• หัวข้อข่าว: Exynos 2600 โชว์พลัง! ทำคะแนนเทียบชั้น Apple M5 ในการทดสอบ Geekbench 6

    Samsung กำลังเขย่าวงการชิปมือถือด้วย Exynos 2600 ที่เพิ่งหลุดผลทดสอบจาก Geekbench 6 โดยสามารถทำคะแนนในหมวด single-core ได้ใกล้เคียงกับ Apple M5 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในชิปที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ แม้จะยังเป็นแค่ตัวอย่างทางวิศวกรรม แต่ผลลัพธ์ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการไม่น้อย.

    Exynos 2600 ใช้สถาปัตยกรรม 2nm GAA รุ่นแรกของ Samsung
    ช่วยลดการรั่วไหลของพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ
    ทำให้ประหยัดไฟกว่า Apple A19 Pro ถึง 59% ในการทดสอบ multi-core

    ความเร็วของ CPU ที่โดดเด่น
    Core ที่แรงที่สุดทำงานที่ 4.20GHz
    3 คอร์ประสิทธิภาพที่ 3.56GHz และ 6 คอร์ประหยัดพลังงานที่ 2.76GHz

    คะแนน Geekbench 6 ที่น่าทึ่ง
    Single-core: 4,217 (เพิ่มขึ้น 22% จากรอบก่อน)
    Multi-core: 13,482 (เพิ่มขึ้น 16%)
    เทียบกับ Apple M5: Single-core 4,263 และ Multi-core 17,862

    คาดการณ์เปิดตัวพร้อม Galaxy S26 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2026
    จะได้เห็นประสิทธิภาพจริงเมื่อใช้งานในอุปกรณ์จริง
    อาจเป็นจุดเปลี่ยนของ Exynos ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับสูง

    https://wccftech.com/exynos-2600-matches-m5-in-geekbench-6-single-core-leak/
    🚀 หัวข้อข่าว: Exynos 2600 โชว์พลัง! ทำคะแนนเทียบชั้น Apple M5 ในการทดสอบ Geekbench 6 Samsung กำลังเขย่าวงการชิปมือถือด้วย Exynos 2600 ที่เพิ่งหลุดผลทดสอบจาก Geekbench 6 โดยสามารถทำคะแนนในหมวด single-core ได้ใกล้เคียงกับ Apple M5 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในชิปที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ แม้จะยังเป็นแค่ตัวอย่างทางวิศวกรรม แต่ผลลัพธ์ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการไม่น้อย. ✅ Exynos 2600 ใช้สถาปัตยกรรม 2nm GAA รุ่นแรกของ Samsung ➡️ ช่วยลดการรั่วไหลของพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ทำให้ประหยัดไฟกว่า Apple A19 Pro ถึง 59% ในการทดสอบ multi-core ✅ ความเร็วของ CPU ที่โดดเด่น ➡️ Core ที่แรงที่สุดทำงานที่ 4.20GHz ➡️ 3 คอร์ประสิทธิภาพที่ 3.56GHz และ 6 คอร์ประหยัดพลังงานที่ 2.76GHz ✅ คะแนน Geekbench 6 ที่น่าทึ่ง ➡️ Single-core: 4,217 (เพิ่มขึ้น 22% จากรอบก่อน) ➡️ Multi-core: 13,482 (เพิ่มขึ้น 16%) ➡️ เทียบกับ Apple M5: Single-core 4,263 และ Multi-core 17,862 ✅ คาดการณ์เปิดตัวพร้อม Galaxy S26 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 ➡️ จะได้เห็นประสิทธิภาพจริงเมื่อใช้งานในอุปกรณ์จริง ➡️ อาจเป็นจุดเปลี่ยนของ Exynos ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับสูง https://wccftech.com/exynos-2600-matches-m5-in-geekbench-6-single-core-leak/
    WCCFTECH.COM
    Exynos 2600 Engineering Sample Brings M5 Levels Of Performance In The Latest Single-Core Results, Outpaces Every Other Mobile SoC In New Leak
    A new Geekbench 6 shows that the Exynos 2600 can match Apple’s M5 in single-core test, while beating the A19 Pro, the Snapdragon 8 Elite Gen 5 and Dimensity 9500 in multi-core
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “Apple เตรียมเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลก 11 พ.ย. – สัญญาณเปิดตัวสินค้าใหม่หรือแค่รีเฟรชรับเทศกาล?”

    Apple เตรียมปรับเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลกในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าอาจเป็นสัญญาณเปิดตัว Apple TV รุ่นใหม่และ HomePod mini ที่กำลังขาดตลาด หรืออาจเป็นแค่การรีเฟรชหน้าร้านรับเทศกาลปลายปี.

    Mark Gurman นักข่าวสาย Apple ที่มีชื่อเสียง เผยว่า Apple ได้แจ้งพนักงานให้เตรียม “overnight” หรือการปรับเปลี่ยนหน้าร้านหลังปิดทำการในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ Apple มักใช้ก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่

    สิ่งที่ทำให้ข่าวนี้น่าสนใจคือ สินค้าอย่าง Apple TV และ HomePod mini กำลังขาดตลาดในหลายพื้นที่ ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนการเปิดตัวรุ่นใหม่ โดยคาดว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะมาพร้อมชิปใหม่และระบบไร้สายที่พัฒนาโดย Apple เอง

    อย่างไรก็ตาม Apple ก็มีประวัติในการปรับหน้าร้านช่วงปลายปีเพื่อเตรียมรับเทศกาล เช่น Black Friday และคริสต์มาส ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

    Tim Cook ยังกล่าวในรายงานผลประกอบการล่าสุดว่า Apple ไม่มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากนักในช่วงที่เหลือของปี 2025 ทำให้การเปลี่ยนหน้าร้านครั้งนี้ยังคงเป็นปริศนา

    Apple เตรียมเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลกในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน
    พนักงานได้รับแจ้งให้เตรียม “overnight” เพื่อปรับหน้าร้านหลังปิดทำการ

    อาจเป็นสัญญาณเปิดตัวสินค้าใหม่ เช่น Apple TV และ HomePod mini
    สินค้าทั้งสองรุ่นกำลังขาดตลาด และมีข่าวลือว่าจะมาพร้อมชิปใหม่

    Apple มักปรับหน้าร้านก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่
    เป็นขั้นตอนที่ใช้มานานในการเตรียมการตลาด

    อีกความเป็นไปได้คือการรีเฟรชหน้าร้านรับเทศกาลปลายปี
    เช่น Black Friday และคริสต์มาส

    Tim Cook ยืนยันว่าไม่มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากนักในปีนี้
    ทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับสินค้าใหม่หรือไม่

    https://wccftech.com/when-apple-changes-its-retail-store-displays-everyone-pays-attention-heres-why/
    🛍️🍎 หัวข้อข่าว: “Apple เตรียมเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลก 11 พ.ย. – สัญญาณเปิดตัวสินค้าใหม่หรือแค่รีเฟรชรับเทศกาล?” Apple เตรียมปรับเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลกในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าอาจเป็นสัญญาณเปิดตัว Apple TV รุ่นใหม่และ HomePod mini ที่กำลังขาดตลาด หรืออาจเป็นแค่การรีเฟรชหน้าร้านรับเทศกาลปลายปี. Mark Gurman นักข่าวสาย Apple ที่มีชื่อเสียง เผยว่า Apple ได้แจ้งพนักงานให้เตรียม “overnight” หรือการปรับเปลี่ยนหน้าร้านหลังปิดทำการในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ Apple มักใช้ก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่ สิ่งที่ทำให้ข่าวนี้น่าสนใจคือ สินค้าอย่าง Apple TV และ HomePod mini กำลังขาดตลาดในหลายพื้นที่ ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนการเปิดตัวรุ่นใหม่ โดยคาดว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะมาพร้อมชิปใหม่และระบบไร้สายที่พัฒนาโดย Apple เอง อย่างไรก็ตาม Apple ก็มีประวัติในการปรับหน้าร้านช่วงปลายปีเพื่อเตรียมรับเทศกาล เช่น Black Friday และคริสต์มาส ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ Tim Cook ยังกล่าวในรายงานผลประกอบการล่าสุดว่า Apple ไม่มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากนักในช่วงที่เหลือของปี 2025 ทำให้การเปลี่ยนหน้าร้านครั้งนี้ยังคงเป็นปริศนา ✅ Apple เตรียมเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลกในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน ➡️ พนักงานได้รับแจ้งให้เตรียม “overnight” เพื่อปรับหน้าร้านหลังปิดทำการ ✅ อาจเป็นสัญญาณเปิดตัวสินค้าใหม่ เช่น Apple TV และ HomePod mini ➡️ สินค้าทั้งสองรุ่นกำลังขาดตลาด และมีข่าวลือว่าจะมาพร้อมชิปใหม่ ✅ Apple มักปรับหน้าร้านก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่ ➡️ เป็นขั้นตอนที่ใช้มานานในการเตรียมการตลาด ✅ อีกความเป็นไปได้คือการรีเฟรชหน้าร้านรับเทศกาลปลายปี ➡️ เช่น Black Friday และคริสต์มาส ✅ Tim Cook ยืนยันว่าไม่มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากนักในปีนี้ ➡️ ทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับสินค้าใหม่หรือไม่ https://wccftech.com/when-apple-changes-its-retail-store-displays-everyone-pays-attention-heres-why/
    WCCFTECH.COM
    When Apple Changes Its Retail Store Displays, Everyone Pays Attention - Here's Why
    When Apple launches new products, it goes through a litany of protocols, including one that involves preparing its store front displays.
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “M5 Pro vs M5 Max – ทำไมแบนด์วิดท์เพิ่ม 275GB/s ถึงคุ้มค่าหลายพันดอลลาร์สำหรับสายวิดีโอและ AI”

    แม้ Apple ยังไม่เปิดตัว M5 Pro และ M5 Max อย่างเป็นทางการ แต่บทวิเคราะห์จาก TechRadar ชี้ว่า ความต่างด้าน “memory bandwidth” ระหว่างสองรุ่นนี้อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่เปลี่ยนเกมสำหรับมืออาชีพด้านวิดีโอและ AI.

    Apple เพิ่งเปิดตัวชิป M5 ซึ่งมี unified memory bandwidth สูงถึง 153GB/s เพิ่มขึ้นเกือบ 30% จาก M4 แต่สิ่งที่น่าจับตาคือเวอร์ชัน “Pro” และ “Max” ที่ยังไม่เปิดตัว แต่มีการคาดการณ์ว่า M5 Pro จะมี bandwidth สูงถึง 275GB/s และ M5 Max อาจทะลุ 550GB/s เลยทีเดียว

    ทำไม bandwidth ถึงสำคัญ? เพราะมันคือ “ท่อส่งข้อมูล” จากหน่วยความจำไปยังหน่วยประมวลผล ถ้าท่อกว้างขึ้น ข้อมูลก็ไหลได้เร็วขึ้น ส่งผลให้การตัดต่อวิดีโอ 8K, การเรนเดอร์ 3D หรือการฝึกโมเดล AI ทำได้เร็วขึ้นและลื่นไหลกว่าเดิม

    แม้ CPU หรือ GPU จะมีพลังมากแค่ไหน แต่ถ้า memory bandwidth ไม่พอ ก็เหมือนรถซุปเปอร์คาร์ที่ติดคอขวดบนถนนแคบๆ

    บทวิเคราะห์ยังชี้ว่า M5 Max อาจมีการเพิ่มช่องทาง memory interface เป็นสองเท่า ทำให้สามารถโหลด asset ขนาดใหญ่แบบเรียลไทม์ได้โดยไม่ต้องรอ cache และยังช่วยลดต้นทุน cloud สำหรับนักพัฒนา AI ที่ต้องการฝึกโมเดลบนเครื่อง

    M5 เพิ่ม memory bandwidth เป็น 153GB/s
    สูงกว่า M4 ประมาณ 30% ช่วยให้แอปตอบสนองเร็วขึ้น

    คาดว่า M5 Pro จะมี bandwidth 275GB/s
    เหมาะกับงานวิดีโอหลายเลเยอร์และการเรนเดอร์ 3D

    M5 Max อาจมี bandwidth สูงถึง 550GB/s
    รองรับงาน AI ที่ต้องการโหลดข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์

    bandwidth สูงช่วยลดเวลาทำงานและต้นทุน cloud
    เช่น การฝึกโมเดล AI บนเครื่องแทนการใช้ cloud

    แนวโน้มการออกแบบชิปเน้น bandwidth มากกว่า clock speed
    เพื่อให้หน่วยประมวลผลทำงานได้เต็มประสิทธิภาพโดยไม่ติดคอขวด

    https://www.techradar.com/pro/the-true-pro-tax-m5-pro-vs-m5-max-why-that-extra-275gb-s-of-memory-bandwidth-is-worth-thousands-of-dollars-for-video-and-ai-workflows
    🚀💾 หัวข้อข่าว: “M5 Pro vs M5 Max – ทำไมแบนด์วิดท์เพิ่ม 275GB/s ถึงคุ้มค่าหลายพันดอลลาร์สำหรับสายวิดีโอและ AI” แม้ Apple ยังไม่เปิดตัว M5 Pro และ M5 Max อย่างเป็นทางการ แต่บทวิเคราะห์จาก TechRadar ชี้ว่า ความต่างด้าน “memory bandwidth” ระหว่างสองรุ่นนี้อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่เปลี่ยนเกมสำหรับมืออาชีพด้านวิดีโอและ AI. Apple เพิ่งเปิดตัวชิป M5 ซึ่งมี unified memory bandwidth สูงถึง 153GB/s เพิ่มขึ้นเกือบ 30% จาก M4 แต่สิ่งที่น่าจับตาคือเวอร์ชัน “Pro” และ “Max” ที่ยังไม่เปิดตัว แต่มีการคาดการณ์ว่า M5 Pro จะมี bandwidth สูงถึง 275GB/s และ M5 Max อาจทะลุ 550GB/s เลยทีเดียว ทำไม bandwidth ถึงสำคัญ? เพราะมันคือ “ท่อส่งข้อมูล” จากหน่วยความจำไปยังหน่วยประมวลผล ถ้าท่อกว้างขึ้น ข้อมูลก็ไหลได้เร็วขึ้น ส่งผลให้การตัดต่อวิดีโอ 8K, การเรนเดอร์ 3D หรือการฝึกโมเดล AI ทำได้เร็วขึ้นและลื่นไหลกว่าเดิม แม้ CPU หรือ GPU จะมีพลังมากแค่ไหน แต่ถ้า memory bandwidth ไม่พอ ก็เหมือนรถซุปเปอร์คาร์ที่ติดคอขวดบนถนนแคบๆ บทวิเคราะห์ยังชี้ว่า M5 Max อาจมีการเพิ่มช่องทาง memory interface เป็นสองเท่า ทำให้สามารถโหลด asset ขนาดใหญ่แบบเรียลไทม์ได้โดยไม่ต้องรอ cache และยังช่วยลดต้นทุน cloud สำหรับนักพัฒนา AI ที่ต้องการฝึกโมเดลบนเครื่อง ✅ M5 เพิ่ม memory bandwidth เป็น 153GB/s ➡️ สูงกว่า M4 ประมาณ 30% ช่วยให้แอปตอบสนองเร็วขึ้น ✅ คาดว่า M5 Pro จะมี bandwidth 275GB/s ➡️ เหมาะกับงานวิดีโอหลายเลเยอร์และการเรนเดอร์ 3D ✅ M5 Max อาจมี bandwidth สูงถึง 550GB/s ➡️ รองรับงาน AI ที่ต้องการโหลดข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์ ✅ bandwidth สูงช่วยลดเวลาทำงานและต้นทุน cloud ➡️ เช่น การฝึกโมเดล AI บนเครื่องแทนการใช้ cloud ✅ แนวโน้มการออกแบบชิปเน้น bandwidth มากกว่า clock speed ➡️ เพื่อให้หน่วยประมวลผลทำงานได้เต็มประสิทธิภาพโดยไม่ติดคอขวด https://www.techradar.com/pro/the-true-pro-tax-m5-pro-vs-m5-max-why-that-extra-275gb-s-of-memory-bandwidth-is-worth-thousands-of-dollars-for-video-and-ai-workflows
    WWW.TECHRADAR.COM
    The next generation of Apple silicon could double memory bandwidth
    Apple hasn't announced the chips yet - but we have an idea of what to expect
    0 Comments 0 Shares 60 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “Apple M5 มาแรง แต่ M1 Max ยังไม่ยอมแพ้ – ศึกชิปแห่งยุคที่เลือกไม่ง่าย”

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังถือ MacBook Pro ที่ใช้ชิป M1 Max อยู่ แล้วจู่ๆ Apple ก็เปิดตัว M5 รุ่นใหม่ล่าสุดที่เน้นประสิทธิภาพด้าน AI และการประหยัดพลังงาน คุณจะอัปเกรดดีไหม? บทความจาก TechRadar ชวนเรามาคิดให้ลึกขึ้น เพราะแม้ M5 จะใหม่กว่า แต่ M1 Max ก็ยังมีพลังดิบที่เหนือกว่าในหลายด้าน โดยเฉพาะงานกราฟิกและการประมวลผลหนักๆ

    Apple M5 ถูกออกแบบมาเพื่อความเบา เร็ว และฉลาดขึ้น โดยเน้นการใช้งานทั่วไปและงานที่เกี่ยวกับ AI เช่น การแปลเสียงแบบเรียลไทม์ หรือการปรับภาพถ่ายอัตโนมัติ ส่วน M1 Max นั้นยังคงเป็นขุมพลังสำหรับสายโปรที่ต้องการ GPU แรงๆ และแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 400GB/s ซึ่งมากกว่า M5 ถึงเกือบ 3 เท่า

    แม้ M5 จะมีคะแนน multi-core สูงกว่า M1 Max แต่ในงานที่ต้องใช้ GPU หนักๆ เช่น การเรนเดอร์ 3D หรือการตัดต่อวิดีโอหลายเลเยอร์ M1 Max ยังทำได้ดีกว่า และถ้าคุณเป็นสายครีเอทีฟที่ต้องการความเร็วแบบไม่สะดุด M1 Max ก็ยังเป็นตัวเลือกที่น่าเกรงขาม

    แต่ถ้าคุณต้องการเครื่องที่เบา เงียบ แบตอึด และรองรับงาน AI ได้ดี M5 ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะใน iPad Pro และ MacBook รุ่นใหม่ที่เน้นความบางเบา

    M1 Max ยังแรงในงานกราฟิกและ throughput สูง
    มี GPU 32-core และ memory bandwidth สูงถึง 400GB/s
    เหมาะกับงานตัดต่อวิดีโอหลายเลเยอร์และเรนเดอร์ภาพ 3D

    M5 เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์และ AI
    ใช้พลังงานน้อยลง เหมาะกับอุปกรณ์บางเบา
    Neural Engine ทำงานได้ถึง 133 TOPS เทียบกับ M1 Max ที่ 11 TOPS
    เหมาะกับงาน AI เช่น transcription และ photo enhancement

    คะแนน CPU multi-core ของ M5 สูงกว่า M1 Max
    M5 ได้ประมาณ 17,865 คะแนน ส่วน M1 Max ได้ 13,188
    เหมาะกับงานทั่วไปและการเขียนโค้ดที่เน้นความเร็วแบบ burst

    M5 มี GPU core น้อยกว่า M1 Max
    M5 มี GPU 10-core เท่านั้น
    ไม่เหมาะกับงานกราฟิกหนักๆ หรือการเล่นเกมระดับสูง

    M5 Max (ยังไม่เปิดตัว) อาจเป็นตัวแทนที่แท้จริงของ M1 Max
    คาดว่าจะมี GPU 32-core และ memory bandwidth 550GB/s
    อาจรวมข้อดีของ M1 Max และ M5 เข้าด้วยกัน

    อย่ารีบอัปเกรดเป็น M5 หากคุณใช้ M1 Max เพื่อทำงานหนัก
    M5 ยังไม่สามารถแทนที่ M1 Max ได้ในงานกราฟิกหรือวิดีโอระดับโปร

    M5 ไม่เหมาะกับงานที่ต้องใช้ memory bandwidth สูง
    เช่น การ export วิดีโอจาก Final Cut Pro หรือการทำงานกับไฟล์ Photoshop ขนาดใหญ่

    อย่าคาดหวังว่า M5 จะให้ประสบการณ์เหมือน M1 Max
    แม้จะใหม่กว่า แต่ M5 ถูกออกแบบมาเพื่อความเบาและประหยัดพลังงาน ไม่ใช่ความแรงสูงสุด

    https://www.techradar.com/pro/stop-should-you-upgrade-your-m1-max-apple-mac-to-the-m5-gpu-and-memory-bandwidth-data-reveal-the-surprising-answer
    🧠💻 หัวข้อข่าว: “Apple M5 มาแรง แต่ M1 Max ยังไม่ยอมแพ้ – ศึกชิปแห่งยุคที่เลือกไม่ง่าย” ลองนึกภาพว่าคุณกำลังถือ MacBook Pro ที่ใช้ชิป M1 Max อยู่ แล้วจู่ๆ Apple ก็เปิดตัว M5 รุ่นใหม่ล่าสุดที่เน้นประสิทธิภาพด้าน AI และการประหยัดพลังงาน คุณจะอัปเกรดดีไหม? บทความจาก TechRadar ชวนเรามาคิดให้ลึกขึ้น เพราะแม้ M5 จะใหม่กว่า แต่ M1 Max ก็ยังมีพลังดิบที่เหนือกว่าในหลายด้าน โดยเฉพาะงานกราฟิกและการประมวลผลหนักๆ Apple M5 ถูกออกแบบมาเพื่อความเบา เร็ว และฉลาดขึ้น โดยเน้นการใช้งานทั่วไปและงานที่เกี่ยวกับ AI เช่น การแปลเสียงแบบเรียลไทม์ หรือการปรับภาพถ่ายอัตโนมัติ ส่วน M1 Max นั้นยังคงเป็นขุมพลังสำหรับสายโปรที่ต้องการ GPU แรงๆ และแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 400GB/s ซึ่งมากกว่า M5 ถึงเกือบ 3 เท่า แม้ M5 จะมีคะแนน multi-core สูงกว่า M1 Max แต่ในงานที่ต้องใช้ GPU หนักๆ เช่น การเรนเดอร์ 3D หรือการตัดต่อวิดีโอหลายเลเยอร์ M1 Max ยังทำได้ดีกว่า และถ้าคุณเป็นสายครีเอทีฟที่ต้องการความเร็วแบบไม่สะดุด M1 Max ก็ยังเป็นตัวเลือกที่น่าเกรงขาม แต่ถ้าคุณต้องการเครื่องที่เบา เงียบ แบตอึด และรองรับงาน AI ได้ดี M5 ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะใน iPad Pro และ MacBook รุ่นใหม่ที่เน้นความบางเบา ✅ M1 Max ยังแรงในงานกราฟิกและ throughput สูง ➡️ มี GPU 32-core และ memory bandwidth สูงถึง 400GB/s ➡️ เหมาะกับงานตัดต่อวิดีโอหลายเลเยอร์และเรนเดอร์ภาพ 3D ✅ M5 เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์และ AI ➡️ ใช้พลังงานน้อยลง เหมาะกับอุปกรณ์บางเบา ➡️ Neural Engine ทำงานได้ถึง 133 TOPS เทียบกับ M1 Max ที่ 11 TOPS ➡️ เหมาะกับงาน AI เช่น transcription และ photo enhancement ✅ คะแนน CPU multi-core ของ M5 สูงกว่า M1 Max ➡️ M5 ได้ประมาณ 17,865 คะแนน ส่วน M1 Max ได้ 13,188 ➡️ เหมาะกับงานทั่วไปและการเขียนโค้ดที่เน้นความเร็วแบบ burst ✅ M5 มี GPU core น้อยกว่า M1 Max ➡️ M5 มี GPU 10-core เท่านั้น ➡️ ไม่เหมาะกับงานกราฟิกหนักๆ หรือการเล่นเกมระดับสูง ✅ M5 Max (ยังไม่เปิดตัว) อาจเป็นตัวแทนที่แท้จริงของ M1 Max ➡️ คาดว่าจะมี GPU 32-core และ memory bandwidth 550GB/s ➡️ อาจรวมข้อดีของ M1 Max และ M5 เข้าด้วยกัน ‼️ อย่ารีบอัปเกรดเป็น M5 หากคุณใช้ M1 Max เพื่อทำงานหนัก ⛔ M5 ยังไม่สามารถแทนที่ M1 Max ได้ในงานกราฟิกหรือวิดีโอระดับโปร ‼️ M5 ไม่เหมาะกับงานที่ต้องใช้ memory bandwidth สูง ⛔ เช่น การ export วิดีโอจาก Final Cut Pro หรือการทำงานกับไฟล์ Photoshop ขนาดใหญ่ ‼️ อย่าคาดหวังว่า M5 จะให้ประสบการณ์เหมือน M1 Max ⛔ แม้จะใหม่กว่า แต่ M5 ถูกออกแบบมาเพื่อความเบาและประหยัดพลังงาน ไม่ใช่ความแรงสูงสุด https://www.techradar.com/pro/stop-should-you-upgrade-your-m1-max-apple-mac-to-the-m5-gpu-and-memory-bandwidth-data-reveal-the-surprising-answer
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • ดาวเทียมกับดราม่าชิปโลก: จีนโพสต์ภาพ Hsinchu สะเทือนวงการเซมิคอนดักเตอร์

    ในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา จีนได้โพสต์ภาพถ่ายดาวเทียมของ “Hsinchu Science Park” บนแพลตฟอร์ม X พร้อมข้อความ “There is but one China in the world” ซึ่งแม้จะไม่กล่าวถึงชิปโดยตรง แต่ภาพที่เลือกกลับเป็นศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกของไต้หวัน — สะท้อนเจตนาทางการเมืองที่ชัดเจน

    Hsinchu คือที่ตั้งของ TSMC, MediaTek, UMC และหน่วยงานรัฐที่ดูแลยุทธศาสตร์ด้านอวกาศและชิปของไต้หวัน โดยเฉพาะ TSMC ที่มีโรงงานระดับสูงอย่าง Fab 12A, 12B, 20, 3, 5, 8, 2 และ Advanced Backend Fab 1 รวมถึง Global R&D Center ที่นักวิเคราะห์ระบุว่า “เป็นที่ที่ IP ของการผลิตชิประดับโลกถูกสร้างขึ้น”

    แม้จะเป็นโพสต์ธรรมดา แต่ในบริบทของความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน ภาพนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเตือนโลกว่า “จุดอ่อนของเศรษฐกิจโลก” อยู่ที่นี่ เพราะกว่า 99% ของชิปประสิทธิภาพสูงผลิตในไต้หวัน และหากเกิดเหตุการณ์หยุดชะงักแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบตั้งแต่ดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึงระบบป้องกันประเทศ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    TSMC ถือเป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก โดยมีลูกค้าหลักอย่าง Apple, Nvidia, AMD และ Qualcomm
    สหรัฐฯ เคยเตือนว่า TSMC คือ “single point of failure” ของเศรษฐกิจโลก หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
    การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทำให้ไต้หวันกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสงครามเศรษฐกิจ

    จีนโพสต์ภาพดาวเทียมของ Hsinchu Science Park
    พร้อมข้อความ “There is but one China in the world”
    ภาพแสดงศูนย์กลางการผลิตชิประดับโลกของไต้หวัน

    ความสำคัญของ Hsinchu ต่ออุตสาหกรรมชิป
    เป็นที่ตั้งของ TSMC, MediaTek, UMC และหน่วยงานรัฐ
    มีโรงงาน TSMC หลายแห่งและ Global R&D Center

    ความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์
    99% ของชิปประสิทธิภาพสูงผลิตในไต้หวัน
    หากเกิดเหตุการณ์หยุดชะงัก อาจกระทบเศรษฐกิจโลก

    การตอบสนองจากสหรัฐฯ และพันธมิตร
    มีการจำลองสถานการณ์ในช่องแคบบาชี
    เพิ่มบทลงโทษการทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ

    ความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน
    การซ้อมปิดล้อมช่องแคบไต้หวันโดยกองทัพเรือจีน
    การตรวจสอบเรือสินค้าและการเคลื่อนไหวทางทหาร

    ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานชิป
    การพึ่งพา TSMC มากเกินไปในระดับโลก
    ความล่าช้าในการกระจายการผลิตไปยังประเทศอื่น

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายดาวเทียมธรรมดา แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ว่าโลกกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจากพื้นที่เล็ก ๆ ที่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเศรษฐกิจโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-posts-photo-of-taiwans-chip-hub-in-political-message
    🛰️ ดาวเทียมกับดราม่าชิปโลก: จีนโพสต์ภาพ Hsinchu สะเทือนวงการเซมิคอนดักเตอร์ ในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา จีนได้โพสต์ภาพถ่ายดาวเทียมของ “Hsinchu Science Park” บนแพลตฟอร์ม X พร้อมข้อความ “There is but one China in the world” ซึ่งแม้จะไม่กล่าวถึงชิปโดยตรง แต่ภาพที่เลือกกลับเป็นศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกของไต้หวัน — สะท้อนเจตนาทางการเมืองที่ชัดเจน Hsinchu คือที่ตั้งของ TSMC, MediaTek, UMC และหน่วยงานรัฐที่ดูแลยุทธศาสตร์ด้านอวกาศและชิปของไต้หวัน โดยเฉพาะ TSMC ที่มีโรงงานระดับสูงอย่าง Fab 12A, 12B, 20, 3, 5, 8, 2 และ Advanced Backend Fab 1 รวมถึง Global R&D Center ที่นักวิเคราะห์ระบุว่า “เป็นที่ที่ IP ของการผลิตชิประดับโลกถูกสร้างขึ้น” แม้จะเป็นโพสต์ธรรมดา แต่ในบริบทของความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน ภาพนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเตือนโลกว่า “จุดอ่อนของเศรษฐกิจโลก” อยู่ที่นี่ เพราะกว่า 99% ของชิปประสิทธิภาพสูงผลิตในไต้หวัน และหากเกิดเหตุการณ์หยุดชะงักแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบตั้งแต่ดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึงระบบป้องกันประเทศ 💡 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: 💠 TSMC ถือเป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก โดยมีลูกค้าหลักอย่าง Apple, Nvidia, AMD และ Qualcomm 💠 สหรัฐฯ เคยเตือนว่า TSMC คือ “single point of failure” ของเศรษฐกิจโลก หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน 💠 การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทำให้ไต้หวันกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสงครามเศรษฐกิจ ✅ จีนโพสต์ภาพดาวเทียมของ Hsinchu Science Park ➡️ พร้อมข้อความ “There is but one China in the world” ➡️ ภาพแสดงศูนย์กลางการผลิตชิประดับโลกของไต้หวัน ✅ ความสำคัญของ Hsinchu ต่ออุตสาหกรรมชิป ➡️ เป็นที่ตั้งของ TSMC, MediaTek, UMC และหน่วยงานรัฐ ➡️ มีโรงงาน TSMC หลายแห่งและ Global R&D Center ✅ ความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ 99% ของชิปประสิทธิภาพสูงผลิตในไต้หวัน ➡️ หากเกิดเหตุการณ์หยุดชะงัก อาจกระทบเศรษฐกิจโลก ✅ การตอบสนองจากสหรัฐฯ และพันธมิตร ➡️ มีการจำลองสถานการณ์ในช่องแคบบาชี ➡️ เพิ่มบทลงโทษการทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ ‼️ ความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน ⛔ การซ้อมปิดล้อมช่องแคบไต้หวันโดยกองทัพเรือจีน ⛔ การตรวจสอบเรือสินค้าและการเคลื่อนไหวทางทหาร ‼️ ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานชิป ⛔ การพึ่งพา TSMC มากเกินไปในระดับโลก ⛔ ความล่าช้าในการกระจายการผลิตไปยังประเทศอื่น เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายดาวเทียมธรรมดา แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ว่าโลกกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจากพื้นที่เล็ก ๆ ที่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเศรษฐกิจโลก 🌏💥 https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-posts-photo-of-taiwans-chip-hub-in-political-message
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • “อย่าเก็บรหัสผ่านไว้ในเบราว์เซอร์” — คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย

    หลายคนอาจรู้สึกสะดวกเมื่อเบราว์เซอร์เสนอให้ “บันทึกรหัสผ่านไว้ใช้ครั้งหน้า” แต่ความสะดวกนั้นอาจแลกมาด้วยความเสี่ยงที่คุณไม่ทันระวัง บทความจาก SlashGear ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อเสียของการใช้เบราว์เซอร์เป็นตัวจัดการรหัสผ่าน พร้อมแนะนำทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าอย่างการใช้ password manager โดยเฉพาะแบบ dedicated

    เบราว์เซอร์จัดเก็บรหัสผ่านในโฟลเดอร์โปรไฟล์ท้องถิ่น
    แล้วซิงก์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Google หรือ Microsoft โดยไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end

    ไม่มีระบบ vault ที่เข้ารหัสลับแบบเต็มรูปแบบ
    ทำให้รหัสผ่านเสี่ยงต่อการถูกเข้าถึงหากบัญชีถูกแฮกหรือมีมัลแวร์

    เบราว์เซอร์อาจ autofill รหัสผ่านในเว็บไซต์ปลอม
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ phishing

    Dedicated password manager ใช้การเข้ารหัสระดับสูง
    เช่น AES-256 และ zero-knowledge architecture ที่ปลอดภัยกว่า

    ตัวจัดการรหัสผ่านแบบเฉพาะมีระบบแจ้งเตือนการรั่วไหล
    ช่วยให้ผู้ใช้รู้ทันเมื่อข้อมูลถูกละเมิด

    Apple Keychain ใช้ end-to-end encryption
    แม้จะปลอดภัยกว่าเบราว์เซอร์ทั่วไป แต่ยังไม่เทียบเท่า dedicated password manager

    Google Password Manager มีฟีเจอร์ on-device encryption
    ผู้ใช้สามารถเลือกให้รหัสผ่านถูกเข้ารหัสเฉพาะในอุปกรณ์ของตน

    หากบัญชี Google ถูกล็อกหรือสูญหาย อาจสูญเสียรหัสผ่านทั้งหมด
    เพราะการเข้ารหัสผูกกับบัญชีและอุปกรณ์

    เบราว์เซอร์อาจ autofill รหัสผ่านในหน้าเว็บปลอม
    ทำให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อ phishing ได้ง่าย

    มัลแวร์สามารถขโมยรหัสผ่านจากเบราว์เซอร์ได้ง่ายกว่า
    เช่น RedLine Stealer และ Raccoon ที่เจาะข้อมูลจาก browser storage

    https://www.slashgear.com/2010389/you-shouldnt-store-passwords-in-web-browser/
    🔐 “อย่าเก็บรหัสผ่านไว้ในเบราว์เซอร์” — คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย หลายคนอาจรู้สึกสะดวกเมื่อเบราว์เซอร์เสนอให้ “บันทึกรหัสผ่านไว้ใช้ครั้งหน้า” แต่ความสะดวกนั้นอาจแลกมาด้วยความเสี่ยงที่คุณไม่ทันระวัง บทความจาก SlashGear ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อเสียของการใช้เบราว์เซอร์เป็นตัวจัดการรหัสผ่าน พร้อมแนะนำทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าอย่างการใช้ password manager โดยเฉพาะแบบ dedicated ✅ เบราว์เซอร์จัดเก็บรหัสผ่านในโฟลเดอร์โปรไฟล์ท้องถิ่น ➡️ แล้วซิงก์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Google หรือ Microsoft โดยไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ✅ ไม่มีระบบ vault ที่เข้ารหัสลับแบบเต็มรูปแบบ ➡️ ทำให้รหัสผ่านเสี่ยงต่อการถูกเข้าถึงหากบัญชีถูกแฮกหรือมีมัลแวร์ ✅ เบราว์เซอร์อาจ autofill รหัสผ่านในเว็บไซต์ปลอม ➡️ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ phishing ✅ Dedicated password manager ใช้การเข้ารหัสระดับสูง ➡️ เช่น AES-256 และ zero-knowledge architecture ที่ปลอดภัยกว่า ✅ ตัวจัดการรหัสผ่านแบบเฉพาะมีระบบแจ้งเตือนการรั่วไหล ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้รู้ทันเมื่อข้อมูลถูกละเมิด ✅ Apple Keychain ใช้ end-to-end encryption ➡️ แม้จะปลอดภัยกว่าเบราว์เซอร์ทั่วไป แต่ยังไม่เทียบเท่า dedicated password manager ✅ Google Password Manager มีฟีเจอร์ on-device encryption ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกให้รหัสผ่านถูกเข้ารหัสเฉพาะในอุปกรณ์ของตน ‼️ หากบัญชี Google ถูกล็อกหรือสูญหาย อาจสูญเสียรหัสผ่านทั้งหมด ⛔ เพราะการเข้ารหัสผูกกับบัญชีและอุปกรณ์ ‼️ เบราว์เซอร์อาจ autofill รหัสผ่านในหน้าเว็บปลอม ⛔ ทำให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อ phishing ได้ง่าย ‼️ มัลแวร์สามารถขโมยรหัสผ่านจากเบราว์เซอร์ได้ง่ายกว่า ⛔ เช่น RedLine Stealer และ Raccoon ที่เจาะข้อมูลจาก browser storage https://www.slashgear.com/2010389/you-shouldnt-store-passwords-in-web-browser/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    You Shouldn't Store Passwords In Your Web Browser — Here's Why - SlashGear
    It's easy to think that the password managers your web browser recommends you to use are secure enough, but it's not as simple as you might imagine.
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • “Sailfish OS” ระบบปฏิบัติการมือถือสายอิสระที่ยังยืนหยัด

    หากคุณเคยได้ยินชื่อ Nokia N9 หรือ MeeGo มาก่อน คุณอาจไม่รู้ว่ามีระบบปฏิบัติการหนึ่งที่สืบทอดเจตนารมณ์ของความเปิดกว้างและอิสระจากยุคนั้น นั่นคือ Sailfish OS ซึ่งยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยทีมงาน Jolla จากฟินแลนด์ และได้รับการสนับสนุนจากชุมชนทั่วโลก

    Sailfish OS ไม่ใช่แค่ระบบปฏิบัติการมือถือทั่วไป แต่เป็นแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นจาก Linux แบบคลาสสิก ใช้ Qt และ Wayland เป็นแกนหลัก พร้อม UI ที่ออกแบบด้วย QML และ Sailfish Silica ซึ่งทำให้สามารถสร้างแอปที่ลื่นไหลและตอบสนองได้ดี นอกจากนี้ยังรองรับแอป Android ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ระบบนี้มีจุดเด่นคือ “อิสระจากบริษัทยักษ์ใหญ่” เพราะไม่มีพันธะกับ Google หรือ Apple และมีสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาเต็มรูปแบบ เหมาะสำหรับองค์กรหรือรัฐบาลที่ต้องการระบบที่ปลอดภัยและควบคุมได้เอง

    Sailfish OS คือทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการระบบมือถือที่ “ไม่ตามกระแส” แต่ “ควบคุมได้เอง” และยังคงยืนหยัดในโลกที่เต็มไปด้วยระบบปิดจากบริษัทยักษ์ใหญ่

    จุดกำเนิดของ Sailfish OS มาจาก MeeGo ของ Nokia และ Intel
    MeeGo เคยเป็นระบบเปิดที่ลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ก่อนถูกยกเลิก

    ทีมงานเดิมของ MeeGo ก่อตั้งบริษัท Jolla เพื่อสานต่อโครงการ
    เปิดตัว Sailfish OS รุ่นเบต้าในปี 2013 พร้อม Jolla smartphone

    Sailfish OS รองรับแอป Android ได้ดี
    ใช้ไลบรารีของ Android เพื่อให้ทำงานได้ใกล้เคียง native

    มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องถึงรุ่น Sailfish 4
    รองรับการใช้งานในองค์กรและภาครัฐ พร้อมฟีเจอร์ใหม่มากมาย

    สร้าง UI ด้วย QML และ Sailfish Silica
    ทำให้สามารถสร้างแอปที่ตอบสนองดีและมีเอกลักษณ์

    เป็นระบบเปิดที่ไม่มีพันธะกับบริษัทใหญ่
    มีสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาเต็มรูปแบบ

    เหมาะกับองค์กรและผู้ใช้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
    มีความปลอดภัยสูงและสามารถควบคุมระบบได้เอง

    ไม่ใช่ระบบที่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปทุกคน
    ต้องการความเข้าใจด้านเทคนิคในการติดตั้งและใช้งาน

    แอปจาก Android อาจไม่ทำงานได้ 100%
    แม้รองรับ Android แต่บางแอปอาจมีปัญหาเรื่องความเข้ากันได้

    https://sailfishos.org/info/
    📱 “Sailfish OS” ระบบปฏิบัติการมือถือสายอิสระที่ยังยืนหยัด หากคุณเคยได้ยินชื่อ Nokia N9 หรือ MeeGo มาก่อน คุณอาจไม่รู้ว่ามีระบบปฏิบัติการหนึ่งที่สืบทอดเจตนารมณ์ของความเปิดกว้างและอิสระจากยุคนั้น นั่นคือ Sailfish OS ซึ่งยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยทีมงาน Jolla จากฟินแลนด์ และได้รับการสนับสนุนจากชุมชนทั่วโลก Sailfish OS ไม่ใช่แค่ระบบปฏิบัติการมือถือทั่วไป แต่เป็นแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นจาก Linux แบบคลาสสิก ใช้ Qt และ Wayland เป็นแกนหลัก พร้อม UI ที่ออกแบบด้วย QML และ Sailfish Silica ซึ่งทำให้สามารถสร้างแอปที่ลื่นไหลและตอบสนองได้ดี นอกจากนี้ยังรองรับแอป Android ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบนี้มีจุดเด่นคือ “อิสระจากบริษัทยักษ์ใหญ่” เพราะไม่มีพันธะกับ Google หรือ Apple และมีสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาเต็มรูปแบบ เหมาะสำหรับองค์กรหรือรัฐบาลที่ต้องการระบบที่ปลอดภัยและควบคุมได้เอง Sailfish OS คือทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการระบบมือถือที่ “ไม่ตามกระแส” แต่ “ควบคุมได้เอง” และยังคงยืนหยัดในโลกที่เต็มไปด้วยระบบปิดจากบริษัทยักษ์ใหญ่ 🛡️ ✅ จุดกำเนิดของ Sailfish OS มาจาก MeeGo ของ Nokia และ Intel ➡️ MeeGo เคยเป็นระบบเปิดที่ลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ก่อนถูกยกเลิก ✅ ทีมงานเดิมของ MeeGo ก่อตั้งบริษัท Jolla เพื่อสานต่อโครงการ ➡️ เปิดตัว Sailfish OS รุ่นเบต้าในปี 2013 พร้อม Jolla smartphone ✅ Sailfish OS รองรับแอป Android ได้ดี ➡️ ใช้ไลบรารีของ Android เพื่อให้ทำงานได้ใกล้เคียง native ✅ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องถึงรุ่น Sailfish 4 ➡️ รองรับการใช้งานในองค์กรและภาครัฐ พร้อมฟีเจอร์ใหม่มากมาย ✅ สร้าง UI ด้วย QML และ Sailfish Silica ➡️ ทำให้สามารถสร้างแอปที่ตอบสนองดีและมีเอกลักษณ์ ✅ เป็นระบบเปิดที่ไม่มีพันธะกับบริษัทใหญ่ ➡️ มีสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาเต็มรูปแบบ ✅ เหมาะกับองค์กรและผู้ใช้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ➡️ มีความปลอดภัยสูงและสามารถควบคุมระบบได้เอง ‼️ ไม่ใช่ระบบที่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปทุกคน ⛔ ต้องการความเข้าใจด้านเทคนิคในการติดตั้งและใช้งาน ‼️ แอปจาก Android อาจไม่ทำงานได้ 100% ⛔ แม้รองรับ Android แต่บางแอปอาจมีปัญหาเรื่องความเข้ากันได้ https://sailfishos.org/info/
    SAILFISHOS.ORG
    Info - Sailfish OS
    [et_pb_section fb_built=”1″ fullwidth=”on” _builder_version=”3.22″ background_image=”https://sailfishos.org/content/uploads/2018/10/Ambience_Hero_mainpage-1.jpg” da_is_popup=”off” da_exit_intent=”off” da_has_close=”on” da_alt_close=”off” da_dark_close=”off” da_not_modal=”on” da_is_singular=”off” da_with_loader=”off” da_has_shadow=”on” da_disable_devices=”off|off|off”][et_pb_fullwidth_header title=”Info” text_orientation=”center” background_overlay_color=”rgba(0,0,0,0)” admin_label=”Page title & ingress” module_class=”page-title-content” _builder_version=”3.17.6″ background_color=”rgba(126,190,197,0)” animation_style=”fade” animation_speed_curve=”ease-out” saved_tabs=”all” collapsed=”off”][/et_pb_fullwidth_header][/et_pb_section][et_pb_section fb_built=”1″ custom_padding_last_edited=”on|desktop” module_class=”section” _builder_version=”3.22″ custom_padding_tablet=”” custom_padding_phone=”” da_is_popup=”off” da_exit_intent=”off” da_has_close=”on” da_alt_close=”off” da_dark_close=”off” da_not_modal=”on” da_is_singular=”off” da_with_loader=”off” da_has_shadow=”on” da_disable_devices=”off|off|off”][et_pb_row module_class=”row-960″ _builder_version=”3.25″][et_pb_column type=”4_4″ _builder_version=”3.25″ custom_padding=”|||” custom_padding__hover=”|||”][et_pb_text admin_label=”Sailfish OS history” _builder_version=”3.27.4″ […]
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 Reviews
  • Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 นำโดย iPhone พับได้และบ้านอัจฉริยะ AI

    Apple วางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 15 รายการในปี 2026 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท โดยมีไฮไลต์สำคัญคือ iPhone พับได้, MacBook Pro จอ OLED รองรับระบบสัมผัส, และอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะที่ใช้ Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่

    ปี 2026 จะเป็นปีที่ Apple เปิดเกมรุกครั้งใหญ่ในทุกสายผลิตภัณฑ์ โดยเริ่มจาก iPhone 17e รุ่นประหยัด, iPad Gen 12, iPad Air และ MacBook Air ที่ใช้ชิป M5 ใหม่ทั้งหมดในช่วงต้นปี

    ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.–เม.ย.) จะเปิดตัวบริการ Siri และ Apple Intelligence แบบเต็มรูปแบบ พร้อมอุปกรณ์ Smart Home Display ที่ติดตั้งได้ทั้งแบบตั้งโต๊ะและติดผนัง

    ช่วงปลายปีจะเป็นไฮไลต์สำคัญกับ iPhone 18 Pro ที่มาพร้อมโมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเองแทน Qualcomm และ iPhone พับได้รุ่นแรกของบริษัท รวมถึง Apple Watch รุ่นใหม่

    ตลอดปีจะมีการเปิดตัวอุปกรณ์เสริม เช่น กล้องรักษาความปลอดภัยบ้าน, Mac mini, Mac Studio, iPad mini จอ OLED และ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่บางลง รองรับจอสัมผัสและใช้ชิป M6 Pro / M6 Max

    Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026
    ครอบคลุมทุกสายผลิตภัณฑ์: iPhone, iPad, Mac, Smart Home
    ฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท

    ผลิตภัณฑ์ช่วงต้นปี 2026
    iPhone 17e รุ่นประหยัด
    iPad Gen 12 (ชิป A18), iPad Air (ชิป M4)
    MacBook Air และ MacBook Pro (ชิป M5 / M5 Pro / M5 Max)
    จอภาพภายนอกใหม่

    ผลิตภัณฑ์ช่วงฤดูใบไม้ผลิ
    เปิดตัว Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่
    Smart Home Display แบบตั้งโต๊ะและติดผนัง

    ผลิตภัณฑ์ช่วงปลายปี
    iPhone 18 Pro ใช้โมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง
    iPhone พับได้รุ่นแรก
    Apple Watch รุ่นใหม่
    MacBook Pro รุ่นใหม่: บางลง, จอ OLED, รองรับสัมผัส, ชิป M6 Pro / M6 Max
    พรีวิวแว่นตาอัจฉริยะ Smart Glasses

    https://securityonline.info/the-2026-surge-apples-15-product-roadmap-includes-foldable-iphone-ai-smart-home/
    📱 Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 นำโดย iPhone พับได้และบ้านอัจฉริยะ AI Apple วางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 15 รายการในปี 2026 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท โดยมีไฮไลต์สำคัญคือ iPhone พับได้, MacBook Pro จอ OLED รองรับระบบสัมผัส, และอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะที่ใช้ Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่ ปี 2026 จะเป็นปีที่ Apple เปิดเกมรุกครั้งใหญ่ในทุกสายผลิตภัณฑ์ โดยเริ่มจาก iPhone 17e รุ่นประหยัด, iPad Gen 12, iPad Air และ MacBook Air ที่ใช้ชิป M5 ใหม่ทั้งหมดในช่วงต้นปี ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.–เม.ย.) จะเปิดตัวบริการ Siri และ Apple Intelligence แบบเต็มรูปแบบ พร้อมอุปกรณ์ Smart Home Display ที่ติดตั้งได้ทั้งแบบตั้งโต๊ะและติดผนัง ช่วงปลายปีจะเป็นไฮไลต์สำคัญกับ iPhone 18 Pro ที่มาพร้อมโมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเองแทน Qualcomm และ iPhone พับได้รุ่นแรกของบริษัท รวมถึง Apple Watch รุ่นใหม่ ตลอดปีจะมีการเปิดตัวอุปกรณ์เสริม เช่น กล้องรักษาความปลอดภัยบ้าน, Mac mini, Mac Studio, iPad mini จอ OLED และ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่บางลง รองรับจอสัมผัสและใช้ชิป M6 Pro / M6 Max ✅ Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 ➡️ ครอบคลุมทุกสายผลิตภัณฑ์: iPhone, iPad, Mac, Smart Home ➡️ ฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงต้นปี 2026 ➡️ iPhone 17e รุ่นประหยัด ➡️ iPad Gen 12 (ชิป A18), iPad Air (ชิป M4) ➡️ MacBook Air และ MacBook Pro (ชิป M5 / M5 Pro / M5 Max) ➡️ จอภาพภายนอกใหม่ ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ➡️ เปิดตัว Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่ ➡️ Smart Home Display แบบตั้งโต๊ะและติดผนัง ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงปลายปี ➡️ iPhone 18 Pro ใช้โมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง ➡️ iPhone พับได้รุ่นแรก ➡️ Apple Watch รุ่นใหม่ ➡️ MacBook Pro รุ่นใหม่: บางลง, จอ OLED, รองรับสัมผัส, ชิป M6 Pro / M6 Max ➡️ พรีวิวแว่นตาอัจฉริยะ Smart Glasses https://securityonline.info/the-2026-surge-apples-15-product-roadmap-includes-foldable-iphone-ai-smart-home/
    SECURITYONLINE.INFO
    The 2026 Surge: Apple's 15-Product Roadmap Includes Foldable iPhone & AI Smart Home
    Apple’s ambitious 2026 roadmap features 15+ major products: iPhone 18, a foldable iPhone, M6 MacBooks with touchscreens, and a massive Apple Intelligence rollout.
    0 Comments 0 Shares 51 Views 0 Reviews
  • Meta Quest 3 ผนึก Windows 11 เปิดประสบการณ์ Virtual Desktop สู่โลก Mixed Reality

    Microsoft และ Meta ร่วมกันเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Mixed Reality Link” ที่ให้ผู้ใช้ Meta Quest 3 และ Quest 3S สามารถสตรีมหน้าจอ Windows 11 ไปยังแว่น VR ได้โดยตรง สร้างพื้นที่ทำงานเสมือนจริงที่เข้าถึงได้ในราคาย่อมเยา

    ลองนึกภาพว่าคุณใส่แว่น Meta Quest 3 แล้วเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์หลายจอลอยอยู่รอบตัวคุณในโลกเสมือน — นั่นคือสิ่งที่ Mixed Reality Link ทำได้ หลังจากเปิดตัวในเวอร์ชันพรีวิวช่วงปี 2024 ตอนนี้ฟีเจอร์นี้ได้เปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการแล้วในปี 2025

    เมื่อคุณติดตั้งแอป Mixed Reality Link บน Windows 11 PC คุณสามารถสตรีมหน้าจอไปยังแว่น Meta Quest ได้ทันที โดยรองรับการแสดงผลหลายหน้าจอในรูปแบบ 3D เหมือนกับที่ Vision Pro ของ Apple เคยทำ แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า

    นอกจากการสตรีมจากเครื่องส่วนตัวแล้ว ยังรองรับการเชื่อมต่อกับบริการคลาวด์อย่าง Windows 365, Azure Virtual Desktop และ Microsoft Dev Box ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเครื่องเสมือนจากที่ไหนก็ได้

    Meta ยังเผยแผนเปิดตัวแว่น VR รุ่นใหม่ที่ “แทบแยกไม่ออกจากโลกจริง” พร้อมแว่น Ray-Ban รุ่นใหม่ที่มีฟีเจอร์แปลภาษาแบบเรียลไทม์ด้วย AI

    ฟีเจอร์ Mixed Reality Link เปิดให้ใช้งานบน Meta Quest 3 และ Quest 3S
    สตรีมหน้าจอ Windows 11 ไปยังแว่น VR ได้โดยตรง
    รองรับการแสดงผลหลายหน้าจอในรูปแบบ 3D
    ใช้งานร่วมกับ Windows 365, Azure Virtual Desktop และ Microsoft Dev Box

    จุดเด่นของ Mixed Reality Link
    สร้างพื้นที่ทำงานเสมือนจริงที่เข้าถึงได้ง่าย
    คล้ายกับ Vision Pro แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า
    Quest 3S เริ่มต้นเพียง $300 เทียบกับ Vision Pro ที่ $3,500

    แผนของ Meta ในโลก Mixed Reality
    เตรียมเปิดตัวแว่น VR รุ่นใหม่ที่สมจริงระดับสูง
    เปิดตัว Ray-Ban รุ่นใหม่พร้อม AI แปลภาษาแบบเรียลไทม์
    มุ่งเน้นการขยายตลาด VR/AR ด้วยราคาที่เข้าถึงได้

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน Mixed Reality
    ควรตรวจสอบความปลอดภัยของการเชื่อมต่อคลาวด์ก่อนใช้งาน
    หลีกเลี่ยงการใช้ในพื้นที่ที่มีสิ่งกีดขวางหรืออันตราย
    ควรพักสายตาเป็นระยะเมื่อใช้งานแว่น VR เป็นเวลานาน

    โลกเสมือนจริงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป — ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และฟีเจอร์ที่ทรงพลัง Meta Quest 3 กำลังเปลี่ยนวิธีที่เราทำงานและเชื่อมต่อกับเทคโนโลยี.

    https://securityonline.info/meta-quest-3-gets-windows-11-virtual-desktop-bringing-mixed-reality-to-the-masses/
    🧠 Meta Quest 3 ผนึก Windows 11 เปิดประสบการณ์ Virtual Desktop สู่โลก Mixed Reality Microsoft และ Meta ร่วมกันเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Mixed Reality Link” ที่ให้ผู้ใช้ Meta Quest 3 และ Quest 3S สามารถสตรีมหน้าจอ Windows 11 ไปยังแว่น VR ได้โดยตรง สร้างพื้นที่ทำงานเสมือนจริงที่เข้าถึงได้ในราคาย่อมเยา ลองนึกภาพว่าคุณใส่แว่น Meta Quest 3 แล้วเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์หลายจอลอยอยู่รอบตัวคุณในโลกเสมือน — นั่นคือสิ่งที่ Mixed Reality Link ทำได้ หลังจากเปิดตัวในเวอร์ชันพรีวิวช่วงปี 2024 ตอนนี้ฟีเจอร์นี้ได้เปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการแล้วในปี 2025 เมื่อคุณติดตั้งแอป Mixed Reality Link บน Windows 11 PC คุณสามารถสตรีมหน้าจอไปยังแว่น Meta Quest ได้ทันที โดยรองรับการแสดงผลหลายหน้าจอในรูปแบบ 3D เหมือนกับที่ Vision Pro ของ Apple เคยทำ แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า นอกจากการสตรีมจากเครื่องส่วนตัวแล้ว ยังรองรับการเชื่อมต่อกับบริการคลาวด์อย่าง Windows 365, Azure Virtual Desktop และ Microsoft Dev Box ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเครื่องเสมือนจากที่ไหนก็ได้ Meta ยังเผยแผนเปิดตัวแว่น VR รุ่นใหม่ที่ “แทบแยกไม่ออกจากโลกจริง” พร้อมแว่น Ray-Ban รุ่นใหม่ที่มีฟีเจอร์แปลภาษาแบบเรียลไทม์ด้วย AI ✅ ฟีเจอร์ Mixed Reality Link เปิดให้ใช้งานบน Meta Quest 3 และ Quest 3S ➡️ สตรีมหน้าจอ Windows 11 ไปยังแว่น VR ได้โดยตรง ➡️ รองรับการแสดงผลหลายหน้าจอในรูปแบบ 3D ➡️ ใช้งานร่วมกับ Windows 365, Azure Virtual Desktop และ Microsoft Dev Box ✅ จุดเด่นของ Mixed Reality Link ➡️ สร้างพื้นที่ทำงานเสมือนจริงที่เข้าถึงได้ง่าย ➡️ คล้ายกับ Vision Pro แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า ➡️ Quest 3S เริ่มต้นเพียง $300 เทียบกับ Vision Pro ที่ $3,500 ✅ แผนของ Meta ในโลก Mixed Reality ➡️ เตรียมเปิดตัวแว่น VR รุ่นใหม่ที่สมจริงระดับสูง ➡️ เปิดตัว Ray-Ban รุ่นใหม่พร้อม AI แปลภาษาแบบเรียลไทม์ ➡️ มุ่งเน้นการขยายตลาด VR/AR ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน Mixed Reality ⛔ ควรตรวจสอบความปลอดภัยของการเชื่อมต่อคลาวด์ก่อนใช้งาน ⛔ หลีกเลี่ยงการใช้ในพื้นที่ที่มีสิ่งกีดขวางหรืออันตราย ⛔ ควรพักสายตาเป็นระยะเมื่อใช้งานแว่น VR เป็นเวลานาน โลกเสมือนจริงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป — ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และฟีเจอร์ที่ทรงพลัง Meta Quest 3 กำลังเปลี่ยนวิธีที่เราทำงานและเชื่อมต่อกับเทคโนโลยี. https://securityonline.info/meta-quest-3-gets-windows-11-virtual-desktop-bringing-mixed-reality-to-the-masses/
    SECURITYONLINE.INFO
    Meta Quest 3 Gets Windows 11 Virtual Desktop—Bringing Mixed Reality to the Masses
    Microsoft's Mixed Reality Link brings the Windows 11 virtual desktop experience to Meta Quest 3 users. It supports cloud PCs and challenges the expensive Apple Vision Pro.
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • เปิดตัว Mini PC ดีไซน์ Apple แต่หัวใจ AMD: Orico Omini Series

    ลองนึกภาพว่า Mac Mini และ Mac Pro ถูกย่อส่วนลงมาในขนาดเล็กจิ๋ว แต่ภายในกลับขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง AMD Ryzen แถมยังรองรับ Windows และ Linux ได้เต็มรูปแบบ — นี่คือสิ่งที่ Orico บริษัทเทคโนโลยีจากจีนกำลังนำเสนอผ่านซีรีส์ใหม่ “Omini Plus” และ “Omini Pro”

    Orico ซึ่งปกติเน้นผลิตอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล ก้าวเข้าสู่ตลาด Mini PC ด้วยดีไซน์ที่ชวนให้นึกถึงผลิตภัณฑ์ของ Apple แต่ภายในกลับเลือกใช้ขุมพลังจาก AMD Ryzen รุ่นใหม่ล่าสุด

    Omini Plus มาในทรงคล้าย Mac Mini ใช้ Ryzen 5 7535H (หรือชื่อใหม่ Ryzen 5 150) พร้อม RAM DDR5 16GB และ SSD 2TB ในตัว ขนาดเล็กเพียง 0.8 ลิตร แต่พอร์ตเชื่อมต่อจัดเต็มมาก

    Omini Pro ดูคล้าย Mac Pro ขนาดย่อ ใช้ Ryzen 7 8845HS พร้อม GPU Radeon 780M รองรับ AI processing ด้วย NPU ในตัว และสามารถอัปเกรด RAM ได้สูงสุดถึง 256GB พร้อม SSD สูงสุด 8TB

    ทั้งสองรุ่นรองรับ Windows 11 และ Linux เหมาะกับสายทำงานที่ต้องการความแรงในขนาดกะทัดรัด และยังมีดีไซน์ที่ดูพรีเมียมแบบ Apple แต่ไม่ต้องจ่ายแพงเท่า

    เปิดตัว Mini PC สไตล์ Apple จาก Orico
    Omini Plus ดีไซน์คล้าย Mac Mini ใช้ Ryzen 5 150
    Omini Pro ดีไซน์คล้าย Mac Pro ใช้ Ryzen 7 8845HS พร้อม GPU Radeon 780M
    รองรับ Windows 11 และ Linux เต็มรูปแบบ
    พอร์ตเชื่อมต่อครบครัน: USB4, HDMI 2.1, DisplayPort, Ethernet ฯลฯ
    Omini Plus ราคาเปิดตัวประมาณ $535 (พรีออเดอร์ $478)
    Omini Pro เริ่มต้นที่ $435 (พรีออเดอร์ $380)
    รองรับ AI processing ด้วย NPU ในรุ่น Pro
    เหมาะกับงาน productivity และ casual gaming

    สาระเพิ่มเติมจากวงการ Mini PC
    แนวโน้ม Mini PC ปี 2025 เน้นพลัง AI และประหยัดพลังงาน
    Qualcomm และ Huawei ก็เปิดตัว Mini PC ที่บางเฉียบและแรงไม่แพ้กัน
    Zotac แข่งเปิดตัว Mini PC ที่อ้างว่า “เล็กที่สุดในโลก”
    Thunderbolt 5 eGPU Dock ใหม่สามารถติดตั้ง Mini PC ได้โดยตรง

    https://www.tomshardware.com/desktops/mini-pcs/apple-mac-pro-and-mac-mini-clones-launch-with-amd-ryzen-cpus-perfect-mini-pcs-for-those-who-love-apples-aesthetics-but-still-need-windows-or-linux
    🖥️ เปิดตัว Mini PC ดีไซน์ Apple แต่หัวใจ AMD: Orico Omini Series ลองนึกภาพว่า Mac Mini และ Mac Pro ถูกย่อส่วนลงมาในขนาดเล็กจิ๋ว แต่ภายในกลับขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง AMD Ryzen แถมยังรองรับ Windows และ Linux ได้เต็มรูปแบบ — นี่คือสิ่งที่ Orico บริษัทเทคโนโลยีจากจีนกำลังนำเสนอผ่านซีรีส์ใหม่ “Omini Plus” และ “Omini Pro” Orico ซึ่งปกติเน้นผลิตอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล ก้าวเข้าสู่ตลาด Mini PC ด้วยดีไซน์ที่ชวนให้นึกถึงผลิตภัณฑ์ของ Apple แต่ภายในกลับเลือกใช้ขุมพลังจาก AMD Ryzen รุ่นใหม่ล่าสุด 💠 Omini Plus มาในทรงคล้าย Mac Mini ใช้ Ryzen 5 7535H (หรือชื่อใหม่ Ryzen 5 150) พร้อม RAM DDR5 16GB และ SSD 2TB ในตัว ขนาดเล็กเพียง 0.8 ลิตร แต่พอร์ตเชื่อมต่อจัดเต็มมาก 💠 Omini Pro ดูคล้าย Mac Pro ขนาดย่อ ใช้ Ryzen 7 8845HS พร้อม GPU Radeon 780M รองรับ AI processing ด้วย NPU ในตัว และสามารถอัปเกรด RAM ได้สูงสุดถึง 256GB พร้อม SSD สูงสุด 8TB ทั้งสองรุ่นรองรับ Windows 11 และ Linux เหมาะกับสายทำงานที่ต้องการความแรงในขนาดกะทัดรัด และยังมีดีไซน์ที่ดูพรีเมียมแบบ Apple แต่ไม่ต้องจ่ายแพงเท่า ✅ เปิดตัว Mini PC สไตล์ Apple จาก Orico ➡️ Omini Plus ดีไซน์คล้าย Mac Mini ใช้ Ryzen 5 150 ➡️ Omini Pro ดีไซน์คล้าย Mac Pro ใช้ Ryzen 7 8845HS พร้อม GPU Radeon 780M ➡️ รองรับ Windows 11 และ Linux เต็มรูปแบบ ➡️ พอร์ตเชื่อมต่อครบครัน: USB4, HDMI 2.1, DisplayPort, Ethernet ฯลฯ ➡️ Omini Plus ราคาเปิดตัวประมาณ $535 (พรีออเดอร์ $478) ➡️ Omini Pro เริ่มต้นที่ $435 (พรีออเดอร์ $380) ➡️ รองรับ AI processing ด้วย NPU ในรุ่น Pro ➡️ เหมาะกับงาน productivity และ casual gaming ✅ สาระเพิ่มเติมจากวงการ Mini PC ➡️ แนวโน้ม Mini PC ปี 2025 เน้นพลัง AI และประหยัดพลังงาน ➡️ Qualcomm และ Huawei ก็เปิดตัว Mini PC ที่บางเฉียบและแรงไม่แพ้กัน ➡️ Zotac แข่งเปิดตัว Mini PC ที่อ้างว่า “เล็กที่สุดในโลก” ➡️ Thunderbolt 5 eGPU Dock ใหม่สามารถติดตั้ง Mini PC ได้โดยตรง https://www.tomshardware.com/desktops/mini-pcs/apple-mac-pro-and-mac-mini-clones-launch-with-amd-ryzen-cpus-perfect-mini-pcs-for-those-who-love-apples-aesthetics-but-still-need-windows-or-linux
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • “Internet-in-a-Box” อุปกรณ์ที่แทน Google ได้แม้ไม่มีเน็ต!

    ในโลกที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่ยังมีคนกว่า 2.6 พันล้านคนที่เข้าไม่ถึง “Internet-in-a-Box” หรือ IIAB คือเทคโนโลยีที่ช่วยลดช่องว่างนี้ ด้วยการเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาให้กลายเป็นคลังข้อมูลขนาดย่อมที่ไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ตเลย!

    IIAB เป็นระบบโอเพ่นซอร์สที่สามารถติดตั้งบนคอมพิวเตอร์เก่า Raspberry Pi หรือแม้แต่โน้ตบุ๊กที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว โดยสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1 เทราไบต์ เช่น เว็บไซต์เพื่อการศึกษา แผนที่ Google หรือ Apple แบบออฟไลน์ และคลังวิดีโอจาก YouTube หรือ TED Talks

    ผู้ใช้งานสามารถเลือกโหลด “content packs” ที่เหมาะกับชุมชนของตน เช่น โรงเรียนสามารถโหลดหลักสูตร Khan Academy ส่วนคลินิกสุขภาพสามารถโหลดข้อมูลทางการแพทย์ไว้ใช้ในพื้นที่ห่างไกล โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเลย

    ระบบนี้ถูกนำไปใช้แล้วในหลายประเทศ เช่น แอฟริกาใต้ เฮติ และรวันดา เพื่อช่วยให้เด็กๆ และผู้ใหญ่ในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงความรู้ได้อย่างเท่าเทียม

    Internet-in-a-Box (IIAB) คืออะไร
    ระบบโอเพ่นซอร์สที่เก็บข้อมูลเว็บไว้ใช้งานแบบออฟไลน์
    รองรับ Linux เช่น Ubuntu, Debian, Raspberry Pi OS
    ใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์เก่าและ Raspberry Pi

    ความสามารถของ IIAB
    เก็บข้อมูลได้ถึง 1 เทราไบต์
    โหลด content packs เช่น Khan Academy, TED Talks, แผนที่, วิดีโอ
    สร้างหน้าโฮมเพจแบบปรับแต่งได้สำหรับผู้ใช้งาน

    การใช้งานในพื้นที่ห่างไกล
    ใช้ในโรงเรียน คลินิก และชุมชนที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต
    ถูกนำไปใช้ในแอฟริกาใต้ เฮติ รวันดา และอีกหลายประเทศ

    การติดตั้งและขยายข้อมูล
    โหลดข้อมูลจาก archive.org และ worldpossible.org
    เพิ่มข้อมูลจากอุปกรณ์เสริม เช่น USB หรือฮาร์ดดิสก์
    ผู้ใช้สามารถสร้างคลังข้อมูลเองได้

    ข้อจำกัดของ IIAB
    ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจริงหรือค้นหาบน Google ได้
    ต้องติดตั้งและตั้งค่าด้วยตนเอง
    อุปกรณ์บางรุ่นอาจต้องใช้เราเตอร์ Wi-Fi เพื่อแชร์ข้อมูล

    IIAB ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นความหวังสำหรับผู้คนที่ยังเข้าไม่ถึงโลกดิจิทัล — เปลี่ยนคอมพิวเตอร์เก่าให้กลายเป็นคลังความรู้ และเปลี่ยนชีวิตคนในพื้นที่ห่างไกลให้มีโอกาสเรียนรู้เท่าเทียมกัน

    https://www.slashgear.com/2009691/offline-google-alternative-internet-in-a-box/
    📦 “Internet-in-a-Box” อุปกรณ์ที่แทน Google ได้แม้ไม่มีเน็ต! ในโลกที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่ยังมีคนกว่า 2.6 พันล้านคนที่เข้าไม่ถึง “Internet-in-a-Box” หรือ IIAB คือเทคโนโลยีที่ช่วยลดช่องว่างนี้ ด้วยการเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาให้กลายเป็นคลังข้อมูลขนาดย่อมที่ไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ตเลย! IIAB เป็นระบบโอเพ่นซอร์สที่สามารถติดตั้งบนคอมพิวเตอร์เก่า Raspberry Pi หรือแม้แต่โน้ตบุ๊กที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว โดยสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1 เทราไบต์ เช่น เว็บไซต์เพื่อการศึกษา แผนที่ Google หรือ Apple แบบออฟไลน์ และคลังวิดีโอจาก YouTube หรือ TED Talks ผู้ใช้งานสามารถเลือกโหลด “content packs” ที่เหมาะกับชุมชนของตน เช่น โรงเรียนสามารถโหลดหลักสูตร Khan Academy ส่วนคลินิกสุขภาพสามารถโหลดข้อมูลทางการแพทย์ไว้ใช้ในพื้นที่ห่างไกล โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเลย ระบบนี้ถูกนำไปใช้แล้วในหลายประเทศ เช่น แอฟริกาใต้ เฮติ และรวันดา เพื่อช่วยให้เด็กๆ และผู้ใหญ่ในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงความรู้ได้อย่างเท่าเทียม ✅ Internet-in-a-Box (IIAB) คืออะไร ➡️ ระบบโอเพ่นซอร์สที่เก็บข้อมูลเว็บไว้ใช้งานแบบออฟไลน์ ➡️ รองรับ Linux เช่น Ubuntu, Debian, Raspberry Pi OS ➡️ ใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์เก่าและ Raspberry Pi ✅ ความสามารถของ IIAB ➡️ เก็บข้อมูลได้ถึง 1 เทราไบต์ ➡️ โหลด content packs เช่น Khan Academy, TED Talks, แผนที่, วิดีโอ ➡️ สร้างหน้าโฮมเพจแบบปรับแต่งได้สำหรับผู้ใช้งาน ✅ การใช้งานในพื้นที่ห่างไกล ➡️ ใช้ในโรงเรียน คลินิก และชุมชนที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต ➡️ ถูกนำไปใช้ในแอฟริกาใต้ เฮติ รวันดา และอีกหลายประเทศ ✅ การติดตั้งและขยายข้อมูล ➡️ โหลดข้อมูลจาก archive.org และ worldpossible.org ➡️ เพิ่มข้อมูลจากอุปกรณ์เสริม เช่น USB หรือฮาร์ดดิสก์ ➡️ ผู้ใช้สามารถสร้างคลังข้อมูลเองได้ ‼️ ข้อจำกัดของ IIAB ⛔ ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจริงหรือค้นหาบน Google ได้ ⛔ ต้องติดตั้งและตั้งค่าด้วยตนเอง ⛔ อุปกรณ์บางรุ่นอาจต้องใช้เราเตอร์ Wi-Fi เพื่อแชร์ข้อมูล IIAB ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นความหวังสำหรับผู้คนที่ยังเข้าไม่ถึงโลกดิจิทัล — เปลี่ยนคอมพิวเตอร์เก่าให้กลายเป็นคลังความรู้ และเปลี่ยนชีวิตคนในพื้นที่ห่างไกลให้มีโอกาสเรียนรู้เท่าเทียมกัน https://www.slashgear.com/2009691/offline-google-alternative-internet-in-a-box/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Device Can Replace Google When You Need Information Without An Internet Connection - SlashGear
    More than half the world's population can connect to the internet, but for people in remote locations or extreme poverty this device can provide limited access.
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • AMD เปิดตัว Sound Wave APU บนสถาปัตยกรรม ARM ผลิตด้วย TSMC 3nm เตรียมลุยตลาดมือถือและ Windows on ARM!

    AMD ก้าวเข้าสู่ตลาด ARM อย่างเป็นทางการด้วย APU รุ่นใหม่ชื่อ “Sound Wave” ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 และผลิตด้วยเทคโนโลยี TSMC 3nm โดยมีเป้าหมายสำหรับอุปกรณ์พกพา, โน้ตบุ๊ก Windows on ARM และอุปกรณ์ edge AI

    ข้อมูลจาก customs manifest และแหล่งข่าววงในเผยว่า AMD กำลังทดสอบ APU รุ่นใหม่ชื่อ “Sound Wave” ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม ARM64 แทน x86 ที่ AMD ใช้มานานหลายทศวรรษ โดยผลิตบนเทคโนโลยี TSMC 3nm N3B ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ใช้ใน Apple M3 และ Snapdragon X Elite

    จุดเด่นของ Sound Wave APU:
    ใช้ ARM64 architecture: เป็นครั้งแรกที่ AMD พัฒนา APU บน ARM แทน x86
    ผลิตด้วย TSMC 3nm N3B: เทคโนโลยีระดับสูงที่ให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีเยี่ยม
    รองรับ Windows on ARM: คาดว่าอาจใช้ในโน้ตบุ๊ก ultrathin หรือ Surface รุ่นใหม่
    มี NPU สำหรับ AI: รองรับฟีเจอร์ AI PC เต็มรูปแบบ เช่น Copilot และ LLM inference
    อาจมี iGPU Radeon รุ่นใหม่: เพื่อรองรับงานกราฟิกและเกมเบื้องต้น

    การเข้าสู่ตลาด ARM ของ AMD ถือเป็นการตอบสนองต่อแนวโน้มที่ Microsoft และ Qualcomm กำลังผลักดัน Windows on ARM อย่างหนัก โดยเฉพาะในกลุ่ม ultrabook และอุปกรณ์ edge computing ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ

    นี่คือก้าวสำคัญของ AMD ที่อาจเปลี่ยนโฉมตลาดโน้ตบุ๊กและอุปกรณ์พกพาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และหาก Sound Wave APU ทำได้ดี… เราอาจได้เห็น AMD ในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตในอนาคตก็เป็นได้.

    รายละเอียดของ Sound Wave APU
    ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 แทน x86
    ผลิตด้วย TSMC 3nm N3B node
    รองรับ Windows on ARM และ edge AI
    มี NPU สำหรับงาน AI และ inference
    อาจมี iGPU Radeon สำหรับงานกราฟิกเบื้องต้น

    บริบทของตลาด
    Microsoft ผลักดัน Windows on ARM อย่างจริงจัง
    Qualcomm เปิดตัว Snapdragon X Elite สำหรับโน้ตบุ๊ก
    Apple ใช้ ARM มานานแล้วใน Mac และ iPad
    AMD ต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันในตลาด ultrathin และ low-power

    คำเตือนจากข่าวนี้
    ยังไม่มีข้อมูลทางการจาก AMD เกี่ยวกับสเปกเต็มหรือวันเปิดตัว
    การเข้าสู่ตลาด ARM ต้องใช้เวลาในการพัฒนา ecosystem และ driver
    ต้องพิสูจน์ว่า Sound Wave APU จะสู้กับ Apple M3 และ Snapdragon X Elite ได้จริง

    https://www.guru3d.com/story/amd-enters-arm-market-with-sound-wave-apu-built-on-tsmc-3nm-process/
    📱🚀 AMD เปิดตัว Sound Wave APU บนสถาปัตยกรรม ARM ผลิตด้วย TSMC 3nm เตรียมลุยตลาดมือถือและ Windows on ARM! AMD ก้าวเข้าสู่ตลาด ARM อย่างเป็นทางการด้วย APU รุ่นใหม่ชื่อ “Sound Wave” ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 และผลิตด้วยเทคโนโลยี TSMC 3nm โดยมีเป้าหมายสำหรับอุปกรณ์พกพา, โน้ตบุ๊ก Windows on ARM และอุปกรณ์ edge AI ข้อมูลจาก customs manifest และแหล่งข่าววงในเผยว่า AMD กำลังทดสอบ APU รุ่นใหม่ชื่อ “Sound Wave” ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม ARM64 แทน x86 ที่ AMD ใช้มานานหลายทศวรรษ โดยผลิตบนเทคโนโลยี TSMC 3nm N3B ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ใช้ใน Apple M3 และ Snapdragon X Elite จุดเด่นของ Sound Wave APU: 🎗️ ใช้ ARM64 architecture: เป็นครั้งแรกที่ AMD พัฒนา APU บน ARM แทน x86 🎗️ ผลิตด้วย TSMC 3nm N3B: เทคโนโลยีระดับสูงที่ให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีเยี่ยม 🎗️ รองรับ Windows on ARM: คาดว่าอาจใช้ในโน้ตบุ๊ก ultrathin หรือ Surface รุ่นใหม่ 🎗️ มี NPU สำหรับ AI: รองรับฟีเจอร์ AI PC เต็มรูปแบบ เช่น Copilot และ LLM inference 🎗️ อาจมี iGPU Radeon รุ่นใหม่: เพื่อรองรับงานกราฟิกและเกมเบื้องต้น การเข้าสู่ตลาด ARM ของ AMD ถือเป็นการตอบสนองต่อแนวโน้มที่ Microsoft และ Qualcomm กำลังผลักดัน Windows on ARM อย่างหนัก โดยเฉพาะในกลุ่ม ultrabook และอุปกรณ์ edge computing ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ นี่คือก้าวสำคัญของ AMD ที่อาจเปลี่ยนโฉมตลาดโน้ตบุ๊กและอุปกรณ์พกพาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และหาก Sound Wave APU ทำได้ดี… เราอาจได้เห็น AMD ในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตในอนาคตก็เป็นได้. ✅ รายละเอียดของ Sound Wave APU ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 แทน x86 ➡️ ผลิตด้วย TSMC 3nm N3B node ➡️ รองรับ Windows on ARM และ edge AI ➡️ มี NPU สำหรับงาน AI และ inference ➡️ อาจมี iGPU Radeon สำหรับงานกราฟิกเบื้องต้น ✅ บริบทของตลาด ➡️ Microsoft ผลักดัน Windows on ARM อย่างจริงจัง ➡️ Qualcomm เปิดตัว Snapdragon X Elite สำหรับโน้ตบุ๊ก ➡️ Apple ใช้ ARM มานานแล้วใน Mac และ iPad ➡️ AMD ต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันในตลาด ultrathin และ low-power ‼️ คำเตือนจากข่าวนี้ ⛔ ยังไม่มีข้อมูลทางการจาก AMD เกี่ยวกับสเปกเต็มหรือวันเปิดตัว ⛔ การเข้าสู่ตลาด ARM ต้องใช้เวลาในการพัฒนา ecosystem และ driver ⛔ ต้องพิสูจน์ว่า Sound Wave APU จะสู้กับ Apple M3 และ Snapdragon X Elite ได้จริง https://www.guru3d.com/story/amd-enters-arm-market-with-sound-wave-apu-built-on-tsmc-3nm-process/
    WWW.GURU3D.COM
    AMD Could Enter ARM Market with Sound Wave APU Built on TSMC 3nm Process
    AMD is expanding its processor portfolio beyond the x86 architecture with its first ARM-based APU, internally known as “Sound Wave. ” The chip’s existence was uncovered through customs import records, confirming several details about its design and purpose.
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • Imagination Technologies เปิดตัว E-Series GPU สำหรับ AI ที่อาจเหนือกว่า NVIDIA ด้านความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพพลังงาน

    อดีตผู้ผลิต GPU ให้ Apple อย่าง Imagination Technologies เผยโฉม E-Series GPU ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI และกราฟิก พร้อมชูจุดเด่นด้านการประมวลผลแบบ tile-based, การใช้พลังงานต่ำ และความสามารถในการปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งอาจเป็นทางเลือกที่เหนือกว่า NVIDIA ในบางแง่มุม

    Kristof Beets รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Imagination Technologies เปิดเผยว่า E-Series GPU รุ่นใหม่สามารถประมวลผลได้สูงถึง 200 TOPS สำหรับงาน INT8 และ FP8 ซึ่งเหมาะกับทั้ง edge AI และงาน training/inference ขนาดใหญ่

    สิ่งที่ทำให้ E-Series โดดเด่นคือ:
    Tile-based compute: คล้ายกับ tile-based rendering ในกราฟิก ทำให้ประหยัดพลังงานและลดการใช้หน่วยความจำ
    Burst Processor: สถาปัตยกรรมใหม่ที่ลด pipeline จาก 10 ขั้นตอนเหลือ 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคำนวณแบบต่อเนื่อง
    Matrix Multiply Acceleration: รองรับการคำนวณแบบ tensor โดยตรงใน GPU
    Subgroup exchange: ALU สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ในระดับฮาร์ดแวร์
    รองรับ Vulkan, OpenCL และ API มาตรฐาน เพื่อให้ใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ AI ได้ง่าย

    Imagination ยังเน้นว่า GPU ของตนสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้า เพราะเป็นบริษัท IP licensing ไม่ใช่ผู้ผลิตชิปโดยตรง ต่างจาก NVIDIA ที่ขายชิปแบบสำเร็จรูปเท่านั้น

    จุดเด่นของ E-Series GPU
    ประมวลผลได้สูงสุด 200 TOPS สำหรับ INT8/FP8
    ใช้ tile-based compute เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน
    Burst Processor ลด pipeline เหลือ 2 ขั้นตอน
    รองรับ matrix multiply และ subgroup exchange ในระดับฮาร์ดแวร์
    รองรับ API มาตรฐาน เช่น Vulkan และ OpenCL

    ความยืดหยุ่นด้านการออกแบบ
    ลูกค้าสามารถปรับแต่งขนาดและฟีเจอร์ของ GPU ได้
    เหมาะกับตลาด edge AI, ยานยนต์, และเซิร์ฟเวอร์
    ไม่จำกัดให้ใช้เฉพาะฮาร์ดแวร์ของ Imagination

    เปรียบเทียบกับ NVIDIA
    NVIDIA มี tensor core ที่แรง แต่ปรับแต่งไม่ได้
    Imagination เน้นความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพพลังงาน
    GPU ของ Imagination อาจเหมาะกับงานเฉพาะทางมากกว่า

    https://wccftech.com/apples-former-gpu-supplier-imagination-tech-shares-ai-gpu-advantages-over-nvidia/
    🚀🧠 Imagination Technologies เปิดตัว E-Series GPU สำหรับ AI ที่อาจเหนือกว่า NVIDIA ด้านความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพพลังงาน อดีตผู้ผลิต GPU ให้ Apple อย่าง Imagination Technologies เผยโฉม E-Series GPU ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI และกราฟิก พร้อมชูจุดเด่นด้านการประมวลผลแบบ tile-based, การใช้พลังงานต่ำ และความสามารถในการปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งอาจเป็นทางเลือกที่เหนือกว่า NVIDIA ในบางแง่มุม Kristof Beets รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Imagination Technologies เปิดเผยว่า E-Series GPU รุ่นใหม่สามารถประมวลผลได้สูงถึง 200 TOPS สำหรับงาน INT8 และ FP8 ซึ่งเหมาะกับทั้ง edge AI และงาน training/inference ขนาดใหญ่ สิ่งที่ทำให้ E-Series โดดเด่นคือ: 🎗️ Tile-based compute: คล้ายกับ tile-based rendering ในกราฟิก ทำให้ประหยัดพลังงานและลดการใช้หน่วยความจำ 🎗️ Burst Processor: สถาปัตยกรรมใหม่ที่ลด pipeline จาก 10 ขั้นตอนเหลือ 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคำนวณแบบต่อเนื่อง 🎗️ Matrix Multiply Acceleration: รองรับการคำนวณแบบ tensor โดยตรงใน GPU 🎗️ Subgroup exchange: ALU สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ในระดับฮาร์ดแวร์ 🎗️ รองรับ Vulkan, OpenCL และ API มาตรฐาน เพื่อให้ใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ AI ได้ง่าย Imagination ยังเน้นว่า GPU ของตนสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้า เพราะเป็นบริษัท IP licensing ไม่ใช่ผู้ผลิตชิปโดยตรง ต่างจาก NVIDIA ที่ขายชิปแบบสำเร็จรูปเท่านั้น ✅ จุดเด่นของ E-Series GPU ➡️ ประมวลผลได้สูงสุด 200 TOPS สำหรับ INT8/FP8 ➡️ ใช้ tile-based compute เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน ➡️ Burst Processor ลด pipeline เหลือ 2 ขั้นตอน ➡️ รองรับ matrix multiply และ subgroup exchange ในระดับฮาร์ดแวร์ ➡️ รองรับ API มาตรฐาน เช่น Vulkan และ OpenCL ✅ ความยืดหยุ่นด้านการออกแบบ ➡️ ลูกค้าสามารถปรับแต่งขนาดและฟีเจอร์ของ GPU ได้ ➡️ เหมาะกับตลาด edge AI, ยานยนต์, และเซิร์ฟเวอร์ ➡️ ไม่จำกัดให้ใช้เฉพาะฮาร์ดแวร์ของ Imagination ✅ เปรียบเทียบกับ NVIDIA ➡️ NVIDIA มี tensor core ที่แรง แต่ปรับแต่งไม่ได้ ➡️ Imagination เน้นความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพพลังงาน ➡️ GPU ของ Imagination อาจเหมาะกับงานเฉพาะทางมากกว่า https://wccftech.com/apples-former-gpu-supplier-imagination-tech-shares-ai-gpu-advantages-over-nvidia/
    WCCFTECH.COM
    Apple's Former GPU Supplier Imagination Tech Shares AI GPU Advantages Over NVIDIA
    As AI GPUs continue to dominate the technology conversation, we decided to sit down with Kristof Beets, Vice President of Product Management at Imagination Technologies. Imagination Technologies is one of the oldest GPU intellectual property firms in the world and has been known for previously supplying Apple GPUs for the iPhone and iPad. With GPUs being quite close to AI processing needs as well, our discussion with Kristof surrounded how Imagination Technologies' products are suitable for AI computing. He also compared them with NVIDIA's GPUs, and the conversation started off with Kristof giving us a presentation of Imagination's latest E-Series […]
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • เปลี่ยนจอ iPhone 17 Pro Max ต้องจ่าย $379!

    Apple เปิดราคาชิ้นส่วนซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น Apple เปิดเผยราคาชิ้นส่วนสำหรับซ่อมเองใน iPhone 17 ผ่าน Self-Service Repair Store โดย iPhone Air เปลี่ยนแบตเตอรี่ต้องจ่าย $119 ส่วน iPhone 17 Pro Max เปลี่ยนจอสูงถึง $379

    Apple เปิดตัวชุดคู่มือซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น พร้อมวางจำหน่ายชิ้นส่วนผ่าน Self-Service Repair Store ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเพิ่มคะแนน iFixit และส่งเสริมสิทธิในการซ่อมของผู้ใช้

    แต่ราคาชิ้นส่วนกลับไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก:
    iPhone 17 รุ่นพื้นฐาน:
    แบตเตอรี่: $99
    จอแสดงผล: $329
    กล้องหน้า: $199
    ฝาหลัง: $159
    โครงเครื่องพร้อมแบตเตอรี่: $236

    iPhone Air:
    แบตเตอรี่: $119
    จอแสดงผล: $329
    อื่น ๆ เหมือนรุ่นพื้นฐาน

    iPhone 17 Pro / Pro Max:
    แบตเตอรี่: $119
    จอแสดงผล Pro: $329
    จอแสดงผล Pro Max: $379
    อื่น ๆ เหมือนรุ่น Air

    ราคาฝาหลังและกล้องหน้าคงที่ทุกโมเดล แต่จอแสดงผลของ Pro Max แพงที่สุด ส่วนแบตเตอรี่ของรุ่นพื้นฐานถูกที่สุดที่ $99

    แม้จะเป็นก้าวสำคัญด้านสิทธิในการซ่อม แต่ราคาชิ้นส่วนเหล่านี้อาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะซ่อมเอง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่าบริการจากศูนย์ซ่อมที่อาจรวมค่าแรงและการรับประกัน

    https://wccftech.com/apple-iphone-air-battery-replacement-will-cost-you-119-iphone-17-pro-max-display-will-set-you-back-by-379/
    📱💸 เปลี่ยนจอ iPhone 17 Pro Max ต้องจ่าย $379! Apple เปิดราคาชิ้นส่วนซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น Apple เปิดเผยราคาชิ้นส่วนสำหรับซ่อมเองใน iPhone 17 ผ่าน Self-Service Repair Store โดย iPhone Air เปลี่ยนแบตเตอรี่ต้องจ่าย $119 ส่วน iPhone 17 Pro Max เปลี่ยนจอสูงถึง $379 Apple เปิดตัวชุดคู่มือซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น พร้อมวางจำหน่ายชิ้นส่วนผ่าน Self-Service Repair Store ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเพิ่มคะแนน iFixit และส่งเสริมสิทธิในการซ่อมของผู้ใช้ แต่ราคาชิ้นส่วนกลับไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก: 📍 iPhone 17 รุ่นพื้นฐาน: 🎗️ แบตเตอรี่: $99 🎗️ จอแสดงผล: $329 🎗️ กล้องหน้า: $199 🎗️ ฝาหลัง: $159 🎗️ โครงเครื่องพร้อมแบตเตอรี่: $236 📍 iPhone Air: 🎗️ แบตเตอรี่: $119 🎗️ จอแสดงผล: $329 🎗️ อื่น ๆ เหมือนรุ่นพื้นฐาน 📍 iPhone 17 Pro / Pro Max: 🎗️ แบตเตอรี่: $119 🎗️ จอแสดงผล Pro: $329 🎗️ จอแสดงผล Pro Max: $379 🎗️ อื่น ๆ เหมือนรุ่น Air ราคาฝาหลังและกล้องหน้าคงที่ทุกโมเดล แต่จอแสดงผลของ Pro Max แพงที่สุด ส่วนแบตเตอรี่ของรุ่นพื้นฐานถูกที่สุดที่ $99 แม้จะเป็นก้าวสำคัญด้านสิทธิในการซ่อม แต่ราคาชิ้นส่วนเหล่านี้อาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะซ่อมเอง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่าบริการจากศูนย์ซ่อมที่อาจรวมค่าแรงและการรับประกัน https://wccftech.com/apple-iphone-air-battery-replacement-will-cost-you-119-iphone-17-pro-max-display-will-set-you-back-by-379/
    WCCFTECH.COM
    Apple iPhone Air Battery Replacement Will Cost You $119, iPhone 17 Pro Max Display Will Set You Back By $379
    After releasing a self-repair manual for each of its iPhone 17 models, Apple has now made available the spare parts for the new lineup
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • Netflix ปรับเกม! ทดลองวิดีโอแนวตั้งและพอดแคสต์ หวังครองใจผู้ใช้มือถือ

    Netflix กำลังทดลองฟอร์แมตใหม่อย่างวิดีโอแนวตั้งและพอดแคสต์ เพื่อขยายประสบการณ์ความบันเทิงบนมือถือ หวังเจาะกลุ่มผู้ใช้ที่ชอบดูคอนเทนต์สั้นและฟังเสียงระหว่างเดินทาง

    Netflix ไม่หยุดแค่ซีรีส์หรือหนังอีกต่อไป ล่าสุดบริษัทกำลังทดลอง “วิดีโอแนวตั้ง” และ “พอดแคสต์” บนแอปมือถือ เพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้ยุคใหม่ที่นิยมคอนเทนต์สั้น ดูง่าย ฟังสะดวก และเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา

    วิดีโอแนวตั้งที่ Netflix กำลังทดลองมีลักษณะคล้ายกับ TikTok หรือ Instagram Reels โดยเน้นคลิปสั้นที่ดูได้ในแนวตั้งเต็มจอ ไม่ต้องหมุนมือถือ จุดประสงค์คือเพื่อให้ผู้ใช้สามารถ “เสพความบันเทิงแบบเร็วๆ” ระหว่างพักเบรกหรือเดินทาง

    ในขณะเดียวกัน Netflix ยังเริ่มทดลอง “พอดแคสต์” ซึ่งเป็นทั้งเสียงจากรายการที่มีอยู่แล้ว และเนื้อหาพิเศษที่ผลิตขึ้นใหม่โดยเฉพาะ เช่น เบื้องหลังซีรีส์, บทสัมภาษณ์นักแสดง หรือการเล่าเรื่องในรูปแบบเสียงล้วน

    การทดลองนี้ยังอยู่ในวงจำกัด โดยเปิดให้ผู้ใช้บางกลุ่มในบางประเทศได้ลองใช้ก่อน หากผลตอบรับดี Netflix อาจเปิดให้ใช้งานทั่วโลกในอนาคต

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก
    วิดีโอแนวตั้งกลายเป็นเทรนด์หลักของคอนเทนต์มือถือ โดย TikTok มีผู้ใช้งานกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน
    พอดแคสต์เป็นตลาดที่เติบโตเร็ว โดย Spotify และ Apple Podcasts ครองส่วนแบ่งหลัก
    การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ Netflix สร้าง “ecosystem” ความบันเทิงที่ครอบคลุมทั้งภาพ เสียง และเกม

    Netflix กำลังพิสูจน์ว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิงไม่จำเป็นต้องจำกัดแค่ “การดู” อีกต่อไป — แต่สามารถเป็นเพื่อนร่วมทางของคุณได้ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งภาพและเสียง!

    Netflix ทดลองวิดีโอแนวตั้ง
    คลิปสั้นแบบเต็มจอในแนวตั้ง
    คล้าย TikTok, Reels, Shorts
    เหมาะกับการดูบนมือถือระหว่างเดินทาง

    ทดลองฟีเจอร์พอดแคสต์
    มีทั้งเสียงจากรายการเดิมและเนื้อหาใหม่
    เช่น เบื้องหลังซีรีส์, สัมภาษณ์, เรื่องเล่า
    ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ชอบฟังระหว่างทำกิจกรรม

    กลยุทธ์ของ Netflix
    ขยายรูปแบบความบันเทิงให้หลากหลาย
    เจาะกลุ่มผู้ใช้มือถือที่ชอบคอนเทนต์สั้น
    แข่งขันกับแพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Spotify

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ฟีเจอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง ใช้ได้เฉพาะบางประเทศ
    อาจยังไม่รองรับทุกอุปกรณ์หรือบัญชีผู้ใช้
    ความหลากหลายของคอนเทนต์อาจยังจำกัดในช่วงแรก

    https://securityonline.info/netflix-experiments-with-vertical-video-and-podcasts-redefining-mobile-entertainment/
    📱 Netflix ปรับเกม! ทดลองวิดีโอแนวตั้งและพอดแคสต์ หวังครองใจผู้ใช้มือถือ Netflix กำลังทดลองฟอร์แมตใหม่อย่างวิดีโอแนวตั้งและพอดแคสต์ เพื่อขยายประสบการณ์ความบันเทิงบนมือถือ หวังเจาะกลุ่มผู้ใช้ที่ชอบดูคอนเทนต์สั้นและฟังเสียงระหว่างเดินทาง Netflix ไม่หยุดแค่ซีรีส์หรือหนังอีกต่อไป ล่าสุดบริษัทกำลังทดลอง “วิดีโอแนวตั้ง” และ “พอดแคสต์” บนแอปมือถือ เพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้ยุคใหม่ที่นิยมคอนเทนต์สั้น ดูง่าย ฟังสะดวก และเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา วิดีโอแนวตั้งที่ Netflix กำลังทดลองมีลักษณะคล้ายกับ TikTok หรือ Instagram Reels โดยเน้นคลิปสั้นที่ดูได้ในแนวตั้งเต็มจอ ไม่ต้องหมุนมือถือ จุดประสงค์คือเพื่อให้ผู้ใช้สามารถ “เสพความบันเทิงแบบเร็วๆ” ระหว่างพักเบรกหรือเดินทาง ในขณะเดียวกัน Netflix ยังเริ่มทดลอง “พอดแคสต์” ซึ่งเป็นทั้งเสียงจากรายการที่มีอยู่แล้ว และเนื้อหาพิเศษที่ผลิตขึ้นใหม่โดยเฉพาะ เช่น เบื้องหลังซีรีส์, บทสัมภาษณ์นักแสดง หรือการเล่าเรื่องในรูปแบบเสียงล้วน การทดลองนี้ยังอยู่ในวงจำกัด โดยเปิดให้ผู้ใช้บางกลุ่มในบางประเทศได้ลองใช้ก่อน หากผลตอบรับดี Netflix อาจเปิดให้ใช้งานทั่วโลกในอนาคต 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก 💠 วิดีโอแนวตั้งกลายเป็นเทรนด์หลักของคอนเทนต์มือถือ โดย TikTok มีผู้ใช้งานกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน 💠 พอดแคสต์เป็นตลาดที่เติบโตเร็ว โดย Spotify และ Apple Podcasts ครองส่วนแบ่งหลัก 💠 การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ Netflix สร้าง “ecosystem” ความบันเทิงที่ครอบคลุมทั้งภาพ เสียง และเกม Netflix กำลังพิสูจน์ว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิงไม่จำเป็นต้องจำกัดแค่ “การดู” อีกต่อไป — แต่สามารถเป็นเพื่อนร่วมทางของคุณได้ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งภาพและเสียง! ✅ Netflix ทดลองวิดีโอแนวตั้ง ➡️ คลิปสั้นแบบเต็มจอในแนวตั้ง ➡️ คล้าย TikTok, Reels, Shorts ➡️ เหมาะกับการดูบนมือถือระหว่างเดินทาง ✅ ทดลองฟีเจอร์พอดแคสต์ ➡️ มีทั้งเสียงจากรายการเดิมและเนื้อหาใหม่ ➡️ เช่น เบื้องหลังซีรีส์, สัมภาษณ์, เรื่องเล่า ➡️ ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ชอบฟังระหว่างทำกิจกรรม ✅ กลยุทธ์ของ Netflix ➡️ ขยายรูปแบบความบันเทิงให้หลากหลาย ➡️ เจาะกลุ่มผู้ใช้มือถือที่ชอบคอนเทนต์สั้น ➡️ แข่งขันกับแพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Spotify ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ฟีเจอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง ใช้ได้เฉพาะบางประเทศ ⛔ อาจยังไม่รองรับทุกอุปกรณ์หรือบัญชีผู้ใช้ ⛔ ความหลากหลายของคอนเทนต์อาจยังจำกัดในช่วงแรก https://securityonline.info/netflix-experiments-with-vertical-video-and-podcasts-redefining-mobile-entertainment/
    SECURITYONLINE.INFO
    Netflix Experiments with Vertical Video and Podcasts, Redefining Mobile Entertainment
    Netflix explores vertical video and podcast integration, signaling a new era of mobile entertainment without mimicking TikTok’s model.
    0 Comments 0 Shares 72 Views 0 Reviews
  • Samsung Internet บุก Windows! พร้อมวิสัยทัศน์ “Ambient AI” ที่จะเปลี่ยนประสบการณ์ท่องเว็บ

    Samsung เปิดตัวเบราว์เซอร์ “Samsung Internet” สำหรับ Windows อย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ซิงก์ข้ามอุปกรณ์ และแนวคิดใหม่ “Ambient AI” ที่จะทำให้เบราว์เซอร์กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในชีวิตประจำวัน

    Samsung เคยทดลองปล่อยเบราว์เซอร์ของตัวเองบน Microsoft Store ในปี 2024 แต่ก็ถอดออกไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 บริษัทกลับมาอีกครั้งด้วยการเปิดตัว “Samsung Internet” สำหรับ Windows 10 และ 11 อย่างเป็นทางการ

    สิ่งที่น่าสนใจคือเบราว์เซอร์นี้ไม่ได้มาแค่เพื่อให้ใช้งานเว็บทั่วไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ใหญ่ที่ Samsung เรียกว่า “Ambient AI” — ระบบอัจฉริยะที่สามารถเข้าใจบริบทและคาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้ได้ล่วงหน้า

    เบราว์เซอร์นี้รองรับการซิงก์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ เช่น บุ๊กมาร์ก ประวัติการท่องเว็บ และข้อมูลการกรอกฟอร์มอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นจากมือถือแล้วมาต่อบนคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร้รอยต่อ

    Samsung ยังเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย โดยมีฟีเจอร์บล็อกตัวติดตาม (tracker blocking), แดชบอร์ดความเป็นส่วนตัว และเครื่องมือป้องกันอื่นๆ ติดตั้งมาให้ตั้งแต่แรก

    การเปิดตัวครั้งนี้ยังเป็นการประกาศศักดาในสนามแข่งขันเบราว์เซอร์ AI ที่กำลังร้อนแรง โดยมีคู่แข่งอย่าง ChatGPT Atlas จาก OpenAI, Microsoft Edge ที่มี Copilot และ Comet จาก Perplexity

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก
    Ambient AI คือแนวคิดที่อุปกรณ์และซอฟต์แวร์สามารถ “เข้าใจบริบท” และ “ตอบสนองอัตโนมัติ” โดยไม่ต้องสั่งงานโดยตรง
    Samsung Internet มีฐานผู้ใช้บนมือถือ Android หลายร้อยล้านคน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ Galaxy
    การขยายสู่ Windows อาจเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง ecosystem ที่แข่งขันกับ Apple และ Google ได้ในระยะยาว

    Samsung Internet เปิดตัวบน Windows
    รองรับ Windows 10 (เวอร์ชัน 1809 ขึ้นไป) และ Windows 11
    เปิดให้ทดลองใช้งานผ่านโปรแกรมเบต้า

    ฟีเจอร์เด่นของเบราว์เซอร์
    ซิงก์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ เช่น บุ๊กมาร์กและประวัติการใช้งาน
    บล็อกตัวติดตามและมีแดชบอร์ดความเป็นส่วนตัว
    รองรับการกรอกฟอร์มอัตโนมัติ

    วิสัยทัศน์ Ambient AI
    เปลี่ยนเบราว์เซอร์จากเครื่องมือรับคำสั่ง เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ
    คาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้และให้ข้อมูลเชิงบริบท
    เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Galaxy AI ที่ขยายจากมือถือสู่เดสก์ท็อป

    การแข่งขันในตลาดเบราว์เซอร์ AI
    คู่แข่งหลัก ได้แก่ ChatGPT Atlas, Microsoft Edge Copilot, Perplexity Comet
    Samsung ต้องการสร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์ของตัวเองให้แข็งแกร่ง

    ข้อควรระวัง
    ยังอยู่ในช่วงเบต้า อาจมีบั๊กหรือฟีเจอร์ไม่สมบูรณ์
    ผู้ใช้ต้องสมัครเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบก่อนใช้งาน
    ความสามารถด้าน AI ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา อาจยังไม่ตอบโจทย์ทุกสถานการณ์

    https://securityonline.info/samsung-internet-arrives-on-windows-pushing-forward-ambient-ai-vision/
    🌐 Samsung Internet บุก Windows! พร้อมวิสัยทัศน์ “Ambient AI” ที่จะเปลี่ยนประสบการณ์ท่องเว็บ Samsung เปิดตัวเบราว์เซอร์ “Samsung Internet” สำหรับ Windows อย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ซิงก์ข้ามอุปกรณ์ และแนวคิดใหม่ “Ambient AI” ที่จะทำให้เบราว์เซอร์กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในชีวิตประจำวัน Samsung เคยทดลองปล่อยเบราว์เซอร์ของตัวเองบน Microsoft Store ในปี 2024 แต่ก็ถอดออกไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 บริษัทกลับมาอีกครั้งด้วยการเปิดตัว “Samsung Internet” สำหรับ Windows 10 และ 11 อย่างเป็นทางการ สิ่งที่น่าสนใจคือเบราว์เซอร์นี้ไม่ได้มาแค่เพื่อให้ใช้งานเว็บทั่วไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ใหญ่ที่ Samsung เรียกว่า “Ambient AI” — ระบบอัจฉริยะที่สามารถเข้าใจบริบทและคาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้ได้ล่วงหน้า เบราว์เซอร์นี้รองรับการซิงก์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ เช่น บุ๊กมาร์ก ประวัติการท่องเว็บ และข้อมูลการกรอกฟอร์มอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นจากมือถือแล้วมาต่อบนคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร้รอยต่อ Samsung ยังเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย โดยมีฟีเจอร์บล็อกตัวติดตาม (tracker blocking), แดชบอร์ดความเป็นส่วนตัว และเครื่องมือป้องกันอื่นๆ ติดตั้งมาให้ตั้งแต่แรก การเปิดตัวครั้งนี้ยังเป็นการประกาศศักดาในสนามแข่งขันเบราว์เซอร์ AI ที่กำลังร้อนแรง โดยมีคู่แข่งอย่าง ChatGPT Atlas จาก OpenAI, Microsoft Edge ที่มี Copilot และ Comet จาก Perplexity 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก 💠 Ambient AI คือแนวคิดที่อุปกรณ์และซอฟต์แวร์สามารถ “เข้าใจบริบท” และ “ตอบสนองอัตโนมัติ” โดยไม่ต้องสั่งงานโดยตรง 💠 Samsung Internet มีฐานผู้ใช้บนมือถือ Android หลายร้อยล้านคน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ Galaxy 💠 การขยายสู่ Windows อาจเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง ecosystem ที่แข่งขันกับ Apple และ Google ได้ในระยะยาว ✅ Samsung Internet เปิดตัวบน Windows ➡️ รองรับ Windows 10 (เวอร์ชัน 1809 ขึ้นไป) และ Windows 11 ➡️ เปิดให้ทดลองใช้งานผ่านโปรแกรมเบต้า ✅ ฟีเจอร์เด่นของเบราว์เซอร์ ➡️ ซิงก์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ เช่น บุ๊กมาร์กและประวัติการใช้งาน ➡️ บล็อกตัวติดตามและมีแดชบอร์ดความเป็นส่วนตัว ➡️ รองรับการกรอกฟอร์มอัตโนมัติ ✅ วิสัยทัศน์ Ambient AI ➡️ เปลี่ยนเบราว์เซอร์จากเครื่องมือรับคำสั่ง เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ ➡️ คาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้และให้ข้อมูลเชิงบริบท ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Galaxy AI ที่ขยายจากมือถือสู่เดสก์ท็อป ✅ การแข่งขันในตลาดเบราว์เซอร์ AI ➡️ คู่แข่งหลัก ได้แก่ ChatGPT Atlas, Microsoft Edge Copilot, Perplexity Comet ➡️ Samsung ต้องการสร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์ของตัวเองให้แข็งแกร่ง ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ยังอยู่ในช่วงเบต้า อาจมีบั๊กหรือฟีเจอร์ไม่สมบูรณ์ ⛔ ผู้ใช้ต้องสมัครเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบก่อนใช้งาน ⛔ ความสามารถด้าน AI ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา อาจยังไม่ตอบโจทย์ทุกสถานการณ์ https://securityonline.info/samsung-internet-arrives-on-windows-pushing-forward-ambient-ai-vision/
    SECURITYONLINE.INFO
    Samsung Internet Arrives on Windows, Pushing Forward Ambient AI Vision
    Samsung launched the Samsung Internet browser beta for Windows 10/11, featuring cross-device sync and Galaxy AI capabilities to advance its ambient AI ecosystem vision.
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • ศาลสหรัฐฯ บังคับ Google เปิด Google Play ให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้แล้ว — แต่เฉพาะในอเมริกาเท่านั้น!

    Google ถูกศาลสหรัฐฯ สั่งให้เปิดทางให้แอปบน Google Play ใช้ระบบชำระเงินภายนอกได้ โดยนักพัฒนาสามารถหลีกเลี่ยงค่าคอมมิชชันของ Google และเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้ได้ — แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ยังเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว

    ก่อนหน้านี้ทั้ง Apple และ Google ต่างก็ไม่อนุญาตให้นักพัฒนาแอปใช้ระบบจ่ายเงินภายนอก เพราะต้องการเก็บค่าคอมมิชชันจากทุกธุรกรรมในแอป แต่เมื่อ Epic Games ฟ้องร้องทั้งสองบริษัทในข้อหาผูกขาด ศาลสหรัฐฯ จึงมีคำตัดสินให้ทั้งสองบริษัทต้องเปิดระบบมากขึ้น

    แม้ทั้ง Apple และ Google จะแพ้คดี แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่างกัน — Apple ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเพราะระบบปิดของ iOS แต่ Google ซึ่งใช้ระบบ Android ที่เปิดกว้างกว่า กลับต้องปรับนโยบายมากกว่า

    ผลลัพธ์คือ Google ต้องเปิดให้แอปใน Google Play สามารถใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้ในสหรัฐฯ นักพัฒนาจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าคอมมิชชันให้ Google อีกต่อไป และสามารถเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้ได้

    นอกจากนี้ Google ยังอนุญาตให้นักพัฒนาชี้ทางให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปจากแหล่งอื่นนอก Google Play ได้ด้วย แต่ทั้งหมดนี้มีผลเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น และจะมีผลถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2027 เท่านั้น เพราะ Google ยังอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คำตัดสิน

    แม้จะเปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้ แต่ Google ก็ยังมีแผนจะเรียกเก็บ “ค่าบริการเสริม” เช่น ค่าตรวจสอบตัวตนหรือค่าความปลอดภัย เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากค่าคอมมิชชัน

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก
    ค่าคอมมิชชันของ Google Play อยู่ที่ประมาณ 15–30% ต่อธุรกรรม
    Apple เคยถูกศาลสั่งให้อนุญาตลิงก์ไปยังระบบจ่ายเงินภายนอกเช่นกัน แต่ยังมีข้อจำกัดมาก
    การเปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกอาจส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคามากขึ้นในตลาดแอป

    นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกของแอปมือถือ — แต่จะยั่งยืนหรือไม่ ยังต้องจับตาดูผลของการอุทธรณ์จาก Google ต่อไป

    คำสั่งศาลสหรัฐฯ ต่อ Google
    บังคับให้ Google เปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกในแอป
    มีผลเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น
    มีผลจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2027

    ผลกระทบต่อนักพัฒนา
    ไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชันให้ Google
    สามารถเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้
    ชี้ทางให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปจากแหล่งอื่นได้

    ท่าทีของ Google
    ปรับนโยบายตามคำสั่งศาลแบบชั่วคราว
    อยู่ระหว่างการอุทธรณ์เพื่อยกเลิกคำสั่ง
    เตรียมเก็บค่าบริการเสริมแม้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอก

    https://securityonline.info/court-mandate-google-play-opens-to-external-payments-in-the-us/
    🏛️ ศาลสหรัฐฯ บังคับ Google เปิด Google Play ให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้แล้ว — แต่เฉพาะในอเมริกาเท่านั้น! Google ถูกศาลสหรัฐฯ สั่งให้เปิดทางให้แอปบน Google Play ใช้ระบบชำระเงินภายนอกได้ โดยนักพัฒนาสามารถหลีกเลี่ยงค่าคอมมิชชันของ Google และเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้ได้ — แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ยังเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว ก่อนหน้านี้ทั้ง Apple และ Google ต่างก็ไม่อนุญาตให้นักพัฒนาแอปใช้ระบบจ่ายเงินภายนอก เพราะต้องการเก็บค่าคอมมิชชันจากทุกธุรกรรมในแอป แต่เมื่อ Epic Games ฟ้องร้องทั้งสองบริษัทในข้อหาผูกขาด ศาลสหรัฐฯ จึงมีคำตัดสินให้ทั้งสองบริษัทต้องเปิดระบบมากขึ้น แม้ทั้ง Apple และ Google จะแพ้คดี แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่างกัน — Apple ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเพราะระบบปิดของ iOS แต่ Google ซึ่งใช้ระบบ Android ที่เปิดกว้างกว่า กลับต้องปรับนโยบายมากกว่า ผลลัพธ์คือ Google ต้องเปิดให้แอปใน Google Play สามารถใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้ในสหรัฐฯ นักพัฒนาจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าคอมมิชชันให้ Google อีกต่อไป และสามารถเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้ได้ นอกจากนี้ Google ยังอนุญาตให้นักพัฒนาชี้ทางให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปจากแหล่งอื่นนอก Google Play ได้ด้วย แต่ทั้งหมดนี้มีผลเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น และจะมีผลถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2027 เท่านั้น เพราะ Google ยังอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คำตัดสิน แม้จะเปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้ แต่ Google ก็ยังมีแผนจะเรียกเก็บ “ค่าบริการเสริม” เช่น ค่าตรวจสอบตัวตนหรือค่าความปลอดภัย เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากค่าคอมมิชชัน 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก 💠 ค่าคอมมิชชันของ Google Play อยู่ที่ประมาณ 15–30% ต่อธุรกรรม 💠 Apple เคยถูกศาลสั่งให้อนุญาตลิงก์ไปยังระบบจ่ายเงินภายนอกเช่นกัน แต่ยังมีข้อจำกัดมาก 💠 การเปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกอาจส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคามากขึ้นในตลาดแอป นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกของแอปมือถือ — แต่จะยั่งยืนหรือไม่ ยังต้องจับตาดูผลของการอุทธรณ์จาก Google ต่อไป ✅ คำสั่งศาลสหรัฐฯ ต่อ Google ➡️ บังคับให้ Google เปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกในแอป ➡️ มีผลเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น ➡️ มีผลจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2027 ✅ ผลกระทบต่อนักพัฒนา ➡️ ไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชันให้ Google ➡️ สามารถเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้ ➡️ ชี้ทางให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปจากแหล่งอื่นได้ ✅ ท่าทีของ Google ➡️ ปรับนโยบายตามคำสั่งศาลแบบชั่วคราว ➡️ อยู่ระหว่างการอุทธรณ์เพื่อยกเลิกคำสั่ง ➡️ เตรียมเก็บค่าบริการเสริมแม้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอก https://securityonline.info/court-mandate-google-play-opens-to-external-payments-in-the-us/
    SECURITYONLINE.INFO
    Court Mandate: Google Play Opens to External Payments in the US
    Google opened the US Play Store to external payment methods and alternative app downloads, a temporary measure following a US court mandate in the Epic Games antitrust case.
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • Sora บุกตลาดเอเชีย! แอปสร้างวิดีโอจาก OpenAI พร้อมฟีเจอร์ Cameo สุดฮิตและกฎความปลอดภัยใหม่

    OpenAI เปิดตัว Sora App ในเอเชียอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ Cameo ที่ให้ผู้ใช้ใส่ตัวเองลงในวิดีโอ AI และระบบความปลอดภัยหลายชั้นเพื่อป้องกันเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม

    Sora App คือแอปสร้างวิดีโอด้วย AI จาก OpenAI ที่เปิดตัวครั้งแรกในสหรัฐฯ และแคนาดาเมื่อเดือนกันยายน และตอนนี้ได้ขยายสู่เอเชีย โดยเริ่มที่ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีชุมชนครีเอเตอร์ที่แข็งแกร่ง

    ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอปได้ทันทีจาก Apple App Store โดยไม่ต้องใช้โค้ดเชิญ ฟีเจอร์เด่นของ Sora ได้แก่การสร้างวิดีโอจากข้อความ (text-to-video), การรีมิกซ์วิดีโอของผู้ใช้อื่น, ฟีดวิดีโอที่ปรับแต่งได้ และ Cameo — ฟีเจอร์ที่ให้ผู้ใช้บันทึกคลิปและเสียงของตัวเองเพื่อให้ AI สร้างวิดีโอที่มีใบหน้าและเสียงของผู้ใช้ในฉากต่างๆ

    OpenAI เน้นย้ำเรื่องความปลอดภัย โดยใช้ระบบกรองหลายชั้น เช่น การตรวจสอบเฟรมวิดีโอ, คำสั่งข้อความ และเสียง เพื่อป้องกันเนื้อหาลามก, ส่งเสริมการทำร้ายตัวเอง หรือเนื้อหาก่อการร้าย นอกจากนี้ยังมีระบบ watermark แบบ C2PA ที่ฝังในวิดีโอเพื่อระบุว่าเป็นเนื้อหา AI

    ฟีเจอร์ Cameo ยังให้ผู้ใช้ควบคุมสิทธิ์ของตัวเองได้เต็มที่ เช่น ถอนการอนุญาต หรือขอลบวิดีโอที่มีใบหน้าตนเอง แม้จะยังอยู่ในร่างต้นฉบับก็ตาม

    สำหรับผู้ใช้วัยรุ่น Sora มีการจำกัดเวลาการใช้งานรายวัน และเพิ่มการตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้ง พร้อมระบบควบคุมโดยผู้ปกครองผ่าน ChatGPT

    สรุปเนื้อหาสำคัญและคำเตือน

    Sora App เปิดตัวในเอเชีย
    เริ่มใช้งานในไต้หวัน ไทย และเวียดนาม
    ดาวน์โหลดได้ทันทีจาก Apple App Store โดยไม่ต้องใช้โค้ดเชิญ

    ฟีเจอร์เด่นของ Sora
    สร้างวิดีโอจากข้อความ (text-to-video)
    รีมิกซ์วิดีโอของผู้ใช้อื่น
    ฟีดวิดีโอที่ปรับแต่งได้
    Cameo: ใส่ใบหน้าและเสียงของผู้ใช้ลงในวิดีโอ AI

    ระบบความปลอดภัยของ Sora
    กรองเนื้อหาด้วยการตรวจสอบเฟรม, ข้อความ และเสียง
    ป้องกันเนื้อหาลามก, ส่งเสริมการทำร้ายตัวเอง และก่อการร้าย
    ใช้ watermark แบบ C2PA เพื่อระบุว่าเป็นวิดีโอจาก AI

    การควบคุมสิทธิ์ของผู้ใช้
    ผู้ใช้สามารถถอนการอนุญาต Cameo ได้ทุกเมื่อ
    ขอให้ลบวิดีโอที่มีใบหน้าตนเองได้ แม้ยังไม่เผยแพร่

    การป้องกันสำหรับผู้ใช้วัยรุ่น
    จำกัดเวลาการใช้งานรายวัน
    เพิ่มการตรวจสอบจากมนุษย์
    ผู้ปกครองสามารถควบคุมผ่าน ChatGPT

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
    เทคโนโลยี C2PA (Coalition for Content Provenance and Authenticity) เป็นมาตรฐานใหม่ที่ใช้ระบุแหล่งที่มาของเนื้อหาดิจิทัล
    ฟีเจอร์ Cameo คล้ายกับเทคโนโลยี deepfake แต่มีการควบคุมสิทธิ์และความปลอดภัยมากกว่า
    การเปิดตัวในเอเชียสะท้อนถึงการเติบโตของตลาดครีเอเตอร์ในภูมิภาคนี้อย่างชัดเจน

    https://securityonline.info/openai-launches-sora-app-in-asia-featuring-viral-cameos-and-new-safety-rules/
    📹 Sora บุกตลาดเอเชีย! แอปสร้างวิดีโอจาก OpenAI พร้อมฟีเจอร์ Cameo สุดฮิตและกฎความปลอดภัยใหม่ OpenAI เปิดตัว Sora App ในเอเชียอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ Cameo ที่ให้ผู้ใช้ใส่ตัวเองลงในวิดีโอ AI และระบบความปลอดภัยหลายชั้นเพื่อป้องกันเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม Sora App คือแอปสร้างวิดีโอด้วย AI จาก OpenAI ที่เปิดตัวครั้งแรกในสหรัฐฯ และแคนาดาเมื่อเดือนกันยายน และตอนนี้ได้ขยายสู่เอเชีย โดยเริ่มที่ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีชุมชนครีเอเตอร์ที่แข็งแกร่ง ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอปได้ทันทีจาก Apple App Store โดยไม่ต้องใช้โค้ดเชิญ ฟีเจอร์เด่นของ Sora ได้แก่การสร้างวิดีโอจากข้อความ (text-to-video), การรีมิกซ์วิดีโอของผู้ใช้อื่น, ฟีดวิดีโอที่ปรับแต่งได้ และ Cameo — ฟีเจอร์ที่ให้ผู้ใช้บันทึกคลิปและเสียงของตัวเองเพื่อให้ AI สร้างวิดีโอที่มีใบหน้าและเสียงของผู้ใช้ในฉากต่างๆ OpenAI เน้นย้ำเรื่องความปลอดภัย โดยใช้ระบบกรองหลายชั้น เช่น การตรวจสอบเฟรมวิดีโอ, คำสั่งข้อความ และเสียง เพื่อป้องกันเนื้อหาลามก, ส่งเสริมการทำร้ายตัวเอง หรือเนื้อหาก่อการร้าย นอกจากนี้ยังมีระบบ watermark แบบ C2PA ที่ฝังในวิดีโอเพื่อระบุว่าเป็นเนื้อหา AI ฟีเจอร์ Cameo ยังให้ผู้ใช้ควบคุมสิทธิ์ของตัวเองได้เต็มที่ เช่น ถอนการอนุญาต หรือขอลบวิดีโอที่มีใบหน้าตนเอง แม้จะยังอยู่ในร่างต้นฉบับก็ตาม สำหรับผู้ใช้วัยรุ่น Sora มีการจำกัดเวลาการใช้งานรายวัน และเพิ่มการตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้ง พร้อมระบบควบคุมโดยผู้ปกครองผ่าน ChatGPT 📌 สรุปเนื้อหาสำคัญและคำเตือน ✅ Sora App เปิดตัวในเอเชีย ➡️ เริ่มใช้งานในไต้หวัน ไทย และเวียดนาม ➡️ ดาวน์โหลดได้ทันทีจาก Apple App Store โดยไม่ต้องใช้โค้ดเชิญ ✅ ฟีเจอร์เด่นของ Sora ➡️ สร้างวิดีโอจากข้อความ (text-to-video) ➡️ รีมิกซ์วิดีโอของผู้ใช้อื่น ➡️ ฟีดวิดีโอที่ปรับแต่งได้ ➡️ Cameo: ใส่ใบหน้าและเสียงของผู้ใช้ลงในวิดีโอ AI ✅ ระบบความปลอดภัยของ Sora ➡️ กรองเนื้อหาด้วยการตรวจสอบเฟรม, ข้อความ และเสียง ➡️ ป้องกันเนื้อหาลามก, ส่งเสริมการทำร้ายตัวเอง และก่อการร้าย ➡️ ใช้ watermark แบบ C2PA เพื่อระบุว่าเป็นวิดีโอจาก AI ✅ การควบคุมสิทธิ์ของผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้สามารถถอนการอนุญาต Cameo ได้ทุกเมื่อ ➡️ ขอให้ลบวิดีโอที่มีใบหน้าตนเองได้ แม้ยังไม่เผยแพร่ ✅ การป้องกันสำหรับผู้ใช้วัยรุ่น ➡️ จำกัดเวลาการใช้งานรายวัน ➡️ เพิ่มการตรวจสอบจากมนุษย์ ➡️ ผู้ปกครองสามารถควบคุมผ่าน ChatGPT 🌐 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม 💠 เทคโนโลยี C2PA (Coalition for Content Provenance and Authenticity) เป็นมาตรฐานใหม่ที่ใช้ระบุแหล่งที่มาของเนื้อหาดิจิทัล 💠 ฟีเจอร์ Cameo คล้ายกับเทคโนโลยี deepfake แต่มีการควบคุมสิทธิ์และความปลอดภัยมากกว่า 💠 การเปิดตัวในเอเชียสะท้อนถึงการเติบโตของตลาดครีเอเตอร์ในภูมิภาคนี้อย่างชัดเจน https://securityonline.info/openai-launches-sora-app-in-asia-featuring-viral-cameos-and-new-safety-rules/
    SECURITYONLINE.INFO
    OpenAI Launches Sora App in Asia, Featuring Viral ‘Cameos’ and New Safety Rules
    OpenAI expanded the Sora App to Asia, featuring the popular 'Cameos' tool and strict copyright safeguards after calls from the Japanese government.
    0 Comments 0 Shares 75 Views 0 Reviews
  • “เสียงหวีดกลางฟ้า” – ปัญหาที่ซ่อนอยู่ของ AirPods Pro 3

    AirPods Pro 3 ได้รับคำชมมากมายเรื่องคุณภาพเสียง การตัดเสียงรบกวน และฟีเจอร์สุขภาพใหม่อย่างการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ แต่เมื่อผู้ใช้ทดสอบใช้งานจริงบนเครื่องบินที่ระดับความสูง 39,000 ฟุต กลับพบปัญหาเสียงหวีดแหลมจากหูฟังข้างซ้ายที่ดังจนเจ็บหู

    ต้นเหตุของปัญหานี้คือการที่ซีลของหูฟังหลุดเล็กน้อย ทำให้ระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) เกิดการวนลูปของเสียงและสร้างเสียงหวีดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้เผลอแตะไมโครโฟนภายนอกของ AirPods

    แม้จะเปลี่ยนขนาดจุกหูฟังจาก M เป็น XS ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ถาวร และเมื่อบินอีกครั้ง เสียงหวีดก็กลับมาอีกครั้งในช่วงไต่ระดับและลดระดับของเครื่องบิน

    ผู้ใช้หลายคนใน Reddit ก็รายงานปัญหาเดียวกัน โดยเฉพาะกับหูฟังข้างซ้าย และพบว่าเสียงจะลดลงเมื่อเปิดโหมด Transparency หรือ Adaptive แต่จะกลับมาเมื่อใช้ ANC แบบเต็ม

    Apple ยังไม่ออกแถลงการณ์หรือเรียกคืนสินค้า และแม้จะเปลี่ยนหูฟังใหม่จากศูนย์บริการ ปัญหาก็ยังคงอยู่

    จุดเด่นของ AirPods Pro 3
    ระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ดีขึ้นจากรุ่นก่อน
    เพิ่มฟีเจอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
    คุณภาพเสียงและแบตเตอรี่ยอดเยี่ยม
    ขนาดจุกหูฟังมีให้เลือกตั้งแต่ XXS ถึง L

    ปัญหาที่พบในการใช้งานบนเครื่องบิน
    เสียงหวีดแหลมจากหูฟังข้างซ้ายเมื่อซีลหลุด
    เกิด feedback loop จากระบบ ANC
    ปัญหาเกิดเฉพาะบนเครื่องบิน ไม่พบในการใช้งานทั่วไป
    การเปลี่ยนขนาดจุกหูฟังช่วยได้บางส่วน แต่ไม่ถาวร

    https://basicappleguy.com/basicappleblog/the-airpods-pro-3-flight-problem
    ✈️🎧 “เสียงหวีดกลางฟ้า” – ปัญหาที่ซ่อนอยู่ของ AirPods Pro 3 AirPods Pro 3 ได้รับคำชมมากมายเรื่องคุณภาพเสียง การตัดเสียงรบกวน และฟีเจอร์สุขภาพใหม่อย่างการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ แต่เมื่อผู้ใช้ทดสอบใช้งานจริงบนเครื่องบินที่ระดับความสูง 39,000 ฟุต กลับพบปัญหาเสียงหวีดแหลมจากหูฟังข้างซ้ายที่ดังจนเจ็บหู ต้นเหตุของปัญหานี้คือการที่ซีลของหูฟังหลุดเล็กน้อย ทำให้ระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) เกิดการวนลูปของเสียงและสร้างเสียงหวีดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้เผลอแตะไมโครโฟนภายนอกของ AirPods แม้จะเปลี่ยนขนาดจุกหูฟังจาก M เป็น XS ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ถาวร และเมื่อบินอีกครั้ง เสียงหวีดก็กลับมาอีกครั้งในช่วงไต่ระดับและลดระดับของเครื่องบิน ผู้ใช้หลายคนใน Reddit ก็รายงานปัญหาเดียวกัน โดยเฉพาะกับหูฟังข้างซ้าย และพบว่าเสียงจะลดลงเมื่อเปิดโหมด Transparency หรือ Adaptive แต่จะกลับมาเมื่อใช้ ANC แบบเต็ม Apple ยังไม่ออกแถลงการณ์หรือเรียกคืนสินค้า และแม้จะเปลี่ยนหูฟังใหม่จากศูนย์บริการ ปัญหาก็ยังคงอยู่ ✅ จุดเด่นของ AirPods Pro 3 ➡️ ระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ดีขึ้นจากรุ่นก่อน ➡️ เพิ่มฟีเจอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ➡️ คุณภาพเสียงและแบตเตอรี่ยอดเยี่ยม ➡️ ขนาดจุกหูฟังมีให้เลือกตั้งแต่ XXS ถึง L ✅ ปัญหาที่พบในการใช้งานบนเครื่องบิน ➡️ เสียงหวีดแหลมจากหูฟังข้างซ้ายเมื่อซีลหลุด ➡️ เกิด feedback loop จากระบบ ANC ➡️ ปัญหาเกิดเฉพาะบนเครื่องบิน ไม่พบในการใช้งานทั่วไป ➡️ การเปลี่ยนขนาดจุกหูฟังช่วยได้บางส่วน แต่ไม่ถาวร https://basicappleguy.com/basicappleblog/the-airpods-pro-3-flight-problem
    BASICAPPLEGUY.COM
    The AirPods Pro 3 Flight Problem — Basic Apple Guy
    Testing Apple’s latest noise-cancelling earbuds at 39,000 feet reveals a potential flaw most users won’t notice, until they fly.
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • ติดตั้ง Smart TV ใหม่ต้องมี! 5 แอปฟรีที่ช่วยปลดล็อกความสามารถของทีวีให้คุ้มค่าสุดๆ

    บทความจาก SlashGear แนะนำ 5 แอปฟรีที่ควรติดตั้งทันทีเมื่อซื้อ Smart TV ใหม่ เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งานให้หลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ไฟล์ ดูวิดีโอ เล่นอินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Apple — โดยทั้งหมดนี้สามารถติดตั้งได้ผ่าน Google Play Store สำหรับ Android TV หรือ Google TV

    แอปแนะนำสำหรับ Smart TV ใหม่
    LocalSend – แชร์ไฟล์ข้ามอุปกรณ์แบบไร้สาย
    ส่งภาพยนตร์, รูปภาพ, หรือไฟล์งานจากมือถือไปยังทีวีผ่าน Wi-Fi
    รองรับหลายแพลตฟอร์ม ใช้งานง่าย และ UI เป็นมิตร
    ไม่รองรับ Tizen OS, Roku OS หรือ WebOS

    NOVA Video Player – เล่นวิดีโอทุกประเภทได้ลื่นไหล
    ทางเลือกที่ดีกว่า VLC สำหรับ Smart TV โดยเฉพาะ
    โหลดไฟล์จาก SSD ได้เร็วกว่า VLC และไม่กระตุก
    มี Night Mode และ Audio Boost เพิ่มความสะดวกในการรับชม

    Browser – ท่องเว็บบนทีวีได้สะดวกขึ้น
    มี ad blocker, cookie blocker และ redirect blocker ในตัว
    รองรับการควบคุมผ่านรีโมท พร้อมโหมดมืดและ incognito
    มีแอปควบคุมเฉพาะที่สแกนผ่าน QR code ได้

    File Manager+ – จัดการไฟล์ในทีวีอย่างมืออาชีพ
    เหมาะสำหรับคนที่ sideload แอปหรือมีไฟล์จำนวนมาก
    รองรับการเปิด, คัดลอก, ลบ, บีบอัด และเชื่อมต่อ cloud storage
    มี video player ในตัว และ UI เรียบง่าย

    AirScreen – แชร์หน้าจอจาก iPhone/Mac ไปยังทีวี
    รองรับ AirPlay, Google Cast, Miracast และ DLNA
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ Apple ที่ทีวีไม่รองรับ AirPlay โดยตรง
    ใช้งานง่าย ภาพลื่น ไม่มีสะดุด

    https://www.slashgear.com/2009507/free-apps-you-should-install-on-new-smart-tv/
    📺 ติดตั้ง Smart TV ใหม่ต้องมี! 5 แอปฟรีที่ช่วยปลดล็อกความสามารถของทีวีให้คุ้มค่าสุดๆ บทความจาก SlashGear แนะนำ 5 แอปฟรีที่ควรติดตั้งทันทีเมื่อซื้อ Smart TV ใหม่ เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งานให้หลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ไฟล์ ดูวิดีโอ เล่นอินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Apple — โดยทั้งหมดนี้สามารถติดตั้งได้ผ่าน Google Play Store สำหรับ Android TV หรือ Google TV 🍎 แอปแนะนำสำหรับ Smart TV ใหม่ ✅ LocalSend – แชร์ไฟล์ข้ามอุปกรณ์แบบไร้สาย ➡️ ส่งภาพยนตร์, รูปภาพ, หรือไฟล์งานจากมือถือไปยังทีวีผ่าน Wi-Fi ➡️ รองรับหลายแพลตฟอร์ม ใช้งานง่าย และ UI เป็นมิตร ➡️ ไม่รองรับ Tizen OS, Roku OS หรือ WebOS ✅ NOVA Video Player – เล่นวิดีโอทุกประเภทได้ลื่นไหล ➡️ ทางเลือกที่ดีกว่า VLC สำหรับ Smart TV โดยเฉพาะ ➡️ โหลดไฟล์จาก SSD ได้เร็วกว่า VLC และไม่กระตุก ➡️ มี Night Mode และ Audio Boost เพิ่มความสะดวกในการรับชม ✅ Browser – ท่องเว็บบนทีวีได้สะดวกขึ้น ➡️ มี ad blocker, cookie blocker และ redirect blocker ในตัว ➡️ รองรับการควบคุมผ่านรีโมท พร้อมโหมดมืดและ incognito ➡️ มีแอปควบคุมเฉพาะที่สแกนผ่าน QR code ได้ ✅ File Manager+ – จัดการไฟล์ในทีวีอย่างมืออาชีพ ➡️ เหมาะสำหรับคนที่ sideload แอปหรือมีไฟล์จำนวนมาก ➡️ รองรับการเปิด, คัดลอก, ลบ, บีบอัด และเชื่อมต่อ cloud storage ➡️ มี video player ในตัว และ UI เรียบง่าย ✅ AirScreen – แชร์หน้าจอจาก iPhone/Mac ไปยังทีวี ➡️ รองรับ AirPlay, Google Cast, Miracast และ DLNA ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ Apple ที่ทีวีไม่รองรับ AirPlay โดยตรง ➡️ ใช้งานง่าย ภาพลื่น ไม่มีสะดุด https://www.slashgear.com/2009507/free-apps-you-should-install-on-new-smart-tv/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Free Apps You Should Install ASAP On A New Smart TV - SlashGear
    Long gone are the days of the UHF antenna and even the cable plug-in. Smart TVs bring the content directly and on demand thanks to a variety of apps.
    0 Comments 0 Shares 145 Views 0 Reviews
  • Sideloading บน Android: เสรีภาพหรือช่องโหว่? F-Droid ชวนคิดใหม่เรื่องการติดตั้งแอปนอกระบบ

    บทความจาก F-Droid ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ sideloading — การติดตั้งแอป Android จากแหล่งนอก Play Store — ว่าเป็นทั้งเครื่องมือแห่งเสรีภาพและจุดอ่อนด้านความปลอดภัยที่กำลังถูกจับตามอง โดยเฉพาะในยุคที่รัฐบาลและบริษัทเทคโนโลยีเริ่มควบคุมการเข้าถึงแอปมากขึ้น

    ประเด็นสำคัญจากบทความของ F-Droid
    Sideloading คือเสรีภาพในการเลือกใช้แอป
    ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปที่ไม่ผ่านการตรวจสอบจาก Google ได้ เช่น แอปโอเพ่นซอร์ส, แอปที่ถูกแบน, หรือแอปทดลอง
    เป็นช่องทางสำคัญสำหรับนักพัฒนาอิสระและชุมชนโอเพ่นซอร์ส

    F-Droid คือแพลตฟอร์มที่สนับสนุน sideloading อย่างปลอดภัย
    แอปทั้งหมดใน F-Droid ผ่านการ build จาก source และตรวจสอบความปลอดภัย
    ไม่มีโฆษณา, ไม่มี tracking, และไม่มีการฝังโค้ดลับ

    การควบคุม sideloading อาจกระทบเสรีภาพดิจิทัล
    บางประเทศเริ่มจำกัดการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก เช่น อินเดีย, จีน
    Apple ยังไม่อนุญาต sideloading บน iOS แม้จะถูกกดดันจาก EU

    Android 15 เริ่มเพิ่มข้อจำกัดในการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก
    ต้องเปิดสิทธิ์เฉพาะแอปที่ใช้ติดตั้ง เช่น File Manager หรือ Browser
    มีการแจ้งเตือนมากขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงของ sideloading

    F-Droid เสนอแนวทางสร้างระบบ sideloading ที่ปลอดภัย
    ใช้ระบบตรวจสอบแบบ reproducible build
    สร้าง community trust ผ่านการเปิดเผย source และกระบวนการ build

    การติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยอาจเปิดช่องให้มัลแวร์เข้าสู่ระบบ
    แอปบางตัวอาจขอสิทธิ์เกินความจำเป็น เช่น SMS, Location, หรือ Accessibility
    ควรตรวจสอบ source และใช้แพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ เช่น F-Droid

    การเปลี่ยนแปลงใน Android รุ่นใหม่อาจทำให้ sideloading ยากขึ้น
    ผู้ใช้ต้องเข้าไปตั้งค่าหลายขั้นตอนเพื่อเปิดสิทธิ์
    อาจมีการบล็อกแอปบางประเภทโดยอัตโนมัติในอนาคต

    https://f-droid.org/2025/10/28/sideloading.html
    📲🔓 Sideloading บน Android: เสรีภาพหรือช่องโหว่? F-Droid ชวนคิดใหม่เรื่องการติดตั้งแอปนอกระบบ บทความจาก F-Droid ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ sideloading — การติดตั้งแอป Android จากแหล่งนอก Play Store — ว่าเป็นทั้งเครื่องมือแห่งเสรีภาพและจุดอ่อนด้านความปลอดภัยที่กำลังถูกจับตามอง โดยเฉพาะในยุคที่รัฐบาลและบริษัทเทคโนโลยีเริ่มควบคุมการเข้าถึงแอปมากขึ้น 📰 ประเด็นสำคัญจากบทความของ F-Droid ✅ Sideloading คือเสรีภาพในการเลือกใช้แอป ➡️ ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปที่ไม่ผ่านการตรวจสอบจาก Google ได้ เช่น แอปโอเพ่นซอร์ส, แอปที่ถูกแบน, หรือแอปทดลอง ➡️ เป็นช่องทางสำคัญสำหรับนักพัฒนาอิสระและชุมชนโอเพ่นซอร์ส ✅ F-Droid คือแพลตฟอร์มที่สนับสนุน sideloading อย่างปลอดภัย ➡️ แอปทั้งหมดใน F-Droid ผ่านการ build จาก source และตรวจสอบความปลอดภัย ➡️ ไม่มีโฆษณา, ไม่มี tracking, และไม่มีการฝังโค้ดลับ ✅ การควบคุม sideloading อาจกระทบเสรีภาพดิจิทัล ➡️ บางประเทศเริ่มจำกัดการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก เช่น อินเดีย, จีน ➡️ Apple ยังไม่อนุญาต sideloading บน iOS แม้จะถูกกดดันจาก EU ✅ Android 15 เริ่มเพิ่มข้อจำกัดในการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก ➡️ ต้องเปิดสิทธิ์เฉพาะแอปที่ใช้ติดตั้ง เช่น File Manager หรือ Browser ➡️ มีการแจ้งเตือนมากขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงของ sideloading ✅ F-Droid เสนอแนวทางสร้างระบบ sideloading ที่ปลอดภัย ➡️ ใช้ระบบตรวจสอบแบบ reproducible build ➡️ สร้าง community trust ผ่านการเปิดเผย source และกระบวนการ build ‼️ การติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยอาจเปิดช่องให้มัลแวร์เข้าสู่ระบบ ⛔ แอปบางตัวอาจขอสิทธิ์เกินความจำเป็น เช่น SMS, Location, หรือ Accessibility ⛔ ควรตรวจสอบ source และใช้แพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ เช่น F-Droid ‼️ การเปลี่ยนแปลงใน Android รุ่นใหม่อาจทำให้ sideloading ยากขึ้น ⛔ ผู้ใช้ต้องเข้าไปตั้งค่าหลายขั้นตอนเพื่อเปิดสิทธิ์ ⛔ อาจมีการบล็อกแอปบางประเภทโดยอัตโนมัติในอนาคต https://f-droid.org/2025/10/28/sideloading.html
    F-DROID.ORG
    What We Talk About When We Talk About Sideloading | F-Droid - Free and Open Source Android App Repository
    We recently published a blog post with our reaction to the new Google Developer Program and how it impacts your freedom to use the devices that you own in th...
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews
  • Apple เตรียมใช้เทคโนโลยีเก่าในการผลิตโมเด็ม 5G C2 สำหรับ iPhone 18 แม้มีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยี 2nm ก็ตาม

    Apple กำลังจะเปิดตัวโมเด็ม 5G รุ่นใหม่ชื่อว่า “C2” สำหรับ iPhone 18 ในปี 2026 โดยเลือกใช้กระบวนการผลิตแบบ 4nm ‘N4’ ของ TSMC แทนที่จะใช้เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง 2nm แม้จะมีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ก็ตาม

    จุดเด่นและเหตุผลเบื้องหลังการเลือกใช้เทคโนโลยีเก่า
    โมเด็ม C2 จะมาแทนที่ Qualcomm ใน iPhone 18 ทั้งซีรีส์ ซึ่งรวมถึงรุ่นพับได้ของ Apple
    แม้ Apple ได้สิทธิ์มากกว่า 50% ของการผลิต 2nm ของ TSMC แต่เลือกใช้ 4nm N4 สำหรับโมเด็ม C2
    นักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo ระบุว่า โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานมาก และการใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ
    C2 จะรองรับทั้ง mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1 และ C1X ที่ใช้ใน iPhone 16e

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Apple จะใช้โมเด็ม C2 ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm N4 ของ TSMC
    iPhone 18 จะเป็นรุ่นแรกที่ใช้โมเด็ม C2 แทน Qualcomm
    แม้มีสิทธิ์ใช้ 2nm แต่ Apple เลือกใช้เทคโนโลยีเก่าเพื่อประหยัดต้นทุนและความเหมาะสมทางเทคนิค
    C2 รองรับ mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1
    TSMC N4 มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 5% และความหนาแน่นทรานซิสเตอร์เพิ่มขึ้น 6% จาก N5

    เหตุผลที่ไม่ใช้เทคโนโลยีใหม่
    โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานสูง
    การใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ
    ผลตอบแทนจากการลงทุนในการพัฒนาโมเด็มไม่สูง

    https://wccftech.com/apple-c2-to-be-mass-produced-on-older-tsmc-process-says-report/
    📶🔧 Apple เตรียมใช้เทคโนโลยีเก่าในการผลิตโมเด็ม 5G C2 สำหรับ iPhone 18 แม้มีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยี 2nm ก็ตาม Apple กำลังจะเปิดตัวโมเด็ม 5G รุ่นใหม่ชื่อว่า “C2” สำหรับ iPhone 18 ในปี 2026 โดยเลือกใช้กระบวนการผลิตแบบ 4nm ‘N4’ ของ TSMC แทนที่จะใช้เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง 2nm แม้จะมีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ก็ตาม 📱 จุดเด่นและเหตุผลเบื้องหลังการเลือกใช้เทคโนโลยีเก่า 💠 โมเด็ม C2 จะมาแทนที่ Qualcomm ใน iPhone 18 ทั้งซีรีส์ ซึ่งรวมถึงรุ่นพับได้ของ Apple 💠 แม้ Apple ได้สิทธิ์มากกว่า 50% ของการผลิต 2nm ของ TSMC แต่เลือกใช้ 4nm N4 สำหรับโมเด็ม C2 💠 นักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo ระบุว่า โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานมาก และการใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ 💠 C2 จะรองรับทั้ง mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1 และ C1X ที่ใช้ใน iPhone 16e ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Apple จะใช้โมเด็ม C2 ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm N4 ของ TSMC ➡️ iPhone 18 จะเป็นรุ่นแรกที่ใช้โมเด็ม C2 แทน Qualcomm ➡️ แม้มีสิทธิ์ใช้ 2nm แต่ Apple เลือกใช้เทคโนโลยีเก่าเพื่อประหยัดต้นทุนและความเหมาะสมทางเทคนิค ➡️ C2 รองรับ mmWave และ sub-6GHz ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก C1 ➡️ TSMC N4 มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 5% และความหนาแน่นทรานซิสเตอร์เพิ่มขึ้น 6% จาก N5 ✅ เหตุผลที่ไม่ใช้เทคโนโลยีใหม่ ➡️ โมเด็มไม่ใช่ส่วนที่กินพลังงานสูง ➡️ การใช้เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้เพิ่มความเร็วอย่างมีนัยสำคัญ ➡️ ผลตอบแทนจากการลงทุนในการพัฒนาโมเด็มไม่สูง https://wccftech.com/apple-c2-to-be-mass-produced-on-older-tsmc-process-says-report/
    WCCFTECH.COM
    Apple’s Next In-House 5G Modem, The C2, Will Use An Older Manufacturing Process From TSMC Next Year, Unlike The A20 & A20 Pro
    The iPhone 18 series will use A20 and A20 Pro chipsets made on TSMC’s 2nm process, but the C2 5G modem will leverage an older technology
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews
  • Windows 10 ใกล้หมดอายุ ส่งผลให้ยอดขาย Mac พุ่งแรงทั่วโลก

    การสิ้นสุดการสนับสนุนของ Windows 10 ในเดือนตุลาคม 2025 กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากหันไปใช้ Mac แทนการอัปเกรดเป็น Windows 11 โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจและผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความมั่นคงและปลอดภัยมากขึ้น

    เหตุผลที่ Mac ขายดีขึ้นหลัง Windows 10 หมดอายุ

    จากรายงานของ Counterpoint Research พบว่า ยอดขาย Mac ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 14.9% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2025 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยหลักคือ:
    ความนิยมของ MacBook รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป Apple Silicon ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน
    การยอมรับในระดับองค์กร โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการระบบปลอดภัยแต่ไม่ซับซ้อน
    ความไม่แน่นอนของการอัปเกรดเป็น Windows 11 ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์

    Apple ยังเน้นจุดแข็งด้านความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสข้อมูลและการควบคุมความเป็นส่วนตัวในระดับระบบ ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญสำหรับองค์กรที่ไม่มีทีม IT ประจำ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Windows 10 หมดอายุในเดือนตุลาคม 2025 ทำให้ผู้ใช้ต้องหาทางเลือกใหม่
    Mac มียอดขายเพิ่มขึ้น 14.9% ในไตรมาสเดียวกัน
    ธุรกิจขนาดเล็กหันมาใช้ Mac เพราะระบบปลอดภัยและใช้งานง่าย
    Apple Silicon ช่วยให้ Mac มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน
    ผู้ใช้ iPhone มีแนวโน้มเลือก Mac เพื่อความต่อเนื่องในการทำงาน

    ปัจจัยที่ทำให้ผู้ใช้ลังเลอัปเกรด Windows
    Windows 11 ต้องการฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น TPM 2.0 และ UEFI Secure Boot
    ความไม่แน่นอนด้านความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์เก่า
    ค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดอุปกรณ์และระบบ

    https://www.techradar.com/computing/macbooks/never-mind-linux-windows-10s-end-of-life-is-driving-up-apple-mac-sales
    🍏💻 Windows 10 ใกล้หมดอายุ ส่งผลให้ยอดขาย Mac พุ่งแรงทั่วโลก การสิ้นสุดการสนับสนุนของ Windows 10 ในเดือนตุลาคม 2025 กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากหันไปใช้ Mac แทนการอัปเกรดเป็น Windows 11 โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจและผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความมั่นคงและปลอดภัยมากขึ้น 📈 เหตุผลที่ Mac ขายดีขึ้นหลัง Windows 10 หมดอายุ จากรายงานของ Counterpoint Research พบว่า ยอดขาย Mac ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 14.9% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2025 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยหลักคือ: 💠 ความนิยมของ MacBook รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป Apple Silicon ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน 💠 การยอมรับในระดับองค์กร โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการระบบปลอดภัยแต่ไม่ซับซ้อน 💠 ความไม่แน่นอนของการอัปเกรดเป็น Windows 11 ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์ Apple ยังเน้นจุดแข็งด้านความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสข้อมูลและการควบคุมความเป็นส่วนตัวในระดับระบบ ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญสำหรับองค์กรที่ไม่มีทีม IT ประจำ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Windows 10 หมดอายุในเดือนตุลาคม 2025 ทำให้ผู้ใช้ต้องหาทางเลือกใหม่ ➡️ Mac มียอดขายเพิ่มขึ้น 14.9% ในไตรมาสเดียวกัน ➡️ ธุรกิจขนาดเล็กหันมาใช้ Mac เพราะระบบปลอดภัยและใช้งานง่าย ➡️ Apple Silicon ช่วยให้ Mac มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน ➡️ ผู้ใช้ iPhone มีแนวโน้มเลือก Mac เพื่อความต่อเนื่องในการทำงาน ✅ ปัจจัยที่ทำให้ผู้ใช้ลังเลอัปเกรด Windows ➡️ Windows 11 ต้องการฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น TPM 2.0 และ UEFI Secure Boot ➡️ ความไม่แน่นอนด้านความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์เก่า ➡️ ค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดอุปกรณ์และระบบ https://www.techradar.com/computing/macbooks/never-mind-linux-windows-10s-end-of-life-is-driving-up-apple-mac-sales
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews
  • บทความนี้ตั้งคำถามถึงเสรีภาพของผู้ใช้ในการควบคุมเครื่องของตัวเองในยุคที่ซอฟต์แวร์ถูกล็อกและควบคุมมากขึ้น

    บทความจาก Hackaday ชื่อ “What Happened to Running What You Wanted on Your Own Machine?” วิจารณ์แนวโน้มที่ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ของตนเองได้อย่างแท้จริงอีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่ระบบปฏิบัติการและฮาร์ดแวร์ถูกออกแบบให้จำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้มากขึ้น เช่น การบังคับใช้ Secure Boot, การล็อก BIOS, และการควบคุมสิทธิ์ root

    ประเด็นหลักของบทความ

    การควบคุมของผู้ผลิต: ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รายใหญ่ เช่น Apple, Microsoft และผู้ผลิตชิปบางราย เริ่มออกแบบระบบให้ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้งหรือรันซอฟต์แวร์ที่ตนเองต้องการได้อย่างอิสระ เช่น การบังคับใช้ Secure Boot ที่ไม่สามารถปิดได้ หรือการจำกัดการเข้าถึง bootloader

    การลดเสรีภาพของผู้ใช้: แม้ผู้ใช้จะเป็นเจ้าของเครื่อง แต่กลับไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ เช่น ไม่สามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการทางเลือก หรือซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สได้โดยง่าย

    ผลกระทบต่อการศึกษาและนวัตกรรม: การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ทำให้ยากต่อการเรียนรู้ การทดลอง และการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในแวดวงนักพัฒนาและนักวิจัย

    การเรียกร้องให้คืนสิทธิ์: ผู้เขียนเรียกร้องให้ผู้ใช้ตระหนักถึงสิทธิ์ของตนเอง และสนับสนุนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เปิดให้ควบคุมได้อย่างแท้จริง เช่น โครงการโอเพ่นซอร์ส หรืออุปกรณ์ที่สามารถปลดล็อก bootloader ได้

    ข้อคิดจากบทความ

    คุณควรมีสิทธิ์เต็มที่ในการควบคุมเครื่องของคุณเอง
    การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ไม่ควรเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม
    การสนับสนุนโอเพ่นซอร์สและฮาร์ดแวร์ที่เปิดกว้างคือทางออก
    การศึกษาและนวัตกรรมต้องการพื้นที่ที่เปิดกว้าง ไม่ใช่ระบบที่ปิดตาย

    https://hackaday.com/2025/10/22/what-happened-to-running-what-you-wanted-on-your-own-machine/
    🖥️ บทความนี้ตั้งคำถามถึงเสรีภาพของผู้ใช้ในการควบคุมเครื่องของตัวเองในยุคที่ซอฟต์แวร์ถูกล็อกและควบคุมมากขึ้น บทความจาก Hackaday ชื่อ “What Happened to Running What You Wanted on Your Own Machine?” วิจารณ์แนวโน้มที่ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ของตนเองได้อย่างแท้จริงอีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่ระบบปฏิบัติการและฮาร์ดแวร์ถูกออกแบบให้จำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้มากขึ้น เช่น การบังคับใช้ Secure Boot, การล็อก BIOS, และการควบคุมสิทธิ์ root 🔍 ประเด็นหลักของบทความ ⚖️ การควบคุมของผู้ผลิต: ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รายใหญ่ เช่น Apple, Microsoft และผู้ผลิตชิปบางราย เริ่มออกแบบระบบให้ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้งหรือรันซอฟต์แวร์ที่ตนเองต้องการได้อย่างอิสระ เช่น การบังคับใช้ Secure Boot ที่ไม่สามารถปิดได้ หรือการจำกัดการเข้าถึง bootloader ⚖️ การลดเสรีภาพของผู้ใช้: แม้ผู้ใช้จะเป็นเจ้าของเครื่อง แต่กลับไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ เช่น ไม่สามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการทางเลือก หรือซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สได้โดยง่าย ⚖️ ผลกระทบต่อการศึกษาและนวัตกรรม: การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ทำให้ยากต่อการเรียนรู้ การทดลอง และการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในแวดวงนักพัฒนาและนักวิจัย ⚖️ การเรียกร้องให้คืนสิทธิ์: ผู้เขียนเรียกร้องให้ผู้ใช้ตระหนักถึงสิทธิ์ของตนเอง และสนับสนุนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เปิดให้ควบคุมได้อย่างแท้จริง เช่น โครงการโอเพ่นซอร์ส หรืออุปกรณ์ที่สามารถปลดล็อก bootloader ได้ 📌 ข้อคิดจากบทความ ✅ คุณควรมีสิทธิ์เต็มที่ในการควบคุมเครื่องของคุณเอง ✅ การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ไม่ควรเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม ✅ การสนับสนุนโอเพ่นซอร์สและฮาร์ดแวร์ที่เปิดกว้างคือทางออก ✅ การศึกษาและนวัตกรรมต้องการพื้นที่ที่เปิดกว้าง ไม่ใช่ระบบที่ปิดตาย https://hackaday.com/2025/10/22/what-happened-to-running-what-you-wanted-on-your-own-machine/
    HACKADAY.COM
    What Happened To Running What You Wanted On Your Own Machine?
    When the microcomputer first landed in homes some forty years ago, it came with a simple freedom—you could run whatever software you could get your hands on. Floppy disk from a friend? Pop it in. S…
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • iPad Pro รุ่นใหม่จะมาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber และชิป M6 เปิดตัวปี 2027

    Apple เตรียมเปิดตัว iPad Pro รุ่นถัดไปที่ใช้ชิป M6 พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber ซึ่งจะช่วยลดปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพตกเมื่อใช้งานหนัก เช่น การตัดต่อวิดีโอหรือเรนเดอร์ 3D โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2027

    Apple กำลังพัฒนา iPad Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M6 ซึ่งจะมาพร้อมเทคโนโลยีระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber (VC) ที่เคยใช้ใน iPhone 17 Pro โดยระบบนี้จะช่วยลดความร้อนสะสมและป้องกันการลดประสิทธิภาพเมื่อใช้งานหนัก

    การใช้ Vapor Chamber ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะ iPad Pro เริ่มถูกใช้ในงานระดับมืออาชีพมากขึ้น เช่น ตัดต่อวิดีโอ 4K, สร้างโมเดล 3D หรือทำงานกราฟิก ซึ่งต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพสูงอย่างต่อเนื่อง

    หากการใช้งาน VC ใน iPhone และ iPad Pro ได้ผลดี Apple อาจขยายไปยังอุปกรณ์อื่นที่ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive เช่น MacBook Air ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีพัดลม

    Apple ยังคงรักษารอบการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไว้ที่ประมาณ 18 เดือน ทำให้ iPad Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M6 และระบบ VC น่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2027

    iPad Pro รุ่นใหม่
    ใช้ชิป M6 ที่มีประสิทธิภาพสูง
    มาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber
    ลดปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพตก

    ประโยชน์ของ Vapor Chamber
    ป้องกัน thermal throttling เมื่อใช้งานหนัก
    เหมาะกับงานระดับมืออาชีพ เช่น ตัดต่อวิดีโอและเรนเดอร์ 3D
    เพิ่มความเสถียรในการทำงานต่อเนื่อง

    แนวโน้มการขยายเทคโนโลยี
    หากได้ผลดี อาจนำไปใช้กับ MacBook Air และอุปกรณ์อื่น
    รองรับการใช้งานที่ต้องการระบบ passive cooling

    กำหนดการเปิดตัว
    คาดว่าจะเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2027
    อยู่ในรอบการรีเฟรชผลิตภัณฑ์ทุก 18 เดือน

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ
    หากใช้งานหนักโดยไม่มีระบบระบายความร้อนที่ดี อาจทำให้เครื่องร้อนและช้าลง
    อุปกรณ์ที่ไม่มีพัดลมอาจไม่เหมาะกับงานที่ใช้ทรัพยากรสูงต่อเนื่อง

    https://securityonline.info/next-gen-power-ipad-pro-gets-vapor-chamber-cooling-for-m6-chip/
    📱 iPad Pro รุ่นใหม่จะมาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber และชิป M6 เปิดตัวปี 2027 Apple เตรียมเปิดตัว iPad Pro รุ่นถัดไปที่ใช้ชิป M6 พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber ซึ่งจะช่วยลดปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพตกเมื่อใช้งานหนัก เช่น การตัดต่อวิดีโอหรือเรนเดอร์ 3D โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2027 Apple กำลังพัฒนา iPad Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M6 ซึ่งจะมาพร้อมเทคโนโลยีระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber (VC) ที่เคยใช้ใน iPhone 17 Pro โดยระบบนี้จะช่วยลดความร้อนสะสมและป้องกันการลดประสิทธิภาพเมื่อใช้งานหนัก การใช้ Vapor Chamber ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะ iPad Pro เริ่มถูกใช้ในงานระดับมืออาชีพมากขึ้น เช่น ตัดต่อวิดีโอ 4K, สร้างโมเดล 3D หรือทำงานกราฟิก ซึ่งต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพสูงอย่างต่อเนื่อง หากการใช้งาน VC ใน iPhone และ iPad Pro ได้ผลดี Apple อาจขยายไปยังอุปกรณ์อื่นที่ใช้ระบบระบายความร้อนแบบ passive เช่น MacBook Air ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีพัดลม Apple ยังคงรักษารอบการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไว้ที่ประมาณ 18 เดือน ทำให้ iPad Pro รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป M6 และระบบ VC น่าจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2027 ✅ iPad Pro รุ่นใหม่ ➡️ ใช้ชิป M6 ที่มีประสิทธิภาพสูง ➡️ มาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber ➡️ ลดปัญหาเครื่องร้อนและประสิทธิภาพตก ✅ ประโยชน์ของ Vapor Chamber ➡️ ป้องกัน thermal throttling เมื่อใช้งานหนัก ➡️ เหมาะกับงานระดับมืออาชีพ เช่น ตัดต่อวิดีโอและเรนเดอร์ 3D ➡️ เพิ่มความเสถียรในการทำงานต่อเนื่อง ✅ แนวโน้มการขยายเทคโนโลยี ➡️ หากได้ผลดี อาจนำไปใช้กับ MacBook Air และอุปกรณ์อื่น ➡️ รองรับการใช้งานที่ต้องการระบบ passive cooling ✅ กำหนดการเปิดตัว ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2027 ➡️ อยู่ในรอบการรีเฟรชผลิตภัณฑ์ทุก 18 เดือน ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ ⛔ หากใช้งานหนักโดยไม่มีระบบระบายความร้อนที่ดี อาจทำให้เครื่องร้อนและช้าลง ⛔ อุปกรณ์ที่ไม่มีพัดลมอาจไม่เหมาะกับงานที่ใช้ทรัพยากรสูงต่อเนื่อง https://securityonline.info/next-gen-power-ipad-pro-gets-vapor-chamber-cooling-for-m6-chip/
    SECURITYONLINE.INFO
    Next-Gen Power: iPad Pro Gets Vapor Chamber Cooling for M6 Chip
    Apple plans to add vapor chamber cooling to the M6-powered iPad Pro (expected 2027) to prevent thermal throttling during intensive professional workloads.
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
More Results