• https://youtube.com/watch?v=kpOSr4NoOO0&si=-LA4ZykdG-QpJzRk
    https://youtube.com/watch?v=kpOSr4NoOO0&si=-LA4ZykdG-QpJzRk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • HighPoint Technologies ได้เปิดตัว PCIe Gen 5 และ Gen 4 x16 adapters ที่ใช้ MCIO (Mini Cool Edge IO) และ SlimSAS (Serial Attached SCSI) connectors เพื่อเพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อของ GPU และ NVMe SSD ในระบบที่มีข้อจำกัดด้าน PCIe lanes

    ✅ HighPoint เปิดตัว PCIe Gen 5 และ Gen 4 x16 adapters เพื่อเพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อ
    - อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยให้สามารถ แบ่ง PCIe x16 slot ออกเป็นหลายช่องทางความเร็วสูง
    - รองรับ MCIO x4 และ SlimSAS x4 channels ซึ่งช่วยให้สามารถเชื่อมต่อ NVMe SSDs และ GPUs ได้หลายตัว

    ✅ Rocket 1628A และ Rocket 1528D เป็นรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานระดับสูง
    - Rocket 1628A รองรับ PCIe Gen 5 x16 และเหมาะสำหรับ AI workloads และระบบที่ใช้ GPU หนัก
    - Rocket 1528D รองรับ PCIe Gen 4 x16 และเหมาะสำหรับ ระบบที่ยังไม่ได้อัปเกรดเป็น Gen 5

    ✅ MCIO connectors เป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อ PCIe มีความหนาแน่นสูงขึ้น
    - ออกแบบมาเพื่อ รองรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูลและระบบเดสก์ท็อปประสิทธิภาพสูง
    - ลดการสูญเสียสัญญาณและเพิ่มความเสถียรในการเชื่อมต่อ

    ✅ HighPoint เคยเปิดตัว SSD7540 RAID card ที่รองรับ NVMe SSDs ถึง 8 ตัว
    - อุปกรณ์นี้สามารถ ส่งข้อมูลได้เร็วถึง 56 GB/s
    - Rocket 1628A และ 1528D สืบทอดแนวคิดนี้โดยเพิ่มความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อ

    ✅ การเปิดตัวและแนวโน้มของตลาด
    - HighPoint จะวางจำหน่ายอุปกรณ์เหล่านี้ผ่าน ช่องทางจัดจำหน่ายของบริษัท
    - เมื่อ PCIe Gen 5 motherboard และ processors เริ่มแพร่หลาย อุปกรณ์เหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/new-pcie-adapters-turn-your-x16-slot-into-a-clown-car-of-gpu-and-ssd-connectivity
    HighPoint Technologies ได้เปิดตัว PCIe Gen 5 และ Gen 4 x16 adapters ที่ใช้ MCIO (Mini Cool Edge IO) และ SlimSAS (Serial Attached SCSI) connectors เพื่อเพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อของ GPU และ NVMe SSD ในระบบที่มีข้อจำกัดด้าน PCIe lanes ✅ HighPoint เปิดตัว PCIe Gen 5 และ Gen 4 x16 adapters เพื่อเพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อ - อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยให้สามารถ แบ่ง PCIe x16 slot ออกเป็นหลายช่องทางความเร็วสูง - รองรับ MCIO x4 และ SlimSAS x4 channels ซึ่งช่วยให้สามารถเชื่อมต่อ NVMe SSDs และ GPUs ได้หลายตัว ✅ Rocket 1628A และ Rocket 1528D เป็นรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานระดับสูง - Rocket 1628A รองรับ PCIe Gen 5 x16 และเหมาะสำหรับ AI workloads และระบบที่ใช้ GPU หนัก - Rocket 1528D รองรับ PCIe Gen 4 x16 และเหมาะสำหรับ ระบบที่ยังไม่ได้อัปเกรดเป็น Gen 5 ✅ MCIO connectors เป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อ PCIe มีความหนาแน่นสูงขึ้น - ออกแบบมาเพื่อ รองรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูลและระบบเดสก์ท็อปประสิทธิภาพสูง - ลดการสูญเสียสัญญาณและเพิ่มความเสถียรในการเชื่อมต่อ ✅ HighPoint เคยเปิดตัว SSD7540 RAID card ที่รองรับ NVMe SSDs ถึง 8 ตัว - อุปกรณ์นี้สามารถ ส่งข้อมูลได้เร็วถึง 56 GB/s - Rocket 1628A และ 1528D สืบทอดแนวคิดนี้โดยเพิ่มความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อ ✅ การเปิดตัวและแนวโน้มของตลาด - HighPoint จะวางจำหน่ายอุปกรณ์เหล่านี้ผ่าน ช่องทางจัดจำหน่ายของบริษัท - เมื่อ PCIe Gen 5 motherboard และ processors เริ่มแพร่หลาย อุปกรณ์เหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/new-pcie-adapters-turn-your-x16-slot-into-a-clown-car-of-gpu-and-ssd-connectivity
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    New PCIe adapters turn your x16 slot into a clown car of GPU and SSD connectivity
    High-bandwidth connectivity for enterprise and enthusiast platforms alike
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • TikTok กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ที่ชื่อว่า Footnotes ซึ่งเป็นระบบที่คล้ายกับ Community Notes ของ X (Twitter เดิม) โดยให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมลงในวิดีโอเพื่อช่วยให้เนื้อหามีความเข้าใจมากขึ้น

    ✅ TikTok เปิดตัว Footnotes เพื่อให้ผู้ใช้ช่วยตรวจสอบเนื้อหา
    - ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ เพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมลงในวิดีโอ เพื่อให้เนื้อหามีความโปร่งใสมากขึ้น
    - TikTok ระบุว่า Footnotes ถูกออกแบบมาเพื่อ ให้ชุมชนมีบริบทเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาที่พวกเขาดู

    ✅ Footnotes ใช้ระบบการให้คะแนนแบบ "bridge-based ranking"
    - ผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตสามารถ เพิ่มโน้ตและให้คะแนนโน้ตของผู้อื่น
    - โน้ตที่ได้รับการจัดอันดับว่า "มีประโยชน์" จากผู้ใช้ที่มีมุมมองแตกต่างกัน จะถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ

    ✅ ข้อกำหนดสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเป็นผู้เพิ่มโน้ต
    - ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป
    - ต้องมี ประวัติการใช้งานที่ดี และอยู่บนแพลตฟอร์มมาอย่างน้อย 6 เดือน

    ✅ Footnotes ไม่ได้มาแทนที่ระบบตรวจสอบข้อเท็จจริงของ TikTok
    - TikTok ยังคงใช้ องค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ได้รับการรับรองจาก IFCN
    - Footnotes เป็นเพียง อีกหนึ่งชั้นของการตรวจสอบเนื้อหา

    ✅ แรงบันดาลใจจาก Community Notes ของ X
    - Community Notes เปิดตัวครั้งแรกในปี 2021 ภายใต้ชื่อ Birdwatch
    - Elon Musk นำระบบนี้มาใช้ใน X และเพิ่มการเข้าถึงให้กว้างขึ้น

    ℹ️ ความท้าทายในการใช้ระบบตรวจสอบเนื้อหาที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน
    - แม้ระบบนี้จะช่วยให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบเนื้อหา แต่ก็อาจ เกิดข้อผิดพลาดหรือการบิดเบือนข้อมูล ได้

    ℹ️ ผลกระทบต่อการควบคุมข้อมูลผิดบนแพลตฟอร์ม
    - รายงานจาก Center for Countering Digital Hate พบว่า Community Notes ของ X พลาดการตรวจจับโพสต์ที่ให้ข้อมูลผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง

    ℹ️ แนวโน้มของการใช้ AI และชุมชนในการตรวจสอบเนื้อหา
    - TikTok อาจต้อง ปรับปรุงระบบ Footnotes เพื่อให้สามารถตรวจจับข้อมูลผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.neowin.net/news/tiktok-is-testing-its-own-version-of-community-notes-called-footnotes/
    TikTok กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ที่ชื่อว่า Footnotes ซึ่งเป็นระบบที่คล้ายกับ Community Notes ของ X (Twitter เดิม) โดยให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมลงในวิดีโอเพื่อช่วยให้เนื้อหามีความเข้าใจมากขึ้น ✅ TikTok เปิดตัว Footnotes เพื่อให้ผู้ใช้ช่วยตรวจสอบเนื้อหา - ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ เพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมลงในวิดีโอ เพื่อให้เนื้อหามีความโปร่งใสมากขึ้น - TikTok ระบุว่า Footnotes ถูกออกแบบมาเพื่อ ให้ชุมชนมีบริบทเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาที่พวกเขาดู ✅ Footnotes ใช้ระบบการให้คะแนนแบบ "bridge-based ranking" - ผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตสามารถ เพิ่มโน้ตและให้คะแนนโน้ตของผู้อื่น - โน้ตที่ได้รับการจัดอันดับว่า "มีประโยชน์" จากผู้ใช้ที่มีมุมมองแตกต่างกัน จะถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ ✅ ข้อกำหนดสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเป็นผู้เพิ่มโน้ต - ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป - ต้องมี ประวัติการใช้งานที่ดี และอยู่บนแพลตฟอร์มมาอย่างน้อย 6 เดือน ✅ Footnotes ไม่ได้มาแทนที่ระบบตรวจสอบข้อเท็จจริงของ TikTok - TikTok ยังคงใช้ องค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ได้รับการรับรองจาก IFCN - Footnotes เป็นเพียง อีกหนึ่งชั้นของการตรวจสอบเนื้อหา ✅ แรงบันดาลใจจาก Community Notes ของ X - Community Notes เปิดตัวครั้งแรกในปี 2021 ภายใต้ชื่อ Birdwatch - Elon Musk นำระบบนี้มาใช้ใน X และเพิ่มการเข้าถึงให้กว้างขึ้น ℹ️ ความท้าทายในการใช้ระบบตรวจสอบเนื้อหาที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน - แม้ระบบนี้จะช่วยให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบเนื้อหา แต่ก็อาจ เกิดข้อผิดพลาดหรือการบิดเบือนข้อมูล ได้ ℹ️ ผลกระทบต่อการควบคุมข้อมูลผิดบนแพลตฟอร์ม - รายงานจาก Center for Countering Digital Hate พบว่า Community Notes ของ X พลาดการตรวจจับโพสต์ที่ให้ข้อมูลผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ℹ️ แนวโน้มของการใช้ AI และชุมชนในการตรวจสอบเนื้อหา - TikTok อาจต้อง ปรับปรุงระบบ Footnotes เพื่อให้สามารถตรวจจับข้อมูลผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.neowin.net/news/tiktok-is-testing-its-own-version-of-community-notes-called-footnotes/
    WWW.NEOWIN.NET
    TikTok is testing its own version of Community Notes, called Footnotes
    X's Community Notes model seems to be catching the attention of other social platforms, and now TikTok is the latest to take a swing at it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้เปิดให้ Copilot Vision ใช้งานฟรีสำหรับผู้ใช้ Edge ทุกคน ซึ่งก่อนหน้านี้ฟีเจอร์นี้สงวนไว้สำหรับสมาชิก Copilot Pro เท่านั้น โดย Copilot Vision ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แชร์เนื้อหาเว็บกับ Copilot และรับคำตอบที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานั้นได้ทันที

    ✅ Copilot Vision เปิดให้ใช้งานฟรีสำหรับผู้ใช้ Edge
    - ก่อนหน้านี้ฟีเจอร์นี้มีเฉพาะใน Copilot Pro แต่ตอนนี้เปิดให้ทุกคนใช้งานได้
    - ผู้ใช้สามารถ พูดคุยกับ Copilot เกี่ยวกับเนื้อหาบนเว็บที่กำลังดูอยู่

    ✅ Copilot Vision รองรับเว็บไซต์บางแห่งเท่านั้น
    - ใช้งานได้กับ Amazon.com, Target.com, Wikipedia และ Tripadvisor
    - ไม่สามารถใช้กับ เว็บไซต์ที่มี paywall หรือเนื้อหาที่ละเอียดอ่อน

    ✅ Microsoft ยืนยันว่า Copilot Vision ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้
    - ไม่มีการบันทึก เสียง, รูปภาพ, ข้อความ หรือบทสนทนา เพื่อใช้ในการฝึกโมเดล AI
    - ฟีเจอร์นี้เป็น ระบบ opt-in ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องเปิดใช้งานเอง

    ✅ Copilot Vision ขยายไปยังแอปมือถือและ Windows
    - ผู้ใช้สามารถใช้ Copilot mobile app เพื่อให้ AI วิเคราะห์ วิดีโอแบบเรียลไทม์และภาพถ่ายในแกลเลอรี
    - Copilot Vision ใน Windows รองรับ การแชร์หน้าต่างเบราว์เซอร์หรือแอปพลิเคชัน

    ✅ วิธีใช้งาน Copilot Vision บน Windows
    - คลิกที่ ไอคอนแว่นตา ในแอป Copilot
    - เลือก หน้าต่างเบราว์เซอร์หรือแอปที่ต้องการแชร์
    - ถาม Copilot เกี่ยวกับเนื้อหาที่กำลังดู

    https://www.neowin.net/news/microsoft-just-made-copilot-vision-free-for-everyone-using-edge-browser/
    Microsoft ได้เปิดให้ Copilot Vision ใช้งานฟรีสำหรับผู้ใช้ Edge ทุกคน ซึ่งก่อนหน้านี้ฟีเจอร์นี้สงวนไว้สำหรับสมาชิก Copilot Pro เท่านั้น โดย Copilot Vision ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แชร์เนื้อหาเว็บกับ Copilot และรับคำตอบที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานั้นได้ทันที ✅ Copilot Vision เปิดให้ใช้งานฟรีสำหรับผู้ใช้ Edge - ก่อนหน้านี้ฟีเจอร์นี้มีเฉพาะใน Copilot Pro แต่ตอนนี้เปิดให้ทุกคนใช้งานได้ - ผู้ใช้สามารถ พูดคุยกับ Copilot เกี่ยวกับเนื้อหาบนเว็บที่กำลังดูอยู่ ✅ Copilot Vision รองรับเว็บไซต์บางแห่งเท่านั้น - ใช้งานได้กับ Amazon.com, Target.com, Wikipedia และ Tripadvisor - ไม่สามารถใช้กับ เว็บไซต์ที่มี paywall หรือเนื้อหาที่ละเอียดอ่อน ✅ Microsoft ยืนยันว่า Copilot Vision ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้ - ไม่มีการบันทึก เสียง, รูปภาพ, ข้อความ หรือบทสนทนา เพื่อใช้ในการฝึกโมเดล AI - ฟีเจอร์นี้เป็น ระบบ opt-in ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องเปิดใช้งานเอง ✅ Copilot Vision ขยายไปยังแอปมือถือและ Windows - ผู้ใช้สามารถใช้ Copilot mobile app เพื่อให้ AI วิเคราะห์ วิดีโอแบบเรียลไทม์และภาพถ่ายในแกลเลอรี - Copilot Vision ใน Windows รองรับ การแชร์หน้าต่างเบราว์เซอร์หรือแอปพลิเคชัน ✅ วิธีใช้งาน Copilot Vision บน Windows - คลิกที่ ไอคอนแว่นตา ในแอป Copilot - เลือก หน้าต่างเบราว์เซอร์หรือแอปที่ต้องการแชร์ - ถาม Copilot เกี่ยวกับเนื้อหาที่กำลังดู https://www.neowin.net/news/microsoft-just-made-copilot-vision-free-for-everyone-using-edge-browser/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft just made Copilot Vision free for everyone using Edge browser
    Microsoft has made its Copilot Vision feature, previously exclusive to Pro subscribers, available for free to all Microsoft Edge users on select websites.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้เผยแพร่ Cyber Signals Report ฉบับล่าสุด ซึ่งเน้นถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ใช้ AI ในการสร้างเนื้อหาหลอกลวง โดยอาชญากรไซเบอร์สามารถใช้ deepfakes, voice cloning และเว็บไซต์ปลอม

    ✅ AI ช่วยให้อาชญากรไซเบอร์สามารถสร้างเนื้อหาหลอกลวงได้ง่ายขึ้น
    - ใช้ deepfakes และ voice cloning เพื่อแอบอ้างเป็นบุคคลจริง
    - สร้าง เว็บไซต์ปลอมและรีวิวสินค้า AI-generated เพื่อหลอกลวงผู้บริโภค

    ✅ Microsoft เตือนเกี่ยวกับการฉ้อโกงที่ใช้ AI
    - อาชญากรสามารถใช้ AI เพื่อสแกนข้อมูลบริษัทและสร้างโปรไฟล์ปลอมของพนักงาน
    - ใช้ AI-generated storefronts เพื่อสร้างแบรนด์ปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ

    ✅ มาตรการป้องกันที่ Microsoft แนะนำ
    - เพิ่มการตรวจสอบตัวตนของนายจ้าง โดยใช้ Microsoft Entra ID และ multifactor authentication
    - ใช้ deepfake detection algorithms เพื่อตรวจจับการสัมภาษณ์งานที่ใช้ AI-generated faces
    - ตรวจสอบเว็บไซต์และโฆษณาที่ดูดีเกินจริง โดยใช้ Microsoft Edge typo protection

    ✅ การปรับปรุง Quick Assist เพื่อป้องกันการฉ้อโกง
    - Microsoft ได้เพิ่ม ข้อความเตือนเกี่ยวกับ tech support scams ใน Quick Assist
    - ระบบสามารถ บล็อกการเชื่อมต่อที่น่าสงสัยกว่า 4,415 ครั้งต่อวัน

    https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-detailed-guidance-for-ai-scams-that-are-nearly-impossible-to-not-fall-for/
    Microsoft ได้เผยแพร่ Cyber Signals Report ฉบับล่าสุด ซึ่งเน้นถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ใช้ AI ในการสร้างเนื้อหาหลอกลวง โดยอาชญากรไซเบอร์สามารถใช้ deepfakes, voice cloning และเว็บไซต์ปลอม ✅ AI ช่วยให้อาชญากรไซเบอร์สามารถสร้างเนื้อหาหลอกลวงได้ง่ายขึ้น - ใช้ deepfakes และ voice cloning เพื่อแอบอ้างเป็นบุคคลจริง - สร้าง เว็บไซต์ปลอมและรีวิวสินค้า AI-generated เพื่อหลอกลวงผู้บริโภค ✅ Microsoft เตือนเกี่ยวกับการฉ้อโกงที่ใช้ AI - อาชญากรสามารถใช้ AI เพื่อสแกนข้อมูลบริษัทและสร้างโปรไฟล์ปลอมของพนักงาน - ใช้ AI-generated storefronts เพื่อสร้างแบรนด์ปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ ✅ มาตรการป้องกันที่ Microsoft แนะนำ - เพิ่มการตรวจสอบตัวตนของนายจ้าง โดยใช้ Microsoft Entra ID และ multifactor authentication - ใช้ deepfake detection algorithms เพื่อตรวจจับการสัมภาษณ์งานที่ใช้ AI-generated faces - ตรวจสอบเว็บไซต์และโฆษณาที่ดูดีเกินจริง โดยใช้ Microsoft Edge typo protection ✅ การปรับปรุง Quick Assist เพื่อป้องกันการฉ้อโกง - Microsoft ได้เพิ่ม ข้อความเตือนเกี่ยวกับ tech support scams ใน Quick Assist - ระบบสามารถ บล็อกการเชื่อมต่อที่น่าสงสัยกว่า 4,415 ครั้งต่อวัน https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-detailed-guidance-for-ai-scams-that-are-nearly-impossible-to-not-fall-for/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft shares detailed guidance for AI scams that are nearly impossible to not fall for
    Microsoft has published a detailed guidance on ways to deal with modern AI-powered scams that are really difficult to detect.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้เปิดเผยรายละเอียดใหม่เกี่ยวกับ Adobe PDF engine ที่จะมาแทนที่ เครื่องอ่าน PDF แบบเดิมใน Microsoft Edge โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับ ประสบการณ์การอ่าน PDF ที่ดีขึ้น พร้อม ความปลอดภัยที่แข็งแกร่งขึ้น

    ✅ Microsoft Edge จะใช้ Adobe PDF engine แทนเครื่องอ่าน PDF แบบเดิม
    - Microsoft เริ่มเปิดตัวฟีเจอร์นี้ให้กับผู้ใช้ทั่วไปตั้งแต่ มีนาคม 2023
    - การเปิดตัวแบบ General Availability จะเริ่มใน ตุลาคม 2025

    ✅ ข้อดีของ Adobe PDF engine
    - การแสดงผลที่ดีขึ้น: รองรับสีและกราฟิกที่แม่นยำกว่าเดิม
    - ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น: โหลดไฟล์ PDF ได้เร็วขึ้น
    - ความปลอดภัยที่แข็งแกร่งขึ้น: ป้องกันภัยคุกคามที่เกี่ยวข้องกับไฟล์ PDF
    - การเข้าถึงที่ดีขึ้น: รองรับการเลือกข้อความและการอ่านออกเสียง

    ✅ การเปลี่ยนแปลงสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและองค์กร
    - ผู้ใช้ทั่วไปจะได้รับการอัปเดตโดยอัตโนมัติ
    - องค์กรที่ใช้ อุปกรณ์ที่มีการจัดการ จะได้รับการอัปเดตตามแผนการทดสอบ

    ✅ การเลื่อนกำหนดการเปิดตัว
    - Microsoft เคยวางแผนเปิดตัวใน กันยายน 2025 แต่เลื่อนเป็น ตุลาคม 2025
    - เครื่องอ่าน PDF แบบเดิมจะถูก ถอดออกจาก Microsoft Edge ในต้นปี 2026

    https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-new-details-on-adobe-for-edge-that-replaces-native-legacy-pdf-reader/
    Microsoft ได้เปิดเผยรายละเอียดใหม่เกี่ยวกับ Adobe PDF engine ที่จะมาแทนที่ เครื่องอ่าน PDF แบบเดิมใน Microsoft Edge โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับ ประสบการณ์การอ่าน PDF ที่ดีขึ้น พร้อม ความปลอดภัยที่แข็งแกร่งขึ้น ✅ Microsoft Edge จะใช้ Adobe PDF engine แทนเครื่องอ่าน PDF แบบเดิม - Microsoft เริ่มเปิดตัวฟีเจอร์นี้ให้กับผู้ใช้ทั่วไปตั้งแต่ มีนาคม 2023 - การเปิดตัวแบบ General Availability จะเริ่มใน ตุลาคม 2025 ✅ ข้อดีของ Adobe PDF engine - การแสดงผลที่ดีขึ้น: รองรับสีและกราฟิกที่แม่นยำกว่าเดิม - ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น: โหลดไฟล์ PDF ได้เร็วขึ้น - ความปลอดภัยที่แข็งแกร่งขึ้น: ป้องกันภัยคุกคามที่เกี่ยวข้องกับไฟล์ PDF - การเข้าถึงที่ดีขึ้น: รองรับการเลือกข้อความและการอ่านออกเสียง ✅ การเปลี่ยนแปลงสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและองค์กร - ผู้ใช้ทั่วไปจะได้รับการอัปเดตโดยอัตโนมัติ - องค์กรที่ใช้ อุปกรณ์ที่มีการจัดการ จะได้รับการอัปเดตตามแผนการทดสอบ ✅ การเลื่อนกำหนดการเปิดตัว - Microsoft เคยวางแผนเปิดตัวใน กันยายน 2025 แต่เลื่อนเป็น ตุลาคม 2025 - เครื่องอ่าน PDF แบบเดิมจะถูก ถอดออกจาก Microsoft Edge ในต้นปี 2026 https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-new-details-on-adobe-for-edge-that-replaces-native-legacy-pdf-reader/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft shares new details on Adobe for Edge that replaces native legacy PDF reader
    Microsoft has shared some new details regarding Adobe PDF support on its Edge web browser. The company has also published when it will remove the native legacy reader.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ได้ออกอัปเดต Chrome 136 เพื่อแก้ไขปัญหาด้านความเป็นส่วนตัวที่มีมายาวนานกว่า 20 ปี โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เว็บไซต์สามารถติดตาม ประวัติการเข้าชมลิงก์ของผู้ใช้ ผ่าน CSS :visited selector

    ✅ Chrome 136 ปรับปรุงการจัดการประวัติการเข้าชมลิงก์
    - ก่อนหน้านี้ CSS :visited selector ถูกใช้เพื่อเปลี่ยนสีลิงก์ที่เคยคลิก เช่น จากสีน้ำเงินเป็นสีม่วง
    - นักพัฒนาเว็บสามารถใช้เทคนิคนี้เพื่อ ดึงข้อมูลประวัติการเข้าชมของผู้ใช้

    ✅ การใช้โมเดลแบ่งส่วนข้อมูล (Partitioning Model)
    - Chrome 136 จะใช้ การแบ่งส่วนข้อมูล เพื่อป้องกันการรั่วไหลของประวัติการเข้าชม
    - ลิงก์จะถูกทำเครื่องหมายว่า "visited" เฉพาะในเว็บไซต์ที่ผู้ใช้คลิกครั้งแรกเท่านั้น

    ✅ ผลกระทบต่อการโจมตีแบบ Side-Channel
    - การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยป้องกัน การติดตาม, การสร้างโปรไฟล์ และการโจมตีแบบฟิชชิ่ง
    - Chrome 136 จะเป็น เบราว์เซอร์แรกที่ใช้การแบ่งส่วนข้อมูลสำหรับประวัติการเข้าชม

    ✅ การเปรียบเทียบกับเบราว์เซอร์อื่น
    - เบราว์เซอร์อื่นๆ เช่น Firefox และ Edge มีมาตรการป้องกันการรั่วไหลของ URL
    - แต่ยังไม่มีเบราว์เซอร์ใดใช้ การแบ่งส่วนข้อมูลแบบ Chrome 136

    ✅ การเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้
    - Chrome 132 เคยเปิดตัวฟีเจอร์นี้แบบทดลอง และ Chrome 136 จะเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้น

    https://www.techspot.com/news/107558-new-chrome-update-fix-long-standing-bug-user.html
    Google ได้ออกอัปเดต Chrome 136 เพื่อแก้ไขปัญหาด้านความเป็นส่วนตัวที่มีมายาวนานกว่า 20 ปี โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เว็บไซต์สามารถติดตาม ประวัติการเข้าชมลิงก์ของผู้ใช้ ผ่าน CSS :visited selector ✅ Chrome 136 ปรับปรุงการจัดการประวัติการเข้าชมลิงก์ - ก่อนหน้านี้ CSS :visited selector ถูกใช้เพื่อเปลี่ยนสีลิงก์ที่เคยคลิก เช่น จากสีน้ำเงินเป็นสีม่วง - นักพัฒนาเว็บสามารถใช้เทคนิคนี้เพื่อ ดึงข้อมูลประวัติการเข้าชมของผู้ใช้ ✅ การใช้โมเดลแบ่งส่วนข้อมูล (Partitioning Model) - Chrome 136 จะใช้ การแบ่งส่วนข้อมูล เพื่อป้องกันการรั่วไหลของประวัติการเข้าชม - ลิงก์จะถูกทำเครื่องหมายว่า "visited" เฉพาะในเว็บไซต์ที่ผู้ใช้คลิกครั้งแรกเท่านั้น ✅ ผลกระทบต่อการโจมตีแบบ Side-Channel - การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยป้องกัน การติดตาม, การสร้างโปรไฟล์ และการโจมตีแบบฟิชชิ่ง - Chrome 136 จะเป็น เบราว์เซอร์แรกที่ใช้การแบ่งส่วนข้อมูลสำหรับประวัติการเข้าชม ✅ การเปรียบเทียบกับเบราว์เซอร์อื่น - เบราว์เซอร์อื่นๆ เช่น Firefox และ Edge มีมาตรการป้องกันการรั่วไหลของ URL - แต่ยังไม่มีเบราว์เซอร์ใดใช้ การแบ่งส่วนข้อมูลแบบ Chrome 136 ✅ การเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ - Chrome 132 เคยเปิดตัวฟีเจอร์นี้แบบทดลอง และ Chrome 136 จะเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้น https://www.techspot.com/news/107558-new-chrome-update-fix-long-standing-bug-user.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New Chrome update to fix a long-standing bug in user privacy for visited links
    Browsers have mishandled visited site tracking since the early days of the internet. Google is now working to fix the issue with Chrome. The browser's next update...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..คนไทยต้องตื่น เหมือนตื่นเล่นสงกรานต์จริงๆนะ ทั่วไทยเลย แชร์ต่อๆกันไปนะครับที่เข้ามาเห็น มาอ่านดูข่าวนี้.

    หมอดื้อ :-

    📢🚩 สนธิสัญญาองค์การอนามัยโลก ถ้ายอมรับสั่งอย่างไรต้องทำตาม เอาเช่นนั้นหรือ
    ________________________________________________________________________________

    คนไทยต้อง ทราบขณะนี้ ถ้าทำตามสั่งคือความเสียหาย เรียกร้องจากองค์การอนามัยโลกไม่ได้ ว่าถือว่ายอมไปแล้ว

    ช่วยกันกระจายข่าวไปให้ได้มากที่สุด เพื่อให้คนไทยรับทราบ ว่ากระทรวงสาธารณสุขกำลังจะทำอะไรคนไทยครับ

    องค์การอนามัยโลกยื่นสนธิสัญญา WHO treaty มาให้ประเทศต่างๆ ยอมรับและเซ็นสัญญา หลังจากที่ถูกคัดค้านอย่างหนักมาในรอบแรก

    ● รอบนี้เดือนเมษายน 2025 กระทรวงสาธารณสุข อาจจะมีแนวโน้มทำตามองค์การอนามัยโลกทุกอย่าง
    นั่นหมายความว่า องค์การอนามัยโลกสามารถบงการได้ทุกสิ่งอย่าง

    ● สามารถประกาศให้โรคอะไรก็ตาม ที่แม้ยังไม่มีความเสี่ยงชัดเจน กลายเป็นโรคระบาด และเริ่มเห็นแล้วในกรณีของฝีดาษลิง ที่ให้ข่าวทั่วโลก ว่าจะเกิดระบาดแน่ และมีวัคซีนฝีดาษลิงออกมา แต่ในที่สุด ไม่สำเร็จที่จะบังคับให้คนทั้งโลกฉีดอีกครั้ง วัคซีนฝีดาษลิง มีผลข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเช่นกัน

    ● และในปัจจุบันคือเรื่องไข้หวัดนก โดยที่มีการพัฒนา mRNA วัคซีน จากกลุ่มเดิมที่ทำวัคซีนโควิด และได้รับทุนสนับสนุนจากกลุ่มเดิม ทั้ง NIH BARDA และถ้าร่วมอยู่ในภาคีสนธิสัญญานี้ อาจจะลงเอยที่ทุกคนต้องได้รับวัคซีน ทั้งๆที่ mRNA เทคโนโลยีเป็นของเดิม และไม่มีข้อพิสูจน์ว่าปลอดภัยกว่าที่ผ่านมา โดยผู้เสียชีวิตและพิการ ต่างถูกปฏิเสธจากรัฐบาลในประเทศต่างๆ กระทั่งในสหรัฐอเมริกาเอง มีหลายมลรัฐที่ยื่นฟ้อง เฟาซี และพวก 12 คน และหน่วยงานของรัฐ ที่บังคับให้ฉีดวัคซีน โดยเป็นข้อหาอาชญากรรม ประทุษร้ายต่อชีวิตเป็นต้น

    🇹🇭 การคัดค้านสนธิสัญญานี้ โดยกลุ่มคนไทย แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ รวมทั้ง เครือข่ายสมาพันธ์ชาวนา สี่ถึง 50,000 ราย
    เกรงว่าในช่วงสงกรานต์นี้ กระทรวงสาธารณสุขอาจจะดำเนินการเอง และหมายความว่า ไม่ใช่แต่เพียงเรื่องของการต้องฉีดวัคซีนตามสั่ง แต่ต้องทำการกักกันออกจากบ้าน การเดินทาง ต้องมีพาสปอร์ตวัคซีน ไม่สามารถเรียกร้องความเสียหายจากวัคซีน และยาต้องเป็นไปตามสั่ง ไม่สามารถใช้ยาอื่น ที่ทราบว่ามีคุณสมบัติในการต่อต้าน และรักษาไวรัสนี้ได้ ทั้งนี้ยังรวมถึงสมุนไพรต่างๆ ที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว และได้รับการพิสูจน์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แล้วด้วย

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    https://www.rookon.com/?p=696 กรณีมีคนจะร่วมลงชื่อเพิ่มครับ

    https://www.facebook.com/share/1DJ8XxPqN8/

    คัดค้าน WHO 24 พฤษภาคม 2567
    https://www.facebook.com/share/p/1BDG459tAu/
    ..คนไทยต้องตื่น เหมือนตื่นเล่นสงกรานต์จริงๆนะ ทั่วไทยเลย แชร์ต่อๆกันไปนะครับที่เข้ามาเห็น มาอ่านดูข่าวนี้. หมอดื้อ :- 📢🚩 สนธิสัญญาองค์การอนามัยโลก ถ้ายอมรับสั่งอย่างไรต้องทำตาม เอาเช่นนั้นหรือ ________________________________________________________________________________ คนไทยต้อง ทราบขณะนี้ ถ้าทำตามสั่งคือความเสียหาย เรียกร้องจากองค์การอนามัยโลกไม่ได้ ว่าถือว่ายอมไปแล้ว ช่วยกันกระจายข่าวไปให้ได้มากที่สุด เพื่อให้คนไทยรับทราบ ว่ากระทรวงสาธารณสุขกำลังจะทำอะไรคนไทยครับ องค์การอนามัยโลกยื่นสนธิสัญญา WHO treaty มาให้ประเทศต่างๆ ยอมรับและเซ็นสัญญา หลังจากที่ถูกคัดค้านอย่างหนักมาในรอบแรก ● รอบนี้เดือนเมษายน 2025 กระทรวงสาธารณสุข อาจจะมีแนวโน้มทำตามองค์การอนามัยโลกทุกอย่าง นั่นหมายความว่า องค์การอนามัยโลกสามารถบงการได้ทุกสิ่งอย่าง ● สามารถประกาศให้โรคอะไรก็ตาม ที่แม้ยังไม่มีความเสี่ยงชัดเจน กลายเป็นโรคระบาด และเริ่มเห็นแล้วในกรณีของฝีดาษลิง ที่ให้ข่าวทั่วโลก ว่าจะเกิดระบาดแน่ และมีวัคซีนฝีดาษลิงออกมา แต่ในที่สุด ไม่สำเร็จที่จะบังคับให้คนทั้งโลกฉีดอีกครั้ง วัคซีนฝีดาษลิง มีผลข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเช่นกัน ● และในปัจจุบันคือเรื่องไข้หวัดนก โดยที่มีการพัฒนา mRNA วัคซีน จากกลุ่มเดิมที่ทำวัคซีนโควิด และได้รับทุนสนับสนุนจากกลุ่มเดิม ทั้ง NIH BARDA และถ้าร่วมอยู่ในภาคีสนธิสัญญานี้ อาจจะลงเอยที่ทุกคนต้องได้รับวัคซีน ทั้งๆที่ mRNA เทคโนโลยีเป็นของเดิม และไม่มีข้อพิสูจน์ว่าปลอดภัยกว่าที่ผ่านมา โดยผู้เสียชีวิตและพิการ ต่างถูกปฏิเสธจากรัฐบาลในประเทศต่างๆ กระทั่งในสหรัฐอเมริกาเอง มีหลายมลรัฐที่ยื่นฟ้อง เฟาซี และพวก 12 คน และหน่วยงานของรัฐ ที่บังคับให้ฉีดวัคซีน โดยเป็นข้อหาอาชญากรรม ประทุษร้ายต่อชีวิตเป็นต้น 🇹🇭 การคัดค้านสนธิสัญญานี้ โดยกลุ่มคนไทย แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ รวมทั้ง เครือข่ายสมาพันธ์ชาวนา สี่ถึง 50,000 ราย เกรงว่าในช่วงสงกรานต์นี้ กระทรวงสาธารณสุขอาจจะดำเนินการเอง และหมายความว่า ไม่ใช่แต่เพียงเรื่องของการต้องฉีดวัคซีนตามสั่ง แต่ต้องทำการกักกันออกจากบ้าน การเดินทาง ต้องมีพาสปอร์ตวัคซีน ไม่สามารถเรียกร้องความเสียหายจากวัคซีน และยาต้องเป็นไปตามสั่ง ไม่สามารถใช้ยาอื่น ที่ทราบว่ามีคุณสมบัติในการต่อต้าน และรักษาไวรัสนี้ได้ ทั้งนี้ยังรวมถึงสมุนไพรต่างๆ ที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว และได้รับการพิสูจน์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แล้วด้วย ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต https://www.rookon.com/?p=696 กรณีมีคนจะร่วมลงชื่อเพิ่มครับ https://www.facebook.com/share/1DJ8XxPqN8/ คัดค้าน WHO 24 พฤษภาคม 2567 https://www.facebook.com/share/p/1BDG459tAu/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์จาก Secure Annex ได้ค้นพบ ส่วนขยายของ Google Chrome ที่ไม่ได้ลงทะเบียนมากกว่า 30 รายการ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยต่อผู้ใช้กว่า 4 ล้านคน โดยส่วนขยายเหล่านี้มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น คุกกี้, แท็บเบราว์เซอร์ และการรับส่งข้อมูลบนเว็บ

    ✅ การค้นพบส่วนขยายที่อาจเป็นอันตราย
    - นักวิจัยพบว่า นักพัฒนาซอฟต์แวร์บางรายอาจซ่อนส่วนขยาย หากพบว่ามีปัญหาด้านการทำงาน
    - อย่างไรก็ตาม ผู้ไม่หวังดีอาจใช้วิธีนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากทีมรักษาความปลอดภัย

    ✅ สิทธิ์การเข้าถึงที่น่าสงสัย
    - ส่วนขยายบางตัว เช่น "Fire Shield Extension Protection" ขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
    - สามารถเข้าถึง คุกกี้, แท็บเบราว์เซอร์ และการรับส่งข้อมูลบนทุกเว็บไซต์

    ✅ การวิเคราะห์พฤติกรรมที่อาจเป็นอันตราย
    - นักวิจัยพบว่าบางส่วนขยายมี ลักษณะการทำงานคล้ายกับมัลแวร์
    - มีการเข้าถึงข้อมูลที่สามารถใช้ในการขโมยข้อมูลส่วนตัว

    ✅ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้
    - ควร ลบส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียน เพื่อป้องกันความเสี่ยง
    - หลีกเลี่ยงการติดตั้งส่วนขยายที่ไม่ได้รับการตรวจสอบจากแหล่งที่เชื่อถือได้

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล
    - ส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียนอาจถูกใช้เป็น เครื่องมือขโมยข้อมูล
    - แม้จะยังไม่มีรายงานว่ามีการขโมยข้อมูลการเข้าสู่ระบบหรือข้อมูลการชำระเงิน แต่ผู้ใช้ควรเฝ้าระวัง

    ℹ️ การควบคุมของ Google ต่อส่วนขยาย Chrome
    - Google อาจต้องปรับปรุง มาตรการตรวจสอบส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียน
    - ผู้ใช้ควรติดตามการอัปเดตด้านความปลอดภัยจาก Google

    ℹ️ แนวโน้มของภัยคุกคามไซเบอร์
    - การโจมตีผ่านส่วนขยายเบราว์เซอร์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
    - ผู้ใช้ควรใช้ เครื่องมือรักษาความปลอดภัย เช่น Microsoft Defender หรือ Malwarebytes เพื่อตรวจสอบภัยคุกคาม

    https://www.techradar.com/pro/security/millions-of-google-chrome-users-could-be-at-risk-from-these-dodgy-extensions
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์จาก Secure Annex ได้ค้นพบ ส่วนขยายของ Google Chrome ที่ไม่ได้ลงทะเบียนมากกว่า 30 รายการ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยต่อผู้ใช้กว่า 4 ล้านคน โดยส่วนขยายเหล่านี้มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น คุกกี้, แท็บเบราว์เซอร์ และการรับส่งข้อมูลบนเว็บ ✅ การค้นพบส่วนขยายที่อาจเป็นอันตราย - นักวิจัยพบว่า นักพัฒนาซอฟต์แวร์บางรายอาจซ่อนส่วนขยาย หากพบว่ามีปัญหาด้านการทำงาน - อย่างไรก็ตาม ผู้ไม่หวังดีอาจใช้วิธีนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากทีมรักษาความปลอดภัย ✅ สิทธิ์การเข้าถึงที่น่าสงสัย - ส่วนขยายบางตัว เช่น "Fire Shield Extension Protection" ขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน - สามารถเข้าถึง คุกกี้, แท็บเบราว์เซอร์ และการรับส่งข้อมูลบนทุกเว็บไซต์ ✅ การวิเคราะห์พฤติกรรมที่อาจเป็นอันตราย - นักวิจัยพบว่าบางส่วนขยายมี ลักษณะการทำงานคล้ายกับมัลแวร์ - มีการเข้าถึงข้อมูลที่สามารถใช้ในการขโมยข้อมูลส่วนตัว ✅ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ - ควร ลบส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียน เพื่อป้องกันความเสี่ยง - หลีกเลี่ยงการติดตั้งส่วนขยายที่ไม่ได้รับการตรวจสอบจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล - ส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียนอาจถูกใช้เป็น เครื่องมือขโมยข้อมูล - แม้จะยังไม่มีรายงานว่ามีการขโมยข้อมูลการเข้าสู่ระบบหรือข้อมูลการชำระเงิน แต่ผู้ใช้ควรเฝ้าระวัง ℹ️ การควบคุมของ Google ต่อส่วนขยาย Chrome - Google อาจต้องปรับปรุง มาตรการตรวจสอบส่วนขยายที่ไม่ได้ลงทะเบียน - ผู้ใช้ควรติดตามการอัปเดตด้านความปลอดภัยจาก Google ℹ️ แนวโน้มของภัยคุกคามไซเบอร์ - การโจมตีผ่านส่วนขยายเบราว์เซอร์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น - ผู้ใช้ควรใช้ เครื่องมือรักษาความปลอดภัย เช่น Microsoft Defender หรือ Malwarebytes เพื่อตรวจสอบภัยคุกคาม https://www.techradar.com/pro/security/millions-of-google-chrome-users-could-be-at-risk-from-these-dodgy-extensions
    WWW.TECHRADAR.COM
    Millions of Google Chrome users could be at risk from these dodgy extensions
    Security researcher finds unlisted Chrome extensions with shady permissions
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ได้ขายหุ้น 51% ของธุรกิจ FPGA Altera ให้กับ Silver Lake ในมูลค่า 4.46 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการปรับโครงสร้างธุรกิจและเพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน

    ✅ Intel ขายหุ้นส่วนใหญ่ของ Altera ให้ Silver Lake
    - การขายหุ้นครั้งนี้ทำให้ Altera กลายเป็น บริษัท FPGA อิสระที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    - Intel ยังคงถือหุ้น 49% และจะได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของ Altera

    ✅ เป้าหมายของ Altera หลังแยกตัว
    - มุ่งเน้นการพัฒนา FPGA สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์, การบิน, การสื่อสาร และ AI
    - ขยายตลาดไปยัง แพลตฟอร์มคลาวด์, ระบบ Edge และเครือข่ายไร้สายยุคใหม่

    ✅ ผลกระทบต่อ Intel
    - ลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน และมุ่งเน้นธุรกิจหลัก เช่น CPU, GPU และการผลิตชิป
    - ปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

    ✅ การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารของ Altera
    - Raghib Hussain จะเข้ารับตำแหน่ง CEO ของ Altera ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2025
    - เขาเคยเป็นประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของ Marvell และมีประสบการณ์ในบริษัทชั้นนำ เช่น Cisco และ Cadence

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม FPGA
    - Altera อาจต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจาก Xilinx (AMD) และ Lattice Semiconductor
    - ต้องติดตามว่า Altera จะสามารถขยายตลาดได้เร็วแค่ไหนหลังแยกตัว

    ℹ️ แนวโน้มของ Intel หลังขายหุ้น Altera
    - Intel อาจใช้เงินจากดีลนี้เพื่อ ลงทุนในธุรกิจชิปและโรงงานผลิต
    - ต้องจับตาว่า Intel จะปรับกลยุทธ์อย่างไรเพื่อแข่งขันกับ TSMC และ Samsung

    ℹ️ ความท้าทายด้านการบริหารจัดการ
    - Silver Lake ต้องวางแผนให้ Altera เติบโตอย่างมั่นคง โดยไม่กระทบต่อความสัมพันธ์กับ Intel
    - ต้องดูว่า Altera จะสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาด FPGA ได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-sells-51-percent-of-altera-fpga-business-to-silver-lake-for-usd4-46-billion
    Intel ได้ขายหุ้น 51% ของธุรกิจ FPGA Altera ให้กับ Silver Lake ในมูลค่า 4.46 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการปรับโครงสร้างธุรกิจและเพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน ✅ Intel ขายหุ้นส่วนใหญ่ของ Altera ให้ Silver Lake - การขายหุ้นครั้งนี้ทำให้ Altera กลายเป็น บริษัท FPGA อิสระที่ใหญ่ที่สุดในโลก - Intel ยังคงถือหุ้น 49% และจะได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของ Altera ✅ เป้าหมายของ Altera หลังแยกตัว - มุ่งเน้นการพัฒนา FPGA สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์, การบิน, การสื่อสาร และ AI - ขยายตลาดไปยัง แพลตฟอร์มคลาวด์, ระบบ Edge และเครือข่ายไร้สายยุคใหม่ ✅ ผลกระทบต่อ Intel - ลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน และมุ่งเน้นธุรกิจหลัก เช่น CPU, GPU และการผลิตชิป - ปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ✅ การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารของ Altera - Raghib Hussain จะเข้ารับตำแหน่ง CEO ของ Altera ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2025 - เขาเคยเป็นประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของ Marvell และมีประสบการณ์ในบริษัทชั้นนำ เช่น Cisco และ Cadence ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม FPGA - Altera อาจต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจาก Xilinx (AMD) และ Lattice Semiconductor - ต้องติดตามว่า Altera จะสามารถขยายตลาดได้เร็วแค่ไหนหลังแยกตัว ℹ️ แนวโน้มของ Intel หลังขายหุ้น Altera - Intel อาจใช้เงินจากดีลนี้เพื่อ ลงทุนในธุรกิจชิปและโรงงานผลิต - ต้องจับตาว่า Intel จะปรับกลยุทธ์อย่างไรเพื่อแข่งขันกับ TSMC และ Samsung ℹ️ ความท้าทายด้านการบริหารจัดการ - Silver Lake ต้องวางแผนให้ Altera เติบโตอย่างมั่นคง โดยไม่กระทบต่อความสัมพันธ์กับ Intel - ต้องดูว่า Altera จะสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาด FPGA ได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-sells-51-percent-of-altera-fpga-business-to-silver-lake-for-usd4-46-billion
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD ได้ปรับโครงสร้าง ROCm toolkit โดยแยกส่วน ROCm AMDGPU drivers ออกมาเป็น Instinct driver ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน GPU สำหรับศูนย์ข้อมูล

    ✅ การแยก ROCm toolkit ออกเป็นสองส่วน
    - ROCm 6.4 แบ่งออกเป็น Instinct Driver และ ROCm Toolkit
    - Instinct Driver จะเป็นชุดไดรเวอร์ที่รองรับ GPU สำหรับศูนย์ข้อมูลโดยเฉพาะ
    - ROCm Toolkit จะดูแลทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับไดรเวอร์โดยตรง

    ✅ ข้อดีของการเปลี่ยนแปลงนี้
    - เพิ่มความยืดหยุ่นในการอัปเดตไดรเวอร์ โดยไม่ต้องเปลี่ยนเวอร์ชันของ ROCm Toolkit
    - ลดความซับซ้อนในการติดตั้งและจัดการสิทธิ์ของผู้ใช้
    - เพิ่มระยะเวลาการสนับสนุนไดรเวอร์จาก 6 เดือนเป็น 12 เดือน

    ✅ การพัฒนาในอนาคต
    - AMD วางแผนเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การติดตั้งแบบลดขนาด เพื่อลด footprint ของไดรเวอร์
    - อาจมีการพัฒนาไดรเวอร์ที่เน้นความเสถียรระยะยาวสำหรับศูนย์ข้อมูล

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป
    - ROCm Toolkit จะยังคงรองรับ GPU สำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่การแยกไดรเวอร์อาจทำให้การติดตั้งซับซ้อนขึ้น
    - ผู้ใช้ที่ต้องการใช้ amdgpu จาก Linux kernel อาจต้องปรับการตั้งค่าใหม่

    ℹ️ ความสับสนเรื่องเวอร์ชันไดรเวอร์
    - AMD ยืนยันว่า เวอร์ชันของ Instinct Driver จะไม่เปลี่ยนแปลง แม้ ROCm Toolkit จะอัปเดต
    - อาจเกิดความสับสนในการเลือกเวอร์ชันที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน

    ℹ️ แนวโน้มของ ROCm และการสนับสนุน GPU รุ่นใหม่
    - AMD ยังไม่ได้ประกาศการรองรับ RDNA 4 ใน ROCm Toolkit
    - ผู้ใช้ต้องติดตามการอัปเดตเพื่อดูว่า GPU รุ่นใหม่จะได้รับการสนับสนุนเมื่อใด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-splits-rocm-toolkit-into-two-parts-rocm-amdgpu-drivers-get-their-own-branch-under-instinct-datacenter-gpu-moniker
    AMD ได้ปรับโครงสร้าง ROCm toolkit โดยแยกส่วน ROCm AMDGPU drivers ออกมาเป็น Instinct driver ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน GPU สำหรับศูนย์ข้อมูล ✅ การแยก ROCm toolkit ออกเป็นสองส่วน - ROCm 6.4 แบ่งออกเป็น Instinct Driver และ ROCm Toolkit - Instinct Driver จะเป็นชุดไดรเวอร์ที่รองรับ GPU สำหรับศูนย์ข้อมูลโดยเฉพาะ - ROCm Toolkit จะดูแลทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับไดรเวอร์โดยตรง ✅ ข้อดีของการเปลี่ยนแปลงนี้ - เพิ่มความยืดหยุ่นในการอัปเดตไดรเวอร์ โดยไม่ต้องเปลี่ยนเวอร์ชันของ ROCm Toolkit - ลดความซับซ้อนในการติดตั้งและจัดการสิทธิ์ของผู้ใช้ - เพิ่มระยะเวลาการสนับสนุนไดรเวอร์จาก 6 เดือนเป็น 12 เดือน ✅ การพัฒนาในอนาคต - AMD วางแผนเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การติดตั้งแบบลดขนาด เพื่อลด footprint ของไดรเวอร์ - อาจมีการพัฒนาไดรเวอร์ที่เน้นความเสถียรระยะยาวสำหรับศูนย์ข้อมูล ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป - ROCm Toolkit จะยังคงรองรับ GPU สำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่การแยกไดรเวอร์อาจทำให้การติดตั้งซับซ้อนขึ้น - ผู้ใช้ที่ต้องการใช้ amdgpu จาก Linux kernel อาจต้องปรับการตั้งค่าใหม่ ℹ️ ความสับสนเรื่องเวอร์ชันไดรเวอร์ - AMD ยืนยันว่า เวอร์ชันของ Instinct Driver จะไม่เปลี่ยนแปลง แม้ ROCm Toolkit จะอัปเดต - อาจเกิดความสับสนในการเลือกเวอร์ชันที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน ℹ️ แนวโน้มของ ROCm และการสนับสนุน GPU รุ่นใหม่ - AMD ยังไม่ได้ประกาศการรองรับ RDNA 4 ใน ROCm Toolkit - ผู้ใช้ต้องติดตามการอัปเดตเพื่อดูว่า GPU รุ่นใหม่จะได้รับการสนับสนุนเมื่อใด https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-splits-rocm-toolkit-into-two-parts-rocm-amdgpu-drivers-get-their-own-branch-under-instinct-datacenter-gpu-moniker
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD splits ROCm toolkit into two parts – ROCm AMDGPU drivers get their own branch under Instinct datacenter GPU moniker
    AMD's datacenter-focused Instinct GPUs get their own-branded Linux GPU drivers that support significantly more versions of the ROCm toolkit.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ways To Stop Saying “Sorry” All The Time

    How many times have you said the word sorry today? If you’re like most people, the answer is probably: a lot.

    Sorry means “feeling regret, compunction, sympathy, pity, etc.” The only problem is, we don’t always use it that way. Sorry has become a sort of anchor that people attach to all kinds of phrases, whether they’re asking a question, asking for help, or even just moving about in a crowded space. In those instances, we aren’t feeling regret or pity, so why are we apologizing?

    Research shows that women tend to over-apologize more often than men, but no matter your identity, psychologists caution that saying sorry all the time can undermine your authority and even impact your self-esteem. If you’re a chronic over-apologizer, it’s time to switch it up. Here are 10 ways to stop saying sorry and start saying what you really mean.

    1. Catch yourself in the act.
    Before you change your habit of over-apologizing, you have to become aware of when you apologize and why. Is it anytime you feel you’re in someone’s way? Or maybe whenever you want to ask a question during a meeting? Start to notice when sorry comes out of your mouth during times when you haven’t actually done anything wrong. Try asking a trusted friend or colleague to point it out to you or even having a day where you write down a tick mark every time you say it.

    2. Think about why you apologize.
    Has sorry become a filler word? Maybe it gives you something to say when you aren’t sure what else to say, or maybe it’s a way of dealing with anxiety or a lack of confidence in certain situations. Understanding why you apologize all the time will help you identify situations for which you could brainstorm some other words and phrases to have in your arsenal instead.

    3. Say “thank you,” not “sorry.”
    When you’re ready to start replacing the word sorry in your vocabulary, here’s an easy trick: say “thank you” instead. This is especially helpful at work or in other places where saying sorry might come off as less authoritative. Thank you turns an apologetic statement into one that exudes confidence. Here are some examples:

    - Instead of Sorry for being late, try Thanks for waiting.
    - Instead of Sorry for the late notice, try I’m so glad you could make it.
    - Instead of Sorry for complaining, try Thanks for listening.
    - Instead of Sorry for the mistake, try Thank you for catching that.

    4. Use a different word.
    Are you using sorry in place of a word or phrase that might work better? For example, when you need something at a restaurant or want to reach in front of someone at the grocery store to grab an item, do you automatically apologize? If so, you may be using sorry as a default, so try to choose some replacement words. Here are some ideas:

    - pardon
    - excuse me
    - after you
    - oops

    5. Focus on solutions.
    We all make mistakes, and apologizing when we really mess up is a good idea. But you don’t need to jump straight to sorry every time there is a minor mishap. In situations at work or even in conversations with friends and loved ones, it can be helpful and more proactive to lead with what you’re going to do to fix the problem. In these situations, try one of these alternatives:

    - I hear you, and I’m going to [list actions you plan to take].
    - Thank you for bringing this to my attention. I’m going to work on it.
    - This didn’t go as planned, but I’m going to make it right.
    - Can you give me feedback on how I can do this differently?

    6. Ask a question.
    Sometimes we use sorry as a way of getting someone’s attention, as in, “Sorry, but I have a question.” The only problem is that beginning your sentence with an apology has the potential to make you sound more passive or make others see you as less authoritative. Instead of defaulting to apologizing whenever you have something to say, try these alternatives:

    - Instead of Sorry to bother you, try Is now a good time to talk?
    - Instead of Sorry for interrupting, try Can I expand on that?
    - Instead of Sorry for getting in the way, try Can I squeeze past you?
    - Instead of Sorry, but I have a question, try Is now a good time for questions?

    7. Ban sorry from your emails.
    In person, the word sorry can slip out without notice. But over email you have the opportunity of more time to think about what you really want to say. Take advantage of that by banning the word sorry from all communications. After you write an email, read through it quickly and delete every instance of sorry or other passive language, and replace it with some of the words or phrases above. It’s a small step that can go a long way towards making you sound more self-assured.

    8. Practice empathy, not sympathy.
    Sorry is a go-to word when something bad happens to someone else, but it isn’t always the best word. Sorry conveys sympathy, and it focuses on how the speaker feels rather than the recipient. Plus, because the word is so overused, it can sometimes sound insincere. Instead of jumping right to sorry in these situations, practice empathy by acknowledging the other person’s feelings over yours. Some examples include:

    - That must have been really difficult.
    - I know you’re really hurting right now.
    - Thank you for trusting me with this.
    - What can I do to make this easier for you?

    9. Prep before important conversations.
    If you know ahead of time that you’re going into a tough conversation where you might be tempted to over-apologize, rehearse some other lines to use instead. For example, if you need to talk to a boss about a problem at work, think about how the conversation might go and choose a few sorry alternatives from earlier on this list. Practice what you’ll say ahead of time. When alternative words and phrases are fresh in your mind, they’ll be easier to remember and work into the conversation naturally.

    10. Get an accountability partner.
    It might be easier to change your habits if you have a little help. If you have a friend, partner, or colleague that you trust, let them know you’re trying to delete sorry from your vocabulary, and see if they’re willing to help by privately pointing out when they hear you over-apologizing. They may notice times when you apologize that you’ve overlooked, and knowing they’re on the lookout might motivate you to change your ways even more. After a while, your sorry habit will be a thing of the past. Sorry, not sorry.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Ways To Stop Saying “Sorry” All The Time How many times have you said the word sorry today? If you’re like most people, the answer is probably: a lot. Sorry means “feeling regret, compunction, sympathy, pity, etc.” The only problem is, we don’t always use it that way. Sorry has become a sort of anchor that people attach to all kinds of phrases, whether they’re asking a question, asking for help, or even just moving about in a crowded space. In those instances, we aren’t feeling regret or pity, so why are we apologizing? Research shows that women tend to over-apologize more often than men, but no matter your identity, psychologists caution that saying sorry all the time can undermine your authority and even impact your self-esteem. If you’re a chronic over-apologizer, it’s time to switch it up. Here are 10 ways to stop saying sorry and start saying what you really mean. 1. Catch yourself in the act. Before you change your habit of over-apologizing, you have to become aware of when you apologize and why. Is it anytime you feel you’re in someone’s way? Or maybe whenever you want to ask a question during a meeting? Start to notice when sorry comes out of your mouth during times when you haven’t actually done anything wrong. Try asking a trusted friend or colleague to point it out to you or even having a day where you write down a tick mark every time you say it. 2. Think about why you apologize. Has sorry become a filler word? Maybe it gives you something to say when you aren’t sure what else to say, or maybe it’s a way of dealing with anxiety or a lack of confidence in certain situations. Understanding why you apologize all the time will help you identify situations for which you could brainstorm some other words and phrases to have in your arsenal instead. 3. Say “thank you,” not “sorry.” When you’re ready to start replacing the word sorry in your vocabulary, here’s an easy trick: say “thank you” instead. This is especially helpful at work or in other places where saying sorry might come off as less authoritative. Thank you turns an apologetic statement into one that exudes confidence. Here are some examples: - Instead of Sorry for being late, try Thanks for waiting. - Instead of Sorry for the late notice, try I’m so glad you could make it. - Instead of Sorry for complaining, try Thanks for listening. - Instead of Sorry for the mistake, try Thank you for catching that. 4. Use a different word. Are you using sorry in place of a word or phrase that might work better? For example, when you need something at a restaurant or want to reach in front of someone at the grocery store to grab an item, do you automatically apologize? If so, you may be using sorry as a default, so try to choose some replacement words. Here are some ideas: - pardon - excuse me - after you - oops 5. Focus on solutions. We all make mistakes, and apologizing when we really mess up is a good idea. But you don’t need to jump straight to sorry every time there is a minor mishap. In situations at work or even in conversations with friends and loved ones, it can be helpful and more proactive to lead with what you’re going to do to fix the problem. In these situations, try one of these alternatives: - I hear you, and I’m going to [list actions you plan to take]. - Thank you for bringing this to my attention. I’m going to work on it. - This didn’t go as planned, but I’m going to make it right. - Can you give me feedback on how I can do this differently? 6. Ask a question. Sometimes we use sorry as a way of getting someone’s attention, as in, “Sorry, but I have a question.” The only problem is that beginning your sentence with an apology has the potential to make you sound more passive or make others see you as less authoritative. Instead of defaulting to apologizing whenever you have something to say, try these alternatives: - Instead of Sorry to bother you, try Is now a good time to talk? - Instead of Sorry for interrupting, try Can I expand on that? - Instead of Sorry for getting in the way, try Can I squeeze past you? - Instead of Sorry, but I have a question, try Is now a good time for questions? 7. Ban sorry from your emails. In person, the word sorry can slip out without notice. But over email you have the opportunity of more time to think about what you really want to say. Take advantage of that by banning the word sorry from all communications. After you write an email, read through it quickly and delete every instance of sorry or other passive language, and replace it with some of the words or phrases above. It’s a small step that can go a long way towards making you sound more self-assured. 8. Practice empathy, not sympathy. Sorry is a go-to word when something bad happens to someone else, but it isn’t always the best word. Sorry conveys sympathy, and it focuses on how the speaker feels rather than the recipient. Plus, because the word is so overused, it can sometimes sound insincere. Instead of jumping right to sorry in these situations, practice empathy by acknowledging the other person’s feelings over yours. Some examples include: - That must have been really difficult. - I know you’re really hurting right now. - Thank you for trusting me with this. - What can I do to make this easier for you? 9. Prep before important conversations. If you know ahead of time that you’re going into a tough conversation where you might be tempted to over-apologize, rehearse some other lines to use instead. For example, if you need to talk to a boss about a problem at work, think about how the conversation might go and choose a few sorry alternatives from earlier on this list. Practice what you’ll say ahead of time. When alternative words and phrases are fresh in your mind, they’ll be easier to remember and work into the conversation naturally. 10. Get an accountability partner. It might be easier to change your habits if you have a little help. If you have a friend, partner, or colleague that you trust, let them know you’re trying to delete sorry from your vocabulary, and see if they’re willing to help by privately pointing out when they hear you over-apologizing. They may notice times when you apologize that you’ve overlooked, and knowing they’re on the lookout might motivate you to change your ways even more. After a while, your sorry habit will be a thing of the past. Sorry, not sorry. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • บุกรวบตัวกลางโรงพยาบาลเท็กซัส อดีตผอ.สำนักพุทธฯ ‘นพรัตน’ คดีทุจริตเงินทอนวัด เร่งขอตัวส่งกลับเป็นผู้ร้ายข้ามแดน เผยระหว่างหลบหนี 8 ปี อยู่อย่างสุขสบายกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิด นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานนท์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ร่ำรวยผิดปกติกว่า 500 ล้านบาท จากการเข้าไปเกี่ยวพันกับคดีทุจริตโครงการเงินอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัด และการพัฒนาวัด (คดีเงินทอนวัด)นอกจากนี้คณะกรรมการ ปปง.มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของ นายนพรัตน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายพนม ศรศิลป์ กับพวก ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินทอนวัดไปแล้วอย่างน้อย 4 ครั้ง รวมมูลค่าประมาณ 94.2 ล้านบาท โดยมีรายงานว่า นายนพรัตน์หลบหนีหมายจับไปพำนักอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ก่อนปี 2560 จนถึงปัจจุบัน... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/local/crime/news_5138225#m9fdgqh9rgvhmu5ljbo
    บุกรวบตัวกลางโรงพยาบาลเท็กซัส อดีตผอ.สำนักพุทธฯ ‘นพรัตน’ คดีทุจริตเงินทอนวัด เร่งขอตัวส่งกลับเป็นผู้ร้ายข้ามแดน เผยระหว่างหลบหนี 8 ปี อยู่อย่างสุขสบายกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิด นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานนท์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ร่ำรวยผิดปกติกว่า 500 ล้านบาท จากการเข้าไปเกี่ยวพันกับคดีทุจริตโครงการเงินอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัด และการพัฒนาวัด (คดีเงินทอนวัด)นอกจากนี้คณะกรรมการ ปปง.มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของ นายนพรัตน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายพนม ศรศิลป์ กับพวก ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินทอนวัดไปแล้วอย่างน้อย 4 ครั้ง รวมมูลค่าประมาณ 94.2 ล้านบาท โดยมีรายงานว่า นายนพรัตน์หลบหนีหมายจับไปพำนักอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ก่อนปี 2560 จนถึงปัจจุบัน... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/local/crime/news_5138225#m9fdgqh9rgvhmu5ljbo
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์บทความของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ “คานงัดประเทศไทยหลายประเทศมีการผลักดัน “การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนสามารถพลิกฟื้นตัวเองจากรัฐที่ตามหลัง (Following State) สู่รัฐที่ล้ำหน้า (Forefront State) อย่างจีน สิงค์โปร์ หรือ เกาหลีใต้ ผิดกับประเทศไทย ที่ปัจจุบันยังเป็นเพียงรัฐที่ตามหลัง และกำลังมีแนวโน้มถดถอยไปสู่รัฐที่กำลังล้มเหลว (Falling State)ที่ผ่านมา ประเทศไทยนั้นมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (Great Reform) เพียงครั้งเดียว คือในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แต่เงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้นกับในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไขที่มาจากปัจจัยภายในและภายนอก ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชการที่ 5 น้ำหนักจะอยู่ที่การพัฒนาเพื่อไปสู่ความทันสมัย เพื่อที่จะแสดงให้ประชาคมโลกตระหนักว่าประเทศของเรานั้นไม่ได้ล้าหลัง เนื่องจากต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคม ประเด็นท้าทายในยุคปัจจุบัน คือจะมุ่งการพัฒนาเพื่อไปสู่ความยั่งยืน ความเท่าเทียมในสังคม และความเท่าทันเทคโนโลยี ได้อย่างไร~แรงเฉื่อยต่อการเปลี่ยนแปลงหลังกระแสการล่าอาณานิคมผ่านพ้นไป ประเทศไทยไม่เคยต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรง เราเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล 2 น้อยมาก ดังนั้น ระบบและโครงสร้างเก่า แนวคิดและจารีตนิยมจึงไม่ได้ถูกทำลาย ทำให้อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชนยังคงอยู่ ระบบคุณค่าดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการพลิกโฉมประเทศไปสู่สังคมสมัยใหม่ ที่เน้นความเป็นระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ตระหนักในหน้าที่พลเมือง มีจิตอาสา กล้าที่จะเสนอความเห็น มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และความเสมอภาคระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังได้หล่อหลอมคนไทยให้เป็น “ปัจเจกบุคคลที่ไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม” (Anomic Individualism) สะท้อนผ่านพฤติกรรมตัวใครตัวมัน ไม่ชอบถูกบังคับ ไร้ระเบียบวินัย และขาดความรับผิดชอบ ผลข้างเคียงที่ตามมา คือคนไทยโดยส่วนใหญ่จะเรียกร้องสิทธิมากกว่าหน้าที่ เน้นถูกใจมากกว่าถูกต้อง เน้นมองเพื่อตัวเองมากกว่ามองเพื่อส่วนรวม เน้นชิงสุกก่อนห่ามมากกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เน้นรูปแบบมากกว่าสาระ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นมูลค่ามากกว่าคุณค่า และเน้นคอนเนคชั่นมากกว่าเนื้องานความไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม ทำให้คนไทยโดยส่วนใหญ่มักตัดสินใจเลือกเส้นทางหรือวิธีการที่ “มักง่าย” ทำให้เรื่องที่ “ผิดปกติ” กลายเป็นเรื่อง “ไม่ผิดปกติ” และกระทำลงไปโดยปราศจาก “ความรู้สึกผิด” อาทิ นักการเมืองโกงกินไม่เป็นไร ขอเพียงให้มีผลงานบ้าง การทำปฏิวัติรัฐประหาร การใช้กำลังยุติความขัดแย้ง เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ และความมหัศจรรย์ ไม่รักษาเวลา ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ ทิ้งงานโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น ~ค้นหาจุดคานงัด ทลายวงจรอุบาทว์หากพวกเราไม่คิดแก้ไขปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ยากที่ประเทศไทยจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ประเทศอื่น ๆ ในประชาคมโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ได้ในการทลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน จุดคานงัดของการเปลี่ยนแปลง (Leveraging Point) อาจจะอยู่ทึ่ “การปฏิรูประบบคุณค่า” (Value System Reform) ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่านิยม 2 ชุดหลักด้วยกัน คือชุดที่ 1: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมชุดที่ 2: บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยมบริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นด้านลบของระบอบทุนนิยม แต่ในด้านบวกของระบอบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันอย่างเสรี การยึดธรรมาภิบาล กฎกติกา กลับไม่ได้ถูกสังคมไทยนำมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะถูกอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมเข้าบดบังระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด ยังคงแทรกซึมลึกอยู่ในเกือบทุกอณูของสังคมไทย เป็น Counter-Productive Value ที่นอกจากจะไม่สอดรับกับรูปแบบการพัฒนาและโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมในโลกปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ระบบคุณค่าทั้งสองชุดได้ทำให้ธรรมาภิบาล โครงสร้าง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้คนในสังคม เกิดการบิดเบี้ยวเชิงระบบ ไม่ว่าจะเป็น• การบิดเบี้ยวเชิงการเมือง ที่ก่อให้เกิดการเมืองที่มีผู้มีอิทธิพลครอบงำ และก่อให้เกิดระบอบธนาธิปไตย และระบอบอมาตยาธิปไตย แทนที่จะเป็นระบอบประชาธิปไตย • การบิดเบี้ยวเชิงบริหารราชการแผ่นดิน ที่การบริหารจัดการภาครัฐถูกแทรกแซง บิดเบือน ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและระบบคุณธรรม • การบิดเบี้ยวเชิงสังคม ที่ก่อให้เกิด Contra-Individuals มากกว่า Collective Individuals รวมถึงเกิดความกระชับแน่นของคนในกลุ่มเดียวกัน (Bonding) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสัมพันธ์ของคนต่างกลุ่ม (Bridging) ลดลง เกิดเป็น “สังคมของพวกกู” มากกว่า “สังคมของพวกเรา”• ความบิดเบี้ยวเชิงเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดระบบทุนนิยมแบบพวกพ้อง (Crony Capitalism) นำมาสู่ระบบเศรษฐกิจปรสิต (Parasite Economy) และสังคมพึ่งพิงประชานิยม (Dependent Society) • ความบิดเบี้ยวของผู้นำ ที่ก่อให้เกิดการขาดแคลนผู้นำที่เป็นต้นแบบที่ดี มีแต่ผู้นำที่คิดอย่าง พูดอย่าง ทำอย่างอยู่มากมาย เกิดผู้นำที่ใส่ใจในวาระซ่อนเร้นของตน มากกว่า วาระของชาติ• ความบิดเบี้ยวเชิงสถาบัน ที่สถาบันต่าง ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามภารกิจอย่างเป็นอิสระ อย่างที่สังคมคาดหวังที่สำคัญ ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังก่อให้เกิดความย้อนแย้งระหว่างอำนาจที่แท้จริงและอำนาจทางการ หรือที่เรียกว่า “Power Paradox” กล่าวคือ การที่เรายังมองประชาชนเป็นผู้ถูกปกครอง โดยมีผู้ปกครองคือรัฐ ทั้งที่จริง ๆ แล้วรัฐต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน เป็นความย้อนแย้งระหว่างพฤตินัยและนิตินัยดังนั้น หากปราศจากการปรับเปลี่ยนระบบคุณค่า เพื่อทำให้เกิดความสอดคล้องกับธรรมาภิบาลและโครงสร้างส่วนอื่นๆของสังคม วาระการปฎิรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ จะไม่มีทางตอบโจทย์ประเด็นปัญหาฐานรากที่เกิดขึ้นในสังคมไทย~ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยม; บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นปฐมบทของการเกิดโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองแบบ Extractive Political Economy ที่มีผู้คนเพียงบางกลุ่ม ได้ประโยชน์จากอำนาจการปกครองและอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยความพยายามที่จะกีดกั้น เอารัดเอาเปรียบ และทำให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจและความมั่งคั่ง และนำพาสู่การอุบัติขึ้นของ ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ ในที่สุดโครงสร้าง Extractive Political Economy ได้นำพาประเทศไทยสู่ “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” เกิดสังคมที่ไม่ Clean & Clear ไม่ Free & Fair และไม่ Care & Share สังคมดังกล่าวนำมาซึ่งความเสื่อมถอยของทุนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นทุนมนุษย์ที่อ่อนแอ ทุนเศรษฐกิจที่อ่อนด้อย ทุนสังคมที่เปราะบาง ทุนคุณธรรมจริยธรรมที่เสื่อมทราม และทุนทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรมถึงเวลาปฎิรูประบบคุณค่า เพื่อใช้เป็นจุดคานงัดในการก้าวพ้นกับดัก และปรับเปลี่ยนไทยสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง”
    รีโพสต์บทความของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ “คานงัดประเทศไทยหลายประเทศมีการผลักดัน “การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนสามารถพลิกฟื้นตัวเองจากรัฐที่ตามหลัง (Following State) สู่รัฐที่ล้ำหน้า (Forefront State) อย่างจีน สิงค์โปร์ หรือ เกาหลีใต้ ผิดกับประเทศไทย ที่ปัจจุบันยังเป็นเพียงรัฐที่ตามหลัง และกำลังมีแนวโน้มถดถอยไปสู่รัฐที่กำลังล้มเหลว (Falling State)ที่ผ่านมา ประเทศไทยนั้นมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (Great Reform) เพียงครั้งเดียว คือในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แต่เงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้นกับในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไขที่มาจากปัจจัยภายในและภายนอก ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชการที่ 5 น้ำหนักจะอยู่ที่การพัฒนาเพื่อไปสู่ความทันสมัย เพื่อที่จะแสดงให้ประชาคมโลกตระหนักว่าประเทศของเรานั้นไม่ได้ล้าหลัง เนื่องจากต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคม ประเด็นท้าทายในยุคปัจจุบัน คือจะมุ่งการพัฒนาเพื่อไปสู่ความยั่งยืน ความเท่าเทียมในสังคม และความเท่าทันเทคโนโลยี ได้อย่างไร~แรงเฉื่อยต่อการเปลี่ยนแปลงหลังกระแสการล่าอาณานิคมผ่านพ้นไป ประเทศไทยไม่เคยต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรง เราเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล 2 น้อยมาก ดังนั้น ระบบและโครงสร้างเก่า แนวคิดและจารีตนิยมจึงไม่ได้ถูกทำลาย ทำให้อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชนยังคงอยู่ ระบบคุณค่าดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการพลิกโฉมประเทศไปสู่สังคมสมัยใหม่ ที่เน้นความเป็นระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ตระหนักในหน้าที่พลเมือง มีจิตอาสา กล้าที่จะเสนอความเห็น มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และความเสมอภาคระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังได้หล่อหลอมคนไทยให้เป็น “ปัจเจกบุคคลที่ไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม” (Anomic Individualism) สะท้อนผ่านพฤติกรรมตัวใครตัวมัน ไม่ชอบถูกบังคับ ไร้ระเบียบวินัย และขาดความรับผิดชอบ ผลข้างเคียงที่ตามมา คือคนไทยโดยส่วนใหญ่จะเรียกร้องสิทธิมากกว่าหน้าที่ เน้นถูกใจมากกว่าถูกต้อง เน้นมองเพื่อตัวเองมากกว่ามองเพื่อส่วนรวม เน้นชิงสุกก่อนห่ามมากกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เน้นรูปแบบมากกว่าสาระ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นมูลค่ามากกว่าคุณค่า และเน้นคอนเนคชั่นมากกว่าเนื้องานความไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม ทำให้คนไทยโดยส่วนใหญ่มักตัดสินใจเลือกเส้นทางหรือวิธีการที่ “มักง่าย” ทำให้เรื่องที่ “ผิดปกติ” กลายเป็นเรื่อง “ไม่ผิดปกติ” และกระทำลงไปโดยปราศจาก “ความรู้สึกผิด” อาทิ นักการเมืองโกงกินไม่เป็นไร ขอเพียงให้มีผลงานบ้าง การทำปฏิวัติรัฐประหาร การใช้กำลังยุติความขัดแย้ง เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ และความมหัศจรรย์ ไม่รักษาเวลา ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ ทิ้งงานโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น ~ค้นหาจุดคานงัด ทลายวงจรอุบาทว์หากพวกเราไม่คิดแก้ไขปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ยากที่ประเทศไทยจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ประเทศอื่น ๆ ในประชาคมโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ได้ในการทลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน จุดคานงัดของการเปลี่ยนแปลง (Leveraging Point) อาจจะอยู่ทึ่ “การปฏิรูประบบคุณค่า” (Value System Reform) ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่านิยม 2 ชุดหลักด้วยกัน คือชุดที่ 1: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมชุดที่ 2: บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยมบริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นด้านลบของระบอบทุนนิยม แต่ในด้านบวกของระบอบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันอย่างเสรี การยึดธรรมาภิบาล กฎกติกา กลับไม่ได้ถูกสังคมไทยนำมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะถูกอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมเข้าบดบังระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด ยังคงแทรกซึมลึกอยู่ในเกือบทุกอณูของสังคมไทย เป็น Counter-Productive Value ที่นอกจากจะไม่สอดรับกับรูปแบบการพัฒนาและโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมในโลกปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ระบบคุณค่าทั้งสองชุดได้ทำให้ธรรมาภิบาล โครงสร้าง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้คนในสังคม เกิดการบิดเบี้ยวเชิงระบบ ไม่ว่าจะเป็น• การบิดเบี้ยวเชิงการเมือง ที่ก่อให้เกิดการเมืองที่มีผู้มีอิทธิพลครอบงำ และก่อให้เกิดระบอบธนาธิปไตย และระบอบอมาตยาธิปไตย แทนที่จะเป็นระบอบประชาธิปไตย • การบิดเบี้ยวเชิงบริหารราชการแผ่นดิน ที่การบริหารจัดการภาครัฐถูกแทรกแซง บิดเบือน ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและระบบคุณธรรม • การบิดเบี้ยวเชิงสังคม ที่ก่อให้เกิด Contra-Individuals มากกว่า Collective Individuals รวมถึงเกิดความกระชับแน่นของคนในกลุ่มเดียวกัน (Bonding) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสัมพันธ์ของคนต่างกลุ่ม (Bridging) ลดลง เกิดเป็น “สังคมของพวกกู” มากกว่า “สังคมของพวกเรา”• ความบิดเบี้ยวเชิงเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดระบบทุนนิยมแบบพวกพ้อง (Crony Capitalism) นำมาสู่ระบบเศรษฐกิจปรสิต (Parasite Economy) และสังคมพึ่งพิงประชานิยม (Dependent Society) • ความบิดเบี้ยวของผู้นำ ที่ก่อให้เกิดการขาดแคลนผู้นำที่เป็นต้นแบบที่ดี มีแต่ผู้นำที่คิดอย่าง พูดอย่าง ทำอย่างอยู่มากมาย เกิดผู้นำที่ใส่ใจในวาระซ่อนเร้นของตน มากกว่า วาระของชาติ• ความบิดเบี้ยวเชิงสถาบัน ที่สถาบันต่าง ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามภารกิจอย่างเป็นอิสระ อย่างที่สังคมคาดหวังที่สำคัญ ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังก่อให้เกิดความย้อนแย้งระหว่างอำนาจที่แท้จริงและอำนาจทางการ หรือที่เรียกว่า “Power Paradox” กล่าวคือ การที่เรายังมองประชาชนเป็นผู้ถูกปกครอง โดยมีผู้ปกครองคือรัฐ ทั้งที่จริง ๆ แล้วรัฐต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน เป็นความย้อนแย้งระหว่างพฤตินัยและนิตินัยดังนั้น หากปราศจากการปรับเปลี่ยนระบบคุณค่า เพื่อทำให้เกิดความสอดคล้องกับธรรมาภิบาลและโครงสร้างส่วนอื่นๆของสังคม วาระการปฎิรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ จะไม่มีทางตอบโจทย์ประเด็นปัญหาฐานรากที่เกิดขึ้นในสังคมไทย~ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยม; บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นปฐมบทของการเกิดโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองแบบ Extractive Political Economy ที่มีผู้คนเพียงบางกลุ่ม ได้ประโยชน์จากอำนาจการปกครองและอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยความพยายามที่จะกีดกั้น เอารัดเอาเปรียบ และทำให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจและความมั่งคั่ง และนำพาสู่การอุบัติขึ้นของ ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ ในที่สุดโครงสร้าง Extractive Political Economy ได้นำพาประเทศไทยสู่ “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” เกิดสังคมที่ไม่ Clean & Clear ไม่ Free & Fair และไม่ Care & Share สังคมดังกล่าวนำมาซึ่งความเสื่อมถอยของทุนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นทุนมนุษย์ที่อ่อนแอ ทุนเศรษฐกิจที่อ่อนด้อย ทุนสังคมที่เปราะบาง ทุนคุณธรรมจริยธรรมที่เสื่อมทราม และทุนทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรมถึงเวลาปฎิรูประบบคุณค่า เพื่อใช้เป็นจุดคานงัดในการก้าวพ้นกับดัก และปรับเปลี่ยนไทยสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้เผยแพร่บทความที่ชื่อว่า "7 Tips to Get the Most Out of Windows 11" โดยมีเป้าหมายเพื่อโน้มน้าวให้ผู้ใช้ Windows 10 อัปเกรดเป็น Windows 11 บทความนี้ชี้ให้เห็นถึงฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เช่น การปรับแต่ง Start Menu, Snap Layouts, Virtual Desktops, Widgets และ Focus Sessions อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์เหล่านี้ถูกวิจารณ์ว่าไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ได้มากพอ

    นอกจากนี้ Microsoft ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการอัปเกรด เนื่องจากการสนับสนุน Windows 10 จะสิ้นสุดในเดือนตุลาคม 2025 แต่บทความนี้กลับไม่ได้กล่าวถึงฟีเจอร์ที่สำคัญ เช่น ความปลอดภัยที่ดีขึ้นและประสิทธิภาพที่ราบรื่นกว่าเดิม

    ✅ บทความเพื่อกระตุ้นการอัปเกรด
    - Microsoft เผยแพร่บทความ "7 Tips to Get the Most Out of Windows 11"
    - มีเป้าหมายเพื่อโน้มน้าวให้ผู้ใช้ Windows 10 อัปเกรด

    ✅ ฟีเจอร์ที่นำเสนอในบทความ
    - การปรับแต่ง Start Menu
    - Snap Layouts และ Virtual Desktops
    - Widgets และ Focus Sessions

    ✅ การสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10
    - Microsoft เน้นย้ำว่าการสนับสนุน Windows 10 จะสิ้นสุดในเดือนตุลาคม 2025

    ℹ️ ข้อวิจารณ์ต่อบทความ
    - ฟีเจอร์ที่นำเสนอไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้มากพอ
    - บทความไม่ได้กล่าวถึงฟีเจอร์สำคัญ เช่น ความปลอดภัยและประสิทธิภาพ

    ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ Windows 10
    - ผู้ใช้ต้องตัดสินใจว่าจะอัปเกรดหรือจ่ายเงินเพื่อรักษาการสนับสนุน Windows 10
    - การสิ้นสุดการสนับสนุนอาจสร้างแรงกดดันให้ผู้ใช้ต้องเปลี่ยนระบบปฏิบัติการ

    https://www.techradar.com/computing/windows/microsofts-latest-attempt-to-persuade-upgrades-to-windows-11-falls-spectacularly-flat-on-its-face
    Microsoft ได้เผยแพร่บทความที่ชื่อว่า "7 Tips to Get the Most Out of Windows 11" โดยมีเป้าหมายเพื่อโน้มน้าวให้ผู้ใช้ Windows 10 อัปเกรดเป็น Windows 11 บทความนี้ชี้ให้เห็นถึงฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เช่น การปรับแต่ง Start Menu, Snap Layouts, Virtual Desktops, Widgets และ Focus Sessions อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์เหล่านี้ถูกวิจารณ์ว่าไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ได้มากพอ นอกจากนี้ Microsoft ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการอัปเกรด เนื่องจากการสนับสนุน Windows 10 จะสิ้นสุดในเดือนตุลาคม 2025 แต่บทความนี้กลับไม่ได้กล่าวถึงฟีเจอร์ที่สำคัญ เช่น ความปลอดภัยที่ดีขึ้นและประสิทธิภาพที่ราบรื่นกว่าเดิม ✅ บทความเพื่อกระตุ้นการอัปเกรด - Microsoft เผยแพร่บทความ "7 Tips to Get the Most Out of Windows 11" - มีเป้าหมายเพื่อโน้มน้าวให้ผู้ใช้ Windows 10 อัปเกรด ✅ ฟีเจอร์ที่นำเสนอในบทความ - การปรับแต่ง Start Menu - Snap Layouts และ Virtual Desktops - Widgets และ Focus Sessions ✅ การสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 - Microsoft เน้นย้ำว่าการสนับสนุน Windows 10 จะสิ้นสุดในเดือนตุลาคม 2025 ℹ️ ข้อวิจารณ์ต่อบทความ - ฟีเจอร์ที่นำเสนอไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้มากพอ - บทความไม่ได้กล่าวถึงฟีเจอร์สำคัญ เช่น ความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ Windows 10 - ผู้ใช้ต้องตัดสินใจว่าจะอัปเกรดหรือจ่ายเงินเพื่อรักษาการสนับสนุน Windows 10 - การสิ้นสุดการสนับสนุนอาจสร้างแรงกดดันให้ผู้ใช้ต้องเปลี่ยนระบบปฏิบัติการ https://www.techradar.com/computing/windows/microsofts-latest-attempt-to-persuade-upgrades-to-windows-11-falls-spectacularly-flat-on-its-face
    WWW.TECHRADAR.COM
    Microsoft’s latest attempt to persuade upgrades to Windows 11 falls spectacularly flat on its face
    I don’t know what Microsoft’s thinking, but this is the oddest attempt I’ve ever seen to prod folks to upgrade to Windows 11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลทรัมป์ได้เสนอร่างงบประมาณปี 2026 ที่มีการลดงบประมาณของ NASA ลงถึง 20% หรือประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโครงการวิทยาศาสตร์และความเป็นผู้นำด้านอวกาศของสหรัฐฯ

    ✅ การลดงบประมาณของ NASA:
    - งบประมาณของ NASA จะลดลงจาก 25 พันล้านดอลลาร์เหลือ 20 พันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะในส่วนของ Science Mission Directorate
    - การลดงบประมาณนี้จะส่งผลให้โครงการวิทยาศาสตร์ เช่น Astrophysics, Planetary Science และ Earth Science ถูกลดงบประมาณลงถึง 50%

    ✅ โครงการที่อาจถูกยกเลิก:
    - Nancy Grace Roman Space Telescope ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์ที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับ Hubble และ James Webb อาจถูกยกเลิก
    - โครงการสำคัญอื่น ๆ เช่น Mars Sample Return และ DAVINCI Mission to Venus ก็อาจได้รับผลกระทบ

    ✅ ผลกระทบต่อศูนย์ NASA:
    - การลดงบประมาณอาจนำไปสู่การปิดศูนย์ Goddard Space Flight Center ในรัฐแมริแลนด์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพนักงานกว่า 10,000 คน

    ✅ การตอบสนองของนักวิจารณ์:
    - นักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายวิทยาศาสตร์เรียกการลดงบประมาณนี้ว่าเป็น "เหตุการณ์ระดับการสูญพันธุ์" สำหรับโครงการวิทยาศาสตร์ของ NASA

    == ข้อเสนอแนะและคำเตือน ==
    ℹ️ การรักษาความเป็นผู้นำด้านอวกาศ:
    - สหรัฐฯ ควรพิจารณาเพิ่มงบประมาณเพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้านอวกาศและสนับสนุนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์

    ℹ️ การสนับสนุนโครงการวิทยาศาสตร์:
    - ควรมีการสนับสนุนโครงการวิทยาศาสตร์ที่สำคัญเพื่อส่งเสริมการค้นพบใหม่ ๆ และการพัฒนาทางเทคโนโลยี

    ℹ️ การสื่อสารกับสาธารณะ:
    - NASA ควรสื่อสารกับสาธารณะเกี่ยวกับความสำคัญของโครงการวิทยาศาสตร์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการลดงบประมาณ

    https://www.neowin.net/news/trump-white-houses-proposed-huge-nasa-budget-cut-could-decimate-american-space-leadership/
    รัฐบาลทรัมป์ได้เสนอร่างงบประมาณปี 2026 ที่มีการลดงบประมาณของ NASA ลงถึง 20% หรือประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโครงการวิทยาศาสตร์และความเป็นผู้นำด้านอวกาศของสหรัฐฯ ✅ การลดงบประมาณของ NASA: - งบประมาณของ NASA จะลดลงจาก 25 พันล้านดอลลาร์เหลือ 20 พันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะในส่วนของ Science Mission Directorate - การลดงบประมาณนี้จะส่งผลให้โครงการวิทยาศาสตร์ เช่น Astrophysics, Planetary Science และ Earth Science ถูกลดงบประมาณลงถึง 50% ✅ โครงการที่อาจถูกยกเลิก: - Nancy Grace Roman Space Telescope ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์ที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับ Hubble และ James Webb อาจถูกยกเลิก - โครงการสำคัญอื่น ๆ เช่น Mars Sample Return และ DAVINCI Mission to Venus ก็อาจได้รับผลกระทบ ✅ ผลกระทบต่อศูนย์ NASA: - การลดงบประมาณอาจนำไปสู่การปิดศูนย์ Goddard Space Flight Center ในรัฐแมริแลนด์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพนักงานกว่า 10,000 คน ✅ การตอบสนองของนักวิจารณ์: - นักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายวิทยาศาสตร์เรียกการลดงบประมาณนี้ว่าเป็น "เหตุการณ์ระดับการสูญพันธุ์" สำหรับโครงการวิทยาศาสตร์ของ NASA == ข้อเสนอแนะและคำเตือน == ℹ️ การรักษาความเป็นผู้นำด้านอวกาศ: - สหรัฐฯ ควรพิจารณาเพิ่มงบประมาณเพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้านอวกาศและสนับสนุนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ℹ️ การสนับสนุนโครงการวิทยาศาสตร์: - ควรมีการสนับสนุนโครงการวิทยาศาสตร์ที่สำคัญเพื่อส่งเสริมการค้นพบใหม่ ๆ และการพัฒนาทางเทคโนโลยี ℹ️ การสื่อสารกับสาธารณะ: - NASA ควรสื่อสารกับสาธารณะเกี่ยวกับความสำคัญของโครงการวิทยาศาสตร์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการลดงบประมาณ https://www.neowin.net/news/trump-white-houses-proposed-huge-nasa-budget-cut-could-decimate-american-space-leadership/
    WWW.NEOWIN.NET
    Trump White House's proposed huge NASA budget cut could "decimate American space leadership"
    A massive cut to the budget spending for NASA science research has been proposed by The White House that "could decimate American leadership in space".
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนที่ที่น่าสนใจ ที่บอกถึง 68 ตำแหน่งซึ่งคาดว่าจะเป็นระบบป้องกันภัยทางอากาศ THAAD, Arrow+David's Slings และอีกหลายตำแหน่งที่เป็น Iron Dome บนดินแดนอิสราเอล

    https://earth.google.com/web/data=MkEKPwo9CiExQWZ0emRiQk5TWFdGeGMtbmlpUnc5TkpaNGRBTTFjZVoSFgoUMEYyNjA2ODY5RTM3M0Q2QURBOTcgAUICCABKCAip3bTjBxAB
    แผนที่ที่น่าสนใจ ที่บอกถึง 68 ตำแหน่งซึ่งคาดว่าจะเป็นระบบป้องกันภัยทางอากาศ THAAD, Arrow+David's Slings และอีกหลายตำแหน่งที่เป็น Iron Dome บนดินแดนอิสราเอล https://earth.google.com/web/data=MkEKPwo9CiExQWZ0emRiQk5TWFdGeGMtbmlpUnc5TkpaNGRBTTFjZVoSFgoUMEYyNjA2ODY5RTM3M0Q2QURBOTcgAUICCABKCAip3bTjBxAB
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริดเจ็ต บริงค์ (Bridget Brink) เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเครน ประกาศลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ

    -กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐยืนยันการลาออกของเธอแล้ว

    ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวระบุว่า การตัดสินใจของบริงค์เกิดจากปัจจัยทางการเมืองหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงเรื่องการตัดลดงบประมาณของ USAID เมื่อไม่นานนี้ ซึ่งเอกอัครราชทูตบริงค์ถือเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับพรรคเดโมแครตอย่างมาก และเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ได้รับทุนสนับสนุนหลายกลุ่มในยูเครน

    นอกจากนี้ เธอยังมีความเครียดจากการต้องทำหน้าที่อยู่ในประเทศที่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงโดยไม่มีครอบครัวอยู่ด้วย ซึ่งยูเครนถูกจัดให้อยู่ในสถานะเป็นประเทศด่านหน้าสำหรับความยากลำบาก นักการทูตสหรัฐจะไม่สามารถพาครอบครัวมาอยู่ร่วมด้วยได้

    ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่าง บริงค์ และเซเลนสกี อยู่ในช่วงที่ไม่ราบรื่นนัก โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเซเลนสกีวิจารณ์เธออย่างรุนแรงที่ไม่ยอมมีส่วนร่วมในการออกมาประณามรัสเซียหลังจากขีปนาวุธของรัสเซียสังหารกองทหารต่างชาติไปกว่า 85 รายในเมือง Kryvyi Rih

    “น่าเสียดายที่การตอบสนองจากสถานทูตสหรัฐฯ นั้นน่าผิดหวังอย่างน่าประหลาดใจ – ประเทศที่เข้มแข็ง ประชาชนที่เข้มแข็ง แต่ปฏิกิริยากลับอ่อนแอ” เซเลนสกี เขียนบน X


    การลาออกของเธอได้รับการคาดหมายจากสื่อของสหรัฐมาล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้าทำเนียบขาวเป็นสมัยที่สอง
    บริดเจ็ต บริงค์ (Bridget Brink) เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเครน ประกาศลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ -กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐยืนยันการลาออกของเธอแล้ว ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวระบุว่า การตัดสินใจของบริงค์เกิดจากปัจจัยทางการเมืองหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงเรื่องการตัดลดงบประมาณของ USAID เมื่อไม่นานนี้ ซึ่งเอกอัครราชทูตบริงค์ถือเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับพรรคเดโมแครตอย่างมาก และเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ได้รับทุนสนับสนุนหลายกลุ่มในยูเครน นอกจากนี้ เธอยังมีความเครียดจากการต้องทำหน้าที่อยู่ในประเทศที่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงโดยไม่มีครอบครัวอยู่ด้วย ซึ่งยูเครนถูกจัดให้อยู่ในสถานะเป็นประเทศด่านหน้าสำหรับความยากลำบาก นักการทูตสหรัฐจะไม่สามารถพาครอบครัวมาอยู่ร่วมด้วยได้ ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่าง บริงค์ และเซเลนสกี อยู่ในช่วงที่ไม่ราบรื่นนัก โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเซเลนสกีวิจารณ์เธออย่างรุนแรงที่ไม่ยอมมีส่วนร่วมในการออกมาประณามรัสเซียหลังจากขีปนาวุธของรัสเซียสังหารกองทหารต่างชาติไปกว่า 85 รายในเมือง Kryvyi Rih “น่าเสียดายที่การตอบสนองจากสถานทูตสหรัฐฯ นั้นน่าผิดหวังอย่างน่าประหลาดใจ – ประเทศที่เข้มแข็ง ประชาชนที่เข้มแข็ง แต่ปฏิกิริยากลับอ่อนแอ” เซเลนสกี เขียนบน X การลาออกของเธอได้รับการคาดหมายจากสื่อของสหรัฐมาล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้าทำเนียบขาวเป็นสมัยที่สอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • Europol ได้ดำเนินการติดตามผลจากปฏิบัติการ Operation Endgame ซึ่งเป็นการปราบปรามเครือข่ายบ็อตเน็ตครั้งใหญ่ในปี 2024 โดยมีการจับกุมผู้ใช้งาน Smokeloader และตรวจค้นบ้านของพวกเขา

    ✅ การติดตามผลจาก Operation Endgame:
    - Europol ได้จับกุมผู้ใช้งาน Smokeloader ซึ่งเป็นบริการมัลแวร์แบบจ่ายเงินเพื่อใช้งาน
    - Smokeloader ถูกใช้ในการโจมตีหลายรูปแบบ เช่น การบันทึกการกดแป้นพิมพ์ การเข้าถึงกล้องเว็บแคม การปล่อยแรนซัมแวร์ และการขุดคริปโต

    ✅ การตรวจสอบฐานข้อมูล:
    - ผู้ใช้งาน Smokeloader ถูกติดตามจากฐานข้อมูลที่ถูกยึดใน Operation Endgame
    - หลายคนให้ความร่วมมือในการตรวจสอบอุปกรณ์ดิจิทัล และบางคนยอมรับว่ามีการขายบริการ Smokeloader ต่อในราคาที่สูงขึ้น

    ✅ การดำเนินการในหลายประเทศ:
    - ปฏิบัติการนี้เกี่ยวข้องกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหลายแห่ง เช่น FBI, Secret Service, RCMP และตำรวจในยุโรป

    ✅ การดำเนินการในอนาคต:
    - Europol ระบุว่าปฏิบัติการยังไม่สิ้นสุด และจะมีการประกาศการดำเนินการใหม่ในเว็บไซต์ operation-endgame.com

    https://www.techradar.com/pro/security/operation-endgame-follow-up-leads-to-detentions-across-smoakloader-ecosystem
    Europol ได้ดำเนินการติดตามผลจากปฏิบัติการ Operation Endgame ซึ่งเป็นการปราบปรามเครือข่ายบ็อตเน็ตครั้งใหญ่ในปี 2024 โดยมีการจับกุมผู้ใช้งาน Smokeloader และตรวจค้นบ้านของพวกเขา ✅ การติดตามผลจาก Operation Endgame: - Europol ได้จับกุมผู้ใช้งาน Smokeloader ซึ่งเป็นบริการมัลแวร์แบบจ่ายเงินเพื่อใช้งาน - Smokeloader ถูกใช้ในการโจมตีหลายรูปแบบ เช่น การบันทึกการกดแป้นพิมพ์ การเข้าถึงกล้องเว็บแคม การปล่อยแรนซัมแวร์ และการขุดคริปโต ✅ การตรวจสอบฐานข้อมูล: - ผู้ใช้งาน Smokeloader ถูกติดตามจากฐานข้อมูลที่ถูกยึดใน Operation Endgame - หลายคนให้ความร่วมมือในการตรวจสอบอุปกรณ์ดิจิทัล และบางคนยอมรับว่ามีการขายบริการ Smokeloader ต่อในราคาที่สูงขึ้น ✅ การดำเนินการในหลายประเทศ: - ปฏิบัติการนี้เกี่ยวข้องกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหลายแห่ง เช่น FBI, Secret Service, RCMP และตำรวจในยุโรป ✅ การดำเนินการในอนาคต: - Europol ระบุว่าปฏิบัติการยังไม่สิ้นสุด และจะมีการประกาศการดำเนินการใหม่ในเว็บไซต์ operation-endgame.com https://www.techradar.com/pro/security/operation-endgame-follow-up-leads-to-detentions-across-smoakloader-ecosystem
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/live/nm0Me67hRTo?si=NDgoM_mBCESun-5V
    https://www.youtube.com/live/nm0Me67hRTo?si=NDgoM_mBCESun-5V
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft กำลังยุติการสนับสนุน Surface Hub และ Windows 10 Teams ในปี 2025 พร้อมแนะนำตัวเลือกการอัปเกรดสำหรับผู้ใช้งาน แต่ยังมีความท้าทายที่องค์กรต้องเผชิญในการปรับตัว

    ✅ การสิ้นสุดการสนับสนุน:
    - Surface Hub และ Surface Hub 2S จะไม่ได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยและการแก้ไขปัญหาอีกต่อไปหลังวันที่ 14 ตุลาคม 2025
    - Microsoft จะหยุดการสนับสนุนแอป Microsoft Teams บน Surface Hub ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้งานในพื้นที่ประชุม

    ✅ ตัวเลือกการอัปเกรด:
    - ผู้ใช้งาน Surface Hub สามารถเลือกซื้อ Surface Hub 3 Compute Cartridge ที่มาพร้อมฮาร์ดแวร์ใหม่และระบบ Windows 11-based Teams Rooms
    - Microsoft มีข้อเสนอการย้ายข้อมูลฟรีสำหรับ Surface Hub 2S ไปยัง Teams Rooms บน Windows ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 14 ตุลาคม 2025
    - ผู้ใช้งาน Surface Hub 2S ในสถานการณ์ส่วนตัวสามารถเปลี่ยนไปใช้ Windows 11 Pro หรือ Enterprise

    ✅ ผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์อื่น:
    - การสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ยังส่งผลต่อแอป OneNote แบบ Universal ซึ่งจะไม่ได้รับการสนับสนุนหลังวันที่ 14 ตุลาคม 2025

    == ข้อเสนอแนะและคำเตือน ==
    ⚠️ ความท้าทายในการเปลี่ยนแปลง:
    - องค์กรที่ใช้ Surface Hub อาจต้องลงทุนเพิ่มเติมในการอัปเกรดฮาร์ดแวร์หรือเปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่
    - การหยุดสนับสนุนแอป Microsoft Teams อาจทำให้พื้นที่ประชุมบางแห่งไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

    ⚠️ การวางแผนล่วงหน้า:
    - ผู้ใช้งานควรเริ่มวางแผนการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ตอนนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหลังการสิ้นสุดการสนับสนุน

    https://www.neowin.net/news/microsoft-is-ending-surface-hub-and-surface-hub-2s-support-soon/
    Microsoft กำลังยุติการสนับสนุน Surface Hub และ Windows 10 Teams ในปี 2025 พร้อมแนะนำตัวเลือกการอัปเกรดสำหรับผู้ใช้งาน แต่ยังมีความท้าทายที่องค์กรต้องเผชิญในการปรับตัว ✅ การสิ้นสุดการสนับสนุน: - Surface Hub และ Surface Hub 2S จะไม่ได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยและการแก้ไขปัญหาอีกต่อไปหลังวันที่ 14 ตุลาคม 2025 - Microsoft จะหยุดการสนับสนุนแอป Microsoft Teams บน Surface Hub ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้งานในพื้นที่ประชุม ✅ ตัวเลือกการอัปเกรด: - ผู้ใช้งาน Surface Hub สามารถเลือกซื้อ Surface Hub 3 Compute Cartridge ที่มาพร้อมฮาร์ดแวร์ใหม่และระบบ Windows 11-based Teams Rooms - Microsoft มีข้อเสนอการย้ายข้อมูลฟรีสำหรับ Surface Hub 2S ไปยัง Teams Rooms บน Windows ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 - ผู้ใช้งาน Surface Hub 2S ในสถานการณ์ส่วนตัวสามารถเปลี่ยนไปใช้ Windows 11 Pro หรือ Enterprise ✅ ผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์อื่น: - การสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ยังส่งผลต่อแอป OneNote แบบ Universal ซึ่งจะไม่ได้รับการสนับสนุนหลังวันที่ 14 ตุลาคม 2025 == ข้อเสนอแนะและคำเตือน == ⚠️ ความท้าทายในการเปลี่ยนแปลง: - องค์กรที่ใช้ Surface Hub อาจต้องลงทุนเพิ่มเติมในการอัปเกรดฮาร์ดแวร์หรือเปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่ - การหยุดสนับสนุนแอป Microsoft Teams อาจทำให้พื้นที่ประชุมบางแห่งไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ⚠️ การวางแผนล่วงหน้า: - ผู้ใช้งานควรเริ่มวางแผนการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ตอนนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหลังการสิ้นสุดการสนับสนุน https://www.neowin.net/news/microsoft-is-ending-surface-hub-and-surface-hub-2s-support-soon/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft is ending Surface Hub and Surface Hub 2S support soon
    Windows 10 support is ending soon, and the operating system is taking down with itself two of Microsoft's largest-ever Surface devices.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้ประกาศว่า Edge 134 มีการปรับปรุงประสิทธิภาพที่สำคัญ โดยเร็วกว่าเวอร์ชันก่อนหน้าถึง 9% ตามการทดสอบด้วย Speedometer 3.0 ซึ่งเป็นการพัฒนาที่มุ่งเน้นการเพิ่มความเร็วและความตอบสนองของเบราว์เซอร์

    == ข้อมูลสำคัญในข่าว ==
    ✅ การปรับปรุงประสิทธิภาพ:
    - Edge 134 มีความเร็วเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับ Edge 133 ตามการทดสอบ Speedometer 3.0
    - การนำทางเร็วขึ้น 1.3%, การเริ่มต้นเร็วขึ้น 2%, และการตอบสนองของหน้าเว็บดีขึ้น 5-7%

    ✅ การเปลี่ยนแปลงในโค้ด:
    - Microsoft ปรับปรุงโค้ดใน Edge และ Chromium engine เพื่อเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพ

    ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Edge 134:
    - การลบตัวเลือก “Add account” สำหรับผู้ใช้ Entra ID
    - การปรับปรุงการเปิดลิงก์ใน Teams บน macOS
    - การแสดงตัวอย่างนโยบายใหม่เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ scareware

    ✅ การปรับปรุงอินเทอร์เฟซ:
    - Edge settings มีการปรับปรุงให้ตอบสนองได้ดีขึ้น

    == ข้อเสนอแนะและคำเตือน ==
    ⚠️ ความแตกต่างในประสิทธิภาพ:
    - ผู้ใช้อาจไม่ได้รับประสบการณ์ที่เหมือนกัน เนื่องจากประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับฮาร์ดแวร์และจำนวนแอปพลิเคชันที่เปิดใช้งาน

    ⚠️ การใช้งานฟีเจอร์ใหม่:
    - ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่าใหม่และนโยบายที่เพิ่มเข้ามา เพื่อให้แน่ใจว่าตรงกับความต้องการ

    https://www.neowin.net/news/microsoft-brags-about-significant-performance-improvements-in-edge-134/
    Microsoft ได้ประกาศว่า Edge 134 มีการปรับปรุงประสิทธิภาพที่สำคัญ โดยเร็วกว่าเวอร์ชันก่อนหน้าถึง 9% ตามการทดสอบด้วย Speedometer 3.0 ซึ่งเป็นการพัฒนาที่มุ่งเน้นการเพิ่มความเร็วและความตอบสนองของเบราว์เซอร์ == ข้อมูลสำคัญในข่าว == ✅ การปรับปรุงประสิทธิภาพ: - Edge 134 มีความเร็วเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับ Edge 133 ตามการทดสอบ Speedometer 3.0 - การนำทางเร็วขึ้น 1.3%, การเริ่มต้นเร็วขึ้น 2%, และการตอบสนองของหน้าเว็บดีขึ้น 5-7% ✅ การเปลี่ยนแปลงในโค้ด: - Microsoft ปรับปรุงโค้ดใน Edge และ Chromium engine เพื่อเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Edge 134: - การลบตัวเลือก “Add account” สำหรับผู้ใช้ Entra ID - การปรับปรุงการเปิดลิงก์ใน Teams บน macOS - การแสดงตัวอย่างนโยบายใหม่เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ scareware ✅ การปรับปรุงอินเทอร์เฟซ: - Edge settings มีการปรับปรุงให้ตอบสนองได้ดีขึ้น == ข้อเสนอแนะและคำเตือน == ⚠️ ความแตกต่างในประสิทธิภาพ: - ผู้ใช้อาจไม่ได้รับประสบการณ์ที่เหมือนกัน เนื่องจากประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับฮาร์ดแวร์และจำนวนแอปพลิเคชันที่เปิดใช้งาน ⚠️ การใช้งานฟีเจอร์ใหม่: - ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่าใหม่และนโยบายที่เพิ่มเข้ามา เพื่อให้แน่ใจว่าตรงกับความต้องการ https://www.neowin.net/news/microsoft-brags-about-significant-performance-improvements-in-edge-134/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft brags about 'significant performance improvements' in Edge 134
    Microsoft is making several claims about its recent Edge 134 release, pointing to a range of performance improvements.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..สวัสดีปีใหม่ไทย เมษาสงกรานต์68 &ปีใหม่ของโลกที่แท้จริง.
    ..ร่วมฉลองปีใหม่ไทย&ปีใหม่โลก ด้วยกัน ณ บนแผ่นดินไทย ฮับเมืองหลวงโลก&ศูนย์กลางพลังงานโลก&พลังงานจักรวาลที่ประเทศไทยเรานี้เอง.

    https://m.youtube.com/watch?v=mN_pprKuFFs&pp=0gcJCdgAo7VqN5tD
    ..สวัสดีปีใหม่ไทย เมษาสงกรานต์68 &ปีใหม่ของโลกที่แท้จริง. ..ร่วมฉลองปีใหม่ไทย&ปีใหม่โลก ด้วยกัน ณ บนแผ่นดินไทย ฮับเมืองหลวงโลก&ศูนย์กลางพลังงานโลก&พลังงานจักรวาลที่ประเทศไทยเรานี้เอง. https://m.youtube.com/watch?v=mN_pprKuFFs&pp=0gcJCdgAo7VqN5tD
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/wiwgfB0dVqI?si=veO8rpkWgWUdNdGm
    https://youtu.be/wiwgfB0dVqI?si=veO8rpkWgWUdNdGm
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google Security Team ได้ค้นพบช่องโหว่ใหม่ในโปรเซสเซอร์ AMD ตั้งแต่รุ่น Zen 1 ถึง Zen 5 โดยช่องโหว่นี้มีชื่อว่า EntrySign ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ระดับ Ring 0 สามารถโหลด microcode patches ที่ไม่ได้รับการยืนยันลายเซ็น

    🌐 รายละเอียดของช่องโหว่ EntrySign:
    🛠️ การทำงานของช่องโหว่: ช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบลายเซ็นที่ไม่สมบูรณ์ในระบบ microcode patch loader ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดที่ไม่ปลอดภัยบนโปรเซสเซอร์
    🔒 ผลกระทบต่อระบบ: ช่องโหว่นี้สามารถเจาะระบบ SEV/SEV-SNP ของ AMD ซึ่งอาจนำไปสู่การเข้าถึงข้อมูลในเครื่องเสมือนโดยไม่ได้รับอนุญาต

    ⚠️ ผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ AMD:
    📋 โปรเซสเซอร์ที่ได้รับผลกระทบ:
    - Ryzen 9000 (Granite Ridge)
    - EPYC 9005 (Turin)
    - Ryzen AI 300 (Strix Halo, Strix Point)
    - Ryzen 9000HX (Fire Range)
    🖥️ การแก้ไข: AMD ได้ปล่อย ComboAM5PI 1.2.0.3c AGESA firmware เพื่อแก้ไขช่องโหว่ในบางรุ่น และกำลังพัฒนาแพตช์เพิ่มเติมสำหรับ EPYC Turin

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-microcode-vulnerability-also-affects-zen-5-cpus-granite-ridge-turin-ryzen-ai-300-and-fire-range-at-risk
    Google Security Team ได้ค้นพบช่องโหว่ใหม่ในโปรเซสเซอร์ AMD ตั้งแต่รุ่น Zen 1 ถึง Zen 5 โดยช่องโหว่นี้มีชื่อว่า EntrySign ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ระดับ Ring 0 สามารถโหลด microcode patches ที่ไม่ได้รับการยืนยันลายเซ็น 🌐 รายละเอียดของช่องโหว่ EntrySign: 🛠️ การทำงานของช่องโหว่: ช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบลายเซ็นที่ไม่สมบูรณ์ในระบบ microcode patch loader ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดที่ไม่ปลอดภัยบนโปรเซสเซอร์ 🔒 ผลกระทบต่อระบบ: ช่องโหว่นี้สามารถเจาะระบบ SEV/SEV-SNP ของ AMD ซึ่งอาจนำไปสู่การเข้าถึงข้อมูลในเครื่องเสมือนโดยไม่ได้รับอนุญาต ⚠️ ผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ AMD: 📋 โปรเซสเซอร์ที่ได้รับผลกระทบ: - Ryzen 9000 (Granite Ridge) - EPYC 9005 (Turin) - Ryzen AI 300 (Strix Halo, Strix Point) - Ryzen 9000HX (Fire Range) 🖥️ การแก้ไข: AMD ได้ปล่อย ComboAM5PI 1.2.0.3c AGESA firmware เพื่อแก้ไขช่องโหว่ในบางรุ่น และกำลังพัฒนาแพตช์เพิ่มเติมสำหรับ EPYC Turin https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-microcode-vulnerability-also-affects-zen-5-cpus-granite-ridge-turin-ryzen-ai-300-and-fire-range-at-risk
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts