของ CNN ชื่อนี้ไม่แปลกใหม่ แต่ประวัติที่เคยผ่านตากลับทำให้หัวคิ้วขยับ เธอเคยเป็นวิดีโอโปรดิวเซอร์ให้ TIME ก็จริง ทว่าอีกบรรทัดหนึ่งต่างหากที่น่าสนใจ — อดีตโปรดิวเซอร์ของ Democratic Voice of Burma (DVB) สื่อฐานเชียงใหม่ ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวเมียนมาร์อย่างถึงพริกถึงขิงเธออาจไม่ทันได้นึกว่าใครจะย้อนรอยข้อมูลรอยเท้าทางอินเตอร์เน็ต แต่โลกออนไลน์ไม่เคยลบอดีต ข้าพเจ้าจึงตามรอยงบการเงินของ DVB แล้วชื่อเดิมก็โผล่ขึ้นมาจากเงามืดเหมือนเดิม: The National Endowment for Democracy – NEDนั่นเองเธอลองจินตนาการดู — เมื่อคนที่เติบโตในสื่อซึ่งขับเคลื่อนด้วยเงินทุน NED มานั่งเขียนข่าวให้ CNN เกี่ยวกับ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ในไทย เรื่องราวจะถูกเล่าในโทนไหน?ข่าวชิ้นนั้นดึงเอาโฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ มาพูดด้วยถ้อยคำ “กังวลอย่างยิ่ง” ประหนึ่งเสียงระฆังเตือนภัยทั่วโลก ยิ่งตอกย้ำว่าคดีนี้คือบทพิสูจน์สิทธิมนุษยชน ไม่ใช่กฎหมายภายในของรัฐอธิปไตยอย่างไทย — สูตรสำเร็จเดิมที่ใช้กดดันประเทศเป้าหมายให้ลดเพดานกฎหมายของตนเองแล้ว NED ล่ะ? มันซ่อนตัวอยู่ตรงไหนของฉากนี้ — ตรงปลายปากกาของนักข่าวหญิงผู้เคยรับค่าแรงจากสื่อที่กินงบ NED นั่นแหละ เงียบ เนียน แต่ทรงพลัง เพราะเสียงจาก CNN จะสะท้อนกลับไปทั่วโลกได้ดังยิ่งกว่าลำโพงม็อบหน้ากระทรวงข้าพเจ้าไม่ได้มาบอก เธอ ว่าใครดีใครเลว — เพียงชวนเปิดไฟฉายในมือเราเอง แล้วส่องดูเส้นด้ายที่ผูกโยงระหว่าง พาดหัวแรง – โปรไฟล์ผู้เขียน – สายเงินทุนเรื่องเล่าครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ “นักวิชาการเสี่ยงคุก” แต่คือบทล่าสุดของสงครามข่าวสาร ที่ทุนเก่าเจ้าเดิมกำลังตีบทใหม่ให้คนอ่านเชื่อว่ากฎหมายไทยคือปัญหาใหญ่ของโลกเสรีหาก เธอ ยังตั้งคำถามต่อไป — หาก เธอ ไม่หยุดที่พาดหัว แต่ไล่กลิ่นเงินให้สุดปลายทาง เธอจะเห็นว่า NED ไม่เคยหายไปไหน มันแค่สวมหน้ากากใหม่ทุกครั้งที่ออกโรงคืนนี้ข้าพเจ้าปิดหน้าจอ ปล่อยให้ความมืดคืนสู่ห้อง แต่เรื่องราวยังคงเดินต่อในเงา สงครามข่าวไม่หลับใหล และทุนที่ชื่อ NED ที่มา : เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์สามสี
    หน้าจอมือถือของข้าพเจ้าสว่างวาบกลางดึก ข่าวใหญ่จาก CNN กระแทกตาเหมือนไฟฉายส่องกลางป่ามืด – “American academic faces years in jail after being charged with insulting Thai monarchy.” ชื่อ Paul Chambers กระโดดขึ้นมาเป็นตัวหนา — นักวิชาการอเมริกัน ผู้เคยวิพากษ์กองทัพไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้ถูกจับกุมข้อหา 112เพราะหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์สังเกตดูดีๆนะครับเขาใช้คำว่า insuiting ที่แปลว่าการลบหลู่ดูหมิ่น ไม่ใช่คำว่าวิพากษ์วิจารณ์นะครับพาดหัวแค่บรรทัดเดียวก็เชื่อว่าทำให้หลายๆคนรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย แต่สำหรับข้าพเจ้า กลิ่นบางอย่างลอยมาตามลม — กลิ่นเงินทุนที่คุ้นจมูกข้าพเจ้าเลื่อนนิ้วลงไปจนเจอชื่อผู้เขียน Helen Regan นักข่าวประจำฮ่องกงของ CNN ชื่อนี้ไม่แปลกใหม่ แต่ประวัติที่เคยผ่านตากลับทำให้หัวคิ้วขยับ เธอเคยเป็นวิดีโอโปรดิวเซอร์ให้ TIME ก็จริง ทว่าอีกบรรทัดหนึ่งต่างหากที่น่าสนใจ — อดีตโปรดิวเซอร์ของ Democratic Voice of Burma (DVB) สื่อฐานเชียงใหม่ ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวเมียนมาร์อย่างถึงพริกถึงขิงเธออาจไม่ทันได้นึกว่าใครจะย้อนรอยข้อมูลรอยเท้าทางอินเตอร์เน็ต แต่โลกออนไลน์ไม่เคยลบอดีต ข้าพเจ้าจึงตามรอยงบการเงินของ DVB แล้วชื่อเดิมก็โผล่ขึ้นมาจากเงามืดเหมือนเดิม: The National Endowment for Democracy – NEDนั่นเองเธอลองจินตนาการดู — เมื่อคนที่เติบโตในสื่อซึ่งขับเคลื่อนด้วยเงินทุน NED มานั่งเขียนข่าวให้ CNN เกี่ยวกับ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ในไทย เรื่องราวจะถูกเล่าในโทนไหน?ข่าวชิ้นนั้นดึงเอาโฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ มาพูดด้วยถ้อยคำ “กังวลอย่างยิ่ง” ประหนึ่งเสียงระฆังเตือนภัยทั่วโลก ยิ่งตอกย้ำว่าคดีนี้คือบทพิสูจน์สิทธิมนุษยชน ไม่ใช่กฎหมายภายในของรัฐอธิปไตยอย่างไทย — สูตรสำเร็จเดิมที่ใช้กดดันประเทศเป้าหมายให้ลดเพดานกฎหมายของตนเองแล้ว NED ล่ะ? มันซ่อนตัวอยู่ตรงไหนของฉากนี้ — ตรงปลายปากกาของนักข่าวหญิงผู้เคยรับค่าแรงจากสื่อที่กินงบ NED นั่นแหละ เงียบ เนียน แต่ทรงพลัง เพราะเสียงจาก CNN จะสะท้อนกลับไปทั่วโลกได้ดังยิ่งกว่าลำโพงม็อบหน้ากระทรวงข้าพเจ้าไม่ได้มาบอก เธอ ว่าใครดีใครเลว — เพียงชวนเปิดไฟฉายในมือเราเอง แล้วส่องดูเส้นด้ายที่ผูกโยงระหว่าง พาดหัวแรง – โปรไฟล์ผู้เขียน – สายเงินทุนเรื่องเล่าครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ “นักวิชาการเสี่ยงคุก” แต่คือบทล่าสุดของสงครามข่าวสาร ที่ทุนเก่าเจ้าเดิมกำลังตีบทใหม่ให้คนอ่านเชื่อว่ากฎหมายไทยคือปัญหาใหญ่ของโลกเสรีหาก เธอ ยังตั้งคำถามต่อไป — หาก เธอ ไม่หยุดที่พาดหัว แต่ไล่กลิ่นเงินให้สุดปลายทาง เธอจะเห็นว่า NED ไม่เคยหายไปไหน มันแค่สวมหน้ากากใหม่ทุกครั้งที่ออกโรงคืนนี้ข้าพเจ้าปิดหน้าจอ ปล่อยให้ความมืดคืนสู่ห้อง แต่เรื่องราวยังคงเดินต่อในเงา สงครามข่าวไม่หลับใหล และทุนที่ชื่อ NED ที่มา : เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์สามสี
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 รีวิว
  • นโยบายบ่อนกาสิโนไม่มีพรรคใดหาเสียง จึงไม่มีสิทธิโหวตรับในสภา !!สมัยเกิดทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ งบประมาณ 1,400 ล้านบาท เมื่อปีพ.ศ.2542 รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขถูกเครือข่าย 30 องค์กรภาคประชาชนยื่นกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ รัฐมนตรีอ้างว่าเงินที่ไม่สามารถระบุที่มาของเงินนั้นได้มาจากการเล่นการพนันจากบ่อนกาสิโนในต่างประเทศ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) ไม่รับฟังข้อต่อสู้ดังกล่าวจึงมีการไต่สวนจนพบว่ามีเงินที่รับสินบนด้วยการทำนิติกรรมอำพรางที่เกี่ยวข้องกับการรับสินบนจากบริษัทยาเพื่อจัดซื้อยาราคาแพง และได้ส่งฟ้องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และรัฐมนตรีถูกพิพากษาว่าร่ำรวยผิดปกติ และถูกยึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดิน 233.87 ล้านบาท และต่อมารัฐมนตรีถูกตัดสินจำคุก15ปีจากการรับสินบนหากร่างพ.ร.บ การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ …. ถูกรับรองผ่านเป็นกฎหมายโดยมีการสอดไส้บ่อนกาสิโนไว้ในพรบ.ฉบับนี้ตามที่รัฐบาลต้องการ ต่อจากนี้เป็นต้นไป การฟอกเงินจากสิ่งที่ผิดกฎหมายทั้งหลาย ทั้งการรับสินบน การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด เงินจากการทำผิดกฎหมาย และการปล้นในรูปแบบต่างๆจะถูกอ้างว่าได้มาจากบ่อนกาสิโน เงินใต้ดินทั้งหลายจะถูกฟอกขาวโดยบ่อนกาสิโน สิ่งนี้คือสิ่งที่นักการเมืองต้องการ ใช่หรือไม่ ?! พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนมาเป็นผู้แทนในรัฐสภา ต้องรับผิดชอบต่อการหาเสียงซึ่งถือเป็นสัญญาประชาคม ว่าจะทำอะไรให้ประชาชนถ้าได้รับเลือกเป็นผู้แทนประชาชน หลักคำสอนทางการเมืองของจอห์น ล็อค ที่ให้แก่ผู้มีศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย มีอยู่สั้นๆ ว่า รัฐบาลที่ชอบธรรมทั้งปวงหรือ“รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”เป็น“รัฐบาลที่มีอำนาจที่จำกัด”(Limited Government)และดำรงอยู่ได้ด้วยความยินยอม (consent) ของประชาชนที่เลือกรัฐบาลขึ้นมา กล่าวคือ รัฐบาลมีอำนาจความเป็นผู้แทนจำกัดอยู่เฉพาะการดำเนินนโยบายตามที่หาเสียงกับประชาชนไว้เท่านั้น ดังนั้นการคัดค้านบ่อนกาสิโนของประชาชน นักการเมืองต้องฟัง !!ในเมื่อพรรคการเมืองทั้งหลายที่อยู่ร่วมเป็นรัฐบาลผสม ไม่เคยหาเสียงเรื่องบ่อนกาสิโน จึงไม่มีสิทธิฮั้วกันโหวตรับร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนหากพรรคแกนนำรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลโหวตรับร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนที่ตนไม่ได้หาเสียงไว้ ก็เท่ากับท่านใช้อำนาจเกินขอบเขตที่ประชาชนมอบหมายให้ และเป็นการทำลายสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับประชาชนอย่างร้ายแรง อันอาจถึงขั้นที่รัฐบาลกลายเป็นกบฎต่อความไว้วางใจ และต่อสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับประชาชนเสียเอง และประชาชนสามารถใช้อำนาจประชาธิปไตยทางตรง(Direct Democrcy)ขับไล่รัฐบาลที่ใช้อำนาจเกินขอบเขตนั้นได้การที่ประชาชนแม้ไม่เห็นด้วยกับการนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทของรัฐบาล แต่เพราะเป็นการหาเสียงของรัฐบาล ประชาชนจึงกล้ำกลืนความไม่พอใจ ความกังวลใจว่าประเทศจะเสียหายเพราะนโยบายแจกเงินเช่นนั้น แต่บ่อนกาสิโนไม่ใช่การหาเสียงของพรรคใด พวกท่านจึงไม่มีสิทธิลักไก่ผลักดันผ่านร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนดังกล่าว โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านต่อต้านที่ดังกึกก้องมาจากทุกภาคส่วนของสังคมไทยในขณะนี้จงอย่าคิดว่าเมื่อได้อำนาจที่ประชาชนมอบให้ผ่านการเลือกตั้งแล้ว รัฐบาลก็จะทำอะไรก็ได้ ที่นอกเหนือจากการหาเสียง ประชาชนเลือกผู้แทน ไม่ใช่เลือกโจรมาปล้นบ้านตัวเอง ใช่หรือไม่?รัฐบาลและรัฐสภามีเครื่องมือในการทำประชามติ ถ้ารัฐบาลทนรอถึงการเลือกตั้งสมัยหน้าไม่ได้ ก็จงใช้เครื่องมือประชามติถามประชาชนทั้งประเทศเรื่องบ่อนกาสิโนว่าประชาชนต้องการให้รัฐบาลทำหรือไม่ ?ประธานรัฐสภาเป็นเสาหลัก 1 ในอำนาจ 3 ที่ประชาชนมอบให้ และหวังให้เสาหลักเป็นหลักที่ปักมั่นไม่คลอนแคลน เป็นอิสระ และทำตามสัญญาประชาคมในการไม่เปิดประตูให้กับร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนที่ประชาชนคัดค้าน ถ้าท่านยอมให้ร่างกฎหมายเข้าสู่สายพานการออกกฎหมายของรัฐสภา ก็ไม่ต่างกับการออกกฎหมายให้การปล้นอนาคตประเทศ ปล้นอนาคตลูกหลานไทยเป็นการปล้นที่ถูกกฎหมาย ใช่หรือไม่?ขอให้จดจำร่างพรบ.นิรโทษกรรมสุดซอย ว่ามีการลักหลับผ่านกฎหมายช่วงตี3-ตี4 ตรงตามฤกษ์โจรปล้น ว่ามีผลเป็นอย่างไร บ่อนกาสิโนก็อาจกลายเป็นน้ำผึ้งหยดหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความปั่นป่วนและอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นได้อีกจากการฉวยโอกาส ดังที่เคยเกิดขึ้นซ้ำๆจากการลุกขึ้นต่อต้านของประชาชน ใช่หรือไม่รสนา โตสิตระกูล3 เมษายน 2568#คัดค้านกาสิโน
    นโยบายบ่อนกาสิโนไม่มีพรรคใดหาเสียง จึงไม่มีสิทธิโหวตรับในสภา !!สมัยเกิดทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ งบประมาณ 1,400 ล้านบาท เมื่อปีพ.ศ.2542 รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขถูกเครือข่าย 30 องค์กรภาคประชาชนยื่นกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ รัฐมนตรีอ้างว่าเงินที่ไม่สามารถระบุที่มาของเงินนั้นได้มาจากการเล่นการพนันจากบ่อนกาสิโนในต่างประเทศ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) ไม่รับฟังข้อต่อสู้ดังกล่าวจึงมีการไต่สวนจนพบว่ามีเงินที่รับสินบนด้วยการทำนิติกรรมอำพรางที่เกี่ยวข้องกับการรับสินบนจากบริษัทยาเพื่อจัดซื้อยาราคาแพง และได้ส่งฟ้องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และรัฐมนตรีถูกพิพากษาว่าร่ำรวยผิดปกติ และถูกยึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดิน 233.87 ล้านบาท และต่อมารัฐมนตรีถูกตัดสินจำคุก15ปีจากการรับสินบนหากร่างพ.ร.บ การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ …. ถูกรับรองผ่านเป็นกฎหมายโดยมีการสอดไส้บ่อนกาสิโนไว้ในพรบ.ฉบับนี้ตามที่รัฐบาลต้องการ ต่อจากนี้เป็นต้นไป การฟอกเงินจากสิ่งที่ผิดกฎหมายทั้งหลาย ทั้งการรับสินบน การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด เงินจากการทำผิดกฎหมาย และการปล้นในรูปแบบต่างๆจะถูกอ้างว่าได้มาจากบ่อนกาสิโน เงินใต้ดินทั้งหลายจะถูกฟอกขาวโดยบ่อนกาสิโน สิ่งนี้คือสิ่งที่นักการเมืองต้องการ ใช่หรือไม่ ?! พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนมาเป็นผู้แทนในรัฐสภา ต้องรับผิดชอบต่อการหาเสียงซึ่งถือเป็นสัญญาประชาคม ว่าจะทำอะไรให้ประชาชนถ้าได้รับเลือกเป็นผู้แทนประชาชน หลักคำสอนทางการเมืองของจอห์น ล็อค ที่ให้แก่ผู้มีศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย มีอยู่สั้นๆ ว่า รัฐบาลที่ชอบธรรมทั้งปวงหรือ“รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”เป็น“รัฐบาลที่มีอำนาจที่จำกัด”(Limited Government)และดำรงอยู่ได้ด้วยความยินยอม (consent) ของประชาชนที่เลือกรัฐบาลขึ้นมา กล่าวคือ รัฐบาลมีอำนาจความเป็นผู้แทนจำกัดอยู่เฉพาะการดำเนินนโยบายตามที่หาเสียงกับประชาชนไว้เท่านั้น ดังนั้นการคัดค้านบ่อนกาสิโนของประชาชน นักการเมืองต้องฟัง !!ในเมื่อพรรคการเมืองทั้งหลายที่อยู่ร่วมเป็นรัฐบาลผสม ไม่เคยหาเสียงเรื่องบ่อนกาสิโน จึงไม่มีสิทธิฮั้วกันโหวตรับร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนหากพรรคแกนนำรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลโหวตรับร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนที่ตนไม่ได้หาเสียงไว้ ก็เท่ากับท่านใช้อำนาจเกินขอบเขตที่ประชาชนมอบหมายให้ และเป็นการทำลายสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับประชาชนอย่างร้ายแรง อันอาจถึงขั้นที่รัฐบาลกลายเป็นกบฎต่อความไว้วางใจ และต่อสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับประชาชนเสียเอง และประชาชนสามารถใช้อำนาจประชาธิปไตยทางตรง(Direct Democrcy)ขับไล่รัฐบาลที่ใช้อำนาจเกินขอบเขตนั้นได้การที่ประชาชนแม้ไม่เห็นด้วยกับการนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทของรัฐบาล แต่เพราะเป็นการหาเสียงของรัฐบาล ประชาชนจึงกล้ำกลืนความไม่พอใจ ความกังวลใจว่าประเทศจะเสียหายเพราะนโยบายแจกเงินเช่นนั้น แต่บ่อนกาสิโนไม่ใช่การหาเสียงของพรรคใด พวกท่านจึงไม่มีสิทธิลักไก่ผลักดันผ่านร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนดังกล่าว โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านต่อต้านที่ดังกึกก้องมาจากทุกภาคส่วนของสังคมไทยในขณะนี้จงอย่าคิดว่าเมื่อได้อำนาจที่ประชาชนมอบให้ผ่านการเลือกตั้งแล้ว รัฐบาลก็จะทำอะไรก็ได้ ที่นอกเหนือจากการหาเสียง ประชาชนเลือกผู้แทน ไม่ใช่เลือกโจรมาปล้นบ้านตัวเอง ใช่หรือไม่?รัฐบาลและรัฐสภามีเครื่องมือในการทำประชามติ ถ้ารัฐบาลทนรอถึงการเลือกตั้งสมัยหน้าไม่ได้ ก็จงใช้เครื่องมือประชามติถามประชาชนทั้งประเทศเรื่องบ่อนกาสิโนว่าประชาชนต้องการให้รัฐบาลทำหรือไม่ ?ประธานรัฐสภาเป็นเสาหลัก 1 ในอำนาจ 3 ที่ประชาชนมอบให้ และหวังให้เสาหลักเป็นหลักที่ปักมั่นไม่คลอนแคลน เป็นอิสระ และทำตามสัญญาประชาคมในการไม่เปิดประตูให้กับร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนที่ประชาชนคัดค้าน ถ้าท่านยอมให้ร่างกฎหมายเข้าสู่สายพานการออกกฎหมายของรัฐสภา ก็ไม่ต่างกับการออกกฎหมายให้การปล้นอนาคตประเทศ ปล้นอนาคตลูกหลานไทยเป็นการปล้นที่ถูกกฎหมาย ใช่หรือไม่?ขอให้จดจำร่างพรบ.นิรโทษกรรมสุดซอย ว่ามีการลักหลับผ่านกฎหมายช่วงตี3-ตี4 ตรงตามฤกษ์โจรปล้น ว่ามีผลเป็นอย่างไร บ่อนกาสิโนก็อาจกลายเป็นน้ำผึ้งหยดหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความปั่นป่วนและอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นได้อีกจากการฉวยโอกาส ดังที่เคยเกิดขึ้นซ้ำๆจากการลุกขึ้นต่อต้านของประชาชน ใช่หรือไม่รสนา โตสิตระกูล3 เมษายน 2568#คัดค้านกาสิโน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 490 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/voVtwsxDrvA?si=BnTid5PmoCzfR9Eu
    https://youtu.be/voVtwsxDrvA?si=BnTid5PmoCzfR9Eu
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • เป็นการล้อเลียนของยุโรป ที่เข้าใจสันดานของอเมริกา

    Greenland: "We found oil!"

    USA: "You mean WE found oil!!!!."

    Democracy is coming
    เป็นการล้อเลียนของยุโรป ที่เข้าใจสันดานของอเมริกา Greenland: "We found oil!" USA: "You mean WE found oil!!!!." Democracy is coming
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • The Woke Democrat DEI Standard
    The Woke Democrat DEI Standard
    สื่อชื่อมาตรฐาน แต่คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน แถมยังให้พื้นที่สส.พรรคส้มโจมตีกองทัพด้วยนิยายไอโอ แล้วที่มันบอกเองว่า แม้แต่นายกฯ ยังไม่รู้ แล้วมึงเอามาอภิปรายเค้าได้ไง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ็ดสะตอ ด้อยริดสีดวงบริโภคปฏิกูลสุขภัณฑ์ แบกอยู่นั่นแหละ ส้ม-แดง แบกกันเข้าไป เป็นสุขภัณฑ์ให้กับชาว Woke Democrat ที่คุณเจ็ดแมงดา เอ๊ย เจ็ดสะตอ เอ๊ย ถูกแล้ว ยังคลั่งไคล้และเชียร์ แต่ไอ้เจ็ดสะตอมันเกลียดรีพับลิกั้นนานละ
    เจ็ดสะตอ ด้อยริดสีดวงบริโภคปฏิกูลสุขภัณฑ์ แบกอยู่นั่นแหละ ส้ม-แดง แบกกันเข้าไป เป็นสุขภัณฑ์ให้กับชาว Woke Democrat ที่คุณเจ็ดแมงดา เอ๊ย เจ็ดสะตอ เอ๊ย ถูกแล้ว ยังคลั่งไคล้และเชียร์ แต่ไอ้เจ็ดสะตอมันเกลียดรีพับลิกั้นนานละ
    ไปๆ มาๆ คิงส์ว่า พี่ปูยังแมนกว่าเยอะ รบกันยังแมนกว่าลอบกัด ฉกฉวยโอกาสยึดทรัพยากรยูเครนแบบไอ้กัน แร่แรเอิร์ธก็จะเอา โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็จะเอา
    #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • รูบิโอ รับมนตรีต่างประเทศสหรัฐ อนุญาตให้ NED รับเงินสนับสนุนจากต่อไปได้

    เว็บไซต์ NED (National Endowment for Democracy) ได้ออกแถลงการณ์แสดงความยินดี ที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารงานของมาร์โก รูบิโอ ที่ยกเลิกข้อจำกัดในการเข้าถึงเงินสนับสนุนเพื่อนำไปใช้ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองในประเทศต่างๆ

    National Endowment for Democracy - NED มีความยินดีที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ตัดสินใจคืนสิทธิ์เข้าถึงงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรซ หลังจากถูกระงับมาตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ NED สามารถดำเนินภารกิจส่งเสริมประชาธิปไตยและเสรีภาพทั่วโลกได้ต่อไป

    ปีเตอร์ รอสคัม อดีตสส. และประธานคณะกรรมการบริหารของ NED กล่าวว่า "เราขอชื่นชมกระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของรัฐมนตรีมาร์โก รูบิโอ สำหรับการดำเนินการในครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถสนับสนุนผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศเผด็จการทั่วโลก เช่น คิวบา เวเนซุเอลา อิหร่าน จีน และรัสเซีย" แถลงการณ์บางส่วนจาก NED

    ทางด้าน เดมอน วิลสัน ประธานและซีอีโอของ NED กล่าวว่า "เรารู้สึกขอบคุณที่กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ เราจะยังคงมุ่งมั่นหาทางออกที่ยั่งยืนเพื่อให้แน่ใจว่า NED สามารถทำงานส่งเสริมประชาธิปไตยและเสรีภาพต่อไปได้"
    รูบิโอ รับมนตรีต่างประเทศสหรัฐ อนุญาตให้ NED รับเงินสนับสนุนจากต่อไปได้ เว็บไซต์ NED (National Endowment for Democracy) ได้ออกแถลงการณ์แสดงความยินดี ที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารงานของมาร์โก รูบิโอ ที่ยกเลิกข้อจำกัดในการเข้าถึงเงินสนับสนุนเพื่อนำไปใช้ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองในประเทศต่างๆ National Endowment for Democracy - NED มีความยินดีที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ตัดสินใจคืนสิทธิ์เข้าถึงงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรซ หลังจากถูกระงับมาตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ NED สามารถดำเนินภารกิจส่งเสริมประชาธิปไตยและเสรีภาพทั่วโลกได้ต่อไป ปีเตอร์ รอสคัม อดีตสส. และประธานคณะกรรมการบริหารของ NED กล่าวว่า "เราขอชื่นชมกระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของรัฐมนตรีมาร์โก รูบิโอ สำหรับการดำเนินการในครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถสนับสนุนผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศเผด็จการทั่วโลก เช่น คิวบา เวเนซุเอลา อิหร่าน จีน และรัสเซีย" แถลงการณ์บางส่วนจาก NED ทางด้าน เดมอน วิลสัน ประธานและซีอีโอของ NED กล่าวว่า "เรารู้สึกขอบคุณที่กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ เราจะยังคงมุ่งมั่นหาทางออกที่ยั่งยืนเพื่อให้แน่ใจว่า NED สามารถทำงานส่งเสริมประชาธิปไตยและเสรีภาพต่อไปได้"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 408 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานการณ์ในซีเรียยังคงวุ่นวายอย่างหนัก ล่าสุดกองกำลัง SDF (Syrian Democratic Forces) เปิดฉากต่อต้านกองกำลังของรัฐบาลซีเรียในเขตอัลอัชราฟียะห์ของเมืองอาเลปโป ทางตอนเหนือของซีเรีย

    กองกำลัง HTS ของรัฐบาลซีเรียต้องสูญเสียอย่างหนัก ซึ่งต่างกับเหตุการณ์ในลาตาเกีย เมืองชายฝั่งตะวันตกของซีเรีย รัฐบาลซีเรียยังมีความได้เปรียบอยู่บ้าง แต่ในทิศทางอาเลปโป ซึ่งเป็นนักรบ SDF นั้นผ่านการรบมาอย่างโชกโชนและปฏิบัติการจากตำแหน่งที่มีป้อมปราการ ทำให้การเผชิญหน้ามีความเข้มข้นมากขึ้น
    สถานการณ์ในซีเรียยังคงวุ่นวายอย่างหนัก ล่าสุดกองกำลัง SDF (Syrian Democratic Forces) เปิดฉากต่อต้านกองกำลังของรัฐบาลซีเรียในเขตอัลอัชราฟียะห์ของเมืองอาเลปโป ทางตอนเหนือของซีเรีย กองกำลัง HTS ของรัฐบาลซีเรียต้องสูญเสียอย่างหนัก ซึ่งต่างกับเหตุการณ์ในลาตาเกีย เมืองชายฝั่งตะวันตกของซีเรีย รัฐบาลซีเรียยังมีความได้เปรียบอยู่บ้าง แต่ในทิศทางอาเลปโป ซึ่งเป็นนักรบ SDF นั้นผ่านการรบมาอย่างโชกโชนและปฏิบัติการจากตำแหน่งที่มีป้อมปราการ ทำให้การเผชิญหน้ามีความเข้มข้นมากขึ้น
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • Athrosclerosis เป็นภาวะการอักเสบเรื้อรังของหลอดเลือด หรือ ภาวะหลอดเลือดเสื่อม แล้วทำให้เกิดการสะสมของคลอเรสตอรอล ที่ ผนังหลอดเลือดแล้วทำให้หลอดเลือดตีบตัน ซึ่งเป็นภาวะการอักเสบของหลอดเลือด
    ดังนั้น..การกินยาลดคลอเรสตอรอล ไม่ใช่เป็นการแก้ไขปัญหา
    ปัจจุบัน วงการแพทย์จึงเน้นไปที่สาเหตุของปัญหา คือ ลดการอักเสบของหลอดเลือด
    โดยเจาะเลือด เพื่อตรวจ.
    1. High Sensitivity CRP. และ 2. Homocysteine
    Athrosclerosis เป็นภาวะการอักเสบเรื้อรังของหลอดเลือด หรือ ภาวะหลอดเลือดเสื่อม แล้วทำให้เกิดการสะสมของคลอเรสตอรอล ที่ ผนังหลอดเลือดแล้วทำให้หลอดเลือดตีบตัน ซึ่งเป็นภาวะการอักเสบของหลอดเลือด ดังนั้น..การกินยาลดคลอเรสตอรอล ไม่ใช่เป็นการแก้ไขปัญหา ปัจจุบัน วงการแพทย์จึงเน้นไปที่สาเหตุของปัญหา คือ ลดการอักเสบของหลอดเลือด โดยเจาะเลือด เพื่อตรวจ. 1. High Sensitivity CRP. และ 2. Homocysteine
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 343 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • ในที่สุดออสเตรียก็ได้รัฐบาลชุดใหม่แล้ว หลังจากผ่านการเลือกตั้งมานานถึงห้าเดือน พรรคที่ได้อันดับหนึ่ง กลายเป็นฝ่ายค้าน เพราะไม่มีใครอยากร่วมด้วย พรรครัฐบาลเกิดจากพรรคอันดับรองลงไปร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลโดยผสมกันระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา

    พรรคเสรีภาพ ( Freedom Party - FPÖ) ต้องเป็นฝ่ายค้าน แม้ว่าพรรคจะได้รับชัยชนะมีที่นั่งสูงสุดมาเป็นอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งเมื่อห้าเดือนที่แล้ว แต่ไม่พอจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว และ "ไม่มีพรรคใดอยากเข้าร่วมด้วย"

    ขณะที่พรรคอันดับรองลงไป ซึ่งก็คือพรรคประชาชนอนุรักษ์นิยม (The conservative People's Party - ÖVP) พรรคสังคมประชาธิปไตย (Social Democrats - SPÖ) และพรรคเสรีนิยมนีโอ (Austria’s liberal Neos) จับมือร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ซึ่งกินเวลานานถึง 151 วัน หรือประมาณห้าเดือน นับตั้งแต่มีการเลือกตั้งในเดือนกันยายน 2024 ซึ่งถือเป็นสถิติที่ใช้ระยะเวลาจัดตั้งรัฐบาลนานที่สุดในการเมืองออสเตรีย นอกจากนี้ยังเป็นพรรคผสมระหว่างฝ่ายซ้าย (เสรีนิยม) และฝ่ายขวา (อนุรักษ์นิยม) อีกด้วย

    คริสเตียน สต็อคเกอร์ หัวหน้าพรรคประชาชนออสเตรีย (ÖVP) ซึ่งเป็น "พรรคอนุรักษ์นิยมสายกลาง" จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

    ในที่สุดออสเตรียก็ได้รัฐบาลชุดใหม่แล้ว หลังจากผ่านการเลือกตั้งมานานถึงห้าเดือน พรรคที่ได้อันดับหนึ่ง กลายเป็นฝ่ายค้าน เพราะไม่มีใครอยากร่วมด้วย พรรครัฐบาลเกิดจากพรรคอันดับรองลงไปร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลโดยผสมกันระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา พรรคเสรีภาพ ( Freedom Party - FPÖ) ต้องเป็นฝ่ายค้าน แม้ว่าพรรคจะได้รับชัยชนะมีที่นั่งสูงสุดมาเป็นอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งเมื่อห้าเดือนที่แล้ว แต่ไม่พอจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว และ "ไม่มีพรรคใดอยากเข้าร่วมด้วย" ขณะที่พรรคอันดับรองลงไป ซึ่งก็คือพรรคประชาชนอนุรักษ์นิยม (The conservative People's Party - ÖVP) พรรคสังคมประชาธิปไตย (Social Democrats - SPÖ) และพรรคเสรีนิยมนีโอ (Austria’s liberal Neos) จับมือร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ซึ่งกินเวลานานถึง 151 วัน หรือประมาณห้าเดือน นับตั้งแต่มีการเลือกตั้งในเดือนกันยายน 2024 ซึ่งถือเป็นสถิติที่ใช้ระยะเวลาจัดตั้งรัฐบาลนานที่สุดในการเมืองออสเตรีย นอกจากนี้ยังเป็นพรรคผสมระหว่างฝ่ายซ้าย (เสรีนิยม) และฝ่ายขวา (อนุรักษ์นิยม) อีกด้วย คริสเตียน สต็อคเกอร์ หัวหน้าพรรคประชาชนออสเตรีย (ÖVP) ซึ่งเป็น "พรรคอนุรักษ์นิยมสายกลาง" จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 396 มุมมอง 0 รีวิว
  • 39 ปี ลอบสังหารนายกสวีเดน "อูลอฟ พัลเมอ" คดีปริศนาที่ใช้เวลาสืบสวนนาน 34 ปี

    🕵️‍♂️ เหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำประเทศ ที่เป็นปริศนายาวนานที่สุดในโลก ย้อนไปเมื่อ 39 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 สวีเดนต้องเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ "อูลอฟ พัลเมอ" (Olof Palme) นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม คดีนี้ใช้เวลาสืบสวนนานถึง 34 ปี ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะประกาศปิดคดี โดยมีการตั้งข้อสงสัยว่า "สตีก เอ็งสเตริม" (Stig Engström) เป็นผู้ก่อเหตุ แต่เจ้าตัวเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543

    นี่คือหนึ่งในคดีฆาตกรรมทางการเมือง ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังคงเป็นที่ถกเถียง ในแวดวงกฎหมายและสื่อมวลชน มาจนถึงปัจจุบัน

    🔎 นายกรัฐมนตรีสวีเดน ผู้ทรงอิทธิพลและขั้วขัดแย้ง ✨ "สเวน อูลอฟ โยอาคิม พัลเมอ" (Sven Olof Joachim Palme) เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2470 เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสวีเดน และเป็นผู้นำของพรรคสังคมประชาธิปไตยสวีเดน (Social Democrats - SAP)

    📌 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย
    - วาระแรก พ.ศ. 2512 - 2519
    - วาระที่สอง พ.ศ. 2525 - 2529

    นายกพัลเมอเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้า สนับสนุนสิทธิแรงงาน สวัสดิการสังคม และต่อต้านสงคราม มีนโยบายที่ไม่ฝักใฝ่ขั้วมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพโซเวียต ทำให้ถูกมองว่า เป็นบุคคลที่ "แตกต่าง" ในเวทีการเมืองโลก

    🌍 นักการเมืองที่กล้าท้าทายอำนาจโลก นายกพัลเมอเป็นผู้นำชาวตะวันตกคนแรกที่
    ✅ เดินทางไปเยือนคิวบา และพบกับ "ฟิเดล คาสโตร" หลังการปฏิวัติคิวบา
    ✅ วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิจักรวรรดินิยม และการปกครองแบบเผด็จการ
    ✅ ต่อต้านระบอบแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้
    ✅ เปรียบเทียบการทิ้งระเบิดฮานอยของสหรัฐฯ กับ "อาชญากรรมสงคราม"

    📢 ความกล้าของนายกพัลเมอ ทำให้มีทั้งผู้สนับสนุนและศัตรูมากมาย และนั่นอาจเป็นสาเหตุ ที่นำไปสู่การลอบสังหารในท้ายที่สุด

    🔫 คืนสังหาร 28 กุมภาพันธ์ 2529 คืนวันศุกร์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์สวีเดนตลอดกาล 🌃

    📍 เหตุเกิดที่ถนนสเวียแวเกน (Sveavägen) หนึ่งในถนนที่คึกคักที่สุด ของกรุงสต็อกโฮล์ม

    🚶‍♂️ ไม่มีการ์ดคุ้มกัน ในคืนนั้น นายกพัลเมอและภรรยา "ลิสเบต พัลเมอ" (Lisbeth Palme) ตัดสินใจไปชมภาพยนตร์ "The Mozart Brothers" โดย ไม่ได้มีบอดี้การ์ดไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับนายกพัลเมอ

    🕵️‍♂️ มือปืนลอบสังหาร เวลา 23.21 น. นายกพัลเมอและภรรยา เดินออกจากโรงภาพยนตร์ มือปืนเดินปรี่เข้ามาจากด้านหลัง และจ่อยิงนายกพัลเมอเข้ากลางหลังหนึ่งนัด ด้วยปืนลูกโม่ .357 แม็กนัม เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ และจ่อยิงภรรยานายกพัลเมออีกหนึ่งนัด แล้วหลบหนีไป โดยไม่มีใครสามารถจับตัวได้

    💥 การลอบสังหารครั้งนี้ เป็นการฆาตกรรมผู้นำประเทศสวีเดนครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2335 ใช้เวลาสืบสวนที่ยาวนาน 34 ปี 🏛️

    🔍 การสอบสวนครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์สวีเดน มีพยานถูกสอบปากคำหลายพันคน บุคคลที่ถูกสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัย มากกว่า 130 ราย คดีนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบตำรวจ และกฎหมายของสวีเดน

    👤 ผู้ต้องสงสัยรายแรก "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน"
    ปี 2531 ตำรวจจับกุม "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" (Christer Pettersson) ชายติดยาในพื้นที่ และศาลตัดสินว่า มีความผิดฐานฆาตกรรม

    ❌ แต่ภายหลัง ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสิน และปล่อยตัวเขาเป็นอิสระ เนื่องจาก
    1️⃣ ไม่มีหลักฐานชัดเจน
    2️⃣ อาวุธที่ใช้ก่อเหตุไม่เคยถูกพบ
    3️⃣ แรงจูงใจในการสังหารไม่ชัดเจน

    เพ็ตเตอช็อนเสียชีวิตในปี 2547 ทำให้การสืบสวน หวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

    🛑 ปิดคดีในปี 2563: ฆาตกรคือ "สกันเดียแมน"?
    🔎 ในเดือน มิถุนายน 2563 คณะอัยการสวีเดนประกาศว่า

    👉 สตีก เอ็งสเตริม (Stig Engström) หรือ "สกันเดียแมน" เป็นผู้ต้องสงสัยหลัก

    👨‍💼 "สกันเดียแมน" เป็นนักออกแบบกราฟิก ทำงานที่บริษัท "สกันเดีย" (Skandia) ใกล้ที่เกิดเหตุ มีทักษะในการใช้ปืน ได้วิพากษ์วิจารณ์นายกพัลเมออย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการเงิน และติดสุรา

    💀 แต่ปัญหาคือ เอ็งสเตริมเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 ทำให้ ไม่มีทางนำตัวมาพิจารณาคดีในชั้นศาลได้

    📢 "การสืบสวนจึงถูกปิด โดยไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ"

    🤔 คำถามที่ยังไร้คำตอบ
    ❓ แรงจูงใจของฆาตกรคืออะไร?
    ❓ เป็นแผนลอบสังหาร จากรัฐบาลเผด็จการหรือไม่?
    ❓ มีองค์กรลับอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า?
    ❓ เหตุใดตำรวจถึงใช้เวลานานถึง 34 ปี ในการสรุปคดีนี้?

    แม้ว่าอัยการจะปิดคดีนี้ไปแล้ว แต่ข้อสงสัยมากมายยังคงอยู่ ทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็น "ปริศนาแห่งสวีเดน" ที่จะถูกพูดถึงไปอีกนาน

    🔥 คดีฆาตกรรมที่สะเทือนโลก
    📌 "อูลอฟ พัลเมอ" เป็นนายกฯ ที่มีอุดมการณ์ชัดเจน
    📌 ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม ในปี 2529
    📌 คดีนี้สืบสวนนาน 34 ปี ก่อนสรุปว่า "สตีก เอ็งสเตริม" เป็นมือปืน
    📌 คดีถูกปิด แต่คำถามมากมาย ยังคงไม่มีคำตอบ

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 282037 ก.พ. 2568

    #OlofPalme #ฆาตกรรมปริศนา #ลอบสังหาร #คดีดัง #สวีเดน #TrueCrime
    39 ปี ลอบสังหารนายกสวีเดน "อูลอฟ พัลเมอ" คดีปริศนาที่ใช้เวลาสืบสวนนาน 34 ปี 🕵️‍♂️ เหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำประเทศ ที่เป็นปริศนายาวนานที่สุดในโลก ย้อนไปเมื่อ 39 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 สวีเดนต้องเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ "อูลอฟ พัลเมอ" (Olof Palme) นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม คดีนี้ใช้เวลาสืบสวนนานถึง 34 ปี ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะประกาศปิดคดี โดยมีการตั้งข้อสงสัยว่า "สตีก เอ็งสเตริม" (Stig Engström) เป็นผู้ก่อเหตุ แต่เจ้าตัวเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 นี่คือหนึ่งในคดีฆาตกรรมทางการเมือง ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังคงเป็นที่ถกเถียง ในแวดวงกฎหมายและสื่อมวลชน มาจนถึงปัจจุบัน 🔎 นายกรัฐมนตรีสวีเดน ผู้ทรงอิทธิพลและขั้วขัดแย้ง ✨ "สเวน อูลอฟ โยอาคิม พัลเมอ" (Sven Olof Joachim Palme) เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2470 เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสวีเดน และเป็นผู้นำของพรรคสังคมประชาธิปไตยสวีเดน (Social Democrats - SAP) 📌 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย - วาระแรก พ.ศ. 2512 - 2519 - วาระที่สอง พ.ศ. 2525 - 2529 นายกพัลเมอเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้า สนับสนุนสิทธิแรงงาน สวัสดิการสังคม และต่อต้านสงคราม มีนโยบายที่ไม่ฝักใฝ่ขั้วมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพโซเวียต ทำให้ถูกมองว่า เป็นบุคคลที่ "แตกต่าง" ในเวทีการเมืองโลก 🌍 นักการเมืองที่กล้าท้าทายอำนาจโลก นายกพัลเมอเป็นผู้นำชาวตะวันตกคนแรกที่ ✅ เดินทางไปเยือนคิวบา และพบกับ "ฟิเดล คาสโตร" หลังการปฏิวัติคิวบา ✅ วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิจักรวรรดินิยม และการปกครองแบบเผด็จการ ✅ ต่อต้านระบอบแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ ✅ เปรียบเทียบการทิ้งระเบิดฮานอยของสหรัฐฯ กับ "อาชญากรรมสงคราม" 📢 ความกล้าของนายกพัลเมอ ทำให้มีทั้งผู้สนับสนุนและศัตรูมากมาย และนั่นอาจเป็นสาเหตุ ที่นำไปสู่การลอบสังหารในท้ายที่สุด 🔫 คืนสังหาร 28 กุมภาพันธ์ 2529 คืนวันศุกร์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์สวีเดนตลอดกาล 🌃 📍 เหตุเกิดที่ถนนสเวียแวเกน (Sveavägen) หนึ่งในถนนที่คึกคักที่สุด ของกรุงสต็อกโฮล์ม 🚶‍♂️ ไม่มีการ์ดคุ้มกัน ในคืนนั้น นายกพัลเมอและภรรยา "ลิสเบต พัลเมอ" (Lisbeth Palme) ตัดสินใจไปชมภาพยนตร์ "The Mozart Brothers" โดย ไม่ได้มีบอดี้การ์ดไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับนายกพัลเมอ 🕵️‍♂️ มือปืนลอบสังหาร เวลา 23.21 น. นายกพัลเมอและภรรยา เดินออกจากโรงภาพยนตร์ มือปืนเดินปรี่เข้ามาจากด้านหลัง และจ่อยิงนายกพัลเมอเข้ากลางหลังหนึ่งนัด ด้วยปืนลูกโม่ .357 แม็กนัม เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ และจ่อยิงภรรยานายกพัลเมออีกหนึ่งนัด แล้วหลบหนีไป โดยไม่มีใครสามารถจับตัวได้ 💥 การลอบสังหารครั้งนี้ เป็นการฆาตกรรมผู้นำประเทศสวีเดนครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2335 ใช้เวลาสืบสวนที่ยาวนาน 34 ปี 🏛️ 🔍 การสอบสวนครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์สวีเดน มีพยานถูกสอบปากคำหลายพันคน บุคคลที่ถูกสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัย มากกว่า 130 ราย คดีนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบตำรวจ และกฎหมายของสวีเดน 👤 ผู้ต้องสงสัยรายแรก "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" ปี 2531 ตำรวจจับกุม "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" (Christer Pettersson) ชายติดยาในพื้นที่ และศาลตัดสินว่า มีความผิดฐานฆาตกรรม ❌ แต่ภายหลัง ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสิน และปล่อยตัวเขาเป็นอิสระ เนื่องจาก 1️⃣ ไม่มีหลักฐานชัดเจน 2️⃣ อาวุธที่ใช้ก่อเหตุไม่เคยถูกพบ 3️⃣ แรงจูงใจในการสังหารไม่ชัดเจน เพ็ตเตอช็อนเสียชีวิตในปี 2547 ทำให้การสืบสวน หวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง 🛑 ปิดคดีในปี 2563: ฆาตกรคือ "สกันเดียแมน"? 🔎 ในเดือน มิถุนายน 2563 คณะอัยการสวีเดนประกาศว่า 👉 สตีก เอ็งสเตริม (Stig Engström) หรือ "สกันเดียแมน" เป็นผู้ต้องสงสัยหลัก 👨‍💼 "สกันเดียแมน" เป็นนักออกแบบกราฟิก ทำงานที่บริษัท "สกันเดีย" (Skandia) ใกล้ที่เกิดเหตุ มีทักษะในการใช้ปืน ได้วิพากษ์วิจารณ์นายกพัลเมออย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการเงิน และติดสุรา 💀 แต่ปัญหาคือ เอ็งสเตริมเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 ทำให้ ไม่มีทางนำตัวมาพิจารณาคดีในชั้นศาลได้ 📢 "การสืบสวนจึงถูกปิด โดยไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ" 🤔 คำถามที่ยังไร้คำตอบ ❓ แรงจูงใจของฆาตกรคืออะไร? ❓ เป็นแผนลอบสังหาร จากรัฐบาลเผด็จการหรือไม่? ❓ มีองค์กรลับอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า? ❓ เหตุใดตำรวจถึงใช้เวลานานถึง 34 ปี ในการสรุปคดีนี้? แม้ว่าอัยการจะปิดคดีนี้ไปแล้ว แต่ข้อสงสัยมากมายยังคงอยู่ ทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็น "ปริศนาแห่งสวีเดน" ที่จะถูกพูดถึงไปอีกนาน 🔥 คดีฆาตกรรมที่สะเทือนโลก 📌 "อูลอฟ พัลเมอ" เป็นนายกฯ ที่มีอุดมการณ์ชัดเจน 📌 ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม ในปี 2529 📌 คดีนี้สืบสวนนาน 34 ปี ก่อนสรุปว่า "สตีก เอ็งสเตริม" เป็นมือปืน 📌 คดีถูกปิด แต่คำถามมากมาย ยังคงไม่มีคำตอบ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 282037 ก.พ. 2568 #OlofPalme #ฆาตกรรมปริศนา #ลอบสังหาร #คดีดัง #สวีเดน #TrueCrime
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 865 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนที่.1 #USAID สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของ ‘มนุษยธรรม’
    Written by Drago Bosnic

    ยุทธศาสตร์ครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อพยายามนึกภาพอำนาจของสหรัฐอเมริกาเรามักจะนึกถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินขับไล่ รถถัง นาวิกโยธิน ฯลฯ

    ในความเป็นจริงระบบราชการขนาดใหญ่ของอเมริกาแทบจะทำลายล้างประเทศเป้าหมายเสมอก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำเนินการทางทหารโดยตรง
    เพื่อจุดประสงค์สิ่งนั้นหน่วยข่าวกรองจำนวนมากของไอ้กุ้ยโลกจึงมีความจำเป็น
    https://t.me/rtnews/81104

    อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาการปฏิเสธที่สมเหตุสมผล หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้มักจะใช้ตัวแทนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่สถาบันของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือเรียกสั้นๆ ว่า USAID ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่

    งบประมาณของหน่วยงานที่น่าอับอายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มากโดยอาจสูงถึง (หรืออาจเกิน) 1 แสนล้านดอลลาร์
    https://www.usaspending.gov/agency/agency-for-international-development?fy=2024
    สิ่งนี้ทําให้ USAID สามารถดําเนินการได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเขา
    https://t.me/rtnews/81071

    คิดเป็นมากกว่า 50% ของโครงการ “ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั้งหมดและมีการดำเนินการโดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก (ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม (แบบใหม่) มากที่สุด)

    เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตการทำงานของ USAID ได้ดีขึ้น บางทีเราควรเปรียบเทียบกับ NED (National Endowment for Democracy) ซึ่งเป็น “สถาบันประชาธิปไตยอิสระ” อีกแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนและสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสี” NED มีกิจกรรม “ประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ Victoria Nuland ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารนอกเหนือจากการให้ทุนแก่สื่ออิสระแล้ว
    https://t.me/Slavyangrad/114746
    USAID ยังมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในยูเครน
    https://news.antiwar.com/2025/01/28/ukrainian-media-outlets-start-donations-after-us-funding-is-paused/
    โดยเร่งกระบวนการแปรรูปของประเทศที่โชคร้ายที่ถูกนาโต้ยึดครอง
    https://t.me/IntelRepublic/43800
    รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่แท้จริงของหน่วยงานที่น่าอับอายนั้นค่อนข้างหายากจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อกระแสหลักและรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามนำเสนอกิจกรรมพวกเขาโดยอ้างว่า "ช่วยเหลือประเทศอื่น" หรือปกปิดพวกเขาจากสายตาสาธารณะ

    อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ ผลก็คือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานของเขาและ DOGE (แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล) ซึ่งดำเนินการโดย Elon Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดที่น่ากังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับกิจกรรมจริงของ USAID
    https://www.americanthinker.com/blog/2025/02/trump_s_attack_on_the_deep_state_is_spectacular_and_almost_certainly_legal.html
    ซึ่งมักผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของประเทศเจ้าภาพจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

    เมื่อปลายเดือนมกราคม หน่วยงานดังกล่าวถูกบังคับให้หยุดกิจกรรมส่วนใหญ่ในยูเครนที่ถูกนาโต้ยึดครอง
    https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-aid-groups-cut-services-scramble-cash-after-us-funding-shock-2025-01-30/
    รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนสื่อเกือบทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มนีโอนาซี
    https://t.me/Slavyangrad/118280?single

    ไม่นานหลังจากนั้น สื่ออื่นๆ ทั่วทั้งยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "ค่านิยมแบบตะวันตก" (ซึ่งเป็นการผสมผสานทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม) ซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกพบว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง)

    เว็บไซต์ USAID จะปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ประกาศว่าหน่วยงานนี้จะถูกปิดตัวลงในเร็วๆ นี้
    https://www.zerohedge.com/political/usaid-website-goes-dark-trump-reportedly-plans-shift-agency-under-state-department
    ณ เวลาที่เขียนนี้ เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และแสดงข้อความเพียงว่าบุคลากรของเว็บไซต์จะถูกพักงานทั่วโลกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์
    https://www.usaid.gov/
    แม้ว่า "พนักงานที่สำคัญ" จะได้รับแจ้งถึงชะตากรรมของตนในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็ตาม

    อ่านต่อตอนที่.2
    https://www.facebook.com/share/p/1DN6TtSX6u/
    ตอนที่.1 #USAID สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของ ‘มนุษยธรรม’ Written by Drago Bosnic ยุทธศาสตร์ครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อพยายามนึกภาพอำนาจของสหรัฐอเมริกาเรามักจะนึกถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินขับไล่ รถถัง นาวิกโยธิน ฯลฯ ในความเป็นจริงระบบราชการขนาดใหญ่ของอเมริกาแทบจะทำลายล้างประเทศเป้าหมายเสมอก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำเนินการทางทหารโดยตรง เพื่อจุดประสงค์สิ่งนั้นหน่วยข่าวกรองจำนวนมากของไอ้กุ้ยโลกจึงมีความจำเป็น https://t.me/rtnews/81104 อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาการปฏิเสธที่สมเหตุสมผล หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้มักจะใช้ตัวแทนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่สถาบันของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือเรียกสั้นๆ ว่า USAID ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ งบประมาณของหน่วยงานที่น่าอับอายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มากโดยอาจสูงถึง (หรืออาจเกิน) 1 แสนล้านดอลลาร์ https://www.usaspending.gov/agency/agency-for-international-development?fy=2024 สิ่งนี้ทําให้ USAID สามารถดําเนินการได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเขา https://t.me/rtnews/81071 คิดเป็นมากกว่า 50% ของโครงการ “ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั้งหมดและมีการดำเนินการโดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก (ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม (แบบใหม่) มากที่สุด) เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตการทำงานของ USAID ได้ดีขึ้น บางทีเราควรเปรียบเทียบกับ NED (National Endowment for Democracy) ซึ่งเป็น “สถาบันประชาธิปไตยอิสระ” อีกแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนและสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสี” NED มีกิจกรรม “ประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ Victoria Nuland ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารนอกเหนือจากการให้ทุนแก่สื่ออิสระแล้ว https://t.me/Slavyangrad/114746 USAID ยังมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในยูเครน https://news.antiwar.com/2025/01/28/ukrainian-media-outlets-start-donations-after-us-funding-is-paused/ โดยเร่งกระบวนการแปรรูปของประเทศที่โชคร้ายที่ถูกนาโต้ยึดครอง https://t.me/IntelRepublic/43800 รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่แท้จริงของหน่วยงานที่น่าอับอายนั้นค่อนข้างหายากจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อกระแสหลักและรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามนำเสนอกิจกรรมพวกเขาโดยอ้างว่า "ช่วยเหลือประเทศอื่น" หรือปกปิดพวกเขาจากสายตาสาธารณะ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ ผลก็คือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานของเขาและ DOGE (แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล) ซึ่งดำเนินการโดย Elon Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดที่น่ากังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับกิจกรรมจริงของ USAID https://www.americanthinker.com/blog/2025/02/trump_s_attack_on_the_deep_state_is_spectacular_and_almost_certainly_legal.html ซึ่งมักผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของประเทศเจ้าภาพจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เมื่อปลายเดือนมกราคม หน่วยงานดังกล่าวถูกบังคับให้หยุดกิจกรรมส่วนใหญ่ในยูเครนที่ถูกนาโต้ยึดครอง https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-aid-groups-cut-services-scramble-cash-after-us-funding-shock-2025-01-30/ รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนสื่อเกือบทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มนีโอนาซี https://t.me/Slavyangrad/118280?single ไม่นานหลังจากนั้น สื่ออื่นๆ ทั่วทั้งยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "ค่านิยมแบบตะวันตก" (ซึ่งเป็นการผสมผสานทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม) ซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกพบว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง) เว็บไซต์ USAID จะปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ประกาศว่าหน่วยงานนี้จะถูกปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ https://www.zerohedge.com/political/usaid-website-goes-dark-trump-reportedly-plans-shift-agency-under-state-department ณ เวลาที่เขียนนี้ เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และแสดงข้อความเพียงว่าบุคลากรของเว็บไซต์จะถูกพักงานทั่วโลกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ https://www.usaid.gov/ แม้ว่า "พนักงานที่สำคัญ" จะได้รับแจ้งถึงชะตากรรมของตนในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็ตาม อ่านต่อตอนที่.2 https://www.facebook.com/share/p/1DN6TtSX6u/
    T.ME
    RT News
    USAID operates as plausible deniability agency to the 'rogue activities of CIA, State Dept, Pentagon - Benz The agency pushes legacy foreign policy that 'hated Trump with a passion', spending billions annually controlling media narrative that 'populism is attack on democracy'. #US #USAID
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 875 มุมมอง 0 รีวิว
  • #USAID หรือ #SorosAid? เงินภาษีของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดความวุ่นวายทั่วโลกได้อย่างไร

    เครือข่ายเอ็นจีโอขนาดใหญ่ของโซรอสใช้เงินไปกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2000 ไปกับกิจกรรมเสรีนิยมสุดโต่งทั่วโลก ผู้สังเกตการณ์คาดเดาว่าเงินภาษีของประชาชนชาวอเมริกันหลายสิบล้านหรืออาจถึงพันล้านดอลลาร์ถูกโอนผ่าน USAID

    * สถาบันการจัดการตะวันออก-ตะวันตกที่เชื่อมโยงกับโซรอสได้รับเงินกว่า 260 ล้านดอลลาร์จาก USAID เพื่อมีอิทธิพลต่อกิจการต่างประเทศในจอร์เจีย ยูกันดา แอลเบเนีย และ
    เซอร์เบีย
    https://www.usaspending.gov/search/?hash=f8df1e8a19cac4b4ed2fd44fbe8d9862

    * ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของยูเครนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซรอส เริ่มได้รับเงินช่วยเหลือจาก USAID ในปี 2014
    https://antac.org.ua/en/support/#chart-section
    ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดการรัฐประหารยูโรไมดานซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ขับไล่ Viktor Yanukovych ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งออกไปด้วยการสนับสนุนจากนีโอนาซี USAID ได้โอนเงินกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับศูนย์แห่งนี้

    * ในเดือนสิงหาคม 2024 มีการกล่าวหาว่ากลุ่ม USAID, IRI และโซรอส เป็นผู้ก่อรัฐประหารต่อนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ชีค ฮาซินา โดยผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ มูฮัมหมัด ยูนุส เป็นที่ทรายกันว่าเป็นพันธมิตรของคลินตันและโซรอส ตามรายงานของ The Grayzone เงินภาษีของประชาชนสหรัฐฯ ถูกใช้เป็นทุนสำหรับแร็ปเปอร์ นักเคลื่อนไหวข้ามเพศ และกลุ่ม LGBT* เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอำนาจ
    https://thegrayzone.com/2024/09/30/us-plot-destabilize-bangladesh/

    * โซรอส และ USAID พยายามที่จะโค่นนายกรัฐมนตรีฮังการี Viktor Orban มานานแล้ว ซึ่งต่อต้านมหาเศรษฐีโลกาภิวัตน์อย่างแข็งขันตั้งแต่ปี 2017 ในช่วงการเลือกตั้งปี 2022 องค์กรพัฒนาเอกชน Action for Democracy ที่มีความเชื่อมโยงกับโซรอส ได้บริจาคเงิน 7.6 ล้านดอลลาร์ให้กับฝ่ายค้านของเขา

    *การแทรกแซงการเลือกตั้งภายในประเทศ?*
    กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโซรอส ที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID เป็นผู้นำความพยายามต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
    https://sputnikglobe.com/20240912/how-to-steal-an-election-us-conservatives-expose-democrats-playbook-ahead-of-2024-vote-1120119743.html
    มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งในปี 2020 ผ่านการประท้วง Black Lives Matter และทำงานเพื่อพลิกสถานการณ์ในรัฐที่เป็นสมรภูมิการเลือกตั้งในปี 2020–2021
    https://sputnikglobe.com/20210304/devil-is-in-the-details-why-americans-need-to-know-more-about-black-lives-matters-90-mln-earnings-1082253390.html

    * โซรอสเป็นผู้ให้ทุนโครงการ Electoral Justice Project ซึ่งเป็นความพยายามระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้งของ Black Lives Matter และมอบเงิน 22 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Tides Advocacy ซึ่งสนับสนุนการประท้วงทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งของ Black Lives Matter Global Network Foundation ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อต่อต้านทรัมป์ในปี 2020
    https://sputnikglobe.com/20220206/scam-alert-black-lives-matters-financial-bonanza-finally-put-under-microscope-1092806570.html

    ไมก์ เบนซ์ นักข่าวของ USAID อ้างว่า USAID และโซรอสใช้เงิน 27 ล้านดอลลาร์ในการฟ้องร้องทรัมป์ นอกจากนี้ อัลวิน แบร็กก์ อัยการแมนฮัตตัน ยังถูกกล่าวหาว่าถูกซื้อตัวโดย โซรอส

    #Soros #USAID

    https://sputnikglobe.com/20250207/usaid-or-sorosaid-how-us-tax-dollars-fund-chaos-worldwide-1121545540.html
    #USAID หรือ #SorosAid? เงินภาษีของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดความวุ่นวายทั่วโลกได้อย่างไร เครือข่ายเอ็นจีโอขนาดใหญ่ของโซรอสใช้เงินไปกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2000 ไปกับกิจกรรมเสรีนิยมสุดโต่งทั่วโลก ผู้สังเกตการณ์คาดเดาว่าเงินภาษีของประชาชนชาวอเมริกันหลายสิบล้านหรืออาจถึงพันล้านดอลลาร์ถูกโอนผ่าน USAID * สถาบันการจัดการตะวันออก-ตะวันตกที่เชื่อมโยงกับโซรอสได้รับเงินกว่า 260 ล้านดอลลาร์จาก USAID เพื่อมีอิทธิพลต่อกิจการต่างประเทศในจอร์เจีย ยูกันดา แอลเบเนีย และ เซอร์เบีย https://www.usaspending.gov/search/?hash=f8df1e8a19cac4b4ed2fd44fbe8d9862 * ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของยูเครนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซรอส เริ่มได้รับเงินช่วยเหลือจาก USAID ในปี 2014 https://antac.org.ua/en/support/#chart-section ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดการรัฐประหารยูโรไมดานซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ขับไล่ Viktor Yanukovych ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งออกไปด้วยการสนับสนุนจากนีโอนาซี USAID ได้โอนเงินกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับศูนย์แห่งนี้ * ในเดือนสิงหาคม 2024 มีการกล่าวหาว่ากลุ่ม USAID, IRI และโซรอส เป็นผู้ก่อรัฐประหารต่อนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ชีค ฮาซินา โดยผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ มูฮัมหมัด ยูนุส เป็นที่ทรายกันว่าเป็นพันธมิตรของคลินตันและโซรอส ตามรายงานของ The Grayzone เงินภาษีของประชาชนสหรัฐฯ ถูกใช้เป็นทุนสำหรับแร็ปเปอร์ นักเคลื่อนไหวข้ามเพศ และกลุ่ม LGBT* เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอำนาจ https://thegrayzone.com/2024/09/30/us-plot-destabilize-bangladesh/ * โซรอส และ USAID พยายามที่จะโค่นนายกรัฐมนตรีฮังการี Viktor Orban มานานแล้ว ซึ่งต่อต้านมหาเศรษฐีโลกาภิวัตน์อย่างแข็งขันตั้งแต่ปี 2017 ในช่วงการเลือกตั้งปี 2022 องค์กรพัฒนาเอกชน Action for Democracy ที่มีความเชื่อมโยงกับโซรอส ได้บริจาคเงิน 7.6 ล้านดอลลาร์ให้กับฝ่ายค้านของเขา *การแทรกแซงการเลือกตั้งภายในประเทศ?* กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโซรอส ที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID เป็นผู้นำความพยายามต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี https://sputnikglobe.com/20240912/how-to-steal-an-election-us-conservatives-expose-democrats-playbook-ahead-of-2024-vote-1120119743.html มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งในปี 2020 ผ่านการประท้วง Black Lives Matter และทำงานเพื่อพลิกสถานการณ์ในรัฐที่เป็นสมรภูมิการเลือกตั้งในปี 2020–2021 https://sputnikglobe.com/20210304/devil-is-in-the-details-why-americans-need-to-know-more-about-black-lives-matters-90-mln-earnings-1082253390.html * โซรอสเป็นผู้ให้ทุนโครงการ Electoral Justice Project ซึ่งเป็นความพยายามระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้งของ Black Lives Matter และมอบเงิน 22 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Tides Advocacy ซึ่งสนับสนุนการประท้วงทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งของ Black Lives Matter Global Network Foundation ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อต่อต้านทรัมป์ในปี 2020 https://sputnikglobe.com/20220206/scam-alert-black-lives-matters-financial-bonanza-finally-put-under-microscope-1092806570.html ไมก์ เบนซ์ นักข่าวของ USAID อ้างว่า USAID และโซรอสใช้เงิน 27 ล้านดอลลาร์ในการฟ้องร้องทรัมป์ นอกจากนี้ อัลวิน แบร็กก์ อัยการแมนฮัตตัน ยังถูกกล่าวหาว่าถูกซื้อตัวโดย โซรอส #Soros #USAID https://sputnikglobe.com/20250207/usaid-or-sorosaid-how-us-tax-dollars-fund-chaos-worldwide-1121545540.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 685 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของแคนาดาได้เปิดการสอบสวนเกี่ยวกับ X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เป็นเจ้าของโดย Elon Musk เพื่อดูว่า X ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของชาวแคนาดาในการฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างถูกต้องตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของแคนาดาหรือไม่ การสอบสวนนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการร้องเรียนถึงการใช้ข้อมูลของผู้ใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมที่เหมาะสม

    สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของแคนาดากล่าวว่าจะมุ่งเน้นการสอบสวนในเรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้งาน และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของชาวแคนาดาเพื่อฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ โดยยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะของการร้องเรียนนี้

    Brian Masse สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรค New Democratic Party (NDP) กล่าวว่ายินดีที่เห็นสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลเปิดการสอบสวนเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลของ X และเน้นว่าความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในช่วงเวลาที่อัลกอริทึมอาจถูกบิดเบือนเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จ

    การสอบสวนนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ในเรื่องการค้า การรักษาความปลอดภัยชายแดน และภาษีบริการดิจิทัลที่มีผลต่อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน Elon Musk ที่ได้รับมอบหมายให้ลดขนาดรัฐบาลของสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี Donald Trump ได้สัญญาว่าจะดำเนินการตามภาษี 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก เนื่องจากปัญหายาเสพติดที่ยังคงเข้ามาในสหรัฐฯ จากประเทศเหล่านี้

    X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเดิมชื่อ Twitter มีโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า Grok ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ใช้งานเพื่อทำงานต่าง ๆ เช่น ตอบคำถาม แก้ปัญหา และระดมความคิด Grok-3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของโมเดลนี้ เพิ่งเปิดตัวให้กับสมาชิกระดับ Premium+ บน X

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/28/canada039s-privacy-watchdog-opens-investigation-into-x-following-complaint
    สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของแคนาดาได้เปิดการสอบสวนเกี่ยวกับ X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เป็นเจ้าของโดย Elon Musk เพื่อดูว่า X ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของชาวแคนาดาในการฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างถูกต้องตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของแคนาดาหรือไม่ การสอบสวนนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการร้องเรียนถึงการใช้ข้อมูลของผู้ใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมที่เหมาะสม สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของแคนาดากล่าวว่าจะมุ่งเน้นการสอบสวนในเรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้งาน และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของชาวแคนาดาเพื่อฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ โดยยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะของการร้องเรียนนี้ Brian Masse สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรค New Democratic Party (NDP) กล่าวว่ายินดีที่เห็นสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลเปิดการสอบสวนเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลของ X และเน้นว่าความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในช่วงเวลาที่อัลกอริทึมอาจถูกบิดเบือนเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จ การสอบสวนนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ในเรื่องการค้า การรักษาความปลอดภัยชายแดน และภาษีบริการดิจิทัลที่มีผลต่อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน Elon Musk ที่ได้รับมอบหมายให้ลดขนาดรัฐบาลของสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี Donald Trump ได้สัญญาว่าจะดำเนินการตามภาษี 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก เนื่องจากปัญหายาเสพติดที่ยังคงเข้ามาในสหรัฐฯ จากประเทศเหล่านี้ X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเดิมชื่อ Twitter มีโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า Grok ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ใช้งานเพื่อทำงานต่าง ๆ เช่น ตอบคำถาม แก้ปัญหา และระดมความคิด Grok-3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของโมเดลนี้ เพิ่งเปิดตัวให้กับสมาชิกระดับ Premium+ บน X https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/28/canada039s-privacy-watchdog-opens-investigation-into-x-following-complaint
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Canada watchdog probing X's use of personal data in AI models' training
    TORONTO (Reuters) - Canada's privacy watchdog has opened an investigation into X, the social media platform owned by billionaire tech mogul Elon Musk, on whether its use of Canadians' personal data to train artificial intelligence (AI) models broke privacy rules.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 369 มุมมอง 0 รีวิว
  • ”เมิร์ซ“ จากพรรค Christian Democrats ที่กำลังอยู่ในเส้นทางที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนีคนต่อไป เป็นพรรคอนุรักษ์นิยมที่ประกาศตัวชัดเจนในการสนับสนุนยูเครนอย่างเข้มแข็งต่อไป

    นโยบายในเรื่องยูเครน :

    - สนับสนุนการสนับสนุนทางการทหารและการเงินอย่างแข็งแกร่งสำหรับยูเครน
    - ต้องการแผนสันติภาพที่นำโดยยุโรป โดยปราศจากอิทธิพลของสหรัฐฯ
    - มีแผนที่จะส่งเสริมการส่งมอบอาวุธให้กับยูเครน รวมถึงขีปนาวุธร่อนทอรัส ระยะพิสัยไกล 500 กม. ซึ่งรัฐบาลของชอลซ์บ่ายเบี่ยงมาตลอด
    ”เมิร์ซ“ จากพรรค Christian Democrats ที่กำลังอยู่ในเส้นทางที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนีคนต่อไป เป็นพรรคอนุรักษ์นิยมที่ประกาศตัวชัดเจนในการสนับสนุนยูเครนอย่างเข้มแข็งต่อไป นโยบายในเรื่องยูเครน : - สนับสนุนการสนับสนุนทางการทหารและการเงินอย่างแข็งแกร่งสำหรับยูเครน - ต้องการแผนสันติภาพที่นำโดยยุโรป โดยปราศจากอิทธิพลของสหรัฐฯ - มีแผนที่จะส่งเสริมการส่งมอบอาวุธให้กับยูเครน รวมถึงขีปนาวุธร่อนทอรัส ระยะพิสัยไกล 500 กม. ซึ่งรัฐบาลของชอลซ์บ่ายเบี่ยงมาตลอด
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • The Standard for Joker ก็มีให้เห็นแล้ว โจกเกอร์ที่แบทแมนเอาไม่ลง ส่วน The People of Democrat Woke DEI และ The Matter for Woke Person
    The Standard for Joker ก็มีให้เห็นแล้ว โจกเกอร์ที่แบทแมนเอาไม่ลง ส่วน The People of Democrat Woke DEI และ The Matter for Woke Person
    ช่วยคิงส์เลือกหน่อย จะส่งใครไปแก้ปัญหาแรงงานเถื่อนพม่าตีกัน อีแก้วตาขออาสาทันที เพราะของขาดมานาน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลสำรวจคะแนนนิยมล่าสุดของพรรคการเมืองในเยอรมนีล่าสุด ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568 นี้:

    อันดับหนึ่ง พรรคคริสเตียนเดโมแครตยูเนียน (Christian Democratic Union - CDU) ซึ่งเป็นพรรคเมืองสายกลาง-ขวา ของ ฟรีดริช เมิร์ซ (Friedrich Merz) มีคะแนนนำในทุกโพล

    อันดับสอง ตามมาด้วยพรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนี หรือ AfD (Alternative for Germany / Alternative für Deutschland) ของ อลิซ ไวเดล (Alice Weidel) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองขวาจัด (อนุรักษนิยม)

    อันดับที่สาม เป็นของพรรค SPD (Social Democratic Party of Germany) ของ โอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน


    สำหรับ ฟรีดริช เมิร์ซ ตัวเต็งนายกรัฐมนตรีเยอรมนีคนใหม่ ประกาศอย่างชัดเจนว่าหากเขาชนะการเลือกตั้ง เขาจะยังคงนโยบายเคียงข้างยูเครนต่อไป และประกาศจะส่งมอบขีปนาวุธร่อน Taurus ที่มีพิสัยยิงมากกว่า 500 กม. ซึ่งเป็นสิ่งที่ โอลาฟ ชอลซ์ ไม่กล้าตัดสินใจ

    ส่วนอลิซ ไวเดล ประกาศอย่างชัดเจนว่าจะกลับมามีความสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับรัสเซีย และพร้อมจะกลับมาใช้บริการก๊าซจากรัสเซียเช่นเดิม นอกจากนี้เธอจะใช้นโยบายที่แข็งกร้าวต่อผู้อพยพเข้าเมืองเช่นเดียวกับทรัมป์

    ในช่วงแรก พรรค AfD มีคะแนนนิยมนำมาเป็นอันดับหนึ่ง ทำให้เกิดความกังวลอย่างมากต่อพันธมิตรในยุโรป มีการปลุกระดมข่าวสาร เพื่อโจมตีไวเดลเกี่ยวกับนโยบายที่แข็งกร้าวด้านต่อต้านผู้อพยพ ทำให้เกิดการประท้วงเป็นวงกว้างในเยอรมนีเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทั้งในกรุงเบอร์ลิน และในเมืองอื่นๆ ของเยอรมนี ส่งผลให้คะแนนนิยมของเธอตกลงมาอย่างชัดเจน

    อีลอน มัสก์ คนสนิทของทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนพรรค AfD ของไวเดล

    แม้ว่าคะแนนนิยมของพรรค AfD ยังเป็นรองคู่แข่งจากพรรค CDU แต่ไม่ได้หมายความว่า ไวเดลหมดโอกาสชนะ เนื่องจากคะแนนนิยมที่ใกล้เคียงกัน และยังมีประชาชนเยอรมนีอีกมากที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ซึ่งอาจทำให้ผลการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

    โดยรวมแล้ว หลังการเลือกตั้งจบสิ้นลง รัฐบาลของเยอรมันยังคงเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคการเมืองเช่นเดิม


    ผลสำรวจคะแนนนิยมล่าสุดของพรรคการเมืองในเยอรมนีล่าสุด ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568 นี้: อันดับหนึ่ง พรรคคริสเตียนเดโมแครตยูเนียน (Christian Democratic Union - CDU) ซึ่งเป็นพรรคเมืองสายกลาง-ขวา ของ ฟรีดริช เมิร์ซ (Friedrich Merz) มีคะแนนนำในทุกโพล อันดับสอง ตามมาด้วยพรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนี หรือ AfD (Alternative for Germany / Alternative für Deutschland) ของ อลิซ ไวเดล (Alice Weidel) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองขวาจัด (อนุรักษนิยม) อันดับที่สาม เป็นของพรรค SPD (Social Democratic Party of Germany) ของ โอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน สำหรับ ฟรีดริช เมิร์ซ ตัวเต็งนายกรัฐมนตรีเยอรมนีคนใหม่ ประกาศอย่างชัดเจนว่าหากเขาชนะการเลือกตั้ง เขาจะยังคงนโยบายเคียงข้างยูเครนต่อไป และประกาศจะส่งมอบขีปนาวุธร่อน Taurus ที่มีพิสัยยิงมากกว่า 500 กม. ซึ่งเป็นสิ่งที่ โอลาฟ ชอลซ์ ไม่กล้าตัดสินใจ ส่วนอลิซ ไวเดล ประกาศอย่างชัดเจนว่าจะกลับมามีความสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับรัสเซีย และพร้อมจะกลับมาใช้บริการก๊าซจากรัสเซียเช่นเดิม นอกจากนี้เธอจะใช้นโยบายที่แข็งกร้าวต่อผู้อพยพเข้าเมืองเช่นเดียวกับทรัมป์ ในช่วงแรก พรรค AfD มีคะแนนนิยมนำมาเป็นอันดับหนึ่ง ทำให้เกิดความกังวลอย่างมากต่อพันธมิตรในยุโรป มีการปลุกระดมข่าวสาร เพื่อโจมตีไวเดลเกี่ยวกับนโยบายที่แข็งกร้าวด้านต่อต้านผู้อพยพ ทำให้เกิดการประท้วงเป็นวงกว้างในเยอรมนีเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทั้งในกรุงเบอร์ลิน และในเมืองอื่นๆ ของเยอรมนี ส่งผลให้คะแนนนิยมของเธอตกลงมาอย่างชัดเจน อีลอน มัสก์ คนสนิทของทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนพรรค AfD ของไวเดล แม้ว่าคะแนนนิยมของพรรค AfD ยังเป็นรองคู่แข่งจากพรรค CDU แต่ไม่ได้หมายความว่า ไวเดลหมดโอกาสชนะ เนื่องจากคะแนนนิยมที่ใกล้เคียงกัน และยังมีประชาชนเยอรมนีอีกมากที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ซึ่งอาจทำให้ผลการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา โดยรวมแล้ว หลังการเลือกตั้งจบสิ้นลง รัฐบาลของเยอรมันยังคงเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคการเมืองเช่นเดิม
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 724 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/6ZkgE96lU88?si=LmzUTsGMoCXjVken
    https://youtu.be/6ZkgE96lU88?si=LmzUTsGMoCXjVken
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์สั่งยุบ NED องค์กรบังหน้า CIA หลังถูกเปิดโปงบทบาทแทรกแซงการเมืองโลก พร้อมลดขนาดสถานทูตทั่วโลก เดินหน้าปรับโครงสร้างกระทรวงต่างประเทศ

    รัฐบาลทรัมป์เดินหน้าปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ เริ่มจากการระงับงบประมาณทั้งหมดของ National Endowment for Democracy (NED) องค์กรที่ก่อตั้งปี 1983 ภายใต้การอ้างว่าเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่สนับสนุนประชาธิปไตยทั่วโลก แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหน่วยบังหน้าของ CIA ในการแทรกแซงการเมืองต่างประเทศ

    โดย Elon Musk หัวหน้าแผนกประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) เรียก NED ว่าเป็น "องค์กรชั่วร้าย" ที่ต้องถูกยุบ สอดคล้องกับรายงานของ Center for Renewal America ที่เปิดโปงบทบาท NED ในฐานะ "ปลายหอก" ของ CIA ซึ่งจัดสรรเงินหลายสิบล้านดอลลาร์สนับสนุนการปฏิวัติในยูเครน ทั้ง "ปฏิวัติสีส้ม" และ "ปฏิวัติไมดาน" รวมถึงสนับสนุน "การปฏิวัติสี" ในจอร์เจีย คีร์กีซสถาน และให้ทุนกลุ่มต่อต้านในเบลารุส เซอร์เบีย และอียิปต์ การตัดงบครั้งนี้ส่งผลให้ NED ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงานและปฏิบัติตามข้อผูกพันทางการเงินได้

    นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งให้สถานทูตอเมริกันทั่วโลกลดจำนวนเจ้าหน้าที่ทั้งชาวอเมริกันและท้องถิ่นลง 10% ภายในสัปดาห์นี้ โดยเริ่มจากการเลิกจ้างพนักงานสัญญาจ้างด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และแรงงานไปแล้ว 60 คน เพื่อปรับโครงสร้างกระทรวงการต่างประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของทรัมป์

    .
    https://www.imctnews.com/news_details-news-6728.html
    ทรัมป์สั่งยุบ NED องค์กรบังหน้า CIA หลังถูกเปิดโปงบทบาทแทรกแซงการเมืองโลก พร้อมลดขนาดสถานทูตทั่วโลก เดินหน้าปรับโครงสร้างกระทรวงต่างประเทศ รัฐบาลทรัมป์เดินหน้าปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ เริ่มจากการระงับงบประมาณทั้งหมดของ National Endowment for Democracy (NED) องค์กรที่ก่อตั้งปี 1983 ภายใต้การอ้างว่าเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่สนับสนุนประชาธิปไตยทั่วโลก แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหน่วยบังหน้าของ CIA ในการแทรกแซงการเมืองต่างประเทศ โดย Elon Musk หัวหน้าแผนกประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) เรียก NED ว่าเป็น "องค์กรชั่วร้าย" ที่ต้องถูกยุบ สอดคล้องกับรายงานของ Center for Renewal America ที่เปิดโปงบทบาท NED ในฐานะ "ปลายหอก" ของ CIA ซึ่งจัดสรรเงินหลายสิบล้านดอลลาร์สนับสนุนการปฏิวัติในยูเครน ทั้ง "ปฏิวัติสีส้ม" และ "ปฏิวัติไมดาน" รวมถึงสนับสนุน "การปฏิวัติสี" ในจอร์เจีย คีร์กีซสถาน และให้ทุนกลุ่มต่อต้านในเบลารุส เซอร์เบีย และอียิปต์ การตัดงบครั้งนี้ส่งผลให้ NED ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงานและปฏิบัติตามข้อผูกพันทางการเงินได้ นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งให้สถานทูตอเมริกันทั่วโลกลดจำนวนเจ้าหน้าที่ทั้งชาวอเมริกันและท้องถิ่นลง 10% ภายในสัปดาห์นี้ โดยเริ่มจากการเลิกจ้างพนักงานสัญญาจ้างด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และแรงงานไปแล้ว 60 คน เพื่อปรับโครงสร้างกระทรวงการต่างประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของทรัมป์ . https://www.imctnews.com/news_details-news-6728.html
    Haha
    Like
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 613 มุมมอง 0 รีวิว
  • " พรรคส้มเน่า " ได้ ท่อน้ำเลี้ยงหนึ่งจาก USAID ผ่านหน่วยงานย่อย คือ NED หรือ National Endowment for Democracy นั่นเอง.
    นี่แหละ.. " ความจริงที่มีหนึ่งเดียว "
    " พรรคส้มเน่า " ได้ ท่อน้ำเลี้ยงหนึ่งจาก USAID ผ่านหน่วยงานย่อย คือ NED หรือ National Endowment for Democracy นั่นเอง. นี่แหละ.. " ความจริงที่มีหนึ่งเดียว "
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 12 0 รีวิว
  • เปิดสาเหตุ USAID จากเงินภาษีสหรัฐฯ กลายเป็นแหล่งทุนของความวุ่นวายทั่วโลก

    ตั้งแต่ปี 2000 เครือข่ายเอ็นจีโอขนาดใหญ่ของจอร์จ โซรอส ใช้เงินไปกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปกับกิจกรรมเสรีนิยมสุดโต่งทั่วโลก ซึ่งผู้สังเกตการณ์คาดว่า เงินภาษีของสหรัฐฯ หลายสิบล้านหรืออาจถึงพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อาจถูกโอนผ่าน USAID

    สถาบันการจัดการตะวันออก-ตะวันตกซึ่งมีความเชื่อมโยงกับโซรอสได้รับเงินกว่า 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก USAID เพื่อใช้ในการมีอิทธิพลต่อกิจการต่างประเทศในจอร์เจีย ยูกันดา แอลเบเนีย และเซอร์เบีย

    ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของยูเครนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซรอส เริ่มได้รับเงินช่วยเหลือจาก USAID ในปี 2014 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดการรัฐประหารยูโรไมดานในยูเครน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ทำให้วิกเตอร์ ยานูโควิช ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งต้องออกจากตำแหน่งด้วยการสนับสนุนจาก USAID ที่โอนเงินกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปยังศูนย์ดังกล่าว

    อีกด้านหนึ่ง ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว (2024) มีการกล่าวหาว่ากลุ่ม USAID, IRI และกลุ่มที่เชื่อมโยงกับโซรอส ก่อรัฐประหารต่อนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ชีค ฮาซินา โดยผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ มูฮัมหมัด ยูนุส เป็นที่รู้จักในฐานะพันธมิตรของคลินตันและโซรอส ตามรายงานของ The Grayzone เงินภาษีของสหรัฐฯ นำไปใช้สนับสนุนแร็ปเปอร์ นักเคลื่อนไหวข้ามเพศ และกลุ่มผู้หลากหลายทางเพศ เพื่อสร้าง "การเปลี่ยนแปลงอำนาจ"

    มีรายงานว่า โซรอสและ USAID พยายามโค่นล้มวิกเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการีมาเป็นเวลานานแล้ว หลังออร์บานต่อต้านมหาเศรษฐีโลกาภิวัตน์ผู้นี้มาอย่างแข็งขันตั้งแต่ปี 2017 ในระหว่างการเลือกตั้งปี 2022 องค์กรพัฒนาเอกชน Action for Democracy ซึ่งเชื่อมโยงกับโซรอส ได้บริจาคเงิน 7.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับฝ่ายค้านของออร์บาน

    ส่วนในสหรัฐฯ กลุ่มที่เชื่อมโยงกับโซรอสซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก USAID เป็นผู้นำในการต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งปี 2020 ผ่านการประท้วง Black Lives Matter และทำงานเพื่อพลิกสถานการณ์ในรัฐที่เป็นสมรภูมิรบในปี 2020–2021

    โซรอสจัดหาเงินทุนให้กับ Electoral Justice Project ซึ่งเป็นความพยายามระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้งของ Black Lives Matter และบริจาคเงิน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับ Tides Advocacy ซึ่งสนับสนุนการประท้วงทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งของ Black Lives Matter Global Network Foundation เพื่อต่อต้านทรัมป์ในปี 2020
    ขณะเดียวกัน USAID และโซรอสถูกกล่าวหาว่าใช้เงิน 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการดำเนินคดีต่อต้านทรัมป์ ตามที่ไมค์ เบนซ์ ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวกล่าวอ้าง นอกจากนี้ อัลวิน แบร็ก อัยการแมนฮัตตันยังถูกกล่าวหาว่าถูกโซรอส “ซื้อ” อีกด้วย

    https://www.imctnews.com/news_details-news-6608.html
    เปิดสาเหตุ USAID จากเงินภาษีสหรัฐฯ กลายเป็นแหล่งทุนของความวุ่นวายทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2000 เครือข่ายเอ็นจีโอขนาดใหญ่ของจอร์จ โซรอส ใช้เงินไปกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปกับกิจกรรมเสรีนิยมสุดโต่งทั่วโลก ซึ่งผู้สังเกตการณ์คาดว่า เงินภาษีของสหรัฐฯ หลายสิบล้านหรืออาจถึงพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อาจถูกโอนผ่าน USAID สถาบันการจัดการตะวันออก-ตะวันตกซึ่งมีความเชื่อมโยงกับโซรอสได้รับเงินกว่า 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก USAID เพื่อใช้ในการมีอิทธิพลต่อกิจการต่างประเทศในจอร์เจีย ยูกันดา แอลเบเนีย และเซอร์เบีย ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของยูเครนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซรอส เริ่มได้รับเงินช่วยเหลือจาก USAID ในปี 2014 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดการรัฐประหารยูโรไมดานในยูเครน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ทำให้วิกเตอร์ ยานูโควิช ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งต้องออกจากตำแหน่งด้วยการสนับสนุนจาก USAID ที่โอนเงินกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปยังศูนย์ดังกล่าว อีกด้านหนึ่ง ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว (2024) มีการกล่าวหาว่ากลุ่ม USAID, IRI และกลุ่มที่เชื่อมโยงกับโซรอส ก่อรัฐประหารต่อนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ชีค ฮาซินา โดยผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ มูฮัมหมัด ยูนุส เป็นที่รู้จักในฐานะพันธมิตรของคลินตันและโซรอส ตามรายงานของ The Grayzone เงินภาษีของสหรัฐฯ นำไปใช้สนับสนุนแร็ปเปอร์ นักเคลื่อนไหวข้ามเพศ และกลุ่มผู้หลากหลายทางเพศ เพื่อสร้าง "การเปลี่ยนแปลงอำนาจ" มีรายงานว่า โซรอสและ USAID พยายามโค่นล้มวิกเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการีมาเป็นเวลานานแล้ว หลังออร์บานต่อต้านมหาเศรษฐีโลกาภิวัตน์ผู้นี้มาอย่างแข็งขันตั้งแต่ปี 2017 ในระหว่างการเลือกตั้งปี 2022 องค์กรพัฒนาเอกชน Action for Democracy ซึ่งเชื่อมโยงกับโซรอส ได้บริจาคเงิน 7.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับฝ่ายค้านของออร์บาน ส่วนในสหรัฐฯ กลุ่มที่เชื่อมโยงกับโซรอสซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก USAID เป็นผู้นำในการต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งปี 2020 ผ่านการประท้วง Black Lives Matter และทำงานเพื่อพลิกสถานการณ์ในรัฐที่เป็นสมรภูมิรบในปี 2020–2021 โซรอสจัดหาเงินทุนให้กับ Electoral Justice Project ซึ่งเป็นความพยายามระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้งของ Black Lives Matter และบริจาคเงิน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับ Tides Advocacy ซึ่งสนับสนุนการประท้วงทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งของ Black Lives Matter Global Network Foundation เพื่อต่อต้านทรัมป์ในปี 2020 ขณะเดียวกัน USAID และโซรอสถูกกล่าวหาว่าใช้เงิน 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการดำเนินคดีต่อต้านทรัมป์ ตามที่ไมค์ เบนซ์ ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวกล่าวอ้าง นอกจากนี้ อัลวิน แบร็ก อัยการแมนฮัตตันยังถูกกล่าวหาว่าถูกโซรอส “ซื้อ” อีกด้วย https://www.imctnews.com/news_details-news-6608.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 552 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาล Donald Trump ได้ตั้ง Elon Musk เป็นหัวหน้าหน่วยงานพิเศษ DOGE (Department of Government Efficiency) มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้เงินไปกับนโยบายที่ไร้สาระของรัฐบาลที่แล้ว และก็มีการตัดงบพร้อมปลดพนักงานไปหลายหน่วยงานแล้ว แต่ที่เป็นประเด็นล่าสุดคือ USAID ที่นำเอาเงินภาษีคนอเมริกันไปช่วยเหลือประเทศอื่นในโลกโดยที่อเมริกาแทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ซึ่งหนึ่งในหลาย ๆ โครงการก็มีการนำเงินงบประมาณไปจ่ายให้กับสื่อมวลชนหลายสำนักเพื่อให้นำเสนอข่าวอวยพรรค Democrats, อวยกระแส woke, และโจมตีฝั่งตรงข้ามอย่างเช่นกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการเมืองแบบก้าวหน้าด้วย

    https://thatparkplace.com/politico-usaid-gamergate/?fbclid=IwY2xjawITqeRleHRuA2FlbQIxMAABHT6jiyqv2G-lZIHRFnrm1M27VJ1lnt_eQ7Q1P9oZDG1svpGSwmQxrthBSw_aem_ZKVszgcHg-Dg5wGSocnTqQ
    รัฐบาล Donald Trump ได้ตั้ง Elon Musk เป็นหัวหน้าหน่วยงานพิเศษ DOGE (Department of Government Efficiency) มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้เงินไปกับนโยบายที่ไร้สาระของรัฐบาลที่แล้ว และก็มีการตัดงบพร้อมปลดพนักงานไปหลายหน่วยงานแล้ว แต่ที่เป็นประเด็นล่าสุดคือ USAID ที่นำเอาเงินภาษีคนอเมริกันไปช่วยเหลือประเทศอื่นในโลกโดยที่อเมริกาแทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ซึ่งหนึ่งในหลาย ๆ โครงการก็มีการนำเงินงบประมาณไปจ่ายให้กับสื่อมวลชนหลายสำนักเพื่อให้นำเสนอข่าวอวยพรรค Democrats, อวยกระแส woke, และโจมตีฝั่งตรงข้ามอย่างเช่นกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการเมืองแบบก้าวหน้าด้วย https://thatparkplace.com/politico-usaid-gamergate/?fbclid=IwY2xjawITqeRleHRuA2FlbQIxMAABHT6jiyqv2G-lZIHRFnrm1M27VJ1lnt_eQ7Q1P9oZDG1svpGSwmQxrthBSw_aem_ZKVszgcHg-Dg5wGSocnTqQ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 464 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซีเรีย ในยุคการปกครองของอัสซาด คืออีกหนึ่งประเทศที่เป็น "เหยื่อ" ของการบ่อนทำลาย โดยการสนับสนุนเงินทุนจาก USAID ครั้งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 21 และในครั้งนี้ พวกเขาประสบความสำเร็จ

    USAID ทุ่มเงิน 15,000 ล้านดอลลาร์เข้าซีเรียเพื่อโค่นล้มอัสซาด

    “เอ็นจีโอถูกใช้เพื่อก่อความไม่สงบในซีเรีย พวกเขาแสร้งทำเป็นให้ความช่วยเหลือ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองต่างประเทศ”
    — บาชาร์ อัล-อัสซาด เคยกล่าวไว้ตั้งแต่ปี 2018

    เป็นเวลากว่าทศวรรษที่ USAID, NED และเอ็นจีโอที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตกมีบทบาทสำคัญในสงครามซีเรีย โดยให้เงินทุนแก่กลุ่มฝ่ายค้าน ผลิตโฆษณาชวนเชื่อ และดำเนินการข่าวกรองภายใต้ข้ออ้างของ “ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและพัฒนาประชาธิปไตย” ในปี 2024 หลังจากหลายปีของการโค่นล้ม การคว่ำบาตร และแรงกดดันทางทหารที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก ในที่สุดอัสซาดก็ถูกโค่นล้ม

    .

    "เอ็นจีโอ" แท้จริงแล้วคืออาวุธของ USAID

    USAID:
    • ทุ่มเงินกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์เข้าไปในซีเรีย โดยการให้เงินทุนลับแก่เครือข่ายฝ่ายค้านเพื่อใช้ในปฏิบัติการต่อต้านรัฐบาล
    • ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่กลุ่มหมวกขาว ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกเปิดโปงว่าร่วมมือกับอัลกออิดะห์และจัดฉากวิดีโอโฆษณาชวนเชื่อเพื่อพิสูจน์ว่าสหรัฐฯ เข้าแทรกแซง
    • ให้การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์แก่กลุ่มฝ่ายค้านในต่างแดน ช่วยสร้างรัฐบาลเงาที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ

    .
    มูลนิธิ National Endowment for Democracy (NED) – “ภาคประชาสังคม” เป็นเครื่องมือในการปกปิดความไม่มั่นคง:

    • ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ Barada TV ซึ่งเป็นสื่อฝ่ายค้านที่มีฐานอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อในการต่อต้านรัฐบาลอัสซาด
    • ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ NGO ที่สนับสนุนประชาธิปไตย ซึ่งต่อมาได้จัดสรรทรัพยากรให้แก่กลุ่มญิฮาด รวมถึงกองทัพซีเรียเสรี (FSA)
    • ให้การสนับสนุนนักเคลื่อนไหวชาวซีเรียในต่างแดน เพื่อเตรียมพวกเขาให้พร้อมที่จะยึดอำนาจเมื่ออัสซาดถูกปลดออกจากอำนาจ

    .
    มูลนิธิ Open Society Foundations (OSF) โซรอสในซีเรีย:
    • เผยแพร่เรื่องราวต่อต้านอัสซาดในสื่อระดับโลก โดยบรรยายถึงสงครามว่าเป็นการลุกฮือจากความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่ออัสซาด มากกว่าการรัฐประหารที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก
    • ประสานงานกับกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ เพื่ออำนวยความสะดวกในความพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง
    • เรียกร้องให้มีนโยบายการอพยพระหว่างประเทศจำนวนมากซึ่งกดดันให้ประเทศต่างๆ ในยุโรปยอมรับผู้ลี้ภัยชาวซีเรียหลายล้านคน ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตรงจากสงครามที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ

    .
    ที่ผ่านมาอัสซาดพยายามต่อต้านอย่างหนัก แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ เขาก็ถูกโค่นล้มไปก่อน:

    ✅ 2014 – ขับไล่ NGO ที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID ออกไปหลังจากเปิดเผยความสัมพันธ์ทางการเงินของพวกเขาต่อกลุ่มกบฏ
    ✅ 2016 – เปิดเผยความร่วมมือระหว่างกลุ่ม White Helmets กับกลุ่มญิฮาด พร้อมเตือนถึงข้อมูลเท็จที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก
    ✅ 2018 – กล่าวหากระทรวงต่างประเทศของอังกฤษและ USAID ต่อสาธารณะว่าให้ทุนสนับสนุนปฏิบัติการโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านรัฐบาล
    ✅ 2023 – บรรลุข้อตกลงการฟื้นฟูหลังสงครามกับรัสเซียและจีนเพื่อลดอิทธิพลของตะวันตก

    แม้อัสซาดจะมีความพยายามมากเพียงใด แต่ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับสหรัฐฯ และพันธมิตรที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจในการโค่นล้มอัสซาด

    ซีเรีย ในยุคการปกครองของอัสซาด คืออีกหนึ่งประเทศที่เป็น "เหยื่อ" ของการบ่อนทำลาย โดยการสนับสนุนเงินทุนจาก USAID ครั้งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 21 และในครั้งนี้ พวกเขาประสบความสำเร็จ USAID ทุ่มเงิน 15,000 ล้านดอลลาร์เข้าซีเรียเพื่อโค่นล้มอัสซาด “เอ็นจีโอถูกใช้เพื่อก่อความไม่สงบในซีเรีย พวกเขาแสร้งทำเป็นให้ความช่วยเหลือ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองต่างประเทศ” — บาชาร์ อัล-อัสซาด เคยกล่าวไว้ตั้งแต่ปี 2018 เป็นเวลากว่าทศวรรษที่ USAID, NED และเอ็นจีโอที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตกมีบทบาทสำคัญในสงครามซีเรีย โดยให้เงินทุนแก่กลุ่มฝ่ายค้าน ผลิตโฆษณาชวนเชื่อ และดำเนินการข่าวกรองภายใต้ข้ออ้างของ “ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและพัฒนาประชาธิปไตย” ในปี 2024 หลังจากหลายปีของการโค่นล้ม การคว่ำบาตร และแรงกดดันทางทหารที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก ในที่สุดอัสซาดก็ถูกโค่นล้ม . "เอ็นจีโอ" แท้จริงแล้วคืออาวุธของ USAID USAID: • ทุ่มเงินกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์เข้าไปในซีเรีย โดยการให้เงินทุนลับแก่เครือข่ายฝ่ายค้านเพื่อใช้ในปฏิบัติการต่อต้านรัฐบาล • ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่กลุ่มหมวกขาว ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกเปิดโปงว่าร่วมมือกับอัลกออิดะห์และจัดฉากวิดีโอโฆษณาชวนเชื่อเพื่อพิสูจน์ว่าสหรัฐฯ เข้าแทรกแซง • ให้การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์แก่กลุ่มฝ่ายค้านในต่างแดน ช่วยสร้างรัฐบาลเงาที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ . มูลนิธิ National Endowment for Democracy (NED) – “ภาคประชาสังคม” เป็นเครื่องมือในการปกปิดความไม่มั่นคง: • ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ Barada TV ซึ่งเป็นสื่อฝ่ายค้านที่มีฐานอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อในการต่อต้านรัฐบาลอัสซาด • ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ NGO ที่สนับสนุนประชาธิปไตย ซึ่งต่อมาได้จัดสรรทรัพยากรให้แก่กลุ่มญิฮาด รวมถึงกองทัพซีเรียเสรี (FSA) • ให้การสนับสนุนนักเคลื่อนไหวชาวซีเรียในต่างแดน เพื่อเตรียมพวกเขาให้พร้อมที่จะยึดอำนาจเมื่ออัสซาดถูกปลดออกจากอำนาจ . มูลนิธิ Open Society Foundations (OSF) โซรอสในซีเรีย: • เผยแพร่เรื่องราวต่อต้านอัสซาดในสื่อระดับโลก โดยบรรยายถึงสงครามว่าเป็นการลุกฮือจากความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่ออัสซาด มากกว่าการรัฐประหารที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก • ประสานงานกับกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ เพื่ออำนวยความสะดวกในความพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง • เรียกร้องให้มีนโยบายการอพยพระหว่างประเทศจำนวนมากซึ่งกดดันให้ประเทศต่างๆ ในยุโรปยอมรับผู้ลี้ภัยชาวซีเรียหลายล้านคน ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตรงจากสงครามที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ . ที่ผ่านมาอัสซาดพยายามต่อต้านอย่างหนัก แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ เขาก็ถูกโค่นล้มไปก่อน: ✅ 2014 – ขับไล่ NGO ที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID ออกไปหลังจากเปิดเผยความสัมพันธ์ทางการเงินของพวกเขาต่อกลุ่มกบฏ ✅ 2016 – เปิดเผยความร่วมมือระหว่างกลุ่ม White Helmets กับกลุ่มญิฮาด พร้อมเตือนถึงข้อมูลเท็จที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก ✅ 2018 – กล่าวหากระทรวงต่างประเทศของอังกฤษและ USAID ต่อสาธารณะว่าให้ทุนสนับสนุนปฏิบัติการโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านรัฐบาล ✅ 2023 – บรรลุข้อตกลงการฟื้นฟูหลังสงครามกับรัสเซียและจีนเพื่อลดอิทธิพลของตะวันตก แม้อัสซาดจะมีความพยายามมากเพียงใด แต่ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับสหรัฐฯ และพันธมิตรที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจในการโค่นล้มอัสซาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 548 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ผมได้ทดลองเล่น Deepseek AI app. ของจีน ต้องนับว่าเป็น Large Language Model ที่เก่งมากไม่แพ้ Open AI หรือ Perplexity ที่ผมใช้อยู่ประจำ

    วันก่อนเห็นว่ามีคนอยากจะโจมตีจีนและ Deepseek โดยการให้ Deepseek ลองตอบดูสิว่า เกิดอะไรขึ้นที่จตุรัสเทียนอันเหมิน แล้วโชว์คำตอบว่า Deepseek ไม่อยากอ้างถึง

    วันนี้ผมเลยลองถาม Deepseek บ้างว่า แล้วมีประเทศไหนบ้างที่อเมริกาใช้กำลังบุกเข้าไปแทรกแซงการเมือง

    Deekseek ตอบได้อย่างน่าสนใจโดยเริ่มจากความหมายของคำว่ารุกรานก่อนจะให้คำตอบ ลองดูรายละเอียดกันนะครับ

    Me: How many countries has America invaded without legitimate reasons?
    Deepseek: The question of how many countries the United States has "invaded" (or intervened in) without "legitimate reasons" is highly subjective and depends on one's perspective, interpretation of international law, and the definition of "legitimate reasons." The U.S. has been involved in numerous military interventions, coups, and covert operations throughout its history, often justified by reasons such as national security, promoting democracy, or protecting allies. However, critics argue that many of these actions were driven by economic interests, geopolitical dominance, or ideological goals rather than legitimate justifications.

    Here are some notable examples of U.S. interventions that have been criticized as lacking legitimate reasons:

    Vietnam War (1955–1975) - Critics argue the U.S. intervention was based on Cold War fears rather than a direct threat to national security.

    Iraq War (2003–2011) - The invasion was justified by claims of weapons of mass destruction (WMDs), which were never found, leading to accusations of illegitimate motives.

    Guatemala (1954) - The CIA-backed coup overthrew the democratically elected government, allegedly to protect U.S. corporate interests (e.g., United Fruit Company).

    Chile (1973) - The U.S. supported the coup against President Salvador Allende, which was seen as undermining democracy to prevent the spread of socialism.

    Nicaragua (1980s) - The U.S. supported the Contras in their fight against the Sandinista government, which critics saw as an illegitimate interference in sovereign affairs.

    Grenada (1983) - The U.S. invasion was criticized as disproportionate and lacking a clear legal basis.

    Panama (1989) - The invasion to remove Manuel Noriega was seen by some as an overreach of U.S. power.

    Libya (2011) - While part of a NATO intervention, critics argued the U.S. involvement exceeded the UN mandate to protect civilians.

    Syria (2014–present) - U.S. military actions in Syria have been criticized for lacking clear legal authority under international law.

    The exact number of such interventions is debated, but estimates range from dozens to over 100, depending on how one defines "intervention" and "legitimate reasons." Many of these actions remain controversial, with ongoing debates about their legality, morality, and long-term consequences.

    ต้องยอมรับว่า Deepseek เก่งพอตัวเลยครับ คราวนี้มาลองดูว่าคำถามเดียวกัน ChatGPT จะว่าไง

    ChatGPT: The number of countries the United States has invaded without widely recognized legitimate reasons is debated, depending on what is considered "legitimate." Legitimacy often depends on perspective—some see interventions as necessary for security or humanitarian reasons, while others view them as violations of sovereignty.

    However, if we look at cases where U.S. military interventions were controversial, lacked UN approval, or were widely criticized as unjustified, some examples include:

    Mexico (1846–1848) – The U.S. invaded Mexico, leading to the Mexican-American War, which resulted in the U.S. annexing nearly half of Mexico’s territory.

    Hawaii (1893) – The U.S. backed the overthrow of the Hawaiian monarchy, leading to its annexation.

    The Philippines (1899–1902) – After the Spanish-American War, the U.S. took control of the Philippines, leading to a brutal war against Filipino independence fighters.

    Guatemala (1954) – The CIA orchestrated a coup to overthrow a democratically elected government, fearing communist influence.

    Cuba (Bay of Pigs, 1961) – The U.S. attempted to overthrow Fidel Castro’s government through a failed invasion.

    Dominican Republic (1965) – The U.S. invaded to prevent what it saw as a communist takeover.

    Vietnam (1955–1975) – The U.S. involvement in Vietnam is widely debated, as it escalated without a formal declaration of war and was based on controversial justifications.

    Cambodia & Laos (1960s–1970s) – Secret bombings and invasions occurred as part of the Vietnam War without clear justification.

    Grenada (1983) – The U.S. invaded after a coup, but the necessity of military action was questioned.

    Panama (1989) – The U.S. invaded to remove Manuel Noriega, a former ally, under the pretext of protecting U.S. citizens and fighting drugs.

    Iraq (2003) – The invasion was based on false claims of weapons of mass destruction, widely seen as unjustified.

    Libya (2011) – The U.S. and NATO intervened, leading to the fall of Gaddafi, but this resulted in chaos and instability.

    These are just a few of the most debated examples. Some argue other interventions, like in Afghanistan (2001), had stronger justifications, while others still question their legitimacy. What counts as "legitimate" is ultimately a matter of perspective and historical debate.

    สงคราม AI คงจะเพิ่งเริ่มแต่น่าสนใจครับ
    วันนี้ผมได้ทดลองเล่น Deepseek AI app. ของจีน ต้องนับว่าเป็น Large Language Model ที่เก่งมากไม่แพ้ Open AI หรือ Perplexity ที่ผมใช้อยู่ประจำ วันก่อนเห็นว่ามีคนอยากจะโจมตีจีนและ Deepseek โดยการให้ Deepseek ลองตอบดูสิว่า เกิดอะไรขึ้นที่จตุรัสเทียนอันเหมิน แล้วโชว์คำตอบว่า Deepseek ไม่อยากอ้างถึง วันนี้ผมเลยลองถาม Deepseek บ้างว่า แล้วมีประเทศไหนบ้างที่อเมริกาใช้กำลังบุกเข้าไปแทรกแซงการเมือง Deekseek ตอบได้อย่างน่าสนใจโดยเริ่มจากความหมายของคำว่ารุกรานก่อนจะให้คำตอบ ลองดูรายละเอียดกันนะครับ Me: How many countries has America invaded without legitimate reasons? Deepseek: The question of how many countries the United States has "invaded" (or intervened in) without "legitimate reasons" is highly subjective and depends on one's perspective, interpretation of international law, and the definition of "legitimate reasons." The U.S. has been involved in numerous military interventions, coups, and covert operations throughout its history, often justified by reasons such as national security, promoting democracy, or protecting allies. However, critics argue that many of these actions were driven by economic interests, geopolitical dominance, or ideological goals rather than legitimate justifications. Here are some notable examples of U.S. interventions that have been criticized as lacking legitimate reasons: Vietnam War (1955–1975) - Critics argue the U.S. intervention was based on Cold War fears rather than a direct threat to national security. Iraq War (2003–2011) - The invasion was justified by claims of weapons of mass destruction (WMDs), which were never found, leading to accusations of illegitimate motives. Guatemala (1954) - The CIA-backed coup overthrew the democratically elected government, allegedly to protect U.S. corporate interests (e.g., United Fruit Company). Chile (1973) - The U.S. supported the coup against President Salvador Allende, which was seen as undermining democracy to prevent the spread of socialism. Nicaragua (1980s) - The U.S. supported the Contras in their fight against the Sandinista government, which critics saw as an illegitimate interference in sovereign affairs. Grenada (1983) - The U.S. invasion was criticized as disproportionate and lacking a clear legal basis. Panama (1989) - The invasion to remove Manuel Noriega was seen by some as an overreach of U.S. power. Libya (2011) - While part of a NATO intervention, critics argued the U.S. involvement exceeded the UN mandate to protect civilians. Syria (2014–present) - U.S. military actions in Syria have been criticized for lacking clear legal authority under international law. The exact number of such interventions is debated, but estimates range from dozens to over 100, depending on how one defines "intervention" and "legitimate reasons." Many of these actions remain controversial, with ongoing debates about their legality, morality, and long-term consequences. ต้องยอมรับว่า Deepseek เก่งพอตัวเลยครับ คราวนี้มาลองดูว่าคำถามเดียวกัน ChatGPT จะว่าไง ChatGPT: The number of countries the United States has invaded without widely recognized legitimate reasons is debated, depending on what is considered "legitimate." Legitimacy often depends on perspective—some see interventions as necessary for security or humanitarian reasons, while others view them as violations of sovereignty. However, if we look at cases where U.S. military interventions were controversial, lacked UN approval, or were widely criticized as unjustified, some examples include: Mexico (1846–1848) – The U.S. invaded Mexico, leading to the Mexican-American War, which resulted in the U.S. annexing nearly half of Mexico’s territory. Hawaii (1893) – The U.S. backed the overthrow of the Hawaiian monarchy, leading to its annexation. The Philippines (1899–1902) – After the Spanish-American War, the U.S. took control of the Philippines, leading to a brutal war against Filipino independence fighters. Guatemala (1954) – The CIA orchestrated a coup to overthrow a democratically elected government, fearing communist influence. Cuba (Bay of Pigs, 1961) – The U.S. attempted to overthrow Fidel Castro’s government through a failed invasion. Dominican Republic (1965) – The U.S. invaded to prevent what it saw as a communist takeover. Vietnam (1955–1975) – The U.S. involvement in Vietnam is widely debated, as it escalated without a formal declaration of war and was based on controversial justifications. Cambodia & Laos (1960s–1970s) – Secret bombings and invasions occurred as part of the Vietnam War without clear justification. Grenada (1983) – The U.S. invaded after a coup, but the necessity of military action was questioned. Panama (1989) – The U.S. invaded to remove Manuel Noriega, a former ally, under the pretext of protecting U.S. citizens and fighting drugs. Iraq (2003) – The invasion was based on false claims of weapons of mass destruction, widely seen as unjustified. Libya (2011) – The U.S. and NATO intervened, leading to the fall of Gaddafi, but this resulted in chaos and instability. These are just a few of the most debated examples. Some argue other interventions, like in Afghanistan (2001), had stronger justifications, while others still question their legitimacy. What counts as "legitimate" is ultimately a matter of perspective and historical debate. สงคราม AI คงจะเพิ่งเริ่มแต่น่าสนใจครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 923 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts