• ปกติแล้ว ภายในสมาร์ตโฟน ชิปจะถูกวางอยู่บนแผ่นซับสเตรต แล้ว “ลูกบอลบัดกรี” (solder balls) จะเชื่อมระหว่างชิปกับเมนบอร์ด → แต่ LG Innotek เสนอว่า แทนที่จะใช้ลูกบอลเชื่อมแบบเดิม ให้ใช้แท่งทองแดง (Copper Posts) วางบนซับสเตรตก่อน แล้วค่อยวางลูกบอลบัดกรีอีกที → ทำให้สามารถ “ลดช่องว่างระหว่างจุดเชื่อมต่อ” ลงได้ถึง 20% แบบไม่เสียประสิทธิภาพเลย

    ข้อดีไม่ใช่แค่บางลง → แต่ระบบนี้ทำให้ ระบายความร้อนได้ดีขึ้นกว่าเดิมถึง 7 เท่า → และทนความร้อนในขั้นตอนผลิตมากขึ้น → ไม่เสียรูปง่ายเหมือนลูกบอลดีบุก

    ตอนนี้ LG Innotek มีสิทธิบัตร Copper Post แล้วกว่า 40 ใบ และเตรียมใช้กับแพ็กเกจ RF-SiP (สำหรับโมเด็ม, เครื่องขยายสัญญาณ, ตัวกรองคลื่น) และ FC-CSP (สำหรับแอปพลิเคชันโปรเซสเซอร์)

    LG Innotek พัฒนาโครงสร้าง Copper Post แทน solder balls แบบเดิม  
    • วางแท่งทองแดงบน substrate → แล้วค่อยวางลูกบอลบัดกรีด้านบน  
    • ลดระยะห่างระหว่าง solder ได้ถึง ~20%  
    • ทำให้สมาร์ตโฟนบางลง และเหลือพื้นที่ใส่แบตฯ หรือชิ้นส่วนอื่น ๆ มากขึ้น

    ช่วยเพิ่มการระบายความร้อน + ความทนทานในกระบวนการผลิต  
    • ทองแดงนำความร้อนดีกว่าดีบุกบัดกรี 7 เท่า  
    • ไม่เสียรูปแม้ในความร้อนสูงขั้นตอนประกอบ

    ช่วยลดปัญหาสัญญาณรบกวน (signal degradation) ที่เกิดจากความร้อนสะสม  
    • เหมาะกับสมาร์ตโฟนรุ่นสูงที่มีการส่งข้อมูลความเร็วสูง

    LG Innotek ลงทุนวิจัยตั้งแต่ปี 2021 โดยใช้ 3D simulation และ digital twin  
    • ปัจจุบันมีสิทธิบัตรแล้วราว 40 ใบ  
    • เตรียมใช้งานจริงกับ RF-SiP และ FC-CSP บนสมาร์ตโฟน–อุปกรณ์สวมใส่

    Copper Post ยังไม่ใช่โซลูชันที่ผ่าน mass adoption → ต้องรอผู้ผลิตนำไปใช้งานจริงอย่างแพร่หลายในตลาดก่อน

    ต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตที่แม่นยำสูง → หากควบคุมไม่ดี อาจเกิดความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/lg-innotek-to-slim-down-smartphones-by-replacing-solder-balls-with-copper-posts
    ปกติแล้ว ภายในสมาร์ตโฟน ชิปจะถูกวางอยู่บนแผ่นซับสเตรต แล้ว “ลูกบอลบัดกรี” (solder balls) จะเชื่อมระหว่างชิปกับเมนบอร์ด → แต่ LG Innotek เสนอว่า แทนที่จะใช้ลูกบอลเชื่อมแบบเดิม ให้ใช้แท่งทองแดง (Copper Posts) วางบนซับสเตรตก่อน แล้วค่อยวางลูกบอลบัดกรีอีกที → ทำให้สามารถ “ลดช่องว่างระหว่างจุดเชื่อมต่อ” ลงได้ถึง 20% แบบไม่เสียประสิทธิภาพเลย ข้อดีไม่ใช่แค่บางลง → แต่ระบบนี้ทำให้ ระบายความร้อนได้ดีขึ้นกว่าเดิมถึง 7 เท่า → และทนความร้อนในขั้นตอนผลิตมากขึ้น → ไม่เสียรูปง่ายเหมือนลูกบอลดีบุก ตอนนี้ LG Innotek มีสิทธิบัตร Copper Post แล้วกว่า 40 ใบ และเตรียมใช้กับแพ็กเกจ RF-SiP (สำหรับโมเด็ม, เครื่องขยายสัญญาณ, ตัวกรองคลื่น) และ FC-CSP (สำหรับแอปพลิเคชันโปรเซสเซอร์) ✅ LG Innotek พัฒนาโครงสร้าง Copper Post แทน solder balls แบบเดิม   • วางแท่งทองแดงบน substrate → แล้วค่อยวางลูกบอลบัดกรีด้านบน   • ลดระยะห่างระหว่าง solder ได้ถึง ~20%   • ทำให้สมาร์ตโฟนบางลง และเหลือพื้นที่ใส่แบตฯ หรือชิ้นส่วนอื่น ๆ มากขึ้น ✅ ช่วยเพิ่มการระบายความร้อน + ความทนทานในกระบวนการผลิต   • ทองแดงนำความร้อนดีกว่าดีบุกบัดกรี 7 เท่า   • ไม่เสียรูปแม้ในความร้อนสูงขั้นตอนประกอบ ✅ ช่วยลดปัญหาสัญญาณรบกวน (signal degradation) ที่เกิดจากความร้อนสะสม   • เหมาะกับสมาร์ตโฟนรุ่นสูงที่มีการส่งข้อมูลความเร็วสูง ✅ LG Innotek ลงทุนวิจัยตั้งแต่ปี 2021 โดยใช้ 3D simulation และ digital twin   • ปัจจุบันมีสิทธิบัตรแล้วราว 40 ใบ   • เตรียมใช้งานจริงกับ RF-SiP และ FC-CSP บนสมาร์ตโฟน–อุปกรณ์สวมใส่ ‼️ Copper Post ยังไม่ใช่โซลูชันที่ผ่าน mass adoption → ต้องรอผู้ผลิตนำไปใช้งานจริงอย่างแพร่หลายในตลาดก่อน ‼️ ต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตที่แม่นยำสูง → หากควบคุมไม่ดี อาจเกิดความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/lg-innotek-to-slim-down-smartphones-by-replacing-solder-balls-with-copper-posts
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    LG Innotek to slim down smartphones by replacing solder balls with copper posts
    LG Innotek introduced Copper Post packaging technology, which replaces traditional solder balls in semiconductor substrates, enabling slimmer, denser, and cooler smartphone designs.
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบความท้าทาย ตำแหน่ง CISO นี่แหละคือด่านบอสของวงการ IT Security — เพราะต้องแบกรับทั้งภัยคุกคามไซเบอร์ที่รุนแรงขึ้นทุกวัน, การตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล, ไปจนถึงความคาดหวังจากบอร์ดบริหารที่สูงกว่าเพดาน

    จากบทสัมภาษณ์และรายงานล่าสุดใน CSO Online พบว่า → CISO จำนวนมากรู้สึกเหมือน “ถูกตั้งความรับผิดชอบ แต่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ” → หลายองค์กรยังจัดให้ CISO อยู่ลำดับชั้นต่ำในแผนผังผู้บริหาร เช่น รายงานต่อ CFO หรือ CTO แทนที่จะได้ที่นั่งในบอร์ด → และที่แย่กว่าคือ CISO อาจต้องรับผิดทางกฎหมายเป็นรายบุคคล หากบริษัทละเมิดนโยบายหรือถูกโจมตีไซเบอร์

    George Gerchow อดีต CISO ของหลายองค์กรบอกว่า “ผมไม่อยากกลับไปนั่งใต้ CTO อีกแล้ว ถ้าไม่ได้นั่งในโต๊ะกลุ่มผู้บริหาร ก็เหมือนทำงานโดยไม่มีพวงมาลัย” → เขาเห็นเพื่อนร่วมวงการลาออกเพียบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

    ไม่ใช่แค่เรื่ององค์กร แต่ความคาดหวังของโลกก็เพิ่มขึ้น → ยุโรปบังคับใช้ DORA (กฎหมาย Digital Resilience) ที่เพิ่มภาระให้ CISO → สหรัฐฯ เริ่มมีกรณีที่ CISO ถูกฟ้องคดีอาญา เช่น กรณี Uber → ส่งผลให้คนในตำแหน่งนี้เสี่ยงต่อ “burnout”, “legal liability” และ “reputation damage” แบบไม่สมส่วน

    แม้จะมีเสียงบางส่วนที่มองว่าปัญหาอยู่ที่ “การบริหารเวลาและการกระจายงาน” แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่า “CISO ยุคนี้คือสายงานที่แบกความเสี่ยงไว้สูงกว่าผู้บริหารหลายตำแหน่ง”

    https://www.csoonline.com/article/4016334/has-ciso-become-the-least-desirable-role-in-business.html
    ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบความท้าทาย ตำแหน่ง CISO นี่แหละคือด่านบอสของวงการ IT Security — เพราะต้องแบกรับทั้งภัยคุกคามไซเบอร์ที่รุนแรงขึ้นทุกวัน, การตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล, ไปจนถึงความคาดหวังจากบอร์ดบริหารที่สูงกว่าเพดาน จากบทสัมภาษณ์และรายงานล่าสุดใน CSO Online พบว่า → CISO จำนวนมากรู้สึกเหมือน “ถูกตั้งความรับผิดชอบ แต่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ” → หลายองค์กรยังจัดให้ CISO อยู่ลำดับชั้นต่ำในแผนผังผู้บริหาร เช่น รายงานต่อ CFO หรือ CTO แทนที่จะได้ที่นั่งในบอร์ด → และที่แย่กว่าคือ CISO อาจต้องรับผิดทางกฎหมายเป็นรายบุคคล หากบริษัทละเมิดนโยบายหรือถูกโจมตีไซเบอร์ George Gerchow อดีต CISO ของหลายองค์กรบอกว่า “ผมไม่อยากกลับไปนั่งใต้ CTO อีกแล้ว ถ้าไม่ได้นั่งในโต๊ะกลุ่มผู้บริหาร ก็เหมือนทำงานโดยไม่มีพวงมาลัย” → เขาเห็นเพื่อนร่วมวงการลาออกเพียบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่เรื่ององค์กร แต่ความคาดหวังของโลกก็เพิ่มขึ้น → ยุโรปบังคับใช้ DORA (กฎหมาย Digital Resilience) ที่เพิ่มภาระให้ CISO → สหรัฐฯ เริ่มมีกรณีที่ CISO ถูกฟ้องคดีอาญา เช่น กรณี Uber → ส่งผลให้คนในตำแหน่งนี้เสี่ยงต่อ “burnout”, “legal liability” และ “reputation damage” แบบไม่สมส่วน แม้จะมีเสียงบางส่วนที่มองว่าปัญหาอยู่ที่ “การบริหารเวลาและการกระจายงาน” แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่า “CISO ยุคนี้คือสายงานที่แบกความเสี่ยงไว้สูงกว่าผู้บริหารหลายตำแหน่ง” https://www.csoonline.com/article/4016334/has-ciso-become-the-least-desirable-role-in-business.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Has CISO become the least desirable role in business?
    Problematic reporting structures, outsized responsibility for enterprise risk, and personal accountability without authority are just a few reasons CISO roles are experiencing high churn.
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • ถ้าคุณใช้แอปแชตที่เข้ารหัส เช่น Signal, WhatsApp หรือ VPN แบบไม่มีล็อกข้อมูล...ข่าวนี้คือสิ่งที่ควรรู้ไว้เลยครับ เพราะสหภาพยุโรปมีแผนจะพัฒนาเครื่องมือให้หน่วยงานอย่าง Europol สามารถเข้าถึง–ถอดรหัสข้อมูลดิจิทัลได้แม้จะอยู่ในรูปแบบเข้ารหัสแบบ End-to-End โดยอ้างว่าเพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์
    - Roadmap ที่เปิดตัวเมื่อ 24 มิ.ย. 2025 นี้ เป็น “หมุดแรก” ของยุทธศาสตร์ ProtectEU ซึ่งจะ:
    - วางกรอบทางกฎหมายและเทคโนโลยีให้บังคับใช้ได้จริง
    - ดันมาตรการร่วมมือกับผู้ให้บริการและอุตสาหกรรม
    - พัฒนา AI สำหรับการสืบสวน

    และ...เริ่มสร้างเทคโนโลยีถอดรหัสแบบลึก (decrypting solutions) โดยเตรียมเปิดแผนในปี 2026 และใช้งานจริงในปี 2030

    แม้จะยืนยันว่าจะ “เคารพสิทธิความเป็นส่วนตัว” แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงไซเบอร์หลายรายก็มองว่า → การพยายาม “สร้างเทคโนโลยีถอดรหัส” เท่ากับเปิดช่องให้เกิดจุดอ่อนด้านความปลอดภัย → และเสี่ยงทำให้ยุโรปย้อนกลับไปสู่ยุค Surveillance ขนานใหญ่แบบที่เคยต่อต้านมาก่อนหน้านี้

    EU เปิดตัว Roadmap สำหรับยุทธศาสตร์ ProtectEU เพื่อให้ตำรวจสามารถเข้าถึงข้อมูลดิจิทัลอย่างถูกกฎหมาย  
    • วางเป้าหมายใช้งานระบบถอดรหัสจริงภายในปี 2030

    Roadmap มี 6 เสาหลัก ได้แก่:  
    • การเก็บรักษาข้อมูล (Data Retention)  
    • การดักฟังโดยชอบธรรม (Lawful Interception)  
    • Digital Forensics  
    • การถอดรหัส (Decryption)  
    • มาตรฐานความมั่นคง (Standardization)  
    • ระบบ AI สำหรับการสืบสวน (AI for Law Enforcement)

    การถอดรหัส End-to-End ถูกระบุว่าเป็น “ความท้าทายทางเทคนิคสูงสุด” ของตำรวจยุโรป  
    • มีเป้าหมายเสนอ Technology Roadmap ภายในปี 2026  
    • จะใช้กับ Europol ได้จริงราวปี 2030

    EU เคยยอมรับว่า End-to-End encryption คือพื้นฐานของความมั่นคงไซเบอร์  
    • แต่ตอนนี้กำลังพยายาม “บาลานซ์” กับภารกิจด้านความมั่นคง

    เน้นให้ความร่วมมือกับอุตสาหกรรม + สร้างมาตรฐานร่วมระดับยุโรป

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/the-eu-wants-to-decrypt-your-private-data-by-2030
    ถ้าคุณใช้แอปแชตที่เข้ารหัส เช่น Signal, WhatsApp หรือ VPN แบบไม่มีล็อกข้อมูล...ข่าวนี้คือสิ่งที่ควรรู้ไว้เลยครับ เพราะสหภาพยุโรปมีแผนจะพัฒนาเครื่องมือให้หน่วยงานอย่าง Europol สามารถเข้าถึง–ถอดรหัสข้อมูลดิจิทัลได้แม้จะอยู่ในรูปแบบเข้ารหัสแบบ End-to-End โดยอ้างว่าเพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์ - Roadmap ที่เปิดตัวเมื่อ 24 มิ.ย. 2025 นี้ เป็น “หมุดแรก” ของยุทธศาสตร์ ProtectEU ซึ่งจะ: - วางกรอบทางกฎหมายและเทคโนโลยีให้บังคับใช้ได้จริง - ดันมาตรการร่วมมือกับผู้ให้บริการและอุตสาหกรรม - พัฒนา AI สำหรับการสืบสวน และ...เริ่มสร้างเทคโนโลยีถอดรหัสแบบลึก (decrypting solutions) โดยเตรียมเปิดแผนในปี 2026 และใช้งานจริงในปี 2030 แม้จะยืนยันว่าจะ “เคารพสิทธิความเป็นส่วนตัว” แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงไซเบอร์หลายรายก็มองว่า → การพยายาม “สร้างเทคโนโลยีถอดรหัส” เท่ากับเปิดช่องให้เกิดจุดอ่อนด้านความปลอดภัย → และเสี่ยงทำให้ยุโรปย้อนกลับไปสู่ยุค Surveillance ขนานใหญ่แบบที่เคยต่อต้านมาก่อนหน้านี้ ✅ EU เปิดตัว Roadmap สำหรับยุทธศาสตร์ ProtectEU เพื่อให้ตำรวจสามารถเข้าถึงข้อมูลดิจิทัลอย่างถูกกฎหมาย   • วางเป้าหมายใช้งานระบบถอดรหัสจริงภายในปี 2030 ✅ Roadmap มี 6 เสาหลัก ได้แก่:   • การเก็บรักษาข้อมูล (Data Retention)   • การดักฟังโดยชอบธรรม (Lawful Interception)   • Digital Forensics   • การถอดรหัส (Decryption)   • มาตรฐานความมั่นคง (Standardization)   • ระบบ AI สำหรับการสืบสวน (AI for Law Enforcement) ✅ การถอดรหัส End-to-End ถูกระบุว่าเป็น “ความท้าทายทางเทคนิคสูงสุด” ของตำรวจยุโรป   • มีเป้าหมายเสนอ Technology Roadmap ภายในปี 2026   • จะใช้กับ Europol ได้จริงราวปี 2030 ✅ EU เคยยอมรับว่า End-to-End encryption คือพื้นฐานของความมั่นคงไซเบอร์   • แต่ตอนนี้กำลังพยายาม “บาลานซ์” กับภารกิจด้านความมั่นคง ✅ เน้นให้ความร่วมมือกับอุตสาหกรรม + สร้างมาตรฐานร่วมระดับยุโรป https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/the-eu-wants-to-decrypt-your-private-data-by-2030
    WWW.TECHRADAR.COM
    The EU wants to decrypt your private data by 2030
    The EU Commission unveiled the first step in its security strategy to ensure "lawful and effective" law enforcement access to data
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • จำเทปแม่เหล็กที่เคยใช้แบ็กอัปข้อมูลไหมครับ? Cerabyte กำลังจะ “อัปเกรด” แนวคิดนั้นขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการเก็บข้อมูลบนแผ่น กระจกบาง 100 ไมครอน เคลือบด้วยฟิล์มเซรามิกหนาแค่ 10 นาโนเมตร แล้วจารึกข้อมูลด้วยเลเซอร์พลังสูงระดับเฟมโตวินาที (fs laser) ที่ยิงรูจิ๋ว ๆ เรียงเป็นแพตเทิร์น — จากนั้นใช้กล้องความละเอียดสูงเป็นตัวอ่าน

    - แผ่นขนาด 9x9 ซม. หลายแผ่นถูกใส่ในตลับ (cartridge) คล้ายเทป
    - มี “หุ่นยนต์จัดเก็บ” เปลี่ยนตลับให้เองเหมือนห้องสมุดอัตโนมัติ
    - ตอนนี้เทคโนโลยีระดับ prototype ยังทำได้แค่ 1GB ต่อแร็ก
    - แต่ภายในปี 2030 → จะกลายเป็น 100 PB ต่อแร็ก + โหลดเร็วเกิน 2 GB/s และใช้เวลาเริ่มอ่านแค่ 10 วินาที

    ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ...ต้นทุนจะลดจาก $7,000–8,000 ต่อ PB-เดือน (ตอนนี้) เหลือเพียงแค่ $6–8 ต่อ PB-เดือน!

    Cerabyte เตรียมเปิดตัวระบบ Ceramic Nano Memory ความจุ 100 PB ต่อแร็กภายในปี 2030  
    • ความเร็วอ่านข้อมูลทะลุ 2 GB/s  
    • เวลาเข้าถึง (time to first byte) น้อยกว่า 10 วินาที  
    • เทียบกับระบบตอนนี้: แค่ 1 GB/แร็ก, 100 MB/s, ใช้เวลา 90 วินาที

    ใช้แผ่นกระจกบางพิเศษเคลือบฟิล์มเซรามิก จารึกข้อมูลด้วยเลเซอร์  
    • ทนต่อสภาพแวดล้อมสูง อายุการใช้งาน >100 ปี  
    • อ่านข้อมูลด้วยกล้องความละเอียดสูงแทนการสัมผัส

    เป้าหมายการพัฒนา (ตามปี):  
    • 2026: ยืนยันรุ่น 1PB/rack  
    • 2027–2028: เพิ่มความหนาแน่นระดับสิบ PB/rack  
    • 2029–2030: แตะ 100 PB/rack

    ต้นทุนรวมทั้งระบบ (Total Cost of Ownership):  
    • ปัจจุบัน: $7,000–8,000 ต่อ PB-เดือน  
    • ปี 2030: ลดเหลือ $6–8 ต่อ PB-เดือน

    สนับสนุนโดย: Pure Storage, Western Digital, In-Q-Tel, EU Innovation Council  
    • ได้ทุน Seed ~$10M และทุนวิจัยเพิ่มอีก ~$4M

    ระบบนี้มีข้อได้เปรียบเทียบกับเทปแม่เหล็กแบบดั้งเดิม:  
    • แบนด์วิดธ์มากกว่า 2 เท่า  
    • อายุการใช้งาน >100 ปี (เทปเดิมแค่ 7–15 ปี)  
    • ต้นทุนต่อ TB ต่ำกว่าครึ่ง

    อนาคตหลังปี 2045 — อาจพัฒนาเทคโนโลยี “Helium-ion beam” เพื่อจารึกที่ขนาดบิตเล็กลงเหลือ 3 nm  
    • ความจุต่อแร็กอาจทะยานถึงระดับ Exabyte

    https://www.techpowerup.com/338629/cerabyte-plans-100-pb-ceramic-nano-memory-storage-by-2030
    จำเทปแม่เหล็กที่เคยใช้แบ็กอัปข้อมูลไหมครับ? Cerabyte กำลังจะ “อัปเกรด” แนวคิดนั้นขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการเก็บข้อมูลบนแผ่น กระจกบาง 100 ไมครอน เคลือบด้วยฟิล์มเซรามิกหนาแค่ 10 นาโนเมตร แล้วจารึกข้อมูลด้วยเลเซอร์พลังสูงระดับเฟมโตวินาที (fs laser) ที่ยิงรูจิ๋ว ๆ เรียงเป็นแพตเทิร์น — จากนั้นใช้กล้องความละเอียดสูงเป็นตัวอ่าน - แผ่นขนาด 9x9 ซม. หลายแผ่นถูกใส่ในตลับ (cartridge) คล้ายเทป - มี “หุ่นยนต์จัดเก็บ” เปลี่ยนตลับให้เองเหมือนห้องสมุดอัตโนมัติ - ตอนนี้เทคโนโลยีระดับ prototype ยังทำได้แค่ 1GB ต่อแร็ก - แต่ภายในปี 2030 → จะกลายเป็น 100 PB ต่อแร็ก + โหลดเร็วเกิน 2 GB/s และใช้เวลาเริ่มอ่านแค่ 10 วินาที ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ...ต้นทุนจะลดจาก $7,000–8,000 ต่อ PB-เดือน (ตอนนี้) เหลือเพียงแค่ $6–8 ต่อ PB-เดือน! ✅ Cerabyte เตรียมเปิดตัวระบบ Ceramic Nano Memory ความจุ 100 PB ต่อแร็กภายในปี 2030   • ความเร็วอ่านข้อมูลทะลุ 2 GB/s   • เวลาเข้าถึง (time to first byte) น้อยกว่า 10 วินาที   • เทียบกับระบบตอนนี้: แค่ 1 GB/แร็ก, 100 MB/s, ใช้เวลา 90 วินาที ✅ ใช้แผ่นกระจกบางพิเศษเคลือบฟิล์มเซรามิก จารึกข้อมูลด้วยเลเซอร์   • ทนต่อสภาพแวดล้อมสูง อายุการใช้งาน >100 ปี   • อ่านข้อมูลด้วยกล้องความละเอียดสูงแทนการสัมผัส ✅ เป้าหมายการพัฒนา (ตามปี):   • 2026: ยืนยันรุ่น 1PB/rack   • 2027–2028: เพิ่มความหนาแน่นระดับสิบ PB/rack   • 2029–2030: แตะ 100 PB/rack ✅ ต้นทุนรวมทั้งระบบ (Total Cost of Ownership):   • ปัจจุบัน: $7,000–8,000 ต่อ PB-เดือน   • ปี 2030: ลดเหลือ $6–8 ต่อ PB-เดือน ✅ สนับสนุนโดย: Pure Storage, Western Digital, In-Q-Tel, EU Innovation Council   • ได้ทุน Seed ~$10M และทุนวิจัยเพิ่มอีก ~$4M ✅ ระบบนี้มีข้อได้เปรียบเทียบกับเทปแม่เหล็กแบบดั้งเดิม:   • แบนด์วิดธ์มากกว่า 2 เท่า   • อายุการใช้งาน >100 ปี (เทปเดิมแค่ 7–15 ปี)   • ต้นทุนต่อ TB ต่ำกว่าครึ่ง ✅ อนาคตหลังปี 2045 — อาจพัฒนาเทคโนโลยี “Helium-ion beam” เพื่อจารึกที่ขนาดบิตเล็กลงเหลือ 3 nm   • ความจุต่อแร็กอาจทะยานถึงระดับ Exabyte https://www.techpowerup.com/338629/cerabyte-plans-100-pb-ceramic-nano-memory-storage-by-2030
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Cerabyte Plans 100 PB Ceramic Nano Memory Storage by 2030
    Cerabyte has unveiled a detailed roadmap for its Ceramic Nano Memory archival storage system, promising a cloud-based platform capable of storing over 100 PB per rack by 2030. The company expects data transfer speeds to climb above 2 GB/s and the time to first byte to fall below 10 seconds, a dramat...
    0 Comments 0 Shares 186 Views 0 Reviews
  • ลองจินตนาการดูนะครับ — บริษัทเพิ่งสั่งพักงานพนักงานไอทีคนหนึ่งไป แต่ลืม “ตัดสิทธิ์เข้าถึงระบบ” ของเขาให้ทัน เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง พนักงานคนนั้นกลับมาออนไลน์... แล้วก็:

    เปลี่ยนรหัสผ่านระบบทุกอย่าง
    - ปั่นป่วนระบบ multi-factor authentication ให้ทีมงานเข้าไม่ได้
    - ทำให้กิจกรรมของพนักงานในอังกฤษ และลูกค้าในเยอรมนี–บาห์เรน ล่มยาวเป็นวัน

    เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงกับ Mohammed Umar Taj วัย 31 ปีในเมืองลีดส์ อังกฤษ ซึ่งถูกตั้งข้อหาในปี 2022 และเพิ่งถูกตัดสินจำคุก 7 เดือน 14 วันในปี 2025 นี้

    แค่วันเดียว “ระบบล่ม” ยังไม่แย่เท่า “ความเชื่อมั่นที่พังทลาย” เพราะลูกค้าก็เริ่มไม่มั่นใจในบริษัท และพนักงานเองก็ไม่สามารถเข้าทำงานได้ ต้องเสียเวลาฟื้นฟูระบบกันนาน

    นักสืบจากหน่วย cybercrime ยังเตือนว่า “องค์กรควรตัดสิทธิ์ของพนักงานทันทีเมื่อมีการเปลี่ยนสถานะงาน” เพราะแม้จะมีนโยบายแล้ว แต่ในความเป็นจริง ระบบบางอย่างก็ “ลบชื่อได้ช้า” หรือมีบัญชีที่ควบคุมยาก เช่น admin service หรือ credential ฝังอยู่ในสคริปต์ต่าง ๆ

    อดีตพนักงานไอทีในอังกฤษถูกตัดสินจำคุก 7 เดือน 14 วัน  
    • กรณีเข้าถึงระบบองค์กรอย่างผิดกฎหมายหลังถูกสั่งพักงาน  
    • เปลี่ยนรหัสผ่านและปั่นป่วนระบบ MFA ภายในไม่กี่ชั่วโมง

    ความเสียหายประเมินมูลค่ากว่า $200,000  
    • มาจากการล่มของระบบงาน  
    • ส่งผลต่อพนักงานภายใน + ลูกค้าต่างชาติ (เยอรมนี, บาห์เรน)

    ศาลเมืองลีดส์ตัดสินโทษภายใต้ข้อหาเจตนา “ขัดขวางการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์”

    ตำรวจแนะนำให้องค์กรทบทวนขั้นตอนการจัดการสิทธิ์เข้าระบบของพนักงานทันทีเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง

    พนักงานที่ยังมี access หลังถูกพักงานหรือให้ออก เป็นช่องโหว่อันตรายมาก  
    • โดยเฉพาะในฝ่าย IT, DevOps, หรือ admin ที่มีสิทธิ์สูง

    ระบบ MFA ที่ถูกปั่นป่วน อาจทำให้การกู้คืนระบบยากขึ้นหลายเท่า  
    • เพราะแม้มี backup แต่ไม่สามารถยืนยันตัวเพื่อเข้าไปฟื้นฟูได้

    พนักงานแค่คนเดียวสามารถสร้างความเสียหายระดับขัดขวางธุรกิจ-ทำลายความเชื่อมั่น

    หลายองค์กรยังไม่มีระบบ “access kill-switch” หรือไม่ได้ฝึกซ้อม incident response กรณี internal sabotage

    บัญชีที่ฝัง credentials ใน script หรือ service อัตโนมัติ มักไม่อยู่ภายใต้ระบบกำกับปกติ → เสี่ยงถูกใช้ย้อนกลับมาทำลาย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/rogue-it-worker-gets-seven-months-in-prison-over-usd200-000-digital-rampage-technician-changed-all-of-his-companys-passwords-after-getting-suspended
    ลองจินตนาการดูนะครับ — บริษัทเพิ่งสั่งพักงานพนักงานไอทีคนหนึ่งไป แต่ลืม “ตัดสิทธิ์เข้าถึงระบบ” ของเขาให้ทัน เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง พนักงานคนนั้นกลับมาออนไลน์... แล้วก็: เปลี่ยนรหัสผ่านระบบทุกอย่าง - ปั่นป่วนระบบ multi-factor authentication ให้ทีมงานเข้าไม่ได้ - ทำให้กิจกรรมของพนักงานในอังกฤษ และลูกค้าในเยอรมนี–บาห์เรน ล่มยาวเป็นวัน เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงกับ Mohammed Umar Taj วัย 31 ปีในเมืองลีดส์ อังกฤษ ซึ่งถูกตั้งข้อหาในปี 2022 และเพิ่งถูกตัดสินจำคุก 7 เดือน 14 วันในปี 2025 นี้ แค่วันเดียว “ระบบล่ม” ยังไม่แย่เท่า “ความเชื่อมั่นที่พังทลาย” เพราะลูกค้าก็เริ่มไม่มั่นใจในบริษัท และพนักงานเองก็ไม่สามารถเข้าทำงานได้ ต้องเสียเวลาฟื้นฟูระบบกันนาน นักสืบจากหน่วย cybercrime ยังเตือนว่า “องค์กรควรตัดสิทธิ์ของพนักงานทันทีเมื่อมีการเปลี่ยนสถานะงาน” เพราะแม้จะมีนโยบายแล้ว แต่ในความเป็นจริง ระบบบางอย่างก็ “ลบชื่อได้ช้า” หรือมีบัญชีที่ควบคุมยาก เช่น admin service หรือ credential ฝังอยู่ในสคริปต์ต่าง ๆ ✅ อดีตพนักงานไอทีในอังกฤษถูกตัดสินจำคุก 7 เดือน 14 วัน   • กรณีเข้าถึงระบบองค์กรอย่างผิดกฎหมายหลังถูกสั่งพักงาน   • เปลี่ยนรหัสผ่านและปั่นป่วนระบบ MFA ภายในไม่กี่ชั่วโมง ✅ ความเสียหายประเมินมูลค่ากว่า $200,000   • มาจากการล่มของระบบงาน   • ส่งผลต่อพนักงานภายใน + ลูกค้าต่างชาติ (เยอรมนี, บาห์เรน) ✅ ศาลเมืองลีดส์ตัดสินโทษภายใต้ข้อหาเจตนา “ขัดขวางการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์” ✅ ตำรวจแนะนำให้องค์กรทบทวนขั้นตอนการจัดการสิทธิ์เข้าระบบของพนักงานทันทีเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง ‼️ พนักงานที่ยังมี access หลังถูกพักงานหรือให้ออก เป็นช่องโหว่อันตรายมาก   • โดยเฉพาะในฝ่าย IT, DevOps, หรือ admin ที่มีสิทธิ์สูง ‼️ ระบบ MFA ที่ถูกปั่นป่วน อาจทำให้การกู้คืนระบบยากขึ้นหลายเท่า   • เพราะแม้มี backup แต่ไม่สามารถยืนยันตัวเพื่อเข้าไปฟื้นฟูได้ ‼️ พนักงานแค่คนเดียวสามารถสร้างความเสียหายระดับขัดขวางธุรกิจ-ทำลายความเชื่อมั่น ‼️ หลายองค์กรยังไม่มีระบบ “access kill-switch” หรือไม่ได้ฝึกซ้อม incident response กรณี internal sabotage ‼️ บัญชีที่ฝัง credentials ใน script หรือ service อัตโนมัติ มักไม่อยู่ภายใต้ระบบกำกับปกติ → เสี่ยงถูกใช้ย้อนกลับมาทำลาย https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/rogue-it-worker-gets-seven-months-in-prison-over-usd200-000-digital-rampage-technician-changed-all-of-his-companys-passwords-after-getting-suspended
    0 Comments 0 Shares 298 Views 0 Reviews
  • ท่ามกลางคลื่น AI ที่ไหลแรงแบบไม่หยุด Siemens ไม่ยอมน้อยหน้าใคร ล่าสุดประกาศแต่งตั้ง Vasi Philomin — อดีตรองประธาน AI แห่ง Amazon มาเป็น “หัวหน้าฝ่ายข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์” (Head of Data and AI)

    คนนี้ไม่ธรรมดาเลยครับ เขาคือผู้อยู่เบื้องหลังบริการ ML ระดับใหญ่ เช่น Amazon Lex, Amazon Transcribe, และแพลตฟอร์ม AI-as-a-Service ของ AWS มานานหลายปี

    Siemens ต้องการใช้ AI เพื่อพัฒนา “AI Copilot” สำหรับอุตสาหกรรม เช่น การผลิต, ขนส่ง, ไปจนถึงการแพทย์ — โดยมีเป้าหมายคือให้ AI มาช่วยพนักงาน “ร่วมออกแบบสินค้า, วางแผนการผลิต, และดูแลบำรุงรักษา” ได้ทันที

    Philomin จะรายงานตรงต่อ Peter Koerte (CTO และ Chief Strategy Officer ของ Siemens) ซึ่งหมายความว่าบทบาทนี้อยู่ในระดับแนวหน้าของการขับเคลื่อนองค์กร

    Siemens แต่งตั้ง Vasi Philomin อดีตผู้บริหารสาย AI จาก Amazon เป็นหัวหน้าฝ่าย Data & AI  
    • เน้นพัฒนาโซลูชัน AI เชิงอุตสาหกรรม เช่น AI Copilot  
    • รายงานตรงต่อผู้บริหารระดับสูง Peter Koerte

    Philomin มีประสบการณ์สร้าง AI ขนาดใหญ่ที่ Amazon AWS เช่น Lex, Transcribe, Comprehend  
    • เชี่ยวชาญด้าน Machine Learning และ AI เชิงพาณิชย์

    Siemens มองว่า AI คือเสาหลักร่วมกับซอฟต์แวร์อุตสาหกรรม (Industrial Software)  
    • ต้องการเร่ง digital transformation ระดับองค์กร

    เคยประกาศความร่วมมือกับ Microsoft ตั้งแต่ปี 2023  
    • สร้าง “AI Copilot” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมมนุษย์ในสายการผลิต, โลจิสติกส์ และสุขภาพ

    เป้าหมายคือการให้ AI เข้ามาช่วยพนักงานบริษัทลูกค้าออกแบบสินค้า–วางแผน–บำรุงรักษาได้อัตโนมัติ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/30/siemens-recruits-artificial-intelligence-expert-from-amazon
    ท่ามกลางคลื่น AI ที่ไหลแรงแบบไม่หยุด Siemens ไม่ยอมน้อยหน้าใคร ล่าสุดประกาศแต่งตั้ง Vasi Philomin — อดีตรองประธาน AI แห่ง Amazon มาเป็น “หัวหน้าฝ่ายข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์” (Head of Data and AI) คนนี้ไม่ธรรมดาเลยครับ เขาคือผู้อยู่เบื้องหลังบริการ ML ระดับใหญ่ เช่น Amazon Lex, Amazon Transcribe, และแพลตฟอร์ม AI-as-a-Service ของ AWS มานานหลายปี Siemens ต้องการใช้ AI เพื่อพัฒนา “AI Copilot” สำหรับอุตสาหกรรม เช่น การผลิต, ขนส่ง, ไปจนถึงการแพทย์ — โดยมีเป้าหมายคือให้ AI มาช่วยพนักงาน “ร่วมออกแบบสินค้า, วางแผนการผลิต, และดูแลบำรุงรักษา” ได้ทันที Philomin จะรายงานตรงต่อ Peter Koerte (CTO และ Chief Strategy Officer ของ Siemens) ซึ่งหมายความว่าบทบาทนี้อยู่ในระดับแนวหน้าของการขับเคลื่อนองค์กร ✅ Siemens แต่งตั้ง Vasi Philomin อดีตผู้บริหารสาย AI จาก Amazon เป็นหัวหน้าฝ่าย Data & AI   • เน้นพัฒนาโซลูชัน AI เชิงอุตสาหกรรม เช่น AI Copilot   • รายงานตรงต่อผู้บริหารระดับสูง Peter Koerte ✅ Philomin มีประสบการณ์สร้าง AI ขนาดใหญ่ที่ Amazon AWS เช่น Lex, Transcribe, Comprehend   • เชี่ยวชาญด้าน Machine Learning และ AI เชิงพาณิชย์ ✅ Siemens มองว่า AI คือเสาหลักร่วมกับซอฟต์แวร์อุตสาหกรรม (Industrial Software)   • ต้องการเร่ง digital transformation ระดับองค์กร ✅ เคยประกาศความร่วมมือกับ Microsoft ตั้งแต่ปี 2023   • สร้าง “AI Copilot” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมมนุษย์ในสายการผลิต, โลจิสติกส์ และสุขภาพ ✅ เป้าหมายคือการให้ AI เข้ามาช่วยพนักงานบริษัทลูกค้าออกแบบสินค้า–วางแผน–บำรุงรักษาได้อัตโนมัติ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/30/siemens-recruits-artificial-intelligence-expert-from-amazon
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Siemens recruits artificial intelligence expert from Amazon
    ZURICH (Reuters) -Siemens has recruited Amazon executive Vasi Philomin to its new position of head of data and artificial intelligence, the German technology company said on Monday.
    0 Comments 0 Shares 207 Views 0 Reviews
  • เราเคยได้ยินคำว่า AI ถูกฝึกจาก “อินเทอร์เน็ต” หรือ “ฐานข้อมูลสาธารณะ” ใช่ไหมครับ แต่ข่าวนี้แฉว่า Anthropic ซื้อ “หนังสือเล่มจริง” มาจำนวนมหาศาลแล้ว “ตัดสัน ฉีกสแกน” เพื่อใช้เป็นข้อมูลเทรน AI โดยที่ ไม่มีแผนเผยแพร่ digital copy นั้นต่อสาธารณะ ด้วยซ้ำ

    ที่พีคคือ ในคดีความล่าสุด ศาลบางส่วนกลับเห็นว่า “การทำลายหนังสือแล้วแปลงเป็นดิจิทัล” แบบนี้ถือเป็น “การเปลี่ยนรูปแบบที่เพียงพอ” (transformative) ตามหลัก fair use — คือใช้แล้วไม่ละเมิดลิขสิทธิ์

    ฝั่งนักวิจารณ์ไม่เห็นด้วย โดยระบุว่า AI อย่าง Claude แม้จะดูฉลาด แต่บางครั้งก็ “หลุดโควตจากหนังสือแบบคำต่อคำ” ซึ่งเสี่ยงต่อการละเมิด

    ที่สำคัญกว่านั้นคือ คดีนี้ไม่ใช่จบแค่นี้ — ศาลยังให้ Anthropic “ต้องไปขึ้นศาลอีกรอบ” ในเดือนธันวาคมนี้ ฐานนำ “ไฟล์หนังสือเถื่อน” (pirated eBook library) ไปฝึกโมเดล โดยอาจถูกปรับ สูงสุด $150,000 ต่อเล่ม

    https://www.techspot.com/news/108463-anthropic-destroyed-millions-physical-books-train-ai-court.html
    เราเคยได้ยินคำว่า AI ถูกฝึกจาก “อินเทอร์เน็ต” หรือ “ฐานข้อมูลสาธารณะ” ใช่ไหมครับ แต่ข่าวนี้แฉว่า Anthropic ซื้อ “หนังสือเล่มจริง” มาจำนวนมหาศาลแล้ว “ตัดสัน ฉีกสแกน” เพื่อใช้เป็นข้อมูลเทรน AI โดยที่ ไม่มีแผนเผยแพร่ digital copy นั้นต่อสาธารณะ ด้วยซ้ำ ที่พีคคือ ในคดีความล่าสุด ศาลบางส่วนกลับเห็นว่า “การทำลายหนังสือแล้วแปลงเป็นดิจิทัล” แบบนี้ถือเป็น “การเปลี่ยนรูปแบบที่เพียงพอ” (transformative) ตามหลัก fair use — คือใช้แล้วไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ฝั่งนักวิจารณ์ไม่เห็นด้วย โดยระบุว่า AI อย่าง Claude แม้จะดูฉลาด แต่บางครั้งก็ “หลุดโควตจากหนังสือแบบคำต่อคำ” ซึ่งเสี่ยงต่อการละเมิด ที่สำคัญกว่านั้นคือ คดีนี้ไม่ใช่จบแค่นี้ — ศาลยังให้ Anthropic “ต้องไปขึ้นศาลอีกรอบ” ในเดือนธันวาคมนี้ ฐานนำ “ไฟล์หนังสือเถื่อน” (pirated eBook library) ไปฝึกโมเดล โดยอาจถูกปรับ สูงสุด $150,000 ต่อเล่ม https://www.techspot.com/news/108463-anthropic-destroyed-millions-physical-books-train-ai-court.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Anthropic destroyed millions of physical books to train its AI, court documents reveal
    Buried in the details of a recent split ruling against Anthropic is a surprising revelation: the generative AI company destroyed millions of physical books by cutting off...
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • ถ้าคุณใช้ VPN เพื่อทำงานจากที่บ้านหรือเข้าระบบภายในบริษัท มีโอกาสสูงที่คุณจะเคยใช้หรือเคยได้ยินชื่อ NetExtender ของ SonicWall — แต่ตอนนี้แฮกเกอร์กำลังปลอมตัวแอปนี้ แล้วแจกผ่าน “เว็บปลอมที่หน้าตาเหมือนของจริงเป๊ะ”

    แฮกเกอร์ใช้วิธี SEO poisoning และโฆษณา (malvertising) เพื่อดันเว็บปลอมให้ขึ้นอันดับบน Google จนคนทั่วไปเผลอกดเข้าไป — และเมื่อคุณดาวน์โหลดแอป VPN ปลอมนี้มา ก็เท่ากับมอบ ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน, และค่าการตั้งค่าภายในระบบองค์กร ให้แฮกเกอร์ไปครบชุดเลย

    ตัวแอปนี้ยัง “ลงลายเซ็นดิจิทัล” จากบริษัทปลอมชื่อ “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED” เพื่อหลอกระบบความปลอดภัยเบื้องต้นอีกด้วย

    ข่าวดีคือ SonicWall กับ Microsoft สามารถตรวจจับมัลแวร์ตัวนี้ได้แล้ว แต่ถ้าคุณหรือทีมไอทีใช้อุปกรณ์ป้องกันจากค่ายอื่น อาจยังไม่มีการอัปเดต signature นั้น — ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ “อย่าดาวน์โหลดแอป VPN จากที่อื่นนอกจากเว็บทางการ!”

    แฮกเกอร์ปลอมแอป SonicWall NetExtender แล้วแจกผ่านเว็บเลียนแบบของจริง  
    • เว็บปลอมถูกดันขึ้นอันดับบน Google ด้วยเทคนิค SEO poisoning และ malvertising  
    • ผู้ใช้ทั่วไปมีโอกาสหลงเชื่อสูง

    ไฟล์ติดมัลแวร์มีการเซ็นดิจิทัลหลอก โดยบริษัทปลอม “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED”  
    • หลอกระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น antivirus หรือ firewall

    แอปที่ถูกดัดแปลงประกอบด้วย:  • NetExtender.exe: ดัดแปลงให้ขโมยชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน และ config  
    • NEService.exe: ถูกแก้ให้ข้ามการตรวจสอบ digital certificate

    ข้อมูลของผู้ใช้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่แฮกเกอร์ควบคุมเมื่อกด “เชื่อมต่อ VPN”  
    • ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้รหัสเพื่อเข้าระบบองค์กรได้โดยตรง

    SonicWall และ Microsoft ออกคำเตือนและปรับ signature เพื่อจับมัลแวร์ตัวนี้แล้ว  
    • แต่ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์อื่นอาจยังไม่สามารถตรวจจับได้

    SonicWall แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป VPN แค่จากเว็บทางการเท่านั้น:  
    • sonicwall.com  
    • mysonicwall.com

    https://www.techradar.com/pro/security/sonicwall-warns-of-fake-vpn-apps-stealing-user-logins-and-putting-businesses-at-risk-heres-what-we-know
    ถ้าคุณใช้ VPN เพื่อทำงานจากที่บ้านหรือเข้าระบบภายในบริษัท มีโอกาสสูงที่คุณจะเคยใช้หรือเคยได้ยินชื่อ NetExtender ของ SonicWall — แต่ตอนนี้แฮกเกอร์กำลังปลอมตัวแอปนี้ แล้วแจกผ่าน “เว็บปลอมที่หน้าตาเหมือนของจริงเป๊ะ” แฮกเกอร์ใช้วิธี SEO poisoning และโฆษณา (malvertising) เพื่อดันเว็บปลอมให้ขึ้นอันดับบน Google จนคนทั่วไปเผลอกดเข้าไป — และเมื่อคุณดาวน์โหลดแอป VPN ปลอมนี้มา ก็เท่ากับมอบ ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน, และค่าการตั้งค่าภายในระบบองค์กร ให้แฮกเกอร์ไปครบชุดเลย ตัวแอปนี้ยัง “ลงลายเซ็นดิจิทัล” จากบริษัทปลอมชื่อ “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED” เพื่อหลอกระบบความปลอดภัยเบื้องต้นอีกด้วย ข่าวดีคือ SonicWall กับ Microsoft สามารถตรวจจับมัลแวร์ตัวนี้ได้แล้ว แต่ถ้าคุณหรือทีมไอทีใช้อุปกรณ์ป้องกันจากค่ายอื่น อาจยังไม่มีการอัปเดต signature นั้น — ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ “อย่าดาวน์โหลดแอป VPN จากที่อื่นนอกจากเว็บทางการ!” ✅ แฮกเกอร์ปลอมแอป SonicWall NetExtender แล้วแจกผ่านเว็บเลียนแบบของจริง   • เว็บปลอมถูกดันขึ้นอันดับบน Google ด้วยเทคนิค SEO poisoning และ malvertising   • ผู้ใช้ทั่วไปมีโอกาสหลงเชื่อสูง ✅ ไฟล์ติดมัลแวร์มีการเซ็นดิจิทัลหลอก โดยบริษัทปลอม “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED”   • หลอกระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น antivirus หรือ firewall ✅ แอปที่ถูกดัดแปลงประกอบด้วย:  • NetExtender.exe: ดัดแปลงให้ขโมยชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน และ config   • NEService.exe: ถูกแก้ให้ข้ามการตรวจสอบ digital certificate ✅ ข้อมูลของผู้ใช้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่แฮกเกอร์ควบคุมเมื่อกด “เชื่อมต่อ VPN”   • ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้รหัสเพื่อเข้าระบบองค์กรได้โดยตรง ✅ SonicWall และ Microsoft ออกคำเตือนและปรับ signature เพื่อจับมัลแวร์ตัวนี้แล้ว   • แต่ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์อื่นอาจยังไม่สามารถตรวจจับได้ ✅ SonicWall แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป VPN แค่จากเว็บทางการเท่านั้น:   • sonicwall.com   • mysonicwall.com https://www.techradar.com/pro/security/sonicwall-warns-of-fake-vpn-apps-stealing-user-logins-and-putting-businesses-at-risk-heres-what-we-know
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • ..ว่าด้วยเรื่องตังดิจิดัลและสินทรัพย์ดิจิดัลที่อีลิทต้องการผลักดันในยุคอนาคตเพื่อควบคุมมนุษย์ทุกๆคน ติดตามทุกๆกิจกรรมบริบทของมนุษย์,นี้คือผลงานการแฮ็กให้ดูเล่นๆพื้นๆของกิจการแอปอีลิทที่มันเก็บข้อมูลคนทั่วโลกไว้ที่เข้าไปใช้บริการของแอปพวกมันเครือข่ายพวกมัน,มันรู้ตัวตนคุณทุกๆคนนะ.,คุณไม่ปลอดภัยหรอก!!!

    .. BREAKING: รหัสผ่าน 16,000 ล้านรหัสรั่วไหล — ความตื่นตระหนกทางดิจิทัลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉินทางไซเบอร์ระดับโลก

    การรั่วไหลของรหัสผ่านครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ดิจิทัลได้เกิดขึ้นแล้ว: ข้อมูลประจำตัว 16,000 ล้านรหัสถูกเปิดเผยและแพร่กระจาย ผู้ใช้ Apple, Google, Facebook — ไม่มีใครปลอดภัย นี่ไม่ใช่การละเมิด แต่เป็นเส้นทางตรงสู่การโจรกรรมข้อมูลประจำตัว การแฮ็กบัญชี และการสูญเสียทางการเงิน ปกป้องชีวิตดิจิทัลของคุณตอนนี้

    อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่: https://amg-news.com/breaking-16-billion-passwords-leaked-digital-panic-has-begun-this-is-a-global-cyber-state-of-emergency/
    ..ว่าด้วยเรื่องตังดิจิดัลและสินทรัพย์ดิจิดัลที่อีลิทต้องการผลักดันในยุคอนาคตเพื่อควบคุมมนุษย์ทุกๆคน ติดตามทุกๆกิจกรรมบริบทของมนุษย์,นี้คือผลงานการแฮ็กให้ดูเล่นๆพื้นๆของกิจการแอปอีลิทที่มันเก็บข้อมูลคนทั่วโลกไว้ที่เข้าไปใช้บริการของแอปพวกมันเครือข่ายพวกมัน,มันรู้ตัวตนคุณทุกๆคนนะ.,คุณไม่ปลอดภัยหรอก!!! ..🚨 BREAKING: รหัสผ่าน 16,000 ล้านรหัสรั่วไหล — ความตื่นตระหนกทางดิจิทัลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉินทางไซเบอร์ระดับโลก 🚨 การรั่วไหลของรหัสผ่านครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ดิจิทัลได้เกิดขึ้นแล้ว: ข้อมูลประจำตัว 16,000 ล้านรหัสถูกเปิดเผยและแพร่กระจาย ผู้ใช้ Apple, Google, Facebook — ไม่มีใครปลอดภัย นี่ไม่ใช่การละเมิด แต่เป็นเส้นทางตรงสู่การโจรกรรมข้อมูลประจำตัว การแฮ็กบัญชี และการสูญเสียทางการเงิน ปกป้องชีวิตดิจิทัลของคุณตอนนี้ 👉 อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่: https://amg-news.com/breaking-16-billion-passwords-leaked-digital-panic-has-begun-this-is-a-global-cyber-state-of-emergency/
    AMG-NEWS.COM
    BREAKING: 16 BILLION PASSWORDS LEAKED — DIGITAL PANIC HAS BEGUN. THIS IS A GLOBAL CYBER STATE OF EMERGENCY. - amg-news.com - American Media Group
    The largest password leak in digital history has just detonated: 16 BILLION credentials exposed, live and circulating. Apple, Google, Facebook users — no one is safe. This isn’t a breach. It’s a direct path to identity theft, account hijacking, and financial wipeout. Secure your digital life now.
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 Reviews
  • การใช้ Generative AI (โดยเฉพาะ LLM อย่าง ChatGPT) ขณะทำงานเขียนบทความ อาจลดการทำงานของสมองในหลายด้าน โดยเฉพาะความจำและความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูล

    นักวิจัยจาก MIT ทำการทดลองกับกลุ่มคน 3 กลุ่ม ให้เขียนเรียงความ 3 ฉบับ:
    - กลุ่ม A: ใช้ LLM ช่วย (เช่น ChatGPT)
    - กลุ่ม B: ใช้ search engine (เช่น Google)
    - กลุ่ม C: เขียนโดยไม่ใช้อะไรเลย (ใช้สมองล้วน ๆ)

    จากนั้นกลุ่ม A กับ C สลับกันในบทความที่ 4 เพื่อดูว่า “พอเปลี่ยนวิธีแล้ว สมองเปลี่ยนยังไงบ้าง”

    ผลปรากฏว่า:
    - กลุ่ม C ที่ใช้แต่สมอง มีการเชื่อมต่อระหว่างสมองส่วนต่าง ๆ มากที่สุด
    - กลุ่ม A ที่ใช้ AI นั้น มีสมอง “เงียบกว่า” อย่างเห็นได้ชัด และจำอะไรไม่ค่อยได้ แม้จะเขียนบทความได้เนียนจน AI กับคนให้คะแนนสูง
    - กลุ่ม B ที่ใช้ search ก็อยู่กลาง ๆ: เนื้อหาออกแนว “เหมือนกันหมด” แต่ยังพอจำได้

    สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้ AI จะช่วยเขียนให้ “ดูดี” แต่สมองคนเขียนกลับ “ไม่จำ” หรือมีการใช้พลังงานน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ ช่วงที่ต้องวางโครงคิดเอง

    MIT ทดลองให้ผู้เข้าร่วมเขียนเรียงความ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม: ใช้ LLM, ใช้ search engine และไม่ใช้อะไรเลย  
    • กลุ่มไม่ใช้อะไรเลยแสดงกิจกรรมของสมองที่เชื่อมโยงกันสูงกว่ากลุ่มอื่น  
    • กลุ่มใช้ LLM มีการเชื่อมโยงของสมองลดลง และมีความจำระยะสั้นด้อยลง

    งานเขียนจาก LLM ถูกให้คะแนนสูง แต่กลับขาดมิติคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking)  
    • ผู้ใช้ LLM แก้ไขงานน้อย, copy-paste เยอะ, และจำไม่ได้ว่าเขียนอะไรไป

    ในรอบสุดท้าย กลุ่มที่เปลี่ยนจาก AI → สมองเอง มีการเชื่อมต่อของสมองเพิ่มขึ้น  
    • แสดงให้เห็นว่าเราสามารถ "ฟื้นการทำงานของสมอง" ได้ถ้าหยุดพึ่ง AI

    กลุ่มที่ใช้ search engine ได้ผลลัพธ์ “กลาง ๆ”  
    • เนื้อหาเหมือนกันมาก แต่ความจำยังดีพอสมควร

    ผลวิจัยชี้ว่า การใช้ digital tool ใด ๆ ก็มีผลต่อสมอง — แต่ LLM มีผลมากที่สุด  
    • โดยเฉพาะเมื่อใช้เพียงอย่างเดียว โดยไม่เสริมการคิด

    https://www.techspot.com/news/108386-mit-brain-scans-suggest-using-genai-tools-reduces.html
    การใช้ Generative AI (โดยเฉพาะ LLM อย่าง ChatGPT) ขณะทำงานเขียนบทความ อาจลดการทำงานของสมองในหลายด้าน โดยเฉพาะความจำและความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูล นักวิจัยจาก MIT ทำการทดลองกับกลุ่มคน 3 กลุ่ม ให้เขียนเรียงความ 3 ฉบับ: - กลุ่ม A: ใช้ LLM ช่วย (เช่น ChatGPT) - กลุ่ม B: ใช้ search engine (เช่น Google) - กลุ่ม C: เขียนโดยไม่ใช้อะไรเลย (ใช้สมองล้วน ๆ) จากนั้นกลุ่ม A กับ C สลับกันในบทความที่ 4 เพื่อดูว่า “พอเปลี่ยนวิธีแล้ว สมองเปลี่ยนยังไงบ้าง” ผลปรากฏว่า: - กลุ่ม C ที่ใช้แต่สมอง มีการเชื่อมต่อระหว่างสมองส่วนต่าง ๆ มากที่สุด - กลุ่ม A ที่ใช้ AI นั้น มีสมอง “เงียบกว่า” อย่างเห็นได้ชัด และจำอะไรไม่ค่อยได้ แม้จะเขียนบทความได้เนียนจน AI กับคนให้คะแนนสูง - กลุ่ม B ที่ใช้ search ก็อยู่กลาง ๆ: เนื้อหาออกแนว “เหมือนกันหมด” แต่ยังพอจำได้ สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้ AI จะช่วยเขียนให้ “ดูดี” แต่สมองคนเขียนกลับ “ไม่จำ” หรือมีการใช้พลังงานน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ ช่วงที่ต้องวางโครงคิดเอง ✅ MIT ทดลองให้ผู้เข้าร่วมเขียนเรียงความ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม: ใช้ LLM, ใช้ search engine และไม่ใช้อะไรเลย   • กลุ่มไม่ใช้อะไรเลยแสดงกิจกรรมของสมองที่เชื่อมโยงกันสูงกว่ากลุ่มอื่น   • กลุ่มใช้ LLM มีการเชื่อมโยงของสมองลดลง และมีความจำระยะสั้นด้อยลง ✅ งานเขียนจาก LLM ถูกให้คะแนนสูง แต่กลับขาดมิติคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking)   • ผู้ใช้ LLM แก้ไขงานน้อย, copy-paste เยอะ, และจำไม่ได้ว่าเขียนอะไรไป ✅ ในรอบสุดท้าย กลุ่มที่เปลี่ยนจาก AI → สมองเอง มีการเชื่อมต่อของสมองเพิ่มขึ้น   • แสดงให้เห็นว่าเราสามารถ "ฟื้นการทำงานของสมอง" ได้ถ้าหยุดพึ่ง AI ✅ กลุ่มที่ใช้ search engine ได้ผลลัพธ์ “กลาง ๆ”   • เนื้อหาเหมือนกันมาก แต่ความจำยังดีพอสมควร ✅ ผลวิจัยชี้ว่า การใช้ digital tool ใด ๆ ก็มีผลต่อสมอง — แต่ LLM มีผลมากที่สุด   • โดยเฉพาะเมื่อใช้เพียงอย่างเดียว โดยไม่เสริมการคิด https://www.techspot.com/news/108386-mit-brain-scans-suggest-using-genai-tools-reduces.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    MIT brain scans suggest that using GenAI tools reduces cognitive activity
    The newly published paper explains that as participants in an experiment wrote a series of essays, electronic brain monitoring revealed substantially weaker connections between regions of the...
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • Salesforce เจ้าของ Slack ประกาศปรับราคาชุดใหญ่ โดยเฉพาะแผน Business+ และ Enterprise+ โดยเพิ่มราคาต่อผู้ใช้รายเดือนขึ้นหลายดอลลาร์ — ยกตัวอย่างแผน Business+ ที่จ่ายรายปีจะขึ้นจาก $12.50 → $15 ต่อผู้ใช้/เดือน และถ้าจ่ายรายเดือนจะโดดเป็น $18 เลยทีเดียว!

    แต่ Salesforce ก็ไม่ได้ขึ้นราคาเฉย ๆ เค้าให้เหตุผลว่า “เพราะเพิ่มฟีเจอร์ AI มาให้” เช่น สรุปบทสนทนาแบบอัตโนมัติ (conversation recap), โน้ตจาก huddle, สรุปไฟล์, AI search, แปลข้อความ และอื่น ๆ

    และถ้ายังไม่พอ Salesforce ยังเปิดตัว Agentforce — แพลตฟอร์มที่ให้องค์กรสร้าง AI agent ใช้เอง เช่น ผู้ช่วยจัดประชุม ผู้ช่วยตอบคำถาม เริ่มต้นที่ $125 จนถึง $550 ต่อผู้ใช้ต่อเดือน (เฉพาะฟีเจอร์เสริมนี้เท่านั้นนะครับ ยังไม่รวม Slack)

    เบื้องหลังข่าวนี้คือยุคใหม่ของ SaaS ที่ไม่ใช่แค่ “ขึ้นราคา” แต่คือการ “ผูก AI มาพร้อมกันเลย” เพราะบริษัท tech ต่าง ๆ ต้องการให้ AI สร้างรายได้ ไม่ใช่แค่เป็นต้นทุน GPU แพง ๆ โดยไม่ได้กำไรกลับมา

    Salesforce ปรับราคาค่าบริการ Slack Plan แบบจ่ายเงิน (บางแผน)  
    • Business+ จาก $12.50 → $15 ต่อ user/เดือน (จ่ายรายปี)  
    • จ่ายรายเดือน: จาก $15 → $18  • แผน Foundations, Starter, Pro ไม่ขึ้นราคา

    เพิ่มฟีเจอร์ AI มาในทุกแผนแบบจ่ายเงิน  
    • Pro: สรุปบทสนทนา (recaps), สรุป huddle  
    • Business+/Enterprise+: เพิ่ม AI search, สรุปไฟล์, แปลภาษา และอื่น ๆ

    เปิดแผนใหม่ “Enterprise+”  
    • มีฟีเจอร์ด้าน admin, ค้นหาขั้นสูง และระบบควบคุมระดับองค์กร

    เปิดตัว Agentforce: แพลตฟอร์มสร้าง AI agent ขององค์กรเอง  
    • Agentforce 1 Editions เริ่มที่ $125 ถึง $550 ต่อ user/เดือน  
    • สร้าง digital labor (แรงงาน AI) ประจำทีม

    Salesforce ระบุว่าการให้ทุกคนมี AI ใช้งาน “คือยุทธศาสตร์ระดับองค์กร”  
    • เน้นว่าองค์กรที่ไม่เอา AI มาใช้เลย อาจตกขบวน  
    • แต่ก็ยอมรับว่า “หลายองค์กรยังแปลง AI ให้เป็นมูลค่าทางธุรกิจไม่สำเร็จ”

    ไม่สามารถปฏิเสธ AI ได้ แม้จะไม่ได้ใช้ก็ตาม  
    • ทุกแผนแบบจ่ายเงินจะได้ฟีเจอร์ AI โดยอัตโนมัติ  
    • องค์กรที่ใช้เฉพาะ Slack chat/chatbot อาจต้องจ่ายมากขึ้นโดยไม่คุ้ม

    Agentforce ราคาเริ่มต้นสูงมากสำหรับตลาดทั่วไป  
    • ระดับ $550/user/month ถือว่าสูงเกินการเข้าถึงของ SME หรือ startup  
    • ยิ่งรวมกับราคาของ Slack, ค่าใช้จ่ายต่อ user จะพุ่งขึ้นเร็วมาก

    มีกรณีที่ผ่านมา Salesforce เคยฝึกโมเดล AI โดยใช้ข้อมูลลูกค้า โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า  
    • ทำให้เกิดความกังวลด้าน privacy และการควบคุมข้อมูลขององค์กร

    หลายองค์กรยังไม่แน่ใจว่า AI ใน Slack “ช่วยงานจริง” หรือเป็นแค่ gimmick  
    • มีรายงานว่าองค์กรขนาดใหญ่บางแห่ง เริ่มถอยจากการใช้ AI แบบเต็มรูปแบบ

    https://www.techspot.com/news/108366-salesforce-latest-price-increase-comes-promise-more-ai.html
    Salesforce เจ้าของ Slack ประกาศปรับราคาชุดใหญ่ โดยเฉพาะแผน Business+ และ Enterprise+ โดยเพิ่มราคาต่อผู้ใช้รายเดือนขึ้นหลายดอลลาร์ — ยกตัวอย่างแผน Business+ ที่จ่ายรายปีจะขึ้นจาก $12.50 → $15 ต่อผู้ใช้/เดือน และถ้าจ่ายรายเดือนจะโดดเป็น $18 เลยทีเดียว! แต่ Salesforce ก็ไม่ได้ขึ้นราคาเฉย ๆ เค้าให้เหตุผลว่า “เพราะเพิ่มฟีเจอร์ AI มาให้” เช่น สรุปบทสนทนาแบบอัตโนมัติ (conversation recap), โน้ตจาก huddle, สรุปไฟล์, AI search, แปลข้อความ และอื่น ๆ และถ้ายังไม่พอ Salesforce ยังเปิดตัว Agentforce — แพลตฟอร์มที่ให้องค์กรสร้าง AI agent ใช้เอง เช่น ผู้ช่วยจัดประชุม ผู้ช่วยตอบคำถาม เริ่มต้นที่ $125 จนถึง $550 ต่อผู้ใช้ต่อเดือน (เฉพาะฟีเจอร์เสริมนี้เท่านั้นนะครับ ยังไม่รวม Slack) เบื้องหลังข่าวนี้คือยุคใหม่ของ SaaS ที่ไม่ใช่แค่ “ขึ้นราคา” แต่คือการ “ผูก AI มาพร้อมกันเลย” เพราะบริษัท tech ต่าง ๆ ต้องการให้ AI สร้างรายได้ ไม่ใช่แค่เป็นต้นทุน GPU แพง ๆ โดยไม่ได้กำไรกลับมา ✅ Salesforce ปรับราคาค่าบริการ Slack Plan แบบจ่ายเงิน (บางแผน)   • Business+ จาก $12.50 → $15 ต่อ user/เดือน (จ่ายรายปี)   • จ่ายรายเดือน: จาก $15 → $18  • แผน Foundations, Starter, Pro ไม่ขึ้นราคา ✅ เพิ่มฟีเจอร์ AI มาในทุกแผนแบบจ่ายเงิน   • Pro: สรุปบทสนทนา (recaps), สรุป huddle   • Business+/Enterprise+: เพิ่ม AI search, สรุปไฟล์, แปลภาษา และอื่น ๆ ✅ เปิดแผนใหม่ “Enterprise+”   • มีฟีเจอร์ด้าน admin, ค้นหาขั้นสูง และระบบควบคุมระดับองค์กร ✅ เปิดตัว Agentforce: แพลตฟอร์มสร้าง AI agent ขององค์กรเอง   • Agentforce 1 Editions เริ่มที่ $125 ถึง $550 ต่อ user/เดือน   • สร้าง digital labor (แรงงาน AI) ประจำทีม ✅ Salesforce ระบุว่าการให้ทุกคนมี AI ใช้งาน “คือยุทธศาสตร์ระดับองค์กร”   • เน้นว่าองค์กรที่ไม่เอา AI มาใช้เลย อาจตกขบวน   • แต่ก็ยอมรับว่า “หลายองค์กรยังแปลง AI ให้เป็นมูลค่าทางธุรกิจไม่สำเร็จ” ‼️ ไม่สามารถปฏิเสธ AI ได้ แม้จะไม่ได้ใช้ก็ตาม   • ทุกแผนแบบจ่ายเงินจะได้ฟีเจอร์ AI โดยอัตโนมัติ   • องค์กรที่ใช้เฉพาะ Slack chat/chatbot อาจต้องจ่ายมากขึ้นโดยไม่คุ้ม ‼️ Agentforce ราคาเริ่มต้นสูงมากสำหรับตลาดทั่วไป   • ระดับ $550/user/month ถือว่าสูงเกินการเข้าถึงของ SME หรือ startup   • ยิ่งรวมกับราคาของ Slack, ค่าใช้จ่ายต่อ user จะพุ่งขึ้นเร็วมาก ‼️ มีกรณีที่ผ่านมา Salesforce เคยฝึกโมเดล AI โดยใช้ข้อมูลลูกค้า โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า   • ทำให้เกิดความกังวลด้าน privacy และการควบคุมข้อมูลขององค์กร ‼️ หลายองค์กรยังไม่แน่ใจว่า AI ใน Slack “ช่วยงานจริง” หรือเป็นแค่ gimmick   • มีรายงานว่าองค์กรขนาดใหญ่บางแห่ง เริ่มถอยจากการใช้ AI แบบเต็มรูปแบบ https://www.techspot.com/news/108366-salesforce-latest-price-increase-comes-promise-more-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Salesforce hikes Slack prices, adds AI tools for all paid users
    According to a recent announcement from Salesforce, Slack customers will now have to pay more but will receive new AI-based features in return. Paid plans for the...
    0 Comments 0 Shares 235 Views 0 Reviews
  • SSD MonTitan: ประสิทธิภาพสูงสำหรับ AI และ HPC
    Silicon Motion ได้เปิดตัว SSD MonTitan ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ AI, Edge Computing และ HPC โดยใช้ คอนโทรลเลอร์ SM8366 PCIe Gen5 ที่มีประสิทธิภาพสูง

    คุณสมบัติเด่นของ MonTitan SSD
    - ความจุ 7.68TB รองรับ TLC และ QLC
    - ความเร็ว 3.4 ล้าน IOPS และ 14.2GB/s
    - ใช้ NVMe 2.0b และรองรับ OCP Data Center specs
    - มี PerformaShape Algorithm ที่ช่วยปรับแต่ง QoS ตามการใช้งาน
    - ใช้พลังงานต่ำ ต่ำกว่า 5W ขณะ idle
    - รองรับ 1 DWPD ซึ่งสามารถเขียนข้อมูลใหม่ได้เกือบ 2,000 ครั้ง ตลอดอายุการใช้งาน

    ข้อควรระวัง
    - การแข่งขันกับผู้ผลิต NAND รายใหญ่ เช่น Samsung และ SK Hynix อาจทำให้ MonTitan ต้องดิ้นรนเพื่อหาตลาด
    - การเปิดตัวล่าช้าอาจทำให้เสียโอกาสในตลาด AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
    - ต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อดูว่าประสิทธิภาพจริงตรงกับที่โฆษณาหรือไม่

    แนวโน้มตลาด SSD และการแข่งขัน
    การพัฒนา SSD ในตลาด
    - Western Digital และ Teamgroup กำลังเปิดตัว PCIe Gen5 SSD ความจุ 64TB
    - Intel SSD รุ่นเก่า 4 ปี ยังคงเป็นหนึ่งใน SSD ที่เร็วที่สุดในตลาด
    - Kioxia เปิดตัว SSD 61.44TB ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเขียนข้อมูล

    ข้อควรระวังเกี่ยวกับตลาด SSD
    - ต้องจับตาดูการพัฒนาเทคโนโลยี NAND เพราะอาจส่งผลต่อราคาของ SSD รุ่นใหม่
    - การเปลี่ยนไปใช้ PCIe Gen5 อาจต้องอัปเกรดฮาร์ดแวร์ เพื่อให้รองรับมาตรฐานใหม่
    - ต้องตรวจสอบความเข้ากันได้ของ SSD กับระบบที่ใช้งาน เพื่อป้องกันปัญหาด้านประสิทธิภาพ

    อนาคตของ SSD และเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล
    แนวโน้มการพัฒนา
    - SSD ความจุสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยมีการพัฒนา 128TB SSD ที่กำลังเข้าสู่ตลาด
    - AI และ HPC กำลังผลักดันให้ SSD มีความเร็วสูงขึ้น เพื่อรองรับการประมวลผลที่ซับซ้อน
    - เทคโนโลยีใหม่ เช่น Computational Storage อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ SSD ในอนาคต

    ข้อควรระวังเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่
    - ต้องมีการทดสอบความเสถียรของ SSD รุ่นใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาด้านความเข้ากันได้
    - ต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดระบบ เนื่องจาก SSD รุ่นใหม่อาจมีราคาสูง
    - ต้องติดตามการพัฒนาเทคโนโลยี NAND เพื่อให้แน่ใจว่า SSD มีความทนทานและประสิทธิภาพสูง

    https://www.techradar.com/pro/silicon-motion-montitan-ssd-can-be-rewritten-over-almost-2000-times-but-i-fear-that-in-the-battle-against-nand-vendors-like-samsung-its-just-too-little-too-late
    🚀 SSD MonTitan: ประสิทธิภาพสูงสำหรับ AI และ HPC Silicon Motion ได้เปิดตัว SSD MonTitan ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ AI, Edge Computing และ HPC โดยใช้ คอนโทรลเลอร์ SM8366 PCIe Gen5 ที่มีประสิทธิภาพสูง ✅ คุณสมบัติเด่นของ MonTitan SSD - ความจุ 7.68TB รองรับ TLC และ QLC - ความเร็ว 3.4 ล้าน IOPS และ 14.2GB/s - ใช้ NVMe 2.0b และรองรับ OCP Data Center specs - มี PerformaShape Algorithm ที่ช่วยปรับแต่ง QoS ตามการใช้งาน - ใช้พลังงานต่ำ ต่ำกว่า 5W ขณะ idle - รองรับ 1 DWPD ซึ่งสามารถเขียนข้อมูลใหม่ได้เกือบ 2,000 ครั้ง ตลอดอายุการใช้งาน ‼️ ข้อควรระวัง - การแข่งขันกับผู้ผลิต NAND รายใหญ่ เช่น Samsung และ SK Hynix อาจทำให้ MonTitan ต้องดิ้นรนเพื่อหาตลาด - การเปิดตัวล่าช้าอาจทำให้เสียโอกาสในตลาด AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว - ต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อดูว่าประสิทธิภาพจริงตรงกับที่โฆษณาหรือไม่ 🔍 แนวโน้มตลาด SSD และการแข่งขัน ✅ การพัฒนา SSD ในตลาด - Western Digital และ Teamgroup กำลังเปิดตัว PCIe Gen5 SSD ความจุ 64TB - Intel SSD รุ่นเก่า 4 ปี ยังคงเป็นหนึ่งใน SSD ที่เร็วที่สุดในตลาด - Kioxia เปิดตัว SSD 61.44TB ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเขียนข้อมูล ‼️ ข้อควรระวังเกี่ยวกับตลาด SSD - ต้องจับตาดูการพัฒนาเทคโนโลยี NAND เพราะอาจส่งผลต่อราคาของ SSD รุ่นใหม่ - การเปลี่ยนไปใช้ PCIe Gen5 อาจต้องอัปเกรดฮาร์ดแวร์ เพื่อให้รองรับมาตรฐานใหม่ - ต้องตรวจสอบความเข้ากันได้ของ SSD กับระบบที่ใช้งาน เพื่อป้องกันปัญหาด้านประสิทธิภาพ 🌍 อนาคตของ SSD และเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล ✅ แนวโน้มการพัฒนา - SSD ความจุสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยมีการพัฒนา 128TB SSD ที่กำลังเข้าสู่ตลาด - AI และ HPC กำลังผลักดันให้ SSD มีความเร็วสูงขึ้น เพื่อรองรับการประมวลผลที่ซับซ้อน - เทคโนโลยีใหม่ เช่น Computational Storage อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ SSD ในอนาคต ‼️ ข้อควรระวังเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ - ต้องมีการทดสอบความเสถียรของ SSD รุ่นใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาด้านความเข้ากันได้ - ต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดระบบ เนื่องจาก SSD รุ่นใหม่อาจมีราคาสูง - ต้องติดตามการพัฒนาเทคโนโลยี NAND เพื่อให้แน่ใจว่า SSD มีความทนทานและประสิทธิภาพสูง https://www.techradar.com/pro/silicon-motion-montitan-ssd-can-be-rewritten-over-almost-2000-times-but-i-fear-that-in-the-battle-against-nand-vendors-like-samsung-its-just-too-little-too-late
    0 Comments 0 Shares 233 Views 0 Reviews
  • เราจะไม่ยอมเสียแผ่นดินแม้แต่ตารางนิ้วเดียว... ขอเป็นกำลังให้เหล่าทหารกล้ารั้วของชาติทุกท่านค่ะ
    (Digital Pop art inspired by Michael Byers)
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    #เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
    เราจะไม่ยอมเสียแผ่นดิน🇹🇭แม้แต่ตารางนิ้วเดียว... ขอเป็นกำลัง💝ให้เหล่าทหารกล้า🪖รั้วของชาติทุกท่านค่ะ (Digital Pop art inspired by Michael Byers) #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
    0 Comments 0 Shares 248 Views 0 Reviews
  • Blue magpie in digital pop art style
    Blue magpie in digital pop art style
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • Fujifilm เปิดตัว X-E5 กล้องมิเรอร์เลสสไตล์เรโทร
    Fujifilm ได้เปิดตัว X-E5 ซึ่งเป็น กล้องมิเรอร์เลสสไตล์เรโทรที่มีน้ำหนักเบาเพียง 445 กรัม โดยมาพร้อมกับ เซ็นเซอร์ X-Trans CMOS 5 HR ความละเอียด 40.2 ล้านพิกเซล และ ระบบกันสั่น 5 แกนที่ปรับปรุงใหม่

    X-E5 สามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 6.2K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที และ มีระบบโฟกัสอัตโนมัติที่ใช้ AI เพื่อตรวจจับวัตถุ เช่น นก รถยนต์ เครื่องบิน และโดรน

    ข้อมูลจากข่าว
    - X-E5 ใช้เซ็นเซอร์ X-Trans CMOS 5 HR ความละเอียด 40.2 ล้านพิกเซล
    - สามารถถ่ายวิดีโอ 6.2K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที
    - ระบบกันสั่น 5 แกนให้การชดเชยสูงสุด 7.0 stops ที่ศูนย์กลาง และ 6.0 stops ที่ขอบภาพ
    - หน้าจอสัมผัสขนาด 3.0 นิ้ว สามารถพลิกขึ้น 180 องศาเพื่อช่วยในการถ่ายเซลฟี่
    - ระบบโฟกัสอัตโนมัติใช้ AI เพื่อตรวจจับวัตถุ เช่น นก รถยนต์ เครื่องบิน และโดรน

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกล้อง
    Fujifilm ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของกล้องสไตล์เรโทร แต่เพิ่ม เทคโนโลยีใหม่เพื่อให้สามารถแข่งขันกับแบรนด์อื่น ๆ ในตลาดกล้องมิเรอร์เลส

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - X-E5 ไม่มีช่องมองภาพแบบออปติคอล ซึ่งอาจไม่ถูกใจผู้ใช้บางกลุ่ม
    - ราคาของตัวกล้องอยู่ที่ $1,699.95 ซึ่งอาจสูงกว่าสำหรับผู้ใช้ที่มองหากล้องระดับเริ่มต้น
    - ต้องติดตามว่า Fujifilm จะมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบโฟกัสอัตโนมัติหรือไม่
    - การแข่งขันในตลาดกล้องมิเรอร์เลสกำลังรุนแรงขึ้น โดย Sony และ Canon กำลังเปิดตัวรุ่นใหม่ที่มีฟีเจอร์คล้ายกัน

    อนาคตของ Fujifilm X-E5
    Fujifilm ยังคงพัฒนาเทคโนโลยีของกล้องมิเรอร์เลสอย่างต่อเนื่อง โดย X-E5 อาจเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการกล้องน้ำหนักเบาแต่มีประสิทธิภาพสูง

    https://www.techspot.com/news/108295-fujifilm-announces-retro-styled-x-e5-mirrorless-digital.html
    📷 Fujifilm เปิดตัว X-E5 กล้องมิเรอร์เลสสไตล์เรโทร Fujifilm ได้เปิดตัว X-E5 ซึ่งเป็น กล้องมิเรอร์เลสสไตล์เรโทรที่มีน้ำหนักเบาเพียง 445 กรัม โดยมาพร้อมกับ เซ็นเซอร์ X-Trans CMOS 5 HR ความละเอียด 40.2 ล้านพิกเซล และ ระบบกันสั่น 5 แกนที่ปรับปรุงใหม่ X-E5 สามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 6.2K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที และ มีระบบโฟกัสอัตโนมัติที่ใช้ AI เพื่อตรวจจับวัตถุ เช่น นก รถยนต์ เครื่องบิน และโดรน ✅ ข้อมูลจากข่าว - X-E5 ใช้เซ็นเซอร์ X-Trans CMOS 5 HR ความละเอียด 40.2 ล้านพิกเซล - สามารถถ่ายวิดีโอ 6.2K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที - ระบบกันสั่น 5 แกนให้การชดเชยสูงสุด 7.0 stops ที่ศูนย์กลาง และ 6.0 stops ที่ขอบภาพ - หน้าจอสัมผัสขนาด 3.0 นิ้ว สามารถพลิกขึ้น 180 องศาเพื่อช่วยในการถ่ายเซลฟี่ - ระบบโฟกัสอัตโนมัติใช้ AI เพื่อตรวจจับวัตถุ เช่น นก รถยนต์ เครื่องบิน และโดรน 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกล้อง Fujifilm ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของกล้องสไตล์เรโทร แต่เพิ่ม เทคโนโลยีใหม่เพื่อให้สามารถแข่งขันกับแบรนด์อื่น ๆ ในตลาดกล้องมิเรอร์เลส ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - X-E5 ไม่มีช่องมองภาพแบบออปติคอล ซึ่งอาจไม่ถูกใจผู้ใช้บางกลุ่ม - ราคาของตัวกล้องอยู่ที่ $1,699.95 ซึ่งอาจสูงกว่าสำหรับผู้ใช้ที่มองหากล้องระดับเริ่มต้น - ต้องติดตามว่า Fujifilm จะมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบโฟกัสอัตโนมัติหรือไม่ - การแข่งขันในตลาดกล้องมิเรอร์เลสกำลังรุนแรงขึ้น โดย Sony และ Canon กำลังเปิดตัวรุ่นใหม่ที่มีฟีเจอร์คล้ายกัน 🚀 อนาคตของ Fujifilm X-E5 Fujifilm ยังคงพัฒนาเทคโนโลยีของกล้องมิเรอร์เลสอย่างต่อเนื่อง โดย X-E5 อาจเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการกล้องน้ำหนักเบาแต่มีประสิทธิภาพสูง https://www.techspot.com/news/108295-fujifilm-announces-retro-styled-x-e5-mirrorless-digital.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Fujifilm announces retro-styled X-E5 mirrorless digital camera
    Fujifilm said an improved pixel structure allows more light to be recorded on the sensor, resulting in a native ISO of 125.
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • Direct File: เครื่องมือยื่นภาษีฟรีของ IRS ที่กลายเป็นโอเพ่นซอร์ส
    Direct File ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยื่นภาษีออนไลน์ฟรีของ IRS ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังเปิดตัวในปี 2024 แม้ว่าจะเผชิญกับแรงกดดันจากบริษัทซอฟต์แวร์ภาษีเชิงพาณิชย์ เช่น Intuit (TurboTax) ที่พยายามขัดขวางโครงการนี้

    ล่าสุด IRS ได้เผยแพร่โค้ดของ Direct File บน GitHub ภายใต้ โอเพ่นซอร์สไลเซนส์ เพื่อให้สามารถพัฒนาและปรับปรุงได้โดยชุมชนเทคโนโลยี แม้ว่าจะมีบางส่วนของโค้ดที่ถูกตัดออกเพื่อความปลอดภัย

    Direct File ถูกออกแบบมาเพื่อ ช่วยให้ประชาชนยื่นภาษีได้ง่ายขึ้น โดยรองรับทั้ง ภาษาอังกฤษและสเปน และสามารถใช้งานได้บน เดสก์ท็อปและมือถือ

    ข้อมูลจากข่าว
    - Direct File เปิดตัวในปี 2024 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
    - IRS เผยแพร่โค้ดของ Direct File บน GitHub ภายใต้โอเพ่นซอร์สไลเซนส์
    - รองรับภาษาอังกฤษและสเปน และสามารถใช้งานได้บนเดสก์ท็อปและมือถือ
    - พัฒนาโดย US Digital Service และ 18F ซึ่งเป็นทีมเทคโนโลยีของรัฐบาล
    - Code for America ได้ fork โค้ดของ Direct File เพื่อพัฒนาต่อ

    ความท้าทายและแรงกดดันจากภาคเอกชน
    บริษัทซอฟต์แวร์ภาษีเชิงพาณิชย์ เช่น Intuit (TurboTax) ได้ใช้ กลยุทธ์ทางการตลาดและการล็อบบี้ เพื่อขัดขวางโครงการ Direct File โดยพยายาม โน้มน้าวให้รัฐบาลไม่สนับสนุนบริการยื่นภาษีฟรี

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - บางส่วนของโค้ดถูกตัดออกเพื่อความปลอดภัย ทำให้บางฟีเจอร์ไม่สามารถใช้งานได้
    - ต้องติดตามว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะสนับสนุน Direct File ต่อไปหรือไม่
    - การเปิดโอเพ่นซอร์สอาจทำให้เกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหากไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด

    การเปิดโอเพ่นซอร์สของ Direct File ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการยื่นภาษีฟรีได้ง่ายขึ้น และ ลดการพึ่งพาซอฟต์แวร์ภาษีเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาโดยชุมชนจะช่วยให้ระบบมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือไม่

    https://www.techspot.com/news/108209-free-tax-filing-tool-direct-file-getting-open.html
    🏛️ Direct File: เครื่องมือยื่นภาษีฟรีของ IRS ที่กลายเป็นโอเพ่นซอร์ส Direct File ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยื่นภาษีออนไลน์ฟรีของ IRS ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังเปิดตัวในปี 2024 แม้ว่าจะเผชิญกับแรงกดดันจากบริษัทซอฟต์แวร์ภาษีเชิงพาณิชย์ เช่น Intuit (TurboTax) ที่พยายามขัดขวางโครงการนี้ ล่าสุด IRS ได้เผยแพร่โค้ดของ Direct File บน GitHub ภายใต้ โอเพ่นซอร์สไลเซนส์ เพื่อให้สามารถพัฒนาและปรับปรุงได้โดยชุมชนเทคโนโลยี แม้ว่าจะมีบางส่วนของโค้ดที่ถูกตัดออกเพื่อความปลอดภัย Direct File ถูกออกแบบมาเพื่อ ช่วยให้ประชาชนยื่นภาษีได้ง่ายขึ้น โดยรองรับทั้ง ภาษาอังกฤษและสเปน และสามารถใช้งานได้บน เดสก์ท็อปและมือถือ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Direct File เปิดตัวในปี 2024 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว - IRS เผยแพร่โค้ดของ Direct File บน GitHub ภายใต้โอเพ่นซอร์สไลเซนส์ - รองรับภาษาอังกฤษและสเปน และสามารถใช้งานได้บนเดสก์ท็อปและมือถือ - พัฒนาโดย US Digital Service และ 18F ซึ่งเป็นทีมเทคโนโลยีของรัฐบาล - Code for America ได้ fork โค้ดของ Direct File เพื่อพัฒนาต่อ 🔥 ความท้าทายและแรงกดดันจากภาคเอกชน บริษัทซอฟต์แวร์ภาษีเชิงพาณิชย์ เช่น Intuit (TurboTax) ได้ใช้ กลยุทธ์ทางการตลาดและการล็อบบี้ เพื่อขัดขวางโครงการ Direct File โดยพยายาม โน้มน้าวให้รัฐบาลไม่สนับสนุนบริการยื่นภาษีฟรี ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - บางส่วนของโค้ดถูกตัดออกเพื่อความปลอดภัย ทำให้บางฟีเจอร์ไม่สามารถใช้งานได้ - ต้องติดตามว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะสนับสนุน Direct File ต่อไปหรือไม่ - การเปิดโอเพ่นซอร์สอาจทำให้เกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหากไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด การเปิดโอเพ่นซอร์สของ Direct File ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการยื่นภาษีฟรีได้ง่ายขึ้น และ ลดการพึ่งพาซอฟต์แวร์ภาษีเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาโดยชุมชนจะช่วยให้ระบบมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือไม่ https://www.techspot.com/news/108209-free-tax-filing-tool-direct-file-getting-open.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Free tax filing tool Direct File is getting the open source treatment
    The IRS launched Direct File in 2024, offering US citizens a free, user-friendly online platform for filing federal income tax returns. The software quickly gained popularity despite...
    0 Comments 0 Shares 145 Views 0 Reviews
  • Plasma 6.4: ปรับปรุง UI และแก้ไขบั๊กก่อนเปิดตัวเวอร์ชันเสถียร
    ทีมพัฒนา KDE ได้เผยรายละเอียดเกี่ยวกับ Plasma 6.4 ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในวันที่ 17 มิถุนายน 2025 โดยเน้นไปที่ การปรับปรุง UI และแก้ไขบั๊กจำนวนมาก เพื่อให้ระบบมีความเสถียรและใช้งานได้ดีขึ้น

    Plasma 6.4 ได้รับการปรับปรุง ระบบตั้งค่า Wi-Fi ให้สามารถ นำทางรายการเครือข่ายด้วยคีย์บอร์ดได้เต็มรูปแบบ นอกจากนี้ การลากและวางหน้าจอซ้อนกันในหน้าการตั้งค่ามอนิเตอร์ถูกปิดใช้งาน เพื่อป้องกัน การจัดเรียงที่ไม่รองรับและเกิดบั๊กแปลก ๆ

    ข้อมูลจากข่าว
    - Plasma 6.4 จะเปิดตัวในวันที่ 17 มิถุนายน 2025
    - ปรับปรุง UI ในหน้าตั้งค่า Wi-Fi ให้สามารถนำทางด้วยคีย์บอร์ดได้เต็มรูปแบบ
    - ปิดการลากและวางหน้าจอซ้อนกันในหน้าการตั้งค่ามอนิเตอร์เพื่อป้องกันบั๊ก
    - แก้ไขปัญหาการแสดงผล Logout Screen ที่ผิดพลาดหลังปลุกเครื่องจากโหมด Sleep
    - แก้ไขการจัดเรียงตัวอักษรในหน้าตั้งค่าของ Digital Clock Widget

    รายละเอียดการแก้ไขบั๊ก
    ทีมพัฒนา KDE ได้แก้ไข บั๊กที่พบบ่อยที่สุดใน System Monitor รวมถึง บั๊กที่ทำให้หน้าต่างหายไปเมื่อหน้าจอที่แสดงผลอยู่ถูกถอดออก นอกจากนี้ Sticky Notes Widget ได้รับการแก้ไขเพื่อไม่ให้ทำให้ Plasma Shell ค้าง

    ข้อมูลจากข่าว
    - แก้ไขบั๊กที่ทำให้ System Monitor ล่มบ่อยที่สุด
    - แก้ไขบั๊ก Divide-by-Zero ใน System Monitor
    - แก้ไขปัญหาหน้าต่างหายไปเมื่อหน้าจอที่แสดงผลอยู่ถูกถอดออก
    - Sticky Notes Widget ไม่ทำให้ Plasma Shell ค้างอีกต่อไป
    - แก้ไขบั๊กที่ทำให้ Discover ล่มเมื่อปิดแอปพลิเคชันทันทีหลังเปิด

    อนาคตของ Plasma 6.5
    แม้ว่าทีมพัฒนาจะมุ่งเน้นไปที่ Plasma 6.4 แต่การพัฒนา Plasma 6.5 ก็กำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว โดยมีการปรับปรุง ประสิทธิภาพและการจัดการหน่วยความจำ รวมถึง การแก้ไขบั๊กที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อเครือข่าย

    https://www.neowin.net/news/kde-brings-ui-improvements-bug-fixes-and-more-to-plasma-64-as-stable-release-draws-near/
    🖥️ Plasma 6.4: ปรับปรุง UI และแก้ไขบั๊กก่อนเปิดตัวเวอร์ชันเสถียร ทีมพัฒนา KDE ได้เผยรายละเอียดเกี่ยวกับ Plasma 6.4 ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในวันที่ 17 มิถุนายน 2025 โดยเน้นไปที่ การปรับปรุง UI และแก้ไขบั๊กจำนวนมาก เพื่อให้ระบบมีความเสถียรและใช้งานได้ดีขึ้น Plasma 6.4 ได้รับการปรับปรุง ระบบตั้งค่า Wi-Fi ให้สามารถ นำทางรายการเครือข่ายด้วยคีย์บอร์ดได้เต็มรูปแบบ นอกจากนี้ การลากและวางหน้าจอซ้อนกันในหน้าการตั้งค่ามอนิเตอร์ถูกปิดใช้งาน เพื่อป้องกัน การจัดเรียงที่ไม่รองรับและเกิดบั๊กแปลก ๆ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Plasma 6.4 จะเปิดตัวในวันที่ 17 มิถุนายน 2025 - ปรับปรุง UI ในหน้าตั้งค่า Wi-Fi ให้สามารถนำทางด้วยคีย์บอร์ดได้เต็มรูปแบบ - ปิดการลากและวางหน้าจอซ้อนกันในหน้าการตั้งค่ามอนิเตอร์เพื่อป้องกันบั๊ก - แก้ไขปัญหาการแสดงผล Logout Screen ที่ผิดพลาดหลังปลุกเครื่องจากโหมด Sleep - แก้ไขการจัดเรียงตัวอักษรในหน้าตั้งค่าของ Digital Clock Widget 🔧 รายละเอียดการแก้ไขบั๊ก ทีมพัฒนา KDE ได้แก้ไข บั๊กที่พบบ่อยที่สุดใน System Monitor รวมถึง บั๊กที่ทำให้หน้าต่างหายไปเมื่อหน้าจอที่แสดงผลอยู่ถูกถอดออก นอกจากนี้ Sticky Notes Widget ได้รับการแก้ไขเพื่อไม่ให้ทำให้ Plasma Shell ค้าง ✅ ข้อมูลจากข่าว - แก้ไขบั๊กที่ทำให้ System Monitor ล่มบ่อยที่สุด - แก้ไขบั๊ก Divide-by-Zero ใน System Monitor - แก้ไขปัญหาหน้าต่างหายไปเมื่อหน้าจอที่แสดงผลอยู่ถูกถอดออก - Sticky Notes Widget ไม่ทำให้ Plasma Shell ค้างอีกต่อไป - แก้ไขบั๊กที่ทำให้ Discover ล่มเมื่อปิดแอปพลิเคชันทันทีหลังเปิด 🚀 อนาคตของ Plasma 6.5 แม้ว่าทีมพัฒนาจะมุ่งเน้นไปที่ Plasma 6.4 แต่การพัฒนา Plasma 6.5 ก็กำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว โดยมีการปรับปรุง ประสิทธิภาพและการจัดการหน่วยความจำ รวมถึง การแก้ไขบั๊กที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อเครือข่าย https://www.neowin.net/news/kde-brings-ui-improvements-bug-fixes-and-more-to-plasma-64-as-stable-release-draws-near/
    WWW.NEOWIN.NET
    KDE brings UI improvements, bug fixes and more to Plasma 6.4 as stable release draws near
    KDE has shared its progress for the week, including bug fixes set to ship with Plasma 6.4, performance improvements targeting 6.5, and more.
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • ทรัมป์หันหลังการค้าโลก เพื่อสกัดระบบชำระเงินดิจิทัลหยวน : คนเคาะข่าว 03-06-68
    : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ
    เทปบันทึกภาพ ความจริงมีหนึ่งเดียว ครั้งที่ 2/2568 วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 2568
    #คนเคาะข่าว #ทรัมป์ #หยวนดิจิทัล #DigitalYuan #สงครามการเงิน #การค้าโลก #Geopolitics #สหรัฐจีน #สกุลเงินดิจิทัล #CBDC #ทนงขันทอง #ความจริงมีหนึ่งเดียว #วิเคราะห์เศรษฐกิจโลก #ระบบการเงินใหม่ #thaitimes #การชำระเงินระหว่างประเทศ
    ทรัมป์หันหลังการค้าโลก เพื่อสกัดระบบชำระเงินดิจิทัลหยวน : คนเคาะข่าว 03-06-68 : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ เทปบันทึกภาพ ความจริงมีหนึ่งเดียว ครั้งที่ 2/2568 วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 2568 #คนเคาะข่าว #ทรัมป์ #หยวนดิจิทัล #DigitalYuan #สงครามการเงิน #การค้าโลก #Geopolitics #สหรัฐจีน #สกุลเงินดิจิทัล #CBDC #ทนงขันทอง #ความจริงมีหนึ่งเดียว #วิเคราะห์เศรษฐกิจโลก #ระบบการเงินใหม่ #thaitimes #การชำระเงินระหว่างประเทศ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 514 Views 3 0 Reviews
  • Microsoft ปรับนโยบาย Edge ในยุโรป: ผู้ใช้มีอิสระมากขึ้น
    Microsoft ได้ประกาศ ลดการบังคับใช้ Edge ในยุโรป โดยเป็นผลมาจาก Digital Markets Act (DMA) ซึ่งเป็นกฎหมายของสหภาพยุโรปที่มุ่งเน้นให้บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ใช้มีทางเลือกมากขึ้น

    ก่อนหน้านี้ Microsoft ใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้ผู้ใช้ใช้ Edge เช่น ป๊อปอัปแจ้งเตือนหลังอัปเดต, การบล็อกการเปลี่ยนค่าเริ่มต้นของเบราว์เซอร์ และการเปิดลิงก์ภายในแอปของ Windows ผ่าน Edge เท่านั้น

    แต่ภายใต้ DMA Microsoft ได้ปรับเปลี่ยนหลายอย่าง เช่น Edge จะไม่แจ้งเตือนให้ตั้งเป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้น เว้นแต่ผู้ใช้เปิด Edge โดยตรง และ Windows Widgets กับ Bing App จะเปิดลิงก์ในเบราว์เซอร์ที่ผู้ใช้ตั้งค่าเป็นค่าเริ่มต้น

    นอกจากนี้ Windows Search ในยุโรปจะสามารถใช้ผู้ให้บริการค้นหาอื่น ๆ นอกเหนือจาก Bing และ Microsoft Store จะสามารถถอนการติดตั้งได้อย่างสมบูรณ์

    ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft ปรับนโยบาย Edge ในยุโรปตามข้อบังคับของ Digital Markets Act (DMA)
    - Edge จะไม่แจ้งเตือนให้ตั้งเป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้น เว้นแต่ผู้ใช้เปิด Edge โดยตรง
    - Windows Widgets และ Bing App จะเปิดลิงก์ในเบราว์เซอร์ที่ผู้ใช้ตั้งค่าเป็นค่าเริ่มต้น
    - Windows Search ในยุโรปสามารถใช้ผู้ให้บริการค้นหาอื่น ๆ นอกเหนือจาก Bing
    - Microsoft Store สามารถถอนการติดตั้งได้อย่างสมบูรณ์

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลเฉพาะในยุโรป และผู้ใช้ในภูมิภาคอื่นยังคงต้องเผชิญกับข้อจำกัดเดิม
    - แม้จะมีการปรับปรุง แต่ Microsoft ยังคงควบคุมบางส่วนของ Windows Search และ Edge
    - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อส่วนแบ่งตลาดของ Edge อย่างไร
    - Microsoft อาจปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อรักษาผู้ใช้ Edge ในภูมิภาคอื่น ๆ

    การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ ผู้ใช้ในยุโรปมีอิสระมากขึ้นในการเลือกเบราว์เซอร์และบริการค้นหา อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้ในภูมิภาคอื่น ๆ จะได้รับการเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกันหรือไม่

    https://www.neowin.net/news/microsoft-will-finally-stop-shoving-edge-down-your-throat-on-one-condition/
    🌍 Microsoft ปรับนโยบาย Edge ในยุโรป: ผู้ใช้มีอิสระมากขึ้น Microsoft ได้ประกาศ ลดการบังคับใช้ Edge ในยุโรป โดยเป็นผลมาจาก Digital Markets Act (DMA) ซึ่งเป็นกฎหมายของสหภาพยุโรปที่มุ่งเน้นให้บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ใช้มีทางเลือกมากขึ้น ก่อนหน้านี้ Microsoft ใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้ผู้ใช้ใช้ Edge เช่น ป๊อปอัปแจ้งเตือนหลังอัปเดต, การบล็อกการเปลี่ยนค่าเริ่มต้นของเบราว์เซอร์ และการเปิดลิงก์ภายในแอปของ Windows ผ่าน Edge เท่านั้น แต่ภายใต้ DMA Microsoft ได้ปรับเปลี่ยนหลายอย่าง เช่น Edge จะไม่แจ้งเตือนให้ตั้งเป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้น เว้นแต่ผู้ใช้เปิด Edge โดยตรง และ Windows Widgets กับ Bing App จะเปิดลิงก์ในเบราว์เซอร์ที่ผู้ใช้ตั้งค่าเป็นค่าเริ่มต้น นอกจากนี้ Windows Search ในยุโรปจะสามารถใช้ผู้ให้บริการค้นหาอื่น ๆ นอกเหนือจาก Bing และ Microsoft Store จะสามารถถอนการติดตั้งได้อย่างสมบูรณ์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft ปรับนโยบาย Edge ในยุโรปตามข้อบังคับของ Digital Markets Act (DMA) - Edge จะไม่แจ้งเตือนให้ตั้งเป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้น เว้นแต่ผู้ใช้เปิด Edge โดยตรง - Windows Widgets และ Bing App จะเปิดลิงก์ในเบราว์เซอร์ที่ผู้ใช้ตั้งค่าเป็นค่าเริ่มต้น - Windows Search ในยุโรปสามารถใช้ผู้ให้บริการค้นหาอื่น ๆ นอกเหนือจาก Bing - Microsoft Store สามารถถอนการติดตั้งได้อย่างสมบูรณ์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลเฉพาะในยุโรป และผู้ใช้ในภูมิภาคอื่นยังคงต้องเผชิญกับข้อจำกัดเดิม - แม้จะมีการปรับปรุง แต่ Microsoft ยังคงควบคุมบางส่วนของ Windows Search และ Edge - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อส่วนแบ่งตลาดของ Edge อย่างไร - Microsoft อาจปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อรักษาผู้ใช้ Edge ในภูมิภาคอื่น ๆ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ ผู้ใช้ในยุโรปมีอิสระมากขึ้นในการเลือกเบราว์เซอร์และบริการค้นหา อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้ในภูมิภาคอื่น ๆ จะได้รับการเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกันหรือไม่ https://www.neowin.net/news/microsoft-will-finally-stop-shoving-edge-down-your-throat-on-one-condition/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft will finally stop shoving Edge down your throat, on one condition
    Good news if you're tired of Microsoft's heavy-handed Edge promos. The company is backing off a bit, but of course, there's a catch.
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • Western Digital เตรียมเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ HAMR ในปี 2027
    Western Digital หนึ่งในผู้ผลิตฮาร์ดไดรฟ์รายใหญ่ของโลก ได้ประกาศแผนเปิดตัว ฮาร์ดไดรฟ์ที่ใช้เทคโนโลยี Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) ในปี 2027 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความจุของฮาร์ดไดรฟ์ให้สูงขึ้น

    เทคโนโลยี HAMR และการพัฒนา
    HAMR เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ ความร้อนเพื่อช่วยให้วัสดุบนจานแม่เหล็กสามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ก่อนที่จะเปิดตัว HAMR อย่างเต็มรูปแบบ Western Digital จะยังคงพัฒนา ePMR 2 (energy-assisted Perpendicular Magnetic Recording) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลโดยใช้กระแสไฟฟ้าเพิ่มเติมที่หัวเขียน

    ข้อมูลจากข่าว
    - Western Digital จะเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ HAMR ในปี 2027
    - HAMR ใช้ความร้อนเพื่อช่วยให้วัสดุบนจานแม่เหล็กสามารถบันทึกข้อมูลได้แม่นยำขึ้น
    - ก่อนเปิดตัว HAMR บริษัทจะยังคงพัฒนา ePMR 2 เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูล
    - ฮาร์ดไดรฟ์ HAMR รุ่นแรกจะมีความจุ 36TB และ 40TB
    - Western Digital ตั้งเป้าผลิตฮาร์ดไดรฟ์ 100TB ภายในปี 2030

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - HAMR เป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลาพัฒนาเพิ่มเติมก่อนเปิดตัว
    - Seagate กำลังนำหน้า Western Digital ในการพัฒนา HAMR และเริ่มทดสอบผลิตภัณฑ์แล้ว
    - SMR (Shingled Magnetic Recording) อาจมีปัญหาด้านประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือเมื่อเทียบกับ CMR (Conventional Magnetic Recording)
    - ต้องติดตามว่า Western Digital จะสามารถแข่งขันกับ Seagate ได้หรือไม่ในตลาดฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูง

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมจัดเก็บข้อมูล
    การเปิดตัว HAMR ของ Western Digital อาจช่วยให้ตลาดฮาร์ดไดรฟ์สามารถแข่งขันกับ SSD ที่มีความเร็วสูงขึ้น ได้ โดยเฉพาะในกลุ่ม

    https://www.techspot.com/news/108125-western-digital-plans-hamr-hard-disk-drives-materialize.html
    🔍 Western Digital เตรียมเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ HAMR ในปี 2027 Western Digital หนึ่งในผู้ผลิตฮาร์ดไดรฟ์รายใหญ่ของโลก ได้ประกาศแผนเปิดตัว ฮาร์ดไดรฟ์ที่ใช้เทคโนโลยี Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) ในปี 2027 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความจุของฮาร์ดไดรฟ์ให้สูงขึ้น 🔬 เทคโนโลยี HAMR และการพัฒนา HAMR เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ ความร้อนเพื่อช่วยให้วัสดุบนจานแม่เหล็กสามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนที่จะเปิดตัว HAMR อย่างเต็มรูปแบบ Western Digital จะยังคงพัฒนา ePMR 2 (energy-assisted Perpendicular Magnetic Recording) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลโดยใช้กระแสไฟฟ้าเพิ่มเติมที่หัวเขียน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Western Digital จะเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ HAMR ในปี 2027 - HAMR ใช้ความร้อนเพื่อช่วยให้วัสดุบนจานแม่เหล็กสามารถบันทึกข้อมูลได้แม่นยำขึ้น - ก่อนเปิดตัว HAMR บริษัทจะยังคงพัฒนา ePMR 2 เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูล - ฮาร์ดไดรฟ์ HAMR รุ่นแรกจะมีความจุ 36TB และ 40TB - Western Digital ตั้งเป้าผลิตฮาร์ดไดรฟ์ 100TB ภายในปี 2030 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - HAMR เป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลาพัฒนาเพิ่มเติมก่อนเปิดตัว - Seagate กำลังนำหน้า Western Digital ในการพัฒนา HAMR และเริ่มทดสอบผลิตภัณฑ์แล้ว - SMR (Shingled Magnetic Recording) อาจมีปัญหาด้านประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือเมื่อเทียบกับ CMR (Conventional Magnetic Recording) - ต้องติดตามว่า Western Digital จะสามารถแข่งขันกับ Seagate ได้หรือไม่ในตลาดฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูง 🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมจัดเก็บข้อมูล การเปิดตัว HAMR ของ Western Digital อาจช่วยให้ตลาดฮาร์ดไดรฟ์สามารถแข่งขันกับ SSD ที่มีความเร็วสูงขึ้น ได้ โดยเฉพาะในกลุ่ม https://www.techspot.com/news/108125-western-digital-plans-hamr-hard-disk-drives-materialize.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Western Digital's plans for HAMR hard disk drives will materialize in 2027
    At the recent Computex trade show in Taipei, Western Digital confirmed that its first hard drives based on Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) technology are scheduled to debut...
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • Microsoft นำทีมปฏิบัติการระดับโลก ปิดเครือข่ายมัลแวร์ Lumma Stealer ที่ติดไวรัสกว่า 394,000 เครื่อง

    Microsoft ร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลกเพื่อปิดเครือข่ายมัลแวร์ Lumma Stealer ซึ่งเป็น มัลแวร์ประเภท Infostealer ที่ขโมยข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลทางธุรกิจ โดยมี ผู้ใช้กว่า 394,000 รายได้รับผลกระทบในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการปิดเครือข่าย Lumma Stealer
    Microsoft Digital Crimes Unit (DCU) ประสบความสำเร็จในการรื้อถอนโครงสร้างพื้นฐานของ Lumma Stealer
    - ปิดกั้น 2,300 โดเมนที่ใช้เป็นศูนย์กลางของการดำเนินงาน

    มัลแวร์ Lumma Stealer ถูกใช้เพื่อขโมยรหัสผ่าน, ข้อมูลบัตรเครดิต และกระเป๋าเงินคริปโต
    - รวมถึง การโจมตีบริการสำคัญและการขโมยเอกสารจากเครื่องที่ติดไวรัส

    Microsoft ทำงานร่วมกับศาลรัฐบาลกลางในจอร์เจีย, กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ, Europol และศูนย์ควบคุมอาชญากรรมไซเบอร์ของญี่ปุ่น
    - เพื่อ รื้อถอนโครงสร้างพื้นฐานของ Lumma และป้องกันการแพร่กระจายเพิ่มเติม

    มัลแวร์ LummaC2 ถูกขายในตลาดมืดตั้งแต่ปี 2022 และพัฒนาให้มีฟีเจอร์ขั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ
    - สามารถ ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, ค้นหากระเป๋าเงินคริปโต และเจาะระบบ VPN

    มัลแวร์แพร่กระจายผ่านอีเมลฟิชชิ่ง, โฆษณาอันตราย และเว็บไซต์ที่ถูกแฮก
    - รวมถึง การใช้ Captcha ปลอมเพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดมัลแวร์

    https://www.techspot.com/news/108028-microsoft-led-massive-international-operation-against-notorious-lumma.html
    Microsoft นำทีมปฏิบัติการระดับโลก ปิดเครือข่ายมัลแวร์ Lumma Stealer ที่ติดไวรัสกว่า 394,000 เครื่อง Microsoft ร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลกเพื่อปิดเครือข่ายมัลแวร์ Lumma Stealer ซึ่งเป็น มัลแวร์ประเภท Infostealer ที่ขโมยข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลทางธุรกิจ โดยมี ผู้ใช้กว่า 394,000 รายได้รับผลกระทบในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการปิดเครือข่าย Lumma Stealer ✅ Microsoft Digital Crimes Unit (DCU) ประสบความสำเร็จในการรื้อถอนโครงสร้างพื้นฐานของ Lumma Stealer - ปิดกั้น 2,300 โดเมนที่ใช้เป็นศูนย์กลางของการดำเนินงาน ✅ มัลแวร์ Lumma Stealer ถูกใช้เพื่อขโมยรหัสผ่าน, ข้อมูลบัตรเครดิต และกระเป๋าเงินคริปโต - รวมถึง การโจมตีบริการสำคัญและการขโมยเอกสารจากเครื่องที่ติดไวรัส ✅ Microsoft ทำงานร่วมกับศาลรัฐบาลกลางในจอร์เจีย, กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ, Europol และศูนย์ควบคุมอาชญากรรมไซเบอร์ของญี่ปุ่น - เพื่อ รื้อถอนโครงสร้างพื้นฐานของ Lumma และป้องกันการแพร่กระจายเพิ่มเติม ✅ มัลแวร์ LummaC2 ถูกขายในตลาดมืดตั้งแต่ปี 2022 และพัฒนาให้มีฟีเจอร์ขั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ - สามารถ ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, ค้นหากระเป๋าเงินคริปโต และเจาะระบบ VPN ✅ มัลแวร์แพร่กระจายผ่านอีเมลฟิชชิ่ง, โฆษณาอันตราย และเว็บไซต์ที่ถูกแฮก - รวมถึง การใช้ Captcha ปลอมเพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดมัลแวร์ https://www.techspot.com/news/108028-microsoft-led-massive-international-operation-against-notorious-lumma.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Global crackdown led by Microsoft shuts down Lumma Stealer malware infecting 394,000 PCs
    Microsoft says its Digital Crimes Unit (DCU) successfully disrupted the server infrastructure behind Lumma Stealer, a malware-as-a-service (MaaS) operation that infected hundreds of thousands of Windows PCs....
    0 Comments 0 Shares 297 Views 0 Reviews
  • Microsoft ดำเนินการทางกฎหมายต่อ Lumma Stealer มัลแวร์ขโมยข้อมูล

    Microsoft ประกาศดำเนินการทางกฎหมายต่อ Lumma Stealer ซึ่งเป็นมัลแวร์ที่ขโมยข้อมูลจาก Windows กว่า 400,000 เครื่องทั่วโลกในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา โดยมัลแวร์นี้สามารถ ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์และแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมถึงกระเป๋าเงินคริปโต

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Lumma Stealer และการดำเนินการของ Microsoft
    Microsoft Digital Crimes Unit (DCU) ยื่นฟ้อง Lumma Stealer ในศาลสหรัฐฯ
    - ศาลแขวงสหรัฐฯ เขต Northern District of Georgia ออกคำสั่งให้ระงับและบล็อกโดเมนที่เกี่ยวข้องกับมัลแวร์นี้

    Lumma Stealer สามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์และกระเป๋าเงินคริปโต
    - รวมถึง ติดตั้งมัลแวร์อื่น ๆ บนเครื่องที่ติดเชื้อ

    กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยึดโดเมนอินเทอร์เน็ต 5 แห่งที่ใช้ในการดำเนินการของ LummaC2
    - FBI สำนักงาน Dallas กำลังสืบสวนคดีนี้

    Microsoft ระบุว่าการเติบโตของ Lumma Stealer สะท้อนถึงวิวัฒนาการของอาชญากรรมไซเบอร์
    - เน้นย้ำถึง ความจำเป็นในการป้องกันหลายชั้นและความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรม

    ผู้ใช้ควรตรวจสอบระบบของตนเพื่อป้องกันการติดมัลแวร์ Lumma Stealer
    - ควร อัปเดตซอฟต์แวร์และใช้เครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่เชื่อถือได้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/22/microsoft-files-legal-action-against-information-stealing-malware-lumma-stealer
    Microsoft ดำเนินการทางกฎหมายต่อ Lumma Stealer มัลแวร์ขโมยข้อมูล Microsoft ประกาศดำเนินการทางกฎหมายต่อ Lumma Stealer ซึ่งเป็นมัลแวร์ที่ขโมยข้อมูลจาก Windows กว่า 400,000 เครื่องทั่วโลกในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา โดยมัลแวร์นี้สามารถ ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์และแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมถึงกระเป๋าเงินคริปโต 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Lumma Stealer และการดำเนินการของ Microsoft ✅ Microsoft Digital Crimes Unit (DCU) ยื่นฟ้อง Lumma Stealer ในศาลสหรัฐฯ - ศาลแขวงสหรัฐฯ เขต Northern District of Georgia ออกคำสั่งให้ระงับและบล็อกโดเมนที่เกี่ยวข้องกับมัลแวร์นี้ ✅ Lumma Stealer สามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์และกระเป๋าเงินคริปโต - รวมถึง ติดตั้งมัลแวร์อื่น ๆ บนเครื่องที่ติดเชื้อ ✅ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยึดโดเมนอินเทอร์เน็ต 5 แห่งที่ใช้ในการดำเนินการของ LummaC2 - FBI สำนักงาน Dallas กำลังสืบสวนคดีนี้ ✅ Microsoft ระบุว่าการเติบโตของ Lumma Stealer สะท้อนถึงวิวัฒนาการของอาชญากรรมไซเบอร์ - เน้นย้ำถึง ความจำเป็นในการป้องกันหลายชั้นและความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรม ‼️ ผู้ใช้ควรตรวจสอบระบบของตนเพื่อป้องกันการติดมัลแวร์ Lumma Stealer - ควร อัปเดตซอฟต์แวร์และใช้เครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/22/microsoft-files-legal-action-against-information-stealing-malware-lumma-stealer
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft files legal action against information-stealing malware Lumma Stealer
    (Reuters) -Microsoft said on Wednesday its Digital Crimes Unit (DCU) filed a legal action against Lumma Stealer last week, after it found nearly 400,000 Windows computers globally infected by the information-stealing malware in the past two months.
    0 Comments 0 Shares 279 Views 0 Reviews
  • รัสเซียเพิ่มมาตรการปราบปราม VPN: การควบคุมอินเทอร์เน็ตที่เข้มงวดขึ้น

    รัฐบาลรัสเซีย เดินหน้าปราบปรามการใช้ VPN อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด Samsung และ Xiaomi ได้ลบแอป AdGuard VPN ออกจากร้านค้าแอปในรัสเซีย ตามคำสั่งของ Roskomnadzor ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตของรัสเซีย

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการปราบปราม VPN ในรัสเซีย
    Samsung และ Xiaomi ลบแอป AdGuard VPN ตามคำสั่งของ Roskomnadzor
    - นอกจากนี้ HideMyName VPN ก็ถูกลบออกจาก Huawei Store ในรัสเซียและจีน

    Roskomnadzor ใช้กฎหมายใหม่เพื่อบังคับให้บริษัทเทคโนโลยีปฏิบัติตามข้อกำหนด
    - กฎหมายนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2024 และกำหนดให้การเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงการเซ็นเซอร์เป็นอาชญากรรม

    Apple ลบแอป VPN ออกจาก App Store ในรัสเซียไปแล้วกว่า 100 แอป
    - รวมถึง AdGuard VPN และ Amnezia VPN ซึ่งเป็นบริการยอดนิยมในรัสเซีย

    Google ยังคงต่อต้านคำสั่งของรัฐบาลรัสเซีย
    - แต่ มีข้อมูลว่ามี VPN อย่างน้อย 53 แอปที่ถูกลบออกจาก Google Play Store ในรัสเซีย

    Roskomnadzor ขยายเป้าหมายไปยังผู้ให้บริการแอปสโตร์รายเล็ก
    - เช่น F-Droid ซึ่งถูกกดดันให้ลบแอป VPN ในปี 2024

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/a-clear-escalation-in-russias-crackdown-on-digital-privacy-tools-experts-warn-against-recent-vpn-disappearances-in-russia
    รัสเซียเพิ่มมาตรการปราบปราม VPN: การควบคุมอินเทอร์เน็ตที่เข้มงวดขึ้น รัฐบาลรัสเซีย เดินหน้าปราบปรามการใช้ VPN อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด Samsung และ Xiaomi ได้ลบแอป AdGuard VPN ออกจากร้านค้าแอปในรัสเซีย ตามคำสั่งของ Roskomnadzor ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตของรัสเซีย 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการปราบปราม VPN ในรัสเซีย ✅ Samsung และ Xiaomi ลบแอป AdGuard VPN ตามคำสั่งของ Roskomnadzor - นอกจากนี้ HideMyName VPN ก็ถูกลบออกจาก Huawei Store ในรัสเซียและจีน ✅ Roskomnadzor ใช้กฎหมายใหม่เพื่อบังคับให้บริษัทเทคโนโลยีปฏิบัติตามข้อกำหนด - กฎหมายนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2024 และกำหนดให้การเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงการเซ็นเซอร์เป็นอาชญากรรม ✅ Apple ลบแอป VPN ออกจาก App Store ในรัสเซียไปแล้วกว่า 100 แอป - รวมถึง AdGuard VPN และ Amnezia VPN ซึ่งเป็นบริการยอดนิยมในรัสเซีย ✅ Google ยังคงต่อต้านคำสั่งของรัฐบาลรัสเซีย - แต่ มีข้อมูลว่ามี VPN อย่างน้อย 53 แอปที่ถูกลบออกจาก Google Play Store ในรัสเซีย ✅ Roskomnadzor ขยายเป้าหมายไปยังผู้ให้บริการแอปสโตร์รายเล็ก - เช่น F-Droid ซึ่งถูกกดดันให้ลบแอป VPN ในปี 2024 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/a-clear-escalation-in-russias-crackdown-on-digital-privacy-tools-experts-warn-against-recent-vpn-disappearances-in-russia
    0 Comments 0 Shares 333 Views 0 Reviews
  • SanDisk เตรียมเปิดตัว SSD ความจุสูงถึง 512TB ด้วยสถาปัตยกรรม Stargate

    SanDisk ซึ่งปัจจุบันดำเนินงานเป็นบริษัทอิสระหลังแยกตัวจาก Western Digital ได้เปิดเผยแผนการพัฒนา SSD ความจุสูงถึง 256TB ในปี 2026 และ 512TB ในปี 2027 โดยใช้ สถาปัตยกรรม Stargate ซึ่งเป็นคอนโทรลเลอร์ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความจุระดับเอกซะไบต์

    Stargate เป็นคอนโทรลเลอร์ใหม่ที่ออกแบบจากศูนย์เพื่อรองรับ SSD ความจุสูง
    - ใช้ BiCS 8 QLC NAND ซึ่งมีความจุ 2Tbit (256GB) ต่อ die

    SSD รุ่นแรกที่ใช้ Stargate จะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 ปี 2025
    - รุ่น DC SN670 จะมีความจุ 64TB และ 128TB พร้อมรองรับ PCIe 5.0

    SanDisk ตั้งเป้าพัฒนา SSD ความจุ 256TB ในปี 2026 และ 512TB ในปี 2027
    - อาจมีการพัฒนา PCIe 6.0 ในรุ่นอนาคตเพื่อรองรับความเร็วที่สูงขึ้น

    Stargate จะเป็นหัวใจสำคัญในการขยายความจุ SSD ไปถึงระดับ 1PB ในอนาคต
    - เทคโนโลยีนี้ ช่วยให้สามารถเพิ่มความจุโดยไม่ลดประสิทธิภาพ

    SanDisk เผชิญผลประกอบการลดลงหลังแยกตัวจาก Western Digital
    - รายได้ในไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 1.695 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 10% จากไตรมาสก่อน

    https://www.techradar.com/pro/sandisk-could-use-new-architecture-called-stargate-to-power-its-256tb-and-512tb-ssds-in-2026-and-beyond
    SanDisk เตรียมเปิดตัว SSD ความจุสูงถึง 512TB ด้วยสถาปัตยกรรม Stargate SanDisk ซึ่งปัจจุบันดำเนินงานเป็นบริษัทอิสระหลังแยกตัวจาก Western Digital ได้เปิดเผยแผนการพัฒนา SSD ความจุสูงถึง 256TB ในปี 2026 และ 512TB ในปี 2027 โดยใช้ สถาปัตยกรรม Stargate ซึ่งเป็นคอนโทรลเลอร์ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความจุระดับเอกซะไบต์ ✅ Stargate เป็นคอนโทรลเลอร์ใหม่ที่ออกแบบจากศูนย์เพื่อรองรับ SSD ความจุสูง - ใช้ BiCS 8 QLC NAND ซึ่งมีความจุ 2Tbit (256GB) ต่อ die ✅ SSD รุ่นแรกที่ใช้ Stargate จะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 ปี 2025 - รุ่น DC SN670 จะมีความจุ 64TB และ 128TB พร้อมรองรับ PCIe 5.0 ✅ SanDisk ตั้งเป้าพัฒนา SSD ความจุ 256TB ในปี 2026 และ 512TB ในปี 2027 - อาจมีการพัฒนา PCIe 6.0 ในรุ่นอนาคตเพื่อรองรับความเร็วที่สูงขึ้น ✅ Stargate จะเป็นหัวใจสำคัญในการขยายความจุ SSD ไปถึงระดับ 1PB ในอนาคต - เทคโนโลยีนี้ ช่วยให้สามารถเพิ่มความจุโดยไม่ลดประสิทธิภาพ ✅ SanDisk เผชิญผลประกอบการลดลงหลังแยกตัวจาก Western Digital - รายได้ในไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 1.695 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 10% จากไตรมาสก่อน https://www.techradar.com/pro/sandisk-could-use-new-architecture-called-stargate-to-power-its-256tb-and-512tb-ssds-in-2026-and-beyond
    0 Comments 0 Shares 221 Views 0 Reviews
  • Western Digital ลงทุนใน Cerabyte เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบเซรามิก

    Western Digital ได้ประกาศ ลงทุนใน Cerabyte ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่พัฒนาเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบเซรามิก โดยเทคโนโลยีนี้สามารถ เก็บข้อมูลได้นานหลายพันปีโดยไม่ต้องใช้พลังงาน และมีศักยภาพในการ ขยายขนาดการจัดเก็บข้อมูลถึงระดับเอกซะไบต์

    Cerabyte ใช้เลเซอร์เฟมโตวินาทีในการบันทึกข้อมูลลงบนชั้นนาโนเซรามิก
    - เทคโนโลยีนี้ ช่วยให้ข้อมูลสามารถคงอยู่ได้นานโดยไม่มีการเสื่อมสภาพ

    การจัดเก็บข้อมูลใช้รูปแบบ QR Code บนเซรามิก
    - ลดปัญหา bit rot และ silent corruption ทำให้ข้อมูลมีความคงทนสูง

    Western Digital เข้าร่วมกับ Pure Storage และ In-Q-Tel ในการลงทุนใน Cerabyte
    - แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีนี้ได้รับความสนใจจากบริษัทใหญ่หลายแห่ง

    Cerabyte ตั้งเป้าขยายขนาดการจัดเก็บข้อมูลจาก 1PB เป็น 100PB ภายในปี 2030
    - คาดว่า จะสามารถลดเวลาเข้าถึงข้อมูลให้ต่ำกว่า 10 วินาที และเพิ่มความเร็วในการอ่าน/เขียนเกิน 1GB/s

    ระบบจัดเก็บข้อมูลของ Cerabyte ใช้หุ่นยนต์จัดการคาร์ทริดจ์ภายในชั้นวางข้อมูล
    - ออกแบบให้ สามารถใช้งานร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลมาตรฐาน

    https://www.techradar.com/pro/one-of-the-worlds-largest-hdd-makers-is-investing-in-exotic-storage-that-can-store-hundreds-of-terabytes-of-data-on-a-thumbnail-size-drive
    Western Digital ลงทุนใน Cerabyte เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบเซรามิก Western Digital ได้ประกาศ ลงทุนใน Cerabyte ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่พัฒนาเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบเซรามิก โดยเทคโนโลยีนี้สามารถ เก็บข้อมูลได้นานหลายพันปีโดยไม่ต้องใช้พลังงาน และมีศักยภาพในการ ขยายขนาดการจัดเก็บข้อมูลถึงระดับเอกซะไบต์ ✅ Cerabyte ใช้เลเซอร์เฟมโตวินาทีในการบันทึกข้อมูลลงบนชั้นนาโนเซรามิก - เทคโนโลยีนี้ ช่วยให้ข้อมูลสามารถคงอยู่ได้นานโดยไม่มีการเสื่อมสภาพ ✅ การจัดเก็บข้อมูลใช้รูปแบบ QR Code บนเซรามิก - ลดปัญหา bit rot และ silent corruption ทำให้ข้อมูลมีความคงทนสูง ✅ Western Digital เข้าร่วมกับ Pure Storage และ In-Q-Tel ในการลงทุนใน Cerabyte - แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีนี้ได้รับความสนใจจากบริษัทใหญ่หลายแห่ง ✅ Cerabyte ตั้งเป้าขยายขนาดการจัดเก็บข้อมูลจาก 1PB เป็น 100PB ภายในปี 2030 - คาดว่า จะสามารถลดเวลาเข้าถึงข้อมูลให้ต่ำกว่า 10 วินาที และเพิ่มความเร็วในการอ่าน/เขียนเกิน 1GB/s ✅ ระบบจัดเก็บข้อมูลของ Cerabyte ใช้หุ่นยนต์จัดการคาร์ทริดจ์ภายในชั้นวางข้อมูล - ออกแบบให้ สามารถใช้งานร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลมาตรฐาน https://www.techradar.com/pro/one-of-the-worlds-largest-hdd-makers-is-investing-in-exotic-storage-that-can-store-hundreds-of-terabytes-of-data-on-a-thumbnail-size-drive
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
More Results