• Sondhitalk EP289 : 16ปีที่รอดตาย สังคมไทยยังไม่รอดโกง (Full)
    - ความในใจ “สนธิ” สังคมไทยยังไม่หมดโกง
    - โกงซ้อนโกง ตึก สตง. ถล่ม
    - ยกแรก จีน ชนะขาด สหรัฐฯ
    - จีนปรับกลยุทธ์พึ่งพาตัวเอง
    - “ดอลลาร์” จะเป็น “แบงก์กงเต๊ก”

    #สนธิทอล์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #sondhiapp #thaitimes #ความจริงมีหนึ่งเดียว #ตึกสตง #ปลอมลายเซ็น #คอร์รัปชัน #โกงซ้อนโกง #สงครามการค้า #ภาษีทรัมป์ #ดอลล่าร์ #แบงก์กงเต๊ก #ความในใจสนธิ
    Sondhitalk EP289 : 16ปีที่รอดตาย สังคมไทยยังไม่รอดโกง (Full) - ความในใจ “สนธิ” สังคมไทยยังไม่หมดโกง - โกงซ้อนโกง ตึก สตง. ถล่ม - ยกแรก จีน ชนะขาด สหรัฐฯ - จีนปรับกลยุทธ์พึ่งพาตัวเอง - “ดอลลาร์” จะเป็น “แบงก์กงเต๊ก” #สนธิทอล์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #sondhiapp #thaitimes #ความจริงมีหนึ่งเดียว #ตึกสตง #ปลอมลายเซ็น #คอร์รัปชัน #โกงซ้อนโกง #สงครามการค้า #ภาษีทรัมป์ #ดอลล่าร์ #แบงก์กงเต๊ก #ความในใจสนธิ
    Like
    Sad
    3
    0 Comments 2 Shares 58 Views 14 0 Reviews
  • Microsoft ได้พัฒนา BitNet b1.58 2B4T ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบ 1-bit LLM ที่มี 2 พันล้านพารามิเตอร์ และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพบน CPU ทั่วไป โดยใช้หน่วยความจำเพียง 400MB ซึ่งน้อยกว่ารุ่นอื่นๆ ถึง 70%

    ✅ BitNet b1.58 2B4T เป็นโมเดล AI แบบ 1-bit ที่ใช้พลังงานต่ำ
    - ใช้ 1-bit weights ที่มีค่าเพียง -1, 0 และ +1 ซึ่งช่วยลดการใช้หน่วยความจำ
    - ใช้หน่วยความจำเพียง 400MB เทียบกับ 1.4GB ของ Gemma 3 1B

    ✅ สามารถทำงานบน CPU ทั่วไป เช่น Apple M2
    - ไม่ต้องใช้ GPU หรือ NPU ทำให้สามารถรันโมเดลได้บน ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่า
    - ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถทดลองใช้ AI ได้โดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่

    ✅ BitNet b1.58 2B4T มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับโมเดล AI ขนาดใหญ่
    - ทดสอบเทียบกับ LLaMa 3.2 1B, Gemma 3 1B และ Qwen 2.5 1.5B
    - มีคะแนนสูงกว่าในบางการทดสอบ เช่น ARC-Challenge และ BoolQ

    ✅ โมเดลนี้เปิดให้ใช้งานบน Hugging Face และ GitHub
    - ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดและทดลองใช้ได้ฟรี
    - ต้องใช้ bitnet.cpp inference framework เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-researchers-build-1-bit-ai-llm-with-2b-parameters-model-small-enough-to-run-on-some-cpus
    Microsoft ได้พัฒนา BitNet b1.58 2B4T ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบ 1-bit LLM ที่มี 2 พันล้านพารามิเตอร์ และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพบน CPU ทั่วไป โดยใช้หน่วยความจำเพียง 400MB ซึ่งน้อยกว่ารุ่นอื่นๆ ถึง 70% ✅ BitNet b1.58 2B4T เป็นโมเดล AI แบบ 1-bit ที่ใช้พลังงานต่ำ - ใช้ 1-bit weights ที่มีค่าเพียง -1, 0 และ +1 ซึ่งช่วยลดการใช้หน่วยความจำ - ใช้หน่วยความจำเพียง 400MB เทียบกับ 1.4GB ของ Gemma 3 1B ✅ สามารถทำงานบน CPU ทั่วไป เช่น Apple M2 - ไม่ต้องใช้ GPU หรือ NPU ทำให้สามารถรันโมเดลได้บน ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่า - ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถทดลองใช้ AI ได้โดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ ✅ BitNet b1.58 2B4T มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับโมเดล AI ขนาดใหญ่ - ทดสอบเทียบกับ LLaMa 3.2 1B, Gemma 3 1B และ Qwen 2.5 1.5B - มีคะแนนสูงกว่าในบางการทดสอบ เช่น ARC-Challenge และ BoolQ ✅ โมเดลนี้เปิดให้ใช้งานบน Hugging Face และ GitHub - ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดและทดลองใช้ได้ฟรี - ต้องใช้ bitnet.cpp inference framework เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-researchers-build-1-bit-ai-llm-with-2b-parameters-model-small-enough-to-run-on-some-cpus
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • Atomic Keyboard ได้เปิดตัว MDR Dasher ซึ่งเป็นคีย์บอร์ดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากซีรีส์ Severance บน Apple TV+ โดยออกแบบให้มีรูปลักษณ์แบบเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก พร้อม trackball ในตัว และการจัดวางปุ่มที่แตกต่างจากคีย์บอร์ดทั่วไป

    ✅ MDR Dasher ได้รับแรงบันดาลใจจากคีย์บอร์ดในซีรีส์ Severance
    - คีย์บอร์ดนี้ออกแบบให้คล้ายกับ Data General Dasher terminals ที่ได้รับความนิยมในช่วงปลายยุค 70 และต้นยุค 80
    - มี ดีไซน์แบบเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก พร้อมกรอบสีขาวหม่นและปุ่มสีน้ำเงิน

    ✅ การจัดวางปุ่มแตกต่างจากคีย์บอร์ดทั่วไป
    - ไม่มีปุ่ม Escape, Control และ Option เพื่อสะท้อนธีมของซีรีส์ที่เน้นความเป็นระบบปิด
    - มี 73 ปุ่ม และใช้ เลย์เอาต์แบบ 70%

    ✅ MDR Dasher มาพร้อม trackball ในตัว
    - แทนที่จะใช้เมาส์แบบทั่วไป คีย์บอร์ดนี้มี trackball ทางด้านขวา
    - ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมเคอร์เซอร์ได้โดยไม่ต้องใช้เมาส์แยก

    ✅ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C และใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการหลัก
    - สามารถใช้กับ Windows, macOS และ Linux
    - ตัวเคสทำจาก อะลูมิเนียม เพื่อเพิ่มความทนทาน

    ✅ ราคายังไม่ถูกยืนยัน แต่คาดว่าอยู่ที่ประมาณ $399
    - Atomic Keyboard ยังไม่ได้ประกาศราคาสุดท้าย เนื่องจากมี ปัญหาด้านภาษีนำเข้า
    - เปิดให้ลงทะเบียนสำหรับ การสั่งจองล่วงหน้าแบบจำนวนจำกัด

    https://www.techspot.com/news/107593-real-life-severance-keyboard-here-complete-built-trackball.html
    Atomic Keyboard ได้เปิดตัว MDR Dasher ซึ่งเป็นคีย์บอร์ดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากซีรีส์ Severance บน Apple TV+ โดยออกแบบให้มีรูปลักษณ์แบบเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก พร้อม trackball ในตัว และการจัดวางปุ่มที่แตกต่างจากคีย์บอร์ดทั่วไป ✅ MDR Dasher ได้รับแรงบันดาลใจจากคีย์บอร์ดในซีรีส์ Severance - คีย์บอร์ดนี้ออกแบบให้คล้ายกับ Data General Dasher terminals ที่ได้รับความนิยมในช่วงปลายยุค 70 และต้นยุค 80 - มี ดีไซน์แบบเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก พร้อมกรอบสีขาวหม่นและปุ่มสีน้ำเงิน ✅ การจัดวางปุ่มแตกต่างจากคีย์บอร์ดทั่วไป - ไม่มีปุ่ม Escape, Control และ Option เพื่อสะท้อนธีมของซีรีส์ที่เน้นความเป็นระบบปิด - มี 73 ปุ่ม และใช้ เลย์เอาต์แบบ 70% ✅ MDR Dasher มาพร้อม trackball ในตัว - แทนที่จะใช้เมาส์แบบทั่วไป คีย์บอร์ดนี้มี trackball ทางด้านขวา - ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมเคอร์เซอร์ได้โดยไม่ต้องใช้เมาส์แยก ✅ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C และใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการหลัก - สามารถใช้กับ Windows, macOS และ Linux - ตัวเคสทำจาก อะลูมิเนียม เพื่อเพิ่มความทนทาน ✅ ราคายังไม่ถูกยืนยัน แต่คาดว่าอยู่ที่ประมาณ $399 - Atomic Keyboard ยังไม่ได้ประกาศราคาสุดท้าย เนื่องจากมี ปัญหาด้านภาษีนำเข้า - เปิดให้ลงทะเบียนสำหรับ การสั่งจองล่วงหน้าแบบจำนวนจำกัด https://www.techspot.com/news/107593-real-life-severance-keyboard-here-complete-built-trackball.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    A real-life Severance keyboard is here, complete with built-in trackball
    In Severance, the keyboards used by Macrodata Refinement – the department where the protagonists work – appear to draw inspiration from Data General's vintage Dasher terminals, popular...
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • Apple ได้ออก แพตช์ฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขช่องโหว่ zero-day ที่ถูกใช้ใน การโจมตีที่ซับซ้อนสูง โดยช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ CoreAudio และ RPAC ซึ่งสามารถถูกใช้เพื่อ รันโค้ดที่เป็นอันตรายและข้ามการตรวจสอบสิทธิ์

    ✅ Apple ออกแพตช์ฉุกเฉินเพื่อแก้ไขช่องโหว่ใน CoreAudio และ RPAC
    - ช่องโหว่ CVE-2025-31200 ใน CoreAudio อาจถูกใช้เพื่อ รันโค้ดที่เป็นอันตรายผ่านไฟล์เสียงที่ถูกดัดแปลง
    - ช่องโหว่ CVE-2025-31201 ใน RPAC อาจถูกใช้เพื่อ ข้ามการตรวจสอบ Pointer Authentication ซึ่งช่วยป้องกันการโจมตีแบบ memory corruption

    ✅ ช่องโหว่นี้ถูกใช้ใน "การโจมตีที่ซับซ้อนสูง" บน iOS
    - Apple ระบุว่า มีรายงานว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีบุคคลเป้าหมาย
    - แม้ว่าจะพบการโจมตีบน iPhone แต่ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ iOS, iPadOS, tvOS, visionOS และ macOS

    ✅ Apple ได้ออกแพตช์สำหรับทุกระบบที่ได้รับผลกระทบ
    - ระบบที่ได้รับการแก้ไข ได้แก่ tvOS 18.4.1, visionOS 2.4.1, iOS 18.4.1, iPadOS 18.4.1 และ macOS Sequoia 15.4.1
    - อุปกรณ์ที่ได้รับแพตช์ ได้แก่ iPhone XS และรุ่นใหม่กว่า, iPad Pro 13-inch, iPad Air 3rd generation และ iPad mini 5th generation

    ✅ Apple เผชิญกับช่องโหว่ zero-day หลายครั้งในปีนี้
    - นี่เป็นช่องโหว่ zero-day ครั้งที่ 5 ในปี 2025 ที่ Apple ต้องแก้ไข
    - ในปี 2024 Apple เผชิญกับ 6 ช่องโหว่ zero-day รวมถึงช่องโหว่ที่ถูกใช้ใน Operation Triangulation

    https://www.csoonline.com/article/3964668/hackers-target-apple-users-in-an-extremely-sophisticated-attack.html
    Apple ได้ออก แพตช์ฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขช่องโหว่ zero-day ที่ถูกใช้ใน การโจมตีที่ซับซ้อนสูง โดยช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ CoreAudio และ RPAC ซึ่งสามารถถูกใช้เพื่อ รันโค้ดที่เป็นอันตรายและข้ามการตรวจสอบสิทธิ์ ✅ Apple ออกแพตช์ฉุกเฉินเพื่อแก้ไขช่องโหว่ใน CoreAudio และ RPAC - ช่องโหว่ CVE-2025-31200 ใน CoreAudio อาจถูกใช้เพื่อ รันโค้ดที่เป็นอันตรายผ่านไฟล์เสียงที่ถูกดัดแปลง - ช่องโหว่ CVE-2025-31201 ใน RPAC อาจถูกใช้เพื่อ ข้ามการตรวจสอบ Pointer Authentication ซึ่งช่วยป้องกันการโจมตีแบบ memory corruption ✅ ช่องโหว่นี้ถูกใช้ใน "การโจมตีที่ซับซ้อนสูง" บน iOS - Apple ระบุว่า มีรายงานว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีบุคคลเป้าหมาย - แม้ว่าจะพบการโจมตีบน iPhone แต่ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ iOS, iPadOS, tvOS, visionOS และ macOS ✅ Apple ได้ออกแพตช์สำหรับทุกระบบที่ได้รับผลกระทบ - ระบบที่ได้รับการแก้ไข ได้แก่ tvOS 18.4.1, visionOS 2.4.1, iOS 18.4.1, iPadOS 18.4.1 และ macOS Sequoia 15.4.1 - อุปกรณ์ที่ได้รับแพตช์ ได้แก่ iPhone XS และรุ่นใหม่กว่า, iPad Pro 13-inch, iPad Air 3rd generation และ iPad mini 5th generation ✅ Apple เผชิญกับช่องโหว่ zero-day หลายครั้งในปีนี้ - นี่เป็นช่องโหว่ zero-day ครั้งที่ 5 ในปี 2025 ที่ Apple ต้องแก้ไข - ในปี 2024 Apple เผชิญกับ 6 ช่องโหว่ zero-day รวมถึงช่องโหว่ที่ถูกใช้ใน Operation Triangulation https://www.csoonline.com/article/3964668/hackers-target-apple-users-in-an-extremely-sophisticated-attack.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Hackers target Apple users in an ‘extremely sophisticated attack’
    The bugs, found in Apple’s CoreAudio and RPAC components, enabled code execution and memory corruption attacks.
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • ในปี 2024 บอท (Bots) คิดเป็น 51% ของปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งหมด ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษที่บอทมีสัดส่วนมากกว่าผู้ใช้จริง โดยรายงานจาก Imperva ระบุว่า บอทที่เป็นอันตราย (Bad Bots) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การท่องเที่ยวและค้าปลีก

    ✅ บอทคิดเป็น 51% ของปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตในปี 2024
    - รายงานจาก Imperva ระบุว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่บอทมีสัดส่วนมากกว่าผู้ใช้จริง
    - การเพิ่มขึ้นของบอทส่วนหนึ่งมาจาก AI และโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM)

    ✅ อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือการท่องเที่ยวและค้าปลีก
    - บอทที่เป็นอันตรายคิดเป็น 41% ของปริมาณการใช้งานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
    - ในอุตสาหกรรมค้าปลีก บอทที่เป็นอันตรายคิดเป็น 59% ของปริมาณการใช้งาน

    ✅ ByteSpider Bot เป็นตัวการสำคัญของการโจมตีที่ใช้ AI
    - ByteSpider Bot คิดเป็น 54% ของการโจมตีที่ใช้ AI
    - บอทอื่นๆ ที่มีบทบาทสำคัญ ได้แก่ AppleBot (26%), ClaudeBot (13%) และ ChatGPT User Bot (6%)

    ✅ บอทที่เป็นอันตรายกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    - ในปี 2023 บอทที่เป็นอันตรายคิดเป็น 32% ของปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ต
    - ในปี 2024 ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 37% ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นปีที่ 6

    ✅ บอทที่มีประโยชน์ยังคงมีบทบาทสำคัญ
    - บอทที่ใช้ในการ จัดทำดัชนีเว็บไซต์, ตรวจสอบประสิทธิภาพ, โพสต์บนโซเชียลมีเดีย และรวบรวมข้อมูล ยังคงมีความจำเป็น

    https://www.techradar.com/pro/security/bots-now-account-for-over-half-of-all-internet-traffic
    ในปี 2024 บอท (Bots) คิดเป็น 51% ของปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งหมด ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษที่บอทมีสัดส่วนมากกว่าผู้ใช้จริง โดยรายงานจาก Imperva ระบุว่า บอทที่เป็นอันตราย (Bad Bots) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การท่องเที่ยวและค้าปลีก ✅ บอทคิดเป็น 51% ของปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตในปี 2024 - รายงานจาก Imperva ระบุว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่บอทมีสัดส่วนมากกว่าผู้ใช้จริง - การเพิ่มขึ้นของบอทส่วนหนึ่งมาจาก AI และโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ✅ อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือการท่องเที่ยวและค้าปลีก - บอทที่เป็นอันตรายคิดเป็น 41% ของปริมาณการใช้งานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว - ในอุตสาหกรรมค้าปลีก บอทที่เป็นอันตรายคิดเป็น 59% ของปริมาณการใช้งาน ✅ ByteSpider Bot เป็นตัวการสำคัญของการโจมตีที่ใช้ AI - ByteSpider Bot คิดเป็น 54% ของการโจมตีที่ใช้ AI - บอทอื่นๆ ที่มีบทบาทสำคัญ ได้แก่ AppleBot (26%), ClaudeBot (13%) และ ChatGPT User Bot (6%) ✅ บอทที่เป็นอันตรายกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง - ในปี 2023 บอทที่เป็นอันตรายคิดเป็น 32% ของปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ต - ในปี 2024 ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 37% ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ✅ บอทที่มีประโยชน์ยังคงมีบทบาทสำคัญ - บอทที่ใช้ในการ จัดทำดัชนีเว็บไซต์, ตรวจสอบประสิทธิภาพ, โพสต์บนโซเชียลมีเดีย และรวบรวมข้อมูล ยังคงมีความจำเป็น https://www.techradar.com/pro/security/bots-now-account-for-over-half-of-all-internet-traffic
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • Notion ได้เปิดตัว Notion Mail ซึ่งเป็นแอปอีเมลที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้ใช้จัดการอีเมลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ✅ Notion Mail ใช้ AI เพื่อช่วยจัดการอีเมล
    - ระบบสามารถ จัดเรียง, ติดป้ายกำกับ และกรองอีเมล ตามความสำคัญของผู้ใช้
    - ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้ AI จัดลำดับความสำคัญของอีเมล เช่น อีเมลเกี่ยวกับการจ้างงานสำหรับฝ่ายสรรหาบุคลากร

    ✅ อินเทอร์เฟซของ Notion Mail สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้
    - ผู้ใช้สามารถ สร้างมุมมองแบบกำหนดเอง เพื่อให้โฟกัสกับอีเมลที่สำคัญ
    - หมวดหมู่เช่น โปรโมชั่น, ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า และการเดินทาง ช่วยให้การจัดการอีเมลเป็นระเบียบมากขึ้น

    ✅ Notion Mail มีฟีเจอร์ Snippets เพื่อช่วยให้การเขียนอีเมลเร็วขึ้น
    - ผู้ใช้สามารถ บันทึกเทมเพลตอีเมล และให้ AI ช่วยเขียนข้อความเปิด, คำตอบ และอื่นๆ
    - ฟีเจอร์นี้ช่วยลดเวลาที่ใช้ในการตอบอีเมลที่มีเนื้อหาคล้ายกัน

    ✅ Notion Mail เชื่อมต่อกับ Notion Calendar เพื่อช่วยจัดตารางเวลาการประชุม
    - ผู้ส่งสามารถ แชร์ช่วงเวลาที่ว่าง เพื่อให้การนัดหมายเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

    ✅ Notion Mail เปิดให้ใช้งานฟรี
    - รวมอยู่ใน แพ็กเกจฟรีของ Notion ซึ่งมี Notion Calendar และการเชื่อมต่อกับ Slack และ GitHub
    - รองรับ Gmail

    https://www.techradar.com/pro/notion-launches-ai-powered-email-app-to-give-busy-users-a-productivity-boost
    Notion ได้เปิดตัว Notion Mail ซึ่งเป็นแอปอีเมลที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้ใช้จัดการอีเมลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ Notion Mail ใช้ AI เพื่อช่วยจัดการอีเมล - ระบบสามารถ จัดเรียง, ติดป้ายกำกับ และกรองอีเมล ตามความสำคัญของผู้ใช้ - ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้ AI จัดลำดับความสำคัญของอีเมล เช่น อีเมลเกี่ยวกับการจ้างงานสำหรับฝ่ายสรรหาบุคลากร ✅ อินเทอร์เฟซของ Notion Mail สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้ - ผู้ใช้สามารถ สร้างมุมมองแบบกำหนดเอง เพื่อให้โฟกัสกับอีเมลที่สำคัญ - หมวดหมู่เช่น โปรโมชั่น, ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า และการเดินทาง ช่วยให้การจัดการอีเมลเป็นระเบียบมากขึ้น ✅ Notion Mail มีฟีเจอร์ Snippets เพื่อช่วยให้การเขียนอีเมลเร็วขึ้น - ผู้ใช้สามารถ บันทึกเทมเพลตอีเมล และให้ AI ช่วยเขียนข้อความเปิด, คำตอบ และอื่นๆ - ฟีเจอร์นี้ช่วยลดเวลาที่ใช้ในการตอบอีเมลที่มีเนื้อหาคล้ายกัน ✅ Notion Mail เชื่อมต่อกับ Notion Calendar เพื่อช่วยจัดตารางเวลาการประชุม - ผู้ส่งสามารถ แชร์ช่วงเวลาที่ว่าง เพื่อให้การนัดหมายเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ✅ Notion Mail เปิดให้ใช้งานฟรี - รวมอยู่ใน แพ็กเกจฟรีของ Notion ซึ่งมี Notion Calendar และการเชื่อมต่อกับ Slack และ GitHub - รองรับ Gmail https://www.techradar.com/pro/notion-launches-ai-powered-email-app-to-give-busy-users-a-productivity-boost
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • Google DeepMind ได้พัฒนา CaMeL (Capabilities for Machine Learning) ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการป้องกัน Prompt Injection โดยใช้หลักการแบ่งแยกโมเดล AI ออกเป็นส่วนต่างๆ เพื่อจำกัดความสามารถในการดำเนินการที่ไม่ปลอดภัย

    ✅ CaMeL ใช้หลักการแบ่งแยกโมเดล AI เพื่อป้องกัน Prompt Injection
    - แทนที่จะให้ AI ตรวจสอบตัวเอง CaMeL จำกัดความสามารถของโมเดล โดยใช้หลักการด้านความปลอดภัยของซอฟต์แวร์
    - แบ่งโมเดลออกเป็น P-LLM (Privileged LLM) สำหรับการดำเนินการ และ Q-LLM (Quarantined LLM) สำหรับการอ่านข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ

    ✅ P-LLM และ Q-LLM ทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันการโจมตี
    - P-LLM สามารถวางแผนการดำเนินการ เช่น การส่งอีเมล แต่ ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลดิบ
    - Q-LLM สามารถอ่านข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ แต่ ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเครื่องมือหรือหน่วยความจำ

    ✅ CaMeL ใช้ Secure Interpreter เพื่อติดตามแหล่งที่มาของข้อมูล
    - ใช้ Python เวอร์ชันพิเศษ ที่สามารถติดตามว่าข้อมูลมาจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือหรือไม่
    - หากพบว่าการดำเนินการเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่อาจเป็นอันตราย ระบบสามารถ บล็อกหรือขอให้ผู้ใช้ยืนยันก่อนดำเนินการ

    ✅ นักวิจัยด้านความปลอดภัยยกย่อง CaMeL ว่าเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ
    - Simon Willison ผู้ตั้งชื่อ Prompt Injection ในปี 2022 ระบุว่า CaMeL เป็น "แนวทางแรกที่น่าเชื่อถือ"
    - แนวทางนี้ช่วยแก้ปัญหาที่โมเดล AI มัก รวมคำสั่งของผู้ใช้และข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือไว้ในหน่วยความจำเดียวกัน

    https://www.techspot.com/news/107575-new-approach-deepmind-partitions-llms-mitigate-prompt-injection.html
    Google DeepMind ได้พัฒนา CaMeL (Capabilities for Machine Learning) ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการป้องกัน Prompt Injection โดยใช้หลักการแบ่งแยกโมเดล AI ออกเป็นส่วนต่างๆ เพื่อจำกัดความสามารถในการดำเนินการที่ไม่ปลอดภัย ✅ CaMeL ใช้หลักการแบ่งแยกโมเดล AI เพื่อป้องกัน Prompt Injection - แทนที่จะให้ AI ตรวจสอบตัวเอง CaMeL จำกัดความสามารถของโมเดล โดยใช้หลักการด้านความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ - แบ่งโมเดลออกเป็น P-LLM (Privileged LLM) สำหรับการดำเนินการ และ Q-LLM (Quarantined LLM) สำหรับการอ่านข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ ✅ P-LLM และ Q-LLM ทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันการโจมตี - P-LLM สามารถวางแผนการดำเนินการ เช่น การส่งอีเมล แต่ ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลดิบ - Q-LLM สามารถอ่านข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ แต่ ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเครื่องมือหรือหน่วยความจำ ✅ CaMeL ใช้ Secure Interpreter เพื่อติดตามแหล่งที่มาของข้อมูล - ใช้ Python เวอร์ชันพิเศษ ที่สามารถติดตามว่าข้อมูลมาจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือหรือไม่ - หากพบว่าการดำเนินการเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่อาจเป็นอันตราย ระบบสามารถ บล็อกหรือขอให้ผู้ใช้ยืนยันก่อนดำเนินการ ✅ นักวิจัยด้านความปลอดภัยยกย่อง CaMeL ว่าเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ - Simon Willison ผู้ตั้งชื่อ Prompt Injection ในปี 2022 ระบุว่า CaMeL เป็น "แนวทางแรกที่น่าเชื่อถือ" - แนวทางนี้ช่วยแก้ปัญหาที่โมเดล AI มัก รวมคำสั่งของผู้ใช้และข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือไว้ในหน่วยความจำเดียวกัน https://www.techspot.com/news/107575-new-approach-deepmind-partitions-llms-mitigate-prompt-injection.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New approach from DeepMind partitions LLMs to mitigate prompt injection
    Since chatbots went mainstream in 2022, a security flaw known as prompt injection has plagued artificial intelligence developers. The problem is simple: language models like ChatGPT can't...
    0 Comments 0 Shares 49 Views 0 Reviews
  • Apple กำลังเผชิญกับปัญหาภายในที่ส่งผลให้ Siri ล้าหลังคู่แข่งด้าน AI อย่าง OpenAI และ Google โดยมีรายงานว่า ความขัดแย้งระหว่างทีมพัฒนา และ การขาดวิสัยทัศน์ของผู้นำ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ Siri ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ระดับที่แข่งขันได้

    ✅ Apple ล้มเหลวในการพัฒนา Siri ให้ทันคู่แข่ง
    - Apple ต้องเลื่อนการเปิดตัวฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Siri เนื่องจาก ปัญหาด้านเทคนิคและการบริหารจัดการ
    - อดีตพนักงานของ Apple ระบุว่า การขาดวิสัยทัศน์และการเน้นพัฒนาเพียงฟีเจอร์เล็กๆ เป็นอุปสรรคสำคัญ

    ✅ ความขัดแย้งระหว่างทีมพัฒนา AI และวิศวกรซอฟต์แวร์
    - ทีม AI ได้รับ เงินเดือนสูงกว่า, การเลื่อนตำแหน่งเร็วกว่า และมีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นกว่า
    - ทีมวิศวกรซอฟต์แวร์รู้สึกว่า ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และมีการบันทึกหลักฐานเพื่อโยนความผิดให้ทีมอื่นหากโครงการล้มเหลว

    ✅ อดีตหัวหน้าทีม AI ของ Apple ไม่เชื่อว่า Chatbots มีประโยชน์
    - John Giannandrea เคยบอกทีมงานในปี 2022 ว่า Chatbots อย่าง ChatGPT ไม่มีประโยชน์
    - ในปี 2023 Apple สั่งห้ามวิศวกร ใช้โมเดล AI จากบริษัทอื่น แม้จะเห็นว่าเทคโนโลยีของ Apple ยังตามหลังคู่แข่ง

    ✅ Craig Federighi เข้ามากู้สถานการณ์ Siri
    - Federighi ได้สั่งให้ทีม Siri ทำทุกวิถีทางเพื่อพัฒนา AI ให้ดีขึ้น
    - Apple อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทีมเพื่อแก้ไขปัญหาภายใน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/16/hey-siri-explain-how-internal-feuding-at-apple-left-the-company-losing-the-ai-race
    Apple กำลังเผชิญกับปัญหาภายในที่ส่งผลให้ Siri ล้าหลังคู่แข่งด้าน AI อย่าง OpenAI และ Google โดยมีรายงานว่า ความขัดแย้งระหว่างทีมพัฒนา และ การขาดวิสัยทัศน์ของผู้นำ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ Siri ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ระดับที่แข่งขันได้ ✅ Apple ล้มเหลวในการพัฒนา Siri ให้ทันคู่แข่ง - Apple ต้องเลื่อนการเปิดตัวฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Siri เนื่องจาก ปัญหาด้านเทคนิคและการบริหารจัดการ - อดีตพนักงานของ Apple ระบุว่า การขาดวิสัยทัศน์และการเน้นพัฒนาเพียงฟีเจอร์เล็กๆ เป็นอุปสรรคสำคัญ ✅ ความขัดแย้งระหว่างทีมพัฒนา AI และวิศวกรซอฟต์แวร์ - ทีม AI ได้รับ เงินเดือนสูงกว่า, การเลื่อนตำแหน่งเร็วกว่า และมีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นกว่า - ทีมวิศวกรซอฟต์แวร์รู้สึกว่า ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และมีการบันทึกหลักฐานเพื่อโยนความผิดให้ทีมอื่นหากโครงการล้มเหลว ✅ อดีตหัวหน้าทีม AI ของ Apple ไม่เชื่อว่า Chatbots มีประโยชน์ - John Giannandrea เคยบอกทีมงานในปี 2022 ว่า Chatbots อย่าง ChatGPT ไม่มีประโยชน์ - ในปี 2023 Apple สั่งห้ามวิศวกร ใช้โมเดล AI จากบริษัทอื่น แม้จะเห็นว่าเทคโนโลยีของ Apple ยังตามหลังคู่แข่ง ✅ Craig Federighi เข้ามากู้สถานการณ์ Siri - Federighi ได้สั่งให้ทีม Siri ทำทุกวิถีทางเพื่อพัฒนา AI ให้ดีขึ้น - Apple อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทีมเพื่อแก้ไขปัญหาภายใน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/16/hey-siri-explain-how-internal-feuding-at-apple-left-the-company-losing-the-ai-race
    WWW.THESTAR.COM.MY
    ‘Hey Siri: Explain how internal feuding at Apple left the company losing the AI race’
    A damning expose of Apple's missteps trying upgrade Siri delivers a masterclass on how competing teams build resentment inside a company.
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews
  • MITRE ได้รับการขยายสัญญาจาก CISA เพื่อดำเนินโครงการ Common Vulnerabilities and Exposures (CVE) ต่อไปอีก 11 เดือน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าโครงการอาจถูกยกเลิกเนื่องจากการตัดงบประมาณ

    ✅ CISA ขยายสัญญา MITRE เพื่อดำเนินโครงการ CVE ต่อไปอีก 11 เดือน
    - โครงการ CVE เป็นมาตรฐานสำคัญในการ ระบุช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    - การขยายสัญญาช่วยให้มี การเปลี่ยนผ่านที่เป็นระบบ และลดผลกระทบต่อชุมชนความปลอดภัยไซเบอร์

    ✅ ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของโครงการ CVE
    - นักวิชาการด้านความปลอดภัยบางคนกังวลว่า สหรัฐฯ อาจไม่ใช่พันธมิตรที่เชื่อถือได้ในการสนับสนุนโครงการนี้
    - มีการเสนอให้ตั้ง CVE Foundation เพื่อให้มีแหล่งเงินทุนที่หลากหลายจากผู้สนับสนุนทั่วโลก

    ✅ MITRE อาจต้องหาทางออกอื่นหากไม่มีการต่อสัญญาเพิ่มเติม
    - มีการตั้งคำถามว่า MITRE จะสามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ด้วยเงินทุนของตัวเองหรือไม่
    - อาจมีความเป็นไปได้ที่ สหภาพยุโรปจะเข้ามาสนับสนุนโครงการแทน

    ✅ ความสำคัญของโครงการ CVE ต่ออุตสาหกรรมความปลอดภัยไซเบอร์
    - CVE เป็น ฐานข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถจัดการช่องโหว่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับ ผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย เช่น Cyber Threat Intelligence และ Endpoint Detection

    https://www.zdnet.com/article/why-the-cve-database-for-tracking-security-flaws-nearly-went-dark-and-what-happens-next/
    MITRE ได้รับการขยายสัญญาจาก CISA เพื่อดำเนินโครงการ Common Vulnerabilities and Exposures (CVE) ต่อไปอีก 11 เดือน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าโครงการอาจถูกยกเลิกเนื่องจากการตัดงบประมาณ ✅ CISA ขยายสัญญา MITRE เพื่อดำเนินโครงการ CVE ต่อไปอีก 11 เดือน - โครงการ CVE เป็นมาตรฐานสำคัญในการ ระบุช่องโหว่ด้านความปลอดภัย - การขยายสัญญาช่วยให้มี การเปลี่ยนผ่านที่เป็นระบบ และลดผลกระทบต่อชุมชนความปลอดภัยไซเบอร์ ✅ ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของโครงการ CVE - นักวิชาการด้านความปลอดภัยบางคนกังวลว่า สหรัฐฯ อาจไม่ใช่พันธมิตรที่เชื่อถือได้ในการสนับสนุนโครงการนี้ - มีการเสนอให้ตั้ง CVE Foundation เพื่อให้มีแหล่งเงินทุนที่หลากหลายจากผู้สนับสนุนทั่วโลก ✅ MITRE อาจต้องหาทางออกอื่นหากไม่มีการต่อสัญญาเพิ่มเติม - มีการตั้งคำถามว่า MITRE จะสามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ด้วยเงินทุนของตัวเองหรือไม่ - อาจมีความเป็นไปได้ที่ สหภาพยุโรปจะเข้ามาสนับสนุนโครงการแทน ✅ ความสำคัญของโครงการ CVE ต่ออุตสาหกรรมความปลอดภัยไซเบอร์ - CVE เป็น ฐานข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถจัดการช่องโหว่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ - ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับ ผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย เช่น Cyber Threat Intelligence และ Endpoint Detection https://www.zdnet.com/article/why-the-cve-database-for-tracking-security-flaws-nearly-went-dark-and-what-happens-next/
    WWW.ZDNET.COM
    Why the CVE database for tracking security flaws nearly went dark - and what happens next
    Expired US government funding nearly disrupted this global security system. How can we prevent this from happening again in 11 months?
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • Microsoft ได้เปิดให้ Copilot Vision ใช้งานฟรีสำหรับผู้ใช้ Edge ทุกคน ซึ่งก่อนหน้านี้ฟีเจอร์นี้สงวนไว้สำหรับสมาชิก Copilot Pro เท่านั้น โดย Copilot Vision ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แชร์เนื้อหาเว็บกับ Copilot และรับคำตอบที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานั้นได้ทันที

    ✅ Copilot Vision เปิดให้ใช้งานฟรีสำหรับผู้ใช้ Edge
    - ก่อนหน้านี้ฟีเจอร์นี้มีเฉพาะใน Copilot Pro แต่ตอนนี้เปิดให้ทุกคนใช้งานได้
    - ผู้ใช้สามารถ พูดคุยกับ Copilot เกี่ยวกับเนื้อหาบนเว็บที่กำลังดูอยู่

    ✅ Copilot Vision รองรับเว็บไซต์บางแห่งเท่านั้น
    - ใช้งานได้กับ Amazon.com, Target.com, Wikipedia และ Tripadvisor
    - ไม่สามารถใช้กับ เว็บไซต์ที่มี paywall หรือเนื้อหาที่ละเอียดอ่อน

    ✅ Microsoft ยืนยันว่า Copilot Vision ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้
    - ไม่มีการบันทึก เสียง, รูปภาพ, ข้อความ หรือบทสนทนา เพื่อใช้ในการฝึกโมเดล AI
    - ฟีเจอร์นี้เป็น ระบบ opt-in ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องเปิดใช้งานเอง

    ✅ Copilot Vision ขยายไปยังแอปมือถือและ Windows
    - ผู้ใช้สามารถใช้ Copilot mobile app เพื่อให้ AI วิเคราะห์ วิดีโอแบบเรียลไทม์และภาพถ่ายในแกลเลอรี
    - Copilot Vision ใน Windows รองรับ การแชร์หน้าต่างเบราว์เซอร์หรือแอปพลิเคชัน

    ✅ วิธีใช้งาน Copilot Vision บน Windows
    - คลิกที่ ไอคอนแว่นตา ในแอป Copilot
    - เลือก หน้าต่างเบราว์เซอร์หรือแอปที่ต้องการแชร์
    - ถาม Copilot เกี่ยวกับเนื้อหาที่กำลังดู

    https://www.neowin.net/news/microsoft-just-made-copilot-vision-free-for-everyone-using-edge-browser/
    Microsoft ได้เปิดให้ Copilot Vision ใช้งานฟรีสำหรับผู้ใช้ Edge ทุกคน ซึ่งก่อนหน้านี้ฟีเจอร์นี้สงวนไว้สำหรับสมาชิก Copilot Pro เท่านั้น โดย Copilot Vision ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แชร์เนื้อหาเว็บกับ Copilot และรับคำตอบที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานั้นได้ทันที ✅ Copilot Vision เปิดให้ใช้งานฟรีสำหรับผู้ใช้ Edge - ก่อนหน้านี้ฟีเจอร์นี้มีเฉพาะใน Copilot Pro แต่ตอนนี้เปิดให้ทุกคนใช้งานได้ - ผู้ใช้สามารถ พูดคุยกับ Copilot เกี่ยวกับเนื้อหาบนเว็บที่กำลังดูอยู่ ✅ Copilot Vision รองรับเว็บไซต์บางแห่งเท่านั้น - ใช้งานได้กับ Amazon.com, Target.com, Wikipedia และ Tripadvisor - ไม่สามารถใช้กับ เว็บไซต์ที่มี paywall หรือเนื้อหาที่ละเอียดอ่อน ✅ Microsoft ยืนยันว่า Copilot Vision ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้ - ไม่มีการบันทึก เสียง, รูปภาพ, ข้อความ หรือบทสนทนา เพื่อใช้ในการฝึกโมเดล AI - ฟีเจอร์นี้เป็น ระบบ opt-in ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องเปิดใช้งานเอง ✅ Copilot Vision ขยายไปยังแอปมือถือและ Windows - ผู้ใช้สามารถใช้ Copilot mobile app เพื่อให้ AI วิเคราะห์ วิดีโอแบบเรียลไทม์และภาพถ่ายในแกลเลอรี - Copilot Vision ใน Windows รองรับ การแชร์หน้าต่างเบราว์เซอร์หรือแอปพลิเคชัน ✅ วิธีใช้งาน Copilot Vision บน Windows - คลิกที่ ไอคอนแว่นตา ในแอป Copilot - เลือก หน้าต่างเบราว์เซอร์หรือแอปที่ต้องการแชร์ - ถาม Copilot เกี่ยวกับเนื้อหาที่กำลังดู https://www.neowin.net/news/microsoft-just-made-copilot-vision-free-for-everyone-using-edge-browser/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft just made Copilot Vision free for everyone using Edge browser
    Microsoft has made its Copilot Vision feature, previously exclusive to Pro subscribers, available for free to all Microsoft Edge users on select websites.
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • Fedora Workstation 42 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมนำเสนอ GNOME 48 ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่มากมาย รวมถึง การปรับปรุงแอนิเมชัน, ฟีเจอร์ด้านสุขภาพดิจิทัล และการรองรับ Windows Subsystem for Linux (WSL)

    ✅ Fedora Workstation 42 มาพร้อมกับ GNOME 48
    - มี ฟอนต์ใหม่ ได้แก่ Adwaita Sans และ Adwaita Mono
    - รองรับ dynamic triple buffering เพื่อให้แอนิเมชันลื่นไหลขึ้น
    - เพิ่ม ฟีเจอร์ด้านสุขภาพดิจิทัล เช่น การติดตามเวลาหน้าจอ, โหมด grayscale และการแจ้งเตือนให้พักสายตา

    ✅ Fedora 42 รองรับ Windows Subsystem for Linux (WSL)
    - มี ภาพติดตั้งเฉพาะสำหรับ WSL เพื่อให้ผู้ใช้ Windows สามารถทดลองใช้ Fedora ได้ง่ายขึ้น
    - รองรับการติดตั้งผ่าน tarballs, Appx packages และ Windows Store

    ✅ การปรับปรุง DNF5 (ตัวจัดการแพ็กเกจของ Fedora)
    - มี ตรรกะใหม่ ที่ช่วยลบ repository keys ที่หมดอายุหรือไม่ถูกต้อง เพื่อลดข้อผิดพลาดในการติดตั้งแพ็กเกจ

    ✅ การติดตั้งและอัปเดต Fedora 42
    - ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด Fedora Workstation 42 ได้จาก เว็บไซต์ของ Fedora
    - หากใช้ Fedora อยู่แล้ว สามารถตรวจสอบการอัปเดตได้ใน Software’s updates tab

    ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ GNOME รุ่นก่อนหน้า
    - ผู้ใช้ที่เคยใช้ GNOME 47 อาจต้องปรับตัวกับ การเปลี่ยนแปลงของ UI และฟีเจอร์ใหม่

    ℹ️ ความท้าทายในการติดตั้ง Fedora บน WSL
    - แม้จะมีภาพติดตั้งเฉพาะสำหรับ WSL แต่ต้องตรวจสอบว่า การทำงานร่วมกับ Windows มีข้อจำกัดหรือไม่

    ℹ️ แนวโน้มของการพัฒนา Fedora ในอนาคต
    - Fedora อาจเพิ่ม ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและการปรับแต่ง UI ในเวอร์ชันถัดไป

    https://www.neowin.net/news/fedora-workstation-42-arrives-with-gnome-48-wsl-images-and-more/
    Fedora Workstation 42 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมนำเสนอ GNOME 48 ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่มากมาย รวมถึง การปรับปรุงแอนิเมชัน, ฟีเจอร์ด้านสุขภาพดิจิทัล และการรองรับ Windows Subsystem for Linux (WSL) ✅ Fedora Workstation 42 มาพร้อมกับ GNOME 48 - มี ฟอนต์ใหม่ ได้แก่ Adwaita Sans และ Adwaita Mono - รองรับ dynamic triple buffering เพื่อให้แอนิเมชันลื่นไหลขึ้น - เพิ่ม ฟีเจอร์ด้านสุขภาพดิจิทัล เช่น การติดตามเวลาหน้าจอ, โหมด grayscale และการแจ้งเตือนให้พักสายตา ✅ Fedora 42 รองรับ Windows Subsystem for Linux (WSL) - มี ภาพติดตั้งเฉพาะสำหรับ WSL เพื่อให้ผู้ใช้ Windows สามารถทดลองใช้ Fedora ได้ง่ายขึ้น - รองรับการติดตั้งผ่าน tarballs, Appx packages และ Windows Store ✅ การปรับปรุง DNF5 (ตัวจัดการแพ็กเกจของ Fedora) - มี ตรรกะใหม่ ที่ช่วยลบ repository keys ที่หมดอายุหรือไม่ถูกต้อง เพื่อลดข้อผิดพลาดในการติดตั้งแพ็กเกจ ✅ การติดตั้งและอัปเดต Fedora 42 - ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด Fedora Workstation 42 ได้จาก เว็บไซต์ของ Fedora - หากใช้ Fedora อยู่แล้ว สามารถตรวจสอบการอัปเดตได้ใน Software’s updates tab ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ GNOME รุ่นก่อนหน้า - ผู้ใช้ที่เคยใช้ GNOME 47 อาจต้องปรับตัวกับ การเปลี่ยนแปลงของ UI และฟีเจอร์ใหม่ ℹ️ ความท้าทายในการติดตั้ง Fedora บน WSL - แม้จะมีภาพติดตั้งเฉพาะสำหรับ WSL แต่ต้องตรวจสอบว่า การทำงานร่วมกับ Windows มีข้อจำกัดหรือไม่ ℹ️ แนวโน้มของการพัฒนา Fedora ในอนาคต - Fedora อาจเพิ่ม ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและการปรับแต่ง UI ในเวอร์ชันถัดไป https://www.neowin.net/news/fedora-workstation-42-arrives-with-gnome-48-wsl-images-and-more/
    WWW.NEOWIN.NET
    Fedora Workstation 42 arrives with GNOME 48, WSL images, and more
    Fedora Workstation 42 is now available for download. It includes loads of new features, including GNOME 48, which has notification stacking, new fonts, well-being settings, and more.
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • 16 เมษายน 2568-สำนักข่าว CNN รายงานว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีแผนที่จะปิดสถานเอกอัครราชทูต รวมถึงสถานกงสุลในต่างประเทศกว่า 30 แห่ง เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายด้านการต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ อาจจะลดบาทบาทของตัวเองในบางประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยหลังจากที่ CNN ได้รับเอกสารภายในของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่หลุดออกมา ซึ่งข้อมูลในเอกสารมีการแนะนำให้รัฐบาลปิดสถานเอกอัครราชทูตของสหรัฐฯ ในต่างประเทศ 10 แห่ง และปิดสถานกงสุลของสหรัฐฯ อีก 17 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในยุโรปและแอฟริกาประเทศที่ถูกระบุในเอกสารให้ปิดสถานทูต บางส่วนประกอบด้วย  มอลตา, ลักเซมเบิร์ก, เลโซโท, สาธารณรัฐคองโก, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง  และซูดานใต้ นอกจากนี้ยังมีสถานกงสุลของสหรัฐฯ ในฝรั่งเศสอีก 5 แห่ง, ในเยอรมนีอีก 2 แห่ง, ในบอสเนียอีก 2 แห่ง, ในอังกฤษ 1 แห่ง, ในเซาท์แอฟริกา 1 แห่ง และเกาหลีใต้ 1 แห่ง ที่กำลังถูกพิจารณาให้ปิดด้วย โดยหลังจากที่สถานทูตและสถานกงสุลของสหรัฐฯ ในประเทศเหล่านี้ถูกปิด ประชาชนในประเทศเหล่านั้นจะต้องไปติดต่อสถานทูตสหรัฐฯ ในประเทศใกล้เคียงแทนกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดย แทมมี บรูซ โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ บอกว่าเรื่องนี้ต้องตรวจสอบกับทางทำเนียบขาวและตัวประธานาธิบดีโดยตรง เพราะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องงบประมาณที่ส่งให้สภาคองเกรสพิจารณา ซึ่งการใช้งบประมาณในปีหน้าของสหรัฐฯ มีการเสนอให้ลดงบประมาณลงในหลายส่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานรัฐ รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศด้วยhttps://www.cnn.com/2025/04/15/politics/closing-embassies-consulates-document/index.html?cid=ios_app
    16 เมษายน 2568-สำนักข่าว CNN รายงานว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีแผนที่จะปิดสถานเอกอัครราชทูต รวมถึงสถานกงสุลในต่างประเทศกว่า 30 แห่ง เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายด้านการต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ อาจจะลดบาทบาทของตัวเองในบางประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยหลังจากที่ CNN ได้รับเอกสารภายในของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่หลุดออกมา ซึ่งข้อมูลในเอกสารมีการแนะนำให้รัฐบาลปิดสถานเอกอัครราชทูตของสหรัฐฯ ในต่างประเทศ 10 แห่ง และปิดสถานกงสุลของสหรัฐฯ อีก 17 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในยุโรปและแอฟริกาประเทศที่ถูกระบุในเอกสารให้ปิดสถานทูต บางส่วนประกอบด้วย  มอลตา, ลักเซมเบิร์ก, เลโซโท, สาธารณรัฐคองโก, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง  และซูดานใต้ นอกจากนี้ยังมีสถานกงสุลของสหรัฐฯ ในฝรั่งเศสอีก 5 แห่ง, ในเยอรมนีอีก 2 แห่ง, ในบอสเนียอีก 2 แห่ง, ในอังกฤษ 1 แห่ง, ในเซาท์แอฟริกา 1 แห่ง และเกาหลีใต้ 1 แห่ง ที่กำลังถูกพิจารณาให้ปิดด้วย โดยหลังจากที่สถานทูตและสถานกงสุลของสหรัฐฯ ในประเทศเหล่านี้ถูกปิด ประชาชนในประเทศเหล่านั้นจะต้องไปติดต่อสถานทูตสหรัฐฯ ในประเทศใกล้เคียงแทนกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดย แทมมี บรูซ โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ บอกว่าเรื่องนี้ต้องตรวจสอบกับทางทำเนียบขาวและตัวประธานาธิบดีโดยตรง เพราะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องงบประมาณที่ส่งให้สภาคองเกรสพิจารณา ซึ่งการใช้งบประมาณในปีหน้าของสหรัฐฯ มีการเสนอให้ลดงบประมาณลงในหลายส่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานรัฐ รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศด้วยhttps://www.cnn.com/2025/04/15/politics/closing-embassies-consulates-document/index.html?cid=ios_app
    WWW.CNN.COM
    Trump administration looking at closing nearly 30 overseas embassies and consulates | CNN Politics
    The Trump administration is looking at closing nearly 30 overseas embassies and consulates as it eyes significant changes to its diplomatic presence abroad, according to an internal State Department document obtained by CNN.
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • Mark Zuckerberg เคยพิจารณา แยก Instagram ออกเป็นบริษัทอิสระ ในปี 2018 เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับ การตรวจสอบด้านการต่อต้านการผูกขาด ตามเอกสารที่ถูกเปิดเผยในศาลสหรัฐฯ

    ✅ Zuckerberg เคยพิจารณาแยก Instagram ออกจาก Meta
    - ในปี 2018 เขาเขียนบันทึกภายในว่าอาจต้อง แยก Instagram ออกเป็นบริษัทอิสระ
    - เหตุผลหลักคือ ความเสี่ยงจากการตรวจสอบด้านการต่อต้านการผูกขาด

    ✅ Meta ตัดสินใจรวมแอปแทนการแยกออก
    - แม้จะมีการพิจารณา แต่ Meta เลือกที่จะ รวม Instagram และ WhatsApp เข้ากับ Facebook
    - Zuckerberg เชื่อว่าการรวมกันจะช่วยให้บริษัทเติบโตได้ดีขึ้น

    ✅ การตรวจสอบด้านการต่อต้านการผูกขาดในสหรัฐฯ
    - คณะกรรมการการค้าของสหรัฐฯ (FTC) กำลังดำเนินคดีเพื่อ ยกเลิกการเข้าซื้อกิจการ Instagram และ WhatsApp
    - FTC อ้างว่า Meta ใช้กลยุทธ์ "ซื้อหรือทำลายคู่แข่ง" เพื่อรักษาการผูกขาด

    ✅ Zuckerberg ยอมรับว่า Instagram ดีกว่า Facebook ในบางด้าน
    - เขากล่าวว่า Instagram มี กล้องที่ดีกว่า ซึ่งเป็นเหตุผลที่ Meta ตัดสินใจซื้อกิจการ
    - Meta เคยพยายามสร้างแอปกล้องของตัวเอง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

    ℹ️ ผลกระทบต่ออนาคตของ Meta
    - หาก FTC ชนะคดี Meta อาจต้อง แยก Instagram และ WhatsApp ออกจากบริษัท

    ℹ️ ความท้าทายในการแข่งขันกับแพลตฟอร์มอื่น
    - Meta ต้องเผชิญกับการแข่งขันจาก TikTok, YouTube และ Apple Messages

    ℹ️ แนวโน้มของการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
    - รัฐบาลสหรัฐฯ อาจเพิ่มมาตรการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการผูกขาด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/16/at-us-antitrust-trial-meta039s-zuckerberg-admits-he-bought-instagram-because-it-was-039better039
    Mark Zuckerberg เคยพิจารณา แยก Instagram ออกเป็นบริษัทอิสระ ในปี 2018 เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับ การตรวจสอบด้านการต่อต้านการผูกขาด ตามเอกสารที่ถูกเปิดเผยในศาลสหรัฐฯ ✅ Zuckerberg เคยพิจารณาแยก Instagram ออกจาก Meta - ในปี 2018 เขาเขียนบันทึกภายในว่าอาจต้อง แยก Instagram ออกเป็นบริษัทอิสระ - เหตุผลหลักคือ ความเสี่ยงจากการตรวจสอบด้านการต่อต้านการผูกขาด ✅ Meta ตัดสินใจรวมแอปแทนการแยกออก - แม้จะมีการพิจารณา แต่ Meta เลือกที่จะ รวม Instagram และ WhatsApp เข้ากับ Facebook - Zuckerberg เชื่อว่าการรวมกันจะช่วยให้บริษัทเติบโตได้ดีขึ้น ✅ การตรวจสอบด้านการต่อต้านการผูกขาดในสหรัฐฯ - คณะกรรมการการค้าของสหรัฐฯ (FTC) กำลังดำเนินคดีเพื่อ ยกเลิกการเข้าซื้อกิจการ Instagram และ WhatsApp - FTC อ้างว่า Meta ใช้กลยุทธ์ "ซื้อหรือทำลายคู่แข่ง" เพื่อรักษาการผูกขาด ✅ Zuckerberg ยอมรับว่า Instagram ดีกว่า Facebook ในบางด้าน - เขากล่าวว่า Instagram มี กล้องที่ดีกว่า ซึ่งเป็นเหตุผลที่ Meta ตัดสินใจซื้อกิจการ - Meta เคยพยายามสร้างแอปกล้องของตัวเอง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ℹ️ ผลกระทบต่ออนาคตของ Meta - หาก FTC ชนะคดี Meta อาจต้อง แยก Instagram และ WhatsApp ออกจากบริษัท ℹ️ ความท้าทายในการแข่งขันกับแพลตฟอร์มอื่น - Meta ต้องเผชิญกับการแข่งขันจาก TikTok, YouTube และ Apple Messages ℹ️ แนวโน้มของการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ - รัฐบาลสหรัฐฯ อาจเพิ่มมาตรการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการผูกขาด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/16/at-us-antitrust-trial-meta039s-zuckerberg-admits-he-bought-instagram-because-it-was-039better039
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta's Zuckerberg eyed Instagram spinoff amid antitrust scrutiny, document shows
    WASHINGTON (Reuters) -Meta CEO Mark Zuckerberg considered spinning off popular photo-sharing app Instagram in 2018 over concerns about the growing risk of antitrust scrutiny, according to a document shown at a trial in Washington on Tuesday.
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • Google ได้เปิดตัว ฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยใหม่สำหรับ Android ซึ่งจะทำให้โทรศัพท์ของคุณ รีบูตอัตโนมัติ หากไม่ได้ใช้งานเป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน โดยฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Google Play Services update

    ✅ โทรศัพท์ Android จะรีบูตอัตโนมัติหากไม่ได้ใช้งาน 3 วัน
    - ฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยโดยบังคับให้ผู้ใช้ต้อง ป้อน PIN หลังจากรีบูต
    - ระบบจะไม่อนุญาตให้ใช้ การปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือหรือใบหน้า หลังจากรีบูต

    ✅ การทำงานของระบบล็อก BFU และ AFU
    - โทรศัพท์มี สองสถานะล็อก คือ Before First Unlock (BFU) และ After First Unlock (AFU)
    - ในสถานะ BFU ข้อมูลจะถูกเข้ารหัสอย่างแน่นหนา ทำให้ ไม่สามารถเข้าถึงได้แม้ใช้เครื่องมือแฮกขั้นสูง

    ✅ ผลกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมาย
    - ฟีเจอร์นี้อาจทำให้ ตำรวจหรือ FBI มีเวลาจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลบนโทรศัพท์ที่ถูกยึดเป็นหลักฐาน
    - Apple ได้เปิดตัวฟีเจอร์คล้ายกันสำหรับ iPhone เมื่อปีที่แล้ว

    ✅ การเปิดใช้งานและข้อจำกัด
    - ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Google System release notes เดือนเมษายน 2025
    - ใช้ได้กับ โทรศัพท์และแท็บเล็ต Android แต่ ไม่รองรับ Pixel Watch, Android Auto และทีวี

    https://www.zdnet.com/article/your-android-phone-is-getting-a-new-security-secret-weapon-how-it-works/
    Google ได้เปิดตัว ฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยใหม่สำหรับ Android ซึ่งจะทำให้โทรศัพท์ของคุณ รีบูตอัตโนมัติ หากไม่ได้ใช้งานเป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน โดยฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Google Play Services update ✅ โทรศัพท์ Android จะรีบูตอัตโนมัติหากไม่ได้ใช้งาน 3 วัน - ฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยโดยบังคับให้ผู้ใช้ต้อง ป้อน PIN หลังจากรีบูต - ระบบจะไม่อนุญาตให้ใช้ การปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือหรือใบหน้า หลังจากรีบูต ✅ การทำงานของระบบล็อก BFU และ AFU - โทรศัพท์มี สองสถานะล็อก คือ Before First Unlock (BFU) และ After First Unlock (AFU) - ในสถานะ BFU ข้อมูลจะถูกเข้ารหัสอย่างแน่นหนา ทำให้ ไม่สามารถเข้าถึงได้แม้ใช้เครื่องมือแฮกขั้นสูง ✅ ผลกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมาย - ฟีเจอร์นี้อาจทำให้ ตำรวจหรือ FBI มีเวลาจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลบนโทรศัพท์ที่ถูกยึดเป็นหลักฐาน - Apple ได้เปิดตัวฟีเจอร์คล้ายกันสำหรับ iPhone เมื่อปีที่แล้ว ✅ การเปิดใช้งานและข้อจำกัด - ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Google System release notes เดือนเมษายน 2025 - ใช้ได้กับ โทรศัพท์และแท็บเล็ต Android แต่ ไม่รองรับ Pixel Watch, Android Auto และทีวี https://www.zdnet.com/article/your-android-phone-is-getting-a-new-security-secret-weapon-how-it-works/
    WWW.ZDNET.COM
    Your Android phone is getting a new security secret weapon - how it works
    This new security feature from Google will make your Android phone more difficult to access if you haven't used it in a while.
    0 Comments 0 Shares 145 Views 0 Reviews
  • Microsoft ได้ยืนยันว่ามีปัญหากับ Windows Hello หลังจากติดตั้งอัปเดตความปลอดภัยของ Windows 11 ในเดือนเมษายน 2025 โดยผู้ใช้บางรายพบว่า การเข้าสู่ระบบด้วยใบหน้าและ PIN ไม่สามารถใช้งานได้ หลังจากรีเซ็ตระบบ

    ✅ Windows Hello ไม่ทำงานหลังจากรีเซ็ตระบบ
    - ปัญหานี้เกิดขึ้นหลังจากติดตั้งอัปเดต KB5055523
    - ผู้ใช้ที่เลือก "Keep my Files" ในการรีเซ็ตระบบอาจพบว่า PIN และการตั้งค่าการจดจำใบหน้าหายไป

    ✅ ข้อความแสดงข้อผิดพลาดที่พบ
    - เมื่อพยายามเข้าสู่ระบบ ผู้ใช้จะเห็นข้อความ "Something happened and your PIN isn't available"
    - หากพยายามตั้งค่าการจดจำใบหน้าใหม่ อาจพบข้อความ "Sorry something went wrong with face setup"

    ✅ อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบ
    - ปัญหานี้พบในอุปกรณ์ที่เปิดใช้งาน System Guard Secure Launch หรือ Dynamic Root of Trust for Measurement (DRTM)
    - ไม่ส่งผลกระทบต่อ Windows 11 เวอร์ชัน 23H2 หรือเก่ากว่า

    ✅ วิธีแก้ไขปัญหาเบื้องต้น
    - ผู้ใช้สามารถ ตั้งค่า PIN ใหม่ ตามคำแนะนำบนหน้าจอ
    - หลังจากนั้นสามารถ ตั้งค่าการจดจำใบหน้าใหม่ ผ่านแอป Settings

    https://www.neowin.net/news/microsoft-confirms-windows-hello-issues-in-latest-windows-11-updates/
    Microsoft ได้ยืนยันว่ามีปัญหากับ Windows Hello หลังจากติดตั้งอัปเดตความปลอดภัยของ Windows 11 ในเดือนเมษายน 2025 โดยผู้ใช้บางรายพบว่า การเข้าสู่ระบบด้วยใบหน้าและ PIN ไม่สามารถใช้งานได้ หลังจากรีเซ็ตระบบ ✅ Windows Hello ไม่ทำงานหลังจากรีเซ็ตระบบ - ปัญหานี้เกิดขึ้นหลังจากติดตั้งอัปเดต KB5055523 - ผู้ใช้ที่เลือก "Keep my Files" ในการรีเซ็ตระบบอาจพบว่า PIN และการตั้งค่าการจดจำใบหน้าหายไป ✅ ข้อความแสดงข้อผิดพลาดที่พบ - เมื่อพยายามเข้าสู่ระบบ ผู้ใช้จะเห็นข้อความ "Something happened and your PIN isn't available" - หากพยายามตั้งค่าการจดจำใบหน้าใหม่ อาจพบข้อความ "Sorry something went wrong with face setup" ✅ อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบ - ปัญหานี้พบในอุปกรณ์ที่เปิดใช้งาน System Guard Secure Launch หรือ Dynamic Root of Trust for Measurement (DRTM) - ไม่ส่งผลกระทบต่อ Windows 11 เวอร์ชัน 23H2 หรือเก่ากว่า ✅ วิธีแก้ไขปัญหาเบื้องต้น - ผู้ใช้สามารถ ตั้งค่า PIN ใหม่ ตามคำแนะนำบนหน้าจอ - หลังจากนั้นสามารถ ตั้งค่าการจดจำใบหน้าใหม่ ผ่านแอป Settings https://www.neowin.net/news/microsoft-confirms-windows-hello-issues-in-latest-windows-11-updates/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft confirms Windows Hello issues in latest Windows 11 updates
    Recent Windows 11 updates are breaking Windows Hello face sign-in, and Microsoft is now aware of the problem.
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • ลุงนึกว่ามีแค่หน่วยราชการไทยที่ยังใช้ ActiveX อยู่นะเนี่ยะ

    Microsoft ได้ปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยใน Office apps โดยทำให้การเปิดใช้งาน ActiveX controls ยากขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ช่วยลดความเสี่ยงจากมัลแวร์และการโจมตีทางไซเบอร์

    ✅ ActiveX ถูกบล็อกโดยค่าเริ่มต้นใน Office apps
    - ก่อนหน้านี้ Office apps อนุญาตให้ผู้ใช้เปิดใช้งาน ActiveX ได้ง่ายผ่าน prompt
    - Microsoft พบว่าพฤติกรรมนี้เปิดช่องให้ มัลแวร์และโค้ดที่ไม่ได้รับอนุญาต สามารถรันบนระบบได้

    ✅ การเปลี่ยนแปลงในเวอร์ชันล่าสุด
    - ตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 เป็นต้นไป Word, Excel, PowerPoint และ Visio จะบล็อก ActiveX โดยอัตโนมัติ
    - เมื่อเปิดไฟล์ที่มี ActiveX ผู้ใช้จะเห็นข้อความ "BLOCKED CONTENT: The ActiveX content in this file is blocked."

    ✅ การเปิดใช้งาน ActiveX ใน Trust Center
    - หากต้องการเปิดใช้งาน ActiveX ผู้ใช้ต้องไปที่ File > Options > Trust Center
    - จากนั้นเลือก ActiveX Settings > Prompt me before enabling all controls with minimal restrictions

    ✅ การเปิดตัวใน Microsoft 365
    - ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานแล้วสำหรับ Microsoft 365 Insiders ใน Beta Channel
    - กำลังทยอยเปิดตัวใน Current Channel เวอร์ชัน 2504 (build 18730.20030 หรือใหม่กว่า)

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ที่ต้องใช้ ActiveX
    - ผู้ใช้ที่ต้องพึ่งพา ActiveX อาจต้องปรับการตั้งค่าใน Trust Center
    - อาจมีผลกระทบต่อ ไฟล์เก่าที่ใช้ ActiveX ซึ่งอาจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของ ActiveX
    - ActiveX เป็นเทคโนโลยีที่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสูง และมักถูกใช้ในการโจมตีแบบ social engineering
    - Microsoft แนะนำให้ใช้ เทคโนโลยีอื่นแทน ActiveX เช่น JavaScript หรือ HTML5

    ℹ️ แนวโน้มของการรักษาความปลอดภัยใน Office apps
    - Microsoft อาจเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมในอนาคต
    - อาจมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ VBA macros และ Add-ins เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์

    https://www.neowin.net/news/microsoft-makes-it-harder-to-enable-activex-in-office-apps-to-improve-security/
    ลุงนึกว่ามีแค่หน่วยราชการไทยที่ยังใช้ ActiveX อยู่นะเนี่ยะ Microsoft ได้ปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยใน Office apps โดยทำให้การเปิดใช้งาน ActiveX controls ยากขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ช่วยลดความเสี่ยงจากมัลแวร์และการโจมตีทางไซเบอร์ ✅ ActiveX ถูกบล็อกโดยค่าเริ่มต้นใน Office apps - ก่อนหน้านี้ Office apps อนุญาตให้ผู้ใช้เปิดใช้งาน ActiveX ได้ง่ายผ่าน prompt - Microsoft พบว่าพฤติกรรมนี้เปิดช่องให้ มัลแวร์และโค้ดที่ไม่ได้รับอนุญาต สามารถรันบนระบบได้ ✅ การเปลี่ยนแปลงในเวอร์ชันล่าสุด - ตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 เป็นต้นไป Word, Excel, PowerPoint และ Visio จะบล็อก ActiveX โดยอัตโนมัติ - เมื่อเปิดไฟล์ที่มี ActiveX ผู้ใช้จะเห็นข้อความ "BLOCKED CONTENT: The ActiveX content in this file is blocked." ✅ การเปิดใช้งาน ActiveX ใน Trust Center - หากต้องการเปิดใช้งาน ActiveX ผู้ใช้ต้องไปที่ File > Options > Trust Center - จากนั้นเลือก ActiveX Settings > Prompt me before enabling all controls with minimal restrictions ✅ การเปิดตัวใน Microsoft 365 - ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานแล้วสำหรับ Microsoft 365 Insiders ใน Beta Channel - กำลังทยอยเปิดตัวใน Current Channel เวอร์ชัน 2504 (build 18730.20030 หรือใหม่กว่า) ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ที่ต้องใช้ ActiveX - ผู้ใช้ที่ต้องพึ่งพา ActiveX อาจต้องปรับการตั้งค่าใน Trust Center - อาจมีผลกระทบต่อ ไฟล์เก่าที่ใช้ ActiveX ซึ่งอาจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของ ActiveX - ActiveX เป็นเทคโนโลยีที่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสูง และมักถูกใช้ในการโจมตีแบบ social engineering - Microsoft แนะนำให้ใช้ เทคโนโลยีอื่นแทน ActiveX เช่น JavaScript หรือ HTML5 ℹ️ แนวโน้มของการรักษาความปลอดภัยใน Office apps - Microsoft อาจเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมในอนาคต - อาจมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ VBA macros และ Add-ins เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ https://www.neowin.net/news/microsoft-makes-it-harder-to-enable-activex-in-office-apps-to-improve-security/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft makes it harder to enable ActiveX in Office apps to improve security
    ActiveX is a powerful technology for Office apps, but its inherent risks pose serious security threats. To combat this, Microsoft is making it harder to enable ActiveX.
    0 Comments 0 Shares 126 Views 0 Reviews
  • Apple กำลังปรับกลยุทธ์ในการพัฒนา AI โดยเปลี่ยนจากการใช้ข้อมูลสังเคราะห์เพียงอย่างเดียว มาเป็นการตรวจสอบข้อมูลจริงจากอีเมลที่อยู่บนอุปกรณ์ของผู้ใช้โดยตรง โดยไม่ส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Apple วิธีนี้ช่วยให้ AI สามารถปรับปรุงความแม่นยำในการสรุปข้อความและแนะนำการเขียนได้ดีขึ้น

    Apple อธิบายว่า ข้อมูลสังเคราะห์ ที่ใช้ในการฝึก AI นั้นมีข้อจำกัด เพราะแม้จะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัว แต่ก็อาจไม่สะท้อนรูปแบบการสื่อสารของผู้ใช้จริง ส่งผลให้ AI ทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เช่น Siri ที่ยังมีข้อผิดพลาดในการตอบคำถาม และระบบแจ้งเตือนที่ไม่แม่นยำ

    เพื่อแก้ไขปัญหานี้ Apple จะเริ่มใช้ระบบใหม่ใน iOS 18.5, iPadOS 18.5 และ macOS 15.5 ที่ช่วยให้ AI สามารถตรวจสอบอีเมลของผู้ใช้โดยไม่ต้องเก็บข้อมูลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การสรุปข้อความ, การแนะนำการเขียน, Image Playground, และ Memories Creation

    นอกจากนี้ Apple ยังใช้ Differential Privacy เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของผู้ใช้โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การปรับปรุงการสร้าง Genmoji โดยดูจากคำขอที่คล้ายกันของผู้ใช้หลายคน

    ✅ แนวทางใหม่ของ Apple ในการฝึก AI
    - ใช้ข้อมูลจากอีเมลของผู้ใช้โดยตรง โดยไม่ส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์
    - ช่วยปรับปรุงความแม่นยำในการสรุปข้อความและแนะนำการเขียน

    ✅ ข้อจำกัดของข้อมูลสังเคราะห์
    - แม้จะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัว แต่ไม่สะท้อนรูปแบบการสื่อสารของผู้ใช้จริง
    - ส่งผลให้ Siri และระบบแจ้งเตือนทำงานได้ไม่สมบูรณ์

    ✅ การอัปเดตใน iOS 18.5, iPadOS 18.5 และ macOS 15.5
    - ระบบใหม่ช่วยให้ AI ตรวจสอบอีเมลของผู้ใช้โดยไม่ต้องเก็บข้อมูลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์
    - ปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การสรุปข้อความ, Image Playground, และ Memories Creation

    ✅ การใช้ Differential Privacy
    - วิเคราะห์แนวโน้มของผู้ใช้โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
    - ปรับปรุงการสร้าง Genmoji โดยดูจากคำขอที่คล้ายกันของผู้ใช้หลายคน

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
    - แม้ Apple จะเน้นความเป็นส่วนตัว แต่การใช้ข้อมูลจากอีเมลอาจทำให้เกิดข้อกังวล
    - ผู้ใช้ต้องเลือกเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ผ่าน Device Analytics และ Product Improvement Settings

    ℹ️ ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด AI
    - Apple พยายามไล่ตาม OpenAI, Microsoft และ Google ในการพัฒนา AI
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจช่วยให้ Apple Intelligence แข่งขันได้ดีขึ้น

    https://www.neowin.net/news/apple-wants-to-train-ai-on-your-emails-in-a-way-that-protects-your-privacy/
    Apple กำลังปรับกลยุทธ์ในการพัฒนา AI โดยเปลี่ยนจากการใช้ข้อมูลสังเคราะห์เพียงอย่างเดียว มาเป็นการตรวจสอบข้อมูลจริงจากอีเมลที่อยู่บนอุปกรณ์ของผู้ใช้โดยตรง โดยไม่ส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Apple วิธีนี้ช่วยให้ AI สามารถปรับปรุงความแม่นยำในการสรุปข้อความและแนะนำการเขียนได้ดีขึ้น Apple อธิบายว่า ข้อมูลสังเคราะห์ ที่ใช้ในการฝึก AI นั้นมีข้อจำกัด เพราะแม้จะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัว แต่ก็อาจไม่สะท้อนรูปแบบการสื่อสารของผู้ใช้จริง ส่งผลให้ AI ทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เช่น Siri ที่ยังมีข้อผิดพลาดในการตอบคำถาม และระบบแจ้งเตือนที่ไม่แม่นยำ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ Apple จะเริ่มใช้ระบบใหม่ใน iOS 18.5, iPadOS 18.5 และ macOS 15.5 ที่ช่วยให้ AI สามารถตรวจสอบอีเมลของผู้ใช้โดยไม่ต้องเก็บข้อมูลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การสรุปข้อความ, การแนะนำการเขียน, Image Playground, และ Memories Creation นอกจากนี้ Apple ยังใช้ Differential Privacy เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของผู้ใช้โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การปรับปรุงการสร้าง Genmoji โดยดูจากคำขอที่คล้ายกันของผู้ใช้หลายคน ✅ แนวทางใหม่ของ Apple ในการฝึก AI - ใช้ข้อมูลจากอีเมลของผู้ใช้โดยตรง โดยไม่ส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ - ช่วยปรับปรุงความแม่นยำในการสรุปข้อความและแนะนำการเขียน ✅ ข้อจำกัดของข้อมูลสังเคราะห์ - แม้จะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัว แต่ไม่สะท้อนรูปแบบการสื่อสารของผู้ใช้จริง - ส่งผลให้ Siri และระบบแจ้งเตือนทำงานได้ไม่สมบูรณ์ ✅ การอัปเดตใน iOS 18.5, iPadOS 18.5 และ macOS 15.5 - ระบบใหม่ช่วยให้ AI ตรวจสอบอีเมลของผู้ใช้โดยไม่ต้องเก็บข้อมูลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ - ปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การสรุปข้อความ, Image Playground, และ Memories Creation ✅ การใช้ Differential Privacy - วิเคราะห์แนวโน้มของผู้ใช้โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล - ปรับปรุงการสร้าง Genmoji โดยดูจากคำขอที่คล้ายกันของผู้ใช้หลายคน ℹ️ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว - แม้ Apple จะเน้นความเป็นส่วนตัว แต่การใช้ข้อมูลจากอีเมลอาจทำให้เกิดข้อกังวล - ผู้ใช้ต้องเลือกเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ผ่าน Device Analytics และ Product Improvement Settings ℹ️ ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด AI - Apple พยายามไล่ตาม OpenAI, Microsoft และ Google ในการพัฒนา AI - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจช่วยให้ Apple Intelligence แข่งขันได้ดีขึ้น https://www.neowin.net/news/apple-wants-to-train-ai-on-your-emails-in-a-way-that-protects-your-privacy/
    WWW.NEOWIN.NET
    Apple wants to train AI on your emails in a way that protects your privacy
    Apple has lagged behind in AI, but now it's using user data to improve its models while "protecting privacy."
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • Happy Songkran 2025
    Happy Songkran 2025
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 0 Reviews
  • Happy Family Day💕
    Happy Family Day💕
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 0 Reviews
  • Apple ได้เปิดตัว Apple Maps Web App ที่สามารถใช้งานได้ผ่านเบราว์เซอร์ โดยไม่จำกัดเฉพาะอุปกรณ์ของ Apple อีกต่อไป ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น การค้นหาและการนำทาง รวมถึงฟีเจอร์ Look Around ที่คล้ายกับ Google Street View อย่างไรก็ตาม Web App นี้ยังมีข้อจำกัด เช่น ไม่รองรับการเข้าสู่ระบบเพื่อบันทึกข้อมูล ไม่มีแผนที่การเดินทาง และไม่มีอาคาร 3D

    การเปิดตัวนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามของ Apple ในการตอบสนองต่อแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในยุโรปที่เรียกร้องให้ Apple เปิดระบบนิเวศของตนให้กว้างขึ้น

    ✅ การเปิดตัว Apple Maps Web App
    - Apple Maps Web App สามารถใช้งานได้บนทุกอุปกรณ์ รวมถึง Android
    - รองรับฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น การค้นหา การนำทาง และ Look Around

    ✅ ข้อจำกัดของ Web App
    - ไม่รองรับการเข้าสู่ระบบเพื่อบันทึกข้อมูล
    - ไม่มีแผนที่การเดินทางและอาคาร 3D

    ✅ แรงผลักดันจากหน่วยงานกำกับดูแล
    - การเปิดตัวนี้เป็นผลมาจากแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรป
    - Apple ถูกเรียกร้องให้เปิดระบบนิเวศของตนให้กว้างขึ้น

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อการใช้งาน
    - Web App อาจไม่สามารถแข่งขันกับ Google Maps ในด้านฟีเจอร์และความสะดวก
    - ผู้ใช้งานอาจไม่เลือกใช้ Apple Maps หากไม่มีฟีเจอร์ที่ครบครัน

    ℹ️ ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Apple
    - การเปิดตัว Web App ที่มีข้อจำกัดอาจลดความน่าเชื่อถือในผลิตภัณฑ์ของ Apple
    - Apple อาจต้องพัฒนาฟีเจอร์เพิ่มเติมเพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน

    https://www.techspot.com/news/107529-android-users-can-now-use-apple-maps-web.html
    Apple ได้เปิดตัว Apple Maps Web App ที่สามารถใช้งานได้ผ่านเบราว์เซอร์ โดยไม่จำกัดเฉพาะอุปกรณ์ของ Apple อีกต่อไป ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น การค้นหาและการนำทาง รวมถึงฟีเจอร์ Look Around ที่คล้ายกับ Google Street View อย่างไรก็ตาม Web App นี้ยังมีข้อจำกัด เช่น ไม่รองรับการเข้าสู่ระบบเพื่อบันทึกข้อมูล ไม่มีแผนที่การเดินทาง และไม่มีอาคาร 3D การเปิดตัวนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามของ Apple ในการตอบสนองต่อแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในยุโรปที่เรียกร้องให้ Apple เปิดระบบนิเวศของตนให้กว้างขึ้น ✅ การเปิดตัว Apple Maps Web App - Apple Maps Web App สามารถใช้งานได้บนทุกอุปกรณ์ รวมถึง Android - รองรับฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น การค้นหา การนำทาง และ Look Around ✅ ข้อจำกัดของ Web App - ไม่รองรับการเข้าสู่ระบบเพื่อบันทึกข้อมูล - ไม่มีแผนที่การเดินทางและอาคาร 3D ✅ แรงผลักดันจากหน่วยงานกำกับดูแล - การเปิดตัวนี้เป็นผลมาจากแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรป - Apple ถูกเรียกร้องให้เปิดระบบนิเวศของตนให้กว้างขึ้น ℹ️ ความเสี่ยงต่อการใช้งาน - Web App อาจไม่สามารถแข่งขันกับ Google Maps ในด้านฟีเจอร์และความสะดวก - ผู้ใช้งานอาจไม่เลือกใช้ Apple Maps หากไม่มีฟีเจอร์ที่ครบครัน ℹ️ ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Apple - การเปิดตัว Web App ที่มีข้อจำกัดอาจลดความน่าเชื่อถือในผลิตภัณฑ์ของ Apple - Apple อาจต้องพัฒนาฟีเจอร์เพิ่มเติมเพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน https://www.techspot.com/news/107529-android-users-can-now-use-apple-maps-web.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Apple Maps web app is now available on all devices, including Android
    Initially, users could only access the Maps web app from desktops or tablets. Now, Apple has quietly dropped the beta tag from the URL and opened the...
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • Apple Vision Pro ซึ่งเปิดตัวด้วยราคาสูงถึง $3,500 และน้ำหนัก 1.5 ปอนด์ (680 กรัม) ถูกวิจารณ์ว่าไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างเต็มที่ Apple จึงตัดสินใจพัฒนารุ่นใหม่ที่มีน้ำหนักเบาและราคาถูกกว่า โดยคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2027

    นอกจากนี้ Apple ยังพัฒนารุ่นที่สามารถเชื่อมต่อกับ Mac เพื่อใช้งานในระดับองค์กร เช่น การดูภาพในระหว่างการผ่าตัด หรือการใช้ในเครื่องจำลองการบิน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบที่มีความหน่วงต่ำมากสำหรับการสตรีมหน้าจอ Mac

    ในระยะยาว Apple มีเป้าหมายที่จะพัฒนาแว่นตา AR ที่สามารถสวมใส่ได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งอาจมีลักษณะคล้ายกับแว่นตา Meta Ray-Ban แต่เพิ่มความสามารถของ Siri และ AI

    ✅ การพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่
    - Apple พัฒนารุ่นราคาถูกและน้ำหนักเบาเพื่อแก้ไขปัญหาของรุ่นปัจจุบัน
    - รุ่นราคาถูกคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2027

    ✅ Vision Pro รุ่นเชื่อมต่อกับ Mac
    - สามารถเชื่อมต่อกับ Mac เพื่อใช้งานในระดับองค์กร
    - มีระบบที่มีความหน่วงต่ำสำหรับการสตรีมหน้าจอ Mac

    ✅ เป้าหมายระยะยาวของ Apple
    - พัฒนาแว่นตา AR ที่สามารถสวมใส่ได้ตลอดทั้งวัน
    - เพิ่มความสามารถของ Siri และ AI

    ℹ️ ความท้าทายในการพัฒนา
    - การลดน้ำหนักและราคาของ Vision Pro อาจต้องใช้ทรัพยากรและเวลา
    - การพัฒนาแว่นตา AR ที่สวมใส่ได้ตลอดทั้งวันอาจต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี

    ℹ️ ผลกระทบต่อคู่แข่งในตลาด
    - การพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่อาจเพิ่มแรงกดดันให้คู่แข่ง เช่น Meta และ LG
    - การแข่งขันในตลาด AR และ VR อาจเข้มข้นขึ้น

    https://www.neowin.net/news/apple-is-reportedly-developing-a-cheaper-vision-pro-and-a-new-mac-connected-version/
    Apple Vision Pro ซึ่งเปิดตัวด้วยราคาสูงถึง $3,500 และน้ำหนัก 1.5 ปอนด์ (680 กรัม) ถูกวิจารณ์ว่าไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างเต็มที่ Apple จึงตัดสินใจพัฒนารุ่นใหม่ที่มีน้ำหนักเบาและราคาถูกกว่า โดยคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2027 นอกจากนี้ Apple ยังพัฒนารุ่นที่สามารถเชื่อมต่อกับ Mac เพื่อใช้งานในระดับองค์กร เช่น การดูภาพในระหว่างการผ่าตัด หรือการใช้ในเครื่องจำลองการบิน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบที่มีความหน่วงต่ำมากสำหรับการสตรีมหน้าจอ Mac ในระยะยาว Apple มีเป้าหมายที่จะพัฒนาแว่นตา AR ที่สามารถสวมใส่ได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งอาจมีลักษณะคล้ายกับแว่นตา Meta Ray-Ban แต่เพิ่มความสามารถของ Siri และ AI ✅ การพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่ - Apple พัฒนารุ่นราคาถูกและน้ำหนักเบาเพื่อแก้ไขปัญหาของรุ่นปัจจุบัน - รุ่นราคาถูกคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2027 ✅ Vision Pro รุ่นเชื่อมต่อกับ Mac - สามารถเชื่อมต่อกับ Mac เพื่อใช้งานในระดับองค์กร - มีระบบที่มีความหน่วงต่ำสำหรับการสตรีมหน้าจอ Mac ✅ เป้าหมายระยะยาวของ Apple - พัฒนาแว่นตา AR ที่สามารถสวมใส่ได้ตลอดทั้งวัน - เพิ่มความสามารถของ Siri และ AI ℹ️ ความท้าทายในการพัฒนา - การลดน้ำหนักและราคาของ Vision Pro อาจต้องใช้ทรัพยากรและเวลา - การพัฒนาแว่นตา AR ที่สวมใส่ได้ตลอดทั้งวันอาจต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี ℹ️ ผลกระทบต่อคู่แข่งในตลาด - การพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่อาจเพิ่มแรงกดดันให้คู่แข่ง เช่น Meta และ LG - การแข่งขันในตลาด AR และ VR อาจเข้มข้นขึ้น https://www.neowin.net/news/apple-is-reportedly-developing-a-cheaper-vision-pro-and-a-new-mac-connected-version/
    WWW.NEOWIN.NET
    Apple is reportedly developing a cheaper Vision Pro and a new Mac-connected version
    The latest reports suggest that upcoming Vision Pro models aim to be cheaper and lighter while allowing you to connect the headset to a Mac device.
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • Ways To Stop Saying “Sorry” All The Time

    How many times have you said the word sorry today? If you’re like most people, the answer is probably: a lot.

    Sorry means “feeling regret, compunction, sympathy, pity, etc.” The only problem is, we don’t always use it that way. Sorry has become a sort of anchor that people attach to all kinds of phrases, whether they’re asking a question, asking for help, or even just moving about in a crowded space. In those instances, we aren’t feeling regret or pity, so why are we apologizing?

    Research shows that women tend to over-apologize more often than men, but no matter your identity, psychologists caution that saying sorry all the time can undermine your authority and even impact your self-esteem. If you’re a chronic over-apologizer, it’s time to switch it up. Here are 10 ways to stop saying sorry and start saying what you really mean.

    1. Catch yourself in the act.
    Before you change your habit of over-apologizing, you have to become aware of when you apologize and why. Is it anytime you feel you’re in someone’s way? Or maybe whenever you want to ask a question during a meeting? Start to notice when sorry comes out of your mouth during times when you haven’t actually done anything wrong. Try asking a trusted friend or colleague to point it out to you or even having a day where you write down a tick mark every time you say it.

    2. Think about why you apologize.
    Has sorry become a filler word? Maybe it gives you something to say when you aren’t sure what else to say, or maybe it’s a way of dealing with anxiety or a lack of confidence in certain situations. Understanding why you apologize all the time will help you identify situations for which you could brainstorm some other words and phrases to have in your arsenal instead.

    3. Say “thank you,” not “sorry.”
    When you’re ready to start replacing the word sorry in your vocabulary, here’s an easy trick: say “thank you” instead. This is especially helpful at work or in other places where saying sorry might come off as less authoritative. Thank you turns an apologetic statement into one that exudes confidence. Here are some examples:

    - Instead of Sorry for being late, try Thanks for waiting.
    - Instead of Sorry for the late notice, try I’m so glad you could make it.
    - Instead of Sorry for complaining, try Thanks for listening.
    - Instead of Sorry for the mistake, try Thank you for catching that.

    4. Use a different word.
    Are you using sorry in place of a word or phrase that might work better? For example, when you need something at a restaurant or want to reach in front of someone at the grocery store to grab an item, do you automatically apologize? If so, you may be using sorry as a default, so try to choose some replacement words. Here are some ideas:

    - pardon
    - excuse me
    - after you
    - oops

    5. Focus on solutions.
    We all make mistakes, and apologizing when we really mess up is a good idea. But you don’t need to jump straight to sorry every time there is a minor mishap. In situations at work or even in conversations with friends and loved ones, it can be helpful and more proactive to lead with what you’re going to do to fix the problem. In these situations, try one of these alternatives:

    - I hear you, and I’m going to [list actions you plan to take].
    - Thank you for bringing this to my attention. I’m going to work on it.
    - This didn’t go as planned, but I’m going to make it right.
    - Can you give me feedback on how I can do this differently?

    6. Ask a question.
    Sometimes we use sorry as a way of getting someone’s attention, as in, “Sorry, but I have a question.” The only problem is that beginning your sentence with an apology has the potential to make you sound more passive or make others see you as less authoritative. Instead of defaulting to apologizing whenever you have something to say, try these alternatives:

    - Instead of Sorry to bother you, try Is now a good time to talk?
    - Instead of Sorry for interrupting, try Can I expand on that?
    - Instead of Sorry for getting in the way, try Can I squeeze past you?
    - Instead of Sorry, but I have a question, try Is now a good time for questions?

    7. Ban sorry from your emails.
    In person, the word sorry can slip out without notice. But over email you have the opportunity of more time to think about what you really want to say. Take advantage of that by banning the word sorry from all communications. After you write an email, read through it quickly and delete every instance of sorry or other passive language, and replace it with some of the words or phrases above. It’s a small step that can go a long way towards making you sound more self-assured.

    8. Practice empathy, not sympathy.
    Sorry is a go-to word when something bad happens to someone else, but it isn’t always the best word. Sorry conveys sympathy, and it focuses on how the speaker feels rather than the recipient. Plus, because the word is so overused, it can sometimes sound insincere. Instead of jumping right to sorry in these situations, practice empathy by acknowledging the other person’s feelings over yours. Some examples include:

    - That must have been really difficult.
    - I know you’re really hurting right now.
    - Thank you for trusting me with this.
    - What can I do to make this easier for you?

    9. Prep before important conversations.
    If you know ahead of time that you’re going into a tough conversation where you might be tempted to over-apologize, rehearse some other lines to use instead. For example, if you need to talk to a boss about a problem at work, think about how the conversation might go and choose a few sorry alternatives from earlier on this list. Practice what you’ll say ahead of time. When alternative words and phrases are fresh in your mind, they’ll be easier to remember and work into the conversation naturally.

    10. Get an accountability partner.
    It might be easier to change your habits if you have a little help. If you have a friend, partner, or colleague that you trust, let them know you’re trying to delete sorry from your vocabulary, and see if they’re willing to help by privately pointing out when they hear you over-apologizing. They may notice times when you apologize that you’ve overlooked, and knowing they’re on the lookout might motivate you to change your ways even more. After a while, your sorry habit will be a thing of the past. Sorry, not sorry.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Ways To Stop Saying “Sorry” All The Time How many times have you said the word sorry today? If you’re like most people, the answer is probably: a lot. Sorry means “feeling regret, compunction, sympathy, pity, etc.” The only problem is, we don’t always use it that way. Sorry has become a sort of anchor that people attach to all kinds of phrases, whether they’re asking a question, asking for help, or even just moving about in a crowded space. In those instances, we aren’t feeling regret or pity, so why are we apologizing? Research shows that women tend to over-apologize more often than men, but no matter your identity, psychologists caution that saying sorry all the time can undermine your authority and even impact your self-esteem. If you’re a chronic over-apologizer, it’s time to switch it up. Here are 10 ways to stop saying sorry and start saying what you really mean. 1. Catch yourself in the act. Before you change your habit of over-apologizing, you have to become aware of when you apologize and why. Is it anytime you feel you’re in someone’s way? Or maybe whenever you want to ask a question during a meeting? Start to notice when sorry comes out of your mouth during times when you haven’t actually done anything wrong. Try asking a trusted friend or colleague to point it out to you or even having a day where you write down a tick mark every time you say it. 2. Think about why you apologize. Has sorry become a filler word? Maybe it gives you something to say when you aren’t sure what else to say, or maybe it’s a way of dealing with anxiety or a lack of confidence in certain situations. Understanding why you apologize all the time will help you identify situations for which you could brainstorm some other words and phrases to have in your arsenal instead. 3. Say “thank you,” not “sorry.” When you’re ready to start replacing the word sorry in your vocabulary, here’s an easy trick: say “thank you” instead. This is especially helpful at work or in other places where saying sorry might come off as less authoritative. Thank you turns an apologetic statement into one that exudes confidence. Here are some examples: - Instead of Sorry for being late, try Thanks for waiting. - Instead of Sorry for the late notice, try I’m so glad you could make it. - Instead of Sorry for complaining, try Thanks for listening. - Instead of Sorry for the mistake, try Thank you for catching that. 4. Use a different word. Are you using sorry in place of a word or phrase that might work better? For example, when you need something at a restaurant or want to reach in front of someone at the grocery store to grab an item, do you automatically apologize? If so, you may be using sorry as a default, so try to choose some replacement words. Here are some ideas: - pardon - excuse me - after you - oops 5. Focus on solutions. We all make mistakes, and apologizing when we really mess up is a good idea. But you don’t need to jump straight to sorry every time there is a minor mishap. In situations at work or even in conversations with friends and loved ones, it can be helpful and more proactive to lead with what you’re going to do to fix the problem. In these situations, try one of these alternatives: - I hear you, and I’m going to [list actions you plan to take]. - Thank you for bringing this to my attention. I’m going to work on it. - This didn’t go as planned, but I’m going to make it right. - Can you give me feedback on how I can do this differently? 6. Ask a question. Sometimes we use sorry as a way of getting someone’s attention, as in, “Sorry, but I have a question.” The only problem is that beginning your sentence with an apology has the potential to make you sound more passive or make others see you as less authoritative. Instead of defaulting to apologizing whenever you have something to say, try these alternatives: - Instead of Sorry to bother you, try Is now a good time to talk? - Instead of Sorry for interrupting, try Can I expand on that? - Instead of Sorry for getting in the way, try Can I squeeze past you? - Instead of Sorry, but I have a question, try Is now a good time for questions? 7. Ban sorry from your emails. In person, the word sorry can slip out without notice. But over email you have the opportunity of more time to think about what you really want to say. Take advantage of that by banning the word sorry from all communications. After you write an email, read through it quickly and delete every instance of sorry or other passive language, and replace it with some of the words or phrases above. It’s a small step that can go a long way towards making you sound more self-assured. 8. Practice empathy, not sympathy. Sorry is a go-to word when something bad happens to someone else, but it isn’t always the best word. Sorry conveys sympathy, and it focuses on how the speaker feels rather than the recipient. Plus, because the word is so overused, it can sometimes sound insincere. Instead of jumping right to sorry in these situations, practice empathy by acknowledging the other person’s feelings over yours. Some examples include: - That must have been really difficult. - I know you’re really hurting right now. - Thank you for trusting me with this. - What can I do to make this easier for you? 9. Prep before important conversations. If you know ahead of time that you’re going into a tough conversation where you might be tempted to over-apologize, rehearse some other lines to use instead. For example, if you need to talk to a boss about a problem at work, think about how the conversation might go and choose a few sorry alternatives from earlier on this list. Practice what you’ll say ahead of time. When alternative words and phrases are fresh in your mind, they’ll be easier to remember and work into the conversation naturally. 10. Get an accountability partner. It might be easier to change your habits if you have a little help. If you have a friend, partner, or colleague that you trust, let them know you’re trying to delete sorry from your vocabulary, and see if they’re willing to help by privately pointing out when they hear you over-apologizing. They may notice times when you apologize that you’ve overlooked, and knowing they’re on the lookout might motivate you to change your ways even more. After a while, your sorry habit will be a thing of the past. Sorry, not sorry. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 Comments 0 Shares 227 Views 0 Reviews
  • สุขสันต์วันสงกรานต์ 2568
    Happy Songkran Day 2025
    ขอให้มีแต่ความสุข สนุกสนาน และเดินทางใกล้ไกลขอให้ปลอดภัยตลอดเส้นทาง
    สุขสันต์วันสงกรานต์ 2568 Happy Songkran Day 2025 ขอให้มีแต่ความสุข สนุกสนาน และเดินทางใกล้ไกลขอให้ปลอดภัยตลอดเส้นทาง
    1 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • ผลสำรวจออนไลน์โดย Talker Research พบว่าคนส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ เริ่มรู้สึกกังวลเมื่อแบตเตอรี่โทรศัพท์ลดลงเหลือ 38% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่สูงกว่าการแจ้งเตือนของ iPhone ที่มักเกิดขึ้นเมื่อแบตเตอรี่ลดลงต่ำกว่า 20% นอกจากนี้ยังพบว่าคนรุ่น Millennials และ Generation Z มีความกังวลมากกว่าคนรุ่น Boomers โดยเริ่มรู้สึกกังวลเมื่อแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 43%

    การสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ (61%) เลือกแสดงเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่บนหน้าจอ ขณะที่อีก 39% เลือกใช้ไอคอนรูปแบตเตอรี่แบบง่ายๆ

    ในด้านเทคโนโลยี ผู้ผลิตยังคงพยายามแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ เช่น Apple ที่มีโหมดการชาร์จแบบปรับแต่งเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ หรือ Google ที่ลดความจุแบตเตอรี่สูงสุดใน Pixel 9a หลังการชาร์จครบ 200 รอบ

    ✅ ผลสำรวจเกี่ยวกับความกังวลเรื่องแบตเตอรี่
    - คนส่วนใหญ่เริ่มกังวลเมื่อแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 38%
    - Millennials และ Generation Z กังวลมากกว่าคนรุ่น Boomers

    ✅ การแสดงผลแบตเตอรี่บนหน้าจอ
    - 61% เลือกแสดงเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่
    - 39% เลือกใช้ไอคอนรูปแบตเตอรี่แบบง่ายๆ

    ✅ การแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ
    - Apple มีโหมดการชาร์จแบบปรับแต่งเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่
    - Google ลดความจุแบตเตอรี่สูงสุดใน Pixel 9a หลังการชาร์จครบ 200 รอบ

    ℹ️ ความเสี่ยงจากแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ
    - แบตเตอรี่เสื่อมสภาพอาจลดประสิทธิภาพการใช้งานโทรศัพท์
    - การชาร์จแบตเตอรี่บ่อยครั้งอาจส่งผลต่ออายุการใช้งาน

    ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้
    - ความกังวลเรื่องแบตเตอรี่อาจเพิ่มความเครียดในชีวิตประจำวัน
    - การเลือกใช้แบตเตอรี่สำรองหรือโทรศัพท์ที่มีความจุสูงอาจช่วยลดความกังวล

    https://www.techspot.com/news/107518-americans-panic-when-their-phone-battery-hits-38.html
    ผลสำรวจออนไลน์โดย Talker Research พบว่าคนส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ เริ่มรู้สึกกังวลเมื่อแบตเตอรี่โทรศัพท์ลดลงเหลือ 38% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่สูงกว่าการแจ้งเตือนของ iPhone ที่มักเกิดขึ้นเมื่อแบตเตอรี่ลดลงต่ำกว่า 20% นอกจากนี้ยังพบว่าคนรุ่น Millennials และ Generation Z มีความกังวลมากกว่าคนรุ่น Boomers โดยเริ่มรู้สึกกังวลเมื่อแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 43% การสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ (61%) เลือกแสดงเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่บนหน้าจอ ขณะที่อีก 39% เลือกใช้ไอคอนรูปแบตเตอรี่แบบง่ายๆ ในด้านเทคโนโลยี ผู้ผลิตยังคงพยายามแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ เช่น Apple ที่มีโหมดการชาร์จแบบปรับแต่งเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ หรือ Google ที่ลดความจุแบตเตอรี่สูงสุดใน Pixel 9a หลังการชาร์จครบ 200 รอบ ✅ ผลสำรวจเกี่ยวกับความกังวลเรื่องแบตเตอรี่ - คนส่วนใหญ่เริ่มกังวลเมื่อแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 38% - Millennials และ Generation Z กังวลมากกว่าคนรุ่น Boomers ✅ การแสดงผลแบตเตอรี่บนหน้าจอ - 61% เลือกแสดงเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ - 39% เลือกใช้ไอคอนรูปแบตเตอรี่แบบง่ายๆ ✅ การแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ - Apple มีโหมดการชาร์จแบบปรับแต่งเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ - Google ลดความจุแบตเตอรี่สูงสุดใน Pixel 9a หลังการชาร์จครบ 200 รอบ ℹ️ ความเสี่ยงจากแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ - แบตเตอรี่เสื่อมสภาพอาจลดประสิทธิภาพการใช้งานโทรศัพท์ - การชาร์จแบตเตอรี่บ่อยครั้งอาจส่งผลต่ออายุการใช้งาน ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ - ความกังวลเรื่องแบตเตอรี่อาจเพิ่มความเครียดในชีวิตประจำวัน - การเลือกใช้แบตเตอรี่สำรองหรือโทรศัพท์ที่มีความจุสูงอาจช่วยลดความกังวล https://www.techspot.com/news/107518-americans-panic-when-their-phone-battery-hits-38.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Survey reveals most people panic when their phone battery drops to 38%
    An online survey by Talker Research found that Americans begin worrying about phone battery life when it hits 38 percent on average. Some might view that threshold...
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • วันเกิดปีนี้ เชื่อว่าเกินครึ่งชีวิตแล้ว เห็นคำอวยพรมากมายจาก social net work ซึ่งก็ทำให้ประทับเสมอ ขอให้ทุกคนที่อวยพรก็ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงยิ่ง ๆ ขึ้นไปเช่นกัน แค่ส่งข้อความหากันเล็กน้อย ก็ทำให้รู้ว่ายังจำกันได้ เมื่อถึงจุดหนึ่งการที่อยู่ในความทรงจำของใครสักคน มันก็เพียงพอแล้ว

    ปล.ขอโทษ ที่รีช้า เมื่อคืนไฟดับทั้งคืน แบตหมดเลย 555

    ขอบคุณภาพจาก coco

    This birthday aniversary. I believe it passed half of my life already. I saw many people give me blessing in many platform of social network, it's always make me touch. Thank you for you all blessing, I wish all you guy more and more happy and healthy. This short massage revealed that we still remember each orther. At one point to realized that someone remember you is enough.

    PS1. Sorry for delayed response last night power down. I cannot even charge my phone. HA HA HA.
    PS2 . Sorry about wrong grammar. I will not check with AI. Because I would like you guy remember the way I speak wrong english. HA HA HA

    Thank you picture of mama Coco
    วันเกิดปีนี้ เชื่อว่าเกินครึ่งชีวิตแล้ว เห็นคำอวยพรมากมายจาก social net work ซึ่งก็ทำให้ประทับเสมอ ขอให้ทุกคนที่อวยพรก็ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงยิ่ง ๆ ขึ้นไปเช่นกัน แค่ส่งข้อความหากันเล็กน้อย ก็ทำให้รู้ว่ายังจำกันได้ เมื่อถึงจุดหนึ่งการที่อยู่ในความทรงจำของใครสักคน มันก็เพียงพอแล้ว ปล.ขอโทษ ที่รีช้า เมื่อคืนไฟดับทั้งคืน แบตหมดเลย 555 ขอบคุณภาพจาก coco This birthday aniversary. I believe it passed half of my life already. I saw many people give me blessing in many platform of social network, it's always make me touch. Thank you for you all blessing, I wish all you guy more and more happy and healthy. This short massage revealed that we still remember each orther. At one point to realized that someone remember you is enough. PS1. Sorry for delayed response last night power down. I cannot even charge my phone. HA HA HA. PS2 . Sorry about wrong grammar. I will not check with AI. Because I would like you guy remember the way I speak wrong english. HA HA HA Thank you picture of mama Coco
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
More Results