• “DigiCert ซื้อกิจการ Valimail เสริมแกร่งระบบยืนยันอีเมล — สร้างเกราะป้องกันฟิชชิ่งระดับโลกด้วย DMARC และ BIMI”

    ในยุคที่อีเมลกลายเป็นช่องทางหลักของการโจมตีทางไซเบอร์ DigiCert ผู้ให้บริการด้าน digital trust ระดับโลก ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการของ Valimail บริษัทผู้นำด้านการยืนยันตัวตนของอีเมลแบบ zero trust เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์ม DigiCert ONE และรับมือกับภัยฟิชชิ่งและการปลอมแปลงอีเมลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

    Valimail เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี DMARC (Domain-based Message Authentication, Reporting and Conformance) ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบว่าอีเมลที่ส่งออกมานั้นเป็นของจริงหรือไม่ และป้องกันการปลอมแปลงชื่อโดเมน โดย Valimail ยังเป็นผู้ให้บริการ DMARC รายเดียวที่ได้รับการรับรอง FedRAMP สำหรับการใช้งานในหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ

    การรวมตัวครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ DigiCert ขยายการใช้งาน Verified Mark Certificates (VMCs) และ BIMI (Brand Indicators for Message Identification) ซึ่งช่วยให้อีเมลแสดงโลโก้ที่ได้รับการยืนยันในกล่องจดหมายของผู้รับ เพิ่มความน่าเชื่อถือและลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อฟิชชิ่ง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    DigiCert เข้าซื้อกิจการ Valimail เพื่อเสริมระบบยืนยันอีเมลแบบ zero trust
    Valimail เป็นผู้นำด้าน DMARC และได้รับการรับรอง FedRAMP สำหรับการใช้งานในหน่วยงานรัฐบาล
    DigiCert ONE จะรวมเทคโนโลยีของ Valimail เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม digital trust ที่ครอบคลุม
    การรวม VMCs และ BIMI ช่วยให้อีเมลแสดงโลโก้ที่ได้รับการยืนยัน เพิ่มความน่าเชื่อถือ
    Valimail มีลูกค้ากว่า 92,000 รายทั่วโลก และเติบโต 70% ในปีที่ผ่านมา
    DigiCert ตั้งเป้าครองตลาด DMARC มูลค่ากว่า $4 พันล้าน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DMARC ช่วยป้องกันการปลอมแปลงอีเมลและการโจมตีแบบ spoofing
    BIMI ช่วยให้ผู้รับเห็นโลโก้ของแบรนด์ในอีเมล เพิ่มความไว้วางใจ
    VMCs ต้องใช้ร่วมกับ DMARC เพื่อให้โลโก้แสดงผลในกล่องจดหมาย
    การยืนยันอีเมลแบบ zero trust เป็นแนวทางใหม่ในการป้องกันภัยไซเบอร์
    การรวมระบบ DNS, PKI และ certificate lifecycle management ช่วยให้ DigiCert ONE เป็นแพลตฟอร์มที่ครบวงจร

    https://www.techradar.com/pro/digicert-buys-valimail-to-boost-email-security-and-mitigate-growing-global-phishing-threats-using-dmarc
    📧 “DigiCert ซื้อกิจการ Valimail เสริมแกร่งระบบยืนยันอีเมล — สร้างเกราะป้องกันฟิชชิ่งระดับโลกด้วย DMARC และ BIMI” ในยุคที่อีเมลกลายเป็นช่องทางหลักของการโจมตีทางไซเบอร์ DigiCert ผู้ให้บริการด้าน digital trust ระดับโลก ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการของ Valimail บริษัทผู้นำด้านการยืนยันตัวตนของอีเมลแบบ zero trust เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์ม DigiCert ONE และรับมือกับภัยฟิชชิ่งและการปลอมแปลงอีเมลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก Valimail เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี DMARC (Domain-based Message Authentication, Reporting and Conformance) ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบว่าอีเมลที่ส่งออกมานั้นเป็นของจริงหรือไม่ และป้องกันการปลอมแปลงชื่อโดเมน โดย Valimail ยังเป็นผู้ให้บริการ DMARC รายเดียวที่ได้รับการรับรอง FedRAMP สำหรับการใช้งานในหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ การรวมตัวครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ DigiCert ขยายการใช้งาน Verified Mark Certificates (VMCs) และ BIMI (Brand Indicators for Message Identification) ซึ่งช่วยให้อีเมลแสดงโลโก้ที่ได้รับการยืนยันในกล่องจดหมายของผู้รับ เพิ่มความน่าเชื่อถือและลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อฟิชชิ่ง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ DigiCert เข้าซื้อกิจการ Valimail เพื่อเสริมระบบยืนยันอีเมลแบบ zero trust ➡️ Valimail เป็นผู้นำด้าน DMARC และได้รับการรับรอง FedRAMP สำหรับการใช้งานในหน่วยงานรัฐบาล ➡️ DigiCert ONE จะรวมเทคโนโลยีของ Valimail เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม digital trust ที่ครอบคลุม ➡️ การรวม VMCs และ BIMI ช่วยให้อีเมลแสดงโลโก้ที่ได้รับการยืนยัน เพิ่มความน่าเชื่อถือ ➡️ Valimail มีลูกค้ากว่า 92,000 รายทั่วโลก และเติบโต 70% ในปีที่ผ่านมา ➡️ DigiCert ตั้งเป้าครองตลาด DMARC มูลค่ากว่า $4 พันล้าน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DMARC ช่วยป้องกันการปลอมแปลงอีเมลและการโจมตีแบบ spoofing ➡️ BIMI ช่วยให้ผู้รับเห็นโลโก้ของแบรนด์ในอีเมล เพิ่มความไว้วางใจ ➡️ VMCs ต้องใช้ร่วมกับ DMARC เพื่อให้โลโก้แสดงผลในกล่องจดหมาย ➡️ การยืนยันอีเมลแบบ zero trust เป็นแนวทางใหม่ในการป้องกันภัยไซเบอร์ ➡️ การรวมระบบ DNS, PKI และ certificate lifecycle management ช่วยให้ DigiCert ONE เป็นแพลตฟอร์มที่ครบวงจร https://www.techradar.com/pro/digicert-buys-valimail-to-boost-email-security-and-mitigate-growing-global-phishing-threats-using-dmarc
    WWW.TECHRADAR.COM
    DigiCert grabs Valimail to lock down email while attackers circle for their next big strike
    Email hosting services could benefit from scaled DMARC adoption globally
    0 Comments 0 Shares 44 Views 0 Reviews
  • “Montblanc Digital Paper — สมุดโน้ตดิจิทัลสุดหรูราคาเกือบพันเหรียญ ที่ผสานความคลาสสิกกับเทคโนโลยีอย่างมีสไตล์”

    Montblanc แบรนด์เครื่องเขียนหรูจากเยอรมนีที่ขึ้นชื่อเรื่องปากกาหมึกซึมระดับตำนาน ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในโลกดิจิทัลอย่างเป็นทางการ — “Montblanc Digital Paper” สมุดโน้ตอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่หลงใหลในความสง่างามของการเขียนด้วยมือ แต่ต้องการความสะดวกของเทคโนโลยีสมัยใหม่

    ตัวเครื่องใช้หน้าจอ E Ink ขนาดประมาณ 10.3 นิ้ว (แม้ยังไม่มีการยืนยันขนาดอย่างเป็นทางการ) พร้อมปากกาดิจิทัลที่มีแรงกดถึง 4,000 ระดับ เพื่อให้สัมผัสการเขียนใกล้เคียงกับปากกาจริงที่สุด ตัวเครื่องมีหน่วยความจำ 64GB และแบตเตอรี่ขนาด 3740 mAh รองรับ Wi-Fi และ Bluetooth 5.4 (สำหรับเชื่อมต่อปากกา) พร้อมพอร์ต USB-C สำหรับการถ่ายโอนข้อมูล

    Montblanc ยังออกแบบซอฟต์แวร์ให้สามารถค้นหาข้อความจากลายมือ, จัดโครงสร้างความคิดด้วยเทมเพลตดิจิทัล และแชร์ไฟล์ผ่านแอป companion บน iOS และ Android ได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ของบุคคลที่สาม

    ตัวเครื่องผลิตจากอลูมิเนียมและหนังแท้ พร้อมสีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Cool Grey, Mystery Black และ Elixir Gold ส่วนเคส Folio ที่ขายแยกมีให้เลือก 4 สี ราคา $205 และปากกาสำรองราคา $275 โดยมีหัวปากกาให้เลือกหลายแบบ เช่น linen, matte และ smooth เพื่อจำลองสัมผัสการเขียนที่แตกต่างกัน

    แม้ราคาจะสูงถึง $905 แต่สำหรับผู้ที่หลงใหลในแบรนด์ Montblanc และต้องการประสบการณ์การเขียนที่เหนือระดับ นี่อาจเป็นสมุดโน้ตดิจิทัลที่ตอบโจทย์ที่สุดในตลาดตอนนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Montblanc เปิดตัว Digital Paper สมุดโน้ตดิจิทัลระดับพรีเมียม
    ราคาอยู่ที่ $905 / £750 / AU$1,490 พร้อมปากกาและหัวสำรอง
    หน่วยความจำ 64GB, แบตเตอรี่ 3740 mAh, รองรับ Wi-Fi และ Bluetooth 5.4
    ใช้หน้าจอ E Ink ขาวดำ ขนาดประมาณ 10.3 นิ้ว
    ปากกามีแรงกด 4,000 ระดับ พร้อมปุ่มควบคุมฟีเจอร์
    รองรับการค้นหาข้อความจากลายมือ และแชร์ไฟล์ผ่านแอป companion
    ตัวเครื่องผลิตจากอลูมิเนียมและหนังแท้ มีให้เลือก 3 สี
    เคส Folio ราคา $205 และปากกาสำรองราคา $275 พร้อมหัวปากกาแบบต่าง ๆ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ซอฟต์แวร์ทำงานบน Android แต่ไม่รองรับการติดตั้งแอปหรือ Google Play
    การออกแบบเน้นประสบการณ์การเขียนที่ใกล้เคียงกับปากกาจริง
    Montblanc เป็นแบรนด์ที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีในวงการเครื่องเขียน
    คู่แข่งในตลาด เช่น Kindle Scribe และ Kobo Elipsa มีราคาถูกกว่าครึ่ง แต่สเปกใกล้เคียงกัน
    ตลาด e-notebook กำลังเติบโตในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการลดการใช้กระดาษแต่ยังรักการเขียนด้วยมือ

    https://www.techradar.com/tablets/ereaders/montblanc-just-released-an-e-notebook-and-yes-its-staggeringly-expensive
    🖋️ “Montblanc Digital Paper — สมุดโน้ตดิจิทัลสุดหรูราคาเกือบพันเหรียญ ที่ผสานความคลาสสิกกับเทคโนโลยีอย่างมีสไตล์” Montblanc แบรนด์เครื่องเขียนหรูจากเยอรมนีที่ขึ้นชื่อเรื่องปากกาหมึกซึมระดับตำนาน ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในโลกดิจิทัลอย่างเป็นทางการ — “Montblanc Digital Paper” สมุดโน้ตอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่หลงใหลในความสง่างามของการเขียนด้วยมือ แต่ต้องการความสะดวกของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตัวเครื่องใช้หน้าจอ E Ink ขนาดประมาณ 10.3 นิ้ว (แม้ยังไม่มีการยืนยันขนาดอย่างเป็นทางการ) พร้อมปากกาดิจิทัลที่มีแรงกดถึง 4,000 ระดับ เพื่อให้สัมผัสการเขียนใกล้เคียงกับปากกาจริงที่สุด ตัวเครื่องมีหน่วยความจำ 64GB และแบตเตอรี่ขนาด 3740 mAh รองรับ Wi-Fi และ Bluetooth 5.4 (สำหรับเชื่อมต่อปากกา) พร้อมพอร์ต USB-C สำหรับการถ่ายโอนข้อมูล Montblanc ยังออกแบบซอฟต์แวร์ให้สามารถค้นหาข้อความจากลายมือ, จัดโครงสร้างความคิดด้วยเทมเพลตดิจิทัล และแชร์ไฟล์ผ่านแอป companion บน iOS และ Android ได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ของบุคคลที่สาม ตัวเครื่องผลิตจากอลูมิเนียมและหนังแท้ พร้อมสีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Cool Grey, Mystery Black และ Elixir Gold ส่วนเคส Folio ที่ขายแยกมีให้เลือก 4 สี ราคา $205 และปากกาสำรองราคา $275 โดยมีหัวปากกาให้เลือกหลายแบบ เช่น linen, matte และ smooth เพื่อจำลองสัมผัสการเขียนที่แตกต่างกัน แม้ราคาจะสูงถึง $905 แต่สำหรับผู้ที่หลงใหลในแบรนด์ Montblanc และต้องการประสบการณ์การเขียนที่เหนือระดับ นี่อาจเป็นสมุดโน้ตดิจิทัลที่ตอบโจทย์ที่สุดในตลาดตอนนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Montblanc เปิดตัว Digital Paper สมุดโน้ตดิจิทัลระดับพรีเมียม ➡️ ราคาอยู่ที่ $905 / £750 / AU$1,490 พร้อมปากกาและหัวสำรอง ➡️ หน่วยความจำ 64GB, แบตเตอรี่ 3740 mAh, รองรับ Wi-Fi และ Bluetooth 5.4 ➡️ ใช้หน้าจอ E Ink ขาวดำ ขนาดประมาณ 10.3 นิ้ว ➡️ ปากกามีแรงกด 4,000 ระดับ พร้อมปุ่มควบคุมฟีเจอร์ ➡️ รองรับการค้นหาข้อความจากลายมือ และแชร์ไฟล์ผ่านแอป companion ➡️ ตัวเครื่องผลิตจากอลูมิเนียมและหนังแท้ มีให้เลือก 3 สี ➡️ เคส Folio ราคา $205 และปากกาสำรองราคา $275 พร้อมหัวปากกาแบบต่าง ๆ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ซอฟต์แวร์ทำงานบน Android แต่ไม่รองรับการติดตั้งแอปหรือ Google Play ➡️ การออกแบบเน้นประสบการณ์การเขียนที่ใกล้เคียงกับปากกาจริง ➡️ Montblanc เป็นแบรนด์ที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีในวงการเครื่องเขียน ➡️ คู่แข่งในตลาด เช่น Kindle Scribe และ Kobo Elipsa มีราคาถูกกว่าครึ่ง แต่สเปกใกล้เคียงกัน ➡️ ตลาด e-notebook กำลังเติบโตในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการลดการใช้กระดาษแต่ยังรักการเขียนด้วยมือ https://www.techradar.com/tablets/ereaders/montblanc-just-released-an-e-notebook-and-yes-its-staggeringly-expensive
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • “ช่างซ่อมคอมฯ เจอเคส ‘สัตว์ประหลาด’ — การจัดสายไฟสุดโหดที่อาจบาดมือและทำลายระบบในพริบตา”

    เรื่องราวสุดสะเทือนวงการ PC Building เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ Reddit และเจ้าของร้านซ่อมคอมฯ elishalewisusaf ได้รับเครื่องเกมมิ่งพีซีจากลูกค้ารายหนึ่งที่มีการดัดแปลงภายในอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะบริเวณ PSU shroud ที่ถูกเจาะทะลุเหล็กแบบไม่ปราณี จนดูเหมือนถูก “เอเลี่ยน” ฉีกออกเพื่อปกป้องรังของมัน

    แม้ PSU shroud จะมีช่องสำหรับเดินสายอยู่แล้ว แต่เจ้าของเครื่องกลับเลือกใช้วิธี “ผ่าตรง” ด้วยเครื่องมือไม่ระบุชนิด ทำให้เกิดรอยแผลเหล็กบิดเบี้ยวที่อาจบาดมือได้ง่าย และอาจทำให้สายไฟภายในเสียหายหรือเกิดการลัดวงจรจากเศษโลหะและฝุ่นที่สะสม

    ในภาพยังเห็นว่าพีซีเครื่องนี้เคยเป็นของแบรนด์ Digital Storm ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการประกอบเครื่องด้วยความประณีต และมีบริการซัพพอร์ตตลอดชีพ แต่เจ้าของกลับเลือกใช้วิธี DIY ที่เสี่ยงแทนการติดต่อบริษัท

    การ์ดจอที่ติดตั้งอยู่คาดว่าเป็น Asus Dual RTX 3060 หรือ 4060 ซึ่งหมายความว่าเครื่องนี้น่าจะประกอบมาไม่เกิน 4 ปี แต่กลับมีฝุ่นสะสมหนาแน่น และใช้ SSD SATA ขนาด 256GB ที่ติดตั้งไว้บน PSU shroud ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานเกมในยุค 2025

    แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยว่าเครื่องมีปัญหาอะไร แต่ช่างซ่อมและผู้เชี่ยวชาญใน Reddit ต่างคาดว่าอาจมีสายไฟที่ถูกบาดหรือเกิดการลัดวงจรจากการดัดแปลงที่ไม่เหมาะสม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่างซ่อมพบพีซีที่มีการเจาะ PSU shroud อย่างรุนแรงจนเหล็กบิดเบี้ยว
    การดัดแปลงนี้อาจเกิดจากความพยายามเดินสาย 8-pin ที่สั้นเกินไป
    เครื่องเป็นของแบรนด์ Digital Storm ที่มีชื่อเสียงด้านการประกอบคุณภาพสูง
    ใช้ SSD SATA 256GB ซึ่งไม่เหมาะกับเกมมิ่งในยุคปัจจุบัน

    ความเห็นจากช่างและชุมชน
    ช่างซ่อมเรียกเครื่องนี้ว่า “monstrosity” และ “บาดมือได้”
    ผู้ใช้ Reddit ส่วนใหญ่เห็นว่าเป็น user error ที่ไม่ควรเกิดขึ้น
    บางคนเสนอว่าเจ้าของควรใช้สายต่อหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนลงมือ
    การจัดสายไฟที่ดีช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การจัดสายไฟที่ไม่ดีอาจทำให้พัดลมติดสายและเกิดความร้อนสะสม
    การเจาะเคสโดยไม่ระวังอาจทำให้โครงสร้างอ่อนแอและเกิดเสียงรบกวน
    SSD SATA มีความเร็วต่ำกว่า NVMe และไม่เหมาะกับเกมขนาดใหญ่ในปี 2025
    Digital Storm มีบริการ Lifetime Support ซึ่งควรใช้ก่อนลงมือ DIY

    https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/repairer-brands-customers-gaming-pc-a-monstrosity-skin-lacerating-cable-management-technique-provokes-horror
    🧨 “ช่างซ่อมคอมฯ เจอเคส ‘สัตว์ประหลาด’ — การจัดสายไฟสุดโหดที่อาจบาดมือและทำลายระบบในพริบตา” เรื่องราวสุดสะเทือนวงการ PC Building เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ Reddit และเจ้าของร้านซ่อมคอมฯ elishalewisusaf ได้รับเครื่องเกมมิ่งพีซีจากลูกค้ารายหนึ่งที่มีการดัดแปลงภายในอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะบริเวณ PSU shroud ที่ถูกเจาะทะลุเหล็กแบบไม่ปราณี จนดูเหมือนถูก “เอเลี่ยน” ฉีกออกเพื่อปกป้องรังของมัน แม้ PSU shroud จะมีช่องสำหรับเดินสายอยู่แล้ว แต่เจ้าของเครื่องกลับเลือกใช้วิธี “ผ่าตรง” ด้วยเครื่องมือไม่ระบุชนิด ทำให้เกิดรอยแผลเหล็กบิดเบี้ยวที่อาจบาดมือได้ง่าย และอาจทำให้สายไฟภายในเสียหายหรือเกิดการลัดวงจรจากเศษโลหะและฝุ่นที่สะสม ในภาพยังเห็นว่าพีซีเครื่องนี้เคยเป็นของแบรนด์ Digital Storm ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการประกอบเครื่องด้วยความประณีต และมีบริการซัพพอร์ตตลอดชีพ แต่เจ้าของกลับเลือกใช้วิธี DIY ที่เสี่ยงแทนการติดต่อบริษัท การ์ดจอที่ติดตั้งอยู่คาดว่าเป็น Asus Dual RTX 3060 หรือ 4060 ซึ่งหมายความว่าเครื่องนี้น่าจะประกอบมาไม่เกิน 4 ปี แต่กลับมีฝุ่นสะสมหนาแน่น และใช้ SSD SATA ขนาด 256GB ที่ติดตั้งไว้บน PSU shroud ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานเกมในยุค 2025 แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยว่าเครื่องมีปัญหาอะไร แต่ช่างซ่อมและผู้เชี่ยวชาญใน Reddit ต่างคาดว่าอาจมีสายไฟที่ถูกบาดหรือเกิดการลัดวงจรจากการดัดแปลงที่ไม่เหมาะสม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่างซ่อมพบพีซีที่มีการเจาะ PSU shroud อย่างรุนแรงจนเหล็กบิดเบี้ยว ➡️ การดัดแปลงนี้อาจเกิดจากความพยายามเดินสาย 8-pin ที่สั้นเกินไป ➡️ เครื่องเป็นของแบรนด์ Digital Storm ที่มีชื่อเสียงด้านการประกอบคุณภาพสูง ➡️ ใช้ SSD SATA 256GB ซึ่งไม่เหมาะกับเกมมิ่งในยุคปัจจุบัน ✅ ความเห็นจากช่างและชุมชน ➡️ ช่างซ่อมเรียกเครื่องนี้ว่า “monstrosity” และ “บาดมือได้” ➡️ ผู้ใช้ Reddit ส่วนใหญ่เห็นว่าเป็น user error ที่ไม่ควรเกิดขึ้น ➡️ บางคนเสนอว่าเจ้าของควรใช้สายต่อหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนลงมือ ➡️ การจัดสายไฟที่ดีช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การจัดสายไฟที่ไม่ดีอาจทำให้พัดลมติดสายและเกิดความร้อนสะสม ➡️ การเจาะเคสโดยไม่ระวังอาจทำให้โครงสร้างอ่อนแอและเกิดเสียงรบกวน ➡️ SSD SATA มีความเร็วต่ำกว่า NVMe และไม่เหมาะกับเกมขนาดใหญ่ในปี 2025 ➡️ Digital Storm มีบริการ Lifetime Support ซึ่งควรใช้ก่อนลงมือ DIY https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/repairer-brands-customers-gaming-pc-a-monstrosity-skin-lacerating-cable-management-technique-provokes-horror
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • Jonathan Riddell อำลาวงการ KDE หลัง 25 ปี — เมื่ออุดมการณ์ไม่ตรงกันกลายเป็นจุดจบของผู้สร้าง Kubuntu

    Jonathan Riddell ผู้ก่อตั้ง Kubuntu และผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเดสก์ท็อป Plasma ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ได้ประกาศลาออกจากโครงการ KDE อย่างเป็นทางการหลังจากร่วมงานมายาวนานถึง 25 ปี โดยเหตุผลหลักมาจากความขัดแย้งด้านอุดมการณ์และโครงสร้างการบริหารที่เปลี่ยนไป

    หลังจาก Canonical ยุติการสนับสนุน Kubuntu อย่างเป็นทางการ Riddell ได้หันไปพัฒนา KDE Neon ซึ่งกลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับการทดสอบและเผยแพร่เวอร์ชันล่าสุดของ Plasma โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท Blue Systems ที่มีบทบาทสำคัญในวงการโอเพ่นซอร์ส

    แต่เมื่อ Blue Systems ปิดตัวลงเนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้ก่อตั้ง บริษัทใหม่ชื่อ Tech Paladin จึงถูกตั้งขึ้นโดย Nate Graham นักพัฒนา KDE อีกคนหนึ่ง เพื่อสานต่อภารกิจเดิม Riddell เสนอให้ Tech Paladin ดำเนินงานในรูปแบบสหกรณ์คล้าย Igalia ซึ่งเป็นบริษัทโอเพ่นซอร์สที่บริหารโดยพนักงานร่วมกัน แต่ข้อเสนอของเขาถูกปฏิเสธ และเขารู้สึกว่าถูกกันออกจากการตัดสินใจในโครงการที่เขาเคยสร้างขึ้น

    ในบล็อกอำลา Riddell เขียนว่า “สุดท้าย ผมสูญเสียเพื่อนร่วมงาน อาชีพ และครอบครัว” พร้อมทิ้งท้ายว่าเขาจะใช้ชีวิตแบบ digital nomad ต่อไป และหากใครต้องการพบเขา ก็สามารถตามหาได้ที่ “paddleshack ปลายโลก” ที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัย

    Jonathan Riddell ประกาศลาออกจาก KDE หลังร่วมงาน 25 ปี
    เป็นผู้ก่อตั้ง Kubuntu และผู้ผลักดัน KDE Neon
    มีบทบาทสำคัญในการทำให้ Plasma เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

    การเปลี่ยนผ่านจาก Blue Systems สู่ Tech Paladin
    Blue Systems ปิดตัวลงจากปัญหาสุขภาพของผู้ก่อตั้ง
    Nate Graham ตั้ง Tech Paladin เพื่อสานต่อภารกิจ KDE

    Riddell เสนอให้ Tech Paladin เป็นสหกรณ์แบบ Igalia
    ต้องการโครงสร้างที่เปิดกว้างและมีส่วนร่วมจากทีมงาน
    ข้อเสนอถูกปฏิเสธ และเขารู้สึกถูกกันออกจากการตัดสินใจ

    KDE Neon กลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับ Plasma
    ใช้เผยแพร่เวอร์ชันล่าสุดของ KDE โดยตรงถึงผู้ใช้
    เป็นจุดเชื่อมระหว่างนักพัฒนาและผู้ใช้งานทั่วไป

    Riddell อำลาวงการด้วยความผิดหวัง
    เขียนบล็อกอำลาพร้อมข้อความสะเทือนใจ
    ตั้งใจใช้ชีวิตแบบ digital nomad ต่อไป

    https://news.itsfoss.com/jonathan-riddell-farewell/
    📰 Jonathan Riddell อำลาวงการ KDE หลัง 25 ปี — เมื่ออุดมการณ์ไม่ตรงกันกลายเป็นจุดจบของผู้สร้าง Kubuntu Jonathan Riddell ผู้ก่อตั้ง Kubuntu และผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเดสก์ท็อป Plasma ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ได้ประกาศลาออกจากโครงการ KDE อย่างเป็นทางการหลังจากร่วมงานมายาวนานถึง 25 ปี โดยเหตุผลหลักมาจากความขัดแย้งด้านอุดมการณ์และโครงสร้างการบริหารที่เปลี่ยนไป หลังจาก Canonical ยุติการสนับสนุน Kubuntu อย่างเป็นทางการ Riddell ได้หันไปพัฒนา KDE Neon ซึ่งกลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับการทดสอบและเผยแพร่เวอร์ชันล่าสุดของ Plasma โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท Blue Systems ที่มีบทบาทสำคัญในวงการโอเพ่นซอร์ส แต่เมื่อ Blue Systems ปิดตัวลงเนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้ก่อตั้ง บริษัทใหม่ชื่อ Tech Paladin จึงถูกตั้งขึ้นโดย Nate Graham นักพัฒนา KDE อีกคนหนึ่ง เพื่อสานต่อภารกิจเดิม Riddell เสนอให้ Tech Paladin ดำเนินงานในรูปแบบสหกรณ์คล้าย Igalia ซึ่งเป็นบริษัทโอเพ่นซอร์สที่บริหารโดยพนักงานร่วมกัน แต่ข้อเสนอของเขาถูกปฏิเสธ และเขารู้สึกว่าถูกกันออกจากการตัดสินใจในโครงการที่เขาเคยสร้างขึ้น ในบล็อกอำลา Riddell เขียนว่า “สุดท้าย ผมสูญเสียเพื่อนร่วมงาน อาชีพ และครอบครัว” พร้อมทิ้งท้ายว่าเขาจะใช้ชีวิตแบบ digital nomad ต่อไป และหากใครต้องการพบเขา ก็สามารถตามหาได้ที่ “paddleshack ปลายโลก” ที่เขาใช้เป็นที่พักอาศัย ✅ Jonathan Riddell ประกาศลาออกจาก KDE หลังร่วมงาน 25 ปี ➡️ เป็นผู้ก่อตั้ง Kubuntu และผู้ผลักดัน KDE Neon ➡️ มีบทบาทสำคัญในการทำให้ Plasma เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ✅ การเปลี่ยนผ่านจาก Blue Systems สู่ Tech Paladin ➡️ Blue Systems ปิดตัวลงจากปัญหาสุขภาพของผู้ก่อตั้ง ➡️ Nate Graham ตั้ง Tech Paladin เพื่อสานต่อภารกิจ KDE ✅ Riddell เสนอให้ Tech Paladin เป็นสหกรณ์แบบ Igalia ➡️ ต้องการโครงสร้างที่เปิดกว้างและมีส่วนร่วมจากทีมงาน ➡️ ข้อเสนอถูกปฏิเสธ และเขารู้สึกถูกกันออกจากการตัดสินใจ ✅ KDE Neon กลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับ Plasma ➡️ ใช้เผยแพร่เวอร์ชันล่าสุดของ KDE โดยตรงถึงผู้ใช้ ➡️ เป็นจุดเชื่อมระหว่างนักพัฒนาและผู้ใช้งานทั่วไป ✅ Riddell อำลาวงการด้วยความผิดหวัง ➡️ เขียนบล็อกอำลาพร้อมข้อความสะเทือนใจ ➡️ ตั้งใจใช้ชีวิตแบบ digital nomad ต่อไป https://news.itsfoss.com/jonathan-riddell-farewell/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Unhappy Ending! Kubuntu Creator Jonathan Riddell Departs After 25 Years with KDE
    Jonathan Riddell feels that the clash of opinions and values prompted him to say goodbye to KDE after 25 long years.
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • AI ดันตลาด HDD สะเทือน — รอ 32TB นานเป็นปี ราคาพุ่งทั่วโลก ขณะที่ SSD ก็เริ่มโดนหางเลข

    ในยุคที่ AI ไม่ได้แค่คิดเร็ว แต่ยัง “กินพื้นที่” อย่างมหาศาล ความต้องการจัดเก็บข้อมูลระดับเทราไบต์จึงพุ่งทะยานแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะในกลุ่ม HDD ความจุสูงอย่าง 32TB ที่ตอนนี้ต้องรอนานถึง 52 สัปดาห์ หรือเกือบหนึ่งปีเต็ม2 ข้อมูลจาก TrendForce และ TechRadar ระบุว่า hyperscaler รายใหญ่ เช่น Google และ Oracle กำลังเร่งขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาลต่อระบบจัดเก็บข้อมูลทั่วโลก

    Western Digital และ Seagate ต่างประกาศขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ HDD โดยให้เหตุผลว่า “ความต้องการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” และการลงทุนในนวัตกรรมใหม่เป็นต้นทุนหลัก ขณะเดียวกัน SSD ก็เริ่มถูกดึงเข้ามาใช้งานแม้ในงาน cold data ที่เดิมที HDD เป็นตัวเลือกหลัก เพราะราคาถูกต่อ GB แต่ตอนนี้ผู้ให้บริการคลาวด์เริ่มหันมาใช้ QLC SSD แม้จะมีต้นทุนสูงกว่า เพื่อรับมือกับปัญหาการขาดแคลน HDD

    อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปใช้ SSD สำหรับ cold data ยังมีอุปสรรคหลายด้าน ทั้งเรื่องต้นทุน การปรับระบบซอฟต์แวร์ และความเข้ากันได้ของอัลกอริธึมจัดการข้อมูล ซึ่งหากไม่วางแผนให้ดี อาจทำให้ต้นทุนรวมพุ่งเกินควบคุมได้ง่าย

    ความต้องการ HDD ความจุสูงพุ่งจากการขยายระบบ AI
    Hyperscaler อย่าง Google, Oracle, Amazon เร่งซื้อ HDD สำหรับงาน inference
    ความต้องการ cold data storage เพิ่มขึ้นจากการฝึกและใช้งานโมเดล AI

    HDD ขนาด 32TB ขึ้นไปต้องรอนานถึง 52 สัปดาห์
    30TB ยังพอมีในตลาด เช่น Seagate Exos Mozaic+
    การขนส่งล่าช้าเพิ่มอีก 6–10 สัปดาห์จากการใช้เรือสินค้า

    Western Digital และ Seagate ประกาศขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ HDD
    อ้างเหตุผลจากความต้องการสูงและต้นทุนการพัฒนา
    กระทบทั้งองค์กรขนาดใหญ่และผู้ใช้งานทั่วไป

    SSD เริ่มถูกนำมาใช้แทน HDD แม้ในงาน cold data
    QLC SSD มีความเร็วสูงและใช้พลังงานน้อยลง ~30%
    คาดว่า QLC SSD จะเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2026

    การเปลี่ยนไปใช้ SSD ต้องปรับระบบหลายด้าน
    ต้องอัปเดตอัลกอริธึมจัดการข้อมูลและตรวจสอบความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์
    ต้องคำนวณต้นทุนรวมอย่างแม่นยำเพื่อควบคุมงบประมาณ

    https://www.techradar.com/pro/surging-ai-demand-for-hdd-means-that-you-may-have-to-wait-up-to-a-year-for-32-tb-hard-disk-drives-warns-research-and-yes-prices-are-also-going-up
    📰 AI ดันตลาด HDD สะเทือน — รอ 32TB นานเป็นปี ราคาพุ่งทั่วโลก ขณะที่ SSD ก็เริ่มโดนหางเลข ในยุคที่ AI ไม่ได้แค่คิดเร็ว แต่ยัง “กินพื้นที่” อย่างมหาศาล ความต้องการจัดเก็บข้อมูลระดับเทราไบต์จึงพุ่งทะยานแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะในกลุ่ม HDD ความจุสูงอย่าง 32TB ที่ตอนนี้ต้องรอนานถึง 52 สัปดาห์ หรือเกือบหนึ่งปีเต็ม2 ข้อมูลจาก TrendForce และ TechRadar ระบุว่า hyperscaler รายใหญ่ เช่น Google และ Oracle กำลังเร่งขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาลต่อระบบจัดเก็บข้อมูลทั่วโลก Western Digital และ Seagate ต่างประกาศขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ HDD โดยให้เหตุผลว่า “ความต้องการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” และการลงทุนในนวัตกรรมใหม่เป็นต้นทุนหลัก ขณะเดียวกัน SSD ก็เริ่มถูกดึงเข้ามาใช้งานแม้ในงาน cold data ที่เดิมที HDD เป็นตัวเลือกหลัก เพราะราคาถูกต่อ GB แต่ตอนนี้ผู้ให้บริการคลาวด์เริ่มหันมาใช้ QLC SSD แม้จะมีต้นทุนสูงกว่า เพื่อรับมือกับปัญหาการขาดแคลน HDD อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปใช้ SSD สำหรับ cold data ยังมีอุปสรรคหลายด้าน ทั้งเรื่องต้นทุน การปรับระบบซอฟต์แวร์ และความเข้ากันได้ของอัลกอริธึมจัดการข้อมูล ซึ่งหากไม่วางแผนให้ดี อาจทำให้ต้นทุนรวมพุ่งเกินควบคุมได้ง่าย ✅ ความต้องการ HDD ความจุสูงพุ่งจากการขยายระบบ AI ➡️ Hyperscaler อย่าง Google, Oracle, Amazon เร่งซื้อ HDD สำหรับงาน inference ➡️ ความต้องการ cold data storage เพิ่มขึ้นจากการฝึกและใช้งานโมเดล AI ✅ HDD ขนาด 32TB ขึ้นไปต้องรอนานถึง 52 สัปดาห์ ➡️ 30TB ยังพอมีในตลาด เช่น Seagate Exos Mozaic+ ➡️ การขนส่งล่าช้าเพิ่มอีก 6–10 สัปดาห์จากการใช้เรือสินค้า ✅ Western Digital และ Seagate ประกาศขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ HDD ➡️ อ้างเหตุผลจากความต้องการสูงและต้นทุนการพัฒนา ➡️ กระทบทั้งองค์กรขนาดใหญ่และผู้ใช้งานทั่วไป ✅ SSD เริ่มถูกนำมาใช้แทน HDD แม้ในงาน cold data ➡️ QLC SSD มีความเร็วสูงและใช้พลังงานน้อยลง ~30% ➡️ คาดว่า QLC SSD จะเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2026 ✅ การเปลี่ยนไปใช้ SSD ต้องปรับระบบหลายด้าน ➡️ ต้องอัปเดตอัลกอริธึมจัดการข้อมูลและตรวจสอบความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์ ➡️ ต้องคำนวณต้นทุนรวมอย่างแม่นยำเพื่อควบคุมงบประมาณ https://www.techradar.com/pro/surging-ai-demand-for-hdd-means-that-you-may-have-to-wait-up-to-a-year-for-32-tb-hard-disk-drives-warns-research-and-yes-prices-are-also-going-up
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • “Tencent หันหลังให้ Nvidia — ปรับโครงสร้าง AI สู่ชิปจีนเต็มรูปแบบ ท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามเทคโนโลยี”

    Tencent บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน ประกาศอย่างเป็นทางการในงาน Global Digital Ecosystem Summit เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2025 ว่าได้ “ปรับโครงสร้างระบบประมวลผล AI ทั้งหมด” เพื่อรองรับชิปที่ออกแบบโดยบริษัทจีน โดยไม่พึ่งพา Nvidia อีกต่อไป ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุทธศาสตร์ด้านฮาร์ดแวร์ของบริษัท และสะท้อนแนวโน้มการพึ่งพาตนเองของจีนในยุคที่การส่งออกเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ถูกจำกัดอย่างเข้มงวด

    Qiu Yuepeng ประธาน Tencent Cloud ยืนยันว่าบริษัทได้ใช้ “ชิปจีนกระแสหลัก” ในการผลิตจริง ไม่ใช่แค่ทดลอง และกำลังร่วมมือกับผู้ผลิตชิปหลายรายเพื่อเลือกฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมกับแต่ละงาน พร้อมลงทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาโครงสร้างร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อลดต้นทุนการประมวลผล

    การประกาศนี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากหน่วยงานกำกับดูแลของจีนเปิดเผยว่า Nvidia ละเมิดกฎการควบรวมกิจการจากการซื้อ Mellanox ในปี 2019 ซึ่งเพิ่มแรงกดดันให้บริษัทจีนต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง

    แม้ Tencent จะไม่เปิดเผยชื่อชิปที่ใช้งานจริง แต่หลายฝ่ายคาดว่าเป็น Huawei Ascend ซึ่งมีการใช้งานแล้วใน ByteDance และได้รับการสนับสนุนจากเฟรมเวิร์ก MindSpore ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยว่าชิปเหล่านี้จะสามารถรองรับการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ได้จริงหรือไม่ เนื่องจาก Huawei ถูกคาดว่าจะผลิตได้เพียง 200,000 ชิป AI ในปีหน้า

    Tencent ยังระบุว่ามีชิปสำหรับการฝึกโมเดลเพียงพอในคลัง และมี “หลายทางเลือก” สำหรับ inference ซึ่งสะท้อนถึงการกระจายความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนอย่างชัดเจน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Tencent ประกาศปรับโครงสร้างระบบ AI เพื่อรองรับชิปจีนเต็มรูปแบบ
    ใช้ชิปจีนกระแสหลักในระดับการผลิตจริง ไม่ใช่แค่ทดลอง
    ร่วมมือกับผู้ผลิตหลายรายเพื่อเลือกฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมกับแต่ละงาน
    ลงทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาโครงสร้างร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

    ความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้อง
    Nvidia ถูกกล่าวหาว่าละเมิดกฎการควบรวมกิจการในจีนจากดีล Mellanox
    Tencent มีชิปสำหรับการฝึกโมเดลเพียงพอ และมีหลายทางเลือกสำหรับ inference
    DeepSeek AI ประกาศว่าโมเดล V3.1 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับชิปจีนรุ่นใหม่
    Huawei Ascend ถูกใช้งานใน ByteDance และมีเฟรมเวิร์ก MindSpore รองรับ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    จีนตั้งเป้าให้บริษัทในประเทศใช้ชิปจีนอย่างน้อย 50% ภายในปี 2026
    กลุ่ม Model-Chips Ecosystem Innovation Alliance ก่อตั้งขึ้นเพื่อผลักดันการใช้ชิปจีนในงาน AI
    การเปลี่ยนจาก Nvidia ไปยังชิปจีนต้องใช้เวลาและต้นทุนสูงในการปรับซอฟต์แวร์
    Huawei Ascend ยังมีข้อจำกัดด้านปริมาณการผลิตและการเข้าถึง HBM

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tencent-goes-public-with-pivot-to-chinese-chips
    🇨🇳 “Tencent หันหลังให้ Nvidia — ปรับโครงสร้าง AI สู่ชิปจีนเต็มรูปแบบ ท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามเทคโนโลยี” Tencent บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน ประกาศอย่างเป็นทางการในงาน Global Digital Ecosystem Summit เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2025 ว่าได้ “ปรับโครงสร้างระบบประมวลผล AI ทั้งหมด” เพื่อรองรับชิปที่ออกแบบโดยบริษัทจีน โดยไม่พึ่งพา Nvidia อีกต่อไป ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุทธศาสตร์ด้านฮาร์ดแวร์ของบริษัท และสะท้อนแนวโน้มการพึ่งพาตนเองของจีนในยุคที่การส่งออกเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ถูกจำกัดอย่างเข้มงวด Qiu Yuepeng ประธาน Tencent Cloud ยืนยันว่าบริษัทได้ใช้ “ชิปจีนกระแสหลัก” ในการผลิตจริง ไม่ใช่แค่ทดลอง และกำลังร่วมมือกับผู้ผลิตชิปหลายรายเพื่อเลือกฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมกับแต่ละงาน พร้อมลงทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาโครงสร้างร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อลดต้นทุนการประมวลผล การประกาศนี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากหน่วยงานกำกับดูแลของจีนเปิดเผยว่า Nvidia ละเมิดกฎการควบรวมกิจการจากการซื้อ Mellanox ในปี 2019 ซึ่งเพิ่มแรงกดดันให้บริษัทจีนต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง แม้ Tencent จะไม่เปิดเผยชื่อชิปที่ใช้งานจริง แต่หลายฝ่ายคาดว่าเป็น Huawei Ascend ซึ่งมีการใช้งานแล้วใน ByteDance และได้รับการสนับสนุนจากเฟรมเวิร์ก MindSpore ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยว่าชิปเหล่านี้จะสามารถรองรับการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ได้จริงหรือไม่ เนื่องจาก Huawei ถูกคาดว่าจะผลิตได้เพียง 200,000 ชิป AI ในปีหน้า Tencent ยังระบุว่ามีชิปสำหรับการฝึกโมเดลเพียงพอในคลัง และมี “หลายทางเลือก” สำหรับ inference ซึ่งสะท้อนถึงการกระจายความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนอย่างชัดเจน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Tencent ประกาศปรับโครงสร้างระบบ AI เพื่อรองรับชิปจีนเต็มรูปแบบ ➡️ ใช้ชิปจีนกระแสหลักในระดับการผลิตจริง ไม่ใช่แค่ทดลอง ➡️ ร่วมมือกับผู้ผลิตหลายรายเพื่อเลือกฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมกับแต่ละงาน ➡️ ลงทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาโครงสร้างร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ✅ ความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้อง ➡️ Nvidia ถูกกล่าวหาว่าละเมิดกฎการควบรวมกิจการในจีนจากดีล Mellanox ➡️ Tencent มีชิปสำหรับการฝึกโมเดลเพียงพอ และมีหลายทางเลือกสำหรับ inference ➡️ DeepSeek AI ประกาศว่าโมเดล V3.1 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับชิปจีนรุ่นใหม่ ➡️ Huawei Ascend ถูกใช้งานใน ByteDance และมีเฟรมเวิร์ก MindSpore รองรับ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ จีนตั้งเป้าให้บริษัทในประเทศใช้ชิปจีนอย่างน้อย 50% ภายในปี 2026 ➡️ กลุ่ม Model-Chips Ecosystem Innovation Alliance ก่อตั้งขึ้นเพื่อผลักดันการใช้ชิปจีนในงาน AI ➡️ การเปลี่ยนจาก Nvidia ไปยังชิปจีนต้องใช้เวลาและต้นทุนสูงในการปรับซอฟต์แวร์ ➡️ Huawei Ascend ยังมีข้อจำกัดด้านปริมาณการผลิตและการเข้าถึง HBM https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tencent-goes-public-with-pivot-to-chinese-chips
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Chinese giant Tencent announces domestic AI chip push — says it has fully adapted infrastructure to support homegrown silicon in blow to Nvidia
    Tencent goes public with its pivot to Chinese accelerators, highlighting a deeper break from Nvidia as domestic AI hardware matures.
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • “AI กินไม่หยุด — ตลาด HDD และ SSD ขาดแคลนทั่วโลก หลังความต้องการเก็บข้อมูลพุ่งทะลุเพดาน”

    ในขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับการเติบโตของ AI โดยเฉพาะด้าน GPU ที่เป็นหัวใจของการประมวลผล แต่สิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามคือ “พื้นที่จัดเก็บข้อมูล” ที่กำลังถูก AI กลืนกินอย่างเงียบ ๆ ทั้ง HDD และ SSD กำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่ม nearline HDD ที่ใช้เก็บข้อมูลแบบ “อุ่น” — ไม่ต้องเข้าถึงตลอดเวลา แต่ก็ต้องพร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น

    Western Digital ส่งจดหมายแจ้งลูกค้าว่าความต้องการ HDD ทุกขนาดพุ่งสูงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และประกาศขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ทันที เพื่อ “รองรับการเติบโต” ซึ่งแน่นอนว่าก็ช่วยเพิ่มกำไรของบริษัทไปด้วยในตัว

    TrendForce รายงานว่าเวลารอสินค้าสำหรับ nearline HDD ตอนนี้ยาวถึง 52 สัปดาห์ — เกินหนึ่งปีเต็ม ซึ่งสะท้อนว่าผู้ผลิตไม่ได้เพิ่มกำลังการผลิตมานานนับทศวรรษ ขณะที่ AI โดยเฉพาะ generative AI ต้องใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมหาศาล ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์จากโมเดล แต่รวมถึงชุดข้อมูลสำหรับเทรน, checkpoint, log, และข้อมูลย้อนหลังที่ต้องเก็บไว้เพื่อการตรวจสอบและปรับปรุงโมเดลในอนาคต

    เมื่อ HDD ไม่พอใช้ ผู้ให้บริการคลาวด์ (CSPs) จึงหันไปใช้ SSD โดยเฉพาะ QLC SSD สำหรับงาน cold data แม้จะมีต้นทุนสูงกว่า HDD ถึง 4–5 เท่า แต่ก็มีข้อดีเรื่องความเร็ว ความหนาแน่น และการใช้พลังงานที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปใช้ SSD ยังต้องปรับระบบจัดการข้อมูลใหม่ทั้งหมด และอาจทำให้ราคาของ SSD โดยเฉพาะรุ่นสำหรับองค์กรพุ่งขึ้นอีก 5–10% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ความต้องการ HDD และ SSD พุ่งสูงจากการเติบโตของ AI โดยเฉพาะ generative AI
    Western Digital แจ้งลูกค้าเรื่องการขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ HDD
    เวลารอ nearline HDD ยาวถึง 52 สัปดาห์ — สะท้อนปัญหากำลังการผลิต
    AI ต้องใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมหาศาล ทั้งผลลัพธ์และข้อมูลเบื้องหลัง

    การเปลี่ยนแปลงในตลาดและผลกระทบ
    CSPs หันไปใช้ QLC SSD สำหรับ cold data แทน HDD ที่ขาดแคลน
    SSD มีข้อดีเรื่องความเร็ว ความหนาแน่น และการใช้พลังงานต่ำ
    การเปลี่ยนไปใช้ SSD ต้องปรับระบบจัดการข้อมูลใหม่ทั้งหมด
    ราคาของ SSD สำหรับองค์กรอาจเพิ่มขึ้น 5–10% ในไตรมาส 4 ปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    QLC SSD มีอัตราการใช้พลังงานต่ำกว่าฮาร์ดดิสก์ประมาณ 30%
    HDD ยังเป็นตัวเลือกหลักสำหรับ cold storage เพราะราคาต่อ GB ต่ำกว่า SSD
    การขาดแคลน HDD เกิดจากการลดกำลังผลิตในปี 2023 เพื่อควบคุมราคาตลาด
    จอภาพ 1000Hz ยังไม่รองรับการใช้งานเฟรมเรตสูงจากการประมวลผล AI

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/expect-hdd-ssd-shortages-as-ai-rewrites-the-rules-of-storage-hierarchy-multiple-companies-announce-price-hikes-too
    📦 “AI กินไม่หยุด — ตลาด HDD และ SSD ขาดแคลนทั่วโลก หลังความต้องการเก็บข้อมูลพุ่งทะลุเพดาน” ในขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับการเติบโตของ AI โดยเฉพาะด้าน GPU ที่เป็นหัวใจของการประมวลผล แต่สิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามคือ “พื้นที่จัดเก็บข้อมูล” ที่กำลังถูก AI กลืนกินอย่างเงียบ ๆ ทั้ง HDD และ SSD กำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่ม nearline HDD ที่ใช้เก็บข้อมูลแบบ “อุ่น” — ไม่ต้องเข้าถึงตลอดเวลา แต่ก็ต้องพร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น Western Digital ส่งจดหมายแจ้งลูกค้าว่าความต้องการ HDD ทุกขนาดพุ่งสูงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และประกาศขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ทันที เพื่อ “รองรับการเติบโต” ซึ่งแน่นอนว่าก็ช่วยเพิ่มกำไรของบริษัทไปด้วยในตัว TrendForce รายงานว่าเวลารอสินค้าสำหรับ nearline HDD ตอนนี้ยาวถึง 52 สัปดาห์ — เกินหนึ่งปีเต็ม ซึ่งสะท้อนว่าผู้ผลิตไม่ได้เพิ่มกำลังการผลิตมานานนับทศวรรษ ขณะที่ AI โดยเฉพาะ generative AI ต้องใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมหาศาล ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์จากโมเดล แต่รวมถึงชุดข้อมูลสำหรับเทรน, checkpoint, log, และข้อมูลย้อนหลังที่ต้องเก็บไว้เพื่อการตรวจสอบและปรับปรุงโมเดลในอนาคต เมื่อ HDD ไม่พอใช้ ผู้ให้บริการคลาวด์ (CSPs) จึงหันไปใช้ SSD โดยเฉพาะ QLC SSD สำหรับงาน cold data แม้จะมีต้นทุนสูงกว่า HDD ถึง 4–5 เท่า แต่ก็มีข้อดีเรื่องความเร็ว ความหนาแน่น และการใช้พลังงานที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปใช้ SSD ยังต้องปรับระบบจัดการข้อมูลใหม่ทั้งหมด และอาจทำให้ราคาของ SSD โดยเฉพาะรุ่นสำหรับองค์กรพุ่งขึ้นอีก 5–10% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ความต้องการ HDD และ SSD พุ่งสูงจากการเติบโตของ AI โดยเฉพาะ generative AI ➡️ Western Digital แจ้งลูกค้าเรื่องการขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ HDD ➡️ เวลารอ nearline HDD ยาวถึง 52 สัปดาห์ — สะท้อนปัญหากำลังการผลิต ➡️ AI ต้องใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมหาศาล ทั้งผลลัพธ์และข้อมูลเบื้องหลัง ✅ การเปลี่ยนแปลงในตลาดและผลกระทบ ➡️ CSPs หันไปใช้ QLC SSD สำหรับ cold data แทน HDD ที่ขาดแคลน ➡️ SSD มีข้อดีเรื่องความเร็ว ความหนาแน่น และการใช้พลังงานต่ำ ➡️ การเปลี่ยนไปใช้ SSD ต้องปรับระบบจัดการข้อมูลใหม่ทั้งหมด ➡️ ราคาของ SSD สำหรับองค์กรอาจเพิ่มขึ้น 5–10% ในไตรมาส 4 ปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ QLC SSD มีอัตราการใช้พลังงานต่ำกว่าฮาร์ดดิสก์ประมาณ 30% ➡️ HDD ยังเป็นตัวเลือกหลักสำหรับ cold storage เพราะราคาต่อ GB ต่ำกว่า SSD ➡️ การขาดแคลน HDD เกิดจากการลดกำลังผลิตในปี 2023 เพื่อควบคุมราคาตลาด ➡️ จอภาพ 1000Hz ยังไม่รองรับการใช้งานเฟรมเรตสูงจากการประมวลผล AI https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/expect-hdd-ssd-shortages-as-ai-rewrites-the-rules-of-storage-hierarchy-multiple-companies-announce-price-hikes-too
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Expect HDD, SSD shortages as AI rewrites the rules of storage hierarchy — multiple companies announce price hikes, too
    AI isn't just consuming the GPU market. It's eating storage, too — and the shockwaves are likely to hit both HDD and SSD markets
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • “Mini SSD ขนาดเท่าเหรียญแต่เร็วทะลุ 3,700MB/s — Biwin อาจเปลี่ยนโลกการ์ดความจำ หากยื่นขอมาตรฐานทันเวลา”

    Biwin ผู้ผลิตหน่วยความจำจากจีนเปิดตัว “Mini SSD” ที่มีขนาดเล็กกว่าเหรียญ 1 บาท แต่ให้ความจุสูงถึง 2TB และความเร็วในการอ่านข้อมูลถึง 3,700MB/s ซึ่งเหนือกว่าการ์ด MicroSD Express ที่เร็วสุดเพียง 985MB/s โดยใช้การเชื่อมต่อแบบ PCIe Gen4 x2 และเทคโนโลยี NVMe 1.4 ทำให้ Mini SSD เข้าใกล้ประสิทธิภาพของ SD Express ที่ใหญ่กว่าหลายเท่า

    ตัว Mini SSD มีขนาดเพียง 15 x 17 x 1.4 มม. และสามารถถอดเปลี่ยนได้เหมือนซิมการ์ด ด้วยถาดแบบ eject tray พร้อมคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 และทนต่อแรงกระแทกจากการตกสูงถึง 3 เมตร เหมาะกับอุปกรณ์พกพา เช่น แท็บเล็ต กล้อง และเกมคอนโซลแบบ handheld ซึ่งมีผู้ผลิตบางรายเริ่มนำไปใช้แล้ว เช่น GPD Win 5 และ OneXPlayer Super X

    อย่างไรก็ตาม แม้จะมีศักยภาพสูง แต่ Mini SSD ยังไม่มีการยื่นขอรับรองจากองค์กรมาตรฐานอย่าง SDA (Secure Digital Association) หรือ PCI-SIG ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานการ์ดความจำและการเชื่อมต่อ หาก Biwin ไม่ดำเนินการในจุดนี้ Mini SSD อาจกลายเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถใช้งานได้อย่างแพร่หลายเหมือน MicroSD ที่เคยประสบความสำเร็จจากการยื่นขอมาตรฐานตั้งแต่ปี 2005

    จุดเด่นของ Mini SSD จาก Biwin
    ขนาดเล็กมาก: 15 x 17 x 1.4 มม. — เล็กกว่าเหรียญ US penny
    ความจุสูงถึง 2TB และความเร็วอ่าน/เขียน 3,700MB/s / 3,400MB/s
    ใช้ PCIe Gen4 x2 และ NVMe 1.4 — ใกล้เคียง SD Express
    ถอดเปลี่ยนได้แบบถาดซิม พร้อมคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่น IP68

    การใช้งานและการนำไปใช้
    เหมาะกับอุปกรณ์พกพา เช่น แท็บเล็ต กล้อง และเกมคอนโซล
    มีผู้ผลิตเริ่มนำไปใช้แล้ว เช่น GPD Win 5 และ OneXPlayer Super X
    ทนต่อแรงกระแทกจากการตกสูงถึง 3 เมตร — เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้ง
    รองรับการใช้งานในระบบ edge computing และ NAS ขนาดเล็ก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MicroSD Express มีความเร็วสูงสุดเพียง 985MB/s — ต่ำกว่า Mini SSD เกือบ 4 เท่า
    SD Express มีความเร็วใกล้เคียง Mini SSD แต่มีขนาดใหญ่กว่า
    การยื่นขอมาตรฐานกับ SDA หรือ PCI-SIG จะเปิดทางให้ผู้ผลิตรายอื่นนำไปใช้
    เทคโนโลยี LGA packaging ช่วยให้ Mini SSD มีความทนทานและประสิทธิภาพสูง

    https://www.techradar.com/pro/the-smallest-ssd-ever-could-replace-universal-microsd-memory-cards-permanently-if-its-inventor-does-one-thing
    📦 “Mini SSD ขนาดเท่าเหรียญแต่เร็วทะลุ 3,700MB/s — Biwin อาจเปลี่ยนโลกการ์ดความจำ หากยื่นขอมาตรฐานทันเวลา” Biwin ผู้ผลิตหน่วยความจำจากจีนเปิดตัว “Mini SSD” ที่มีขนาดเล็กกว่าเหรียญ 1 บาท แต่ให้ความจุสูงถึง 2TB และความเร็วในการอ่านข้อมูลถึง 3,700MB/s ซึ่งเหนือกว่าการ์ด MicroSD Express ที่เร็วสุดเพียง 985MB/s โดยใช้การเชื่อมต่อแบบ PCIe Gen4 x2 และเทคโนโลยี NVMe 1.4 ทำให้ Mini SSD เข้าใกล้ประสิทธิภาพของ SD Express ที่ใหญ่กว่าหลายเท่า ตัว Mini SSD มีขนาดเพียง 15 x 17 x 1.4 มม. และสามารถถอดเปลี่ยนได้เหมือนซิมการ์ด ด้วยถาดแบบ eject tray พร้อมคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 และทนต่อแรงกระแทกจากการตกสูงถึง 3 เมตร เหมาะกับอุปกรณ์พกพา เช่น แท็บเล็ต กล้อง และเกมคอนโซลแบบ handheld ซึ่งมีผู้ผลิตบางรายเริ่มนำไปใช้แล้ว เช่น GPD Win 5 และ OneXPlayer Super X อย่างไรก็ตาม แม้จะมีศักยภาพสูง แต่ Mini SSD ยังไม่มีการยื่นขอรับรองจากองค์กรมาตรฐานอย่าง SDA (Secure Digital Association) หรือ PCI-SIG ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานการ์ดความจำและการเชื่อมต่อ หาก Biwin ไม่ดำเนินการในจุดนี้ Mini SSD อาจกลายเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถใช้งานได้อย่างแพร่หลายเหมือน MicroSD ที่เคยประสบความสำเร็จจากการยื่นขอมาตรฐานตั้งแต่ปี 2005 ✅ จุดเด่นของ Mini SSD จาก Biwin ➡️ ขนาดเล็กมาก: 15 x 17 x 1.4 มม. — เล็กกว่าเหรียญ US penny ➡️ ความจุสูงถึง 2TB และความเร็วอ่าน/เขียน 3,700MB/s / 3,400MB/s ➡️ ใช้ PCIe Gen4 x2 และ NVMe 1.4 — ใกล้เคียง SD Express ➡️ ถอดเปลี่ยนได้แบบถาดซิม พร้อมคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่น IP68 ✅ การใช้งานและการนำไปใช้ ➡️ เหมาะกับอุปกรณ์พกพา เช่น แท็บเล็ต กล้อง และเกมคอนโซล ➡️ มีผู้ผลิตเริ่มนำไปใช้แล้ว เช่น GPD Win 5 และ OneXPlayer Super X ➡️ ทนต่อแรงกระแทกจากการตกสูงถึง 3 เมตร — เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้ง ➡️ รองรับการใช้งานในระบบ edge computing และ NAS ขนาดเล็ก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MicroSD Express มีความเร็วสูงสุดเพียง 985MB/s — ต่ำกว่า Mini SSD เกือบ 4 เท่า ➡️ SD Express มีความเร็วใกล้เคียง Mini SSD แต่มีขนาดใหญ่กว่า ➡️ การยื่นขอมาตรฐานกับ SDA หรือ PCI-SIG จะเปิดทางให้ผู้ผลิตรายอื่นนำไปใช้ ➡️ เทคโนโลยี LGA packaging ช่วยให้ Mini SSD มีความทนทานและประสิทธิภาพสูง https://www.techradar.com/pro/the-smallest-ssd-ever-could-replace-universal-microsd-memory-cards-permanently-if-its-inventor-does-one-thing
    0 Comments 0 Shares 156 Views 0 Reviews
  • “จีนเปิดฉากสอบสวน ‘ชิปแอนะล็อก’ จากสหรัฐฯ — สงครามเซมิคอนดักเตอร์ขยายวงสู่ชิ้นส่วนพื้นฐาน”

    เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2025 กระทรวงพาณิชย์ของจีน (MOFCOM) ได้ประกาศเริ่มต้นการสอบสวนการทุ่มตลาด (anti-dumping) ต่อชิปแอนะล็อกที่ผลิตในสหรัฐฯ โดยระบุว่าผู้ผลิตอเมริกันได้ส่งออกชิ้นส่วนราคาถูกจำนวนมากเข้าสู่ตลาดจีน ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตภายในประเทศอย่างรุนแรง

    การสอบสวนนี้ครอบคลุมชิปประเภท interface และ gate-driver ICs ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีเก่า เช่น 40nm หรือใหญ่กว่า ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญในอุปกรณ์พื้นฐานอย่างเมนบอร์ด PC, เราเตอร์, แหล่งจ่ายไฟ (PSU) และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป โดยเฉพาะชิป RS-485, CAN transceivers, digital isolators และ I²C expanders ที่ใช้ควบคุมการจ่ายไฟให้กับ CPU และ GPU

    จีนอ้างว่าในช่วงปี 2022–2024 ปริมาณการนำเข้าชิปเหล่านี้จากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 37% ขณะที่ราคาลดลงเฉลี่ย 52% ซึ่งทำให้ผู้ผลิตในประเทศสูญเสียส่วนแบ่งตลาดและกำไรอย่างหนัก กลุ่มอุตสาหกรรมจากมณฑลเจียงซูจึงยื่นคำร้องขอให้มีการเรียกเก็บภาษีตอบโต้

    การสอบสวนนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ และจีนเตรียมเจรจาการค้ารอบใหม่ที่กรุงมาดริด โดยนอกจากการสอบสวนการทุ่มตลาดแล้ว จีนยังเปิดการสอบสวน “การเลือกปฏิบัติ” ต่อมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่จำกัดความสามารถของผู้ผลิตชิปจีนในการแข่งขันในตลาดโลก

    แม้การสอบสวนจะเน้นไปที่ชิ้นส่วนพื้นฐาน แต่ผลกระทบอาจลามไปถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ในปี 2026 เพราะหากจีนเรียกเก็บภาษีจริง โรงงานอาจต้องเปลี่ยนไปใช้ชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศหรือประเทศที่สาม ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนและโครงสร้างของบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    จีนเปิดการสอบสวนการทุ่มตลาดต่อชิปแอนะล็อกจากสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2025
    ครอบคลุมชิป interface และ gate-driver ICs ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 40nm หรือใหญ่กว่า
    ชิ้นส่วนที่ถูกสอบสวน ได้แก่ RS-485, CAN transceivers, digital isolators, I²C expanders
    ปริมาณนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 37% และราคาลดลง 52% ในช่วงปี 2022–2024

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    ผู้ผลิตในจีนสูญเสียส่วนแบ่งตลาดและกำไรจากการแข่งราคากับสหรัฐฯ
    กลุ่มอุตสาหกรรมจากเจียงซูร้องขอให้เรียกเก็บภาษีตอบโต้
    การสอบสวนครอบคลุมธุรกรรมในปี 2024 และย้อนดูผลกระทบย้อนหลัง 3 ปี
    หากมีการเรียกเก็บภาษีจริง อาจต้องเปลี่ยนแหล่งชิ้นส่วนในสายการผลิต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Texas Instruments เคยลดราคาชิปในปี 2023 เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดในจีน
    ตลาดชิปแอนะล็อกหลัง COVID-19 มีภาวะ oversupply ทำให้ราคาตกทั่วโลก
    การสอบสวนนี้ต่างจากสงครามชิป AI ที่เน้นเทคโนโลยีล้ำหน้า — นี่คือชิ้นส่วนพื้นฐาน
    การเปลี่ยนแหล่งชิ้นส่วนอาจกระทบ BOM และดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ในปี 2026

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-launches-anti-dumping-probe-into-us-analog-chips
    📉 “จีนเปิดฉากสอบสวน ‘ชิปแอนะล็อก’ จากสหรัฐฯ — สงครามเซมิคอนดักเตอร์ขยายวงสู่ชิ้นส่วนพื้นฐาน” เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2025 กระทรวงพาณิชย์ของจีน (MOFCOM) ได้ประกาศเริ่มต้นการสอบสวนการทุ่มตลาด (anti-dumping) ต่อชิปแอนะล็อกที่ผลิตในสหรัฐฯ โดยระบุว่าผู้ผลิตอเมริกันได้ส่งออกชิ้นส่วนราคาถูกจำนวนมากเข้าสู่ตลาดจีน ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตภายในประเทศอย่างรุนแรง การสอบสวนนี้ครอบคลุมชิปประเภท interface และ gate-driver ICs ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีเก่า เช่น 40nm หรือใหญ่กว่า ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญในอุปกรณ์พื้นฐานอย่างเมนบอร์ด PC, เราเตอร์, แหล่งจ่ายไฟ (PSU) และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป โดยเฉพาะชิป RS-485, CAN transceivers, digital isolators และ I²C expanders ที่ใช้ควบคุมการจ่ายไฟให้กับ CPU และ GPU จีนอ้างว่าในช่วงปี 2022–2024 ปริมาณการนำเข้าชิปเหล่านี้จากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 37% ขณะที่ราคาลดลงเฉลี่ย 52% ซึ่งทำให้ผู้ผลิตในประเทศสูญเสียส่วนแบ่งตลาดและกำไรอย่างหนัก กลุ่มอุตสาหกรรมจากมณฑลเจียงซูจึงยื่นคำร้องขอให้มีการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ การสอบสวนนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ และจีนเตรียมเจรจาการค้ารอบใหม่ที่กรุงมาดริด โดยนอกจากการสอบสวนการทุ่มตลาดแล้ว จีนยังเปิดการสอบสวน “การเลือกปฏิบัติ” ต่อมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่จำกัดความสามารถของผู้ผลิตชิปจีนในการแข่งขันในตลาดโลก แม้การสอบสวนจะเน้นไปที่ชิ้นส่วนพื้นฐาน แต่ผลกระทบอาจลามไปถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ในปี 2026 เพราะหากจีนเรียกเก็บภาษีจริง โรงงานอาจต้องเปลี่ยนไปใช้ชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศหรือประเทศที่สาม ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนและโครงสร้างของบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ จีนเปิดการสอบสวนการทุ่มตลาดต่อชิปแอนะล็อกจากสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2025 ➡️ ครอบคลุมชิป interface และ gate-driver ICs ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 40nm หรือใหญ่กว่า ➡️ ชิ้นส่วนที่ถูกสอบสวน ได้แก่ RS-485, CAN transceivers, digital isolators, I²C expanders ➡️ ปริมาณนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 37% และราคาลดลง 52% ในช่วงปี 2022–2024 ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ ผู้ผลิตในจีนสูญเสียส่วนแบ่งตลาดและกำไรจากการแข่งราคากับสหรัฐฯ ➡️ กลุ่มอุตสาหกรรมจากเจียงซูร้องขอให้เรียกเก็บภาษีตอบโต้ ➡️ การสอบสวนครอบคลุมธุรกรรมในปี 2024 และย้อนดูผลกระทบย้อนหลัง 3 ปี ➡️ หากมีการเรียกเก็บภาษีจริง อาจต้องเปลี่ยนแหล่งชิ้นส่วนในสายการผลิต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Texas Instruments เคยลดราคาชิปในปี 2023 เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดในจีน ➡️ ตลาดชิปแอนะล็อกหลัง COVID-19 มีภาวะ oversupply ทำให้ราคาตกทั่วโลก ➡️ การสอบสวนนี้ต่างจากสงครามชิป AI ที่เน้นเทคโนโลยีล้ำหน้า — นี่คือชิ้นส่วนพื้นฐาน ➡️ การเปลี่ยนแหล่งชิ้นส่วนอาจกระทบ BOM และดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ในปี 2026 https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-launches-anti-dumping-probe-into-us-analog-chips
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China launches anti-dumping probe into U.S. analog chips used in PCs and routers
    Investigation appears to target 40nm interface and gate-driver ICs as import volumes rise and prices fall ahead of new U.S.–China trade talks.
    0 Comments 0 Shares 155 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก “คลิกเพื่อดูรูปฟรี” ถึง “เราสร้างพื้นที่ของเราเอง”: เมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครอยากอยู่

    ในยุคแรกของโซเชียลมีเดีย เราเข้ามาเพื่อดูรูปงานแต่งของเพื่อน, สุนัขของญาติ, หรือโพสต์ที่มีความหมายจากคนที่เรารู้จักจริง ๆ แต่วันนี้ ฟีดของเรากลับเต็มไปด้วยโพสต์ซ้ำ ๆ จากบอท, รูปโปรไฟล์ปลอม, และคลิป AI ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อดึงดูดคลิก ไม่ใช่เพื่อสื่อสาร

    AI ไม่ได้แค่สร้างเนื้อหา แต่ยังสร้าง “ตัวตน” ที่ดูเหมือนมนุษย์—สาวสวยที่ตอบกลับโพสต์ด้วยคำพูดหวาน ๆ พร้อมลิงก์ไปยัง OnlyFans หรือบริการคล้ายกัน ซึ่งบางครั้งเธอเป็นคนจริง บางครั้งเป็นบอท และบางครั้งเป็นผู้ชายในห้องทำงานที่เมียนมาร์

    ในขณะที่เนื้อหาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล การมีส่วนร่วมกลับลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้ไม่ได้พูดคุยกันอีกต่อไป แต่แค่เลื่อนผ่านเนื้อหาที่ดูเหมือนภาษาแต่ไม่มีความหมาย ความจริงถูกแทนที่ด้วยความบันเทิงแบบไร้ราก และความสัมพันธ์ถูกแทนที่ด้วยการตลาดแบบอัลกอริธึม

    ผู้คนเริ่มหนีออกจากแพลตฟอร์มใหญ่ ไปสู่พื้นที่เล็ก ๆ ที่มีความตั้งใจ เช่น Discord, Substack, Patreon และกลุ่มแชตส่วนตัว ที่เน้นความสัมพันธ์มากกว่าการเติบโตแบบไวรัล

    แม้แต่ผู้สร้างเนื้อหาเองก็เริ่มเหนื่อยล้า เพราะต้องแข่งขันกับ AI ที่ไม่หลับไม่พัก และสามารถสร้างโพสต์ที่ “ดูดี” ได้ในไม่กี่วินาที หลายคนจึงเลือกหยุด หรือหันไปใช้ Dumbphone เพื่อหลีกหนีจากการเสพติดหน้าจอ

    การเปลี่ยนแปลงของเนื้อหาในโซเชียลมีเดีย
    เนื้อหาจริงจากมนุษย์ถูกลดความสำคัญลงโดยอัลกอริธึม
    บอทและ AI สร้างโพสต์ซ้ำ ๆ เพื่อดึงดูดคลิก
    ความแตกต่างระหว่างคนจริงกับบอทเริ่มเลือนลาง

    การเกิดขึ้นของ “เศรษฐกิจสาวบอท”
    บอทที่ดูเหมือนมนุษย์ใช้เพื่อดึงดูดผู้ชายเข้าสู่บริการแบบเสียเงิน
    ผู้สร้างเนื้อหาบางคนเริ่มทำตัวเหมือนอัลกอริธึมเพื่อรักษาการมีส่วนร่วม
    ความสัมพันธ์กลายเป็นธุรกรรมที่แลกเปลี่ยนความสนใจกับเงิน

    การลดลงของการมีส่วนร่วม
    อัตราการมีส่วนร่วมใน Facebook และ X เหลือเพียง 0.15% โดยเฉลี่ย
    Instagram ลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อน
    ผู้ใช้เลื่อนฟีดแบบครึ่งรู้สึกครึ่งหลงลืม ไม่ได้มีเป้าหมายจริง

    การย้ายไปสู่พื้นที่ที่มีความตั้งใจ
    ผู้ใช้เริ่มหันไปใช้กลุ่มแชต, Discord, Substack และ Patreon
    พื้นที่เหล่านี้เน้นความสัมพันธ์และความไว้วางใจมากกว่าการเติบโต
    แพลตฟอร์มใหญ่เริ่มปรับตัว เช่น Instagram เน้น DMs, TikTok ทดลองกลุ่มส่วนตัว

    แนวคิดใหม่ในการออกแบบแพลตฟอร์ม
    เสนอให้เพิ่ม “friction” เช่น หน่วงเวลาโพสต์, แสดงเวลาที่ใช้ก่อนอัปโหลด
    แพลตฟอร์มอย่าง Are.na ไม่มีฟีดอัลกอริธึมหรือระบบ engagement
    การออกแบบเพื่อเจตนาแทนการเสพติด

    การผลักดันให้โซเชียลมีเดียเป็นสาธารณูปโภค
    เสนอให้มีการตรวจสอบอัลกอริธึมแบบโปร่งใส
    ให้ผู้ใช้เลือกอัลกอริธึมที่ต้องการ เช่น ฟีดตามเวลา, ฟีดจาก mutuals
    สร้างแพลตฟอร์มที่มี governance แบบประชาธิปไตย

