• นี่คือเหตุผลที่ทำไมขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ORESHNIK ของรัสเซียจึงพร้อมสำหรับการผลิตจำนวนมาก

    การทดสอบการรบประจำการของระบบขีปนาวุธ Oreshnik ในวันพฤหัสบดีกับเป้าหมายทางทหารและอุตสาหกรรมของยูเครนในเมือง Dnepropetrovsk แสดงให้เห็นว่าระบบขีปนาวุธใหม่ของรัสเซียพร้อมสำหรับการนำไปปฏิบัติและการผลิตจำนวนมากแล้ว, และเหตุผลก็คืออาวุธขีปนาวุธของรัสเซียได้รับการออกแบบมาอย่างไรมาหลายทศวรรษ, Dmitry Kornev ผู้สังเกตการณ์ทางทหารที่มีประสบการณ์ของรัสเซียกล่าว

    ศักยภาพของกลุ่มอุตสาหกรรมการทหารของรัสเซียในการผลิตอาวุธแบบ Oreshnik นั้น "สูงกว่าของชาติตะวันตกอย่างเห็นได้ชัด," Kornev กล่าวกับ Sputnik, โดยชี้ไปที่ปรัชญาการออกแบบขีปนาวุธของรัสเซีย (และก่อนหน้านั้นก็คือสหภาพโซเวียต) ที่ย้อนกลับไปถึงการเผชิญหน้าในยุคสงครามเย็นระหว่าง RSD-10 Pioneer และ Pershing 2 โดยระบบของสหภาพโซเวียตได้รับการออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่ามีการยับยั้งเชิงกลยุทธ์ในระดับทวีป, ซึ่งต่างจากเป้าหมายของสหรัฐฯ ในการโจมตีเป้าหมายของศัตรูให้เร็วที่สุดจากฐานที่มั่นในแนวหน้า

    💬“ระบบของเรามีศักยภาพในการโจมตีที่สูงกว่ามากในแง่ที่ว่ามันถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของเทคโนโลยีขีปนาวุธที่ถูกพิสูจน์แล้ว - ซึ่งมีแนวโน้มสูงสุดที่สถาบันวิศวกรรมความร้อนมอสโก, ซึ่งหมายความว่าการผลิตจำนวนมากและการใช้งานขีปนาวุธจำนวนมากอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งที่มั่นใจได้,” Kornev กล่าว

    💬“ในกรณีของตะวันตก, ระบบที่คล้ายคลึงกัน จะมีราคาค่อนข้างแพงในการสร้าง,” Kornev เน้นย้ำ

    ประธานาธิบดีปูตินยืนยันในการแถลงข่าวต่อเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมเมื่อวันศุกร์ว่า ได้ตัดสินใจแล้วเกี่ยวกับการผลิตจำนวนมากของ Oreshnik, และกองทัพได้รวบรวมคลังอาวุธขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่นี้ไว้, และ “จะดำเนินการทดสอบต่อไป, รวมถึงในสภาพการสู้รบ, ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และลักษณะของภัยคุกคามต่อความปลอดภัยที่รัสเซียเผชิญ”
    .
    HERE’S WHY RUSSIA’S ORESHNIK HYPERSONIC MISSILE IS READY FOR MASS PRODUCTION

    Thursday’s combat deployment testing of the Oreshnik missile system against a Ukrainian military-industrial target in Dnepropetrovsk speaks to the fact that the new Russian missile system is ready for deployment and mass production, and the reason comes down to the way Russia’s missile weaponry has been designed for many decades, says veteran Russian military observer Dmitry Kornev.

    The capabilities of Russia’s military-industrial complex when it comes to producing Oreshnik-style weaponry is “significantly higher than those of the West,” Kornev told Sputnik, pointing to the Russian (and before that Soviet) missile design philosophy going back to the Cold War-era standoff involving the RSD-10 Pioneer and the Pershing 2 – with the Soviet system designed to ensure strategic deterrence on the continental scale, vs. the US goal of delivering a strike against enemy targets as quickly as possible from a forward foothold.

    💬“Our system likely has a far greater strike potential in the sense that it was created on the basis of already proven ballistic missile technologies - most likely, at the Moscow Institute of Thermal Engineering, which means that mass production and rapid deployment of large quantities of the missiles is assured,” Kornev said.

    💬“In the case of the West, any similar system will be rather expensive to create,” Kornev emphasized.

    President Putin confirmed in a briefing with defense officials Friday that a decision on the Oreshnik’s mass production has been taken, and that the military has amassed a stockpile of the new ballistic hypersonic missiles, and “will continue these tests, including in combat conditions, depending on the situation and the nature of the security threats that are created for Russia.”
    .
    2:52 AM · Nov 23, 2024 · 2,723 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1860048762300682281
    นี่คือเหตุผลที่ทำไมขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ORESHNIK ของรัสเซียจึงพร้อมสำหรับการผลิตจำนวนมาก การทดสอบการรบประจำการของระบบขีปนาวุธ Oreshnik ในวันพฤหัสบดีกับเป้าหมายทางทหารและอุตสาหกรรมของยูเครนในเมือง Dnepropetrovsk แสดงให้เห็นว่าระบบขีปนาวุธใหม่ของรัสเซียพร้อมสำหรับการนำไปปฏิบัติและการผลิตจำนวนมากแล้ว, และเหตุผลก็คืออาวุธขีปนาวุธของรัสเซียได้รับการออกแบบมาอย่างไรมาหลายทศวรรษ, Dmitry Kornev ผู้สังเกตการณ์ทางทหารที่มีประสบการณ์ของรัสเซียกล่าว ศักยภาพของกลุ่มอุตสาหกรรมการทหารของรัสเซียในการผลิตอาวุธแบบ Oreshnik นั้น "สูงกว่าของชาติตะวันตกอย่างเห็นได้ชัด," Kornev กล่าวกับ Sputnik, โดยชี้ไปที่ปรัชญาการออกแบบขีปนาวุธของรัสเซีย (และก่อนหน้านั้นก็คือสหภาพโซเวียต) ที่ย้อนกลับไปถึงการเผชิญหน้าในยุคสงครามเย็นระหว่าง RSD-10 Pioneer และ Pershing 2 โดยระบบของสหภาพโซเวียตได้รับการออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่ามีการยับยั้งเชิงกลยุทธ์ในระดับทวีป, ซึ่งต่างจากเป้าหมายของสหรัฐฯ ในการโจมตีเป้าหมายของศัตรูให้เร็วที่สุดจากฐานที่มั่นในแนวหน้า 💬“ระบบของเรามีศักยภาพในการโจมตีที่สูงกว่ามากในแง่ที่ว่ามันถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของเทคโนโลยีขีปนาวุธที่ถูกพิสูจน์แล้ว - ซึ่งมีแนวโน้มสูงสุดที่สถาบันวิศวกรรมความร้อนมอสโก, ซึ่งหมายความว่าการผลิตจำนวนมากและการใช้งานขีปนาวุธจำนวนมากอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งที่มั่นใจได้,” Kornev กล่าว 💬“ในกรณีของตะวันตก, ระบบที่คล้ายคลึงกัน จะมีราคาค่อนข้างแพงในการสร้าง,” Kornev เน้นย้ำ ประธานาธิบดีปูตินยืนยันในการแถลงข่าวต่อเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมเมื่อวันศุกร์ว่า ได้ตัดสินใจแล้วเกี่ยวกับการผลิตจำนวนมากของ Oreshnik, และกองทัพได้รวบรวมคลังอาวุธขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่นี้ไว้, และ “จะดำเนินการทดสอบต่อไป, รวมถึงในสภาพการสู้รบ, ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และลักษณะของภัยคุกคามต่อความปลอดภัยที่รัสเซียเผชิญ” . HERE’S WHY RUSSIA’S ORESHNIK HYPERSONIC MISSILE IS READY FOR MASS PRODUCTION Thursday’s combat deployment testing of the Oreshnik missile system against a Ukrainian military-industrial target in Dnepropetrovsk speaks to the fact that the new Russian missile system is ready for deployment and mass production, and the reason comes down to the way Russia’s missile weaponry has been designed for many decades, says veteran Russian military observer Dmitry Kornev. The capabilities of Russia’s military-industrial complex when it comes to producing Oreshnik-style weaponry is “significantly higher than those of the West,” Kornev told Sputnik, pointing to the Russian (and before that Soviet) missile design philosophy going back to the Cold War-era standoff involving the RSD-10 Pioneer and the Pershing 2 – with the Soviet system designed to ensure strategic deterrence on the continental scale, vs. the US goal of delivering a strike against enemy targets as quickly as possible from a forward foothold. 💬“Our system likely has a far greater strike potential in the sense that it was created on the basis of already proven ballistic missile technologies - most likely, at the Moscow Institute of Thermal Engineering, which means that mass production and rapid deployment of large quantities of the missiles is assured,” Kornev said. 💬“In the case of the West, any similar system will be rather expensive to create,” Kornev emphasized. President Putin confirmed in a briefing with defense officials Friday that a decision on the Oreshnik’s mass production has been taken, and that the military has amassed a stockpile of the new ballistic hypersonic missiles, and “will continue these tests, including in combat conditions, depending on the situation and the nature of the security threats that are created for Russia.” . 2:52 AM · Nov 23, 2024 · 2,723 Views https://x.com/SputnikInt/status/1860048762300682281
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🧵การที่รัสเซียใช้ขีปนาวุธโอเรชนิก เป็นคำเตือนร้ายแรงต่อนาโต้ท่ามกลางอันตรายของสงครามโลก – นักวิเคราะห์

    การโจมตีฐานทัพของยูเครนโดยใช้ขีปนาวุธพิสัยกลางความเร็วเหนือเสียงโอเรชนิกรุ่นใหม่เป็น “คำเตือนร้ายแรงต่อนาโต้ฅ,” โรบินสัน ฟารินาซโซ, อดีตเจ้าหน้าที่บราซิล, กล่าวกับสปุตนิก

    🗨️เขาย้ำว่าประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯได้ข้าม “เส้นแดง” ด้วยการอนุญาตให้ระบอบเคียฟโจมตีรัสเซียด้วยอาวุธพิสัยไกลของอเมริกา “มอสโกตระหนักดีว่าการโจมตีประเภทนี้ซึ่งยากในทางเทคนิคนั้น สามารถดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจากนาโต้เท่านั้น, ในกรณีนี้คือสหรัฐฯ,” เขากล่าว
    .
    นักวิเคราะห์คนอื่นๆเห็นด้วย:
    .
    🔸วอชิงตันกำลัง “กระตุ้นให้เกิดการยกระดับความรุนแรงที่เปลี่ยนแปลงธรรมชาติของความขัดแย้งไปอย่างสิ้นเชิง,” ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์การทหาร ริคาร์โด คาบรัล เน้นย้ำ

    🔸การที่สหรัฐฯอนุญาตให้เคียฟใช้อาวุธพิสัยไกลเป็น “การรุกทางจิตวิทยาอย่างต่อเนื่อง” เพื่อทดสอบความอดทนของมอสโกว, นักวิเคราะห์ชาวเวเนซุเอลา วลาดิมีร์ อาเดรียนซา กล่าว, และเสริมว่าขั้นตอนอันตรายของความขัดแย้งมีต้นตอมาจาก “ความกระหายอย่างแรงกล้าของกองทัพ, การเงิน และเทคโนโลยีของสหรัฐฯ”
    .
    🔸มอสโกมีสิทธิทุกประการที่จะปกป้องตัวเองจาก “การกระทำอันชั่วร้ายและเป็นอาชญากรรม” ของนาโต้, อุมแบร์โต โมราเลส ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยอิสระแห่งปวยบลา ประเทศเม็กซิโก กล่าว

    🔸ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ได้ส่งสารอย่างชัดเจนว่า เหตุการณ์ปัจจุบันในเวทีระหว่างประเทศแสดงให้เห็นถึง "พฤติกรรมการฆ่าตัวตายและไม่รับผิดชอบของชาติตะวันตก ซึ่งคุกคามการทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง," นักรัฐศาสตร์ชาวเลบานอน ฮัสซัน ฮมาเดห์ เน้นย้ำ, และเสริมว่า "โลกต้องลุกขึ้นต่อต้านคนชั่วร้ายเหล่านี้ที่มุ่งมั่นที่จะทำลายโลก และการตอบสนองต้องเหมาะสมกับการกระทำของพวกเขา"
    .
    🔸การที่วอชิงตันอนุมัติให้เคียฟใช้ขีปนาวุธที่ผลิตในสหรัฐฯนั้น มีจุดประสงค์เพื่อบีบบังคับให้รัฐบาลในอนาคตของโดนัลด์ ทรัมป์ ต้อง “ดำเนินการท่ามกลางความวุ่นวายทางภูมิรัฐศาสตร์,” ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเวเนซุเอลา วิลเมอร์ เดปาบลอส กล่าว

    🔸เมื่อเหลือเวลาอีกไม่ถึงสองเดือนก่อนการถ่ายโอนอำนาจ, ไบเดนกำลังพยายามทำให้ยากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับประธานาธิบดีคนต่อไปในการแก้ไขวิกฤตยูเครน, นักวิทยาศาสตร์การเมืองชาวอิหร่าน Emad Abshenas เชื่อเช่นนั้น

    🔸คำสั่งของปูตินในการใช้ขีปนาวุธ Oreshnik ถือเป็น "คำเตือนสำหรับประเทศสมาชิก NATO ท่ามกลางภัยคุกคามจากสงครามโลกที่เพิ่มมากขึ้น," ผู้เชี่ยวชาญชาวจีน Sima Pingbang อธิบาย และกล่าวต่อไปว่าระบอบการปกครองเคียฟได้กลายมาเป็น "อุปสรรคต่อสันติภาพ" และ "Biden และ Zelensky ไม่สามารถยอมรับชัยชนะของมอสโกได้"
    .
    🧵RUSSIA’S USE OF ORESHNIK MISSILE IS A GRAVE WARNING TO NATO AMID DANGER OF A WORLD WAR – analysts

    Russia’s strike on a Ukrainian defense facility using its new Oreshnik hypersonic medium-range ballistic missile is a “a serious warning to NATO,” Robinson Farinazzo, a retired Brazilian officer, told Sputnik.

    🗨️He underscored that US President Joe Biden crossed "a red line" by authorizing the Kiev regime to strike Russia with long-range American weapons. "Moscow is perfectly aware that this type of attack, technically difficult, can only be carried out with the support of NATO, in this case the US," he said.
    .
    OTHER ANALYSTS AGREE:
    .
    🔸Washington is “provoking an escalation that completely changes the nature of the conflict,” military history expert Ricardo Cabral emphasized.

    🔸The US allowing Kiev to use long-range weapons is "a continued psychological offensive" to test Moscow's tolerance, Venezuelan analyst Vladimir Adrianza noted, adding that the dangerous stage of the conflict stems from the “voracious appetite of the US military, financial and technological complex.”
    .
    🔸Moscow has every right to defend itself against NATO's “sinister and criminal actions," noted Humberto Morales, professor at the Autonomous University of Puebla, Mexico.

    🔸President Vladimir Putin has clearly conveyed the message that current events on the international arena demonstrate the “suicidal and irresponsible behavior by the West which threatens total destruction,” Lebanese political scientist Hassan Hmadeh underscored, adding, "The world must stand up to these evil people who are determined to destroy the planet, and the response must be commensurate with their actions."
    .
    🔸Washington's approval for Kiev to use US-made missiles is intended to force Donald Trump’s future administration to “operate in geopolitical chaos,” Venezuelan international relations expert Wilmer Depablos said.

    🔸With less than two months to go before the transfer of power, Biden is trying to make it as difficult as possible for the next president to resolve the Ukraine crisis, Iranian political scientist Emad Abshenas believes.

    🔸Putin's order to use the Oreshnik missile is “a warning to NATO countries amid the growing threat of a world war,” Chinese pundit Sima Pingbang explained, going on to say that the Kiev regime has become “an obstacle to peace” and that “Biden and Zelensky are unable to accept Moscow's victory."
    .
    8:59 PM · Nov 22, 2024 · 9,427 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1859959796624982449
    🧵การที่รัสเซียใช้ขีปนาวุธโอเรชนิก เป็นคำเตือนร้ายแรงต่อนาโต้ท่ามกลางอันตรายของสงครามโลก – นักวิเคราะห์ การโจมตีฐานทัพของยูเครนโดยใช้ขีปนาวุธพิสัยกลางความเร็วเหนือเสียงโอเรชนิกรุ่นใหม่เป็น “คำเตือนร้ายแรงต่อนาโต้ฅ,” โรบินสัน ฟารินาซโซ, อดีตเจ้าหน้าที่บราซิล, กล่าวกับสปุตนิก 🗨️เขาย้ำว่าประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯได้ข้าม “เส้นแดง” ด้วยการอนุญาตให้ระบอบเคียฟโจมตีรัสเซียด้วยอาวุธพิสัยไกลของอเมริกา “มอสโกตระหนักดีว่าการโจมตีประเภทนี้ซึ่งยากในทางเทคนิคนั้น สามารถดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจากนาโต้เท่านั้น, ในกรณีนี้คือสหรัฐฯ,” เขากล่าว . นักวิเคราะห์คนอื่นๆเห็นด้วย: . 🔸วอชิงตันกำลัง “กระตุ้นให้เกิดการยกระดับความรุนแรงที่เปลี่ยนแปลงธรรมชาติของความขัดแย้งไปอย่างสิ้นเชิง,” ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์การทหาร ริคาร์โด คาบรัล เน้นย้ำ 🔸การที่สหรัฐฯอนุญาตให้เคียฟใช้อาวุธพิสัยไกลเป็น “การรุกทางจิตวิทยาอย่างต่อเนื่อง” เพื่อทดสอบความอดทนของมอสโกว, นักวิเคราะห์ชาวเวเนซุเอลา วลาดิมีร์ อาเดรียนซา กล่าว, และเสริมว่าขั้นตอนอันตรายของความขัดแย้งมีต้นตอมาจาก “ความกระหายอย่างแรงกล้าของกองทัพ, การเงิน และเทคโนโลยีของสหรัฐฯ” . 🔸มอสโกมีสิทธิทุกประการที่จะปกป้องตัวเองจาก “การกระทำอันชั่วร้ายและเป็นอาชญากรรม” ของนาโต้, อุมแบร์โต โมราเลส ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยอิสระแห่งปวยบลา ประเทศเม็กซิโก กล่าว 🔸ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ได้ส่งสารอย่างชัดเจนว่า เหตุการณ์ปัจจุบันในเวทีระหว่างประเทศแสดงให้เห็นถึง "พฤติกรรมการฆ่าตัวตายและไม่รับผิดชอบของชาติตะวันตก ซึ่งคุกคามการทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง," นักรัฐศาสตร์ชาวเลบานอน ฮัสซัน ฮมาเดห์ เน้นย้ำ, และเสริมว่า "โลกต้องลุกขึ้นต่อต้านคนชั่วร้ายเหล่านี้ที่มุ่งมั่นที่จะทำลายโลก และการตอบสนองต้องเหมาะสมกับการกระทำของพวกเขา" . 🔸การที่วอชิงตันอนุมัติให้เคียฟใช้ขีปนาวุธที่ผลิตในสหรัฐฯนั้น มีจุดประสงค์เพื่อบีบบังคับให้รัฐบาลในอนาคตของโดนัลด์ ทรัมป์ ต้อง “ดำเนินการท่ามกลางความวุ่นวายทางภูมิรัฐศาสตร์,” ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเวเนซุเอลา วิลเมอร์ เดปาบลอส กล่าว 🔸เมื่อเหลือเวลาอีกไม่ถึงสองเดือนก่อนการถ่ายโอนอำนาจ, ไบเดนกำลังพยายามทำให้ยากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับประธานาธิบดีคนต่อไปในการแก้ไขวิกฤตยูเครน, นักวิทยาศาสตร์การเมืองชาวอิหร่าน Emad Abshenas เชื่อเช่นนั้น 🔸คำสั่งของปูตินในการใช้ขีปนาวุธ Oreshnik ถือเป็น "คำเตือนสำหรับประเทศสมาชิก NATO ท่ามกลางภัยคุกคามจากสงครามโลกที่เพิ่มมากขึ้น," ผู้เชี่ยวชาญชาวจีน Sima Pingbang อธิบาย และกล่าวต่อไปว่าระบอบการปกครองเคียฟได้กลายมาเป็น "อุปสรรคต่อสันติภาพ" และ "Biden และ Zelensky ไม่สามารถยอมรับชัยชนะของมอสโกได้" . 🧵RUSSIA’S USE OF ORESHNIK MISSILE IS A GRAVE WARNING TO NATO AMID DANGER OF A WORLD WAR – analysts Russia’s strike on a Ukrainian defense facility using its new Oreshnik hypersonic medium-range ballistic missile is a “a serious warning to NATO,” Robinson Farinazzo, a retired Brazilian officer, told Sputnik. 🗨️He underscored that US President Joe Biden crossed "a red line" by authorizing the Kiev regime to strike Russia with long-range American weapons. "Moscow is perfectly aware that this type of attack, technically difficult, can only be carried out with the support of NATO, in this case the US," he said. . OTHER ANALYSTS AGREE: . 🔸Washington is “provoking an escalation that completely changes the nature of the conflict,” military history expert Ricardo Cabral emphasized. 🔸The US allowing Kiev to use long-range weapons is "a continued psychological offensive" to test Moscow's tolerance, Venezuelan analyst Vladimir Adrianza noted, adding that the dangerous stage of the conflict stems from the “voracious appetite of the US military, financial and technological complex.” . 🔸Moscow has every right to defend itself against NATO's “sinister and criminal actions," noted Humberto Morales, professor at the Autonomous University of Puebla, Mexico. 🔸President Vladimir Putin has clearly conveyed the message that current events on the international arena demonstrate the “suicidal and irresponsible behavior by the West which threatens total destruction,” Lebanese political scientist Hassan Hmadeh underscored, adding, "The world must stand up to these evil people who are determined to destroy the planet, and the response must be commensurate with their actions." . 🔸Washington's approval for Kiev to use US-made missiles is intended to force Donald Trump’s future administration to “operate in geopolitical chaos,” Venezuelan international relations expert Wilmer Depablos said. 🔸With less than two months to go before the transfer of power, Biden is trying to make it as difficult as possible for the next president to resolve the Ukraine crisis, Iranian political scientist Emad Abshenas believes. 🔸Putin's order to use the Oreshnik missile is “a warning to NATO countries amid the growing threat of a world war,” Chinese pundit Sima Pingbang explained, going on to say that the Kiev regime has become “an obstacle to peace” and that “Biden and Zelensky are unable to accept Moscow's victory." . 8:59 PM · Nov 22, 2024 · 9,427 Views https://x.com/SputnikInt/status/1859959796624982449
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 369 มุมมอง 0 รีวิว
  • ** #หน้าใส​ ไม่=​ #เซลล์ผิวหน้าแข็งแรง ! **

    ในบางครั้ง แม้ผิวของเราจะดูใส ดูสุขภาพดีเมื่อมอง จากภายนอก แต่ลึกๆแล้ว ผิวอาจกำลังเผชิญปัญหาความอ่อนแออยู่ก็เป็นได้ โดยที่เรามองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกต

    >>> นี่คือ​ 3 สัญญาณ​สำคัญ‼️ ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณ "อาจจะ" ไม่ได้แข็งแรง​ อย่างที่เห็น

    1. ผิว #ระคายเคืองง่าย และ #มีรอยแดง

    หากผิวของคุณมีแนวโน้มที่จะระคายเคืองง่าย เช่น รู้สึกแสบ คัน มีรอยแดง หรือแม้กระทั่งมีผดเล็กๆ ขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือสัมผัสกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผิวของคุณอาจจะอ่อนแอกว่าที่คิด อาการระคายเคืองง่ายนี้เกิดขึ้นจากการที่เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวไวต่อสิ่งเร้าจากภายนอก เช่น มลภาวะ ฝุ่น หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (Purnamawati et al., 2017)

    2. ผิว #แห้ง หรือ #ขาดความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว

    อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวของคุณกำลังอ่อนแอ คือ การที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย แม้จะใช้ครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ หากผิวแห้งหรือขาดน้ำบ่อยๆ นั่นอาจแปลว่าผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ผิวสูญเสียไขมันตามธรรมชาติหรือโครงสร้างผิวไม่แข็งแรงพอ การที่ผิวแห้งกร้านง่ายทำให้เกิดริ้วรอยและผิวที่หมองคล้ำเร็วกว่าปกติ (Proksch et al., 2008).

    3. ผิว #ฟื้นตัวช้า หลัง #โดนแสงแดด หรือ #ทำความสะอาด

    ผิวที่อ่อนแอมักจะฟื้นตัวได้ช้าหลังจากเจอความรุนแรงจากภายนอก เช่น การโดนแสงแดดแรงๆ หรือการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก หากหลังจากออกแดดแล้วผิวมีรอยแดง นานกว่าปกติ หรือรู้สึกแห้งตึงหลังล้างหน้าโดยที่ผิวไม่คืนสภาพได้รวดเร็ว ผิวของคุณอาจกำลังส่งสัญญาณว่าต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และอาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวอ่อนแอลงไปอีก (Krutmann et al., 2014).

    การดูแลผิวให้แข็งแรงจากภายในจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ผิวจะดูใสแต่ก็ไม่ควรละเลยสัญญาณเหล่านี้ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณอาจจะไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เห็น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ สารให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดหรือมลภาวะโดยตรง จะช่วยให้ผิวของคุณกลับมาแข็งแรง สดใส และสุขภาพดีอย่างแท้จริง

    -------

    ทำไม " #สารอาหารผิวในรูปแป้ง #COCON " จึงเหมาะสมต่อการ "ฟื้นฟูผิวอ่อนแอ" และ "ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ" ?

    COCON คือ #สารอาหารผิว ที่ประกอบด้วย โปรตีนจาก #PureCocoon 100% ไม่มีสารสังเคราะห์ ไม่มีสารคงตัวเจือปน ที่ผ่านกรรมวิธีเทคโนโลยีขั้นสูง จากแลปที่เชี่ยวชาญทางด้าน #TissueEngineering อันดับต้นๆของโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ทำให้โมเลกุลของสารอาหาร "เป็นทรงกลม" จึงไม่บาดเซลลผิว ในตอนทา และ สามารถซึมลงไปให้เซลล์ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอะไรตกค้าง ไม่ระคายเคืองเซลล์ผิวเลย จึงเป็นแบรนด์ที่ใช้ในวงการแพทย์ของญี่ปุ่น

    ซึ่ง มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและป้องกันผิว จากความอ่อนแอ ดังนี้

    1. ฟื้นฟูผิวอ่อนแอด้วยการซ่อมแซมเซลล์จากภายใน
    COCON เป็น สารอาหารผิวในรูปแป้งที่มี Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายได้ลึกถึงระดับ DNA ทำให้โครงสร้างผิวที่เคยถูกทำลายจากมลภาวะ แสงแดด หรือการใช้งานหนักกลับมาแข็งแรงขึ้น ผิวที่เคยอ่อนแอจึงสามารถฟื้นตัวและกลับมาดูสุขภาพดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ

    2. ป้องกันการสูญเสียเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier)
    ด้วยคุณสมบัติของ Silk Protein ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ COCON ช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ฝุ่น มลภาวะ และสารเคมี ทำให้ผิวที่ยังแข็งแรงไม่ถูกทำลายง่าย และลดโอกาสที่ผิวจะกลายเป็นผิวอ่อนแอในอนาคต

    3. ป้องกันและลดการอักเสบขนาดเล็ก (Micro-Inflammation)
    การอักเสบขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ COCON มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเซลล์ผิว และลดความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดปัญหาระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพหรือการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

    4. เหมาะกับทุกสภาพผิว ปลอดภัย ไร้สารสังเคราะห์
    COCON เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารสังเคราะห์เจือปน จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การใช้สารอาหารผิวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผิวจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการระคายเคืองและส่งเสริมสุขภาพผิวในระยะยาว

    5. ช่วยรักษาสมดุลของผิวอย่างยั่งยืน
    การใช้ COCON อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยรักษาความสมดุลของผิว ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวที่ดีอยู่แล้วคงความสุขภาพดีไว้ได้อย่างยาวนาน

    ไม่ว่าคุณจะมีผิวที่อ่อนแอหรือผิวที่ต้องการการป้องกันไม่ให้เสื่อมสภาพ COCON คือคำตอบที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของผิวคุณ ด้วย Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ที่ผ่านกระบวนการเทคโนโลยีขั้นสูง ที่อ่อนโยนและทรงประสิทธิภาพในการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก

    -------

    **สำหรับผู้ที่ใช้ COCON อยู่แล้ว** หากคุณใช้ COCON แล้วพบว่ามีอาการผื่นแดงขึ้น นั่นแปลว่า เซลล์ผิวของคุณอ่อนแอจากเคมีในผลิตภัณฑ์อื่นที่คุณใช้ หรือ มลภาวะที่คุณต้องเผชิญในแต่ละวัน

    ดังนั้น แนะนำให้ลองใช้ COCON เฉพาะตอนกลางคืนเพียงอย่างเดียวก่อน เพื่อให้ผิวได้พักและฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีจากครีมหรือเครื่องสำอางตัวอื่นที่อาจปิดกั้นการทำงานของ COCON

    การใช้สารอาหารผิว COCON เพียงตัวเดียวก่อนนอน จะช่วยให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจทำลายเซลล์ผิวในระยะยาว เมื่อผิวกลับมาแข็งแรงแล้ว ค่อยเริ่มใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นในช่วงกลางวัน

    #TheSignature #BangkokCraftmanship #skincare #สกินแคร์ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    ** #หน้าใส​ ไม่=​ #เซลล์ผิวหน้าแข็งแรง ! ** ในบางครั้ง แม้ผิวของเราจะดูใส ดูสุขภาพดีเมื่อมอง จากภายนอก แต่ลึกๆแล้ว ผิวอาจกำลังเผชิญปัญหาความอ่อนแออยู่ก็เป็นได้ โดยที่เรามองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกต >>> นี่คือ​ 3 สัญญาณ​สำคัญ‼️ ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณ "อาจจะ" ไม่ได้แข็งแรง​ อย่างที่เห็น 1. ผิว #ระคายเคืองง่าย และ #มีรอยแดง หากผิวของคุณมีแนวโน้มที่จะระคายเคืองง่าย เช่น รู้สึกแสบ คัน มีรอยแดง หรือแม้กระทั่งมีผดเล็กๆ ขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือสัมผัสกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผิวของคุณอาจจะอ่อนแอกว่าที่คิด อาการระคายเคืองง่ายนี้เกิดขึ้นจากการที่เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวไวต่อสิ่งเร้าจากภายนอก เช่น มลภาวะ ฝุ่น หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (Purnamawati et al., 2017) 2. ผิว #แห้ง หรือ #ขาดความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวของคุณกำลังอ่อนแอ คือ การที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย แม้จะใช้ครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ หากผิวแห้งหรือขาดน้ำบ่อยๆ นั่นอาจแปลว่าผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ผิวสูญเสียไขมันตามธรรมชาติหรือโครงสร้างผิวไม่แข็งแรงพอ การที่ผิวแห้งกร้านง่ายทำให้เกิดริ้วรอยและผิวที่หมองคล้ำเร็วกว่าปกติ (Proksch et al., 2008). 3. ผิว #ฟื้นตัวช้า หลัง #โดนแสงแดด หรือ #ทำความสะอาด ผิวที่อ่อนแอมักจะฟื้นตัวได้ช้าหลังจากเจอความรุนแรงจากภายนอก เช่น การโดนแสงแดดแรงๆ หรือการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก หากหลังจากออกแดดแล้วผิวมีรอยแดง นานกว่าปกติ หรือรู้สึกแห้งตึงหลังล้างหน้าโดยที่ผิวไม่คืนสภาพได้รวดเร็ว ผิวของคุณอาจกำลังส่งสัญญาณว่าต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และอาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวอ่อนแอลงไปอีก (Krutmann et al., 2014). การดูแลผิวให้แข็งแรงจากภายในจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ผิวจะดูใสแต่ก็ไม่ควรละเลยสัญญาณเหล่านี้ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณอาจจะไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เห็น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ สารให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดหรือมลภาวะโดยตรง จะช่วยให้ผิวของคุณกลับมาแข็งแรง สดใส และสุขภาพดีอย่างแท้จริง ------- ทำไม " #สารอาหารผิวในรูปแป้ง #COCON " จึงเหมาะสมต่อการ "ฟื้นฟูผิวอ่อนแอ" และ "ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ" ? COCON คือ #สารอาหารผิว ที่ประกอบด้วย โปรตีนจาก #PureCocoon 100% ไม่มีสารสังเคราะห์ ไม่มีสารคงตัวเจือปน ที่ผ่านกรรมวิธีเทคโนโลยีขั้นสูง จากแลปที่เชี่ยวชาญทางด้าน #TissueEngineering อันดับต้นๆของโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ทำให้โมเลกุลของสารอาหาร "เป็นทรงกลม" จึงไม่บาดเซลลผิว ในตอนทา และ สามารถซึมลงไปให้เซลล์ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอะไรตกค้าง ไม่ระคายเคืองเซลล์ผิวเลย จึงเป็นแบรนด์ที่ใช้ในวงการแพทย์ของญี่ปุ่น ซึ่ง มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและป้องกันผิว จากความอ่อนแอ ดังนี้ 1. ฟื้นฟูผิวอ่อนแอด้วยการซ่อมแซมเซลล์จากภายใน COCON เป็น สารอาหารผิวในรูปแป้งที่มี Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายได้ลึกถึงระดับ DNA ทำให้โครงสร้างผิวที่เคยถูกทำลายจากมลภาวะ แสงแดด หรือการใช้งานหนักกลับมาแข็งแรงขึ้น ผิวที่เคยอ่อนแอจึงสามารถฟื้นตัวและกลับมาดูสุขภาพดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ 2. ป้องกันการสูญเสียเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ด้วยคุณสมบัติของ Silk Protein ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ COCON ช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ฝุ่น มลภาวะ และสารเคมี ทำให้ผิวที่ยังแข็งแรงไม่ถูกทำลายง่าย และลดโอกาสที่ผิวจะกลายเป็นผิวอ่อนแอในอนาคต 3. ป้องกันและลดการอักเสบขนาดเล็ก (Micro-Inflammation) การอักเสบขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ COCON มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเซลล์ผิว และลดความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดปัญหาระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพหรือการเกิดริ้วรอยก่อนวัย 4. เหมาะกับทุกสภาพผิว ปลอดภัย ไร้สารสังเคราะห์ COCON เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารสังเคราะห์เจือปน จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การใช้สารอาหารผิวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผิวจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการระคายเคืองและส่งเสริมสุขภาพผิวในระยะยาว 5. ช่วยรักษาสมดุลของผิวอย่างยั่งยืน การใช้ COCON อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยรักษาความสมดุลของผิว ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวที่ดีอยู่แล้วคงความสุขภาพดีไว้ได้อย่างยาวนาน ไม่ว่าคุณจะมีผิวที่อ่อนแอหรือผิวที่ต้องการการป้องกันไม่ให้เสื่อมสภาพ COCON คือคำตอบที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของผิวคุณ ด้วย Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ที่ผ่านกระบวนการเทคโนโลยีขั้นสูง ที่อ่อนโยนและทรงประสิทธิภาพในการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก ------- **สำหรับผู้ที่ใช้ COCON อยู่แล้ว** หากคุณใช้ COCON แล้วพบว่ามีอาการผื่นแดงขึ้น นั่นแปลว่า เซลล์ผิวของคุณอ่อนแอจากเคมีในผลิตภัณฑ์อื่นที่คุณใช้ หรือ มลภาวะที่คุณต้องเผชิญในแต่ละวัน ดังนั้น แนะนำให้ลองใช้ COCON เฉพาะตอนกลางคืนเพียงอย่างเดียวก่อน เพื่อให้ผิวได้พักและฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีจากครีมหรือเครื่องสำอางตัวอื่นที่อาจปิดกั้นการทำงานของ COCON การใช้สารอาหารผิว COCON เพียงตัวเดียวก่อนนอน จะช่วยให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจทำลายเซลล์ผิวในระยะยาว เมื่อผิวกลับมาแข็งแรงแล้ว ค่อยเริ่มใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นในช่วงกลางวัน #TheSignature #BangkokCraftmanship #skincare #สกินแคร์ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 479 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5 Types Of Character Traits To Help You Create Your Complex Characters

    Characters are arguably the most important part of any fictional work. Whether in a book, television show, or movie, characters are the ones audiences identify with and the vehicles for telling the entire story. But how do you go about creating characters that people will love, fear, want to know more about, and find utterly unforgettable?

    It all begins with a character’s traits. Character traits are the essential building blocks of every character in a story, and choosing the right traits can help establish unique identities that will engage your audience from start to finish. Here’s what you need to know about writing great characters, the unique words you need to describe those characters, and how to get started on creating your own complex characters from scratch.

    What are character traits?
    When you meet a new person, you often learn about them by observing their traits. A trait is “a distinguishing characteristic or quality, especially of one’s personal nature.” The characters in stories have traits as well.

    A character trait is a literary term for adjectives and descriptions that writers use to add personality and depth to characters. In fictional stories, character traits serve a number of purposes, including:

    - Helping readers connect and identify with a character.
    - Providing insight into a character’s motivations.
    - Making it easier to differentiate between two characters.
    - Solidifying a character’s role, such as villain or hero, in the story.
    - Adding complexity to each character.


    Character traits may be internal or external. External traits are things another person might notice, like how someone looks, their particular accent when speaking, or how they carry themselves. Internal traits have more to do with what’s going on inside a character’s mind. They are the emotional elements, private thoughts, and actions that make up a character’s personality.

    The many different kinds of character traits
    When it comes to deciding on traits for your own characters, there are no rules. Just like no two people on earth are exactly alike, no two characters in a story will ever be exactly alike. Let’s check out some words you might use when describing your own characters’ one-of-a-kind traits.

    Personality

    charming
    stoic
    approachable
    reclusive
    ambitious
    impulsive
    demanding
    poised
    distrustful
    even-tempered


    Physical attributes

    lanky
    energetic
    petite
    elegant
    curvaceous
    rugged
    stately
    graceful
    fumbling
    brawny


    Beliefs and morals

    philosophical
    judicious
    greedy
    pious
    deceptive
    spiritual
    altruistic
    haughty
    stingy
    revolutionary


    Classic hero traits

    courageous
    adventurous
    honorable
    sincere
    visionary
    persistent
    humble
    reliable
    honest
    noble


    Classic villain traits

    envious
    demonic
    unscrupulous
    furtive
    mischievous
    deceitful
    brutal
    powerful
    wounded
    resourceful


    Building characters
    Now that you’re armed with a great character vocabulary, let’s learn a little more about how to build characters.

    Option one: Start with the character
    One method of character building is to begin with an idea of your character’s role or defining trait and build from there. For example: a queen.

    Ask yourself questions about your character’s motivations and the way others see them.

    - What does the queen look like?
    - How did the queen ascend to power?
    - Do people like this character? Why or why not?
    - What is someone’s first impression of this character?
    - What is this character afraid of?
    - What does this character want more than anything?

    As you answer questions about your character, their physical appearance, beliefs, personality and motivations will begin to emerge. The next step is to write them into a scene and see how these qualities impact their actions and interactions.

    Option two: Start with traits
    On the writing podcast Death of 1000 Cuts, author Tim Clare frequently uses timers and lists to flesh out ideas for everything from characters to story locations to plot points. The idea is to let the creative flow and avoid overthinking things.

    Try setting a timer for 10 minutes and making a list of interesting traits a character might possess. These might include physical attributes, personality quirks, preferences, and strengths and weaknesses, like:


    smart
    anxious
    curly hair
    wears a lot of purple
    loves video games
    hates chocolate
    lives in outer space
    holds grudges
    ambitious


    Once time has lapsed, look at your list and start to dig into the traits you wrote down. Circle 8–10 character traits and begin to flesh them out. How do these traits work together? How did your character come to possess these traits?

    As you begin to write your characters into scenes, their traits will solidify and you will get to know them better. Before you know it, they will feel real, and the traits you spent time cultivating will help drive the rest of your story.

    Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    5 Types Of Character Traits To Help You Create Your Complex Characters Characters are arguably the most important part of any fictional work. Whether in a book, television show, or movie, characters are the ones audiences identify with and the vehicles for telling the entire story. But how do you go about creating characters that people will love, fear, want to know more about, and find utterly unforgettable? It all begins with a character’s traits. Character traits are the essential building blocks of every character in a story, and choosing the right traits can help establish unique identities that will engage your audience from start to finish. Here’s what you need to know about writing great characters, the unique words you need to describe those characters, and how to get started on creating your own complex characters from scratch. What are character traits? When you meet a new person, you often learn about them by observing their traits. A trait is “a distinguishing characteristic or quality, especially of one’s personal nature.” The characters in stories have traits as well. A character trait is a literary term for adjectives and descriptions that writers use to add personality and depth to characters. In fictional stories, character traits serve a number of purposes, including: - Helping readers connect and identify with a character. - Providing insight into a character’s motivations. - Making it easier to differentiate between two characters. - Solidifying a character’s role, such as villain or hero, in the story. - Adding complexity to each character. Character traits may be internal or external. External traits are things another person might notice, like how someone looks, their particular accent when speaking, or how they carry themselves. Internal traits have more to do with what’s going on inside a character’s mind. They are the emotional elements, private thoughts, and actions that make up a character’s personality. The many different kinds of character traits When it comes to deciding on traits for your own characters, there are no rules. Just like no two people on earth are exactly alike, no two characters in a story will ever be exactly alike. Let’s check out some words you might use when describing your own characters’ one-of-a-kind traits. Personality charming stoic approachable reclusive ambitious impulsive demanding poised distrustful even-tempered Physical attributes lanky energetic petite elegant curvaceous rugged stately graceful fumbling brawny Beliefs and morals philosophical judicious greedy pious deceptive spiritual altruistic haughty stingy revolutionary Classic hero traits courageous adventurous honorable sincere visionary persistent humble reliable honest noble Classic villain traits envious demonic unscrupulous furtive mischievous deceitful brutal powerful wounded resourceful Building characters Now that you’re armed with a great character vocabulary, let’s learn a little more about how to build characters. Option one: Start with the character One method of character building is to begin with an idea of your character’s role or defining trait and build from there. For example: a queen. Ask yourself questions about your character’s motivations and the way others see them. - What does the queen look like? - How did the queen ascend to power? - Do people like this character? Why or why not? - What is someone’s first impression of this character? - What is this character afraid of? - What does this character want more than anything? As you answer questions about your character, their physical appearance, beliefs, personality and motivations will begin to emerge. The next step is to write them into a scene and see how these qualities impact their actions and interactions. Option two: Start with traits On the writing podcast Death of 1000 Cuts, author Tim Clare frequently uses timers and lists to flesh out ideas for everything from characters to story locations to plot points. The idea is to let the creative flow and avoid overthinking things. Try setting a timer for 10 minutes and making a list of interesting traits a character might possess. These might include physical attributes, personality quirks, preferences, and strengths and weaknesses, like: smart anxious curly hair wears a lot of purple loves video games hates chocolate lives in outer space holds grudges ambitious Once time has lapsed, look at your list and start to dig into the traits you wrote down. Circle 8–10 character traits and begin to flesh them out. How do these traits work together? How did your character come to possess these traits? As you begin to write your characters into scenes, their traits will solidify and you will get to know them better. Before you know it, they will feel real, and the traits you spent time cultivating will help drive the rest of your story. Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 388 มุมมอง 0 รีวิว
  • ** #หน้าใส​ ไม่=​ #เซลล์ผิวหน้าแข็งแรง ! **

    ในบางครั้ง แม้ผิวของเราจะดูใส ดูสุขภาพดีเมื่อมอง จากภายนอก แต่ลึกๆแล้ว ผิวอาจกำลังเผชิญปัญหาความอ่อนแออยู่ก็เป็นได้ โดยที่เรามองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกต

    >>> นี่คือ​ 3 สัญญาณ​สำคัญ‼️ ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณ "อาจจะ" ไม่ได้แข็งแรง​ อย่างที่เห็น

    1. ผิว #ระคายเคืองง่าย และ #มีรอยแดง

    หากผิวของคุณมีแนวโน้มที่จะระคายเคืองง่าย เช่น รู้สึกแสบ คัน มีรอยแดง หรือแม้กระทั่งมีผดเล็กๆ ขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือสัมผัสกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผิวของคุณอาจจะอ่อนแอกว่าที่คิด อาการระคายเคืองง่ายนี้เกิดขึ้นจากการที่เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวไวต่อสิ่งเร้าจากภายนอก เช่น มลภาวะ ฝุ่น หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (Purnamawati et al., 2017)

    2. ผิว #แห้ง หรือ #ขาดความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว

    อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวของคุณกำลังอ่อนแอ คือ การที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย แม้จะใช้ครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ หากผิวแห้งหรือขาดน้ำบ่อยๆ นั่นอาจแปลว่าผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ผิวสูญเสียไขมันตามธรรมชาติหรือโครงสร้างผิวไม่แข็งแรงพอ การที่ผิวแห้งกร้านง่ายทำให้เกิดริ้วรอยและผิวที่หมองคล้ำเร็วกว่าปกติ (Proksch et al., 2008).

    3. ผิว #ฟื้นตัวช้า หลัง #โดนแสงแดด หรือ #ทำความสะอาด

    ผิวที่อ่อนแอมักจะฟื้นตัวได้ช้าหลังจากเจอความรุนแรงจากภายนอก เช่น การโดนแสงแดดแรงๆ หรือการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก หากหลังจากออกแดดแล้วผิวมีรอยแดง นานกว่าปกติ หรือรู้สึกแห้งตึงหลังล้างหน้าโดยที่ผิวไม่คืนสภาพได้รวดเร็ว ผิวของคุณอาจกำลังส่งสัญญาณว่าต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และอาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวอ่อนแอลงไปอีก (Krutmann et al., 2014).

    การดูแลผิวให้แข็งแรงจากภายในจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ผิวจะดูใสแต่ก็ไม่ควรละเลยสัญญาณเหล่านี้ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณอาจจะไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เห็น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ สารให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดหรือมลภาวะโดยตรง จะช่วยให้ผิวของคุณกลับมาแข็งแรง สดใส และสุขภาพดีอย่างแท้จริง

    -------

    ทำไม " #สารอาหารผิวในรูปแป้ง #COCON " จึงเหมาะสมต่อการ "ฟื้นฟูผิวอ่อนแอ" และ "ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ" ?

    COCON คือ #สารอาหารผิว ที่ประกอบด้วย โปรตีนจาก #PureCocoon 100% ไม่มีสารสังเคราะห์ ไม่มีสารคงตัวเจือปน ที่ผ่านกรรมวิธีเทคโนโลยีขั้นสูง จากแลปที่เชี่ยวชาญทางด้าน #TissueEngineering อันดับต้นๆของโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ทำให้โมเลกุลของสารอาหาร "เป็นทรงกลม" จึงไม่บาดเซลลผิว ในตอนทา และ สามารถซึมลงไปให้เซลล์ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอะไรตกค้าง ไม่ระคายเคืองเซลล์ผิวเลย จึงเป็นแบรนด์ที่ใช้ในวงการแพทย์ของญี่ปุ่น

    ซึ่ง มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและป้องกันผิว จากความอ่อนแอ ดังนี้

    1. ฟื้นฟูผิวอ่อนแอด้วยการซ่อมแซมเซลล์จากภายใน
    COCON เป็น สารอาหารผิวในรูปแป้งที่มี Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายได้ลึกถึงระดับ DNA ทำให้โครงสร้างผิวที่เคยถูกทำลายจากมลภาวะ แสงแดด หรือการใช้งานหนักกลับมาแข็งแรงขึ้น ผิวที่เคยอ่อนแอจึงสามารถฟื้นตัวและกลับมาดูสุขภาพดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ

    2. ป้องกันการสูญเสียเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier)
    ด้วยคุณสมบัติของ Silk Protein ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ COCON ช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ฝุ่น มลภาวะ และสารเคมี ทำให้ผิวที่ยังแข็งแรงไม่ถูกทำลายง่าย และลดโอกาสที่ผิวจะกลายเป็นผิวอ่อนแอในอนาคต

    3. ป้องกันและลดการอักเสบขนาดเล็ก (Micro-Inflammation)
    การอักเสบขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ COCON มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเซลล์ผิว และลดความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดปัญหาระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพหรือการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

    4. เหมาะกับทุกสภาพผิว ปลอดภัย ไร้สารสังเคราะห์
    COCON เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารสังเคราะห์เจือปน จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การใช้สารอาหารผิวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผิวจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการระคายเคืองและส่งเสริมสุขภาพผิวในระยะยาว

    5. ช่วยรักษาสมดุลของผิวอย่างยั่งยืน
    การใช้ COCON อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยรักษาความสมดุลของผิว ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวที่ดีอยู่แล้วคงความสุขภาพดีไว้ได้อย่างยาวนาน

    ไม่ว่าคุณจะมีผิวที่อ่อนแอหรือผิวที่ต้องการการป้องกันไม่ให้เสื่อมสภาพ COCON คือคำตอบที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของผิวคุณ ด้วย Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ที่ผ่านกระบวนการเทคโนโลยีขั้นสูง ที่อ่อนโยนและทรงประสิทธิภาพในการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก

    -------

    **สำหรับผู้ที่ใช้ COCON อยู่แล้ว** หากคุณใช้ COCON แล้วพบว่ามีอาการผื่นแดงขึ้น นั่นแปลว่า เซลล์ผิวของคุณอ่อนแอจากเคมีในผลิตภัณฑ์อื่นที่คุณใช้ หรือ มลภาวะที่คุณต้องเผชิญในแต่ละวัน

    ดังนั้น แนะนำให้ลองใช้ COCON เฉพาะตอนกลางคืนเพียงอย่างเดียวก่อน เพื่อให้ผิวได้พักและฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีจากครีมหรือเครื่องสำอางตัวอื่นที่อาจปิดกั้นการทำงานของ COCON

    การใช้สารอาหารผิว COCON เพียงตัวเดียวก่อนนอน จะช่วยให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจทำลายเซลล์ผิวในระยะยาว เมื่อผิวกลับมาแข็งแรงแล้ว ค่อยเริ่มใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นในช่วงกลางวัน

    #TheSignature #BangkokCraftmanship #skincare #สกินแคร์ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    ** #หน้าใส​ ไม่=​ #เซลล์ผิวหน้าแข็งแรง ! ** ในบางครั้ง แม้ผิวของเราจะดูใส ดูสุขภาพดีเมื่อมอง จากภายนอก แต่ลึกๆแล้ว ผิวอาจกำลังเผชิญปัญหาความอ่อนแออยู่ก็เป็นได้ โดยที่เรามองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกต >>> นี่คือ​ 3 สัญญาณ​สำคัญ‼️ ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณ "อาจจะ" ไม่ได้แข็งแรง​ อย่างที่เห็น 1. ผิว #ระคายเคืองง่าย และ #มีรอยแดง หากผิวของคุณมีแนวโน้มที่จะระคายเคืองง่าย เช่น รู้สึกแสบ คัน มีรอยแดง หรือแม้กระทั่งมีผดเล็กๆ ขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือสัมผัสกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผิวของคุณอาจจะอ่อนแอกว่าที่คิด อาการระคายเคืองง่ายนี้เกิดขึ้นจากการที่เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวไวต่อสิ่งเร้าจากภายนอก เช่น มลภาวะ ฝุ่น หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (Purnamawati et al., 2017) 2. ผิว #แห้ง หรือ #ขาดความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวของคุณกำลังอ่อนแอ คือ การที่ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย แม้จะใช้ครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ หากผิวแห้งหรือขาดน้ำบ่อยๆ นั่นอาจแปลว่าผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ผิวสูญเสียไขมันตามธรรมชาติหรือโครงสร้างผิวไม่แข็งแรงพอ การที่ผิวแห้งกร้านง่ายทำให้เกิดริ้วรอยและผิวที่หมองคล้ำเร็วกว่าปกติ (Proksch et al., 2008). 3. ผิว #ฟื้นตัวช้า หลัง #โดนแสงแดด หรือ #ทำความสะอาด ผิวที่อ่อนแอมักจะฟื้นตัวได้ช้าหลังจากเจอความรุนแรงจากภายนอก เช่น การโดนแสงแดดแรงๆ หรือการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก หากหลังจากออกแดดแล้วผิวมีรอยแดง นานกว่าปกติ หรือรู้สึกแห้งตึงหลังล้างหน้าโดยที่ผิวไม่คืนสภาพได้รวดเร็ว ผิวของคุณอาจกำลังส่งสัญญาณว่าต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และอาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวอ่อนแอลงไปอีก (Krutmann et al., 2014). การดูแลผิวให้แข็งแรงจากภายในจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ผิวจะดูใสแต่ก็ไม่ควรละเลยสัญญาณเหล่านี้ที่บ่งบอกว่าผิวของคุณอาจจะไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เห็น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ สารให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดหรือมลภาวะโดยตรง จะช่วยให้ผิวของคุณกลับมาแข็งแรง สดใส และสุขภาพดีอย่างแท้จริง ------- ทำไม " #สารอาหารผิวในรูปแป้ง #COCON " จึงเหมาะสมต่อการ "ฟื้นฟูผิวอ่อนแอ" และ "ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ" ? COCON คือ #สารอาหารผิว ที่ประกอบด้วย โปรตีนจาก #PureCocoon 100% ไม่มีสารสังเคราะห์ ไม่มีสารคงตัวเจือปน ที่ผ่านกรรมวิธีเทคโนโลยีขั้นสูง จากแลปที่เชี่ยวชาญทางด้าน #TissueEngineering อันดับต้นๆของโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ทำให้โมเลกุลของสารอาหาร "เป็นทรงกลม" จึงไม่บาดเซลลผิว ในตอนทา และ สามารถซึมลงไปให้เซลล์ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอะไรตกค้าง ไม่ระคายเคืองเซลล์ผิวเลย จึงเป็นแบรนด์ที่ใช้ในวงการแพทย์ของญี่ปุ่น ซึ่ง มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและป้องกันผิว จากความอ่อนแอ ดังนี้ 1. ฟื้นฟูผิวอ่อนแอด้วยการซ่อมแซมเซลล์จากภายใน COCON เป็น สารอาหารผิวในรูปแป้งที่มี Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายได้ลึกถึงระดับ DNA ทำให้โครงสร้างผิวที่เคยถูกทำลายจากมลภาวะ แสงแดด หรือการใช้งานหนักกลับมาแข็งแรงขึ้น ผิวที่เคยอ่อนแอจึงสามารถฟื้นตัวและกลับมาดูสุขภาพดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ 2. ป้องกันการสูญเสียเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ด้วยคุณสมบัติของ Silk Protein ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ COCON ช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ฝุ่น มลภาวะ และสารเคมี ทำให้ผิวที่ยังแข็งแรงไม่ถูกทำลายง่าย และลดโอกาสที่ผิวจะกลายเป็นผิวอ่อนแอในอนาคต 3. ป้องกันและลดการอักเสบขนาดเล็ก (Micro-Inflammation) การอักเสบขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแข็งแรงกลายเป็นผิวอ่อนแอ COCON มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเซลล์ผิว และลดความเสี่ยงที่ผิวจะเกิดปัญหาระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพหรือการเกิดริ้วรอยก่อนวัย 4. เหมาะกับทุกสภาพผิว ปลอดภัย ไร้สารสังเคราะห์ COCON เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารสังเคราะห์เจือปน จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่ายหรือผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การใช้สารอาหารผิวที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผิวจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการระคายเคืองและส่งเสริมสุขภาพผิวในระยะยาว 5. ช่วยรักษาสมดุลของผิวอย่างยั่งยืน การใช้ COCON อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยรักษาความสมดุลของผิว ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวที่ดีอยู่แล้วคงความสุขภาพดีไว้ได้อย่างยาวนาน ไม่ว่าคุณจะมีผิวที่อ่อนแอหรือผิวที่ต้องการการป้องกันไม่ให้เสื่อมสภาพ COCON คือคำตอบที่ช่วยเติมเต็มความต้องการของผิวคุณ ด้วย Silk Protein บริสุทธิ์ 100% ที่ผ่านกระบวนการเทคโนโลยีขั้นสูง ที่อ่อนโยนและทรงประสิทธิภาพในการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก ------- **สำหรับผู้ที่ใช้ COCON อยู่แล้ว** หากคุณใช้ COCON แล้วพบว่ามีอาการผื่นแดงขึ้น นั่นแปลว่า เซลล์ผิวของคุณอ่อนแอจากเคมีในผลิตภัณฑ์อื่นที่คุณใช้ หรือ มลภาวะที่คุณต้องเผชิญในแต่ละวัน ดังนั้น แนะนำให้ลองใช้ COCON เฉพาะตอนกลางคืนเพียงอย่างเดียวก่อน เพื่อให้ผิวได้พักและฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีจากครีมหรือเครื่องสำอางตัวอื่นที่อาจปิดกั้นการทำงานของ COCON การใช้สารอาหารผิว COCON เพียงตัวเดียวก่อนนอน จะช่วยให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจทำลายเซลล์ผิวในระยะยาว เมื่อผิวกลับมาแข็งแรงแล้ว ค่อยเริ่มใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นในช่วงกลางวัน #TheSignature #BangkokCraftmanship #skincare #สกินแคร์ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 717 มุมมอง 0 รีวิว
  • **อยากให้ของขวัญ คนที่เรารัก เราเคารพ แต่คิดไม่ออก ไม่รู้ต้องเลือกอย่างไร**

    เป็นสิ่งที่ตัวผมเองต้องพบเจอทุกครั้ง ในเวลาที่อยากให้ของขวัญ คนที่เรารัก เราเคารพ ผมจึงเรียบเรียงโพสต์นี้ขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทาง ช่วยในการ เลือกของขวัญ ให้ผู้รับประทับใจ

    ---------

    3 แนวทาง ในการเลือกของขวัญให้ ผู้รับประทับใจ จาการสำรวจ ผู้ได้รับของขวัญในประเทศไทย

    1. ของขวัญที่ ตรงกับความสนใจ และ ความชอบของผู้รับ

    จากผลสำรวจโดยศูนย์วิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2565) พบว่าผู้รับจะรู้สึกประทับใจมากที่สุดหากของขวัญที่ได้รับสะท้อนความสนใจส่วนตัวหรือสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ

    ไม่ว่าจะเป็น "งานอดิเรกที่พวกเขาทำเป็นประจำ" "สิ่งของที่พวกเขาสะสม" หรือ "สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความหลงใหลในบางเรื่อง" การที่ผู้ให้สละเวลา "สำหรับการคิดถึงความชอบของผู้รับ" จึงเป็นสิ่งที่สร้างความผูกพันและแสดงถึงความใส่ใจได้อย่างดี

    2. ของขวัญที่ มีคุณค่า หรือ มีประโยชน์ในการใช้งาน

    ผลสำรวจจากบริษัทวิจัยการตลาด InsightAsia (2564) แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ชอบของขวัญ "ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง หรือ มีความคุ้มค่า" ไม่ว่าจะเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน หรือ สินค้าที่มีประโยชน์ในการใช้งานเฉพาะด้าน

    การให้ของขวัญที่มีประโยชน์ "ช่วยให้ผู้รับรู้สึกว่าของขวัญมีคุณค่าในระยะยาว และสามารถนำไปใช้ได้ตามความต้องการ" ทำให้ของขวัญนั้นเป็นมากกว่าของฝากทั่วไป

    3. ของขวัญที่ ใส่ใจในบรรจุภัณฑ์ และ การนำเสนอ

    นอกจากตัวของขวัญเองแล้ว ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (2565) ยังชี้ให้เห็นว่าผู้รับให้ความสำคัญกับการนำเสนอและบรรจุภัณฑ์ของของขวัญที่ได้รับ "การห่อหรือจัดบรรจุภัณฑ์ที่ดูสวยงามใส่ใจในรายละเอียด" ช่วยเพิ่มความรู้สึกตื่นเต้น และทำให้ "ผู้รับรู้สึกถึงความเอาใจใส่จากผู้ให้"

    อีกทั้ง การ "เพิ่มคำบรรยาย" หรือ "การ์ดที่สื่อความหมาย" ยิ่งช่วยสามารถเพิ่มคุณค่าให้ของขวัญและทำให้ผู้รับรู้สึกพิเศษยิ่งขึ้น

    ---------

    การเลือกของขวัญที่ทำให้ผู้รับประทับใจนั้น ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป สิ่งสำคัญคือการใส่ใจในความชอบและความสนใจของผู้รับ ให้ของขวัญที่มีประโยชน์ในการใช้งาน และใส่ใจการให้ของขวัญด้วยบรรจุภัณฑ์และการ์ด ก็สามารถทำให้ผู้รับประทับใจได้

    ---------

    หากคุณกำลังมองหาของขวัญ ที่ดูเรียบหรู ปราณีต ทำด้วยความใส่ใจ แต่ราคาไม่แพง

    และ เป็นของขวัญ ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น Passport Holder ที่จะช่วยป้องกันความเสียหายของพาสปอร์ต และช่วยจัดการเอกสารเดินทางต่างๆ หรือ เป็น Card Holder ที่ช่วยจัดการบัตรต่างๆ มีหลายรูปแบบให้เลือก หรือ กระเป๋าเครื่องหนังคุณภาพสูงอื่นๆ ที่ช่วยจัดการสิ่งของต่างๆ ได้จริง ในชีวิตประจำวัน

    ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง Vegan Leather คุณภาพสูง ออกแบบด้วยความใส่ใจใน "รายละเอียด การจัดการ" จาก The Signature อาจเป็นคำตอบ ของคุณ

    นอกจากนี้ สำหรับ งานแต่งงาน งานเกษียณอายุ หรือ ของขวัญสำหรับองค์กร The Signature ยังมีบริการรับผลิต ปั๊มโลโก้ ของคุณ ให้ผู้รับ "ได้นึกถึงคุณทุกครั้ง ที่หยิบสินค้าขึ้นมาใช้"

    ยินดีให้คำปรึกษา จัดเซ็ตของขวัญ สำหรับโอกาสพิเศษ ของคุณ

    ติดต่อได้ที่ โทร. 0892248802 (แอม) ช่องทางติดต่อออนไลน์ https://linkbio.co/6110917URkCFB

    ดูตัวอย่างสินค้าของขวัญได้ที่ https://www.instagram.com/p/DCLb6DRPeca/

    ให้ The Signature เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความประทับใจครั้งสำคัญของคุณ!

    #TheSignature #BangkokCraftmanship #การจัดการ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    **อยากให้ของขวัญ คนที่เรารัก เราเคารพ แต่คิดไม่ออก ไม่รู้ต้องเลือกอย่างไร** เป็นสิ่งที่ตัวผมเองต้องพบเจอทุกครั้ง ในเวลาที่อยากให้ของขวัญ คนที่เรารัก เราเคารพ ผมจึงเรียบเรียงโพสต์นี้ขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทาง ช่วยในการ เลือกของขวัญ ให้ผู้รับประทับใจ --------- 3 แนวทาง ในการเลือกของขวัญให้ ผู้รับประทับใจ จาการสำรวจ ผู้ได้รับของขวัญในประเทศไทย 1. ของขวัญที่ ตรงกับความสนใจ และ ความชอบของผู้รับ จากผลสำรวจโดยศูนย์วิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2565) พบว่าผู้รับจะรู้สึกประทับใจมากที่สุดหากของขวัญที่ได้รับสะท้อนความสนใจส่วนตัวหรือสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็น "งานอดิเรกที่พวกเขาทำเป็นประจำ" "สิ่งของที่พวกเขาสะสม" หรือ "สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความหลงใหลในบางเรื่อง" การที่ผู้ให้สละเวลา "สำหรับการคิดถึงความชอบของผู้รับ" จึงเป็นสิ่งที่สร้างความผูกพันและแสดงถึงความใส่ใจได้อย่างดี 2. ของขวัญที่ มีคุณค่า หรือ มีประโยชน์ในการใช้งาน ผลสำรวจจากบริษัทวิจัยการตลาด InsightAsia (2564) แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ชอบของขวัญ "ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง หรือ มีความคุ้มค่า" ไม่ว่าจะเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน หรือ สินค้าที่มีประโยชน์ในการใช้งานเฉพาะด้าน การให้ของขวัญที่มีประโยชน์ "ช่วยให้ผู้รับรู้สึกว่าของขวัญมีคุณค่าในระยะยาว และสามารถนำไปใช้ได้ตามความต้องการ" ทำให้ของขวัญนั้นเป็นมากกว่าของฝากทั่วไป 3. ของขวัญที่ ใส่ใจในบรรจุภัณฑ์ และ การนำเสนอ นอกจากตัวของขวัญเองแล้ว ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (2565) ยังชี้ให้เห็นว่าผู้รับให้ความสำคัญกับการนำเสนอและบรรจุภัณฑ์ของของขวัญที่ได้รับ "การห่อหรือจัดบรรจุภัณฑ์ที่ดูสวยงามใส่ใจในรายละเอียด" ช่วยเพิ่มความรู้สึกตื่นเต้น และทำให้ "ผู้รับรู้สึกถึงความเอาใจใส่จากผู้ให้" อีกทั้ง การ "เพิ่มคำบรรยาย" หรือ "การ์ดที่สื่อความหมาย" ยิ่งช่วยสามารถเพิ่มคุณค่าให้ของขวัญและทำให้ผู้รับรู้สึกพิเศษยิ่งขึ้น --------- การเลือกของขวัญที่ทำให้ผู้รับประทับใจนั้น ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป สิ่งสำคัญคือการใส่ใจในความชอบและความสนใจของผู้รับ ให้ของขวัญที่มีประโยชน์ในการใช้งาน และใส่ใจการให้ของขวัญด้วยบรรจุภัณฑ์และการ์ด ก็สามารถทำให้ผู้รับประทับใจได้ --------- หากคุณกำลังมองหาของขวัญ ที่ดูเรียบหรู ปราณีต ทำด้วยความใส่ใจ แต่ราคาไม่แพง และ เป็นของขวัญ ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น Passport Holder ที่จะช่วยป้องกันความเสียหายของพาสปอร์ต และช่วยจัดการเอกสารเดินทางต่างๆ หรือ เป็น Card Holder ที่ช่วยจัดการบัตรต่างๆ มีหลายรูปแบบให้เลือก หรือ กระเป๋าเครื่องหนังคุณภาพสูงอื่นๆ ที่ช่วยจัดการสิ่งของต่างๆ ได้จริง ในชีวิตประจำวัน ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง Vegan Leather คุณภาพสูง ออกแบบด้วยความใส่ใจใน "รายละเอียด การจัดการ" จาก The Signature อาจเป็นคำตอบ ของคุณ นอกจากนี้ สำหรับ งานแต่งงาน งานเกษียณอายุ หรือ ของขวัญสำหรับองค์กร The Signature ยังมีบริการรับผลิต ปั๊มโลโก้ ของคุณ ให้ผู้รับ "ได้นึกถึงคุณทุกครั้ง ที่หยิบสินค้าขึ้นมาใช้" ยินดีให้คำปรึกษา จัดเซ็ตของขวัญ สำหรับโอกาสพิเศษ ของคุณ ติดต่อได้ที่ โทร. 0892248802 (แอม) ช่องทางติดต่อออนไลน์ https://linkbio.co/6110917URkCFB ดูตัวอย่างสินค้าของขวัญได้ที่ https://www.instagram.com/p/DCLb6DRPeca/ ให้ The Signature เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความประทับใจครั้งสำคัญของคุณ! #TheSignature #BangkokCraftmanship #การจัดการ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 540 มุมมอง 0 รีวิว
  • **อยากให้ของขวัญ คนที่เรารัก เราเคารพ แต่คิดไม่ออก ไม่รู้ต้องเลือกอย่างไร**

    เป็นสิ่งที่ตัวผมเองต้องพบเจอทุกครั้ง ในเวลาที่อยากให้ของขวัญ คนที่เรารัก เราเคารพ ผมจึงเรียบเรียงโพสต์นี้ขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทาง ช่วยในการ เลือกของขวัญ ให้ผู้รับประทับใจ

    ---------

    3 แนวทาง ในการเลือกของขวัญให้ ผู้รับประทับใจ จาการสำรวจ ผู้ได้รับของขวัญในประเทศไทย

    1. ของขวัญที่ ตรงกับความสนใจ และ ความชอบของผู้รับ

    จากผลสำรวจโดยศูนย์วิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2565) พบว่าผู้รับจะรู้สึกประทับใจมากที่สุดหากของขวัญที่ได้รับสะท้อนความสนใจส่วนตัวหรือสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ

    ไม่ว่าจะเป็น "งานอดิเรกที่พวกเขาทำเป็นประจำ" "สิ่งของที่พวกเขาสะสม" หรือ "สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความหลงใหลในบางเรื่อง" การที่ผู้ให้สละเวลา "สำหรับการคิดถึงความชอบของผู้รับ" จึงเป็นสิ่งที่สร้างความผูกพันและแสดงถึงความใส่ใจได้อย่างดี

    2. ของขวัญที่ มีคุณค่า หรือ มีประโยชน์ในการใช้งาน

    ผลสำรวจจากบริษัทวิจัยการตลาด InsightAsia (2564) แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ชอบของขวัญ "ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง หรือ มีความคุ้มค่า" ไม่ว่าจะเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน หรือ สินค้าที่มีประโยชน์ในการใช้งานเฉพาะด้าน

    การให้ของขวัญที่มีประโยชน์ "ช่วยให้ผู้รับรู้สึกว่าของขวัญมีคุณค่าในระยะยาว และสามารถนำไปใช้ได้ตามความต้องการ" ทำให้ของขวัญนั้นเป็นมากกว่าของฝากทั่วไป

    3. ของขวัญที่ ใส่ใจในบรรจุภัณฑ์ และ การนำเสนอ

    นอกจากตัวของขวัญเองแล้ว ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (2565) ยังชี้ให้เห็นว่าผู้รับให้ความสำคัญกับการนำเสนอและบรรจุภัณฑ์ของของขวัญที่ได้รับ "การห่อหรือจัดบรรจุภัณฑ์ที่ดูสวยงามใส่ใจในรายละเอียด" ช่วยเพิ่มความรู้สึกตื่นเต้น และทำให้ "ผู้รับรู้สึกถึงความเอาใจใส่จากผู้ให้"

    อีกทั้ง การ "เพิ่มคำบรรยาย" หรือ "การ์ดที่สื่อความหมาย" ยิ่งช่วยสามารถเพิ่มคุณค่าให้ของขวัญและทำให้ผู้รับรู้สึกพิเศษยิ่งขึ้น

    ---------

    การเลือกของขวัญที่ทำให้ผู้รับประทับใจนั้น ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป สิ่งสำคัญคือการใส่ใจในความชอบและความสนใจของผู้รับ ให้ของขวัญที่มีประโยชน์ในการใช้งาน และใส่ใจการให้ของขวัญด้วยบรรจุภัณฑ์และการ์ด ก็สามารถทำให้ผู้รับประทับใจได้

    ---------

    หากคุณกำลังมองหาของขวัญ ที่ดูเรียบหรู ปราณีต ทำด้วยความใส่ใจ แต่ราคาไม่แพง

    และ เป็นของขวัญ ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น Passport Holder ที่จะช่วยป้องกันความเสียหายของพาสปอร์ต และช่วยจัดการเอกสารเดินทางต่างๆ หรือ เป็น Card Holder ที่ช่วยจัดการบัตรต่างๆ มีหลายรูปแบบให้เลือก หรือ กระเป๋าเครื่องหนังคุณภาพสูงอื่นๆ ที่ช่วยจัดการสิ่งของต่างๆ ได้จริง ในชีวิตประจำวัน

    ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง Vegan Leather คุณภาพสูง ออกแบบด้วยความใส่ใจใน "รายละเอียด การจัดการ" จาก The Signature อาจเป็นคำตอบ ของคุณ

    นอกจากนี้ สำหรับ งานแต่งงาน งานเกษียณอายุ หรือ ของขวัญสำหรับองค์กร The Signature ยังมีบริการรับผลิต ปั๊มโลโก้ ของคุณ ให้ผู้รับ "ได้นึกถึงคุณทุกครั้ง ที่หยิบสินค้าขึ้นมาใช้"

    ยินดีให้คำปรึกษา จัดเซ็ตของขวัญ สำหรับโอกาสพิเศษ ของคุณ

    ติดต่อได้ที่ โทร. 0892248802 (แอม) ช่องทางติดต่อออนไลน์ https://linkbio.co/6110917URkCFB

    ดูตัวอย่างสินค้าของขวัญได้ที่ https://www.instagram.com/p/DCLb6DRPeca/

    ให้ The Signature เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความประทับใจครั้งสำคัญของคุณ!
    **อยากให้ของขวัญ คนที่เรารัก เราเคารพ แต่คิดไม่ออก ไม่รู้ต้องเลือกอย่างไร** เป็นสิ่งที่ตัวผมเองต้องพบเจอทุกครั้ง ในเวลาที่อยากให้ของขวัญ คนที่เรารัก เราเคารพ ผมจึงเรียบเรียงโพสต์นี้ขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทาง ช่วยในการ เลือกของขวัญ ให้ผู้รับประทับใจ --------- 3 แนวทาง ในการเลือกของขวัญให้ ผู้รับประทับใจ จาการสำรวจ ผู้ได้รับของขวัญในประเทศไทย 1. ของขวัญที่ ตรงกับความสนใจ และ ความชอบของผู้รับ จากผลสำรวจโดยศูนย์วิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2565) พบว่าผู้รับจะรู้สึกประทับใจมากที่สุดหากของขวัญที่ได้รับสะท้อนความสนใจส่วนตัวหรือสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็น "งานอดิเรกที่พวกเขาทำเป็นประจำ" "สิ่งของที่พวกเขาสะสม" หรือ "สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความหลงใหลในบางเรื่อง" การที่ผู้ให้สละเวลา "สำหรับการคิดถึงความชอบของผู้รับ" จึงเป็นสิ่งที่สร้างความผูกพันและแสดงถึงความใส่ใจได้อย่างดี 2. ของขวัญที่ มีคุณค่า หรือ มีประโยชน์ในการใช้งาน ผลสำรวจจากบริษัทวิจัยการตลาด InsightAsia (2564) แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ชอบของขวัญ "ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง หรือ มีความคุ้มค่า" ไม่ว่าจะเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน หรือ สินค้าที่มีประโยชน์ในการใช้งานเฉพาะด้าน การให้ของขวัญที่มีประโยชน์ "ช่วยให้ผู้รับรู้สึกว่าของขวัญมีคุณค่าในระยะยาว และสามารถนำไปใช้ได้ตามความต้องการ" ทำให้ของขวัญนั้นเป็นมากกว่าของฝากทั่วไป 3. ของขวัญที่ ใส่ใจในบรรจุภัณฑ์ และ การนำเสนอ นอกจากตัวของขวัญเองแล้ว ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (2565) ยังชี้ให้เห็นว่าผู้รับให้ความสำคัญกับการนำเสนอและบรรจุภัณฑ์ของของขวัญที่ได้รับ "การห่อหรือจัดบรรจุภัณฑ์ที่ดูสวยงามใส่ใจในรายละเอียด" ช่วยเพิ่มความรู้สึกตื่นเต้น และทำให้ "ผู้รับรู้สึกถึงความเอาใจใส่จากผู้ให้" อีกทั้ง การ "เพิ่มคำบรรยาย" หรือ "การ์ดที่สื่อความหมาย" ยิ่งช่วยสามารถเพิ่มคุณค่าให้ของขวัญและทำให้ผู้รับรู้สึกพิเศษยิ่งขึ้น --------- การเลือกของขวัญที่ทำให้ผู้รับประทับใจนั้น ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป สิ่งสำคัญคือการใส่ใจในความชอบและความสนใจของผู้รับ ให้ของขวัญที่มีประโยชน์ในการใช้งาน และใส่ใจการให้ของขวัญด้วยบรรจุภัณฑ์และการ์ด ก็สามารถทำให้ผู้รับประทับใจได้ --------- หากคุณกำลังมองหาของขวัญ ที่ดูเรียบหรู ปราณีต ทำด้วยความใส่ใจ แต่ราคาไม่แพง และ เป็นของขวัญ ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น Passport Holder ที่จะช่วยป้องกันความเสียหายของพาสปอร์ต และช่วยจัดการเอกสารเดินทางต่างๆ หรือ เป็น Card Holder ที่ช่วยจัดการบัตรต่างๆ มีหลายรูปแบบให้เลือก หรือ กระเป๋าเครื่องหนังคุณภาพสูงอื่นๆ ที่ช่วยจัดการสิ่งของต่างๆ ได้จริง ในชีวิตประจำวัน ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง Vegan Leather คุณภาพสูง ออกแบบด้วยความใส่ใจใน "รายละเอียด การจัดการ" จาก The Signature อาจเป็นคำตอบ ของคุณ นอกจากนี้ สำหรับ งานแต่งงาน งานเกษียณอายุ หรือ ของขวัญสำหรับองค์กร The Signature ยังมีบริการรับผลิต ปั๊มโลโก้ ของคุณ ให้ผู้รับ "ได้นึกถึงคุณทุกครั้ง ที่หยิบสินค้าขึ้นมาใช้" ยินดีให้คำปรึกษา จัดเซ็ตของขวัญ สำหรับโอกาสพิเศษ ของคุณ ติดต่อได้ที่ โทร. 0892248802 (แอม) ช่องทางติดต่อออนไลน์ https://linkbio.co/6110917URkCFB ดูตัวอย่างสินค้าของขวัญได้ที่ https://www.instagram.com/p/DCLb6DRPeca/ ให้ The Signature เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความประทับใจครั้งสำคัญของคุณ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัคซีน ให้ได้ทุกอย่าง ความแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกัน และกระทบ หัวใจ สมอง จิตอารมณ์ ข้อ ร่างกายอักเสบ ผมร่วง ผิวด่างขาว ฉีดโบทอกซ์ กลับฉีดไม่ได้ไปปีหนึ่ง เพราะแพ้มีปฏิกิริยาจนต้องใช้สเตียรอยด์ และอื่นๆ
    จากแพลตฟอร์มของการผลิต และการปรับแต่งในตัว
    ตามตัวอย่างไม่กี่รายงานที่ยกมา
    Macrophage activation syndrome and others following vaccination
    ปรากฏการณ์อักเสบในระบบร่วมกัน จากการกระตุ้นระบบเซลล์แม็คโครฟาจ

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/39041264/

    Nationwide safety surveillance of COVID-19 mRNA vaccines following primary series and first booster vaccination in Singapore
    หัวใจอักเสบ

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38130887/

    Roughly 1/3rd of mRNA COVID-19 Vaccine Recipients Experience 'Unintended Immune Response in the Body': Cambridge University, Journal 'Nature'
    กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่ พึงประสงค์
    https://www.nature.com/articles/s41586-023-06800-3
    Chronic Skin Autoimmune Disease Vitiligo Following COVID-19 Vaccination: 'Journal of Dermatology'
    โรคผิวหนังเรื้อรัง ด่างขาว
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/37186102/

    COVID-19 Jab mRNA and Spike Protein Stay in Human Tissue Longer Than Expected: Journal 'British Pharmacological Society'
    โปรตีนหนาม ค้างอยู่ในร่างกายนานมากกว่าที่คิด

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38867495/

    Hair Loss Following COVID-19 Jab: Journal 'Expert Opinion on Therapeutic Targets'
    ผมร่วง
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38646688/

    Autoimmune Brain Inflammation with 'Psychiatric Manifestations' Following Pfizer COVID-19 Injection: New Case Report in 'Archives of Clinical Neuropsychology'
    สมองอักเสบจากภูมิคุ้มกัน และมีภาวะโรคจิตประสาท
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38614963/

    Autoimmune Disease, Rheumatoid Arthritis, Neurological Complications Linked to COVID Vaccine: Journal 'Current Medical Research and Opinion'
    นานาชนิด ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ความผิดปกติของสมองและระบบประสาท

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38193825/

    Autoimmune Disorder Lupus Flare Rate 'Higher in [COVID-19] Vaccinated Patients Than Unvaccinated Controls': Journal 'Immunological Medicine'
    ได้รับไปแล้วโรคพุ่มพวงกำเริบ
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38189429/
    Botox reaction after vax
    หลังวัคซีน 1-7 เดือน ฉีดโบทอกซ์ แพ้ ต้องรักษาต่ออย่างน้อยหนึ่งปี
    https://link.springer.com/article/10.1007/s00266-024-04274-w?utm_source=substack&utm_medium=email

    นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง
    26/10/2567
    วัคซีน ให้ได้ทุกอย่าง ความแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกัน และกระทบ หัวใจ สมอง จิตอารมณ์ ข้อ ร่างกายอักเสบ ผมร่วง ผิวด่างขาว ฉีดโบทอกซ์ กลับฉีดไม่ได้ไปปีหนึ่ง เพราะแพ้มีปฏิกิริยาจนต้องใช้สเตียรอยด์ และอื่นๆ จากแพลตฟอร์มของการผลิต และการปรับแต่งในตัว ตามตัวอย่างไม่กี่รายงานที่ยกมา Macrophage activation syndrome and others following vaccination ปรากฏการณ์อักเสบในระบบร่วมกัน จากการกระตุ้นระบบเซลล์แม็คโครฟาจ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/39041264/ Nationwide safety surveillance of COVID-19 mRNA vaccines following primary series and first booster vaccination in Singapore หัวใจอักเสบ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38130887/ Roughly 1/3rd of mRNA COVID-19 Vaccine Recipients Experience 'Unintended Immune Response in the Body': Cambridge University, Journal 'Nature' กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่ พึงประสงค์ https://www.nature.com/articles/s41586-023-06800-3 Chronic Skin Autoimmune Disease Vitiligo Following COVID-19 Vaccination: 'Journal of Dermatology' โรคผิวหนังเรื้อรัง ด่างขาว https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/37186102/ COVID-19 Jab mRNA and Spike Protein Stay in Human Tissue Longer Than Expected: Journal 'British Pharmacological Society' โปรตีนหนาม ค้างอยู่ในร่างกายนานมากกว่าที่คิด https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38867495/ Hair Loss Following COVID-19 Jab: Journal 'Expert Opinion on Therapeutic Targets' ผมร่วง https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38646688/ Autoimmune Brain Inflammation with 'Psychiatric Manifestations' Following Pfizer COVID-19 Injection: New Case Report in 'Archives of Clinical Neuropsychology' สมองอักเสบจากภูมิคุ้มกัน และมีภาวะโรคจิตประสาท https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38614963/ Autoimmune Disease, Rheumatoid Arthritis, Neurological Complications Linked to COVID Vaccine: Journal 'Current Medical Research and Opinion' นานาชนิด ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ความผิดปกติของสมองและระบบประสาท https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38193825/ Autoimmune Disorder Lupus Flare Rate 'Higher in [COVID-19] Vaccinated Patients Than Unvaccinated Controls': Journal 'Immunological Medicine' ได้รับไปแล้วโรคพุ่มพวงกำเริบ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38189429/ Botox reaction after vax หลังวัคซีน 1-7 เดือน ฉีดโบทอกซ์ แพ้ ต้องรักษาต่ออย่างน้อยหนึ่งปี https://link.springer.com/article/10.1007/s00266-024-04274-w?utm_source=substack&utm_medium=email นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง 26/10/2567
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 306 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ivermectin กับมะเร็ง และอื่นๆ
    ยาฆ่าparasite แต่ทั่วโลกกำลังตื่นเต้นในฤทธิ์ของการฆ่าไวรัสได้หลายชนิดและรวมทั้งการนำไปควบรวมรักษามะเร็งที่ดื้อยา และแม้แต่ ลองโควิดและลองวัคซีน

    * เป็นไปได้หรือไม่ที่จะได้มีการนำมาควบรวมในการใช้ในผู้ป่วยคนไทยจริงๆ
    * หลักฐานตามที่แนบมาอยู่ในวรสารการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ชั้นนำทั้งสิ้น
    * และยามีความปลอดภัยสูงนอกจากนั้นพิสูจน์แล้วว่าใช้เป็นเวลานานเป็นปีไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาข้างเคียงและไม่ตีกับยาอื่น

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    https://ashpublications.org/blood/article/116/18/3593/27970/The-antiparasitic-agent-ivermectin-induces

    https://www.mdpi.com/2072-6694/12/2/441

    https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7320149/

    https://tspace.library.utoronto.ca/bitstream/1807/24641/8/Sharmeen_Sumaiya_20106_MSc_thesis.pdf

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/32611256/

    https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/10428194.2020.1786559

    https://www.medsci.org/v19p1567.pdf

    https://www.news-medical.net/news/20210119/Researchers-identify-new-drug-combination-that-can-treat-acute-myeloid-leukemia.aspx

    https://link.springer.com/article/10.1007/s10787-022-01129-1

    https://onlinelibrary.wiley.com/doi/pdf/10.1111/jcmm.15195

    https://www.nature.com/articles/d41586-024-01431-8?gad_source=1&gclid=CjwKCAjw_Na1BhAlEiwAM-dm7ELoFa53qxJ_GxZeoVGgKaSPEE51r9vK2bzBfazS8eg6VQD-eo6zYxoCZ2gQAvD_BwE

    https://europepmc.org/article/PMC/5835698

    https://link.springer.com/article/10.1007/s13167-020-00209-y

    https://www.zora.uzh.ch/id/eprint/198018/1/Mezzatesta_et_al.pdf

    https://pubs.acs.org/doi/10.1021/acs.jmedchem.2c00496#

    https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S1043661820315152

    Nature 2021https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5 
    Nature 2022https://www.nature.com/articles/s41419-022-05182-0 

    Others
    https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S1043661820315152https://

    www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7505114/https://

    www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2021.717529/fullhttps://journals.sagepub.com/doi/full/10.1177/09603271221143693https://www.mdpi.com/2079-9721/11/1/49https://www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2022.934746/fullhttps://ar.iiarjournals.org/content/39/9/4837 


    Ivermectin converts cold tumors hot and synergizes with immune checkpoint blockade for treatment of breast cancer

    https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5



    https://www.frontiersin.org/journals/molecular-neuroscience/articles/10.3389/fnmol.2023.1138798/full

    https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0166432820305039?fr=RR-2&ref=pdf_download&rr=

    IVM is increasing striatal dopamine release through enhanced cholinergic activity on dopamine terminals.

    https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC11025261/
    Ivermectin กับมะเร็ง และอื่นๆ ยาฆ่าparasite แต่ทั่วโลกกำลังตื่นเต้นในฤทธิ์ของการฆ่าไวรัสได้หลายชนิดและรวมทั้งการนำไปควบรวมรักษามะเร็งที่ดื้อยา และแม้แต่ ลองโควิดและลองวัคซีน * เป็นไปได้หรือไม่ที่จะได้มีการนำมาควบรวมในการใช้ในผู้ป่วยคนไทยจริงๆ * หลักฐานตามที่แนบมาอยู่ในวรสารการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ชั้นนำทั้งสิ้น * และยามีความปลอดภัยสูงนอกจากนั้นพิสูจน์แล้วว่าใช้เป็นเวลานานเป็นปีไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาข้างเคียงและไม่ตีกับยาอื่น ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต https://ashpublications.org/blood/article/116/18/3593/27970/The-antiparasitic-agent-ivermectin-induces https://www.mdpi.com/2072-6694/12/2/441 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7320149/ https://tspace.library.utoronto.ca/bitstream/1807/24641/8/Sharmeen_Sumaiya_20106_MSc_thesis.pdf https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/32611256/ https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/10428194.2020.1786559 https://www.medsci.org/v19p1567.pdf https://www.news-medical.net/news/20210119/Researchers-identify-new-drug-combination-that-can-treat-acute-myeloid-leukemia.aspx https://link.springer.com/article/10.1007/s10787-022-01129-1 https://onlinelibrary.wiley.com/doi/pdf/10.1111/jcmm.15195 https://www.nature.com/articles/d41586-024-01431-8?gad_source=1&gclid=CjwKCAjw_Na1BhAlEiwAM-dm7ELoFa53qxJ_GxZeoVGgKaSPEE51r9vK2bzBfazS8eg6VQD-eo6zYxoCZ2gQAvD_BwE https://europepmc.org/article/PMC/5835698 https://link.springer.com/article/10.1007/s13167-020-00209-y https://www.zora.uzh.ch/id/eprint/198018/1/Mezzatesta_et_al.pdf https://pubs.acs.org/doi/10.1021/acs.jmedchem.2c00496# https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S1043661820315152 Nature 2021https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5  Nature 2022https://www.nature.com/articles/s41419-022-05182-0  Others https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S1043661820315152https:// www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7505114/https:// www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2021.717529/fullhttps://journals.sagepub.com/doi/full/10.1177/09603271221143693https://www.mdpi.com/2079-9721/11/1/49https://www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2022.934746/fullhttps://ar.iiarjournals.org/content/39/9/4837  Ivermectin converts cold tumors hot and synergizes with immune checkpoint blockade for treatment of breast cancer https://www.nature.com/articles/s41523-021-00229-5 https://www.frontiersin.org/journals/molecular-neuroscience/articles/10.3389/fnmol.2023.1138798/full https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0166432820305039?fr=RR-2&ref=pdf_download&rr= IVM is increasing striatal dopamine release through enhanced cholinergic activity on dopamine terminals. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC11025261/
    Like
    Love
    13
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 447 มุมมอง 0 รีวิว
  • **ตอนนั้น​ ถึงขั้น​ ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม**

    (โพสต์​นี้​ รูปแรก ใช้รูปของคนอื่นประกอบ​ เพราะตอนที่พาสปอร์ต​ตก​ในห้องน้ำ​ ตกใจอยู่​ จึงไม่ได้ถ่ายรูปไว้)​

    มีครั้งหนึ่งที่ผมไป #ไต้หวัน ตอนที่ไปเข้าห้องน้ำที่เมือง #เกาสง เพื่อขึ้น #รถไฟความเร็วสูง กลับไปที่ #ไทเป ด้วยความเร่งรีบ ผมจึงลืมปิดกระเป๋าพอเดินไปเข้าห้องน้ำที่พื้นมีน้ำนองอยู่ที่พื้น สูงประมาณครึ่งซม. พาสปอร์ตที่อยู่ในกระเป๋า ก็หล่นลงไปที่พื้น ที่มีน้ำเจิ่งนอง

    ตอนนั้นผมใจหายวาบ รีบเก็บเล่มพาสปอร์ตขึ้นมาดู และ คิดในใจว่า "งานต้องเข้าแล้ว" คิดว่า "คงต้องไปทำธุระแทนที่จะได้เที่ยวแล้ว"

    แต่พอเช็คดู เล่มพาสปอร์ตยังปกติยังไม่ทันเปียกน้ำ เพราะผมใช้ Passport Holder แบรนด์ Signature ที่ตัวปกกันน้ำได้ และมีความหนาพอควร จึงทำให้น้ำที่เจิ่งนองที่พื้นประมาณครึ่งซม. ยังไม่ทันเข้าไปโดนตัวเล่ม จึงรอดไป จากงานที่จ่อเตรียมเข้า

    จึงทำให้ผมคิดได้ว่า หากตอนนั้นไม่ได้ใช้ Passport Holder และ เล่มพาสปอร์ตเกิดเปียก ผมควรต้องทำอย่าไรบ้างเพื่อแก้ปัญหานี้ จึงทำให้เรียบเรียงบทความนี้ขึ้นมา เพราะตอนไปต่างประเทศ เราก็ต้องสัมผัสกับน้ำ และเข้าห้องน้ำทุกวัน จึงมีโอกาสเกิดปัญหา #พาสปอร์ตตกน้ำ หรือ #พาสปอร์ตเปียก น้ำได้ง่ายกว่า ปัญหารูปแบบอื่นๆ

    ---------

    4 ขั้นตอน หลังพบว่า #เล่มพาสปอร์ตเปียก ตอนอยู่ต่างประเทศ

    1. รีบเช็ดให้แห้ง และ ตรวจสอบความเสียหาย

    นำพาสปอร์ตออกจากน้ำทันที เช็ดน้ำออกให้มากที่สุด ใช้ผ้าสะอาดหรือกระดาษทิชชู่ซับน้ำ

    เมื่อซับน้ำแล้ว ให้วางพาสปอร์ตในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกและหลีกเลี่ยงความร้อนจัด เพื่อป้องกัน "กระดาษย่นหรือ ซีลพลาสติกพัง" ที่จะส่งผลให้ เล่มพาสปอร์ตทำงานไม่ได้

    2. ใช้เครื่องมือเพื่อช่วยให้แห้ง ก่อนที่เล่มจะเสียหาย

    หากมีไดร์เป่าผม สามารถใช้ "ไดร์เป่า ลมเย็น" เป่าพาสปอร์ตเพื่อช่วยให้น้ำแห้งเร็วขึ้น ** ห้ามใช้ลมร้อนโดยเด็ดขาด** เพราะอาจทำให้พาสปอร์ต เสียหายมากกว่าเดิม

    ถ้ามีซองดูดความชื้นให้ใส่พาสปอร์ตในถุงพร้อมซองดูดความชื้น วิธีนี้จะช่วยให้พาสปอร์ตแห้งโดยไม่เสี่ยงต่อการเสียรูป

    3. ตรวจสอบความชัดเจน ของข้อมูลบนพาสปอร์ต

    ตรวจสอบ "หน้าแรกที่มีรูปถ่าย และ ข้อมูลสำคัญต่างๆ ว่ายังชัดเจนดีไหม" ถ้าหมึกเลือนหรือเสียหาย การยืนยันตัวตนอาจมีปัญหาเมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าออกระหว่างประเทศ

    หากข้อมูลเริ่มไม่ชัดเจนหรือพาสปอร์ตบวมจากความชื้น ควรเตรียมตัวขอเอกสารใหม่

    4. ติดต่อสถานทูตหรือสถานกงสุลไทย​ ในประเทศนั้นๆ

    ควรรีบติดต่อสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยใกล้ที่สุด แจ้งเหตุการณ์และขอคำแนะนำ หากจำเป็นอาจต้อง ขอเอกสารชั่วคราวสำหรับการเดินทางกลับประเทศไทย

    ทางสถานทูตจะช่วยเหลือในการออก #เอกสารทดแทน (Emergency Travel Document) ซึ่งสามารถใช้แทนพาสปอร์ตในกรณีฉุกเฉิน

    ---------

    #พาสปอร์ต ถือเป็นหนึ่งในเอกสารที่มีความสำคัญสูงสุด ในการเดินทางต่างประเทศ การป้องกันความเสียหายแก่เอกสารนี้ จึงเป็นความจำเป็นที่ต้องทำ เป็นงานที่ควรเตรียมพร้อมก่อนเดินทางไปต่างประเทศ

    หากคุณกำลังมองหา #PassportHolder ที่ทำจากวัสดุคุณภาพสูง สีสันสวยงาม มี 17 สีให้เลือกสรร การตัดเย็บดีเยี่ยม ราคาสมเหตุสมผล อีกทั้งยังออกแบบให้สนับสนุนการจัดเก็บและจัดการเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้คุณสะดวกในการใช้งาน

    The Signature Passport Holder อาจเป็น Passport Holder ที่ตอบโจทย์ของคุณ

    #TheSignature #BangkokCraftmanship #การจัดการ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes

    --------

    เพิ่มเติม

    ตัวอย่างปรากฏการณ์จริง ที่แสดงให้เห็นว่า พอ #พาสปอร์ตเปียกน้ำ แล้วยุ่งยาก เสี่ยงทริปล่มแค่ไหน อ่านได้ ตามลิงค์ด้านล่าง

    https://www.facebook.com/TravelNews.th/posts/pfbid02mdjSeF6DMwgDxj5UkzVhwJ7sFWEerVjas3Zuz2Ax67XGwUD6meH3NXC8JjW2RHpBl

    ขอบคุณข้อมูลจากเพจ #TravelNews ครับ
    **ตอนนั้น​ ถึงขั้น​ ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม** (โพสต์​นี้​ รูปแรก ใช้รูปของคนอื่นประกอบ​ เพราะตอนที่พาสปอร์ต​ตก​ในห้องน้ำ​ ตกใจอยู่​ จึงไม่ได้ถ่ายรูปไว้)​ มีครั้งหนึ่งที่ผมไป #ไต้หวัน ตอนที่ไปเข้าห้องน้ำที่เมือง #เกาสง เพื่อขึ้น #รถไฟความเร็วสูง กลับไปที่ #ไทเป ด้วยความเร่งรีบ ผมจึงลืมปิดกระเป๋าพอเดินไปเข้าห้องน้ำที่พื้นมีน้ำนองอยู่ที่พื้น สูงประมาณครึ่งซม. พาสปอร์ตที่อยู่ในกระเป๋า ก็หล่นลงไปที่พื้น ที่มีน้ำเจิ่งนอง ตอนนั้นผมใจหายวาบ รีบเก็บเล่มพาสปอร์ตขึ้นมาดู และ คิดในใจว่า "งานต้องเข้าแล้ว" คิดว่า "คงต้องไปทำธุระแทนที่จะได้เที่ยวแล้ว" แต่พอเช็คดู เล่มพาสปอร์ตยังปกติยังไม่ทันเปียกน้ำ เพราะผมใช้ Passport Holder แบรนด์ Signature ที่ตัวปกกันน้ำได้ และมีความหนาพอควร จึงทำให้น้ำที่เจิ่งนองที่พื้นประมาณครึ่งซม. ยังไม่ทันเข้าไปโดนตัวเล่ม จึงรอดไป จากงานที่จ่อเตรียมเข้า จึงทำให้ผมคิดได้ว่า หากตอนนั้นไม่ได้ใช้ Passport Holder และ เล่มพาสปอร์ตเกิดเปียก ผมควรต้องทำอย่าไรบ้างเพื่อแก้ปัญหานี้ จึงทำให้เรียบเรียงบทความนี้ขึ้นมา เพราะตอนไปต่างประเทศ เราก็ต้องสัมผัสกับน้ำ และเข้าห้องน้ำทุกวัน จึงมีโอกาสเกิดปัญหา #พาสปอร์ตตกน้ำ หรือ #พาสปอร์ตเปียก น้ำได้ง่ายกว่า ปัญหารูปแบบอื่นๆ --------- 4 ขั้นตอน หลังพบว่า #เล่มพาสปอร์ตเปียก ตอนอยู่ต่างประเทศ 1. รีบเช็ดให้แห้ง และ ตรวจสอบความเสียหาย นำพาสปอร์ตออกจากน้ำทันที เช็ดน้ำออกให้มากที่สุด ใช้ผ้าสะอาดหรือกระดาษทิชชู่ซับน้ำ เมื่อซับน้ำแล้ว ให้วางพาสปอร์ตในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกและหลีกเลี่ยงความร้อนจัด เพื่อป้องกัน "กระดาษย่นหรือ ซีลพลาสติกพัง" ที่จะส่งผลให้ เล่มพาสปอร์ตทำงานไม่ได้ 2. ใช้เครื่องมือเพื่อช่วยให้แห้ง ก่อนที่เล่มจะเสียหาย หากมีไดร์เป่าผม สามารถใช้ "ไดร์เป่า ลมเย็น" เป่าพาสปอร์ตเพื่อช่วยให้น้ำแห้งเร็วขึ้น ** ห้ามใช้ลมร้อนโดยเด็ดขาด** เพราะอาจทำให้พาสปอร์ต เสียหายมากกว่าเดิม ถ้ามีซองดูดความชื้นให้ใส่พาสปอร์ตในถุงพร้อมซองดูดความชื้น วิธีนี้จะช่วยให้พาสปอร์ตแห้งโดยไม่เสี่ยงต่อการเสียรูป 3. ตรวจสอบความชัดเจน ของข้อมูลบนพาสปอร์ต ตรวจสอบ "หน้าแรกที่มีรูปถ่าย และ ข้อมูลสำคัญต่างๆ ว่ายังชัดเจนดีไหม" ถ้าหมึกเลือนหรือเสียหาย การยืนยันตัวตนอาจมีปัญหาเมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าออกระหว่างประเทศ หากข้อมูลเริ่มไม่ชัดเจนหรือพาสปอร์ตบวมจากความชื้น ควรเตรียมตัวขอเอกสารใหม่ 4. ติดต่อสถานทูตหรือสถานกงสุลไทย​ ในประเทศนั้นๆ ควรรีบติดต่อสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยใกล้ที่สุด แจ้งเหตุการณ์และขอคำแนะนำ หากจำเป็นอาจต้อง ขอเอกสารชั่วคราวสำหรับการเดินทางกลับประเทศไทย ทางสถานทูตจะช่วยเหลือในการออก #เอกสารทดแทน (Emergency Travel Document) ซึ่งสามารถใช้แทนพาสปอร์ตในกรณีฉุกเฉิน --------- #พาสปอร์ต ถือเป็นหนึ่งในเอกสารที่มีความสำคัญสูงสุด ในการเดินทางต่างประเทศ การป้องกันความเสียหายแก่เอกสารนี้ จึงเป็นความจำเป็นที่ต้องทำ เป็นงานที่ควรเตรียมพร้อมก่อนเดินทางไปต่างประเทศ หากคุณกำลังมองหา #PassportHolder ที่ทำจากวัสดุคุณภาพสูง สีสันสวยงาม มี 17 สีให้เลือกสรร การตัดเย็บดีเยี่ยม ราคาสมเหตุสมผล อีกทั้งยังออกแบบให้สนับสนุนการจัดเก็บและจัดการเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้คุณสะดวกในการใช้งาน The Signature Passport Holder อาจเป็น Passport Holder ที่ตอบโจทย์ของคุณ #TheSignature #BangkokCraftmanship #การจัดการ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes -------- เพิ่มเติม ตัวอย่างปรากฏการณ์จริง ที่แสดงให้เห็นว่า พอ #พาสปอร์ตเปียกน้ำ แล้วยุ่งยาก เสี่ยงทริปล่มแค่ไหน อ่านได้ ตามลิงค์ด้านล่าง https://www.facebook.com/TravelNews.th/posts/pfbid02mdjSeF6DMwgDxj5UkzVhwJ7sFWEerVjas3Zuz2Ax67XGwUD6meH3NXC8JjW2RHpBl ขอบคุณข้อมูลจากเพจ #TravelNews ครับ
    Like
    1
    6 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 581 มุมมอง 0 รีวิว
  • **ตอนนั้น​ ถึงขั้น​ ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม**

    (โพสต์​นี้​ รูปแรก ใช้รูปของคนอื่นประกอบ​ เพราะตอนที่พาสปอร์ต​ตก​ในห้องน้ำ​ ตกใจอยู่​ จึงไม่ได้ถ่ายรูปไว้)​

    มีครั้งหนึ่งที่ผมไป #ไต้หวัน ตอนที่ไปเข้าห้องน้ำที่เมือง #เกาสง เพื่อขึ้น #รถไฟความเร็วสูง กลับไปที่ #ไทเป ด้วยความเร่งรีบ ผมจึงลืมปิดกระเป๋าพอเดินไปเข้าห้องน้ำที่พื้นมีน้ำนองอยู่ที่พื้น สูงประมาณครึ่งซม. พาสปอร์ตที่อยู่ในกระเป๋า ก็หล่นลงไปที่พื้น ที่มีน้ำเจิ่งนอง

    ตอนนั้นผมใจหายวาบ รีบเก็บเล่มพาสปอร์ตขึ้นมาดู และ คิดในใจว่า "งานต้องเข้าแล้ว" คิดว่า "คงต้องไปทำธุระแทนที่จะได้เที่ยวแล้ว"

    แต่พอเช็คดู เล่มพาสปอร์ตยังปกติยังไม่ทันเปียกน้ำ เพราะผมใช้ Passport Holder แบรนด์ Signature ที่ตัวปกกันน้ำได้ และมีความหนาพอควร จึงทำให้น้ำที่เจิ่งนองที่พื้นประมาณครึ่งซม. ยังไม่ทันเข้าไปโดนตัวเล่ม จึงรอดไป จากงานที่จ่อเตรียมเข้า

    จึงทำให้ผมคิดได้ว่า หากตอนนั้นไม่ได้ใช้ Passport Holder และ เล่มพาสปอร์ตเกิดเปียก ผมควรต้องทำอย่าไรบ้างเพื่อแก้ปัญหานี้ จึงทำให้เรียบเรียงบทความนี้ขึ้นมา เพราะตอนไปต่างประเทศ เราก็ต้องสัมผัสกับน้ำ และเข้าห้องน้ำทุกวัน จึงมีโอกาสเกิดปัญหา #พาสปอร์ตตกน้ำ หรือ #พาสปอร์ตเปียก น้ำได้ง่ายกว่า ปัญหารูปแบบอื่นๆ

    ---------

    4 ขั้นตอน หลังพบว่า #เล่มพาสปอร์ตเปียก ตอนอยู่ต่างประเทศ

    1. รีบเช็ดให้แห้ง และ ตรวจสอบความเสียหาย

    นำพาสปอร์ตออกจากน้ำทันที เช็ดน้ำออกให้มากที่สุด ใช้ผ้าสะอาดหรือกระดาษทิชชู่ซับน้ำ

    เมื่อซับน้ำแล้ว ให้วางพาสปอร์ตในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกและหลีกเลี่ยงความร้อนจัด เพื่อป้องกัน "กระดาษย่นหรือ ซีลพลาสติกพัง" ที่จะส่งผลให้ เล่มพาสปอร์ตทำงานไม่ได้

    2. ใช้เครื่องมือเพื่อช่วยให้แห้ง ก่อนที่เล่มจะเสียหาย

    หากมีไดร์เป่าผม สามารถใช้ "ไดร์เป่า ลมเย็น" เป่าพาสปอร์ตเพื่อช่วยให้น้ำแห้งเร็วขึ้น ** ห้ามใช้ลมร้อนโดยเด็ดขาด** เพราะอาจทำให้พาสปอร์ต เสียหายมากกว่าเดิม

    ถ้ามีซองดูดความชื้นให้ใส่พาสปอร์ตในถุงพร้อมซองดูดความชื้น วิธีนี้จะช่วยให้พาสปอร์ตแห้งโดยไม่เสี่ยงต่อการเสียรูป

    3. ตรวจสอบความชัดเจน ของข้อมูลบนพาสปอร์ต

    ตรวจสอบ "หน้าแรกที่มีรูปถ่าย และ ข้อมูลสำคัญต่างๆ ว่ายังชัดเจนดีไหม" ถ้าหมึกเลือนหรือเสียหาย การยืนยันตัวตนอาจมีปัญหาเมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าออกระหว่างประเทศ

    หากข้อมูลเริ่มไม่ชัดเจนหรือพาสปอร์ตบวมจากความชื้น ควรเตรียมตัวขอเอกสารใหม่

    4. ติดต่อสถานทูตหรือสถานกงสุลไทย​ ในประเทศนั้นๆ

    ควรรีบติดต่อสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยใกล้ที่สุด แจ้งเหตุการณ์และขอคำแนะนำ หากจำเป็นอาจต้อง ขอเอกสารชั่วคราวสำหรับการเดินทางกลับประเทศไทย

    ทางสถานทูตจะช่วยเหลือในการออก #เอกสารทดแทน (Emergency Travel Document) ซึ่งสามารถใช้แทนพาสปอร์ตในกรณีฉุกเฉิน

    ---------

    #พาสปอร์ต ถือเป็นหนึ่งในเอกสารที่มีความสำคัญสูงสุด ในการเดินทางต่างประเทศ การป้องกันความเสียหายแก่เอกสารนี้ จึงเป็นความจำเป็นที่ต้องทำ เป็นงานที่ควรเตรียมพร้อมก่อนเดินทางไปต่างประเทศ

    หากคุณกำลังมองหา #PassportHolder ที่ทำจากวัสดุคุณภาพสูง สีสันสวยงาม มี 17 สีให้เลือกสรร การตัดเย็บดีเยี่ยม ราคาสมเหตุสมผล อีกทั้งยังออกแบบให้สนับสนุนการจัดเก็บและจัดการเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้คุณสะดวกในการใช้งาน

    The Signature Passport Holder อาจเป็น Passport Holder ที่ตอบโจทย์ของคุณ

    #TheSignature #BangkokCraftmanship #การจัดการ

    -------

    เพิ่มเติม

    ตัวอย่างปรากฏการณ์จริง ที่แสดงให้เห็นว่า พอ #พาสปอร์ตเปียกน้ำ แล้วยุ่งยาก เสี่ยงทริปล่มแค่ไหน อ่านได้ ตามลิงค์ด้านล่าง

    https://www.facebook.com/TravelNews.th/posts/pfbid02mdjSeF6DMwgDxj5UkzVhwJ7sFWEerVjas3Zuz2Ax67XGwUD6meH3NXC8JjW2RHpBl

    ขอบคุณข้อมูลจากเพจ #TravelNews ครับ
    **ตอนนั้น​ ถึงขั้น​ ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม** (โพสต์​นี้​ รูปแรก ใช้รูปของคนอื่นประกอบ​ เพราะตอนที่พาสปอร์ต​ตก​ในห้องน้ำ​ ตกใจอยู่​ จึงไม่ได้ถ่ายรูปไว้)​ มีครั้งหนึ่งที่ผมไป #ไต้หวัน ตอนที่ไปเข้าห้องน้ำที่เมือง #เกาสง เพื่อขึ้น #รถไฟความเร็วสูง กลับไปที่ #ไทเป ด้วยความเร่งรีบ ผมจึงลืมปิดกระเป๋าพอเดินไปเข้าห้องน้ำที่พื้นมีน้ำนองอยู่ที่พื้น สูงประมาณครึ่งซม. พาสปอร์ตที่อยู่ในกระเป๋า ก็หล่นลงไปที่พื้น ที่มีน้ำเจิ่งนอง ตอนนั้นผมใจหายวาบ รีบเก็บเล่มพาสปอร์ตขึ้นมาดู และ คิดในใจว่า "งานต้องเข้าแล้ว" คิดว่า "คงต้องไปทำธุระแทนที่จะได้เที่ยวแล้ว" แต่พอเช็คดู เล่มพาสปอร์ตยังปกติยังไม่ทันเปียกน้ำ เพราะผมใช้ Passport Holder แบรนด์ Signature ที่ตัวปกกันน้ำได้ และมีความหนาพอควร จึงทำให้น้ำที่เจิ่งนองที่พื้นประมาณครึ่งซม. ยังไม่ทันเข้าไปโดนตัวเล่ม จึงรอดไป จากงานที่จ่อเตรียมเข้า จึงทำให้ผมคิดได้ว่า หากตอนนั้นไม่ได้ใช้ Passport Holder และ เล่มพาสปอร์ตเกิดเปียก ผมควรต้องทำอย่าไรบ้างเพื่อแก้ปัญหานี้ จึงทำให้เรียบเรียงบทความนี้ขึ้นมา เพราะตอนไปต่างประเทศ เราก็ต้องสัมผัสกับน้ำ และเข้าห้องน้ำทุกวัน จึงมีโอกาสเกิดปัญหา #พาสปอร์ตตกน้ำ หรือ #พาสปอร์ตเปียก น้ำได้ง่ายกว่า ปัญหารูปแบบอื่นๆ --------- 4 ขั้นตอน หลังพบว่า #เล่มพาสปอร์ตเปียก ตอนอยู่ต่างประเทศ 1. รีบเช็ดให้แห้ง และ ตรวจสอบความเสียหาย นำพาสปอร์ตออกจากน้ำทันที เช็ดน้ำออกให้มากที่สุด ใช้ผ้าสะอาดหรือกระดาษทิชชู่ซับน้ำ เมื่อซับน้ำแล้ว ให้วางพาสปอร์ตในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกและหลีกเลี่ยงความร้อนจัด เพื่อป้องกัน "กระดาษย่นหรือ ซีลพลาสติกพัง" ที่จะส่งผลให้ เล่มพาสปอร์ตทำงานไม่ได้ 2. ใช้เครื่องมือเพื่อช่วยให้แห้ง ก่อนที่เล่มจะเสียหาย หากมีไดร์เป่าผม สามารถใช้ "ไดร์เป่า ลมเย็น" เป่าพาสปอร์ตเพื่อช่วยให้น้ำแห้งเร็วขึ้น ** ห้ามใช้ลมร้อนโดยเด็ดขาด** เพราะอาจทำให้พาสปอร์ต เสียหายมากกว่าเดิม ถ้ามีซองดูดความชื้นให้ใส่พาสปอร์ตในถุงพร้อมซองดูดความชื้น วิธีนี้จะช่วยให้พาสปอร์ตแห้งโดยไม่เสี่ยงต่อการเสียรูป 3. ตรวจสอบความชัดเจน ของข้อมูลบนพาสปอร์ต ตรวจสอบ "หน้าแรกที่มีรูปถ่าย และ ข้อมูลสำคัญต่างๆ ว่ายังชัดเจนดีไหม" ถ้าหมึกเลือนหรือเสียหาย การยืนยันตัวตนอาจมีปัญหาเมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าออกระหว่างประเทศ หากข้อมูลเริ่มไม่ชัดเจนหรือพาสปอร์ตบวมจากความชื้น ควรเตรียมตัวขอเอกสารใหม่ 4. ติดต่อสถานทูตหรือสถานกงสุลไทย​ ในประเทศนั้นๆ ควรรีบติดต่อสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยใกล้ที่สุด แจ้งเหตุการณ์และขอคำแนะนำ หากจำเป็นอาจต้อง ขอเอกสารชั่วคราวสำหรับการเดินทางกลับประเทศไทย ทางสถานทูตจะช่วยเหลือในการออก #เอกสารทดแทน (Emergency Travel Document) ซึ่งสามารถใช้แทนพาสปอร์ตในกรณีฉุกเฉิน --------- #พาสปอร์ต ถือเป็นหนึ่งในเอกสารที่มีความสำคัญสูงสุด ในการเดินทางต่างประเทศ การป้องกันความเสียหายแก่เอกสารนี้ จึงเป็นความจำเป็นที่ต้องทำ เป็นงานที่ควรเตรียมพร้อมก่อนเดินทางไปต่างประเทศ หากคุณกำลังมองหา #PassportHolder ที่ทำจากวัสดุคุณภาพสูง สีสันสวยงาม มี 17 สีให้เลือกสรร การตัดเย็บดีเยี่ยม ราคาสมเหตุสมผล อีกทั้งยังออกแบบให้สนับสนุนการจัดเก็บและจัดการเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้คุณสะดวกในการใช้งาน The Signature Passport Holder อาจเป็น Passport Holder ที่ตอบโจทย์ของคุณ #TheSignature #BangkokCraftmanship #การจัดการ ------- เพิ่มเติม ตัวอย่างปรากฏการณ์จริง ที่แสดงให้เห็นว่า พอ #พาสปอร์ตเปียกน้ำ แล้วยุ่งยาก เสี่ยงทริปล่มแค่ไหน อ่านได้ ตามลิงค์ด้านล่าง https://www.facebook.com/TravelNews.th/posts/pfbid02mdjSeF6DMwgDxj5UkzVhwJ7sFWEerVjas3Zuz2Ax67XGwUD6meH3NXC8JjW2RHpBl ขอบคุณข้อมูลจากเพจ #TravelNews ครับ
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัคซีน ให้ได้ทุกอย่าง ความแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกัน และกระทบ หัวใจ สมอง จิตอารมณ์ ข้อ ร่างกายอักเสบ ผมร่วง ผิวด่างขาว ฉีดโบทอกซ์ กลับฉีดไม่ได้ไปปีหนึ่ง เพราะแพ้มีปฏิกิริยาจนต้องใช้สเตียรอยด์ และอื่นๆ
    จากแพลตฟอร์มของการผลิต และการปรับแต่งในตัว
    ตามตัวอย่างไม่กี่รายงานที่ยกมา
    Macrophage activation syndrome and others following vaccination
    ปรากฏการณ์อักเสบในระบบร่วมกัน จากการกระตุ้นระบบเซลล์แม็คโครฟาจ

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/39041264/

    Nationwide safety surveillance of COVID-19 mRNA vaccines following primary series and first booster vaccination in Singapore
    หัวใจอักเสบ

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38130887/

    Roughly 1/3rd of mRNA COVID-19 Vaccine Recipients Experience 'Unintended Immune Response in the Body': Cambridge University, Journal 'Nature'
    กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่ พึงประสงค์
    https://www.nature.com/articles/s41586-023-06800-3
    Chronic Skin Autoimmune Disease Vitiligo Following COVID-19 Vaccination: 'Journal of Dermatology'
    โรคผิวหนังเรื้อรัง ด่างขาว
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/37186102/

    COVID-19 Jab mRNA and Spike Protein Stay in Human Tissue Longer Than Expected: Journal 'British Pharmacological Society'
    โปรตีนหนาม ค้างอยู่ในร่างกายนานมากกว่าที่คิด

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38867495/

    Hair Loss Following COVID-19 Jab: Journal 'Expert Opinion on Therapeutic Targets'
    ผมร่วง
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38646688/

    Autoimmune Brain Inflammation with 'Psychiatric Manifestations' Following Pfizer COVID-19 Injection: New Case Report in 'Archives of Clinical Neuropsychology'
    สมองอักเสบจากภูมิคุ้มกัน และมีภาวะโรคจิตประสาท
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38614963/

    Autoimmune Disease, Rheumatoid Arthritis, Neurological Complications Linked to COVID Vaccine: Journal 'Current Medical Research and Opinion'
    นานาชนิด ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ความผิดปกติของสมองและระบบประสาท

    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38193825/

    Autoimmune Disorder Lupus Flare Rate 'Higher in [COVID-19] Vaccinated Patients Than Unvaccinated Controls': Journal 'Immunological Medicine'
    ได้รับไปแล้วโรคพุ่มพวงกำเริบ
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38189429/
    Botox reaction after vax
    หลังวัคซีน 1-7 เดือน ฉีดโบทอกซ์ แพ้ ต้องรักษาต่ออย่างน้อยหนึ่งปี
    https://link.springer.com/article/10.1007/s00266-024-04274-w?utm_source=substack&utm_medium=email
    วัคซีน ให้ได้ทุกอย่าง ความแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกัน และกระทบ หัวใจ สมอง จิตอารมณ์ ข้อ ร่างกายอักเสบ ผมร่วง ผิวด่างขาว ฉีดโบทอกซ์ กลับฉีดไม่ได้ไปปีหนึ่ง เพราะแพ้มีปฏิกิริยาจนต้องใช้สเตียรอยด์ และอื่นๆ จากแพลตฟอร์มของการผลิต และการปรับแต่งในตัว ตามตัวอย่างไม่กี่รายงานที่ยกมา Macrophage activation syndrome and others following vaccination ปรากฏการณ์อักเสบในระบบร่วมกัน จากการกระตุ้นระบบเซลล์แม็คโครฟาจ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/39041264/ Nationwide safety surveillance of COVID-19 mRNA vaccines following primary series and first booster vaccination in Singapore หัวใจอักเสบ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38130887/ Roughly 1/3rd of mRNA COVID-19 Vaccine Recipients Experience 'Unintended Immune Response in the Body': Cambridge University, Journal 'Nature' กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่ พึงประสงค์ https://www.nature.com/articles/s41586-023-06800-3 Chronic Skin Autoimmune Disease Vitiligo Following COVID-19 Vaccination: 'Journal of Dermatology' โรคผิวหนังเรื้อรัง ด่างขาว https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/37186102/ COVID-19 Jab mRNA and Spike Protein Stay in Human Tissue Longer Than Expected: Journal 'British Pharmacological Society' โปรตีนหนาม ค้างอยู่ในร่างกายนานมากกว่าที่คิด https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38867495/ Hair Loss Following COVID-19 Jab: Journal 'Expert Opinion on Therapeutic Targets' ผมร่วง https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38646688/ Autoimmune Brain Inflammation with 'Psychiatric Manifestations' Following Pfizer COVID-19 Injection: New Case Report in 'Archives of Clinical Neuropsychology' สมองอักเสบจากภูมิคุ้มกัน และมีภาวะโรคจิตประสาท https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38614963/ Autoimmune Disease, Rheumatoid Arthritis, Neurological Complications Linked to COVID Vaccine: Journal 'Current Medical Research and Opinion' นานาชนิด ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ความผิดปกติของสมองและระบบประสาท https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38193825/ Autoimmune Disorder Lupus Flare Rate 'Higher in [COVID-19] Vaccinated Patients Than Unvaccinated Controls': Journal 'Immunological Medicine' ได้รับไปแล้วโรคพุ่มพวงกำเริบ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38189429/ Botox reaction after vax หลังวัคซีน 1-7 เดือน ฉีดโบทอกซ์ แพ้ ต้องรักษาต่ออย่างน้อยหนึ่งปี https://link.springer.com/article/10.1007/s00266-024-04274-w?utm_source=substack&utm_medium=email
    Like
    Sad
    Love
    18
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 575 มุมมอง 0 รีวิว
  • What To Write In A Holiday Card

    Just as we look forward to presents and parties this time of year, we can’t get enough of holiday cards! We love them all: from colorful cards sent by snail mail to animated emails to newsletters summing up what everyone in the family has been up to all year. Fun fact: the very first holiday card in 1843 depicted children toasting with wine—oops!

    But when it comes to sending your own holiday cards this season, it can be confusing to know how to get them just right. The fear of accidentally offending someone or leaving someone off your list can be daunting.

    That’s why we’ve put together these dos and don’ts to kickstart (or improve) your holiday writing tradition.

    Do start early

    You’ll want to leave yourself time to get (or make, if you’re ambitious) cards, write a message, and sign them. If your holiday card includes a picture of your adorable family in matching elf costumes, you’ll need even more time to get the costumes, take the photo, and have it printed. Keep that in mind!

    If you’re planning on sending your holiday cards via the post, it’s recommended you mail them before December 17. So think about the time you have, and what you can reasonably accomplish, which leads us to …

    Don’t be overly ambitious

    Maybe you’re one of these people who, like Martha Stewart, can handcraft a card for each person on your 40-person list and still get them out on time. But most of us mere mortals are not Martha Stewart (sadly).

    People are happy to get a holiday card because it shows you care about them and are thinking about them. Whether it’s store-bought or handmade, it’s the thought that counts.

    Now that we’ve set reasonable expectations, let’s get into the details of writing those holiday cards.

    Do write the recipient’s name

    Even if it’s a store-bought card with a pre-printed message, you want to be sure to write the recipient’s name(s) at the top of the card. You can be formal or informal, depending on the context.

    For a less formal card, you can use the formula of “Dear” plus first names: e.g., Dear Jack & Jill.

    If you’re writing a more formal card, then you’ll want to use honorifics and last names: e.g., Dear Mr. & Dr. Falldownhill or Dear Ms. Dalloway.

    Don’t guess the spelling

    When you’re writing the recipient’s name, make sure you get it right. If it’s a name you’re unfamiliar with or one that has multiple spellings, double-check your address book or other references (social media works) to ensure that you haven’t left out a letter or put in one too many. It’s not a good look.

    Do include a personal message

    Even if your holiday card comes from a box or is an online widget, you should include a personal message to the recipient. This can be short and sweet, as simple as:

    - Wishing you and your family a happy holiday season!
    - The holidays come but once a year: enjoy!
    - Thinking of you over the holidays.
    - Hoping you have a joyous and peaceful holiday.
    - Have a wonderful New Year!
    - Let the spirit of the season inspire you.
    - Warm wishes for the holiday and New Year.
    - Hope this season is filled with joy and cheer!
    - Sending you good luck into the New Year!

    Stock phrases are a good starting point, but you can also include some personal details. For instance, you might consider adding:

    - the important things that happened to you or your family this year, like marriages or births;
    - a wish for the recipient’s health, especially if you know they’ve been under the weather this year;
    - or a note about your desire to see them if they live far away.

    All that said, unless you’re writing a holiday letter, your holiday card note shouldn’t be too long. Aim for no more than 150 words.

    If you’re writing a holiday letter, keep it to a single page long (about 400 words). Nobody needs to know about every detail of your year, trust us.

    Don’t assume everyone celebrates the same holidays

    If you’re sending cards to people you know well, you probably know what holidays they celebrate, so feel free to write “Merry Christmas” and “Happy Hanukkah.” [Is it Tis the Season or ’Tis the Season? Find out!]

    But if you’re sending cards to coworkers, family, or friends you know less well, don’t assume they celebrate the same holidays you do. That can cause unnecessary offense.

    If you’re unsure, stick to the more generic happy holidays or season’s greetings. Make it easy on yourself. Or, as the Emily Post Institute suggests, you can also opt to send a more secular greeting for the new year.

    Do be funny (if you want)

    You can absolutely send formal holiday cards. In which case, we don’t recommend you include jokes.

    But if you’re sending cards to friends and family, a little bit of levity can be nice. That said, avoid any jokes that could be offensive. For example, many people include humorous pictures of their family on their holiday cards. It’s a little cheesy, but also kind of wonderful.

    Don’t be depressing

    Unless you’re Eeyore, you should try to keep a positive, happy tone in your holiday card message.

    Don’t write “This year has sucked” or “Everything is garbage.” If you feel that way, we get it—the holidays can be tough. But holiday cards are a place where the maxim If you don’t have anything nice to say, don’t say anything at all rules.

    If you’re too bummed out to think of any good news to share, just write a generic message like the ones we suggested above.

    Do have everyone in the family sign the card

    After you’ve written your short, thoughtful note in your card, be sure to sign it. If it’s just you, that’s simple enough.

    If you’re sending the card on behalf of your entire immediate family and are going the paper route, pass the card around the family to have them sign. If you’re sending an online card, just include everyone’s name in the signature line.

    Don’t boast

    Holiday cards and letters are an opportunity to reach out to the people you love and care about. It’s not an opportunity for you to boast about how wonderful you and your family are (although we are sure they are wonderful).

    This isn’t a resumé, it’s a highlight reel. Instead of listing every good deed every family member has done all year, pick one or two of the most important things to mention in your message. Moves, weddings, graduations, and births are worth mentioning. Volunteer work at the local soup kitchen, while admirable, is not.

    We wish you the best of luck with your holiday cards this season. Sometimes the cards are as hectic as the holidays … so grab a cup of eggnog and get writing!

    Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    What To Write In A Holiday Card Just as we look forward to presents and parties this time of year, we can’t get enough of holiday cards! We love them all: from colorful cards sent by snail mail to animated emails to newsletters summing up what everyone in the family has been up to all year. Fun fact: the very first holiday card in 1843 depicted children toasting with wine—oops! But when it comes to sending your own holiday cards this season, it can be confusing to know how to get them just right. The fear of accidentally offending someone or leaving someone off your list can be daunting. That’s why we’ve put together these dos and don’ts to kickstart (or improve) your holiday writing tradition. Do start early You’ll want to leave yourself time to get (or make, if you’re ambitious) cards, write a message, and sign them. If your holiday card includes a picture of your adorable family in matching elf costumes, you’ll need even more time to get the costumes, take the photo, and have it printed. Keep that in mind! If you’re planning on sending your holiday cards via the post, it’s recommended you mail them before December 17. So think about the time you have, and what you can reasonably accomplish, which leads us to … Don’t be overly ambitious Maybe you’re one of these people who, like Martha Stewart, can handcraft a card for each person on your 40-person list and still get them out on time. But most of us mere mortals are not Martha Stewart (sadly). People are happy to get a holiday card because it shows you care about them and are thinking about them. Whether it’s store-bought or handmade, it’s the thought that counts. Now that we’ve set reasonable expectations, let’s get into the details of writing those holiday cards. Do write the recipient’s name Even if it’s a store-bought card with a pre-printed message, you want to be sure to write the recipient’s name(s) at the top of the card. You can be formal or informal, depending on the context. For a less formal card, you can use the formula of “Dear” plus first names: e.g., Dear Jack & Jill. If you’re writing a more formal card, then you’ll want to use honorifics and last names: e.g., Dear Mr. & Dr. Falldownhill or Dear Ms. Dalloway. Don’t guess the spelling When you’re writing the recipient’s name, make sure you get it right. If it’s a name you’re unfamiliar with or one that has multiple spellings, double-check your address book or other references (social media works) to ensure that you haven’t left out a letter or put in one too many. It’s not a good look. Do include a personal message Even if your holiday card comes from a box or is an online widget, you should include a personal message to the recipient. This can be short and sweet, as simple as: - Wishing you and your family a happy holiday season! - The holidays come but once a year: enjoy! - Thinking of you over the holidays. - Hoping you have a joyous and peaceful holiday. - Have a wonderful New Year! - Let the spirit of the season inspire you. - Warm wishes for the holiday and New Year. - Hope this season is filled with joy and cheer! - Sending you good luck into the New Year! Stock phrases are a good starting point, but you can also include some personal details. For instance, you might consider adding: - the important things that happened to you or your family this year, like marriages or births; - a wish for the recipient’s health, especially if you know they’ve been under the weather this year; - or a note about your desire to see them if they live far away. All that said, unless you’re writing a holiday letter, your holiday card note shouldn’t be too long. Aim for no more than 150 words. If you’re writing a holiday letter, keep it to a single page long (about 400 words). Nobody needs to know about every detail of your year, trust us. Don’t assume everyone celebrates the same holidays If you’re sending cards to people you know well, you probably know what holidays they celebrate, so feel free to write “Merry Christmas” and “Happy Hanukkah.” [Is it Tis the Season or ’Tis the Season? Find out!] But if you’re sending cards to coworkers, family, or friends you know less well, don’t assume they celebrate the same holidays you do. That can cause unnecessary offense. If you’re unsure, stick to the more generic happy holidays or season’s greetings. Make it easy on yourself. Or, as the Emily Post Institute suggests, you can also opt to send a more secular greeting for the new year. Do be funny (if you want) You can absolutely send formal holiday cards. In which case, we don’t recommend you include jokes. But if you’re sending cards to friends and family, a little bit of levity can be nice. That said, avoid any jokes that could be offensive. For example, many people include humorous pictures of their family on their holiday cards. It’s a little cheesy, but also kind of wonderful. Don’t be depressing Unless you’re Eeyore, you should try to keep a positive, happy tone in your holiday card message. Don’t write “This year has sucked” or “Everything is garbage.” If you feel that way, we get it—the holidays can be tough. But holiday cards are a place where the maxim If you don’t have anything nice to say, don’t say anything at all rules. If you’re too bummed out to think of any good news to share, just write a generic message like the ones we suggested above. Do have everyone in the family sign the card After you’ve written your short, thoughtful note in your card, be sure to sign it. If it’s just you, that’s simple enough. If you’re sending the card on behalf of your entire immediate family and are going the paper route, pass the card around the family to have them sign. If you’re sending an online card, just include everyone’s name in the signature line. Don’t boast Holiday cards and letters are an opportunity to reach out to the people you love and care about. It’s not an opportunity for you to boast about how wonderful you and your family are (although we are sure they are wonderful). This isn’t a resumé, it’s a highlight reel. Instead of listing every good deed every family member has done all year, pick one or two of the most important things to mention in your message. Moves, weddings, graduations, and births are worth mentioning. Volunteer work at the local soup kitchen, while admirable, is not. We wish you the best of luck with your holiday cards this season. Sometimes the cards are as hectic as the holidays … so grab a cup of eggnog and get writing! Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 363 มุมมอง 0 รีวิว
  • วารสารถูกตั้งคำถามว่ามีความเที่ยงตรงหรือไม่?

    ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา วงการวิชาการ อาทิ แพทย์ วิทยาศาสตร์เป็นต้น จะให้ความเชื่อถือว่า บทความใดที่ตีพิมพ์ในวารสาร ที่เรียกว่า peer reviewed journal เป็นที่เชื่อถือได้
    เพราะมีคณะกรรมการที่อ่าน บทความ และพิจารณาหลักฐานที่มากระบวนการศึกษา และจะทำการให้ความเห็นว่า จะไม่รับ หรือรับ แต่มีเงื่อนไข ประเด็นต้องแก้ไขใหญ่ หรือเล็ก หรือต้องมีการทำการทดลองใหม่ในบางส่วนหรือไม่
    วารสารที่มีชื่อเหล่านี้จะถูกนำไปอ้างอิงในวงวิชาการต่างๆทำให้รับรู้กันทั่วไป

    ในการส่งบทความเพื่อ ไปตีพิมพ์ในวารสารนั้น
    ผู้วิจัยจะต้องประกาศว่ามีผลประโยชน์ใดหรือไม่อย่างไร กับ บริษัทผลิตภัณฑ์ ยา วัคซีน รวมทั้งได้ค่าตอบแทนในรูปลักษณะใด ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษา รับเงิน หรือสิ่งตอบแทน รวมค่าเดินทางค่าที่พัก เวลาไปบรรยายในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ และเชื่อมโยงมาถึงการใช้ผลิตภัณฑ์หรือวัคซีนเป็นต้น

    แต่กรรมการผู้พิจารณา กลับไม่ต้องมีการแจงรายละเอียดชัดเจน เหล่านี้อาจมีเพียงแต่ว่า มีประเด็นที่ขัดแย้ง กับผู้ส่งบทความหรือผู้ทำวิจัย หรือไม่ หรือทำวิจัยในเรื่องเดียวกัน ที่อาจจะเป็นการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตนได้

    บทความนี้ที่ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์อเมริกัน (journal of American Medical Association JAMA) วันที่ 10 ตุลาคม 2024 ได้รายงานถึงหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับกรรมการผู้พิจารณาบทความ (reviewers) ว่า แท้จริงแล้ว เกินครึ่งของบุคคลกรรมการเหล่านี้ ต่างได้รับเงินสนับสนุนในการศึกษาวิจัย หรือเงินสนับสนุนในด้านผลิตภัณฑ์เครื่องมือ ต่างๆ จากบริษัทที่ตรงมาเข้าบุคคลนั้น หรือที่เข้ามายังบุคคลนั้น และสถาบันที่บุคคลนั้นอยู่

    และเป็นประเด็นที่ตั้งคำถามถึง ความเที่ยงตรง integrity และ ความมีอิสระเที่ยงตรงในการตัดสิน ในการที่จะไม่รับ หรือรับตีพิมพ์บทความที่ส่งเข้ามา

    และหลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ จากหลายสถาบัน ในต่างประเทศ รวมทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และอังกฤษ ต่างให้ข้อมูลที่ตนเองประสบและถ่ายทอดในสื่อต่างๆโดยเฉพาะที่ประสบในช่วงโควิด
    ที่เกี่ยวข้องกับการไม่ให้ลงตีพิมพ์ การใช้ยาบางตัว ที่มีการทดสอบแล้วว่าได้ผลทั้งๆที่ราคาถูก เข้าถึงได้ และจนกระทั่งถึงงานที่ตีพิมพ์ไปแล้วแต่บรรณาธิการถอดออก และ ที่สำคัญก็คือเรื่องผลกระทบของวัคซีนที่ ถึงชีวิตหรือพิการ
    วารสารที่ถูกเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ ที่กรรมการพิจารณาบทความได้รับเงินสนับสนุน ต่างก็เป็นวารสารชั้นนำ เช่น British Medical journal Lancet New England journal เป็นต้น
    โดยมูลค่าของเงินสนับสนุนเหล่านี้มีจำนวนมากกว่า 1,000,000,000 เหรียญสหรัฐ

    สูตรสำเร็จ เช่น เมื่อมีการพูด ผลกระทบของวัคซีน จะมีกลุ่มที่ออกมาวิจารณ์ว่า ไม่ได้ลงตีพิมพ์ในวารสารชั้นดี หรือตีพิมพ์ไปแล้วแต่บรรณาธิการสั่งถอดออกแสดงว่า เชื่อถือไม่ได้

    แม้กระทั่ง บทความเรื่องโรคคล้ายวัวบ้าในมนุษย์หลังได้รับวัคซีนโควิดไปภายในช่วงสองสัปดาห์และเสียชีวิตภายในเวลาห้าเดือน จากคณะ ชองProf Luc Montagnier ซึ่งได้รับ รางวัล โนเบล จากการค้นพบไวรัสเอดส์ ถูกไม่รับพิจารณาในวารสาร จนกระทั่งตีพิมพ์ในวรสารในระดับรองลงมาและข้อมูลหลักฐานประกอบในบทความเป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่คงเลือกได้ว่าน่าตื่นเต้นและประทับใจในการค้นพบและเชื่อมโยงการเกิดโรคคล้ายวัวบ้าในมนุษย์กับวัคซีนได้อย่างชัดเจน

    https://jamanetwork.com/journals/jama/article-abstract/2824834?utm_source=substack&utm_medium=email

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    เชื่อถือได้หรือ? “หมอธีระวัฒน์” เผยวารสารการแพทย์ชื่อดังปล่อย กก.พิจารณาบทความรับผลประโยชน์จากบริษัทยา https://mgronline.com/qol/detail/9670000100753





    Two years ago, we discussed the lack of evidence supporting the idea that peer review improves the quality of scientific research. 
    Peer review is meant to guarantee the publication of high-quality research and enhance the quality of published manuscripts. The process should involve independent experts evaluating and assessing research for its quality and reliability.
    However, a recent JAMA publication questions the integrity and independence of peer review. The research letter addresses the Payments by Drug and Medical Device Manufacturers to US Peer Reviewers of Major Medical Journals.
    The authors identified peer reviewers for The BMJ, JAMA, The Lancet, and The New England Journal of Medicine (NEJM) using each journal’s 2022 reviewer list. They then used a US Open payments database to identify whether reviewers had received industry payments.
    What did they find?
    Between 2020 and 2022, 1155/1962 peer reviewers (59%) received at least one industry payment. More than half (54%) accepted general payments, while 32% received research payments.
    Between 2020 and 2022, reviewers received over $1.2 billion in industry payments, including $1 billion to individuals or their institutions. Over the three years, the median general payment was $7,614.  
    What does this mean?
    Journals such as the BMJ pride themselves on their competing interest policy. Readers should know the author's competing interests if they publish an article. They ask reviewers to provide a fair, honest, and unbiased assessment of the manuscript's strengths and weaknesses. But how is that possible if you're on the payroll of pharma?
    Furthermore, no one can identify who is being paid as there is no central database like the US where you can look up who is paying who. The voluntary nature of the system means companies can often conceal payments. For example, the drug industry’s self-regulatory body reprimanded  Novo Nordisk for failing to disclose approximately 500 payments worth £7.8m to over 150 recipients between 2020 and 2022.
    This latest publication further enhances the status of peer review: it is broken.
    A system that dates back over 200 years persists because no one can be bothered to address its shortcomings, and too many journals make hefty profits out of its inadequacies to affect the status quo.
    THE JAMA authors consider that ‘additional research and transparency regarding industry payments in the peer review process are needed.” We think this will be another smokescreen to permit the current system to limp on. 
    Editorial peer reviews are largely untested; their effects are uncertain and tainted by industry influence. The system needs a radical overhaul which starts with abandoning the current journal system that sucks in vast amounts of cash and distorts the research agenda.
    The main reasons for the survival of a broken system are tied to the biomedical publication industry. For editors, peer review is a Kevlar shield, a sloping shoulders device - “it ain’t me guv” cop-out clause. For academic authors who have to climb the greasy pole, it’s a system that works both ways; for industry and all those who have to sell something, it’s a cheap advert chance. You only need to read our Antivirals series to understand how the system works and how the public was sold and continues to sell dummies. Rotten decision-makers only have to point to ghost-written trials in mega journals to justify their decisions.
    You only have to look at our recent Zum Zum posts to see the devastating effects of this broken system. Or look up the Comirnaty series, which was written without data published in journals—it was regulatory data, the closest we are ever going to get to reality.
    This post was written by two old geezers who have been peer-viewed and have peer-reviewed countless times.
    Consider becoming a paid subscriber to receive new posts and support our work.

    October 10, 2024
    Payments by Drug and Medical Device Manufacturers to US Peer Reviewers of Major Medical Journals
    David-Dan Nguyen, MDCM, MPH1,2; Anju Muramaya3,4; Anna-Lisa Nguyen, BHSc5; et al
    วารสารถูกตั้งคำถามว่ามีความเที่ยงตรงหรือไม่? ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา วงการวิชาการ อาทิ แพทย์ วิทยาศาสตร์เป็นต้น จะให้ความเชื่อถือว่า บทความใดที่ตีพิมพ์ในวารสาร ที่เรียกว่า peer reviewed journal เป็นที่เชื่อถือได้ เพราะมีคณะกรรมการที่อ่าน บทความ และพิจารณาหลักฐานที่มากระบวนการศึกษา และจะทำการให้ความเห็นว่า จะไม่รับ หรือรับ แต่มีเงื่อนไข ประเด็นต้องแก้ไขใหญ่ หรือเล็ก หรือต้องมีการทำการทดลองใหม่ในบางส่วนหรือไม่ วารสารที่มีชื่อเหล่านี้จะถูกนำไปอ้างอิงในวงวิชาการต่างๆทำให้รับรู้กันทั่วไป ในการส่งบทความเพื่อ ไปตีพิมพ์ในวารสารนั้น ผู้วิจัยจะต้องประกาศว่ามีผลประโยชน์ใดหรือไม่อย่างไร กับ บริษัทผลิตภัณฑ์ ยา วัคซีน รวมทั้งได้ค่าตอบแทนในรูปลักษณะใด ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษา รับเงิน หรือสิ่งตอบแทน รวมค่าเดินทางค่าที่พัก เวลาไปบรรยายในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ และเชื่อมโยงมาถึงการใช้ผลิตภัณฑ์หรือวัคซีนเป็นต้น แต่กรรมการผู้พิจารณา กลับไม่ต้องมีการแจงรายละเอียดชัดเจน เหล่านี้อาจมีเพียงแต่ว่า มีประเด็นที่ขัดแย้ง กับผู้ส่งบทความหรือผู้ทำวิจัย หรือไม่ หรือทำวิจัยในเรื่องเดียวกัน ที่อาจจะเป็นการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตนได้ บทความนี้ที่ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์อเมริกัน (journal of American Medical Association JAMA) วันที่ 10 ตุลาคม 2024 ได้รายงานถึงหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับกรรมการผู้พิจารณาบทความ (reviewers) ว่า แท้จริงแล้ว เกินครึ่งของบุคคลกรรมการเหล่านี้ ต่างได้รับเงินสนับสนุนในการศึกษาวิจัย หรือเงินสนับสนุนในด้านผลิตภัณฑ์เครื่องมือ ต่างๆ จากบริษัทที่ตรงมาเข้าบุคคลนั้น หรือที่เข้ามายังบุคคลนั้น และสถาบันที่บุคคลนั้นอยู่ และเป็นประเด็นที่ตั้งคำถามถึง ความเที่ยงตรง integrity และ ความมีอิสระเที่ยงตรงในการตัดสิน ในการที่จะไม่รับ หรือรับตีพิมพ์บทความที่ส่งเข้ามา และหลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ จากหลายสถาบัน ในต่างประเทศ รวมทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และอังกฤษ ต่างให้ข้อมูลที่ตนเองประสบและถ่ายทอดในสื่อต่างๆโดยเฉพาะที่ประสบในช่วงโควิด ที่เกี่ยวข้องกับการไม่ให้ลงตีพิมพ์ การใช้ยาบางตัว ที่มีการทดสอบแล้วว่าได้ผลทั้งๆที่ราคาถูก เข้าถึงได้ และจนกระทั่งถึงงานที่ตีพิมพ์ไปแล้วแต่บรรณาธิการถอดออก และ ที่สำคัญก็คือเรื่องผลกระทบของวัคซีนที่ ถึงชีวิตหรือพิการ วารสารที่ถูกเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ ที่กรรมการพิจารณาบทความได้รับเงินสนับสนุน ต่างก็เป็นวารสารชั้นนำ เช่น British Medical journal Lancet New England journal เป็นต้น โดยมูลค่าของเงินสนับสนุนเหล่านี้มีจำนวนมากกว่า 1,000,000,000 เหรียญสหรัฐ สูตรสำเร็จ เช่น เมื่อมีการพูด ผลกระทบของวัคซีน จะมีกลุ่มที่ออกมาวิจารณ์ว่า ไม่ได้ลงตีพิมพ์ในวารสารชั้นดี หรือตีพิมพ์ไปแล้วแต่บรรณาธิการสั่งถอดออกแสดงว่า เชื่อถือไม่ได้ แม้กระทั่ง บทความเรื่องโรคคล้ายวัวบ้าในมนุษย์หลังได้รับวัคซีนโควิดไปภายในช่วงสองสัปดาห์และเสียชีวิตภายในเวลาห้าเดือน จากคณะ ชองProf Luc Montagnier ซึ่งได้รับ รางวัล โนเบล จากการค้นพบไวรัสเอดส์ ถูกไม่รับพิจารณาในวารสาร จนกระทั่งตีพิมพ์ในวรสารในระดับรองลงมาและข้อมูลหลักฐานประกอบในบทความเป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่คงเลือกได้ว่าน่าตื่นเต้นและประทับใจในการค้นพบและเชื่อมโยงการเกิดโรคคล้ายวัวบ้าในมนุษย์กับวัคซีนได้อย่างชัดเจน https://jamanetwork.com/journals/jama/article-abstract/2824834?utm_source=substack&utm_medium=email ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เชื่อถือได้หรือ? “หมอธีระวัฒน์” เผยวารสารการแพทย์ชื่อดังปล่อย กก.พิจารณาบทความรับผลประโยชน์จากบริษัทยา https://mgronline.com/qol/detail/9670000100753 Two years ago, we discussed the lack of evidence supporting the idea that peer review improves the quality of scientific research.  Peer review is meant to guarantee the publication of high-quality research and enhance the quality of published manuscripts. The process should involve independent experts evaluating and assessing research for its quality and reliability. However, a recent JAMA publication questions the integrity and independence of peer review. The research letter addresses the Payments by Drug and Medical Device Manufacturers to US Peer Reviewers of Major Medical Journals. The authors identified peer reviewers for The BMJ, JAMA, The Lancet, and The New England Journal of Medicine (NEJM) using each journal’s 2022 reviewer list. They then used a US Open payments database to identify whether reviewers had received industry payments. What did they find? Between 2020 and 2022, 1155/1962 peer reviewers (59%) received at least one industry payment. More than half (54%) accepted general payments, while 32% received research payments. Between 2020 and 2022, reviewers received over $1.2 billion in industry payments, including $1 billion to individuals or their institutions. Over the three years, the median general payment was $7,614.   What does this mean? Journals such as the BMJ pride themselves on their competing interest policy. Readers should know the author's competing interests if they publish an article. They ask reviewers to provide a fair, honest, and unbiased assessment of the manuscript's strengths and weaknesses. But how is that possible if you're on the payroll of pharma? Furthermore, no one can identify who is being paid as there is no central database like the US where you can look up who is paying who. The voluntary nature of the system means companies can often conceal payments. For example, the drug industry’s self-regulatory body reprimanded  Novo Nordisk for failing to disclose approximately 500 payments worth £7.8m to over 150 recipients between 2020 and 2022. This latest publication further enhances the status of peer review: it is broken. A system that dates back over 200 years persists because no one can be bothered to address its shortcomings, and too many journals make hefty profits out of its inadequacies to affect the status quo. THE JAMA authors consider that ‘additional research and transparency regarding industry payments in the peer review process are needed.” We think this will be another smokescreen to permit the current system to limp on.  Editorial peer reviews are largely untested; their effects are uncertain and tainted by industry influence. The system needs a radical overhaul which starts with abandoning the current journal system that sucks in vast amounts of cash and distorts the research agenda. The main reasons for the survival of a broken system are tied to the biomedical publication industry. For editors, peer review is a Kevlar shield, a sloping shoulders device - “it ain’t me guv” cop-out clause. For academic authors who have to climb the greasy pole, it’s a system that works both ways; for industry and all those who have to sell something, it’s a cheap advert chance. You only need to read our Antivirals series to understand how the system works and how the public was sold and continues to sell dummies. Rotten decision-makers only have to point to ghost-written trials in mega journals to justify their decisions. You only have to look at our recent Zum Zum posts to see the devastating effects of this broken system. Or look up the Comirnaty series, which was written without data published in journals—it was regulatory data, the closest we are ever going to get to reality. This post was written by two old geezers who have been peer-viewed and have peer-reviewed countless times. Consider becoming a paid subscriber to receive new posts and support our work. October 10, 2024 Payments by Drug and Medical Device Manufacturers to US Peer Reviewers of Major Medical Journals David-Dan Nguyen, MDCM, MPH1,2; Anju Muramaya3,4; Anna-Lisa Nguyen, BHSc5; et al
    JAMANETWORK.COM
    Payments by Drug and Medical Device Manufacturers to US Peer Reviewers of Major Medical Journals
    This study characterizes payments by drug and medical device manufacturers to US peer reviewers of major medical journals.
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 576 มุมมอง 0 รีวิว
  • Discover Transformational Wisdom with Truth from New Thought 🌟

    Are you seeking a deeper understanding of life, love, and humanity—one that goes beyond surface-level thinking and embraces the full responsibility of living consciously? I invite you to explore the Truth from New Thought series, a collection of books that merges ancient wisdom with modern science, aimed at helping you live with conscientious responsibility.

    This series is crafted to reconnect you with your true self and uncover the truths about life, love, and the nature of human existence. Whether you're facing personal challenges or seeking to grow your understanding of the world, these books offer valuable insights that can guide you on a responsible journey of self-discovery.

    🔸 First book: Read Before the Meaning of Your Life is Lesser — Challenge the way you perceive your life and the world around you.
    🔸 Second book: Human Secret — Unveil the hidden truths of human consciousness and relationships.
    🔸 Third book: Love Subject — Dive deep into what it truly means to love and be loved with sincerity and responsibility.

    My path as an author stems from a lifelong commitment to understanding the world with clarity, as reflected in the Buddhist teaching: "Do not believe, even if the Buddha said it." My aim is to use knowledge to make responsible decisions that positively shape our future.

    📖 If you're ready to embrace a path of conscientious responsibility and wisdom that transcends the ordinary, learn more about the Truth from New Thought series and start your journey of personal growth today.

    🔗 [https://www.amazon.com/dp/B0CK2FC8DS]

    🌟 Begin your journey toward greater understanding and inner peace. Let’s explore the truths that encourage us to live with integrity and responsibility in all we do.

    With Conscientious Responsibility,
    Ekarach Chandon

    #Truth from New thought
    #TruthFromNewThought
    Discover Transformational Wisdom with Truth from New Thought 🌟 Are you seeking a deeper understanding of life, love, and humanity—one that goes beyond surface-level thinking and embraces the full responsibility of living consciously? I invite you to explore the Truth from New Thought series, a collection of books that merges ancient wisdom with modern science, aimed at helping you live with conscientious responsibility. This series is crafted to reconnect you with your true self and uncover the truths about life, love, and the nature of human existence. Whether you're facing personal challenges or seeking to grow your understanding of the world, these books offer valuable insights that can guide you on a responsible journey of self-discovery. 🔸 First book: Read Before the Meaning of Your Life is Lesser — Challenge the way you perceive your life and the world around you. 🔸 Second book: Human Secret — Unveil the hidden truths of human consciousness and relationships. 🔸 Third book: Love Subject — Dive deep into what it truly means to love and be loved with sincerity and responsibility. My path as an author stems from a lifelong commitment to understanding the world with clarity, as reflected in the Buddhist teaching: "Do not believe, even if the Buddha said it." My aim is to use knowledge to make responsible decisions that positively shape our future. 📖 If you're ready to embrace a path of conscientious responsibility and wisdom that transcends the ordinary, learn more about the Truth from New Thought series and start your journey of personal growth today. 🔗 [https://www.amazon.com/dp/B0CK2FC8DS] 🌟 Begin your journey toward greater understanding and inner peace. Let’s explore the truths that encourage us to live with integrity and responsibility in all we do. With Conscientious Responsibility, Ekarach Chandon #Truth from New thought #TruthFromNewThought
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • What Is The Origin And Meaning Of XOXO? We’ll Kiss And Tell!

    From Valentine’s Day cards to messages from your mom, a typical sign-off to show love and affection is XOXO. The X stands for kiss and the O stands for a hug—but why? Well, the origins of these symbols is uncertain, but we can make some educated guesses about where they come from.

    Why is X the symbol for a kiss?
    The use of X as a symbol is believed to date back to the Middle Ages, when most people were not literate. They would use the letter X—or a cross—to sign documents as a display of faith and indication of their sincerity. They’d also kiss the cross as another symbol of trustworthiness: a literal “seal with a kiss.” In these instances, the X represented the sign of the cross and Christ because of its connection to the Chi-Rho, a Christian symbol. The first two letters of Christ in Greek (ΧΡΙΣΤΟΣ) are chi and rho, and chi looks like X.

    It’s possible that the X also became connected with kissing because it looks like two puckered lips. No matter its history, the letter X was used in letters to symbolize a kiss back in the 1700s.

    Why is O the symbol for a hug?
    The origins of how O came to represent a hug are even more uncertain, though some connect its use to illiterate Jewish immigrants who came to the US who may have signed documents with an O. They did this in contrast to the Christian X. Eventually the letter came to represent a hug.

    Another possibility is that the O is used to represent hugs because it simply looks like someone encircling their arms in a hugging gesture. It’s also possible that the O came to mean “hug” because of its prior association with X from the game tic-tac-toe.

    The practice of pairing O with X as a sign-off in a letter as XOXO is a fairly modern one and didn’t see widespread use until the 1960s. The TV series Gossip Girl also popularized its use, as each episode ended with a signature voiceover, “XOXO, Gossip Girl.”

    Despite the complicated origins of these symbols, these days it is widely accepted that XOXO means “hugs and kisses.” In the United Kingdom, use of XX (meaning “kisses”) as a sign-off is particularly popular, though the practice remains less common in North America, where XOXO is the more common formulation.

    Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    What Is The Origin And Meaning Of XOXO? We’ll Kiss And Tell! From Valentine’s Day cards to messages from your mom, a typical sign-off to show love and affection is XOXO. The X stands for kiss and the O stands for a hug—but why? Well, the origins of these symbols is uncertain, but we can make some educated guesses about where they come from. Why is X the symbol for a kiss? The use of X as a symbol is believed to date back to the Middle Ages, when most people were not literate. They would use the letter X—or a cross—to sign documents as a display of faith and indication of their sincerity. They’d also kiss the cross as another symbol of trustworthiness: a literal “seal with a kiss.” In these instances, the X represented the sign of the cross and Christ because of its connection to the Chi-Rho, a Christian symbol. The first two letters of Christ in Greek (ΧΡΙΣΤΟΣ) are chi and rho, and chi looks like X. It’s possible that the X also became connected with kissing because it looks like two puckered lips. No matter its history, the letter X was used in letters to symbolize a kiss back in the 1700s. Why is O the symbol for a hug? The origins of how O came to represent a hug are even more uncertain, though some connect its use to illiterate Jewish immigrants who came to the US who may have signed documents with an O. They did this in contrast to the Christian X. Eventually the letter came to represent a hug. Another possibility is that the O is used to represent hugs because it simply looks like someone encircling their arms in a hugging gesture. It’s also possible that the O came to mean “hug” because of its prior association with X from the game tic-tac-toe. The practice of pairing O with X as a sign-off in a letter as XOXO is a fairly modern one and didn’t see widespread use until the 1960s. The TV series Gossip Girl also popularized its use, as each episode ended with a signature voiceover, “XOXO, Gossip Girl.” Despite the complicated origins of these symbols, these days it is widely accepted that XOXO means “hugs and kisses.” In the United Kingdom, use of XX (meaning “kisses”) as a sign-off is particularly popular, though the practice remains less common in North America, where XOXO is the more common formulation. Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Join the EAT STAKE revolution and make a positive impact with your investment! Our reforestation project in Nong Khai, Thailand, offers a unique opportunity to earn up to 340% ROI while helping restore nature through carbon credits. With a minimum investment of just 10 USDT, you can be part of a sustainable future. Visit our sample farm in Khao Yai and stake your way to a greener tomorrow. Act now and grow your wealth with purpose!"
    You can get rich without trading.

    https://investcarboncredit.com?ref=0xfdF57F351E9156D74583B01D74642c60979853E1
    "Join the EAT STAKE revolution and make a positive impact with your investment! Our reforestation project in Nong Khai, Thailand, offers a unique opportunity to earn up to 340% ROI while helping restore nature through carbon credits. With a minimum investment of just 10 USDT, you can be part of a sustainable future. Visit our sample farm in Khao Yai and stake your way to a greener tomorrow. Act now and grow your wealth with purpose!" You can get rich without trading. https://investcarboncredit.com?ref=0xfdF57F351E9156D74583B01D74642c60979853E1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชมภาพ! ชาวบ้านรุมช่วย "โลมา 2 แม่-ลูก" ว่ายหลงในเขตน้ำท่วมเมืองบีลิน รัฐมอญ
    .
    ชาวบ้านร่วมกับเจ้าหน้าที่ รุมให้ความช่วยเหลือโลมาอิระวดี 2 แม่-ลูก ที่ว่ายหลงเข้าไปในเขตน้ำท่วมขัง เมืองบีลิน รัฐมอญ ก่อนนำไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ
    .
    ช่วงค่ำของวันที่ 9 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เพจองค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ(Biodiversity And Nature Conservation Association : BANCA) ของเมียนมา ได้เผยแพร่ภาพการช่วยเหลือโลมาอิระวดี หรือโลมาหัวบาตรหลังเรียบ 2 ตัว แม่-ลูก ที่ได้ว่ายหลงเข้าไปในทุ่งนากว้างซึ่งเป็นพื้นที่น้ำท่วมขังห่างจากชายฝั่ง ในเขตตำบลซุกกะลิ เมืองบีลิน รัฐมอญ
    .
    ชาวบ้านในพื้นที่ได้พบโลมา 2 ตัว แม่-ลูกว่ายหลงทางอยู่ในทุ่งนาเมื่อเวลา 16.25 น. ของวันที่ 5 ตุลาคม จึงได้แจ้งไปยังฝ่ายปกครองในพื้นที่ เพื่อประสานงานขอเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญจากแผนกประมงรัฐมอญ กลุ่มอนุรักษ์พื้นที่หมู่บ้านมุติง รวมถึงเจ้าหน้าที่ของ BANCA มาช่วยกันล้อมจับโลมาทั้งคู่ เพื่อนำไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติในแม่น้ำบีลิน
    .
    หลังจับโลมาแม่-ลูกได้แล้ว เจ้าหน้าที่ได้นำไปวัดขนาด พบว่าโลมาตัวแม่ยาว 5.6 ฟุต ส่วนโลมาตัวลูกยาว 2.5 ฟุต
    .
    คลิกชม >> https://mgronline.com/indochina/detail/9670000097502
    ชมภาพ! ชาวบ้านรุมช่วย "โลมา 2 แม่-ลูก" ว่ายหลงในเขตน้ำท่วมเมืองบีลิน รัฐมอญ . ชาวบ้านร่วมกับเจ้าหน้าที่ รุมให้ความช่วยเหลือโลมาอิระวดี 2 แม่-ลูก ที่ว่ายหลงเข้าไปในเขตน้ำท่วมขัง เมืองบีลิน รัฐมอญ ก่อนนำไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ . ช่วงค่ำของวันที่ 9 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เพจองค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ(Biodiversity And Nature Conservation Association : BANCA) ของเมียนมา ได้เผยแพร่ภาพการช่วยเหลือโลมาอิระวดี หรือโลมาหัวบาตรหลังเรียบ 2 ตัว แม่-ลูก ที่ได้ว่ายหลงเข้าไปในทุ่งนากว้างซึ่งเป็นพื้นที่น้ำท่วมขังห่างจากชายฝั่ง ในเขตตำบลซุกกะลิ เมืองบีลิน รัฐมอญ . ชาวบ้านในพื้นที่ได้พบโลมา 2 ตัว แม่-ลูกว่ายหลงทางอยู่ในทุ่งนาเมื่อเวลา 16.25 น. ของวันที่ 5 ตุลาคม จึงได้แจ้งไปยังฝ่ายปกครองในพื้นที่ เพื่อประสานงานขอเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญจากแผนกประมงรัฐมอญ กลุ่มอนุรักษ์พื้นที่หมู่บ้านมุติง รวมถึงเจ้าหน้าที่ของ BANCA มาช่วยกันล้อมจับโลมาทั้งคู่ เพื่อนำไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติในแม่น้ำบีลิน . หลังจับโลมาแม่-ลูกได้แล้ว เจ้าหน้าที่ได้นำไปวัดขนาด พบว่าโลมาตัวแม่ยาว 5.6 ฟุต ส่วนโลมาตัวลูกยาว 2.5 ฟุต . คลิกชม >> https://mgronline.com/indochina/detail/9670000097502
    MGRONLINE.COM
    ชมภาพ! ชาวบ้านรุมช่วย "โลมา 2 แม่-ลูก" ว่ายหลงในเขตน้ำท่วมเมืองบีลิน รัฐมอญ
    ชมภาพชาวบ้านร่วมกับเจ้าหน้าที่ รุมให้ความช่วยเหลือโลมาอิระวดี 2 แม่-ลูก ที่ว่ายหลงเข้าไปในเขตน้ำท่วมขัง เมืองบีลิน รัฐมอญ ก่อนนำไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ
    Like
    Love
    Yay
    13
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 522 มุมมอง 0 รีวิว
  • Life hurt, Nature heal. 💚
    Life hurt, Nature heal. 💚
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • Natural lip oil ลิปสติกจากน้ำมัน
    ธรรมชาติ ผลิตจากน้ำมันมะรุม
    น้ำมันมะพร้าว เชียร์บัตเตอร์ ไขผึ้ง
    เน้นการบำรุงริมฝีปาก ไม่ให้ดำคล้ำ สีสันสวยงาม ปลอดภัย ไร้สารเคมี
    #lipstick#lipoil#great nature
    Natural lip oil ลิปสติกจากน้ำมัน ธรรมชาติ ผลิตจากน้ำมันมะรุม น้ำมันมะพร้าว เชียร์บัตเตอร์ ไขผึ้ง เน้นการบำรุงริมฝีปาก ไม่ให้ดำคล้ำ สีสันสวยงาม ปลอดภัย ไร้สารเคมี #lipstick#lipoil#great nature
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 67 0 รีวิว
  • ไวรัลตามล่าลายเซ็นูปฉลามของเจ้าหน้าที่อุทยานฯบนพาสปอร์ตท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ

    3 ตุลาคม 2567-เพจประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติฯ เปิดที่มาลายเซ็นรูปฉลามสุดไวรัล ของ นายรชพล เสถียรุจิกานนท์ หรือโฟน เจ้าหน้าที่เอราวัณสุดสร้างสรรค์ ที่หลายคนอยากมีไว้ในพาสปอร์ตท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ

    กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ กับการตามล่าลายเซ็นเจ้าหน้าที่บนพาสปอร์ต ซึ่งเป็นลวดลายสุดครีเอทเป็นรูปฉลาม

    กระแสการออกตามล่าลายเซ็นสุดสร้างสรรค์ของเจ้าหน้าที่อุทยานนี้ กำลังได้รับความนิยมใน TikTok มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ไปเที่ยวตามรอย ตามหาเจ้าหน้าที่ที่มีลายเซ็นเป็นรูปฉลาม

    สำหรับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช คนดังกล่าวประจำการอยู่ที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ รับผิดชอบงานด้านการประชาพันธ์และเผยแพร่ ชื่อ นายรชพล เสถียรุจิกานนท์ หรือโฟน

    โฟนได้ทำคลิปตอบคำถามถึงที่มาของลายเซ็นดังกล่าวว่า ไม่เคยคาดคิดว่าลายเซ็นที่ออกแบบไว้มันจะกลายเป็นไวรัลได้ ตอนแรกตั้งใจอยากจะมีลายเซ็นที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวเอง เมื่อก่อนเคยเซ็นเป็นชื่อจริงของตัวเอง คือรชพล แต่เขียน ร.เรือเป็นหัวของฉลามออกมาไม่สวย ก็เลยลองเปลี่ยนเป็นนามสกุล ซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษที่ขึ้นต้นด้วยตัว S ซึ่งมันสามารถเขียนวาดเป็นหัวฉลามได้ เริ่มมีการออกแบบมาเรื่อย ๆ เซ็นหมดกระดาษไปหลายแผ่น ตั้งใจให้มันออกมาเป็นรูปฉลามเลย เพราะเป็นสัตว์ทะเลที่ตนเองชอบมากที่สุด

    ก่อนจะมาเป็นเจ้าหน้าที่ตัวเองเคยเป็นนักดำน้ำมาก่อน ชื่นชอบทะเล มีความรู้สึกผูกพันกับทะเลด้วยความที่เราชอบฉลามเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย ก็เลยทำให้อยากออกแบบ Signature ของตัวเอง สิ่งที่มันบ่งบอกความเป็นตัวเรานั่นก็คือลายเซ็น และลายเซ็นที่เซ็นออกมามันจะต้องกลายเป็นรูปฉลามให้ได้ นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมถึงเซ็นให้เป็นรูปฉลาม

    ใครอยากได้ลายเซ็นเท่ๆแบบนี้ โฟนจึงเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวอุทยานแห่งชาติกันเยอะ ๆ สามารถซื้อพาสปอร์ต และนำมาให้เจ้าหน้าที่ประทับตราและเซ็นชื่อได้เลย เห็นโฉมหน้าหล่อๆ เจ้าของลายเซ็นฉลามแล้ว ไปปักหมุดเที่ยวน้ำตก พร้อมล่าลายเซ็นที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี กัน”

    #Thaitimes
    ไวรัลตามล่าลายเซ็นูปฉลามของเจ้าหน้าที่อุทยานฯบนพาสปอร์ตท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ 3 ตุลาคม 2567-เพจประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติฯ เปิดที่มาลายเซ็นรูปฉลามสุดไวรัล ของ นายรชพล เสถียรุจิกานนท์ หรือโฟน เจ้าหน้าที่เอราวัณสุดสร้างสรรค์ ที่หลายคนอยากมีไว้ในพาสปอร์ตท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ กับการตามล่าลายเซ็นเจ้าหน้าที่บนพาสปอร์ต ซึ่งเป็นลวดลายสุดครีเอทเป็นรูปฉลาม กระแสการออกตามล่าลายเซ็นสุดสร้างสรรค์ของเจ้าหน้าที่อุทยานนี้ กำลังได้รับความนิยมใน TikTok มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ไปเที่ยวตามรอย ตามหาเจ้าหน้าที่ที่มีลายเซ็นเป็นรูปฉลาม สำหรับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช คนดังกล่าวประจำการอยู่ที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ รับผิดชอบงานด้านการประชาพันธ์และเผยแพร่ ชื่อ นายรชพล เสถียรุจิกานนท์ หรือโฟน โฟนได้ทำคลิปตอบคำถามถึงที่มาของลายเซ็นดังกล่าวว่า ไม่เคยคาดคิดว่าลายเซ็นที่ออกแบบไว้มันจะกลายเป็นไวรัลได้ ตอนแรกตั้งใจอยากจะมีลายเซ็นที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวเอง เมื่อก่อนเคยเซ็นเป็นชื่อจริงของตัวเอง คือรชพล แต่เขียน ร.เรือเป็นหัวของฉลามออกมาไม่สวย ก็เลยลองเปลี่ยนเป็นนามสกุล ซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษที่ขึ้นต้นด้วยตัว S ซึ่งมันสามารถเขียนวาดเป็นหัวฉลามได้ เริ่มมีการออกแบบมาเรื่อย ๆ เซ็นหมดกระดาษไปหลายแผ่น ตั้งใจให้มันออกมาเป็นรูปฉลามเลย เพราะเป็นสัตว์ทะเลที่ตนเองชอบมากที่สุด ก่อนจะมาเป็นเจ้าหน้าที่ตัวเองเคยเป็นนักดำน้ำมาก่อน ชื่นชอบทะเล มีความรู้สึกผูกพันกับทะเลด้วยความที่เราชอบฉลามเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย ก็เลยทำให้อยากออกแบบ Signature ของตัวเอง สิ่งที่มันบ่งบอกความเป็นตัวเรานั่นก็คือลายเซ็น และลายเซ็นที่เซ็นออกมามันจะต้องกลายเป็นรูปฉลามให้ได้ นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมถึงเซ็นให้เป็นรูปฉลาม ใครอยากได้ลายเซ็นเท่ๆแบบนี้ โฟนจึงเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวอุทยานแห่งชาติกันเยอะ ๆ สามารถซื้อพาสปอร์ต และนำมาให้เจ้าหน้าที่ประทับตราและเซ็นชื่อได้เลย เห็นโฉมหน้าหล่อๆ เจ้าของลายเซ็นฉลามแล้ว ไปปักหมุดเที่ยวน้ำตก พร้อมล่าลายเซ็นที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี กัน” #Thaitimes
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 753 มุมมอง 0 รีวิว
  • A lively outdoor camping scene with cars parked near trees, tents set up, and a group of friends enjoying a picnic. There are drinks on the picnic table, and some friends are holding drinks while chatting and laughing. The setting includes a mix of nature with trees surrounding the campsite, with tents of various colors. The atmosphere is relaxed and joyful, with warm lighting from a nearby campfire and lanterns illuminating the area. The sky is clear, and the overall mood is one of camaraderie and fun.
    A lively outdoor camping scene with cars parked near trees, tents set up, and a group of friends enjoying a picnic. There are drinks on the picnic table, and some friends are holding drinks while chatting and laughing. The setting includes a mix of nature with trees surrounding the campsite, with tents of various colors. The atmosphere is relaxed and joyful, with warm lighting from a nearby campfire and lanterns illuminating the area. The sky is clear, and the overall mood is one of camaraderie and fun.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • Person-First Language vs. Identity-First Language: Which Should You Use?

    There’s a term for choosing to say people with disabilities instead of disabled people, and vice versa. People with disabilities is an example of what’s called person-first language, while terms like disabled people are sometimes called identity-first language.

    Person-first language is widely encouraged in many contexts as a way to avoid defining a person solely by their disability, condition, or physical difference. However, not everyone prefers it. Some people instead prefer identity-first language as a way of emphasizing what they consider an important part of their identity.

    In this article, we’ll:

    Define person-first language and identity-first language in detail.
    Provide several examples of each in many of the different contexts in which they’re used, including for people who are autistic, blind, deaf, and those who have other disabilities, medical conditions (including mental health conditions), and bodily differences.
    Discuss the varying preferences for such language and some of the reasons behind those preferences.
    Explain how approaches can differ based on whether you know a person’s specific disability or condition or whether you’re referring to an individual or a community of people.


    Quick summary

    Person-first language introduces a person before any description of them. Examples include person with a disability, patient with cancer, and child who has cerebral palsy. Person-first language is intended to emphasize the fullness of a person and to avoid defining them exclusively by their disability or condition. Identity-first language involves stating a descriptor of a person first, as in autistic person and blind child. This is often done with the idea that the characteristic in question is an integral part of a person’s identity and community membership and should be emphasized rather than minimized.

    Person-first language is preferred and encouraged in many contexts, especially medical care. However, some people prefer identity-first language—notably many members of the blind, deaf, and autistic communities. Still, preferences around such approaches vary widely, even among people within the same community. The best approach is always to respect people’s choices about the language they use for themselves.

    First, a note about disabled and disability

    First and foremost, remember that in many cases it’s not relevant or necessary to discuss or point out a person’s disability at all. Regardless of what language preferences people have, every person wants to be treated as just that—a person (which is one of the motivating ideas behind person-first language). However, that doesn’t mean that disability is inherently negative, unmentionable, or something that must be politely ignored (which are some of the notions that identity-first language pushes back on).

    When discussion of a disability or other condition is pertinent, it is often preferable to name the person’s specific disability or condition, such as paraplegia or diabetes. However, when addressing an issue that affects a larger community of people—for example, when discussing accessibility in the workplace—disabled and disability are often the preferred terms. Our new usage notes within the entries for these terms reflect this. (Some people object to the terms disabled and disability in and of themselves, but that won’t be the focus of this article, nor will other, more specific terms that are now considered outdated and offensive.)

    What is person-first language?

    The term person-first language refers to wording that introduces a person first and then follows with a descriptor in relation to a disability, medical condition (including mental health conditions), or other physical or cognitive difference. Person-first language often literally uses the word person (or persons or people) as the first part of referring to someone, as in person with a disability or people with dwarfism. Of course, the term that refers to the person is often more specific, such as child, adult, patient, or a term specifying a person’s nationality. Such terms can also be used in identity-first language, which will be discussed in the next section. (Person-first language is not to be confused with the grammatical and literary term first person, which is the point of view in which a speaker or writer refers to themself: I, me, we, and us are first-person pronouns.)

    Person-first language is used in many different contexts, including disability, medical conditions and diseases, physical and cognitive differences, and addiction and substance use, among others.

    The intent of person-first language is often understood as being to acknowledge a person as a full, complex individual. This is done to avoid defining them solely by their disability, condition, or physical or mental attributes, which can have the effect of dehumanizing them, creating negative stigmas, or producing the false assumption that a disability or condition affects all people in the same way.

    Promotion of person-first language is often traced back to the People First Movement that began in the late 1960s. Person-first language became more widespread in the 1990s. Awareness and use of it is thought to have increased in part as a result of the 1990 Americans with Disabilities Act (ADA), a landmark piece of federal legislation that, among many other changes, established such language as the preferred wording in many government documents and communications (a preference that continues today).

    Person-first language has largely become the preferred approach in medical contexts. Major health organizations, such as the World Health Organization and the US Centers for Disease Control and Prevention, use and state preferences for person-first language, as do the style guides of the American Medical Association and the American Psychological Association. However, many style guides also emphasize that a person’s personal preference should always come first. Still, many people strongly prefer identity-first language.

    What is identity-first language?

    The term identity-first language refers to wording about a person that leads with a description of them in the context of a disability, medical conditions (including mental health conditions), or other physical or cognitive difference. Examples include terms like deaf person, blind person, and autistic person.

    Such labels are sometimes considered offensive due to emphasizing a characteristic as if it’s all that matters about the person. However, some people prefer such terms because they consider the characteristic being referred to as an inseparable part of their identity—hence the use of the word identity in the term.

    By those who prefer it when referring to themselves, identity-first language is often considered a way to show pride in who they are and their membership in a community of like people.

    This is especially the case in the context of disability. In this context, identity-first language is often viewed as functioning to center a person’s disability, in contrast with the approach of person-first language, which is sometimes interpreted as minimizing such characteristics out of the assumption that they are inherently negative. Notably, significant portions of the deaf, blind, and autistic communities prefer identity-first language. However, not everyone shares this preference.

    Examples of person-first and identity-first language

    In this section, we’ll provide side-by-side examples of person-first language and identity-first language along with notes about use and preferences. This is a collection of common examples grouped by context, not a comprehensive list of all possible terms.

    Due to the nature of their construction, examples of person-first language are always multiple-word phrases, as in person with AIDS or individuals with disabilities.

    Identity-first language also often consists of phrases, but some terms that may be considered examples of identity-first language are single words. For example, some people who have had limbs amputated prefer to be called amputees. Many such examples (single-word nouns used to refer to people) are now usually considered inappropriate and offensive, especially those once used in the context of mental health. Some will be discussed below.

    Disability

    In the general discussion of people with disabilities, person-first language is the most widely preferred approach. However, this preference is not universal.

    person-first example: person with a disability
    identity-first example: disabled person

    person-first examples: person with paraplegia; person with quadriplegia
    identity-first examples: When used as nouns to refer to people, terms like paraplegic and quadriplegic are now widely avoided, though some people may prefer them when referring to themselves.

    person-first example: person with an intellectual disability; person with a cognitive disability
    identity-first example: intellectually disabled person; cognitively disabled person. Such terms are now less commonly used, but may be preferred by some.

    The autism spectrum

    In the context of autism, there is significant, strong, and growing preference for identity-first language, despite some advocacy organizations historically recommending person-first language. Among those who prefer identity-first language, one commonly stated reason is that they consider autism a major part of their identity and not something to be ashamed of or treated as something that needs to be “cured.” Still, some people prefer person-first language.

    person-first examples: a person with autism; an adult on the autism spectrum
    identity-first examples: autistic person; autistic individual. The use of autistic as a noun is preferred by many as a way to refer to themselves, but is considered offensive by others.

    Deafness

    Identity-first language has also been largely embraced by the Deaf community. (The word Deaf is often capitalized when it’s used in reference to things related to Deaf culture.) Identity-first language is promoted by many major organizations, such as the National Association of the Deaf, the National Deaf Center, and the World Federation of the Deaf. Still, some people prefer person-first language.

    person-first example: a person who is deaf
    identity-first examples: deaf person; deaf Americans; Deaf community

    Blindness

    Though preferences vary, identity-first language is widely preferred and promoted by individuals and organizations in the blind community, including the National Federation of the Blind, the Royal National Institute of Blind People, and various state commissions for the blind and visually impaired.

    person-first example: a person who is blind
    identity-first examples: blind person; blind adult

    Dwarfism and short stature

    Organizations centered around people with dwarfism often use both person-first and identity-first terms. Preferences among individuals, of course, can vary.

    person-first examples: a person who has dwarfism; people of short stature
    identity-first examples: dwarf; little person

    Additional medical and mental health contexts

    Person-first language is now widely preferred and promoted in the context of medicine by medical professionals, organizations, and advocacy groups. Such language is intended to avoid equating patients with their diseases or conditions (such as with now avoided phrasings like cancer patient or AIDS patient), which research has shown can lead to stigmatization, overgeneralization, and worse health outcomes.

    person-first examples: patient with AIDS; child with cancer; person with diabetes; person with epilepsy
    identity-first examples: When used as nouns to refer to people, terms like diabetic and epileptic are now widely avoided, though some people may prefer them when referring to themselves.

    Person-first language is now also widely preferred and promoted in the context of medical professionals who address mental health conditions. It is especially recommended to replace terms that use a condition as a noun to refer to someone (such as the noun uses of schizophrenic or bulimic) with person-first language.

    person-first examples: a person with schizophrenia; a patient with psychosis; people with eating disorders

    Other contexts

    As with the wider field of medical care, person-first language is widely preferred in the context of drug and substance addiction, in which such terms are recommended to replace stigmatizing words like addict and alcoholic.

    person-first examples: a person with alcohol use disorder; people with substance use disorders

    For similar reasons, person-first language is also commonly used by organizations and advocates focused on suicide prevention. Such language is thought to help destigmatize the issue and emphasize a person’s humanity, rather than treating them as a statistic.

    person-first examples: a person experiencing thoughts of suicide; people impacted by suicide

    Collective terms

    Collective terms for certain groups often fall under the classification of identity-first language. Examples include the blind, the deaf, and the disabled. While such terms are preferred by some (and used in the names of some major organizations), they are considered offensive by others who believe that such terms are a barrier to treating members of such groups as individuals.

    Should I use person-first or identity-first language?

    The answer to this question is that there is no single, permanent answer. Person-first and identity-first language continue to evolve, and preferences vary from person to person and differ among different communities and organizations.

    In the context of medicine and mental health, person-first language is widely preferred and recommended, especially due to evidence that it contributes to better health outcomes and reduces stigmatization. Still, identity-first language may be preferred in certain situations or among people who consider their condition as an inseparable part of their identity.

    Notably, many members of the blind, deaf, and autistic communities (among some others) now prefer and promote identity-first language, arguing that such characteristics are an integral part of their identities that should be proudly emphasized, not treated as negatives or limitations. Identity-first language is also sometimes favored due to emphasizing membership in a community.

    Generally speaking, some people are fine with others referring to them with either person-first or identify-first language or a combination of both, as long as it is used respectfully. But many other people have strong preferences for one or the other, with valid reasons for each.

    Many style guides recommend person-first language if you do not know someone’s preference, are unable to discover it, or are talking about a certain group generally. However, despite this recommendation, there is one consistent piece of advice that you will find among style guides and advocacy organizations: you should always respect the language that an individual personally uses.

    Notably, the style guide of the National Center on Disability and Journalism, which in the past recommended person-first language as the default choice, now recommends making choices about wording on a case-by-case basis, stating that “no two people are the same—either with regard to disabilities or language preferences.”

    You can always ask a person what type of phrasing they prefer. Remember that discussing a disability, condition, or other physical or intellectual difference is in many cases unnecessary. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name.

    Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    Person-First Language vs. Identity-First Language: Which Should You Use? There’s a term for choosing to say people with disabilities instead of disabled people, and vice versa. People with disabilities is an example of what’s called person-first language, while terms like disabled people are sometimes called identity-first language. Person-first language is widely encouraged in many contexts as a way to avoid defining a person solely by their disability, condition, or physical difference. However, not everyone prefers it. Some people instead prefer identity-first language as a way of emphasizing what they consider an important part of their identity. In this article, we’ll: Define person-first language and identity-first language in detail. Provide several examples of each in many of the different contexts in which they’re used, including for people who are autistic, blind, deaf, and those who have other disabilities, medical conditions (including mental health conditions), and bodily differences. Discuss the varying preferences for such language and some of the reasons behind those preferences. Explain how approaches can differ based on whether you know a person’s specific disability or condition or whether you’re referring to an individual or a community of people. Quick summary Person-first language introduces a person before any description of them. Examples include person with a disability, patient with cancer, and child who has cerebral palsy. Person-first language is intended to emphasize the fullness of a person and to avoid defining them exclusively by their disability or condition. Identity-first language involves stating a descriptor of a person first, as in autistic person and blind child. This is often done with the idea that the characteristic in question is an integral part of a person’s identity and community membership and should be emphasized rather than minimized. Person-first language is preferred and encouraged in many contexts, especially medical care. However, some people prefer identity-first language—notably many members of the blind, deaf, and autistic communities. Still, preferences around such approaches vary widely, even among people within the same community. The best approach is always to respect people’s choices about the language they use for themselves. First, a note about disabled and disability First and foremost, remember that in many cases it’s not relevant or necessary to discuss or point out a person’s disability at all. Regardless of what language preferences people have, every person wants to be treated as just that—a person (which is one of the motivating ideas behind person-first language). However, that doesn’t mean that disability is inherently negative, unmentionable, or something that must be politely ignored (which are some of the notions that identity-first language pushes back on). When discussion of a disability or other condition is pertinent, it is often preferable to name the person’s specific disability or condition, such as paraplegia or diabetes. However, when addressing an issue that affects a larger community of people—for example, when discussing accessibility in the workplace—disabled and disability are often the preferred terms. Our new usage notes within the entries for these terms reflect this. (Some people object to the terms disabled and disability in and of themselves, but that won’t be the focus of this article, nor will other, more specific terms that are now considered outdated and offensive.) What is person-first language? The term person-first language refers to wording that introduces a person first and then follows with a descriptor in relation to a disability, medical condition (including mental health conditions), or other physical or cognitive difference. Person-first language often literally uses the word person (or persons or people) as the first part of referring to someone, as in person with a disability or people with dwarfism. Of course, the term that refers to the person is often more specific, such as child, adult, patient, or a term specifying a person’s nationality. Such terms can also be used in identity-first language, which will be discussed in the next section. (Person-first language is not to be confused with the grammatical and literary term first person, which is the point of view in which a speaker or writer refers to themself: I, me, we, and us are first-person pronouns.) Person-first language is used in many different contexts, including disability, medical conditions and diseases, physical and cognitive differences, and addiction and substance use, among others. The intent of person-first language is often understood as being to acknowledge a person as a full, complex individual. This is done to avoid defining them solely by their disability, condition, or physical or mental attributes, which can have the effect of dehumanizing them, creating negative stigmas, or producing the false assumption that a disability or condition affects all people in the same way. Promotion of person-first language is often traced back to the People First Movement that began in the late 1960s. Person-first language became more widespread in the 1990s. Awareness and use of it is thought to have increased in part as a result of the 1990 Americans with Disabilities Act (ADA), a landmark piece of federal legislation that, among many other changes, established such language as the preferred wording in many government documents and communications (a preference that continues today). Person-first language has largely become the preferred approach in medical contexts. Major health organizations, such as the World Health Organization and the US Centers for Disease Control and Prevention, use and state preferences for person-first language, as do the style guides of the American Medical Association and the American Psychological Association. However, many style guides also emphasize that a person’s personal preference should always come first. Still, many people strongly prefer identity-first language. What is identity-first language? The term identity-first language refers to wording about a person that leads with a description of them in the context of a disability, medical conditions (including mental health conditions), or other physical or cognitive difference. Examples include terms like deaf person, blind person, and autistic person. Such labels are sometimes considered offensive due to emphasizing a characteristic as if it’s all that matters about the person. However, some people prefer such terms because they consider the characteristic being referred to as an inseparable part of their identity—hence the use of the word identity in the term. By those who prefer it when referring to themselves, identity-first language is often considered a way to show pride in who they are and their membership in a community of like people. This is especially the case in the context of disability. In this context, identity-first language is often viewed as functioning to center a person’s disability, in contrast with the approach of person-first language, which is sometimes interpreted as minimizing such characteristics out of the assumption that they are inherently negative. Notably, significant portions of the deaf, blind, and autistic communities prefer identity-first language. However, not everyone shares this preference. Examples of person-first and identity-first language In this section, we’ll provide side-by-side examples of person-first language and identity-first language along with notes about use and preferences. This is a collection of common examples grouped by context, not a comprehensive list of all possible terms. Due to the nature of their construction, examples of person-first language are always multiple-word phrases, as in person with AIDS or individuals with disabilities. Identity-first language also often consists of phrases, but some terms that may be considered examples of identity-first language are single words. For example, some people who have had limbs amputated prefer to be called amputees. Many such examples (single-word nouns used to refer to people) are now usually considered inappropriate and offensive, especially those once used in the context of mental health. Some will be discussed below. Disability In the general discussion of people with disabilities, person-first language is the most widely preferred approach. However, this preference is not universal. person-first example: person with a disability identity-first example: disabled person person-first examples: person with paraplegia; person with quadriplegia identity-first examples: When used as nouns to refer to people, terms like paraplegic and quadriplegic are now widely avoided, though some people may prefer them when referring to themselves. person-first example: person with an intellectual disability; person with a cognitive disability identity-first example: intellectually disabled person; cognitively disabled person. Such terms are now less commonly used, but may be preferred by some. The autism spectrum In the context of autism, there is significant, strong, and growing preference for identity-first language, despite some advocacy organizations historically recommending person-first language. Among those who prefer identity-first language, one commonly stated reason is that they consider autism a major part of their identity and not something to be ashamed of or treated as something that needs to be “cured.” Still, some people prefer person-first language. person-first examples: a person with autism; an adult on the autism spectrum identity-first examples: autistic person; autistic individual. The use of autistic as a noun is preferred by many as a way to refer to themselves, but is considered offensive by others. Deafness Identity-first language has also been largely embraced by the Deaf community. (The word Deaf is often capitalized when it’s used in reference to things related to Deaf culture.) Identity-first language is promoted by many major organizations, such as the National Association of the Deaf, the National Deaf Center, and the World Federation of the Deaf. Still, some people prefer person-first language. person-first example: a person who is deaf identity-first examples: deaf person; deaf Americans; Deaf community Blindness Though preferences vary, identity-first language is widely preferred and promoted by individuals and organizations in the blind community, including the National Federation of the Blind, the Royal National Institute of Blind People, and various state commissions for the blind and visually impaired. person-first example: a person who is blind identity-first examples: blind person; blind adult Dwarfism and short stature Organizations centered around people with dwarfism often use both person-first and identity-first terms. Preferences among individuals, of course, can vary. person-first examples: a person who has dwarfism; people of short stature identity-first examples: dwarf; little person Additional medical and mental health contexts Person-first language is now widely preferred and promoted in the context of medicine by medical professionals, organizations, and advocacy groups. Such language is intended to avoid equating patients with their diseases or conditions (such as with now avoided phrasings like cancer patient or AIDS patient), which research has shown can lead to stigmatization, overgeneralization, and worse health outcomes. person-first examples: patient with AIDS; child with cancer; person with diabetes; person with epilepsy identity-first examples: When used as nouns to refer to people, terms like diabetic and epileptic are now widely avoided, though some people may prefer them when referring to themselves. Person-first language is now also widely preferred and promoted in the context of medical professionals who address mental health conditions. It is especially recommended to replace terms that use a condition as a noun to refer to someone (such as the noun uses of schizophrenic or bulimic) with person-first language. person-first examples: a person with schizophrenia; a patient with psychosis; people with eating disorders Other contexts As with the wider field of medical care, person-first language is widely preferred in the context of drug and substance addiction, in which such terms are recommended to replace stigmatizing words like addict and alcoholic. person-first examples: a person with alcohol use disorder; people with substance use disorders For similar reasons, person-first language is also commonly used by organizations and advocates focused on suicide prevention. Such language is thought to help destigmatize the issue and emphasize a person’s humanity, rather than treating them as a statistic. person-first examples: a person experiencing thoughts of suicide; people impacted by suicide Collective terms Collective terms for certain groups often fall under the classification of identity-first language. Examples include the blind, the deaf, and the disabled. While such terms are preferred by some (and used in the names of some major organizations), they are considered offensive by others who believe that such terms are a barrier to treating members of such groups as individuals. Should I use person-first or identity-first language? The answer to this question is that there is no single, permanent answer. Person-first and identity-first language continue to evolve, and preferences vary from person to person and differ among different communities and organizations. In the context of medicine and mental health, person-first language is widely preferred and recommended, especially due to evidence that it contributes to better health outcomes and reduces stigmatization. Still, identity-first language may be preferred in certain situations or among people who consider their condition as an inseparable part of their identity. Notably, many members of the blind, deaf, and autistic communities (among some others) now prefer and promote identity-first language, arguing that such characteristics are an integral part of their identities that should be proudly emphasized, not treated as negatives or limitations. Identity-first language is also sometimes favored due to emphasizing membership in a community. Generally speaking, some people are fine with others referring to them with either person-first or identify-first language or a combination of both, as long as it is used respectfully. But many other people have strong preferences for one or the other, with valid reasons for each. Many style guides recommend person-first language if you do not know someone’s preference, are unable to discover it, or are talking about a certain group generally. However, despite this recommendation, there is one consistent piece of advice that you will find among style guides and advocacy organizations: you should always respect the language that an individual personally uses. Notably, the style guide of the National Center on Disability and Journalism, which in the past recommended person-first language as the default choice, now recommends making choices about wording on a case-by-case basis, stating that “no two people are the same—either with regard to disabilities or language preferences.” You can always ask a person what type of phrasing they prefer. Remember that discussing a disability, condition, or other physical or intellectual difference is in many cases unnecessary. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name. Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 353 มุมมอง 0 รีวิว
  • If a person from any country has recent history with modern processed foods, high fructose or high carbohydrates...

    Metabolic problems are very normal for people with modern diet...

    Diabetes, SIBO, IBS, Leaky Gut and NAFLD... the metabolic pandemic.

    At least 80% of people with diabetes also have fatty liver, warns endocrinologist

    Obesity an indicator of fatty liver disease

    But there is one potential indicator of NAFLD. Cusi recently conducted a study of overweight or obese Latinos and non-Hispanic whites to find out whether Latinos are more likely to develop insulin resistance and liver disease. Past studies showed that this group is more likely to have Type 2 diabetes than most other racial groups.

    “Because Hispanics get more Type 2 diabetes, there was a thought that they get more fatty liver disease,” said Cusi.

    But the results indicated that ethnicity has little correlation with NAFLD. The most prominent factor was obesity.

    But many diabetics with a fatty liver are not aware that they have the condition. Cusi said NAFLD is typically undiagnosed due to a lack of awareness among some physicians, as well as the hidden nature of the disease.

    Fatty liver often causes no observable symptoms until the disease has progressed into cirrhosis, the late stage of liver scarring. The most reliable way to diagnose it is through a liver biopsy, an invasive and expensive procedure. Other options such as magnetic resonance imaging (MRI) and ultrasound scans are cheaper but less precise. Physical exams and blood tests are wholly inaccurate.
    If a person from any country has recent history with modern processed foods, high fructose or high carbohydrates... Metabolic problems are very normal for people with modern diet... Diabetes, SIBO, IBS, Leaky Gut and NAFLD... the metabolic pandemic. At least 80% of people with diabetes also have fatty liver, warns endocrinologist Obesity an indicator of fatty liver disease But there is one potential indicator of NAFLD. Cusi recently conducted a study of overweight or obese Latinos and non-Hispanic whites to find out whether Latinos are more likely to develop insulin resistance and liver disease. Past studies showed that this group is more likely to have Type 2 diabetes than most other racial groups. “Because Hispanics get more Type 2 diabetes, there was a thought that they get more fatty liver disease,” said Cusi. But the results indicated that ethnicity has little correlation with NAFLD. The most prominent factor was obesity. But many diabetics with a fatty liver are not aware that they have the condition. Cusi said NAFLD is typically undiagnosed due to a lack of awareness among some physicians, as well as the hidden nature of the disease. Fatty liver often causes no observable symptoms until the disease has progressed into cirrhosis, the late stage of liver scarring. The most reliable way to diagnose it is through a liver biopsy, an invasive and expensive procedure. Other options such as magnetic resonance imaging (MRI) and ultrasound scans are cheaper but less precise. Physical exams and blood tests are wholly inaccurate.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • If a person from any country has recent history with modern processed foods, high fructose or high carbohydrates...

    Metabolic problems are very normal for people with modern diet...

    Diabetes, SIBO, IBS, Leaky Gut and NAFLD... the metabolic pandemic.

    At least 80% of people with diabetes also have fatty liver, warns endocrinologist

    Obesity an indicator of fatty liver disease

    But there is one potential indicator of NAFLD. Cusi recently conducted a study of overweight or obese Latinos and non-Hispanic whites to find out whether Latinos are more likely to develop insulin resistance and liver disease. Past studies showed that this group is more likely to have Type 2 diabetes than most other racial groups.

    “Because Hispanics get more Type 2 diabetes, there was a thought that they get more fatty liver disease,” said Cusi.

    But the results indicated that ethnicity has little correlation with NAFLD. The most prominent factor was obesity.

    But many diabetics with a fatty liver are not aware that they have the condition. Cusi said NAFLD is typically undiagnosed due to a lack of awareness among some physicians, as well as the hidden nature of the disease.

    Fatty liver often causes no observable symptoms until the disease has progressed into cirrhosis, the late stage of liver scarring. The most reliable way to diagnose it is through a liver biopsy, an invasive and expensive procedure. Other options such as magnetic resonance imaging (MRI) and ultrasound scans are cheaper but less precise. Physical exams and blood tests are wholly inaccurate.
    If a person from any country has recent history with modern processed foods, high fructose or high carbohydrates... Metabolic problems are very normal for people with modern diet... Diabetes, SIBO, IBS, Leaky Gut and NAFLD... the metabolic pandemic. At least 80% of people with diabetes also have fatty liver, warns endocrinologist Obesity an indicator of fatty liver disease But there is one potential indicator of NAFLD. Cusi recently conducted a study of overweight or obese Latinos and non-Hispanic whites to find out whether Latinos are more likely to develop insulin resistance and liver disease. Past studies showed that this group is more likely to have Type 2 diabetes than most other racial groups. “Because Hispanics get more Type 2 diabetes, there was a thought that they get more fatty liver disease,” said Cusi. But the results indicated that ethnicity has little correlation with NAFLD. The most prominent factor was obesity. But many diabetics with a fatty liver are not aware that they have the condition. Cusi said NAFLD is typically undiagnosed due to a lack of awareness among some physicians, as well as the hidden nature of the disease. Fatty liver often causes no observable symptoms until the disease has progressed into cirrhosis, the late stage of liver scarring. The most reliable way to diagnose it is through a liver biopsy, an invasive and expensive procedure. Other options such as magnetic resonance imaging (MRI) and ultrasound scans are cheaper but less precise. Physical exams and blood tests are wholly inaccurate.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts