• บทความจาก TechRadar รายงานว่า Thomas Dohmke CEO ของ GitHub เชื่อว่าเด็กควรเรียนรู้การเขียนโค้ดตั้งแต่ยังเล็ก เช่นเดียวกับวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยเขาเน้นว่า AI ไม่ได้มาแทนที่นักพัฒนา แต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

    ✅ GitHub สนับสนุนให้เด็กเรียนรู้การเขียนโค้ดตั้งแต่ยังเล็ก
    - Dohmke เชื่อว่าการเขียนโค้ดควรเป็น วิชาหลักในโรงเรียน เช่นเดียวกับฟิสิกส์และภูมิศาสตร์
    - นักพัฒนายังคงเป็นที่ต้องการ แม้ AI จะช่วยลดงานที่ต้องทำด้วยตนเอง

    ✅ AI ช่วยให้การพัฒนาโปรแกรมง่ายขึ้น แต่ไม่แทนที่นักพัฒนา
    - เครื่องมือ AI เช่น GitHub Copilot ช่วยให้การเขียนโค้ดเร็วขึ้น
    - นักพัฒนาสามารถใช้ AI เพื่อ ลดงานที่ซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพ

    ✅ การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักพัฒนา
    - Dohmke เน้นว่า นักพัฒนาต้องเรียนรู้และปรับตัวอยู่เสมอ
    - หากหยุดเรียนรู้ อาจทำให้ ตกยุคและสูญเสียโอกาสในอุตสาหกรรม

    ✅ GitHub ยังคงพัฒนาเครื่องมือ AI เพื่อช่วยนักพัฒนา
    - Copilot มีฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้ดีขึ้น
    - AI ไม่ได้ลดจำนวนงาน แต่ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้มากขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/forget-ai-children-still-need-to-learn-how-to-code-github-ceo-says-heres-how-you-can-get-them-to-start
    บทความจาก TechRadar รายงานว่า Thomas Dohmke CEO ของ GitHub เชื่อว่าเด็กควรเรียนรู้การเขียนโค้ดตั้งแต่ยังเล็ก เช่นเดียวกับวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยเขาเน้นว่า AI ไม่ได้มาแทนที่นักพัฒนา แต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ✅ GitHub สนับสนุนให้เด็กเรียนรู้การเขียนโค้ดตั้งแต่ยังเล็ก - Dohmke เชื่อว่าการเขียนโค้ดควรเป็น วิชาหลักในโรงเรียน เช่นเดียวกับฟิสิกส์และภูมิศาสตร์ - นักพัฒนายังคงเป็นที่ต้องการ แม้ AI จะช่วยลดงานที่ต้องทำด้วยตนเอง ✅ AI ช่วยให้การพัฒนาโปรแกรมง่ายขึ้น แต่ไม่แทนที่นักพัฒนา - เครื่องมือ AI เช่น GitHub Copilot ช่วยให้การเขียนโค้ดเร็วขึ้น - นักพัฒนาสามารถใช้ AI เพื่อ ลดงานที่ซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักพัฒนา - Dohmke เน้นว่า นักพัฒนาต้องเรียนรู้และปรับตัวอยู่เสมอ - หากหยุดเรียนรู้ อาจทำให้ ตกยุคและสูญเสียโอกาสในอุตสาหกรรม ✅ GitHub ยังคงพัฒนาเครื่องมือ AI เพื่อช่วยนักพัฒนา - Copilot มีฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้ดีขึ้น - AI ไม่ได้ลดจำนวนงาน แต่ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้มากขึ้น https://www.techradar.com/pro/forget-ai-children-still-need-to-learn-how-to-code-github-ceo-says-heres-how-you-can-get-them-to-start
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • GRAPHIC VIDEO shows victim lying bloody and motionless during Florida State shooting

    Gunshots heard in distance.

    #US #Shooting
    GRAPHIC VIDEO shows victim lying bloody and motionless during Florida State shooting Gunshots heard in distance. #US #Shooting
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 5 0 รีวิว
  • How he suffers from the endless cunning of the devils! #GazaGenocide
    How he suffers from the endless cunning of the devils! #GazaGenocide
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple กำลังเผชิญกับปัญหาภายในที่ส่งผลให้ Siri ล้าหลังคู่แข่งด้าน AI อย่าง OpenAI และ Google โดยมีรายงานว่า ความขัดแย้งระหว่างทีมพัฒนา และ การขาดวิสัยทัศน์ของผู้นำ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ Siri ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ระดับที่แข่งขันได้

    ✅ Apple ล้มเหลวในการพัฒนา Siri ให้ทันคู่แข่ง
    - Apple ต้องเลื่อนการเปิดตัวฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Siri เนื่องจาก ปัญหาด้านเทคนิคและการบริหารจัดการ
    - อดีตพนักงานของ Apple ระบุว่า การขาดวิสัยทัศน์และการเน้นพัฒนาเพียงฟีเจอร์เล็กๆ เป็นอุปสรรคสำคัญ

    ✅ ความขัดแย้งระหว่างทีมพัฒนา AI และวิศวกรซอฟต์แวร์
    - ทีม AI ได้รับ เงินเดือนสูงกว่า, การเลื่อนตำแหน่งเร็วกว่า และมีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นกว่า
    - ทีมวิศวกรซอฟต์แวร์รู้สึกว่า ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และมีการบันทึกหลักฐานเพื่อโยนความผิดให้ทีมอื่นหากโครงการล้มเหลว

    ✅ อดีตหัวหน้าทีม AI ของ Apple ไม่เชื่อว่า Chatbots มีประโยชน์
    - John Giannandrea เคยบอกทีมงานในปี 2022 ว่า Chatbots อย่าง ChatGPT ไม่มีประโยชน์
    - ในปี 2023 Apple สั่งห้ามวิศวกร ใช้โมเดล AI จากบริษัทอื่น แม้จะเห็นว่าเทคโนโลยีของ Apple ยังตามหลังคู่แข่ง

    ✅ Craig Federighi เข้ามากู้สถานการณ์ Siri
    - Federighi ได้สั่งให้ทีม Siri ทำทุกวิถีทางเพื่อพัฒนา AI ให้ดีขึ้น
    - Apple อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทีมเพื่อแก้ไขปัญหาภายใน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/16/hey-siri-explain-how-internal-feuding-at-apple-left-the-company-losing-the-ai-race
    Apple กำลังเผชิญกับปัญหาภายในที่ส่งผลให้ Siri ล้าหลังคู่แข่งด้าน AI อย่าง OpenAI และ Google โดยมีรายงานว่า ความขัดแย้งระหว่างทีมพัฒนา และ การขาดวิสัยทัศน์ของผู้นำ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ Siri ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ระดับที่แข่งขันได้ ✅ Apple ล้มเหลวในการพัฒนา Siri ให้ทันคู่แข่ง - Apple ต้องเลื่อนการเปิดตัวฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Siri เนื่องจาก ปัญหาด้านเทคนิคและการบริหารจัดการ - อดีตพนักงานของ Apple ระบุว่า การขาดวิสัยทัศน์และการเน้นพัฒนาเพียงฟีเจอร์เล็กๆ เป็นอุปสรรคสำคัญ ✅ ความขัดแย้งระหว่างทีมพัฒนา AI และวิศวกรซอฟต์แวร์ - ทีม AI ได้รับ เงินเดือนสูงกว่า, การเลื่อนตำแหน่งเร็วกว่า และมีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นกว่า - ทีมวิศวกรซอฟต์แวร์รู้สึกว่า ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และมีการบันทึกหลักฐานเพื่อโยนความผิดให้ทีมอื่นหากโครงการล้มเหลว ✅ อดีตหัวหน้าทีม AI ของ Apple ไม่เชื่อว่า Chatbots มีประโยชน์ - John Giannandrea เคยบอกทีมงานในปี 2022 ว่า Chatbots อย่าง ChatGPT ไม่มีประโยชน์ - ในปี 2023 Apple สั่งห้ามวิศวกร ใช้โมเดล AI จากบริษัทอื่น แม้จะเห็นว่าเทคโนโลยีของ Apple ยังตามหลังคู่แข่ง ✅ Craig Federighi เข้ามากู้สถานการณ์ Siri - Federighi ได้สั่งให้ทีม Siri ทำทุกวิถีทางเพื่อพัฒนา AI ให้ดีขึ้น - Apple อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทีมเพื่อแก้ไขปัญหาภายใน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/16/hey-siri-explain-how-internal-feuding-at-apple-left-the-company-losing-the-ai-race
    WWW.THESTAR.COM.MY
    ‘Hey Siri: Explain how internal feuding at Apple left the company losing the AI race’
    A damning expose of Apple's missteps trying upgrade Siri delivers a masterclass on how competing teams build resentment inside a company.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • Zoom ได้แก้ไขปัญหาขัดข้องที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้หลายพันคนทั่วโลก โดยเหตุการณ์นี้ทำให้บริการต่างๆ เช่น เว็บไซต์, วิดีโอคอล และแอปพลิเคชัน ไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราว

    ✅ Zoom ประสบปัญหาขัดข้องทั่วโลก และได้รับการแก้ไขแล้ว
    - ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อ เว็บไซต์, วิดีโอคอล และแอปพลิเคชัน
    - Downdetector รายงานว่ามีผู้ใช้ 67,280 ราย แจ้งปัญหาในช่วงเวลาสูงสุด

    ✅ ผู้ใช้ในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ รายงานปัญหาการเข้าถึง Zoom
    - ปัญหานี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก
    - Zoom ได้แจ้งผ่าน แพลตฟอร์ม X ว่าบริการได้รับการกู้คืนแล้ว

    ✅ Downdetector ใช้ข้อมูลจากผู้ใช้เพื่อวิเคราะห์ปัญหาขัดข้อง
    - ระบบรวบรวมข้อมูลจาก รายงานของผู้ใช้และแหล่งข้อมูลอื่นๆ
    - ช่วยให้สามารถติดตามปัญหาขัดข้องของบริการออนไลน์ได้แบบเรียลไทม์

    ✅ Zoom เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอคอลที่ได้รับความนิยมสูง
    - มีผู้ใช้หลายล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะในภาคธุรกิจและการศึกษา
    - การขัดข้องของระบบอาจส่งผลกระทบต่อการประชุมและการเรียนออนไลน์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/17/zoom-down-for-thousands-of-users-downdetector-shows
    Zoom ได้แก้ไขปัญหาขัดข้องที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้หลายพันคนทั่วโลก โดยเหตุการณ์นี้ทำให้บริการต่างๆ เช่น เว็บไซต์, วิดีโอคอล และแอปพลิเคชัน ไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราว ✅ Zoom ประสบปัญหาขัดข้องทั่วโลก และได้รับการแก้ไขแล้ว - ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อ เว็บไซต์, วิดีโอคอล และแอปพลิเคชัน - Downdetector รายงานว่ามีผู้ใช้ 67,280 ราย แจ้งปัญหาในช่วงเวลาสูงสุด ✅ ผู้ใช้ในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ รายงานปัญหาการเข้าถึง Zoom - ปัญหานี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก - Zoom ได้แจ้งผ่าน แพลตฟอร์ม X ว่าบริการได้รับการกู้คืนแล้ว ✅ Downdetector ใช้ข้อมูลจากผู้ใช้เพื่อวิเคราะห์ปัญหาขัดข้อง - ระบบรวบรวมข้อมูลจาก รายงานของผู้ใช้และแหล่งข้อมูลอื่นๆ - ช่วยให้สามารถติดตามปัญหาขัดข้องของบริการออนไลน์ได้แบบเรียลไทม์ ✅ Zoom เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอคอลที่ได้รับความนิยมสูง - มีผู้ใช้หลายล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะในภาคธุรกิจและการศึกษา - การขัดข้องของระบบอาจส่งผลกระทบต่อการประชุมและการเรียนออนไลน์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/17/zoom-down-for-thousands-of-users-downdetector-shows
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Zoom restored after outage affects thousands of users globally
    (Reuters) - Video-conferencing platform Zoom Communications said on Wednesday it had resolved a global outage that disrupted its services, including its website, video calls and application, affecting thousands of users worldwide.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • X (เดิมคือ Twitter) ได้เปิดเผยรายงานทางการเงินล่าสุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รายได้และกำไรของบริษัทในสหราชอาณาจักรลดลงอย่างมาก หลังจาก Elon Musk เข้าซื้อกิจการและทำการรีแบรนด์แพลตฟอร์ม

    ✅ รายได้ของ X UK ลดลง 66% ในปี 2023
    - รายได้ลดลงจาก £205.3 ล้านในปี 2022 เหลือเพียง £69.1 ล้านในปี 2023
    - กำไรลดลงจาก £5.6 ล้าน เหลือ £1.2 ล้าน ในช่วงเวลาเดียวกัน

    ✅ สาเหตุหลักของการลดลงของรายได้
    - X ระบุว่าการลดลงเกิดจาก การถอนตัวของผู้ลงโฆษณา ที่กังวลเกี่ยวกับ ความปลอดภัยของแบรนด์และการควบคุมเนื้อหา
    - Musk เคยขู่ที่จะ เปิดเผยรายชื่อบริษัทที่ถอนโฆษณา เพื่อกดดันให้พวกเขากลับมาใช้บริการ

    ✅ การลดจำนวนพนักงานของ X UK
    - จำนวนพนักงานลดลงจาก 399 คน เหลือเพียง 114 คน โดยส่วนใหญ่เป็นทีมวิจัยและพัฒนา
    - การลดพนักงานอาจส่งผลต่อการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่และการปรับปรุงแพลตฟอร์ม

    ✅ การประเมินมูลค่าของ X หลังการซื้อกิจการ
    - แม้ X UK จะประสบปัญหาทางการเงิน แต่ xAI ของ Musk ได้ซื้อ X ในราคา $33 พันล้าน ทำให้มูลค่าของบริษัทดูเหมือนจะกลับมาใกล้เคียงกับราคาซื้อเดิมที่ $44 พันล้าน
    - การลงทุนจาก xAI อาจช่วยให้ X มีเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น

    ✅ มาตรการแก้ไขของ X
    - X ระบุว่ากำลัง ปรับปรุงเครื่องมือด้านความปลอดภัยของแบรนด์ และ เพิ่มการควบคุมเนื้อหา เพื่อดึงดูดผู้ลงโฆษณากลับมา
    - บริษัทกำลังพยายาม ให้ความรู้แก่ผู้ลงโฆษณาเกี่ยวกับมาตรการใหม่ เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้แพลตฟอร์ม

    https://www.neowin.net/news/new-report-reveals-how-much-xs-profits-nosedived-after-musk-took-over/
    X (เดิมคือ Twitter) ได้เปิดเผยรายงานทางการเงินล่าสุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รายได้และกำไรของบริษัทในสหราชอาณาจักรลดลงอย่างมาก หลังจาก Elon Musk เข้าซื้อกิจการและทำการรีแบรนด์แพลตฟอร์ม ✅ รายได้ของ X UK ลดลง 66% ในปี 2023 - รายได้ลดลงจาก £205.3 ล้านในปี 2022 เหลือเพียง £69.1 ล้านในปี 2023 - กำไรลดลงจาก £5.6 ล้าน เหลือ £1.2 ล้าน ในช่วงเวลาเดียวกัน ✅ สาเหตุหลักของการลดลงของรายได้ - X ระบุว่าการลดลงเกิดจาก การถอนตัวของผู้ลงโฆษณา ที่กังวลเกี่ยวกับ ความปลอดภัยของแบรนด์และการควบคุมเนื้อหา - Musk เคยขู่ที่จะ เปิดเผยรายชื่อบริษัทที่ถอนโฆษณา เพื่อกดดันให้พวกเขากลับมาใช้บริการ ✅ การลดจำนวนพนักงานของ X UK - จำนวนพนักงานลดลงจาก 399 คน เหลือเพียง 114 คน โดยส่วนใหญ่เป็นทีมวิจัยและพัฒนา - การลดพนักงานอาจส่งผลต่อการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่และการปรับปรุงแพลตฟอร์ม ✅ การประเมินมูลค่าของ X หลังการซื้อกิจการ - แม้ X UK จะประสบปัญหาทางการเงิน แต่ xAI ของ Musk ได้ซื้อ X ในราคา $33 พันล้าน ทำให้มูลค่าของบริษัทดูเหมือนจะกลับมาใกล้เคียงกับราคาซื้อเดิมที่ $44 พันล้าน - การลงทุนจาก xAI อาจช่วยให้ X มีเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น ✅ มาตรการแก้ไขของ X - X ระบุว่ากำลัง ปรับปรุงเครื่องมือด้านความปลอดภัยของแบรนด์ และ เพิ่มการควบคุมเนื้อหา เพื่อดึงดูดผู้ลงโฆษณากลับมา - บริษัทกำลังพยายาม ให้ความรู้แก่ผู้ลงโฆษณาเกี่ยวกับมาตรการใหม่ เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้แพลตฟอร์ม https://www.neowin.net/news/new-report-reveals-how-much-xs-profits-nosedived-after-musk-took-over/
    WWW.NEOWIN.NET
    New report reveals how much X's profits nosedived after Musk took over
    It's been over two years since Elon Musk took over Twitter (now X), and we're just now seeing how hard its UK profits were hit.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • Steam มีเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบ ยอดเงินทั้งหมดที่เคยใช้จ่ายบนแพลตฟอร์ม ได้ โดยฟีเจอร์นี้ถูกซ่อนอยู่ใน Steam Support และสามารถเข้าถึงได้ผ่านเมนู Help > Steam Support > My Account > Data Related to Your Steam Account > External Funds Used

    ✅ Steam มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้ตรวจสอบยอดเงินที่ใช้จ่ายทั้งหมด
    - ผู้ใช้สามารถดูยอดรวมที่เคยใช้จ่ายบน Steam ได้ผ่าน External Funds Used
    - ระบบจะแสดงข้อมูลใน 5 หมวดหมู่ ได้แก่
    - TotalSpend: ยอดรวมทั้งหมดที่ใช้จ่ายบน Steam
    - OldSpend: ยอดที่ใช้จ่ายก่อนวันที่ 17 เมษายน 2015
    - PWSpend: ยอดที่ใช้จ่ายบนแพลตฟอร์ม Perfect World สำหรับ CS:GO หรือ Dota 2
    - ChinaSpend: ยอดที่ใช้จ่ายบน Steam China
    - PackageOnlySpend: ยอดที่ใช้จ่ายสำหรับการซื้อเกมโดยใช้เงินภายนอก

    ✅ ผู้ใช้บางรายพบว่าตนเองใช้จ่ายเงินจำนวนมากบน Steam
    - ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งพบว่าตนเองมี Steam Points กว่า 3,566,945 คะแนน ซึ่งหมายถึงการใช้จ่ายกว่า $35,000
    - ผู้ใช้บางคนพบว่าตนเองใช้จ่ายไปถึง $19,000 หรือ $15,000

    ✅ การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายกับการซื้อสินค้าอื่นๆ
    - หากซื้อเกม AAA ราคา $70 ต่อปี ตั้งแต่ปี 2003 จะใช้จ่ายไปประมาณ $4,620
    - เทียบกับการซื้อกาแฟ Starbucks ราคา $4.50 ทุกวัน เป็นเวลา 22 ปี จะใช้เงินไปถึง $17,820

    ✅ Steam ไม่อนุญาตให้ขายบัญชี
    - ตาม Steam Subscriber Agreement ผู้ใช้ไม่สามารถขายบัญชีของตนได้
    - เกมที่ซื้อบน Steam เป็นเพียง สิทธิ์ในการเล่น ไม่ใช่ทรัพย์สินที่สามารถขายต่อได้

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/buried-steam-tool-shows-how-much-youve-spent-on-your-account-in-your-lifetime
    Steam มีเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบ ยอดเงินทั้งหมดที่เคยใช้จ่ายบนแพลตฟอร์ม ได้ โดยฟีเจอร์นี้ถูกซ่อนอยู่ใน Steam Support และสามารถเข้าถึงได้ผ่านเมนู Help > Steam Support > My Account > Data Related to Your Steam Account > External Funds Used ✅ Steam มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้ตรวจสอบยอดเงินที่ใช้จ่ายทั้งหมด - ผู้ใช้สามารถดูยอดรวมที่เคยใช้จ่ายบน Steam ได้ผ่าน External Funds Used - ระบบจะแสดงข้อมูลใน 5 หมวดหมู่ ได้แก่ - TotalSpend: ยอดรวมทั้งหมดที่ใช้จ่ายบน Steam - OldSpend: ยอดที่ใช้จ่ายก่อนวันที่ 17 เมษายน 2015 - PWSpend: ยอดที่ใช้จ่ายบนแพลตฟอร์ม Perfect World สำหรับ CS:GO หรือ Dota 2 - ChinaSpend: ยอดที่ใช้จ่ายบน Steam China - PackageOnlySpend: ยอดที่ใช้จ่ายสำหรับการซื้อเกมโดยใช้เงินภายนอก ✅ ผู้ใช้บางรายพบว่าตนเองใช้จ่ายเงินจำนวนมากบน Steam - ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งพบว่าตนเองมี Steam Points กว่า 3,566,945 คะแนน ซึ่งหมายถึงการใช้จ่ายกว่า $35,000 - ผู้ใช้บางคนพบว่าตนเองใช้จ่ายไปถึง $19,000 หรือ $15,000 ✅ การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายกับการซื้อสินค้าอื่นๆ - หากซื้อเกม AAA ราคา $70 ต่อปี ตั้งแต่ปี 2003 จะใช้จ่ายไปประมาณ $4,620 - เทียบกับการซื้อกาแฟ Starbucks ราคา $4.50 ทุกวัน เป็นเวลา 22 ปี จะใช้เงินไปถึง $17,820 ✅ Steam ไม่อนุญาตให้ขายบัญชี - ตาม Steam Subscriber Agreement ผู้ใช้ไม่สามารถขายบัญชีของตนได้ - เกมที่ซื้อบน Steam เป็นเพียง สิทธิ์ในการเล่น ไม่ใช่ทรัพย์สินที่สามารถขายต่อได้ https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/buried-steam-tool-shows-how-much-youve-spent-on-your-account-in-your-lifetime
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google กำลังใช้ AI และโทรศัพท์ Pixel เพื่อพัฒนาโมเดลที่สามารถ เข้าใจและสื่อสารกับโลมา โดยโครงการนี้ใช้ DolphinGemma ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่สามารถวิเคราะห์เสียงของโลมา เช่น เสียงหวีด, คลิก และ squawk

    ✅ Google ใช้ AI เพื่อศึกษาภาษาของโลมา
    - โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Google, Georgia Tech และ Wild Dolphin Project (WDP)
    - WDP มีข้อมูลเสียงของโลมามากกว่า 40 ปี ซึ่งใช้ในการฝึกโมเดล DolphinGemma

    ✅ DolphinGemma วิเคราะห์เสียงโลมาเพื่อเข้าใจพฤติกรรม
    - โลมามี เสียงหวีดเฉพาะตัว ที่ใช้เรียกกันเหมือนชื่อ
    - ใช้ เสียงคลิก "buzzes" ในการเกี้ยวพาราสีหรือขับไล่ฉลาม
    - ใช้ เสียง burst-pulse "squarks" ในระหว่างการต่อสู้

    ✅ Pixel phones ถูกใช้ในการบันทึกเสียงโลมา
    - โทรศัพท์ Pixel ใช้ SoundStream tokenizer เพื่อแปลงเสียงโลมาเป็นข้อมูลที่ AI สามารถวิเคราะห์ได้
    - DolphinGemma มี 400 ล้านพารามิเตอร์ และสามารถทำงานบน Pixel ได้โดยตรง

    ✅ CHAT: ระบบสื่อสารสองทางกับโลมา
    - CHAT (Cetacean Hearing Augmentation Telemetry) ใช้ Pixel 6 เพื่อสร้าง เสียงหวีดสังเคราะห์
    - นักวิจัยหวังว่าโลมาจะเลียนแบบเสียงเหล่านี้เพื่อขอสิ่งที่ต้องการ เช่น สาหร่ายทะเลหรือผ้าพันคอ
    - Google เตรียมเปิดตัว CHAT รุ่นใหม่บน Pixel 9 สำหรับฤดูร้อนปี 2025

    https://www.techspot.com/news/107552-how-google-plans-use-ai-pixel-phones-talk.html
    Google กำลังใช้ AI และโทรศัพท์ Pixel เพื่อพัฒนาโมเดลที่สามารถ เข้าใจและสื่อสารกับโลมา โดยโครงการนี้ใช้ DolphinGemma ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่สามารถวิเคราะห์เสียงของโลมา เช่น เสียงหวีด, คลิก และ squawk ✅ Google ใช้ AI เพื่อศึกษาภาษาของโลมา - โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Google, Georgia Tech และ Wild Dolphin Project (WDP) - WDP มีข้อมูลเสียงของโลมามากกว่า 40 ปี ซึ่งใช้ในการฝึกโมเดล DolphinGemma ✅ DolphinGemma วิเคราะห์เสียงโลมาเพื่อเข้าใจพฤติกรรม - โลมามี เสียงหวีดเฉพาะตัว ที่ใช้เรียกกันเหมือนชื่อ - ใช้ เสียงคลิก "buzzes" ในการเกี้ยวพาราสีหรือขับไล่ฉลาม - ใช้ เสียง burst-pulse "squarks" ในระหว่างการต่อสู้ ✅ Pixel phones ถูกใช้ในการบันทึกเสียงโลมา - โทรศัพท์ Pixel ใช้ SoundStream tokenizer เพื่อแปลงเสียงโลมาเป็นข้อมูลที่ AI สามารถวิเคราะห์ได้ - DolphinGemma มี 400 ล้านพารามิเตอร์ และสามารถทำงานบน Pixel ได้โดยตรง ✅ CHAT: ระบบสื่อสารสองทางกับโลมา - CHAT (Cetacean Hearing Augmentation Telemetry) ใช้ Pixel 6 เพื่อสร้าง เสียงหวีดสังเคราะห์ - นักวิจัยหวังว่าโลมาจะเลียนแบบเสียงเหล่านี้เพื่อขอสิ่งที่ต้องการ เช่น สาหร่ายทะเลหรือผ้าพันคอ - Google เตรียมเปิดตัว CHAT รุ่นใหม่บน Pixel 9 สำหรับฤดูร้อนปี 2025 https://www.techspot.com/news/107552-how-google-plans-use-ai-pixel-phones-talk.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google's AI is learning dolphin language - for real
    Google has announced a collaboration with researchers at Georgia Tech and the field research of the Wild Dolphin Project (WDP), the latter of which has been collecting...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ได้เปิดตัว ฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยใหม่สำหรับ Android ซึ่งจะทำให้โทรศัพท์ของคุณ รีบูตอัตโนมัติ หากไม่ได้ใช้งานเป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน โดยฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Google Play Services update

    ✅ โทรศัพท์ Android จะรีบูตอัตโนมัติหากไม่ได้ใช้งาน 3 วัน
    - ฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยโดยบังคับให้ผู้ใช้ต้อง ป้อน PIN หลังจากรีบูต
    - ระบบจะไม่อนุญาตให้ใช้ การปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือหรือใบหน้า หลังจากรีบูต

    ✅ การทำงานของระบบล็อก BFU และ AFU
    - โทรศัพท์มี สองสถานะล็อก คือ Before First Unlock (BFU) และ After First Unlock (AFU)
    - ในสถานะ BFU ข้อมูลจะถูกเข้ารหัสอย่างแน่นหนา ทำให้ ไม่สามารถเข้าถึงได้แม้ใช้เครื่องมือแฮกขั้นสูง

    ✅ ผลกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมาย
    - ฟีเจอร์นี้อาจทำให้ ตำรวจหรือ FBI มีเวลาจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลบนโทรศัพท์ที่ถูกยึดเป็นหลักฐาน
    - Apple ได้เปิดตัวฟีเจอร์คล้ายกันสำหรับ iPhone เมื่อปีที่แล้ว

    ✅ การเปิดใช้งานและข้อจำกัด
    - ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Google System release notes เดือนเมษายน 2025
    - ใช้ได้กับ โทรศัพท์และแท็บเล็ต Android แต่ ไม่รองรับ Pixel Watch, Android Auto และทีวี

    https://www.zdnet.com/article/your-android-phone-is-getting-a-new-security-secret-weapon-how-it-works/
    Google ได้เปิดตัว ฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยใหม่สำหรับ Android ซึ่งจะทำให้โทรศัพท์ของคุณ รีบูตอัตโนมัติ หากไม่ได้ใช้งานเป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน โดยฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Google Play Services update ✅ โทรศัพท์ Android จะรีบูตอัตโนมัติหากไม่ได้ใช้งาน 3 วัน - ฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยโดยบังคับให้ผู้ใช้ต้อง ป้อน PIN หลังจากรีบูต - ระบบจะไม่อนุญาตให้ใช้ การปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือหรือใบหน้า หลังจากรีบูต ✅ การทำงานของระบบล็อก BFU และ AFU - โทรศัพท์มี สองสถานะล็อก คือ Before First Unlock (BFU) และ After First Unlock (AFU) - ในสถานะ BFU ข้อมูลจะถูกเข้ารหัสอย่างแน่นหนา ทำให้ ไม่สามารถเข้าถึงได้แม้ใช้เครื่องมือแฮกขั้นสูง ✅ ผลกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมาย - ฟีเจอร์นี้อาจทำให้ ตำรวจหรือ FBI มีเวลาจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลบนโทรศัพท์ที่ถูกยึดเป็นหลักฐาน - Apple ได้เปิดตัวฟีเจอร์คล้ายกันสำหรับ iPhone เมื่อปีที่แล้ว ✅ การเปิดใช้งานและข้อจำกัด - ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Google System release notes เดือนเมษายน 2025 - ใช้ได้กับ โทรศัพท์และแท็บเล็ต Android แต่ ไม่รองรับ Pixel Watch, Android Auto และทีวี https://www.zdnet.com/article/your-android-phone-is-getting-a-new-security-secret-weapon-how-it-works/
    WWW.ZDNET.COM
    Your Android phone is getting a new security secret weapon - how it works
    This new security feature from Google will make your Android phone more difficult to access if you haven't used it in a while.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • Rose finches in love showcasing in mixed media embroidery 🦜💞🪡
    #AiImage #IamAmatureAiCreator #ตามหากลุ่มAiCreator
    Rose finches in love showcasing in mixed media embroidery 🦜💞🪡 #AiImage #IamAmatureAiCreator #ตามหากลุ่มAiCreator
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึง ภัยคุกคามจากแฮกเกอร์ชาวเกาหลีเหนือ ที่แฝงตัวเข้ามาในบริษัทต่างๆ ทั่วโลกผ่านการสมัครงานในตำแหน่ง IT โดยใช้ ข้อมูลปลอมและเทคโนโลยี Deepfake เพื่อหลอกลวงนายจ้าง

    ✅ กลยุทธ์ของแฮกเกอร์เกาหลีเหนือ
    - ใช้ข้อมูลปลอม เช่น ชื่อและเอกสารของพลเมืองสหรัฐฯ
    - ใช้ Deepfake เพื่อปลอมแปลงใบหน้าระหว่างสัมภาษณ์งาน

    ✅ ภัยคุกคามต่อบริษัทต่างๆ
    - แฮกเกอร์ไม่ได้โจมตีระบบโดยตรง แต่ใช้สิทธิ์การเข้าถึงของพนักงาน
    - กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เตือนถึงภัยคุกคามนี้ตั้งแต่ปี 2022

    ✅ ตัวอย่างเหตุการณ์จริง
    - Christina Chapman ช่วยให้แฮกเกอร์ปลอมตัวเป็นพลเมืองสหรัฐฯ และสมัครงานในบริษัทกว่า 300 แห่ง
    - Oleksandr Didenko ขายบัญชีปลอมให้แฮกเกอร์เพื่อใช้สมัครงาน

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยขององค์กร
    - แฮกเกอร์สามารถใช้สิทธิ์ของพนักงานเพื่อเปิดทางให้กับการโจมตีไซเบอร์
    - บริษัทที่ไม่ตรวจสอบข้อมูลพนักงานอย่างละเอียดอาจตกเป็นเป้าหมาย

    ℹ️ คำแนะนำสำหรับการป้องกัน
    - ตรวจสอบข้อมูลผู้สมัครงานอย่างละเอียด รวมถึงการสัมภาษณ์แบบวิดีโอ
    - ใช้ระบบตรวจสอบตัวตนที่เข้มงวด เช่น การตรวจสอบเอกสารและที่อยู่

    https://www.csoonline.com/article/3497138/how-not-to-hire-a-north-korean-it-spy.html
    ข่าวนี้เล่าถึง ภัยคุกคามจากแฮกเกอร์ชาวเกาหลีเหนือ ที่แฝงตัวเข้ามาในบริษัทต่างๆ ทั่วโลกผ่านการสมัครงานในตำแหน่ง IT โดยใช้ ข้อมูลปลอมและเทคโนโลยี Deepfake เพื่อหลอกลวงนายจ้าง ✅ กลยุทธ์ของแฮกเกอร์เกาหลีเหนือ - ใช้ข้อมูลปลอม เช่น ชื่อและเอกสารของพลเมืองสหรัฐฯ - ใช้ Deepfake เพื่อปลอมแปลงใบหน้าระหว่างสัมภาษณ์งาน ✅ ภัยคุกคามต่อบริษัทต่างๆ - แฮกเกอร์ไม่ได้โจมตีระบบโดยตรง แต่ใช้สิทธิ์การเข้าถึงของพนักงาน - กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เตือนถึงภัยคุกคามนี้ตั้งแต่ปี 2022 ✅ ตัวอย่างเหตุการณ์จริง - Christina Chapman ช่วยให้แฮกเกอร์ปลอมตัวเป็นพลเมืองสหรัฐฯ และสมัครงานในบริษัทกว่า 300 แห่ง - Oleksandr Didenko ขายบัญชีปลอมให้แฮกเกอร์เพื่อใช้สมัครงาน ℹ️ ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยขององค์กร - แฮกเกอร์สามารถใช้สิทธิ์ของพนักงานเพื่อเปิดทางให้กับการโจมตีไซเบอร์ - บริษัทที่ไม่ตรวจสอบข้อมูลพนักงานอย่างละเอียดอาจตกเป็นเป้าหมาย ℹ️ คำแนะนำสำหรับการป้องกัน - ตรวจสอบข้อมูลผู้สมัครงานอย่างละเอียด รวมถึงการสัมภาษณ์แบบวิดีโอ - ใช้ระบบตรวจสอบตัวตนที่เข้มงวด เช่น การตรวจสอบเอกสารและที่อยู่ https://www.csoonline.com/article/3497138/how-not-to-hire-a-north-korean-it-spy.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How not to hire a North Korean IT spy
    CISOs are urged to carry out tighter vetting of new hires to ward off potential ‘moles’ — who are increasingly finding their way onto company payrolls and into their IT systems.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แรงดึงดูดสูง” จะไม่แสดงออกมากเกินควร คำพูดของพวกเขาฟังดูถ่อมตัวเช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ คนที่มีเสน่ห์มากที่สุดไม่ใช่คนที่ดูหรูหราที่สุด คนเหล่านี้มีแรงดึงดูดแต่ก็ยังแฝงไปด้วยความสุขุมเสมอเสน่ห์จะเพิ่มพูนขึ้นเมื่อคุณซื่อสัตย์กับตัวเองและผู้อื่น เมื่อคุณยอมรับในสิ่งที่คุณเป็นโดยไม่หันไปสวมบทบาทที่ไม่เหมาะกับตัวตนที่แท้จริงของคุณ

    บุคลิกที่ดูมีเสน่ห์ดึงดูดมีหลายรูปแบบและเราแต่ละคนสามารถเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดได้ตราบใดที่เราเป็นตัวของตัวเองใน ทุก ๆ สถานการณ์เช่นเดียวกับแมว

    แผ่เสน่ห์และแรงดึงดูดของคุณออกมา โดยเป็นตัวคุณที่จริงใจ สุขุม ไม่เติมแต่ง และเป็นตัวเองอย่างแท้จริง

    จากหนังสือ #HowToLiveLikeYourCat
    “แรงดึงดูดสูง” จะไม่แสดงออกมากเกินควร คำพูดของพวกเขาฟังดูถ่อมตัวเช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ คนที่มีเสน่ห์มากที่สุดไม่ใช่คนที่ดูหรูหราที่สุด คนเหล่านี้มีแรงดึงดูดแต่ก็ยังแฝงไปด้วยความสุขุมเสมอเสน่ห์จะเพิ่มพูนขึ้นเมื่อคุณซื่อสัตย์กับตัวเองและผู้อื่น เมื่อคุณยอมรับในสิ่งที่คุณเป็นโดยไม่หันไปสวมบทบาทที่ไม่เหมาะกับตัวตนที่แท้จริงของคุณ บุคลิกที่ดูมีเสน่ห์ดึงดูดมีหลายรูปแบบและเราแต่ละคนสามารถเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดได้ตราบใดที่เราเป็นตัวของตัวเองใน ทุก ๆ สถานการณ์เช่นเดียวกับแมว แผ่เสน่ห์และแรงดึงดูดของคุณออกมา โดยเป็นตัวคุณที่จริงใจ สุขุม ไม่เติมแต่ง และเป็นตัวเองอย่างแท้จริง จากหนังสือ #HowToLiveLikeYourCat
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft Research ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับความสามารถของ AI ในการดีบักโค้ด โดยพบว่าเครื่องมือ AI เช่น GitHub Copilot สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเขียนโค้ดได้ แต่ยังไม่สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดในโค้ดได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนมนุษย์ เนื่องจาก AI ยังขาดข้อมูลการตัดสินใจในกระบวนการดีบักที่ซับซ้อน

    เพื่อแก้ไขปัญหานี้ Microsoft ได้พัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียกว่า debug-gym ซึ่งช่วยให้ AI สามารถดีบักโค้ดในสถานการณ์จริงได้ โดยใช้เครื่องมือที่คล้ายกับที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้ ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า AI ที่ใช้ debug-gym สามารถแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงขั้นที่สามารถแทนที่มนุษย์ได้

    ✅ ผลการวิจัยเกี่ยวกับ AI และการดีบักโค้ด
    - เครื่องมือ AI เช่น GitHub Copilot ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเขียนโค้ด
    - AI ยังไม่สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดในโค้ดได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนมนุษย์

    ✅ การพัฒนาแพลตฟอร์ม debug-gym
    - Microsoft พัฒนา debug-gym เพื่อช่วยให้ AI ดีบักโค้ดในสถานการณ์จริง
    - ผลการทดลองแสดงว่า AI สามารถแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง

    ✅ ข้อจำกัดของ AI ในการดีบัก
    - AI ขาดข้อมูลการตัดสินใจในกระบวนการดีบักที่ซับซ้อน
    - การแก้ไขข้อผิดพลาดในโค้ดยังต้องพึ่งพามนุษย์

    ℹ️ ความเสี่ยงจากการใช้ AI ในการดีบัก
    - การพึ่งพา AI ในการดีบักอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของซอฟต์แวร์
    - ข้อผิดพลาดในโค้ดที่ไม่ได้รับการแก้ไขอาจส่งผลกระทบต่อระบบ

    ℹ️ คำแนะนำสำหรับการพัฒนา AI
    - ควรเพิ่มข้อมูลการตัดสินใจในกระบวนการดีบักในชุดข้อมูลการฝึก AI

    https://www.techspot.com/news/107523-microsoft-research-shows-ai-coding-tools-fall-short.html
    Microsoft Research ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับความสามารถของ AI ในการดีบักโค้ด โดยพบว่าเครื่องมือ AI เช่น GitHub Copilot สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเขียนโค้ดได้ แต่ยังไม่สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดในโค้ดได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนมนุษย์ เนื่องจาก AI ยังขาดข้อมูลการตัดสินใจในกระบวนการดีบักที่ซับซ้อน เพื่อแก้ไขปัญหานี้ Microsoft ได้พัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียกว่า debug-gym ซึ่งช่วยให้ AI สามารถดีบักโค้ดในสถานการณ์จริงได้ โดยใช้เครื่องมือที่คล้ายกับที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้ ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า AI ที่ใช้ debug-gym สามารถแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงขั้นที่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ ✅ ผลการวิจัยเกี่ยวกับ AI และการดีบักโค้ด - เครื่องมือ AI เช่น GitHub Copilot ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเขียนโค้ด - AI ยังไม่สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดในโค้ดได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนมนุษย์ ✅ การพัฒนาแพลตฟอร์ม debug-gym - Microsoft พัฒนา debug-gym เพื่อช่วยให้ AI ดีบักโค้ดในสถานการณ์จริง - ผลการทดลองแสดงว่า AI สามารถแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง ✅ ข้อจำกัดของ AI ในการดีบัก - AI ขาดข้อมูลการตัดสินใจในกระบวนการดีบักที่ซับซ้อน - การแก้ไขข้อผิดพลาดในโค้ดยังต้องพึ่งพามนุษย์ ℹ️ ความเสี่ยงจากการใช้ AI ในการดีบัก - การพึ่งพา AI ในการดีบักอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ - ข้อผิดพลาดในโค้ดที่ไม่ได้รับการแก้ไขอาจส่งผลกระทบต่อระบบ ℹ️ คำแนะนำสำหรับการพัฒนา AI - ควรเพิ่มข้อมูลการตัดสินใจในกระบวนการดีบักในชุดข้อมูลการฝึก AI https://www.techspot.com/news/107523-microsoft-research-shows-ai-coding-tools-fall-short.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Microsoft research shows AI coding tools fall short in key debugging tasks
    The Microsoft Research study acknowledges that while today's AI coding tools can boost productivity by suggesting examples, they are limited in actively seeking new information or interacting...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าโทรศัพท์มือถือของคุณอาจถูกแฮก และวิธีการรับมือกับการโจมตีไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้น

    โทรศัพท์มือถือเป็นแหล่งข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ ซึ่งทำให้ตกเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ที่ต้องการขโมยข้อมูลหรือควบคุมอุปกรณ์ของคุณผ่านแอปพลิเคชันที่เป็นอันตราย เว็บไซต์ฟิชชิง และภัยคุกคามอื่นๆ สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าโทรศัพท์ของคุณอาจถูกแฮก ได้แก่ แบตเตอรี่หมดเร็วผิดปกติ โทรศัพท์ทำงานช้าลง มีการเข้าสู่ระบบที่ไม่คุ้นเคย พื้นที่จัดเก็บข้อมูลลดลง และพบแอปพลิเคชันที่คุณไม่ได้ติดตั้ง

    วิธีการรับมือกับการแฮกโทรศัพท์ที่แนะนำในบทความนี้คือการใช้รหัส USSD ซึ่งเป็นรหัสที่สามารถตรวจสอบการเปลี่ยนเส้นทางการโทรและปิดการเปลี่ยนเส้นทางได้ นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำในการรีเซ็ตโทรศัพท์กลับสู่สภาพโรงงานเพื่อกำจัดมัลแวร์

    ✅ สัญญาณเตือนว่าโทรศัพท์อาจถูกแฮก
    - แบตเตอรี่หมดเร็วผิดปกติ
    - โทรศัพท์ทำงานช้าลงหรือแอปพลิเคชันค้าง
    - มีการเข้าสู่ระบบที่ไม่คุ้นเคย
    - พื้นที่จัดเก็บข้อมูลลดลงโดยไม่มีเหตุผล
    - พบแอปพลิเคชันที่ไม่ได้ติดตั้ง

    ✅ วิธีการรับมือกับการแฮกโทรศัพท์
    - ใช้รหัส USSD เพื่อตรวจสอบและปิดการเปลี่ยนเส้นทางการโทร
    - รีเซ็ตโทรศัพท์กลับสู่สภาพโรงงานเพื่อกำจัดมัลแวร์

    ℹ️ ความเสี่ยงจากการแฮกโทรศัพท์
    - การแฮกโทรศัพท์อาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวตกอยู่ในความเสี่ยง
    - การเปลี่ยนเส้นทางการโทรอาจทำให้คุณสูญเสียการควบคุมอุปกรณ์

    ℹ️ คำแนะนำเพื่อป้องกันการแฮก
    - หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
    - ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงและเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำ
    - อัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันอย่างสม่ำเสมอ

    https://www.zdnet.com/article/5-warning-signs-that-your-phones-been-hacked-and-how-to-fight-back/
    ข่าวนี้เล่าถึงสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าโทรศัพท์มือถือของคุณอาจถูกแฮก และวิธีการรับมือกับการโจมตีไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้น โทรศัพท์มือถือเป็นแหล่งข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ ซึ่งทำให้ตกเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ที่ต้องการขโมยข้อมูลหรือควบคุมอุปกรณ์ของคุณผ่านแอปพลิเคชันที่เป็นอันตราย เว็บไซต์ฟิชชิง และภัยคุกคามอื่นๆ สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าโทรศัพท์ของคุณอาจถูกแฮก ได้แก่ แบตเตอรี่หมดเร็วผิดปกติ โทรศัพท์ทำงานช้าลง มีการเข้าสู่ระบบที่ไม่คุ้นเคย พื้นที่จัดเก็บข้อมูลลดลง และพบแอปพลิเคชันที่คุณไม่ได้ติดตั้ง วิธีการรับมือกับการแฮกโทรศัพท์ที่แนะนำในบทความนี้คือการใช้รหัส USSD ซึ่งเป็นรหัสที่สามารถตรวจสอบการเปลี่ยนเส้นทางการโทรและปิดการเปลี่ยนเส้นทางได้ นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำในการรีเซ็ตโทรศัพท์กลับสู่สภาพโรงงานเพื่อกำจัดมัลแวร์ ✅ สัญญาณเตือนว่าโทรศัพท์อาจถูกแฮก - แบตเตอรี่หมดเร็วผิดปกติ - โทรศัพท์ทำงานช้าลงหรือแอปพลิเคชันค้าง - มีการเข้าสู่ระบบที่ไม่คุ้นเคย - พื้นที่จัดเก็บข้อมูลลดลงโดยไม่มีเหตุผล - พบแอปพลิเคชันที่ไม่ได้ติดตั้ง ✅ วิธีการรับมือกับการแฮกโทรศัพท์ - ใช้รหัส USSD เพื่อตรวจสอบและปิดการเปลี่ยนเส้นทางการโทร - รีเซ็ตโทรศัพท์กลับสู่สภาพโรงงานเพื่อกำจัดมัลแวร์ ℹ️ ความเสี่ยงจากการแฮกโทรศัพท์ - การแฮกโทรศัพท์อาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวตกอยู่ในความเสี่ยง - การเปลี่ยนเส้นทางการโทรอาจทำให้คุณสูญเสียการควบคุมอุปกรณ์ ℹ️ คำแนะนำเพื่อป้องกันการแฮก - หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ - ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงและเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำ - อัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันอย่างสม่ำเสมอ https://www.zdnet.com/article/5-warning-signs-that-your-phones-been-hacked-and-how-to-fight-back/
    WWW.ZDNET.COM
    5 warning signs that your phone's been hacked - and how to fight back
    Here are the biggest warning signs that your phone may be compromised and the secret codes that can tell you all about it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงการค้นพบวิธีใหม่ในการลดอาการเมารถหรือ Motion Sickness โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นเสียงกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นใน ซึ่งช่วยลดอาการเวียนหัวและคลื่นไส้ได้ภายในเวลาเพียง 1 นาที

    ทีมวิจัยนำโดย Takumi Kagawa และ Masashi Kato พบว่าการใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่ 100 Hz ซึ่งเป็นเสียงระดับ Mid-Bass สามารถกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นในที่ควบคุมการทรงตัวและการรับรู้ตำแหน่งในอวกาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคลื่นเสียงนี้ช่วยกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติกที่มักเสียสมดุลในผู้ที่มีอาการเมารถ

    การทดลองใช้คลื่นเสียงนี้กับผู้เข้าร่วมที่ถูกกระตุ้นอาการเมารถด้วยการนั่งรถจำลองและการแกว่ง พบว่าผู้เข้าร่วมมีอาการลดลงอย่างชัดเจน เช่น อาการเวียนหัวและคลื่นไส้ นอกจากนี้ยังมีการวัดผลด้วยการทดสอบการทรงตัว การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และแบบสอบถามเกี่ยวกับอาการเมารถ

    ✅ การค้นพบวิธีลดอาการเมารถ
    - ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนาโกย่าพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นเสียงกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นใน
    - คลื่นเสียงที่มีความถี่ 100 Hz ช่วยลดอาการเวียนหัวและคลื่นไส้

    ✅ ผลการทดลอง
    - ผู้เข้าร่วมมีอาการเมารถลดลงหลังการใช้คลื่นเสียง
    - การวัดผลด้วยการทดสอบการทรงตัวและการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแสดงผลลัพธ์ที่ดี

    ✅ ความปลอดภัยของเทคโนโลยี
    - คลื่นเสียงนี้มีระดับต่ำกว่ามาตรฐานความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน
    - เทคโนโลยีนี้คาดว่าจะปลอดภัยเมื่อใช้งานอย่างเหมาะสม

    ℹ️ ข้อจำกัดของการใช้งาน
    - การใช้งานต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีอุปกรณ์ส่งคลื่นเสียง
    - อาจต้องมีการปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อรองรับการใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ

    ℹ️ ผลกระทบต่อการเดินทาง
    - เทคโนโลยีนี้อาจช่วยลดอาการเมารถในการเดินทางทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
    - การพัฒนาเพิ่มเติมอาจช่วยให้เทคโนโลยีนี้เข้าถึงผู้ใช้งานได้มากขึ้น

    https://www.neowin.net/news/are-you-motion-sick-study-shows-how-just-a-minute-of-a-mid-bass-frequency-could-help-you/
    ข่าวนี้เล่าถึงการค้นพบวิธีใหม่ในการลดอาการเมารถหรือ Motion Sickness โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นเสียงกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นใน ซึ่งช่วยลดอาการเวียนหัวและคลื่นไส้ได้ภายในเวลาเพียง 1 นาที ทีมวิจัยนำโดย Takumi Kagawa และ Masashi Kato พบว่าการใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่ 100 Hz ซึ่งเป็นเสียงระดับ Mid-Bass สามารถกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นในที่ควบคุมการทรงตัวและการรับรู้ตำแหน่งในอวกาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคลื่นเสียงนี้ช่วยกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติกที่มักเสียสมดุลในผู้ที่มีอาการเมารถ การทดลองใช้คลื่นเสียงนี้กับผู้เข้าร่วมที่ถูกกระตุ้นอาการเมารถด้วยการนั่งรถจำลองและการแกว่ง พบว่าผู้เข้าร่วมมีอาการลดลงอย่างชัดเจน เช่น อาการเวียนหัวและคลื่นไส้ นอกจากนี้ยังมีการวัดผลด้วยการทดสอบการทรงตัว การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และแบบสอบถามเกี่ยวกับอาการเมารถ ✅ การค้นพบวิธีลดอาการเมารถ - ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนาโกย่าพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นเสียงกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นใน - คลื่นเสียงที่มีความถี่ 100 Hz ช่วยลดอาการเวียนหัวและคลื่นไส้ ✅ ผลการทดลอง - ผู้เข้าร่วมมีอาการเมารถลดลงหลังการใช้คลื่นเสียง - การวัดผลด้วยการทดสอบการทรงตัวและการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแสดงผลลัพธ์ที่ดี ✅ ความปลอดภัยของเทคโนโลยี - คลื่นเสียงนี้มีระดับต่ำกว่ามาตรฐานความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน - เทคโนโลยีนี้คาดว่าจะปลอดภัยเมื่อใช้งานอย่างเหมาะสม ℹ️ ข้อจำกัดของการใช้งาน - การใช้งานต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีอุปกรณ์ส่งคลื่นเสียง - อาจต้องมีการปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อรองรับการใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ ℹ️ ผลกระทบต่อการเดินทาง - เทคโนโลยีนี้อาจช่วยลดอาการเมารถในการเดินทางทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ - การพัฒนาเพิ่มเติมอาจช่วยให้เทคโนโลยีนี้เข้าถึงผู้ใช้งานได้มากขึ้น https://www.neowin.net/news/are-you-motion-sick-study-shows-how-just-a-minute-of-a-mid-bass-frequency-could-help-you/
    WWW.NEOWIN.NET
    Are you motion sick? Study shows how just a minute of bass could help you
    Scientists conducted a study and found that just a minute of a particular mid-bass sound frequency can help cure motion sicknesses like car sickness.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ways To Stop Saying “Sorry” All The Time

    How many times have you said the word sorry today? If you’re like most people, the answer is probably: a lot.

    Sorry means “feeling regret, compunction, sympathy, pity, etc.” The only problem is, we don’t always use it that way. Sorry has become a sort of anchor that people attach to all kinds of phrases, whether they’re asking a question, asking for help, or even just moving about in a crowded space. In those instances, we aren’t feeling regret or pity, so why are we apologizing?

    Research shows that women tend to over-apologize more often than men, but no matter your identity, psychologists caution that saying sorry all the time can undermine your authority and even impact your self-esteem. If you’re a chronic over-apologizer, it’s time to switch it up. Here are 10 ways to stop saying sorry and start saying what you really mean.

    1. Catch yourself in the act.
    Before you change your habit of over-apologizing, you have to become aware of when you apologize and why. Is it anytime you feel you’re in someone’s way? Or maybe whenever you want to ask a question during a meeting? Start to notice when sorry comes out of your mouth during times when you haven’t actually done anything wrong. Try asking a trusted friend or colleague to point it out to you or even having a day where you write down a tick mark every time you say it.

    2. Think about why you apologize.
    Has sorry become a filler word? Maybe it gives you something to say when you aren’t sure what else to say, or maybe it’s a way of dealing with anxiety or a lack of confidence in certain situations. Understanding why you apologize all the time will help you identify situations for which you could brainstorm some other words and phrases to have in your arsenal instead.

    3. Say “thank you,” not “sorry.”
    When you’re ready to start replacing the word sorry in your vocabulary, here’s an easy trick: say “thank you” instead. This is especially helpful at work or in other places where saying sorry might come off as less authoritative. Thank you turns an apologetic statement into one that exudes confidence. Here are some examples:

    - Instead of Sorry for being late, try Thanks for waiting.
    - Instead of Sorry for the late notice, try I’m so glad you could make it.
    - Instead of Sorry for complaining, try Thanks for listening.
    - Instead of Sorry for the mistake, try Thank you for catching that.

    4. Use a different word.
    Are you using sorry in place of a word or phrase that might work better? For example, when you need something at a restaurant or want to reach in front of someone at the grocery store to grab an item, do you automatically apologize? If so, you may be using sorry as a default, so try to choose some replacement words. Here are some ideas:

    - pardon
    - excuse me
    - after you
    - oops

    5. Focus on solutions.
    We all make mistakes, and apologizing when we really mess up is a good idea. But you don’t need to jump straight to sorry every time there is a minor mishap. In situations at work or even in conversations with friends and loved ones, it can be helpful and more proactive to lead with what you’re going to do to fix the problem. In these situations, try one of these alternatives:

    - I hear you, and I’m going to [list actions you plan to take].
    - Thank you for bringing this to my attention. I’m going to work on it.
    - This didn’t go as planned, but I’m going to make it right.
    - Can you give me feedback on how I can do this differently?

    6. Ask a question.
    Sometimes we use sorry as a way of getting someone’s attention, as in, “Sorry, but I have a question.” The only problem is that beginning your sentence with an apology has the potential to make you sound more passive or make others see you as less authoritative. Instead of defaulting to apologizing whenever you have something to say, try these alternatives:

    - Instead of Sorry to bother you, try Is now a good time to talk?
    - Instead of Sorry for interrupting, try Can I expand on that?
    - Instead of Sorry for getting in the way, try Can I squeeze past you?
    - Instead of Sorry, but I have a question, try Is now a good time for questions?

    7. Ban sorry from your emails.
    In person, the word sorry can slip out without notice. But over email you have the opportunity of more time to think about what you really want to say. Take advantage of that by banning the word sorry from all communications. After you write an email, read through it quickly and delete every instance of sorry or other passive language, and replace it with some of the words or phrases above. It’s a small step that can go a long way towards making you sound more self-assured.

    8. Practice empathy, not sympathy.
    Sorry is a go-to word when something bad happens to someone else, but it isn’t always the best word. Sorry conveys sympathy, and it focuses on how the speaker feels rather than the recipient. Plus, because the word is so overused, it can sometimes sound insincere. Instead of jumping right to sorry in these situations, practice empathy by acknowledging the other person’s feelings over yours. Some examples include:

    - That must have been really difficult.
    - I know you’re really hurting right now.
    - Thank you for trusting me with this.
    - What can I do to make this easier for you?

    9. Prep before important conversations.
    If you know ahead of time that you’re going into a tough conversation where you might be tempted to over-apologize, rehearse some other lines to use instead. For example, if you need to talk to a boss about a problem at work, think about how the conversation might go and choose a few sorry alternatives from earlier on this list. Practice what you’ll say ahead of time. When alternative words and phrases are fresh in your mind, they’ll be easier to remember and work into the conversation naturally.

    10. Get an accountability partner.
    It might be easier to change your habits if you have a little help. If you have a friend, partner, or colleague that you trust, let them know you’re trying to delete sorry from your vocabulary, and see if they’re willing to help by privately pointing out when they hear you over-apologizing. They may notice times when you apologize that you’ve overlooked, and knowing they’re on the lookout might motivate you to change your ways even more. After a while, your sorry habit will be a thing of the past. Sorry, not sorry.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Ways To Stop Saying “Sorry” All The Time How many times have you said the word sorry today? If you’re like most people, the answer is probably: a lot. Sorry means “feeling regret, compunction, sympathy, pity, etc.” The only problem is, we don’t always use it that way. Sorry has become a sort of anchor that people attach to all kinds of phrases, whether they’re asking a question, asking for help, or even just moving about in a crowded space. In those instances, we aren’t feeling regret or pity, so why are we apologizing? Research shows that women tend to over-apologize more often than men, but no matter your identity, psychologists caution that saying sorry all the time can undermine your authority and even impact your self-esteem. If you’re a chronic over-apologizer, it’s time to switch it up. Here are 10 ways to stop saying sorry and start saying what you really mean. 1. Catch yourself in the act. Before you change your habit of over-apologizing, you have to become aware of when you apologize and why. Is it anytime you feel you’re in someone’s way? Or maybe whenever you want to ask a question during a meeting? Start to notice when sorry comes out of your mouth during times when you haven’t actually done anything wrong. Try asking a trusted friend or colleague to point it out to you or even having a day where you write down a tick mark every time you say it. 2. Think about why you apologize. Has sorry become a filler word? Maybe it gives you something to say when you aren’t sure what else to say, or maybe it’s a way of dealing with anxiety or a lack of confidence in certain situations. Understanding why you apologize all the time will help you identify situations for which you could brainstorm some other words and phrases to have in your arsenal instead. 3. Say “thank you,” not “sorry.” When you’re ready to start replacing the word sorry in your vocabulary, here’s an easy trick: say “thank you” instead. This is especially helpful at work or in other places where saying sorry might come off as less authoritative. Thank you turns an apologetic statement into one that exudes confidence. Here are some examples: - Instead of Sorry for being late, try Thanks for waiting. - Instead of Sorry for the late notice, try I’m so glad you could make it. - Instead of Sorry for complaining, try Thanks for listening. - Instead of Sorry for the mistake, try Thank you for catching that. 4. Use a different word. Are you using sorry in place of a word or phrase that might work better? For example, when you need something at a restaurant or want to reach in front of someone at the grocery store to grab an item, do you automatically apologize? If so, you may be using sorry as a default, so try to choose some replacement words. Here are some ideas: - pardon - excuse me - after you - oops 5. Focus on solutions. We all make mistakes, and apologizing when we really mess up is a good idea. But you don’t need to jump straight to sorry every time there is a minor mishap. In situations at work or even in conversations with friends and loved ones, it can be helpful and more proactive to lead with what you’re going to do to fix the problem. In these situations, try one of these alternatives: - I hear you, and I’m going to [list actions you plan to take]. - Thank you for bringing this to my attention. I’m going to work on it. - This didn’t go as planned, but I’m going to make it right. - Can you give me feedback on how I can do this differently? 6. Ask a question. Sometimes we use sorry as a way of getting someone’s attention, as in, “Sorry, but I have a question.” The only problem is that beginning your sentence with an apology has the potential to make you sound more passive or make others see you as less authoritative. Instead of defaulting to apologizing whenever you have something to say, try these alternatives: - Instead of Sorry to bother you, try Is now a good time to talk? - Instead of Sorry for interrupting, try Can I expand on that? - Instead of Sorry for getting in the way, try Can I squeeze past you? - Instead of Sorry, but I have a question, try Is now a good time for questions? 7. Ban sorry from your emails. In person, the word sorry can slip out without notice. But over email you have the opportunity of more time to think about what you really want to say. Take advantage of that by banning the word sorry from all communications. After you write an email, read through it quickly and delete every instance of sorry or other passive language, and replace it with some of the words or phrases above. It’s a small step that can go a long way towards making you sound more self-assured. 8. Practice empathy, not sympathy. Sorry is a go-to word when something bad happens to someone else, but it isn’t always the best word. Sorry conveys sympathy, and it focuses on how the speaker feels rather than the recipient. Plus, because the word is so overused, it can sometimes sound insincere. Instead of jumping right to sorry in these situations, practice empathy by acknowledging the other person’s feelings over yours. Some examples include: - That must have been really difficult. - I know you’re really hurting right now. - Thank you for trusting me with this. - What can I do to make this easier for you? 9. Prep before important conversations. If you know ahead of time that you’re going into a tough conversation where you might be tempted to over-apologize, rehearse some other lines to use instead. For example, if you need to talk to a boss about a problem at work, think about how the conversation might go and choose a few sorry alternatives from earlier on this list. Practice what you’ll say ahead of time. When alternative words and phrases are fresh in your mind, they’ll be easier to remember and work into the conversation naturally. 10. Get an accountability partner. It might be easier to change your habits if you have a little help. If you have a friend, partner, or colleague that you trust, let them know you’re trying to delete sorry from your vocabulary, and see if they’re willing to help by privately pointing out when they hear you over-apologizing. They may notice times when you apologize that you’ve overlooked, and knowing they’re on the lookout might motivate you to change your ways even more. After a while, your sorry habit will be a thing of the past. Sorry, not sorry. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • กัปตันคริสโตเฟอร์ “โชวดาห์” ฮิลล์ ( Capt. Christopher “Chowdah” Hill) กับตันเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Harry S. Truman ซึ่งขณะนี้อยู่ในทะเลแดง โพสต์ภาพเครื่องบินรบที่ประจำการอยู่บนเรือ พร้อมกับข้อความเตรียมพร้อมในปฏิบัติการ

    "ความสง่างามของเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ของอเมริกาที่เตรียมพร้อมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่"

    ก่อนหน้านี้กัปตันคริสโตเฟอร์ เป็นผู้บัญชาการเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Dwight D. Eisenhower (CVN-69) แต่หลังจากที่เรือบรรทุกเครื่องบิน USS Harry S. Truman ชนกับเรือสินค้าใกล้พอร์ตซาอิด ประเทศอียิปต์ ทำให้ส่วนท้ายของลิฟต์เครื่องบินด้านขวาของทรูแมนได้รับความเสียหาย เมื่อช่วงต้นปี ทำให้ผู้บังคับบัญชาคนก่อนต้องถูกปลดออกไป

    กัปตันคริสโตเฟอร์ “โชวดาห์” ฮิลล์ ( Capt. Christopher “Chowdah” Hill) กับตันเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Harry S. Truman ซึ่งขณะนี้อยู่ในทะเลแดง โพสต์ภาพเครื่องบินรบที่ประจำการอยู่บนเรือ พร้อมกับข้อความเตรียมพร้อมในปฏิบัติการ "ความสง่างามของเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ของอเมริกาที่เตรียมพร้อมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่" ก่อนหน้านี้กัปตันคริสโตเฟอร์ เป็นผู้บัญชาการเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Dwight D. Eisenhower (CVN-69) แต่หลังจากที่เรือบรรทุกเครื่องบิน USS Harry S. Truman ชนกับเรือสินค้าใกล้พอร์ตซาอิด ประเทศอียิปต์ ทำให้ส่วนท้ายของลิฟต์เครื่องบินด้านขวาของทรูแมนได้รับความเสียหาย เมื่อช่วงต้นปี ทำให้ผู้บังคับบัญชาคนก่อนต้องถูกปลดออกไป
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 13 0 รีวิว
  • Google เปิดตัว Unified Security แพลตฟอร์มใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยองค์กรลดความซับซ้อนในการรับมือภัยไซเบอร์ โดยรวบรวมเครื่องมือและบริการด้านความปลอดภัยไว้ในที่เดียว ตั้งแต่การป้องกันภัยคุกคาม การตรวจสอบระบบคลาวด์ ไปจนถึงการใช้ AI อัจฉริยะ

    ✅ การวิเคราะห์ภัยคุกคามล่วงหน้า:
    - ใช้ข้อมูลจาก Google Threat Intelligence และ AI อย่าง Gemini เพื่อประเมินพื้นที่เสี่ยงและทดลองระบบป้องกันกับภัยคุกคามล่าสุด

    ✅ การตรวจสอบความปลอดภัยในระบบคลาวด์:
    - ผ่าน Google Security Command Center ระบบจะช่วยตรวจสอบความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานคลาวด์ พร้อมจัดการภัยคุกคามและแก้ไขปัญหา

    ✅ ป้องกันฟิชชิงด้วย Chrome Enterprise:
    - ฟีเจอร์ Safe Browsing ใหม่ใน Chrome Enterprise ช่วยป้องกันการเข้าถึงเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย และสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับองค์กร

    ✅ ตัวช่วย AI สำหรับการตอบสนอง:
    - แพลตฟอร์มนี้เพิ่มตัวช่วย AI อัจฉริยะ เช่น Malware Analysis Agent ที่สามารถตรวจสอบโค้ดที่เป็นอันตราย และ Alert Triage Agent ที่ช่วยวิเคราะห์การแจ้งเตือนและนำเสนอคำแนะนำ

    https://www.zdnet.com/article/how-googles-new-unified-security-platform-aims-to-simplify-the-fight-against-cyberthreats/
    Google เปิดตัว Unified Security แพลตฟอร์มใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยองค์กรลดความซับซ้อนในการรับมือภัยไซเบอร์ โดยรวบรวมเครื่องมือและบริการด้านความปลอดภัยไว้ในที่เดียว ตั้งแต่การป้องกันภัยคุกคาม การตรวจสอบระบบคลาวด์ ไปจนถึงการใช้ AI อัจฉริยะ ✅ การวิเคราะห์ภัยคุกคามล่วงหน้า: - ใช้ข้อมูลจาก Google Threat Intelligence และ AI อย่าง Gemini เพื่อประเมินพื้นที่เสี่ยงและทดลองระบบป้องกันกับภัยคุกคามล่าสุด ✅ การตรวจสอบความปลอดภัยในระบบคลาวด์: - ผ่าน Google Security Command Center ระบบจะช่วยตรวจสอบความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานคลาวด์ พร้อมจัดการภัยคุกคามและแก้ไขปัญหา ✅ ป้องกันฟิชชิงด้วย Chrome Enterprise: - ฟีเจอร์ Safe Browsing ใหม่ใน Chrome Enterprise ช่วยป้องกันการเข้าถึงเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย และสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับองค์กร ✅ ตัวช่วย AI สำหรับการตอบสนอง: - แพลตฟอร์มนี้เพิ่มตัวช่วย AI อัจฉริยะ เช่น Malware Analysis Agent ที่สามารถตรวจสอบโค้ดที่เป็นอันตราย และ Alert Triage Agent ที่ช่วยวิเคราะห์การแจ้งเตือนและนำเสนอคำแนะนำ https://www.zdnet.com/article/how-googles-new-unified-security-platform-aims-to-simplify-the-fight-against-cyberthreats/
    WWW.ZDNET.COM
    How Google's new Unified Security platform aims to simplify the fight against cyberthreats
    Designed for enterprise security professionals, Google Unified Security brings different tools together in one platform to reduce complexity and confusion.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้เผยแพร่คู่มือฉบับใหม่สำหรับ IT Admins โดยมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการอัปเดตฟีเจอร์ใน Windows 10 และ 11 ผ่านแพลตฟอร์ม Intune ซึ่งคู่มือนี้ให้รายละเอียดอย่างชัดเจนตั้งแต่การตรวจสอบข้อกำหนดเบื้องต้น ไปจนถึงการวิเคราะห์ปัญหาในระบบ

    == ประเด็นสำคัญจากคู่มือการแก้ปัญหา ==
    ✅ การตรวจสอบข้อกำหนดเบื้องต้น:
    - แนะนำให้ IT Admins ตรวจสอบว่าอุปกรณ์มีใบอนุญาต Intune, ใช้เวอร์ชันที่รองรับ และมีการเก็บข้อมูลวินิจฉัยอย่างเหมาะสม

    ✅ การจัดการนโยบายอัปเดต:
    - หลีกเลี่ยงการกำหนดนโยบายจากหลายแหล่ง เช่น GPO และ Intune พร้อมกัน เพราะอาจเกิดความขัดแย้ง

    ✅ การใช้ Windows Autopatch:
    - แนะนำการใช้ PowerShell และ Graph APIs สำหรับการจัดการการตั้งค่า Autopatch เพื่อความแม่นยำมากขึ้น

    ✅ การวิเคราะห์จากฝั่งผู้ใช้และอุปกรณ์:
    - ใช้ event logs, Windows update logs และ MDM diagnostics report ในการติดตามปัญหา

    https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-detailed-guide-for-admins-on-how-to-fix-windows-1110-feature-update-issues/
    Microsoft ได้เผยแพร่คู่มือฉบับใหม่สำหรับ IT Admins โดยมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการอัปเดตฟีเจอร์ใน Windows 10 และ 11 ผ่านแพลตฟอร์ม Intune ซึ่งคู่มือนี้ให้รายละเอียดอย่างชัดเจนตั้งแต่การตรวจสอบข้อกำหนดเบื้องต้น ไปจนถึงการวิเคราะห์ปัญหาในระบบ == ประเด็นสำคัญจากคู่มือการแก้ปัญหา == ✅ การตรวจสอบข้อกำหนดเบื้องต้น: - แนะนำให้ IT Admins ตรวจสอบว่าอุปกรณ์มีใบอนุญาต Intune, ใช้เวอร์ชันที่รองรับ และมีการเก็บข้อมูลวินิจฉัยอย่างเหมาะสม ✅ การจัดการนโยบายอัปเดต: - หลีกเลี่ยงการกำหนดนโยบายจากหลายแหล่ง เช่น GPO และ Intune พร้อมกัน เพราะอาจเกิดความขัดแย้ง ✅ การใช้ Windows Autopatch: - แนะนำการใช้ PowerShell และ Graph APIs สำหรับการจัดการการตั้งค่า Autopatch เพื่อความแม่นยำมากขึ้น ✅ การวิเคราะห์จากฝั่งผู้ใช้และอุปกรณ์: - ใช้ event logs, Windows update logs และ MDM diagnostics report ในการติดตามปัญหา https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-detailed-guide-for-admins-on-how-to-fix-windows-1110-feature-update-issues/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft shares detailed guide for admins on how to fix Windows 11/10 feature update issues
    Microsoft has published a detailed step-by-step guide for IT admins and system admins on how to troubleshoot feature update problems on Windows 11 and 10.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=6rZ6fTm6U4I
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาวันสงกรานต์
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #สงกรานต์

    The conversations from the clip :

    Tom: Hey Mia, wow, this water fight is so much fun! I can't believe how crazy it is around here!
    Mia: Hey Tom! I know, right? It’s really lively! But I’m starting to get a bit tired. How about we head to Silom next? It’s one of the best places for Songkran!
    Tom: Sounds awesome! I’ve heard Silom is packed during Songkran. But before we go, I’m getting hungry. Where should we grab something to eat?
    Mia: Good idea, Tom! There are so many street food stalls near here. How about we get some mango sticky rice and grilled pork skewers?
    Tom: Yum, that sounds perfect! I’m also craving some coconut ice cream. Let’s go for it!
    Mia: Great choice! After eating, we can take the BTS to Silom. We’ll get there quickly and easily.
    Tom: Yeah, taking the BTS from here sounds perfect. We can get off at Sala Daeng Station, and then we’ll be right in the heart of the action!
    Mia: Exactly! Once we’re done there, how about we head to Thonglor? I’ve heard it’s a bit more laid-back but still fun during Songkran.
    Tom: I love that idea, Mia! Thonglor has some cool places, and it’s less crowded than Silom. It’ll be a nice change.
    Mia: Right! Plus, it’s easy to get there from Silom. We can take the BTS from Sala Daeng to Thong Lo Station.
    Tom: Oh, that’s so convenient! It’ll only take a few stops. I’m excited for Thonglor! It’ll be a perfect way to end the day.
    Mia: Me too, Tom! So, we’ll eat first, head to Silom by BTS for more water fun, and then go to Thonglor to relax and enjoy the vibe.
    Tom: Sounds like a plan, Mia! It’s going to be a fun-filled day of water fights, food, and good times.
    Mia: For sure! I can’t wait. Let’s grab some food now and get ready for the next stop!
    Tom: Absolutely! Let’s go eat, then!

    Tom: สวัสดี Mia ว้าว, การเล่นน้ำสนุกมากเลย! ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะบ้าคลั่งขนาดนี้ที่นี่!
    Mia: สวัสดี Tom! ฉันรู้ใช่ไหม? มันคึกคักจริงๆ เลย! แต่ฉันเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้วนะ ไปที่สีลมต่อดีไหม? มันเป็นหนึ่งในที่ดีที่สุดสำหรับสงกรานต์!
    Tom: ฟังดูดีมาก! ฉันได้ยินมาว่าที่สีลมคนเยอะมากช่วงสงกรานต์เลยนะ แต่ก่อนที่เราจะไป ฉันหิวแล้ว แถวนี้มีที่ไหนที่เราจะไปหากินกันไหม?
    Mia: ความคิดดีเลย Tom! ที่นี่มีร้านอาหารข้างทางเยอะมากเลยนะ เราจะกินข้าวเหนียวมะม่วงกับหมูปิ้งไหม?
    Tom: อืม, ฟังดูอร่อยมาก! ฉันก็อยากกินไอศกรีมมะพร้าวด้วย ลองไปกินกันเถอะ!
    Mia: ตัวเลือกดีมาก! หลังจากกินเสร็จ เราจะนั่งรถไฟฟ้าไปที่สีลมกันนะ เราจะไปถึงเร็วมากเลย
    Tom: ใช่แล้ว นั่ง BTS จากที่นี่ก็ดีเลย เราจะลงที่สถานีศาลาแดง แล้วก็จะอยู่ตรงกลางของความสนุกเลย!
    Mia: ใช่เลย! หลังจากที่เราจบที่สีลมแล้ว ไปทองหล่อกันดีไหม? ฉันได้ยินมาว่ามันจะเงียบกว่าหน่อยแต่ก็สนุกในช่วงสงกรานต์
    Tom: ฉันชอบความคิดนี้ Mia! ทองหล่อมีที่เจ๋งๆ เยอะเลย และมันไม่พลุกพล่านเหมือนสีลม มันน่าจะเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดี
    Mia: ใช่เลย! อีกอย่างมันก็ไปที่ทองหล่อได้ง่ายจากสีลม เราสามารถนั่ง BTS จากสถานีศาลาแดงไปสถานีทองหล่อ
    Tom: โอ้, นั่นสะดวกมาก! มันจะใช้เวลาแค่ไม่กี่สถานีเอง ฉันตื่นเต้นกับทองหล่อมาก! มันจะเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบในการจบวัน
    Mia: ฉันก็เช่นกัน Tom! ดังนั้นเราจะไปกินก่อน จากนั้นไปที่สีลมด้วย BTS เพื่อเล่นน้ำต่อ และสุดท้ายไปทองหล่อเพื่อผ่อนคลายและสนุกกับบรรยากาศ
    Tom: ฟังดูเป็นแผนที่ดีเลย Mia! มันจะเป็นวันเต็มไปด้วยการเล่นน้ำ อาหาร และช่วงเวลาที่ดี
    Mia: แน่นอน! ฉันรอไม่ไหวแล้ว เรามากินกันเถอะ แล้วค่อยไปสถานที่ถัดไป!
    Tom: แน่นอน! ไปกินกันเถอะ!

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    Water fight (วอ-เทอร์ ไฟต์) n. - การสู้ด้วยน้ำ
    Lively (ไล-ฟลี) adj. - มีชีวิตชีวา, คึกคัก
    Tired (ไท-เอิด) adj. - เหนื่อย
    Street food (สตรีท ฟู้ด) n. - อาหารข้างทาง
    Sticky rice (สติกกี้ ไรซ) n. - ข้าวเหนียว
    Skewers (สกิว-เวอร์) n. - ไม้เสียบ
    Coconut (โค-โค-นัท) n. - มะพร้าว
    Ice cream (ไอซ์ ครีม) n. - ไอศกรีม
    BTS (บีทีเอส) n. - ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า)
    Convenient (คอน-วี-เนียนท) adj. - สะดวก
    Laid-back (เลด-แบค) adj. - สบายๆ, ผ่อนคลาย
    Crowded (เครา-ดิด) adj. - แออัด
    Relax (รี-แลกซ์) v. - ผ่อนคลาย
    Vibe (ไวบ์) n. - บรรยากาศ, ความรู้สึก
    Fun-filled (ฟัน-ฟิลด์) adj. - เต็มไปด้วยความสนุก
    https://www.youtube.com/watch?v=6rZ6fTm6U4I (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาวันสงกรานต์ มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #สงกรานต์ The conversations from the clip : Tom: Hey Mia, wow, this water fight is so much fun! I can't believe how crazy it is around here! Mia: Hey Tom! I know, right? It’s really lively! But I’m starting to get a bit tired. How about we head to Silom next? It’s one of the best places for Songkran! Tom: Sounds awesome! I’ve heard Silom is packed during Songkran. But before we go, I’m getting hungry. Where should we grab something to eat? Mia: Good idea, Tom! There are so many street food stalls near here. How about we get some mango sticky rice and grilled pork skewers? Tom: Yum, that sounds perfect! I’m also craving some coconut ice cream. Let’s go for it! Mia: Great choice! After eating, we can take the BTS to Silom. We’ll get there quickly and easily. Tom: Yeah, taking the BTS from here sounds perfect. We can get off at Sala Daeng Station, and then we’ll be right in the heart of the action! Mia: Exactly! Once we’re done there, how about we head to Thonglor? I’ve heard it’s a bit more laid-back but still fun during Songkran. Tom: I love that idea, Mia! Thonglor has some cool places, and it’s less crowded than Silom. It’ll be a nice change. Mia: Right! Plus, it’s easy to get there from Silom. We can take the BTS from Sala Daeng to Thong Lo Station. Tom: Oh, that’s so convenient! It’ll only take a few stops. I’m excited for Thonglor! It’ll be a perfect way to end the day. Mia: Me too, Tom! So, we’ll eat first, head to Silom by BTS for more water fun, and then go to Thonglor to relax and enjoy the vibe. Tom: Sounds like a plan, Mia! It’s going to be a fun-filled day of water fights, food, and good times. Mia: For sure! I can’t wait. Let’s grab some food now and get ready for the next stop! Tom: Absolutely! Let’s go eat, then! Tom: สวัสดี Mia ว้าว, การเล่นน้ำสนุกมากเลย! ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะบ้าคลั่งขนาดนี้ที่นี่! Mia: สวัสดี Tom! ฉันรู้ใช่ไหม? มันคึกคักจริงๆ เลย! แต่ฉันเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้วนะ ไปที่สีลมต่อดีไหม? มันเป็นหนึ่งในที่ดีที่สุดสำหรับสงกรานต์! Tom: ฟังดูดีมาก! ฉันได้ยินมาว่าที่สีลมคนเยอะมากช่วงสงกรานต์เลยนะ แต่ก่อนที่เราจะไป ฉันหิวแล้ว แถวนี้มีที่ไหนที่เราจะไปหากินกันไหม? Mia: ความคิดดีเลย Tom! ที่นี่มีร้านอาหารข้างทางเยอะมากเลยนะ เราจะกินข้าวเหนียวมะม่วงกับหมูปิ้งไหม? Tom: อืม, ฟังดูอร่อยมาก! ฉันก็อยากกินไอศกรีมมะพร้าวด้วย ลองไปกินกันเถอะ! Mia: ตัวเลือกดีมาก! หลังจากกินเสร็จ เราจะนั่งรถไฟฟ้าไปที่สีลมกันนะ เราจะไปถึงเร็วมากเลย Tom: ใช่แล้ว นั่ง BTS จากที่นี่ก็ดีเลย เราจะลงที่สถานีศาลาแดง แล้วก็จะอยู่ตรงกลางของความสนุกเลย! Mia: ใช่เลย! หลังจากที่เราจบที่สีลมแล้ว ไปทองหล่อกันดีไหม? ฉันได้ยินมาว่ามันจะเงียบกว่าหน่อยแต่ก็สนุกในช่วงสงกรานต์ Tom: ฉันชอบความคิดนี้ Mia! ทองหล่อมีที่เจ๋งๆ เยอะเลย และมันไม่พลุกพล่านเหมือนสีลม มันน่าจะเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดี Mia: ใช่เลย! อีกอย่างมันก็ไปที่ทองหล่อได้ง่ายจากสีลม เราสามารถนั่ง BTS จากสถานีศาลาแดงไปสถานีทองหล่อ Tom: โอ้, นั่นสะดวกมาก! มันจะใช้เวลาแค่ไม่กี่สถานีเอง ฉันตื่นเต้นกับทองหล่อมาก! มันจะเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบในการจบวัน Mia: ฉันก็เช่นกัน Tom! ดังนั้นเราจะไปกินก่อน จากนั้นไปที่สีลมด้วย BTS เพื่อเล่นน้ำต่อ และสุดท้ายไปทองหล่อเพื่อผ่อนคลายและสนุกกับบรรยากาศ Tom: ฟังดูเป็นแผนที่ดีเลย Mia! มันจะเป็นวันเต็มไปด้วยการเล่นน้ำ อาหาร และช่วงเวลาที่ดี Mia: แน่นอน! ฉันรอไม่ไหวแล้ว เรามากินกันเถอะ แล้วค่อยไปสถานที่ถัดไป! Tom: แน่นอน! ไปกินกันเถอะ! Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) Water fight (วอ-เทอร์ ไฟต์) n. - การสู้ด้วยน้ำ Lively (ไล-ฟลี) adj. - มีชีวิตชีวา, คึกคัก Tired (ไท-เอิด) adj. - เหนื่อย Street food (สตรีท ฟู้ด) n. - อาหารข้างทาง Sticky rice (สติกกี้ ไรซ) n. - ข้าวเหนียว Skewers (สกิว-เวอร์) n. - ไม้เสียบ Coconut (โค-โค-นัท) n. - มะพร้าว Ice cream (ไอซ์ ครีม) n. - ไอศกรีม BTS (บีทีเอส) n. - ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) Convenient (คอน-วี-เนียนท) adj. - สะดวก Laid-back (เลด-แบค) adj. - สบายๆ, ผ่อนคลาย Crowded (เครา-ดิด) adj. - แออัด Relax (รี-แลกซ์) v. - ผ่อนคลาย Vibe (ไวบ์) n. - บรรยากาศ, ความรู้สึก Fun-filled (ฟัน-ฟิลด์) adj. - เต็มไปด้วยความสนุก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในญี่ปุ่น สถานีรถไฟ Hatsushima แห่งใหม่ถูกสร้างขึ้นในเวลาเพียง 6 ชั่วโมง โดยใช้เทคโนโลยี 3D Printing ที่ช่วยลดทั้งต้นทุนและเวลา พร้อมยังสะท้อนเอกลักษณ์ของชุมชน โครงการนี้ไม่เพียงแต่แก้ปัญหาพื้นที่ชนบท แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจสำหรับการใช้เทคโนโลยีนี้ในงานก่อสร้างอื่น ๆ

    ✅ แนวคิดและการดำเนินงาน:
    - ชิ้นส่วนของสถานีถูกพิมพ์ล่วงหน้าด้วย 3D Printing ที่โรงงานในจังหวัดคุมาโมโตะ โดยใช้วัสดุพิเศษ มอร์ตาร์เสริมความแข็งแรง และขนส่งมายังสถานที่ก่อสร้างในเมือง Arida
    - หลังจากการเดินรถไฟเที่ยวสุดท้ายในเวลา 23.57 น. ทีมงานเริ่มประกอบสถานีทันที และเสร็จสมบูรณ์ก่อนรถไฟเที่ยวแรกของเช้าวันใหม่ เวลา 5.45 น.

    ✅ ลดต้นทุนและเวลา:
    - ใช้เวลาเพียง 6 ชั่วโมง แทนการก่อสร้างแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้เวลากว่า 2 เดือน และช่วยลดต้นทุนลง ครึ่งหนึ่ง

    ✅ การออกแบบและประโยชน์:
    - สถานีใหม่นี้มีขนาดเพียง 100 ตารางฟุต พร้อมการออกแบบเรียบง่าย โดยมีลวดลายพิเศษที่สะท้อนเอกลักษณ์ของเมือง Arida เช่น ส้มแมนดาริน และ ปลา Scabbardfish
    - นอกจากลดคนงานที่ใช้ในการก่อสร้าง ยังแสดงถึงศักยภาพของ เทคโนโลยี 3D Printing ในการช่วยบำรุงรักษาและสร้างโครงสร้างในพื้นที่ห่างไกล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/09/how-japan-built-a-3d-printed-train-station-in-six-hours
    ในญี่ปุ่น สถานีรถไฟ Hatsushima แห่งใหม่ถูกสร้างขึ้นในเวลาเพียง 6 ชั่วโมง โดยใช้เทคโนโลยี 3D Printing ที่ช่วยลดทั้งต้นทุนและเวลา พร้อมยังสะท้อนเอกลักษณ์ของชุมชน โครงการนี้ไม่เพียงแต่แก้ปัญหาพื้นที่ชนบท แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจสำหรับการใช้เทคโนโลยีนี้ในงานก่อสร้างอื่น ๆ ✅ แนวคิดและการดำเนินงาน: - ชิ้นส่วนของสถานีถูกพิมพ์ล่วงหน้าด้วย 3D Printing ที่โรงงานในจังหวัดคุมาโมโตะ โดยใช้วัสดุพิเศษ มอร์ตาร์เสริมความแข็งแรง และขนส่งมายังสถานที่ก่อสร้างในเมือง Arida - หลังจากการเดินรถไฟเที่ยวสุดท้ายในเวลา 23.57 น. ทีมงานเริ่มประกอบสถานีทันที และเสร็จสมบูรณ์ก่อนรถไฟเที่ยวแรกของเช้าวันใหม่ เวลา 5.45 น. ✅ ลดต้นทุนและเวลา: - ใช้เวลาเพียง 6 ชั่วโมง แทนการก่อสร้างแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้เวลากว่า 2 เดือน และช่วยลดต้นทุนลง ครึ่งหนึ่ง ✅ การออกแบบและประโยชน์: - สถานีใหม่นี้มีขนาดเพียง 100 ตารางฟุต พร้อมการออกแบบเรียบง่าย โดยมีลวดลายพิเศษที่สะท้อนเอกลักษณ์ของเมือง Arida เช่น ส้มแมนดาริน และ ปลา Scabbardfish - นอกจากลดคนงานที่ใช้ในการก่อสร้าง ยังแสดงถึงศักยภาพของ เทคโนโลยี 3D Printing ในการช่วยบำรุงรักษาและสร้างโครงสร้างในพื้นที่ห่างไกล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/09/how-japan-built-a-3d-printed-train-station-in-six-hours
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How Japan built a 3D-printed train station in six hours
    As Japan's population shrinks, maintaining rail service in remote small towns is becoming a challenge. Is this the answer?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • Generative AI ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทต่าง ๆ ได้เสนอเครื่องมือที่นำไปสู่การสร้างเนื้อหาใหม่ วัสดุ และความก้าวหน้าทางการแพทย์ แต่สำหรับคนทั่วไป ความสามารถของ AI ส่วนใหญ่จำกัดอยู่แค่การใช้แชทบ็อตอย่าง ChatGPT หรือ Gemini ซึ่งสามารถช่วยได้ในหลายด้านแต่ยังไม่เชี่ยวชาญในการทำงานเฉพาะทาง

    อย่างไรก็ตาม AI Apps หรือ Bots ซึ่งเป็นแอปที่ปรับแต่งตามคำสั่งเฉพาะกำลังเปลี่ยนแปลงวงการ โดยช่วยให้ผู้ใช้งานสร้างเครื่องมืออันทรงพลังขึ้นด้วยการใช้ คำสั่งภาษา ที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งผู้ใช้สามารถออกแบบคำสั่งให้บ็อตทำงานเฉพาะทาง เช่น การสร้างเมนูอาหารส่วนตัว การให้คำแนะนำเรื่องสุขภาพ หรือแม้แต่การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก

    == จุดเด่นของ AI Apps: ==
    ✅ เพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำ: บ็อตที่ปรับแต่งสามารถทำงานเฉพาะด้านได้ เช่น บ็อตที่สร้างเมนูอาหารจะคำนึงถึงเดือน อุปกรณ์ทำอาหาร และข้อจำกัดด้านสุขภาพเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งาน

    ✅ ประสบการณ์ที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการ: การปรับแต่งคำตอบ เช่น ใช้หัวข้อย่อย อีโมจิ หรือจัดลำดับข้อความ ช่วยให้บ็อตมีความน่าสนใจและเข้าใจง่าย

    ✅ ช่วยประหยัดเวลาในงานเฉพาะทาง: บ็อตสามารถลดเวลาที่ใช้ในการเขียนคำสั่งยาว ๆ ด้วยการให้คำตอบที่รวดเร็วผ่านการออกแบบคำสั่งไว้ล่วงหน้า

    AI Apps ไม่เพียงแต่เหมาะสำหรับการใช้งานส่วนตัว แต่ยังช่วยองค์กรธุรกิจในการปรับปรุงคุณภาพเอกสารหรือการวางแผนงาน โดยในด้านการศึกษา Apps เหล่านี้สามารถช่วยสอนหรือสร้างแผนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การสร้าง AI Apps ไม่จำเป็นต้องมีทักษะเขียนโปรแกรม เพียงแค่มีไอเดียและการทดลองคำสั่ง ผู้ใช้สามารถปรับแต่งแอปให้เหมาะสมกับความต้องการ การพัฒนานี้สะท้อนถึง ความเป็นประชาธิปไตยของเทคโนโลยี AI ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสร้างเครื่องมือที่ทรงพลังได้เอง

    https://www.neowin.net/editorials/custom-ai-apps-are-the-best-thing-about-ai-this-is-how-to-make-them/
    Generative AI ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทต่าง ๆ ได้เสนอเครื่องมือที่นำไปสู่การสร้างเนื้อหาใหม่ วัสดุ และความก้าวหน้าทางการแพทย์ แต่สำหรับคนทั่วไป ความสามารถของ AI ส่วนใหญ่จำกัดอยู่แค่การใช้แชทบ็อตอย่าง ChatGPT หรือ Gemini ซึ่งสามารถช่วยได้ในหลายด้านแต่ยังไม่เชี่ยวชาญในการทำงานเฉพาะทาง อย่างไรก็ตาม AI Apps หรือ Bots ซึ่งเป็นแอปที่ปรับแต่งตามคำสั่งเฉพาะกำลังเปลี่ยนแปลงวงการ โดยช่วยให้ผู้ใช้งานสร้างเครื่องมืออันทรงพลังขึ้นด้วยการใช้ คำสั่งภาษา ที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งผู้ใช้สามารถออกแบบคำสั่งให้บ็อตทำงานเฉพาะทาง เช่น การสร้างเมนูอาหารส่วนตัว การให้คำแนะนำเรื่องสุขภาพ หรือแม้แต่การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก == จุดเด่นของ AI Apps: == ✅ เพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำ: บ็อตที่ปรับแต่งสามารถทำงานเฉพาะด้านได้ เช่น บ็อตที่สร้างเมนูอาหารจะคำนึงถึงเดือน อุปกรณ์ทำอาหาร และข้อจำกัดด้านสุขภาพเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งาน ✅ ประสบการณ์ที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการ: การปรับแต่งคำตอบ เช่น ใช้หัวข้อย่อย อีโมจิ หรือจัดลำดับข้อความ ช่วยให้บ็อตมีความน่าสนใจและเข้าใจง่าย ✅ ช่วยประหยัดเวลาในงานเฉพาะทาง: บ็อตสามารถลดเวลาที่ใช้ในการเขียนคำสั่งยาว ๆ ด้วยการให้คำตอบที่รวดเร็วผ่านการออกแบบคำสั่งไว้ล่วงหน้า AI Apps ไม่เพียงแต่เหมาะสำหรับการใช้งานส่วนตัว แต่ยังช่วยองค์กรธุรกิจในการปรับปรุงคุณภาพเอกสารหรือการวางแผนงาน โดยในด้านการศึกษา Apps เหล่านี้สามารถช่วยสอนหรือสร้างแผนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสร้าง AI Apps ไม่จำเป็นต้องมีทักษะเขียนโปรแกรม เพียงแค่มีไอเดียและการทดลองคำสั่ง ผู้ใช้สามารถปรับแต่งแอปให้เหมาะสมกับความต้องการ การพัฒนานี้สะท้อนถึง ความเป็นประชาธิปไตยของเทคโนโลยี AI ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสร้างเครื่องมือที่ทรงพลังได้เอง https://www.neowin.net/editorials/custom-ai-apps-are-the-best-thing-about-ai-this-is-how-to-make-them/
    WWW.NEOWIN.NET
    Custom AI apps are the best thing about AI, this is how to make them
    If you are tired of generic AI chatbots like ChatGPT, read on to learn how to create personalized custom apps which are more efficient and convenient at helping you.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google เปิดตัว AI Mode ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลผ่านภาพและคำถามอย่างล้ำลึก เช่นการแนะนำหนังสือจากภาพถ่ายชั้นวางหนังสือ หรือการเปรียบเทียบข้อมูลที่ซับซ้อนด้วย Gemini 2.0 ฟีเจอร์นี้เปิดโอกาสใหม่ให้การค้นหาข้อมูลเป็นเรื่องง่าย และสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น

    ✅ การวิเคราะห์ภาพอย่างละเอียด:
    - ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ AI สามารถเข้าใจ ทั้งฉากในภาพ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุต่าง ๆ วัสดุ สี รูปทรง และการจัดวาง

    ✅ รองรับการใช้งานกับคำถามหลายส่วน:
    - AI Mode ใช้ Gemini 2.0 ซึ่งเป็น AI เวอร์ชันปรับปรุงที่ตอบคำถามที่ต้องการการวิเคราะห์เปรียบเทียบได้ เช่น “ความแตกต่างระหว่างการติดตามการนอนหลับของสมาร์ทวอชกับแหวนอัจฉริยะคืออะไร?”

    ✅ การค้นหาแบบใหม่ที่ให้ข้อมูลเชิงลึก:
    - AI Mode ใช้เทคนิค Query Fan-Out เพื่อค้นหาคำตอบจากหลายหัวข้อพร้อมกัน โดยดึงข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ มารวมเป็นคำตอบเดียว ซึ่งเหมาะสำหรับการวางแผนทริป การเปรียบเทียบสินค้า และการศึกษา “How-tos”

    ✅ การแนะนำจากภาพถ่าย:
    - เช่น การถ่ายภาพชั้นวางหนังสือ แล้ว AI จะให้คำแนะนำหนังสือคล้าย ๆ กัน พร้อมลิงก์ไปยังข้อมูลเพิ่มเติม

    https://www.neowin.net/news/google-search-ai-mode-gets-multimodal-search-support/
    Google เปิดตัว AI Mode ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลผ่านภาพและคำถามอย่างล้ำลึก เช่นการแนะนำหนังสือจากภาพถ่ายชั้นวางหนังสือ หรือการเปรียบเทียบข้อมูลที่ซับซ้อนด้วย Gemini 2.0 ฟีเจอร์นี้เปิดโอกาสใหม่ให้การค้นหาข้อมูลเป็นเรื่องง่าย และสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น ✅ การวิเคราะห์ภาพอย่างละเอียด: - ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ AI สามารถเข้าใจ ทั้งฉากในภาพ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุต่าง ๆ วัสดุ สี รูปทรง และการจัดวาง ✅ รองรับการใช้งานกับคำถามหลายส่วน: - AI Mode ใช้ Gemini 2.0 ซึ่งเป็น AI เวอร์ชันปรับปรุงที่ตอบคำถามที่ต้องการการวิเคราะห์เปรียบเทียบได้ เช่น “ความแตกต่างระหว่างการติดตามการนอนหลับของสมาร์ทวอชกับแหวนอัจฉริยะคืออะไร?” ✅ การค้นหาแบบใหม่ที่ให้ข้อมูลเชิงลึก: - AI Mode ใช้เทคนิค Query Fan-Out เพื่อค้นหาคำตอบจากหลายหัวข้อพร้อมกัน โดยดึงข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ มารวมเป็นคำตอบเดียว ซึ่งเหมาะสำหรับการวางแผนทริป การเปรียบเทียบสินค้า และการศึกษา “How-tos” ✅ การแนะนำจากภาพถ่าย: - เช่น การถ่ายภาพชั้นวางหนังสือ แล้ว AI จะให้คำแนะนำหนังสือคล้าย ๆ กัน พร้อมลิงก์ไปยังข้อมูลเพิ่มเติม https://www.neowin.net/news/google-search-ai-mode-gets-multimodal-search-support/
    WWW.NEOWIN.NET
    Google Search AI Mode gets multimodal search support
    Google announced that the AI Mode in Google Search has been updated with multimodal search capabilities.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประกาศนโยบายภาษีใหม่ของประธานาธิบดี Donald Trump ส่งผลกระทบต่อวงการ Cybersecurity ของสหรัฐฯ อย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะในตลาดหุ้นและงบประมาณการดำเนินงานของบริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์ ความท้าทายนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สร้างความเสียหาย รวมถึงการลดงบประมาณและการพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจหยุดชะงัก

    == ประเด็นสำคัญจากผลกระทบของนโยบายภาษีใหม่ ==
    ✅ ตลาดหุ้นด้านความมั่นคงไซเบอร์ดิ่งลงอย่างรุนแรง
    - นโยบายภาษีใหม่ที่เพิ่มต้นทุนสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ สูงถึง 67% ทำให้บริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์สูญเสียมูลค่าทางตลาดไปหลายพันล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 2 วัน
    - นักลงทุนวิตกกังวลเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโอกาสที่อาจเกิดภาวะถดถอยและการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

    ✅ ลูกค้าต้องลดงบประมาณด้านความมั่นคงไซเบอร์
    - หลายบริษัทที่ใช้งานบริการหรือซอฟต์แวร์ไซเบอร์ต้องลดงบประมาณเพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษี การตัดงบนี้ส่งผลให้บริษัทไซเบอร์ขาดทุนและอาจต้องปลดพนักงาน

    ✅ ความเสี่ยงต่อการพึ่งพาเทคโนโลยีภูมิภาคเดียว
    - ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจทำให้หลายประเทศพึ่งพาเทคโนโลยีในภูมิภาคของตนมากขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิด "monoculture" หรือการใช้ผลิตภัณฑ์เพียงตัวเดียว ซึ่งมีข้อเสียในด้านความปลอดภัยที่หลากหลาย

    ✅ ความท้าทายในโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT
    - อุตสาหกรรม IT ต้องปรับตัวเพราะอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์และฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานในระบบไซเบอร์กำลังเผชิญราคาที่พุ่งสูงขึ้น

    ✅ การปรับตัวของบริษัทในวงการ
    - บริษัทอย่าง Palo Alto Networks เน้นสร้างความยืดหยุ่นให้กับลูกค้า แม้ว่าจะมีอุปสรรคในการบริหารซัพพลายเชนและต้นทุนอุปกรณ์

    https://www.csoonline.com/article/3955013/how-trumps-tariffs-are-shaking-up-the-cybersecurity-sector.html
    ประกาศนโยบายภาษีใหม่ของประธานาธิบดี Donald Trump ส่งผลกระทบต่อวงการ Cybersecurity ของสหรัฐฯ อย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะในตลาดหุ้นและงบประมาณการดำเนินงานของบริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์ ความท้าทายนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สร้างความเสียหาย รวมถึงการลดงบประมาณและการพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจหยุดชะงัก == ประเด็นสำคัญจากผลกระทบของนโยบายภาษีใหม่ == ✅ ตลาดหุ้นด้านความมั่นคงไซเบอร์ดิ่งลงอย่างรุนแรง - นโยบายภาษีใหม่ที่เพิ่มต้นทุนสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ สูงถึง 67% ทำให้บริษัทด้านความมั่นคงไซเบอร์สูญเสียมูลค่าทางตลาดไปหลายพันล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 2 วัน - นักลงทุนวิตกกังวลเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโอกาสที่อาจเกิดภาวะถดถอยและการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ✅ ลูกค้าต้องลดงบประมาณด้านความมั่นคงไซเบอร์ - หลายบริษัทที่ใช้งานบริการหรือซอฟต์แวร์ไซเบอร์ต้องลดงบประมาณเพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษี การตัดงบนี้ส่งผลให้บริษัทไซเบอร์ขาดทุนและอาจต้องปลดพนักงาน ✅ ความเสี่ยงต่อการพึ่งพาเทคโนโลยีภูมิภาคเดียว - ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจทำให้หลายประเทศพึ่งพาเทคโนโลยีในภูมิภาคของตนมากขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิด "monoculture" หรือการใช้ผลิตภัณฑ์เพียงตัวเดียว ซึ่งมีข้อเสียในด้านความปลอดภัยที่หลากหลาย ✅ ความท้าทายในโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT - อุตสาหกรรม IT ต้องปรับตัวเพราะอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์และฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานในระบบไซเบอร์กำลังเผชิญราคาที่พุ่งสูงขึ้น ✅ การปรับตัวของบริษัทในวงการ - บริษัทอย่าง Palo Alto Networks เน้นสร้างความยืดหยุ่นให้กับลูกค้า แม้ว่าจะมีอุปสรรคในการบริหารซัพพลายเชนและต้นทุนอุปกรณ์ https://www.csoonline.com/article/3955013/how-trumps-tariffs-are-shaking-up-the-cybersecurity-sector.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How Trump’s tariffs are shaking up the cybersecurity sector
    President Trump’s tariffs announcement sent US cybersecurity stocks into a precipitous spiral, fostering fears of cyber spending cuts and the possible rise of cyber ‘monocultures.’
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจาก MIT กำลังปฏิวัติวงการควอนตัมคอมพิวเตอร์ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ที่ช่วยให้ ชิปควอนตัมสามารถสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องใช้การเชื่อมต่อทางกายภาพ เทคนิคใหม่นี้นับเป็นความก้าวหน้าสำคัญในโลกควอนตัม โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาใหญ่ของการแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยประมวลผลในระบบควอนตัมคอมพิวเตอร์

    == หัวใจของเทคโนโลยีนี้ ==
    ✅ การใช้ Microwave Photons เป็นตัวกลาง
    - ระบบใหม่ใช้ คลื่นไมโครเวฟ (Microwave Photons) ในการส่งข้อมูลระหว่างชิปควอนตัมโดยตรง
    - ด้วยการสร้าง waveguide ซึ่งเป็นสายไฟแบบ superconducting ที่ทำหน้าที่เหมือนถนนควอนตัม ช่วยให้ชิปสื่อสารกันได้โดยไม่มี "ตัวกลาง"

    ✅ กระบวนการสร้าง Remote Entanglement
    - Remote Entanglement เป็นหลักการทางควอนตัมที่ช่วยให้สองชิปสามารถสร้างความสัมพันธ์เชิงควอนตัมแบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกัน
    - วิธีการใหม่ทำให้การส่งและรับโฟตอนเกิดขึ้นได้ในสถานะ “ครึ่งหนึ่ง” ซึ่งโฟตอนอยู่ในสถานะที่ปล่อยและเก็บไว้พร้อมกัน

    ✅ การปรับรูปทรงโฟตอนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
    - การเดินทางของโฟตอนผ่าน waveguide อาจเกิดความผิดเพี้ยน นักวิจัยจึงใช้ อัลกอริทึมเพื่อปรับแต่งรูปร่างของโฟตอน ส่งผลให้อัตราความสำเร็จในการสร้าง Entanglement สูงถึง 60%

    == ผลกระทบต่อโลกควอนตัมและเทคโนโลยีในอนาคต ==
    ✅ เปิดประตูสู่ Quantum Supercomputer ขนาดใหญ่
    - ระบบใหม่รองรับ “All-to-All Connectivity” ซึ่งช่วยให้หน่วยประมวลผลทุกชิปสามารถสื่อสารกันได้โดยตรง
    - อนาคตอาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มเติม เช่น 3D Integration หรือ โปรโตคอลที่เร็วขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    ✅ การสนับสนุนจากหน่วยงานสำคัญ
    - โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนโดยหน่วยงานเช่น US Army Research Office, AWS Center for Quantum Computing และ US Air Force Office of Scientific Research

    ✅ ความสำคัญต่อ Quantum Internet
    - นอกจากการพัฒนา Quantum Computer ระบบใหม่นี้ยังสามารถขยายไปยัง Quantum Internet ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงควอนตัมคอมพิวเตอร์ทั่วโลก

    https://www.techspot.com/news/107436-mit-showcases-quantum-chip-communication-without-physical-contact.html
    นักวิจัยจาก MIT กำลังปฏิวัติวงการควอนตัมคอมพิวเตอร์ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ที่ช่วยให้ ชิปควอนตัมสามารถสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องใช้การเชื่อมต่อทางกายภาพ เทคนิคใหม่นี้นับเป็นความก้าวหน้าสำคัญในโลกควอนตัม โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาใหญ่ของการแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยประมวลผลในระบบควอนตัมคอมพิวเตอร์ == หัวใจของเทคโนโลยีนี้ == ✅ การใช้ Microwave Photons เป็นตัวกลาง - ระบบใหม่ใช้ คลื่นไมโครเวฟ (Microwave Photons) ในการส่งข้อมูลระหว่างชิปควอนตัมโดยตรง - ด้วยการสร้าง waveguide ซึ่งเป็นสายไฟแบบ superconducting ที่ทำหน้าที่เหมือนถนนควอนตัม ช่วยให้ชิปสื่อสารกันได้โดยไม่มี "ตัวกลาง" ✅ กระบวนการสร้าง Remote Entanglement - Remote Entanglement เป็นหลักการทางควอนตัมที่ช่วยให้สองชิปสามารถสร้างความสัมพันธ์เชิงควอนตัมแบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกัน - วิธีการใหม่ทำให้การส่งและรับโฟตอนเกิดขึ้นได้ในสถานะ “ครึ่งหนึ่ง” ซึ่งโฟตอนอยู่ในสถานะที่ปล่อยและเก็บไว้พร้อมกัน ✅ การปรับรูปทรงโฟตอนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด - การเดินทางของโฟตอนผ่าน waveguide อาจเกิดความผิดเพี้ยน นักวิจัยจึงใช้ อัลกอริทึมเพื่อปรับแต่งรูปร่างของโฟตอน ส่งผลให้อัตราความสำเร็จในการสร้าง Entanglement สูงถึง 60% == ผลกระทบต่อโลกควอนตัมและเทคโนโลยีในอนาคต == ✅ เปิดประตูสู่ Quantum Supercomputer ขนาดใหญ่ - ระบบใหม่รองรับ “All-to-All Connectivity” ซึ่งช่วยให้หน่วยประมวลผลทุกชิปสามารถสื่อสารกันได้โดยตรง - อนาคตอาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มเติม เช่น 3D Integration หรือ โปรโตคอลที่เร็วขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ การสนับสนุนจากหน่วยงานสำคัญ - โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนโดยหน่วยงานเช่น US Army Research Office, AWS Center for Quantum Computing และ US Air Force Office of Scientific Research ✅ ความสำคัญต่อ Quantum Internet - นอกจากการพัฒนา Quantum Computer ระบบใหม่นี้ยังสามารถขยายไปยัง Quantum Internet ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงควอนตัมคอมพิวเตอร์ทั่วโลก https://www.techspot.com/news/107436-mit-showcases-quantum-chip-communication-without-physical-contact.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    MIT showcases quantum chip communication without physical contact
    Current quantum-computing systems rely on clunky "point-to-point" connections, where data is transferred in a chain and has to jump between nodes. Unfortunately, each hop also increases the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 1 รีวิว
Pages Boosts