    การส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัล
    เสนอให้สอน digital literacy ตั้งแต่เด็ก
    เน้นความเข้าใจอัลกอริธึมและการจัดการข้อมูลส่วนตัว
    สร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน

    https://www.noemamag.com/the-last-days-of-social-media/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก “คลิกเพื่อดูรูปฟรี” ถึง “เราสร้างพื้นที่ของเราเอง”: เมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครอยากอยู่ ในยุคแรกของโซเชียลมีเดีย เราเข้ามาเพื่อดูรูปงานแต่งของเพื่อน, สุนัขของญาติ, หรือโพสต์ที่มีความหมายจากคนที่เรารู้จักจริง ๆ แต่วันนี้ ฟีดของเรากลับเต็มไปด้วยโพสต์ซ้ำ ๆ จากบอท, รูปโปรไฟล์ปลอม, และคลิป AI ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อดึงดูดคลิก ไม่ใช่เพื่อสื่อสาร AI ไม่ได้แค่สร้างเนื้อหา แต่ยังสร้าง “ตัวตน” ที่ดูเหมือนมนุษย์—สาวสวยที่ตอบกลับโพสต์ด้วยคำพูดหวาน ๆ พร้อมลิงก์ไปยัง OnlyFans หรือบริการคล้ายกัน ซึ่งบางครั้งเธอเป็นคนจริง บางครั้งเป็นบอท และบางครั้งเป็นผู้ชายในห้องทำงานที่เมียนมาร์ ในขณะที่เนื้อหาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล การมีส่วนร่วมกลับลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้ไม่ได้พูดคุยกันอีกต่อไป แต่แค่เลื่อนผ่านเนื้อหาที่ดูเหมือนภาษาแต่ไม่มีความหมาย ความจริงถูกแทนที่ด้วยความบันเทิงแบบไร้ราก และความสัมพันธ์ถูกแทนที่ด้วยการตลาดแบบอัลกอริธึม ผู้คนเริ่มหนีออกจากแพลตฟอร์มใหญ่ ไปสู่พื้นที่เล็ก ๆ ที่มีความตั้งใจ เช่น Discord, Substack, Patreon และกลุ่มแชตส่วนตัว ที่เน้นความสัมพันธ์มากกว่าการเติบโตแบบไวรัล แม้แต่ผู้สร้างเนื้อหาเองก็เริ่มเหนื่อยล้า เพราะต้องแข่งขันกับ AI ที่ไม่หลับไม่พัก และสามารถสร้างโพสต์ที่ “ดูดี” ได้ในไม่กี่วินาที หลายคนจึงเลือกหยุด หรือหันไปใช้ Dumbphone เพื่อหลีกหนีจากการเสพติดหน้าจอ ✅ การเปลี่ยนแปลงของเนื้อหาในโซเชียลมีเดีย ➡️ เนื้อหาจริงจากมนุษย์ถูกลดความสำคัญลงโดยอัลกอริธึม ➡️ บอทและ AI สร้างโพสต์ซ้ำ ๆ เพื่อดึงดูดคลิก ➡️ ความแตกต่างระหว่างคนจริงกับบอทเริ่มเลือนลาง ✅ การเกิดขึ้นของ “เศรษฐกิจสาวบอท” ➡️ บอทที่ดูเหมือนมนุษย์ใช้เพื่อดึงดูดผู้ชายเข้าสู่บริการแบบเสียเงิน ➡️ ผู้สร้างเนื้อหาบางคนเริ่มทำตัวเหมือนอัลกอริธึมเพื่อรักษาการมีส่วนร่วม ➡️ ความสัมพันธ์กลายเป็นธุรกรรมที่แลกเปลี่ยนความสนใจกับเงิน ✅ การลดลงของการมีส่วนร่วม ➡️ อัตราการมีส่วนร่วมใน Facebook และ X เหลือเพียง 0.15% โดยเฉลี่ย ➡️ Instagram ลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อน ➡️ ผู้ใช้เลื่อนฟีดแบบครึ่งรู้สึกครึ่งหลงลืม ไม่ได้มีเป้าหมายจริง ✅ การย้ายไปสู่พื้นที่ที่มีความตั้งใจ ➡️ ผู้ใช้เริ่มหันไปใช้กลุ่มแชต, Discord, Substack และ Patreon ➡️ พื้นที่เหล่านี้เน้นความสัมพันธ์และความไว้วางใจมากกว่าการเติบโต ➡️ แพลตฟอร์มใหญ่เริ่มปรับตัว เช่น Instagram เน้น DMs, TikTok ทดลองกลุ่มส่วนตัว ✅ แนวคิดใหม่ในการออกแบบแพลตฟอร์ม ➡️ เสนอให้เพิ่ม “friction” เช่น หน่วงเวลาโพสต์, แสดงเวลาที่ใช้ก่อนอัปโหลด ➡️ แพลตฟอร์มอย่าง Are.na ไม่มีฟีดอัลกอริธึมหรือระบบ engagement ➡️ การออกแบบเพื่อเจตนาแทนการเสพติด ✅ การผลักดันให้โซเชียลมีเดียเป็นสาธารณูปโภค ➡️ เสนอให้มีการตรวจสอบอัลกอริธึมแบบโปร่งใส ➡️ ให้ผู้ใช้เลือกอัลกอริธึมที่ต้องการ เช่น ฟีดตามเวลา, ฟีดจาก mutuals ➡️ สร้างแพลตฟอร์มที่มี governance แบบประชาธิปไตย ✅ การส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัล ➡️ เสนอให้สอน digital literacy ตั้งแต่เด็ก ➡️ เน้นความเข้าใจอัลกอริธึมและการจัดการข้อมูลส่วนตัว ➡️ สร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน https://www.noemamag.com/the-last-days-of-social-media/
    WWW.NOEMAMAG.COM
    The Last Days Of Social Media
    Social media promised connection, but it has delivered exhaustion.
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • “JetStream จาก d-Matrix: การ์ด I/O ที่เปลี่ยนเกม AI inference ให้เร็วขึ้น 10 เท่า!”

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังรันโมเดล AI ขนาดมหึมา เช่น Llama70B หรือ GPT-4 บนเซิร์ฟเวอร์หลายเครื่องพร้อมกัน แล้วพบว่าแม้จะมีชิปประมวลผลแรงแค่ไหน ก็ยังติดคอขวดที่ระบบเครือข่าย — นั่นคือปัญหาที่ JetStream จาก d-Matrix เข้ามาแก้แบบตรงจุด

    JetStream คือการ์ด I/O แบบ PCIe Gen5 ที่ออกแบบมาเพื่อเร่งความเร็วการสื่อสารระหว่างเซิร์ฟเวอร์ในงาน AI inference โดยเฉพาะ โดยสามารถส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 400Gbps และทำงานร่วมกับ Corsair compute accelerator และ Aviator software ของ d-Matrix ได้อย่างไร้รอยต่อ

    จุดเด่นของ JetStream คือการเป็น “Transparent NIC” ที่ใช้การสื่อสารแบบ peer-to-peer ระหว่างอุปกรณ์โดยไม่ต้องผ่าน CPU หรือระบบปฏิบัติการ — ลด latency ได้อย่างมหาศาล และทำให้การ inference ข้ามเครื่องเป็นไปอย่างลื่นไหล

    เมื่อใช้งานร่วมกับ Corsair และ Aviator แล้ว JetStream สามารถเพิ่มความเร็วได้ถึง 10 เท่า ลดต้นทุนต่อคำตอบ (cost-per-token) ได้ 3 เท่า และประหยัดพลังงานได้อีก 3 เท่า เมื่อเทียบกับระบบที่ใช้ GPU แบบเดิมในการ inference โมเดลขนาด 100B+ parameters

    ที่สำคัญคือ JetStream ใช้พอร์ต Ethernet มาตรฐานทั่วไป ทำให้สามารถติดตั้งใน data center ที่มีอยู่แล้วได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างเครือข่าย — ถือเป็นการออกแบบที่ “พร้อมใช้งานจริง” ไม่ใช่แค่แนวคิดในห้องแล็บ

    JetStream คืออะไร
    เป็นการ์ด I/O แบบ PCIe Gen5 ที่ออกแบบเพื่อ AI inference โดยเฉพาะ
    รองรับความเร็วสูงสุด 400Gbps ต่อการ์ด
    ทำงานร่วมกับ Corsair accelerator และ Aviator software ของ d-Matrix
    ใช้การสื่อสารแบบ peer-to-peer โดยไม่ผ่าน CPU หรือ OS

    ประสิทธิภาพที่ได้จาก JetStream
    เพิ่มความเร็วการ inference ได้ถึง 10 เท่า
    ลดต้นทุนต่อคำตอบได้ 3 เท่า
    ประหยัดพลังงานได้ 3 เท่า เมื่อเทียบกับ GPU-based solutions
    รองรับโมเดลขนาดใหญ่กว่า 100B parameters เช่น Llama70B

    การติดตั้งและใช้งาน
    มาในรูปแบบ PCIe full-height card ขนาดมาตรฐาน
    ใช้พอร์ต Ethernet ทั่วไป — ไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้าง data center
    เหมาะกับการใช้งานใน hyperscale cloud และ private cloud
    ตัวอย่างพร้อมใช้งานแล้ว และจะเริ่มผลิตจริงภายในสิ้นปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    d-Matrix เป็นผู้บุกเบิกด้าน Digital In-Memory Computing (DIMC)
    Corsair ใช้สถาปัตยกรรม chiplet ที่ออกแบบมาเพื่อ inference โดยเฉพาะ
    Aviator เป็น software stack ที่ช่วยจัดการ pipeline inference แบบ multi-node
    JetStream ช่วยลด bottleneck ด้านเครือข่ายที่มักเกิดในงาน AI ขนาดใหญ่

    https://www.techpowerup.com/340786/d-matrix-announces-jetstream-i-o-accelerators-enabling-ultra-low-latency-for-ai-inference-at-scale
    🚀 “JetStream จาก d-Matrix: การ์ด I/O ที่เปลี่ยนเกม AI inference ให้เร็วขึ้น 10 เท่า!” ลองจินตนาการว่าคุณกำลังรันโมเดล AI ขนาดมหึมา เช่น Llama70B หรือ GPT-4 บนเซิร์ฟเวอร์หลายเครื่องพร้อมกัน แล้วพบว่าแม้จะมีชิปประมวลผลแรงแค่ไหน ก็ยังติดคอขวดที่ระบบเครือข่าย — นั่นคือปัญหาที่ JetStream จาก d-Matrix เข้ามาแก้แบบตรงจุด JetStream คือการ์ด I/O แบบ PCIe Gen5 ที่ออกแบบมาเพื่อเร่งความเร็วการสื่อสารระหว่างเซิร์ฟเวอร์ในงาน AI inference โดยเฉพาะ โดยสามารถส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 400Gbps และทำงานร่วมกับ Corsair compute accelerator และ Aviator software ของ d-Matrix ได้อย่างไร้รอยต่อ จุดเด่นของ JetStream คือการเป็น “Transparent NIC” ที่ใช้การสื่อสารแบบ peer-to-peer ระหว่างอุปกรณ์โดยไม่ต้องผ่าน CPU หรือระบบปฏิบัติการ — ลด latency ได้อย่างมหาศาล และทำให้การ inference ข้ามเครื่องเป็นไปอย่างลื่นไหล เมื่อใช้งานร่วมกับ Corsair และ Aviator แล้ว JetStream สามารถเพิ่มความเร็วได้ถึง 10 เท่า ลดต้นทุนต่อคำตอบ (cost-per-token) ได้ 3 เท่า และประหยัดพลังงานได้อีก 3 เท่า เมื่อเทียบกับระบบที่ใช้ GPU แบบเดิมในการ inference โมเดลขนาด 100B+ parameters ที่สำคัญคือ JetStream ใช้พอร์ต Ethernet มาตรฐานทั่วไป ทำให้สามารถติดตั้งใน data center ที่มีอยู่แล้วได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างเครือข่าย — ถือเป็นการออกแบบที่ “พร้อมใช้งานจริง” ไม่ใช่แค่แนวคิดในห้องแล็บ ✅ JetStream คืออะไร ➡️ เป็นการ์ด I/O แบบ PCIe Gen5 ที่ออกแบบเพื่อ AI inference โดยเฉพาะ ➡️ รองรับความเร็วสูงสุด 400Gbps ต่อการ์ด ➡️ ทำงานร่วมกับ Corsair accelerator และ Aviator software ของ d-Matrix ➡️ ใช้การสื่อสารแบบ peer-to-peer โดยไม่ผ่าน CPU หรือ OS ✅ ประสิทธิภาพที่ได้จาก JetStream ➡️ เพิ่มความเร็วการ inference ได้ถึง 10 เท่า ➡️ ลดต้นทุนต่อคำตอบได้ 3 เท่า ➡️ ประหยัดพลังงานได้ 3 เท่า เมื่อเทียบกับ GPU-based solutions ➡️ รองรับโมเดลขนาดใหญ่กว่า 100B parameters เช่น Llama70B ✅ การติดตั้งและใช้งาน ➡️ มาในรูปแบบ PCIe full-height card ขนาดมาตรฐาน ➡️ ใช้พอร์ต Ethernet ทั่วไป — ไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้าง data center ➡️ เหมาะกับการใช้งานใน hyperscale cloud และ private cloud ➡️ ตัวอย่างพร้อมใช้งานแล้ว และจะเริ่มผลิตจริงภายในสิ้นปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ d-Matrix เป็นผู้บุกเบิกด้าน Digital In-Memory Computing (DIMC) ➡️ Corsair ใช้สถาปัตยกรรม chiplet ที่ออกแบบมาเพื่อ inference โดยเฉพาะ ➡️ Aviator เป็น software stack ที่ช่วยจัดการ pipeline inference แบบ multi-node ➡️ JetStream ช่วยลด bottleneck ด้านเครือข่ายที่มักเกิดในงาน AI ขนาดใหญ่ https://www.techpowerup.com/340786/d-matrix-announces-jetstream-i-o-accelerators-enabling-ultra-low-latency-for-ai-inference-at-scale
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    d-Matrix Announces JetStream I/O Accelerators Enabling Ultra-Low Latency for AI Inference at Scale
    d-Matrix today announced the expansion of its AI product portfolio with d-Matrix JetStream, a custom I/O card designed from the ground up to deliver industry-leading, data center-scale AI inference. With millions of people now using AI services - and the rise of agentic AI, reasoning, and multi-moda...
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • “AI Data Center: เบื้องหลังเทคโนโลยีล้ำยุคที่อาจกลายเป็นจุดอ่อนด้านความมั่นคงไซเบอร์ระดับโลก”

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนระดับ GPT-5 หรือระบบวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ที่ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล คุณอาจคิดถึง GPU, TPU หรือคลาวด์ที่เร็วแรง แต่สิ่งที่คุณอาจมองข้ามคือ “AI Data Center” ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด — และนั่นคือจุดที่ภัยคุกคามไซเบอร์กำลังพุ่งเป้าเข้าใส่

    ในปี 2025 การลงทุนใน AI Data Center พุ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น Amazon ทุ่มเงินกว่า $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย และ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกแผน AI Action Plan เพื่อเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

    แต่เบื้องหลังความก้าวหน้าเหล่านี้คือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งด้านพลังงาน (คาดว่าใช้ไฟฟ้ากว่า 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี) และด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะการโจมตีแบบ side-channel, memory-level, model exfiltration และ supply chain sabotage ที่กำลังกลายเป็นเรื่องจริง

    AI Data Center ไม่ได้แค่เก็บข้อมูล แต่ยังเป็นที่อยู่ของโมเดล, น้ำหนักการเรียนรู้, และชุดข้อมูลฝึก ซึ่งหากถูกขโมยหรือถูกแก้ไข อาจส่งผลต่อความแม่นยำ ความน่าเชื่อถือ และแม้แต่ความมั่นคงของประเทศ

    การเติบโตของ AI Data Center
    Amazon ลงทุน $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย
    Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026
    รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนผ่าน AI Action Plan โดยประธานาธิบดีทรัมป์
    ความต้องการพลังงานสูงถึง 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี
    คาดว่าจะเพิ่มการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก 3–4%

    ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น
    โจมตีแบบ DDoS, ransomware, supply chain และ social engineering
    side-channel attack จากฮาร์ดแวร์ เช่น CPU, GPU, TPU
    ตัวอย่าง: AMD พบช่องโหว่ 4 จุดในเดือนกรกฎาคม 2025
    TPUXtract โจมตี TPU โดยเจาะข้อมูลโมเดล AI โดยตรง
    GPU เสี่ยงต่อ memory-level attack และ malware ที่รันในหน่วยความจำ GPU
    ความเสี่ยงจาก model exfiltration, data poisoning, model inversion และ model stealing

    ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และ supply chain
    การโจมตีจากรัฐต่างชาติ เช่น การแทรกซึมจากจีนผ่าน Digital Silk Road 2.0
    การใช้เทคโนโลยี 5G และระบบเฝ้าระวังในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย
    ความเสี่ยงจากการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยบริษัทจีน
    การโจมตี supply chain ก่อนศูนย์จะเปิดใช้งานจริง

    แนวทางที่ผู้บริหารด้านความปลอดภัยควรพิจารณา
    ตรวจสอบนโยบายของผู้ให้บริการ AI Data Center อย่างละเอียด
    ใช้ Faraday cage หรือ shield chamber เพื่อลด side-channel attack
    ทำ AI audit อย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจหาช่องโหว่และ backdoor
    ตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์และแหล่งที่มาของอุปกรณ์
    คัดกรองบุคลากรเพื่อป้องกันการแทรกซึมจากรัฐต่างชาติ

    https://www.csoonline.com/article/4051849/the-importance-of-reviewing-ai-data-centers-policies.html
    🏭 “AI Data Center: เบื้องหลังเทคโนโลยีล้ำยุคที่อาจกลายเป็นจุดอ่อนด้านความมั่นคงไซเบอร์ระดับโลก” ลองนึกภาพว่าคุณกำลังพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนระดับ GPT-5 หรือระบบวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ที่ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล คุณอาจคิดถึง GPU, TPU หรือคลาวด์ที่เร็วแรง แต่สิ่งที่คุณอาจมองข้ามคือ “AI Data Center” ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด — และนั่นคือจุดที่ภัยคุกคามไซเบอร์กำลังพุ่งเป้าเข้าใส่ ในปี 2025 การลงทุนใน AI Data Center พุ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น Amazon ทุ่มเงินกว่า $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย และ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกแผน AI Action Plan เพื่อเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่เบื้องหลังความก้าวหน้าเหล่านี้คือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งด้านพลังงาน (คาดว่าใช้ไฟฟ้ากว่า 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี) และด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะการโจมตีแบบ side-channel, memory-level, model exfiltration และ supply chain sabotage ที่กำลังกลายเป็นเรื่องจริง AI Data Center ไม่ได้แค่เก็บข้อมูล แต่ยังเป็นที่อยู่ของโมเดล, น้ำหนักการเรียนรู้, และชุดข้อมูลฝึก ซึ่งหากถูกขโมยหรือถูกแก้ไข อาจส่งผลต่อความแม่นยำ ความน่าเชื่อถือ และแม้แต่ความมั่นคงของประเทศ ✅ การเติบโตของ AI Data Center ➡️ Amazon ลงทุน $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย ➡️ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนผ่าน AI Action Plan โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ➡️ ความต้องการพลังงานสูงถึง 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี ➡️ คาดว่าจะเพิ่มการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก 3–4% ✅ ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น ➡️ โจมตีแบบ DDoS, ransomware, supply chain และ social engineering ➡️ side-channel attack จากฮาร์ดแวร์ เช่น CPU, GPU, TPU ➡️ ตัวอย่าง: AMD พบช่องโหว่ 4 จุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ TPUXtract โจมตี TPU โดยเจาะข้อมูลโมเดล AI โดยตรง ➡️ GPU เสี่ยงต่อ memory-level attack และ malware ที่รันในหน่วยความจำ GPU ➡️ ความเสี่ยงจาก model exfiltration, data poisoning, model inversion และ model stealing ✅ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และ supply chain ➡️ การโจมตีจากรัฐต่างชาติ เช่น การแทรกซึมจากจีนผ่าน Digital Silk Road 2.0 ➡️ การใช้เทคโนโลยี 5G และระบบเฝ้าระวังในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย ➡️ ความเสี่ยงจากการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยบริษัทจีน ➡️ การโจมตี supply chain ก่อนศูนย์จะเปิดใช้งานจริง ✅ แนวทางที่ผู้บริหารด้านความปลอดภัยควรพิจารณา ➡️ ตรวจสอบนโยบายของผู้ให้บริการ AI Data Center อย่างละเอียด ➡️ ใช้ Faraday cage หรือ shield chamber เพื่อลด side-channel attack ➡️ ทำ AI audit อย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจหาช่องโหว่และ backdoor ➡️ ตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์และแหล่งที่มาของอุปกรณ์ ➡️ คัดกรองบุคลากรเพื่อป้องกันการแทรกซึมจากรัฐต่างชาติ https://www.csoonline.com/article/4051849/the-importance-of-reviewing-ai-data-centers-policies.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The importance of reviewing AI data centers’ policies
    As the race to invest in AI tools, technologies and capabilities continues, it is critical for cybersecurity leaders to not only look at whether the AI-embedded software is secure but also to scrutinize whether the AI data centers are secure as well.
    0 Comments 0 Shares 220 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Blackwell ถึง BlueField: เมื่อ Giga Computing เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ที่รวมทุกสิ่งไว้ในแร็คเดียว

    Giga Computing ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ GIGABYTE ได้เปิดตัว XL44-SX2-AAS1 ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ในกลุ่ม NVIDIA RTX PRO Server โดยใช้สถาปัตยกรรม MGX ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ระดับองค์กรโดยเฉพาะ

    ภายในเซิร์ฟเวอร์นี้มี GPU รุ่น RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition ถึง 8 ตัว แต่ละตัวมี 24,064 CUDA cores, 96 GB GDDR7 ECC memory และสามารถประมวลผล FP4 ได้ถึง 3.7 PFLOPS พร้อม DPU รุ่น BlueField-3 ที่ให้แบนด์วิดธ์ 400 Gb/s สำหรับการเข้าถึงข้อมูลและความปลอดภัยของ runtime

    ที่โดดเด่นคือการใช้ NVIDIA ConnectX-8 SuperNIC จำนวน 4 ตัว ซึ่งรองรับ PCIe Gen 6 x16 และสามารถเชื่อมต่อ GPU-to-GPU โดยตรงด้วยแบนด์วิดธ์สูงสุดถึง 800 Gb/s ต่อ GPU—ช่วยให้การเทรนโมเดลแบบกระจาย (distributed training) ทำได้เร็วขึ้นและเสถียรมากขึ้น

    ระบบนี้ยังมาพร้อมกับซีพียู Intel Xeon 6700/6500 series แบบ dual-socket, RAM DDR5 สูงสุด 32 DIMMs, และพาวเวอร์ซัพพลายแบบ redundant 3+1 ขนาด 3200W ที่ผ่านมาตรฐาน 80 Plus Titanium เพื่อรองรับการทำงาน 24/7

    นอกจากฮาร์ดแวร์แล้ว XL44 ยังมาพร้อมกับ NVIDIA AI Enterprise ที่รวม microservices อย่าง NIM, รองรับ Omniverse สำหรับ digital twins และ Cosmos สำหรับ physical AI—ทำให้สามารถนำโมเดลจากโลกเสมือนเข้าสู่การใช้งานจริงได้ทันที

    สเปกหลักของ GIGABYTE XL44-SX2-AAS1
    ใช้ GPU RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition × 8 ตัว
    แต่ละ GPU มี 96 GB GDDR7 ECC, 3.7 PFLOPS FP4, 117 TFLOPS FP32
    ใช้ DPU BlueField-3 และ SuperNIC ConnectX-8 × 4 ตัว

    ความสามารถด้านการเชื่อมต่อและประมวลผล
    รองรับ PCIe Gen 6 x16 และ InfiniBand/Ethernet สูงสุด 800 Gb/s ต่อ GPU
    มี 2×400GbE external connections สำหรับ data center traffic
    รองรับ GPU-to-GPU direct communication สำหรับ distributed AI

    ฮาร์ดแวร์ระดับ data center
    Dual Intel Xeon 6700/6500 series CPU
    รองรับ DDR5 DIMM สูงสุด 32 แถว
    พาวเวอร์ซัพพลาย 3+1 redundant 3200W 80 Plus Titanium

    ซอฟต์แวร์และการใช้งาน
    มาพร้อม NVIDIA AI Enterprise, NIM, Omniverse และ Cosmos
    รองรับงาน AI inference, physical AI, 3D simulation, video processing
    ใช้งานได้กับ Windows, Linux, Kubernetes และ virtualization

    การใช้งานในอุตสาหกรรม
    เหมาะกับ smart manufacturing, financial modeling, medical research
    รองรับ LLM inference และการสร้าง digital twins
    พร้อมใช้งานทั่วไปในเดือนตุลาคม 2025

    https://www.techpowerup.com/340680/giga-computing-expands-nvidia-rtx-pro-server-portfolio
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Blackwell ถึง BlueField: เมื่อ Giga Computing เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ที่รวมทุกสิ่งไว้ในแร็คเดียว Giga Computing ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ GIGABYTE ได้เปิดตัว XL44-SX2-AAS1 ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ในกลุ่ม NVIDIA RTX PRO Server โดยใช้สถาปัตยกรรม MGX ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ระดับองค์กรโดยเฉพาะ ภายในเซิร์ฟเวอร์นี้มี GPU รุ่น RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition ถึง 8 ตัว แต่ละตัวมี 24,064 CUDA cores, 96 GB GDDR7 ECC memory และสามารถประมวลผล FP4 ได้ถึง 3.7 PFLOPS พร้อม DPU รุ่น BlueField-3 ที่ให้แบนด์วิดธ์ 400 Gb/s สำหรับการเข้าถึงข้อมูลและความปลอดภัยของ runtime ที่โดดเด่นคือการใช้ NVIDIA ConnectX-8 SuperNIC จำนวน 4 ตัว ซึ่งรองรับ PCIe Gen 6 x16 และสามารถเชื่อมต่อ GPU-to-GPU โดยตรงด้วยแบนด์วิดธ์สูงสุดถึง 800 Gb/s ต่อ GPU—ช่วยให้การเทรนโมเดลแบบกระจาย (distributed training) ทำได้เร็วขึ้นและเสถียรมากขึ้น ระบบนี้ยังมาพร้อมกับซีพียู Intel Xeon 6700/6500 series แบบ dual-socket, RAM DDR5 สูงสุด 32 DIMMs, และพาวเวอร์ซัพพลายแบบ redundant 3+1 ขนาด 3200W ที่ผ่านมาตรฐาน 80 Plus Titanium เพื่อรองรับการทำงาน 24/7 นอกจากฮาร์ดแวร์แล้ว XL44 ยังมาพร้อมกับ NVIDIA AI Enterprise ที่รวม microservices อย่าง NIM, รองรับ Omniverse สำหรับ digital twins และ Cosmos สำหรับ physical AI—ทำให้สามารถนำโมเดลจากโลกเสมือนเข้าสู่การใช้งานจริงได้ทันที ✅ สเปกหลักของ GIGABYTE XL44-SX2-AAS1 ➡️ ใช้ GPU RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition × 8 ตัว ➡️ แต่ละ GPU มี 96 GB GDDR7 ECC, 3.7 PFLOPS FP4, 117 TFLOPS FP32 ➡️ ใช้ DPU BlueField-3 และ SuperNIC ConnectX-8 × 4 ตัว ✅ ความสามารถด้านการเชื่อมต่อและประมวลผล ➡️ รองรับ PCIe Gen 6 x16 และ InfiniBand/Ethernet สูงสุด 800 Gb/s ต่อ GPU ➡️ มี 2×400GbE external connections สำหรับ data center traffic ➡️ รองรับ GPU-to-GPU direct communication สำหรับ distributed AI ✅ ฮาร์ดแวร์ระดับ data center ➡️ Dual Intel Xeon 6700/6500 series CPU ➡️ รองรับ DDR5 DIMM สูงสุด 32 แถว ➡️ พาวเวอร์ซัพพลาย 3+1 redundant 3200W 80 Plus Titanium ✅ ซอฟต์แวร์และการใช้งาน ➡️ มาพร้อม NVIDIA AI Enterprise, NIM, Omniverse และ Cosmos ➡️ รองรับงาน AI inference, physical AI, 3D simulation, video processing ➡️ ใช้งานได้กับ Windows, Linux, Kubernetes และ virtualization ✅ การใช้งานในอุตสาหกรรม ➡️ เหมาะกับ smart manufacturing, financial modeling, medical research ➡️ รองรับ LLM inference และการสร้าง digital twins ➡️ พร้อมใช้งานทั่วไปในเดือนตุลาคม 2025 https://www.techpowerup.com/340680/giga-computing-expands-nvidia-rtx-pro-server-portfolio
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Giga Computing Expands NVIDIA RTX PRO Server Portfolio
    Giga Computing, a subsidiary of GIGABYTE Group, today announced the availability of the XL44-SX2-AAS1 server, integrating NVIDIA RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition GPUs with the NVIDIA BlueField-3 DPU and NVIDIA ConnectX-8 SuperNICs, this breakthrough platform unifies computing and high-speed dat...
    0 Comments 0 Shares 203 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Corsair และ Pavehawk: เมื่อการประมวลผล AI ไม่ต้องพึ่ง HBM อีกต่อไป

    ในยุคที่ HBM (High Bandwidth Memory) กลายเป็นหัวใจของการเทรนโมเดล AI ขนาดใหญ่ บริษัท D-Matrix กลับเลือกเดินเส้นทางที่ต่างออกไป—โดยมุ่งเน้นไปที่ “AI inference” ซึ่งเป็นภาระงานที่กำลังกลายเป็นศูนย์กลางของการใช้งานจริงในองค์กร

    แทนที่จะใช้ HBM ที่มีราคาสูงและ supply จำกัด D-Matrix พัฒนา Corsair ซึ่งเป็น inference accelerator แบบ chiplet ที่ใช้ LPDDR5 ขนาด 256GB และ SRAM 2GB ร่วมกับสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า 3DIMC (3D Digital In-Memory Compute)

    เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ใน Pavehawk ซึ่งเป็นซิลิคอนรุ่นใหม่ที่ใช้ logic die จาก TSMC N5 และ DRAM แบบ stacked หลายชั้น เพื่อให้ compute และ memory อยู่ใกล้กันมากที่สุด ลด latency และพลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายข้อมูล

    D-Matrix อ้างว่า Pavehawk มี bandwidth และ energy efficiency ต่อ stack สูงกว่า HBM4 ถึง 10 เท่า และสามารถขยายความจุได้มากกว่าด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ทำให้เหมาะกับการ deploy ใน data center ที่ต้องการ inference ขนาดใหญ่แต่ไม่สามารถจ่ายราคาของ HBM ได้

    แนวคิดนี้ยังสอดคล้องกับเทรนด์ของอุตสาหกรรมที่เริ่มหันมาใช้ interconnect แบบ CXL และการรวม controller เข้ากับ accelerator เพื่อให้ compute และ memory ทำงานร่วมกันได้อย่างแนบแน่น

    แนวทางของ D-Matrix ในการออกแบบ inference accelerator
    Corsair ใช้ LPDDR5 256GB + SRAM 2GB แบบ chiplet-based
    ไม่ใช้ HBM แต่เน้นการ co-package ระหว่าง compute และ memory
    เหมาะกับ AI inference ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ต้นทุนต่ำ

    เทคโนโลยี 3DIMC และ Pavehawk
    ใช้ logic die จาก TSMC N5 ร่วมกับ DRAM แบบ stacked หลายชั้น
    ลด latency และพลังงานในการเคลื่อนย้ายข้อมูล
    ให้ bandwidth และ energy efficiency สูงกว่า HBM4 ถึง 10 เท่า

    บริบทของอุตสาหกรรม AI
    Inference กำลังกลายเป็น workload หลักขององค์กร (คาดว่าจะเกิน 85% ภายใน 2–3 ปี)
    HBM มีราคาสูงและ supply จำกัด โดยเฉพาะสำหรับบริษัทขนาดเล็ก
    การรวม compute และ memory เป็นแนวทางที่หลายบริษัทเริ่มทดลอง เช่น CXL-based accelerator

    จุดเด่นของแนวคิด stacked DRAM + logic
    เพิ่มความจุและ bandwidth ได้โดยไม่ต้องใช้ HBM
    ลดต้นทุนและพลังงานในระดับ data center
    เหมาะกับการ deploy inference ที่ต้องการ scale แบบประหยัด

    https://www.techradar.com/pro/security/after-sandisk-d-matrix-is-proposing-an-intriguing-alternative-to-the-big-hbm-ai-puzzle-with-10x-better-performance-with-10x-better-energy-efficiency
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Corsair และ Pavehawk: เมื่อการประมวลผล AI ไม่ต้องพึ่ง HBM อีกต่อไป ในยุคที่ HBM (High Bandwidth Memory) กลายเป็นหัวใจของการเทรนโมเดล AI ขนาดใหญ่ บริษัท D-Matrix กลับเลือกเดินเส้นทางที่ต่างออกไป—โดยมุ่งเน้นไปที่ “AI inference” ซึ่งเป็นภาระงานที่กำลังกลายเป็นศูนย์กลางของการใช้งานจริงในองค์กร แทนที่จะใช้ HBM ที่มีราคาสูงและ supply จำกัด D-Matrix พัฒนา Corsair ซึ่งเป็น inference accelerator แบบ chiplet ที่ใช้ LPDDR5 ขนาด 256GB และ SRAM 2GB ร่วมกับสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า 3DIMC (3D Digital In-Memory Compute) เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ใน Pavehawk ซึ่งเป็นซิลิคอนรุ่นใหม่ที่ใช้ logic die จาก TSMC N5 และ DRAM แบบ stacked หลายชั้น เพื่อให้ compute และ memory อยู่ใกล้กันมากที่สุด ลด latency และพลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายข้อมูล D-Matrix อ้างว่า Pavehawk มี bandwidth และ energy efficiency ต่อ stack สูงกว่า HBM4 ถึง 10 เท่า และสามารถขยายความจุได้มากกว่าด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ทำให้เหมาะกับการ deploy ใน data center ที่ต้องการ inference ขนาดใหญ่แต่ไม่สามารถจ่ายราคาของ HBM ได้ แนวคิดนี้ยังสอดคล้องกับเทรนด์ของอุตสาหกรรมที่เริ่มหันมาใช้ interconnect แบบ CXL และการรวม controller เข้ากับ accelerator เพื่อให้ compute และ memory ทำงานร่วมกันได้อย่างแนบแน่น ✅ แนวทางของ D-Matrix ในการออกแบบ inference accelerator ➡️ Corsair ใช้ LPDDR5 256GB + SRAM 2GB แบบ chiplet-based ➡️ ไม่ใช้ HBM แต่เน้นการ co-package ระหว่าง compute และ memory ➡️ เหมาะกับ AI inference ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ต้นทุนต่ำ ✅ เทคโนโลยี 3DIMC และ Pavehawk ➡️ ใช้ logic die จาก TSMC N5 ร่วมกับ DRAM แบบ stacked หลายชั้น ➡️ ลด latency และพลังงานในการเคลื่อนย้ายข้อมูล ➡️ ให้ bandwidth และ energy efficiency สูงกว่า HBM4 ถึง 10 เท่า ✅ บริบทของอุตสาหกรรม AI ➡️ Inference กำลังกลายเป็น workload หลักขององค์กร (คาดว่าจะเกิน 85% ภายใน 2–3 ปี) ➡️ HBM มีราคาสูงและ supply จำกัด โดยเฉพาะสำหรับบริษัทขนาดเล็ก ➡️ การรวม compute และ memory เป็นแนวทางที่หลายบริษัทเริ่มทดลอง เช่น CXL-based accelerator ✅ จุดเด่นของแนวคิด stacked DRAM + logic ➡️ เพิ่มความจุและ bandwidth ได้โดยไม่ต้องใช้ HBM ➡️ ลดต้นทุนและพลังงานในระดับ data center ➡️ เหมาะกับการ deploy inference ที่ต้องการ scale แบบประหยัด https://www.techradar.com/pro/security/after-sandisk-d-matrix-is-proposing-an-intriguing-alternative-to-the-big-hbm-ai-puzzle-with-10x-better-performance-with-10x-better-energy-efficiency
    0 Comments 0 Shares 184 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากชิปเรือธง: เมื่อ Dimensity 9500 ไม่ใช่แค่รุ่นต่อยอด แต่เป็นการยกระดับทั้งระบบ

    MediaTek เตรียมเปิดตัว Dimensity 9500 ภายในเดือนกันยายน 2025 โดยมีข้อมูลหลุดจาก Digital Chat Station และ Geekbench ที่เผยให้เห็นว่า นี่ไม่ใช่แค่รุ่นอัปเกรดจาก 9400/9400+ แต่เป็นการยกเครื่องใหม่ทั้ง CPU, GPU, NPU และระบบหน่วยความจำ

    Dimensity 9500 ใช้โครงสร้าง CPU แบบ 1+3+4 โดยมีคอร์ Travis (Cortex-X930) ความเร็วสูงสุด 4.21GHz, คอร์ Alto ที่ 3.50GHz และคอร์ Gelas ประหยัดพลังงานที่ 2.70GHz พร้อม L3 cache ขนาด 16MB และ SLC cache 10MB ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้ง single-core และ multi-core อย่างชัดเจน

    GPU ใช้ Mali-G1 Ultra แบบ 12 คอร์ ที่ 1.00GHz พร้อมสถาปัตยกรรมใหม่ที่รองรับ ray tracing และลดการใช้พลังงาน ส่วน NPU 9.0 สามารถประมวลผลได้ถึง 100 TOPS ซึ่งเทียบเท่ากับระดับของ Snapdragon 8 Elite Gen 5

    ชิปนี้ยังรองรับ LPDDR5X แบบ 4-channel ที่ความเร็ว 10,667MHz และ UFS 4.1 แบบ 4-lane ซึ่งช่วยให้การโหลดแอปและการจัดการข้อมูลเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีคะแนน AnTuTu ทะลุ 4 ล้าน ซึ่งเทียบเท่ากับ Snapdragon รุ่นท็อปในปีเดียวกัน

    นอกจากนี้ Dimensity 9500 ยังเป็นชิปแรกของ MediaTek ที่รองรับ ARM Scalable Matrix Extension (SME) ซึ่งช่วยให้การประมวลผล AI และกราฟิกมีประสิทธิภาพมากขึ้นในงานที่ซับซ้อน

    โครงสร้าง CPU และประสิทธิภาพ
    ใช้โครงสร้าง 1+3+4: Travis 4.21GHz, Alto 3.50GHz, Gelas 2.70GHz
    L3 cache เพิ่มเป็น 16MB จาก 12MB ในรุ่นก่อน
    SLC cache 10MB เท่าเดิม

    GPU และการประมวลผลกราฟิก
    Mali-G1 Ultra แบบ 12 คอร์ ความเร็ว 1.00GHz
    รองรับ ray tracing และลดการใช้พลังงาน
    สถาปัตยกรรมใหม่ที่ยังไม่เปิดเผยชื่อ

    NPU และการประมวลผล AI
    NPU 9.0 รองรับ 100 TOPS
    รองรับ SME (Scalable Matrix Extension) เป็นครั้งแรก
    เหมาะกับงาน AI ที่ซับซ้อนและการประมวลผลภาพขั้นสูง

    หน่วยความจำและการจัดเก็บ
    LPDDR5X แบบ 4-channel ความเร็ว 10,667MHz
    UFS 4.1 แบบ 4-lane สำหรับการอ่าน/เขียนข้อมูลเร็วขึ้น
    รองรับการใช้งานระดับ flagship อย่างเต็มรูปแบบ

    คะแนน Benchmark และการเปรียบเทียบ
    คะแนน AnTuTu ทะลุ 4 ล้าน เทียบเท่า Snapdragon 8 Elite Gen 5
    คาดว่าจะเป็นชิปที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของ MediaTek ในปี 2025
    เหมาะกับสมาร์ทโฟนระดับเรือธงและอุปกรณ์ AI แบบพกพา

    https://wccftech.com/dimensity-9500-partial-specifications-shared-before-official-launch/
    🎙️ เรื่องเล่าจากชิปเรือธง: เมื่อ Dimensity 9500 ไม่ใช่แค่รุ่นต่อยอด แต่เป็นการยกระดับทั้งระบบ MediaTek เตรียมเปิดตัว Dimensity 9500 ภายในเดือนกันยายน 2025 โดยมีข้อมูลหลุดจาก Digital Chat Station และ Geekbench ที่เผยให้เห็นว่า นี่ไม่ใช่แค่รุ่นอัปเกรดจาก 9400/9400+ แต่เป็นการยกเครื่องใหม่ทั้ง CPU, GPU, NPU และระบบหน่วยความจำ Dimensity 9500 ใช้โครงสร้าง CPU แบบ 1+3+4 โดยมีคอร์ Travis (Cortex-X930) ความเร็วสูงสุด 4.21GHz, คอร์ Alto ที่ 3.50GHz และคอร์ Gelas ประหยัดพลังงานที่ 2.70GHz พร้อม L3 cache ขนาด 16MB และ SLC cache 10MB ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้ง single-core และ multi-core อย่างชัดเจน GPU ใช้ Mali-G1 Ultra แบบ 12 คอร์ ที่ 1.00GHz พร้อมสถาปัตยกรรมใหม่ที่รองรับ ray tracing และลดการใช้พลังงาน ส่วน NPU 9.0 สามารถประมวลผลได้ถึง 100 TOPS ซึ่งเทียบเท่ากับระดับของ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ชิปนี้ยังรองรับ LPDDR5X แบบ 4-channel ที่ความเร็ว 10,667MHz และ UFS 4.1 แบบ 4-lane ซึ่งช่วยให้การโหลดแอปและการจัดการข้อมูลเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีคะแนน AnTuTu ทะลุ 4 ล้าน ซึ่งเทียบเท่ากับ Snapdragon รุ่นท็อปในปีเดียวกัน นอกจากนี้ Dimensity 9500 ยังเป็นชิปแรกของ MediaTek ที่รองรับ ARM Scalable Matrix Extension (SME) ซึ่งช่วยให้การประมวลผล AI และกราฟิกมีประสิทธิภาพมากขึ้นในงานที่ซับซ้อน ✅ โครงสร้าง CPU และประสิทธิภาพ ➡️ ใช้โครงสร้าง 1+3+4: Travis 4.21GHz, Alto 3.50GHz, Gelas 2.70GHz ➡️ L3 cache เพิ่มเป็น 16MB จาก 12MB ในรุ่นก่อน ➡️ SLC cache 10MB เท่าเดิม ✅ GPU และการประมวลผลกราฟิก ➡️ Mali-G1 Ultra แบบ 12 คอร์ ความเร็ว 1.00GHz ➡️ รองรับ ray tracing และลดการใช้พลังงาน ➡️ สถาปัตยกรรมใหม่ที่ยังไม่เปิดเผยชื่อ ✅ NPU และการประมวลผล AI ➡️ NPU 9.0 รองรับ 100 TOPS ➡️ รองรับ SME (Scalable Matrix Extension) เป็นครั้งแรก ➡️ เหมาะกับงาน AI ที่ซับซ้อนและการประมวลผลภาพขั้นสูง ✅ หน่วยความจำและการจัดเก็บ ➡️ LPDDR5X แบบ 4-channel ความเร็ว 10,667MHz ➡️ UFS 4.1 แบบ 4-lane สำหรับการอ่าน/เขียนข้อมูลเร็วขึ้น ➡️ รองรับการใช้งานระดับ flagship อย่างเต็มรูปแบบ ✅ คะแนน Benchmark และการเปรียบเทียบ ➡️ คะแนน AnTuTu ทะลุ 4 ล้าน เทียบเท่า Snapdragon 8 Elite Gen 5 ➡️ คาดว่าจะเป็นชิปที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของ MediaTek ในปี 2025 ➡️ เหมาะกับสมาร์ทโฟนระดับเรือธงและอุปกรณ์ AI แบบพกพา https://wccftech.com/dimensity-9500-partial-specifications-shared-before-official-launch/
    WCCFTECH.COM
    Dimensity 9500’s In-Depth Specifications Get Shared By Tipster Before Upcoming Launch, Will Arrive With All-Round Improvements
    A tipster has shared the partial specifications of the Dimensity 9500, which include the CPU cluster and a truckload of other details, showing the ‘on paper’ improvements of the chipset
    0 Comments 0 Shares 223 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Kazeta: เมื่อ Linux กลายเป็นคอนโซลยุค 90 ที่ไม่ต้องต่อเน็ต ไม่ต้องล็อกอิน แค่เสียบแล้วเล่น

    ในยุคที่เกมพีซีเต็มไปด้วย launcher, DRM, cloud save, subscription และ UI ที่ซับซ้อน Kazeta OS กลับเลือกเดินทางย้อนยุค—พัฒนา Linux OS ที่ให้ประสบการณ์แบบ “เสียบตลับ กดเปิด แล้วเล่น” เหมือนเครื่องเกมในยุค 1990s โดยไม่ต้องต่ออินเทอร์เน็ต ไม่ต้องล็อกอิน และไม่ต้องอัปเดตอะไรทั้งสิ้น

    Kazeta พัฒนาโดย Alesh Slovak ผู้สร้าง ChimeraOS มาก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อผู้เล่นที่เบื่อความซับซ้อนของ SteamOS หรือ digital storefronts และอยากเก็บเกมแบบ physical media ที่จับต้องได้ Kazeta จึงอนุญาตให้ผู้ใช้แปลงเกม DRM-free เช่นจาก GOG หรือ itch.io ให้กลายเป็น “ตลับเกม” บน SD card ที่เสียบแล้วเล่นได้ทันที

    เมื่อไม่มีตลับเสียบ เครื่องจะบูตเข้าสู่ BIOS สไตล์เรโทรที่ให้ผู้เล่นจัดการเซฟเกมได้อย่างง่ายดาย โดยเซฟจะเก็บไว้ในเครื่อง ส่วนตลับเกมจะเป็น read-only เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของไฟล์เกม

    แม้จะฟังดูเรียบง่าย แต่ Kazeta รองรับทั้งเกมใหม่และเกมเก่าผ่าน emulator และสามารถใช้กับพีซีทั่วไปที่มี GPU ระดับกลางขึ้นไป โดยมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ไม่รองรับ dual boot, VM, hybrid graphics หรือ Bluetooth controller (แต่จะรองรับในอนาคต)

    แนวคิดหลักของ Kazeta OS
    สร้างประสบการณ์ “เสียบตลับแล้วเล่น” แบบคอนโซลยุค 90
    ไม่ต้องล็อกอิน, ไม่ต้องต่อเน็ต, ไม่มี launcher หรือ subscription
    รองรับเกม DRM-free จาก GOG, itch.io และ emulator

    วิธีใช้งาน
    ติดตั้ง Kazeta OS บนพีซีที่มีสเปกพอประมาณ
    เตรียม SD card เป็น “ตลับเกม” โดยใส่เกม DRM-free ทีละเกม
    เสียบ SD card แล้วเปิดเครื่องเพื่อเข้าเกมทันที
    หากไม่มีตลับ จะเข้าสู่ BIOS สไตล์เรโทรเพื่อจัดการเซฟเกม

    จุดเด่นด้านการเก็บเกม
    ตลับเกมเป็น read-only เพื่อรักษาไฟล์เกม
    เซฟเกมเก็บไว้ในเครื่อง และสามารถแบ็กอัปออกไปได้
    เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บเกมแบบ physical media

    ความเข้ากันได้ของระบบ
    รองรับ GPU: AMD RX 400+, NVIDIA GTX 1600+, Intel Gen 9+ (แต่ไม่แนะนำ)
    รองรับ controller: 8Bitdo Ultimate 2C (ผ่าน dongle หรือสาย)
    ไม่รองรับ VM, dual boot, hybrid graphics, Bluetooth controller (ยังไม่พร้อม)

    https://www.tomshardware.com/software/linux/linux-gaming-os-kazeta-promises-console-gaming-experience-of-the-1990s-for-pc-users-supports-almost-any-drm-free-game-past-or-present
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Kazeta: เมื่อ Linux กลายเป็นคอนโซลยุค 90 ที่ไม่ต้องต่อเน็ต ไม่ต้องล็อกอิน แค่เสียบแล้วเล่น ในยุคที่เกมพีซีเต็มไปด้วย launcher, DRM, cloud save, subscription และ UI ที่ซับซ้อน Kazeta OS กลับเลือกเดินทางย้อนยุค—พัฒนา Linux OS ที่ให้ประสบการณ์แบบ “เสียบตลับ กดเปิด แล้วเล่น” เหมือนเครื่องเกมในยุค 1990s โดยไม่ต้องต่ออินเทอร์เน็ต ไม่ต้องล็อกอิน และไม่ต้องอัปเดตอะไรทั้งสิ้น Kazeta พัฒนาโดย Alesh Slovak ผู้สร้าง ChimeraOS มาก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อผู้เล่นที่เบื่อความซับซ้อนของ SteamOS หรือ digital storefronts และอยากเก็บเกมแบบ physical media ที่จับต้องได้ Kazeta จึงอนุญาตให้ผู้ใช้แปลงเกม DRM-free เช่นจาก GOG หรือ itch.io ให้กลายเป็น “ตลับเกม” บน SD card ที่เสียบแล้วเล่นได้ทันที เมื่อไม่มีตลับเสียบ เครื่องจะบูตเข้าสู่ BIOS สไตล์เรโทรที่ให้ผู้เล่นจัดการเซฟเกมได้อย่างง่ายดาย โดยเซฟจะเก็บไว้ในเครื่อง ส่วนตลับเกมจะเป็น read-only เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของไฟล์เกม แม้จะฟังดูเรียบง่าย แต่ Kazeta รองรับทั้งเกมใหม่และเกมเก่าผ่าน emulator และสามารถใช้กับพีซีทั่วไปที่มี GPU ระดับกลางขึ้นไป โดยมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ไม่รองรับ dual boot, VM, hybrid graphics หรือ Bluetooth controller (แต่จะรองรับในอนาคต) ✅ แนวคิดหลักของ Kazeta OS ➡️ สร้างประสบการณ์ “เสียบตลับแล้วเล่น” แบบคอนโซลยุค 90 ➡️ ไม่ต้องล็อกอิน, ไม่ต้องต่อเน็ต, ไม่มี launcher หรือ subscription ➡️ รองรับเกม DRM-free จาก GOG, itch.io และ emulator ✅ วิธีใช้งาน ➡️ ติดตั้ง Kazeta OS บนพีซีที่มีสเปกพอประมาณ ➡️ เตรียม SD card เป็น “ตลับเกม” โดยใส่เกม DRM-free ทีละเกม ➡️ เสียบ SD card แล้วเปิดเครื่องเพื่อเข้าเกมทันที ➡️ หากไม่มีตลับ จะเข้าสู่ BIOS สไตล์เรโทรเพื่อจัดการเซฟเกม ✅ จุดเด่นด้านการเก็บเกม ➡️ ตลับเกมเป็น read-only เพื่อรักษาไฟล์เกม ➡️ เซฟเกมเก็บไว้ในเครื่อง และสามารถแบ็กอัปออกไปได้ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บเกมแบบ physical media ✅ ความเข้ากันได้ของระบบ ➡️ รองรับ GPU: AMD RX 400+, NVIDIA GTX 1600+, Intel Gen 9+ (แต่ไม่แนะนำ) ➡️ รองรับ controller: 8Bitdo Ultimate 2C (ผ่าน dongle หรือสาย) ➡️ ไม่รองรับ VM, dual boot, hybrid graphics, Bluetooth controller (ยังไม่พร้อม) https://www.tomshardware.com/software/linux/linux-gaming-os-kazeta-promises-console-gaming-experience-of-the-1990s-for-pc-users-supports-almost-any-drm-free-game-past-or-present
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากสแตนฟอร์ด: เมื่อ AI กลายเป็นตัวกรองคนเข้าสู่โลกการทำงาน

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Generative AI อย่าง ChatGPT, Claude และเครื่องมืออัตโนมัติอื่น ๆ ได้เข้ามาเปลี่ยนวิธีทำงานในหลายอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว แต่ผลกระทบที่หลายคนยังไม่ทันตั้งตัว คือการ “ลดโอกาส” ของคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพ

    งานวิจัยจาก Stanford Digital Economy Lab วิเคราะห์ข้อมูลจาก ADP ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเงินเดือนรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ พบว่า ตั้งแต่ปลายปี 2022 ถึงกลางปี 2025 การจ้างงานของคนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่ “เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI” เช่น customer service, accounting และ software development ลดลงถึง 13% ขณะที่คนอายุ 35 ปีขึ้นไปในสายงานเดียวกันกลับมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น

    เหตุผลหลักคือ AI สามารถแทนที่ “ความรู้แบบท่องจำ” หรือ codified knowledge ที่คนรุ่นใหม่เพิ่งเรียนจบมาได้ง่าย แต่ยังไม่สามารถแทนที่ “ความรู้จากประสบการณ์” หรือ tacit knowledge ที่คนทำงานมานานสะสมไว้ได้

    นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าในสายงานที่ AI “เสริม” การทำงาน เช่น การช่วยตรวจสอบโค้ดหรือจัดการข้อมูล การจ้างงานกลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทักษะผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการตัดสินใจ

    ผลกระทบของ AI ต่อแรงงานอายุน้อย
    คนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI มีการจ้างงานลดลง 13%
    สายงานที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ customer service, accounting, software development
    ในขณะที่คนอายุ 35 ปีขึ้นไปในสายงานเดียวกันมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น

    ความแตกต่างระหว่าง codified กับ tacit knowledge
    AI สามารถแทนที่ความรู้แบบท่องจำจากการศึกษาได้ง่าย
    แต่ยังไม่สามารถแทนที่ความรู้จากประสบการณ์ที่ไม่ได้เขียนไว้ในตำรา

    สายงานที่ AI เสริมมากกว่าทดแทน
    ในงานที่ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหรือช่วยเขียนโค้ด
    การจ้างงานยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทักษะผสม

    ความพยายามควบคุมตัวแปรอื่น
    งานวิจัยพยายามตัดปัจจัยแทรก เช่น remote work, การจ้างงานภายนอก, หรือภาวะเศรษฐกิจ
    ผลลัพธ์ยังคงชี้ชัดว่า AI เป็นตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อการจ้างงานของคนรุ่นใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้ AI ในองค์กรยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น หมายความว่าผลกระทบอาจเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
    นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงเริ่มปรากฏในข้อมูลแรงงานแล้ว


    https://www.cnbc.com/2025/08/28/generative-ai-reshapes-us-job-market-stanford-study-shows-entry-level-young-workers.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากสแตนฟอร์ด: เมื่อ AI กลายเป็นตัวกรองคนเข้าสู่โลกการทำงาน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Generative AI อย่าง ChatGPT, Claude และเครื่องมืออัตโนมัติอื่น ๆ ได้เข้ามาเปลี่ยนวิธีทำงานในหลายอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว แต่ผลกระทบที่หลายคนยังไม่ทันตั้งตัว คือการ “ลดโอกาส” ของคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพ งานวิจัยจาก Stanford Digital Economy Lab วิเคราะห์ข้อมูลจาก ADP ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเงินเดือนรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ พบว่า ตั้งแต่ปลายปี 2022 ถึงกลางปี 2025 การจ้างงานของคนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่ “เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI” เช่น customer service, accounting และ software development ลดลงถึง 13% ขณะที่คนอายุ 35 ปีขึ้นไปในสายงานเดียวกันกลับมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น เหตุผลหลักคือ AI สามารถแทนที่ “ความรู้แบบท่องจำ” หรือ codified knowledge ที่คนรุ่นใหม่เพิ่งเรียนจบมาได้ง่าย แต่ยังไม่สามารถแทนที่ “ความรู้จากประสบการณ์” หรือ tacit knowledge ที่คนทำงานมานานสะสมไว้ได้ นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าในสายงานที่ AI “เสริม” การทำงาน เช่น การช่วยตรวจสอบโค้ดหรือจัดการข้อมูล การจ้างงานกลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทักษะผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการตัดสินใจ ✅ ผลกระทบของ AI ต่อแรงงานอายุน้อย ➡️ คนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI มีการจ้างงานลดลง 13% ➡️ สายงานที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ customer service, accounting, software development ➡️ ในขณะที่คนอายุ 35 ปีขึ้นไปในสายงานเดียวกันมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ✅ ความแตกต่างระหว่าง codified กับ tacit knowledge ➡️ AI สามารถแทนที่ความรู้แบบท่องจำจากการศึกษาได้ง่าย ➡️ แต่ยังไม่สามารถแทนที่ความรู้จากประสบการณ์ที่ไม่ได้เขียนไว้ในตำรา ✅ สายงานที่ AI เสริมมากกว่าทดแทน ➡️ ในงานที่ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหรือช่วยเขียนโค้ด ➡️ การจ้างงานยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทักษะผสม ✅ ความพยายามควบคุมตัวแปรอื่น ➡️ งานวิจัยพยายามตัดปัจจัยแทรก เช่น remote work, การจ้างงานภายนอก, หรือภาวะเศรษฐกิจ ➡️ ผลลัพธ์ยังคงชี้ชัดว่า AI เป็นตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อการจ้างงานของคนรุ่นใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้ AI ในองค์กรยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น หมายความว่าผลกระทบอาจเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ➡️ นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงเริ่มปรากฏในข้อมูลแรงงานแล้ว https://www.cnbc.com/2025/08/28/generative-ai-reshapes-us-job-market-stanford-study-shows-entry-level-young-workers.html
    WWW.CNBC.COM
    AI adoption linked to 13% decline in jobs for young U.S. workers, Stanford study reveals
    A Standford study has found evidence that the widespread adoption of generative AI is impacting the job prospects of early career workers.
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • ก่อนไปลาวหรืออินโดนีเซีย ต้องลงทะเบียนขาเข้าดิจิทัล

    ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2568 กรมตำรวจตรวจคนเข้า-ออกเมือง ประเทศลาว จะเริ่มทดลองลงทะเบียนเดินทางเข้า-ออกประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ www.immigration.gov.la ใน 4 ด่านสากล ได้แก่ สนามบินวัดไต สนามบินหลวงพระบาง สนามบินปากเซ และด่านสะพานมิตรภาพ 1 ชาวต่างชาติที่ใช้หนังสือเดินทาง (Passport) จะต้องลงทะเบียนออนไลน์ก่อนภายใน 3 วันก่อนเดินทาง เสร็จแล้วจะได้รับ QR Code เพื่อใช้แจ้งเข้า-ออกกับเจ้าหน้าที่ โดยไม่จำเป็นต้องกรอกบัตรแจ้งเข้าเมืองและบัตรแจ้งออกเมือง ซึ่งในปี 2569 มีแผนจะใช้กับด่านสากลทั่วประเทศ

    ก่อนหน้านี้ ประเทศอินโดนีเซียประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2568 จะใช้ระบบ All Indonesia ลงทะเบียนตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร ควบคุมโรค กักกักสัตว์และพืชไว้ในช่องทางเดียวกัน ชาวต่างชาติที่มาอินโดนีเซียต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ allindonesia.imigrasi.go.id หรือแอปพลิเคชัน All Indonesia ล่วงหน้าไม่เกิน 3 วันก่อนเดินทาง เสร็จแล้วจะได้รับ QR Code ใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ โดยจะเริ่มใช้กับสนามบินจาการ์ตา สนามบินสุราบายา และสนามบินเดนปาซาร์ (บาหลี) ก่อนบังคับใช้ทั่วประเทศในวันที่ 1 ต.ค.2568

    ที่ผ่านมาหลายประเทศในอาเซียนเริ่มใช้ระบบบัตรขาเข้าดิจิทัลทดแทนแบบกระดาษ โดยมีรูปแบบไม่ต่างกัน คือ ต้องกรอกแบบฟอร์มล่วงหน้าใน 3 วันก่อนเดินทาง แล้วนำหลักฐาน เช่น QR Code แสดงต่อเจ้าหน้าที่

    • สิงคโปร์ พัฒนา Singapore Arrival Card (SGAC) ในเดือน ส.ค.2562 ก่อนเริ่มใช้เต็มรูปแบบในเดือน มี.ค.2563 โดยเพิ่มการแจ้งข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ภายหลังได้ผ่อนคลายมาตรการด้านสุขภาพลงเมื่อเดือน ธ.ค.2565 เหลือเฉพาะบางประเทศที่มีโรคระบาดร้ายแรง

    • ฟิลิปปินส์ ใช้ระบบ One Health Pass เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2564 ก่อนเปลี่ยนมาเป็น e-Arrival CARD ในวันที่ 1 ธ.ค.2565 โดยให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ etravel.gov.ph และแอปพลิเคชัน eGovPH

    • มาเลเซีย เริ่มใช้ Malaysia Digital Arrival Card ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2567 ผ่านเว็บไซต์ imigresen-online.imi.gov.my/mdac/main

    • บรูไน เริ่มใช้ระบบ E-Arrival Card ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ.2566 ผ่านเว็บไซต์ www.imm.gov.bn

    • กัมพูชา เริ่มใช้ระบบ Cambodia e-Arrival ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2567 ผ่านเว็บไซต์ arrival.gov.kh เฉพาะผู้ที่ผ่านสนามบินพนมเปญ สนามบินเสียมราฐ และสนามบินสีหนุวิลล์

    สำหรับประเทศไทย สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองใช้ระบบ Thailand Digital Arrival Card (TDAC) สำหรับชาวต่างชาติ มาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2568 เป็นต้นมา

    #Newskit
    ก่อนไปลาวหรืออินโดนีเซีย ต้องลงทะเบียนขาเข้าดิจิทัล ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2568 กรมตำรวจตรวจคนเข้า-ออกเมือง ประเทศลาว จะเริ่มทดลองลงทะเบียนเดินทางเข้า-ออกประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ www.immigration.gov.la ใน 4 ด่านสากล ได้แก่ สนามบินวัดไต สนามบินหลวงพระบาง สนามบินปากเซ และด่านสะพานมิตรภาพ 1 ชาวต่างชาติที่ใช้หนังสือเดินทาง (Passport) จะต้องลงทะเบียนออนไลน์ก่อนภายใน 3 วันก่อนเดินทาง เสร็จแล้วจะได้รับ QR Code เพื่อใช้แจ้งเข้า-ออกกับเจ้าหน้าที่ โดยไม่จำเป็นต้องกรอกบัตรแจ้งเข้าเมืองและบัตรแจ้งออกเมือง ซึ่งในปี 2569 มีแผนจะใช้กับด่านสากลทั่วประเทศ ก่อนหน้านี้ ประเทศอินโดนีเซียประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2568 จะใช้ระบบ All Indonesia ลงทะเบียนตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร ควบคุมโรค กักกักสัตว์และพืชไว้ในช่องทางเดียวกัน ชาวต่างชาติที่มาอินโดนีเซียต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ allindonesia.imigrasi.go.id หรือแอปพลิเคชัน All Indonesia ล่วงหน้าไม่เกิน 3 วันก่อนเดินทาง เสร็จแล้วจะได้รับ QR Code ใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ โดยจะเริ่มใช้กับสนามบินจาการ์ตา สนามบินสุราบายา และสนามบินเดนปาซาร์ (บาหลี) ก่อนบังคับใช้ทั่วประเทศในวันที่ 1 ต.ค.2568 ที่ผ่านมาหลายประเทศในอาเซียนเริ่มใช้ระบบบัตรขาเข้าดิจิทัลทดแทนแบบกระดาษ โดยมีรูปแบบไม่ต่างกัน คือ ต้องกรอกแบบฟอร์มล่วงหน้าใน 3 วันก่อนเดินทาง แล้วนำหลักฐาน เช่น QR Code แสดงต่อเจ้าหน้าที่ • สิงคโปร์ พัฒนา Singapore Arrival Card (SGAC) ในเดือน ส.ค.2562 ก่อนเริ่มใช้เต็มรูปแบบในเดือน มี.ค.2563 โดยเพิ่มการแจ้งข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ภายหลังได้ผ่อนคลายมาตรการด้านสุขภาพลงเมื่อเดือน ธ.ค.2565 เหลือเฉพาะบางประเทศที่มีโรคระบาดร้ายแรง • ฟิลิปปินส์ ใช้ระบบ One Health Pass เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2564 ก่อนเปลี่ยนมาเป็น e-Arrival CARD ในวันที่ 1 ธ.ค.2565 โดยให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ etravel.gov.ph และแอปพลิเคชัน eGovPH • มาเลเซีย เริ่มใช้ Malaysia Digital Arrival Card ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2567 ผ่านเว็บไซต์ imigresen-online.imi.gov.my/mdac/main • บรูไน เริ่มใช้ระบบ E-Arrival Card ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ.2566 ผ่านเว็บไซต์ www.imm.gov.bn • กัมพูชา เริ่มใช้ระบบ Cambodia e-Arrival ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2567 ผ่านเว็บไซต์ arrival.gov.kh เฉพาะผู้ที่ผ่านสนามบินพนมเปญ สนามบินเสียมราฐ และสนามบินสีหนุวิลล์ สำหรับประเทศไทย สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองใช้ระบบ Thailand Digital Arrival Card (TDAC) สำหรับชาวต่างชาติ มาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2568 เป็นต้นมา #Newskit
    1 Comments 0 Shares 368 Views 0 Reviews

  • ..ประเทศโยนหินถามทางด้วยภาษีปี70 จะใช้บังคับกับประชาชนที่ต้องยื่นแบบภาษีทุกๆคน มีเชื่อมโยงสุขภาพด้วยคือใช้ NIT บังหน้านั้นเอง กลัวประชาชนต่อต้านอย่างหนักเหมือน14ตุลาบ้าคลั่งได้ซึ่งต่างจากเม็กซิโกสิ้นเชิง ,ใจคนไทยเด็ดขาดกว่ามาก เช่นนั้นจะไม่ปรากฎการมีอยู่แบบทหารผีแห่งสยามเรา.,deep stateโลกกำลังบีบชาวโลกในแต่ละประเทศให้ทำตามระเบียบมัน รัฐสอดแนมสอดรู้สอดเห็นทุกๆคนในประเทศมัน,ส่องหมดหรือทั้งหมดต้องถูกมันส่องและส่องตลอดเวลาด้วย,อาจหนักกว่าสไตล์เกาหลีเหนือแคปหน้าจอมือถือประชาชนทุกๆ3-5นาทีโน้น,ไอ้นี้ควอนตัมอาจบันทึกทุกๆกิจกรรมธุรกรรมซึ่งสามารถตรวจสอบเรียลไทม์และตรวจสอบย้อนหลังทั้งหมดตั้งแต่ต้นก็ยังได้จนถึงปัจจุบัน.,มันจะกำจัดมนุษย์ลงเพื่อให้เหลือน้อยที่สุดนั้นเอง.,ยุคแห่งAIปกครองมนุษย์แทนคนก็ได้,มันจึงพยายามให้ขี้ข้าสมุนลูกน้องมันเอาaiเข้าไปใช้แทนคน ทดแทนคนจริงในบริษัทแล้ว ธนาคารบางเนมจ้างพนักงานออกแล้ว ถีบออกก่อนกำหนด เพื่อเอาAIมาใช้แทนคนจริงจังแล้วนั้นเองในการตอบสนองนายใหญ่deep stateมัน.,ผู้นำจึงสำคัญมากในยุคเปลี่ยนแปลงนี้ เลือกเล่นๆแบบนายกฯคลิปหลุดอีกไม่ได้ สงครามโลก สงครามใช้AIมาควบคุมทดแทนคนจริงอีก.

    ............................................................................

    เม็กซิโกออกคําสั่งให้ Bill Gates’ Biometric Digital ID พร้อมข้อมูล Iris และลายนิ้วมือสําหรับประชากรทั้งหมด

    5 สิงหาคม 2568

    เม็กซิโกได้บังคับใช้บัตรประจําตัวดิจิทัลไบโอเมตริกซ์อย่างเป็นทางการสําหรับพลเมืองทุกคน ซึ่งจะทําให้ระบบที่ Bill Gates และ World Economic Forum (WEF) ผลักดันมายาวนาน สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นข้อเสนอเพิ่มเติมโดยชนชั้นสูงระดับโลกในปัจจุบันคือกฎหมายของรัฐบาลกลาง ขณะนี้ชาวเม็กซิกันทุกคนจําเป็นต้องส่งข้อมูลใบหน้า ลายนิ้วมือ และม่านตาของตนไปยังแพลตฟอร์มข้อมูลประจําตัวดิจิทัลแบบรวมศูนย์ ไม่ว่าพวกเขาจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม

    การเปลี่ยนแปลง ลงนามในกฎหมาย ตามพระราชกฤษฎีกาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ให้เปลี่ยน CURP ที่เป็นทางเลือกก่อนหน้านี้ (Clave Única de Registro de Población) ให้เป็นเอกสารไบโอเมตริกซ์ภาคบังคับที่เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มข้อมูลประจําตัวดิจิทัลแบบรวมศูนย์

    CURP ใหม่จะรวมภาพถ่ายใบหน้า ลายนิ้วมือ และข้อมูลม่านตาที่ฝังอยู่ในรหัส QR และจําเป็นสําหรับการเข้าถึงทุกสิ่งตั้งแต่บริการสาธารณะและการศึกษา ไปจนถึงการธนาคารและการจ้างงาน กฎหมายกําหนดให้มีการบูรณาการทั่วทั้งระบบภาครัฐและเอกชนภายในปี 2569 และการเปิดตัวจะเริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลไบโอเมตริกซ์จํานวนมาก—รวมถึง Children—เริ่มปีนี้

    การยกเครื่องใหม่สะท้อนให้เห็นถึงพิมพ์เขียวของ WEF สําหรับโครงสร้างพื้นฐาน ID ดิจิทัลทั่วโลก เป็นเวลาหลายปีที่ฟอรัมได้ส่งเสริมระบบข้อมูลประจําตัวดิจิทัลให้เป็นเครื่องมือสําคัญ สําหรับผู้ที่มีความประสงค์ที่จะมีส่วนร่วมในสังคมต่อไป, โต้แย้งพวกเขามีความจําเป็นสําหรับการเข้าถึงบริการทางการเงิน, การดูแลสุขภาพ, การเดินทาง, และสิทธิพลเมือง

    ในเอกสารและแผง WEF รหัสดิจิทัลมักถูกวางกรอบว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาการรวมทางสังคม แต่ผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัวเตือนว่าระบบเหล่านี้ปูทางสําหรับการเฝ้าระวังประชากรและการควบคุมแบบรวมศูนย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

    ประธานาธิบดีคลอเดีย ชีนบัม แห่งเม็กซิโกได้แสดงการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในเวทีระหว่างประเทศก่อนหน้านี้ และเจ้าหน้าที่หลายคนที่เกี่ยวข้องกับภาคเทคโนโลยีและการกํากับดูแลของเม็กซิโกก็มีความเชื่อมโยงกับโครงการริเริ่มของ WEF Digital Transformation Agency—ตอนนี้ดูแลการดําเนินการยกเครื่อง CURP—ได้นําภาษาและลําดับความสําคัญที่คล้ายกันมาใช้กับโปรแกรมการกํากับดูแลดิจิทัลของ WEF

    บิล เกตส์เป็นผู้เสนอกฎหมายเม็กซิโกคนสําคัญ ผู้ให้ทุนหลักและผู้สนับสนุนระบบอัตลักษณ์ไบโอเมตริกซ์ ในประเทศกําลังพัฒนาผ่านทางมูลนิธิ Bill & Melinda Gates และ Gavi, Vaccine Alliance— ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ของ WEF มูลนิธิของเขายังสนับสนุน Modular Open Source Identity Platform (MOSIP) ซึ่งเป็นกรอบการทํางานโอเพ่นซอร์สสําหรับรหัสไบโอเมตริกซ์ที่กําลังถูกนํามาใช้ในบางส่วนของแอฟริกาและเอเชีย


    องค์กรความเป็นส่วนตัวในเม็กซิโกส่งเสียงเตือน กฎหมายใหม่ไม่ได้กําหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งให้ประชาชนทราบเมื่อมีการเข้าถึงข้อมูลไบโอเมตริกซ์ของตน และไม่ได้รวมบทลงโทษที่ชัดเจนสําหรับการใช้ในทางที่ผิดหรือการละเมิด กลุ่มสิทธิพลเมืองเตือนว่าระบบอาจถูกนําไปใช้ประโยชน์โดยหน่วยข่าวกรอง เจ้าหน้าที่ทุจริต หรือแม้แต่รัฐบาลต่างประเทศ เนื่องจากกฎหมายอนุญาตให้มีข้อตกลงการแบ่งปันข้อมูลที่อาจเกิดขึ้น— รวมถึงกับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐอเมริกา

    ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า รัฐบาลจะสร้างแพลตฟอร์ม Unified Identity เพื่อรวมโปรไฟล์ไบโอเมตริกซ์ของ Citizens’ ไว้ในฐานข้อมูลต่างๆ รวมถึง National Registry of Missing and Unlocated Persons และ National Forensic Data Bank

    เจ้าหน้าที่กล่าวว่าระบบจะปรับปรุงความปลอดภัยสาธารณะและช่วยแก้ปัญหาการสูญหาย แต่นักวิจารณ์แย้งว่าโครงสร้างพื้นฐานกําลังถูกจัดเตรียมไว้สําหรับรัฐสอดแนมที่อาจกัดกร่อนเสรีภาพของพลเมืองภายใต้หน้ากากของความทันสมัย

    นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิถีดิจิทัลของเม็กซิโก แม้ว่าเป้าหมายที่ระบุไว้คือประสิทธิภาพการบริหารและความมั่นคงของชาติ แต่ความกังวลที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือ ประเทศกําลังกลายเป็นประเทศล่าสุดที่ยอมจํานนต่อกลไกการควบคุมดิจิทัลระดับโลกที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้มีบทบาทข้ามชาติชั้นยอด



    ..ประเทศโยนหินถามทางด้วยภาษีปี70 จะใช้บังคับกับประชาชนที่ต้องยื่นแบบภาษีทุกๆคน มีเชื่อมโยงสุขภาพด้วยคือใช้ NIT บังหน้านั้นเอง กลัวประชาชนต่อต้านอย่างหนักเหมือน14ตุลาบ้าคลั่งได้ซึ่งต่างจากเม็กซิโกสิ้นเชิง ,ใจคนไทยเด็ดขาดกว่ามาก เช่นนั้นจะไม่ปรากฎการมีอยู่แบบทหารผีแห่งสยามเรา.,deep stateโลกกำลังบีบชาวโลกในแต่ละประเทศให้ทำตามระเบียบมัน รัฐสอดแนมสอดรู้สอดเห็นทุกๆคนในประเทศมัน,ส่องหมดหรือทั้งหมดต้องถูกมันส่องและส่องตลอดเวลาด้วย,อาจหนักกว่าสไตล์เกาหลีเหนือแคปหน้าจอมือถือประชาชนทุกๆ3-5นาทีโน้น,ไอ้นี้ควอนตัมอาจบันทึกทุกๆกิจกรรมธุรกรรมซึ่งสามารถตรวจสอบเรียลไทม์และตรวจสอบย้อนหลังทั้งหมดตั้งแต่ต้นก็ยังได้จนถึงปัจจุบัน.,มันจะกำจัดมนุษย์ลงเพื่อให้เหลือน้อยที่สุดนั้นเอง.,ยุคแห่งAIปกครองมนุษย์แทนคนก็ได้,มันจึงพยายามให้ขี้ข้าสมุนลูกน้องมันเอาaiเข้าไปใช้แทนคน ทดแทนคนจริงในบริษัทแล้ว ธนาคารบางเนมจ้างพนักงานออกแล้ว ถีบออกก่อนกำหนด เพื่อเอาAIมาใช้แทนคนจริงจังแล้วนั้นเองในการตอบสนองนายใหญ่deep stateมัน.,ผู้นำจึงสำคัญมากในยุคเปลี่ยนแปลงนี้ เลือกเล่นๆแบบนายกฯคลิปหลุดอีกไม่ได้ สงครามโลก สงครามใช้AIมาควบคุมทดแทนคนจริงอีก. ............................................................................ เม็กซิโกออกคําสั่งให้ Bill Gates’ Biometric Digital ID พร้อมข้อมูล Iris และลายนิ้วมือสําหรับประชากรทั้งหมด 5 สิงหาคม 2568 เม็กซิโกได้บังคับใช้บัตรประจําตัวดิจิทัลไบโอเมตริกซ์อย่างเป็นทางการสําหรับพลเมืองทุกคน ซึ่งจะทําให้ระบบที่ Bill Gates และ World Economic Forum (WEF) ผลักดันมายาวนาน สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นข้อเสนอเพิ่มเติมโดยชนชั้นสูงระดับโลกในปัจจุบันคือกฎหมายของรัฐบาลกลาง ขณะนี้ชาวเม็กซิกันทุกคนจําเป็นต้องส่งข้อมูลใบหน้า ลายนิ้วมือ และม่านตาของตนไปยังแพลตฟอร์มข้อมูลประจําตัวดิจิทัลแบบรวมศูนย์ ไม่ว่าพวกเขาจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม การเปลี่ยนแปลง ลงนามในกฎหมาย ตามพระราชกฤษฎีกาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ให้เปลี่ยน CURP ที่เป็นทางเลือกก่อนหน้านี้ (Clave Única de Registro de Población) ให้เป็นเอกสารไบโอเมตริกซ์ภาคบังคับที่เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มข้อมูลประจําตัวดิจิทัลแบบรวมศูนย์ CURP ใหม่จะรวมภาพถ่ายใบหน้า ลายนิ้วมือ และข้อมูลม่านตาที่ฝังอยู่ในรหัส QR และจําเป็นสําหรับการเข้าถึงทุกสิ่งตั้งแต่บริการสาธารณะและการศึกษา ไปจนถึงการธนาคารและการจ้างงาน กฎหมายกําหนดให้มีการบูรณาการทั่วทั้งระบบภาครัฐและเอกชนภายในปี 2569 และการเปิดตัวจะเริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลไบโอเมตริกซ์จํานวนมาก—รวมถึง Children—เริ่มปีนี้ การยกเครื่องใหม่สะท้อนให้เห็นถึงพิมพ์เขียวของ WEF สําหรับโครงสร้างพื้นฐาน ID ดิจิทัลทั่วโลก เป็นเวลาหลายปีที่ฟอรัมได้ส่งเสริมระบบข้อมูลประจําตัวดิจิทัลให้เป็นเครื่องมือสําคัญ สําหรับผู้ที่มีความประสงค์ที่จะมีส่วนร่วมในสังคมต่อไป, โต้แย้งพวกเขามีความจําเป็นสําหรับการเข้าถึงบริการทางการเงิน, การดูแลสุขภาพ, การเดินทาง, และสิทธิพลเมือง ในเอกสารและแผง WEF รหัสดิจิทัลมักถูกวางกรอบว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาการรวมทางสังคม แต่ผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัวเตือนว่าระบบเหล่านี้ปูทางสําหรับการเฝ้าระวังประชากรและการควบคุมแบบรวมศูนย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ประธานาธิบดีคลอเดีย ชีนบัม แห่งเม็กซิโกได้แสดงการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในเวทีระหว่างประเทศก่อนหน้านี้ และเจ้าหน้าที่หลายคนที่เกี่ยวข้องกับภาคเทคโนโลยีและการกํากับดูแลของเม็กซิโกก็มีความเชื่อมโยงกับโครงการริเริ่มของ WEF Digital Transformation Agency—ตอนนี้ดูแลการดําเนินการยกเครื่อง CURP—ได้นําภาษาและลําดับความสําคัญที่คล้ายกันมาใช้กับโปรแกรมการกํากับดูแลดิจิทัลของ WEF บิล เกตส์เป็นผู้เสนอกฎหมายเม็กซิโกคนสําคัญ ผู้ให้ทุนหลักและผู้สนับสนุนระบบอัตลักษณ์ไบโอเมตริกซ์ ในประเทศกําลังพัฒนาผ่านทางมูลนิธิ Bill & Melinda Gates และ Gavi, Vaccine Alliance— ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ของ WEF มูลนิธิของเขายังสนับสนุน Modular Open Source Identity Platform (MOSIP) ซึ่งเป็นกรอบการทํางานโอเพ่นซอร์สสําหรับรหัสไบโอเมตริกซ์ที่กําลังถูกนํามาใช้ในบางส่วนของแอฟริกาและเอเชีย องค์กรความเป็นส่วนตัวในเม็กซิโกส่งเสียงเตือน กฎหมายใหม่ไม่ได้กําหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งให้ประชาชนทราบเมื่อมีการเข้าถึงข้อมูลไบโอเมตริกซ์ของตน และไม่ได้รวมบทลงโทษที่ชัดเจนสําหรับการใช้ในทางที่ผิดหรือการละเมิด กลุ่มสิทธิพลเมืองเตือนว่าระบบอาจถูกนําไปใช้ประโยชน์โดยหน่วยข่าวกรอง เจ้าหน้าที่ทุจริต หรือแม้แต่รัฐบาลต่างประเทศ เนื่องจากกฎหมายอนุญาตให้มีข้อตกลงการแบ่งปันข้อมูลที่อาจเกิดขึ้น— รวมถึงกับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐอเมริกา ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า รัฐบาลจะสร้างแพลตฟอร์ม Unified Identity เพื่อรวมโปรไฟล์ไบโอเมตริกซ์ของ Citizens’ ไว้ในฐานข้อมูลต่างๆ รวมถึง National Registry of Missing and Unlocated Persons และ National Forensic Data Bank เจ้าหน้าที่กล่าวว่าระบบจะปรับปรุงความปลอดภัยสาธารณะและช่วยแก้ปัญหาการสูญหาย แต่นักวิจารณ์แย้งว่าโครงสร้างพื้นฐานกําลังถูกจัดเตรียมไว้สําหรับรัฐสอดแนมที่อาจกัดกร่อนเสรีภาพของพลเมืองภายใต้หน้ากากของความทันสมัย นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิถีดิจิทัลของเม็กซิโก แม้ว่าเป้าหมายที่ระบุไว้คือประสิทธิภาพการบริหารและความมั่นคงของชาติ แต่ความกังวลที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือ ประเทศกําลังกลายเป็นประเทศล่าสุดที่ยอมจํานนต่อกลไกการควบคุมดิจิทัลระดับโลกที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้มีบทบาทข้ามชาติชั้นยอด
    0 Comments 0 Shares 393 Views 0 Reviews
  • 23 นาที 15 วินาที – ความจริงหรือแค่ตัวเลขที่เล่าต่อกันมา?

    คุณอาจเคยได้ยินว่า “หลังจากถูกขัดจังหวะ จะใช้เวลา 23 นาที 15 วินาทีในการกลับเข้าสู่โฟกัส” ฟังดูเฉพาะเจาะจงและน่ากลัวใช่ไหม? Geoffrey Oberien ก็คิดแบบนั้น เขาแค่ต้องการอ้างอิงตัวเลขนี้ให้เพื่อนร่วมงาน แต่กลับกลายเป็นการผจญภัย 20 นาทีที่เต็มไปด้วยความสงสัย

    เขาค้นหางานวิจัยต้นฉบับที่ระบุตัวเลขนี้ และพบว่าหลายบทความอ้างถึงงานวิจัยชื่อ “The Cost of Interrupted Work: More Speed and Stress” โดย Gloria Mark แต่เมื่อเปิดอ่านจริง ๆ กลับไม่พบตัวเลข 23 นาที 15 วินาทีเลย

    งานวิจัยนั้นพูดถึงผลกระทบของการขัดจังหวะ เช่น ความเครียดที่เพิ่มขึ้น และเวลาที่ใช้ในงานหลักที่ลดลง แต่ไม่ได้พูดถึง “เวลาฟื้นตัว” หลังจากการขัดจังหวะ

    Geoffrey อ่านงานวิจัยอีกหลายฉบับ เช่น “Disruption and Recovery of Computing Tasks” ที่ระบุว่าอาจใช้เวลา 11–16 นาทีในการกลับเข้าสู่โฟกัส แต่ก็ไม่มีการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับช่วงเวลานี้

    สุดท้าย เขาพบว่าตัวเลข 23 นาที 15 วินาทีมาจาก “การให้สัมภาษณ์” ของ Gloria Mark กับสื่อหลายแห่ง เช่น Fast Company และ Wall Street Journal ไม่ใช่จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์

    นั่นหมายความว่า ตัวเลขนี้อาจเป็น “ค่าเฉลี่ยโดยประมาณ” จากประสบการณ์ของผู้วิจัย ไม่ใช่ผลลัพธ์จากการทดลองที่สามารถตรวจสอบได้

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    ตัวเลข “23 นาที 15 วินาที” ถูกอ้างถึงในหลายบทความเกี่ยวกับ productivity
    Geoffrey Oberien พยายามค้นหางานวิจัยต้นฉบับที่ระบุตัวเลขนี้
    งานวิจัย “The Cost of Interrupted Work” ไม่ได้กล่าวถึงตัวเลขนี้เลย
    งานวิจัยอื่น ๆ เช่น “Disruption and Recovery of Computing Tasks” ระบุช่วงเวลา 11–16 นาที
    ตัวเลข 23:15 มาจากการสัมภาษณ์ Gloria Mark ไม่ใช่จากงานวิจัยตีพิมพ์
    มีบทความมากกว่า 20 ชิ้นที่อ้างถึงตัวเลขนี้โดยไม่มีหลักฐานรองรับ
    งานวิจัยของ Gloria Mark พบว่า 82% ของงานที่ถูกขัดจังหวะจะกลับมาทำต่อในวันเดียวกัน
    การขัดจังหวะที่เกี่ยวข้องกับงานเดิมอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้
    การขัดจังหวะที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น การคุยเรื่องซีรีส์ อาจทำให้ฟื้นตัวช้ากว่า
    การพักเบรกที่ตั้งใจต่างจากการขัดจังหวะที่ไม่คาดคิด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gloria Mark เป็นนักวิจัยด้าน digital distraction จาก University of California, Irvine
    งานวิจัยของเธอเชื่อมโยงการขัดจังหวะกับความเครียดและ productivity ที่ลดลง
    ตัวเลข 23:15 ถูกอ้างถึงใน Lifehacker, Fast Company, และ Wall Street Journal
    ไม่มีหลักฐานเชิงสถิติที่ยืนยันตัวเลขนี้ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์
    การขัดจังหวะซ้ำ ๆ อาจทำให้ productivity ลดลงมากกว่าที่คาด
    การจัดการ context switch เป็นทักษะสำคัญของนักพัฒนาและผู้บริหาร

    https://blog.oberien.de/2023/11/05/23-minutes-15-seconds.html
    🎙️ 23 นาที 15 วินาที – ความจริงหรือแค่ตัวเลขที่เล่าต่อกันมา? คุณอาจเคยได้ยินว่า “หลังจากถูกขัดจังหวะ จะใช้เวลา 23 นาที 15 วินาทีในการกลับเข้าสู่โฟกัส” ฟังดูเฉพาะเจาะจงและน่ากลัวใช่ไหม? Geoffrey Oberien ก็คิดแบบนั้น เขาแค่ต้องการอ้างอิงตัวเลขนี้ให้เพื่อนร่วมงาน แต่กลับกลายเป็นการผจญภัย 20 นาทีที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาค้นหางานวิจัยต้นฉบับที่ระบุตัวเลขนี้ และพบว่าหลายบทความอ้างถึงงานวิจัยชื่อ “The Cost of Interrupted Work: More Speed and Stress” โดย Gloria Mark แต่เมื่อเปิดอ่านจริง ๆ กลับไม่พบตัวเลข 23 นาที 15 วินาทีเลย งานวิจัยนั้นพูดถึงผลกระทบของการขัดจังหวะ เช่น ความเครียดที่เพิ่มขึ้น และเวลาที่ใช้ในงานหลักที่ลดลง แต่ไม่ได้พูดถึง “เวลาฟื้นตัว” หลังจากการขัดจังหวะ Geoffrey อ่านงานวิจัยอีกหลายฉบับ เช่น “Disruption and Recovery of Computing Tasks” ที่ระบุว่าอาจใช้เวลา 11–16 นาทีในการกลับเข้าสู่โฟกัส แต่ก็ไม่มีการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับช่วงเวลานี้ สุดท้าย เขาพบว่าตัวเลข 23 นาที 15 วินาทีมาจาก “การให้สัมภาษณ์” ของ Gloria Mark กับสื่อหลายแห่ง เช่น Fast Company และ Wall Street Journal ไม่ใช่จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ นั่นหมายความว่า ตัวเลขนี้อาจเป็น “ค่าเฉลี่ยโดยประมาณ” จากประสบการณ์ของผู้วิจัย ไม่ใช่ผลลัพธ์จากการทดลองที่สามารถตรวจสอบได้ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ ตัวเลข “23 นาที 15 วินาที” ถูกอ้างถึงในหลายบทความเกี่ยวกับ productivity ➡️ Geoffrey Oberien พยายามค้นหางานวิจัยต้นฉบับที่ระบุตัวเลขนี้ ➡️ งานวิจัย “The Cost of Interrupted Work” ไม่ได้กล่าวถึงตัวเลขนี้เลย ➡️ งานวิจัยอื่น ๆ เช่น “Disruption and Recovery of Computing Tasks” ระบุช่วงเวลา 11–16 นาที ➡️ ตัวเลข 23:15 มาจากการสัมภาษณ์ Gloria Mark ไม่ใช่จากงานวิจัยตีพิมพ์ ➡️ มีบทความมากกว่า 20 ชิ้นที่อ้างถึงตัวเลขนี้โดยไม่มีหลักฐานรองรับ ➡️ งานวิจัยของ Gloria Mark พบว่า 82% ของงานที่ถูกขัดจังหวะจะกลับมาทำต่อในวันเดียวกัน ➡️ การขัดจังหวะที่เกี่ยวข้องกับงานเดิมอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ ➡️ การขัดจังหวะที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น การคุยเรื่องซีรีส์ อาจทำให้ฟื้นตัวช้ากว่า ➡️ การพักเบรกที่ตั้งใจต่างจากการขัดจังหวะที่ไม่คาดคิด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gloria Mark เป็นนักวิจัยด้าน digital distraction จาก University of California, Irvine ➡️ งานวิจัยของเธอเชื่อมโยงการขัดจังหวะกับความเครียดและ productivity ที่ลดลง ➡️ ตัวเลข 23:15 ถูกอ้างถึงใน Lifehacker, Fast Company, และ Wall Street Journal ➡️ ไม่มีหลักฐานเชิงสถิติที่ยืนยันตัวเลขนี้ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ ➡️ การขัดจังหวะซ้ำ ๆ อาจทำให้ productivity ลดลงมากกว่าที่คาด ➡️ การจัดการ context switch เป็นทักษะสำคัญของนักพัฒนาและผู้บริหาร https://blog.oberien.de/2023/11/05/23-minutes-15-seconds.html
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • เมื่อเมืองหนึ่งในญี่ปุ่นลุกขึ้นมาบอกว่า “พอแล้วกับจอ!”

    ลองจินตนาการว่าเมืองที่คุณอยู่ประกาศแนะนำให้ทุกคนใช้สมาร์ตโฟนไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง (นอกเวลางานหรือเรียน) ไม่ใช่เพราะต้องการควบคุมชีวิตคุณ แต่เพราะห่วงสุขภาพจิตและการนอนหลับของประชาชน

    นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองโทโยอาเกะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกำลังพิจารณาร่างข้อเสนอที่ไม่บังคับใช้ตามกฎหมาย ไม่มีบทลงโทษ แต่มีเป้าหมายชัดเจน: ลดผลกระทบจากการใช้หน้าจอมากเกินไป โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน

    ข้อเสนอแนะนำให้เด็กประถมเลิกใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. และเด็กมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น. โดยอ้างอิงจากผลสำรวจที่พบว่าเยาวชนญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ยมากกว่า 5 ชั่วโมงต่อวันในวันธรรมดา

    แม้ข้อเสนอจะได้รับเสียงชื่นชมจากบางฝ่าย แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ไม่น้อย โดยเฉพาะจากผู้ใช้โซเชียลที่มองว่า “สองชั่วโมงมันน้อยเกินไป” และ “ควรปล่อยให้ครอบครัวตัดสินใจเอง”

    นายกเทศมนตรีออกมาชี้แจงว่า ข้อเสนอไม่ได้บังคับ และยังยอมรับว่าสมาร์ตโฟนเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่ก็หวังว่าคำแนะนำนี้จะช่วยให้คนตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้มากเกินไป

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    เมืองโทโยอาเกะเสนอให้จำกัดเวลาใช้สมาร์ตโฟนไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน (นอกงาน/เรียน)
    ข้อเสนอเป็นแนวทาง ไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีบทลงโทษ
    เด็กประถมควรเลิกใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. และมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น.
    เป้าหมายคือป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและการนอนหลับจากการใช้หน้าจอมากเกินไป
    นายกเทศมนตรียืนยันว่าแนวทางนี้ไม่บังคับ และยอมรับว่าสมาร์ตโฟนมีประโยชน์
    ข้อเสนอจะเข้าสู่การพิจารณาในสัปดาห์หน้า และอาจมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม
    เคยมีกรณีคล้ายกันในจังหวัดคางาวะ ปี 2020 ที่จำกัดเวลาเล่นเกมของเด็ก
    ผลสำรวจจาก Children and Families Agency พบว่าเยาวชนญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ย 5 ชั่วโมงต่อวัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้หน้าจอมากเกินไปเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และปัญหาการนอนในวัยรุ่น
    สมาร์ตโฟนมีผลต่อการหลั่งเมลาโทนิน ทำให้ร่างกายเข้าใจผิดว่า “ยังไม่ถึงเวลานอน”
    การจำกัดเวลาใช้หน้าจอช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนและสมาธิในการเรียน
    หลายประเทศเริ่มรณรงค์ “Digital Detox” เพื่อให้ประชาชนพักจากหน้าจอ
    การใช้สมาร์ตโฟนมากเกินไปในเด็กเล็กอาจส่งผลต่อพัฒนาการทางภาษาและสังคม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/japan-city-proposes-two-hour-daily-smartphone-limit
    🎙️ เมื่อเมืองหนึ่งในญี่ปุ่นลุกขึ้นมาบอกว่า “พอแล้วกับจอ!” ลองจินตนาการว่าเมืองที่คุณอยู่ประกาศแนะนำให้ทุกคนใช้สมาร์ตโฟนไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง (นอกเวลางานหรือเรียน) ไม่ใช่เพราะต้องการควบคุมชีวิตคุณ แต่เพราะห่วงสุขภาพจิตและการนอนหลับของประชาชน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองโทโยอาเกะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกำลังพิจารณาร่างข้อเสนอที่ไม่บังคับใช้ตามกฎหมาย ไม่มีบทลงโทษ แต่มีเป้าหมายชัดเจน: ลดผลกระทบจากการใช้หน้าจอมากเกินไป โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน ข้อเสนอแนะนำให้เด็กประถมเลิกใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. และเด็กมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น. โดยอ้างอิงจากผลสำรวจที่พบว่าเยาวชนญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ยมากกว่า 5 ชั่วโมงต่อวันในวันธรรมดา แม้ข้อเสนอจะได้รับเสียงชื่นชมจากบางฝ่าย แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ไม่น้อย โดยเฉพาะจากผู้ใช้โซเชียลที่มองว่า “สองชั่วโมงมันน้อยเกินไป” และ “ควรปล่อยให้ครอบครัวตัดสินใจเอง” นายกเทศมนตรีออกมาชี้แจงว่า ข้อเสนอไม่ได้บังคับ และยังยอมรับว่าสมาร์ตโฟนเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่ก็หวังว่าคำแนะนำนี้จะช่วยให้คนตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้มากเกินไป 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ เมืองโทโยอาเกะเสนอให้จำกัดเวลาใช้สมาร์ตโฟนไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน (นอกงาน/เรียน) ➡️ ข้อเสนอเป็นแนวทาง ไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีบทลงโทษ ➡️ เด็กประถมควรเลิกใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. และมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น. ➡️ เป้าหมายคือป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและการนอนหลับจากการใช้หน้าจอมากเกินไป ➡️ นายกเทศมนตรียืนยันว่าแนวทางนี้ไม่บังคับ และยอมรับว่าสมาร์ตโฟนมีประโยชน์ ➡️ ข้อเสนอจะเข้าสู่การพิจารณาในสัปดาห์หน้า และอาจมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม ➡️ เคยมีกรณีคล้ายกันในจังหวัดคางาวะ ปี 2020 ที่จำกัดเวลาเล่นเกมของเด็ก ➡️ ผลสำรวจจาก Children and Families Agency พบว่าเยาวชนญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ย 5 ชั่วโมงต่อวัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้หน้าจอมากเกินไปเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และปัญหาการนอนในวัยรุ่น ➡️ สมาร์ตโฟนมีผลต่อการหลั่งเมลาโทนิน ทำให้ร่างกายเข้าใจผิดว่า “ยังไม่ถึงเวลานอน” ➡️ การจำกัดเวลาใช้หน้าจอช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนและสมาธิในการเรียน ➡️ หลายประเทศเริ่มรณรงค์ “Digital Detox” เพื่อให้ประชาชนพักจากหน้าจอ ➡️ การใช้สมาร์ตโฟนมากเกินไปในเด็กเล็กอาจส่งผลต่อพัฒนาการทางภาษาและสังคม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/japan-city-proposes-two-hour-daily-smartphone-limit
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Japan city proposes two-hour daily smartphone limit
    A Japanese city will urge all smartphone users to limit screen time to two hours a day outside work or school under a proposed ordinance that includes no penalties.
    0 Comments 0 Shares 259 Views 0 Reviews
  • เมื่อฮาร์ดดิสก์ปลอมทะลักตลาดโลก – และมาเลเซียกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการหลอกลวง

    กลางเดือนสิงหาคม 2025 หน่วยงานในมาเลเซียร่วมกับทีมความปลอดภัยของ Seagate ได้บุกจับโกดังใกล้กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปลอมแปลงฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค โดยพบฮาร์ดดิสก์ปลอมเกือบ 700 ลูกจาก Seagate, Western Digital และ Toshiba

    กลุ่มผู้ปลอมแปลงนำฮาร์ดดิสก์เก่าจากตลาดมือสอง—บางลูกมีอายุเกิน 10 ปี—มาล้างข้อมูล SMART (Self-Monitoring, Analysis, and Reporting Technology) เพื่อซ่อนอายุและการใช้งาน จากนั้นติดฉลากใหม่และขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee และ Lazada โดยอ้างว่าเป็นฮาร์ดดิสก์ใหม่สำหรับระบบ surveillance หรือ NAS

    ที่น่าตกใจคือฮาร์ดดิสก์จำนวนมากมาจากจีน ซึ่งเคยใช้ในการขุดเหรียญ Chia ที่อาศัยการเขียนข้อมูลลงดิสก์อย่างหนัก เมื่อการขุดไม่คุ้มค่าอีกต่อไป ฮาร์ดแวร์เหล่านี้จึงถูกขายต่อและกลายเป็นวัตถุดิบของการปลอมแปลง

    แม้ Seagate จะเริ่มเข้มงวดกับโปรแกรมคู่ค้า และใช้ระบบ Global Trade Screening เพื่อป้องกันการซื้อจากบริษัทที่อยู่ในบัญชีเฝ้าระวัง แต่การกระจายสินค้าปลอมยังคงเกิดขึ้นใน Amazon และแพลตฟอร์มอื่น ๆ โดยไม่มีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    มาเลเซียบุกจับโกดังปลอมฮาร์ดดิสก์ใกล้กรุงกัวลาลัมเปอร์
    พบฮาร์ดดิสก์ปลอมเกือบ 700 ลูกจาก Seagate, WD และ Toshiba
    ฮาร์ดดิสก์ถูกล้างข้อมูล SMART และติดฉลากใหม่เพื่อขายเป็นของใหม่
    ขายผ่าน Shopee และ Lazada โดยอ้างว่าเป็นฮาร์ดดิสก์ surveillance หรือ NAS
    ฮาร์ดดิสก์จำนวนมากมาจากจีน ซึ่งเคยใช้ขุดเหรียญ Chia
    การขุด Chia ทำให้ฮาร์ดดิสก์เสื่อมเร็ว แต่ยังถูกนำกลับมาขาย
    Seagate เริ่มใช้ระบบ Global Trade Screening เพื่อคัดกรองคู่ค้า
    มีการปลอมฮาร์ดดิสก์ UnionSine ขายบน Amazon โดยไม่มีการควบคุม
    ผู้ปลอมแปลงสามารถสร้างรายได้หลายพันดอลลาร์ต่อเดือนจากการขายเหล่านี้
    การปลอมแปลงรวมถึงการอัปเกรดฮาร์ดดิสก์เก่าให้ดูเหมือนรุ่นใหม่ความจุสูง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฮาร์ดดิสก์ปลอมบางลูกมีอายุการใช้งานเกิน 10 ปี แต่ถูกขายเป็นของใหม่
    การล้าง SMART ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถตรวจสอบอายุหรือการใช้งานจริงได้
    Amazon และแพลตฟอร์มใหญ่ยังไม่มีระบบตรวจสอบสินค้าปลอมที่มีประสิทธิภาพ
    การปลอมแปลงฮาร์ดดิสก์ surveillance มีความเสี่ยงสูงต่อข้อมูลที่ต้องการความเสถียร
    Heise.de ประเมินว่ามีฮาร์ดดิสก์กว่า 1 ล้านลูกถูกปลดจากเครือข่าย Chia และเข้าสู่ตลาดมือสอง

    https://www.techradar.com/pro/major-raid-targets-counterfeit-fake-hdds-from-seagate-wd-and-toshiba-in-malaysia-but-is-it-too-little-too-late
    🎙️ เมื่อฮาร์ดดิสก์ปลอมทะลักตลาดโลก – และมาเลเซียกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการหลอกลวง กลางเดือนสิงหาคม 2025 หน่วยงานในมาเลเซียร่วมกับทีมความปลอดภัยของ Seagate ได้บุกจับโกดังใกล้กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปลอมแปลงฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค โดยพบฮาร์ดดิสก์ปลอมเกือบ 700 ลูกจาก Seagate, Western Digital และ Toshiba กลุ่มผู้ปลอมแปลงนำฮาร์ดดิสก์เก่าจากตลาดมือสอง—บางลูกมีอายุเกิน 10 ปี—มาล้างข้อมูล SMART (Self-Monitoring, Analysis, and Reporting Technology) เพื่อซ่อนอายุและการใช้งาน จากนั้นติดฉลากใหม่และขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee และ Lazada โดยอ้างว่าเป็นฮาร์ดดิสก์ใหม่สำหรับระบบ surveillance หรือ NAS ที่น่าตกใจคือฮาร์ดดิสก์จำนวนมากมาจากจีน ซึ่งเคยใช้ในการขุดเหรียญ Chia ที่อาศัยการเขียนข้อมูลลงดิสก์อย่างหนัก เมื่อการขุดไม่คุ้มค่าอีกต่อไป ฮาร์ดแวร์เหล่านี้จึงถูกขายต่อและกลายเป็นวัตถุดิบของการปลอมแปลง แม้ Seagate จะเริ่มเข้มงวดกับโปรแกรมคู่ค้า และใช้ระบบ Global Trade Screening เพื่อป้องกันการซื้อจากบริษัทที่อยู่ในบัญชีเฝ้าระวัง แต่การกระจายสินค้าปลอมยังคงเกิดขึ้นใน Amazon และแพลตฟอร์มอื่น ๆ โดยไม่มีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ มาเลเซียบุกจับโกดังปลอมฮาร์ดดิสก์ใกล้กรุงกัวลาลัมเปอร์ ➡️ พบฮาร์ดดิสก์ปลอมเกือบ 700 ลูกจาก Seagate, WD และ Toshiba ➡️ ฮาร์ดดิสก์ถูกล้างข้อมูล SMART และติดฉลากใหม่เพื่อขายเป็นของใหม่ ➡️ ขายผ่าน Shopee และ Lazada โดยอ้างว่าเป็นฮาร์ดดิสก์ surveillance หรือ NAS ➡️ ฮาร์ดดิสก์จำนวนมากมาจากจีน ซึ่งเคยใช้ขุดเหรียญ Chia ➡️ การขุด Chia ทำให้ฮาร์ดดิสก์เสื่อมเร็ว แต่ยังถูกนำกลับมาขาย ➡️ Seagate เริ่มใช้ระบบ Global Trade Screening เพื่อคัดกรองคู่ค้า ➡️ มีการปลอมฮาร์ดดิสก์ UnionSine ขายบน Amazon โดยไม่มีการควบคุม ➡️ ผู้ปลอมแปลงสามารถสร้างรายได้หลายพันดอลลาร์ต่อเดือนจากการขายเหล่านี้ ➡️ การปลอมแปลงรวมถึงการอัปเกรดฮาร์ดดิสก์เก่าให้ดูเหมือนรุ่นใหม่ความจุสูง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฮาร์ดดิสก์ปลอมบางลูกมีอายุการใช้งานเกิน 10 ปี แต่ถูกขายเป็นของใหม่ ➡️ การล้าง SMART ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถตรวจสอบอายุหรือการใช้งานจริงได้ ➡️ Amazon และแพลตฟอร์มใหญ่ยังไม่มีระบบตรวจสอบสินค้าปลอมที่มีประสิทธิภาพ ➡️ การปลอมแปลงฮาร์ดดิสก์ surveillance มีความเสี่ยงสูงต่อข้อมูลที่ต้องการความเสถียร ➡️ Heise.de ประเมินว่ามีฮาร์ดดิสก์กว่า 1 ล้านลูกถูกปลดจากเครือข่าย Chia และเข้าสู่ตลาดมือสอง https://www.techradar.com/pro/major-raid-targets-counterfeit-fake-hdds-from-seagate-wd-and-toshiba-in-malaysia-but-is-it-too-little-too-late
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • เมื่อ Phison ต้องออกโรงสู้ข่าวปลอม – SSD บน Windows 11 กับความเข้าใจผิดที่อาจสร้างความเสียหาย

    เรื่องเริ่มต้นจากการที่มีรายงานว่าอัปเดตความปลอดภัยของ Windows 11 เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2025 (KB5063878 และ KB5062660) ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา โดยเฉพาะเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้ใช้งานจำนวนมาก

    ในช่วงแรก มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหลัก แต่ Phison ได้ออกมายืนยันว่าไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ของตนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ อุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

    สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ร้อนแรงขึ้น คือมีเอกสารปลอมที่ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า โดยอ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ซึ่งระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน Phison จึงต้องออกแถลงการณ์ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น พร้อมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง

    Phison ยังยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    มีรายงานว่าอัปเดต Windows 11 KB5063878 และ KB5062660 ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา
    ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ทำให้ SSD บางรุ่นล้มเหลว
    มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison ได้รับผลกระทบหลัก
    Phison ยืนยันว่าอุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
    มีเอกสารปลอมที่อ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า
    เอกสารปลอมระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน
    Phison ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น และดำเนินการทางกฎหมาย
    Phison กำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา
    แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของ Phison ออกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025
    Phison ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ปัญหานี้ไม่จำกัดเฉพาะ SSD แต่ยังส่งผลต่อ HDD บางรุ่นด้วย
    การอัปเดต Windows ที่มีปัญหาอาจส่งผลต่อระบบกู้คืนข้อมูลของผู้ใช้
    ผู้ผลิต SSD รายอื่น เช่น Western Digital ก็พบปัญหาคล้ายกัน
    การเผยแพร่เอกสารปลอมในวงการเทคโนโลยีอาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่น
    การสื่อสารอย่างโปร่งใสจากผู้ผลิตเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการวิกฤต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/phison-takes-legal-action-over-falsified-leaked-document-on-windows-ssd-issues-says-it-continues-to-investigate-reports-of-problems
    🎙️ เมื่อ Phison ต้องออกโรงสู้ข่าวปลอม – SSD บน Windows 11 กับความเข้าใจผิดที่อาจสร้างความเสียหาย เรื่องเริ่มต้นจากการที่มีรายงานว่าอัปเดตความปลอดภัยของ Windows 11 เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2025 (KB5063878 และ KB5062660) ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา โดยเฉพาะเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้ใช้งานจำนวนมาก ในช่วงแรก มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหลัก แต่ Phison ได้ออกมายืนยันว่าไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ของตนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ อุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ร้อนแรงขึ้น คือมีเอกสารปลอมที่ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า โดยอ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ซึ่งระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน Phison จึงต้องออกแถลงการณ์ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น พร้อมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง Phison ยังยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ มีรายงานว่าอัปเดต Windows 11 KB5063878 และ KB5062660 ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา ➡️ ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ทำให้ SSD บางรุ่นล้มเหลว ➡️ มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison ได้รับผลกระทบหลัก ➡️ Phison ยืนยันว่าอุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ➡️ มีเอกสารปลอมที่อ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า ➡️ เอกสารปลอมระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ➡️ Phison ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น และดำเนินการทางกฎหมาย ➡️ Phison กำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา ➡️ แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของ Phison ออกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025 ➡️ Phison ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ปัญหานี้ไม่จำกัดเฉพาะ SSD แต่ยังส่งผลต่อ HDD บางรุ่นด้วย ➡️ การอัปเดต Windows ที่มีปัญหาอาจส่งผลต่อระบบกู้คืนข้อมูลของผู้ใช้ ➡️ ผู้ผลิต SSD รายอื่น เช่น Western Digital ก็พบปัญหาคล้ายกัน ➡️ การเผยแพร่เอกสารปลอมในวงการเทคโนโลยีอาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่น ➡️ การสื่อสารอย่างโปร่งใสจากผู้ผลิตเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการวิกฤต https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/phison-takes-legal-action-over-falsified-leaked-document-on-windows-ssd-issues-says-it-continues-to-investigate-reports-of-problems
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Phison takes legal action over falsified 'leaked' document on Windows SSD issues — says it continues to investigate reports of problems
    "We wish to state unequivocally that the document in question—reproduced below—is neither an official nor unofficial communication from Phison."
    0 Comments 0 Shares 232 Views 0 Reviews
  • เปลวเทียนที่สั่นไหว – จากความไม่เสถียร สู่การจับเวลาอย่างแม่นยำ

    ใครจะคิดว่า “เปลวเทียน” ซึ่งถูกออกแบบมาให้ไม่สั่นไหวมานานนับพันปี จะกลายเป็นแหล่งกำเนิดสัญญาณนาฬิกาได้?

    Tim นักพัฒนาฮาร์ดแวร์ได้ค้นพบว่า หากนำเทียนสามเล่มมาวางใกล้กัน เปลวไฟจะเริ่ม “สื่อสาร” กันและเกิดการสั่นไหวแบบประสานกันที่ความถี่คงที่ประมาณ 9.9Hz ซึ่งเกิดจากแรงโน้มถ่วงและขนาดของเปลวไฟเป็นหลัก

    เขาใช้วิธีตรวจจับการสั่นไหวของเปลวไฟด้วย phototransistor และวิธีใหม่ที่น่าสนใจคือ “capacitive sensing” โดยแขวนลวดไว้ในเปลวไฟแล้ววัดการเปลี่ยนแปลงของค่าความจุไฟฟ้า ซึ่งเกิดจากไอออนในเปลวไฟที่มีคุณสมบัติเป็นไดอิเล็กทริก

    จากนั้น Tim ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ CH32V003 อ่านสัญญาณและประมวลผลด้วยฟิลเตอร์ดิจิทัล เพื่อแปลงความถี่ 9.9Hz ให้กลายเป็นสัญญาณ 1Hz ที่ใช้กระพริบ LED ได้อย่างแม่นยำ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    การรวมเทียนสามเล่มทำให้เกิดการสั่นไหวของเปลวไฟที่ความถี่ ~9.9Hz
    ความถี่นี้ขึ้นอยู่กับแรงโน้มถ่วงและขนาดของเปลวไฟ
    ใช้ phototransistor ตรวจจับความสว่างของเปลวไฟแบบง่ายและแม่นยำ
    ใช้ capacitive sensing ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของไอออนในเปลวไฟ
    ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ CH32V003 อ่านค่าความจุไฟฟ้าและประมวลผล
    ใช้ IIR filter และ zero-cross detection เพื่อแปลงสัญญาณเป็น 1Hz
    LED ถูกควบคุมให้กระพริบตามสัญญาณ 1Hz ที่ได้จากเปลวไฟ
    โครงการนี้เข้าร่วมการแข่งขัน “One Hertz Challenge” บน Hackaday.io

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Yamanashi พบว่าการสั่นไหวของเปลวไฟสามารถซิงก์กันได้
    การลดระยะห่างระหว่างเทียนจะเปลี่ยนรูปแบบการสั่นไหว
    Capacitive flame sensing ถูกใช้ในอุตสาหกรรมตรวจจับไฟไหม้
    Phototransistor มี internal gain ทำให้ไม่ต้องใช้วงจรขยายเพิ่มเติม
    การใช้ zero-cross detection แบบมี dead-time ช่วยลดสัญญาณรบกวน
    การใช้ DPLL (Digital Phase-Locked Loop) อาจเพิ่มความเสถียรของสัญญาณได้

    https://cpldcpu.com/2025/08/13/candle-flame-oscillations-as-a-clock/
    🕯️ เปลวเทียนที่สั่นไหว – จากความไม่เสถียร สู่การจับเวลาอย่างแม่นยำ ใครจะคิดว่า “เปลวเทียน” ซึ่งถูกออกแบบมาให้ไม่สั่นไหวมานานนับพันปี จะกลายเป็นแหล่งกำเนิดสัญญาณนาฬิกาได้? Tim นักพัฒนาฮาร์ดแวร์ได้ค้นพบว่า หากนำเทียนสามเล่มมาวางใกล้กัน เปลวไฟจะเริ่ม “สื่อสาร” กันและเกิดการสั่นไหวแบบประสานกันที่ความถี่คงที่ประมาณ 9.9Hz ซึ่งเกิดจากแรงโน้มถ่วงและขนาดของเปลวไฟเป็นหลัก เขาใช้วิธีตรวจจับการสั่นไหวของเปลวไฟด้วย phototransistor และวิธีใหม่ที่น่าสนใจคือ “capacitive sensing” โดยแขวนลวดไว้ในเปลวไฟแล้ววัดการเปลี่ยนแปลงของค่าความจุไฟฟ้า ซึ่งเกิดจากไอออนในเปลวไฟที่มีคุณสมบัติเป็นไดอิเล็กทริก จากนั้น Tim ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ CH32V003 อ่านสัญญาณและประมวลผลด้วยฟิลเตอร์ดิจิทัล เพื่อแปลงความถี่ 9.9Hz ให้กลายเป็นสัญญาณ 1Hz ที่ใช้กระพริบ LED ได้อย่างแม่นยำ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ การรวมเทียนสามเล่มทำให้เกิดการสั่นไหวของเปลวไฟที่ความถี่ ~9.9Hz ➡️ ความถี่นี้ขึ้นอยู่กับแรงโน้มถ่วงและขนาดของเปลวไฟ ➡️ ใช้ phototransistor ตรวจจับความสว่างของเปลวไฟแบบง่ายและแม่นยำ ➡️ ใช้ capacitive sensing ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของไอออนในเปลวไฟ ➡️ ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ CH32V003 อ่านค่าความจุไฟฟ้าและประมวลผล ➡️ ใช้ IIR filter และ zero-cross detection เพื่อแปลงสัญญาณเป็น 1Hz ➡️ LED ถูกควบคุมให้กระพริบตามสัญญาณ 1Hz ที่ได้จากเปลวไฟ ➡️ โครงการนี้เข้าร่วมการแข่งขัน “One Hertz Challenge” บน Hackaday.io ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Yamanashi พบว่าการสั่นไหวของเปลวไฟสามารถซิงก์กันได้ ➡️ การลดระยะห่างระหว่างเทียนจะเปลี่ยนรูปแบบการสั่นไหว ➡️ Capacitive flame sensing ถูกใช้ในอุตสาหกรรมตรวจจับไฟไหม้ ➡️ Phototransistor มี internal gain ทำให้ไม่ต้องใช้วงจรขยายเพิ่มเติม ➡️ การใช้ zero-cross detection แบบมี dead-time ช่วยลดสัญญาณรบกวน ➡️ การใช้ DPLL (Digital Phase-Locked Loop) อาจเพิ่มความเสถียรของสัญญาณได้ https://cpldcpu.com/2025/08/13/candle-flame-oscillations-as-a-clock/
    CPLDCPU.COM
    Candle Flame Oscillations as a Clock
    Todays candles have been optimized for millenia not to flicker. But it turns out when we bundle three of them together, we can undo all of these optimizations and the resulting triplet will start t…
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • Wi-Fi ไม่ได้ผิด แต่พฤติกรรมดิจิทัลของเราต่างหากที่ทำร้ายโลก

    โปสเตอร์จากมหาวิทยาลัย East London ที่ปรากฏในสถานีรถไฟใต้ดินของลอนดอนสร้างความฮือฮา ด้วยข้อความที่ดูเหมือนจะกล่าวโทษ Wi-Fi ว่าเป็นตัวการทำลายสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อมองลึกลงไป มันคือการชวนให้เราคิดใหม่ผ่านแคมเปญ “Think Again” ที่ตั้งคำถามกับพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีของเรา

    เป้าหมายของแคมเปญนี้คือการชี้ให้เห็นว่า “การใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป” ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็บเล็ต ทีวี หรือคอมพิวเตอร์ ล้วนมีผลต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมันผลักดันให้ศูนย์ข้อมูล (data centers) ต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งปล่อยคาร์บอนมากกว่าการบินทั่วโลกเสียอีก

    แม้ Wi-Fi เองจะไม่ได้ปล่อยคาร์บอนโดยตรง แต่การใช้งานอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi เช่น เราเตอร์ สมาร์ททีวี และเซิร์ฟเวอร์ ล้วนมีการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และสร้าง e-waste จำนวนมหาศาลในแต่ละปี

    งานวิจัยจากหลายแหล่งชี้ว่า Wi-Fi และเทคโนโลยีดิจิทัลมีส่วนทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกถึง 4% ของทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 9% ต่อปี หากไม่มีการจัดการอย่างยั่งยืน

    ข้อมูลจากข่าวและแคมเปญ Think Again
    โปสเตอร์จากมหาวิทยาลัย East London ชวนให้คิดใหม่เรื่องผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยี
    ข้อความ “WiFi doesn’t grow on trees” เป็นการกระตุ้นให้คนสนใจ ไม่ใช่กล่าวโทษ Wi-Fi โดยตรง
    แคมเปญชี้ให้เห็นว่การใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไปส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม
    ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกปล่อยคาร์บอนมากกว่าการบินทั่วโลก
    มหาวิทยาลัยกำลังวิจัยเพื่อทำให้ data centers มีความยั่งยืนมากขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wi-Fi และอุปกรณ์เครือข่ายมีส่วนทำให้เกิด e-waste มากกว่า 82 ล้านตันต่อปีภายในปี 2030
    การใช้ Wi-Fi ส่งผลต่อการใช้พลังงานไฟฟ้า ทั้งจากอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐาน
    การเลือกเราเตอร์ที่มี Energy Star หรือ eco-label ช่วยลดการใช้พลังงาน
    การรีไซเคิลอุปกรณ์เครือข่ายเก่าเป็นวิธีลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    Wi-Fi ช่วยให้ระบบ IoT ทำงานได้ เช่น การจัดการพลังงานในอาคารอัจฉริยะ
    การบำรุงรักษาเครือข่ายอย่างสม่ำเสมอช่วยลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น

    https://www.tomshardware.com/networking/is-wi-fi-bad-for-the-environment-eye-catching-london-ad-suggests-our-digital-habits-are-damaging-the-climate
    📡 Wi-Fi ไม่ได้ผิด แต่พฤติกรรมดิจิทัลของเราต่างหากที่ทำร้ายโลก โปสเตอร์จากมหาวิทยาลัย East London ที่ปรากฏในสถานีรถไฟใต้ดินของลอนดอนสร้างความฮือฮา ด้วยข้อความที่ดูเหมือนจะกล่าวโทษ Wi-Fi ว่าเป็นตัวการทำลายสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อมองลึกลงไป มันคือการชวนให้เราคิดใหม่ผ่านแคมเปญ “Think Again” ที่ตั้งคำถามกับพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีของเรา เป้าหมายของแคมเปญนี้คือการชี้ให้เห็นว่า “การใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป” ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็บเล็ต ทีวี หรือคอมพิวเตอร์ ล้วนมีผลต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมันผลักดันให้ศูนย์ข้อมูล (data centers) ต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งปล่อยคาร์บอนมากกว่าการบินทั่วโลกเสียอีก แม้ Wi-Fi เองจะไม่ได้ปล่อยคาร์บอนโดยตรง แต่การใช้งานอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi เช่น เราเตอร์ สมาร์ททีวี และเซิร์ฟเวอร์ ล้วนมีการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และสร้าง e-waste จำนวนมหาศาลในแต่ละปี งานวิจัยจากหลายแหล่งชี้ว่า Wi-Fi และเทคโนโลยีดิจิทัลมีส่วนทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกถึง 4% ของทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 9% ต่อปี หากไม่มีการจัดการอย่างยั่งยืน ✅ ข้อมูลจากข่าวและแคมเปญ Think Again ➡️ โปสเตอร์จากมหาวิทยาลัย East London ชวนให้คิดใหม่เรื่องผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยี ➡️ ข้อความ “WiFi doesn’t grow on trees” เป็นการกระตุ้นให้คนสนใจ ไม่ใช่กล่าวโทษ Wi-Fi โดยตรง ➡️ แคมเปญชี้ให้เห็นว่การใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไปส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ➡️ ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกปล่อยคาร์บอนมากกว่าการบินทั่วโลก ➡️ มหาวิทยาลัยกำลังวิจัยเพื่อทำให้ data centers มีความยั่งยืนมากขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wi-Fi และอุปกรณ์เครือข่ายมีส่วนทำให้เกิด e-waste มากกว่า 82 ล้านตันต่อปีภายในปี 2030 ➡️ การใช้ Wi-Fi ส่งผลต่อการใช้พลังงานไฟฟ้า ทั้งจากอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ การเลือกเราเตอร์ที่มี Energy Star หรือ eco-label ช่วยลดการใช้พลังงาน ➡️ การรีไซเคิลอุปกรณ์เครือข่ายเก่าเป็นวิธีลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ➡️ Wi-Fi ช่วยให้ระบบ IoT ทำงานได้ เช่น การจัดการพลังงานในอาคารอัจฉริยะ ➡️ การบำรุงรักษาเครือข่ายอย่างสม่ำเสมอช่วยลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น https://www.tomshardware.com/networking/is-wi-fi-bad-for-the-environment-eye-catching-london-ad-suggests-our-digital-habits-are-damaging-the-climate
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Is Wi-Fi bad for the environment? Eye-catching London ad suggests Wi-Fi is ‘damaging the climate’
    The ad seemingly says that Wi-Fi is bad for the environment, but its makers just want you to look closer.
    0 Comments 0 Shares 269 Views 0 Reviews
More Results