• Google ยอมรับกลาย ๆ ว่า GPU ของ Tensor G5 ยังต้องปรับจูน – เตรียมเพิ่มประสิทธิภาพก่อนเปิดตัว Pixel รุ่นใหม่

    Google กำลังพัฒนา Tensor G5 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตรุ่นใหม่ที่จะใช้ใน Pixel รุ่นถัดไป โดยมีรายงานว่า GPU ที่ใช้ใน Tensor G5 ยังไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และต้องการการปรับแต่งเพิ่มเติมก่อนจะพร้อมใช้งานจริง

    แม้ Google จะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ข้อมูลจากเอกสารภายในและการเคลื่อนไหวของทีมพัฒนาเผยว่า GPU ที่ใช้ใน Tensor G5 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมจากบริษัท Imagination Technologies ยังต้องการการปรับจูนเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานบน Android และแอปต่าง ๆ ของ Google โดยเฉพาะด้านการประมวลผลกราฟิกและ AI

    Tensor G5 ถือเป็นชิปที่ Google พัฒนาขึ้นเองเต็มรูปแบบ โดยใช้โรงงาน TSMC ในการผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm ซึ่งต่างจาก Tensor รุ่นก่อนที่ร่วมพัฒนากับ Samsung การเปลี่ยนมาใช้ GPU จาก Imagination แทน ARM Mali ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการปรับแต่งให้เข้ากับ ecosystem ของ Google

    การพัฒนา Tensor G5 โดย Google
    เป็นชิปที่ Google พัฒนาขึ้นเองเต็มรูปแบบ
    ผลิตโดย TSMC ด้วยเทคโนโลยี 3nm
    ใช้ GPU จาก Imagination Technologies แทน ARM Mali

    ความท้าทายด้าน GPU
    GPU ยังไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
    ต้องการการปรับจูนเพื่อรองรับ Android และแอปของ Google
    ทีมพัฒนากำลังเร่งแก้ไขก่อนเปิดตัว Pixel รุ่นใหม่

    การเปลี่ยนแปลงจาก Tensor รุ่นก่อน
    Tensor G5 ไม่ร่วมพัฒนากับ Samsung เหมือนรุ่นก่อน
    เปลี่ยนสถาปัตยกรรม GPU เป็นครั้งแรก
    มุ่งเน้นการควบคุมคุณภาพและประสิทธิภาพโดย Google เอง

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    การเปลี่ยน GPU อาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้กับแอปบางตัว
    หากปรับจูนไม่ทัน อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของ Pixel รุ่นใหม่
    การพัฒนา GPU ภายในต้องใช้ทรัพยากรและเวลามาก
    ความคาดหวังสูงจากผู้ใช้ Pixel อาจกดดันทีมพัฒนา

    https://wccftech.com/google-tacitly-admits-to-the-need-for-optimizing-the-tensor-g5s-gpu/
    📱 Google ยอมรับกลาย ๆ ว่า GPU ของ Tensor G5 ยังต้องปรับจูน – เตรียมเพิ่มประสิทธิภาพก่อนเปิดตัว Pixel รุ่นใหม่ Google กำลังพัฒนา Tensor G5 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตรุ่นใหม่ที่จะใช้ใน Pixel รุ่นถัดไป โดยมีรายงานว่า GPU ที่ใช้ใน Tensor G5 ยังไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และต้องการการปรับแต่งเพิ่มเติมก่อนจะพร้อมใช้งานจริง แม้ Google จะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ข้อมูลจากเอกสารภายในและการเคลื่อนไหวของทีมพัฒนาเผยว่า GPU ที่ใช้ใน Tensor G5 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมจากบริษัท Imagination Technologies ยังต้องการการปรับจูนเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานบน Android และแอปต่าง ๆ ของ Google โดยเฉพาะด้านการประมวลผลกราฟิกและ AI Tensor G5 ถือเป็นชิปที่ Google พัฒนาขึ้นเองเต็มรูปแบบ โดยใช้โรงงาน TSMC ในการผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm ซึ่งต่างจาก Tensor รุ่นก่อนที่ร่วมพัฒนากับ Samsung การเปลี่ยนมาใช้ GPU จาก Imagination แทน ARM Mali ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการปรับแต่งให้เข้ากับ ecosystem ของ Google ✅ การพัฒนา Tensor G5 โดย Google ➡️ เป็นชิปที่ Google พัฒนาขึ้นเองเต็มรูปแบบ ➡️ ผลิตโดย TSMC ด้วยเทคโนโลยี 3nm ➡️ ใช้ GPU จาก Imagination Technologies แทน ARM Mali ✅ ความท้าทายด้าน GPU ➡️ GPU ยังไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ➡️ ต้องการการปรับจูนเพื่อรองรับ Android และแอปของ Google ➡️ ทีมพัฒนากำลังเร่งแก้ไขก่อนเปิดตัว Pixel รุ่นใหม่ ✅ การเปลี่ยนแปลงจาก Tensor รุ่นก่อน ➡️ Tensor G5 ไม่ร่วมพัฒนากับ Samsung เหมือนรุ่นก่อน ➡️ เปลี่ยนสถาปัตยกรรม GPU เป็นครั้งแรก ➡️ มุ่งเน้นการควบคุมคุณภาพและประสิทธิภาพโดย Google เอง ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ การเปลี่ยน GPU อาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้กับแอปบางตัว ⛔ หากปรับจูนไม่ทัน อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของ Pixel รุ่นใหม่ ⛔ การพัฒนา GPU ภายในต้องใช้ทรัพยากรและเวลามาก ⛔ ความคาดหวังสูงจากผู้ใช้ Pixel อาจกดดันทีมพัฒนา https://wccftech.com/google-tacitly-admits-to-the-need-for-optimizing-the-tensor-g5s-gpu/
    WCCFTECH.COM
    Google Tacitly Admits To The Need For Optimizing The Tensor G5's GPU
    While Google has worked with Imagination to develop the IMG DXT-48-1536 GPU for the Tensor G5, Imagination retains full proprietary control.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • BOOX เปิดตัว Note Air5 C และ Palma 2 Pro – อุปกรณ์ ePaper สีใหม่เพื่อการอ่าน เขียน และเชื่อมต่ออย่างอิสระ

    BOOX ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี E Ink เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ Note Air5 C และ Palma 2 Pro ซึ่งเป็น ePaper สีรุ่นล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อการอ่าน เขียน และทำงานแบบพกพา โดยทั้งสองรุ่นใช้หน้าจอ Kaleido 3 ที่แสดงสีได้อย่างนุ่มนวลและสบายตา พร้อมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่

    Note Air5 C เป็นแท็บเล็ตขนาด 10.3 นิ้วที่รองรับการเชื่อมต่อคีย์บอร์ดผ่านแม่เหล็ก มีระบบ Android 15 และปากกา Pen3 รุ่นใหม่ที่ให้สัมผัสเหมือนเขียนบนกระดาษจริง รองรับการทำงานแบบแบ่งหน้าจอและมีไฟหน้าปรับโทนสีได้ เหมาะสำหรับนักเรียน นักเขียน และมืออาชีพที่ต้องการอุปกรณ์จดบันทึกที่ยืดหยุ่น

    Palma 2 Pro เป็นอุปกรณ์ขนาดพกพา 6.13 นิ้ว น้ำหนักเพียง 175 กรัม มาพร้อม 5G และระบบ Android 15 เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง รองรับปากกา InkSense Plus และมีฟีเจอร์ปรับแสงอัตโนมัติเพื่อความสบายตา

    ทั้งสองรุ่นใช้เทคโนโลยี BOOX Super Refresh เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็ว และมีระบบ Smart Scribe ที่ใช้ AI ช่วยจัดการโน้ตและแผนผังความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การเปิดตัว Note Air5 C
    หน้าจอ Kaleido 3 ขนาด 10.3 นิ้ว แสดงสีได้สบายตา
    รองรับคีย์บอร์ดแม่เหล็กและปากกา Pen3 รุ่นใหม่
    ระบบ Android 15 และ BOOX Firmware V4.1
    รองรับการแบ่งหน้าจอและไฟหน้าปรับโทนสี
    เหมาะสำหรับงานจดบันทึกและสร้างสรรค์เนื้อหา

    การเปิดตัว Palma 2 Pro
    ขนาด 6.13 นิ้ว น้ำหนัก 175 กรัม พกพาสะดวก
    รองรับ 5G และ Android 15
    ใช้ปากกา InkSense Plus สำหรับจดโน้ต
    มีไฟหน้าปรับอัตโนมัติตามสภาพแสง
    เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง

    เทคโนโลยีและฟีเจอร์เด่น
    BOOX Super Refresh ช่วยให้การตอบสนองเร็วขึ้น
    Smart Scribe ใช้ AI จัดการโน้ตและแผนผังความคิด
    รองรับการใช้งานแบบ multitasking และ chiplet CPU
    มีระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือและหมุนหน้าจออัตโนมัติ
    ดีไซน์กันน้ำแบบ textured พร้อมสี Charcoal Black และ Ivory White

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ราคาค่อนข้างสูง: Note Air5 C เริ่มต้นที่ $499.99 และ Palma 2 Pro ที่ $379.99
    อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์มัลติมีเดียเต็มรูปแบบ
    การใช้งานบางฟีเจอร์อาจต้องเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น Smart Scribe
    หน้าจอ E Ink สีอาจไม่เหมาะกับการดูภาพหรือวิดีโอที่ต้องการความคมชัดสูง

    https://www.techpowerup.com/342185/boox-introduces-new-color-epaper-devices-note-air5-c-and-palma-2-pro
    📚 BOOX เปิดตัว Note Air5 C และ Palma 2 Pro – อุปกรณ์ ePaper สีใหม่เพื่อการอ่าน เขียน และเชื่อมต่ออย่างอิสระ BOOX ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี E Ink เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ Note Air5 C และ Palma 2 Pro ซึ่งเป็น ePaper สีรุ่นล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อการอ่าน เขียน และทำงานแบบพกพา โดยทั้งสองรุ่นใช้หน้าจอ Kaleido 3 ที่แสดงสีได้อย่างนุ่มนวลและสบายตา พร้อมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่ Note Air5 C เป็นแท็บเล็ตขนาด 10.3 นิ้วที่รองรับการเชื่อมต่อคีย์บอร์ดผ่านแม่เหล็ก มีระบบ Android 15 และปากกา Pen3 รุ่นใหม่ที่ให้สัมผัสเหมือนเขียนบนกระดาษจริง รองรับการทำงานแบบแบ่งหน้าจอและมีไฟหน้าปรับโทนสีได้ เหมาะสำหรับนักเรียน นักเขียน และมืออาชีพที่ต้องการอุปกรณ์จดบันทึกที่ยืดหยุ่น Palma 2 Pro เป็นอุปกรณ์ขนาดพกพา 6.13 นิ้ว น้ำหนักเพียง 175 กรัม มาพร้อม 5G และระบบ Android 15 เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง รองรับปากกา InkSense Plus และมีฟีเจอร์ปรับแสงอัตโนมัติเพื่อความสบายตา ทั้งสองรุ่นใช้เทคโนโลยี BOOX Super Refresh เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็ว และมีระบบ Smart Scribe ที่ใช้ AI ช่วยจัดการโน้ตและแผนผังความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ การเปิดตัว Note Air5 C ➡️ หน้าจอ Kaleido 3 ขนาด 10.3 นิ้ว แสดงสีได้สบายตา ➡️ รองรับคีย์บอร์ดแม่เหล็กและปากกา Pen3 รุ่นใหม่ ➡️ ระบบ Android 15 และ BOOX Firmware V4.1 ➡️ รองรับการแบ่งหน้าจอและไฟหน้าปรับโทนสี ➡️ เหมาะสำหรับงานจดบันทึกและสร้างสรรค์เนื้อหา ✅ การเปิดตัว Palma 2 Pro ➡️ ขนาด 6.13 นิ้ว น้ำหนัก 175 กรัม พกพาสะดวก ➡️ รองรับ 5G และ Android 15 ➡️ ใช้ปากกา InkSense Plus สำหรับจดโน้ต ➡️ มีไฟหน้าปรับอัตโนมัติตามสภาพแสง ➡️ เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง ✅ เทคโนโลยีและฟีเจอร์เด่น ➡️ BOOX Super Refresh ช่วยให้การตอบสนองเร็วขึ้น ➡️ Smart Scribe ใช้ AI จัดการโน้ตและแผนผังความคิด ➡️ รองรับการใช้งานแบบ multitasking และ chiplet CPU ➡️ มีระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือและหมุนหน้าจออัตโนมัติ ➡️ ดีไซน์กันน้ำแบบ textured พร้อมสี Charcoal Black และ Ivory White ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ราคาค่อนข้างสูง: Note Air5 C เริ่มต้นที่ $499.99 และ Palma 2 Pro ที่ $379.99 ⛔ อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์มัลติมีเดียเต็มรูปแบบ ⛔ การใช้งานบางฟีเจอร์อาจต้องเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น Smart Scribe ⛔ หน้าจอ E Ink สีอาจไม่เหมาะกับการดูภาพหรือวิดีโอที่ต้องการความคมชัดสูง https://www.techpowerup.com/342185/boox-introduces-new-color-epaper-devices-note-air5-c-and-palma-2-pro
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    BOOX Introduces New Color ePaper Devices: Note Air5 C and Palma 2 Pro
    BOOX, a global leader in E Ink technology and innovation, has announced the launch of two new additions to its product lineup: the Note Air5 C, a 10.3-inch color ePaper tablet designed for light productivity and creativity, and the Palma 2 Pro, a 6.13-inch color mobile ePaper device that brings true...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ เตรียมแบนการส่งออกสินค้าที่มีซอฟต์แวร์อเมริกันไปจีน – ตอบโต้การควบคุมแร่หายากของปักกิ่ง

    รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพิจารณามาตรการตอบโต้จีนอย่างรุนแรง ด้วยการแบนการส่งออกสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ไปยังจีน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ซอฟต์แวร์เฉพาะทางไปจนถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยมอย่าง Windows, Android, iOS และ macOS

    มาตรการนี้เป็นการตอบโต้ที่สหรัฐฯ มองว่าเหมาะสม หลังจากจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ยืนยันว่า “ทุกทางเลือกยังอยู่บนโต๊ะ” และหากมีการดำเนินการจริง จะร่วมมือกับประเทศพันธมิตรในกลุ่ม G7

    แม้ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างสองประเทศ เพราะแทบทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจีนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ การแบนครั้งนี้อาจทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin และมาตรฐานใหม่อย่าง UBIOS ที่เพิ่งเปิดตัว

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการดำเนินการเช่นนี้อาจส่งผลย้อนกลับต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เอง และอาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบของตัวเองจนสามารถแข่งขันได้ในอนาคต

    แผนการแบนสินค้าจากสหรัฐฯ ไปจีน
    ครอบคลุมสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ
    รวมถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยม เช่น Windows, Android, iOS, macOS
    เป็นมาตรการตอบโต้การควบคุมแร่หายากของจีน
    อาจดำเนินการร่วมกับพันธมิตรในกลุ่ม G7

    ผลกระทบต่อจีน
    อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ในจีนใช้ซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ
    จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin, UBIOS
    อาจทำให้จีนอยู่ในสถานะเสียเปรียบในระยะสั้น แต่เร่งการพึ่งพาตนเองในระยะยาว

    ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้
    สหรัฐฯ เคยแบนซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA) ไปยังจีน
    ส่งผลให้บริษัทจีนอย่าง Xiaomi และ Lenovo ไม่สามารถออกแบบชิปกับ TSMC ได้
    มาตรการถูกยกเลิกหลังจีนยอมผ่อนปรนการส่งออกแร่หายาก

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การแบนอาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มีตลาดใหญ่ในจีน
    อาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบที่ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ และกลายเป็นคู่แข่งในอนาคต
    การดำเนินการอาจซับซ้อนและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
    อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/trump-considering-china-export-ban-on-items-made-with-or-containing-u-s-software-sweeping-restriction-to-hit-hard-in-response-to-beijings-rare-earth-embargo-in-major-trade-war-escalation
    🇺🇸 สหรัฐฯ เตรียมแบนการส่งออกสินค้าที่มีซอฟต์แวร์อเมริกันไปจีน – ตอบโต้การควบคุมแร่หายากของปักกิ่ง รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพิจารณามาตรการตอบโต้จีนอย่างรุนแรง ด้วยการแบนการส่งออกสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ไปยังจีน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ซอฟต์แวร์เฉพาะทางไปจนถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยมอย่าง Windows, Android, iOS และ macOS มาตรการนี้เป็นการตอบโต้ที่สหรัฐฯ มองว่าเหมาะสม หลังจากจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ยืนยันว่า “ทุกทางเลือกยังอยู่บนโต๊ะ” และหากมีการดำเนินการจริง จะร่วมมือกับประเทศพันธมิตรในกลุ่ม G7 แม้ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างสองประเทศ เพราะแทบทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจีนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ การแบนครั้งนี้อาจทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin และมาตรฐานใหม่อย่าง UBIOS ที่เพิ่งเปิดตัว อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการดำเนินการเช่นนี้อาจส่งผลย้อนกลับต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เอง และอาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบของตัวเองจนสามารถแข่งขันได้ในอนาคต ✅ แผนการแบนสินค้าจากสหรัฐฯ ไปจีน ➡️ ครอบคลุมสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ➡️ รวมถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยม เช่น Windows, Android, iOS, macOS ➡️ เป็นมาตรการตอบโต้การควบคุมแร่หายากของจีน ➡️ อาจดำเนินการร่วมกับพันธมิตรในกลุ่ม G7 ✅ ผลกระทบต่อจีน ➡️ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ในจีนใช้ซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ➡️ จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin, UBIOS ➡️ อาจทำให้จีนอยู่ในสถานะเสียเปรียบในระยะสั้น แต่เร่งการพึ่งพาตนเองในระยะยาว ✅ ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ➡️ สหรัฐฯ เคยแบนซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA) ไปยังจีน ➡️ ส่งผลให้บริษัทจีนอย่าง Xiaomi และ Lenovo ไม่สามารถออกแบบชิปกับ TSMC ได้ ➡️ มาตรการถูกยกเลิกหลังจีนยอมผ่อนปรนการส่งออกแร่หายาก ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การแบนอาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มีตลาดใหญ่ในจีน ⛔ อาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบที่ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ และกลายเป็นคู่แข่งในอนาคต ⛔ การดำเนินการอาจซับซ้อนและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ⛔ อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/trump-considering-china-export-ban-on-items-made-with-or-containing-u-s-software-sweeping-restriction-to-hit-hard-in-response-to-beijings-rare-earth-embargo-in-major-trade-war-escalation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟีเจอร์ลับบน Android: “App Archiving” ตัวช่วยจัดระเบียบมือถือโดยไม่ต้องลบแอป

    หลายคนมีแอปในมือถือมากมาย ทั้งที่ใช้ทุกวันและแอปที่โหลดมาแล้วแทบไม่ได้แตะ เช่น แอปจองโรงแรม, สแกน QR, หรือแปลภาษา ซึ่งแม้จะไม่ได้ใช้บ่อย แต่ก็ยังจำเป็นในบางช่วงเวลา ปัญหาคือแอปเหล่านี้กินพื้นที่เก็บข้อมูลโดยไม่จำเป็น และการลบออกก็ยุ่งยากเมื่อต้องติดตั้งใหม่

    Android จึงเปิดตัวฟีเจอร์ “App Archiving” ที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างชาญฉลาด โดยจะลบเฉพาะส่วนที่ไม่จำเป็นของแอป เช่น ไฟล์ชั่วคราว, สิทธิ์การเข้าถึง และตัวซอฟต์แวร์หลัก แต่ยังเก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้ครบ ทำให้สามารถเรียกคืนแอปได้ทันทีเมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องตั้งค่าใหม่

    สรุปฟีเจอร์ App Archiving บน Android

    1️⃣ วิธีการทำงานของ App Archiving
    หลักการของฟีเจอร์
    ลบเฉพาะส่วนที่ไม่จำเป็นของแอป เช่น ไฟล์ชั่วคราวและตัวซอฟต์แวร์
    เก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้ในเครื่อง เช่น การตั้งค่าและบัญชี
    แอปจะไม่สามารถใช้งานได้ แต่สามารถเรียกคืนได้ทันที

    คำเตือน
    แอปที่ถูก archive จะไม่สามารถเปิดใช้งานได้จนกว่าจะ restore
    หากพื้นที่เก็บข้อมูลเต็ม การ restore จะไม่สำเร็จ

    2️⃣ วิธีเปิดใช้งานแบบอัตโนมัติผ่าน Google Play Store
    ขั้นตอนการตั้งค่า
    เปิด Google Play Store
    แตะไอคอนโปรไฟล์ > Settings
    ขยายแท็บ General แล้วเปิด “Automatically archive apps”
    ระบบจะ archive แอปที่ไม่ค่อยใช้เมื่อพื้นที่ใกล้เต็ม

    คำเตือน
    แอปจะถูก archive โดยอัตโนมัติเมื่อพื้นที่เริ่มเต็ม
    หากไม่ต้องการให้แอปบางตัวถูก archive ต้องตั้งค่าแยก

    3️⃣ วิธี archive แอปแบบแมนนวลผ่าน Settings
    ขั้นตอนการ archive ด้วยตนเอง
    เปิด Settings > Apps
    เลือกแอปที่ต้องการ archive
    กด “Archive” ที่ด้านล่าง
    แอปจะถูกทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ และแสดงเป็นไอคอนจางพร้อมลูกศร

    คำเตือน
    ต้อง archive ทีละแอป ไม่สามารถเลือกหลายแอปพร้อมกันได้
    แอปที่ archive แล้วจะไม่สามารถตั้งค่าหรือเข้าถึงได้จนกว่าจะ restore

    4️⃣ วิธี restore แอปที่ถูก archive
    ขั้นตอนการเรียกคืนแอป
    แตะไอคอนแอปใน app drawer เพื่อ restore
    หรือไปที่ Settings > Apps > [ชื่อแอป] > Restore
    แอปจะถูกดาวน์โหลดใหม่จาก Play Store

    คำเตือน
    ต้องมีอินเทอร์เน็ตเพื่อดาวน์โหลดแอปกลับมา
    หากพื้นที่เต็ม จะไม่สามารถติดตั้งแอปได้

    5️⃣ วิธีปิดการ archive อัตโนมัติสำหรับแอปบางตัว
    ขั้นตอนการยกเว้นแอป
    ไปที่ Settings > Apps
    เลือกแอปที่ต้องการยกเว้น
    ปิด “Manage app if unused”

    คำเตือน
    แอปที่ถูกยกเว้นจะไม่ถูก archive แม้จะไม่ใช้งานนาน
    อาจทำให้พื้นที่เก็บข้อมูลเต็มเร็วขึ้น

    https://www.slashgear.com/2001308/hidden-android-apps-archive-feature-how-use/
    📱 ฟีเจอร์ลับบน Android: “App Archiving” ตัวช่วยจัดระเบียบมือถือโดยไม่ต้องลบแอป หลายคนมีแอปในมือถือมากมาย ทั้งที่ใช้ทุกวันและแอปที่โหลดมาแล้วแทบไม่ได้แตะ เช่น แอปจองโรงแรม, สแกน QR, หรือแปลภาษา ซึ่งแม้จะไม่ได้ใช้บ่อย แต่ก็ยังจำเป็นในบางช่วงเวลา ปัญหาคือแอปเหล่านี้กินพื้นที่เก็บข้อมูลโดยไม่จำเป็น และการลบออกก็ยุ่งยากเมื่อต้องติดตั้งใหม่ Android จึงเปิดตัวฟีเจอร์ “App Archiving” ที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างชาญฉลาด โดยจะลบเฉพาะส่วนที่ไม่จำเป็นของแอป เช่น ไฟล์ชั่วคราว, สิทธิ์การเข้าถึง และตัวซอฟต์แวร์หลัก แต่ยังเก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้ครบ ทำให้สามารถเรียกคืนแอปได้ทันทีเมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องตั้งค่าใหม่ 🔍 สรุปฟีเจอร์ App Archiving บน Android 1️⃣ วิธีการทำงานของ App Archiving ✅ หลักการของฟีเจอร์ ➡️ ลบเฉพาะส่วนที่ไม่จำเป็นของแอป เช่น ไฟล์ชั่วคราวและตัวซอฟต์แวร์ ➡️ เก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้ในเครื่อง เช่น การตั้งค่าและบัญชี ➡️ แอปจะไม่สามารถใช้งานได้ แต่สามารถเรียกคืนได้ทันที ‼️ คำเตือน ⛔ แอปที่ถูก archive จะไม่สามารถเปิดใช้งานได้จนกว่าจะ restore ⛔ หากพื้นที่เก็บข้อมูลเต็ม การ restore จะไม่สำเร็จ 2️⃣ วิธีเปิดใช้งานแบบอัตโนมัติผ่าน Google Play Store ✅ ขั้นตอนการตั้งค่า ➡️ เปิด Google Play Store ➡️ แตะไอคอนโปรไฟล์ > Settings ➡️ ขยายแท็บ General แล้วเปิด “Automatically archive apps” ➡️ ระบบจะ archive แอปที่ไม่ค่อยใช้เมื่อพื้นที่ใกล้เต็ม ‼️ คำเตือน ⛔ แอปจะถูก archive โดยอัตโนมัติเมื่อพื้นที่เริ่มเต็ม ⛔ หากไม่ต้องการให้แอปบางตัวถูก archive ต้องตั้งค่าแยก 3️⃣ วิธี archive แอปแบบแมนนวลผ่าน Settings ✅ ขั้นตอนการ archive ด้วยตนเอง ➡️ เปิด Settings > Apps ➡️ เลือกแอปที่ต้องการ archive ➡️ กด “Archive” ที่ด้านล่าง ➡️ แอปจะถูกทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ และแสดงเป็นไอคอนจางพร้อมลูกศร ‼️ คำเตือน ⛔ ต้อง archive ทีละแอป ไม่สามารถเลือกหลายแอปพร้อมกันได้ ⛔ แอปที่ archive แล้วจะไม่สามารถตั้งค่าหรือเข้าถึงได้จนกว่าจะ restore 4️⃣ วิธี restore แอปที่ถูก archive ✅ ขั้นตอนการเรียกคืนแอป ➡️ แตะไอคอนแอปใน app drawer เพื่อ restore ➡️ หรือไปที่ Settings > Apps > [ชื่อแอป] > Restore ➡️ แอปจะถูกดาวน์โหลดใหม่จาก Play Store ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องมีอินเทอร์เน็ตเพื่อดาวน์โหลดแอปกลับมา ⛔ หากพื้นที่เต็ม จะไม่สามารถติดตั้งแอปได้ 5️⃣ วิธีปิดการ archive อัตโนมัติสำหรับแอปบางตัว ✅ ขั้นตอนการยกเว้นแอป ➡️ ไปที่ Settings > Apps ➡️ เลือกแอปที่ต้องการยกเว้น ➡️ ปิด “Manage app if unused” ‼️ คำเตือน ⛔ แอปที่ถูกยกเว้นจะไม่ถูก archive แม้จะไม่ใช้งานนาน ⛔ อาจทำให้พื้นที่เก็บข้อมูลเต็มเร็วขึ้น https://www.slashgear.com/2001308/hidden-android-apps-archive-feature-how-use/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Hidden Android Setting Makes Managing Apps Easier And Quicker - SlashGear
    Android’s app archiving feature automatically removes unused apps while keeping data safe, freeing storage and decluttering your phone.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google Fi อัปเกรดครั้งใหญ่! เพิ่ม AI, รองรับหลายอุปกรณ์ และโปรแรงสุดครึ่งราคา

    Google Fi Wireless กำลังพลิกโฉมบริการเครือข่ายมือถือด้วยการอัปเกรดครั้งใหญ่ที่เน้นความเร็ว ความสะดวก และการใช้ AI เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ใช้ Android ที่ต้องการเครือข่ายที่ลื่นไหลและฉลาดขึ้น

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการขยายเครือข่าย Wi-Fi Auto Connect+ ไปยังสนามบินและศูนย์การค้าทั่วสหรัฐฯ ซึ่งช่วยให้โทรศัพท์สลับไปยังเครือข่ายที่เร็วกว่าโดยอัตโนมัติเมื่อสัญญาณเริ่มช้า นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานหลายอุปกรณ์ เช่น แท็บเล็ตและแล็ปท็อป ที่สามารถโทร ส่งข้อความ และรับวิดีโอได้โดยไม่ต้องอยู่ใกล้โทรศัพท์

    AI ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยช่วยลดเสียงรบกวนระหว่างการโทรแม้ปลายสายใช้โทรศัพท์บ้าน และยังสามารถสรุปบิลรายเดือน การปรับแผน และค่าใช้จ่ายผ่านแอป Google Fi ได้อีกด้วย

    Google Fi ยังจัดโปรแรงสุดสำหรับผู้ใช้ใหม่: ลด 50% นาน 15 เดือน เมื่อสมัคร Unlimited Essentials ($60/เดือน) หรือ Unlimited Standard ($80/เดือน) ก่อนวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025

    การอัปเกรดเครือข่าย
    ขยาย Wi-Fi Auto Connect+ ไปยังสนามบินและศูนย์การค้า
    สลับเครือข่ายอัตโนมัติเมื่อสัญญาณช้า

    รองรับหลายอุปกรณ์
    โทร ส่งข้อความ รับวิดีโอจากแท็บเล็ตหรือแล็ปท็อป
    ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้โทรศัพท์

    ฟีเจอร์ AI ใหม่
    ลดเสียงรบกวนระหว่างการโทร แม้ปลายสายใช้โทรศัพท์บ้าน
    สรุปบิลรายเดือนและข้อมูลแผนผ่านแอป Google Fi

    โปรโมชันพิเศษ
    ลด 50% นาน 15 เดือน สำหรับผู้ใช้ใหม่
    ใช้ได้กับ Unlimited Essentials ($60/เดือน) และ Unlimited Standard ($80/เดือน)
    หมดเขตวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025

    ความเห็นจากผู้ใช้
    WhistleOut ให้คะแนน 4.0/5 สำหรับความเร็วและความคุ้มค่า
    เหมาะกับผู้ใช้ที่เดินทางบ่อยและต้องการเครือข่ายที่ยืดหยุ่น

    คำเตือนจากรีวิว Trustpilot
    คะแนนต่ำเพียง 1.1/5 จากกว่า 400 รีวิว
    ปัญหาด้านบริการลูกค้าและบิลที่สับสน
    ปัญหาการเชื่อมต่อในพื้นที่ที่เคยมีสัญญาณดี

    คำแนะนำก่อนสมัคร
    ตรวจสอบพื้นที่ที่คุณใช้งานว่ารองรับสัญญาณ Google Fi หรือไม่
    อ่านเงื่อนไขโปรโมชันอย่างละเอียดก่อนสมัคร
    เปรียบเทียบกับผู้ให้บริการอื่นเพื่อดูว่าคุ้มค่าจริงหรือไม่

    https://www.slashgear.com/2005515/google-fi-wireless-upgrade-new-ai-features/
    📶 Google Fi อัปเกรดครั้งใหญ่! เพิ่ม AI, รองรับหลายอุปกรณ์ และโปรแรงสุดครึ่งราคา Google Fi Wireless กำลังพลิกโฉมบริการเครือข่ายมือถือด้วยการอัปเกรดครั้งใหญ่ที่เน้นความเร็ว ความสะดวก และการใช้ AI เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ใช้ Android ที่ต้องการเครือข่ายที่ลื่นไหลและฉลาดขึ้น หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการขยายเครือข่าย Wi-Fi Auto Connect+ ไปยังสนามบินและศูนย์การค้าทั่วสหรัฐฯ ซึ่งช่วยให้โทรศัพท์สลับไปยังเครือข่ายที่เร็วกว่าโดยอัตโนมัติเมื่อสัญญาณเริ่มช้า นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานหลายอุปกรณ์ เช่น แท็บเล็ตและแล็ปท็อป ที่สามารถโทร ส่งข้อความ และรับวิดีโอได้โดยไม่ต้องอยู่ใกล้โทรศัพท์ AI ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยช่วยลดเสียงรบกวนระหว่างการโทรแม้ปลายสายใช้โทรศัพท์บ้าน และยังสามารถสรุปบิลรายเดือน การปรับแผน และค่าใช้จ่ายผ่านแอป Google Fi ได้อีกด้วย Google Fi ยังจัดโปรแรงสุดสำหรับผู้ใช้ใหม่: ลด 50% นาน 15 เดือน เมื่อสมัคร Unlimited Essentials ($60/เดือน) หรือ Unlimited Standard ($80/เดือน) ก่อนวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025 ✅ การอัปเกรดเครือข่าย ➡️ ขยาย Wi-Fi Auto Connect+ ไปยังสนามบินและศูนย์การค้า ➡️ สลับเครือข่ายอัตโนมัติเมื่อสัญญาณช้า ✅ รองรับหลายอุปกรณ์ ➡️ โทร ส่งข้อความ รับวิดีโอจากแท็บเล็ตหรือแล็ปท็อป ➡️ ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้โทรศัพท์ ✅ ฟีเจอร์ AI ใหม่ ➡️ ลดเสียงรบกวนระหว่างการโทร แม้ปลายสายใช้โทรศัพท์บ้าน ➡️ สรุปบิลรายเดือนและข้อมูลแผนผ่านแอป Google Fi ✅ โปรโมชันพิเศษ ➡️ ลด 50% นาน 15 เดือน สำหรับผู้ใช้ใหม่ ➡️ ใช้ได้กับ Unlimited Essentials ($60/เดือน) และ Unlimited Standard ($80/เดือน) ➡️ หมดเขตวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025 ✅ ความเห็นจากผู้ใช้ ➡️ WhistleOut ให้คะแนน 4.0/5 สำหรับความเร็วและความคุ้มค่า ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่เดินทางบ่อยและต้องการเครือข่ายที่ยืดหยุ่น ‼️ คำเตือนจากรีวิว Trustpilot ⛔ คะแนนต่ำเพียง 1.1/5 จากกว่า 400 รีวิว ⛔ ปัญหาด้านบริการลูกค้าและบิลที่สับสน ⛔ ปัญหาการเชื่อมต่อในพื้นที่ที่เคยมีสัญญาณดี ‼️ คำแนะนำก่อนสมัคร ⛔ ตรวจสอบพื้นที่ที่คุณใช้งานว่ารองรับสัญญาณ Google Fi หรือไม่ ⛔ อ่านเงื่อนไขโปรโมชันอย่างละเอียดก่อนสมัคร ⛔ เปรียบเทียบกับผู้ให้บริการอื่นเพื่อดูว่าคุ้มค่าจริงหรือไม่ https://www.slashgear.com/2005515/google-fi-wireless-upgrade-new-ai-features/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google Fi Wireless Is Adding New Features - Here's What To Expect With The Upgrade - SlashGear
    Budget mobile plans continue to grow as people look to cut costs where they can, and Google Fi is incentivizing customers with some brand-new features.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • GM ปฏิวัติระบบรถยนต์: ใช้ Gemini แทน CarPlay และ Android Auto ภายในปี 2026

    General Motors (GM) ประกาศแผนการครั้งใหญ่ในการยกเลิกการรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ในรถยนต์ทุกประเภท ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน เพื่อเปิดทางให้กับ Gemini — ระบบผู้ช่วย AI จาก Google ที่จะถูกฝังเข้าไปในรถยนต์ของ GM ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป

    Gemini จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวในรถยนต์ที่สามารถโต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติ เข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อน และเชื่อมโยงกับข้อมูลของรถแบบเรียลไทม์ เช่น การแจ้งเตือนซ่อมบำรุง การวางแผนเส้นทาง หรือแม้แต่การตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่ที่กำลังขับผ่าน เช่น “สะพานนี้มีประวัติอย่างไร”

    ระบบใหม่นี้จะถูกอัปเดตผ่าน OTA (Over-the-Air) ผ่าน Google Play Store สำหรับรถยนต์ที่มีระบบ OnStar ตั้งแต่รุ่นปี 2015 ขึ้นไป โดย GM ยืนยันว่าจะให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลส่วนตัวอย่างเต็มที่ หลังจากเคยถูกวิจารณ์เรื่องการแชร์ข้อมูลกับบริษัทประกันภัย

    Gemini ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผู้ช่วยเสียง แต่เป็นก้าวแรกสู่แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ที่ GM พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งจะรองรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในอนาคตภายในปี 2028

    การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ GM
    ยกเลิกการรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
    แทนที่ด้วย Gemini — ผู้ช่วย AI จาก Google
    เริ่มใช้งานในรถยนต์ทุกประเภทตั้งแต่ปี 2026

    ความสามารถของ Gemini
    โต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติ เข้าใจคำสั่งซับซ้อน
    เชื่อมโยงกับข้อมูลรถแบบเรียลไทม์
    ตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่หรือฟังก์ชันของรถ
    แจ้งเตือนซ่อมบำรุงและช่วยวางแผนเส้นทาง

    การอัปเดตและการรองรับ
    อัปเดตผ่าน OTA ผ่าน Google Play Store
    รองรับรถยนต์ที่มี OnStar ตั้งแต่ปี 2015 ขึ้นไป
    ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวได้

    แผนระยะยาวของ GM
    พัฒนาแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ของตนเอง
    เตรียมเปิดตัวระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติภายในปี 2028

    https://securityonline.info/gm-bets-on-ai-gemini-to-replace-carplay-android-auto-in-all-cars-by-2026/
    🚗 GM ปฏิวัติระบบรถยนต์: ใช้ Gemini แทน CarPlay และ Android Auto ภายในปี 2026 General Motors (GM) ประกาศแผนการครั้งใหญ่ในการยกเลิกการรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ในรถยนต์ทุกประเภท ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน เพื่อเปิดทางให้กับ Gemini — ระบบผู้ช่วย AI จาก Google ที่จะถูกฝังเข้าไปในรถยนต์ของ GM ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป Gemini จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวในรถยนต์ที่สามารถโต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติ เข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อน และเชื่อมโยงกับข้อมูลของรถแบบเรียลไทม์ เช่น การแจ้งเตือนซ่อมบำรุง การวางแผนเส้นทาง หรือแม้แต่การตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่ที่กำลังขับผ่าน เช่น “สะพานนี้มีประวัติอย่างไร” ระบบใหม่นี้จะถูกอัปเดตผ่าน OTA (Over-the-Air) ผ่าน Google Play Store สำหรับรถยนต์ที่มีระบบ OnStar ตั้งแต่รุ่นปี 2015 ขึ้นไป โดย GM ยืนยันว่าจะให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลส่วนตัวอย่างเต็มที่ หลังจากเคยถูกวิจารณ์เรื่องการแชร์ข้อมูลกับบริษัทประกันภัย Gemini ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผู้ช่วยเสียง แต่เป็นก้าวแรกสู่แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ที่ GM พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งจะรองรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในอนาคตภายในปี 2028 ✅ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ GM ➡️ ยกเลิกการรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ➡️ แทนที่ด้วย Gemini — ผู้ช่วย AI จาก Google ➡️ เริ่มใช้งานในรถยนต์ทุกประเภทตั้งแต่ปี 2026 ✅ ความสามารถของ Gemini ➡️ โต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติ เข้าใจคำสั่งซับซ้อน ➡️ เชื่อมโยงกับข้อมูลรถแบบเรียลไทม์ ➡️ ตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่หรือฟังก์ชันของรถ ➡️ แจ้งเตือนซ่อมบำรุงและช่วยวางแผนเส้นทาง ✅ การอัปเดตและการรองรับ ➡️ อัปเดตผ่าน OTA ผ่าน Google Play Store ➡️ รองรับรถยนต์ที่มี OnStar ตั้งแต่ปี 2015 ขึ้นไป ➡️ ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวได้ ✅ แผนระยะยาวของ GM ➡️ พัฒนาแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ของตนเอง ➡️ เตรียมเปิดตัวระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติภายในปี 2028 https://securityonline.info/gm-bets-on-ai-gemini-to-replace-carplay-android-auto-in-all-cars-by-2026/
    SECURITYONLINE.INFO
    GM Bets on AI: Gemini to Replace CarPlay/Android Auto in All Cars by 2026
    GM is integrating Google Gemini into all vehicles by 2026, creating a natural-language AI assistant and phasing out both Apple CarPlay and Android Auto.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenAI เปิดตัว ChatGPT Atlas – เบราว์เซอร์ AI ที่ทำงานแทนคุณได้!”

    OpenAI เปิดตัวเบราว์เซอร์ใหม่ชื่อว่า ChatGPT Atlas ที่รวมโมเดลภาษาขั้นสูง (LLM) เข้าไปในตัวเบราว์เซอร์เลย ไม่ใช่แค่ช่วยค้นหา แต่สามารถ “ทำงานแทนคุณ” ได้จริง เช่น สั่งซื้อของจากสูตรอาหาร, ย้ายข้อมูลจาก Google Docs ไปยังแอปจัดการโปรเจกต์ หรือแม้แต่ค้นหาประวัติการเข้าชมเว็บของคุณเพื่อหาสิ่งที่เคยดูไว้

    ChatGPT Atlas สร้างบนพื้นฐาน Chromium เหมือน Chrome และ Edge แต่มีฟีเจอร์ AI ฝังอยู่ในตัว เช่น sidebar ที่สามารถอธิบายหน้าเว็บให้คุณเข้าใจได้ทันที หรือสแกนเนื้อหาแล้วสรุปให้แบบเรียลไทม์

    ที่สำคัญคือ Atlas มีโหมดล็อกอินและล็อกเอาต์ให้เลือก ถ้าใช้แบบล็อกเอาต์ AI จะเข้าถึงเฉพาะเว็บสาธารณะเท่านั้น ไม่แตะบัญชีส่วนตัวของคุณเลย ซึ่งช่วยลดความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว

    ฟีเจอร์ขั้นสูงที่เรียกว่า Agent Mode จะเปิดให้เฉพาะผู้ใช้ ChatGPT Plus และ Pro เท่านั้น โดยสามารถสั่งให้ AI ทำงานหลายขั้นตอนต่อเนื่องได้ เช่น “หาตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นแล้วจองให้เลย” หรือ “สรุปบทความนี้แล้วส่งเข้า Notion”

    Atlas เปิดตัวบน macOS ก่อน และจะตามมาบน Windows, iOS และ Android ในเร็ว ๆ นี้

    จุดเด่นของ ChatGPT Atlas
    เบราว์เซอร์ที่ฝัง LLM เข้าไปในตัว
    สร้างบน Chromium เหมือน Chrome และ Edge
    มี sidebar อธิบายหน้าเว็บและสรุปเนื้อหา
    ค้นหาประวัติการเข้าชมและทำงานแทนผู้ใช้ได้
    สั่งซื้อของจากสูตรอาหาร หรือย้ายข้อมูลข้ามแอปได้

    ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
    มีโหมดล็อกอินและล็อกเอาต์ให้เลือก
    โหมดล็อกเอาต์จะไม่เข้าถึงบัญชีส่วนตัว
    ลดความเสี่ยงจากการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว

    Agent Mode สำหรับผู้ใช้ Plus และ Pro
    ทำงานหลายขั้นตอนต่อเนื่องได้
    เหมาะกับงานที่ต้องการ automation เช่น จองตั๋ว, สรุปบทความ, ส่งข้อมูล
    ยังไม่เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไป

    การเปิดตัวและแพลตฟอร์ม
    เปิดตัวบน macOS ก่อน
    Windows, iOS และ Android จะตามมาเร็ว ๆ นี้
    เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Comet (Perplexity), Google และ Microsoft Copilot Mode

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-launches-chatgpt-atlas-ai-browser-llm-can-browse-the-internet-for-you-and-even-complete-tasks-initial-release-for-macos-with-windows-ios-and-android-to-follow-soon-after
    🌐 “OpenAI เปิดตัว ChatGPT Atlas – เบราว์เซอร์ AI ที่ทำงานแทนคุณได้!” OpenAI เปิดตัวเบราว์เซอร์ใหม่ชื่อว่า ChatGPT Atlas ที่รวมโมเดลภาษาขั้นสูง (LLM) เข้าไปในตัวเบราว์เซอร์เลย ไม่ใช่แค่ช่วยค้นหา แต่สามารถ “ทำงานแทนคุณ” ได้จริง เช่น สั่งซื้อของจากสูตรอาหาร, ย้ายข้อมูลจาก Google Docs ไปยังแอปจัดการโปรเจกต์ หรือแม้แต่ค้นหาประวัติการเข้าชมเว็บของคุณเพื่อหาสิ่งที่เคยดูไว้ ChatGPT Atlas สร้างบนพื้นฐาน Chromium เหมือน Chrome และ Edge แต่มีฟีเจอร์ AI ฝังอยู่ในตัว เช่น sidebar ที่สามารถอธิบายหน้าเว็บให้คุณเข้าใจได้ทันที หรือสแกนเนื้อหาแล้วสรุปให้แบบเรียลไทม์ ที่สำคัญคือ Atlas มีโหมดล็อกอินและล็อกเอาต์ให้เลือก ถ้าใช้แบบล็อกเอาต์ AI จะเข้าถึงเฉพาะเว็บสาธารณะเท่านั้น ไม่แตะบัญชีส่วนตัวของคุณเลย ซึ่งช่วยลดความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว ฟีเจอร์ขั้นสูงที่เรียกว่า Agent Mode จะเปิดให้เฉพาะผู้ใช้ ChatGPT Plus และ Pro เท่านั้น โดยสามารถสั่งให้ AI ทำงานหลายขั้นตอนต่อเนื่องได้ เช่น “หาตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นแล้วจองให้เลย” หรือ “สรุปบทความนี้แล้วส่งเข้า Notion” Atlas เปิดตัวบน macOS ก่อน และจะตามมาบน Windows, iOS และ Android ในเร็ว ๆ นี้ ✅ จุดเด่นของ ChatGPT Atlas ➡️ เบราว์เซอร์ที่ฝัง LLM เข้าไปในตัว ➡️ สร้างบน Chromium เหมือน Chrome และ Edge ➡️ มี sidebar อธิบายหน้าเว็บและสรุปเนื้อหา ➡️ ค้นหาประวัติการเข้าชมและทำงานแทนผู้ใช้ได้ ➡️ สั่งซื้อของจากสูตรอาหาร หรือย้ายข้อมูลข้ามแอปได้ ✅ ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ➡️ มีโหมดล็อกอินและล็อกเอาต์ให้เลือก ➡️ โหมดล็อกเอาต์จะไม่เข้าถึงบัญชีส่วนตัว ➡️ ลดความเสี่ยงจากการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ✅ Agent Mode สำหรับผู้ใช้ Plus และ Pro ➡️ ทำงานหลายขั้นตอนต่อเนื่องได้ ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการ automation เช่น จองตั๋ว, สรุปบทความ, ส่งข้อมูล ➡️ ยังไม่เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไป ✅ การเปิดตัวและแพลตฟอร์ม ➡️ เปิดตัวบน macOS ก่อน ➡️ Windows, iOS และ Android จะตามมาเร็ว ๆ นี้ ➡️ เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Comet (Perplexity), Google และ Microsoft Copilot Mode https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-launches-chatgpt-atlas-ai-browser-llm-can-browse-the-internet-for-you-and-even-complete-tasks-initial-release-for-macos-with-windows-ios-and-android-to-follow-soon-after
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Wallet รองรับ Live Updates บน Android 16 – แจ้งเตือนเรียลไทม์สำหรับการเดินทางแบบไม่ต้องเปิดแอป!”

    Android 16 เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Live Updates” ซึ่งเป็นระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ที่คล้ายกับ Live Activities บน iOS โดยจะแสดงข้อมูลสำคัญ เช่น สถานะการเดินทาง การส่งของ หรือการแข่งขันกีฬา บนหน้าจอล็อกหรือแถบด้านบนของหน้าจอ โดยไม่ต้องเปิดแอปให้ยุ่งยาก

    ล่าสุด Google Wallet ก็ประกาศรองรับฟีเจอร์นี้แล้ว! โดยจะสามารถแสดง Live Updates สำหรับ “การเดินทางสำคัญ” เช่น เที่ยวบิน รถไฟ และอีเวนต์ต่าง ๆ ได้ทันทีจากข้อมูลในตั๋วหรือบัตรที่เก็บไว้ในแอป

    ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมี boarding pass อยู่ใน Wallet คุณจะเห็นแถบแจ้งเตือนแสดงความคืบหน้าของเที่ยวบิน หรือถ้ามีตั๋วรถไฟ ก็อาจมีการแจ้งเตือนเรื่องเวลาออกเดินทางหรือความล่าช้าแบบเรียลไทม์

    ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการอัปเดต Google Play Services เวอร์ชันล่าสุด ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนกว่าจะปล่อยให้ครบทุกเครื่อง นอกจากนี้ Google Wallet ยังได้รับการปรับดีไซน์ใหม่ด้วย Material 3 Expressive ที่ดูทันสมัยขึ้น และเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น การเพิ่มบัตรผ่านแอปธนาคารโดยไม่ต้องกรอกข้อมูลเอง และการแจ้งเตือนเมื่อมี loyalty pass ถูกนำเข้าจาก Gmail

    ฟีเจอร์ Live Updates บน Google Wallet
    รองรับการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์สำหรับเที่ยวบิน รถไฟ และอีเวนต์
    แสดงข้อมูลจากตั๋วที่เก็บไว้ในแอป Google Wallet
    แจ้งเตือนปรากฏบนหน้าจอล็อกหรือแถบด้านบนของหน้าจอ
    ไม่ต้องเปิดแอปเพื่อดูสถานะการเดินทาง
    เป็นส่วนหนึ่งของการอัปเดต Google Play Services เวอร์ชัน 25.41
    คล้ายกับ Live Activities บน iOS

    ฟีเจอร์ใหม่อื่น ๆ ใน Google Wallet
    เพิ่มบัตรผ่านแอปธนาคารโดยไม่ต้องกรอกข้อมูลเอง
    แจ้งเตือนเมื่อมี loyalty pass ถูกนำเข้าจาก Gmail (Android 12 ขึ้นไป)
    ปรับดีไซน์ใหม่ด้วย Material 3 Expressive
    เพิ่มความสะดวกในการใช้งานและความสวยงามของอินเทอร์เฟซ

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    ฟีเจอร์อาจยังไม่ปล่อยให้ครบทุกเครื่อง ต้องรอการอัปเดต
    ต้องมีตั๋วหรือบัตรที่รองรับใน Wallet ถึงจะแสดง Live Updates ได้
    ยังไม่แน่ชัดว่า Wallet รองรับ Live Updates แบบ “info chips” หรือไม่
    การแจ้งเตือนอาจขึ้นอยู่กับความแม่นยำของข้อมูลจากผู้ให้บริการ

    https://www.techradar.com/phones/android/google-wallet-is-adding-support-for-one-of-the-best-new-features-in-android-16
    📲 “Google Wallet รองรับ Live Updates บน Android 16 – แจ้งเตือนเรียลไทม์สำหรับการเดินทางแบบไม่ต้องเปิดแอป!” Android 16 เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Live Updates” ซึ่งเป็นระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ที่คล้ายกับ Live Activities บน iOS โดยจะแสดงข้อมูลสำคัญ เช่น สถานะการเดินทาง การส่งของ หรือการแข่งขันกีฬา บนหน้าจอล็อกหรือแถบด้านบนของหน้าจอ โดยไม่ต้องเปิดแอปให้ยุ่งยาก ล่าสุด Google Wallet ก็ประกาศรองรับฟีเจอร์นี้แล้ว! โดยจะสามารถแสดง Live Updates สำหรับ “การเดินทางสำคัญ” เช่น เที่ยวบิน รถไฟ และอีเวนต์ต่าง ๆ ได้ทันทีจากข้อมูลในตั๋วหรือบัตรที่เก็บไว้ในแอป ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมี boarding pass อยู่ใน Wallet คุณจะเห็นแถบแจ้งเตือนแสดงความคืบหน้าของเที่ยวบิน หรือถ้ามีตั๋วรถไฟ ก็อาจมีการแจ้งเตือนเรื่องเวลาออกเดินทางหรือความล่าช้าแบบเรียลไทม์ ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการอัปเดต Google Play Services เวอร์ชันล่าสุด ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนกว่าจะปล่อยให้ครบทุกเครื่อง นอกจากนี้ Google Wallet ยังได้รับการปรับดีไซน์ใหม่ด้วย Material 3 Expressive ที่ดูทันสมัยขึ้น และเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น การเพิ่มบัตรผ่านแอปธนาคารโดยไม่ต้องกรอกข้อมูลเอง และการแจ้งเตือนเมื่อมี loyalty pass ถูกนำเข้าจาก Gmail ✅ ฟีเจอร์ Live Updates บน Google Wallet ➡️ รองรับการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์สำหรับเที่ยวบิน รถไฟ และอีเวนต์ ➡️ แสดงข้อมูลจากตั๋วที่เก็บไว้ในแอป Google Wallet ➡️ แจ้งเตือนปรากฏบนหน้าจอล็อกหรือแถบด้านบนของหน้าจอ ➡️ ไม่ต้องเปิดแอปเพื่อดูสถานะการเดินทาง ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของการอัปเดต Google Play Services เวอร์ชัน 25.41 ➡️ คล้ายกับ Live Activities บน iOS ✅ ฟีเจอร์ใหม่อื่น ๆ ใน Google Wallet ➡️ เพิ่มบัตรผ่านแอปธนาคารโดยไม่ต้องกรอกข้อมูลเอง ➡️ แจ้งเตือนเมื่อมี loyalty pass ถูกนำเข้าจาก Gmail (Android 12 ขึ้นไป) ➡️ ปรับดีไซน์ใหม่ด้วย Material 3 Expressive ➡️ เพิ่มความสะดวกในการใช้งานและความสวยงามของอินเทอร์เฟซ ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ ฟีเจอร์อาจยังไม่ปล่อยให้ครบทุกเครื่อง ต้องรอการอัปเดต ⛔ ต้องมีตั๋วหรือบัตรที่รองรับใน Wallet ถึงจะแสดง Live Updates ได้ ⛔ ยังไม่แน่ชัดว่า Wallet รองรับ Live Updates แบบ “info chips” หรือไม่ ⛔ การแจ้งเตือนอาจขึ้นอยู่กับความแม่นยำของข้อมูลจากผู้ให้บริการ https://www.techradar.com/phones/android/google-wallet-is-adding-support-for-one-of-the-best-new-features-in-android-16
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SuperTuxKart 1.5 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ — ปรับกราฟิก, เพิ่ม Egg Hunt และอำลา Story Mode 1.x” — เมื่อเกมแข่งรถโอเพ่นซอร์สสุดคลาสสิกกลับมาอีกครั้ง พร้อมอัปเกรดครั้งใหญ่

    หลังจากห่างหายไปนานกว่า 3 ปี SuperTuxKart 1.5 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านกราฟิก, ฟีเจอร์, และระบบการเล่น โดยเฉพาะการอำลา Story Mode เวอร์ชัน 1.x เพื่อเตรียมเข้าสู่ยุคใหม่ของเกม

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ “Egg Hunt” ที่เพิ่มเข้ามาใน 3 สนามใหม่ ได้แก่ Black Forest, Gran Paradisio Island และ The Old Mine ซึ่งเป็นโหมดเล่นสนุกที่ให้ผู้เล่นตามหาไข่ที่ซ่อนอยู่ในสนาม

    ด้านกราฟิกมีการปรับปรุงหลายจุด เช่น:

    เพิ่ม SSAA และ Percentage-Closer Soft Shadows สำหรับ GPU แรง
    ปรับปรุง Vulkan renderer และ Cascaded Shadow Mapping
    เพิ่มเอฟเฟกต์ใหม่สำหรับผู้ใช้ไดรเวอร์วิดีโอรุ่นเก่า
    ปรับคุณภาพภาพใน preset ต่ำและกลางให้ดีขึ้นด้วย anisotropic filtering

    ระบบเสียงก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยผู้เล่นสามารถควบคุมระดับเสียงได้ละเอียดขึ้น และมีเพลงใหม่สำหรับสนาม Las Dunas Arena และ Las Dunas Soccer

    ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
    ปรับปรุง animation ของ parachute และ bubblegum shield
    เพิ่ม spotlight และ LoD settings เพื่อลดปัญหา popping
    เพิ่มการตั้งค่า FPS สูงสุดในเกม (ไม่จำกัดแค่ 120 FPS บน PC หรือ 30 FPS บน Android อีกต่อไป)
    เพิ่มฟอนต์ใหม่เพื่อรองรับหลายภาษา
    ปรับปรุงระบบ Follow-The-Leader ด้วยเสียงและสีเตือนก่อนถูกคัดออก
    เพิ่ม smooth scrolling สำหรับ Irrlicht และปรับปรุง framerate limiter

    ผู้เล่นสามารถดาวน์โหลด SuperTuxKart 1.5 ได้แล้วทั้งบนระบบ 64-bit และ ARM64 สำหรับ Linux ผ่าน GitHub หรือ Flathub

    https://9to5linux.com/supertuxkart-1-5-open-source-kart-racing-game-released-with-major-changes
    🏎️ “SuperTuxKart 1.5 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ — ปรับกราฟิก, เพิ่ม Egg Hunt และอำลา Story Mode 1.x” — เมื่อเกมแข่งรถโอเพ่นซอร์สสุดคลาสสิกกลับมาอีกครั้ง พร้อมอัปเกรดครั้งใหญ่ หลังจากห่างหายไปนานกว่า 3 ปี SuperTuxKart 1.5 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านกราฟิก, ฟีเจอร์, และระบบการเล่น โดยเฉพาะการอำลา Story Mode เวอร์ชัน 1.x เพื่อเตรียมเข้าสู่ยุคใหม่ของเกม หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ “Egg Hunt” ที่เพิ่มเข้ามาใน 3 สนามใหม่ ได้แก่ Black Forest, Gran Paradisio Island และ The Old Mine ซึ่งเป็นโหมดเล่นสนุกที่ให้ผู้เล่นตามหาไข่ที่ซ่อนอยู่ในสนาม ด้านกราฟิกมีการปรับปรุงหลายจุด เช่น: 🎗️ เพิ่ม SSAA และ Percentage-Closer Soft Shadows สำหรับ GPU แรง 🎗️ ปรับปรุง Vulkan renderer และ Cascaded Shadow Mapping 🎗️ เพิ่มเอฟเฟกต์ใหม่สำหรับผู้ใช้ไดรเวอร์วิดีโอรุ่นเก่า 🎗️ ปรับคุณภาพภาพใน preset ต่ำและกลางให้ดีขึ้นด้วย anisotropic filtering ระบบเสียงก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยผู้เล่นสามารถควบคุมระดับเสียงได้ละเอียดขึ้น และมีเพลงใหม่สำหรับสนาม Las Dunas Arena และ Las Dunas Soccer ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ: 🛻 ปรับปรุง animation ของ parachute และ bubblegum shield 🛻 เพิ่ม spotlight และ LoD settings เพื่อลดปัญหา popping 🛻 เพิ่มการตั้งค่า FPS สูงสุดในเกม (ไม่จำกัดแค่ 120 FPS บน PC หรือ 30 FPS บน Android อีกต่อไป) 🛻 เพิ่มฟอนต์ใหม่เพื่อรองรับหลายภาษา 🛻 ปรับปรุงระบบ Follow-The-Leader ด้วยเสียงและสีเตือนก่อนถูกคัดออก 🛻 เพิ่ม smooth scrolling สำหรับ Irrlicht และปรับปรุง framerate limiter ผู้เล่นสามารถดาวน์โหลด SuperTuxKart 1.5 ได้แล้วทั้งบนระบบ 64-bit และ ARM64 สำหรับ Linux ผ่าน GitHub หรือ Flathub https://9to5linux.com/supertuxkart-1-5-open-source-kart-racing-game-released-with-major-changes
    9TO5LINUX.COM
    SuperTuxKart 1.5 Open-Source Kart Racing Game Released with Major Changes - 9to5Linux
    SuperTuxKart 1.5 free and open-source kart racing game is now available for download as a major update with new features and improvements.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วิธีเอาน้ำออกจากช่องชาร์จมือถือ — ทำผิดวิธีอาจพังหนักกว่าเดิม” — เมื่อการใช้ไดร์เป่าผมหรือข้าวสารไม่ใช่คำตอบ และการอบแห้งคือทางรอดที่แท้จริง

    บทความจาก SlashGear แนะนำวิธีจัดการเมื่อน้ำเข้าไปในช่องชาร์จมือถือ ซึ่งอาจเกิดจากอุบัติเหตุเล็ก ๆ เช่นทำตกน้ำ หรือโดนเครื่องดื่มหกใส่ แม้จะดูน่ากังวล แต่หากจัดการอย่างถูกวิธี ก็สามารถช่วยให้มือถือกลับมาใช้งานได้ตามปกติ

    สิ่งแรกที่ควรทำคือ “ปิดเครื่องทันที” และถอดอุปกรณ์เสริมทั้งหมด จากนั้นใช้ผ้าแห้งที่ไม่มีขุยเช็ดบริเวณช่องชาร์จอย่างระมัดระวัง ห้ามใช้ไดร์เป่าผมหรือจุ่มลงในข้าวสาร เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายมากขึ้น

    วิธีที่แนะนำคือ:
    เขย่าเครื่องเบา ๆ หรือเคาะกับฝ่ามือเพื่อให้น้ำออก
    วางไว้ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทดี หรือใช้พัดลมเป่าช่วย
    ใส่ในถุงซิปล็อกพร้อมซองซิลิกาเจลเพื่อดูดความชื้น

    หากช่องชาร์จแห้งแล้วแต่ยังชาร์จไม่ได้:
    ลองเปลี่ยนสายชาร์จ เพราะสายที่เปียกอาจทำให้ระบบตรวจจับความชื้นยังทำงานอยู่
    สำหรับ Samsung: เข้า Settings > Apps > Show system apps > USB Settings > Clear cache
    สำหรับ Android รุ่นอื่น: ลองหาการตั้งค่า USB ใน System Apps
    สำหรับ iPhone: ไม่มีตัวเลือก USB Settings ให้เคลียร์ cache — ลองรีสตาร์ทเครื่องแทน

    หากยังไม่สามารถชาร์จได้ อาจเกิดจากความเสียหายภายในหรือการกัดกร่อนของวงจร ควรนำเครื่องไปตรวจสอบที่ศูนย์บริการ หรือใช้การชาร์จแบบไร้สายชั่วคราวหากรองรับ

    https://www.slashgear.com/1999314/how-to-remove-water-from-phone-charging-port/
    💧 “วิธีเอาน้ำออกจากช่องชาร์จมือถือ — ทำผิดวิธีอาจพังหนักกว่าเดิม” — เมื่อการใช้ไดร์เป่าผมหรือข้าวสารไม่ใช่คำตอบ และการอบแห้งคือทางรอดที่แท้จริง บทความจาก SlashGear แนะนำวิธีจัดการเมื่อน้ำเข้าไปในช่องชาร์จมือถือ ซึ่งอาจเกิดจากอุบัติเหตุเล็ก ๆ เช่นทำตกน้ำ หรือโดนเครื่องดื่มหกใส่ แม้จะดูน่ากังวล แต่หากจัดการอย่างถูกวิธี ก็สามารถช่วยให้มือถือกลับมาใช้งานได้ตามปกติ สิ่งแรกที่ควรทำคือ “ปิดเครื่องทันที” และถอดอุปกรณ์เสริมทั้งหมด จากนั้นใช้ผ้าแห้งที่ไม่มีขุยเช็ดบริเวณช่องชาร์จอย่างระมัดระวัง ห้ามใช้ไดร์เป่าผมหรือจุ่มลงในข้าวสาร เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายมากขึ้น วิธีที่แนะนำคือ: 💧 เขย่าเครื่องเบา ๆ หรือเคาะกับฝ่ามือเพื่อให้น้ำออก 💧 วางไว้ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทดี หรือใช้พัดลมเป่าช่วย 💧 ใส่ในถุงซิปล็อกพร้อมซองซิลิกาเจลเพื่อดูดความชื้น หากช่องชาร์จแห้งแล้วแต่ยังชาร์จไม่ได้: ⚡ ลองเปลี่ยนสายชาร์จ เพราะสายที่เปียกอาจทำให้ระบบตรวจจับความชื้นยังทำงานอยู่ ⚡ สำหรับ Samsung: เข้า Settings > Apps > Show system apps > USB Settings > Clear cache ⚡ สำหรับ Android รุ่นอื่น: ลองหาการตั้งค่า USB ใน System Apps ⚡ สำหรับ iPhone: ไม่มีตัวเลือก USB Settings ให้เคลียร์ cache — ลองรีสตาร์ทเครื่องแทน หากยังไม่สามารถชาร์จได้ อาจเกิดจากความเสียหายภายในหรือการกัดกร่อนของวงจร ควรนำเครื่องไปตรวจสอบที่ศูนย์บริการ หรือใช้การชาร์จแบบไร้สายชั่วคราวหากรองรับ https://www.slashgear.com/1999314/how-to-remove-water-from-phone-charging-port/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How To Remove Water From Your Phone's Charging Port - SlashGear
    Air drying is the best method to remove water from a charging port, although silica gel packets may help accelerate the process.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • “CAD Assistant เวอร์ชัน PC — วิวัฒนาการใหม่ของการดูโมเดล 3D แบบมืออาชีพ” — เมื่อเครื่องมือจากมือถือถูกยกระดับสู่เดสก์ท็อป พร้อมเรนเดอร์ Ray-Tracing และ Path-Tracing เต็มรูปแบบ

    CAD Assistant ซึ่งเดิมเป็นแอปดูโมเดล 3D บนมือถือที่พัฒนาโดย Open CASCADE Technology ได้ถูกนำมาปรับใช้บนแพลตฟอร์ม PC โดยใช้ Android emulator อย่าง NoxPlayer เพื่อให้วิศวกรและนักออกแบบสามารถใช้งานได้บนหน้าจอใหญ่ พร้อมประสิทธิภาพที่สูงขึ้น

    ตัวแอปรองรับไฟล์ CAD หลากหลายรูปแบบ เช่น STEP, IGES, BREP, DXF, SAT, XT รวมถึงไฟล์ mesh อย่าง STL, OBJ, glTF และ JT โดยสามารถแสดงสี, texture, ข้อมูล scalar และ PMI ได้ครบถ้วน พร้อมแถบควบคุมการแสดงผล scalar แบบ interactive

    จุดเด่นของเวอร์ชัน PC คือการรองรับ GPU Ray-Tracing และ Path-Tracing ด้วยเทคโนโลยีของ Open CASCADE ซึ่งให้ภาพเรนเดอร์ที่สมจริงระดับ photorealistic เหมาะสำหรับการตรวจสอบงานออกแบบหรือใช้ในการนำเสนอแก่ลูกค้า

    นอกจากนี้ยังมี Material Editor ที่รองรับทั้ง Blinn-Phong และ PBR (metallic-roughness) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถแก้ไขวัสดุจาก Bill of Materials หรือสร้างวัสดุใหม่ได้อย่างง่ายดาย

    CAD Assistant ยังเหมาะกับการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์, อากาศยาน, การผลิต และการศึกษา โดยสามารถใช้ในการตรวจสอบหน้างาน, การฝึกอบรม หรือการทำงานร่วมกันระหว่างทีม

    CAD Assistant เดิมเป็นแอปมือถือจาก Open CASCADE
    ปรับใช้บน PC ผ่าน Android emulator เช่น NoxPlayer

    รองรับไฟล์ CAD หลากหลาย: STEP, IGES, BREP, DXF, SAT, XT
    รวมถึง mesh formats เช่น STL, OBJ, glTF, JT

    แสดงข้อมูล geometry, assembly, color, PMI และ scalar data
    พร้อมแถบควบคุม scalar แบบ interactive

    รองรับ GPU Ray-Tracing และ Path-Tracing บน PC
    ให้ภาพเรนเดอร์สมจริงระดับ photorealistic

    มี Material Editor รองรับ Blinn-Phong และ PBR
    แก้ไขวัสดุจาก BOM หรือสร้างใหม่ได้

    เหมาะกับภาคอุตสาหกรรมและการศึกษา
    ใช้ในการตรวจสอบ, ฝึกอบรม, และการนำเสนอ

    https://securityonline.info/cad-assistant-for-pc-professional-3d-cad-visualization-on-desktop/
    🧱 “CAD Assistant เวอร์ชัน PC — วิวัฒนาการใหม่ของการดูโมเดล 3D แบบมืออาชีพ” — เมื่อเครื่องมือจากมือถือถูกยกระดับสู่เดสก์ท็อป พร้อมเรนเดอร์ Ray-Tracing และ Path-Tracing เต็มรูปแบบ CAD Assistant ซึ่งเดิมเป็นแอปดูโมเดล 3D บนมือถือที่พัฒนาโดย Open CASCADE Technology ได้ถูกนำมาปรับใช้บนแพลตฟอร์ม PC โดยใช้ Android emulator อย่าง NoxPlayer เพื่อให้วิศวกรและนักออกแบบสามารถใช้งานได้บนหน้าจอใหญ่ พร้อมประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ตัวแอปรองรับไฟล์ CAD หลากหลายรูปแบบ เช่น STEP, IGES, BREP, DXF, SAT, XT รวมถึงไฟล์ mesh อย่าง STL, OBJ, glTF และ JT โดยสามารถแสดงสี, texture, ข้อมูล scalar และ PMI ได้ครบถ้วน พร้อมแถบควบคุมการแสดงผล scalar แบบ interactive จุดเด่นของเวอร์ชัน PC คือการรองรับ GPU Ray-Tracing และ Path-Tracing ด้วยเทคโนโลยีของ Open CASCADE ซึ่งให้ภาพเรนเดอร์ที่สมจริงระดับ photorealistic เหมาะสำหรับการตรวจสอบงานออกแบบหรือใช้ในการนำเสนอแก่ลูกค้า นอกจากนี้ยังมี Material Editor ที่รองรับทั้ง Blinn-Phong และ PBR (metallic-roughness) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถแก้ไขวัสดุจาก Bill of Materials หรือสร้างวัสดุใหม่ได้อย่างง่ายดาย CAD Assistant ยังเหมาะกับการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์, อากาศยาน, การผลิต และการศึกษา โดยสามารถใช้ในการตรวจสอบหน้างาน, การฝึกอบรม หรือการทำงานร่วมกันระหว่างทีม ✅ CAD Assistant เดิมเป็นแอปมือถือจาก Open CASCADE ➡️ ปรับใช้บน PC ผ่าน Android emulator เช่น NoxPlayer ✅ รองรับไฟล์ CAD หลากหลาย: STEP, IGES, BREP, DXF, SAT, XT ➡️ รวมถึง mesh formats เช่น STL, OBJ, glTF, JT ✅ แสดงข้อมูล geometry, assembly, color, PMI และ scalar data ➡️ พร้อมแถบควบคุม scalar แบบ interactive ✅ รองรับ GPU Ray-Tracing และ Path-Tracing บน PC ➡️ ให้ภาพเรนเดอร์สมจริงระดับ photorealistic ✅ มี Material Editor รองรับ Blinn-Phong และ PBR ➡️ แก้ไขวัสดุจาก BOM หรือสร้างใหม่ได้ ✅ เหมาะกับภาคอุตสาหกรรมและการศึกษา ➡️ ใช้ในการตรวจสอบ, ฝึกอบรม, และการนำเสนอ https://securityonline.info/cad-assistant-for-pc-professional-3d-cad-visualization-on-desktop/
    SECURITYONLINE.INFO
    CAD Assistant for PC: Professional 3D CAD Visualization on Desktop
    CAD Assistant represents a sophisticated solution for professionals who demand reliable 3D model visualization capabilities. Originally developed as
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Messages ยกระดับความปลอดภัย ป้องกันหลอกลวงด้วย 2 ฟีเจอร์ใหม่” — เมื่อข้อความกลายเป็นช่องทางโจมตี Google จึงตอบโต้ด้วยเทคโนโลยีที่ชาญฉลาด

    ในยุคที่การหลอกลวงผ่านข้อความกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว Google ได้เพิ่มมาตรการป้องกันในแอป Messages ด้วยฟีเจอร์ใหม่ 2 รายการ ได้แก่ “Key Verifier” และ “Scam Link Alerts” เพื่อช่วยให้ผู้ใช้หลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวงผ่านข้อความ RCS และลิงก์อันตราย

    ฟีเจอร์แรก “Key Verifier” ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบตัวตนของคู่สนทนาในแชทแบบตัวต่อตัว โดยการสแกน QR code เพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายเป็นคนจริง ไม่ใช่บัญชีปลอมที่แอบอ้างมา ซึ่งเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับการสนทนาแบบเข้ารหัส

    ฟีเจอร์ที่สอง “Scam Link Alerts” จะตรวจสอบลิงก์ที่ส่งมาในข้อความ หากพบว่าอาจเป็นอันตราย ระบบจะแสดง popup เตือนทันที ช่วยให้ผู้ใช้ตัดสินใจก่อนคลิกลิงก์ที่อาจนำไปสู่เว็บไซต์หลอกลวงหรือขโมยข้อมูล

    Google ระบุว่าเกือบ 60% ของผู้คนทั่วโลกเคยเจอการหลอกลวงในปีที่ผ่านมา และการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงทำให้กลโกงดูน่าเชื่อถือมากขึ้น ฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้จึงเป็นการตอบสนองต่อภัยคุกคามที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ

    นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มว่า Google จะขยายฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติมในอนาคต เช่น การตรวจจับข้อความปลอมที่ใช้ AI สร้าง หรือการป้องกันการหลอกลวงผ่าน QR code ซึ่งกำลังเป็นช่องทางใหม่ที่ถูกใช้โจมตีผู้ใช้มือถือ

    Google Messages เพิ่มฟีเจอร์ความปลอดภัยใหม่ 2 รายการ
    Key Verifier สำหรับตรวจสอบตัวตนในแชทแบบ RCS
    Scam Link Alerts สำหรับเตือนลิงก์อันตรายในข้อความ

    Key Verifier ใช้การสแกน QR code เพื่อยืนยันตัวตน
    ต้องใช้ Android 10 ขึ้นไป
    ทั้งสองฝ่ายต้องสแกน QR code ของกันและกัน

    Scam Link Alerts แสดง popup เตือนเมื่อพบลิงก์น่าสงสัย
    ฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานสำหรับผู้ใช้ทุกคน

    Google ระบุว่า 60% ของผู้คนทั่วโลกเคยเจอการหลอกลวงในปีที่ผ่านมา
    การหลอกลวงมีความซับซ้อนมากขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง

    Google มีแผนขยายฟีเจอร์ความปลอดภัยเพิ่มเติมในอนาคต
    อาจรวมถึงการตรวจจับข้อความปลอมที่สร้างด้วย AI
    การป้องกันการหลอกลวงผ่าน QR code

    https://www.techradar.com/computing/software/google-messages-is-doubling-down-on-scam-prevention-with-two-new-safety-measures-this-is-how-you-can-keep-your-inbox-clean
    📱 “Google Messages ยกระดับความปลอดภัย ป้องกันหลอกลวงด้วย 2 ฟีเจอร์ใหม่” — เมื่อข้อความกลายเป็นช่องทางโจมตี Google จึงตอบโต้ด้วยเทคโนโลยีที่ชาญฉลาด ในยุคที่การหลอกลวงผ่านข้อความกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว Google ได้เพิ่มมาตรการป้องกันในแอป Messages ด้วยฟีเจอร์ใหม่ 2 รายการ ได้แก่ “Key Verifier” และ “Scam Link Alerts” เพื่อช่วยให้ผู้ใช้หลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวงผ่านข้อความ RCS และลิงก์อันตราย ฟีเจอร์แรก “Key Verifier” ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบตัวตนของคู่สนทนาในแชทแบบตัวต่อตัว โดยการสแกน QR code เพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายเป็นคนจริง ไม่ใช่บัญชีปลอมที่แอบอ้างมา ซึ่งเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับการสนทนาแบบเข้ารหัส ฟีเจอร์ที่สอง “Scam Link Alerts” จะตรวจสอบลิงก์ที่ส่งมาในข้อความ หากพบว่าอาจเป็นอันตราย ระบบจะแสดง popup เตือนทันที ช่วยให้ผู้ใช้ตัดสินใจก่อนคลิกลิงก์ที่อาจนำไปสู่เว็บไซต์หลอกลวงหรือขโมยข้อมูล Google ระบุว่าเกือบ 60% ของผู้คนทั่วโลกเคยเจอการหลอกลวงในปีที่ผ่านมา และการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงทำให้กลโกงดูน่าเชื่อถือมากขึ้น ฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้จึงเป็นการตอบสนองต่อภัยคุกคามที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มว่า Google จะขยายฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติมในอนาคต เช่น การตรวจจับข้อความปลอมที่ใช้ AI สร้าง หรือการป้องกันการหลอกลวงผ่าน QR code ซึ่งกำลังเป็นช่องทางใหม่ที่ถูกใช้โจมตีผู้ใช้มือถือ ✅ Google Messages เพิ่มฟีเจอร์ความปลอดภัยใหม่ 2 รายการ ➡️ Key Verifier สำหรับตรวจสอบตัวตนในแชทแบบ RCS ➡️ Scam Link Alerts สำหรับเตือนลิงก์อันตรายในข้อความ ✅ Key Verifier ใช้การสแกน QR code เพื่อยืนยันตัวตน ➡️ ต้องใช้ Android 10 ขึ้นไป ➡️ ทั้งสองฝ่ายต้องสแกน QR code ของกันและกัน ✅ Scam Link Alerts แสดง popup เตือนเมื่อพบลิงก์น่าสงสัย ➡️ ฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานสำหรับผู้ใช้ทุกคน ✅ Google ระบุว่า 60% ของผู้คนทั่วโลกเคยเจอการหลอกลวงในปีที่ผ่านมา ➡️ การหลอกลวงมีความซับซ้อนมากขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ✅ Google มีแผนขยายฟีเจอร์ความปลอดภัยเพิ่มเติมในอนาคต ➡️ อาจรวมถึงการตรวจจับข้อความปลอมที่สร้างด้วย AI ➡️ การป้องกันการหลอกลวงผ่าน QR code https://www.techradar.com/computing/software/google-messages-is-doubling-down-on-scam-prevention-with-two-new-safety-measures-this-is-how-you-can-keep-your-inbox-clean
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nano Banana จาก Google Gemini แซงหน้า ChatGPT” — สร้างภาพสมจริงจากข้อความและภาพต้นฉบับได้แม่นยำกว่า

    ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2022 ChatGPT ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในฐานะเครื่องมือ AI อเนกประสงค์ โดยเฉพาะความสามารถในการสร้างภาพจากข้อความ ซึ่งช่วยผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กในการออกแบบโลโก้หรือภาพประกอบโดยไม่ต้องมีทักษะด้านกราฟิก

    แต่ล่าสุด Google Gemini ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Nano Banana” ซึ่งกลายเป็นขวัญใจผู้ใช้ในโลกออนไลน์ ด้วยความสามารถในการสร้างภาพที่สมจริงและแม่นยำกว่า ChatGPT โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบภาพที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบางส่วน เช่น เปลี่ยนชุดของบุคคลในภาพ

    Nano Banana สามารถ:
    สร้างภาพจากข้อความ prompt ที่ละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่ เวลา และเอฟเฟกต์ภาพ
    แก้ไขภาพที่อัปโหลด เช่น เพิ่มวัตถุ เปลี่ยนพื้นหลัง หรือรวมภาพหลายภาพเข้าด้วยกัน
    รักษาองค์ประกอบเดิมของภาพไว้ได้แม่นยำ เช่น ใบหน้าและท่าทางของบุคคล
    รองรับคำสั่งแก้ไขแบบละเอียด เช่น “ทำให้ผู้หญิงในภาพหัวเราะ” หรือ “เปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด”

    YouTubers อย่าง Corey McClain และ Brock Mesarich ได้ทดสอบ Nano Banana เทียบกับ ChatGPT โดยใช้ prompt เดียวกัน พบว่า Nano Banana เร็วกว่าและแม่นยำกว่าในการเปลี่ยนชุดของบุคคล โดยยังคงใบหน้าเดิมไว้ ขณะที่ ChatGPT กลับสร้างภาพของคนใหม่แทน

    ข้อมูลในข่าว
    Nano Banana เป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Google Gemini สำหรับสร้างภาพจากข้อความและภาพต้นฉบับ
    เปิดตัวช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025
    รองรับการแก้ไขภาพ เช่น เพิ่มวัตถุ เปลี่ยนพื้นหลัง รวมภาพหลายภาพ
    รักษาองค์ประกอบเดิมของภาพได้แม่นยำ เช่น ใบหน้าและท่าทาง
    รองรับ prompt ที่ละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่ เวลา และเอฟเฟกต์ภาพ
    สามารถใช้คำสั่งแก้ไขภาพ เช่น “เปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด” หรือ “ทำให้คนในภาพหัวเราะ”
    YouTubers พบว่า Nano Banana เร็วและแม่นยำกว่า ChatGPT ในการเปลี่ยนชุดของบุคคล ChatGPT อาจเปลี่ยนภาพทั้งใบหน้าแทนที่จะเปลี่ยนแค่ชุด
    Nano Banana รองรับหลายสไตล์ภาพ รวมถึง photorealistic และ ultra-realistic
    ใช้งานได้ผ่านเบราว์เซอร์หรือแอป Google Gemini บน iOS และ Android
    รองรับการอัปโหลดภาพสูงสุด 10 รูปต่อ prompt

    https://www.slashgear.com/1995313/google-gemini-beats-chatgpt-nano-banana/
    🍌 “Nano Banana จาก Google Gemini แซงหน้า ChatGPT” — สร้างภาพสมจริงจากข้อความและภาพต้นฉบับได้แม่นยำกว่า ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2022 ChatGPT ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในฐานะเครื่องมือ AI อเนกประสงค์ โดยเฉพาะความสามารถในการสร้างภาพจากข้อความ ซึ่งช่วยผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กในการออกแบบโลโก้หรือภาพประกอบโดยไม่ต้องมีทักษะด้านกราฟิก แต่ล่าสุด Google Gemini ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Nano Banana” ซึ่งกลายเป็นขวัญใจผู้ใช้ในโลกออนไลน์ ด้วยความสามารถในการสร้างภาพที่สมจริงและแม่นยำกว่า ChatGPT โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบภาพที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบางส่วน เช่น เปลี่ยนชุดของบุคคลในภาพ Nano Banana สามารถ: 🖼️ สร้างภาพจากข้อความ prompt ที่ละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่ เวลา และเอฟเฟกต์ภาพ 🖼️ แก้ไขภาพที่อัปโหลด เช่น เพิ่มวัตถุ เปลี่ยนพื้นหลัง หรือรวมภาพหลายภาพเข้าด้วยกัน 🖼️ รักษาองค์ประกอบเดิมของภาพไว้ได้แม่นยำ เช่น ใบหน้าและท่าทางของบุคคล 🖼️ รองรับคำสั่งแก้ไขแบบละเอียด เช่น “ทำให้ผู้หญิงในภาพหัวเราะ” หรือ “เปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด” YouTubers อย่าง Corey McClain และ Brock Mesarich ได้ทดสอบ Nano Banana เทียบกับ ChatGPT โดยใช้ prompt เดียวกัน พบว่า Nano Banana เร็วกว่าและแม่นยำกว่าในการเปลี่ยนชุดของบุคคล โดยยังคงใบหน้าเดิมไว้ ขณะที่ ChatGPT กลับสร้างภาพของคนใหม่แทน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Nano Banana เป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Google Gemini สำหรับสร้างภาพจากข้อความและภาพต้นฉบับ ➡️ เปิดตัวช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ➡️ รองรับการแก้ไขภาพ เช่น เพิ่มวัตถุ เปลี่ยนพื้นหลัง รวมภาพหลายภาพ ➡️ รักษาองค์ประกอบเดิมของภาพได้แม่นยำ เช่น ใบหน้าและท่าทาง ➡️ รองรับ prompt ที่ละเอียด เช่น อายุ เพศ สถานที่ เวลา และเอฟเฟกต์ภาพ ➡️ สามารถใช้คำสั่งแก้ไขภาพ เช่น “เปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด” หรือ “ทำให้คนในภาพหัวเราะ” ➡️ YouTubers พบว่า Nano Banana เร็วและแม่นยำกว่า ChatGPT ในการเปลี่ยนชุดของบุคคล ➡️ ChatGPT อาจเปลี่ยนภาพทั้งใบหน้าแทนที่จะเปลี่ยนแค่ชุด ➡️ Nano Banana รองรับหลายสไตล์ภาพ รวมถึง photorealistic และ ultra-realistic ➡️ ใช้งานได้ผ่านเบราว์เซอร์หรือแอป Google Gemini บน iOS และ Android ➡️ รองรับการอัปโหลดภาพสูงสุด 10 รูปต่อ prompt https://www.slashgear.com/1995313/google-gemini-beats-chatgpt-nano-banana/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Gemini Just Dethroned ChatGPT Thanks To This New Fan-Favorite Feature - SlashGear
    Google Gemini recently released its new image generating tool, Nano Banana. Reviewers are saying it produces far more realistic images than ChatGPT.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อ Kindle ไม่ให้ดาวน์โหลดหนังสือที่ซื้อ — นักพัฒนาแฮกระบบเว็บเพื่ออ่านในแอปที่ตัวเองเลือก”

    Pixelmelt นักพัฒนาสายแฮกเกอร์สายเทคนิค ได้เขียนบล็อกเล่าประสบการณ์สุดหัวร้อนหลังซื้อ eBook จาก Amazon แล้วพบว่าไม่สามารถอ่านผ่านแอปอื่นได้เลย Kindle Android app ก็ดันแครชซ้ำ ๆ ส่วน Kindle Web Reader ก็ไม่ให้ดาวน์โหลดไฟล์หรือ export ไปยัง Calibre ซึ่งเป็นแอปจัดการหนังสือยอดนิยมของสาย eBook

    เขาจึงตัดสินใจ “reverse-engineer” ระบบ obfuscation ของ Kindle Web Reader เพื่อดึงข้อมูลหนังสือออกมาอ่านในแอปที่ตัวเองเลือก โดยพบว่า Amazon ใช้เทคนิคซับซ้อนหลายชั้นเพื่อป้องกันการเข้าถึงเนื้อหาจริง เช่น:
    การแปลงตัวอักษรเป็น glyph ID แบบสุ่ม
    การเปลี่ยน mapping ทุก 5 หน้า
    การฝัง path SVG ที่ทำให้ parser ภายนอกอ่านผิด
    การใช้หลาย font variant และ ligature
    การจำกัด API ให้โหลดได้ทีละ 5 หน้าเท่านั้น

    Pixelmelt ลองใช้ OCR แต่ล้มเหลว จึงหันมาใช้เทคนิค “pixel-perfect matching” โดยเรนเดอร์ glyph เป็นภาพ แล้วใช้ perceptual hash และ SSIM เพื่อจับคู่กับตัวอักษรจากฟอนต์ Bookerly ที่ Amazon ใช้

    ผลลัพธ์คือ เขาสามารถถอดรหัส glyph ทั้งหมด 361 แบบจากหนังสือ 920 หน้า และสร้างไฟล์ EPUB ที่มีการจัดรูปแบบเหมือนต้นฉบับแทบทุกประการ

    เขาย้ำว่าเป้าหมายไม่ใช่การละเมิดลิขสิทธิ์ แต่เพื่ออ่านหนังสือที่ “ซื้อมาแล้ว” ในแอปที่ตัวเองเลือก และเพื่อเรียนรู้เทคนิคด้าน SVG, hashing และ font metrics

    ข้อมูลในข่าว
    นักพัฒนาไม่สามารถอ่าน eBook ที่ซื้อจาก Amazon ในแอปอื่นได้
    Kindle Android app แครช และ Web Reader ไม่ให้ดาวน์โหลดหรือ export
    Amazon ใช้ระบบ obfuscation หลายชั้นเพื่อป้องกันการเข้าถึงเนื้อหา
    ตัวอักษรถูกแปลงเป็น glyph ID แบบสุ่ม และเปลี่ยนทุก 5 หน้า
    API จำกัดให้โหลดได้ทีละ 5 หน้า
    glyphs ถูกฝังด้วย path SVG ที่ทำให้ parser อ่านผิด
    ใช้หลาย font variant เช่น bold, italic, ligature
    OCR ล้มเหลวในการจับคู่ glyph กับตัวอักษร
    ใช้ perceptual hash และ SSIM เพื่อจับคู่ glyph กับฟอนต์ Bookerly
    ถอดรหัส glyph ได้ครบ 361 แบบจากหนังสือ 920 หน้า
    สร้างไฟล์ EPUB ที่มีการจัดรูปแบบเหมือนต้นฉบับ
    ย้ำว่าเป้าหมายคือการอ่านหนังสือที่ซื้อมาแล้ว ไม่ใช่ละเมิดลิขสิทธิ์
    ได้เรียนรู้เทคนิคด้าน SVG rendering, hashing และ font metrics

    https://blog.pixelmelt.dev/kindle-web-drm/
    📚 “เมื่อ Kindle ไม่ให้ดาวน์โหลดหนังสือที่ซื้อ — นักพัฒนาแฮกระบบเว็บเพื่ออ่านในแอปที่ตัวเองเลือก” Pixelmelt นักพัฒนาสายแฮกเกอร์สายเทคนิค ได้เขียนบล็อกเล่าประสบการณ์สุดหัวร้อนหลังซื้อ eBook จาก Amazon แล้วพบว่าไม่สามารถอ่านผ่านแอปอื่นได้เลย Kindle Android app ก็ดันแครชซ้ำ ๆ ส่วน Kindle Web Reader ก็ไม่ให้ดาวน์โหลดไฟล์หรือ export ไปยัง Calibre ซึ่งเป็นแอปจัดการหนังสือยอดนิยมของสาย eBook เขาจึงตัดสินใจ “reverse-engineer” ระบบ obfuscation ของ Kindle Web Reader เพื่อดึงข้อมูลหนังสือออกมาอ่านในแอปที่ตัวเองเลือก โดยพบว่า Amazon ใช้เทคนิคซับซ้อนหลายชั้นเพื่อป้องกันการเข้าถึงเนื้อหาจริง เช่น: 🔡 การแปลงตัวอักษรเป็น glyph ID แบบสุ่ม 🔡 การเปลี่ยน mapping ทุก 5 หน้า 🔡 การฝัง path SVG ที่ทำให้ parser ภายนอกอ่านผิด 🔡 การใช้หลาย font variant และ ligature 🔡 การจำกัด API ให้โหลดได้ทีละ 5 หน้าเท่านั้น Pixelmelt ลองใช้ OCR แต่ล้มเหลว จึงหันมาใช้เทคนิค “pixel-perfect matching” โดยเรนเดอร์ glyph เป็นภาพ แล้วใช้ perceptual hash และ SSIM เพื่อจับคู่กับตัวอักษรจากฟอนต์ Bookerly ที่ Amazon ใช้ ผลลัพธ์คือ เขาสามารถถอดรหัส glyph ทั้งหมด 361 แบบจากหนังสือ 920 หน้า และสร้างไฟล์ EPUB ที่มีการจัดรูปแบบเหมือนต้นฉบับแทบทุกประการ เขาย้ำว่าเป้าหมายไม่ใช่การละเมิดลิขสิทธิ์ แต่เพื่ออ่านหนังสือที่ “ซื้อมาแล้ว” ในแอปที่ตัวเองเลือก และเพื่อเรียนรู้เทคนิคด้าน SVG, hashing และ font metrics ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ นักพัฒนาไม่สามารถอ่าน eBook ที่ซื้อจาก Amazon ในแอปอื่นได้ ➡️ Kindle Android app แครช และ Web Reader ไม่ให้ดาวน์โหลดหรือ export ➡️ Amazon ใช้ระบบ obfuscation หลายชั้นเพื่อป้องกันการเข้าถึงเนื้อหา ➡️ ตัวอักษรถูกแปลงเป็น glyph ID แบบสุ่ม และเปลี่ยนทุก 5 หน้า ➡️ API จำกัดให้โหลดได้ทีละ 5 หน้า ➡️ glyphs ถูกฝังด้วย path SVG ที่ทำให้ parser อ่านผิด ➡️ ใช้หลาย font variant เช่น bold, italic, ligature ➡️ OCR ล้มเหลวในการจับคู่ glyph กับตัวอักษร ➡️ ใช้ perceptual hash และ SSIM เพื่อจับคู่ glyph กับฟอนต์ Bookerly ➡️ ถอดรหัส glyph ได้ครบ 361 แบบจากหนังสือ 920 หน้า ➡️ สร้างไฟล์ EPUB ที่มีการจัดรูปแบบเหมือนต้นฉบับ ➡️ ย้ำว่าเป้าหมายคือการอ่านหนังสือที่ซื้อมาแล้ว ไม่ใช่ละเมิดลิขสิทธิ์ ➡️ ได้เรียนรู้เทคนิคด้าน SVG rendering, hashing และ font metrics https://blog.pixelmelt.dev/kindle-web-drm/
    BLOG.PIXELMELT.DEV
    How I Reversed Amazon's Kindle Web Obfuscation Because Their App Sucked
    As it turns out they don't actually want you to do this (and have some interesting ways to stop you)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Librephone โดย FSF” — โปรเจกต์ปลดปล่อยมือถือจากซอฟต์แวร์ปิดซอร์ส ไม่ใช่แค่ Android fork แต่คือการท้าทายโครงสร้างระบบมือถือทั้งวงการ

    ในงานครบรอบ 40 ปีของ Free Software Foundation (FSF) ที่จัดขึ้นในบอสตัน มีการเปิดตัวโปรเจกต์ใหม่ชื่อ “Librephone” ซึ่งไม่ใช่แค่การสร้างระบบปฏิบัติการมือถือแบบโอเพ่นซอร์ส แต่เป็นความพยายามครั้งใหญ่ในการ “ปลดปล่อย” มือถือจากซอฟต์แวร์ปิดซอร์สที่ฝังอยู่ในชิปและเฟิร์มแวร์

    Rob Savoye หัวหน้าทีมพัฒนา Librephone ซึ่งมีประสบการณ์ยาวนานกับ GNU toolchain ระบุว่า เป้าหมายหลักของโปรเจกต์คือการ reverse-engineer และแทนที่ binary blobs ที่อยู่ใน SoC (System-on-Chip) ของมือถือ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมอุปกรณ์ของตัวเองได้อย่างแท้จริง

    FSF ยืนยันว่า Librephone ไม่ใช่แค่ Android fork และไม่เกี่ยวกับการผลิตฮาร์ดแวร์ใหม่ แต่จะเน้นการสร้างสเปกที่ชัดเจนสำหรับนักพัฒนานอกเขต DMCA เพื่อให้สามารถสร้างระบบที่เป็นอิสระได้ โดยจะเริ่มจากอุปกรณ์ที่มี “ปัญหาเรื่องเสรีภาพ” น้อยที่สุดก่อน

    แม้แต่ระบบยอดนิยมอย่าง LineageOS ก็ยังมี binary blobs อยู่ FSF จึงหวังว่า Librephone จะเป็นรากฐานให้กับระบบที่ปลอดจากซอฟต์แวร์ปิดซอร์สอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับที่เคยสนับสนุนโครงการ Replicant มาก่อน

    ที่สำคัญคือ FSF ต้องการให้ชุมชนมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนา ผู้ทดสอบ นักเขียนเอกสาร หรือผู้สนับสนุนด้านการเงิน โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ librephone.fsf.org

    ข้อมูลในข่าว
    Librephone เป็นโปรเจกต์ใหม่จาก Free Software Foundation (FSF)
    เป้าหมายคือการ reverse-engineer และแทนที่ proprietary binary blobs ในมือถือ
    ไม่ใช่ Android fork และไม่เกี่ยวกับการผลิตฮาร์ดแวร์
    มุ่งเน้นการสร้างสเปกสำหรับนักพัฒนานอกเขต DMCA
    เริ่มจากอุปกรณ์ที่มีปัญหาเรื่องเสรีภาพน้อยที่สุด
    Rob Savoye เป็นหัวหน้าทีมพัฒนา มีประสบการณ์กับ GNU toolchain
    FSF เคยสนับสนุนโครงการ Replicant มาก่อน
    LineageOS ยังมี binary blobs อยู่
    Librephone จะเป็นรากฐานให้กับระบบมือถือที่เสรีอย่างแท้จริง
    เปิดรับอาสาสมัครทุกระดับ ไม่จำกัดเฉพาะวิศวกร
    สนับสนุนได้ผ่านการบริจาค ทดสอบ เขียนเอกสาร หรือเผยแพร่ข้อมูล

    https://news.itsfoss.com/librephone-project-overview/
    📱 “Librephone โดย FSF” — โปรเจกต์ปลดปล่อยมือถือจากซอฟต์แวร์ปิดซอร์ส ไม่ใช่แค่ Android fork แต่คือการท้าทายโครงสร้างระบบมือถือทั้งวงการ ในงานครบรอบ 40 ปีของ Free Software Foundation (FSF) ที่จัดขึ้นในบอสตัน มีการเปิดตัวโปรเจกต์ใหม่ชื่อ “Librephone” ซึ่งไม่ใช่แค่การสร้างระบบปฏิบัติการมือถือแบบโอเพ่นซอร์ส แต่เป็นความพยายามครั้งใหญ่ในการ “ปลดปล่อย” มือถือจากซอฟต์แวร์ปิดซอร์สที่ฝังอยู่ในชิปและเฟิร์มแวร์ Rob Savoye หัวหน้าทีมพัฒนา Librephone ซึ่งมีประสบการณ์ยาวนานกับ GNU toolchain ระบุว่า เป้าหมายหลักของโปรเจกต์คือการ reverse-engineer และแทนที่ binary blobs ที่อยู่ใน SoC (System-on-Chip) ของมือถือ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมอุปกรณ์ของตัวเองได้อย่างแท้จริง FSF ยืนยันว่า Librephone ไม่ใช่แค่ Android fork และไม่เกี่ยวกับการผลิตฮาร์ดแวร์ใหม่ แต่จะเน้นการสร้างสเปกที่ชัดเจนสำหรับนักพัฒนานอกเขต DMCA เพื่อให้สามารถสร้างระบบที่เป็นอิสระได้ โดยจะเริ่มจากอุปกรณ์ที่มี “ปัญหาเรื่องเสรีภาพ” น้อยที่สุดก่อน แม้แต่ระบบยอดนิยมอย่าง LineageOS ก็ยังมี binary blobs อยู่ FSF จึงหวังว่า Librephone จะเป็นรากฐานให้กับระบบที่ปลอดจากซอฟต์แวร์ปิดซอร์สอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับที่เคยสนับสนุนโครงการ Replicant มาก่อน ที่สำคัญคือ FSF ต้องการให้ชุมชนมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนา ผู้ทดสอบ นักเขียนเอกสาร หรือผู้สนับสนุนด้านการเงิน โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ librephone.fsf.org ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Librephone เป็นโปรเจกต์ใหม่จาก Free Software Foundation (FSF) ➡️ เป้าหมายคือการ reverse-engineer และแทนที่ proprietary binary blobs ในมือถือ ➡️ ไม่ใช่ Android fork และไม่เกี่ยวกับการผลิตฮาร์ดแวร์ ➡️ มุ่งเน้นการสร้างสเปกสำหรับนักพัฒนานอกเขต DMCA ➡️ เริ่มจากอุปกรณ์ที่มีปัญหาเรื่องเสรีภาพน้อยที่สุด ➡️ Rob Savoye เป็นหัวหน้าทีมพัฒนา มีประสบการณ์กับ GNU toolchain ➡️ FSF เคยสนับสนุนโครงการ Replicant มาก่อน ➡️ LineageOS ยังมี binary blobs อยู่ ➡️ Librephone จะเป็นรากฐานให้กับระบบมือถือที่เสรีอย่างแท้จริง ➡️ เปิดรับอาสาสมัครทุกระดับ ไม่จำกัดเฉพาะวิศวกร ➡️ สนับสนุนได้ผ่านการบริจาค ทดสอบ เขียนเอกสาร หรือเผยแพร่ข้อมูล https://news.itsfoss.com/librephone-project-overview/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Free Software Foundation Is Serious About The Librephone Project [To Bring Mobile Freedom To The Masses]
    Not just another Android fork, this project aims to liberate mobile computing at its core.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Android Auto 15.2 มาแล้ว” — Gemini และ Call Screening ยกระดับผู้ช่วยในรถให้ฉลาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น

    Google เปิดตัว Android Auto เวอร์ชัน 15.2 อย่างเป็นทางการ โดยเพิ่มฟีเจอร์เด่น 2 อย่างคือ Gemini และ Call Screening ซึ่งเคยมีเฉพาะใน Pixel phones ตอนนี้ถูกนำมาใส่ในระบบรถยนต์เพื่อเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยระหว่างขับขี่

    Gemini คือผู้ช่วย AI ที่เข้าใจภาษาธรรมชาติได้ดีกว่า Google Assistant แบบเดิม เช่น คุณสามารถพูดกับ Gemini เพื่อส่งข้อความถึงเพื่อนเป็นภาษาต่างประเทศ และมันจะช่วยแปลข้อความอัตโนมัติทุกครั้งที่คุณคุยกับคนนั้น นอกจากนี้ยังสามารถขอคำแนะนำร้านอาหาร “ระหว่างทาง” โดย Gemini จะเลือกเฉพาะร้านที่อยู่บนเส้นทางที่คุณกำลังขับอยู่

    Gemini Live ก็จะถูกเพิ่มเข้ามาใน Android Auto ซึ่งให้ประสบการณ์สนทนาแบบต่อเนื่องราวกับมีเพื่อนร่วมทางที่เข้าใจคุณตลอดเวลา

    อีกฟีเจอร์สำคัญคือ Call Screening ที่ช่วยกรองสายโทรเข้าโดยอัตโนมัติ ลดจำนวนสายที่ไม่สำคัญหรือรบกวนระหว่างขับรถ พร้อมฟีเจอร์ Call Notes ที่สรุปเนื้อหาสำคัญจากการสนทนาให้คุณหลังจบสาย

    Google ระบุว่าฟีเจอร์ทั้งหมดจะทยอยปล่อยให้ใช้งานภายในสิ้นปีนี้ และแนะนำให้ผู้ใช้อัปเดตแอป Android Auto ผ่าน Play Store หรือดาวน์โหลดไฟล์ APK จากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น APKMirror โดยต้องติดตั้งผ่าน APK bundle ซึ่งมีขั้นตอนพิเศษเล็กน้อย

    ข้อมูลในข่าว
    Android Auto 15.2 เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว
    เพิ่มฟีเจอร์ Gemini และ Call Screening จาก Pixel phones
    Gemini สามารถแปลข้อความอัตโนมัติและแนะนำร้านอาหารตามเส้นทาง
    Gemini Live ให้ประสบการณ์สนทนาแบบต่อเนื่องในรถ
    Call Screening ช่วยกรองสายโทรเข้าอัตโนมัติ
    Call Notes สรุปเนื้อหาสำคัญจากการสนทนา
    ฟีเจอร์จะทยอยปล่อยภายในสิ้นปี 2025
    ผู้ใช้สามารถอัปเดตผ่าน Play Store หรือ sideload ผ่าน APKMirror
    การติดตั้ง APK bundle ต้องใช้แอป Installer และเปิดสิทธิ์ติดตั้งจากแหล่งภายนอก

    https://www.slashgear.com/1994559/android-auto-15-2-update-details/
    🚗 “Android Auto 15.2 มาแล้ว” — Gemini และ Call Screening ยกระดับผู้ช่วยในรถให้ฉลาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น Google เปิดตัว Android Auto เวอร์ชัน 15.2 อย่างเป็นทางการ โดยเพิ่มฟีเจอร์เด่น 2 อย่างคือ Gemini และ Call Screening ซึ่งเคยมีเฉพาะใน Pixel phones ตอนนี้ถูกนำมาใส่ในระบบรถยนต์เพื่อเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยระหว่างขับขี่ Gemini คือผู้ช่วย AI ที่เข้าใจภาษาธรรมชาติได้ดีกว่า Google Assistant แบบเดิม เช่น คุณสามารถพูดกับ Gemini เพื่อส่งข้อความถึงเพื่อนเป็นภาษาต่างประเทศ และมันจะช่วยแปลข้อความอัตโนมัติทุกครั้งที่คุณคุยกับคนนั้น นอกจากนี้ยังสามารถขอคำแนะนำร้านอาหาร “ระหว่างทาง” โดย Gemini จะเลือกเฉพาะร้านที่อยู่บนเส้นทางที่คุณกำลังขับอยู่ Gemini Live ก็จะถูกเพิ่มเข้ามาใน Android Auto ซึ่งให้ประสบการณ์สนทนาแบบต่อเนื่องราวกับมีเพื่อนร่วมทางที่เข้าใจคุณตลอดเวลา อีกฟีเจอร์สำคัญคือ Call Screening ที่ช่วยกรองสายโทรเข้าโดยอัตโนมัติ ลดจำนวนสายที่ไม่สำคัญหรือรบกวนระหว่างขับรถ พร้อมฟีเจอร์ Call Notes ที่สรุปเนื้อหาสำคัญจากการสนทนาให้คุณหลังจบสาย Google ระบุว่าฟีเจอร์ทั้งหมดจะทยอยปล่อยให้ใช้งานภายในสิ้นปีนี้ และแนะนำให้ผู้ใช้อัปเดตแอป Android Auto ผ่าน Play Store หรือดาวน์โหลดไฟล์ APK จากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น APKMirror โดยต้องติดตั้งผ่าน APK bundle ซึ่งมีขั้นตอนพิเศษเล็กน้อย ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Android Auto 15.2 เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ Gemini และ Call Screening จาก Pixel phones ➡️ Gemini สามารถแปลข้อความอัตโนมัติและแนะนำร้านอาหารตามเส้นทาง ➡️ Gemini Live ให้ประสบการณ์สนทนาแบบต่อเนื่องในรถ ➡️ Call Screening ช่วยกรองสายโทรเข้าอัตโนมัติ ➡️ Call Notes สรุปเนื้อหาสำคัญจากการสนทนา ➡️ ฟีเจอร์จะทยอยปล่อยภายในสิ้นปี 2025 ➡️ ผู้ใช้สามารถอัปเดตผ่าน Play Store หรือ sideload ผ่าน APKMirror ➡️ การติดตั้ง APK bundle ต้องใช้แอป Installer และเปิดสิทธิ์ติดตั้งจากแหล่งภายนอก https://www.slashgear.com/1994559/android-auto-15-2-update-details/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google Hits 'Go' On Android Auto 15.2 – Here's How You Can Get It - SlashGear
    Android Auto 15.2 is rolling out now bringing new features, UI tweaks, shortcut updates, and better app integration. Here's how to get it today.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Firefox 144 มาแล้ว! ปรับปรุง PiP, เสริมความปลอดภัย และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพียบทั้งบนเว็บและมือถือ”

    Mozilla ได้ปล่อย Firefox 144 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจทั้งด้านความสะดวกในการใช้งาน ความปลอดภัย และการสนับสนุนนักพัฒนาเว็บ โดยเฉพาะการปรับปรุงฟีเจอร์ Picture-in-Picture (PiP) ที่ให้ผู้ใช้สามารถปิดหน้าต่างวิดีโอแบบลอยได้โดยไม่หยุดเล่นวิดีโอ ด้วยการกด Shift + Click หรือ Shift + Esc

    นอกจากนี้ Firefox 144 ยังอัปเดตปุ่ม Firefox Account บนแถบเครื่องมือให้แสดงคำว่า “Sign In” ชัดเจนขึ้น และปรับปรุงระบบเข้ารหัสรหัสผ่านใน Password Manager จาก 3DES-CBC เป็น AES-256-CBC เพื่อความปลอดภัยที่ทันสมัยยิ่งขึ้น

    สำหรับผู้ใช้ Android จะเห็นแบนเนอร์แปลภาษาใหม่ และมีการลบตัวเลือก “Allow screenshots in private browsing” ออกไป ส่วนผู้ใช้ Windows จะเห็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของการเปิดลิงก์จากแอปอื่นให้เปิดใน virtual desktop เดียวกัน

    ปล่อย Firefox 144 อย่างเป็นทางการเมื่อ 13 ตุลาคม 2025
    พร้อม Firefox 140.4 และ 115.29.0 ESR

    ปรับปรุง Picture-in-Picture (PiP)
    ปิดหน้าต่าง PiP โดยไม่หยุดวิดีโอด้วย Shift + Click หรือ Shift + Esc

    ปรับปรุงปุ่ม Firefox Account บน toolbar
    แสดงคำว่า “Sign In” ถัดจากไอคอน

    เสริมความปลอดภัยใน Password Manager
    เปลี่ยนการเข้ารหัสจาก 3DES-CBC เป็น AES-256-CBC

    สำหรับ Android:
    เพิ่มแบนเนอร์แปลภาษา
    ลบตัวเลือก “Allow screenshots in private browsing”

    สำหรับ Windows:
    เปิดลิงก์จากแอปอื่นใน virtual desktop เดียวกัน

    สำหรับนักพัฒนาเว็บ:
    รองรับ Element.moveBefore API
    รองรับ math-shift compact
    รองรับ PerformanceEventTiming.interactionId
    รองรับ command และ commandfor attributes
    รองรับ View Transition API Level 1
    รองรับ resizeMode ใน getUserMedia
    รองรับ worker transfer สำหรับ RTCDataChannel
    รองรับ upsert proposal (getOrInsert, getOrInsertComputed)
    รองรับ WebGPU GPUDevice.importExternalTexture (Windows)
    รองรับ lock() และ unlock() ของ ScreenOrientation (Windows/Android)
    รองรับ dithering สำหรับ gradients บน WebRender
    เพิ่ม batch-encoding path ให้ VideoEncoder ใน WebCodecs (Windows)
    ปรับปรุง tooltip ใน Inspector ให้แสดง badge สำหรับ custom events

    https://9to5linux.com/firefox-144-is-now-available-for-download-this-is-whats-new
    🦊 “Firefox 144 มาแล้ว! ปรับปรุง PiP, เสริมความปลอดภัย และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพียบทั้งบนเว็บและมือถือ” Mozilla ได้ปล่อย Firefox 144 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจทั้งด้านความสะดวกในการใช้งาน ความปลอดภัย และการสนับสนุนนักพัฒนาเว็บ โดยเฉพาะการปรับปรุงฟีเจอร์ Picture-in-Picture (PiP) ที่ให้ผู้ใช้สามารถปิดหน้าต่างวิดีโอแบบลอยได้โดยไม่หยุดเล่นวิดีโอ ด้วยการกด Shift + Click หรือ Shift + Esc นอกจากนี้ Firefox 144 ยังอัปเดตปุ่ม Firefox Account บนแถบเครื่องมือให้แสดงคำว่า “Sign In” ชัดเจนขึ้น และปรับปรุงระบบเข้ารหัสรหัสผ่านใน Password Manager จาก 3DES-CBC เป็น AES-256-CBC เพื่อความปลอดภัยที่ทันสมัยยิ่งขึ้น สำหรับผู้ใช้ Android จะเห็นแบนเนอร์แปลภาษาใหม่ และมีการลบตัวเลือก “Allow screenshots in private browsing” ออกไป ส่วนผู้ใช้ Windows จะเห็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของการเปิดลิงก์จากแอปอื่นให้เปิดใน virtual desktop เดียวกัน ✅ ปล่อย Firefox 144 อย่างเป็นทางการเมื่อ 13 ตุลาคม 2025 ➡️ พร้อม Firefox 140.4 และ 115.29.0 ESR ✅ ปรับปรุง Picture-in-Picture (PiP) ➡️ ปิดหน้าต่าง PiP โดยไม่หยุดวิดีโอด้วย Shift + Click หรือ Shift + Esc ✅ ปรับปรุงปุ่ม Firefox Account บน toolbar ➡️ แสดงคำว่า “Sign In” ถัดจากไอคอน ✅ เสริมความปลอดภัยใน Password Manager ➡️ เปลี่ยนการเข้ารหัสจาก 3DES-CBC เป็น AES-256-CBC ✅ สำหรับ Android: ➡️ เพิ่มแบนเนอร์แปลภาษา ➡️ ลบตัวเลือก “Allow screenshots in private browsing” ✅ สำหรับ Windows: ➡️ เปิดลิงก์จากแอปอื่นใน virtual desktop เดียวกัน ✅ สำหรับนักพัฒนาเว็บ: ➡️ รองรับ Element.moveBefore API ➡️ รองรับ math-shift compact ➡️ รองรับ PerformanceEventTiming.interactionId ➡️ รองรับ command และ commandfor attributes ➡️ รองรับ View Transition API Level 1 ➡️ รองรับ resizeMode ใน getUserMedia ➡️ รองรับ worker transfer สำหรับ RTCDataChannel ➡️ รองรับ upsert proposal (getOrInsert, getOrInsertComputed) ➡️ รองรับ WebGPU GPUDevice.importExternalTexture (Windows) ➡️ รองรับ lock() และ unlock() ของ ScreenOrientation (Windows/Android) ➡️ รองรับ dithering สำหรับ gradients บน WebRender ➡️ เพิ่ม batch-encoding path ให้ VideoEncoder ใน WebCodecs (Windows) ➡️ ปรับปรุง tooltip ใน Inspector ให้แสดง badge สำหรับ custom events https://9to5linux.com/firefox-144-is-now-available-for-download-this-is-whats-new
    9TO5LINUX.COM
    Firefox 144 Is Now Available for Download, This Is What’s New - 9to5Linux
    Firefox 144 open-source web browser is now available for download with various new features and improvements. Here's what's new!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Free Software ยังไม่ชนะ — เมื่อเสรีภาพของผู้ใช้ยังถูกล็อกไว้ในเฟิร์มแวร์และอุปกรณ์รอบตัว”

    บทความนี้เป็นฉบับเรียบเรียงจากการบรรยายของ Dorota ที่งาน P.I.W.O. ซึ่งตั้งคำถามว่า “Free Software ชนะแล้วจริงหรือ?” แม้เราจะใช้ Linux, Firefox, Inkscape และเครื่องมือโอเพ่นซอร์สมากมาย แต่เมื่อมองลึกลงไปในอุปกรณ์รอบตัว เช่น โทรศัพท์, เครื่องพิมพ์, การ์ดจอ, หรือแม้แต่จักรยานไฟฟ้า — เรากลับพบว่าเฟิร์มแวร์และซอฟต์แวร์ภายในยังคงเป็นระบบปิดที่ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์ควบคุม

    Dorota ยกตัวอย่างจากประสบการณ์พัฒนาโทรศัพท์ Librem 5 ที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและการผูกขาดของผู้ผลิตชิปโมเด็ม ซึ่งทำให้ไม่สามารถหาชิ้นส่วนที่เปิดซอร์สได้อย่างแท้จริง แม้จะมีความพยายามจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส แต่การล็อกบูตโหลดเดอร์, การจำกัดการอัปเดต, และการปิดกั้นการเข้าถึงซอร์สโค้ด ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ

    บทความยังชี้ให้เห็นว่าแม้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สจะถูกใช้ในอุปกรณ์มากมาย แต่ผู้ใช้กลับไม่มีสิทธิ์ในการศึกษา แก้ไข หรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์นั้น เพราะผู้ผลิตเลือกใช้ไลเซนส์แบบ “permissive” ที่เปิดช่องให้ปิดซอร์สในภายหลังได้

    Dorota เสนอว่าการผลักดัน Free Software ให้ “ชนะจริง” ต้องอาศัยแรงผลักดันทางการเมือง เช่น การออกกฎหมายบังคับให้เปิดซอร์สเฟิร์มแวร์ หรือการสนับสนุนผู้ผลิตที่เป็นมิตรกับโอเพ่นซอร์ส เช่น Purism, Prusa, หรือ Espruino

    Free Software ยังไม่ชนะในระดับเฟิร์มแวร์และอุปกรณ์
    โทรศัพท์, เครื่องพิมพ์, การ์ดจอ, และอุปกรณ์ IoT ยังใช้ระบบปิด

    ตัวอย่างจาก Librem 5 พบข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและการผูกขาด
    ผู้ผลิตชิปโมเด็มควบคุมการเข้าถึงและการจัดจำหน่าย

    เฟิร์มแวร์ในอุปกรณ์ทั่วไปยังเป็นระบบปิด
    เช่น SSD, HDD, GPU, keyboard, network card

    Secure Boot และระบบล็อกบูตโหลดเดอร์จำกัดสิทธิ์ผู้ใช้
    ผู้ผลิตสามารถเลือกซอฟต์แวร์ที่ผู้ใช้รันได้

    ซอฟต์แวร์ที่ใช้ไลเซนส์ permissive อาจถูกปิดซอร์สในภายหลัง
    ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์แก้ไขหรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์ที่ถูกดัดแปลง

    การสนับสนุนผู้ผลิตที่เปิดซอร์สเป็นทางเลือกหนึ่ง
    เช่น Librem 5, Prusa 3D, Espruino

    Google Chromebook มี BIOS และ Embedded Controller แบบเปิด
    ใช้ Coreboot และสามารถรัน Linux ได้อย่างเสรี

    Debian เป็นตัวอย่างของระบบที่พัฒนาโดยชุมชน
    ต่างจาก Android ที่ถูกควบคุมโดยบริษัท

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ผู้ใช้ทั่วไปยังขาดสิทธิ์ในการควบคุมอุปกรณ์ของตนเอง
    เฟิร์มแวร์และระบบล็อกทำให้ไม่สามารถแก้ไขหรือปรับแต่งได้

    อุปกรณ์ที่ใช้บริการคลาวด์อาจกลายเป็น “อิฐ” เมื่อเซิร์ฟเวอร์ปิดตัว
    เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, กล้อง, หรืออุปกรณ์เกษตร

    ซอฟต์แวร์ปิดในอุปกรณ์การแพทย์อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้
    เช่น pacemaker ที่ไม่สามารถปรับแต่งหรือตรวจสอบได้

    การใช้ไลเซนส์ permissive โดยผู้ผลิตอาจทำให้ผู้ใช้เสียสิทธิ์
    แม้จะใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส แต่ไม่สามารถเข้าถึงซอร์สโค้ด

    การพัฒนาโดยบริษัทอาจขัดแย้งกับเป้าหมายของผู้ใช้
    เช่น Android ที่ปิดซอร์สส่วนสำคัญและจำกัดการอัปเดต

    https://dorotac.eu/posts/fosswon/
    🧠 “Free Software ยังไม่ชนะ — เมื่อเสรีภาพของผู้ใช้ยังถูกล็อกไว้ในเฟิร์มแวร์และอุปกรณ์รอบตัว” บทความนี้เป็นฉบับเรียบเรียงจากการบรรยายของ Dorota ที่งาน P.I.W.O. ซึ่งตั้งคำถามว่า “Free Software ชนะแล้วจริงหรือ?” แม้เราจะใช้ Linux, Firefox, Inkscape และเครื่องมือโอเพ่นซอร์สมากมาย แต่เมื่อมองลึกลงไปในอุปกรณ์รอบตัว เช่น โทรศัพท์, เครื่องพิมพ์, การ์ดจอ, หรือแม้แต่จักรยานไฟฟ้า — เรากลับพบว่าเฟิร์มแวร์และซอฟต์แวร์ภายในยังคงเป็นระบบปิดที่ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์ควบคุม Dorota ยกตัวอย่างจากประสบการณ์พัฒนาโทรศัพท์ Librem 5 ที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและการผูกขาดของผู้ผลิตชิปโมเด็ม ซึ่งทำให้ไม่สามารถหาชิ้นส่วนที่เปิดซอร์สได้อย่างแท้จริง แม้จะมีความพยายามจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส แต่การล็อกบูตโหลดเดอร์, การจำกัดการอัปเดต, และการปิดกั้นการเข้าถึงซอร์สโค้ด ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ บทความยังชี้ให้เห็นว่าแม้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สจะถูกใช้ในอุปกรณ์มากมาย แต่ผู้ใช้กลับไม่มีสิทธิ์ในการศึกษา แก้ไข หรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์นั้น เพราะผู้ผลิตเลือกใช้ไลเซนส์แบบ “permissive” ที่เปิดช่องให้ปิดซอร์สในภายหลังได้ Dorota เสนอว่าการผลักดัน Free Software ให้ “ชนะจริง” ต้องอาศัยแรงผลักดันทางการเมือง เช่น การออกกฎหมายบังคับให้เปิดซอร์สเฟิร์มแวร์ หรือการสนับสนุนผู้ผลิตที่เป็นมิตรกับโอเพ่นซอร์ส เช่น Purism, Prusa, หรือ Espruino ✅ Free Software ยังไม่ชนะในระดับเฟิร์มแวร์และอุปกรณ์ ➡️ โทรศัพท์, เครื่องพิมพ์, การ์ดจอ, และอุปกรณ์ IoT ยังใช้ระบบปิด ✅ ตัวอย่างจาก Librem 5 พบข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและการผูกขาด ➡️ ผู้ผลิตชิปโมเด็มควบคุมการเข้าถึงและการจัดจำหน่าย ✅ เฟิร์มแวร์ในอุปกรณ์ทั่วไปยังเป็นระบบปิด ➡️ เช่น SSD, HDD, GPU, keyboard, network card ✅ Secure Boot และระบบล็อกบูตโหลดเดอร์จำกัดสิทธิ์ผู้ใช้ ➡️ ผู้ผลิตสามารถเลือกซอฟต์แวร์ที่ผู้ใช้รันได้ ✅ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ไลเซนส์ permissive อาจถูกปิดซอร์สในภายหลัง ➡️ ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์แก้ไขหรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์ที่ถูกดัดแปลง ✅ การสนับสนุนผู้ผลิตที่เปิดซอร์สเป็นทางเลือกหนึ่ง ➡️ เช่น Librem 5, Prusa 3D, Espruino ✅ Google Chromebook มี BIOS และ Embedded Controller แบบเปิด ➡️ ใช้ Coreboot และสามารถรัน Linux ได้อย่างเสรี ✅ Debian เป็นตัวอย่างของระบบที่พัฒนาโดยชุมชน ➡️ ต่างจาก Android ที่ถูกควบคุมโดยบริษัท ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปยังขาดสิทธิ์ในการควบคุมอุปกรณ์ของตนเอง ⛔ เฟิร์มแวร์และระบบล็อกทำให้ไม่สามารถแก้ไขหรือปรับแต่งได้ ‼️ อุปกรณ์ที่ใช้บริการคลาวด์อาจกลายเป็น “อิฐ” เมื่อเซิร์ฟเวอร์ปิดตัว ⛔ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, กล้อง, หรืออุปกรณ์เกษตร ‼️ ซอฟต์แวร์ปิดในอุปกรณ์การแพทย์อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ⛔ เช่น pacemaker ที่ไม่สามารถปรับแต่งหรือตรวจสอบได้ ‼️ การใช้ไลเซนส์ permissive โดยผู้ผลิตอาจทำให้ผู้ใช้เสียสิทธิ์ ⛔ แม้จะใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส แต่ไม่สามารถเข้าถึงซอร์สโค้ด ‼️ การพัฒนาโดยบริษัทอาจขัดแย้งกับเป้าหมายของผู้ใช้ ⛔ เช่น Android ที่ปิดซอร์สส่วนสำคัญและจำกัดการอัปเดต https://dorotac.eu/posts/fosswon/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Dimensity 9500: ชิปเรือธงราคาประหยัดที่แลกมาด้วยประสิทธิภาพที่ต้องพิจารณา"

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟน Android ที่ต้องเลือกชิปประมวลผลสำหรับรุ่นใหม่ในปี 2025 คุณมีตัวเลือกหลักสองตัว — Snapdragon 8 Elite Gen 5 จาก Qualcomm และ Dimensity 9500 จาก MediaTek ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 3nm N3P เหมือนกัน แต่ราคาต่างกันอย่างมาก

    Dimensity 9500 เปิดราคามาเพียง $180–$200 ต่อหน่วย ขณะที่ Snapdragon 8 Elite Gen 5 พุ่งไปถึง $280 นั่นหมายความว่า MediaTek เสนอราคาถูกกว่าถึง 55% ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบมหาศาลสำหรับผู้ผลิตที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มกำไร

    แต่ราคาที่ถูกนั้นแลกมาด้วยข้อจำกัดบางอย่าง Dimensity 9500 ยังคงใช้ดีไซน์ CPU และ GPU จาก ARM ซึ่งช่วยลดต้นทุน แต่ก็ทำให้ประสิทธิภาพด้อยกว่าคู่แข่งที่ใช้คอร์แบบ custom เช่น Oryon ของ Qualcomm ที่พัฒนาเองภายในบริษัท

    จากการทดสอบ Geekbench 6 พบว่า Dimensity 9500 มีคะแนน multi-core ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ Apple A19 Pro แถมยังใช้พลังงานมากกว่า ทำให้เกิดความร้อนสูง โดยเฉพาะในเกมที่ต้องใช้กราฟิกหนัก ๆ อย่างที่เห็นใน OnePlus 15 ที่ใช้ชิปนี้

    นอกจากนี้ Qualcomm ยังลงทุนซื้อบริษัท Nuvia มูลค่า $1.4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาคอร์แบบ custom แข่งกับ Apple ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเทคโนโลยีภายในเป็นกลยุทธ์สำคัญในตลาดชิปสมาร์ตโฟนระดับสูง

    Dimensity 9500 ถูกกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 5 อย่างมาก
    ราคาต่อหน่วยอยู่ที่ $180–$200 เทียบกับ $280 ของ Snapdragon
    ถูกกว่าถึง 55% ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ผลิต Android

    MediaTek ใช้ดีไซน์จาก ARM เพื่อลดต้นทุน
    ไม่พัฒนาคอร์เองแบบ Qualcomm ที่ใช้ Oryon cores
    ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการออกแบบและผลิต

    ประสิทธิภาพของ Dimensity 9500 ต่ำกว่าคู่แข่ง
    คะแนน multi-core ต่ำที่สุดในกลุ่มชิปเรือธง
    ใช้พลังงานสูงและเกิดความร้อนมากในสมาร์ตโฟน

    Qualcomm ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีภายใน
    ซื้อบริษัท Nuvia เพื่อสร้างคอร์ custom แข่งกับ Apple
    เป็นกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแตกต่าง

    คำเตือนสำหรับผู้ผลิตที่เลือก Dimensity 9500
    แม้ราคาถูก แต่ประสิทธิภาพอาจไม่ตอบโจทย์การใช้งานหนัก
    ความร้อนสูงอาจส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้และอายุการใช้งานของเครื่อง
    การพึ่งพา ARM อาจทำให้ MediaTek เสียเปรียบในระยะยาว

    ถ้าคุณเป็นผู้ใช้งานทั่วไป การเลือกสมาร์ตโฟนที่ใช้ชิป Dimensity 9500 อาจช่วยประหยัดงบประมาณ แต่ถ้าคุณเน้นประสิทธิภาพสูงสุดและการเล่นเกมแบบจัดเต็ม Snapdragon 8 Elite Gen 5 ยังเป็นตัวเลือกที่เหนือกว่าในหลายด้าน.

    https://wccftech.com/dimensity-9500-more-than-50-percent-cheaper-than-the-snapdragon-8-elite-gen-5/
    📱 "Dimensity 9500: ชิปเรือธงราคาประหยัดที่แลกมาด้วยประสิทธิภาพที่ต้องพิจารณา" ลองจินตนาการว่าคุณเป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟน Android ที่ต้องเลือกชิปประมวลผลสำหรับรุ่นใหม่ในปี 2025 คุณมีตัวเลือกหลักสองตัว — Snapdragon 8 Elite Gen 5 จาก Qualcomm และ Dimensity 9500 จาก MediaTek ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 3nm N3P เหมือนกัน แต่ราคาต่างกันอย่างมาก Dimensity 9500 เปิดราคามาเพียง $180–$200 ต่อหน่วย ขณะที่ Snapdragon 8 Elite Gen 5 พุ่งไปถึง $280 นั่นหมายความว่า MediaTek เสนอราคาถูกกว่าถึง 55% ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบมหาศาลสำหรับผู้ผลิตที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มกำไร แต่ราคาที่ถูกนั้นแลกมาด้วยข้อจำกัดบางอย่าง Dimensity 9500 ยังคงใช้ดีไซน์ CPU และ GPU จาก ARM ซึ่งช่วยลดต้นทุน แต่ก็ทำให้ประสิทธิภาพด้อยกว่าคู่แข่งที่ใช้คอร์แบบ custom เช่น Oryon ของ Qualcomm ที่พัฒนาเองภายในบริษัท จากการทดสอบ Geekbench 6 พบว่า Dimensity 9500 มีคะแนน multi-core ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ Apple A19 Pro แถมยังใช้พลังงานมากกว่า ทำให้เกิดความร้อนสูง โดยเฉพาะในเกมที่ต้องใช้กราฟิกหนัก ๆ อย่างที่เห็นใน OnePlus 15 ที่ใช้ชิปนี้ นอกจากนี้ Qualcomm ยังลงทุนซื้อบริษัท Nuvia มูลค่า $1.4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาคอร์แบบ custom แข่งกับ Apple ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเทคโนโลยีภายในเป็นกลยุทธ์สำคัญในตลาดชิปสมาร์ตโฟนระดับสูง ✅ Dimensity 9500 ถูกกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 5 อย่างมาก ➡️ ราคาต่อหน่วยอยู่ที่ $180–$200 เทียบกับ $280 ของ Snapdragon ➡️ ถูกกว่าถึง 55% ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ผลิต Android ✅ MediaTek ใช้ดีไซน์จาก ARM เพื่อลดต้นทุน ➡️ ไม่พัฒนาคอร์เองแบบ Qualcomm ที่ใช้ Oryon cores ➡️ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการออกแบบและผลิต ✅ ประสิทธิภาพของ Dimensity 9500 ต่ำกว่าคู่แข่ง ➡️ คะแนน multi-core ต่ำที่สุดในกลุ่มชิปเรือธง ➡️ ใช้พลังงานสูงและเกิดความร้อนมากในสมาร์ตโฟน ✅ Qualcomm ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีภายใน ➡️ ซื้อบริษัท Nuvia เพื่อสร้างคอร์ custom แข่งกับ Apple ➡️ เป็นกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแตกต่าง ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ผลิตที่เลือก Dimensity 9500 ⛔ แม้ราคาถูก แต่ประสิทธิภาพอาจไม่ตอบโจทย์การใช้งานหนัก ⛔ ความร้อนสูงอาจส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้และอายุการใช้งานของเครื่อง ⛔ การพึ่งพา ARM อาจทำให้ MediaTek เสียเปรียบในระยะยาว ถ้าคุณเป็นผู้ใช้งานทั่วไป การเลือกสมาร์ตโฟนที่ใช้ชิป Dimensity 9500 อาจช่วยประหยัดงบประมาณ แต่ถ้าคุณเน้นประสิทธิภาพสูงสุดและการเล่นเกมแบบจัดเต็ม Snapdragon 8 Elite Gen 5 ยังเป็นตัวเลือกที่เหนือกว่าในหลายด้าน. https://wccftech.com/dimensity-9500-more-than-50-percent-cheaper-than-the-snapdragon-8-elite-gen-5/
    WCCFTECH.COM
    Dimensity 9500 Is Estimated To Be More Than 50% Cheaper Than The Snapdragon 8 Elite Gen 5, Despite Using The Same 3nm N3P Process
    The estimated price of the Dimensity 9500 has come forth, since it is cheaper than the Snapdragon 8 Elite Gen 5, it will be preferred by Android phone makers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • “PipeWire 1.4.9 มาแล้ว! เสถียรขึ้น รองรับ libcamera sandbox และแก้ปัญหาเสียง ALSA อย่างชาญฉลาด”

    PipeWire 1.4.9 ได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 โดยเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาในซีรีส์ 1.4 ของระบบจัดการสตรีมเสียงและวิดีโอแบบโอเพ่นซอร์สบน Linux ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน เวอร์ชันนี้เน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับ libcamera และ ALSA

    หนึ่งในจุดเด่นคือการปรับปรุงการกู้คืนเสียงเมื่อ ALSA ไม่รองรับ “3 periods” ซึ่งเคยทำให้ระบบเสียงล่มหรือไม่ตอบสนอง นอกจากนี้ยังแก้ regression ที่ทำให้ node ไม่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน และแก้ปัญหาการเริ่มต้น adapter ที่ล้มเหลว

    PipeWire 1.4.9 ยังลบการตั้งค่า RestrictNamespaces ออกจากไฟล์ systemd เพื่อให้ libcamera สามารถโหลด IPA modules แบบ sandbox ได้ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้ระบบกล้องใน Linux ทำงานได้ปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในเบราว์เซอร์อย่าง Firefox ที่ใช้ PipeWire เป็น backend สำหรับกล้อง

    การอัปเดตนี้ยังรวมถึงการแก้ไข SDP session hash, session-id, NULL dereference ใน profiler, และการเปรียบเทียบ event ใน UMP ที่ผิดพลาด รวมถึงการ backport patch จาก libcamera เพื่อรองรับ calorimetry และปรับปรุง thread-safety

    PipeWire ยังเพิ่มการจัดการข้อผิดพลาดในการจัดสรร file descriptor ใน Avahi และปรับค่า headroom สำหรับ SOF cards ให้ใช้ minimal period size โดยค่าเริ่มต้น เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการใช้งานกับอุปกรณ์เสียงรุ่นใหม่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    PipeWire 1.4.9 เปิดตัวเมื่อ 9 ตุลาคม 2025 เป็นการอัปเดตบำรุงรักษา
    แก้ regression ที่ทำให้ node ไม่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน
    ปรับปรุงการกู้คืนเสียงเมื่อ ALSA ไม่รองรับ “3 periods”
    ลบ RestrictNamespaces จาก systemd เพื่อให้ libcamera โหลด IPA modules แบบ sandbox ได้
    แก้ SDP session hash และ session-id ให้ถูกต้อง
    แก้ NULL dereference ใน profiler และ UMP event compare function
    แก้ปัญหา adapter ที่เริ่มต้นและ resume ไม่ได้
    ปรับค่า headroom สำหรับ SOF cards ให้ใช้ minimal period size
    Backport patch จาก libcamera เช่น calorimetry และ thread-safety
    เพิ่มการจัดการข้อผิดพลาด fd allocation ใน Avahi

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PipeWire เป็น backend หลักสำหรับเสียงและวิดีโอบน Linux แทน PulseAudio และ JACK
    libcamera เป็นระบบจัดการกล้องแบบใหม่ที่ใช้ใน Linux และ Android
    IPA modules คือ Image Processing Algorithm ที่ช่วยปรับภาพจากกล้องให้เหมาะสม
    systemd RestrictNamespaces เป็นการจำกัดการเข้าถึง namespace เพื่อความปลอดภัย
    SOF (Sound Open Firmware) เป็นเฟรมเวิร์กเสียงของ Intel ที่ใช้ในอุปกรณ์รุ่นใหม่

    https://9to5linux.com/pipewire-1-4-9-improves-alsa-recovery-and-adapts-to-newer-libcamera-changes
    🎧 “PipeWire 1.4.9 มาแล้ว! เสถียรขึ้น รองรับ libcamera sandbox และแก้ปัญหาเสียง ALSA อย่างชาญฉลาด” PipeWire 1.4.9 ได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 โดยเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาในซีรีส์ 1.4 ของระบบจัดการสตรีมเสียงและวิดีโอแบบโอเพ่นซอร์สบน Linux ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน เวอร์ชันนี้เน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับ libcamera และ ALSA หนึ่งในจุดเด่นคือการปรับปรุงการกู้คืนเสียงเมื่อ ALSA ไม่รองรับ “3 periods” ซึ่งเคยทำให้ระบบเสียงล่มหรือไม่ตอบสนอง นอกจากนี้ยังแก้ regression ที่ทำให้ node ไม่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน และแก้ปัญหาการเริ่มต้น adapter ที่ล้มเหลว PipeWire 1.4.9 ยังลบการตั้งค่า RestrictNamespaces ออกจากไฟล์ systemd เพื่อให้ libcamera สามารถโหลด IPA modules แบบ sandbox ได้ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้ระบบกล้องใน Linux ทำงานได้ปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในเบราว์เซอร์อย่าง Firefox ที่ใช้ PipeWire เป็น backend สำหรับกล้อง การอัปเดตนี้ยังรวมถึงการแก้ไข SDP session hash, session-id, NULL dereference ใน profiler, และการเปรียบเทียบ event ใน UMP ที่ผิดพลาด รวมถึงการ backport patch จาก libcamera เพื่อรองรับ calorimetry และปรับปรุง thread-safety PipeWire ยังเพิ่มการจัดการข้อผิดพลาดในการจัดสรร file descriptor ใน Avahi และปรับค่า headroom สำหรับ SOF cards ให้ใช้ minimal period size โดยค่าเริ่มต้น เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการใช้งานกับอุปกรณ์เสียงรุ่นใหม่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ PipeWire 1.4.9 เปิดตัวเมื่อ 9 ตุลาคม 2025 เป็นการอัปเดตบำรุงรักษา ➡️ แก้ regression ที่ทำให้ node ไม่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน ➡️ ปรับปรุงการกู้คืนเสียงเมื่อ ALSA ไม่รองรับ “3 periods” ➡️ ลบ RestrictNamespaces จาก systemd เพื่อให้ libcamera โหลด IPA modules แบบ sandbox ได้ ➡️ แก้ SDP session hash และ session-id ให้ถูกต้อง ➡️ แก้ NULL dereference ใน profiler และ UMP event compare function ➡️ แก้ปัญหา adapter ที่เริ่มต้นและ resume ไม่ได้ ➡️ ปรับค่า headroom สำหรับ SOF cards ให้ใช้ minimal period size ➡️ Backport patch จาก libcamera เช่น calorimetry และ thread-safety ➡️ เพิ่มการจัดการข้อผิดพลาด fd allocation ใน Avahi ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PipeWire เป็น backend หลักสำหรับเสียงและวิดีโอบน Linux แทน PulseAudio และ JACK ➡️ libcamera เป็นระบบจัดการกล้องแบบใหม่ที่ใช้ใน Linux และ Android ➡️ IPA modules คือ Image Processing Algorithm ที่ช่วยปรับภาพจากกล้องให้เหมาะสม ➡️ systemd RestrictNamespaces เป็นการจำกัดการเข้าถึง namespace เพื่อความปลอดภัย ➡️ SOF (Sound Open Firmware) เป็นเฟรมเวิร์กเสียงของ Intel ที่ใช้ในอุปกรณ์รุ่นใหม่ https://9to5linux.com/pipewire-1-4-9-improves-alsa-recovery-and-adapts-to-newer-libcamera-changes
    9TO5LINUX.COM
    PipeWire 1.4.9 Improves ALSA Recovery and Adapts to Newer libcamera Changes - 9to5Linux
    PipeWire 1.4.9 open-source server for handling audio/video streams and hardware on Linux is now available for download with various changes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Python 3.14 มาแล้ว! เร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ JIT ยังไม่เปรี้ยง — Free-threading คือดาวเด่นของเวอร์ชันนี้”

    หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 ตุลาคม 2025 Python 3.14 ได้รับการทดสอบประสิทธิภาพโดยนักพัฒนา Miguel Grinberg ซึ่งเปรียบเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้าและภาษาคู่แข่งอย่าง Node.js, Rust และ Pypy โดยใช้สคริปต์ทดสอบสองแบบคือ Fibonacci (เน้น recursion) และ Bubble Sort (เน้น iteration)

    ผลลัพธ์ชี้ว่า Python 3.14 เร็วกว่า Python 3.13 ประมาณ 27% ในการคำนวณ Fibonacci และเร็วกว่าเวอร์ชัน 3.11 ถึง 45% โดย Bubble Sort ก็เร็วขึ้นเช่นกัน แม้จะไม่มากเท่า Fibonacci

    นอกจากนี้ Python 3.14 ยังมี interpreter แบบใหม่สองแบบคือ JIT (Just-In-Time) และ Free-threading (FT) ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่เวอร์ชัน 3.13 โดย JIT ยังไม่แสดงผลลัพธ์ที่โดดเด่นในงานทดสอบของ Miguel แต่ Free-threading กลับสร้างความประทับใจ โดยสามารถรันงานแบบ multi-thread ได้เร็วกว่า interpreter ปกติถึง 3 เท่าในบางกรณี

    การเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญ เพราะ Free-threading ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของ GIL (Global Interpreter Lock) ที่เคยเป็นอุปสรรคในการใช้ Python กับงานที่ต้องการประมวลผลหลายเธรดพร้อมกัน เช่น งานด้าน data science, machine learning และ simulation

    นอกจากนี้ Python 3.14 ยังมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น t-strings (PEP 750) สำหรับการจัดการข้อความแบบปลอดภัย, การรองรับ UUID เวอร์ชัน 6–8, และโมดูลใหม่สำหรับการบีบอัดข้อมูลด้วย Zstandard (PEP 784)

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Python 3.14 เปิดตัวเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2025
    เร็วกว่า Python 3.13 ประมาณ 27% ในการคำนวณ Fibonacci
    Bubble Sort ก็เร็วขึ้น แต่ไม่มากเท่า Fibonacci
    มี interpreter ใหม่: JIT และ Free-threading (FT)
    Free-threading รันงาน multi-thread ได้เร็วกว่า interpreter ปกติถึง 3 เท่า
    JIT ยังไม่แสดงผลลัพธ์ที่โดดเด่นในงานทดสอบ
    ฟีเจอร์ใหม่: t-strings (PEP 750), UUID v6–8, โมดูลบีบอัด Zstandard (PEP 784)
    รองรับการพัฒนาแอป Android ด้วย binary อย่างเป็นทางการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GIL เป็นข้อจำกัดที่ทำให้ Python ไม่สามารถใช้ CPU หลายคอร์ได้เต็มที่
    Free-threading ช่วยให้ Python ใช้ multi-core ได้จริง โดยไม่ต้องใช้ multiprocessing
    NumPy เริ่มรองรับ Free-threading แล้วใน Linux และ macOS
    t-strings ช่วยลดความเสี่ยงจาก SQL injection และ XSS
    Rust และ Pypy ยังเร็วกว่า Python 3.14 อย่างมากในงานที่ใช้ CPU หนัก

    คำเตือนและข้อจำกัด
    JIT ยังไม่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนในงานที่ใช้ recursion หนัก
    Free-threading ยังช้ากว่า interpreter ปกติในงาน single-thread
    การเปลี่ยน interpreter อาจต้อง rebuild จาก source และปรับ config
    ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างยังไม่รองรับในทุกระบบปฏิบัติการ
    การใช้ Free-threading ต้องระวังเรื่อง thread safety และการจัดการ memory

    https://blog.miguelgrinberg.com/post/python-3-14-is-here-how-fast-is-it
    🐍 “Python 3.14 มาแล้ว! เร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ JIT ยังไม่เปรี้ยง — Free-threading คือดาวเด่นของเวอร์ชันนี้” หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 ตุลาคม 2025 Python 3.14 ได้รับการทดสอบประสิทธิภาพโดยนักพัฒนา Miguel Grinberg ซึ่งเปรียบเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้าและภาษาคู่แข่งอย่าง Node.js, Rust และ Pypy โดยใช้สคริปต์ทดสอบสองแบบคือ Fibonacci (เน้น recursion) และ Bubble Sort (เน้น iteration) ผลลัพธ์ชี้ว่า Python 3.14 เร็วกว่า Python 3.13 ประมาณ 27% ในการคำนวณ Fibonacci และเร็วกว่าเวอร์ชัน 3.11 ถึง 45% โดย Bubble Sort ก็เร็วขึ้นเช่นกัน แม้จะไม่มากเท่า Fibonacci นอกจากนี้ Python 3.14 ยังมี interpreter แบบใหม่สองแบบคือ JIT (Just-In-Time) และ Free-threading (FT) ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่เวอร์ชัน 3.13 โดย JIT ยังไม่แสดงผลลัพธ์ที่โดดเด่นในงานทดสอบของ Miguel แต่ Free-threading กลับสร้างความประทับใจ โดยสามารถรันงานแบบ multi-thread ได้เร็วกว่า interpreter ปกติถึง 3 เท่าในบางกรณี การเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญ เพราะ Free-threading ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของ GIL (Global Interpreter Lock) ที่เคยเป็นอุปสรรคในการใช้ Python กับงานที่ต้องการประมวลผลหลายเธรดพร้อมกัน เช่น งานด้าน data science, machine learning และ simulation นอกจากนี้ Python 3.14 ยังมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น t-strings (PEP 750) สำหรับการจัดการข้อความแบบปลอดภัย, การรองรับ UUID เวอร์ชัน 6–8, และโมดูลใหม่สำหรับการบีบอัดข้อมูลด้วย Zstandard (PEP 784) ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Python 3.14 เปิดตัวเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2025 ➡️ เร็วกว่า Python 3.13 ประมาณ 27% ในการคำนวณ Fibonacci ➡️ Bubble Sort ก็เร็วขึ้น แต่ไม่มากเท่า Fibonacci ➡️ มี interpreter ใหม่: JIT และ Free-threading (FT) ➡️ Free-threading รันงาน multi-thread ได้เร็วกว่า interpreter ปกติถึง 3 เท่า ➡️ JIT ยังไม่แสดงผลลัพธ์ที่โดดเด่นในงานทดสอบ ➡️ ฟีเจอร์ใหม่: t-strings (PEP 750), UUID v6–8, โมดูลบีบอัด Zstandard (PEP 784) ➡️ รองรับการพัฒนาแอป Android ด้วย binary อย่างเป็นทางการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GIL เป็นข้อจำกัดที่ทำให้ Python ไม่สามารถใช้ CPU หลายคอร์ได้เต็มที่ ➡️ Free-threading ช่วยให้ Python ใช้ multi-core ได้จริง โดยไม่ต้องใช้ multiprocessing ➡️ NumPy เริ่มรองรับ Free-threading แล้วใน Linux และ macOS ➡️ t-strings ช่วยลดความเสี่ยงจาก SQL injection และ XSS ➡️ Rust และ Pypy ยังเร็วกว่า Python 3.14 อย่างมากในงานที่ใช้ CPU หนัก ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ JIT ยังไม่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนในงานที่ใช้ recursion หนัก ⛔ Free-threading ยังช้ากว่า interpreter ปกติในงาน single-thread ⛔ การเปลี่ยน interpreter อาจต้อง rebuild จาก source และปรับ config ⛔ ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างยังไม่รองรับในทุกระบบปฏิบัติการ ⛔ การใช้ Free-threading ต้องระวังเรื่อง thread safety และการจัดการ memory https://blog.miguelgrinberg.com/post/python-3-14-is-here-how-fast-is-it
    BLOG.MIGUELGRINBERG.COM
    Python 3.14 Is Here. How Fast Is It?
    In November of 2024 I wrote a blog post titled "Is Python Really That Slow?", in which I tested several versions of Python and noted the steady progress the language has been making in terms of…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google ปิดประตู Gemini Nano บนมือถือที่ปลดล็อก bootloader — นักพัฒนาและผู้ใช้สาย root อาจต้องเลือกระหว่างอิสระกับ AI”

    Google ได้ประกาศอย่างเป็นทางการผ่านเอกสาร ML Kit API ว่าอุปกรณ์ Android ที่มีการปลดล็อก bootloader จะไม่สามารถใช้งาน Gemini Nano ได้ ซึ่งเป็นโมเดล AI ขนาดเล็กที่ออกแบบมาให้ทำงานบนอุปกรณ์โดยตรง โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับคลาวด์

    Gemini Nano เป็นโมเดลที่ใช้พลังประมวลผลจาก GPU/NPU ภายในเครื่อง เพื่อให้สามารถตอบสนองได้รวดเร็วและรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ โดยไม่ต้องส่งข้อมูลขึ้นเซิร์ฟเวอร์ของ Google ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้ใช้หลายคนชื่นชอบ

    แต่เมื่อ bootloader ถูกปลดล็อก ระบบจะถือว่าอุปกรณ์นั้น “ไม่ปลอดภัย” และจะปิดการเข้าถึง API ของ Gemini Nano โดยแสดงข้อความ “FEATURE_NOT_FOUND” ซึ่งหมายถึงฟีเจอร์ไม่สามารถใช้งานได้ในสถานะปัจจุบันของเครื่อง

    แม้ผู้ใช้จะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือรีสตาร์ทเครื่อง ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ หาก bootloader ยังถูกปลดล็อกอยู่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ที่ต้องการ root เครื่องหรือใช้ custom ROM เพื่อปรับแต่งระบบ

    แนวโน้มนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบ Android ที่เคยเปิดกว้างสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ขั้นสูง แต่กำลังถูกจำกัดมากขึ้น โดยผู้ผลิตหลายรายเริ่มปิดกั้นการปลดล็อก bootloader หรือจำกัดให้ทำได้เพียงเครื่องเดียวต่อบัญชี

    แม้จะเป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผลด้านความปลอดภัย แต่ก็สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้บางกลุ่มที่เคยใช้ฟีเจอร์ AI บนเครื่องอย่างเต็มประสิทธิภาพ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Google ประกาศว่าอุปกรณ์ที่ปลดล็อก bootloader จะไม่สามารถใช้ Gemini Nano ได้
    Gemini Nano เป็นโมเดล AI ขนาดเล็กที่ทำงานบนอุปกรณ์โดยตรง
    การปลดล็อก bootloader ทำให้ระบบถือว่าอุปกรณ์ไม่ปลอดภัย
    API ของ Gemini Nano จะแสดงข้อความ “FEATURE_NOT_FOUND” บนเครื่องที่ปลดล็อก
    การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือรีสตาร์ทเครื่องไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
    ผู้ใช้ที่ root เครื่องหรือใช้ custom ROM จะไม่สามารถใช้ฟีเจอร์ AI บนเครื่องได้
    ผู้ผลิตหลายรายเริ่มจำกัดการปลดล็อก bootloader หรือยกเลิกฟีเจอร์นี้ไปเลย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini Nano ใช้ในฟีเจอร์อย่าง smart reply, audio summarization และ image description
    ML Kit API เป็นเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาในการเรียกใช้ฟีเจอร์ AI บนอุปกรณ์ Android
    การปลดล็อก bootloader เป็นวิธีที่ใช้ในการติดตั้ง ROM แบบกำหนดเองหรือ root เครื่อง
    Android 16 เริ่มไม่เผยแพร่ device tree และ driver binaries ทำให้การพัฒนา custom ROM ยากขึ้น
    การจำกัด bootloader เป็นแนวทางที่ผู้ผลิตใช้เพื่อป้องกันการโจมตีและการ debug ที่ไม่พึงประสงค์

    https://securityonline.info/gemini-nano-block-google-locks-on-device-ai-access-for-smartphones-with-unlocked-bootloaders/
    📱 “Google ปิดประตู Gemini Nano บนมือถือที่ปลดล็อก bootloader — นักพัฒนาและผู้ใช้สาย root อาจต้องเลือกระหว่างอิสระกับ AI” Google ได้ประกาศอย่างเป็นทางการผ่านเอกสาร ML Kit API ว่าอุปกรณ์ Android ที่มีการปลดล็อก bootloader จะไม่สามารถใช้งาน Gemini Nano ได้ ซึ่งเป็นโมเดล AI ขนาดเล็กที่ออกแบบมาให้ทำงานบนอุปกรณ์โดยตรง โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับคลาวด์ Gemini Nano เป็นโมเดลที่ใช้พลังประมวลผลจาก GPU/NPU ภายในเครื่อง เพื่อให้สามารถตอบสนองได้รวดเร็วและรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ โดยไม่ต้องส่งข้อมูลขึ้นเซิร์ฟเวอร์ของ Google ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้ใช้หลายคนชื่นชอบ แต่เมื่อ bootloader ถูกปลดล็อก ระบบจะถือว่าอุปกรณ์นั้น “ไม่ปลอดภัย” และจะปิดการเข้าถึง API ของ Gemini Nano โดยแสดงข้อความ “FEATURE_NOT_FOUND” ซึ่งหมายถึงฟีเจอร์ไม่สามารถใช้งานได้ในสถานะปัจจุบันของเครื่อง แม้ผู้ใช้จะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือรีสตาร์ทเครื่อง ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ หาก bootloader ยังถูกปลดล็อกอยู่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ที่ต้องการ root เครื่องหรือใช้ custom ROM เพื่อปรับแต่งระบบ แนวโน้มนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบ Android ที่เคยเปิดกว้างสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ขั้นสูง แต่กำลังถูกจำกัดมากขึ้น โดยผู้ผลิตหลายรายเริ่มปิดกั้นการปลดล็อก bootloader หรือจำกัดให้ทำได้เพียงเครื่องเดียวต่อบัญชี แม้จะเป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผลด้านความปลอดภัย แต่ก็สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้บางกลุ่มที่เคยใช้ฟีเจอร์ AI บนเครื่องอย่างเต็มประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Google ประกาศว่าอุปกรณ์ที่ปลดล็อก bootloader จะไม่สามารถใช้ Gemini Nano ได้ ➡️ Gemini Nano เป็นโมเดล AI ขนาดเล็กที่ทำงานบนอุปกรณ์โดยตรง ➡️ การปลดล็อก bootloader ทำให้ระบบถือว่าอุปกรณ์ไม่ปลอดภัย ➡️ API ของ Gemini Nano จะแสดงข้อความ “FEATURE_NOT_FOUND” บนเครื่องที่ปลดล็อก ➡️ การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือรีสตาร์ทเครื่องไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ➡️ ผู้ใช้ที่ root เครื่องหรือใช้ custom ROM จะไม่สามารถใช้ฟีเจอร์ AI บนเครื่องได้ ➡️ ผู้ผลิตหลายรายเริ่มจำกัดการปลดล็อก bootloader หรือยกเลิกฟีเจอร์นี้ไปเลย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini Nano ใช้ในฟีเจอร์อย่าง smart reply, audio summarization และ image description ➡️ ML Kit API เป็นเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาในการเรียกใช้ฟีเจอร์ AI บนอุปกรณ์ Android ➡️ การปลดล็อก bootloader เป็นวิธีที่ใช้ในการติดตั้ง ROM แบบกำหนดเองหรือ root เครื่อง ➡️ Android 16 เริ่มไม่เผยแพร่ device tree และ driver binaries ทำให้การพัฒนา custom ROM ยากขึ้น ➡️ การจำกัด bootloader เป็นแนวทางที่ผู้ผลิตใช้เพื่อป้องกันการโจมตีและการ debug ที่ไม่พึงประสงค์ https://securityonline.info/gemini-nano-block-google-locks-on-device-ai-access-for-smartphones-with-unlocked-bootloaders/
    SECURITYONLINE.INFO
    Gemini Nano Block: Google Locks On-Device AI Access for Smartphones with Unlocked Bootloaders
    Google has confirmed that the Gemini Nano on-device AI model is blocked from running on Android devices with an unlocked bootloader, citing a feature not found error.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Gemini 2.5 Computer Use — โมเดล AI ที่คลิก พิมพ์ และเลื่อนหน้าเว็บแทนคุณได้จริง เปิดประตูสู่ยุคผู้ช่วยดิจิทัลที่ลงมือทำ”

    Google DeepMind เปิดตัวโมเดลใหม่ “Gemini 2.5 Computer Use” ซึ่งเป็นเวอร์ชันเฉพาะทางของ Gemini 2.5 Pro ที่ออกแบบมาเพื่อให้ AI สามารถควบคุมอินเทอร์เฟซของเว็บไซต์และแอปได้โดยตรง ไม่ใช่แค่เข้าใจคำสั่งหรือภาพ แต่สามารถ “ลงมือทำ” ได้จริง เช่น คลิกปุ่ม พิมพ์ข้อความ เลื่อนหน้าเว็บ หรือกรอกแบบฟอร์ม — ทั้งหมดนี้จากคำสั่งเดียวของผู้ใช้

    โมเดลนี้เปิดให้ใช้งานผ่าน Gemini API บน Google AI Studio และ Vertex AI โดยใช้เครื่องมือใหม่ชื่อว่า computer_use ซึ่งทำงานในรูปแบบลูป: รับคำสั่ง → วิเคราะห์ภาพหน้าจอและประวัติการกระทำ → สร้างคำสั่ง UI → ส่งกลับไปยังระบบ → ถ่ายภาพหน้าจอใหม่ → ประเมินผล → ทำต่อหรือหยุด

    Gemini 2.5 Computer Use รองรับคำสั่ง UI 13 รูปแบบ เช่น คลิก พิมพ์ ลากวัตถุ เลื่อนหน้าเว็บ และจัดการ dropdown โดยสามารถทำงานหลังล็อกอินได้ด้วย ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง “agent” ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในระบบดิจิทัล

    ด้านความปลอดภัย Google ได้ฝังระบบตรวจสอบไว้ในตัวโมเดล เช่น per-step safety service ที่ตรวจสอบทุกคำสั่งก่อนรัน และ system instructions ที่ให้ผู้พัฒนากำหนดว่าต้องขออนุมัติก่อนทำงานที่มีความเสี่ยง เช่น การซื้อของหรือควบคุมอุปกรณ์ทางการแพทย์

    ทีมภายในของ Google ได้ใช้โมเดลนี้ในงานจริง เช่น Project Mariner, Firebase Testing Agent และ AI Mode ใน Search โดยช่วยลดเวลาในการทดสอบ UI และแก้ปัญหาการทำงานล้มเหลวได้ถึง 60% ในบางกรณี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Gemini 2.5 Computer Use เป็นโมเดล AI ที่ควบคุม UI ได้โดยตรง
    ทำงานผ่าน Gemini API บน Google AI Studio และ Vertex AI
    ใช้เครื่องมือ computer_use ที่ทำงานแบบลูปต่อเนื่อง
    รองรับคำสั่ง UI 13 รูปแบบ เช่น คลิก พิมพ์ ลาก เลื่อน dropdown
    สามารถทำงานหลังล็อกอิน และจัดการฟอร์มได้เหมือนมนุษย์
    มีระบบ per-step safety service ตรวจสอบคำสั่งก่อนรัน
    ผู้พัฒนาสามารถตั้ง system instructions เพื่อป้องกันความเสี่ยง
    ใช้ในโปรเจกต์จริงของ Google เช่น Project Mariner และ Firebase Testing Agent
    ช่วยลดเวลาในการทดสอบ UI และเพิ่มความแม่นยำในการทำงาน
    เปิดให้ใช้งานแบบ public preview แล้ววันนี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Browserbase เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ทดสอบ Gemini 2.5 Computer Use แบบ headless browser
    โมเดลนี้ outperform คู่แข่งใน benchmark เช่น Online-Mind2Web และ AndroidWorld
    Claude Sonnet 4.5 และ ChatGPT Agent ก็มีฟีเจอร์ควบคุม UI แต่ยังไม่เน้นภาพหน้าจอ
    การควบคุม UI ด้วยภาพหน้าจอช่วยให้ AI ทำงานในระบบที่ไม่มี API ได้
    Gemini 2.5 Computer Use ใช้ Gemini Pro เป็นฐาน โดยเสริมความเข้าใจภาพและตรรกะ

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ยังไม่รองรับการควบคุมระบบปฏิบัติการแบบเต็ม เช่น Windows หรือ macOS
    การทำงานผ่านภาพหน้าจออาจมีข้อจำกัดในแอปที่เปลี่ยน UI แบบไดนามิก
    หากไม่มีการตั้งค่าความปลอดภัย อาจเกิดการคลิกผิดหรือกรอกข้อมูลผิด
    การใช้งานในระบบที่มีข้อมูลอ่อนไหวต้องมีการยืนยันจากผู้ใช้ก่อนเสมอ
    ผู้พัฒนาต้องทดสอบระบบอย่างละเอียดก่อนนำไปใช้จริงในองค์กร

    https://blog.google/technology/google-deepmind/gemini-computer-use-model/
    🖱️ “Gemini 2.5 Computer Use — โมเดล AI ที่คลิก พิมพ์ และเลื่อนหน้าเว็บแทนคุณได้จริง เปิดประตูสู่ยุคผู้ช่วยดิจิทัลที่ลงมือทำ” Google DeepMind เปิดตัวโมเดลใหม่ “Gemini 2.5 Computer Use” ซึ่งเป็นเวอร์ชันเฉพาะทางของ Gemini 2.5 Pro ที่ออกแบบมาเพื่อให้ AI สามารถควบคุมอินเทอร์เฟซของเว็บไซต์และแอปได้โดยตรง ไม่ใช่แค่เข้าใจคำสั่งหรือภาพ แต่สามารถ “ลงมือทำ” ได้จริง เช่น คลิกปุ่ม พิมพ์ข้อความ เลื่อนหน้าเว็บ หรือกรอกแบบฟอร์ม — ทั้งหมดนี้จากคำสั่งเดียวของผู้ใช้ โมเดลนี้เปิดให้ใช้งานผ่าน Gemini API บน Google AI Studio และ Vertex AI โดยใช้เครื่องมือใหม่ชื่อว่า computer_use ซึ่งทำงานในรูปแบบลูป: รับคำสั่ง → วิเคราะห์ภาพหน้าจอและประวัติการกระทำ → สร้างคำสั่ง UI → ส่งกลับไปยังระบบ → ถ่ายภาพหน้าจอใหม่ → ประเมินผล → ทำต่อหรือหยุด Gemini 2.5 Computer Use รองรับคำสั่ง UI 13 รูปแบบ เช่น คลิก พิมพ์ ลากวัตถุ เลื่อนหน้าเว็บ และจัดการ dropdown โดยสามารถทำงานหลังล็อกอินได้ด้วย ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง “agent” ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในระบบดิจิทัล ด้านความปลอดภัย Google ได้ฝังระบบตรวจสอบไว้ในตัวโมเดล เช่น per-step safety service ที่ตรวจสอบทุกคำสั่งก่อนรัน และ system instructions ที่ให้ผู้พัฒนากำหนดว่าต้องขออนุมัติก่อนทำงานที่มีความเสี่ยง เช่น การซื้อของหรือควบคุมอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทีมภายในของ Google ได้ใช้โมเดลนี้ในงานจริง เช่น Project Mariner, Firebase Testing Agent และ AI Mode ใน Search โดยช่วยลดเวลาในการทดสอบ UI และแก้ปัญหาการทำงานล้มเหลวได้ถึง 60% ในบางกรณี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Gemini 2.5 Computer Use เป็นโมเดล AI ที่ควบคุม UI ได้โดยตรง ➡️ ทำงานผ่าน Gemini API บน Google AI Studio และ Vertex AI ➡️ ใช้เครื่องมือ computer_use ที่ทำงานแบบลูปต่อเนื่อง ➡️ รองรับคำสั่ง UI 13 รูปแบบ เช่น คลิก พิมพ์ ลาก เลื่อน dropdown ➡️ สามารถทำงานหลังล็อกอิน และจัดการฟอร์มได้เหมือนมนุษย์ ➡️ มีระบบ per-step safety service ตรวจสอบคำสั่งก่อนรัน ➡️ ผู้พัฒนาสามารถตั้ง system instructions เพื่อป้องกันความเสี่ยง ➡️ ใช้ในโปรเจกต์จริงของ Google เช่น Project Mariner และ Firebase Testing Agent ➡️ ช่วยลดเวลาในการทดสอบ UI และเพิ่มความแม่นยำในการทำงาน ➡️ เปิดให้ใช้งานแบบ public preview แล้ววันนี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Browserbase เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ทดสอบ Gemini 2.5 Computer Use แบบ headless browser ➡️ โมเดลนี้ outperform คู่แข่งใน benchmark เช่น Online-Mind2Web และ AndroidWorld ➡️ Claude Sonnet 4.5 และ ChatGPT Agent ก็มีฟีเจอร์ควบคุม UI แต่ยังไม่เน้นภาพหน้าจอ ➡️ การควบคุม UI ด้วยภาพหน้าจอช่วยให้ AI ทำงานในระบบที่ไม่มี API ได้ ➡️ Gemini 2.5 Computer Use ใช้ Gemini Pro เป็นฐาน โดยเสริมความเข้าใจภาพและตรรกะ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ยังไม่รองรับการควบคุมระบบปฏิบัติการแบบเต็ม เช่น Windows หรือ macOS ⛔ การทำงานผ่านภาพหน้าจออาจมีข้อจำกัดในแอปที่เปลี่ยน UI แบบไดนามิก ⛔ หากไม่มีการตั้งค่าความปลอดภัย อาจเกิดการคลิกผิดหรือกรอกข้อมูลผิด ⛔ การใช้งานในระบบที่มีข้อมูลอ่อนไหวต้องมีการยืนยันจากผู้ใช้ก่อนเสมอ ⛔ ผู้พัฒนาต้องทดสอบระบบอย่างละเอียดก่อนนำไปใช้จริงในองค์กร https://blog.google/technology/google-deepmind/gemini-computer-use-model/
    BLOG.GOOGLE
    Introducing the Gemini 2.5 Computer Use model
    Today we are releasing the Gemini 2.5 Computer Use model via the API, which outperforms leading alternatives at browser and mobile tasks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 254 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenAI เปิดตัว Apps SDK — สร้างแอปที่ทำงานร่วมกับ ChatGPT ได้โดยตรง พร้อมระบบ MCP ที่ยืดหยุ่นและปลอดภัย”

    OpenAI เปิดตัว Apps SDK ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กใหม่สำหรับนักพัฒนาในการสร้างแอปที่สามารถทำงานร่วมกับ ChatGPT ได้โดยตรง โดยระบบนี้เปิดให้ใช้งานในเวอร์ชันพรีวิวแล้ว และจะเปิดให้ส่งแอปเข้าสู่ระบบในช่วงปลายปี 2025

    หัวใจของ Apps SDK คือ MCP Server (Model Context Protocol) ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่นักพัฒนาต้องตั้งค่าเพื่อให้ ChatGPT สามารถเรียกใช้งานเครื่องมือ (tools) ที่กำหนดไว้ได้ โดยแต่ละ tool จะมี metadata, JSON schema และ HTML component ที่ ChatGPT สามารถเรนเดอร์แบบอินไลน์ในแชตได้ทันที

    นักพัฒนาสามารถใช้ SDK ภาษา Python หรือ TypeScript เพื่อสร้าง MCP Server ได้อย่างรวดเร็ว โดยมีตัวอย่างการใช้งานผ่าน FastAPI หรือ Express และสามารถใช้ tunneling service เช่น ngrok เพื่อทดสอบในระหว่างการพัฒนา ก่อนจะนำไป deploy บนเซิร์ฟเวอร์ HTTPS ที่มี latency ต่ำ

    Apps SDK ยังมีระบบการจัดการผู้ใช้ เช่น OAuth 2.1, token verification และการจัดการ state ของผู้ใช้ เพื่อให้แอปสามารถทำงานแบบ personalized ได้อย่างปลอดภัย และสามารถเรียกใช้ tools จาก component UI ได้โดยตรงผ่าน widget-accessible flag

    OpenAI ยังเน้นเรื่องความปลอดภัย โดยกำหนดให้ทุก widget ต้องมี Content Security Policy (CSP) ที่เข้มงวด และจะมีการตรวจสอบ CSP ก่อนอนุมัติให้แอปเผยแพร่ในระบบ ChatGPT

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI เปิดตัว Apps SDK สำหรับสร้างแอปที่ทำงานร่วมกับ ChatGPT
    ใช้ MCP Server เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่าง ChatGPT กับ backend
    tools ต้องมี metadata, JSON schema และ HTML component สำหรับเรนเดอร์
    SDK รองรับ Python และ TypeScript โดยใช้ FastAPI หรือ Express
    สามารถใช้ ngrok เพื่อทดสอบ MCP Server ในระหว่างพัฒนา
    แอปต้อง deploy บนเซิร์ฟเวอร์ HTTPS ที่มี latency ต่ำ
    รองรับระบบผู้ใช้ เช่น OAuth 2.1 และ token verification
    tools สามารถเรียกจาก component UI ได้โดยใช้ widget-accessible flag
    ทุก widget ต้องมี CSP ที่ปลอดภัยก่อนเผยแพร่
    Apps SDK เปิดให้ใช้งานแบบพรีวิว และจะเปิดให้ส่งแอปปลายปีนี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MCP เป็นโปรโตคอลที่ช่วยให้ ChatGPT เข้าใจบริบทของแอปและเรียกใช้งานได้อย่างแม่นยำ
    HTML component ที่เรนเดอร์ในแชตช่วยให้ผู้ใช้โต้ตอบกับแอปได้โดยไม่ต้องออกจาก ChatGPT
    การใช้ metadata ช่วยให้ ChatGPT ค้นหาแอปได้จากคำถามของผู้ใช้
    Apps SDK คล้ายระบบ Intent บน Android แต่ใช้ภาษาธรรมชาติแทน
    การเปิดระบบนี้ช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปที่เข้าถึงผู้ใช้ ChatGPT กว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์

    https://developers.openai.com/apps-sdk/
    🧩 “OpenAI เปิดตัว Apps SDK — สร้างแอปที่ทำงานร่วมกับ ChatGPT ได้โดยตรง พร้อมระบบ MCP ที่ยืดหยุ่นและปลอดภัย” OpenAI เปิดตัว Apps SDK ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กใหม่สำหรับนักพัฒนาในการสร้างแอปที่สามารถทำงานร่วมกับ ChatGPT ได้โดยตรง โดยระบบนี้เปิดให้ใช้งานในเวอร์ชันพรีวิวแล้ว และจะเปิดให้ส่งแอปเข้าสู่ระบบในช่วงปลายปี 2025 หัวใจของ Apps SDK คือ MCP Server (Model Context Protocol) ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่นักพัฒนาต้องตั้งค่าเพื่อให้ ChatGPT สามารถเรียกใช้งานเครื่องมือ (tools) ที่กำหนดไว้ได้ โดยแต่ละ tool จะมี metadata, JSON schema และ HTML component ที่ ChatGPT สามารถเรนเดอร์แบบอินไลน์ในแชตได้ทันที นักพัฒนาสามารถใช้ SDK ภาษา Python หรือ TypeScript เพื่อสร้าง MCP Server ได้อย่างรวดเร็ว โดยมีตัวอย่างการใช้งานผ่าน FastAPI หรือ Express และสามารถใช้ tunneling service เช่น ngrok เพื่อทดสอบในระหว่างการพัฒนา ก่อนจะนำไป deploy บนเซิร์ฟเวอร์ HTTPS ที่มี latency ต่ำ Apps SDK ยังมีระบบการจัดการผู้ใช้ เช่น OAuth 2.1, token verification และการจัดการ state ของผู้ใช้ เพื่อให้แอปสามารถทำงานแบบ personalized ได้อย่างปลอดภัย และสามารถเรียกใช้ tools จาก component UI ได้โดยตรงผ่าน widget-accessible flag OpenAI ยังเน้นเรื่องความปลอดภัย โดยกำหนดให้ทุก widget ต้องมี Content Security Policy (CSP) ที่เข้มงวด และจะมีการตรวจสอบ CSP ก่อนอนุมัติให้แอปเผยแพร่ในระบบ ChatGPT ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI เปิดตัว Apps SDK สำหรับสร้างแอปที่ทำงานร่วมกับ ChatGPT ➡️ ใช้ MCP Server เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่าง ChatGPT กับ backend ➡️ tools ต้องมี metadata, JSON schema และ HTML component สำหรับเรนเดอร์ ➡️ SDK รองรับ Python และ TypeScript โดยใช้ FastAPI หรือ Express ➡️ สามารถใช้ ngrok เพื่อทดสอบ MCP Server ในระหว่างพัฒนา ➡️ แอปต้อง deploy บนเซิร์ฟเวอร์ HTTPS ที่มี latency ต่ำ ➡️ รองรับระบบผู้ใช้ เช่น OAuth 2.1 และ token verification ➡️ tools สามารถเรียกจาก component UI ได้โดยใช้ widget-accessible flag ➡️ ทุก widget ต้องมี CSP ที่ปลอดภัยก่อนเผยแพร่ ➡️ Apps SDK เปิดให้ใช้งานแบบพรีวิว และจะเปิดให้ส่งแอปปลายปีนี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MCP เป็นโปรโตคอลที่ช่วยให้ ChatGPT เข้าใจบริบทของแอปและเรียกใช้งานได้อย่างแม่นยำ ➡️ HTML component ที่เรนเดอร์ในแชตช่วยให้ผู้ใช้โต้ตอบกับแอปได้โดยไม่ต้องออกจาก ChatGPT ➡️ การใช้ metadata ช่วยให้ ChatGPT ค้นหาแอปได้จากคำถามของผู้ใช้ ➡️ Apps SDK คล้ายระบบ Intent บน Android แต่ใช้ภาษาธรรมชาติแทน ➡️ การเปิดระบบนี้ช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปที่เข้าถึงผู้ใช้ ChatGPT กว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ https://developers.openai.com/apps-sdk/
    DEVELOPERS.OPENAI.COM
    Apps SDK
    Learn how to use Apps SDK by OpenAI. Our framework to build apps for ChatGPT.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Amazon เปิดตัว Vega OS — ระบบปฏิบัติการใหม่แทน Android บน Fire TV เพื่ออิสระและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า”

    หลังจากใช้ Fire OS ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาต่อจาก Android มานานหลายปี Amazon ได้ประกาศเปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่ที่พัฒนาขึ้นเองโดยใช้ Linux เป็นฐานหลัก โดยเริ่มใช้งานจริงบนอุปกรณ์ Fire TV Stick 4K Select ซึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025

    Vega OS ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงและใช้ทรัพยากรน้อย โดยสามารถทำงานได้ลื่นไหลแม้มี RAM เพียง 1 GB ซึ่งน้อยกว่ารุ่นก่อนที่ใช้ Fire OS ถึงครึ่งหนึ่ง จุดเด่นคือการเปิดแอปได้เร็วและการนำทางที่ราบรื่น

    เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแอปบน Vega OS Amazon ได้เปิดตัว Vega Developer Tools ซึ่งรองรับ React Native 0.72 และเทคโนโลยีเว็บผ่าน Vega WebView ทำให้นักพัฒนาสามารถนำโค้ดเดิมจาก Fire OS มาใช้ต่อได้ง่ายขึ้น

    อย่างไรก็ตาม Vega OS มีข้อจำกัดสำคัญคือไม่รองรับการ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น โดย Amazon ระบุว่าเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย

    เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานแอปที่ยังไม่ถูกพอร์ตมายัง Vega OS ได้ Amazon ได้เปิดตัว Cloud App Program ที่ให้บริการสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์ โดยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก

    แม้จะมีการเปิดตัว Vega OS แต่ Amazon ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS ต่อไป และจะมีอุปกรณ์ใหม่ที่ใช้ Fire OS วางจำหน่ายควบคู่กันไปในระยะเปลี่ยนผ่าน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Amazon เปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่สำหรับ Fire TV
    ใช้ Linux เป็นฐานหลักแทน Android ที่ใช้ใน Fire OS
    เริ่มใช้งานจริงบน Fire TV Stick 4K Select
    Vega OS ใช้ RAM เพียง 1 GB แต่ยังคงทำงานได้ลื่นไหล
    เปิดตัว Vega Developer Tools รองรับ React Native และ Vega WebView
    ไม่รองรับ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป
    ติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น
    เปิดตัว Cloud App Program สำหรับสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์
    Amazon สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก
    ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS และเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ควบคู่กันไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Vega OS ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2023 และใช้ในอุปกรณ์ Echo บางรุ่นแล้ว
    การใช้ Linux ช่วยให้ Amazon มีอิสระจากข้อจำกัดของ Google และ Android
    React Native เป็นเฟรมเวิร์กยอดนิยมที่ช่วยให้พัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์มได้ง่าย
    Fire TV Stick 4K Select รองรับ 4K HDR10+, Dolby Atmos และ Bluetooth 5.0
    Vega OS อาจช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้อุปกรณ์มีราคาถูกลง

    https://news.itsfoss.com/amazon-vega-os/
    📺 “Amazon เปิดตัว Vega OS — ระบบปฏิบัติการใหม่แทน Android บน Fire TV เพื่ออิสระและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า” หลังจากใช้ Fire OS ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาต่อจาก Android มานานหลายปี Amazon ได้ประกาศเปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่ที่พัฒนาขึ้นเองโดยใช้ Linux เป็นฐานหลัก โดยเริ่มใช้งานจริงบนอุปกรณ์ Fire TV Stick 4K Select ซึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 Vega OS ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงและใช้ทรัพยากรน้อย โดยสามารถทำงานได้ลื่นไหลแม้มี RAM เพียง 1 GB ซึ่งน้อยกว่ารุ่นก่อนที่ใช้ Fire OS ถึงครึ่งหนึ่ง จุดเด่นคือการเปิดแอปได้เร็วและการนำทางที่ราบรื่น เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแอปบน Vega OS Amazon ได้เปิดตัว Vega Developer Tools ซึ่งรองรับ React Native 0.72 และเทคโนโลยีเว็บผ่าน Vega WebView ทำให้นักพัฒนาสามารถนำโค้ดเดิมจาก Fire OS มาใช้ต่อได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม Vega OS มีข้อจำกัดสำคัญคือไม่รองรับการ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น โดย Amazon ระบุว่าเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานแอปที่ยังไม่ถูกพอร์ตมายัง Vega OS ได้ Amazon ได้เปิดตัว Cloud App Program ที่ให้บริการสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์ โดยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก แม้จะมีการเปิดตัว Vega OS แต่ Amazon ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS ต่อไป และจะมีอุปกรณ์ใหม่ที่ใช้ Fire OS วางจำหน่ายควบคู่กันไปในระยะเปลี่ยนผ่าน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Amazon เปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่สำหรับ Fire TV ➡️ ใช้ Linux เป็นฐานหลักแทน Android ที่ใช้ใน Fire OS ➡️ เริ่มใช้งานจริงบน Fire TV Stick 4K Select ➡️ Vega OS ใช้ RAM เพียง 1 GB แต่ยังคงทำงานได้ลื่นไหล ➡️ เปิดตัว Vega Developer Tools รองรับ React Native และ Vega WebView ➡️ ไม่รองรับ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป ➡️ ติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น ➡️ เปิดตัว Cloud App Program สำหรับสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์ ➡️ Amazon สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก ➡️ ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS และเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ควบคู่กันไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Vega OS ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2023 และใช้ในอุปกรณ์ Echo บางรุ่นแล้ว ➡️ การใช้ Linux ช่วยให้ Amazon มีอิสระจากข้อจำกัดของ Google และ Android ➡️ React Native เป็นเฟรมเวิร์กยอดนิยมที่ช่วยให้พัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์มได้ง่าย ➡️ Fire TV Stick 4K Select รองรับ 4K HDR10+, Dolby Atmos และ Bluetooth 5.0 ➡️ Vega OS อาจช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้อุปกรณ์มีราคาถูกลง https://news.itsfoss.com/amazon-vega-os/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Amazon Ditches Android — Launches 'Linux-Based' Vega OS for Fire TV
    Amazon's new OS has some Linux bits inside. The move aims to stop relying on Google's Android for Amazon devices.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts