• รวมลิงค์คลิป ศ.ดร.นพ.วิชัย เอกทักษิณ
    ศ.นพ.ดร. วิชัย เอกทักษิณ ให้ข้อมูลเรื่อง COVID 19 may harm central nervous system
    ตอน 1 https://youtu.be/xgOt1Cm2kIM?si=ZUvn6C9ClncDCwr0
    ตอน 2 https://youtu.be/22CH3BFYtnk?si=a0ZRxVg5C_fszxq_
    ตอน 3 https://youtu.be/QukeNhiziyY?si=Mcujg3I07sRIwhLP
    ไตเสื่อม มิได้มาจากการกินเค็ม แต่มาจากการกินไขมันสัตว์และโปรตีนสัตว์ ต่างหาก
    https://youtu.be/5Yuh9bwgQ08?si=rFqJ4b5WmjRTg7eU
    โรคไตไม่ได้มาจากการกินเค็ม
    https://youtu.be/KMY2v8P1fHA?si=CVDpV4xa0ah0isL5
    กินเจ มังสวิรัติ วีแกน ร่างกายเป็นด่าง ลดความรุนแรงในการติดเชื้อโควิด19 ได้ 73% (เชื้อติดแล้วหลุด)
    https://youtu.be/Ea8w4xOZt9c?si=nKTWwIW6WA_49Hcy
    นมวัว ฟัวกราส์ วากิว ทำมาจากอะไรกันแน่ ?
    https://youtu.be/hLIryvjkUlM?si=Sy-HW-S6ZpWa1e9j
    อ วิชัย บรรยาย เจ - มังสวิรัติ สถานธรรมหงเจิ้ง 21 สค 59
    ตอน 1 https://www.youtube.com/watch?v=pq6ERkBu8f8...
    ตอน 2 https://youtu.be/pdggereRIuE?si=yoBSYMqTLJSBS6FZ
    ตอน 3 https://youtu.be/ZlzCGgNCSNE?si=uLkXcLm3B0S6hPpC
    นพ. วิชัย เอกทักษิณ บรรยายมังสวิรัติ งานวิทยาศาสตร์ทางจิต ณ พุทธวิชชาลัย
    https://www.youtube.com/watch?v=F6gtGh2wKs0...
    โรคนำ้เหลืองเสีย ผื่นคัน สะเก็ดเงิน และ ข้ออักเสบ 1
    https://youtu.be/HGIQ8i-l2EY?si=jKtVLkZ2VlexbeI1
    สะโพกใหญ่เพราะน้ำเหลืองเสีย
    https://youtu.be/hk-8lw5B5iQ?si=UL8k_naBKDc0-XXp
    เวชศาสตร์อาหารแสลง ตอนแสลงหมู หมูข้อเท้า ข้อเท้าบวม
    https://youtu.be/MU_LQFQhH_A?si=Fd3LIW9-SrG0nc6S
    ภาระกิจพิชิตมะเร็ง 18 ธันวาคม 2557
    https://youtu.be/8dkv_d5hl_M?si=kuXhUFpcBHOMJXOB
    ชีวรักษ์ 7 สค. 57 หมอวิชัย โรคบวมน้ำเหลืองและอาหารแสลง
    https://youtu.be/PrHzn31cE1c?si=juo42o73GcnEYG53
    ป้าแจ้ ขันชะเนาะ โรคบวมน้ำเหลือง
    https://youtu.be/clOabsxpCT0?si=Z39XZ9_nlBP2qJLo
    ชีวรักษ์ 4 กย 57 เวชศาสตร์อาหารแสลง ตอนแสลงหมู หมูลงน่อง หมูน่องอวบ
    https://youtu.be/hBpBue7GGn8?si=n9Jd6fha1k-Zzj0b
    ชีวรักษ์ 28 สค.57 หมอวิชัย โรคบวมน้ำเหลืองและอาหารแสลง
    https://youtu.be/xgFjBrhaUgY?si=QxrUp_wJT4U9UMol
    การประชุมมังสวิรัติแห่งอุษาคเนย์ ตอน 9 มังสวิรัติเพื่อสุขภาพแลศันติ
    https://youtu.be/qUG-SwqSFxo?si=GjqX3J7LFuZqDqTA
    เรื่องจริงผ่านจอ นพ.วิชัย กำเนิดขันชะเนาะ
    https://youtu.be/Q3bLzXUDbfM?si=GtIGOqNbXxmP0PYk
    บรรยายการรักษาโรคบวมน้ำเหลืองวิธีขันชะเนาะลดบวม งานประชุมสมาคมมะเร็งนรีเวช
    https://youtu.be/Z0h1jYIXjCM?si=HCbP54EN0JaN3IYj
    บรรยายมังสวิรัติ งานวิทยาศาสตร์ทางจิต ณ พุทธวิชชาลัย
    https://youtu.be/F6gtGh2wKs0?si=jYmiotQHi4YI8yRI

    ทำไม เนื้อสัตว์ ไข่ นมสัตว์ จึงเป็นอาหารแสลงก่อโรค?
    https://youtu.be/w-M-X-HVoBA?si=aCygPgjZL9KQP0sG
    (ตอน 4) ความเป็นกรด acidosis - คนกินเนื้อสัตว์ - COVID 19
    https://youtu.be/Qd_SnDARnpo?si=u5ZvC19JVuUxmU1U
    ชีวรักษ์ 14 สค. 57 หมอวิชัย โรคบวมน้ำเหลืองและอาหารแสลง
    https://youtu.be/76VCwuRdEfI?si=uTSjgaAgBHaWtfmz
    NATURAL SELECTION โรคไวรัสโควิด 19 CORONAVIRUS เป็นโรคของคนชอบฆ่าสัตว์ กินสัตว์ CARNIVOROUS
    ตอน 1 https://youtu.be/xNQxZlvT1Vk?si=w0R6qy0KSRz9WMHR
    ตอน 2 https://youtu.be/C5VVdX1KunI?si=Cn-porqTqLKNFyCm
    ตอน 3 https://youtu.be/xrQjjNN4lNA?si=nNbUhrn-XcnPumMu
    ตอน 4 https://youtu.be/TADeZGmFYvs?si=uoQljBTwfatdXE1f
    หยุดทุกโรคจากระบบน้ำเหลืองเสีย ด้วยศาสตร์ ภูษาบำบัด
    https://youtu.be/gBbrb7If7sI?si=9awfuDpf_KYYKIiN
    นพ.วิชัย ขันชะเนาะ โรคบวมน้ำเหลือง
    https://youtu.be/VFCqiOYhQ9Y?si=O4Hsdx7hT9yF1gre

    โรคเบาหวาน...วิธีลดค่าเอวันซี ค่าน้ำตาลสะสมและสะเก็ดเงิน
    https://youtu.be/TKvEiA5NsT8?si=p7SNSaA1SgBHnAeA
    บันทึกไทย Thailand Book of Records ตอนที่ 60 แพทย์ผู้รักษาโรคบวมน้ำเหลืองด้วยการขันชะเนาะรายแรก
    https://youtu.be/1S-CIFtUoSM?si=MMdwmkKEifWEmDLm
    แพทย์ผู้รักษาโรคบวมน้ำเหลืองด้วยการใช้ภูษาบำบัดรายแรกของโลก
    https://youtu.be/I_jDUqXmwMk?si=zEGdWTVjYaj0Bv4L

    บันทึกไทย Thailand Book of Records ตอนที่ 61 แพทย์ผู้รักษาโรคบวมน้ำเหลืองด้วยการใชภูษาบำบัดรายแรก2
    https://youtu.be/GzV_hRGzVyU?si=KIQgUVvbuDxU2k51

    https://youtu.be/83Dh62T40QI?si=uhsQCHhZ8WtCUPPg
    บ้านอาศรมเวชศาสตร์อาหารแสลง ศ.ดร.นพ.วิชัย เอกทักษิณ11 ก.พ.2563
    https://youtu.be/rcSc77nfxnU?si=57PkZmrFGPrau2D8
    ธรรมชาติของมนุษย์ (สัตว์ประเสริฐ) เป็นสัตว์กินพืช
    https://youtu.be/R3jACdHPf04?si=OINPnm0_kcKFKfW1
    กลไกการสังเคราะห์ Cholesterol ในตับ
    https://youtu.be/6JDNTrEz6hg?si=aUXEDlDBYgB0-j8L
    สายตรงสุขภาพ ช่วงที่3 ถามตอบ โรคบวมน้ำเหลือง,เมื่อลูกปวดท้องเฉียบพลัน
    https://youtu.be/VhDBc67p4Z0?si=jqejw2waHkXXX091
    ฟื้นฟูโรคไฟลามทุ่งได้อย่างไร - เวชศาสตร์อาหารแสลง
    https://youtu.be/dkYvnGdwLwk?si=ivovbC6nQwKJsK8n
    หมอวิชัย สาธิตขันชเนาะเส้นขอด
    https://youtu.be/pHjzPOSfkmU?si=WCk-5uB63VWAwmv8
    วิธีสวมถุงน่องน้ำเหลือง
    https://youtu.be/GRokHilf7BE?si=HKXHkeqEHFNTjrOS
    สายตรงสุขภาพ โทษ-พิษภัย-ของอาหารแสลง ช่วงที่1 31/07/2016
    https://youtu.be/gJ5mUdgnJME?si=oOs5Iq3SlJzCnJg6
    สายตรงสุขภาพ ช่วงที่1 โทษ-พิษภัย-ของอาหารเเสลง
    https://youtu.be/fJCf-JDn3I8?si=t2o392PwTMy35Rsl
    อาการขาบวมจากแสลงหมู (cellulitis แบบ phlegmon)
    https://youtu.be/aEgXVrxK41Q?si=FB8i9_SlR8g4RZB7
    ชีวรักษ์ 8 พค. 57 หมอวิชัย มังสวิรัติ อาหารเพื่อสุขภาวะและศันติ
    https://youtu.be/AzWixSKWhMc?si=G_T_R06lS4dXNBK6
    มะเร็ง,ชีวรักษ์,8พค.57,หมอวิชัย,มังสวิรัติ,อาหารเพื่อสุขภาวะและศันติ
    https://youtu.be/2aLXIulHJls?si=VzDqINtWXd8guthA
    คลิปว่าด้วยเรื่องไข่มีโปรตีนสูงจริงหรือไม่
    ศ.ดร.นพ.วิชัน เอกทักษิณ สายมังสวิรัติ
    https://www.facebook.com/share/p/16Xgr6NxeC/
    เป็นต้น
    รวมลิงค์คลิป ศ.ดร.นพ.วิชัย เอกทักษิณ ✍️ศ.นพ.ดร. วิชัย เอกทักษิณ ให้ข้อมูลเรื่อง COVID 19 may harm central nervous system ตอน 1 https://youtu.be/xgOt1Cm2kIM?si=ZUvn6C9ClncDCwr0 ตอน 2 https://youtu.be/22CH3BFYtnk?si=a0ZRxVg5C_fszxq_ ตอน 3 https://youtu.be/QukeNhiziyY?si=Mcujg3I07sRIwhLP ✍️ไตเสื่อม มิได้มาจากการกินเค็ม แต่มาจากการกินไขมันสัตว์และโปรตีนสัตว์ ต่างหาก https://youtu.be/5Yuh9bwgQ08?si=rFqJ4b5WmjRTg7eU ✍️โรคไตไม่ได้มาจากการกินเค็ม https://youtu.be/KMY2v8P1fHA?si=CVDpV4xa0ah0isL5 ✍️กินเจ มังสวิรัติ วีแกน ร่างกายเป็นด่าง ลดความรุนแรงในการติดเชื้อโควิด19 ได้ 73% (เชื้อติดแล้วหลุด) https://youtu.be/Ea8w4xOZt9c?si=nKTWwIW6WA_49Hcy ✍️นมวัว ฟัวกราส์ วากิว ทำมาจากอะไรกันแน่ ? https://youtu.be/hLIryvjkUlM?si=Sy-HW-S6ZpWa1e9j ✍️อ วิชัย บรรยาย เจ - มังสวิรัติ สถานธรรมหงเจิ้ง 21 สค 59 ตอน 1 https://www.youtube.com/watch?v=pq6ERkBu8f8... ตอน 2 https://youtu.be/pdggereRIuE?si=yoBSYMqTLJSBS6FZ ตอน 3 https://youtu.be/ZlzCGgNCSNE?si=uLkXcLm3B0S6hPpC ✍️นพ. วิชัย เอกทักษิณ บรรยายมังสวิรัติ งานวิทยาศาสตร์ทางจิต ณ พุทธวิชชาลัย https://www.youtube.com/watch?v=F6gtGh2wKs0... ✍️โรคนำ้เหลืองเสีย ผื่นคัน สะเก็ดเงิน และ ข้ออักเสบ 1 https://youtu.be/HGIQ8i-l2EY?si=jKtVLkZ2VlexbeI1 ✍️สะโพกใหญ่เพราะน้ำเหลืองเสีย https://youtu.be/hk-8lw5B5iQ?si=UL8k_naBKDc0-XXp ✍️เวชศาสตร์อาหารแสลง ตอนแสลงหมู หมูข้อเท้า ข้อเท้าบวม https://youtu.be/MU_LQFQhH_A?si=Fd3LIW9-SrG0nc6S ✍️ภาระกิจพิชิตมะเร็ง 18 ธันวาคม 2557 https://youtu.be/8dkv_d5hl_M?si=kuXhUFpcBHOMJXOB ✍️ชีวรักษ์ 7 สค. 57 หมอวิชัย โรคบวมน้ำเหลืองและอาหารแสลง https://youtu.be/PrHzn31cE1c?si=juo42o73GcnEYG53 ✍️ป้าแจ้ ขันชะเนาะ โรคบวมน้ำเหลือง https://youtu.be/clOabsxpCT0?si=Z39XZ9_nlBP2qJLo ✍️ชีวรักษ์ 4 กย 57 เวชศาสตร์อาหารแสลง ตอนแสลงหมู หมูลงน่อง หมูน่องอวบ https://youtu.be/hBpBue7GGn8?si=n9Jd6fha1k-Zzj0b ✍️ชีวรักษ์ 28 สค.57 หมอวิชัย โรคบวมน้ำเหลืองและอาหารแสลง https://youtu.be/xgFjBrhaUgY?si=QxrUp_wJT4U9UMol ✍️การประชุมมังสวิรัติแห่งอุษาคเนย์ ตอน 9 มังสวิรัติเพื่อสุขภาพแลศันติ https://youtu.be/qUG-SwqSFxo?si=GjqX3J7LFuZqDqTA ✍️เรื่องจริงผ่านจอ นพ.วิชัย กำเนิดขันชะเนาะ https://youtu.be/Q3bLzXUDbfM?si=GtIGOqNbXxmP0PYk ✍️บรรยายการรักษาโรคบวมน้ำเหลืองวิธีขันชะเนาะลดบวม งานประชุมสมาคมมะเร็งนรีเวช https://youtu.be/Z0h1jYIXjCM?si=HCbP54EN0JaN3IYj ✍️บรรยายมังสวิรัติ งานวิทยาศาสตร์ทางจิต ณ พุทธวิชชาลัย https://youtu.be/F6gtGh2wKs0?si=jYmiotQHi4YI8yRI ✍️ ทำไม เนื้อสัตว์ ไข่ นมสัตว์ จึงเป็นอาหารแสลงก่อโรค? https://youtu.be/w-M-X-HVoBA?si=aCygPgjZL9KQP0sG ✍️(ตอน 4) ความเป็นกรด acidosis - คนกินเนื้อสัตว์ - COVID 19 https://youtu.be/Qd_SnDARnpo?si=u5ZvC19JVuUxmU1U ✍️ชีวรักษ์ 14 สค. 57 หมอวิชัย โรคบวมน้ำเหลืองและอาหารแสลง https://youtu.be/76VCwuRdEfI?si=uTSjgaAgBHaWtfmz ✍️NATURAL SELECTION โรคไวรัสโควิด 19 CORONAVIRUS เป็นโรคของคนชอบฆ่าสัตว์ กินสัตว์ CARNIVOROUS ตอน 1 https://youtu.be/xNQxZlvT1Vk?si=w0R6qy0KSRz9WMHR ตอน 2 https://youtu.be/C5VVdX1KunI?si=Cn-porqTqLKNFyCm ตอน 3 https://youtu.be/xrQjjNN4lNA?si=nNbUhrn-XcnPumMu ตอน 4 https://youtu.be/TADeZGmFYvs?si=uoQljBTwfatdXE1f ✍️หยุดทุกโรคจากระบบน้ำเหลืองเสีย ด้วยศาสตร์ ภูษาบำบัด https://youtu.be/gBbrb7If7sI?si=9awfuDpf_KYYKIiN ✍️นพ.วิชัย ขันชะเนาะ โรคบวมน้ำเหลือง https://youtu.be/VFCqiOYhQ9Y?si=O4Hsdx7hT9yF1gre ✍️ โรคเบาหวาน...วิธีลดค่าเอวันซี ค่าน้ำตาลสะสมและสะเก็ดเงิน https://youtu.be/TKvEiA5NsT8?si=p7SNSaA1SgBHnAeA ✍️บันทึกไทย Thailand Book of Records ตอนที่ 60 แพทย์ผู้รักษาโรคบวมน้ำเหลืองด้วยการขันชะเนาะรายแรก https://youtu.be/1S-CIFtUoSM?si=MMdwmkKEifWEmDLm ✍️แพทย์ผู้รักษาโรคบวมน้ำเหลืองด้วยการใช้ภูษาบำบัดรายแรกของโลก https://youtu.be/I_jDUqXmwMk?si=zEGdWTVjYaj0Bv4L ✍️ บันทึกไทย Thailand Book of Records ตอนที่ 61 แพทย์ผู้รักษาโรคบวมน้ำเหลืองด้วยการใชภูษาบำบัดรายแรก2 https://youtu.be/GzV_hRGzVyU?si=KIQgUVvbuDxU2k51 ✍️ https://youtu.be/83Dh62T40QI?si=uhsQCHhZ8WtCUPPg ✍️บ้านอาศรมเวชศาสตร์อาหารแสลง ศ.ดร.นพ.วิชัย เอกทักษิณ11 ก.พ.2563 https://youtu.be/rcSc77nfxnU?si=57PkZmrFGPrau2D8 ✍️ธรรมชาติของมนุษย์ (สัตว์ประเสริฐ) เป็นสัตว์กินพืช https://youtu.be/R3jACdHPf04?si=OINPnm0_kcKFKfW1 ✍️กลไกการสังเคราะห์ Cholesterol ในตับ https://youtu.be/6JDNTrEz6hg?si=aUXEDlDBYgB0-j8L ✍️สายตรงสุขภาพ ช่วงที่3 ถามตอบ โรคบวมน้ำเหลือง,เมื่อลูกปวดท้องเฉียบพลัน https://youtu.be/VhDBc67p4Z0?si=jqejw2waHkXXX091 ✍️ฟื้นฟูโรคไฟลามทุ่งได้อย่างไร - เวชศาสตร์อาหารแสลง https://youtu.be/dkYvnGdwLwk?si=ivovbC6nQwKJsK8n ✍️หมอวิชัย สาธิตขันชเนาะเส้นขอด https://youtu.be/pHjzPOSfkmU?si=WCk-5uB63VWAwmv8 ✍️วิธีสวมถุงน่องน้ำเหลือง https://youtu.be/GRokHilf7BE?si=HKXHkeqEHFNTjrOS ✍️สายตรงสุขภาพ โทษ-พิษภัย-ของอาหารแสลง ช่วงที่1 31/07/2016 https://youtu.be/gJ5mUdgnJME?si=oOs5Iq3SlJzCnJg6 ✍️สายตรงสุขภาพ ช่วงที่1 โทษ-พิษภัย-ของอาหารเเสลง https://youtu.be/fJCf-JDn3I8?si=t2o392PwTMy35Rsl ✍️อาการขาบวมจากแสลงหมู (cellulitis แบบ phlegmon) https://youtu.be/aEgXVrxK41Q?si=FB8i9_SlR8g4RZB7 ✍️ชีวรักษ์ 8 พค. 57 หมอวิชัย มังสวิรัติ อาหารเพื่อสุขภาวะและศันติ https://youtu.be/AzWixSKWhMc?si=G_T_R06lS4dXNBK6 ✍️มะเร็ง,ชีวรักษ์,8พค.57,หมอวิชัย,มังสวิรัติ,อาหารเพื่อสุขภาวะและศันติ https://youtu.be/2aLXIulHJls?si=VzDqINtWXd8guthA ✍️คลิปว่าด้วยเรื่องไข่มีโปรตีนสูงจริงหรือไม่ ศ.ดร.นพ.วิชัน เอกทักษิณ สายมังสวิรัติ https://www.facebook.com/share/p/16Xgr6NxeC/ เป็นต้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • HoloMem ริบบิ้นฮอโลกราฟิก – เก็บข้อมูล 200TB นาน 50 ปี ใช้พลังงานเป็นศูนย์

    HoloMem เปิดตัวเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่ใช้ริบบิ้นโพลีเมอร์บางเพียง 120 ไมครอน ซึ่งสามารถเขียนข้อมูลแบบฮอโลกราฟิกได้หลายชั้นในรูปแบบ WORM (Write Once, Read Many) โดยใช้เลเซอร์ไดโอดราคาถูกเพียง $5 เป็นหัวอ่าน/เขียน

    จุดเด่นของ HoloMem:
    - ความจุสูงถึง 200TB ต่อแผ่น (มากกว่า LTO-10 ถึง 11 เท่า)
    - อายุการใช้งาน 50 ปี (มากกว่าเทปแม่เหล็กถึง 10 เท่า)
    - ใช้พลังงานเป็นศูนย์เมื่อเก็บข้อมูลไว้เฉย ๆ
    - ขนาดแผ่นเท่ากับ LTO สามารถใช้กับหุ่นยนต์จัดการเทปเดิมได้ทันที
    - ใช้ชิ้นส่วนราคาถูกและผลิตง่าย เช่น โพลีเมอร์ไวแสงหนา 16 ไมครอน
    - ความยาวริบบิ้นเพียง 100 เมตร (เทียบกับเทปแม่เหล็กที่ยาว 1,000 เมตร)

    HoloMem ยังออกแบบให้สามารถติดตั้งร่วมกับระบบจัดเก็บข้อมูลเดิมได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์มากนัก ลดแรงเสียดทานในการเปลี่ยนผ่าน และได้รับการสนับสนุนจาก Intel Ignite และ Innovate UK

    แม้ยังไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ TechRe Consultants ในสหราชอาณาจักรจะเริ่มทดลองใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูลเพื่อทดสอบความทนทานและประสิทธิภาพ

    ข้อมูลจากข่าว
    - HoloMem พัฒนาเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบฮอโลกราฟิกบนริบบิ้นโพลีเมอร์
    - ความจุสูงถึง 200TB ต่อแผ่น และอายุการใช้งาน 50 ปี
    - ใช้พลังงานเป็นศูนย์เมื่อเก็บข้อมูลไว้เฉย ๆ
    - ขนาดเท่ากับ LTO สามารถใช้กับระบบจัดการเทปเดิมได้ทันที
    - ใช้เลเซอร์ไดโอดราคาถูก ($5) และวัสดุโพลีเมอร์ที่ผลิตง่าย
    - ความยาวริบบิ้นเพียง 100 เมตร เทียบกับเทปแม่เหล็ก 1,000 เมตร
    - ทำงานในรูปแบบ WORM (Write Once, Read Many)
    - ได้รับการสนับสนุนจาก Intel Ignite และ Innovate UK
    - TechRe Consultants จะเริ่มทดลองใช้งานในศูนย์ข้อมูลจริง

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นต้น ไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
    - ต้องพิสูจน์ความทนทานและความเสถียรในสภาพแวดล้อมจริงก่อนใช้งานเชิงพาณิชย์
    - แม้จะใช้ร่วมกับระบบเดิมได้ แต่การเปลี่ยนผ่านต้องมีการฝึกอบรมและปรับกระบวนการ
    - การจัดเก็บแบบ WORM ไม่สามารถเขียนซ้ำได้ อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องแก้ไขข้อมูล
    - คู่แข่งอย่าง Cerabyte และ Microsoft Project Silica ยังมีแนวทางที่ต่างกันและอาจสร้างแรงกดดันด้านนวัตกรรม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/holographic-ribbon-aims-to-oust-magnetic-tape-with-50-year-life-span-and-200tb-capacity-per-cartridge-holomem-says-optical-ribbon-based-carts-work-with-some-components-of-existing-systems-reducing-fricition
    HoloMem ริบบิ้นฮอโลกราฟิก – เก็บข้อมูล 200TB นาน 50 ปี ใช้พลังงานเป็นศูนย์ HoloMem เปิดตัวเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่ใช้ริบบิ้นโพลีเมอร์บางเพียง 120 ไมครอน ซึ่งสามารถเขียนข้อมูลแบบฮอโลกราฟิกได้หลายชั้นในรูปแบบ WORM (Write Once, Read Many) โดยใช้เลเซอร์ไดโอดราคาถูกเพียง $5 เป็นหัวอ่าน/เขียน จุดเด่นของ HoloMem: - ความจุสูงถึง 200TB ต่อแผ่น (มากกว่า LTO-10 ถึง 11 เท่า) - อายุการใช้งาน 50 ปี (มากกว่าเทปแม่เหล็กถึง 10 เท่า) - ใช้พลังงานเป็นศูนย์เมื่อเก็บข้อมูลไว้เฉย ๆ - ขนาดแผ่นเท่ากับ LTO สามารถใช้กับหุ่นยนต์จัดการเทปเดิมได้ทันที - ใช้ชิ้นส่วนราคาถูกและผลิตง่าย เช่น โพลีเมอร์ไวแสงหนา 16 ไมครอน - ความยาวริบบิ้นเพียง 100 เมตร (เทียบกับเทปแม่เหล็กที่ยาว 1,000 เมตร) HoloMem ยังออกแบบให้สามารถติดตั้งร่วมกับระบบจัดเก็บข้อมูลเดิมได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์มากนัก ลดแรงเสียดทานในการเปลี่ยนผ่าน และได้รับการสนับสนุนจาก Intel Ignite และ Innovate UK แม้ยังไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ TechRe Consultants ในสหราชอาณาจักรจะเริ่มทดลองใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูลเพื่อทดสอบความทนทานและประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลจากข่าว - HoloMem พัฒนาเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบฮอโลกราฟิกบนริบบิ้นโพลีเมอร์ - ความจุสูงถึง 200TB ต่อแผ่น และอายุการใช้งาน 50 ปี - ใช้พลังงานเป็นศูนย์เมื่อเก็บข้อมูลไว้เฉย ๆ - ขนาดเท่ากับ LTO สามารถใช้กับระบบจัดการเทปเดิมได้ทันที - ใช้เลเซอร์ไดโอดราคาถูก ($5) และวัสดุโพลีเมอร์ที่ผลิตง่าย - ความยาวริบบิ้นเพียง 100 เมตร เทียบกับเทปแม่เหล็ก 1,000 เมตร - ทำงานในรูปแบบ WORM (Write Once, Read Many) - ได้รับการสนับสนุนจาก Intel Ignite และ Innovate UK - TechRe Consultants จะเริ่มทดลองใช้งานในศูนย์ข้อมูลจริง ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นต้น ไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ - ต้องพิสูจน์ความทนทานและความเสถียรในสภาพแวดล้อมจริงก่อนใช้งานเชิงพาณิชย์ - แม้จะใช้ร่วมกับระบบเดิมได้ แต่การเปลี่ยนผ่านต้องมีการฝึกอบรมและปรับกระบวนการ - การจัดเก็บแบบ WORM ไม่สามารถเขียนซ้ำได้ อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องแก้ไขข้อมูล - คู่แข่งอย่าง Cerabyte และ Microsoft Project Silica ยังมีแนวทางที่ต่างกันและอาจสร้างแรงกดดันด้านนวัตกรรม https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/holographic-ribbon-aims-to-oust-magnetic-tape-with-50-year-life-span-and-200tb-capacity-per-cartridge-holomem-says-optical-ribbon-based-carts-work-with-some-components-of-existing-systems-reducing-fricition
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากเงียบหายไปนานกว่า 30 ปี Commodore กลับมาอีกครั้งภายใต้การบริหารใหม่โดยกลุ่มผู้หลงใหลในเทคโนโลยีย้อนยุค นำโดย Christian ‘Peri Fractic’ Simpson ผู้ก่อตั้งช่อง Retro Recipes ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง CEO ชั่วคราวของบริษัท

    Commodore 64 Ultimate เป็นคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ไม่ใช่การจำลองด้วยซอฟต์แวร์ แต่ใช้ชิป AMD Artix-7 FPGA เพื่อสร้างเมนบอร์ดแบบดั้งเดิมขึ้นมาใหม่ ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับเกม ตลับ และอุปกรณ์เสริมกว่า 10,000 รายการจากยุค 80s/90s ได้จริง

    มีให้เลือก 3 รุ่น:
    - BASIC Beige ($299): รุ่นพื้นฐาน ไม่มีไฟตกแต่ง
    - Starlight Edition ($349): เคสโปร่งแสง พร้อมคีย์บอร์ดเรืองแสงแบบโต้ตอบเสียง
    - Founders Edition ($499): เคสโปร่งแสงสีอำพัน พร้อมของสะสมทองคำ 24k และหมายเลขซีเรียลพิเศษ

    สเปกเด่น:
    - RAM 128MB DDR2, Flash 16MB
    - รองรับไฟล์ .D64, .TAP, .PRG ฯลฯ
    - วิดีโอ HDMI 1080p, S-Video, RGB
    - เสียง SID แท้ + FPGA emulation
    - พอร์ตครบ: USB-A, USB-C, MicroSD, Ethernet, Wi-Fi, Cartridge, Joystick ฯลฯ
    - คีย์บอร์ดกลไก Gateron Pro 3.0 พร้อมไฟ RGB 70 จุด

    แถมฟรี:
    - คู่มือแบบเข้าใจง่าย
    - USB Cassette Drive 64GB พร้อมเกมคลาสสิกกว่า 50 เกม
    - สติกเกอร์และของสะสม

    แม้จะเปิดให้พรีออเดอร์แล้ว แต่การจัดส่งจะเริ่มเร็วที่สุดในเดือนตุลาคม และยังมีความไม่แน่นอนเรื่องการซื้อกิจการ Commodore ที่ยังไม่ปิดดีลอย่างสมบูรณ์

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/the-commodore-64-ultimate-computer-is-the-companys-first-hardware-release-in-over-30-years-pre-orders-start-at-usd299
    หลังจากเงียบหายไปนานกว่า 30 ปี Commodore กลับมาอีกครั้งภายใต้การบริหารใหม่โดยกลุ่มผู้หลงใหลในเทคโนโลยีย้อนยุค นำโดย Christian ‘Peri Fractic’ Simpson ผู้ก่อตั้งช่อง Retro Recipes ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง CEO ชั่วคราวของบริษัท Commodore 64 Ultimate เป็นคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ไม่ใช่การจำลองด้วยซอฟต์แวร์ แต่ใช้ชิป AMD Artix-7 FPGA เพื่อสร้างเมนบอร์ดแบบดั้งเดิมขึ้นมาใหม่ ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับเกม ตลับ และอุปกรณ์เสริมกว่า 10,000 รายการจากยุค 80s/90s ได้จริง มีให้เลือก 3 รุ่น: - BASIC Beige ($299): รุ่นพื้นฐาน ไม่มีไฟตกแต่ง - Starlight Edition ($349): เคสโปร่งแสง พร้อมคีย์บอร์ดเรืองแสงแบบโต้ตอบเสียง - Founders Edition ($499): เคสโปร่งแสงสีอำพัน พร้อมของสะสมทองคำ 24k และหมายเลขซีเรียลพิเศษ สเปกเด่น: - RAM 128MB DDR2, Flash 16MB - รองรับไฟล์ .D64, .TAP, .PRG ฯลฯ - วิดีโอ HDMI 1080p, S-Video, RGB - เสียง SID แท้ + FPGA emulation - พอร์ตครบ: USB-A, USB-C, MicroSD, Ethernet, Wi-Fi, Cartridge, Joystick ฯลฯ - คีย์บอร์ดกลไก Gateron Pro 3.0 พร้อมไฟ RGB 70 จุด แถมฟรี: - คู่มือแบบเข้าใจง่าย - USB Cassette Drive 64GB พร้อมเกมคลาสสิกกว่า 50 เกม - สติกเกอร์และของสะสม แม้จะเปิดให้พรีออเดอร์แล้ว แต่การจัดส่งจะเริ่มเร็วที่สุดในเดือนตุลาคม และยังมีความไม่แน่นอนเรื่องการซื้อกิจการ Commodore ที่ยังไม่ปิดดีลอย่างสมบูรณ์ https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/the-commodore-64-ultimate-computer-is-the-companys-first-hardware-release-in-over-30-years-pre-orders-start-at-usd299
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    The Commodore 64 Ultimate computer is the company's first hardware release in over 30 years — pre-orders start at $299
    No software emulation, this 'faithful recreation of the original motherboard' runs on an AMD Artix 7 FPGA.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD เตรียมเปิดตัว GPU แบบ multi-chiplet – เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และอาจเปลี่ยนเกมทั้งวงการ

    AMD กำลังเตรียมเปิดตัว GPU สำหรับเกมที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ multi-chiplet ซึ่งเคยใช้กับชิป AI อย่าง Instinct MI200 และ MI350 โดยนำแนวคิดการแบ่งชิปเป็นส่วนย่อย (chiplets) มาใช้กับกราฟิกการ์ด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดข้อจำกัดของการออกแบบแบบ monolithic

    ปัญหาใหญ่ของการใช้ chiplet กับ GPU คือ “latency” หรือความล่าช้าในการส่งข้อมูลระหว่างชิป ซึ่งส่งผลต่อการแสดงผลภาพแบบ real-time ที่ต้องการความเร็วสูงมาก

    AMD จึงคิดค้น “smart switch” ซึ่งเป็นวงจร data fabric ที่ช่วยตัดสินใจในระดับนาโนวินาทีว่าควรย้ายงานหรือคัดลอกข้อมูลระหว่าง chiplets เพื่อให้การเข้าถึงหน่วยความจำเร็วขึ้น โดยมีการใช้แคช L1, L2 และ L3 แบบแชร์ร่วมกันระหว่าง chiplets คล้ายกับเทคโนโลยี 3D V-Cache ที่ใช้ใน CPU

    นอกจากนี้ AMD ยังเตรียมรวมสถาปัตยกรรมเกมและ AI เข้าด้วยกันภายใต้ชื่อ “UDNA” ซึ่งจะช่วยให้สามารถใช้ซอฟต์แวร์ร่วมกัน เช่น driver และ compiler ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    แม้จะยังไม่มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์จริง แต่การจดสิทธิบัตรและการเตรียม ecosystem ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า GPU แบบ multi-chiplet ของ AMD อาจเปิดตัวเร็ว ๆ นี้

    ข้อมูลจากข่าว
    - AMD เตรียมเปิดตัว GPU แบบ multi-chiplet สำหรับเกม โดยอาจใช้ชื่อสถาปัตยกรรมว่า UDNA
    - ใช้แนวคิดจากชิป AI เช่น Instinct MI200 และ MI350 ที่แบ่งชิปเป็นหลายส่วน
    - ปัญหา latency ถูกแก้ด้วย “smart switch” ที่ตัดสินใจการเข้าถึงข้อมูลในระดับนาโนวินาที
    - มีการใช้แคช L1, L2 และ L3 แบบแชร์ร่วมกันระหว่าง chiplets
    - ใช้เทคโนโลยีจาก TSMC เช่น InFO-RDL bridges และ Infinity Fabric เวอร์ชันใหม่
    - AMD เตรียมรวมสถาปัตยกรรมเกมและ AI เข้าด้วยกันเพื่อประหยัดทรัพยากรด้านซอฟต์แวร์
    - การออกแบบนี้อาจช่วยให้ AMD แข่งขันกับ NVIDIA ได้ดีขึ้นในอนาคต

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การใช้ chiplet กับ GPU ยังมีความเสี่ยงด้าน latency ที่อาจส่งผลต่อประสบการณ์เล่นเกม
    - การออกแบบแบบใหม่ต้องใช้เวลาในการพัฒนา ecosystem ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
    - หาก smart switch ไม่สามารถจัดการข้อมูลได้เร็วพอ อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง
    - การรวมสถาปัตยกรรมเกมและ AI อาจทำให้เกิดความซับซ้อนในการพัฒนา driver และ compiler
    - ผู้ใช้ทั่วไปอาจต้องรออีกระยะก่อนจะได้เห็นผลิตภัณฑ์จริงในตลาด

    https://wccftech.com/amd-chiplet-based-gaming-gpus-are-much-closer-than-you-think/
    AMD เตรียมเปิดตัว GPU แบบ multi-chiplet – เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และอาจเปลี่ยนเกมทั้งวงการ AMD กำลังเตรียมเปิดตัว GPU สำหรับเกมที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ multi-chiplet ซึ่งเคยใช้กับชิป AI อย่าง Instinct MI200 และ MI350 โดยนำแนวคิดการแบ่งชิปเป็นส่วนย่อย (chiplets) มาใช้กับกราฟิกการ์ด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดข้อจำกัดของการออกแบบแบบ monolithic ปัญหาใหญ่ของการใช้ chiplet กับ GPU คือ “latency” หรือความล่าช้าในการส่งข้อมูลระหว่างชิป ซึ่งส่งผลต่อการแสดงผลภาพแบบ real-time ที่ต้องการความเร็วสูงมาก AMD จึงคิดค้น “smart switch” ซึ่งเป็นวงจร data fabric ที่ช่วยตัดสินใจในระดับนาโนวินาทีว่าควรย้ายงานหรือคัดลอกข้อมูลระหว่าง chiplets เพื่อให้การเข้าถึงหน่วยความจำเร็วขึ้น โดยมีการใช้แคช L1, L2 และ L3 แบบแชร์ร่วมกันระหว่าง chiplets คล้ายกับเทคโนโลยี 3D V-Cache ที่ใช้ใน CPU นอกจากนี้ AMD ยังเตรียมรวมสถาปัตยกรรมเกมและ AI เข้าด้วยกันภายใต้ชื่อ “UDNA” ซึ่งจะช่วยให้สามารถใช้ซอฟต์แวร์ร่วมกัน เช่น driver และ compiler ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะยังไม่มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์จริง แต่การจดสิทธิบัตรและการเตรียม ecosystem ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า GPU แบบ multi-chiplet ของ AMD อาจเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - AMD เตรียมเปิดตัว GPU แบบ multi-chiplet สำหรับเกม โดยอาจใช้ชื่อสถาปัตยกรรมว่า UDNA - ใช้แนวคิดจากชิป AI เช่น Instinct MI200 และ MI350 ที่แบ่งชิปเป็นหลายส่วน - ปัญหา latency ถูกแก้ด้วย “smart switch” ที่ตัดสินใจการเข้าถึงข้อมูลในระดับนาโนวินาที - มีการใช้แคช L1, L2 และ L3 แบบแชร์ร่วมกันระหว่าง chiplets - ใช้เทคโนโลยีจาก TSMC เช่น InFO-RDL bridges และ Infinity Fabric เวอร์ชันใหม่ - AMD เตรียมรวมสถาปัตยกรรมเกมและ AI เข้าด้วยกันเพื่อประหยัดทรัพยากรด้านซอฟต์แวร์ - การออกแบบนี้อาจช่วยให้ AMD แข่งขันกับ NVIDIA ได้ดีขึ้นในอนาคต ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การใช้ chiplet กับ GPU ยังมีความเสี่ยงด้าน latency ที่อาจส่งผลต่อประสบการณ์เล่นเกม - การออกแบบแบบใหม่ต้องใช้เวลาในการพัฒนา ecosystem ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ - หาก smart switch ไม่สามารถจัดการข้อมูลได้เร็วพอ อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง - การรวมสถาปัตยกรรมเกมและ AI อาจทำให้เกิดความซับซ้อนในการพัฒนา driver และ compiler - ผู้ใช้ทั่วไปอาจต้องรออีกระยะก่อนจะได้เห็นผลิตภัณฑ์จริงในตลาด https://wccftech.com/amd-chiplet-based-gaming-gpus-are-much-closer-than-you-think/
    WCCFTECH.COM
    AMD's "Multi-Chiplet" Gaming GPUs Are Much Closer Than You Think; Might Debut With The Next UDNA Architecture
    AMD has big plans for the future of the consumer GPU segment, and they aren't ordinary ones, since based on rumors and new patents.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • RealSense แยกตัวจาก Intel – รับทุน 50 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างอนาคต AI และหุ่นยนต์

    RealSense ซึ่งเป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีด้านกล้องตรวจจับความลึก (depth cameras) ได้ประกาศแยกตัวออกจาก Intel อย่างเป็นทางการ และจะดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทอิสระ โดยยังคงใช้ชื่อเดิม “RealSense”

    บริษัทได้รับเงินลงทุน Series A จำนวน 50 ล้านดอลลาร์จาก Intel Capital และ MediaTek Innovation Fund เพื่อขยายตลาดและเพิ่มกำลังการผลิต โดยเน้นไปที่เทคโนโลยี AI, หุ่นยนต์, ไบโอเมตริกซ์ และระบบคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision)

    CEO ของ RealSense, Nadav Orbach กล่าวว่า “เราจะใช้ความเป็นอิสระนี้เพื่อเร่งนวัตกรรมและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็ว” พร้อมระบุว่าเทคโนโลยีของบริษัทถูกใช้งานใน 60% ของหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ทั่วโลก

    RealSense มีลูกค้ากว่า 3,000 รายทั่วโลก และถือครองสิทธิบัตรด้าน computer vision มากกว่า 80 รายการ โดยมีพันธมิตรสำคัญ เช่น ANYbotics, Eyesynth, Fit:Match และ Unitree Robotics

    บริษัทกำลังขยายทีมวิศวกรด้าน AI และหุ่นยนต์ รวมถึงทีมขายและการตลาด เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาด edge AI และระบบจดจำใบหน้าในสถานที่สาธารณะ

    ผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือกล้อง D555 ที่รองรับ Power over Ethernet และใช้ชิป Vision SoC V5 ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการนำไปใช้งานในอุปกรณ์จำนวนมาก

    ข้อมูลจากข่าว
    - RealSense แยกตัวจาก Intel และกลายเป็นบริษัทอิสระ
    - ได้รับเงินลงทุน Series A จำนวน 50 ล้านดอลลาร์จาก Intel Capital และ MediaTek
    - มุ่งเน้นด้าน AI, หุ่นยนต์, ไบโอเมตริกซ์ และ computer vision
    - เทคโนโลยีของ RealSense ถูกใช้ใน 60% ของหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ทั่วโลก
    - มีลูกค้ากว่า 3,000 ราย และถือครองสิทธิบัตรกว่า 80 รายการ
    - พันธมิตรสำคัญ ได้แก่ ANYbotics, Eyesynth, Fit:Match และ Unitree Robotics
    - ผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือกล้อง D555 ที่ใช้ Vision SoC V5 และรองรับ PoE
    - บริษัทกำลังขยายทีมวิศวกรและทีมขายเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การแยกตัวจาก Intel อาจทำให้ RealSenseต้องเผชิญกับความท้าทายด้านทรัพยากรและการบริหารจัดการ
    - การแข่งขันในตลาด computer vision และ edge AI รุนแรงขึ้น โดยมีผู้เล่นรายใหญ่หลายราย
    - การนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้าไปใช้ในพื้นที่สาธารณะอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของประชาชน
    - การพึ่งพาเงินลงทุนจากบริษัทใหญ่ อาจมีข้อจำกัดด้านทิศทางธุรกิจในอนาคต
    - การนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนมากต้องใช้เวลาและการทดสอบที่เข้มงวด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/realsense-completes-spin-out-from-intel-gets-usd50-million-in-funding-from-intel-capital-and-mediatek
    RealSense แยกตัวจาก Intel – รับทุน 50 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างอนาคต AI และหุ่นยนต์ RealSense ซึ่งเป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีด้านกล้องตรวจจับความลึก (depth cameras) ได้ประกาศแยกตัวออกจาก Intel อย่างเป็นทางการ และจะดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทอิสระ โดยยังคงใช้ชื่อเดิม “RealSense” บริษัทได้รับเงินลงทุน Series A จำนวน 50 ล้านดอลลาร์จาก Intel Capital และ MediaTek Innovation Fund เพื่อขยายตลาดและเพิ่มกำลังการผลิต โดยเน้นไปที่เทคโนโลยี AI, หุ่นยนต์, ไบโอเมตริกซ์ และระบบคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision) CEO ของ RealSense, Nadav Orbach กล่าวว่า “เราจะใช้ความเป็นอิสระนี้เพื่อเร่งนวัตกรรมและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็ว” พร้อมระบุว่าเทคโนโลยีของบริษัทถูกใช้งานใน 60% ของหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ทั่วโลก RealSense มีลูกค้ากว่า 3,000 รายทั่วโลก และถือครองสิทธิบัตรด้าน computer vision มากกว่า 80 รายการ โดยมีพันธมิตรสำคัญ เช่น ANYbotics, Eyesynth, Fit:Match และ Unitree Robotics บริษัทกำลังขยายทีมวิศวกรด้าน AI และหุ่นยนต์ รวมถึงทีมขายและการตลาด เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาด edge AI และระบบจดจำใบหน้าในสถานที่สาธารณะ ผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือกล้อง D555 ที่รองรับ Power over Ethernet และใช้ชิป Vision SoC V5 ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการนำไปใช้งานในอุปกรณ์จำนวนมาก ✅ ข้อมูลจากข่าว - RealSense แยกตัวจาก Intel และกลายเป็นบริษัทอิสระ - ได้รับเงินลงทุน Series A จำนวน 50 ล้านดอลลาร์จาก Intel Capital และ MediaTek - มุ่งเน้นด้าน AI, หุ่นยนต์, ไบโอเมตริกซ์ และ computer vision - เทคโนโลยีของ RealSense ถูกใช้ใน 60% ของหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ทั่วโลก - มีลูกค้ากว่า 3,000 ราย และถือครองสิทธิบัตรกว่า 80 รายการ - พันธมิตรสำคัญ ได้แก่ ANYbotics, Eyesynth, Fit:Match และ Unitree Robotics - ผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือกล้อง D555 ที่ใช้ Vision SoC V5 และรองรับ PoE - บริษัทกำลังขยายทีมวิศวกรและทีมขายเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การแยกตัวจาก Intel อาจทำให้ RealSenseต้องเผชิญกับความท้าทายด้านทรัพยากรและการบริหารจัดการ - การแข่งขันในตลาด computer vision และ edge AI รุนแรงขึ้น โดยมีผู้เล่นรายใหญ่หลายราย - การนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้าไปใช้ในพื้นที่สาธารณะอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของประชาชน - การพึ่งพาเงินลงทุนจากบริษัทใหญ่ อาจมีข้อจำกัดด้านทิศทางธุรกิจในอนาคต - การนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนมากต้องใช้เวลาและการทดสอบที่เข้มงวด https://www.tomshardware.com/tech-industry/realsense-completes-spin-out-from-intel-gets-usd50-million-in-funding-from-intel-capital-and-mediatek
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • MIPS จากตำนาน RISC สู่การเริ่มต้นใหม่ในอ้อมแขนของ GlobalFoundries

    ย้อนกลับไปในยุค 1980s MIPS คือหนึ่งในผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรม RISC (Reduced Instruction Set Computing) โดยมี John Hennessy จาก Stanford เป็นผู้ร่วมออกแบบ และเปิดตัว CPU รุ่นแรกคือ R2000 ซึ่งมีเพียง 110,000 ทรานซิสเตอร์ แต่สามารถทำงานได้เร็วถึง 15MHz

    MIPS เคยเป็นคู่แข่งของ Intel และ Arm และมีบทบาทสำคัญในอุปกรณ์ระดับสูง เช่น:
    - Workstation ของ Silicon Graphics
    - เครื่องเล่นเกม Sony PlayStation รุ่นแรก
    - ยานสำรวจอวกาศ New Horizons ของ NASA

    แต่หลังจากนั้น MIPS ก็เปลี่ยนมือหลายครั้ง—ผ่าน Silicon Graphics, Imagination Technologies, Tallwood Ventures และ Wave Computing ก่อนจะล้มละลายและกลับมาอีกครั้งในปี 2020 โดยหันไปใช้สถาปัตยกรรม RISC-V แบบโอเพนซอร์ส

    แม้จะเปิดตัวซีรีส์ eVocore และ Atlas Explorer เพื่อเจาะตลาด AI และ edge computing แต่ก็ไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้มากนัก จนล่าสุด GlobalFoundries เข้าซื้อกิจการ และจะให้ MIPS ดำเนินงานเป็นหน่วยธุรกิจอิสระที่เน้น AI, อุตสาหกรรม และระบบอัตโนมัติ

    ข้อมูลจากข่าว
    - MIPS เคยเป็นผู้นำด้าน RISC และอยู่เบื้องหลัง PlayStation รุ่นแรกและภารกิจของ NASA
    - เปิดตัว CPU รุ่นแรก R2000 ในปี 1986 และ R3000 ในปี 1988
    - ถูกซื้อโดย GlobalFoundries ซึ่งเคยเป็นโรงงานผลิตชิปของ AMD
    - MIPS จะดำเนินงานเป็นหน่วยธุรกิจอิสระภายใต้ GlobalFoundries
    - เป้าหมายใหม่คือ AI, ระบบอัตโนมัติ และ edge computing
    - เคยเปลี่ยนมาใช้ RISC-V architecture เพื่อกลับเข้าสู่ตลาด
    - CEO ของ MIPS มองว่าการเข้าร่วม GlobalFoundries คือ “การเริ่มต้นบทใหม่ที่กล้าหาญ”

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - แม้จะมีประวัติยิ่งใหญ่ แต่ MIPS ยังไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในตลาด AI ได้จริง
    - การเปลี่ยนมือบ่อยครั้งสะท้อนถึงความไม่มั่นคงของโมเดลธุรกิจ
    - RISC-V แม้จะเป็นมาตรฐานเปิด แต่ยังมีความไม่แน่นอนในด้าน ecosystem และการสนับสนุนเชิงพาณิชย์
    - การพึ่งพา GlobalFoundries อาจทำให้ MIPS ต้องปรับตัวตามกลยุทธ์ของบริษัทแม่
    - ผู้พัฒนาและองค์กรที่ใช้ IP ของ MIPS ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบในระยะยาว

    https://www.techradar.com/pro/arms-legendary-rival-was-in-the-original-playstation-now-in-a-twist-of-fate-mips-has-been-sold-to-amds-former-foundry
    MIPS จากตำนาน RISC สู่การเริ่มต้นใหม่ในอ้อมแขนของ GlobalFoundries ย้อนกลับไปในยุค 1980s MIPS คือหนึ่งในผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรม RISC (Reduced Instruction Set Computing) โดยมี John Hennessy จาก Stanford เป็นผู้ร่วมออกแบบ และเปิดตัว CPU รุ่นแรกคือ R2000 ซึ่งมีเพียง 110,000 ทรานซิสเตอร์ แต่สามารถทำงานได้เร็วถึง 15MHz MIPS เคยเป็นคู่แข่งของ Intel และ Arm และมีบทบาทสำคัญในอุปกรณ์ระดับสูง เช่น: - Workstation ของ Silicon Graphics - เครื่องเล่นเกม Sony PlayStation รุ่นแรก - ยานสำรวจอวกาศ New Horizons ของ NASA แต่หลังจากนั้น MIPS ก็เปลี่ยนมือหลายครั้ง—ผ่าน Silicon Graphics, Imagination Technologies, Tallwood Ventures และ Wave Computing ก่อนจะล้มละลายและกลับมาอีกครั้งในปี 2020 โดยหันไปใช้สถาปัตยกรรม RISC-V แบบโอเพนซอร์ส แม้จะเปิดตัวซีรีส์ eVocore และ Atlas Explorer เพื่อเจาะตลาด AI และ edge computing แต่ก็ไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้มากนัก จนล่าสุด GlobalFoundries เข้าซื้อกิจการ และจะให้ MIPS ดำเนินงานเป็นหน่วยธุรกิจอิสระที่เน้น AI, อุตสาหกรรม และระบบอัตโนมัติ ✅ ข้อมูลจากข่าว - MIPS เคยเป็นผู้นำด้าน RISC และอยู่เบื้องหลัง PlayStation รุ่นแรกและภารกิจของ NASA - เปิดตัว CPU รุ่นแรก R2000 ในปี 1986 และ R3000 ในปี 1988 - ถูกซื้อโดย GlobalFoundries ซึ่งเคยเป็นโรงงานผลิตชิปของ AMD - MIPS จะดำเนินงานเป็นหน่วยธุรกิจอิสระภายใต้ GlobalFoundries - เป้าหมายใหม่คือ AI, ระบบอัตโนมัติ และ edge computing - เคยเปลี่ยนมาใช้ RISC-V architecture เพื่อกลับเข้าสู่ตลาด - CEO ของ MIPS มองว่าการเข้าร่วม GlobalFoundries คือ “การเริ่มต้นบทใหม่ที่กล้าหาญ” ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - แม้จะมีประวัติยิ่งใหญ่ แต่ MIPS ยังไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในตลาด AI ได้จริง - การเปลี่ยนมือบ่อยครั้งสะท้อนถึงความไม่มั่นคงของโมเดลธุรกิจ - RISC-V แม้จะเป็นมาตรฐานเปิด แต่ยังมีความไม่แน่นอนในด้าน ecosystem และการสนับสนุนเชิงพาณิชย์ - การพึ่งพา GlobalFoundries อาจทำให้ MIPS ต้องปรับตัวตามกลยุทธ์ของบริษัทแม่ - ผู้พัฒนาและองค์กรที่ใช้ IP ของ MIPS ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบในระยะยาว https://www.techradar.com/pro/arms-legendary-rival-was-in-the-original-playstation-now-in-a-twist-of-fate-mips-has-been-sold-to-amds-former-foundry
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • Medusa Ridge – AMD เตรียมปล่อย Ryzen Zen 6 ที่เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และรองรับแรมแรงกว่าเดิม

    AMD กำลังส่งตัวอย่างโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ “Medusa Ridge” ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 ให้กับพันธมิตร เช่น OEM และนักออกแบบแพลตฟอร์ม โดยมีการอัปเกรดทั้งในส่วนของ CCD (Core Complex Die) และ cIOD (Client I/O Die)

    Zen 6 จะผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N2 (2 นาโนเมตร) ซึ่งมีความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์สูงกว่ารุ่นก่อนอย่าง Zen 5 ที่ใช้ N4P ทำให้มีโอกาสเพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD ได้ถึง 12 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 48 MB ต่อ CCD

    ยังไม่ชัดเจนว่า AMD จะใช้การจัดวางแบบ CCX เดียว 12 คอร์ หรือแบ่งเป็น 2 CCX (6 คอร์ + 24 MB L3 ต่อ CCX) แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ก็ถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ

    ส่วน cIOD ก็มีการอัปเกรดจาก 6 นาโนเมตรเป็น 5 หรือ 4 นาโนเมตร โดยเน้นการปรับปรุง memory controller ใหม่แบบ “dual memory controller architecture” ซึ่งยังคงใช้ 2 ช่อง DDR5 ต่อซ็อกเก็ต แต่สามารถรองรับความเร็วแรมที่สูงขึ้น เพื่อไล่ตาม Intel ให้ทัน

    แม้เทคโนโลยีการเร่งความเร็วซีพียู เช่น PBO และ Curve Optimizer จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่การสนับสนุนจากซอฟต์แวร์ Hydra ก็ยังคงใช้งานได้ตามปกติ

    ข้อมูลจากข่าว
    - AMD กำลังส่งตัวอย่างโปรเซสเซอร์ “Medusa Ridge” ที่ใช้ Zen 6 ให้พันธมิตร
    - Zen 6 ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N2 (2 นาโนเมตร) ซึ่งมีความหนาแน่นสูง
    - คาดว่าจะเพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD เป็น 12 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 48 MB
    - ยังไม่ชัดเจนว่าจะใช้ CCX เดียวหรือแบ่งเป็น 2 CCX ต่อ CCD
    - cIOD ถูกอัปเกรดเป็น 5 หรือ 4 นาโนเมตร พร้อม dual memory controller architecture
    - รองรับ DDR5 2 ช่องต่อซ็อกเก็ต แต่สามารถเพิ่มความเร็วแรมได้มากขึ้น
    - ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี PBO และ Curve Optimizer
    - Hydra tuning software ยังคงรองรับ Zen 6 ได้ตามปกติ

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ยังไม่มีการประกาศ “tape-out” อย่างเป็นทางการของ Zen 6 จาก AMD
    - การเพิ่มจำนวนคอร์และแคชอาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และต้องใช้เมนบอร์ดที่รองรับ
    - การเปลี่ยนแปลงใน memory controller อาจทำให้เมนบอร์ดรุ่นเก่าไม่สามารถใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ
    - การใช้เทคโนโลยี 2 นาโนเมตรยังอยู่ในช่วง risk production อาจมีความล่าช้าในการผลิตจริง
    - ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่เห็นประโยชน์จากจำนวนคอร์ที่เพิ่มขึ้น หากไม่ได้ใช้งานแบบมัลติทาสก์หรือประมวลผลหนัก


    https://www.techpowerup.com/338854/amd-sampling-next-gen-ryzen-desktop-medusa-ridge-sees-incremental-ipc-upgrade-new-ciod
    Medusa Ridge – AMD เตรียมปล่อย Ryzen Zen 6 ที่เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และรองรับแรมแรงกว่าเดิม AMD กำลังส่งตัวอย่างโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ “Medusa Ridge” ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 ให้กับพันธมิตร เช่น OEM และนักออกแบบแพลตฟอร์ม โดยมีการอัปเกรดทั้งในส่วนของ CCD (Core Complex Die) และ cIOD (Client I/O Die) Zen 6 จะผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N2 (2 นาโนเมตร) ซึ่งมีความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์สูงกว่ารุ่นก่อนอย่าง Zen 5 ที่ใช้ N4P ทำให้มีโอกาสเพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD ได้ถึง 12 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 48 MB ต่อ CCD ยังไม่ชัดเจนว่า AMD จะใช้การจัดวางแบบ CCX เดียว 12 คอร์ หรือแบ่งเป็น 2 CCX (6 คอร์ + 24 MB L3 ต่อ CCX) แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ก็ถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ ส่วน cIOD ก็มีการอัปเกรดจาก 6 นาโนเมตรเป็น 5 หรือ 4 นาโนเมตร โดยเน้นการปรับปรุง memory controller ใหม่แบบ “dual memory controller architecture” ซึ่งยังคงใช้ 2 ช่อง DDR5 ต่อซ็อกเก็ต แต่สามารถรองรับความเร็วแรมที่สูงขึ้น เพื่อไล่ตาม Intel ให้ทัน แม้เทคโนโลยีการเร่งความเร็วซีพียู เช่น PBO และ Curve Optimizer จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่การสนับสนุนจากซอฟต์แวร์ Hydra ก็ยังคงใช้งานได้ตามปกติ ✅ ข้อมูลจากข่าว - AMD กำลังส่งตัวอย่างโปรเซสเซอร์ “Medusa Ridge” ที่ใช้ Zen 6 ให้พันธมิตร - Zen 6 ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N2 (2 นาโนเมตร) ซึ่งมีความหนาแน่นสูง - คาดว่าจะเพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD เป็น 12 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 48 MB - ยังไม่ชัดเจนว่าจะใช้ CCX เดียวหรือแบ่งเป็น 2 CCX ต่อ CCD - cIOD ถูกอัปเกรดเป็น 5 หรือ 4 นาโนเมตร พร้อม dual memory controller architecture - รองรับ DDR5 2 ช่องต่อซ็อกเก็ต แต่สามารถเพิ่มความเร็วแรมได้มากขึ้น - ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี PBO และ Curve Optimizer - Hydra tuning software ยังคงรองรับ Zen 6 ได้ตามปกติ ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ยังไม่มีการประกาศ “tape-out” อย่างเป็นทางการของ Zen 6 จาก AMD - การเพิ่มจำนวนคอร์และแคชอาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และต้องใช้เมนบอร์ดที่รองรับ - การเปลี่ยนแปลงใน memory controller อาจทำให้เมนบอร์ดรุ่นเก่าไม่สามารถใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ - การใช้เทคโนโลยี 2 นาโนเมตรยังอยู่ในช่วง risk production อาจมีความล่าช้าในการผลิตจริง - ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่เห็นประโยชน์จากจำนวนคอร์ที่เพิ่มขึ้น หากไม่ได้ใช้งานแบบมัลติทาสก์หรือประมวลผลหนัก https://www.techpowerup.com/338854/amd-sampling-next-gen-ryzen-desktop-medusa-ridge-sees-incremental-ipc-upgrade-new-ciod
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD Sampling Next-Gen Ryzen Desktop "Medusa Ridge," Sees Incremental IPC Upgrade, New cIOD
    AMD is reportedly sampling its next-generation Ryzen desktop processor powered by the "Zen 6" microarchitecture, codenamed "Medusa Ridge," to close industry partners, such as platform designers and OEMs, says Yuri Bubliy, aka 1usmus, author of the Hydra tuning software, and the now-retired DRAM Calc...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • LPDDR6 มาแล้ว! หน่วยความจำยุคใหม่ที่เร็วกว่าเดิมเท่าตัว

    หลังจากปล่อย DDR5 มาเมื่อ 5 ปีก่อน ล่าสุด JEDEC (องค์กรกำหนดมาตรฐานอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก) ได้เผยแพร่เอกสาร JESD209-6 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ LPDDR6 หรือ Low Power DDR6 ที่ออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์พกพา เช่น แล็ปท็อป สมาร์ตโฟน และ edge AI

    LPDDR6 มีการปรับโครงสร้างช่องสัญญาณใหม่:
    - จาก DDR5 ที่ใช้ 2 ช่องย่อยขนาด 32-bit
    - LPDDR6 เปลี่ยนเป็น 4 ช่องย่อยขนาด 24-bit
    - ส่งผลให้ latency ลดลง และสามารถประมวลผลพร้อมกันได้มากขึ้น

    ด้านพลังงานก็มีการปรับปรุง:
    - ลดแรงดันไฟฟ้าให้ต่ำลง
    - เพิ่มฟีเจอร์ Dynamic Voltage Frequency Scaling for Low Power (DVFSL) ที่ช่วยลดการใช้พลังงานเมื่อทำงานที่ความถี่ต่ำ

    ความเร็วของ LPDDR6 อยู่ที่ 10,667–14,400 MT/s หรือประมาณ 28.5–38.4 GB/s ซึ่งเร็วกว่า DDR5 ที่โอเวอร์คล็อกสูงสุดในปัจจุบัน

    บริษัทที่สนับสนุนมาตรฐานนี้มีทั้งผู้ผลิตชิป (MediaTek, Qualcomm, Samsung), ผู้ผลิตหน่วยความจำ (Micron, SK hynix), และบริษัทออกแบบ/ทดสอบระบบ (Cadence, Synopsys, Advantest, Keysight)

    แม้ LPDDR6 จะเน้นอุปกรณ์พกพา แต่ JEDEC ก็เตรียมเปิดตัวมาตรฐาน DDR6 สำหรับเดสก์ท็อปภายในปีนี้เช่นกัน

    ข้อมูลจากข่าว
    - JEDEC เปิดตัวมาตรฐาน LPDDR6 ผ่านเอกสาร JESD209-6
    - LPDDR6 ใช้โครงสร้างช่องสัญญาณแบบ 4x24-bit แทน 2x32-bit ของ DDR5
    - ความเร็วอยู่ที่ 10,667–14,400 MT/s หรือ 28.5–38.4 GB/s
    - มีฟีเจอร์ DVFSL เพื่อประหยัดพลังงานในช่วงความถี่ต่ำ
    - ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ เช่น MediaTek, Qualcomm, Samsung, Micron, SK hynix
    - LPDDR6 เหมาะกับอุปกรณ์พกพาและ edge AI
    - JEDEC เตรียมเปิดตัว DDR6 สำหรับเดสก์ท็อปภายในปี 2025

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - LPDDR6 ยังไม่พร้อมใช้งานในตลาดทันที อาจต้องรออีกประมาณ 1 ปีเหมือนตอน DDR5
    - อุปกรณ์ที่ใช้ DDR4 จะเริ่มถูกเลิกผลิตในปี 2025 ทำให้ผู้ใช้ต้องเตรียมอัปเกรด
    - ราคาหน่วยความจำอาจพุ่งสูงในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี
    - LPDDR6 ยังไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความจุสูงแบบเซิร์ฟเวอร์หรือเดสก์ท็อป
    - ผู้ผลิตอุปกรณ์ต้องปรับปรุงระบบให้รองรับแรงดันไฟฟ้าและโครงสร้างใหม่ของ LPDDR6

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/jedec-publishes-first-lpddr6-standard-new-interface-promises-double-the-effective-bandwidth-of-current-gen
    LPDDR6 มาแล้ว! หน่วยความจำยุคใหม่ที่เร็วกว่าเดิมเท่าตัว หลังจากปล่อย DDR5 มาเมื่อ 5 ปีก่อน ล่าสุด JEDEC (องค์กรกำหนดมาตรฐานอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก) ได้เผยแพร่เอกสาร JESD209-6 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ LPDDR6 หรือ Low Power DDR6 ที่ออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์พกพา เช่น แล็ปท็อป สมาร์ตโฟน และ edge AI LPDDR6 มีการปรับโครงสร้างช่องสัญญาณใหม่: - จาก DDR5 ที่ใช้ 2 ช่องย่อยขนาด 32-bit - LPDDR6 เปลี่ยนเป็น 4 ช่องย่อยขนาด 24-bit - ส่งผลให้ latency ลดลง และสามารถประมวลผลพร้อมกันได้มากขึ้น ด้านพลังงานก็มีการปรับปรุง: - ลดแรงดันไฟฟ้าให้ต่ำลง - เพิ่มฟีเจอร์ Dynamic Voltage Frequency Scaling for Low Power (DVFSL) ที่ช่วยลดการใช้พลังงานเมื่อทำงานที่ความถี่ต่ำ ความเร็วของ LPDDR6 อยู่ที่ 10,667–14,400 MT/s หรือประมาณ 28.5–38.4 GB/s ซึ่งเร็วกว่า DDR5 ที่โอเวอร์คล็อกสูงสุดในปัจจุบัน บริษัทที่สนับสนุนมาตรฐานนี้มีทั้งผู้ผลิตชิป (MediaTek, Qualcomm, Samsung), ผู้ผลิตหน่วยความจำ (Micron, SK hynix), และบริษัทออกแบบ/ทดสอบระบบ (Cadence, Synopsys, Advantest, Keysight) แม้ LPDDR6 จะเน้นอุปกรณ์พกพา แต่ JEDEC ก็เตรียมเปิดตัวมาตรฐาน DDR6 สำหรับเดสก์ท็อปภายในปีนี้เช่นกัน ✅ ข้อมูลจากข่าว - JEDEC เปิดตัวมาตรฐาน LPDDR6 ผ่านเอกสาร JESD209-6 - LPDDR6 ใช้โครงสร้างช่องสัญญาณแบบ 4x24-bit แทน 2x32-bit ของ DDR5 - ความเร็วอยู่ที่ 10,667–14,400 MT/s หรือ 28.5–38.4 GB/s - มีฟีเจอร์ DVFSL เพื่อประหยัดพลังงานในช่วงความถี่ต่ำ - ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ เช่น MediaTek, Qualcomm, Samsung, Micron, SK hynix - LPDDR6 เหมาะกับอุปกรณ์พกพาและ edge AI - JEDEC เตรียมเปิดตัว DDR6 สำหรับเดสก์ท็อปภายในปี 2025 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - LPDDR6 ยังไม่พร้อมใช้งานในตลาดทันที อาจต้องรออีกประมาณ 1 ปีเหมือนตอน DDR5 - อุปกรณ์ที่ใช้ DDR4 จะเริ่มถูกเลิกผลิตในปี 2025 ทำให้ผู้ใช้ต้องเตรียมอัปเกรด - ราคาหน่วยความจำอาจพุ่งสูงในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี - LPDDR6 ยังไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความจุสูงแบบเซิร์ฟเวอร์หรือเดสก์ท็อป - ผู้ผลิตอุปกรณ์ต้องปรับปรุงระบบให้รองรับแรงดันไฟฟ้าและโครงสร้างใหม่ของ LPDDR6 https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/jedec-publishes-first-lpddr6-standard-new-interface-promises-double-the-effective-bandwidth-of-current-gen
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ยอมรับ “สายเกินไป” ที่จะไล่ทัน AI – จากผู้นำกลายเป็นผู้ตาม

    Lip-Bu Tan CEO คนใหม่ของ Intel กล่าวในวงประชุมพนักงานทั่วโลกว่า “เมื่อ 20–30 ปีก่อน เราคือผู้นำ แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป เราไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกแล้ว” คำพูดนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยครองตลาด CPU อย่างเบ็ดเสร็จ

    Intel พยายามปรับตัวหลายด้าน เช่น:
    - สร้างสถาปัตยกรรม hybrid แบบ big.LITTLE เหมือน ARM แต่ไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก AMD ได้
    - เปิดตัว GPU ที่ล่าช้าและไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้
    - Outsource การผลิตชิปบางส่วนไปยัง TSMC ตั้งแต่ปี 2023 โดยล่าสุดในปี 2025 มีถึง 30% ของการผลิตที่ทำโดย TSMC

    แม้จะลงทุนมหาศาลใน R&D แต่ Intel ก็ยังขาดความเร็วและความเฉียบคมในการแข่งขัน โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ Nvidia ครองอยู่เกือบเบ็ดเสร็จ

    Intel จึงวางแผนเปลี่ยนกลยุทธ์:
    - หันไปเน้น edge AI และ agentic AI (AI ที่ทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม)
    - ลดขนาดองค์กรและปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน
    - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยน Intel เป็นบริษัท fabless แบบ AMD และ Apple

    Tan ยอมรับว่า “การฝึกโมเดล AI สำหรับ training ใน data center เรามาช้าเกินไป” แต่ยังมีความหวังใน edge AI และการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ “ถ่อมตัวและฟังตลาดมากขึ้น”

    ข้อมูลจากข่าว
    - CEO Intel ยอมรับว่าไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกต่อไป
    - Intel พยายามปรับตัวด้วย hybrid architecture และ GPU แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
    - มีการ outsource การผลิตชิปไปยัง TSMC มากขึ้น โดยเฉพาะใน Meteor Lake และ Lunar Lake
    - Intel ขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาด AI โดยเฉพาะด้าน training
    - บริษัทปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน
    - วางแผนเน้น edge AI และ agentic AI เป็นกลยุทธ์ใหม่
    - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยนเป็น fabless company

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การยอมรับว่า “สายเกินไป” ในตลาด AI อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและพันธมิตร
    - การปลดพนักงานจำนวนมากอาจกระทบต่อขวัญกำลังใจและนวัตกรรมภายในองค์กร
    - การพึ่งพา TSMC ในการผลิตชิปอาจทำให้ Intel เสียความได้เปรียบด้าน vertical integration
    - การเปลี่ยนเป็นบริษัท fabless ต้องใช้เวลาและอาจมีความเสี่ยงด้าน supply chain
    - Edge AI ยังเป็นตลาดที่ไม่แน่นอน และต้องแข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่ที่คล่องตัวกว่า

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-ceo-says-its-too-late-for-them-to-catch-up-with-ai-competition-claims-intel-has-fallen-out-of-the-top-10-semiconductor-companies-as-the-firm-lays-off-thousands-across-the-world
    Intel ยอมรับ “สายเกินไป” ที่จะไล่ทัน AI – จากผู้นำกลายเป็นผู้ตาม Lip-Bu Tan CEO คนใหม่ของ Intel กล่าวในวงประชุมพนักงานทั่วโลกว่า “เมื่อ 20–30 ปีก่อน เราคือผู้นำ แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป เราไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกแล้ว” คำพูดนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยครองตลาด CPU อย่างเบ็ดเสร็จ Intel พยายามปรับตัวหลายด้าน เช่น: - สร้างสถาปัตยกรรม hybrid แบบ big.LITTLE เหมือน ARM แต่ไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก AMD ได้ - เปิดตัว GPU ที่ล่าช้าและไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ - Outsource การผลิตชิปบางส่วนไปยัง TSMC ตั้งแต่ปี 2023 โดยล่าสุดในปี 2025 มีถึง 30% ของการผลิตที่ทำโดย TSMC แม้จะลงทุนมหาศาลใน R&D แต่ Intel ก็ยังขาดความเร็วและความเฉียบคมในการแข่งขัน โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ Nvidia ครองอยู่เกือบเบ็ดเสร็จ Intel จึงวางแผนเปลี่ยนกลยุทธ์: - หันไปเน้น edge AI และ agentic AI (AI ที่ทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม) - ลดขนาดองค์กรและปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยน Intel เป็นบริษัท fabless แบบ AMD และ Apple Tan ยอมรับว่า “การฝึกโมเดล AI สำหรับ training ใน data center เรามาช้าเกินไป” แต่ยังมีความหวังใน edge AI และการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ “ถ่อมตัวและฟังตลาดมากขึ้น” ✅ ข้อมูลจากข่าว - CEO Intel ยอมรับว่าไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกต่อไป - Intel พยายามปรับตัวด้วย hybrid architecture และ GPU แต่ไม่ประสบความสำเร็จ - มีการ outsource การผลิตชิปไปยัง TSMC มากขึ้น โดยเฉพาะใน Meteor Lake และ Lunar Lake - Intel ขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาด AI โดยเฉพาะด้าน training - บริษัทปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน - วางแผนเน้น edge AI และ agentic AI เป็นกลยุทธ์ใหม่ - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยนเป็น fabless company ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การยอมรับว่า “สายเกินไป” ในตลาด AI อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและพันธมิตร - การปลดพนักงานจำนวนมากอาจกระทบต่อขวัญกำลังใจและนวัตกรรมภายในองค์กร - การพึ่งพา TSMC ในการผลิตชิปอาจทำให้ Intel เสียความได้เปรียบด้าน vertical integration - การเปลี่ยนเป็นบริษัท fabless ต้องใช้เวลาและอาจมีความเสี่ยงด้าน supply chain - Edge AI ยังเป็นตลาดที่ไม่แน่นอน และต้องแข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่ที่คล่องตัวกว่า https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-ceo-says-its-too-late-for-them-to-catch-up-with-ai-competition-claims-intel-has-fallen-out-of-the-top-10-semiconductor-companies-as-the-firm-lays-off-thousands-across-the-world
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..อนาคตห้ามโรงงานอุตสาหกรรม หรือบริษัทใดๆ ค้าขาย ทำกำไรจากส่วนต่างใดๆหรือดอกเบี้ยที่งอกผลออกมาจากเครดิตคาร์บอน,ห้ามซื้อขายเครดิตคาร์บอนโดยอ้างว่ามาชดเชยสิ่งที่กิจการตนบริษัทตนโรงงานตนปล่อยคาร์บอนออกมา โดยในความเป็นจริงตนบริษัทตน โรงงานตนไม่ได้ปลูกป่าปลูกต้นไม้จริงเพื่อสร้างเครดิตคาร์บอนจริงทางตรงใดๆได้เลย,ห้ามมีธนาคารปล่อยกู้เครดิตคาร์บอน,ห้ามมีการบริษัทกิจการใดๆนำคาร์บอนมาโดยตนเองมิได้มีแหล่งคาร์บอนจริงหรือเป็นที่มาของคาร์บอนเครดิต,โรงงานกิจการใดๆหากปล่อยคาร์บอนเครดิต 1หน่วย ต้องปลูกคาร์บอนเครดิตจริง1หน่วยทดแทนมิใช่ซื้อมาจากแหล่งอื่นมาอ้างชดเชยการปล่อยคาร์บอนออกไปทุกๆกรณี,รัฐมีหน้าที่ควบคุมโรงงานบริษัททั้งหมดภายในประเทศไทยในการตรวจสอบการปล่อยคาร์บอนและสามารถบังคับใช้ทางกฎหมายได้ทุกๆกรณี เช่นพักบริษัทกิจการนั้นๆโรงงานนั้นๆได้ พักใบอนุญาตหรือถอนใบอนุญาตประกอบกิจการได้ในทันที,หากไม่พร้อมปลูกชดเชยจริงของการมีอยู่จริงซึ่งสถานะคาร์บอนเครดิตนั้น,ไม่สามารถตัดตอน ไม่สามารถผักชีโรยหน้าซื้อมาจากแหล่งอื่นเพื่ออ้างว่ามีสิทธิชดเชยคาร์บอนเครดิตได้เพื่อสะดวกต่อการค้าการผลิตการทำกำไรทำรายได้ทำตังของกิจการตนให้ปกติเหมือนเดิมต่อไปเสมือนว่าตนเองปลูกแหล่งให้ได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิตนั้น,จะกระทำมิได้ต้องปลูกจริงชดเชยสถานเดียว,ก่อนจะสร้างโรงงานใดๆผู้ประกอบการต้องประเมินการปลดปล่อยอากาศพิษนี้ต่อโลกต่อมนุษย์แม้คาร์บอนดีต่อต้นไม้ในรูปCO2แต่นัยยะคาร์บอนมากผิดปกติย่อมส่งผลไม่ดีต่อชั้นบรรยากาศโลกแม้ไม่รวมทฤษฎีสมคบคิดHAARPด้วยก็ตามที่ใส่ร้ายใส่ความว่าผิดของภาวะโลกร้อนทำให้เกิดภัยธรรมชาติแต่แท้จริงเกิดจากเครื่องมือHAARPนั้นเองก็ตาม,กิจการโรงงานใดๆห้ามซื้อขายคาร์บอนเครดิตทุกๆกรณี,บริษัทใดๆห้ามค้าขายคาร์บอนเครดิตหรือซื้อเก็งกำไรคาร์บอนเครดิต,หรือมีเพื่อค้าขายเพื่อปล่อยกู้ปล่อยเช่าปล่อยช่วง,คือหน้าที่ความรับผิดชอบของบริษัทกิจการนั้นๆและถ้าทำโรงงานแล้วมีส่วนทางตรงในการปลดปล่อยคาร์บอนก็มีหน้าที่ทางตรงต้องปลูกแหล่งที่มาจริงของคาร์บอนเครดิตประกอบการเปิดกิจการด้วยซึ่งประเมินผลรับรู้ล่วงหน้าคราวๆได้แล้วแน่นอนก่อนยื่นดำเนินกิจการหรือขยายกิจการนั้นๆ,ภาระนี้ประขาชนมิต้องรับผิดชอบมาปลูกเพื่อขายคาร์บอนเครดิตแก่โรงงานกิจการใดๆให้โรงงานเป็นข้ออ้างว่าชดเชยคาร์บอนที่ปล่อยไปนั้นโดยที่ความเป็นจริงเนื้อแท้ตนไม่สามารถปลูกคาร์บอนให้ครบเกณฑ์ที่รัฐกำหนดเลยก่อนเปิดกิจการดำเนินงาน,รัฐบาลไม่มีหน้าที่จัดหาคาร์บอนเครดิตให้เอกชนใดๆให้มีครบตามเงื่อนไขก่อนดำเนินกิจการนั้นๆ.,อยากสร้างกิจการโรงงานบริษัทต้องปลูกคาร์บอนอย่างเดียว,และทำตามที่มี ขยายโรงงานตามความสามารถที่มีคาร์บอนเครดิตในมือ,มิใช่ซื้อมาหรืออ้างเกษตรกรรมปลูกคาร์บอนเครดิตขายให้ตนเพื่อหลบเลี่ยงความเป็นจริงที่ตนไม่ได้ปลูกมันเลย,รัฐบาลมีหน้าที่ควบคุมกิจการบริษัททั้งหมดและยิ่งสร้างโรงงานที่ส่งผลกระทบจริงในการปลดปล่อยคาร์บอนยิ่งต้องกำกับควบคุมการปลูกต้นไม้ที่สร้างคาร์บอนเครดิตสร้างออกซิเจนทดแทนจริง,จริงๆต้องบอกว่า ออกซิเจนเครดิต,เพราะมนุษย์ไม่สามารถใช้CO2หายใจได้,แต่ใช้O2หายใจและO2นี้จะผลักดันคาร์บอนหรือแก๊สพิษส่วนเกินออกจากโลกได้,เมื่อมีปริมาณมากเพียงพอ,โดยมีต้นไม้เป็นผู้ผลิตO2ต่อมนุษย์จริงอีกส่วน แม้O2ส่วนใหญ่มาจากแกนใจกลางโลกก็ตาม,ที่ซึมออกขึ้นมาสู่ผิวเปลือกโลก.,การบิดเบือนวลีนี้วาทะกรรมนี้ก็ถือว่าชั่วเลวให้ประชาชนหลงในความเท็จ,ประชาชนผีบ้าอะไรจะผลิตคาร์บอนมาชดเชยคาร์บอนที่กิจการบริษัทหรือโรงงานนั้นๆปลดปล่อยออกมา,เราปลูกเพื่อผลิตO2ไปจับกับCคาร์บอนที่มันปล่อยมาต่างหากจึงสมควรประกาศบอกประชาชนว่า ออกซิเจนเครดิตจึงจะถูก,co2จำเป็นต่อต้นไม้ด้วย,ห้ามมีโรงงานดูดco2ในเอเชียในอาเชียนในประเทศไทยเด็ดขาด,แม้ดีต่อภาคอุตสาหกรรมในกระบวนการผลิตที่ใข้co2สร้างผลผลิตโรงงานกิจการบริษัท แต่นี้ถือว่าปล้นชิงอาหารกับต้นไม้ทั่วโลกพืชทั่วโลกชัดเจนด้วย,ตลอดคือภัยคุกคามร้ายแรงต่อการทำลายO2ของโลกเราทำลายออกซิเจนของคนทั้งโลกที่ใช้มันหายใจ,ดักจับตัดตอนฆ่าพืขฆ่าต้นไม้ผู้ผลิตออกซิเจนให้เราชัดเจนด้วย,นี้จึงเป็นนัยยะค้าประโยชน์ทางอ้อมก็ด้วย ฆ่าล้างเผ่าพันธ์มนุษย์ในคราวเดียวก็ด้วย หากสร้างเครื่องมือใช้ผ่านโรงงานต่างๆตั้งกลางป่าดักดูดดักจับคาร์บอนในป่าก็ได้อีกเพื่อเอาco2ไปใช้ทางอุตสาหกรรมทำกำไรงามมหาศาลเมื่อในต่างประเทศทั่วโลกทำได้แล้ว.
    ..พรบ.คาร์บอนเครดิตตีตราออกมาผืดประเภทผิดวัตถุประสงค์มุ่งเป้าหมายที่แท้จริง,ต้องมุ่งไปที่กิจการบริษัทและโรงงานทั้งหมดที่ดำเนินเดินเครื่องเปิดกิจการในประเทศไทย มิใช่ใช้ควบคุมพฤติกรรมกิจการประชาชนหรือเป็นเครื่องมือควบคุมประชาชนทางตรงและทางอ้อมผ่าน พรบ.นี้,นายทุนกิจการบริษัทเตรียมครอบงำเครดิตคาร์บอนแล้ว ปล่อยกู้ก็ใช้เครดิตคาร์บอนร่วมพิจารณาปล่อยวงเงินกู้,ซื้อผลผลิตเกษตรกรก็อ้างเครดิตคาร์บอนในการรับซื้อการกำหนดราคาพืชผลการเกษตรกรรม,นี้คือกลอุบายควบคุมประชาชนคนไทยชัดเจนอีกมิติหนึ่งของdeep stateข้ามโลกปกครองไทยจนสามารถชี้นำสั่งการให้ออกกฎหมายให้เขียนกฎหมายให้ผ่านร่างกฎหมายพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้ตลอดควบคุมสื่อหลักบิดเบือนความจริงโหนกระแสภัยธรรมชาติ ปั่นป่วนสร้างข่าว ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จต่อหน้าประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก,ประเทศไทยเราต้องเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น มิใช่เลวชั่วเช่นในอดีตเรื่อยมาถึงปัจจุบัน.
    ..นายกฯพระราชทานคือหนทางเดียว
    ..ปฏิวัติคือทางออก.,เพราะต้องกวาดล้างทำความสะอาดสิ่งชั่วเลวสกปรกครัังใหญ่ให้สะอาดเสียที.
    ..
    ..https://youtube.com/shorts/XiX_yDO19lA?si=P_ihzFn4-ldglndW
    ..อนาคตห้ามโรงงานอุตสาหกรรม หรือบริษัทใดๆ ค้าขาย ทำกำไรจากส่วนต่างใดๆหรือดอกเบี้ยที่งอกผลออกมาจากเครดิตคาร์บอน,ห้ามซื้อขายเครดิตคาร์บอนโดยอ้างว่ามาชดเชยสิ่งที่กิจการตนบริษัทตนโรงงานตนปล่อยคาร์บอนออกมา โดยในความเป็นจริงตนบริษัทตน โรงงานตนไม่ได้ปลูกป่าปลูกต้นไม้จริงเพื่อสร้างเครดิตคาร์บอนจริงทางตรงใดๆได้เลย,ห้ามมีธนาคารปล่อยกู้เครดิตคาร์บอน,ห้ามมีการบริษัทกิจการใดๆนำคาร์บอนมาโดยตนเองมิได้มีแหล่งคาร์บอนจริงหรือเป็นที่มาของคาร์บอนเครดิต,โรงงานกิจการใดๆหากปล่อยคาร์บอนเครดิต 1หน่วย ต้องปลูกคาร์บอนเครดิตจริง1หน่วยทดแทนมิใช่ซื้อมาจากแหล่งอื่นมาอ้างชดเชยการปล่อยคาร์บอนออกไปทุกๆกรณี,รัฐมีหน้าที่ควบคุมโรงงานบริษัททั้งหมดภายในประเทศไทยในการตรวจสอบการปล่อยคาร์บอนและสามารถบังคับใช้ทางกฎหมายได้ทุกๆกรณี เช่นพักบริษัทกิจการนั้นๆโรงงานนั้นๆได้ พักใบอนุญาตหรือถอนใบอนุญาตประกอบกิจการได้ในทันที,หากไม่พร้อมปลูกชดเชยจริงของการมีอยู่จริงซึ่งสถานะคาร์บอนเครดิตนั้น,ไม่สามารถตัดตอน ไม่สามารถผักชีโรยหน้าซื้อมาจากแหล่งอื่นเพื่ออ้างว่ามีสิทธิชดเชยคาร์บอนเครดิตได้เพื่อสะดวกต่อการค้าการผลิตการทำกำไรทำรายได้ทำตังของกิจการตนให้ปกติเหมือนเดิมต่อไปเสมือนว่าตนเองปลูกแหล่งให้ได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิตนั้น,จะกระทำมิได้ต้องปลูกจริงชดเชยสถานเดียว,ก่อนจะสร้างโรงงานใดๆผู้ประกอบการต้องประเมินการปลดปล่อยอากาศพิษนี้ต่อโลกต่อมนุษย์แม้คาร์บอนดีต่อต้นไม้ในรูปCO2แต่นัยยะคาร์บอนมากผิดปกติย่อมส่งผลไม่ดีต่อชั้นบรรยากาศโลกแม้ไม่รวมทฤษฎีสมคบคิดHAARPด้วยก็ตามที่ใส่ร้ายใส่ความว่าผิดของภาวะโลกร้อนทำให้เกิดภัยธรรมชาติแต่แท้จริงเกิดจากเครื่องมือHAARPนั้นเองก็ตาม,กิจการโรงงานใดๆห้ามซื้อขายคาร์บอนเครดิตทุกๆกรณี,บริษัทใดๆห้ามค้าขายคาร์บอนเครดิตหรือซื้อเก็งกำไรคาร์บอนเครดิต,หรือมีเพื่อค้าขายเพื่อปล่อยกู้ปล่อยเช่าปล่อยช่วง,คือหน้าที่ความรับผิดชอบของบริษัทกิจการนั้นๆและถ้าทำโรงงานแล้วมีส่วนทางตรงในการปลดปล่อยคาร์บอนก็มีหน้าที่ทางตรงต้องปลูกแหล่งที่มาจริงของคาร์บอนเครดิตประกอบการเปิดกิจการด้วยซึ่งประเมินผลรับรู้ล่วงหน้าคราวๆได้แล้วแน่นอนก่อนยื่นดำเนินกิจการหรือขยายกิจการนั้นๆ,ภาระนี้ประขาชนมิต้องรับผิดชอบมาปลูกเพื่อขายคาร์บอนเครดิตแก่โรงงานกิจการใดๆให้โรงงานเป็นข้ออ้างว่าชดเชยคาร์บอนที่ปล่อยไปนั้นโดยที่ความเป็นจริงเนื้อแท้ตนไม่สามารถปลูกคาร์บอนให้ครบเกณฑ์ที่รัฐกำหนดเลยก่อนเปิดกิจการดำเนินงาน,รัฐบาลไม่มีหน้าที่จัดหาคาร์บอนเครดิตให้เอกชนใดๆให้มีครบตามเงื่อนไขก่อนดำเนินกิจการนั้นๆ.,อยากสร้างกิจการโรงงานบริษัทต้องปลูกคาร์บอนอย่างเดียว,และทำตามที่มี ขยายโรงงานตามความสามารถที่มีคาร์บอนเครดิตในมือ,มิใช่ซื้อมาหรืออ้างเกษตรกรรมปลูกคาร์บอนเครดิตขายให้ตนเพื่อหลบเลี่ยงความเป็นจริงที่ตนไม่ได้ปลูกมันเลย,รัฐบาลมีหน้าที่ควบคุมกิจการบริษัททั้งหมดและยิ่งสร้างโรงงานที่ส่งผลกระทบจริงในการปลดปล่อยคาร์บอนยิ่งต้องกำกับควบคุมการปลูกต้นไม้ที่สร้างคาร์บอนเครดิตสร้างออกซิเจนทดแทนจริง,จริงๆต้องบอกว่า ออกซิเจนเครดิต,เพราะมนุษย์ไม่สามารถใช้CO2หายใจได้,แต่ใช้O2หายใจและO2นี้จะผลักดันคาร์บอนหรือแก๊สพิษส่วนเกินออกจากโลกได้,เมื่อมีปริมาณมากเพียงพอ,โดยมีต้นไม้เป็นผู้ผลิตO2ต่อมนุษย์จริงอีกส่วน แม้O2ส่วนใหญ่มาจากแกนใจกลางโลกก็ตาม,ที่ซึมออกขึ้นมาสู่ผิวเปลือกโลก.,การบิดเบือนวลีนี้วาทะกรรมนี้ก็ถือว่าชั่วเลวให้ประชาชนหลงในความเท็จ,ประชาชนผีบ้าอะไรจะผลิตคาร์บอนมาชดเชยคาร์บอนที่กิจการบริษัทหรือโรงงานนั้นๆปลดปล่อยออกมา,เราปลูกเพื่อผลิตO2ไปจับกับCคาร์บอนที่มันปล่อยมาต่างหากจึงสมควรประกาศบอกประชาชนว่า ออกซิเจนเครดิตจึงจะถูก,co2จำเป็นต่อต้นไม้ด้วย,ห้ามมีโรงงานดูดco2ในเอเชียในอาเชียนในประเทศไทยเด็ดขาด,แม้ดีต่อภาคอุตสาหกรรมในกระบวนการผลิตที่ใข้co2สร้างผลผลิตโรงงานกิจการบริษัท แต่นี้ถือว่าปล้นชิงอาหารกับต้นไม้ทั่วโลกพืชทั่วโลกชัดเจนด้วย,ตลอดคือภัยคุกคามร้ายแรงต่อการทำลายO2ของโลกเราทำลายออกซิเจนของคนทั้งโลกที่ใช้มันหายใจ,ดักจับตัดตอนฆ่าพืขฆ่าต้นไม้ผู้ผลิตออกซิเจนให้เราชัดเจนด้วย,นี้จึงเป็นนัยยะค้าประโยชน์ทางอ้อมก็ด้วย ฆ่าล้างเผ่าพันธ์มนุษย์ในคราวเดียวก็ด้วย หากสร้างเครื่องมือใช้ผ่านโรงงานต่างๆตั้งกลางป่าดักดูดดักจับคาร์บอนในป่าก็ได้อีกเพื่อเอาco2ไปใช้ทางอุตสาหกรรมทำกำไรงามมหาศาลเมื่อในต่างประเทศทั่วโลกทำได้แล้ว. ..พรบ.คาร์บอนเครดิตตีตราออกมาผืดประเภทผิดวัตถุประสงค์มุ่งเป้าหมายที่แท้จริง,ต้องมุ่งไปที่กิจการบริษัทและโรงงานทั้งหมดที่ดำเนินเดินเครื่องเปิดกิจการในประเทศไทย มิใช่ใช้ควบคุมพฤติกรรมกิจการประชาชนหรือเป็นเครื่องมือควบคุมประชาชนทางตรงและทางอ้อมผ่าน พรบ.นี้,นายทุนกิจการบริษัทเตรียมครอบงำเครดิตคาร์บอนแล้ว ปล่อยกู้ก็ใช้เครดิตคาร์บอนร่วมพิจารณาปล่อยวงเงินกู้,ซื้อผลผลิตเกษตรกรก็อ้างเครดิตคาร์บอนในการรับซื้อการกำหนดราคาพืชผลการเกษตรกรรม,นี้คือกลอุบายควบคุมประชาชนคนไทยชัดเจนอีกมิติหนึ่งของdeep stateข้ามโลกปกครองไทยจนสามารถชี้นำสั่งการให้ออกกฎหมายให้เขียนกฎหมายให้ผ่านร่างกฎหมายพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้ตลอดควบคุมสื่อหลักบิดเบือนความจริงโหนกระแสภัยธรรมชาติ ปั่นป่วนสร้างข่าว ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จต่อหน้าประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก,ประเทศไทยเราต้องเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น มิใช่เลวชั่วเช่นในอดีตเรื่อยมาถึงปัจจุบัน. ..นายกฯพระราชทานคือหนทางเดียว ..ปฏิวัติคือทางออก.,เพราะต้องกวาดล้างทำความสะอาดสิ่งชั่วเลวสกปรกครัังใหญ่ให้สะอาดเสียที. .. ..https://youtube.com/shorts/XiX_yDO19lA?si=P_ihzFn4-ldglndW
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/SRJUeK9ZvtY?si=OS5wVDgdcGMuma3R
    https://youtu.be/SRJUeK9ZvtY?si=OS5wVDgdcGMuma3R
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถุง PP หูหิ้วไฮโซ(ร้อน) เกรด A สะอาด ไม่มีกลิ่น เนื้อถุงใส เงา เปิดปากง่าย มีหูหิ้ว สามารถทนความร้อนได้  มองเห็นสินค้าภายใน ก้นถุงแข็งแรงเหมาะสำหรับบรรจุสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าที่มีน้ำหนัก เช่น ขนม กล่องเค้ก อาหารร้อน เบเกอรี่⭕️ กดดูรายละเอียดสินค้าถุงหูหิ้ว PP บาง ตราปูใน TikTok https://vt.tiktok.com/ZSB1tWSqY/ถุงหูหิ้ว บาง ตราปู ใน Shopee https://th.shp.ee/AdPeApj https://th.shp.ee/8qXPXGMถุงหูหิ้ว PP หนา ตราปูใน TikTok https://vt.tiktok.com/ZSBkbuwnC/ถุงหูหิ้ว PP หนา ตราปู ใน Shopee https://th.shp.ee/TFiDGZN https://th.shp.ee/Qn133RBเลือกชมสินค้าอื่นๆของเราได้ทั้งสองช่องทาง1. Shopee : shopee.co.th/kinjubjibshop2. TikTok : https://www.tiktok.com/@kinjubjibshop?_t=ZS-8txYHQWejyM&_เลือกช้อปได้ตามความชอบและคูปองของแต่ละช่องทางได้เลยค่ะ#ถุงใส่กับข้าว #ถุงppหนา #ถุงพลาสติก #ถุงร้อน#ถุงเย็น #นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #ปลาจิ๊งจ๊างไม่งา #ปลาเกล็ดขาวอบกรอบ #กุนเชียงปลา #กุนเชียงหมู #ของอร่อยต้องลอง #อร่อยดีบอกต่อ #อร่อยกี่โมง #คือจึ้งมาก#นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #ปลาจิ๊งจ๊างไม่งา #ปลาเกล็ดขาวอบกรอบ #กุนเชียงปลา #กุนเชียงหมู #ของอร่อยต้องลอง #อร่อยดีบอกต่อ #อร่อยกี่โมง #ปลาซิวกรอบ #ปลากระพงทุบ #ปลาข้างเหลือง #หอยลายอบกรอบ #ปลาข้างเหลือง #ปลาซิวทอดกรอบ #หมึกกระตอย #หมึกกะตอยตากแห้ง
    ถุง PP หูหิ้วไฮโซ(ร้อน) เกรด A สะอาด ไม่มีกลิ่น เนื้อถุงใส เงา เปิดปากง่าย มีหูหิ้ว สามารถทนความร้อนได้  มองเห็นสินค้าภายใน ก้นถุงแข็งแรงเหมาะสำหรับบรรจุสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าที่มีน้ำหนัก เช่น ขนม กล่องเค้ก อาหารร้อน เบเกอรี่🌶️♨️⭕️ กดดูรายละเอียดสินค้าถุงหูหิ้ว PP บาง ตราปูใน TikTok https://vt.tiktok.com/ZSB1tWSqY/ถุงหูหิ้ว บาง ตราปู ใน Shopee https://th.shp.ee/AdPeApj https://th.shp.ee/8qXPXGMถุงหูหิ้ว PP หนา ตราปูใน TikTok https://vt.tiktok.com/ZSBkbuwnC/ถุงหูหิ้ว PP หนา ตราปู ใน Shopee https://th.shp.ee/TFiDGZN https://th.shp.ee/Qn133RBเลือกชมสินค้าอื่นๆของเราได้ทั้งสองช่องทาง1. Shopee : shopee.co.th/kinjubjibshop2. TikTok : https://www.tiktok.com/@kinjubjibshop?_t=ZS-8txYHQWejyM&_เลือกช้อปได้ตามความชอบและคูปองของแต่ละช่องทางได้เลยค่ะ#ถุงใส่กับข้าว #ถุงppหนา #ถุงพลาสติก #ถุงร้อน#ถุงเย็น #นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #ปลาจิ๊งจ๊างไม่งา #ปลาเกล็ดขาวอบกรอบ #กุนเชียงปลา #กุนเชียงหมู #ของอร่อยต้องลอง #อร่อยดีบอกต่อ #อร่อยกี่โมง #คือจึ้งมาก#นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #ปลาจิ๊งจ๊างไม่งา #ปลาเกล็ดขาวอบกรอบ #กุนเชียงปลา #กุนเชียงหมู #ของอร่อยต้องลอง #อร่อยดีบอกต่อ #อร่อยกี่โมง #ปลาซิวกรอบ #ปลากระพงทุบ #ปลาข้างเหลือง #หอยลายอบกรอบ #ปลาข้างเหลือง #ปลาซิวทอดกรอบ #หมึกกระตอย #หมึกกะตอยตากแห้ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ช่วงนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา แต่ก็ขอเจริญอนุโมทนาในการบำเพ็ญศีล 5 ศีล 8 และ ศีล 10 ในช่วงเข้าพรรษา และขอใช้ชีวิตอยู่ในหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยใจบริสุทธิ์ ผุดผ่อง สดใส
    ช่วงเข้าพรรษา 2556 ม็อบมาน้อยเพราะคนไปอยู่ในศีล 5/8/10 เข้าพรรษากันเยอะ แต่หลังออกพรรษา ได้เห็นม็อบจำนวน 20 ล้านคน ENDGAME ชินวัตรและยิวไซออนิสต์เสียทีให้จบในม้วนเดียวดีกว่า
    ช่วงนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา แต่ก็ขอเจริญอนุโมทนาในการบำเพ็ญศีล 5 ศีล 8 และ ศีล 10 ในช่วงเข้าพรรษา และขอใช้ชีวิตอยู่ในหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยใจบริสุทธิ์ ผุดผ่อง สดใส ช่วงเข้าพรรษา 2556 ม็อบมาน้อยเพราะคนไปอยู่ในศีล 5/8/10 เข้าพรรษากันเยอะ แต่หลังออกพรรษา ได้เห็นม็อบจำนวน 20 ล้านคน ENDGAME ชินวัตรและยิวไซออนิสต์เสียทีให้จบในม้วนเดียวดีกว่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/3gVWqVN4GHw?si=jDGlWzMF-zBMloUA
    https://youtu.be/3gVWqVN4GHw?si=jDGlWzMF-zBMloUA
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • GlobalFoundries เคยเป็นโรงงานผลิตชิปที่เปิดให้ใครก็ได้มาออกแบบชิป แล้วให้ GF ผลิตให้ (เช่น AMD เคยใช้บริการช่วงแรก) → แต่ตอนนี้ GF ไม่อยากเป็นแค่ “โรงงาน” อีกต่อไป → จึงคว้าตัว MIPS มาเสริมทัพ เพื่อให้สามารถ “ออกแบบและขายซีพียูเองได้” โดยเฉพาะบนพื้นฐานสถาปัตยกรรม RISC-V ที่กำลังมาแรงมาก

    MIPS เคยโด่งดังจากชิปฝังตัวบนอุปกรณ์เครือข่าย และตอนนี้ก็หันมาใช้ RISC-V เต็มตัว โดยมีซีพียูตระกูล Atlas ที่ครอบคลุมทั้ง
    - งานทั่วไป (general-purpose)
    - งานเรียลไทม์ (real-time)
    - และงาน AI บน edge

    ประโยชน์สำคัญของดีลนี้คือ → MIPS จะได้ใช้งานสายการผลิตของ GF ที่มีความปลอดภัยระดับกลาโหมสหรัฐฯ → ส่วน GF จะสามารถเสนอ “ชิปแบบเบ็ดเสร็จ” ที่รวม IP ซีพียู + AI + การผลิต ไว้ที่เดียวกัน → โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมาะกับลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์, โรงงานอัจฉริยะ และ edge computing

    GlobalFoundries ประกาศซื้อกิจการ MIPS เพื่อเสริมพอร์ตผลิตภัณฑ์ซีพียู RISC-V และ AI  
    • ไม่เปิดเผยมูลค่าดีล  
    • MIPS จะยังดำเนินงานแยกเป็นธุรกิจอิสระภายใน GF

    เทคโนโลยีจาก MIPS ที่ GF จะได้รับ:  
    • ซีพียู IP แบบ general-purpose  
    • หน่วยเร่ง AI inference  
    • เทคโนโลยีสำหรับระบบเซ็นเซอร์แบบฝังตัว

    RISC-V จาก MIPS รองรับทั้งงานทั่วไป–เรียลไทม์–AI edge  
    • ประหยัดพลังงาน และเหมาะกับระบบฝังตัวที่โหลดหนัก

    GF จะสามารถผลิตชิป RISC-V + AI ได้ครบวงจรในโรงงานของตัวเอง  
    • ช่วยให้ลูกค้าบางกลุ่ม (เช่น กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ) มั่นใจในความปลอดภัย  
    • ลดระยะเวลานำสินค้าออกสู่ตลาด

    ดีลนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ใหม่ของ GF → ไม่ใช่แค่โรงงานรับจ้างผลิต แต่เป็น “ผู้พัฒนาโซลูชันแบบครบวงจร” สำหรับอุตสาหกรรม

    คาดว่าการควบรวมจะเสร็จสิ้นช่วงครึ่งหลังของปี 2025 (รอการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับ)

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/globalfoundries-to-make-risc-v-cpus-fab-acquires-mips-will-integrate-risc-v-and-ai-ip-into-its-portfolio
    GlobalFoundries เคยเป็นโรงงานผลิตชิปที่เปิดให้ใครก็ได้มาออกแบบชิป แล้วให้ GF ผลิตให้ (เช่น AMD เคยใช้บริการช่วงแรก) → แต่ตอนนี้ GF ไม่อยากเป็นแค่ “โรงงาน” อีกต่อไป → จึงคว้าตัว MIPS มาเสริมทัพ เพื่อให้สามารถ “ออกแบบและขายซีพียูเองได้” โดยเฉพาะบนพื้นฐานสถาปัตยกรรม RISC-V ที่กำลังมาแรงมาก MIPS เคยโด่งดังจากชิปฝังตัวบนอุปกรณ์เครือข่าย และตอนนี้ก็หันมาใช้ RISC-V เต็มตัว โดยมีซีพียูตระกูล Atlas ที่ครอบคลุมทั้ง - งานทั่วไป (general-purpose) - งานเรียลไทม์ (real-time) - และงาน AI บน edge ประโยชน์สำคัญของดีลนี้คือ → MIPS จะได้ใช้งานสายการผลิตของ GF ที่มีความปลอดภัยระดับกลาโหมสหรัฐฯ → ส่วน GF จะสามารถเสนอ “ชิปแบบเบ็ดเสร็จ” ที่รวม IP ซีพียู + AI + การผลิต ไว้ที่เดียวกัน → โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมาะกับลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์, โรงงานอัจฉริยะ และ edge computing ✅ GlobalFoundries ประกาศซื้อกิจการ MIPS เพื่อเสริมพอร์ตผลิตภัณฑ์ซีพียู RISC-V และ AI   • ไม่เปิดเผยมูลค่าดีล   • MIPS จะยังดำเนินงานแยกเป็นธุรกิจอิสระภายใน GF ✅ เทคโนโลยีจาก MIPS ที่ GF จะได้รับ:   • ซีพียู IP แบบ general-purpose   • หน่วยเร่ง AI inference   • เทคโนโลยีสำหรับระบบเซ็นเซอร์แบบฝังตัว ✅ RISC-V จาก MIPS รองรับทั้งงานทั่วไป–เรียลไทม์–AI edge   • ประหยัดพลังงาน และเหมาะกับระบบฝังตัวที่โหลดหนัก ✅ GF จะสามารถผลิตชิป RISC-V + AI ได้ครบวงจรในโรงงานของตัวเอง   • ช่วยให้ลูกค้าบางกลุ่ม (เช่น กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ) มั่นใจในความปลอดภัย   • ลดระยะเวลานำสินค้าออกสู่ตลาด ✅ ดีลนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ใหม่ของ GF → ไม่ใช่แค่โรงงานรับจ้างผลิต แต่เป็น “ผู้พัฒนาโซลูชันแบบครบวงจร” สำหรับอุตสาหกรรม ✅ คาดว่าการควบรวมจะเสร็จสิ้นช่วงครึ่งหลังของปี 2025 (รอการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับ) https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/globalfoundries-to-make-risc-v-cpus-fab-acquires-mips-will-integrate-risc-v-and-ai-ip-into-its-portfolio
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • Jack Dorsey ใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์นั่งสร้างแอปแชตที่เรียกว่า “IRC vibes” แบบยุคก่อนอินเทอร์เน็ตครองโลก — ชื่อว่า Bitchat → ใช้ Bluetooth mesh network ในการส่งข้อความแบบ hop–by–hop จากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่ง → ไม่ต้องมีเบอร์โทร, อีเมล, เซิร์ฟเวอร์ หรือบัญชีใด ๆ → ความเป็นส่วนตัวสุดขีด และเหมาะมากในสถานการณ์ที่ “เน็ตถูกตัด หรือถูกเซ็นเซอร์”

    แล้วมันทำงานยังไง?
    - เครื่องแต่ละเครื่องจะเป็น node ในเครือข่าย mesh
    - ข้อความจะเดินทางแบบ “relay” จาก node สู่ node
    - ถ้ามีเครื่องอื่นอยู่ในระยะ ~300 เมตร ก็สามารถขยายเครือข่ายได้เรื่อย ๆ ผ่าน “สะพาน” (bridge)
    - ข้อความจะถูกลบอัตโนมัติ และเก็บเฉพาะในเครื่องคุณ

    มีระบบ group chat แบบใช้ hashtag → เช่น #rescue, #party2025 → สามารถตั้งรหัสผ่านเข้าแต่ละ room ได้

    ตัวแอปตอนนี้ยังอยู่ในเวอร์ชัน TestFlight (iOS Beta) และมีเอกสาร whitepaper บน GitHub → เตรียมเปิดฟีเจอร์ WiFi Direct เร็ว ๆ นี้ เพื่อเพิ่มระยะส่งอีกหลายเท่า

    Bitchat คือแอปแชตแบบ peer-to-peer ผ่าน Bluetooth mesh network  
    • ไม่ต้องใช้ WiFi, อินเทอร์เน็ต, หรือเซิร์ฟเวอร์กลาง  
    • ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้ — ไม่มีบัญชี, เบอร์, อีเมล

    สามารถสื่อสารได้ระยะ ~300 เมตร ผ่านการส่งข้อความแบบ relay ระหว่างอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้กัน  
    • แต่ละเครื่องช่วยกระจายเครือข่ายคล้าย walkie-talkie อัจฉริยะ

    ข้อความไม่เก็บบน server — เก็บแค่ในเครื่องและหายเองตามค่า default

    รองรับ group chat แบบ hashtag rooms + ใส่รหัสผ่านเพื่อความปลอดภัย

    สร้างโดย Jack Dorsey คนเดียวในช่วงสุดสัปดาห์ → เป็นโครงการทดลองด้าน mesh networking + ความเป็นส่วนตัว

    กำลังอยู่ในขั้นทดสอบ (TestFlight เต็มแล้ว 10,000 คน) → เตรียมเปิดเวอร์ชันเต็มเร็ว ๆ นี้

    https://www.techspot.com/news/108585-jack-dorsey-launches-bitchat-messaging-app-works-without.html
    Jack Dorsey ใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์นั่งสร้างแอปแชตที่เรียกว่า “IRC vibes” แบบยุคก่อนอินเทอร์เน็ตครองโลก — ชื่อว่า Bitchat → ใช้ Bluetooth mesh network ในการส่งข้อความแบบ hop–by–hop จากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่ง → ไม่ต้องมีเบอร์โทร, อีเมล, เซิร์ฟเวอร์ หรือบัญชีใด ๆ → ความเป็นส่วนตัวสุดขีด และเหมาะมากในสถานการณ์ที่ “เน็ตถูกตัด หรือถูกเซ็นเซอร์” แล้วมันทำงานยังไง? - เครื่องแต่ละเครื่องจะเป็น node ในเครือข่าย mesh - ข้อความจะเดินทางแบบ “relay” จาก node สู่ node - ถ้ามีเครื่องอื่นอยู่ในระยะ ~300 เมตร ก็สามารถขยายเครือข่ายได้เรื่อย ๆ ผ่าน “สะพาน” (bridge) - ข้อความจะถูกลบอัตโนมัติ และเก็บเฉพาะในเครื่องคุณ มีระบบ group chat แบบใช้ hashtag → เช่น #rescue, #party2025 → สามารถตั้งรหัสผ่านเข้าแต่ละ room ได้ ตัวแอปตอนนี้ยังอยู่ในเวอร์ชัน TestFlight (iOS Beta) และมีเอกสาร whitepaper บน GitHub → เตรียมเปิดฟีเจอร์ WiFi Direct เร็ว ๆ นี้ เพื่อเพิ่มระยะส่งอีกหลายเท่า ✅ Bitchat คือแอปแชตแบบ peer-to-peer ผ่าน Bluetooth mesh network   • ไม่ต้องใช้ WiFi, อินเทอร์เน็ต, หรือเซิร์ฟเวอร์กลาง   • ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้ — ไม่มีบัญชี, เบอร์, อีเมล ✅ สามารถสื่อสารได้ระยะ ~300 เมตร ผ่านการส่งข้อความแบบ relay ระหว่างอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้กัน   • แต่ละเครื่องช่วยกระจายเครือข่ายคล้าย walkie-talkie อัจฉริยะ ✅ ข้อความไม่เก็บบน server — เก็บแค่ในเครื่องและหายเองตามค่า default ✅ รองรับ group chat แบบ hashtag rooms + ใส่รหัสผ่านเพื่อความปลอดภัย ✅ สร้างโดย Jack Dorsey คนเดียวในช่วงสุดสัปดาห์ → เป็นโครงการทดลองด้าน mesh networking + ความเป็นส่วนตัว ✅ กำลังอยู่ในขั้นทดสอบ (TestFlight เต็มแล้ว 10,000 คน) → เตรียมเปิดเวอร์ชันเต็มเร็ว ๆ นี้ https://www.techspot.com/news/108585-jack-dorsey-launches-bitchat-messaging-app-works-without.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Jack Dorsey launches Bitchat, a messaging app that works without internet, servers, or accounts
    The app, now available in beta for Apple's TestFlight users, was announced by Dorsey on Sunday. He described the project as a personal experiment with mesh networking,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtube.com/shorts/5tU0gKd6DGY?si=g9tL6rGleomlaXzS
    https://youtube.com/shorts/5tU0gKd6DGY?si=g9tL6rGleomlaXzS
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว

  • ..555,ขึ้นไปเถอะถึง100%ก็ตามสบาย,ใครเสียผลประโยชน์ก็บริษัทเอกชนไทยทั้งสิ้นที่กำไรลดลงล่ะ,ตลอดถึงต่างชาติที่มาตั้งฐานโรงงานในไทยยืมแผ่นดินยืมชื่อประเทศไทยทำกำไรรายได้มหาศาลแก่ตนเองผ่านเนมไทยนี้ล่ะ,ไทยก็เข้าbrics แล้วจะกลัวอะไรก็ค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าในกลุ่มสมาชิกประเทศbricsสิ,ก็บอกแล้วจบรัฐบาลนี้ทัังแกนนำพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลให้หมดจบเร็วๆถีบออกเร็วๆ,จะแก้ไขปัญหาได้ทันทีในนายกฯพระราชทานเรา,พักงานสถาบันนักการเมืองชั่วคราวไปก่อนเพราะอนาคตอันใกล้นี้ ปัญญาสติธรรมดาพวกการเมืองไม่ทันวิกฤติโลกและภัยสาระพัดคุกคามที่โลกกระทำต่อประเทศต่างๆตลอดแบบเหี้ยเขมรคือภัยคุกคามด้านหนึ่งมุมหนึ่งให้เห็นล่วงหน้าชัดในอนาคตด้วยว่า อนาคต โลกต้องเป็นไปแบบใด ประเทศนั้นๆต้องเป็นไปทันโลกแก้เกมส์ให้ตนรอดจากโลกกระทำตนแบบใด นี้คือผู้นำไทยต้องขึ้นมาปกครองในอนาคตมีวิสัยทัศน์ทันกาลแบบนี้,มิใช่แบบปัจจุบันจริงๆ,,ทรัมป์มันเอาประเทศมันก่อน นี้คือความชัดเจนของการแสดงตัวตน,เราก็ต้องเอาประเทศไทยก่อน ชาติไทยเราก่อน คนไทยเราต้องมาก่อนเช่นกัน,ค้ากับอเมริกน้อยลงจะเป็นอะไร,รัฐบาลค้าขายในนามรัฐบาลมั้ยก็ไม่ใช่ เอกชนค้าขายกันเอง ร่ำรวยกันเองแค่รัฐบาลออกหน้าข่วยเท่านั้น,คนไทยก็ยากจนปกติแม้เอกชนไทยจะร่ำรวยติด50อันดับโลกเป็นอันมากก็ว่า,น้ำมันส่งออกไปอเมริกา ถามจริงๆบริษัทอเมริกาเองตั้งในประเทศไทยดูดน้ำมันบนแผ่นดินมากมายหลายบริษัท ถ้าทรัมป์ขึ้นภาษีน้ำมันดิบเข้าอเมริกาสัก300%อเมริกาในนามทรัมป์ได้ประโยชน์นะ,พวกนีัขายให้ไทยที่ไหน,มันบอกว่านำเข้าสู่ไทยนะรัฐบาลยุคเก่าๆนะ,ประเทศไทยมีน้ำมันน้อยมันว่า,ขึ้นสัก1,000%เลยก็ตามสบาย ไทยเราก็ไปค้าขายกับชาติอื่นสิ,นายกฯคนใหม่จบนานแล้ว,เด็กๆเจรจาอะไรมากพะสาทรัมป์,พะสาอเมริกา,เรา..มีเศรษฐกิจพอเพียงชูเป็นวาระแห่งชาตินโยบายชาติในการขับเคลื่อนประเทศจริง,ยึดบ่อน้ำมันอเมริกาและต่างชาติคืนทั้งหมดเพราะไม่ชอบด้วยสภาประชาธิปไตยแต่แรก สามารถโมฆะได้ ด้วยเป็นภัยคุกคามอธิปไตยประชาธิปไตยเราแต่ต้นโดยต่างชาติทุจริตกับข้าราชการไทยร่างกฎหมายไม่ผ่านสภาตามระบบประชาธิปไตยไทยเรา,ขัดต่อพื้นฐานระบบปกครองชัดเจน,สามารถโมฆะชอบด้วยธรรม,จากนัันดูดขายภายในประเทศราคาไม่แพงลิตรละ1-2บาทพอใน4-5ปีแล้ววิจัยผลทั้งหมดทั้งเชิงบวกเชิงลบ,พื้นฐานลดต้นทุนฐานของคนไทยลงทั้งหมดก่อน,จากนั้นอัดกระบวนการพึ่งพาตนเอง ภายในครอบครัวและส่วนตัวใครมันให้ได้พร้อมๆกันทั่วประเทศใน4-5ปีแรกนี้เช่นกัน,อัดตังสัมมาชีวิตสัมมาอาชีพเขาลงไปเบื้องต้น เช่น20ล้านครัวเรือน,ครัวเกษตรกรก่อนสักประมาณ6-10ล้านครัวเรือนๆละ100,000บาท เขาจะมีทุนปลูกนั่นนี้เลี้ยงนั้นนี้เป็นอาหารทันทีอาจยั่งยืนด้วยที่6แสนล้านบาทถึง1ล้านล้านบาทเอง,แต่ต้นทุนทางการเกษตรจากน้ำมันลิตรละ1-2บาทลดลงด้วยนะ 1ไร่อาจทำนาแค่30-60บาทต่อไร่เลย,ปุ๋ยกระสอบละ5-10บาทเองเพราะรัฐบาลส่งเสริมตรึมมากมายหลายทางตลอดค้าออฟไลน์ออนไลน์ก็สร้างแพลตฟอร์มเรียลไทม์รองรับตลาดไว้ให้ทั้งขายภายในประเทศและต่างประเทศฟรีๆไร้การเก็บค่าใดๆแบบแอปเอกชน ขายราคาไม่แพงตรงปลอดสารพิษจากสวนจากโรงงานร้านค้าตลอดประสานขนส่งโลจิตส์ต่างๆถูกๆอีกภายในประเทศ,หมุนเวียนทั่วโลกอาจกว่า100ล้านล้านบาทต่อปีในทุกๆสัมมาอาชีพสไตล์ไทยเรา,คือกาก กระจอกจริงๆ แค่มีผู้นำดีบนแผ่นดินไทย ขึ้นว่าคนจนยากจนจะไม่มีบนแผ่นดินไทยเลย,พื้นๆคนไทยทุกๆคน อาจมีตังในบัญชีเงินฝากกองทุนแห่งชาติไทยตนเองมิใช่ในธนาคารเอกชนนะ อาจคนละ10ล้านบาทต่อปีขั้นต่ำในทุกๆคนไทยเรา,ไม่เกิน4-5ปีก็ว่า,หรือพื้นฐานครัวเรือนคนไทยทุกๆครัวเรือนกว่า20ล้านครัวเรือนนี้ในสถานะประชาชนทั่วไปด้วยอาจมีกันคนละ20ล้านบาทต่อปีต่อครัวเรือนนั้นๆก็ว่า,หรือไม่ต่ำกว่าล้านบาทต่อปีก็ว่าหมุนเวียนในสัมมาชีวิตสัมมาอาชีพเขาในรากฐานเศรษฐกิจเพียงพอพอเพียงแบบไทยเรา,ทุกๆคนมีเพียงพอพอเพียงในปากท้องการกินอยู่การมีตังมีเงินทองคู่ศีลธรรมความดีงามบนระดับจิตใจที่เลิศค่าสไตล์เมืองยิ้มคนไทยเรานี้ล่ะ,
    ..คนดีคนเก่งบนแผ่นดินไทยเราธรรมดาที่ไหนมีไม่น้อยด้วย,ทหารพระราชาเราต้องตัดสิ้นใจเด็ดขาดจริงๆ,โลกไม่เหมือนเดิมแล้ว,เงาชั่วร้ายบนความล้ำสมัยอันตรายกว่ายุคเก่าก่อนทวีคูณยกกำลังสิบนะ,จะมาเล่นๆทำเล่นๆไม่ได้,เผด็จการคอมมิวนิสต์ก็เป็นฝ่ายมืดส่งออก,ประชาธิปไตยก็ฝ่ายมืดส่งออกนะ,แต่ระบบพระมหากษัตริย์ไม่ใช่,เราคือระบบพ่อแม่ปกครองลูก,ถ้าไม่ใช่ระบบนี้ ระบบพระมหากษัตริย์ประจำประเทศไทยจะเป็นแบบฝรั่งเศสสิ้นซากทันที,และเรามีพระพุทธศาสนาค้ำจุนระดับจิตใจกายนัยของคนไทยมิเช่นนั้นก็ไปวัดเช่นกัน,ตลอดสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายผู้มีฤทธิ์ในแต่ล่ะสภาวะกายจิตนั้นอีกตรึมเต็มประเทศ จึงไม่ธรรมดาเลย ถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระอรหันต์ที่เหาะเหินเดินอากาศไปมาตรึมในไทยที่มิไปไหนอีกยังคุ้มครองคนดีบนแผ่นดินไทยคุ้มครองพระพุทธศาสนาจนจะสิ้น5,000ปีอีก,ศาสนาอื่นเพียงมาพึ่งพาอาศัยเท่านั้น,หลักๆคือพระมหากษัตริย์เรา พระพุทธศาสนาและเรา..ประชาชน จึงร่วมดำรงชาติไทยเราไว้ได้ อเมริกาขี้หมา เอาแต่ได้เห็นแก่ตัวปล้นชิงแย่งสมบัติทรัพยากรเราเป็นอันดับหนึ่งสายใต้ดินทางลับโน้น,โกงแบบลับๆกินแบบแอบๆลับๆไม่บอกใคร,ญี่ปุ่นว่าทำสัญญาเหี้ยในอดีต แต่อเมริกาเหี้ยกว่ามากแดกเราทั้งประเทศเลย,สงครามเป็นอันมากบนโลกนี้ก็พวกฝรั่งยุโรปอเมริกาทั้งนั้นปั่นป่วนวุ่นวายจะขายเครื่องจักรอาวุธ,อนาคตมันจะขายหุ่นยนต์รบเร็วๆนี้ล่ะ,จีนผลิตเต็มใต้ดิน ไม่ต่างจากอเมริกาหรอกหรือรัสเชียยุโรปด้วยหรือในหลายๆประเทศทั่วโลกทำที่ใต้ดินตรึมแล้ว,หนังคนเหล็กนั่นล่ะคือตัวอย่างๆ,ผู้นำไทยเราจึงสำคัญมากในการจะปกป้องรักษาบ้านเราเองไว้มิให้ใครมาทำลายง่ายๆตราบใดที่มนุษย์โลกยังต่ำไม่สามารถยกระดับจิตระดับใจให้สูงขึ้นเป็นอันมากเป็นอันหมู่มากยังไม่ได้,
    ..ในที่นี้ ทรัมป์มันก็ทำเพื่อประเทศมัน,เราประเทศไทยล่ะ ต้องยุบสถาบันนักการเมืองลงจริงๆเลย จะชั่วคราวหรือถาวรก็ตาม ประเทศไทยต้องสร้างระบบปกครองตนเองใหม่จริงๆในสไตล์ของเรา..ประเทศไทยตนเองเป็นของตนเอง.
    ..
    ..https://youtu.be/9a4L5BVu0Bw?si=mbP9Lexz3_sDgBZL
    ..555,ขึ้นไปเถอะถึง100%ก็ตามสบาย,ใครเสียผลประโยชน์ก็บริษัทเอกชนไทยทั้งสิ้นที่กำไรลดลงล่ะ,ตลอดถึงต่างชาติที่มาตั้งฐานโรงงานในไทยยืมแผ่นดินยืมชื่อประเทศไทยทำกำไรรายได้มหาศาลแก่ตนเองผ่านเนมไทยนี้ล่ะ,ไทยก็เข้าbrics แล้วจะกลัวอะไรก็ค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าในกลุ่มสมาชิกประเทศbricsสิ,ก็บอกแล้วจบรัฐบาลนี้ทัังแกนนำพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลให้หมดจบเร็วๆถีบออกเร็วๆ,จะแก้ไขปัญหาได้ทันทีในนายกฯพระราชทานเรา,พักงานสถาบันนักการเมืองชั่วคราวไปก่อนเพราะอนาคตอันใกล้นี้ ปัญญาสติธรรมดาพวกการเมืองไม่ทันวิกฤติโลกและภัยสาระพัดคุกคามที่โลกกระทำต่อประเทศต่างๆตลอดแบบเหี้ยเขมรคือภัยคุกคามด้านหนึ่งมุมหนึ่งให้เห็นล่วงหน้าชัดในอนาคตด้วยว่า อนาคต โลกต้องเป็นไปแบบใด ประเทศนั้นๆต้องเป็นไปทันโลกแก้เกมส์ให้ตนรอดจากโลกกระทำตนแบบใด นี้คือผู้นำไทยต้องขึ้นมาปกครองในอนาคตมีวิสัยทัศน์ทันกาลแบบนี้,มิใช่แบบปัจจุบันจริงๆ,,ทรัมป์มันเอาประเทศมันก่อน นี้คือความชัดเจนของการแสดงตัวตน,เราก็ต้องเอาประเทศไทยก่อน ชาติไทยเราก่อน คนไทยเราต้องมาก่อนเช่นกัน,ค้ากับอเมริกน้อยลงจะเป็นอะไร,รัฐบาลค้าขายในนามรัฐบาลมั้ยก็ไม่ใช่ เอกชนค้าขายกันเอง ร่ำรวยกันเองแค่รัฐบาลออกหน้าข่วยเท่านั้น,คนไทยก็ยากจนปกติแม้เอกชนไทยจะร่ำรวยติด50อันดับโลกเป็นอันมากก็ว่า,น้ำมันส่งออกไปอเมริกา ถามจริงๆบริษัทอเมริกาเองตั้งในประเทศไทยดูดน้ำมันบนแผ่นดินมากมายหลายบริษัท ถ้าทรัมป์ขึ้นภาษีน้ำมันดิบเข้าอเมริกาสัก300%อเมริกาในนามทรัมป์ได้ประโยชน์นะ,พวกนีัขายให้ไทยที่ไหน,มันบอกว่านำเข้าสู่ไทยนะรัฐบาลยุคเก่าๆนะ,ประเทศไทยมีน้ำมันน้อยมันว่า,ขึ้นสัก1,000%เลยก็ตามสบาย ไทยเราก็ไปค้าขายกับชาติอื่นสิ,นายกฯคนใหม่จบนานแล้ว,เด็กๆเจรจาอะไรมากพะสาทรัมป์,พะสาอเมริกา,เรา..มีเศรษฐกิจพอเพียงชูเป็นวาระแห่งชาตินโยบายชาติในการขับเคลื่อนประเทศจริง,ยึดบ่อน้ำมันอเมริกาและต่างชาติคืนทั้งหมดเพราะไม่ชอบด้วยสภาประชาธิปไตยแต่แรก สามารถโมฆะได้ ด้วยเป็นภัยคุกคามอธิปไตยประชาธิปไตยเราแต่ต้นโดยต่างชาติทุจริตกับข้าราชการไทยร่างกฎหมายไม่ผ่านสภาตามระบบประชาธิปไตยไทยเรา,ขัดต่อพื้นฐานระบบปกครองชัดเจน,สามารถโมฆะชอบด้วยธรรม,จากนัันดูดขายภายในประเทศราคาไม่แพงลิตรละ1-2บาทพอใน4-5ปีแล้ววิจัยผลทั้งหมดทั้งเชิงบวกเชิงลบ,พื้นฐานลดต้นทุนฐานของคนไทยลงทั้งหมดก่อน,จากนั้นอัดกระบวนการพึ่งพาตนเอง ภายในครอบครัวและส่วนตัวใครมันให้ได้พร้อมๆกันทั่วประเทศใน4-5ปีแรกนี้เช่นกัน,อัดตังสัมมาชีวิตสัมมาอาชีพเขาลงไปเบื้องต้น เช่น20ล้านครัวเรือน,ครัวเกษตรกรก่อนสักประมาณ6-10ล้านครัวเรือนๆละ100,000บาท เขาจะมีทุนปลูกนั่นนี้เลี้ยงนั้นนี้เป็นอาหารทันทีอาจยั่งยืนด้วยที่6แสนล้านบาทถึง1ล้านล้านบาทเอง,แต่ต้นทุนทางการเกษตรจากน้ำมันลิตรละ1-2บาทลดลงด้วยนะ 1ไร่อาจทำนาแค่30-60บาทต่อไร่เลย,ปุ๋ยกระสอบละ5-10บาทเองเพราะรัฐบาลส่งเสริมตรึมมากมายหลายทางตลอดค้าออฟไลน์ออนไลน์ก็สร้างแพลตฟอร์มเรียลไทม์รองรับตลาดไว้ให้ทั้งขายภายในประเทศและต่างประเทศฟรีๆไร้การเก็บค่าใดๆแบบแอปเอกชน ขายราคาไม่แพงตรงปลอดสารพิษจากสวนจากโรงงานร้านค้าตลอดประสานขนส่งโลจิตส์ต่างๆถูกๆอีกภายในประเทศ,หมุนเวียนทั่วโลกอาจกว่า100ล้านล้านบาทต่อปีในทุกๆสัมมาอาชีพสไตล์ไทยเรา,คือกาก กระจอกจริงๆ แค่มีผู้นำดีบนแผ่นดินไทย ขึ้นว่าคนจนยากจนจะไม่มีบนแผ่นดินไทยเลย,พื้นๆคนไทยทุกๆคน อาจมีตังในบัญชีเงินฝากกองทุนแห่งชาติไทยตนเองมิใช่ในธนาคารเอกชนนะ อาจคนละ10ล้านบาทต่อปีขั้นต่ำในทุกๆคนไทยเรา,ไม่เกิน4-5ปีก็ว่า,หรือพื้นฐานครัวเรือนคนไทยทุกๆครัวเรือนกว่า20ล้านครัวเรือนนี้ในสถานะประชาชนทั่วไปด้วยอาจมีกันคนละ20ล้านบาทต่อปีต่อครัวเรือนนั้นๆก็ว่า,หรือไม่ต่ำกว่าล้านบาทต่อปีก็ว่าหมุนเวียนในสัมมาชีวิตสัมมาอาชีพเขาในรากฐานเศรษฐกิจเพียงพอพอเพียงแบบไทยเรา,ทุกๆคนมีเพียงพอพอเพียงในปากท้องการกินอยู่การมีตังมีเงินทองคู่ศีลธรรมความดีงามบนระดับจิตใจที่เลิศค่าสไตล์เมืองยิ้มคนไทยเรานี้ล่ะ, ..คนดีคนเก่งบนแผ่นดินไทยเราธรรมดาที่ไหนมีไม่น้อยด้วย,ทหารพระราชาเราต้องตัดสิ้นใจเด็ดขาดจริงๆ,โลกไม่เหมือนเดิมแล้ว,เงาชั่วร้ายบนความล้ำสมัยอันตรายกว่ายุคเก่าก่อนทวีคูณยกกำลังสิบนะ,จะมาเล่นๆทำเล่นๆไม่ได้,เผด็จการคอมมิวนิสต์ก็เป็นฝ่ายมืดส่งออก,ประชาธิปไตยก็ฝ่ายมืดส่งออกนะ,แต่ระบบพระมหากษัตริย์ไม่ใช่,เราคือระบบพ่อแม่ปกครองลูก,ถ้าไม่ใช่ระบบนี้ ระบบพระมหากษัตริย์ประจำประเทศไทยจะเป็นแบบฝรั่งเศสสิ้นซากทันที,และเรามีพระพุทธศาสนาค้ำจุนระดับจิตใจกายนัยของคนไทยมิเช่นนั้นก็ไปวัดเช่นกัน,ตลอดสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายผู้มีฤทธิ์ในแต่ล่ะสภาวะกายจิตนั้นอีกตรึมเต็มประเทศ จึงไม่ธรรมดาเลย ถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระอรหันต์ที่เหาะเหินเดินอากาศไปมาตรึมในไทยที่มิไปไหนอีกยังคุ้มครองคนดีบนแผ่นดินไทยคุ้มครองพระพุทธศาสนาจนจะสิ้น5,000ปีอีก,ศาสนาอื่นเพียงมาพึ่งพาอาศัยเท่านั้น,หลักๆคือพระมหากษัตริย์เรา พระพุทธศาสนาและเรา..ประชาชน จึงร่วมดำรงชาติไทยเราไว้ได้ อเมริกาขี้หมา เอาแต่ได้เห็นแก่ตัวปล้นชิงแย่งสมบัติทรัพยากรเราเป็นอันดับหนึ่งสายใต้ดินทางลับโน้น,โกงแบบลับๆกินแบบแอบๆลับๆไม่บอกใคร,ญี่ปุ่นว่าทำสัญญาเหี้ยในอดีต แต่อเมริกาเหี้ยกว่ามากแดกเราทั้งประเทศเลย,สงครามเป็นอันมากบนโลกนี้ก็พวกฝรั่งยุโรปอเมริกาทั้งนั้นปั่นป่วนวุ่นวายจะขายเครื่องจักรอาวุธ,อนาคตมันจะขายหุ่นยนต์รบเร็วๆนี้ล่ะ,จีนผลิตเต็มใต้ดิน ไม่ต่างจากอเมริกาหรอกหรือรัสเชียยุโรปด้วยหรือในหลายๆประเทศทั่วโลกทำที่ใต้ดินตรึมแล้ว,หนังคนเหล็กนั่นล่ะคือตัวอย่างๆ,ผู้นำไทยเราจึงสำคัญมากในการจะปกป้องรักษาบ้านเราเองไว้มิให้ใครมาทำลายง่ายๆตราบใดที่มนุษย์โลกยังต่ำไม่สามารถยกระดับจิตระดับใจให้สูงขึ้นเป็นอันมากเป็นอันหมู่มากยังไม่ได้, ..ในที่นี้ ทรัมป์มันก็ทำเพื่อประเทศมัน,เราประเทศไทยล่ะ ต้องยุบสถาบันนักการเมืองลงจริงๆเลย จะชั่วคราวหรือถาวรก็ตาม ประเทศไทยต้องสร้างระบบปกครองตนเองใหม่จริงๆในสไตล์ของเรา..ประเทศไทยตนเองเป็นของตนเอง. .. ..https://youtu.be/9a4L5BVu0Bw?si=mbP9Lexz3_sDgBZL
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • หากพูดถึงบริษัทแม่ที่อยู่เบื้องหลัง NTT DC REIT ก็คือ NTT Ltd. ซึ่งเป็นเครือในกลุ่มโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่อย่าง Nippon Telegraph and Telephone Corp. (NTT) จากญี่ปุ่น → ตอนนี้ NTT DC REIT เป็นเจ้าของดาต้าเซ็นเตอร์ 6 แห่งใน ออสเตรีย, สิงคโปร์ และสหรัฐฯ รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 1.57 พันล้านดอลลาร์

    บริษัทจะเริ่ม IPO วันที่ 14 กรกฎาคม 2025 → เสนอขายหน่วยทรัสต์จำนวน เกือบ 600 ล้านหน่วย ในราคาประมาณ 1 ดอลลาร์/หน่วย (หรือ 1.276 ดอลลาร์สิงคโปร์) → มี GIC (กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสิงคโปร์) ถือหุ้นเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่รองจาก NTT Ltd. โดย GIC ถือ 9.8% และ NTT Ltd. ถือ 25%

    แม้การลงทุนครั้งนี้จะเน้นสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับคลาวด์, AI และความต้องการ data ที่พุ่งสูงขึ้นในภูมิภาค → แต่ก็ยังต้องจับตาว่าการเปิด IPO ครั้งนี้จะสำเร็จแค่ไหน ในยุคที่ตลาดทุนผันผวน และการเติบโตของ edge computing กำลังเปลี่ยนบทบาทของดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิม

    NTT DC REIT เตรียมระดมทุน ~773 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่าน IPO บนตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์  
    • วันเริ่มเสนอขาย: 14 กรกฎาคม 2025  
    • ราคาต่อหน่วย: ~US$1.00 หรือ S$1.276

    ถือครองดาต้าเซ็นเตอร์รวม 6 แห่งใน 3 ประเทศ (ออสเตรีย, สิงคโปร์, สหรัฐฯ)  
    • มูลค่าทรัพย์สินรวม: 1.57 พันล้านดอลลาร์

    NTT Ltd. เป็นผู้สนับสนุนหลักของกองทรัสต์ (ถือ 25%)  
    • เป็นบริษัทลูกของกลุ่ม NTT จากญี่ปุ่น

    GIC (Singapore Sovereign Fund) ถือหุ้น 9.8% เป็นผู้ลงทุนหลักรองจาก NTT  
    • บ่งชี้ถึงความมั่นใจจากนักลงทุนเชิงสถาบัน

    วัตถุประสงค์: ใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานข้อมูล รองรับความต้องการ AI/Cloud ที่ขยายตัว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/singapore-data-centre-ntt-dc-reit-to-raise-around-773-million-from-ipo
    หากพูดถึงบริษัทแม่ที่อยู่เบื้องหลัง NTT DC REIT ก็คือ NTT Ltd. ซึ่งเป็นเครือในกลุ่มโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่อย่าง Nippon Telegraph and Telephone Corp. (NTT) จากญี่ปุ่น → ตอนนี้ NTT DC REIT เป็นเจ้าของดาต้าเซ็นเตอร์ 6 แห่งใน ออสเตรีย, สิงคโปร์ และสหรัฐฯ รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 1.57 พันล้านดอลลาร์ บริษัทจะเริ่ม IPO วันที่ 14 กรกฎาคม 2025 → เสนอขายหน่วยทรัสต์จำนวน เกือบ 600 ล้านหน่วย ในราคาประมาณ 1 ดอลลาร์/หน่วย (หรือ 1.276 ดอลลาร์สิงคโปร์) → มี GIC (กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสิงคโปร์) ถือหุ้นเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่รองจาก NTT Ltd. โดย GIC ถือ 9.8% และ NTT Ltd. ถือ 25% แม้การลงทุนครั้งนี้จะเน้นสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับคลาวด์, AI และความต้องการ data ที่พุ่งสูงขึ้นในภูมิภาค → แต่ก็ยังต้องจับตาว่าการเปิด IPO ครั้งนี้จะสำเร็จแค่ไหน ในยุคที่ตลาดทุนผันผวน และการเติบโตของ edge computing กำลังเปลี่ยนบทบาทของดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิม ✅ NTT DC REIT เตรียมระดมทุน ~773 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่าน IPO บนตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์   • วันเริ่มเสนอขาย: 14 กรกฎาคม 2025   • ราคาต่อหน่วย: ~US$1.00 หรือ S$1.276 ✅ ถือครองดาต้าเซ็นเตอร์รวม 6 แห่งใน 3 ประเทศ (ออสเตรีย, สิงคโปร์, สหรัฐฯ)   • มูลค่าทรัพย์สินรวม: 1.57 พันล้านดอลลาร์ ✅ NTT Ltd. เป็นผู้สนับสนุนหลักของกองทรัสต์ (ถือ 25%)   • เป็นบริษัทลูกของกลุ่ม NTT จากญี่ปุ่น ✅ GIC (Singapore Sovereign Fund) ถือหุ้น 9.8% เป็นผู้ลงทุนหลักรองจาก NTT   • บ่งชี้ถึงความมั่นใจจากนักลงทุนเชิงสถาบัน ✅ วัตถุประสงค์: ใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานข้อมูล รองรับความต้องการ AI/Cloud ที่ขยายตัว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/singapore-data-centre-ntt-dc-reit-to-raise-around-773-million-from-ipo
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Singapore data centre NTT DC REIT to raise around $773 million from IPO
    SINGAPORE (Reuters) -Singapore data centre real estate investment trust NTT DC REIT intends to raise gross proceeds of around $773 million from its initial public offering on the domestic bourse, it said on Monday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าคุณเคยรู้สึกว่าเวลาเข้าไปที่หน้า Settings หรือเปิดหน้า Split Screen ใน Microsoft Edge แล้วมันช้า ๆ หน่วง ๆ นิด ๆ ตอนนี้แหละคือจุดเปลี่ยนใหญ่แล้วครับ → เพราะ Microsoft พัฒนาเบื้องหลังของเบราว์เซอร์ใหม่เรียกว่า WebUI 2.0 → ใช้เทคนิคโหลดหน้าจอแบบเบา–รวดเร็ว ทำให้ “First Contentful Paint (FCP)” หรือความเร็วที่ UI ปรากฏครั้งแรก เร็วขึ้นเหลือต่ำกว่า 300 มิลลิวินาที

    แปลว่าผู้ใช้แทบไม่รู้สึกว่า “รอ” อยู่เลยในหลาย ๆ เมนู → และจากการวัดผลโดย Microsoft เอง ฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ Edge เช่น Split Screen, Workspaces, Read Aloud และ Settings ก็โหลดเร็วขึ้น เฉลี่ย 40%

    นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขสวยงาม เพราะ Microsoft ยังโชว์วิดีโอเปรียบเทียบให้ดูว่า → หน้า Settings ตอนนี้ “โผล่มาแทบจะทันที” → และประกาศว่าอีกหลายส่วนของเบราว์เซอร์ อย่าง Print Preview และ Extensions กำลังจะย้ายมาใช้ WebUI 2.0 ต่อในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

    สิ่งนี้สะท้อนว่า Microsoft กำลัง “ฟังเสียงผู้ใช้” และไม่ใช่แค่ใส่ฟีเจอร์ที่น่ารำคาญอย่างโฆษณาหรือป๊อปอัปอีกต่อไป

    Microsoft Edge โหลด UI ได้เร็วขึ้นแบบรู้สึกได้ด้วยการเปลี่ยนไปใช้ WebUI 2.0  
    • FCP ต่ำกว่า 300ms → ประสบการณ์ใช้งานลื่นขึ้นชัดเจน  
    • ตามมาตรฐาน “ความเร็วสมัยใหม่” เทียบชั้นเบราว์เซอร์คู่แข่ง

    หลังอัปเดต WebUI 2.0 ไปยัง 13 ฟีเจอร์ พบว่าโหลดเร็วขึ้นเฉลี่ย 40%  
    • เช่น Settings, Read Aloud, Split Screen, Workspaces

    Microsoft เผยแผนจะขยาย WebUI 2.0 ไปยังส่วนอื่น เช่น Print Preview และ Extensions  
    • คาดว่าจะมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

    การตัด “bloat” ใน Edge ช่วยให้เบราว์เซอร์เร็วขึ้นโดยรวม  
    • Microsoft เน้นว่าไม่ได้แค่เพิ่มความเร็ว แต่ยังลดการรบกวนผู้ใช้ (โฆษณา, ป๊อปอัป ฯลฯ)


    https://www.neowin.net/news/microsoft-edge-is-now-significantly-faster-than-before/
    ถ้าคุณเคยรู้สึกว่าเวลาเข้าไปที่หน้า Settings หรือเปิดหน้า Split Screen ใน Microsoft Edge แล้วมันช้า ๆ หน่วง ๆ นิด ๆ ตอนนี้แหละคือจุดเปลี่ยนใหญ่แล้วครับ → เพราะ Microsoft พัฒนาเบื้องหลังของเบราว์เซอร์ใหม่เรียกว่า WebUI 2.0 → ใช้เทคนิคโหลดหน้าจอแบบเบา–รวดเร็ว ทำให้ “First Contentful Paint (FCP)” หรือความเร็วที่ UI ปรากฏครั้งแรก เร็วขึ้นเหลือต่ำกว่า 300 มิลลิวินาที แปลว่าผู้ใช้แทบไม่รู้สึกว่า “รอ” อยู่เลยในหลาย ๆ เมนู → และจากการวัดผลโดย Microsoft เอง ฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ Edge เช่น Split Screen, Workspaces, Read Aloud และ Settings ก็โหลดเร็วขึ้น เฉลี่ย 40% นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขสวยงาม เพราะ Microsoft ยังโชว์วิดีโอเปรียบเทียบให้ดูว่า → หน้า Settings ตอนนี้ “โผล่มาแทบจะทันที” → และประกาศว่าอีกหลายส่วนของเบราว์เซอร์ อย่าง Print Preview และ Extensions กำลังจะย้ายมาใช้ WebUI 2.0 ต่อในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า สิ่งนี้สะท้อนว่า Microsoft กำลัง “ฟังเสียงผู้ใช้” และไม่ใช่แค่ใส่ฟีเจอร์ที่น่ารำคาญอย่างโฆษณาหรือป๊อปอัปอีกต่อไป ✅ Microsoft Edge โหลด UI ได้เร็วขึ้นแบบรู้สึกได้ด้วยการเปลี่ยนไปใช้ WebUI 2.0   • FCP ต่ำกว่า 300ms → ประสบการณ์ใช้งานลื่นขึ้นชัดเจน   • ตามมาตรฐาน “ความเร็วสมัยใหม่” เทียบชั้นเบราว์เซอร์คู่แข่ง ✅ หลังอัปเดต WebUI 2.0 ไปยัง 13 ฟีเจอร์ พบว่าโหลดเร็วขึ้นเฉลี่ย 40%   • เช่น Settings, Read Aloud, Split Screen, Workspaces ✅ Microsoft เผยแผนจะขยาย WebUI 2.0 ไปยังส่วนอื่น เช่น Print Preview และ Extensions   • คาดว่าจะมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ✅ การตัด “bloat” ใน Edge ช่วยให้เบราว์เซอร์เร็วขึ้นโดยรวม   • Microsoft เน้นว่าไม่ได้แค่เพิ่มความเร็ว แต่ยังลดการรบกวนผู้ใช้ (โฆษณา, ป๊อปอัป ฯลฯ) https://www.neowin.net/news/microsoft-edge-is-now-significantly-faster-than-before/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft Edge is now significantly faster than before
    Recent changes in Microsoft Edge have made the browser significantly faster, giving users a valid reason to stay away from other browsers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใน Windows 11 และ Windows Server 2025 นั้น ระบบต้องใช้ TPM 2.0 เป็นเงื่อนไขหลัก → เพื่อเปิดใช้ BitLocker, Secure Boot และความปลอดภัยอื่น ๆ → แต่พอรัน VM ด้วย Hyper-V (แบบ Generation 2) มักจะใช้ vTPM แทนฮาร์ดแวร์จริง

    สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ vTPM แต่ละเครื่องเสมือนจะ ผูกกับใบรับรองดิจิทัล (self-signed certificates) ที่สร้างโดยเครื่องโฮสต์เดิม → ถ้าย้าย VM ไปยังเครื่องใหม่โดยไม่ย้ายใบรับรองตามไปด้วย… → การเปิดใช้ VM จะล้มเหลวทันที เพราะระบบไม่สามารถถอดรหัสข้อมูล BitLocker ได้!

    ข่าวดีคือ Microsoft เพิ่งออกคู่มือ “ละเอียดยิบ” บอกวิธี export/import ใบรับรองทั้งสองใบนี้ → พร้อมคำสั่ง PowerShell ให้เอาไปใช้ได้เลย → ป้องกัน VM ร่วง, ข้อมูลลับปลดล็อกไม่ได้ หรือ downtime จากการย้ายเครื่องผิดวิธี

    สาระสำคัญจากข่าว:
    Microsoft เผยวิธีการย้าย vTPM-enabled VM ระหว่าง Hyper-V hosts อย่างปลอดภัย  
    • รองรับ Windows 11 และ Server 2025 ที่ต้องใช้ TPM  
    • ป้องกันความล้มเหลวจากการย้าย VM โดยไม่ได้ย้าย certificate

    Hyper-V สร้างใบรับรองเอง 2 ใบให้แต่ละ VM ที่ใช้ vTPM:  
    • Shielded VM Encryption Certificate (UntrustedGuardian)(ComputerName)  
    • Shielded VM Signing Certificate (UntrustedGuardian)(ComputerName)  
    • เก็บไว้ใน MMC > Certificates > Local Computer > Personal > “Shielded VM Local Certificates”

    ใบรับรองมีอายุ 10 ปี ใช้ผูกกับการเข้ารหัส BitLocker และระบบ TPM ของ VM  
    • สำคัญมาก — ถ้าไม่มีใบนี้, VM จะไม่สามารถ boot ได้เมื่อย้าย host

    ผู้ดูแลระบบต้อง export ใบรับรองทั้งสองใบ (พร้อม private key) ไปเป็น .PFX แล้ว import บน host ใหม่  
    • Microsoft มีตัวอย่างคำสั่ง PowerShell ให้ใช้โดยตรง  
    • พร้อมคู่มือการ update เมื่อใกล้หมดอายุ

    รองรับทั้งการ live migration และ manual export/import
    • ใช้ได้กับงานคลาวด์, องค์กร, ระบบ DEV/UAT ที่ต้องเคลื่อน VM บ่อย

    หากไม่ย้ายใบรับรอง → VM จะเปิดไม่ติด เพราะระบบไม่เชื่อว่าเป็นเครื่องเดิม  
    • ข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ เช่น BitLocker จะถูกล็อกถาวร

    เครื่องใหม่จะถือว่าใบรับรองนั้นเป็น “Untrusted” เว้นแต่ import ไปอย่างถูกต้อง

    vTPM Certificate ถูกผูกไว้กับ “เครื่องโฮสต์” ไม่ใช่ VM เอง → การ clone/copy VM ก็ใช้ใบเดิมไม่ได้

    การสั่งลบ VM โดยไม่ backup ใบรับรอง → อาจทำให้ VM ใช้การไม่ได้ตลอดกาล

    ยังมีผู้ใช้จำนวนมากที่ย้าย VM แบบไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน → เสี่ยงเกิด “VM Brick” เงียบ ๆ ในองค์กร

    https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-detailed-guide-to-meet-windows-11-tpm-requirements-when-moving-vms/
    ใน Windows 11 และ Windows Server 2025 นั้น ระบบต้องใช้ TPM 2.0 เป็นเงื่อนไขหลัก → เพื่อเปิดใช้ BitLocker, Secure Boot และความปลอดภัยอื่น ๆ → แต่พอรัน VM ด้วย Hyper-V (แบบ Generation 2) มักจะใช้ vTPM แทนฮาร์ดแวร์จริง สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ vTPM แต่ละเครื่องเสมือนจะ ผูกกับใบรับรองดิจิทัล (self-signed certificates) ที่สร้างโดยเครื่องโฮสต์เดิม → ถ้าย้าย VM ไปยังเครื่องใหม่โดยไม่ย้ายใบรับรองตามไปด้วย… → การเปิดใช้ VM จะล้มเหลวทันที เพราะระบบไม่สามารถถอดรหัสข้อมูล BitLocker ได้! ข่าวดีคือ Microsoft เพิ่งออกคู่มือ “ละเอียดยิบ” บอกวิธี export/import ใบรับรองทั้งสองใบนี้ → พร้อมคำสั่ง PowerShell ให้เอาไปใช้ได้เลย → ป้องกัน VM ร่วง, ข้อมูลลับปลดล็อกไม่ได้ หรือ downtime จากการย้ายเครื่องผิดวิธี ✅ สาระสำคัญจากข่าว: ✅ Microsoft เผยวิธีการย้าย vTPM-enabled VM ระหว่าง Hyper-V hosts อย่างปลอดภัย   • รองรับ Windows 11 และ Server 2025 ที่ต้องใช้ TPM   • ป้องกันความล้มเหลวจากการย้าย VM โดยไม่ได้ย้าย certificate ✅ Hyper-V สร้างใบรับรองเอง 2 ใบให้แต่ละ VM ที่ใช้ vTPM:   • Shielded VM Encryption Certificate (UntrustedGuardian)(ComputerName)   • Shielded VM Signing Certificate (UntrustedGuardian)(ComputerName)   • เก็บไว้ใน MMC > Certificates > Local Computer > Personal > “Shielded VM Local Certificates” ✅ ใบรับรองมีอายุ 10 ปี ใช้ผูกกับการเข้ารหัส BitLocker และระบบ TPM ของ VM   • สำคัญมาก — ถ้าไม่มีใบนี้, VM จะไม่สามารถ boot ได้เมื่อย้าย host ✅ ผู้ดูแลระบบต้อง export ใบรับรองทั้งสองใบ (พร้อม private key) ไปเป็น .PFX แล้ว import บน host ใหม่   • Microsoft มีตัวอย่างคำสั่ง PowerShell ให้ใช้โดยตรง   • พร้อมคู่มือการ update เมื่อใกล้หมดอายุ ✅ รองรับทั้งการ live migration และ manual export/import • ใช้ได้กับงานคลาวด์, องค์กร, ระบบ DEV/UAT ที่ต้องเคลื่อน VM บ่อย ‼️ หากไม่ย้ายใบรับรอง → VM จะเปิดไม่ติด เพราะระบบไม่เชื่อว่าเป็นเครื่องเดิม   • ข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ เช่น BitLocker จะถูกล็อกถาวร ‼️ เครื่องใหม่จะถือว่าใบรับรองนั้นเป็น “Untrusted” เว้นแต่ import ไปอย่างถูกต้อง ‼️ vTPM Certificate ถูกผูกไว้กับ “เครื่องโฮสต์” ไม่ใช่ VM เอง → การ clone/copy VM ก็ใช้ใบเดิมไม่ได้ ‼️ การสั่งลบ VM โดยไม่ backup ใบรับรอง → อาจทำให้ VM ใช้การไม่ได้ตลอดกาล ‼️ ยังมีผู้ใช้จำนวนมากที่ย้าย VM แบบไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน → เสี่ยงเกิด “VM Brick” เงียบ ๆ ในองค์กร https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-detailed-guide-to-meet-windows-11-tpm-requirements-when-moving-vms/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft shares detailed guide to meet Windows 11 TPM requirements when moving VMs
    Microsoft has published a detailed guide on how to meet the requirements of Windows 11 TPM 2.0 when moving and migrating virtual machines.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI: พลังขับเคลื่อนความก้าวหน้า... หรือเร่งโลกให้ร้อนขึ้น?

    บทนำ: ยุค AI กับผลกระทบที่มองไม่เห็น
    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงโลก จากการค้นหาข้อมูล รถยนต์ไร้คนขับ ไปจนถึงการวินิจฉัยทางการแพทย์ แต่ความก้าวหน้านี้มาพร้อมต้นทุนที่ซ่อนอยู่: การใช้พลังงานมหาศาลและความร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภาวะโลกร้อน บทความนี้สำรวจสาเหตุที่ AI ใช้พลังงานมาก ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน

    AI กับความต้องการพลังงานมหาศาล

    ทำไม AI ถึงใช้พลังงานมาก?
    AI โดยเฉพาะโมเดลกำเนิด เช่น GPT-4 ต้องการพลังการประมวลผลสูง ใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPUs) และหน่วยประมวลผลเทนเซอร์ (TPUs) ซึ่งกินไฟมากและสร้างความร้อนที่ต้องระบายด้วยระบบทำความเย็นซับซ้อน การฝึกโมเดล เช่น GPT-3 ใช้ไฟฟ้า ~1,300 MWh และ GPT-4 ใช้ ~1,750 MWh ส่วนการอนุมาน (เช่น การสอบถาม ChatGPT) ใช้พลังงานรวมมากกว่าการฝึกเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก

    ตัวอย่างการใช้พลังงาน
    - ชั้นวาง AI ใช้ไฟมากกว่าครัวเรือนสหรัฐฯ 39 เท่า
    - การฝึก GPT-3 เทียบเท่าการใช้ไฟของบ้าน 120-130 หลังต่อปี
    - การสอบถาม ChatGPT ครั้งหนึ่งใช้พลังงานมากกว่าการค้นหา Google 10-15 เท่า และปล่อย CO2 มากกว่า 340 เท่า
    - ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกในปี 2022 ใช้ไฟ 460 TWh และคาดว่าในปี 2026 จะเพิ่มเป็น ~1,050 TWh เทียบเท่าการใช้ไฟของเยอรมนี

    ความร้อนจาก AI: ตัวเร่งโลกร้อน

    จากไฟฟ้าสู่ความร้อน
    พลังงานไฟฟ้าที่ AI ใช้เกือบทั้งหมดแปลงเป็นความร้อน โดย 1 วัตต์ผลิตความร้อน 3.412 BTU/ชั่วโมง GPUs สมัยใหม่ใช้ไฟเกิน 1,000 วัตต์ต่อตัว สร้างความร้อนที่ต้องระบาย

    รอยเท้าคาร์บอนและน้ำ
    การฝึกโมเดล AI ปล่อย CO2 ได้ถึง 284 ตัน เทียบเท่ารถยนต์สหรัฐฯ 5 คันต่อปี การระบายความร้อนศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าถึง 40% และน้ำราว 2 ลิตรต่อ kWh โดย ChatGPT-4o ใช้น้ำเทียบเท่าความต้องการน้ำดื่มของ 1.2 ล้านคนต่อปี คาดว่าภายในปี 2030 ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าฝรั่งเศสทั้งประเทศ

    ความท้าทายด้านความร้อน
    ความร้อนสูงเกินไปทำให้ประสิทธิภาพลดลง อายุฮาร์ดแวร์สั้นลง และระบบไม่เสถียร การระบายความร้อนด้วยอากาศแบบดั้งเดิมไม่เพียงพอต่อความร้อนจาก AI สมัยใหม่ และระบบทำความเย็นใช้พลังงานสูง ตัวอย่างการใช้พลังงาน GPU ในอนาคต:
    - ปี 2025 (Blackwell Ultra): 1,400W, ใช้การระบายความร้อนแบบ Direct-to-Chip
    - ปี 2027 (Rubin Ultra): 3,600W, ใช้ Direct-to-Chip
    - ปี 2029 (Feynman Ultra): 6,000W, ใช้ Immersion Cooling
    - ปี 2032: 15,360W, ใช้ Embedded Cooling

    นวัตกรรมเพื่อ AI ที่ยั่งยืน

    การระบายความร้อนที่ชาญฉลาด
    - การระบายความร้อนด้วยของLikely ResponseHed: มีประสิทธิภาพสูงกว่าอากาศ 3000 เท่า ใช้ในระบบ Direct-to-Chip และ Immersion Cooling
    - ระบบ HVAC ขั้นสูง: ใช้การระบายความร้อนแบบระเหยและท่อความร้อน ลดการใช้พลังงานและน้ำ
    - ตัวชี้วัด TUE: วัดประสิทธิภาพพลังงานโดยรวมของศูนย์ข้อมูล

    การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน
    - การตัดแต่งโมเดล/ควอนไทซ์: ลดขนาดโมเดลและพลังงานที่ใช้
    - การกลั่นความรู้: ถ่ายทอดความรู้สู่โมเดลขนาดเล็ก
    - ชิปประหยัดพลังงาน: เช่น TPUs และ NPUs
    - AI จัดการพลังงาน: ใช้ AI วิเคราะห์และลดการใช้พลังงานในโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ
    - Edge Computing: ลดการส่งข้อมูลไปยังคลาวด์

    พลังงานหมุนเวียน
    ศูนย์ข้อมูลเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และน้ำ รวมถึงนวัตกรรมอย่างการระบายความร้อนด้วยน้ำทะเลและพลังงานแสงอาทิตย์แบบ Dispatchable

    ความรับผิดชอบร่วมกัน

    ความโปร่งใสของบริษัท AI
    บริษัทควรเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและรอยเท้าคาร์บอน เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบ

    นโยบายและกฎระเบียบ
    รัฐบาลทั่วโลกผลักดันนโยบาย Green AI เช่น กฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป เพื่อความยั่งยืน

    บทบาทของนักพัฒนาและผู้ใช้
    - นักพัฒนา: เลือกโมเดลและฮาร์ดแวร์ประหยัดพลังงาน ใช้เครื่องมือติดตามคาร์บอน
    - ผู้ใช้: ตระหนักถึงการใช้พลังงานของ AI และสนับสนุนบริษัทที่ยั่งยืน

    บทสรุป: วิสัยทัศน์ Green AI
    AI มีศักยภาพเปลี่ยนแปลงโลก แต่ต้องจัดการกับการใช้พลังงานและความร้อนที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน ด้วยนวัตกรรมการระบายความร้อน การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน และพลังงานหมุนเวียน รวมถึงความโปร่งใสและนโยบายที่เหมาะสม เราสามารถสร้างอนาคต AI ที่ยั่งยืน โดยไม่ต้องเลือกว่าจะพัฒนา AI หรือรักษาสภาพภูมิอากาศ

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🌍 AI: พลังขับเคลื่อนความก้าวหน้า... หรือเร่งโลกให้ร้อนขึ้น? 📝 บทนำ: ยุค AI กับผลกระทบที่มองไม่เห็น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงโลก จากการค้นหาข้อมูล รถยนต์ไร้คนขับ ไปจนถึงการวินิจฉัยทางการแพทย์ แต่ความก้าวหน้านี้มาพร้อมต้นทุนที่ซ่อนอยู่: การใช้พลังงานมหาศาลและความร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภาวะโลกร้อน บทความนี้สำรวจสาเหตุที่ AI ใช้พลังงานมาก ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ⚡ AI กับความต้องการพลังงานมหาศาล ❓ ทำไม AI ถึงใช้พลังงานมาก? AI โดยเฉพาะโมเดลกำเนิด เช่น GPT-4 ต้องการพลังการประมวลผลสูง ใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPUs) และหน่วยประมวลผลเทนเซอร์ (TPUs) ซึ่งกินไฟมากและสร้างความร้อนที่ต้องระบายด้วยระบบทำความเย็นซับซ้อน การฝึกโมเดล เช่น GPT-3 ใช้ไฟฟ้า ~1,300 MWh และ GPT-4 ใช้ ~1,750 MWh ส่วนการอนุมาน (เช่น การสอบถาม ChatGPT) ใช้พลังงานรวมมากกว่าการฝึกเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก 📊 ตัวอย่างการใช้พลังงาน - ชั้นวาง AI ใช้ไฟมากกว่าครัวเรือนสหรัฐฯ 39 เท่า - การฝึก GPT-3 เทียบเท่าการใช้ไฟของบ้าน 120-130 หลังต่อปี - การสอบถาม ChatGPT ครั้งหนึ่งใช้พลังงานมากกว่าการค้นหา Google 10-15 เท่า และปล่อย CO2 มากกว่า 340 เท่า - ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกในปี 2022 ใช้ไฟ 460 TWh และคาดว่าในปี 2026 จะเพิ่มเป็น ~1,050 TWh เทียบเท่าการใช้ไฟของเยอรมนี 🔥 ความร้อนจาก AI: ตัวเร่งโลกร้อน 🌡️ จากไฟฟ้าสู่ความร้อน พลังงานไฟฟ้าที่ AI ใช้เกือบทั้งหมดแปลงเป็นความร้อน โดย 1 วัตต์ผลิตความร้อน 3.412 BTU/ชั่วโมง GPUs สมัยใหม่ใช้ไฟเกิน 1,000 วัตต์ต่อตัว สร้างความร้อนที่ต้องระบาย 🌱 รอยเท้าคาร์บอนและน้ำ การฝึกโมเดล AI ปล่อย CO2 ได้ถึง 284 ตัน เทียบเท่ารถยนต์สหรัฐฯ 5 คันต่อปี การระบายความร้อนศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าถึง 40% และน้ำราว 2 ลิตรต่อ kWh โดย ChatGPT-4o ใช้น้ำเทียบเท่าความต้องการน้ำดื่มของ 1.2 ล้านคนต่อปี คาดว่าภายในปี 2030 ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าฝรั่งเศสทั้งประเทศ 🛠️ ความท้าทายด้านความร้อน ความร้อนสูงเกินไปทำให้ประสิทธิภาพลดลง อายุฮาร์ดแวร์สั้นลง และระบบไม่เสถียร การระบายความร้อนด้วยอากาศแบบดั้งเดิมไม่เพียงพอต่อความร้อนจาก AI สมัยใหม่ และระบบทำความเย็นใช้พลังงานสูง ตัวอย่างการใช้พลังงาน GPU ในอนาคต: - ปี 2025 (Blackwell Ultra): 1,400W, ใช้การระบายความร้อนแบบ Direct-to-Chip - ปี 2027 (Rubin Ultra): 3,600W, ใช้ Direct-to-Chip - ปี 2029 (Feynman Ultra): 6,000W, ใช้ Immersion Cooling - ปี 2032: 15,360W, ใช้ Embedded Cooling 🌱 นวัตกรรมเพื่อ AI ที่ยั่งยืน 💧 การระบายความร้อนที่ชาญฉลาด - การระบายความร้อนด้วยของLikely ResponseHed: มีประสิทธิภาพสูงกว่าอากาศ 3000 เท่า ใช้ในระบบ Direct-to-Chip และ Immersion Cooling - ระบบ HVAC ขั้นสูง: ใช้การระบายความร้อนแบบระเหยและท่อความร้อน ลดการใช้พลังงานและน้ำ - ตัวชี้วัด TUE: วัดประสิทธิภาพพลังงานโดยรวมของศูนย์ข้อมูล 🖥️ การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน - การตัดแต่งโมเดล/ควอนไทซ์: ลดขนาดโมเดลและพลังงานที่ใช้ - การกลั่นความรู้: ถ่ายทอดความรู้สู่โมเดลขนาดเล็ก - ชิปประหยัดพลังงาน: เช่น TPUs และ NPUs - AI จัดการพลังงาน: ใช้ AI วิเคราะห์และลดการใช้พลังงานในโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ - Edge Computing: ลดการส่งข้อมูลไปยังคลาวด์ ☀️ พลังงานหมุนเวียน ศูนย์ข้อมูลเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และน้ำ รวมถึงนวัตกรรมอย่างการระบายความร้อนด้วยน้ำทะเลและพลังงานแสงอาทิตย์แบบ Dispatchable 🤝 ความรับผิดชอบร่วมกัน 📊 ความโปร่งใสของบริษัท AI บริษัทควรเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและรอยเท้าคาร์บอน เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบ 📜 นโยบายและกฎระเบียบ รัฐบาลทั่วโลกผลักดันนโยบาย Green AI เช่น กฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป เพื่อความยั่งยืน 🧑‍💻 บทบาทของนักพัฒนาและผู้ใช้ - นักพัฒนา: เลือกโมเดลและฮาร์ดแวร์ประหยัดพลังงาน ใช้เครื่องมือติดตามคาร์บอน - ผู้ใช้: ตระหนักถึงการใช้พลังงานของ AI และสนับสนุนบริษัทที่ยั่งยืน 🌟 บทสรุป: วิสัยทัศน์ Green AI AI มีศักยภาพเปลี่ยนแปลงโลก แต่ต้องจัดการกับการใช้พลังงานและความร้อนที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน ด้วยนวัตกรรมการระบายความร้อน การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน และพลังงานหมุนเวียน รวมถึงความโปร่งใสและนโยบายที่เหมาะสม เราสามารถสร้างอนาคต AI ที่ยั่งยืน โดยไม่ต้องเลือกว่าจะพัฒนา AI หรือรักษาสภาพภูมิอากาศ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครที่รู้สึกว่า Windows 11 “ดูสวยแต่ไม่ถนัด” หรือเสียดายหน้าตาแบบ Windows XP กับ 98 บอกเลยว่า Windows CR อาจโดนใจคุณ → ในวิดีโอคอนเซปต์นี้ เราจะเห็น การผสมผสานของอินเทอร์เฟซยุคเก่า เข้ากับลูกเล่นใหม่ → เช่น Start Menu ที่มีทั้งแบบ XP กับแบบ 11, File Explorer ดีไซน์คลาสสิก, Widgets แบบ 2000s และ Clippy กลับมารับบทผู้ช่วย AI แทน Copilot

    https://youtu.be/YB6H0gLochM?si=7ZJMuaQnmcJ9lc2_

    จุดเด่นอีกอย่างคือ screensaver ท่อ 3 มิติในตำนานก็กลับมา พร้อมเสียงและแอนิเมชันที่ชวนให้นึกถึงคอมพิวเตอร์ยุคก่อน → ทั้งหมดนี้ถูกยกเครื่องให้ดูเนียนตากับดีไซน์ยุคปัจจุบัน → แม้ว่าจะยังมีจุดไม่เรียบร้อย เช่น สะกดผิดในบางหน้าจอ หรือตอนโหลดไฟล์ที่ช้าไปนิด แต่ก็ถือว่าน่าสนใจมากในเชิงแนวคิด

    Windows CR คือแนวคิดระบบปฏิบัติการที่รวม Windows ยุคต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน  
    • มีองค์ประกอบจาก Windows 98, XP, 10 และ 11  
    • รวม aesthetic คลาสสิกกับฟีเจอร์สมัยใหม่

    มีฟีเจอร์เด่นที่ปรับปรุงใหม่ เช่น:  
    • Start Menu ที่รวมดีไซน์ยุคเก่าและใหม่  
    • File Explorer คล้าย Windows XP  
    • Screensaver 3D pipes ในตำนาน  
    • Widgets สไตล์ยุค 2000  
    • Clippy กลับมาเป็นผู้ช่วย AI

    สร้างโดยนักออกแบบแนวคิด “AR 4789” ผู้เคยออกแบบ Windows 12 และ Windows 11X มาแล้ว  
    • เผยแพร่ผ่าน YouTube Channel  
    • ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จริงจาก Microsoft

    จุดประสงค์คือ “ปลุกความทรงจำ + เสริมฟังก์ชันใหม่ในแบบที่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง”

    นี่เป็นแค่ “คอนเซปต์” ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จริง  
    • Microsoft ไม่มีแผนเปิดตัว Windows ลักษณะนี้  
    • ผู้ใช้อย่าคาดหวังว่าจะสามารถดาวน์โหลดหรือใช้งานได้จริง

    https://www.neowin.net/news/windows-classic-remastered-concept-is-the-fusion-of-your-favorite-versions-of-windows/
    ใครที่รู้สึกว่า Windows 11 “ดูสวยแต่ไม่ถนัด” หรือเสียดายหน้าตาแบบ Windows XP กับ 98 บอกเลยว่า Windows CR อาจโดนใจคุณ → ในวิดีโอคอนเซปต์นี้ เราจะเห็น การผสมผสานของอินเทอร์เฟซยุคเก่า เข้ากับลูกเล่นใหม่ → เช่น Start Menu ที่มีทั้งแบบ XP กับแบบ 11, File Explorer ดีไซน์คลาสสิก, Widgets แบบ 2000s และ Clippy กลับมารับบทผู้ช่วย AI แทน Copilot https://youtu.be/YB6H0gLochM?si=7ZJMuaQnmcJ9lc2_ จุดเด่นอีกอย่างคือ screensaver ท่อ 3 มิติในตำนานก็กลับมา พร้อมเสียงและแอนิเมชันที่ชวนให้นึกถึงคอมพิวเตอร์ยุคก่อน → ทั้งหมดนี้ถูกยกเครื่องให้ดูเนียนตากับดีไซน์ยุคปัจจุบัน → แม้ว่าจะยังมีจุดไม่เรียบร้อย เช่น สะกดผิดในบางหน้าจอ หรือตอนโหลดไฟล์ที่ช้าไปนิด แต่ก็ถือว่าน่าสนใจมากในเชิงแนวคิด ✅ Windows CR คือแนวคิดระบบปฏิบัติการที่รวม Windows ยุคต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน   • มีองค์ประกอบจาก Windows 98, XP, 10 และ 11   • รวม aesthetic คลาสสิกกับฟีเจอร์สมัยใหม่ ✅ มีฟีเจอร์เด่นที่ปรับปรุงใหม่ เช่น:   • Start Menu ที่รวมดีไซน์ยุคเก่าและใหม่   • File Explorer คล้าย Windows XP   • Screensaver 3D pipes ในตำนาน   • Widgets สไตล์ยุค 2000   • Clippy กลับมาเป็นผู้ช่วย AI ✅ สร้างโดยนักออกแบบแนวคิด “AR 4789” ผู้เคยออกแบบ Windows 12 และ Windows 11X มาแล้ว   • เผยแพร่ผ่าน YouTube Channel   • ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จริงจาก Microsoft ✅ จุดประสงค์คือ “ปลุกความทรงจำ + เสริมฟังก์ชันใหม่ในแบบที่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง” ‼️ นี่เป็นแค่ “คอนเซปต์” ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จริง   • Microsoft ไม่มีแผนเปิดตัว Windows ลักษณะนี้   • ผู้ใช้อย่าคาดหวังว่าจะสามารถดาวน์โหลดหรือใช้งานได้จริง https://www.neowin.net/news/windows-classic-remastered-concept-is-the-fusion-of-your-favorite-versions-of-windows/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows Classic Remastered concept is the fusion of your favorite versions of Windows
    Windows Classic Remastered is the fusion of Windows 95, Windows 98, Windows XP, Windows 10, Windows 11, and more in one fun concept video.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • Aujourd’hui Emmanuel Macron a eu un entretien téléphonique avec la Première Ministre thaïlandaise Paetongtarn Shinawatra. Au cours de leur conversation, cette dernière aurait exprimé son souhait que la France contribue à créer une atmosphère propice à la reprise des négociations bilatérales sur les questions frontalières entre la Thaïlande et le Cambodge, selon Thai Enquirer.
    Emmanuel Macron aurait accepté de discuter de la question avec le Cambodge, selon le porte-parole du gouvernement thaïlandais Jirayu Huangsap.
    HUN Manet, le Premier Ministre cambodgien, lors de sa viste récente à Nice, aurait également mentionné à Emmanuel Macron cette épineuse question liée au conflit frontalier avec la Thaïlande. Ce dernier a répondu que la France pourrait jouer un rôle constructif.
    La délimitation de la frontière terrestre entre le Cambodge et la Thaïlande a été actée par la Convention Franco-siamoise du 13 Février 1904 et du traité du 23 Mars 1907 signé entre la France et le Siam avec la publication des cartes à l’échelle 1:200 000 en 1907 et 1908. Il y aurait eu 73-74 bornes érigées le long de cette frontière dont certaines n’ont pas été retrouvées.
    Depuis ce traité le problème de la délimitation et de la démarcation effectives de la frontière entre ces deux pays reste entier.
    Dans ce contexte, le rôle de la France est crucial pour amener les deux parties à négocier sur la base de ce Traité et des cartes déjà publiées tout en apportant éventuellement une expertise technique complémentaire.
    C’est la responsabilité morale de la France vis à vis d’un passé commun.
    Aujourd’hui Emmanuel Macron a eu un entretien téléphonique avec la Première Ministre thaïlandaise Paetongtarn Shinawatra. Au cours de leur conversation, cette dernière aurait exprimé son souhait que la France contribue à créer une atmosphère propice à la reprise des négociations bilatérales sur les questions frontalières entre la Thaïlande et le Cambodge, selon Thai Enquirer. Emmanuel Macron aurait accepté de discuter de la question avec le Cambodge, selon le porte-parole du gouvernement thaïlandais Jirayu Huangsap. HUN Manet, le Premier Ministre cambodgien, lors de sa viste récente à Nice, aurait également mentionné à Emmanuel Macron cette épineuse question liée au conflit frontalier avec la Thaïlande. Ce dernier a répondu que la France pourrait jouer un rôle constructif. La délimitation de la frontière terrestre entre le Cambodge et la Thaïlande a été actée par la Convention Franco-siamoise du 13 Février 1904 et du traité du 23 Mars 1907 signé entre la France et le Siam avec la publication des cartes à l’échelle 1:200 000 en 1907 et 1908. Il y aurait eu 73-74 bornes érigées le long de cette frontière dont certaines n’ont pas été retrouvées. Depuis ce traité le problème de la délimitation et de la démarcation effectives de la frontière entre ces deux pays reste entier. Dans ce contexte, le rôle de la France est crucial pour amener les deux parties à négocier sur la base de ce Traité et des cartes déjà publiées tout en apportant éventuellement une expertise technique complémentaire. C’est la responsabilité morale de la France vis à vis d’un passé commun.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/3uCV4N98vCM?si=OpvlFBWGUBCcDG_k
    https://youtu.be/3uCV4N98vCM?si=OpvlFBWGUBCcDG_k
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts