• เรื่องเล่าจากสนาม AI: AMD ลุกขึ้นท้าชน NVIDIA ด้วยกลยุทธ์ใหม่ที่ไม่ใช่แค่ชิปแรง

    ย้อนกลับไปในปี 2022 เมื่อ ChatGPT จุดกระแส AI ให้ลุกเป็นไฟ NVIDIA ก็กลายเป็นเจ้าตลาดทันที เพราะมีทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์พร้อมใช้งาน ขณะที่ AMD ยังอยู่กับ CPU และ GPU แบบเดิม จนกระทั่งปี 2023 Lisa Su ซีอีโอของ AMD ประกาศเปลี่ยนทิศทางบริษัทเข้าสู่ตลาด AI อย่างเต็มตัว

    แต่การไล่ตามไม่ง่าย เพราะ NVIDIA ไม่ได้ขายแค่ชิป แต่ขาย “ระบบนิเวศ” ที่ผูกขาดด้วย CUDA และเครื่องมือพัฒนาแบบ proprietary ทำให้ Big Tech อย่าง Microsoft, Meta และ OpenAI ติดสัญญาและไม่กล้าเปลี่ยนฝั่งง่ายๆ

    AMD จึงต้องสร้างทุกอย่างใหม่ ตั้งแต่ชิป MI300X ที่มี VRAM 192GB มากกว่า H100 ของ NVIDIA ถึงเท่าตัว ไปจนถึงการเปิดตัว Helios rack-scale AI server ที่ใช้ EPYC Venice CPU และเตรียมเปิดตัว MI400 ที่ใช้ HBM4 พร้อมหน่วยความจำเพิ่มขึ้นอีก 50%

    แม้ MI300X จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า H100 ในงาน inferencing ขนาดเล็กและใหญ่ แต่ยังแพ้ใน batch ขนาดกลาง และราคาต่อชั่วโมงก็สูงกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวณรวมแล้ว AMD กลับคุ้มค่ากว่าในหลายกรณี

    AMD ยังพยายามสร้างซอฟต์แวร์ ecosystem ของตัวเอง และเริ่มได้รับความสนใจจาก Big Tech ที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มทางเลือก เช่น Microsoft และ OpenAI ที่เริ่มใช้เทคโนโลยีของ AMD ในบางส่วน

    AMD เปลี่ยนทิศทางเข้าสู่ตลาด AI ตั้งแต่ปี 2023
    หลังจากกระแส ChatGPT ทำให้ AI กลายเป็นเทรนด์หลัก

    เปิดตัวชิป MI300X ที่มี VRAM 192GB และใช้สถาปัตยกรรม CDNA 3
    มีประสิทธิภาพสูงใน inferencing ขนาดเล็กและใหญ่

    เตรียมเปิดตัว MI400 ที่ใช้ HBM4 และมีหน่วยความจำเพิ่มขึ้น 50%
    พร้อมเปิดตัว Helios rack-scale server สำหรับองค์กร

    AMD เริ่มได้รับความสนใจจาก Microsoft, Meta และ OpenAI
    ด้วยราคาที่ถูกกว่าและความพร้อมในการจัดส่ง

    MI300X มีราคาต่อชั่วโมงสูงกว่า H100 เล็กน้อย แต่คุ้มค่ากว่าในบางงาน
    โดยเฉพาะงานที่ใช้ batch ขนาดเล็กหรือใหญ่

    AMD คาดการณ์ตลาดชิป AI ปีนี้มีมูลค่า $45 พันล้าน
    ตั้งเป้ายอดขายชิป AI ที่ $2 พันล้านในปี 2024

    MI300X สามารถรันโมเดล Mixtral 7x8B ได้บน GPU เดียว
    ขณะที่ H100 ต้องใช้ tensor parallelism บนสอง GPU

    AMD พัฒนา ecosystem แบบเปิดเพื่อแข่งกับ CUDA ของ NVIDIA
    เน้นความยืดหยุ่นและลดการผูกขาด

    NVIDIA ยังครองตลาดด้วย ecosystem ที่ผูกขาดและครอบคลุม
    ทำให้ลูกค้ารายใหญ่ลังเลที่จะเปลี่ยนมาใช้ AMD

    AMD ยังขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและสื่อเทคโนโลยี
    ส่งผลต่อภาพลักษณ์และการยอมรับในตลาด

    การแข่งขันไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพของชิป
    แต่ต้องสร้างระบบนิเวศที่ครบวงจรทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

    https://wccftech.com/is-amd-the-next-major-threat-to-nvidias-long-standing-ai-dominance/
    🚀🧠 เรื่องเล่าจากสนาม AI: AMD ลุกขึ้นท้าชน NVIDIA ด้วยกลยุทธ์ใหม่ที่ไม่ใช่แค่ชิปแรง ย้อนกลับไปในปี 2022 เมื่อ ChatGPT จุดกระแส AI ให้ลุกเป็นไฟ NVIDIA ก็กลายเป็นเจ้าตลาดทันที เพราะมีทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์พร้อมใช้งาน ขณะที่ AMD ยังอยู่กับ CPU และ GPU แบบเดิม จนกระทั่งปี 2023 Lisa Su ซีอีโอของ AMD ประกาศเปลี่ยนทิศทางบริษัทเข้าสู่ตลาด AI อย่างเต็มตัว แต่การไล่ตามไม่ง่าย เพราะ NVIDIA ไม่ได้ขายแค่ชิป แต่ขาย “ระบบนิเวศ” ที่ผูกขาดด้วย CUDA และเครื่องมือพัฒนาแบบ proprietary ทำให้ Big Tech อย่าง Microsoft, Meta และ OpenAI ติดสัญญาและไม่กล้าเปลี่ยนฝั่งง่ายๆ AMD จึงต้องสร้างทุกอย่างใหม่ ตั้งแต่ชิป MI300X ที่มี VRAM 192GB มากกว่า H100 ของ NVIDIA ถึงเท่าตัว ไปจนถึงการเปิดตัว Helios rack-scale AI server ที่ใช้ EPYC Venice CPU และเตรียมเปิดตัว MI400 ที่ใช้ HBM4 พร้อมหน่วยความจำเพิ่มขึ้นอีก 50% แม้ MI300X จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า H100 ในงาน inferencing ขนาดเล็กและใหญ่ แต่ยังแพ้ใน batch ขนาดกลาง และราคาต่อชั่วโมงก็สูงกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวณรวมแล้ว AMD กลับคุ้มค่ากว่าในหลายกรณี AMD ยังพยายามสร้างซอฟต์แวร์ ecosystem ของตัวเอง และเริ่มได้รับความสนใจจาก Big Tech ที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มทางเลือก เช่น Microsoft และ OpenAI ที่เริ่มใช้เทคโนโลยีของ AMD ในบางส่วน ✅ AMD เปลี่ยนทิศทางเข้าสู่ตลาด AI ตั้งแต่ปี 2023 ➡️ หลังจากกระแส ChatGPT ทำให้ AI กลายเป็นเทรนด์หลัก ✅ เปิดตัวชิป MI300X ที่มี VRAM 192GB และใช้สถาปัตยกรรม CDNA 3 ➡️ มีประสิทธิภาพสูงใน inferencing ขนาดเล็กและใหญ่ ✅ เตรียมเปิดตัว MI400 ที่ใช้ HBM4 และมีหน่วยความจำเพิ่มขึ้น 50% ➡️ พร้อมเปิดตัว Helios rack-scale server สำหรับองค์กร ✅ AMD เริ่มได้รับความสนใจจาก Microsoft, Meta และ OpenAI ➡️ ด้วยราคาที่ถูกกว่าและความพร้อมในการจัดส่ง ✅ MI300X มีราคาต่อชั่วโมงสูงกว่า H100 เล็กน้อย แต่คุ้มค่ากว่าในบางงาน ➡️ โดยเฉพาะงานที่ใช้ batch ขนาดเล็กหรือใหญ่ ✅ AMD คาดการณ์ตลาดชิป AI ปีนี้มีมูลค่า $45 พันล้าน ➡️ ตั้งเป้ายอดขายชิป AI ที่ $2 พันล้านในปี 2024 ✅ MI300X สามารถรันโมเดล Mixtral 7x8B ได้บน GPU เดียว ➡️ ขณะที่ H100 ต้องใช้ tensor parallelism บนสอง GPU ✅ AMD พัฒนา ecosystem แบบเปิดเพื่อแข่งกับ CUDA ของ NVIDIA ➡️ เน้นความยืดหยุ่นและลดการผูกขาด ‼️ NVIDIA ยังครองตลาดด้วย ecosystem ที่ผูกขาดและครอบคลุม ⛔ ทำให้ลูกค้ารายใหญ่ลังเลที่จะเปลี่ยนมาใช้ AMD ‼️ AMD ยังขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและสื่อเทคโนโลยี ⛔ ส่งผลต่อภาพลักษณ์และการยอมรับในตลาด ‼️ การแข่งขันไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพของชิป ⛔ แต่ต้องสร้างระบบนิเวศที่ครบวงจรทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ https://wccftech.com/is-amd-the-next-major-threat-to-nvidias-long-standing-ai-dominance/
    WCCFTECH.COM
    Is AMD the Next Major Threat to NVIDIA's Long-Standing AI Dominance? A Deep Dive into How the Firm's Recent Strategies Might Put It in a Much More Competitive Position
    Here's an analysis of how AMD's recent AI moves are shaping the company for a better future, rivaling NVIDIA more dominantly.
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากวงการฮาร์ดแวร์: เมื่อจีนส่ง GPU 24GB VRAM ท้าชน NVIDIA และ AMD

    ในโลกที่ NVIDIA และ AMD ครองตลาดกราฟิกการ์ดมานาน จู่ๆ ก็มีผู้เล่นหน้าใหม่จากจีนชื่อว่า Lisuan Tech โผล่ขึ้นมาพร้อม GPU รุ่น 7G105 ที่มาพร้อม VRAM ขนาด 24GB และฟีเจอร์ที่ดูจริงจังเกินกว่าจะเป็นแค่ของเล่นสำหรับเกมเมอร์

    Lisuan Tech ไม่ได้เน้น ray tracing หรือ DirectX 12 Ultimate แบบที่ค่ายใหญ่ทำ แต่หันไปโฟกัสที่งาน compute และ virtualization สำหรับตลาด workstation และ enterprise โดยใช้สถาปัตยกรรม TrueGPU ของตัวเอง ผลิตบนเทคโนโลยี 6nm จาก TSMC

    GPU รุ่นนี้รองรับการถอดรหัสวิดีโอ 8K AV1 และ HEVC ที่ 60fps และสามารถ encode ได้ทั้ง 4K และ 8K ขึ้นอยู่กับ codec มีพอร์ต DisplayPort 1.4 ถึง 4 ช่อง แต่ไม่มี HDMI เพราะต้องการลดต้นทุนด้านลิขสิทธิ์

    จุดเด่นที่ทำให้มันดูจริงจังคือการรองรับ SR-IOV ซึ่งสามารถแบ่ง GPU ออกเป็น 16 virtual containers ได้ ทำให้เหมาะกับการใช้งานในระบบคลาวด์หรือองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความยืดหยุ่น

    แม้จะมีประสิทธิภาพในระดับ 24 TFLOPs (FP32) ซึ่งใกล้เคียง RTX 4060 แต่ยังมีข้อสงสัยหลายอย่าง เช่น ความเร็วสัญญาณนาฬิกา, ความถี่หน่วยความจำ และการใช้พลังงานที่ยังไม่เปิดเผย รวมถึงการขาดข้อมูลเรื่องไดรเวอร์และความเสถียรในระยะยาว

    Lisuan Tech เปิดตัว GPU รุ่น 7G105 พร้อม VRAM ขนาด 24GB
    เน้นตลาด workstation และ enterprise มากกว่าการเล่นเกม

    ใช้สถาปัตยกรรม TrueGPU ผลิตบนเทคโนโลยี 6nm จาก TSMC
    รองรับ DirectX 12, Vulkan 1.3, OpenGL 4.6 แต่ไม่รองรับ ray tracing

    รองรับการถอดรหัสวิดีโอ 8K และ encode ได้ทั้ง 4K/8K
    ใช้ DisplayPort 1.4 จำนวน 4 ช่อง ไม่มี HDMI

    รองรับ SR-IOV แบ่ง GPU เป็น 16 virtual containers
    เหมาะกับการใช้งานในระบบคลาวด์และองค์กรขนาดใหญ่

    ประสิทธิภาพสูงสุด 24 TFLOPs (FP32) ใกล้เคียง RTX 4060
    มีผล benchmark จาก Geekbench และ 3DMark ที่น่าประทับใจ

    รุ่น 7G106 สำหรับผู้ใช้ทั่วไปมี VRAM 12GB และ TDP 225W
    ใช้พลังงานผ่าน 8-pin PCIe connector และรองรับ 8K HDR

    รุ่น 7G105 สำหรับมืออาชีพมี ECC memory และระบบเข้ารหัสข้อมูล
    รองรับการแสดงผลหลายหน้าจอพร้อมกันในระบบเสมือน

    ผลการทดสอบ synthetic benchmark แสดงว่าแรงกว่า RTX 4060
    แต่ยังไม่ถึงระดับ RTX 5060 หรือ RX 9060 XT

    ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดเรื่องความเร็วสัญญาณนาฬิกาและการใช้พลังงาน
    ทำให้ประสิทธิภาพจริงยังเป็นเพียงการคาดการณ์

    ขาดข้อมูลเรื่องไดรเวอร์และความเสถียรในการใช้งานระยะยาว
    อาจมีปัญหาในการใช้งานกับซอฟต์แวร์มืออาชีพ

    ไม่มี HDMI อาจเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ต้องใช้ DisplayPort เท่านั้น ซึ่งอาจไม่สะดวกในบางกรณี

    https://www.techradar.com/pro/chinese-gpu-vendor-youve-never-heard-of-wants-to-challenge-nvidia-and-amd-in-the-pro-market-with-24gb-vram
    🎮🧠 เรื่องเล่าจากวงการฮาร์ดแวร์: เมื่อจีนส่ง GPU 24GB VRAM ท้าชน NVIDIA และ AMD ในโลกที่ NVIDIA และ AMD ครองตลาดกราฟิกการ์ดมานาน จู่ๆ ก็มีผู้เล่นหน้าใหม่จากจีนชื่อว่า Lisuan Tech โผล่ขึ้นมาพร้อม GPU รุ่น 7G105 ที่มาพร้อม VRAM ขนาด 24GB และฟีเจอร์ที่ดูจริงจังเกินกว่าจะเป็นแค่ของเล่นสำหรับเกมเมอร์ Lisuan Tech ไม่ได้เน้น ray tracing หรือ DirectX 12 Ultimate แบบที่ค่ายใหญ่ทำ แต่หันไปโฟกัสที่งาน compute และ virtualization สำหรับตลาด workstation และ enterprise โดยใช้สถาปัตยกรรม TrueGPU ของตัวเอง ผลิตบนเทคโนโลยี 6nm จาก TSMC GPU รุ่นนี้รองรับการถอดรหัสวิดีโอ 8K AV1 และ HEVC ที่ 60fps และสามารถ encode ได้ทั้ง 4K และ 8K ขึ้นอยู่กับ codec มีพอร์ต DisplayPort 1.4 ถึง 4 ช่อง แต่ไม่มี HDMI เพราะต้องการลดต้นทุนด้านลิขสิทธิ์ จุดเด่นที่ทำให้มันดูจริงจังคือการรองรับ SR-IOV ซึ่งสามารถแบ่ง GPU ออกเป็น 16 virtual containers ได้ ทำให้เหมาะกับการใช้งานในระบบคลาวด์หรือองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความยืดหยุ่น แม้จะมีประสิทธิภาพในระดับ 24 TFLOPs (FP32) ซึ่งใกล้เคียง RTX 4060 แต่ยังมีข้อสงสัยหลายอย่าง เช่น ความเร็วสัญญาณนาฬิกา, ความถี่หน่วยความจำ และการใช้พลังงานที่ยังไม่เปิดเผย รวมถึงการขาดข้อมูลเรื่องไดรเวอร์และความเสถียรในระยะยาว ✅ Lisuan Tech เปิดตัว GPU รุ่น 7G105 พร้อม VRAM ขนาด 24GB ➡️ เน้นตลาด workstation และ enterprise มากกว่าการเล่นเกม ✅ ใช้สถาปัตยกรรม TrueGPU ผลิตบนเทคโนโลยี 6nm จาก TSMC ➡️ รองรับ DirectX 12, Vulkan 1.3, OpenGL 4.6 แต่ไม่รองรับ ray tracing ✅ รองรับการถอดรหัสวิดีโอ 8K และ encode ได้ทั้ง 4K/8K ➡️ ใช้ DisplayPort 1.4 จำนวน 4 ช่อง ไม่มี HDMI ✅ รองรับ SR-IOV แบ่ง GPU เป็น 16 virtual containers ➡️ เหมาะกับการใช้งานในระบบคลาวด์และองค์กรขนาดใหญ่ ✅ ประสิทธิภาพสูงสุด 24 TFLOPs (FP32) ใกล้เคียง RTX 4060 ➡️ มีผล benchmark จาก Geekbench และ 3DMark ที่น่าประทับใจ ✅ รุ่น 7G106 สำหรับผู้ใช้ทั่วไปมี VRAM 12GB และ TDP 225W ➡️ ใช้พลังงานผ่าน 8-pin PCIe connector และรองรับ 8K HDR ✅ รุ่น 7G105 สำหรับมืออาชีพมี ECC memory และระบบเข้ารหัสข้อมูล ➡️ รองรับการแสดงผลหลายหน้าจอพร้อมกันในระบบเสมือน ✅ ผลการทดสอบ synthetic benchmark แสดงว่าแรงกว่า RTX 4060 ➡️ แต่ยังไม่ถึงระดับ RTX 5060 หรือ RX 9060 XT ‼️ ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดเรื่องความเร็วสัญญาณนาฬิกาและการใช้พลังงาน ⛔ ทำให้ประสิทธิภาพจริงยังเป็นเพียงการคาดการณ์ ‼️ ขาดข้อมูลเรื่องไดรเวอร์และความเสถียรในการใช้งานระยะยาว ⛔ อาจมีปัญหาในการใช้งานกับซอฟต์แวร์มืออาชีพ ‼️ ไม่มี HDMI อาจเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ ต้องใช้ DisplayPort เท่านั้น ซึ่งอาจไม่สะดวกในบางกรณี https://www.techradar.com/pro/chinese-gpu-vendor-youve-never-heard-of-wants-to-challenge-nvidia-and-amd-in-the-pro-market-with-24gb-vram
    0 Comments 0 Shares 58 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือของสายลับเกาหลีเหนือ

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังสัมภาษณ์พนักงานไอทีผ่านวิดีโอคอล—เขาดูมืออาชีพ พูดภาษาอังกฤษคล่อง และมีโปรไฟล์ LinkedIn สมบูรณ์แบบ แต่เบื้องหลังนั้นคือปฏิบัติการระดับชาติของเกาหลีเหนือที่ใช้ AI ปลอมตัวคน สร้างเอกสารปลอม และแทรกซึมเข้าไปในบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก เพื่อหาเงินสนับสนุนโครงการอาวุธนิวเคลียร์

    รายงานล่าสุดจาก CrowdStrike เผยว่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา มีกรณีที่สายลับไซเบอร์ของเกาหลีเหนือได้งานเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์แบบรีโมตกว่า 320 ครั้ง โดยใช้เครื่องมือ AI สร้างเรซูเม่ ปลอมภาพโปรไฟล์ และแม้แต่ใช้ deepfake เปลี่ยนใบหน้าในวิดีโอคอลให้ดูเหมือนคนอื่น

    เมื่อได้งานแล้ว พวกเขาใช้ AI ช่วยเขียนโค้ด แปลภาษา และตอบอีเมลจากหัวหน้าอย่างมืออาชีพ ทั้งที่บางคนทำงานพร้อมกันถึง 3–4 บริษัท และไม่พูดอังกฤษได้จริง

    เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ “ฟาร์มแล็ปท็อป” ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ โดยมีผู้ร่วมขบวนการชาวอเมริกันช่วยรับเครื่องจากบริษัท แล้วติดตั้งซอฟต์แวร์ให้สายลับเกาหลีเหนือเข้าถึงระบบจากต่างประเทศได้อย่างแนบเนียน

    รายได้จากแผนนี้สูงถึง 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี และบางกรณีมีการขโมยข้อมูลภายในบริษัทเพื่อใช้ในการแบล็กเมล์หรือขายต่อให้แฮกเกอร์อื่น

    แม้จะมีการจับกุมและลงโทษผู้ร่วมขบวนการในสหรัฐฯ แต่ CrowdStrike เตือนว่าการตรวจสอบตัวตนแบบเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป และแนะนำให้ใช้เทคนิคใหม่ เช่น การทดสอบ deepfake แบบเรียลไทม์ในระหว่างสัมภาษณ์

    CrowdStrike พบการแทรกซึมของสายลับเกาหลีเหนือในบริษัทไอทีแบบรีโมตกว่า 320 กรณีใน 12 เดือน
    ใช้ AI สร้างเรซูเม่ ปลอมโปรไฟล์ และ deepfake ในวิดีโอคอล

    สายลับใช้ AI ช่วยทำงานจริง เช่น เขียนโค้ด แปลภาษา และตอบอีเมล
    บางคนทำงานพร้อมกันหลายบริษัทโดยไม่ถูกจับได้

    มีการตั้ง “ฟาร์มแล็ปท็อป” ในสหรัฐฯ เพื่อให้สายลับเข้าถึงระบบจากต่างประเทศ
    ผู้ร่วมขบวนการในสหรัฐฯ ถูกจับและจำคุกหลายปี

    รายได้จากแผนนี้ถูกนำไปสนับสนุนโครงการอาวุธของเกาหลีเหนือ
    สร้างรายได้สูงถึง 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี

    Microsoft พบว่าเกาหลีเหนือใช้ AI เปลี่ยนภาพในเอกสารและใช้ซอฟต์แวร์เปลี่ยนเสียง
    เพื่อให้ดูเหมือนเป็นผู้สมัครงานจริงจากประเทศตะวันตก

    ทีมสายลับถูกฝึกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในเปียงยาง
    มีเป้าหมายหาเงินเดือนขั้นต่ำ $10,000 ต่อคนต่อเดือน

    ฟาร์มแล็ปท็อปในสหรัฐฯ มีการควบคุมอุปกรณ์หลายสิบเครื่องพร้อมกัน
    ใช้ซอฟต์แวร์รีโมตเพื่อให้สายลับทำงานจากต่างประเทศได้

    บริษัทที่จ้างพนักงานรีโมตโดยไม่ตรวจสอบตัวตนอาจตกเป็นเหยื่อ
    เสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูลหรือถูกแบล็กเมล์

    การใช้ deepfake ทำให้การสัมภาษณ์ผ่านวิดีโอไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
    ผู้สมัครสามารถเปลี่ยนใบหน้าและเสียงแบบเรียลไทม์

    การจ้างงานแบบรีโมตเปิดช่องให้สายลับแทรกซึมได้ง่ายขึ้น
    โดยเฉพาะในบริษัทที่ไม่มีระบบตรวจสอบดิจิทัลอย่างเข้มงวด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/crowdstrike-report-details-scale-of-north-koreas-use-of-ai-in-remote-work-schemes-320-known-cases-in-the-last-year-funding-nations-weapons-programs
    🕵️‍♂️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือของสายลับเกาหลีเหนือ ลองจินตนาการว่าคุณกำลังสัมภาษณ์พนักงานไอทีผ่านวิดีโอคอล—เขาดูมืออาชีพ พูดภาษาอังกฤษคล่อง และมีโปรไฟล์ LinkedIn สมบูรณ์แบบ แต่เบื้องหลังนั้นคือปฏิบัติการระดับชาติของเกาหลีเหนือที่ใช้ AI ปลอมตัวคน สร้างเอกสารปลอม และแทรกซึมเข้าไปในบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก เพื่อหาเงินสนับสนุนโครงการอาวุธนิวเคลียร์ รายงานล่าสุดจาก CrowdStrike เผยว่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา มีกรณีที่สายลับไซเบอร์ของเกาหลีเหนือได้งานเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์แบบรีโมตกว่า 320 ครั้ง โดยใช้เครื่องมือ AI สร้างเรซูเม่ ปลอมภาพโปรไฟล์ และแม้แต่ใช้ deepfake เปลี่ยนใบหน้าในวิดีโอคอลให้ดูเหมือนคนอื่น เมื่อได้งานแล้ว พวกเขาใช้ AI ช่วยเขียนโค้ด แปลภาษา และตอบอีเมลจากหัวหน้าอย่างมืออาชีพ ทั้งที่บางคนทำงานพร้อมกันถึง 3–4 บริษัท และไม่พูดอังกฤษได้จริง เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ “ฟาร์มแล็ปท็อป” ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ โดยมีผู้ร่วมขบวนการชาวอเมริกันช่วยรับเครื่องจากบริษัท แล้วติดตั้งซอฟต์แวร์ให้สายลับเกาหลีเหนือเข้าถึงระบบจากต่างประเทศได้อย่างแนบเนียน รายได้จากแผนนี้สูงถึง 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี และบางกรณีมีการขโมยข้อมูลภายในบริษัทเพื่อใช้ในการแบล็กเมล์หรือขายต่อให้แฮกเกอร์อื่น แม้จะมีการจับกุมและลงโทษผู้ร่วมขบวนการในสหรัฐฯ แต่ CrowdStrike เตือนว่าการตรวจสอบตัวตนแบบเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป และแนะนำให้ใช้เทคนิคใหม่ เช่น การทดสอบ deepfake แบบเรียลไทม์ในระหว่างสัมภาษณ์ ✅ CrowdStrike พบการแทรกซึมของสายลับเกาหลีเหนือในบริษัทไอทีแบบรีโมตกว่า 320 กรณีใน 12 เดือน ➡️ ใช้ AI สร้างเรซูเม่ ปลอมโปรไฟล์ และ deepfake ในวิดีโอคอล ✅ สายลับใช้ AI ช่วยทำงานจริง เช่น เขียนโค้ด แปลภาษา และตอบอีเมล ➡️ บางคนทำงานพร้อมกันหลายบริษัทโดยไม่ถูกจับได้ ✅ มีการตั้ง “ฟาร์มแล็ปท็อป” ในสหรัฐฯ เพื่อให้สายลับเข้าถึงระบบจากต่างประเทศ ➡️ ผู้ร่วมขบวนการในสหรัฐฯ ถูกจับและจำคุกหลายปี ✅ รายได้จากแผนนี้ถูกนำไปสนับสนุนโครงการอาวุธของเกาหลีเหนือ ➡️ สร้างรายได้สูงถึง 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี ✅ Microsoft พบว่าเกาหลีเหนือใช้ AI เปลี่ยนภาพในเอกสารและใช้ซอฟต์แวร์เปลี่ยนเสียง ➡️ เพื่อให้ดูเหมือนเป็นผู้สมัครงานจริงจากประเทศตะวันตก ✅ ทีมสายลับถูกฝึกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในเปียงยาง ➡️ มีเป้าหมายหาเงินเดือนขั้นต่ำ $10,000 ต่อคนต่อเดือน ✅ ฟาร์มแล็ปท็อปในสหรัฐฯ มีการควบคุมอุปกรณ์หลายสิบเครื่องพร้อมกัน ➡️ ใช้ซอฟต์แวร์รีโมตเพื่อให้สายลับทำงานจากต่างประเทศได้ ‼️ บริษัทที่จ้างพนักงานรีโมตโดยไม่ตรวจสอบตัวตนอาจตกเป็นเหยื่อ ⛔ เสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูลหรือถูกแบล็กเมล์ ‼️ การใช้ deepfake ทำให้การสัมภาษณ์ผ่านวิดีโอไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ⛔ ผู้สมัครสามารถเปลี่ยนใบหน้าและเสียงแบบเรียลไทม์ ‼️ การจ้างงานแบบรีโมตเปิดช่องให้สายลับแทรกซึมได้ง่ายขึ้น ⛔ โดยเฉพาะในบริษัทที่ไม่มีระบบตรวจสอบดิจิทัลอย่างเข้มงวด https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/crowdstrike-report-details-scale-of-north-koreas-use-of-ai-in-remote-work-schemes-320-known-cases-in-the-last-year-funding-nations-weapons-programs
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    CrowdStrike report details scale of North Korea's use of AI in remote work schemes — 320 known cases in the last year, funding nation's weapons programs
    The Democratic People's Republic of Korea is using generative AI tools to land agents jobs at tech companies to fund its weapons programs.
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: 7 สัญญาณอันตรายเมื่อเลือกอุปกรณ์ PC ราคาถูก—ประหยัดวันนี้ เสียใจวันหน้า

    ในยุคที่การ์ดจอราคาแรง หลายคนเลือกประหยัดกับชิ้นส่วนอื่น เช่น CPU, RAM, SSD, PSU หรือเคส แต่ TechSpot เตือนว่าแนวคิดนี้อาจพาไปเจอปัญหาใหญ่ เพราะอุปกรณ์ราคาถูกบางประเภทมีข้อจำกัดที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่อง

    รายการ 7 ชิ้นส่วน PC ที่ไม่ควรประหยัดผิดจุด
    1. CPU แบบ Dual-core ที่ล้าสมัย
    เกมใหม่ ๆ ไม่รองรับ และประสิทธิภาพต่ำจนเล่นไม่ลื่น

    2. RAM แบบ Single-channel
    ลดแบนด์วิดธ์ลงครึ่งหนึ่ง โดยเฉพาะถ้าใช้กราฟิกแบบรวม

    3. HDD แทน SSD
    โหลดเกมช้า, กระตุก, เสียงไม่ตรง และประสบการณ์แย่

    4. เมนบอร์ดที่ไม่มี VRM heatsink หรือสล็อตขยาย
    จำกัดการอัปเกรดและทำให้ CPU ร้อนเกิน

    5. เคสที่บางและวัสดุคุณภาพต่ำ
    สั่นง่าย, แตกง่าย, ไม่มีฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น ช่องกรองฝุ่น

    6. PSU ที่ดูแรงแต่ไม่มีขั้วต่อสำคัญ
    ไม่มีขั้วต่อ PCIe สำหรับการ์ดจอ และวัสดุภายในอาจไม่ปลอดภัย

    7. เมนบอร์ดที่มีแค่ 2 ช่อง RAM
    จำกัดการอัปเกรดในอนาคต และอาจไม่มี PCIe 4.0 หรือ M.2 เพิ่มเติม

    https://www.techspot.com/article/2994-red-flag-cheap-pc-parts-v2/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: 7 สัญญาณอันตรายเมื่อเลือกอุปกรณ์ PC ราคาถูก—ประหยัดวันนี้ เสียใจวันหน้า ในยุคที่การ์ดจอราคาแรง หลายคนเลือกประหยัดกับชิ้นส่วนอื่น เช่น CPU, RAM, SSD, PSU หรือเคส แต่ TechSpot เตือนว่าแนวคิดนี้อาจพาไปเจอปัญหาใหญ่ เพราะอุปกรณ์ราคาถูกบางประเภทมีข้อจำกัดที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่อง ✅ รายการ 7 ชิ้นส่วน PC ที่ไม่ควรประหยัดผิดจุด ✅ 1. CPU แบบ Dual-core ที่ล้าสมัย ➡️ เกมใหม่ ๆ ไม่รองรับ และประสิทธิภาพต่ำจนเล่นไม่ลื่น ✅ 2. RAM แบบ Single-channel ➡️ ลดแบนด์วิดธ์ลงครึ่งหนึ่ง โดยเฉพาะถ้าใช้กราฟิกแบบรวม ✅ 3. HDD แทน SSD ➡️ โหลดเกมช้า, กระตุก, เสียงไม่ตรง และประสบการณ์แย่ ✅ 4. เมนบอร์ดที่ไม่มี VRM heatsink หรือสล็อตขยาย ➡️ จำกัดการอัปเกรดและทำให้ CPU ร้อนเกิน ✅ 5. เคสที่บางและวัสดุคุณภาพต่ำ ➡️ สั่นง่าย, แตกง่าย, ไม่มีฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น ช่องกรองฝุ่น ✅ 6. PSU ที่ดูแรงแต่ไม่มีขั้วต่อสำคัญ ➡️ ไม่มีขั้วต่อ PCIe สำหรับการ์ดจอ และวัสดุภายในอาจไม่ปลอดภัย ✅ 7. เมนบอร์ดที่มีแค่ 2 ช่อง RAM ➡️ จำกัดการอัปเกรดในอนาคต และอาจไม่มี PCIe 4.0 หรือ M.2 เพิ่มเติม https://www.techspot.com/article/2994-red-flag-cheap-pc-parts-v2/
    WWW.TECHSPOT.COM
    7 Red Flags When Choosing Cheap PC Components
    Building a budget gaming PC? Don't let a pricey GPU trick you into cutting corners elsewhere. Here are 7 components you shouldn't cheap out on if you...
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: JSCEAL มัลแวร์ที่ซ่อนตัวในโฆษณาแอปคริปโตปลอม—ขโมยทุกอย่างตั้งแต่รหัสผ่านถึงกระเป๋าเงินดิจิทัล

    ตั้งแต่ต้นปี 2024 แฮกเกอร์เริ่มใช้แคมเปญมัลแวร์ชื่อ JSCEAL โดยปล่อยโฆษณาปลอมกว่า 35,000 รายการบนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปเทรดคริปโตปลอมที่ดูเหมือนของจริง เช่น Binance, MetaMask, Kraken และ TradingView

    เมื่อผู้ใช้คลิกโฆษณา จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ และถูกหลอกให้ดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งที่มีใบรับรองดิจิทัลจริงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่เบื้องหลังคือมัลแวร์ JSCEAL ที่ใช้เทคนิค “compiled JavaScript” ผ่าน Node.js เพื่อหลบการตรวจจับจากระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไป

    มัลแวร์นี้สามารถขโมยข้อมูลได้หลากหลาย เช่น รหัสผ่าน, คุกกี้เบราว์เซอร์, seed phrase, ข้อมูลบัญชี Telegram และแม้แต่ดัดแปลง extension อย่าง MetaMask เพื่อขโมยเงินแบบเรียลไทม์

    JSCEAL เป็นมัลแวร์ที่ใช้ compiled JavaScript ผ่าน Node.js เพื่อหลบการตรวจจับ
    ใช้เทคนิค obfuscation และ anti-analysis ทำให้ระบบทั่วไปตรวจไม่พบ
    มี detection rate ต่ำมาก แม้จะถูกส่งไปยัง VirusTotal หลายร้อยครั้ง

    แคมเปญนี้ใช้โฆษณาปลอมกว่า 35,000 รายการในครึ่งแรกของปี 2025
    โฆษณาแอบอ้างเป็นแอปเทรดคริปโตชื่อดัง
    มีผู้เห็นโฆษณาใน EU กว่า 3.5 ล้านคน และทั่วโลกเกิน 10 ล้านคน

    เมื่อผู้ใช้คลิกโฆษณา จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนของจริง
    เว็บไซต์มี JavaScript ที่สื่อสารกับ installer ผ่าน localhost
    เปิดเว็บจริงของแอปเพื่อหลอกว่า “ติดตั้งสำเร็จ” ขณะมัลแวร์ทำงานเบื้องหลัง

    มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลได้หลากหลาย
    รหัสผ่าน, คุกกี้, seed phrase, ข้อมูลเครือข่าย, และบัญชี Telegram
    ดัดแปลง extension อย่าง MetaMask เพื่อขโมยเงินโดยตรง

    การติดตั้งมัลแวร์ต้องใช้ทั้งเว็บไซต์และ installer ทำงานพร้อมกัน
    หากส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ทำงาน การติดตั้งจะล้มเหลว
    ทำให้การวิเคราะห์และตรวจจับทำได้ยากมาก

    JSCEAL เป็นหนึ่งในมัลแวร์ที่ใช้ compiled V8 JavaScript อย่างมีประสิทธิภาพ
    เป็นเทคนิคใหม่ที่ช่วยให้ซ่อนโค้ดได้ดี
    ทำให้การวิเคราะห์แบบ static แทบเป็นไปไม่ได้

    Compiled JavaScript (JSC) เป็นฟีเจอร์ของ V8 engine ที่ช่วยให้โค้ดถูกแปลงเป็น bytecode
    ทำให้โค้ดถูกซ่อนไว้จากการวิเคราะห์แบบ static
    เป็นเทคนิคที่เริ่มถูกใช้มากขึ้นในมัลแวร์ยุคใหม่

    Node.js เป็น environment ที่ถูกใช้ในหลายระบบอย่างถูกต้อง แต่ถูกแฮกเกอร์นำมาใช้รันมัลแวร์
    ทำให้มัลแวร์ดูเหมือนเป็นโปรแกรมปกติ
    ช่วยให้หลบการตรวจจับจาก antivirus ได้ง่ายขึ้น

    ผู้ใช้คริปโตควรใช้ hardware wallet และไม่เปิดเผย seed phrase กับใครเด็ดขาด
    seed phrase คือกุญแจหลักของกระเป๋าเงิน
    การใช้ hardware wallet ลดความเสี่ยงจากมัลแวร์ได้มาก

    ควรติดตั้งแอปคริปโตจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น เช่น App Store หรือ Google Play
    ตรวจสอบชื่อผู้พัฒนาและรีวิวก่อนดาวน์โหลด
    หลีกเลี่ยงการติดตั้งจากลิงก์ในโฆษณาหรือเว็บไซต์ที่ไม่รู้จัก

    https://hackread.com/jsceal-malware-targets-millions-fake-crypto-app-ads/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: JSCEAL มัลแวร์ที่ซ่อนตัวในโฆษณาแอปคริปโตปลอม—ขโมยทุกอย่างตั้งแต่รหัสผ่านถึงกระเป๋าเงินดิจิทัล ตั้งแต่ต้นปี 2024 แฮกเกอร์เริ่มใช้แคมเปญมัลแวร์ชื่อ JSCEAL โดยปล่อยโฆษณาปลอมกว่า 35,000 รายการบนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปเทรดคริปโตปลอมที่ดูเหมือนของจริง เช่น Binance, MetaMask, Kraken และ TradingView เมื่อผู้ใช้คลิกโฆษณา จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ และถูกหลอกให้ดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งที่มีใบรับรองดิจิทัลจริงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่เบื้องหลังคือมัลแวร์ JSCEAL ที่ใช้เทคนิค “compiled JavaScript” ผ่าน Node.js เพื่อหลบการตรวจจับจากระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไป มัลแวร์นี้สามารถขโมยข้อมูลได้หลากหลาย เช่น รหัสผ่าน, คุกกี้เบราว์เซอร์, seed phrase, ข้อมูลบัญชี Telegram และแม้แต่ดัดแปลง extension อย่าง MetaMask เพื่อขโมยเงินแบบเรียลไทม์ ✅ JSCEAL เป็นมัลแวร์ที่ใช้ compiled JavaScript ผ่าน Node.js เพื่อหลบการตรวจจับ ➡️ ใช้เทคนิค obfuscation และ anti-analysis ทำให้ระบบทั่วไปตรวจไม่พบ ➡️ มี detection rate ต่ำมาก แม้จะถูกส่งไปยัง VirusTotal หลายร้อยครั้ง ✅ แคมเปญนี้ใช้โฆษณาปลอมกว่า 35,000 รายการในครึ่งแรกของปี 2025 ➡️ โฆษณาแอบอ้างเป็นแอปเทรดคริปโตชื่อดัง ➡️ มีผู้เห็นโฆษณาใน EU กว่า 3.5 ล้านคน และทั่วโลกเกิน 10 ล้านคน ✅ เมื่อผู้ใช้คลิกโฆษณา จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนของจริง ➡️ เว็บไซต์มี JavaScript ที่สื่อสารกับ installer ผ่าน localhost ➡️ เปิดเว็บจริงของแอปเพื่อหลอกว่า “ติดตั้งสำเร็จ” ขณะมัลแวร์ทำงานเบื้องหลัง ✅ มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลได้หลากหลาย ➡️ รหัสผ่าน, คุกกี้, seed phrase, ข้อมูลเครือข่าย, และบัญชี Telegram ➡️ ดัดแปลง extension อย่าง MetaMask เพื่อขโมยเงินโดยตรง ✅ การติดตั้งมัลแวร์ต้องใช้ทั้งเว็บไซต์และ installer ทำงานพร้อมกัน ➡️ หากส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ทำงาน การติดตั้งจะล้มเหลว ➡️ ทำให้การวิเคราะห์และตรวจจับทำได้ยากมาก ✅ JSCEAL เป็นหนึ่งในมัลแวร์ที่ใช้ compiled V8 JavaScript อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ เป็นเทคนิคใหม่ที่ช่วยให้ซ่อนโค้ดได้ดี ➡️ ทำให้การวิเคราะห์แบบ static แทบเป็นไปไม่ได้ ✅ Compiled JavaScript (JSC) เป็นฟีเจอร์ของ V8 engine ที่ช่วยให้โค้ดถูกแปลงเป็น bytecode ➡️ ทำให้โค้ดถูกซ่อนไว้จากการวิเคราะห์แบบ static ➡️ เป็นเทคนิคที่เริ่มถูกใช้มากขึ้นในมัลแวร์ยุคใหม่ ✅ Node.js เป็น environment ที่ถูกใช้ในหลายระบบอย่างถูกต้อง แต่ถูกแฮกเกอร์นำมาใช้รันมัลแวร์ ➡️ ทำให้มัลแวร์ดูเหมือนเป็นโปรแกรมปกติ ➡️ ช่วยให้หลบการตรวจจับจาก antivirus ได้ง่ายขึ้น ✅ ผู้ใช้คริปโตควรใช้ hardware wallet และไม่เปิดเผย seed phrase กับใครเด็ดขาด ➡️ seed phrase คือกุญแจหลักของกระเป๋าเงิน ➡️ การใช้ hardware wallet ลดความเสี่ยงจากมัลแวร์ได้มาก ✅ ควรติดตั้งแอปคริปโตจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น เช่น App Store หรือ Google Play ➡️ ตรวจสอบชื่อผู้พัฒนาและรีวิวก่อนดาวน์โหลด ➡️ หลีกเลี่ยงการติดตั้งจากลิงก์ในโฆษณาหรือเว็บไซต์ที่ไม่รู้จัก https://hackread.com/jsceal-malware-targets-millions-fake-crypto-app-ads/
    HACKREAD.COM
    New JSCEAL Malware Targets Millions via Fake Crypto App Ads
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 60 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Perplexity แอบคลานเข้าเว็บต้องห้าม—Cloudflare ไม่ทนอีกต่อไป

    Cloudflare บริษัทด้านความปลอดภัยอินเทอร์เน็ตชื่อดัง ได้เปิดเผยว่า Perplexity ซึ่งเป็น AI search engine กำลังใช้เทคนิค “stealth crawling” เพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดของเว็บไซต์ที่ไม่อนุญาตให้บ็อตเข้าถึงข้อมูล เช่น การตั้งค่าในไฟล์ robots.txt หรือการใช้ firewall

    แม้ Perplexity จะมี user-agent ที่ประกาศชัดเจน เช่น PerplexityBot และ Perplexity-User แต่เมื่อถูกบล็อก มันกลับเปลี่ยนกลยุทธ์โดยใช้ user-agent ปลอมที่ดูเหมือน Chrome บน macOS พร้อมหมุน IP และ ASN เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    Cloudflare จึงทำการทดสอบโดยสร้างโดเมนใหม่ที่ไม่สามารถค้นเจอได้ และตั้งค่าให้ห้ามบ็อตทุกชนิดเข้า แต่เมื่อถาม Perplexity AI กลับได้ข้อมูลจากเว็บไซต์ลับเหล่านั้นอย่างแม่นยำ แสดงว่ามีการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตจริง

    Perplexity ใช้บ็อตลับเพื่อหลบเลี่ยงการบล็อกจาก robots.txt และ firewall
    เปลี่ยน user-agent เป็น Chrome บน macOS เพื่อหลอกว่าเป็นผู้ใช้ทั่วไป
    หมุน IP และ ASN เพื่อหลบการตรวจจับจากระบบความปลอดภัย

    Cloudflare ได้รับร้องเรียนจากลูกค้าว่า Perplexity ยังเข้าถึงเว็บไซต์แม้ถูกบล็อกแล้ว
    ลูกค้าใช้ทั้ง robots.txt และ WAF rules เพื่อบล็อกบ็อตของ Perplexity
    แต่ยังพบการเข้าถึงข้อมูลจากบ็อตที่ไม่ประกาศตัว

    Cloudflare ทำการทดสอบโดยสร้างโดเมนลับและพบว่า Perplexity ยังสามารถดึงข้อมูลได้
    โดเมนใหม่ไม่ถูก index และมี robots.txt ที่ห้ามบ็อตทุกชนิด
    แต่ Perplexity ยังสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาในเว็บไซต์นั้นได้

    Perplexity ถูกถอดออกจาก Verified Bot Program ของ Cloudflare
    Cloudflare ใช้ heuristics และกฎใหม่เพื่อบล็อกการ crawling แบบลับ
    ถือเป็นการละเมิดมาตรฐานการ crawling ตาม RFC 9309

    Perplexity ส่งคำขอแบบลับถึงหลายล้านครั้งต่อวัน
    บ็อตที่ประกาศตัวส่งคำขอ 20–25 ล้านครั้ง/วัน
    บ็อตลับส่งคำขออีก 3–6 ล้านครั้ง/วัน

    การใช้บ็อตลับเพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดของเว็บไซต์ถือเป็นการละเมิดความเชื่อมั่นบนอินเทอร์เน็ต
    อินเทอร์เน็ตถูกสร้างบนหลักการของความโปร่งใสและการเคารพสิทธิ์
    การหลบเลี่ยง robots.txt เป็นการละเมิดมาตรฐานที่มีมานานกว่า 30 ปี

    การละเมิด Verified Bot Policy อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของ Perplexity ในระยะยาว
    ถูกถอดจาก whitelist ของ Cloudflare
    อาจถูกบล็อกจากเว็บไซต์จำนวนมากในอนาคต

    มาตรฐาน Robots Exclusion Protocol ถูกเสนอครั้งแรกในปี 1994 และกลายเป็นมาตรฐานในปี 2022
    เป็นแนวทางให้บ็อตเคารพสิทธิ์ของเว็บไซต์
    ใช้ไฟล์ robots.txt เพื่อระบุข้อจำกัด

    OpenAI ได้รับคำชมจาก Cloudflareว่าเคารพ robots.txt และ network blocks อย่างถูกต้อง
    ChatGPT-User หยุด crawling เมื่อถูกห้าม
    ถือเป็นตัวอย่างของบ็อตที่ทำงานอย่างมีจริยธรรม

    Perplexity เคยถูกกล่าวหาว่าละเมิดลิขสิทธิ์จากหลายสำนักข่าว เช่น Forbes และ Wired
    มีการเผยแพร่เนื้อหาคล้ายกับบทความต้นฉบับโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ถูกวิจารณ์ว่า “ขโมยข้อมูลอย่างหน้าด้าน”

    https://blog.cloudflare.com/perplexity-is-using-stealth-undeclared-crawlers-to-evade-website-no-crawl-directives/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Perplexity แอบคลานเข้าเว็บต้องห้าม—Cloudflare ไม่ทนอีกต่อไป Cloudflare บริษัทด้านความปลอดภัยอินเทอร์เน็ตชื่อดัง ได้เปิดเผยว่า Perplexity ซึ่งเป็น AI search engine กำลังใช้เทคนิค “stealth crawling” เพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดของเว็บไซต์ที่ไม่อนุญาตให้บ็อตเข้าถึงข้อมูล เช่น การตั้งค่าในไฟล์ robots.txt หรือการใช้ firewall แม้ Perplexity จะมี user-agent ที่ประกาศชัดเจน เช่น PerplexityBot และ Perplexity-User แต่เมื่อถูกบล็อก มันกลับเปลี่ยนกลยุทธ์โดยใช้ user-agent ปลอมที่ดูเหมือน Chrome บน macOS พร้อมหมุน IP และ ASN เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ Cloudflare จึงทำการทดสอบโดยสร้างโดเมนใหม่ที่ไม่สามารถค้นเจอได้ และตั้งค่าให้ห้ามบ็อตทุกชนิดเข้า แต่เมื่อถาม Perplexity AI กลับได้ข้อมูลจากเว็บไซต์ลับเหล่านั้นอย่างแม่นยำ แสดงว่ามีการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตจริง ✅ Perplexity ใช้บ็อตลับเพื่อหลบเลี่ยงการบล็อกจาก robots.txt และ firewall ➡️ เปลี่ยน user-agent เป็น Chrome บน macOS เพื่อหลอกว่าเป็นผู้ใช้ทั่วไป ➡️ หมุน IP และ ASN เพื่อหลบการตรวจจับจากระบบความปลอดภัย ✅ Cloudflare ได้รับร้องเรียนจากลูกค้าว่า Perplexity ยังเข้าถึงเว็บไซต์แม้ถูกบล็อกแล้ว ➡️ ลูกค้าใช้ทั้ง robots.txt และ WAF rules เพื่อบล็อกบ็อตของ Perplexity ➡️ แต่ยังพบการเข้าถึงข้อมูลจากบ็อตที่ไม่ประกาศตัว ✅ Cloudflare ทำการทดสอบโดยสร้างโดเมนลับและพบว่า Perplexity ยังสามารถดึงข้อมูลได้ ➡️ โดเมนใหม่ไม่ถูก index และมี robots.txt ที่ห้ามบ็อตทุกชนิด ➡️ แต่ Perplexity ยังสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาในเว็บไซต์นั้นได้ ✅ Perplexity ถูกถอดออกจาก Verified Bot Program ของ Cloudflare ➡️ Cloudflare ใช้ heuristics และกฎใหม่เพื่อบล็อกการ crawling แบบลับ ➡️ ถือเป็นการละเมิดมาตรฐานการ crawling ตาม RFC 9309 ✅ Perplexity ส่งคำขอแบบลับถึงหลายล้านครั้งต่อวัน ➡️ บ็อตที่ประกาศตัวส่งคำขอ 20–25 ล้านครั้ง/วัน ➡️ บ็อตลับส่งคำขออีก 3–6 ล้านครั้ง/วัน ‼️ การใช้บ็อตลับเพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดของเว็บไซต์ถือเป็นการละเมิดความเชื่อมั่นบนอินเทอร์เน็ต ⛔ อินเทอร์เน็ตถูกสร้างบนหลักการของความโปร่งใสและการเคารพสิทธิ์ ⛔ การหลบเลี่ยง robots.txt เป็นการละเมิดมาตรฐานที่มีมานานกว่า 30 ปี ‼️ การละเมิด Verified Bot Policy อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของ Perplexity ในระยะยาว ⛔ ถูกถอดจาก whitelist ของ Cloudflare ⛔ อาจถูกบล็อกจากเว็บไซต์จำนวนมากในอนาคต ✅ มาตรฐาน Robots Exclusion Protocol ถูกเสนอครั้งแรกในปี 1994 และกลายเป็นมาตรฐานในปี 2022 ➡️ เป็นแนวทางให้บ็อตเคารพสิทธิ์ของเว็บไซต์ ➡️ ใช้ไฟล์ robots.txt เพื่อระบุข้อจำกัด ✅ OpenAI ได้รับคำชมจาก Cloudflareว่าเคารพ robots.txt และ network blocks อย่างถูกต้อง ➡️ ChatGPT-User หยุด crawling เมื่อถูกห้าม ➡️ ถือเป็นตัวอย่างของบ็อตที่ทำงานอย่างมีจริยธรรม ✅ Perplexity เคยถูกกล่าวหาว่าละเมิดลิขสิทธิ์จากหลายสำนักข่าว เช่น Forbes และ Wired ➡️ มีการเผยแพร่เนื้อหาคล้ายกับบทความต้นฉบับโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ ถูกวิจารณ์ว่า “ขโมยข้อมูลอย่างหน้าด้าน” https://blog.cloudflare.com/perplexity-is-using-stealth-undeclared-crawlers-to-evade-website-no-crawl-directives/
    BLOG.CLOUDFLARE.COM
    Perplexity is using stealth, undeclared crawlers to evade website no-crawl directives
    Perplexity is repeatedly modifying their user agent and changing IPs and ASNs to hide their crawling activity, in direct conflict with explicit no-crawl preferences expressed by websites.
    0 Comments 0 Shares 45 Views 0 Reviews
  • ตอน 8
    พ.ศ.2506 คุณป๋าสฤษดิ์ก็หมดบุญ น้าหนอมของป้าจงก็ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 10 อีกครั้งหนึ่ง พี่เบิ้มบอกว่า น้าหนอมน่าเอ็นดู แต่เด็ดไม่ขาด ไม่มีบารมี การสั่งการจากที่เคยคุยแต่กับคุณป๋าคนเดียวก็รู้เรื่อง ที่นี้ก็ต้องคุยเป็นพวง ถนอม ประภาส จิตติ ทวี กฤษณ์ฯลฯ
    แล้วไง ทำเป็นไม่รู้เรื่อง คุย 1 คน จ่าย 100 คุย 5 คน ก็เอา 5 คูณ
    พี่เบิ้มถึงจะรวยก็ขี้เหนียวนะ มาเล่นวิ่งผลัด 100 x 5 กับไอนี่ ไอไม่ชอบนะ
    ช่วงนั้นสถานการณ์ด้านการรบก็กำลังเข้ม การบริหารประเทศไทยแลนด์ของยูก็ไม่มีเอกภาพ แบ่งชามข้าวกันอยู่นั้น เอ้า! พจน์ สารสิน (อีกแล้ว!) ยูมาคุมกระทรวงพัฒนาแห่งชาติหน่อย อย่างน้อยไอก็ไม่ต้องปวดหมองด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ เดี๋ยวเงินไหลเข้าไหลออกมันจะสะดุด แล้วพจน์ ยูก็มาทำหน้า ที่เป็นกระบอกเสียงระหว่างน้าหนอมกับไอด้วยนะ เวลาพี่เบิ้มจะเอาอะไรก็บอก good boy ชื่อ พจน์ พจน์ก็ไปบอกน้าหนอม ไม่งั้นสั่งอะไรน้าหนอมก็พยักหน้าอย่างเดียว ไม่รู้ว่ารู้เรื่องหรือเปล่า
    สถานการณ์วิ่งผลัดก็ดำเนินไปเรื่อยๆ เขาเข้ามาใช้บ้านเราเป็นฐานทัพทั้งบก เรือ อากาศ นี่ดีว่าไม่มีเรือดำนำนะ ถามว่า ภายใต้พันธะอะไร ข้อตกลงอะไร เคยรู้กันบ้างไหมว่า เขาเข้ามากันเปล่าๆ ไม่เคยมีสัญญาข้อตกลงเป็นรูปธรรมเลยระหว่างสหรัฐกับไทย ก็มันสมประโยชน์กันทั้ง 2 ฝ่าย สหรัฐก็ไม่ต้องแจงรัฐสภาของตัวเอง ไทยก็ไม่ต้องแจงรัฐสภาของไทย เพราะทุกอย่างอยู่ในกำมือ บอกแล้วเงินช่วย เหลือเข้ามา ก็คนละหนุบละหนับ เขียนแล้วมันเศร้าใจ
    ทหารอเมริกันก็ไม่ต้องขึ้นศาลไทย เครื่องบินจะบินขึ้นไปทิ้งบอมบ์เขาก็เป็นคนอนุมัติ เขาจะขนทหารเข้ามาเท่าไหร่ เราก็ o.k, o.k
    นี่คือสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ยุคสงครามเวียตนาม แล้วนึกว่าหมดแล้วหรือ เปล่าเลยแล้วให้จำสัญญาJUSMAC ปี ค.ศ.1950 ที่ท่านนายพลคนแปลก เป็นผู้ลงนามไว้ บอกไว้แล้วว่า สัญญานั้นยังมีชีวิตอยู่ สัญญานี้มีผลอย่างไร เกี่ยวกับปัจจุบันหรือไม่ โปรดติดตาม อย่าได้ขาดตอนเชียว
    ช่วงปี พ.ศ.2507 – 2511 คอมมิวนิสต์เริ่มรุกเข้าอีสานบ้านเรา พี่เบิ้มก็ทุ่มเงินใส่ให้พัฒนาหมู่บ้านและตชด. กับตำรวจภูธรเพื่อดูแลหมู่บ้าน ตอนนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม ทำไมเขาต้องตั้งตชด.และตั้งตำรวจ ภูธรให้เรา ทหารนั้นเอาไว้ไปรบกับเวียดกง โว้ย! สั่งทุกอย่างเหมือนเป็นบ้านตัวเองเลยนะ
    เงินที่พี่เบิ้มให้มาผ่านโครงการ MAP (Military Assistance Program) โดยให้ผ่านหน่วยงาน USIS และ USOM ปีละตั้งหลาย (ประมาณ 100 ล้านเหรียญต่อปีพี่เบิ้มเขาก็เป็นห่วงว่าเงิน MAP นี่มันจะไปใช้สนับสนุนกีฬาวิ่งผลัด 100 x 5 เท่าไหร่ จะถึงตชด.เท่าไหร่  เขาเลยเข้ามาวางแผนเข้าไปถึงระบบพัฒนาหมู่บ้านเราเอง จัดสรรงบเอง เพื่อไม่ให้กีฬาวิ่งผลัดเบิกบานเกินไป และเพื่อให้การเมืองไทยมีเสถียรภาพ สามารถรับใช้การปฏิบัติงานของเจ้าของเงินได้อย่างราบรื่น พี่เบิ้มก็ต้องการให้ไทยแลนด์มีการเลือกตั้ง เป็นประชาธิปไตยจริงๆ เสียที เพราะว่า ค่าใช้จ่ายกีฬาวิ่งผลัดมันชักจะสูงไปแล้วนะ แทน ที่จะคุยกับนักกีฬาวิ่งผลัด คุยกับรัฐบาลมันน่าจะประหยัดค่าใช้จ่ายไอมากกว่านะ แต่ต้องเป็นรัฐบาลจากพรรคที่ไอเลือกให้ เป็นรัฐบาลนะ
    คิดกลับไปกลับมา พี่เบิ้มก็ปวดหัวว่าจะใช้บริการของใครดีหนอ น้าหนอมน่าจะดีที่สุด ท่าทางนอนง่ายสอนง่าย ไม่ค่อยมีพยศ รายงานของ CIA ระบุว่า สหรัฐมีแผนที่จะให้กลุ่มถนอมเป็นผู้บริหารประเทศไทยต่อไป ดังนั้นจึงมีการเจรจากับทูตอเมริกันนามว่าคุณมาร์ติน ให้อเมริกาสนับสนุนการตั้งพรรคของ กลุ่มถนอม
    ได้ยินเสียงตัวแทนฝ่ายไทย คล้ายๆ เสียงนายพจน์ สารสิน บอกเลือกตั้งน่ะนะ มันต้องใช้ทุนแยะอยู่ ถ้ายูช่วยพวกไอก็จะดี จะได้ไม่ต้องไปเอาจากพ่อค้า ซึ่งส่วนมากเป็นคนจีน มันยากจะเดาว่าจะเอียงหน้าไปอยู่ข้างไหน
    รายงาน CIA บอกว่าทูตมาร์ตินนำเรื่องนี้ไปเสนอต่อ 303 Committee ปรากฏว่าทางวอชิงตัน (Washington) ก็ถามกลับมาว่า คุ้มแน่นะ คำตอบก็อยู่ในสายลมที่พัดไป แล้วก็เงียบหาย ระหว่างนั้นไทยแลนด์ก็เลยมีข่าวลือว่า จะมีการปฎิวัติน้าหนอมโดยกลุ่มทวี จิตติ กฤษณ์บ้าง ลุงตุ๊บ้าง แต่ระยะหลังข่าวปฎิวัติโดยลุงตุ๊มาแรง แหม มันประจวบเหมาะอะไรเช่นนั้น บังเอิญจริงนะ
    ช่วงข่าวปฏิวัติโดยลุงตุ๊ ทูตมาร์ตินก็หมดวาระกลับบ้าน ทูตอังเกอร์ (Unger) มาแทน คุณ good boy นามพจน์ ก็ไปเตือนทูตใหม่อีกว่า ยูจะเอายังไง ข่าวปฎิวัติมาแรงนะ ถ้ายูจะให้ถนอมเป็นนายกนี่ต้องเร่งๆ หน่อย เราจะตั้งพรรคแล้วหนา เงินที่ว่าจะช่วยยังไม่มาเลย
    ทูตตั้งคำถาม 20 คำถาม แล้วก็มีประโยคทองตอบไปเป็นเกียรติประวัติว่า “Trust us-We know what to do” เชื่อเราน่า เรารู้ว่าจะต้องทำยังไง …ไอรวยจะตาย ยูไม่ต้องห่วง ธุรกิจแยะไปหมด น้ำดำไทยแลนด์นี่ก็ของไอนะ (ไม่ได้ค่าโฆษณาไม่เขียนให้รอบสอง!)
    ทูตอังเกอร์ (Unger) ได้ยินประโยคทอง แล้วก็อ่อนระทวยเขียนรายงานชื่อว่า “Lotus Project” ส่งด่วนจี๋ไปยังวอชิงตัน (Washington) ทันทีอีกรอบ การเลือกตั้งในวันที่ 11 ก.พ. พ.ศ.2512 ปรากฏว่า พรรคสหประชาไทยของน้าหนอม ได้รับชัยชนะเฉียดฉิวมากคือ 75 ที่นั่งจากสส.ทั้งหมด 215 คน เก่งจังเลย!
    การเลือกตั้งครั้งนี้สมควร บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ว่าอำนวยการสร้างโดย CIA ของแท้ ภายใต้ชื่อว่า Lotus Project  มีนายพจน์ สารสินเป็น project manger ทั้งนี้เพราะพี่เบิ้มกลัวว่า ถ้าการเมืองไทยไม่นิ่ง Pax Americana ที่วางไว้ซับซ้อนก็จะ ฉ.ห. ดังนั้นพรรคสหประชาไทย ภายใต้การดำเนินงานของนายพจน์ จึงเกิด ขึ้น และชนะการเลือกตั้งและได้นายกชื่อ พล.อ. ถนอม!
    ไอ้ที่เขียนเกี่ยวกับ Lotus Project มาทั้งหมดนี้นี้ อยู่ในรายงานลับของทูตมาร์ติน และทูตอังเกอร์ เองนะ ไม่ ได้ยกเมฆ แหม ลับยังไงก็หลุดมาได้น่า สีมือระดับนี่แล้ว เดี๋ยวว่าคุย (ฮา)
    โม้มาก สงสัย คงมีพวกซีมาคอยรับตัวไปเที่ยวแน่
    Lotus Project ใช้เงินหลวงของพี่เบิ้มอุดหนุน ภายใต้การพิจารณาอนุมัติของ Committer 303 ไปหาดูแล้วกัน ไอ้ Committee นี้มันทำอะไร แล้วอย่ามาพูดอีกนะ ยูต้องเป็นประชาธิปไตย เหม็นขี้ฟันจริงๆ


    คนเล่านิทาน
    ตอน 8 พ.ศ.2506 คุณป๋าสฤษดิ์ก็หมดบุญ น้าหนอมของป้าจงก็ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 10 อีกครั้งหนึ่ง พี่เบิ้มบอกว่า น้าหนอมน่าเอ็นดู แต่เด็ดไม่ขาด ไม่มีบารมี การสั่งการจากที่เคยคุยแต่กับคุณป๋าคนเดียวก็รู้เรื่อง ที่นี้ก็ต้องคุยเป็นพวง ถนอม ประภาส จิตติ ทวี กฤษณ์ฯลฯ แล้วไง ทำเป็นไม่รู้เรื่อง คุย 1 คน จ่าย 100 คุย 5 คน ก็เอา 5 คูณ พี่เบิ้มถึงจะรวยก็ขี้เหนียวนะ มาเล่นวิ่งผลัด 100 x 5 กับไอนี่ ไอไม่ชอบนะ ช่วงนั้นสถานการณ์ด้านการรบก็กำลังเข้ม การบริหารประเทศไทยแลนด์ของยูก็ไม่มีเอกภาพ แบ่งชามข้าวกันอยู่นั้น เอ้า! พจน์ สารสิน (อีกแล้ว!) ยูมาคุมกระทรวงพัฒนาแห่งชาติหน่อย อย่างน้อยไอก็ไม่ต้องปวดหมองด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ เดี๋ยวเงินไหลเข้าไหลออกมันจะสะดุด แล้วพจน์ ยูก็มาทำหน้า ที่เป็นกระบอกเสียงระหว่างน้าหนอมกับไอด้วยนะ เวลาพี่เบิ้มจะเอาอะไรก็บอก good boy ชื่อ พจน์ พจน์ก็ไปบอกน้าหนอม ไม่งั้นสั่งอะไรน้าหนอมก็พยักหน้าอย่างเดียว ไม่รู้ว่ารู้เรื่องหรือเปล่า สถานการณ์วิ่งผลัดก็ดำเนินไปเรื่อยๆ เขาเข้ามาใช้บ้านเราเป็นฐานทัพทั้งบก เรือ อากาศ นี่ดีว่าไม่มีเรือดำนำนะ ถามว่า ภายใต้พันธะอะไร ข้อตกลงอะไร เคยรู้กันบ้างไหมว่า เขาเข้ามากันเปล่าๆ ไม่เคยมีสัญญาข้อตกลงเป็นรูปธรรมเลยระหว่างสหรัฐกับไทย ก็มันสมประโยชน์กันทั้ง 2 ฝ่าย สหรัฐก็ไม่ต้องแจงรัฐสภาของตัวเอง ไทยก็ไม่ต้องแจงรัฐสภาของไทย เพราะทุกอย่างอยู่ในกำมือ บอกแล้วเงินช่วย เหลือเข้ามา ก็คนละหนุบละหนับ เขียนแล้วมันเศร้าใจ ทหารอเมริกันก็ไม่ต้องขึ้นศาลไทย เครื่องบินจะบินขึ้นไปทิ้งบอมบ์เขาก็เป็นคนอนุมัติ เขาจะขนทหารเข้ามาเท่าไหร่ เราก็ o.k, o.k นี่คือสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ยุคสงครามเวียตนาม แล้วนึกว่าหมดแล้วหรือ เปล่าเลยแล้วให้จำสัญญาJUSMAC ปี ค.ศ.1950 ที่ท่านนายพลคนแปลก เป็นผู้ลงนามไว้ บอกไว้แล้วว่า สัญญานั้นยังมีชีวิตอยู่ สัญญานี้มีผลอย่างไร เกี่ยวกับปัจจุบันหรือไม่ โปรดติดตาม อย่าได้ขาดตอนเชียว ช่วงปี พ.ศ.2507 – 2511 คอมมิวนิสต์เริ่มรุกเข้าอีสานบ้านเรา พี่เบิ้มก็ทุ่มเงินใส่ให้พัฒนาหมู่บ้านและตชด. กับตำรวจภูธรเพื่อดูแลหมู่บ้าน ตอนนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม ทำไมเขาต้องตั้งตชด.และตั้งตำรวจ ภูธรให้เรา ทหารนั้นเอาไว้ไปรบกับเวียดกง โว้ย! สั่งทุกอย่างเหมือนเป็นบ้านตัวเองเลยนะ เงินที่พี่เบิ้มให้มาผ่านโครงการ MAP (Military Assistance Program) โดยให้ผ่านหน่วยงาน USIS และ USOM ปีละตั้งหลาย (ประมาณ 100 ล้านเหรียญต่อปีพี่เบิ้มเขาก็เป็นห่วงว่าเงิน MAP นี่มันจะไปใช้สนับสนุนกีฬาวิ่งผลัด 100 x 5 เท่าไหร่ จะถึงตชด.เท่าไหร่  เขาเลยเข้ามาวางแผนเข้าไปถึงระบบพัฒนาหมู่บ้านเราเอง จัดสรรงบเอง เพื่อไม่ให้กีฬาวิ่งผลัดเบิกบานเกินไป และเพื่อให้การเมืองไทยมีเสถียรภาพ สามารถรับใช้การปฏิบัติงานของเจ้าของเงินได้อย่างราบรื่น พี่เบิ้มก็ต้องการให้ไทยแลนด์มีการเลือกตั้ง เป็นประชาธิปไตยจริงๆ เสียที เพราะว่า ค่าใช้จ่ายกีฬาวิ่งผลัดมันชักจะสูงไปแล้วนะ แทน ที่จะคุยกับนักกีฬาวิ่งผลัด คุยกับรัฐบาลมันน่าจะประหยัดค่าใช้จ่ายไอมากกว่านะ แต่ต้องเป็นรัฐบาลจากพรรคที่ไอเลือกให้ เป็นรัฐบาลนะ คิดกลับไปกลับมา พี่เบิ้มก็ปวดหัวว่าจะใช้บริการของใครดีหนอ น้าหนอมน่าจะดีที่สุด ท่าทางนอนง่ายสอนง่าย ไม่ค่อยมีพยศ รายงานของ CIA ระบุว่า สหรัฐมีแผนที่จะให้กลุ่มถนอมเป็นผู้บริหารประเทศไทยต่อไป ดังนั้นจึงมีการเจรจากับทูตอเมริกันนามว่าคุณมาร์ติน ให้อเมริกาสนับสนุนการตั้งพรรคของ กลุ่มถนอม ได้ยินเสียงตัวแทนฝ่ายไทย คล้ายๆ เสียงนายพจน์ สารสิน บอกเลือกตั้งน่ะนะ มันต้องใช้ทุนแยะอยู่ ถ้ายูช่วยพวกไอก็จะดี จะได้ไม่ต้องไปเอาจากพ่อค้า ซึ่งส่วนมากเป็นคนจีน มันยากจะเดาว่าจะเอียงหน้าไปอยู่ข้างไหน รายงาน CIA บอกว่าทูตมาร์ตินนำเรื่องนี้ไปเสนอต่อ 303 Committee ปรากฏว่าทางวอชิงตัน (Washington) ก็ถามกลับมาว่า คุ้มแน่นะ คำตอบก็อยู่ในสายลมที่พัดไป แล้วก็เงียบหาย ระหว่างนั้นไทยแลนด์ก็เลยมีข่าวลือว่า จะมีการปฎิวัติน้าหนอมโดยกลุ่มทวี จิตติ กฤษณ์บ้าง ลุงตุ๊บ้าง แต่ระยะหลังข่าวปฎิวัติโดยลุงตุ๊มาแรง แหม มันประจวบเหมาะอะไรเช่นนั้น บังเอิญจริงนะ ช่วงข่าวปฏิวัติโดยลุงตุ๊ ทูตมาร์ตินก็หมดวาระกลับบ้าน ทูตอังเกอร์ (Unger) มาแทน คุณ good boy นามพจน์ ก็ไปเตือนทูตใหม่อีกว่า ยูจะเอายังไง ข่าวปฎิวัติมาแรงนะ ถ้ายูจะให้ถนอมเป็นนายกนี่ต้องเร่งๆ หน่อย เราจะตั้งพรรคแล้วหนา เงินที่ว่าจะช่วยยังไม่มาเลย ทูตตั้งคำถาม 20 คำถาม แล้วก็มีประโยคทองตอบไปเป็นเกียรติประวัติว่า “Trust us-We know what to do” เชื่อเราน่า เรารู้ว่าจะต้องทำยังไง …ไอรวยจะตาย ยูไม่ต้องห่วง ธุรกิจแยะไปหมด น้ำดำไทยแลนด์นี่ก็ของไอนะ (ไม่ได้ค่าโฆษณาไม่เขียนให้รอบสอง!) ทูตอังเกอร์ (Unger) ได้ยินประโยคทอง แล้วก็อ่อนระทวยเขียนรายงานชื่อว่า “Lotus Project” ส่งด่วนจี๋ไปยังวอชิงตัน (Washington) ทันทีอีกรอบ การเลือกตั้งในวันที่ 11 ก.พ. พ.ศ.2512 ปรากฏว่า พรรคสหประชาไทยของน้าหนอม ได้รับชัยชนะเฉียดฉิวมากคือ 75 ที่นั่งจากสส.ทั้งหมด 215 คน เก่งจังเลย! การเลือกตั้งครั้งนี้สมควร บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ว่าอำนวยการสร้างโดย CIA ของแท้ ภายใต้ชื่อว่า Lotus Project  มีนายพจน์ สารสินเป็น project manger ทั้งนี้เพราะพี่เบิ้มกลัวว่า ถ้าการเมืองไทยไม่นิ่ง Pax Americana ที่วางไว้ซับซ้อนก็จะ ฉ.ห. ดังนั้นพรรคสหประชาไทย ภายใต้การดำเนินงานของนายพจน์ จึงเกิด ขึ้น และชนะการเลือกตั้งและได้นายกชื่อ พล.อ. ถนอม! ไอ้ที่เขียนเกี่ยวกับ Lotus Project มาทั้งหมดนี้นี้ อยู่ในรายงานลับของทูตมาร์ติน และทูตอังเกอร์ เองนะ ไม่ ได้ยกเมฆ แหม ลับยังไงก็หลุดมาได้น่า สีมือระดับนี่แล้ว เดี๋ยวว่าคุย (ฮา) โม้มาก สงสัย คงมีพวกซีมาคอยรับตัวไปเที่ยวแน่ Lotus Project ใช้เงินหลวงของพี่เบิ้มอุดหนุน ภายใต้การพิจารณาอนุมัติของ Committer 303 ไปหาดูแล้วกัน ไอ้ Committee นี้มันทำอะไร แล้วอย่ามาพูดอีกนะ ยูต้องเป็นประชาธิปไตย เหม็นขี้ฟันจริงๆ คนเล่านิทาน
    9 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: โน้ตบุ๊กเกมมิ่งที่จับคู่ CPU-GPU แบบย้อนยุค—ประหยัดหรือพลาด?

    แบรนด์จีนชื่อ Sakuromoto เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่งสองรุ่นที่สร้างความงุนงงให้กับวงการ:

    รุ่นแรกชื่อ “Inter Book” ใช้ชิปกราฟิก GeForce GTX 1060 ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 2016 จับคู่กับซีพียู Intel N95 ระดับเริ่มต้นจากตระกูล Alder Lake-N ที่มีเพียง 4 คอร์

    รุ่นที่สองชื่อ “Rescue Series” ใช้ซีพียูระดับสูง Core i9-12900H แบบ 14 คอร์ แต่กลับจับคู่กับ GPU MX550 ซึ่งเป็นชิปกราฟิกระดับล่างที่อ่อนแอกว่า GTX 1060 เสียอีก

    ทั้งสองรุ่นมีการตลาดที่ “เกินจริง” เช่น บอกว่า N95 เป็น “Core i9-class” และหน้าจอ 1080p เป็น “4K-class” ซึ่งสร้างความสับสนให้กับผู้บริโภค

    แม้จะดูแปลก แต่ก็มีเหตุผลเบื้องหลัง—อาจเป็นการนำชิ้นส่วนเก่ามาใช้ใหม่เพื่อลดต้นทุนหรือช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็ต้องแลกกับประสิทธิภาพที่ไม่สมดุลและประสบการณ์เล่นเกมที่ไม่น่าประทับใจ

    Sakuromoto เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่งสองรุ่นที่ใช้ชิ้นส่วนเก่า
    Inter Book ใช้ GTX 1060 + Intel N95
    Rescue Series ใช้ Core i9-12900H + MX550

    GTX 1060 เป็น GPU จากปี 2016 ที่ยังพอเล่นเกมระดับกลางได้
    มี VRAM 6 GB GDDR5
    เล่นเกม 1080p ได้ในระดับกลาง

    Intel N95 เป็นซีพียูระดับเริ่มต้นที่มีเพียง 4 คอร์
    ใช้พลังงานต่ำเพียง 15W
    ไม่เหมาะกับงานหนักหรือเกมที่ใช้ CPU สูง

    MX550 เป็น GPU ระดับล่างที่อ่อนแอกว่า GTX 1060
    มี 1024 shaders และ VRAM 4 GB
    เหมาะกับงานเบา เช่น ตัดต่อภาพหรือวิดีโอเบื้องต้น

    โน้ตบุ๊กทั้งสองรุ่นมีการตลาดที่เกินจริง
    เรียก N95 ว่า “Core i9-class”
    หน้าจอ 1080p ถูกเรียกว่า “4K-class”

    อาจเป็นการนำชิ้นส่วนเก่ามาใช้ใหม่เพื่อลดต้นทุน
    ช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์
    อาจเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ได้เน้นเกมหนัก

    https://wccftech.com/chinese-manufacturer-uses-gtx-1060-by-releasing-an-entry-level-laptop-with-intel-n95/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: โน้ตบุ๊กเกมมิ่งที่จับคู่ CPU-GPU แบบย้อนยุค—ประหยัดหรือพลาด? แบรนด์จีนชื่อ Sakuromoto เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่งสองรุ่นที่สร้างความงุนงงให้กับวงการ: ▶️ รุ่นแรกชื่อ “Inter Book” ใช้ชิปกราฟิก GeForce GTX 1060 ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 2016 จับคู่กับซีพียู Intel N95 ระดับเริ่มต้นจากตระกูล Alder Lake-N ที่มีเพียง 4 คอร์ ▶️ รุ่นที่สองชื่อ “Rescue Series” ใช้ซีพียูระดับสูง Core i9-12900H แบบ 14 คอร์ แต่กลับจับคู่กับ GPU MX550 ซึ่งเป็นชิปกราฟิกระดับล่างที่อ่อนแอกว่า GTX 1060 เสียอีก ทั้งสองรุ่นมีการตลาดที่ “เกินจริง” เช่น บอกว่า N95 เป็น “Core i9-class” และหน้าจอ 1080p เป็น “4K-class” ซึ่งสร้างความสับสนให้กับผู้บริโภค แม้จะดูแปลก แต่ก็มีเหตุผลเบื้องหลัง—อาจเป็นการนำชิ้นส่วนเก่ามาใช้ใหม่เพื่อลดต้นทุนหรือช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็ต้องแลกกับประสิทธิภาพที่ไม่สมดุลและประสบการณ์เล่นเกมที่ไม่น่าประทับใจ ✅ Sakuromoto เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่งสองรุ่นที่ใช้ชิ้นส่วนเก่า ➡️ Inter Book ใช้ GTX 1060 + Intel N95 ➡️ Rescue Series ใช้ Core i9-12900H + MX550 ✅ GTX 1060 เป็น GPU จากปี 2016 ที่ยังพอเล่นเกมระดับกลางได้ ➡️ มี VRAM 6 GB GDDR5 ➡️ เล่นเกม 1080p ได้ในระดับกลาง ✅ Intel N95 เป็นซีพียูระดับเริ่มต้นที่มีเพียง 4 คอร์ ➡️ ใช้พลังงานต่ำเพียง 15W ➡️ ไม่เหมาะกับงานหนักหรือเกมที่ใช้ CPU สูง ✅ MX550 เป็น GPU ระดับล่างที่อ่อนแอกว่า GTX 1060 ➡️ มี 1024 shaders และ VRAM 4 GB ➡️ เหมาะกับงานเบา เช่น ตัดต่อภาพหรือวิดีโอเบื้องต้น ✅ โน้ตบุ๊กทั้งสองรุ่นมีการตลาดที่เกินจริง ➡️ เรียก N95 ว่า “Core i9-class” ➡️ หน้าจอ 1080p ถูกเรียกว่า “4K-class” ✅ อาจเป็นการนำชิ้นส่วนเก่ามาใช้ใหม่เพื่อลดต้นทุน ➡️ ช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ➡️ อาจเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ได้เน้นเกมหนัก https://wccftech.com/chinese-manufacturer-uses-gtx-1060-by-releasing-an-entry-level-laptop-with-intel-n95/
    WCCFTECH.COM
    Chinese Manufacturer Pairs GTX 1060 With Intel N95 Processor For Its Gaming Laptop; Uses Even A Weirder Combo Of Core i9 12900H+MX550 In Another Model
    Sakuramoto has been producing gaming laptops with weird CPU-GPU combos as seen recently. One of its offerings included GTX 1060 and N95.
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อไฟล์ลัดกลายเป็นประตูหลัง—REMCOS RAT แฝงตัวผ่าน LNK และ PowerShell โดยไม่ทิ้งร่องรอย

    ทีมวิจัย Lat61 จากบริษัท Point Wild ได้เปิดเผยแคมเปญมัลแวร์หลายขั้นตอนที่ใช้ไฟล์ลัด Windows (.lnk) เป็นตัวเปิดทางให้ REMCOS RAT เข้าสู่ระบบของเหยื่อ โดยเริ่มจากไฟล์ที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย เช่น “ORDINE-DI-ACQUIST-7263535.lnk” ซึ่งเมื่อคลิกแล้วจะรันคำสั่ง PowerShell แบบลับ ๆ เพื่อดาวน์โหลด payload ที่ถูกเข้ารหัสแบบ Base64 จากเซิร์ฟเวอร์ภายนอก

    หลังจากถอดรหัสแล้ว payload จะถูกเปิดใช้งานในรูปแบบไฟล์ .PIF ที่ปลอมเป็น CHROME.PIF เพื่อหลอกว่าเป็นโปรแกรมจริง ก่อนจะติดตั้ง REMCOS RAT ซึ่งสามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ได้เต็มรูปแบบ—ตั้งแต่ keylogging, เปิดกล้อง, ไปจนถึงการสร้าง shell ระยะไกล

    แคมเปญนี้ยังใช้เทคนิคหลบเลี่ยงการตรวจจับ เช่น ไม่ใช้ไฟล์บนดิสก์, ไม่ใช้ macro, และไม่แสดงคำเตือนใด ๆ ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปแทบไม่รู้ตัวว่าโดนโจมตี

    แคมเปญมัลแวร์ใหม่ใช้ไฟล์ลัด Windows (.lnk) เป็นช่องทางติดตั้ง REMCOS RAT
    ไฟล์ลัดปลอมเป็นเอกสารหรือโปรแกรม เช่น “ORDINE-DI-ACQUIST…”
    เมื่อคลิกจะรัน PowerShell แบบลับ ๆ

    PowerShell ถูกใช้เพื่อดาวน์โหลด payload ที่ถูกเข้ารหัสแบบ Base64 จากเซิร์ฟเวอร์ภายนอก
    ไม่ใช้ไฟล์บนดิสก์หรือ macro ทำให้หลบการตรวจจับได้
    payload ถูกเปิดใช้งานในรูปแบบไฟล์ .PIF ปลอมชื่อเป็น CHROME.PIF

    REMCOS RAT ให้ผู้โจมตีควบคุมระบบได้เต็มรูปแบบ
    keylogging, เปิดกล้อง, สร้าง shell ระยะไกล, เข้าถึงไฟล์
    สร้าง log file ใน %ProgramData% เพื่อเก็บข้อมูลการกดแป้นพิมพ์

    เซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ของแคมเปญนี้อยู่ในสหรัฐฯ และโรมาเนีย
    แสดงให้เห็นว่าการโจมตีสามารถมาจากหลายประเทศ
    ใช้โครงสร้างแบบกระจายเพื่อหลบการติดตาม

    ไฟล์ลัดไม่แสดงคำเตือน macro และสามารถหลอกผู้ใช้ได้ง่าย
    Windows ซ่อนนามสกุลไฟล์โดยค่าเริ่มต้น
    ไฟล์ .lnk อาจดูเหมือน .pdf หรือ .docx.

    ไฟล์ลัด (.lnk) สามารถรันคำสั่งอันตรายได้โดยไม่ต้องใช้ macro หรือไฟล์ .exe
    ผู้ใช้มักเข้าใจผิดว่าเป็นไฟล์เอกสาร
    ไม่มีการแจ้งเตือนจากระบบความปลอดภัยของ Office

    REMCOS RAT สามารถทำงานแบบ fileless โดยไม่ทิ้งร่องรอยบนดิสก์
    ยากต่อการตรวจจับด้วย antivirus แบบดั้งเดิม
    ต้องใช้ระบบป้องกันแบบ real-time และ behavioral analysis

    การปลอมชื่อไฟล์และไอคอนทำให้ผู้ใช้หลงเชื่อว่าเป็นไฟล์จริง
    Windows ซ่อนนามสกุลไฟล์โดยค่าเริ่มต้น
    ไฟล์ .lnk อาจดูเหมือน “Invoice.pdf” ทั้งที่เป็น shortcut

    การเปิดไฟล์จากอีเมลหรือเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัยอาจนำไปสู่การติดมัลแวร์ทันที
    ไม่ควรเปิดไฟล์แนบจากผู้ส่งที่ไม่รู้จัก
    ควรใช้ sandbox หรือระบบแยกเพื่อทดสอบไฟล์ก่อนเปิด

    https://hackread.com/attack-windows-shortcut-files-install-remcos-backdoor/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อไฟล์ลัดกลายเป็นประตูหลัง—REMCOS RAT แฝงตัวผ่าน LNK และ PowerShell โดยไม่ทิ้งร่องรอย ทีมวิจัย Lat61 จากบริษัท Point Wild ได้เปิดเผยแคมเปญมัลแวร์หลายขั้นตอนที่ใช้ไฟล์ลัด Windows (.lnk) เป็นตัวเปิดทางให้ REMCOS RAT เข้าสู่ระบบของเหยื่อ โดยเริ่มจากไฟล์ที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย เช่น “ORDINE-DI-ACQUIST-7263535.lnk” ซึ่งเมื่อคลิกแล้วจะรันคำสั่ง PowerShell แบบลับ ๆ เพื่อดาวน์โหลด payload ที่ถูกเข้ารหัสแบบ Base64 จากเซิร์ฟเวอร์ภายนอก หลังจากถอดรหัสแล้ว payload จะถูกเปิดใช้งานในรูปแบบไฟล์ .PIF ที่ปลอมเป็น CHROME.PIF เพื่อหลอกว่าเป็นโปรแกรมจริง ก่อนจะติดตั้ง REMCOS RAT ซึ่งสามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ได้เต็มรูปแบบ—ตั้งแต่ keylogging, เปิดกล้อง, ไปจนถึงการสร้าง shell ระยะไกล แคมเปญนี้ยังใช้เทคนิคหลบเลี่ยงการตรวจจับ เช่น ไม่ใช้ไฟล์บนดิสก์, ไม่ใช้ macro, และไม่แสดงคำเตือนใด ๆ ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปแทบไม่รู้ตัวว่าโดนโจมตี ✅ แคมเปญมัลแวร์ใหม่ใช้ไฟล์ลัด Windows (.lnk) เป็นช่องทางติดตั้ง REMCOS RAT ➡️ ไฟล์ลัดปลอมเป็นเอกสารหรือโปรแกรม เช่น “ORDINE-DI-ACQUIST…” ➡️ เมื่อคลิกจะรัน PowerShell แบบลับ ๆ ✅ PowerShell ถูกใช้เพื่อดาวน์โหลด payload ที่ถูกเข้ารหัสแบบ Base64 จากเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ➡️ ไม่ใช้ไฟล์บนดิสก์หรือ macro ทำให้หลบการตรวจจับได้ ➡️ payload ถูกเปิดใช้งานในรูปแบบไฟล์ .PIF ปลอมชื่อเป็น CHROME.PIF ✅ REMCOS RAT ให้ผู้โจมตีควบคุมระบบได้เต็มรูปแบบ ➡️ keylogging, เปิดกล้อง, สร้าง shell ระยะไกล, เข้าถึงไฟล์ ➡️ สร้าง log file ใน %ProgramData% เพื่อเก็บข้อมูลการกดแป้นพิมพ์ ✅ เซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ของแคมเปญนี้อยู่ในสหรัฐฯ และโรมาเนีย ➡️ แสดงให้เห็นว่าการโจมตีสามารถมาจากหลายประเทศ ➡️ ใช้โครงสร้างแบบกระจายเพื่อหลบการติดตาม ✅ ไฟล์ลัดไม่แสดงคำเตือน macro และสามารถหลอกผู้ใช้ได้ง่าย ➡️ Windows ซ่อนนามสกุลไฟล์โดยค่าเริ่มต้น ➡️ ไฟล์ .lnk อาจดูเหมือน .pdf หรือ .docx. ‼️ ไฟล์ลัด (.lnk) สามารถรันคำสั่งอันตรายได้โดยไม่ต้องใช้ macro หรือไฟล์ .exe ⛔ ผู้ใช้มักเข้าใจผิดว่าเป็นไฟล์เอกสาร ⛔ ไม่มีการแจ้งเตือนจากระบบความปลอดภัยของ Office ‼️ REMCOS RAT สามารถทำงานแบบ fileless โดยไม่ทิ้งร่องรอยบนดิสก์ ⛔ ยากต่อการตรวจจับด้วย antivirus แบบดั้งเดิม ⛔ ต้องใช้ระบบป้องกันแบบ real-time และ behavioral analysis ‼️ การปลอมชื่อไฟล์และไอคอนทำให้ผู้ใช้หลงเชื่อว่าเป็นไฟล์จริง ⛔ Windows ซ่อนนามสกุลไฟล์โดยค่าเริ่มต้น ⛔ ไฟล์ .lnk อาจดูเหมือน “Invoice.pdf” ทั้งที่เป็น shortcut ‼️ การเปิดไฟล์จากอีเมลหรือเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัยอาจนำไปสู่การติดมัลแวร์ทันที ⛔ ไม่ควรเปิดไฟล์แนบจากผู้ส่งที่ไม่รู้จัก ⛔ ควรใช้ sandbox หรือระบบแยกเพื่อทดสอบไฟล์ก่อนเปิด https://hackread.com/attack-windows-shortcut-files-install-remcos-backdoor/
    HACKREAD.COM
    New Attack Uses Windows Shortcut Files to Install REMCOS Backdoor
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Coffeematic PC – คอมพิวเตอร์ที่ชงกาแฟ และใช้กาแฟร้อนในการ “ระบายความร้อน”

    ในฤดูหนาวปี 2024 Doug MacDowell ศิลปินและนักสร้างสรรค์ ได้หยิบเครื่องชงกาแฟ GE Coffeematic รุ่นปี 1980 จากร้านของมือสอง แล้วดัดแปลงให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์เล่นเกมที่สามารถชงกาแฟได้จริง และใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนของ CPU

    เขาใช้ชิ้นส่วนเก่าจากยุค 2000 เช่น เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM, CPU AMD Athlon II X4, RAM DDR2 และ SSD 240GB ติดตั้งลงบนตัวเครื่องชงกาแฟ พร้อมระบบท่อและปั๊มที่หมุนเวียนกาแฟร้อน (~90°C) ผ่านหม้อน้ำสองตัว ก่อนส่งไปยัง CPU เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ที่ประมาณ 33°C

    แม้จะฟังดู “เกือบทำลายตัวเอง” แต่ Coffeematic PC กลับทำงานได้จริงทั้งในส่วนของคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟ แม้จะไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวัน และกาแฟที่ได้ก็ไม่ควรดื่มก็ตาม

    Coffeematic PC คือการรวมเครื่องชงกาแฟ GE รุ่นปี 1980 กับคอมพิวเตอร์เล่นเกม
    ใช้เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM และ CPU AMD Athlon II X4
    ติดตั้งบนตัวเครื่องด้วยแผ่นสแตนเลสและซีลกันน้ำ

    ระบบระบายความร้อนใช้กาแฟร้อนแทนน้ำหรือพัดลม
    กาแฟร้อน (~90°C) ถูกปั๊มผ่านหม้อน้ำก่อนถึง CPU
    อุณหภูมิ CPU คงที่ที่ ~33°C หลังหมุนเวียน 75 นาที

    ทั้งคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟทำงานได้จริง
    สามารถชงกาแฟและเปิดระบบปฏิบัติการ Linux Mint ได้
    มีปั๊มแยกสำหรับจ่ายกาแฟให้ผู้ใช้โดยตรง

    เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ “coffee maker PC” ที่มีมาตั้งแต่ปี 2002
    มีรุ่นก่อนหน้าเช่น The Caffeine Machine (2002), Zotac Mekspresso (2018), Mr. Coffee PC (2019), Nerdforge (2024)
    Coffeematic PC เป็นรุ่นที่ 5 ในสายงานนี้

    โครงการนี้เน้นความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการใช้งานจริง
    เป็นงานศิลปะเชิงเทคนิคที่ท้าทายขอบเขตของการออกแบบ
    แสดงในนิทรรศการ Sparklines พร้อมกราฟข้อมูลที่เขียนด้วยมือ

    กาแฟที่ใช้ในระบบไม่เหมาะสำหรับการบริโภค
    ท่อและปั๊มไม่ใช่อุปกรณ์สำหรับอาหาร
    อาจเกิดเชื้อราและสิ่งสกปรกสะสมในระบบ

    ระบบเปิดเผยสายไฟและชิ้นส่วนทั้งหมด อาจเกิดอันตรายจากน้ำหก
    การเติมน้ำผิดพลาดอาจทำให้ระบบไฟฟ้าลัดวงจร
    ไม่มีการป้องกันจากการสัมผัสโดยตรง

    ไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวันหรือเป็นคอมพิวเตอร์หลัก
    ใช้ชิ้นส่วนเก่าที่ไม่รองรับซอฟต์แวร์ใหม่
    ประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน

    การใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนอาจเสี่ยงต่อความเสียหายของ CPU
    อุณหภูมิเริ่มต้นสูงเกินกว่าที่ CPU ควรรับได้
    ต้องพึ่งพาหม้อน้ำและการควบคุมที่แม่นยำ

    https://www.dougmacdowell.com/coffeematic-pc.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Coffeematic PC – คอมพิวเตอร์ที่ชงกาแฟ และใช้กาแฟร้อนในการ “ระบายความร้อน” ในฤดูหนาวปี 2024 Doug MacDowell ศิลปินและนักสร้างสรรค์ ได้หยิบเครื่องชงกาแฟ GE Coffeematic รุ่นปี 1980 จากร้านของมือสอง แล้วดัดแปลงให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์เล่นเกมที่สามารถชงกาแฟได้จริง และใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนของ CPU เขาใช้ชิ้นส่วนเก่าจากยุค 2000 เช่น เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM, CPU AMD Athlon II X4, RAM DDR2 และ SSD 240GB ติดตั้งลงบนตัวเครื่องชงกาแฟ พร้อมระบบท่อและปั๊มที่หมุนเวียนกาแฟร้อน (~90°C) ผ่านหม้อน้ำสองตัว ก่อนส่งไปยัง CPU เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ที่ประมาณ 33°C แม้จะฟังดู “เกือบทำลายตัวเอง” แต่ Coffeematic PC กลับทำงานได้จริงทั้งในส่วนของคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟ แม้จะไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวัน และกาแฟที่ได้ก็ไม่ควรดื่มก็ตาม ✅ Coffeematic PC คือการรวมเครื่องชงกาแฟ GE รุ่นปี 1980 กับคอมพิวเตอร์เล่นเกม ➡️ ใช้เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM และ CPU AMD Athlon II X4 ➡️ ติดตั้งบนตัวเครื่องด้วยแผ่นสแตนเลสและซีลกันน้ำ ✅ ระบบระบายความร้อนใช้กาแฟร้อนแทนน้ำหรือพัดลม ➡️ กาแฟร้อน (~90°C) ถูกปั๊มผ่านหม้อน้ำก่อนถึง CPU ➡️ อุณหภูมิ CPU คงที่ที่ ~33°C หลังหมุนเวียน 75 นาที ✅ ทั้งคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟทำงานได้จริง ➡️ สามารถชงกาแฟและเปิดระบบปฏิบัติการ Linux Mint ได้ ➡️ มีปั๊มแยกสำหรับจ่ายกาแฟให้ผู้ใช้โดยตรง ✅ เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ “coffee maker PC” ที่มีมาตั้งแต่ปี 2002 ➡️ มีรุ่นก่อนหน้าเช่น The Caffeine Machine (2002), Zotac Mekspresso (2018), Mr. Coffee PC (2019), Nerdforge (2024) ➡️ Coffeematic PC เป็นรุ่นที่ 5 ในสายงานนี้ ✅ โครงการนี้เน้นความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการใช้งานจริง ➡️ เป็นงานศิลปะเชิงเทคนิคที่ท้าทายขอบเขตของการออกแบบ ➡️ แสดงในนิทรรศการ Sparklines พร้อมกราฟข้อมูลที่เขียนด้วยมือ ‼️ กาแฟที่ใช้ในระบบไม่เหมาะสำหรับการบริโภค ⛔ ท่อและปั๊มไม่ใช่อุปกรณ์สำหรับอาหาร ⛔ อาจเกิดเชื้อราและสิ่งสกปรกสะสมในระบบ ‼️ ระบบเปิดเผยสายไฟและชิ้นส่วนทั้งหมด อาจเกิดอันตรายจากน้ำหก ⛔ การเติมน้ำผิดพลาดอาจทำให้ระบบไฟฟ้าลัดวงจร ⛔ ไม่มีการป้องกันจากการสัมผัสโดยตรง ‼️ ไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวันหรือเป็นคอมพิวเตอร์หลัก ⛔ ใช้ชิ้นส่วนเก่าที่ไม่รองรับซอฟต์แวร์ใหม่ ⛔ ประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน ‼️ การใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนอาจเสี่ยงต่อความเสียหายของ CPU ⛔ อุณหภูมิเริ่มต้นสูงเกินกว่าที่ CPU ควรรับได้ ⛔ ต้องพึ่งพาหม้อน้ำและการควบคุมที่แม่นยำ https://www.dougmacdowell.com/coffeematic-pc.html
    WWW.DOUGMACDOWELL.COM
    Coffeematic PC – Coffee Maker Computer by Doug MacDowell
    A 1980s GE coffee maker converted into a working computer. Part art, part absurd machine, fully functional.
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Intel ลดพนักงาน ส่งผลสะเทือนถึงโลกของ Linux

    ในปี 2025 Intel ได้ประกาศลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาไดรเวอร์ใน Linux kernel โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ของ Intel เช่น GPU, Ethernet, และ CPU microcode ที่เคยมีทีมงานเฉพาะดูแลอย่างใกล้ชิด

    การลดทีมงานทำให้เกิดความล่าช้าในการแก้บั๊ก การทดสอบฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของ Intel ที่จะรองรับใน Linux kernel รุ่นถัดไป นอกจากนี้ยังมีไดรเวอร์บางตัวที่ถูกประกาศว่า “orphaned” หรือไม่มีผู้ดูแลแล้ว เช่น Slim Bootloader firmware update driver ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของแพลตฟอร์ม Intel x86

    แม้จะมีความกังวล แต่ชุมชน Linux ก็ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยมีนักพัฒนาอิสระและบริษัทอื่น ๆ เช่น Red Hat, SUSE, Canonical เข้ามาช่วยดูแลไดรเวอร์ที่ขาดผู้ดูแล พร้อมทั้งใช้โครงสร้างแบบ modular และ framework ที่ช่วยลดการพึ่งพาไดรเวอร์เฉพาะจากผู้ผลิต

    Intel ลดจำนวนพนักงานในปี 2025 ส่งผลต่อการพัฒนา Linux kernel driver
    ส่งผลให้การแก้บั๊กและการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าช้า
    กระทบต่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ของ Intel ใน Linux

    ไดรเวอร์บางตัวถูกประกาศว่า orphaned เช่น Slim Bootloader firmware update driver
    ไม่มีผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญเหลืออยู่ในทีม
    อาจส่งผลต่อการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของแพลตฟอร์ม Intel x86

    ชุมชน Linux และบริษัทอื่น ๆ เข้ามาช่วยดูแลไดรเวอร์ที่ขาดผู้ดูแล
    ใช้กระบวนการ maintainer transition เพื่อเปลี่ยนผู้ดูแล
    บริษัทเช่น Red Hat, SUSE, Canonical มีทีม kernel ของตัวเอง

    Linux kernel มีโครงสร้างแบบ modular ที่ช่วยให้การพัฒนาไม่หยุดชะงัก
    สามารถเปลี่ยนผู้ดูแลหรือปรับโครงสร้างได้ตามสถานการณ์
    มี framework ที่ช่วยลดการพึ่งพาไดรเวอร์เฉพาะจากผู้ผลิต

    ผู้ใช้ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงใน MAINTAINERS file และ kernel mailing list
    เพื่อรู้ว่าไดรเวอร์ใดเปลี่ยนผู้ดูแล
    ควรทดสอบฮาร์ดแวร์ของตนเองเมื่ออัปเดต kernel

    การลดทีมงานของ Intel อาจทำให้การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าช้า
    ผู้ใช้ที่ใช้ฮาร์ดแวร์ Intel รุ่นใหม่อาจต้องรอนานกว่าจะมีไดรเวอร์ใน kernel
    อาจต้องใช้ kernel รุ่นพิเศษหรือ patch เองในบางกรณี

    ไดรเวอร์ที่ไม่มีผู้ดูแลอาจมีช่องโหว่หรือไม่รองรับ kernel รุ่นใหม่
    เสี่ยงต่อความไม่เสถียรหรือปัญหาด้านความปลอดภัย
    ต้องพึ่งพาชุมชนหรือบริษัทอื่นในการดูแล

    การถอนตัวจากโครงการ Clear Linux แสดงถึงการลดบทบาทของ Intel ในโลก open-source
    อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักพัฒนาและผู้ใช้
    ลดโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เน้น Linux โดยเฉพาะ

    องค์กรที่ใช้ฮาร์ดแวร์ Intel ควรพิจารณาการ compile kernel เองเพื่อควบคุมไดรเวอร์
    โดยเฉพาะในระบบ enterprise ที่ต้องการความเสถียรสูง
    ต้องมีทีมเทคนิคที่เข้าใจการจัดการ kernel และ driver

    https://linuxconfig.org/intel-layoffs-impact-linux-kernel-driver-development-what-you-need-to-know
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ Intel ลดพนักงาน ส่งผลสะเทือนถึงโลกของ Linux ในปี 2025 Intel ได้ประกาศลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาไดรเวอร์ใน Linux kernel โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ของ Intel เช่น GPU, Ethernet, และ CPU microcode ที่เคยมีทีมงานเฉพาะดูแลอย่างใกล้ชิด การลดทีมงานทำให้เกิดความล่าช้าในการแก้บั๊ก การทดสอบฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของ Intel ที่จะรองรับใน Linux kernel รุ่นถัดไป นอกจากนี้ยังมีไดรเวอร์บางตัวที่ถูกประกาศว่า “orphaned” หรือไม่มีผู้ดูแลแล้ว เช่น Slim Bootloader firmware update driver ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของแพลตฟอร์ม Intel x86 แม้จะมีความกังวล แต่ชุมชน Linux ก็ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยมีนักพัฒนาอิสระและบริษัทอื่น ๆ เช่น Red Hat, SUSE, Canonical เข้ามาช่วยดูแลไดรเวอร์ที่ขาดผู้ดูแล พร้อมทั้งใช้โครงสร้างแบบ modular และ framework ที่ช่วยลดการพึ่งพาไดรเวอร์เฉพาะจากผู้ผลิต ✅ Intel ลดจำนวนพนักงานในปี 2025 ส่งผลต่อการพัฒนา Linux kernel driver ➡️ ส่งผลให้การแก้บั๊กและการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าช้า ➡️ กระทบต่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ของ Intel ใน Linux ✅ ไดรเวอร์บางตัวถูกประกาศว่า orphaned เช่น Slim Bootloader firmware update driver ➡️ ไม่มีผู้ดูแลที่มีความเชี่ยวชาญเหลืออยู่ในทีม ➡️ อาจส่งผลต่อการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของแพลตฟอร์ม Intel x86 ✅ ชุมชน Linux และบริษัทอื่น ๆ เข้ามาช่วยดูแลไดรเวอร์ที่ขาดผู้ดูแล ➡️ ใช้กระบวนการ maintainer transition เพื่อเปลี่ยนผู้ดูแล ➡️ บริษัทเช่น Red Hat, SUSE, Canonical มีทีม kernel ของตัวเอง ✅ Linux kernel มีโครงสร้างแบบ modular ที่ช่วยให้การพัฒนาไม่หยุดชะงัก ➡️ สามารถเปลี่ยนผู้ดูแลหรือปรับโครงสร้างได้ตามสถานการณ์ ➡️ มี framework ที่ช่วยลดการพึ่งพาไดรเวอร์เฉพาะจากผู้ผลิต ✅ ผู้ใช้ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงใน MAINTAINERS file และ kernel mailing list ➡️ เพื่อรู้ว่าไดรเวอร์ใดเปลี่ยนผู้ดูแล ➡️ ควรทดสอบฮาร์ดแวร์ของตนเองเมื่ออัปเดต kernel ‼️ การลดทีมงานของ Intel อาจทำให้การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าช้า ⛔ ผู้ใช้ที่ใช้ฮาร์ดแวร์ Intel รุ่นใหม่อาจต้องรอนานกว่าจะมีไดรเวอร์ใน kernel ⛔ อาจต้องใช้ kernel รุ่นพิเศษหรือ patch เองในบางกรณี ‼️ ไดรเวอร์ที่ไม่มีผู้ดูแลอาจมีช่องโหว่หรือไม่รองรับ kernel รุ่นใหม่ ⛔ เสี่ยงต่อความไม่เสถียรหรือปัญหาด้านความปลอดภัย ⛔ ต้องพึ่งพาชุมชนหรือบริษัทอื่นในการดูแล ‼️ การถอนตัวจากโครงการ Clear Linux แสดงถึงการลดบทบาทของ Intel ในโลก open-source ⛔ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักพัฒนาและผู้ใช้ ⛔ ลดโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เน้น Linux โดยเฉพาะ ‼️ องค์กรที่ใช้ฮาร์ดแวร์ Intel ควรพิจารณาการ compile kernel เองเพื่อควบคุมไดรเวอร์ ⛔ โดยเฉพาะในระบบ enterprise ที่ต้องการความเสถียรสูง ⛔ ต้องมีทีมเทคนิคที่เข้าใจการจัดการ kernel และ driver https://linuxconfig.org/intel-layoffs-impact-linux-kernel-driver-development-what-you-need-to-know
    LINUXCONFIG.ORG
    Intel Layoffs Impact Linux Kernel Driver Development: What You Need to Know
    Intel's workforce reductions may affect Linux kernel drivers, raising concerns over hardware support and compatibility. Discover what this means for development and communities.
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Banana Pi BPI-R4 Lite—บอร์ดเราท์เตอร์ DIY ที่แรงพอตัว แต่ไม่ใช่คู่แข่ง Raspberry Pi 5

    Banana Pi เปิดตัว BPI-R4 Lite ซึ่งเป็นบอร์ดเดี่ยวสำหรับงานเน็ตเวิร์กโดยเฉพาะ ใช้ชิป MediaTek MT7987A ที่มี 4 คอร์ Cortex-A53, RAM 2GB DDR4 และ eMMC 8GB พร้อมพอร์ตเน็ตเวิร์กครบครัน เช่น 2.5GbE SFP, 2.5GbE RJ45 WAN (รองรับ PoE), และ LAN 1GbE อีก 4 ช่อง

    จุดเด่นคือรองรับการขยายผ่าน miniPCIe และ M.2 สำหรับ Wi-Fi 7 และโมดูล 5G รวมถึงมี MikroBUS headers สำหรับงาน IoT และ automation

    แม้จะถูกนำเสนอว่าเป็นทางเลือกของ Raspberry Pi 5 แต่หลายเสียงในชุมชนกลับมองว่า BPI-R4 Lite เหมาะกับงานเราท์เตอร์มากกว่าเป็นบอร์ดเอนกประสงค์ เพราะ CPU ค่อนข้างเก่าและไม่เหมาะกับงาน compute หนัก

    Banana Pi BPI-R4 Lite ใช้ชิป MediaTek MT7987A พร้อม 4 คอร์ Cortex-A53
    RAM 2GB DDR4 และ eMMC 8GB
    มี SPI-NAND 256MB และ SPI-NOR 32MB เพิ่มเติม

    รองรับพอร์ตเน็ตเวิร์กระดับสูง เช่น 2.5GbE SFP และ RJ45 WAN พร้อม PoE
    มี LAN 1GbE อีก 4 ช่องสำหรับใช้งานเป็นเราท์เตอร์
    รองรับการขยายผ่าน miniPCIe และ M.2 สำหรับ Wi-Fi 7 และ 5G

    มี USB 3.0, USB 2.0, และ USB-C สำหรับ debug console
    USB 3.0 แชร์ทรัพยากรกับ HSGMII/SGMII ต้องเลือกใช้งาน
    รองรับการขยายผ่าน MikroBUS headers สำหรับ UART, I2C, SPI, PWM

    เหมาะกับงาน DIY router, NAS, home automation และ gateway
    รองรับ OpenWRT และระบบ Linux
    ขนาดบอร์ด 100.5x148 มม. น้ำหนัก 250 กรัม

    ราคาประมาณ $86 ซึ่งสูงกว่า Raspberry Pi 5 ที่อยู่ที่ ~$66
    เน้นฟีเจอร์ด้านเน็ตเวิร์กมากกว่าความสามารถ compute
    มีตัวเลือก Wi-Fi 7 NIC แบบ mPCIe ให้ซื้อเพิ่ม

    https://www.techpowerup.com/339505/banana-pi-launches-bpi-r4-lite-diy-router-board
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Banana Pi BPI-R4 Lite—บอร์ดเราท์เตอร์ DIY ที่แรงพอตัว แต่ไม่ใช่คู่แข่ง Raspberry Pi 5 Banana Pi เปิดตัว BPI-R4 Lite ซึ่งเป็นบอร์ดเดี่ยวสำหรับงานเน็ตเวิร์กโดยเฉพาะ ใช้ชิป MediaTek MT7987A ที่มี 4 คอร์ Cortex-A53, RAM 2GB DDR4 และ eMMC 8GB พร้อมพอร์ตเน็ตเวิร์กครบครัน เช่น 2.5GbE SFP, 2.5GbE RJ45 WAN (รองรับ PoE), และ LAN 1GbE อีก 4 ช่อง จุดเด่นคือรองรับการขยายผ่าน miniPCIe และ M.2 สำหรับ Wi-Fi 7 และโมดูล 5G รวมถึงมี MikroBUS headers สำหรับงาน IoT และ automation แม้จะถูกนำเสนอว่าเป็นทางเลือกของ Raspberry Pi 5 แต่หลายเสียงในชุมชนกลับมองว่า BPI-R4 Lite เหมาะกับงานเราท์เตอร์มากกว่าเป็นบอร์ดเอนกประสงค์ เพราะ CPU ค่อนข้างเก่าและไม่เหมาะกับงาน compute หนัก ✅ Banana Pi BPI-R4 Lite ใช้ชิป MediaTek MT7987A พร้อม 4 คอร์ Cortex-A53 ➡️ RAM 2GB DDR4 และ eMMC 8GB ➡️ มี SPI-NAND 256MB และ SPI-NOR 32MB เพิ่มเติม ✅ รองรับพอร์ตเน็ตเวิร์กระดับสูง เช่น 2.5GbE SFP และ RJ45 WAN พร้อม PoE ➡️ มี LAN 1GbE อีก 4 ช่องสำหรับใช้งานเป็นเราท์เตอร์ ➡️ รองรับการขยายผ่าน miniPCIe และ M.2 สำหรับ Wi-Fi 7 และ 5G ✅ มี USB 3.0, USB 2.0, และ USB-C สำหรับ debug console ➡️ USB 3.0 แชร์ทรัพยากรกับ HSGMII/SGMII ต้องเลือกใช้งาน ➡️ รองรับการขยายผ่าน MikroBUS headers สำหรับ UART, I2C, SPI, PWM ✅ เหมาะกับงาน DIY router, NAS, home automation และ gateway ➡️ รองรับ OpenWRT และระบบ Linux ➡️ ขนาดบอร์ด 100.5x148 มม. น้ำหนัก 250 กรัม ✅ ราคาประมาณ $86 ซึ่งสูงกว่า Raspberry Pi 5 ที่อยู่ที่ ~$66 ➡️ เน้นฟีเจอร์ด้านเน็ตเวิร์กมากกว่าความสามารถ compute ➡️ มีตัวเลือก Wi-Fi 7 NIC แบบ mPCIe ให้ซื้อเพิ่ม https://www.techpowerup.com/339505/banana-pi-launches-bpi-r4-lite-diy-router-board
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Banana Pi Launches BPI-R4 Lite DIY Router Board
    The newly launched Banana Pi BPI-R4 Lite is a networking-focused single-board computer that can be an alternative to the Raspberry Pi 5. It is built around the MediaTek MT7987A system-on-chip, integrates four Arm Cortex-A53 cores and features 2 GB of DDR4 memory and 8 GB of eMMC flash storage. Conne...
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: SK hynix แซง Samsung ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของโลก—ชัยชนะจาก HBM ที่ขับเคลื่อน AI

    ในไตรมาส 2 ปี 2025 SK hynix สร้างประวัติศาสตร์ด้วยรายได้จากธุรกิจหน่วยความจำสูงถึง $9.66 พันล้าน แซงหน้า Samsung ที่ทำได้ $8.94 พันล้าน และครองส่วนแบ่งตลาด 36.2% เทียบกับ 33.5% ของคู่แข่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ SK hynix ขึ้นนำตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1983

    เบื้องหลังความสำเร็จคือการรุกเข้าสู่ตลาด High-Bandwidth Memory (HBM) อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ HBM3 และ HBM3E ที่กลายเป็นหัวใจของการประมวลผล AI บน GPU ของ Nvidia เช่น B300 และ L40S

    ในขณะที่ Samsung ยังครองตลาด NAND และ DRAM แบบดั้งเดิม แต่กลับล่าช้าในการส่งมอบ HBM3E ให้ลูกค้า ทำให้เสียโอกาสในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในยุค AI

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/sk-hynix-dethrones-samsung-to-become-worlds-top-selling-memory-maker-for-the-first-time-success-mostly-attributed-to-its-hbm3-dominance-for-nvidias-ai-gpus
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: SK hynix แซง Samsung ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของโลก—ชัยชนะจาก HBM ที่ขับเคลื่อน AI ในไตรมาส 2 ปี 2025 SK hynix สร้างประวัติศาสตร์ด้วยรายได้จากธุรกิจหน่วยความจำสูงถึง $9.66 พันล้าน แซงหน้า Samsung ที่ทำได้ $8.94 พันล้าน และครองส่วนแบ่งตลาด 36.2% เทียบกับ 33.5% ของคู่แข่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ SK hynix ขึ้นนำตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1983 เบื้องหลังความสำเร็จคือการรุกเข้าสู่ตลาด High-Bandwidth Memory (HBM) อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ HBM3 และ HBM3E ที่กลายเป็นหัวใจของการประมวลผล AI บน GPU ของ Nvidia เช่น B300 และ L40S ในขณะที่ Samsung ยังครองตลาด NAND และ DRAM แบบดั้งเดิม แต่กลับล่าช้าในการส่งมอบ HBM3E ให้ลูกค้า ทำให้เสียโอกาสในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในยุค AI https://www.tomshardware.com/tech-industry/sk-hynix-dethrones-samsung-to-become-worlds-top-selling-memory-maker-for-the-first-time-success-mostly-attributed-to-its-hbm3-dominance-for-nvidias-ai-gpus
    0 Comments 0 Shares 72 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: MLPerf Client 1.0 — เครื่องมือทดสอบ AI บนเครื่องส่วนตัวที่ใช้ง่ายขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น

    ในยุคที่ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่หลายคนยังใช้โมเดลผ่านระบบคลาวด์ เช่น ChatGPT หรือ Gemini ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็มีข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุม

    MLPerf Client 1.0 จึงถูกพัฒนาโดย MLCommons เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทดสอบประสิทธิภาพของโมเดล AI บนเครื่องของตัวเอง—ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ก, เดสก์ท็อป หรือเวิร์กสเตชัน โดยเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อม GUI ที่ใช้งานง่าย และรองรับโมเดลใหม่ ๆ เช่น Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning

    นอกจากนี้ยังรองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่าย เช่น AMD, Intel, NVIDIA, Apple และ Qualcomm ผ่าน SDK และ execution path ที่หลากหลาย รวมถึงสามารถทดสอบงานที่ซับซ้อน เช่น การสรุปเนื้อหาด้วย context window ขนาด 8000 tokens

    MLPerf Client 1.0 เปิดตัวพร้อม GUI ใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ไม่ต้องใช้ command line เหมือนเวอร์ชันก่อน
    มีระบบมอนิเตอร์ทรัพยากรแบบเรียลไทม์

    รองรับโมเดลใหม่หลายตัว เช่น Llama 2, Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning
    ครอบคลุมทั้งโมเดลขนาดเล็กและใหญ่
    ทดสอบได้ทั้งการสนทนา, การเขียนโค้ด และการสรุปเนื้อหา

    สามารถทดสอบงานที่ใช้ context window ขนาดใหญ่ เช่น 4000 และ 8000 tokens
    เหมาะกับการวัดประสิทธิภาพในงานสรุปเนื้อหายาว
    ต้องใช้ GPU ที่มี VRAM อย่างน้อย 16GB

    รองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่ายผ่าน execution path ต่าง ๆ
    เช่น ONNX Runtime, OpenVINO, MLX, Llama.cpp
    ครอบคลุมทั้ง GPU, NPU และ CPU hybrid

    สามารถดาวน์โหลดและใช้งานฟรีผ่าน GitHub
    รองรับ Windows และ macOS
    เหมาะกับนักพัฒนา, นักวิจัย และผู้ใช้ทั่วไป

    การทดสอบบาง workload ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูง เช่น GPU 16GB VRAM ขึ้นไป
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สามารถรันได้ครบทุกชุดทดสอบ
    ต้องตรวจสอบสเปกก่อนใช้งาน

    การเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ อาจไม่แม่นยำหากไม่ได้ตั้งค่าระบบให้เหมือนกัน
    ต้องใช้ configuration ที่เทียบเคียงได้
    ไม่ควรใช้ผลลัพธ์เพื่อสรุปคุณภาพของฮาร์ดแวร์โดยตรง

    การใช้ execution path ที่ไม่เหมาะกับอุปกรณ์อาจทำให้ผลลัพธ์ผิดเพี้ยน
    เช่น ใช้ path สำหรับ GPU บนระบบที่ไม่มี GPU
    ต้องเลือก path ให้ตรงกับฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานจริง

    การทดสอบโมเดลขนาดใหญ่อาจใช้เวลานานและกินทรัพยากรสูง
    อาจทำให้เครื่องร้อนหรือหน่วง
    ควรใช้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้

    https://www.tomshardware.com/software/mlperf-client-1-0-ai-benchmark-released-new-testing-toolkit-sports-a-gui-covers-more-models-and-tasks-and-supports-more-hardware-acceleration-paths
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: MLPerf Client 1.0 — เครื่องมือทดสอบ AI บนเครื่องส่วนตัวที่ใช้ง่ายขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น ในยุคที่ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่หลายคนยังใช้โมเดลผ่านระบบคลาวด์ เช่น ChatGPT หรือ Gemini ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็มีข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุม MLPerf Client 1.0 จึงถูกพัฒนาโดย MLCommons เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทดสอบประสิทธิภาพของโมเดล AI บนเครื่องของตัวเอง—ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ก, เดสก์ท็อป หรือเวิร์กสเตชัน โดยเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อม GUI ที่ใช้งานง่าย และรองรับโมเดลใหม่ ๆ เช่น Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning นอกจากนี้ยังรองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่าย เช่น AMD, Intel, NVIDIA, Apple และ Qualcomm ผ่าน SDK และ execution path ที่หลากหลาย รวมถึงสามารถทดสอบงานที่ซับซ้อน เช่น การสรุปเนื้อหาด้วย context window ขนาด 8000 tokens ✅ MLPerf Client 1.0 เปิดตัวพร้อม GUI ใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ ไม่ต้องใช้ command line เหมือนเวอร์ชันก่อน ➡️ มีระบบมอนิเตอร์ทรัพยากรแบบเรียลไทม์ ✅ รองรับโมเดลใหม่หลายตัว เช่น Llama 2, Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning ➡️ ครอบคลุมทั้งโมเดลขนาดเล็กและใหญ่ ➡️ ทดสอบได้ทั้งการสนทนา, การเขียนโค้ด และการสรุปเนื้อหา ✅ สามารถทดสอบงานที่ใช้ context window ขนาดใหญ่ เช่น 4000 และ 8000 tokens ➡️ เหมาะกับการวัดประสิทธิภาพในงานสรุปเนื้อหายาว ➡️ ต้องใช้ GPU ที่มี VRAM อย่างน้อย 16GB ✅ รองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่ายผ่าน execution path ต่าง ๆ ➡️ เช่น ONNX Runtime, OpenVINO, MLX, Llama.cpp ➡️ ครอบคลุมทั้ง GPU, NPU และ CPU hybrid ✅ สามารถดาวน์โหลดและใช้งานฟรีผ่าน GitHub ➡️ รองรับ Windows และ macOS ➡️ เหมาะกับนักพัฒนา, นักวิจัย และผู้ใช้ทั่วไป ‼️ การทดสอบบาง workload ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูง เช่น GPU 16GB VRAM ขึ้นไป ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สามารถรันได้ครบทุกชุดทดสอบ ⛔ ต้องตรวจสอบสเปกก่อนใช้งาน ‼️ การเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ อาจไม่แม่นยำหากไม่ได้ตั้งค่าระบบให้เหมือนกัน ⛔ ต้องใช้ configuration ที่เทียบเคียงได้ ⛔ ไม่ควรใช้ผลลัพธ์เพื่อสรุปคุณภาพของฮาร์ดแวร์โดยตรง ‼️ การใช้ execution path ที่ไม่เหมาะกับอุปกรณ์อาจทำให้ผลลัพธ์ผิดเพี้ยน ⛔ เช่น ใช้ path สำหรับ GPU บนระบบที่ไม่มี GPU ⛔ ต้องเลือก path ให้ตรงกับฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานจริง ‼️ การทดสอบโมเดลขนาดใหญ่อาจใช้เวลานานและกินทรัพยากรสูง ⛔ อาจทำให้เครื่องร้อนหรือหน่วง ⛔ ควรใช้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ https://www.tomshardware.com/software/mlperf-client-1-0-ai-benchmark-released-new-testing-toolkit-sports-a-gui-covers-more-models-and-tasks-and-supports-more-hardware-acceleration-paths
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: นักพัฒนาใช้ AI มากขึ้น แต่เชื่อใจน้อยลง—เมื่อ “เกือบถูก” กลายเป็นต้นทุนที่ซ่อนอยู่

    จากผลสำรวจนักพัฒนากว่า 49,000 คนโดย Stack Overflow พบว่า 80% ใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI กลับลดลงเหลือเพียง 29% จาก 40% ในปีก่อน

    ปัญหาหลักคือ “คำตอบที่เกือบถูก” จาก AI เช่น GitHub Copilot หรือ Cursor ที่ดูเหมือนจะใช้งานได้ แต่แฝงข้อผิดพลาดเชิงตรรกะหรือบั๊กที่ยากจะตรวจพบ โดยเฉพาะนักพัฒนารุ่นใหม่ที่มักเชื่อคำแนะนำของ AI มากเกินไป

    ผลคือ นักพัฒนาต้องเสียเวลานานในการดีบัก และกว่า 1 ใน 3 ต้องกลับไปหาคำตอบจาก Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากโค้ดที่ AI สร้างขึ้น

    แม้จะมีโมเดลใหม่ที่เน้นการให้เหตุผลมากขึ้น แต่ปัญหา “เกือบถูก” ยังคงอยู่ เพราะเป็นธรรมชาติของการสร้างข้อความแบบคาดการณ์ ซึ่งไม่สามารถเข้าใจบริบทลึกได้เหมือนมนุษย์

    80% ของนักพัฒนาใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025
    เพิ่มขึ้นจาก 76% ในปี 2024
    เป็นการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการ

    ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI ลดลงเหลือ 29%
    จาก 40% ในปี 2024 และ 43% ในปี 2023
    สะท้อนความกังวลเรื่องคุณภาพของผลลัพธ์

    45% ของนักพัฒนาระบุว่าการดีบักโค้ดจาก AI ใช้เวลามากกว่าที่คาด
    โดยเฉพาะเมื่อโค้ดดูเหมือนถูกแต่มีข้อผิดพลาดซ่อนอยู่
    ส่งผลให้ workflow สะดุดและเสียเวลา

    มากกว่า 1 ใน 3 ของนักพัฒนาเข้า Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจาก AI
    แสดงว่า AI ไม่สามารถแทนที่ความรู้จากชุมชนได้
    Stack Overflow ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหา

    72% ของนักพัฒนาไม่ใช้ “vibe coding” หรือการวางโค้ดจาก AI โดยไม่ตรวจสอบ
    เพราะเสี่ยงต่อการเกิดบั๊กที่ยากตรวจจับ
    ไม่เหมาะกับการใช้งานในระบบจริง

    AI ยังมีข้อดีด้านการเรียนรู้ โดยช่วยลดความยากในการเริ่มต้นภาษาใหม่หรือ framework ใหม่
    ให้คำตอบเฉพาะจุดที่ตรงกับบริบท
    เสริมการค้นหาจากเอกสารแบบเดิม

    โค้ดที่ “เกือบถูก” จาก AI อาจสร้างบั๊กที่ยากตรวจจับและใช้เวลานานในการแก้ไข
    โดยเฉพาะกับนักพัฒนาที่ไม่มีประสบการณ์
    อาจทำให้ระบบมีข้อผิดพลาดที่ไม่รู้ตัว

    การเชื่อคำแนะนำของ AI โดยไม่ตรวจสอบอาจทำให้เกิดความเสียหายในระบบจริง
    AI ไม่เข้าใจบริบทเชิงธุรกิจหรือข้อจำกัดเฉพาะ
    ต้องมีการตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ

    การใช้ AI โดยไม่มีการฝึกอบรมหรือแนวทางที่ชัดเจนอาจสร้างภาระมากกว่าประโยชน์
    ผู้ใช้ต้องเข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือ
    ต้องมี mindset ที่ไม่พึ่งพา AI อย่างเดียว

    การใช้ autocomplete จาก AI โดยไม่พิจารณาอาจฝังข้อผิดพลาดลงในระบบ
    ต้องใช้ AI เป็น “คู่คิด” ไม่ใช่ “ผู้แทน”
    ควรใช้เพื่อเสนอไอเดีย ไม่ใช่แทนการเขียนทั้งหมด

    https://www.techspot.com/news/108907-developers-increasingly-embrace-ai-tools-even-their-trust.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: นักพัฒนาใช้ AI มากขึ้น แต่เชื่อใจน้อยลง—เมื่อ “เกือบถูก” กลายเป็นต้นทุนที่ซ่อนอยู่ จากผลสำรวจนักพัฒนากว่า 49,000 คนโดย Stack Overflow พบว่า 80% ใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI กลับลดลงเหลือเพียง 29% จาก 40% ในปีก่อน ปัญหาหลักคือ “คำตอบที่เกือบถูก” จาก AI เช่น GitHub Copilot หรือ Cursor ที่ดูเหมือนจะใช้งานได้ แต่แฝงข้อผิดพลาดเชิงตรรกะหรือบั๊กที่ยากจะตรวจพบ โดยเฉพาะนักพัฒนารุ่นใหม่ที่มักเชื่อคำแนะนำของ AI มากเกินไป ผลคือ นักพัฒนาต้องเสียเวลานานในการดีบัก และกว่า 1 ใน 3 ต้องกลับไปหาคำตอบจาก Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากโค้ดที่ AI สร้างขึ้น แม้จะมีโมเดลใหม่ที่เน้นการให้เหตุผลมากขึ้น แต่ปัญหา “เกือบถูก” ยังคงอยู่ เพราะเป็นธรรมชาติของการสร้างข้อความแบบคาดการณ์ ซึ่งไม่สามารถเข้าใจบริบทลึกได้เหมือนมนุษย์ ✅ 80% ของนักพัฒนาใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025 ➡️ เพิ่มขึ้นจาก 76% ในปี 2024 ➡️ เป็นการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการ ✅ ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI ลดลงเหลือ 29% ➡️ จาก 40% ในปี 2024 และ 43% ในปี 2023 ➡️ สะท้อนความกังวลเรื่องคุณภาพของผลลัพธ์ ✅ 45% ของนักพัฒนาระบุว่าการดีบักโค้ดจาก AI ใช้เวลามากกว่าที่คาด ➡️ โดยเฉพาะเมื่อโค้ดดูเหมือนถูกแต่มีข้อผิดพลาดซ่อนอยู่ ➡️ ส่งผลให้ workflow สะดุดและเสียเวลา ✅ มากกว่า 1 ใน 3 ของนักพัฒนาเข้า Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจาก AI ➡️ แสดงว่า AI ไม่สามารถแทนที่ความรู้จากชุมชนได้ ➡️ Stack Overflow ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหา ✅ 72% ของนักพัฒนาไม่ใช้ “vibe coding” หรือการวางโค้ดจาก AI โดยไม่ตรวจสอบ ➡️ เพราะเสี่ยงต่อการเกิดบั๊กที่ยากตรวจจับ ➡️ ไม่เหมาะกับการใช้งานในระบบจริง ✅ AI ยังมีข้อดีด้านการเรียนรู้ โดยช่วยลดความยากในการเริ่มต้นภาษาใหม่หรือ framework ใหม่ ➡️ ให้คำตอบเฉพาะจุดที่ตรงกับบริบท ➡️ เสริมการค้นหาจากเอกสารแบบเดิม ‼️ โค้ดที่ “เกือบถูก” จาก AI อาจสร้างบั๊กที่ยากตรวจจับและใช้เวลานานในการแก้ไข ⛔ โดยเฉพาะกับนักพัฒนาที่ไม่มีประสบการณ์ ⛔ อาจทำให้ระบบมีข้อผิดพลาดที่ไม่รู้ตัว ‼️ การเชื่อคำแนะนำของ AI โดยไม่ตรวจสอบอาจทำให้เกิดความเสียหายในระบบจริง ⛔ AI ไม่เข้าใจบริบทเชิงธุรกิจหรือข้อจำกัดเฉพาะ ⛔ ต้องมีการตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ ‼️ การใช้ AI โดยไม่มีการฝึกอบรมหรือแนวทางที่ชัดเจนอาจสร้างภาระมากกว่าประโยชน์ ⛔ ผู้ใช้ต้องเข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือ ⛔ ต้องมี mindset ที่ไม่พึ่งพา AI อย่างเดียว ‼️ การใช้ autocomplete จาก AI โดยไม่พิจารณาอาจฝังข้อผิดพลาดลงในระบบ ⛔ ต้องใช้ AI เป็น “คู่คิด” ไม่ใช่ “ผู้แทน” ⛔ ควรใช้เพื่อเสนอไอเดีย ไม่ใช่แทนการเขียนทั้งหมด https://www.techspot.com/news/108907-developers-increasingly-embrace-ai-tools-even-their-trust.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Software developers use AI more than ever, but trust it less
    In its annual poll of 49,000 professional developers, Stack Overflow found that 80 percent use AI tools in their work in 2025, a share that has surged...
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Comp AI กับภารกิจพลิกโฉมโลกของการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย

    ในโลกธุรกิจยุคใหม่ การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ไม่ใช่แค่ “เรื่องที่ควรทำ” แต่กลายเป็น “เงื่อนไขสำคัญ” สำหรับการทำธุรกิจ โดยเฉพาะกับลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่

    แต่การเข้าสู่มาตรฐานเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยความยุ่งยาก—ต้องใช้เวลาเป็นเดือน, ค่าใช้จ่ายสูง และต้องอาศัยทีมงานเฉพาะทาง

    Comp AI จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 2025 โดยทีมผู้ก่อตั้งที่เคยเจ็บปวดกับการจัดการ SOC 2 มาก่อน พวกเขาใช้ AI ร่วมกับแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่สามารถลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90% และช่วยให้บริษัทต่าง ๆ “พร้อมตรวจสอบ” ได้ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์

    Comp AI ระดมทุนได้ $2.6 ล้านในรอบ Pre-Seed เพื่อเร่งพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับการจัดการ compliance นำโดย OSS Capital และ Grand Ventures มีนักลงทุนชื่อดังร่วมด้วย เช่น ผู้ก่อตั้ง Sentry และ Ben’s Bites

    แพลตฟอร์มของ Comp AI ใช้ AI ร่วมกับโอเพ่นซอร์สเพื่อจัดการ SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ได้อัตโนมัติ
    ลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90%
    ลูกค้ากลุ่มแรกประหยัดเวลาไปกว่า 2,500 ชั่วโมง

    Comp AI ได้รับการตอบรับดีจากนักพัฒนาและบริษัทกว่า 3,500 แห่งในช่วงทดสอบก่อนเปิดตัว
    เข้าร่วมโครงการ OSS ของ Vercel
    เตรียมเปิดตัว “AI Agent Studio” สำหรับการเก็บหลักฐานและประเมินความเสี่ยง

    เป้าหมายของบริษัทคือช่วยให้ 100,000 บริษัทผ่านมาตรฐาน SOC 2 และ ISO 27001 ภายในปี 2032
    ลดต้นทุนจาก $25,000 ต่อปีเหลือเพียงเศษเสี้ยว
    ทำให้บริษัทขนาดเล็กเข้าถึงมาตรฐานระดับองค์กรได้

    Comp AI ถูกเปรียบว่าเป็น “Vercel แห่งวงการ compliance”
    ใช้งานง่ายสำหรับนักพัฒนา
    ไม่ต้องพึ่งที่ปรึกษาหรือทีมเฉพาะทาง

    AI ช่วยให้การตรวจสอบ SOC 2 และ ISO 27001 เป็นแบบเรียลไทม์
    ตรวจจับความผิดปกติและความเสี่ยงได้ทันที
    ลดโอกาสเกิดการละเมิดข้อมูล

    AI สามารถสร้างรายงาน compliance ที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์
    ช่วยให้การตรวจสอบภายในและภายนอกเป็นไปอย่างราบรื่น
    เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร

    แพลตฟอร์มแบบ unified ช่วยให้ผู้ตรวจสอบเข้าถึงหลักฐานและนโยบายได้จากจุดเดียว
    ลดความซับซ้อนในการจัดการหลายมาตรฐาน
    เหมาะกับองค์กรที่ต้องปฏิบัติตามหลาย framework พร้อมกัน

    AI ช่วยลดภาระของทีมกฎหมายและ compliance โดยอัตโนมัติถึง 70%
    ทำให้ทีมสามารถโฟกัสกับงานเชิงกลยุทธ์
    ลดต้นทุนและเวลาในการจัดการเอกสาร

    การใช้ AI เพื่อจัดการ compliance อาจไม่ครอบคลุมทุกบริบทขององค์กรขนาดใหญ่
    เครื่องมือบางตัวออกแบบมาสำหรับสตาร์ทอัพหรือ SMB
    อาจไม่รองรับระบบที่ซับซ้อนหรือหลายแพลตฟอร์ม

    การพึ่งพา automation มากเกินไปอาจทำให้ละเลยการตรวจสอบเชิงลึก
    ความเสี่ยงบางอย่างต้องใช้วิจารณญาณของมนุษย์
    AI อาจไม่เข้าใจบริบทเฉพาะของธุรกิจ

    การจัดการ compliance ด้วย AI ยังต้องการการตรวจสอบจากบุคคลที่มีความรู้ด้านกฎหมายและความปลอดภัย
    ไม่สามารถแทนที่ผู้เชี่ยวชาญได้ทั้งหมด
    อาจเกิดข้อผิดพลาดหากไม่มีการตรวจสอบซ้ำ

    การเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้าง template หรือ mapping ผ่านโอเพ่นซอร์ส อาจมีความเสี่ยงด้านความถูกต้อง
    ข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอาจนำไปสู่การปฏิบัติผิดมาตรฐาน
    ต้องมีระบบคัดกรองและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด

    https://hackread.com/comp-ai-secures-2-6m-pre-seed-to-disrupt-soc-2-market/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Comp AI กับภารกิจพลิกโฉมโลกของการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย ในโลกธุรกิจยุคใหม่ การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ไม่ใช่แค่ “เรื่องที่ควรทำ” แต่กลายเป็น “เงื่อนไขสำคัญ” สำหรับการทำธุรกิจ โดยเฉพาะกับลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ แต่การเข้าสู่มาตรฐานเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยความยุ่งยาก—ต้องใช้เวลาเป็นเดือน, ค่าใช้จ่ายสูง และต้องอาศัยทีมงานเฉพาะทาง Comp AI จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 2025 โดยทีมผู้ก่อตั้งที่เคยเจ็บปวดกับการจัดการ SOC 2 มาก่อน พวกเขาใช้ AI ร่วมกับแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่สามารถลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90% และช่วยให้บริษัทต่าง ๆ “พร้อมตรวจสอบ” ได้ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ✅ Comp AI ระดมทุนได้ $2.6 ล้านในรอบ Pre-Seed เพื่อเร่งพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับการจัดการ compliance ➡️ นำโดย OSS Capital และ Grand Ventures ➡️ มีนักลงทุนชื่อดังร่วมด้วย เช่น ผู้ก่อตั้ง Sentry และ Ben’s Bites ✅ แพลตฟอร์มของ Comp AI ใช้ AI ร่วมกับโอเพ่นซอร์สเพื่อจัดการ SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ได้อัตโนมัติ ➡️ ลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90% ➡️ ลูกค้ากลุ่มแรกประหยัดเวลาไปกว่า 2,500 ชั่วโมง ✅ Comp AI ได้รับการตอบรับดีจากนักพัฒนาและบริษัทกว่า 3,500 แห่งในช่วงทดสอบก่อนเปิดตัว ➡️ เข้าร่วมโครงการ OSS ของ Vercel ➡️ เตรียมเปิดตัว “AI Agent Studio” สำหรับการเก็บหลักฐานและประเมินความเสี่ยง ✅ เป้าหมายของบริษัทคือช่วยให้ 100,000 บริษัทผ่านมาตรฐาน SOC 2 และ ISO 27001 ภายในปี 2032 ➡️ ลดต้นทุนจาก $25,000 ต่อปีเหลือเพียงเศษเสี้ยว ➡️ ทำให้บริษัทขนาดเล็กเข้าถึงมาตรฐานระดับองค์กรได้ ✅ Comp AI ถูกเปรียบว่าเป็น “Vercel แห่งวงการ compliance” ➡️ ใช้งานง่ายสำหรับนักพัฒนา ➡️ ไม่ต้องพึ่งที่ปรึกษาหรือทีมเฉพาะทาง ✅ AI ช่วยให้การตรวจสอบ SOC 2 และ ISO 27001 เป็นแบบเรียลไทม์ ➡️ ตรวจจับความผิดปกติและความเสี่ยงได้ทันที ➡️ ลดโอกาสเกิดการละเมิดข้อมูล ✅ AI สามารถสร้างรายงาน compliance ที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ ➡️ ช่วยให้การตรวจสอบภายในและภายนอกเป็นไปอย่างราบรื่น ➡️ เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร ✅ แพลตฟอร์มแบบ unified ช่วยให้ผู้ตรวจสอบเข้าถึงหลักฐานและนโยบายได้จากจุดเดียว ➡️ ลดความซับซ้อนในการจัดการหลายมาตรฐาน ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ต้องปฏิบัติตามหลาย framework พร้อมกัน ✅ AI ช่วยลดภาระของทีมกฎหมายและ compliance โดยอัตโนมัติถึง 70% ➡️ ทำให้ทีมสามารถโฟกัสกับงานเชิงกลยุทธ์ ➡️ ลดต้นทุนและเวลาในการจัดการเอกสาร ‼️ การใช้ AI เพื่อจัดการ compliance อาจไม่ครอบคลุมทุกบริบทขององค์กรขนาดใหญ่ ⛔ เครื่องมือบางตัวออกแบบมาสำหรับสตาร์ทอัพหรือ SMB ⛔ อาจไม่รองรับระบบที่ซับซ้อนหรือหลายแพลตฟอร์ม ‼️ การพึ่งพา automation มากเกินไปอาจทำให้ละเลยการตรวจสอบเชิงลึก ⛔ ความเสี่ยงบางอย่างต้องใช้วิจารณญาณของมนุษย์ ⛔ AI อาจไม่เข้าใจบริบทเฉพาะของธุรกิจ ‼️ การจัดการ compliance ด้วย AI ยังต้องการการตรวจสอบจากบุคคลที่มีความรู้ด้านกฎหมายและความปลอดภัย ⛔ ไม่สามารถแทนที่ผู้เชี่ยวชาญได้ทั้งหมด ⛔ อาจเกิดข้อผิดพลาดหากไม่มีการตรวจสอบซ้ำ ‼️ การเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้าง template หรือ mapping ผ่านโอเพ่นซอร์ส อาจมีความเสี่ยงด้านความถูกต้อง ⛔ ข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอาจนำไปสู่การปฏิบัติผิดมาตรฐาน ⛔ ต้องมีระบบคัดกรองและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด https://hackread.com/comp-ai-secures-2-6m-pre-seed-to-disrupt-soc-2-market/
    HACKREAD.COM
    Comp AI secures $2.6M pre-seed to disrupt SOC 2 market
    San Francisco, California, 1st August 2025, CyberNewsWire
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกคริปโต: JSCEAL มัลแวร์ที่ซ่อนตัวในโฆษณาและ JavaScript

    นักวิจัยจาก Check Point พบแคมเปญมัลแวร์ขนาดใหญ่ที่เริ่มต้นตั้งแต่มีนาคม 2024 โดยใช้ชื่อว่า “JSCEAL” ซึ่งมีเป้าหมายคือผู้ใช้แอปซื้อขายคริปโตและกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยแฮกเกอร์สร้างแอปปลอมและเว็บไซต์หลอกลวงที่ดูเหมือนของจริง แล้วโปรโมตผ่านโฆษณาบน Facebook และแพลตฟอร์มอื่น ๆ

    เมื่อเหยื่อคลิกโฆษณา จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ให้ดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้ง MSI ซึ่งเมื่อเปิดใช้งาน จะเริ่มกระบวนการเก็บข้อมูลระบบผ่าน PowerShell และสคริปต์ JavaScript ที่ซ่อนอยู่ในเว็บไซต์ จากนั้นจะส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ และหากพบว่าเครื่องมีข้อมูลสำคัญ ก็จะปล่อย payload สุดท้ายคือ JSCEAL ซึ่งทำงานผ่าน Node.js

    JSCEAL ใช้ไฟล์ JavaScript ที่ถูกคอมไพล์ด้วย V8 engine ของ Google ซึ่งทำให้โค้ดถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียนและหลบเลี่ยงการตรวจจับจากแอนติไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    JSCEAL เป็นมัลแวร์ที่ใช้ไฟล์ JavaScript แบบคอมไพล์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    ใช้ฟีเจอร์ V8 JSC ของ Google เพื่อซ่อนโค้ด
    ทำให้แอนติไวรัสทั่วไปไม่สามารถวิเคราะห์ได้ก่อนการรันจริง

    แคมเปญนี้เริ่มตั้งแต่มีนาคม 2024 และยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง
    พบโฆษณาปลอมกว่า 35,000 รายการใน EU ภายในครึ่งแรกของปี 2025
    คาดว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อมากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก

    แฮกเกอร์ใช้โฆษณาบน Facebook เพื่อหลอกให้ติดตั้งแอปปลอม
    โฆษณาถูกโพสต์ผ่านบัญชีที่ถูกขโมยหรือสร้างใหม่
    เว็บไซต์ปลอมเลียนแบบบริการจริง เช่น TradingView

    ไฟล์ MSI ที่ดาวน์โหลดจะเปิดเว็บวิวไปยังเว็บไซต์จริงเพื่อหลอกเหยื่อ
    ใช้ msedge_proxy.exe เพื่อเปิดเว็บจริงควบคู่กับการติดตั้งมัลแวร์
    ทำให้เหยื่อไม่สงสัยว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น

    JSCEAL สามารถขโมยข้อมูลได้หลากหลายประเภท
    รหัสผ่าน, คุกกี้, seed phrase, ข้อมูล Telegram, ภาพหน้าจอ, keystroke
    สามารถดักจับเว็บทราฟฟิกและฝังสคริปต์ในเว็บไซต์ธนาคารหรือคริปโต

    มัลแวร์มีโครงสร้างแบบหลายชั้นและปรับเปลี่ยน payload ได้ตามสถานการณ์
    ใช้ fingerprinting scripts เพื่อประเมินความคุ้มค่าของเหยื่อก่อนปล่อย payload
    มีการตั้ง proxy ภายในเครื่องเพื่อดักข้อมูลแบบ real-time

    https://www.techradar.com/pro/security/major-new-malware-strain-targets-crypto-users-via-malicious-ads-heres-what-we-know-and-how-to-stay-safe
    🧠 เรื่องเล่าจากโลกคริปโต: JSCEAL มัลแวร์ที่ซ่อนตัวในโฆษณาและ JavaScript นักวิจัยจาก Check Point พบแคมเปญมัลแวร์ขนาดใหญ่ที่เริ่มต้นตั้งแต่มีนาคม 2024 โดยใช้ชื่อว่า “JSCEAL” ซึ่งมีเป้าหมายคือผู้ใช้แอปซื้อขายคริปโตและกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยแฮกเกอร์สร้างแอปปลอมและเว็บไซต์หลอกลวงที่ดูเหมือนของจริง แล้วโปรโมตผ่านโฆษณาบน Facebook และแพลตฟอร์มอื่น ๆ เมื่อเหยื่อคลิกโฆษณา จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ให้ดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้ง MSI ซึ่งเมื่อเปิดใช้งาน จะเริ่มกระบวนการเก็บข้อมูลระบบผ่าน PowerShell และสคริปต์ JavaScript ที่ซ่อนอยู่ในเว็บไซต์ จากนั้นจะส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ และหากพบว่าเครื่องมีข้อมูลสำคัญ ก็จะปล่อย payload สุดท้ายคือ JSCEAL ซึ่งทำงานผ่าน Node.js JSCEAL ใช้ไฟล์ JavaScript ที่ถูกคอมไพล์ด้วย V8 engine ของ Google ซึ่งทำให้โค้ดถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียนและหลบเลี่ยงการตรวจจับจากแอนติไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ JSCEAL เป็นมัลแวร์ที่ใช้ไฟล์ JavaScript แบบคอมไพล์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ ใช้ฟีเจอร์ V8 JSC ของ Google เพื่อซ่อนโค้ด ➡️ ทำให้แอนติไวรัสทั่วไปไม่สามารถวิเคราะห์ได้ก่อนการรันจริง ✅ แคมเปญนี้เริ่มตั้งแต่มีนาคม 2024 และยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง ➡️ พบโฆษณาปลอมกว่า 35,000 รายการใน EU ภายในครึ่งแรกของปี 2025 ➡️ คาดว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อมากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก ✅ แฮกเกอร์ใช้โฆษณาบน Facebook เพื่อหลอกให้ติดตั้งแอปปลอม ➡️ โฆษณาถูกโพสต์ผ่านบัญชีที่ถูกขโมยหรือสร้างใหม่ ➡️ เว็บไซต์ปลอมเลียนแบบบริการจริง เช่น TradingView ✅ ไฟล์ MSI ที่ดาวน์โหลดจะเปิดเว็บวิวไปยังเว็บไซต์จริงเพื่อหลอกเหยื่อ ➡️ ใช้ msedge_proxy.exe เพื่อเปิดเว็บจริงควบคู่กับการติดตั้งมัลแวร์ ➡️ ทำให้เหยื่อไม่สงสัยว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ✅ JSCEAL สามารถขโมยข้อมูลได้หลากหลายประเภท ➡️ รหัสผ่าน, คุกกี้, seed phrase, ข้อมูล Telegram, ภาพหน้าจอ, keystroke ➡️ สามารถดักจับเว็บทราฟฟิกและฝังสคริปต์ในเว็บไซต์ธนาคารหรือคริปโต ✅ มัลแวร์มีโครงสร้างแบบหลายชั้นและปรับเปลี่ยน payload ได้ตามสถานการณ์ ➡️ ใช้ fingerprinting scripts เพื่อประเมินความคุ้มค่าของเหยื่อก่อนปล่อย payload ➡️ มีการตั้ง proxy ภายในเครื่องเพื่อดักข้อมูลแบบ real-time https://www.techradar.com/pro/security/major-new-malware-strain-targets-crypto-users-via-malicious-ads-heres-what-we-know-and-how-to-stay-safe
    0 Comments 0 Shares 145 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องแล็บจีน: Zhaoxin กับภารกิจไล่ตาม AMD ด้วย KH-50000 และ KX-7000N

    Zhaoxin เปิดตัวสองโปรเซสเซอร์ใหม่ในงาน WAIC 2025 ได้แก่:
    - Kaisheng KH-50000 สำหรับเซิร์ฟเวอร์ระดับสูง
    - KaiXian KX-7000N สำหรับ AI PC ที่มี NPU ในตัว

    KH-50000 เป็นรุ่นต่อยอดจาก KH-40000 โดยเพิ่มจำนวนคอร์จาก 32 เป็น 96 คอร์ พร้อม L3 cache ขนาด 384MB เทียบเท่ากับ AMD EPYC Genoa และรองรับ 128 PCIe 5.0 lanes กับหน่วยความจำ DDR5 แบบ 12-channel ECC

    แม้ Zhaoxin ยังไม่เปิดเผยสถาปัตยกรรมใหม่ที่ใช้ แต่จากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสเปกและฟีเจอร์ คาดว่า KH-50000 ใช้สถาปัตยกรรมใหม่แทน Yongfeng เดิม และรองรับการเชื่อมต่อหลายซ็อกเก็ตผ่าน ZPI 5.0 ทำให้สามารถสร้างระบบที่มีสูงสุด 384 คอร์ได้

    ในฝั่งผู้บริโภค KX-7000N ถือเป็นชิปแรกของ Zhaoxin ที่มี NPU สำหรับงาน AI โดยอัปเกรดจาก PCIe 4.0 เป็น 5.0 และเพิ่มจำนวนคอร์จากรุ่นเดิม แม้ยังไม่เปิดเผยตัวเลขแน่ชัด

    Zhaoxin เปิดตัว KH-50000 สำหรับเซิร์ฟเวอร์ และ KX-7000N สำหรับ AI PC
    เปิดตัวในงาน WAIC 2025
    เป็นก้าวสำคัญของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก

    KH-50000 มี 96 คอร์, L3 cache 384MB, รองรับ 128 PCIe 5.0 lanes และ DDR5 แบบ 12-channel
    เทียบเท่า AMD EPYC Genoa ในหลายด้าน
    รองรับ Compute Express Link (CXL) และ ZPI 5.0 สำหรับ multi-socket

    KH-50000 ใช้สถาปัตยกรรมใหม่ที่ยังไม่เปิดเผย
    ไม่ใช่ Yongfeng แบบรุ่นก่อน
    คาดว่าออกแบบใหม่เพื่อรองรับงาน HPC และ AI

    KX-7000N เป็นชิปแรกของ Zhaoxin ที่มี NPU สำหรับงาน AI
    อัปเกรดจาก PCIe 4.0 เป็น 5.0
    เพิ่มจำนวนคอร์จากรุ่น KX-7000 เดิม

    Zhaoxin ตั้งเป้าแข่งขันกับ AMD, Intel และ Nvidia ในอนาคต
    ยังไม่เทียบเท่าในด้านประสิทธิภาพ แต่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    มุ่งสู่ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยีของจีน

    KH-50000 ยังไม่ยืนยันว่ารองรับ simultaneous multithreading (SMT)
    อาจมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพต่อคอร์
    ยังไม่ชัดเจนว่ารองรับ workload แบบ multi-thread ได้ดีแค่ไหน

    ยังไม่มีข้อมูลด้านประสิทธิภาพจริงหรือ benchmark จาก Zhaoxin
    ไม่สามารถเปรียบเทียบกับ AMD หรือ Intel ได้อย่างแม่นยำ
    ต้องรอผลการทดสอบจากผู้ใช้งานจริง

    การพัฒนา NPU ใน KX-7000N ยังไม่มีข้อมูลด้านซอฟต์แวร์หรือ ecosystem รองรับ
    อาจมีข้อจำกัดในการใช้งาน AI บนเดสก์ท็อป
    ต้องพึ่งพาการพัฒนา framework และ driver เพิ่มเติม

    การผลิตและวางจำหน่ายยังไม่มีกำหนดแน่ชัด
    อาจล่าช้าหรือไม่สามารถผลิตได้ตามเป้า
    ส่งผลต่อการนำไปใช้งานในระดับองค์กรหรือผู้บริโภค

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chinese-cpus-are-closing-the-gap-on-amd-next-gen-zhaoxin-chips-feature-96-cores-12-channel-ddr5-memory-and-128-pcie-5-0-lanes
    🧠 เรื่องเล่าจากห้องแล็บจีน: Zhaoxin กับภารกิจไล่ตาม AMD ด้วย KH-50000 และ KX-7000N Zhaoxin เปิดตัวสองโปรเซสเซอร์ใหม่ในงาน WAIC 2025 ได้แก่: - Kaisheng KH-50000 สำหรับเซิร์ฟเวอร์ระดับสูง - KaiXian KX-7000N สำหรับ AI PC ที่มี NPU ในตัว KH-50000 เป็นรุ่นต่อยอดจาก KH-40000 โดยเพิ่มจำนวนคอร์จาก 32 เป็น 96 คอร์ พร้อม L3 cache ขนาด 384MB เทียบเท่ากับ AMD EPYC Genoa และรองรับ 128 PCIe 5.0 lanes กับหน่วยความจำ DDR5 แบบ 12-channel ECC แม้ Zhaoxin ยังไม่เปิดเผยสถาปัตยกรรมใหม่ที่ใช้ แต่จากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสเปกและฟีเจอร์ คาดว่า KH-50000 ใช้สถาปัตยกรรมใหม่แทน Yongfeng เดิม และรองรับการเชื่อมต่อหลายซ็อกเก็ตผ่าน ZPI 5.0 ทำให้สามารถสร้างระบบที่มีสูงสุด 384 คอร์ได้ ในฝั่งผู้บริโภค KX-7000N ถือเป็นชิปแรกของ Zhaoxin ที่มี NPU สำหรับงาน AI โดยอัปเกรดจาก PCIe 4.0 เป็น 5.0 และเพิ่มจำนวนคอร์จากรุ่นเดิม แม้ยังไม่เปิดเผยตัวเลขแน่ชัด ✅ Zhaoxin เปิดตัว KH-50000 สำหรับเซิร์ฟเวอร์ และ KX-7000N สำหรับ AI PC ➡️ เปิดตัวในงาน WAIC 2025 ➡️ เป็นก้าวสำคัญของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก ✅ KH-50000 มี 96 คอร์, L3 cache 384MB, รองรับ 128 PCIe 5.0 lanes และ DDR5 แบบ 12-channel ➡️ เทียบเท่า AMD EPYC Genoa ในหลายด้าน ➡️ รองรับ Compute Express Link (CXL) และ ZPI 5.0 สำหรับ multi-socket ✅ KH-50000 ใช้สถาปัตยกรรมใหม่ที่ยังไม่เปิดเผย ➡️ ไม่ใช่ Yongfeng แบบรุ่นก่อน ➡️ คาดว่าออกแบบใหม่เพื่อรองรับงาน HPC และ AI ✅ KX-7000N เป็นชิปแรกของ Zhaoxin ที่มี NPU สำหรับงาน AI ➡️ อัปเกรดจาก PCIe 4.0 เป็น 5.0 ➡️ เพิ่มจำนวนคอร์จากรุ่น KX-7000 เดิม ✅ Zhaoxin ตั้งเป้าแข่งขันกับ AMD, Intel และ Nvidia ในอนาคต ➡️ ยังไม่เทียบเท่าในด้านประสิทธิภาพ แต่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ➡️ มุ่งสู่ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยีของจีน ‼️ KH-50000 ยังไม่ยืนยันว่ารองรับ simultaneous multithreading (SMT) ⛔ อาจมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพต่อคอร์ ⛔ ยังไม่ชัดเจนว่ารองรับ workload แบบ multi-thread ได้ดีแค่ไหน ‼️ ยังไม่มีข้อมูลด้านประสิทธิภาพจริงหรือ benchmark จาก Zhaoxin ⛔ ไม่สามารถเปรียบเทียบกับ AMD หรือ Intel ได้อย่างแม่นยำ ⛔ ต้องรอผลการทดสอบจากผู้ใช้งานจริง ‼️ การพัฒนา NPU ใน KX-7000N ยังไม่มีข้อมูลด้านซอฟต์แวร์หรือ ecosystem รองรับ ⛔ อาจมีข้อจำกัดในการใช้งาน AI บนเดสก์ท็อป ⛔ ต้องพึ่งพาการพัฒนา framework และ driver เพิ่มเติม ‼️ การผลิตและวางจำหน่ายยังไม่มีกำหนดแน่ชัด ⛔ อาจล่าช้าหรือไม่สามารถผลิตได้ตามเป้า ⛔ ส่งผลต่อการนำไปใช้งานในระดับองค์กรหรือผู้บริโภค https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chinese-cpus-are-closing-the-gap-on-amd-next-gen-zhaoxin-chips-feature-96-cores-12-channel-ddr5-memory-and-128-pcie-5-0-lanes
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 Reviews
  • เมื่อพิจารณาความซับซ้อนของกระบวนการเกิดความอยากอาหาร รวมทั้งความเข้าใจที่ยังไม่สมบูรณ์ในเรื่องนี้ เราก็ไม่ควรแปลกใจที่ยา ปรับความอยากอาหารประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยในการทำให้ คนกินอาหารลดลง (ยาผสมระหว่างเฟนฟลูรามีน (fenfluramine) และ เฟนเทอร์มิน (phentermine) หรือ “เฟนเฟน” (fen-phen) ดูจะประสบความสำเร็จมากที่สุดในการลดความอยากอาหาร แต่ก็พบว่ายาตัวนี้เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของลิ้นหัวใจ ทำให้ถูกถอนออกจากตลาด ไปแล้ว) นักวิจัยในมหาวิทยาลัยและในบริษัทยายังคงทำงานอย่างจริง จังเพื่อค้นหายาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคอ้วนชนิดรุนแรงจน ถึงตอนนี้เรายังคงห่างไกลจากการค้นพบยาดังกล่าว อย่างไรก็ตามมีการรักษาชนิดหนึ่งที่พบว่ามีประสิทธิภาพ และที่น่าแปลกก็คือมันไม่ใช่ยาแต่เป็นการผ่าตัด

    จากหนังสือ #เหยื่อหมอ? #Complications
    เมื่อพิจารณาความซับซ้อนของกระบวนการเกิดความอยากอาหาร รวมทั้งความเข้าใจที่ยังไม่สมบูรณ์ในเรื่องนี้ เราก็ไม่ควรแปลกใจที่ยา ปรับความอยากอาหารประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยในการทำให้ คนกินอาหารลดลง (ยาผสมระหว่างเฟนฟลูรามีน (fenfluramine) และ เฟนเทอร์มิน (phentermine) หรือ “เฟนเฟน” (fen-phen) ดูจะประสบความสำเร็จมากที่สุดในการลดความอยากอาหาร แต่ก็พบว่ายาตัวนี้เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของลิ้นหัวใจ ทำให้ถูกถอนออกจากตลาด ไปแล้ว) นักวิจัยในมหาวิทยาลัยและในบริษัทยายังคงทำงานอย่างจริง จังเพื่อค้นหายาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคอ้วนชนิดรุนแรงจน ถึงตอนนี้เรายังคงห่างไกลจากการค้นพบยาดังกล่าว อย่างไรก็ตามมีการรักษาชนิดหนึ่งที่พบว่ามีประสิทธิภาพ และที่น่าแปลกก็คือมันไม่ใช่ยาแต่เป็นการผ่าตัด จากหนังสือ #เหยื่อหมอ? #Complications
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • #เซี่ยงไฮ้ มาแล้วววว
    มีเที่ยวอิสระ วิวสวยอลังการ 12,999

    🗓 จำนวนวัน 4วัน 3คืน
    ✈ 9C-สปริงแอร์ไลน์
    พักโรงแรม

    หมู่บ้านหิมะ (Snow Town)
    ถนนแส่ยุ่นเจีย
    บ้านเห็ดหิมะ Dream Home
    เทศกาลน้ำแข็งฮาร์บิน
    รูปปั้นตุ๊กตาหิมะยักษ์
    โบสถ์เซนต์โซเฟีย

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์จีน #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    #เซี่ยงไฮ้ มาแล้วววว 🔥🔥 มีเที่ยวอิสระ วิวสวยอลังการ 12,999 😱 🗓 จำนวนวัน 4วัน 3คืน ✈ 9C-สปริงแอร์ไลน์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐⭐ 📍 หมู่บ้านหิมะ (Snow Town) 📍 ถนนแส่ยุ่นเจีย 📍 บ้านเห็ดหิมะ Dream Home 📍 เทศกาลน้ำแข็งฮาร์บิน 📍 รูปปั้นตุ๊กตาหิมะยักษ์ 📍 โบสถ์เซนต์โซเฟีย รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์จีน #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 184 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องแล็บ: เมื่อ V-Color เปิดตัวแรม 2TB สำหรับ AMD Threadripper Pro 9000

    ในยุคที่งานด้าน AI, การเรนเดอร์ 3D และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ต้องการหน่วยความจำมหาศาล V-Color ได้เปิดตัวชุดแรม DDR5 OC RDIMM รุ่นใหม่ที่รองรับความจุสูงสุดถึง 2TB ต่อระบบ โดยใช้โมดูลขนาด 256GB ต่อแถว ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกที่ RDIMM ขนาดนี้สามารถโอเวอร์คล็อกได้

    แรมชุดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานร่วมกับซีพียู AMD Threadripper Pro 9000 WX-series รุ่นใหม่ล่าสุด โดยเฉพาะรุ่นเรือธง 9995WX ที่มีถึง 96 คอร์ และ 192 เธรด พร้อมรองรับแรม DDR5-6400 ได้สูงสุด 2TB ผ่านชิปเซ็ต WRX90 แบบ 8 แชนแนล

    V-Color เปิดตัวโมดูลแรม DDR5 OC RDIMM ขนาด 256GB ต่อแถว
    รองรับการโอเวอร์คล็อกได้ถึง 6400 MT/s สำหรับโมดูลใหญ่ และสูงสุด 8200 MT/s สำหรับโมดูลเล็ก
    มีรุ่น RGB สำหรับขนาด 16GB–64GB และรุ่นไม่ตกแต่งสำหรับขนาดใหญ่

    รองรับการติดตั้งสูงสุด 2TB บนระบบ AMD Threadripper Pro 9000
    ใช้ได้กับชิปเซ็ต WRX90 (8 แชนแนล) และ TRX50 (4 แชนแนล)
    TRX50 รองรับสูงสุด 1TB และมี PCIe 5.0 ถึง 80 เลน

    ผ่านการทดสอบความเสถียรและความร้อนอย่างเข้มข้น
    V-Color ยืนยันว่าโมดูลสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระบบที่ใช้แรมสูงสุด
    เหมาะสำหรับงาน AI, การเรนเดอร์, การจำลอง และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่

    ซีพียู Threadripper Pro 9995WX มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 73%
    เหมาะสำหรับงานระดับมืออาชีพที่ต้องการพลังประมวลผลและแรมมหาศาล
    เปิดตัวพร้อมกันกับแรมชุดใหม่ในไตรมาส 3 ปี 2025

    แรมชุดนี้จะวางจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ V-Color และตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก
    ยังไม่มีการเปิดเผยราคาชุดแรม 2TB แต่คาดว่าจะต่ำกว่าชุด LRDIMM ที่ขายอยู่ราว $11,599
    เป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าสำหรับผู้ใช้สายเวิร์กสเตชัน

    การใช้แรมความจุสูงอาจต้องการระบบระบายความร้อนและพลังงานที่เหมาะสม
    หากระบบระบายความร้อนไม่ดี อาจเกิดความร้อนสะสมและลดประสิทธิภาพ
    ต้องใช้พาวเวอร์ซัพพลายที่รองรับโหลดสูงอย่างต่อเนื่อง

    การโอเวอร์คล็อกแรมขนาดใหญ่มีความเสี่ยงต่อความเสถียรของระบบ
    แม้ผ่านการทดสอบ แต่การใช้งานจริงอาจมีความแตกต่างตามเมนบอร์ดและ BIOS
    ควรตรวจสอบความเข้ากันได้กับเมนบอร์ดก่อนซื้อ

    ราคาของแรมระดับนี้ยังไม่เปิดเผย อาจสูงเกินงบของผู้ใช้ทั่วไป
    แม้จะถูกกว่าชุด LRDIMM แต่ยังคงเป็นระดับพรีเมียม
    เหมาะสำหรับองค์กรหรือผู้ใช้ระดับมืออาชีพมากกว่าผู้ใช้ทั่วไป

    การใช้แรม 2TB อาจเกินความจำเป็นสำหรับงานทั่วไป
    งานทั่วไปไม่ต้องการแรมระดับนี้ อาจเป็นการลงทุนเกินจำเป็น
    ควรประเมินความต้องการจริงก่อนตัดสินใจซื้อ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/v-color-announces-2tb-rdimm-kits-for-threadripper-pro-9000-256gb-modules-promise-stability-at-absurdly-high-ram-capacities
    🎙️ เรื่องเล่าจากห้องแล็บ: เมื่อ V-Color เปิดตัวแรม 2TB สำหรับ AMD Threadripper Pro 9000 ในยุคที่งานด้าน AI, การเรนเดอร์ 3D และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ต้องการหน่วยความจำมหาศาล V-Color ได้เปิดตัวชุดแรม DDR5 OC RDIMM รุ่นใหม่ที่รองรับความจุสูงสุดถึง 2TB ต่อระบบ โดยใช้โมดูลขนาด 256GB ต่อแถว ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกที่ RDIMM ขนาดนี้สามารถโอเวอร์คล็อกได้ แรมชุดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานร่วมกับซีพียู AMD Threadripper Pro 9000 WX-series รุ่นใหม่ล่าสุด โดยเฉพาะรุ่นเรือธง 9995WX ที่มีถึง 96 คอร์ และ 192 เธรด พร้อมรองรับแรม DDR5-6400 ได้สูงสุด 2TB ผ่านชิปเซ็ต WRX90 แบบ 8 แชนแนล ✅ V-Color เปิดตัวโมดูลแรม DDR5 OC RDIMM ขนาด 256GB ต่อแถว ➡️ รองรับการโอเวอร์คล็อกได้ถึง 6400 MT/s สำหรับโมดูลใหญ่ และสูงสุด 8200 MT/s สำหรับโมดูลเล็ก ➡️ มีรุ่น RGB สำหรับขนาด 16GB–64GB และรุ่นไม่ตกแต่งสำหรับขนาดใหญ่ ✅ รองรับการติดตั้งสูงสุด 2TB บนระบบ AMD Threadripper Pro 9000 ➡️ ใช้ได้กับชิปเซ็ต WRX90 (8 แชนแนล) และ TRX50 (4 แชนแนล) ➡️ TRX50 รองรับสูงสุด 1TB และมี PCIe 5.0 ถึง 80 เลน ✅ ผ่านการทดสอบความเสถียรและความร้อนอย่างเข้มข้น ➡️ V-Color ยืนยันว่าโมดูลสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระบบที่ใช้แรมสูงสุด ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI, การเรนเดอร์, การจำลอง และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ✅ ซีพียู Threadripper Pro 9995WX มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 73% ➡️ เหมาะสำหรับงานระดับมืออาชีพที่ต้องการพลังประมวลผลและแรมมหาศาล ➡️ เปิดตัวพร้อมกันกับแรมชุดใหม่ในไตรมาส 3 ปี 2025 ✅ แรมชุดนี้จะวางจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ V-Color และตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก ➡️ ยังไม่มีการเปิดเผยราคาชุดแรม 2TB แต่คาดว่าจะต่ำกว่าชุด LRDIMM ที่ขายอยู่ราว $11,599 ➡️ เป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าสำหรับผู้ใช้สายเวิร์กสเตชัน ‼️ การใช้แรมความจุสูงอาจต้องการระบบระบายความร้อนและพลังงานที่เหมาะสม ⛔ หากระบบระบายความร้อนไม่ดี อาจเกิดความร้อนสะสมและลดประสิทธิภาพ ⛔ ต้องใช้พาวเวอร์ซัพพลายที่รองรับโหลดสูงอย่างต่อเนื่อง ‼️ การโอเวอร์คล็อกแรมขนาดใหญ่มีความเสี่ยงต่อความเสถียรของระบบ ⛔ แม้ผ่านการทดสอบ แต่การใช้งานจริงอาจมีความแตกต่างตามเมนบอร์ดและ BIOS ⛔ ควรตรวจสอบความเข้ากันได้กับเมนบอร์ดก่อนซื้อ ‼️ ราคาของแรมระดับนี้ยังไม่เปิดเผย อาจสูงเกินงบของผู้ใช้ทั่วไป ⛔ แม้จะถูกกว่าชุด LRDIMM แต่ยังคงเป็นระดับพรีเมียม ⛔ เหมาะสำหรับองค์กรหรือผู้ใช้ระดับมืออาชีพมากกว่าผู้ใช้ทั่วไป ‼️ การใช้แรม 2TB อาจเกินความจำเป็นสำหรับงานทั่วไป ⛔ งานทั่วไปไม่ต้องการแรมระดับนี้ อาจเป็นการลงทุนเกินจำเป็น ⛔ ควรประเมินความต้องการจริงก่อนตัดสินใจซื้อ https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/v-color-announces-2tb-rdimm-kits-for-threadripper-pro-9000-256gb-modules-promise-stability-at-absurdly-high-ram-capacities
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    V-Color announces 2TB RDIMM kits for Threadripper Pro 9000 — 256GB modules promise stability at absurdly high RAM capacities
    Giant memory kits let Threadripper Pro users chew through massive data sets in single workstations
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเคอร์เนล: เมื่อ Linux กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับงานลับสุดยอด

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 Linux Kernel 6.16 ได้เพิ่มการรองรับ AMD SEV vTPM อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการรวมเทคโนโลยี Secure Encrypted Virtualization (SEV) และ Virtual Trusted Platform Module (vTPM) เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและแยกออกจากระบบโฮสต์โดยสิ้นเชิง

    vTPM คือ TPM แบบเสมือนที่ทำงานภายใน VM โดยถูกเข้ารหัสและแยกออกจาก hypervisor ด้วยเทคโนโลยี SEV-SNP ของ AMD ทำให้สามารถใช้ฟีเจอร์อย่าง Secure Boot, Measured Boot และ Remote Attestation ได้อย่างปลอดภัยในระบบคลาวด์หรือองค์กรที่ต้องการความมั่นคงสูง

    ฟีเจอร์นี้เหมาะกับองค์กรในภาคการเงิน, สาธารณสุข, และภาครัฐ ที่ต้องการความมั่นใจว่าข้อมูลสำคัญจะไม่ถูกเข้าถึงโดยผู้ให้บริการคลาวด์หรือระบบโฮสต์ที่ไม่ไว้วางใจ

    Linux Kernel 6.16 เพิ่มการรองรับ AMD SEV vTPM อย่างสมบูรณ์
    รองรับการสร้าง vTPM ภายใน VM ที่ถูกเข้ารหัสด้วย SEV-SNP
    ใช้โปรโตคอลจาก AMD SVSM spec เพื่อให้ guest OS ติดต่อกับ vTPM ได้

    vTPM ทำงานในหน่วยความจำที่ถูกแยกและเข้ารหัสโดยฮาร์ดแวร์
    ป้องกันการเข้าถึงจาก hypervisor และ guest OS
    รองรับ TPM 2.0 เต็มรูปแบบ เช่น PCRs และการเข้ารหัสคีย์

    รองรับการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของระบบ (attestation) และ Secure Boot
    เหมาะกับการใช้งานใน Zero Trust Architecture
    ช่วยให้มั่นใจว่า VM ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจริง

    เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง เช่น การเงิน, สาธารณสุข, และภาครัฐ
    รองรับการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการเข้ารหัส
    ลดการพึ่งพาเฟิร์มแวร์หรือ TPM แบบ proprietary

    สามารถใช้งานร่วมกับ hypervisor อย่าง KVM และเครื่องมือจัดการ VM บน Linux
    รองรับการตั้งค่า kernel เช่น CONFIG_TCG_SVSM=y
    มีเครื่องมือสำหรับตรวจสอบสถานะการเข้ารหัสและการทำงานของ vTPM

    การใช้งาน vTPM ต้องมีการตั้งค่าฮาร์ดแวร์และ BIOS ที่รองรับ SEV-SNP
    หาก CPU หรือ BIOS ไม่รองรับ จะไม่สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้
    ต้องตรวจสอบว่าเปิดใช้งาน Secure Memory Encryption แล้ว

    การเข้ารหัสและการตรวจสอบแบบฮาร์ดแวร์อาจเพิ่มภาระการประมวลผล
    มี overhead ด้านประสิทธิภาพ โดยเฉพาะใน workload ที่ใช้ vTPM หนัก
    ต้องวางแผนการจัดสรรทรัพยากรอย่างรอบคอบ

    การตั้งค่า kernel และการคอมไพล์ต้องแม่นยำเพื่อให้ vTPM ทำงานได้สมบูรณ์
    ต้องเปิดใช้งานโมดูลที่เกี่ยวข้อง เช่น CONFIG_KVM_AMD_SEV
    หากตั้งค่าผิด อาจทำให้ VM ไม่สามารถบูตหรือใช้งาน vTPM ได้

    การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ (attestation) ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและการทดสอบอย่างละเอียด
    ต้องใช้ AMD SEV tools และ kernel boot parameters เช่น amd_sev.debug=1
    หากไม่ตรวจสอบอย่างถูกต้อง อาจเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    https://linuxconfig.org/comprehensive-amd-sev-vtpm-support-in-linux-kernel-6-16-enhances-confidential-computing
    🔐 เรื่องเล่าจากเคอร์เนล: เมื่อ Linux กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับงานลับสุดยอด ในเดือนกรกฎาคม 2025 Linux Kernel 6.16 ได้เพิ่มการรองรับ AMD SEV vTPM อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการรวมเทคโนโลยี Secure Encrypted Virtualization (SEV) และ Virtual Trusted Platform Module (vTPM) เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและแยกออกจากระบบโฮสต์โดยสิ้นเชิง vTPM คือ TPM แบบเสมือนที่ทำงานภายใน VM โดยถูกเข้ารหัสและแยกออกจาก hypervisor ด้วยเทคโนโลยี SEV-SNP ของ AMD ทำให้สามารถใช้ฟีเจอร์อย่าง Secure Boot, Measured Boot และ Remote Attestation ได้อย่างปลอดภัยในระบบคลาวด์หรือองค์กรที่ต้องการความมั่นคงสูง ฟีเจอร์นี้เหมาะกับองค์กรในภาคการเงิน, สาธารณสุข, และภาครัฐ ที่ต้องการความมั่นใจว่าข้อมูลสำคัญจะไม่ถูกเข้าถึงโดยผู้ให้บริการคลาวด์หรือระบบโฮสต์ที่ไม่ไว้วางใจ ✅ Linux Kernel 6.16 เพิ่มการรองรับ AMD SEV vTPM อย่างสมบูรณ์ ➡️ รองรับการสร้าง vTPM ภายใน VM ที่ถูกเข้ารหัสด้วย SEV-SNP ➡️ ใช้โปรโตคอลจาก AMD SVSM spec เพื่อให้ guest OS ติดต่อกับ vTPM ได้ ✅ vTPM ทำงานในหน่วยความจำที่ถูกแยกและเข้ารหัสโดยฮาร์ดแวร์ ➡️ ป้องกันการเข้าถึงจาก hypervisor และ guest OS ➡️ รองรับ TPM 2.0 เต็มรูปแบบ เช่น PCRs และการเข้ารหัสคีย์ ✅ รองรับการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของระบบ (attestation) และ Secure Boot ➡️ เหมาะกับการใช้งานใน Zero Trust Architecture ➡️ ช่วยให้มั่นใจว่า VM ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจริง ✅ เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง เช่น การเงิน, สาธารณสุข, และภาครัฐ ➡️ รองรับการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการเข้ารหัส ➡️ ลดการพึ่งพาเฟิร์มแวร์หรือ TPM แบบ proprietary ✅ สามารถใช้งานร่วมกับ hypervisor อย่าง KVM และเครื่องมือจัดการ VM บน Linux ➡️ รองรับการตั้งค่า kernel เช่น CONFIG_TCG_SVSM=y ➡️ มีเครื่องมือสำหรับตรวจสอบสถานะการเข้ารหัสและการทำงานของ vTPM ‼️ การใช้งาน vTPM ต้องมีการตั้งค่าฮาร์ดแวร์และ BIOS ที่รองรับ SEV-SNP ⛔ หาก CPU หรือ BIOS ไม่รองรับ จะไม่สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ ⛔ ต้องตรวจสอบว่าเปิดใช้งาน Secure Memory Encryption แล้ว ‼️ การเข้ารหัสและการตรวจสอบแบบฮาร์ดแวร์อาจเพิ่มภาระการประมวลผล ⛔ มี overhead ด้านประสิทธิภาพ โดยเฉพาะใน workload ที่ใช้ vTPM หนัก ⛔ ต้องวางแผนการจัดสรรทรัพยากรอย่างรอบคอบ ‼️ การตั้งค่า kernel และการคอมไพล์ต้องแม่นยำเพื่อให้ vTPM ทำงานได้สมบูรณ์ ⛔ ต้องเปิดใช้งานโมดูลที่เกี่ยวข้อง เช่น CONFIG_KVM_AMD_SEV ⛔ หากตั้งค่าผิด อาจทำให้ VM ไม่สามารถบูตหรือใช้งาน vTPM ได้ ‼️ การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ (attestation) ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและการทดสอบอย่างละเอียด ⛔ ต้องใช้ AMD SEV tools และ kernel boot parameters เช่น amd_sev.debug=1 ⛔ หากไม่ตรวจสอบอย่างถูกต้อง อาจเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย https://linuxconfig.org/comprehensive-amd-sev-vtpm-support-in-linux-kernel-6-16-enhances-confidential-computing
    LINUXCONFIG.ORG
    Comprehensive AMD SEV vTPM Support in Linux Kernel 6.16 Enhances Confidential Computing
    Linux kernel 6.16 introduces comprehensive AMD SEV vTPM support, enhancing virtual machine security and confidential computing capabilities with hardware-backed attestation and secure boot verification.
    0 Comments 0 Shares 140 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกชิป: จาก 4 บิตสู่ 10 ล้านล้านพารามิเตอร์

    ย้อนกลับไปปี 1971 Intel เปิดตัวชิป 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ด้วยความเร็วเพียง 740kHz และประมวลผลได้ 92,600 คำสั่งต่อวินาที (IPS) ใช้หน่วยความจำแค่ 4KB ROM และ 640 bytes RAM—เล็กจนเทียบไม่ได้กับมือถือยุคนี้

    แต่ในปี 2025 NVIDIA เปิดตัว Blackwell ซึ่งเป็นชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลก ด้วยพลังประมวลผลสูงถึง 20 PetaFLOPS ต่อ GPU รองรับโมเดลขนาด 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ และใช้เทคโนโลยี NVLink รุ่นที่ 5 ที่เชื่อมต่อ GPU ได้ถึง 576 ตัวในคลัสเตอร์เดียว

    เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว Blackwell มีประสิทธิภาพมากกว่า Intel 4004 ถึง 217 ล้านเท่า! นี่คือผลลัพธ์ของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามกฎของ Moore’s Law และความต้องการด้าน AI ที่เติบโตแบบทวีคูณ

    Intel 4004 คือจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์ในปี 1971
    ความเร็ว 740kHz, 4-bit CPU, 2,300 ทรานซิสเตอร์
    ใช้ในเครื่องคิดเลขของบริษัท Busicom

    NVIDIA Blackwell คือชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในปี 2025
    มี 208 พันล้านทรานซิสเตอร์
    รองรับโมเดล AI ขนาด 10 ล้านล้านพารามิเตอร์
    ใช้เทคโนโลยี NVLink 5.0 ที่มีแบนด์วิดธ์ 1.8TB/s ต่อ GPU

    Blackwell มีพลังประมวลผลสูงถึง 20 PetaFLOPS ต่อ GPU
    ใช้หน่วยความจำ HBM3e สูงสุด 192GB
    มี Tensor Core รุ่นใหม่ที่รองรับ FP4 สำหรับ AI inference

    การพัฒนาใน 50 ปีทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 217 ล้านเท่า
    จาก 92,600 IPS ของ 4004 สู่ระดับ ExaFLOPS ของ Blackwell
    สะท้อนความก้าวหน้าของมนุษยชาติในด้านคอมพิวเตอร์

    Blackwell ถูกนำไปใช้ในระบบ AI ของบริษัทชั้นนำทั่วโลก
    เช่น Microsoft Azure, Google DeepMind, Meta, Tesla และ OpenAI
    ใช้ในงาน LLM, quantum computing, และ data analytics

    https://wccftech.com/computing-power-has-skyrocketed-over-the-last-50-years-with-a-whopping-217-million-times-increase/
    🧠 เรื่องเล่าจากโลกชิป: จาก 4 บิตสู่ 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ ย้อนกลับไปปี 1971 Intel เปิดตัวชิป 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ด้วยความเร็วเพียง 740kHz และประมวลผลได้ 92,600 คำสั่งต่อวินาที (IPS) ใช้หน่วยความจำแค่ 4KB ROM และ 640 bytes RAM—เล็กจนเทียบไม่ได้กับมือถือยุคนี้ แต่ในปี 2025 NVIDIA เปิดตัว Blackwell ซึ่งเป็นชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลก ด้วยพลังประมวลผลสูงถึง 20 PetaFLOPS ต่อ GPU รองรับโมเดลขนาด 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ และใช้เทคโนโลยี NVLink รุ่นที่ 5 ที่เชื่อมต่อ GPU ได้ถึง 576 ตัวในคลัสเตอร์เดียว เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว Blackwell มีประสิทธิภาพมากกว่า Intel 4004 ถึง 217 ล้านเท่า! นี่คือผลลัพธ์ของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามกฎของ Moore’s Law และความต้องการด้าน AI ที่เติบโตแบบทวีคูณ ✅ Intel 4004 คือจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์ในปี 1971 ➡️ ความเร็ว 740kHz, 4-bit CPU, 2,300 ทรานซิสเตอร์ ➡️ ใช้ในเครื่องคิดเลขของบริษัท Busicom ✅ NVIDIA Blackwell คือชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในปี 2025 ➡️ มี 208 พันล้านทรานซิสเตอร์ ➡️ รองรับโมเดล AI ขนาด 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ ➡️ ใช้เทคโนโลยี NVLink 5.0 ที่มีแบนด์วิดธ์ 1.8TB/s ต่อ GPU ✅ Blackwell มีพลังประมวลผลสูงถึง 20 PetaFLOPS ต่อ GPU ➡️ ใช้หน่วยความจำ HBM3e สูงสุด 192GB ➡️ มี Tensor Core รุ่นใหม่ที่รองรับ FP4 สำหรับ AI inference ✅ การพัฒนาใน 50 ปีทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 217 ล้านเท่า ➡️ จาก 92,600 IPS ของ 4004 สู่ระดับ ExaFLOPS ของ Blackwell ➡️ สะท้อนความก้าวหน้าของมนุษยชาติในด้านคอมพิวเตอร์ ✅ Blackwell ถูกนำไปใช้ในระบบ AI ของบริษัทชั้นนำทั่วโลก ➡️ เช่น Microsoft Azure, Google DeepMind, Meta, Tesla และ OpenAI ➡️ ใช้ในงาน LLM, quantum computing, และ data analytics https://wccftech.com/computing-power-has-skyrocketed-over-the-last-50-years-with-a-whopping-217-million-times-increase/
    WCCFTECH.COM
    Computing Power Has Skyrocketed Over the Last 50 Years, With a Whopping 217 Million Times Increase in Performance — From the Humble Intel 4004 to Cutting-Edge NVIDIA Blackwell Chip
    The evolution of humans has been the "talk of the town," but in the computing segment, we have achieved a lot in just five decades.
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากวงการชิป: เมื่อ “แฟลช” จะมาแทน “แรม” ในงาน AI

    ลองจินตนาการว่า GPU สำหรับงาน AI ไม่ต้องพึ่ง DRAM แบบ HBM ที่แพงและจำกัดความจุอีกต่อไป แต่ใช้แฟลชความเร็วสูงที่มีความจุระดับ SSD—นั่นคือเป้าหมายของ Sandisk กับเทคโนโลยี HBF (High Bandwidth Flash)

    Sandisk ได้ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านเทคนิค โดยดึงสองตำนานแห่งวงการคอมพิวเตอร์มาเป็นผู้นำ ได้แก่ Prof. David Patterson ผู้ร่วมพัฒนา RISC และ RAID และ Raja Koduri อดีตหัวหน้าฝ่ายกราฟิกของ AMD และ Intel เพื่อผลักดัน HBF ให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของหน่วยความจำสำหรับ AI

    HBF ใช้ NAND Flash แบบ BiCS ร่วมกับเทคนิค CBA wafer bonding และการจัดเรียงชิปแบบ 16 ชั้นต่อแพ็กเกจ ทำให้สามารถให้แบนด์วิดธ์ระดับ HBM ได้ แต่มีความจุสูงถึง 4TB ต่อ GPU และต้นทุนต่ำกว่าอย่างมหาศาล

    Sandisk เปิดตัวเทคโนโลยี HBF (High Bandwidth Flash) เพื่อใช้แทน HBM ในงาน AI
    ใช้ NAND Flash แบบ BiCS ร่วมกับ CBA wafer bonding
    รองรับการจัดเรียงชิปแบบ 16 ชั้นต่อแพ็กเกจ

    HBF ให้แบนด์วิดธ์ระดับเดียวกับ HBM แต่มีความจุสูงกว่า 8 เท่าในต้นทุนใกล้เคียงกัน
    GPU ที่ใช้ HBF สามารถมี VRAM ได้ถึง 4TB
    หากใช้ร่วมกับ HBM จะได้รวมสูงสุดถึง 3TB

    Sandisk ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาโดยมี David Patterson และ Raja Koduri เป็นผู้นำ
    Patterson คือผู้ร่วมพัฒนา RISC และ RAID
    Koduri เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายกราฟิกของ AMD และ Intel

    HBF ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ทั้งในดาต้าเซ็นเตอร์และ edge computing
    Patterson ระบุว่า HBF จะช่วยลดต้นทุนของงาน AI ที่ปัจจุบันยังแพงเกินไป
    Koduri ระบุว่า HBF จะพลิกโฉม edge AI โดยให้แบนด์วิดธ์และความจุสูงในอุปกรณ์ขนาดเล็ก

    HBF ใช้ electrical interface เดียวกับ HBM และต้องปรับ protocol เพียงเล็กน้อย
    ทำให้สามารถนำไปใช้กับ GPU ได้ง่ายขึ้น
    ไม่จำเป็นต้องออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด

    เปิดตัวครั้งแรกในงาน Future FWD 2025 พร้อมแผนพัฒนา HBF รุ่นต่อไป
    มี roadmap เพิ่มความจุและแบนด์วิดธ์ในอนาคต
    อาจมี trade-off ด้านการใช้พลังงาน

    HBF ยังไม่ใช่ตัวแทนโดยตรงของ HBM และมีข้อจำกัดด้าน latency
    NAND Flash มี latency สูงกว่า DRAM
    เหมาะกับงาน inference และ training มากกว่างานที่ต้องตอบสนองเร็ว

    การใช้งาน HBF ต้องอาศัยการสนับสนุนจากผู้ผลิต GPU โดยตรง
    ต้องใช้ interposer ที่เชื่อมต่อกับ GPU โดยเฉพาะ
    หาก NVIDIA ไม่รับรอง HBF อาจจำกัดการใช้งานในตลาด

    ยังไม่มีการประกาศวันเปิดตัวหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ HBF อย่างเป็นทางการ
    อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบ
    ต้องรอการยอมรับจากอุตสาหกรรมก่อนใช้งานจริง

    การแข่งขันกับผู้ผลิต HBM อย่าง Samsung และ SK Hynix ยังเข้มข้น
    HBM มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA
    Sandisk ต้องผลักดัน HBF ให้เป็นมาตรฐานเปิดเพื่อหลีกเลี่ยงการผูกขาด

    https://www.techradar.com/pro/sandisk-recruits-risc-cofounder-amd-graphics-legend-to-spearhead-cheaper-rival-to-hbm-high-bandwidth-flash-could-bring-ssd-capacities-to-ai-gpus-without-the-cost
    ⚡ เรื่องเล่าจากวงการชิป: เมื่อ “แฟลช” จะมาแทน “แรม” ในงาน AI ลองจินตนาการว่า GPU สำหรับงาน AI ไม่ต้องพึ่ง DRAM แบบ HBM ที่แพงและจำกัดความจุอีกต่อไป แต่ใช้แฟลชความเร็วสูงที่มีความจุระดับ SSD—นั่นคือเป้าหมายของ Sandisk กับเทคโนโลยี HBF (High Bandwidth Flash) Sandisk ได้ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านเทคนิค โดยดึงสองตำนานแห่งวงการคอมพิวเตอร์มาเป็นผู้นำ ได้แก่ Prof. David Patterson ผู้ร่วมพัฒนา RISC และ RAID และ Raja Koduri อดีตหัวหน้าฝ่ายกราฟิกของ AMD และ Intel เพื่อผลักดัน HBF ให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของหน่วยความจำสำหรับ AI HBF ใช้ NAND Flash แบบ BiCS ร่วมกับเทคนิค CBA wafer bonding และการจัดเรียงชิปแบบ 16 ชั้นต่อแพ็กเกจ ทำให้สามารถให้แบนด์วิดธ์ระดับ HBM ได้ แต่มีความจุสูงถึง 4TB ต่อ GPU และต้นทุนต่ำกว่าอย่างมหาศาล ✅ Sandisk เปิดตัวเทคโนโลยี HBF (High Bandwidth Flash) เพื่อใช้แทน HBM ในงาน AI ➡️ ใช้ NAND Flash แบบ BiCS ร่วมกับ CBA wafer bonding ➡️ รองรับการจัดเรียงชิปแบบ 16 ชั้นต่อแพ็กเกจ ✅ HBF ให้แบนด์วิดธ์ระดับเดียวกับ HBM แต่มีความจุสูงกว่า 8 เท่าในต้นทุนใกล้เคียงกัน ➡️ GPU ที่ใช้ HBF สามารถมี VRAM ได้ถึง 4TB ➡️ หากใช้ร่วมกับ HBM จะได้รวมสูงสุดถึง 3TB ✅ Sandisk ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาโดยมี David Patterson และ Raja Koduri เป็นผู้นำ ➡️ Patterson คือผู้ร่วมพัฒนา RISC และ RAID ➡️ Koduri เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายกราฟิกของ AMD และ Intel ✅ HBF ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ทั้งในดาต้าเซ็นเตอร์และ edge computing ➡️ Patterson ระบุว่า HBF จะช่วยลดต้นทุนของงาน AI ที่ปัจจุบันยังแพงเกินไป ➡️ Koduri ระบุว่า HBF จะพลิกโฉม edge AI โดยให้แบนด์วิดธ์และความจุสูงในอุปกรณ์ขนาดเล็ก ✅ HBF ใช้ electrical interface เดียวกับ HBM และต้องปรับ protocol เพียงเล็กน้อย ➡️ ทำให้สามารถนำไปใช้กับ GPU ได้ง่ายขึ้น ➡️ ไม่จำเป็นต้องออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด ✅ เปิดตัวครั้งแรกในงาน Future FWD 2025 พร้อมแผนพัฒนา HBF รุ่นต่อไป ➡️ มี roadmap เพิ่มความจุและแบนด์วิดธ์ในอนาคต ➡️ อาจมี trade-off ด้านการใช้พลังงาน ‼️ HBF ยังไม่ใช่ตัวแทนโดยตรงของ HBM และมีข้อจำกัดด้าน latency ⛔ NAND Flash มี latency สูงกว่า DRAM ⛔ เหมาะกับงาน inference และ training มากกว่างานที่ต้องตอบสนองเร็ว ‼️ การใช้งาน HBF ต้องอาศัยการสนับสนุนจากผู้ผลิต GPU โดยตรง ⛔ ต้องใช้ interposer ที่เชื่อมต่อกับ GPU โดยเฉพาะ ⛔ หาก NVIDIA ไม่รับรอง HBF อาจจำกัดการใช้งานในตลาด ‼️ ยังไม่มีการประกาศวันเปิดตัวหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ HBF อย่างเป็นทางการ ⛔ อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบ ⛔ ต้องรอการยอมรับจากอุตสาหกรรมก่อนใช้งานจริง ‼️ การแข่งขันกับผู้ผลิต HBM อย่าง Samsung และ SK Hynix ยังเข้มข้น ⛔ HBM มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA ⛔ Sandisk ต้องผลักดัน HBF ให้เป็นมาตรฐานเปิดเพื่อหลีกเลี่ยงการผูกขาด https://www.techradar.com/pro/sandisk-recruits-risc-cofounder-amd-graphics-legend-to-spearhead-cheaper-rival-to-hbm-high-bandwidth-flash-could-bring-ssd-capacities-to-ai-gpus-without-the-cost
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกฮาร์ดแวร์: เมื่อ SK hynix ปลุกพลังใหม่ให้การ์ดจอ RTX 50 Super ด้วย GDDR7 ขนาด 3GB

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังประกอบคอมใหม่เพื่อเล่นเกมระดับ AAA หรือทำงาน AI ที่กินทรัพยากรหนักๆ แต่การ์ดจอรุ่นล่าสุดกลับมี VRAM แค่ 12GB หรือ 16GB ซึ่งอาจไม่พอในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    นั่นคือเหตุผลที่ SK hynix ประกาศพัฒนาโมดูลหน่วยความจำ GDDR7 ขนาด 3GB ต่อชิป ซึ่งมากกว่ามาตรฐานเดิมที่ใช้กันมายาวนานถึง 2GB ต่อชิปตั้งแต่ยุค GDDR5! การเปลี่ยนแปลงนี้เปิดทางให้ NVIDIA เตรียมเปิดตัวการ์ดจอ GeForce RTX 50 Super รุ่นใหม่ที่มี VRAM สูงถึง 18GB และ 24GB โดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนชิปมากมาย

    นอกจากจะเพิ่มความจุแล้ว ยังช่วยลดต้นทุน ลดความร้อน และลดการใช้พลังงานอีกด้วย ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามองในวงการเกมและ AI เลยทีเดียว

    SK hynix ยืนยันการพัฒนาโมดูล GDDR7 ขนาด 3GB ต่อชิป (24Gb)
    เพิ่มจากมาตรฐานเดิมที่ใช้ 2GB ต่อชิป (16Gb) มานานหลายปี
    ช่วยให้การ์ดจอสามารถมี VRAM สูงขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนชิป

    NVIDIA คาดว่าจะใช้ชิปใหม่ในซีรีส์ RTX 50 Super ที่กำลังจะเปิดตัวปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026
    RTX 5070 Super อาจมี VRAM 18GB (6 ชิป x 3GB)
    RTX 5080 Super และ 5070 Ti Super อาจมี VRAM 24GB (8 ชิป x 3GB)

    การ์ดจอ RTX 50 รุ่นปัจจุบันยังใช้ VRAM เท่าเดิมกับ RTX 40 เพราะใช้ชิป 2GB
    RTX 5070 ใช้บัส 192-bit กับ 6 ชิป = 12GB
    RTX 5080 ใช้บัส 256-bit กับ 8 ชิป = 16GB

    AMD Radeon RX 9070 มี VRAM 16GB และบัส 256-bit ทำให้บางเกมแรงกว่า RTX 5070
    หากขายในราคาเท่ากันจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว

    Micron และ Samsung ก็มีแผนผลิตชิป GDDR7 ขนาด 3GB เช่นกัน
    Samsung เริ่มขายในจีนแล้ว แต่ช้าเกินไปสำหรับ RTX 50 รุ่นแรก

    การเพิ่ม VRAM ไม่ได้หมายถึงประสิทธิภาพจะเพิ่มขึ้นเสมอไป
    RTX 5070 Super อาจเพิ่มแค่ไม่กี่ร้อย CUDA cores เท่านั้น
    การเปลี่ยนแปลงอาจเน้นด้านความจุมากกว่าความเร็วจริง

    การ์ดจอที่มี VRAM สูงอาจมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย
    แม้จะลดจำนวนชิป แต่ต้นทุนชิป 3GB ยังสูงกว่าชิป 2GB
    อาจทำให้รุ่น Super ไม่ใช่ตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับทุกคน

    การใช้ชิปใหม่อาจทำให้เกิดความไม่เข้ากันกับบางระบบหรือซอฟต์แวร์ในช่วงแรก
    ต้องรอการอัปเดตไดรเวอร์และการทดสอบจากผู้ใช้งานจริง
    อาจมีปัญหาเรื่องความร้อนหรือการโอเวอร์คล็อกในบางรุ่น

    https://www.techspot.com/news/108820-sk-hynix-confirms-3gb-gddr7-modules-paving-way.html
    🎮 เรื่องเล่าจากโลกฮาร์ดแวร์: เมื่อ SK hynix ปลุกพลังใหม่ให้การ์ดจอ RTX 50 Super ด้วย GDDR7 ขนาด 3GB ลองนึกภาพว่าคุณกำลังประกอบคอมใหม่เพื่อเล่นเกมระดับ AAA หรือทำงาน AI ที่กินทรัพยากรหนักๆ แต่การ์ดจอรุ่นล่าสุดกลับมี VRAM แค่ 12GB หรือ 16GB ซึ่งอาจไม่พอในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า นั่นคือเหตุผลที่ SK hynix ประกาศพัฒนาโมดูลหน่วยความจำ GDDR7 ขนาด 3GB ต่อชิป ซึ่งมากกว่ามาตรฐานเดิมที่ใช้กันมายาวนานถึง 2GB ต่อชิปตั้งแต่ยุค GDDR5! การเปลี่ยนแปลงนี้เปิดทางให้ NVIDIA เตรียมเปิดตัวการ์ดจอ GeForce RTX 50 Super รุ่นใหม่ที่มี VRAM สูงถึง 18GB และ 24GB โดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนชิปมากมาย นอกจากจะเพิ่มความจุแล้ว ยังช่วยลดต้นทุน ลดความร้อน และลดการใช้พลังงานอีกด้วย ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามองในวงการเกมและ AI เลยทีเดียว ✅ SK hynix ยืนยันการพัฒนาโมดูล GDDR7 ขนาด 3GB ต่อชิป (24Gb) ➡️ เพิ่มจากมาตรฐานเดิมที่ใช้ 2GB ต่อชิป (16Gb) มานานหลายปี ➡️ ช่วยให้การ์ดจอสามารถมี VRAM สูงขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนชิป ✅ NVIDIA คาดว่าจะใช้ชิปใหม่ในซีรีส์ RTX 50 Super ที่กำลังจะเปิดตัวปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026 ➡️ RTX 5070 Super อาจมี VRAM 18GB (6 ชิป x 3GB) ➡️ RTX 5080 Super และ 5070 Ti Super อาจมี VRAM 24GB (8 ชิป x 3GB) ✅ การ์ดจอ RTX 50 รุ่นปัจจุบันยังใช้ VRAM เท่าเดิมกับ RTX 40 เพราะใช้ชิป 2GB ➡️ RTX 5070 ใช้บัส 192-bit กับ 6 ชิป = 12GB ➡️ RTX 5080 ใช้บัส 256-bit กับ 8 ชิป = 16GB ✅ AMD Radeon RX 9070 มี VRAM 16GB และบัส 256-bit ทำให้บางเกมแรงกว่า RTX 5070 ➡️ หากขายในราคาเท่ากันจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว ✅ Micron และ Samsung ก็มีแผนผลิตชิป GDDR7 ขนาด 3GB เช่นกัน ➡️ Samsung เริ่มขายในจีนแล้ว แต่ช้าเกินไปสำหรับ RTX 50 รุ่นแรก ‼️ การเพิ่ม VRAM ไม่ได้หมายถึงประสิทธิภาพจะเพิ่มขึ้นเสมอไป ⛔ RTX 5070 Super อาจเพิ่มแค่ไม่กี่ร้อย CUDA cores เท่านั้น ⛔ การเปลี่ยนแปลงอาจเน้นด้านความจุมากกว่าความเร็วจริง ‼️ การ์ดจอที่มี VRAM สูงอาจมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย ⛔ แม้จะลดจำนวนชิป แต่ต้นทุนชิป 3GB ยังสูงกว่าชิป 2GB ⛔ อาจทำให้รุ่น Super ไม่ใช่ตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับทุกคน ‼️ การใช้ชิปใหม่อาจทำให้เกิดความไม่เข้ากันกับบางระบบหรือซอฟต์แวร์ในช่วงแรก ⛔ ต้องรอการอัปเดตไดรเวอร์และการทดสอบจากผู้ใช้งานจริง ⛔ อาจมีปัญหาเรื่องความร้อนหรือการโอเวอร์คล็อกในบางรุ่น https://www.techspot.com/news/108820-sk-hynix-confirms-3gb-gddr7-modules-paving-way.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    SK hynix confirms 3GB GDDR7 modules, paving way for RTX 50 Super VRAM boost
    SK hynix has confirmed plans to develop GDDR7 memory modules with a maximum capacity of 24Gb (3GB), an upgrade from the long-standing 16Gb (2GB) standard dating back...
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
More Results