• ขยับหมาก ตอนที่ 3

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ขยับหมาก”
    ตอน 3
    อยู่ๆ ทำไม Chatham House ถึงลุกขึ้นมาเล่นรัสเซียเสียแรง ยังกะตั้งใจจะแยกอยู่กันคนละโลกขนาดนั้น มันไม่น่าจะเป็นการโชว์กระเดือกเดี่ยว อย่างนั้นมันไม่ใช่รูปแบบของฝั่งตะวันตก ที่ชอบทาสี ตีปิ๊บ และรุมกันทึ้งตามสันดานนักล่าทั้งเก่าทั้งใหม่
    ย้อนไปดูความเคลื่อนไหวของโรงงานใบตองแห้งเสียหน่อย ไม่ต้องย้อนไปไกล เอาแค่ระยะใกล้ในเดือนมิถุนายน มีรายงายข่าวว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน นาย Ashton Carter รัฐมนตรีกลาโหมของอเมริกา ที่มีสีหน้า เหมือนกินเต้าหู้บูดเข้าไปตลอดเวลา ได้เดินทางไปที่กองบัญชาการของกองทัพ US Eurpoean Commander ที่เมือง Stuttgart ของเยอรมัน และประชุมกับหัวกะทิของทหารอเมริกันประมาณ 2 โหล กับนักการทูตอีกหลายคน เพื่อหารือว่า จะยกระดับการจัดการทั้งในด้านเศรษฐกิจ และการทหาร กับรัสเซียอย่างไรดี เนื่องจากสัมพันธภาพกับรัสเซียตอนนี้ กำลังเปลี่ยนเป็นทางดิ่งลง sad turn และสถานการณ์ในยุโรป ก็ไม่ได้สวยหวานอย่างเมื่อก่อนแล้ว
    ในวันเดียวกันนั้น ส่วนหนึ่งของรายงานของนายพล Martin Demsey ประธานคณะทำงาน Chairman of the US Joint Chief of Staffs ที่ไม่รู้ว่าใครมืออ่อน ทำหลุดไปถึงสื่อ รายงานนั้นระบุว่า วอชิงตันกำลังคิดจะติดหัวรบนิวเคลียร์ใส่จรวดแถวยุโรป เป็นการตอบโต้รัสเซีย ที่ถูกกล่าวหาว่า กำลังทำผิดสัญญาเรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์ระยะกลาง Intermediate-range Nuclear Forces (INF) ซึ่งรัสเซียบอกว่า เปล่าผิด จรวดที่ใช้ไม่อยู่ในข้อห้ามของสัญญา อเมริกาก็ใช้แบบนี้ในอิรัคไม่ใช่หรือ ประโยคหลัง ลุงนิทานถามแทน
    Pentagon กำลังคิดว่าจะติดตั้งจรวดยิงใส่รัสเซียที่ไหนดี ระหว่างยิงสวนใส่กลับไปที่จรวดรัสเซีย ที่กำลังลอยฟ้า หรือยิงใส่ฐานที่ตั้งกองกำลังของรัสเซีย จะยิงไปที่ไหนยังไม่ตัดสินใจ แต่นาย Robert Scher ผู้ช่วยคุณเต้าหูบูด ด้านนโยบายการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ได้แจ้งรัฐสภาเมื่อเมษายนนี้ว่า มีแผนเเช่นนั้นจริง ฮั่นแน่ จับได้แล้ว คิดรุกเขาแล้วซินะ
    หลังจากนั้นคุณเต้าหู้บูด ก็ไปประชุมกับหัวกะทิของนาโต้ที่ Brussels ตกลงจะเพิ่มกองกำลังรถถัง อาวุธหนัก อาวุธเบา เต็มอัตรา ให้กับฐานทัพนาโต้ที่อยู่แถวบอลติก รวมทั้งโปแลนด์ โรมาเนีย และบุลกาเรีย พวก (ที่เคยเป็น) เพื่อนรักคุณพี่ปูตินทั้งนั้น เปลี่ยนใจจากที่ว่า จะลดกำลังฝั่งแอตแลนติกไปเรียบร้อยแล้ว
    นอกจากนี้ ที่สำคัญ อเมริกาเพิ่งออกรายงาน US National Military Strategy (US NMS) 2015 เมื่อปลายเดือนมิถุนายนนี้เอง ประเทศที่อเมริกาจับตามองเป็นพิเศษมีอยู่ 4 ประเทศ คือ รัสเซีย อิหร่าน เกาหลีเหนือ และจีน
    วิธีที่อเมริกาเขียนถึง 4 ประเทศ แม้ไม่ประกาศชัดเจนว่าเป็นศัตรู แต่การบรรยายสรรพคุณแต่ละประเทศ ก็ทำให้เห็นว่ายากจะเป็นมิตรต่อกัน ถึงว่า มันน่าจะเป็นปาหี่
    ไอ้เรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์น่ะ
    เมื่อย้อนมาดูช่วงเวลาของการอ อก Grand Strategy แผนสอยมังกร สำหรับจีน ที่ออกมาในเดือนเมษายน เรื่อง Russia Challenge กูไม่คบมึง ในเดือนมิถุนายน ยุทธศาสตร์ USNMS 2015 ในเดือนมิถุนายน เรื่องอิหร่านดีล ที่ควรจะจบตั้งแต่ 30 มิถุนายน แต่ลากยาวมาถึงกรกฏาคม และญี่ปุ่น ที่กำลังเตรียมแบกถาด เมื่อสภาญี่ปุ่นอนุมัติให้แก้รัฐธรรมนูญ ให้แบกถาดร่อนไปทั่วได้ ซึ่งญี่ปุ่นคาดว่า ภายในกรกฏาคมนี้ คงผ่านสภา
    ดูเหมือนอเมริกาน่าจะเลือกเล่นเกมหมากล้อม ล้อม 4 ประเทศ ที่จับตาจ้องเขม็งนั่นแหละ และเตรียมเดินหมากไว้แล้วด้วย
    อเมริกาอาจจะเริ่มขยับหมาก เมื่อเรื่องกรีซ กับเรื่องอิหร่านจบตอนหนึ่ง หมากชื่อกรีก เหมือนจะไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆ อาจจะเกี่ยว ส่วนอิหร่านนั้น เป็นหมากที่สำคัญยิ่ง ไม่ว่าเรื่องอิหร่านจะจบอย่างไร ผลกระทบมีสูงทุกทาง
    ถ้าอเมริกา ใช้ยุทธศาตร์หมากล้อม ตามแนวที่วิเคราะห์ เรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ และเรื่องกรีซ เราคงต้องตามดู แต่ดูการพัฒนาการของเรื่อง และระยะเวลาของแต่ละเรื่อง อย่าไปหลงทางตามรายละเอียดที่เขาตั้งใจสร้างให้เรางง การพัฒนาของทั้ง 2 เรื่อง จะทำให้เราเห็นว่า อเมริกาขยับหมากอย่างไร และจะมีเรื่องยาวตามมาหรือไม่ หรือการเดินหมากของอเมริกาล้มเหลว หรือแค่ชลอ รอเวลา…
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    17 ก.ค. 2558
    ขยับหมาก ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ขยับหมาก” ตอน 3 อยู่ๆ ทำไม Chatham House ถึงลุกขึ้นมาเล่นรัสเซียเสียแรง ยังกะตั้งใจจะแยกอยู่กันคนละโลกขนาดนั้น มันไม่น่าจะเป็นการโชว์กระเดือกเดี่ยว อย่างนั้นมันไม่ใช่รูปแบบของฝั่งตะวันตก ที่ชอบทาสี ตีปิ๊บ และรุมกันทึ้งตามสันดานนักล่าทั้งเก่าทั้งใหม่ ย้อนไปดูความเคลื่อนไหวของโรงงานใบตองแห้งเสียหน่อย ไม่ต้องย้อนไปไกล เอาแค่ระยะใกล้ในเดือนมิถุนายน มีรายงายข่าวว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน นาย Ashton Carter รัฐมนตรีกลาโหมของอเมริกา ที่มีสีหน้า เหมือนกินเต้าหู้บูดเข้าไปตลอดเวลา ได้เดินทางไปที่กองบัญชาการของกองทัพ US Eurpoean Commander ที่เมือง Stuttgart ของเยอรมัน และประชุมกับหัวกะทิของทหารอเมริกันประมาณ 2 โหล กับนักการทูตอีกหลายคน เพื่อหารือว่า จะยกระดับการจัดการทั้งในด้านเศรษฐกิจ และการทหาร กับรัสเซียอย่างไรดี เนื่องจากสัมพันธภาพกับรัสเซียตอนนี้ กำลังเปลี่ยนเป็นทางดิ่งลง sad turn และสถานการณ์ในยุโรป ก็ไม่ได้สวยหวานอย่างเมื่อก่อนแล้ว ในวันเดียวกันนั้น ส่วนหนึ่งของรายงานของนายพล Martin Demsey ประธานคณะทำงาน Chairman of the US Joint Chief of Staffs ที่ไม่รู้ว่าใครมืออ่อน ทำหลุดไปถึงสื่อ รายงานนั้นระบุว่า วอชิงตันกำลังคิดจะติดหัวรบนิวเคลียร์ใส่จรวดแถวยุโรป เป็นการตอบโต้รัสเซีย ที่ถูกกล่าวหาว่า กำลังทำผิดสัญญาเรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์ระยะกลาง Intermediate-range Nuclear Forces (INF) ซึ่งรัสเซียบอกว่า เปล่าผิด จรวดที่ใช้ไม่อยู่ในข้อห้ามของสัญญา อเมริกาก็ใช้แบบนี้ในอิรัคไม่ใช่หรือ ประโยคหลัง ลุงนิทานถามแทน Pentagon กำลังคิดว่าจะติดตั้งจรวดยิงใส่รัสเซียที่ไหนดี ระหว่างยิงสวนใส่กลับไปที่จรวดรัสเซีย ที่กำลังลอยฟ้า หรือยิงใส่ฐานที่ตั้งกองกำลังของรัสเซีย จะยิงไปที่ไหนยังไม่ตัดสินใจ แต่นาย Robert Scher ผู้ช่วยคุณเต้าหูบูด ด้านนโยบายการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ได้แจ้งรัฐสภาเมื่อเมษายนนี้ว่า มีแผนเเช่นนั้นจริง ฮั่นแน่ จับได้แล้ว คิดรุกเขาแล้วซินะ หลังจากนั้นคุณเต้าหู้บูด ก็ไปประชุมกับหัวกะทิของนาโต้ที่ Brussels ตกลงจะเพิ่มกองกำลังรถถัง อาวุธหนัก อาวุธเบา เต็มอัตรา ให้กับฐานทัพนาโต้ที่อยู่แถวบอลติก รวมทั้งโปแลนด์ โรมาเนีย และบุลกาเรีย พวก (ที่เคยเป็น) เพื่อนรักคุณพี่ปูตินทั้งนั้น เปลี่ยนใจจากที่ว่า จะลดกำลังฝั่งแอตแลนติกไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ที่สำคัญ อเมริกาเพิ่งออกรายงาน US National Military Strategy (US NMS) 2015 เมื่อปลายเดือนมิถุนายนนี้เอง ประเทศที่อเมริกาจับตามองเป็นพิเศษมีอยู่ 4 ประเทศ คือ รัสเซีย อิหร่าน เกาหลีเหนือ และจีน วิธีที่อเมริกาเขียนถึง 4 ประเทศ แม้ไม่ประกาศชัดเจนว่าเป็นศัตรู แต่การบรรยายสรรพคุณแต่ละประเทศ ก็ทำให้เห็นว่ายากจะเป็นมิตรต่อกัน ถึงว่า มันน่าจะเป็นปาหี่ ไอ้เรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์น่ะ เมื่อย้อนมาดูช่วงเวลาของการอ อก Grand Strategy แผนสอยมังกร สำหรับจีน ที่ออกมาในเดือนเมษายน เรื่อง Russia Challenge กูไม่คบมึง ในเดือนมิถุนายน ยุทธศาสตร์ USNMS 2015 ในเดือนมิถุนายน เรื่องอิหร่านดีล ที่ควรจะจบตั้งแต่ 30 มิถุนายน แต่ลากยาวมาถึงกรกฏาคม และญี่ปุ่น ที่กำลังเตรียมแบกถาด เมื่อสภาญี่ปุ่นอนุมัติให้แก้รัฐธรรมนูญ ให้แบกถาดร่อนไปทั่วได้ ซึ่งญี่ปุ่นคาดว่า ภายในกรกฏาคมนี้ คงผ่านสภา ดูเหมือนอเมริกาน่าจะเลือกเล่นเกมหมากล้อม ล้อม 4 ประเทศ ที่จับตาจ้องเขม็งนั่นแหละ และเตรียมเดินหมากไว้แล้วด้วย อเมริกาอาจจะเริ่มขยับหมาก เมื่อเรื่องกรีซ กับเรื่องอิหร่านจบตอนหนึ่ง หมากชื่อกรีก เหมือนจะไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆ อาจจะเกี่ยว ส่วนอิหร่านนั้น เป็นหมากที่สำคัญยิ่ง ไม่ว่าเรื่องอิหร่านจะจบอย่างไร ผลกระทบมีสูงทุกทาง ถ้าอเมริกา ใช้ยุทธศาตร์หมากล้อม ตามแนวที่วิเคราะห์ เรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ และเรื่องกรีซ เราคงต้องตามดู แต่ดูการพัฒนาการของเรื่อง และระยะเวลาของแต่ละเรื่อง อย่าไปหลงทางตามรายละเอียดที่เขาตั้งใจสร้างให้เรางง การพัฒนาของทั้ง 2 เรื่อง จะทำให้เราเห็นว่า อเมริกาขยับหมากอย่างไร และจะมีเรื่องยาวตามมาหรือไม่ หรือการเดินหมากของอเมริกาล้มเหลว หรือแค่ชลอ รอเวลา… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 17 ก.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • ใกล้ WW3! รมว.กลาโหมอังกฤษยืนยัน เรือจารกรรมรัสเซีย “Yantar” อุกอาจยิงแสงเลเซอร์ใส่นักบินขณะบินประกบในน่านน้ำอังกฤษ ลอนดอนส่งเรือรบ–P8 ติดตามใกล้ชิด ขณะเตรียมเร่งตั้งโรงงานผลิตกระสุน–ระเบิด 13 แห่งทั่วประเทศ เพิ่มกำลังพร้อมรบ

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110779

    #รัสเซีย #อังกฤษ #Yantar #เลเซอร์ #NATO #สงคราม #WW3 #ข่าวต่างประเทศ #News1live #News1
    ใกล้ WW3! รมว.กลาโหมอังกฤษยืนยัน เรือจารกรรมรัสเซีย “Yantar” อุกอาจยิงแสงเลเซอร์ใส่นักบินขณะบินประกบในน่านน้ำอังกฤษ ลอนดอนส่งเรือรบ–P8 ติดตามใกล้ชิด ขณะเตรียมเร่งตั้งโรงงานผลิตกระสุน–ระเบิด 13 แห่งทั่วประเทศ เพิ่มกำลังพร้อมรบ • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110779 • #รัสเซีย #อังกฤษ #Yantar #เลเซอร์ #NATO #สงคราม #WW3 #ข่าวต่างประเทศ #News1live #News1
    0 Comments 0 Shares 72 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251120 #TechRadar

    Garmin อัปเดตสมาร์ทวอทช์ จับสัญญาณความเครียดได้
    Garmin ปล่อยอัปเดตใหญ่ให้สมาร์ทวอทช์รุ่นดังอย่าง Vivoactive 6, Forerunner 570 และ Venu X1 รวมถึงคอมพิวเตอร์จักรยาน Edge 540 และ 1050 จุดเด่นคือฟีเจอร์ Health Status ที่ช่วยดูแนวโน้มสุขภาพระยะยาว เช่น อัตราการเต้นหัวใจ, HRV, การหายใจ, อุณหภูมิผิว และค่าออกซิเจนในเลือดตอนนอน หากค่าผิดปกติอาจบอกได้ว่าร่างกายกำลังเครียดหรือเจ็บป่วย นอกจากนี้ยังมีแผนที่ 3D (สำหรับผู้ใช้แบบพรีเมียม) และฟีเจอร์ใหม่ ๆ สำหรับนักปั่น เช่น เตือนให้ดื่มน้ำ, เช็กสภาพอากาศแบบเรียลไทม์ และวิเคราะห์อัตราทดเกียร์
    https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/garmins-latest-smartwatch-update-helps-catch-signs-of-stress-in-one-key-way

    AMD เปิดตัว FSR Redstone แต่ใช้ได้เฉพาะ RX 9000
    AMD ประกาศเปิดตัว FSR Redstone วันที่ 10 ธันวาคมนี้ เป็นชุดเทคโนโลยี AI ที่ช่วยเร่งเฟรมเรตและปรับปรุงคุณภาพภาพกราฟิก แต่ข่าวร้ายคือใช้ได้เฉพาะการ์ดจอรุ่น RX 9000 เท่านั้น ทำให้ผู้ใช้ RX 7000 และรุ่นก่อนหน้าไม่พอใจ เพราะยังถือว่าเป็นการ์ดจอใหม่อยู่ ฟีเจอร์ที่มาพร้อม Redstone เช่น Ray Regeneration (ปรับปรุงภาพ Ray Tracing), Radiance Caching (ปรับแสงให้สมจริง) และ Frame Generation ที่สร้างเฟรมเสริมเพื่อให้ภาพลื่นขึ้น
    https://www.techradar.com/computing/gpu/amds-fsr-redstone-for-supercharged-gaming-debuts-on-december-10-but-its-rx-9000-only-leaving-older-radeon-gpus-in-the-cold

    รหัสผ่านธีมเทศกาล เสี่ยงโดนเจาะง่าย
    มีการวิเคราะห์รหัสผ่านที่รั่วไหลกว่า 800 ล้านรายการ พบว่ามีจำนวนมากที่ใช้คำเกี่ยวกับเทศกาล เช่น Christmas, Santa, หรือการดัดแปลงด้วยตัวเลข/สัญลักษณ์ แม้ดูซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้วเครื่องมือเจาะรหัสสมัยใหม่สามารถเดาได้ง่าย เพราะรูปแบบซ้ำ ๆ และคาดเดาได้ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าช่วงสิ้นปีที่หลายองค์กรบังคับเปลี่ยนรหัสผ่าน มักเป็นจังหวะที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมนี้
    https://www.techradar.com/pro/this-company-analyzed-800-million-breached-passwords-and-found-a-surprising-amount-of-festive-themes-so-maybe-choose-a-better-password-please

    โรงเก็บของกลายเป็น Data Center ช่วยลดค่าไฟ
    คู่รักใน Essex, UK ทดลองติดตั้ง HeatHub ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลขนาดเล็กในโรงเก็บของ ใช้ Raspberry Pi กว่า 500 เครื่องในการประมวลผล และนำความร้อนที่เกิดขึ้นไปใช้ทำความร้อนในบ้าน ผลคือค่าไฟลดจาก £375 เหลือเพียง £40 ต่อเดือน โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองระดับประเทศ เพื่อหาทางใช้พลังงานจากการประมวลผลคอมพิวเตอร์มาเป็นพลังงานความร้อนในครัวเรือน
    https://www.techradar.com/pro/looking-to-lower-your-energy-bills-this-winter-how-about-hosting-a-data-center-in-your-garden-shed-to-help-heat-your-home

    เครื่องมือ Unix เก่ากลับมาพร้อมภัยใหม่
    คำสั่ง finger ที่เคยใช้ในระบบ Unix เพื่อตรวจสอบข้อมูลผู้ใช้ ถูกนำกลับมาใช้ในทางร้าย โดยแฮกเกอร์ใช้สคริปต์ดึงคำสั่งจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลแล้วรันใน Windows ทำให้สามารถแอบติดตั้งโปรแกรม Python ที่ขโมยข้อมูลได้โดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว เทคนิคนี้ยังสามารถเลี่ยงการตรวจจับจากเครื่องมือวิเคราะห์ได้ ถือเป็นการฟื้นคืนชีพของภัยคุกคามเก่าที่อันตรายมาก
    https://www.techradar.com/pro/a-decades-old-threat-command-is-making-a-comeback-so-dont-let-the-finger-of-doom-affect-you

    Meta ทุ่มงบเพิ่มความปลอดภัย WhatsApp
    Meta ลงทุนหลายล้านดอลลาร์ในโครงการ Bug Bounty และเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อเสริมความปลอดภัยของ WhatsApp เป้าหมายคือป้องกันการโจมตีและหาช่องโหว่ก่อนที่แฮกเกอร์จะใช้ประโยชน์ การลงทุนครั้งนี้สะท้อนถึงความจริงจังของ Meta ที่ต้องการให้ WhatsApp เป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้ใช้ทั่วโลก
    https://www.techradar.com/pro/security/meta-is-spending-millions-on-bug-bounties-and-security-tools-to-boost-whatsapp-security

    Google Maps เพิ่ม 4 ฟีเจอร์ใหม่รับเทศกาล
    Google Maps อัปเดตครั้งใหญ่เพื่อช่วยผู้ใช้ช่วงเทศกาลปลายปี ฟีเจอร์ใหม่ประกอบด้วยการแสดงข้อมูลการจราจรที่ละเอียดขึ้น, การแจ้งเตือนเส้นทางที่หนาแน่น, การแนะนำเส้นทางทางเลือก และการปรับปรุงการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยว/ร้านค้าให้ตรงใจมากขึ้น เหมาะกับการเดินทางในช่วงวันหยุดที่ผู้คนออกเดินทางจำนวนมาก
    https://www.techradar.com/computing/websites-apps/google-maps-is-adding-4-new-features-to-help-you-navigate-the-holiday-season

    LG Battery โดนโจมตี Ransomware
    บริษัทลูกของ LG ที่ทำธุรกิจแบตเตอรี่ถูกโจมตีด้วย Ransomware ส่งผลให้ระบบบางส่วนหยุดชะงักและข้อมูลถูกเข้ารหัส ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการโจมตีลักษณะนี้กำลังเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมพลังงาน เพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่แฮกเกอร์เล็งเป้าเพื่อเรียกค่าไถ่สูง
    https://www.techradar.com/pro/security/ransomware-attack-hits-lg-battery-subsidiary

    Asus Router ถูกโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่
    มีรายงานว่า Router ของ Asus ทั่วโลกถูกโจมตีจากกลุ่มที่เชื่อมโยงกับจีน ทำให้ผู้ใช้งานหลายรายประสบปัญหาเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไม่ได้ การโจมตีครั้งนี้ถูกจับตามองว่าอาจเป็นการแสดงศักยภาพด้านไซเบอร์ของรัฐชาติ และยังสร้างความกังวลต่อความปลอดภัยของอุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้กันแพร่หลาย
    https://www.techradar.com/pro/security/asus-routers-across-the-globe-hit-by-suspected-chinese-cyberattack-heres-what-we-know

    ข่าวสด VPN และสิทธิด้านดิจิทัล
    TechRadar เปิดหน้า VPN News Live อัปเดตสถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับความปลอดภัยไซเบอร์, สิทธิด้านดิจิทัล และความเป็นส่วนตัวออนไลน์ เนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี VPN ใหม่ ๆ ไปจนถึงการเคลื่อนไหวด้านสิทธิผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก
    https://www.techradar.com/live/news/latest-vpn-news-wednesday-19-november

    Porsche Cayenne Turbo Electric แรงที่สุดที่เคยมี
    Porsche ประกาศอย่างเป็นทางการว่า Cayenne Turbo Electric จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ทรงพลังที่สุดที่บริษัทเคยผลิต กำลังสูงสุดมากกว่า 1,000 แรงม้า ทำให้เป็น SUV ที่เร็วและแรงที่สุดในสายการผลิตของ Porsche ถือเป็นการยกระดับตลาดรถไฟฟ้าไปอีกขั้น
    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/its-official-the-porsche-cayenne-turbo-electric-will-be-the-most-powerful-production-porsche-ever-made

    Chrome เจอช่องโหว่ Zero-Day อันตราย
    Google ออกแพตช์เร่งด่วนเพื่อแก้ไขช่องโหว่ Zero-Day ใน Chrome ที่ถูกโจมตีจริงแล้ว ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบโดยไม่รู้ตัว ผู้ใช้ถูกแนะนำให้อัปเดต Chrome ทันทีเพื่อความปลอดภัย
    https://www.techradar.com/pro/security/google-patches-worrying-chrome-zero-day-flaw-being-exploited-in-the-wild-heres-how-to-stay-safe

    Botnet ใหม่แอบใช้ Ray Cluster ขุดคริปโต
    มีการค้นพบ Botnet ลึกลับที่แอบเข้ายึด Ray Clusters แล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องขุดคริปโตโดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว การโจมตีนี้ทำให้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ถูกใช้ไปอย่างมหาศาล และยังเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลอีกด้วย
    https://www.techradar.com/pro/security/ray-clusters-hijacked-and-turned-into-crypto-miners-by-shadowy-new-botnet

    iOS 26 Autocorrect พังหนัก
    ผู้ใช้ iPhone หลายรายบ่นว่า Autocorrect ใน iOS 26 ทำงานผิดพลาดอย่างมาก พิมพ์ผิดบ่อยและแก้คำไม่ตรงใจ แม้ Apple จะออก iOS 26.2 แล้ว แต่ปัญหายังไม่ถูกแก้ไข ทำให้ผู้ใช้รู้สึกหงุดหงิดและรอการแก้ไขจริงจังจาก Apple
    https://www.techradar.com/phones/ios/youre-not-bad-at-typing-ios-26s-autocorrect-is-broken-and-theres-still-no-fix-in-ios-26-2

    NordVPN เปิดฟีเจอร์กันสแกมโทรศัพท์
    NordVPN เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ Call Protection สำหรับผู้ใช้ใน UK และแคนาดา ช่วยตรวจจับและบล็อกสายโทรศัพท์ที่เป็นสแกมก่อนถึงผู้ใช้ ถือเป็นการขยายบทบาทของ VPN จากการป้องกันออนไลน์ไปสู่การป้องกันการสื่อสารโทรศัพท์ด้วย
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/nordvpn-takes-on-phone-scammers-with-new-call-protection-feature-for-the-uk-and-canada

    Xiaomi เตือนราคาสมาร์ทโฟนจะพุ่งขึ้น
    Xiaomi ออกมาเตือนว่าปีหน้าราคาสมาร์ทโฟนจะปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุหลักมาจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งชิป, วัสดุ และค่าแรง ทำให้ผู้บริโภคอาจต้องเตรียมรับมือกับมือถือที่แพงกว่าเดิม
    https://www.techradar.com/phones/brace-yourself-xiaomi-warns-of-a-sizeable-rise-in-smartphone-prices-next-year

    VMware ยอมรับข้อมูลสเปกเซิร์ฟเวอร์ผิดพลาด
    VMware ยืนยันว่าคู่มือสเปกสำหรับเซิร์ฟเวอร์จัดเก็บข้อมูลที่เผยแพร่ก่อนหน้านี้มีความคลาดเคลื่อน ทำให้ผู้ใช้บางรายอาจเข้าใจผิดในการเลือกใช้งาน แม้จะเป็นความผิดพลาดที่ไม่ได้กระทบต่อระบบโดยตรง แต่ก็สร้างความสับสนและทำให้บริษัทต้องรีบแก้ไขข้อมูลใหม่
    https://www.techradar.com/pro/vmware-confirms-its-spec-guidance-on-storage-servers-was-rather-inaccurate
    📌📰🟠 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🟠📰📌 #รวมข่าวIT #20251120 #TechRadar ⌚ Garmin อัปเดตสมาร์ทวอทช์ จับสัญญาณความเครียดได้ Garmin ปล่อยอัปเดตใหญ่ให้สมาร์ทวอทช์รุ่นดังอย่าง Vivoactive 6, Forerunner 570 และ Venu X1 รวมถึงคอมพิวเตอร์จักรยาน Edge 540 และ 1050 จุดเด่นคือฟีเจอร์ Health Status ที่ช่วยดูแนวโน้มสุขภาพระยะยาว เช่น อัตราการเต้นหัวใจ, HRV, การหายใจ, อุณหภูมิผิว และค่าออกซิเจนในเลือดตอนนอน หากค่าผิดปกติอาจบอกได้ว่าร่างกายกำลังเครียดหรือเจ็บป่วย นอกจากนี้ยังมีแผนที่ 3D (สำหรับผู้ใช้แบบพรีเมียม) และฟีเจอร์ใหม่ ๆ สำหรับนักปั่น เช่น เตือนให้ดื่มน้ำ, เช็กสภาพอากาศแบบเรียลไทม์ และวิเคราะห์อัตราทดเกียร์ 🔗 https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/garmins-latest-smartwatch-update-helps-catch-signs-of-stress-in-one-key-way 🎮 AMD เปิดตัว FSR Redstone แต่ใช้ได้เฉพาะ RX 9000 AMD ประกาศเปิดตัว FSR Redstone วันที่ 10 ธันวาคมนี้ เป็นชุดเทคโนโลยี AI ที่ช่วยเร่งเฟรมเรตและปรับปรุงคุณภาพภาพกราฟิก แต่ข่าวร้ายคือใช้ได้เฉพาะการ์ดจอรุ่น RX 9000 เท่านั้น ทำให้ผู้ใช้ RX 7000 และรุ่นก่อนหน้าไม่พอใจ เพราะยังถือว่าเป็นการ์ดจอใหม่อยู่ ฟีเจอร์ที่มาพร้อม Redstone เช่น Ray Regeneration (ปรับปรุงภาพ Ray Tracing), Radiance Caching (ปรับแสงให้สมจริง) และ Frame Generation ที่สร้างเฟรมเสริมเพื่อให้ภาพลื่นขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/computing/gpu/amds-fsr-redstone-for-supercharged-gaming-debuts-on-december-10-but-its-rx-9000-only-leaving-older-radeon-gpus-in-the-cold 🎄 รหัสผ่านธีมเทศกาล เสี่ยงโดนเจาะง่าย มีการวิเคราะห์รหัสผ่านที่รั่วไหลกว่า 800 ล้านรายการ พบว่ามีจำนวนมากที่ใช้คำเกี่ยวกับเทศกาล เช่น Christmas, Santa, หรือการดัดแปลงด้วยตัวเลข/สัญลักษณ์ แม้ดูซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้วเครื่องมือเจาะรหัสสมัยใหม่สามารถเดาได้ง่าย เพราะรูปแบบซ้ำ ๆ และคาดเดาได้ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าช่วงสิ้นปีที่หลายองค์กรบังคับเปลี่ยนรหัสผ่าน มักเป็นจังหวะที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมนี้ 🔗 https://www.techradar.com/pro/this-company-analyzed-800-million-breached-passwords-and-found-a-surprising-amount-of-festive-themes-so-maybe-choose-a-better-password-please 🏠 โรงเก็บของกลายเป็น Data Center ช่วยลดค่าไฟ คู่รักใน Essex, UK ทดลองติดตั้ง HeatHub ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลขนาดเล็กในโรงเก็บของ ใช้ Raspberry Pi กว่า 500 เครื่องในการประมวลผล และนำความร้อนที่เกิดขึ้นไปใช้ทำความร้อนในบ้าน ผลคือค่าไฟลดจาก £375 เหลือเพียง £40 ต่อเดือน โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองระดับประเทศ เพื่อหาทางใช้พลังงานจากการประมวลผลคอมพิวเตอร์มาเป็นพลังงานความร้อนในครัวเรือน 🔗 https://www.techradar.com/pro/looking-to-lower-your-energy-bills-this-winter-how-about-hosting-a-data-center-in-your-garden-shed-to-help-heat-your-home 💻 เครื่องมือ Unix เก่ากลับมาพร้อมภัยใหม่ คำสั่ง finger ที่เคยใช้ในระบบ Unix เพื่อตรวจสอบข้อมูลผู้ใช้ ถูกนำกลับมาใช้ในทางร้าย โดยแฮกเกอร์ใช้สคริปต์ดึงคำสั่งจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลแล้วรันใน Windows ทำให้สามารถแอบติดตั้งโปรแกรม Python ที่ขโมยข้อมูลได้โดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว เทคนิคนี้ยังสามารถเลี่ยงการตรวจจับจากเครื่องมือวิเคราะห์ได้ ถือเป็นการฟื้นคืนชีพของภัยคุกคามเก่าที่อันตรายมาก 🔗 https://www.techradar.com/pro/a-decades-old-threat-command-is-making-a-comeback-so-dont-let-the-finger-of-doom-affect-you 🔒 Meta ทุ่มงบเพิ่มความปลอดภัย WhatsApp Meta ลงทุนหลายล้านดอลลาร์ในโครงการ Bug Bounty และเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อเสริมความปลอดภัยของ WhatsApp เป้าหมายคือป้องกันการโจมตีและหาช่องโหว่ก่อนที่แฮกเกอร์จะใช้ประโยชน์ การลงทุนครั้งนี้สะท้อนถึงความจริงจังของ Meta ที่ต้องการให้ WhatsApp เป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้ใช้ทั่วโลก 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/meta-is-spending-millions-on-bug-bounties-and-security-tools-to-boost-whatsapp-security 🗺️ Google Maps เพิ่ม 4 ฟีเจอร์ใหม่รับเทศกาล Google Maps อัปเดตครั้งใหญ่เพื่อช่วยผู้ใช้ช่วงเทศกาลปลายปี ฟีเจอร์ใหม่ประกอบด้วยการแสดงข้อมูลการจราจรที่ละเอียดขึ้น, การแจ้งเตือนเส้นทางที่หนาแน่น, การแนะนำเส้นทางทางเลือก และการปรับปรุงการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยว/ร้านค้าให้ตรงใจมากขึ้น เหมาะกับการเดินทางในช่วงวันหยุดที่ผู้คนออกเดินทางจำนวนมาก 🔗 https://www.techradar.com/computing/websites-apps/google-maps-is-adding-4-new-features-to-help-you-navigate-the-holiday-season 🔋 LG Battery โดนโจมตี Ransomware บริษัทลูกของ LG ที่ทำธุรกิจแบตเตอรี่ถูกโจมตีด้วย Ransomware ส่งผลให้ระบบบางส่วนหยุดชะงักและข้อมูลถูกเข้ารหัส ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการโจมตีลักษณะนี้กำลังเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมพลังงาน เพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่แฮกเกอร์เล็งเป้าเพื่อเรียกค่าไถ่สูง 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/ransomware-attack-hits-lg-battery-subsidiary 📡 Asus Router ถูกโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ มีรายงานว่า Router ของ Asus ทั่วโลกถูกโจมตีจากกลุ่มที่เชื่อมโยงกับจีน ทำให้ผู้ใช้งานหลายรายประสบปัญหาเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไม่ได้ การโจมตีครั้งนี้ถูกจับตามองว่าอาจเป็นการแสดงศักยภาพด้านไซเบอร์ของรัฐชาติ และยังสร้างความกังวลต่อความปลอดภัยของอุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้กันแพร่หลาย 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/asus-routers-across-the-globe-hit-by-suspected-chinese-cyberattack-heres-what-we-know 🌐 ข่าวสด VPN และสิทธิด้านดิจิทัล TechRadar เปิดหน้า VPN News Live อัปเดตสถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับความปลอดภัยไซเบอร์, สิทธิด้านดิจิทัล และความเป็นส่วนตัวออนไลน์ เนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี VPN ใหม่ ๆ ไปจนถึงการเคลื่อนไหวด้านสิทธิผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก 🔗 https://www.techradar.com/live/news/latest-vpn-news-wednesday-19-november 🚗 Porsche Cayenne Turbo Electric แรงที่สุดที่เคยมี Porsche ประกาศอย่างเป็นทางการว่า Cayenne Turbo Electric จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ทรงพลังที่สุดที่บริษัทเคยผลิต กำลังสูงสุดมากกว่า 1,000 แรงม้า ทำให้เป็น SUV ที่เร็วและแรงที่สุดในสายการผลิตของ Porsche ถือเป็นการยกระดับตลาดรถไฟฟ้าไปอีกขั้น 🔗 https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/its-official-the-porsche-cayenne-turbo-electric-will-be-the-most-powerful-production-porsche-ever-made 🌐 Chrome เจอช่องโหว่ Zero-Day อันตราย Google ออกแพตช์เร่งด่วนเพื่อแก้ไขช่องโหว่ Zero-Day ใน Chrome ที่ถูกโจมตีจริงแล้ว ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบโดยไม่รู้ตัว ผู้ใช้ถูกแนะนำให้อัปเดต Chrome ทันทีเพื่อความปลอดภัย 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/google-patches-worrying-chrome-zero-day-flaw-being-exploited-in-the-wild-heres-how-to-stay-safe 🪙 Botnet ใหม่แอบใช้ Ray Cluster ขุดคริปโต มีการค้นพบ Botnet ลึกลับที่แอบเข้ายึด Ray Clusters แล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องขุดคริปโตโดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว การโจมตีนี้ทำให้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ถูกใช้ไปอย่างมหาศาล และยังเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลอีกด้วย 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/ray-clusters-hijacked-and-turned-into-crypto-miners-by-shadowy-new-botnet 📱 iOS 26 Autocorrect พังหนัก ผู้ใช้ iPhone หลายรายบ่นว่า Autocorrect ใน iOS 26 ทำงานผิดพลาดอย่างมาก พิมพ์ผิดบ่อยและแก้คำไม่ตรงใจ แม้ Apple จะออก iOS 26.2 แล้ว แต่ปัญหายังไม่ถูกแก้ไข ทำให้ผู้ใช้รู้สึกหงุดหงิดและรอการแก้ไขจริงจังจาก Apple 🔗 https://www.techradar.com/phones/ios/youre-not-bad-at-typing-ios-26s-autocorrect-is-broken-and-theres-still-no-fix-in-ios-26-2 📞 NordVPN เปิดฟีเจอร์กันสแกมโทรศัพท์ NordVPN เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ Call Protection สำหรับผู้ใช้ใน UK และแคนาดา ช่วยตรวจจับและบล็อกสายโทรศัพท์ที่เป็นสแกมก่อนถึงผู้ใช้ ถือเป็นการขยายบทบาทของ VPN จากการป้องกันออนไลน์ไปสู่การป้องกันการสื่อสารโทรศัพท์ด้วย 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/nordvpn-takes-on-phone-scammers-with-new-call-protection-feature-for-the-uk-and-canada 📱 Xiaomi เตือนราคาสมาร์ทโฟนจะพุ่งขึ้น Xiaomi ออกมาเตือนว่าปีหน้าราคาสมาร์ทโฟนจะปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุหลักมาจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งชิป, วัสดุ และค่าแรง ทำให้ผู้บริโภคอาจต้องเตรียมรับมือกับมือถือที่แพงกว่าเดิม 🔗 https://www.techradar.com/phones/brace-yourself-xiaomi-warns-of-a-sizeable-rise-in-smartphone-prices-next-year 💾 VMware ยอมรับข้อมูลสเปกเซิร์ฟเวอร์ผิดพลาด VMware ยืนยันว่าคู่มือสเปกสำหรับเซิร์ฟเวอร์จัดเก็บข้อมูลที่เผยแพร่ก่อนหน้านี้มีความคลาดเคลื่อน ทำให้ผู้ใช้บางรายอาจเข้าใจผิดในการเลือกใช้งาน แม้จะเป็นความผิดพลาดที่ไม่ได้กระทบต่อระบบโดยตรง แต่ก็สร้างความสับสนและทำให้บริษัทต้องรีบแก้ไขข้อมูลใหม่ 🔗 https://www.techradar.com/pro/vmware-confirms-its-spec-guidance-on-storage-servers-was-rather-inaccurate
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • PCIe Finger ของ Nvidia โผล่ขายในจีน

    รายงานจาก Tom’s Hardware ระบุว่า ชิ้นส่วนเชื่อมต่อ PCIe ของการ์ดจอ Nvidia GeForce RTX 5090 และ RTX Pro 6000 Blackwell ที่เคยถูกมองว่าเป็นชิ้นส่วนหายาก ตอนนี้สามารถหาซื้อได้ในแพลตฟอร์ม e-commerce ของจีน เช่น Goofish และ Xianyu ในราคาประมาณ $19–$25 เท่านั้น

    เหตุการณ์ที่ทำให้ชิ้นส่วนนี้เป็นที่จับตามอง
    ก่อนหน้านี้มีกรณีการ์ดจอราคาแพงถึง $10,000 เสียหายเพราะตัวเชื่อมต่อ PCIe หักจากการขนส่ง และอีกกรณีเกิดจากการติดตั้งระบบระบายความร้อนผิดพลาด Nvidia ถึงกับยอมเปลี่ยนการ์ดใหม่ทั้งใบให้ลูกค้า แม้จะเป็นความผิดพลาดจากผู้ใช้เอง ทำให้หลายคนสงสัยว่าชิ้นส่วนนี้ทำไมถึงไม่สามารถหาซื้อได้อย่างเป็นทางการ

    ความกังวลของช่างซ่อมและผู้ใช้
    ช่างซ่อมการ์ดจอหลายรายบ่นว่าการหาชิ้นส่วน PCIe connector จาก Nvidia เป็นไปไม่ได้เลย ทั้งที่มันเป็นเพียงชิ้นส่วนพื้นฐาน การที่ Nvidia ไม่ขายอะไหล่แยกทำให้ผู้ใช้ทั่วไปและร้านซ่อมต้องพึ่งพาตลาดมือสองหรือชิ้นส่วนที่ถูกถอดออกมา

    มิติทางธุรกิจและภาพลักษณ์
    แม้ Nvidia จะยอมเปลี่ยนการ์ดให้ลูกค้ารายใหญ่ แต่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าบริษัทอาจทำเช่นนี้เพื่อหลีกเลี่ยงกระแสลบจากสื่อและผู้ใช้ที่มีชื่อเสียง การที่ชิ้นส่วนราคาถูกนี้สามารถซ่อมการ์ดราคาแพงได้สะท้อนถึงความไม่สมดุลในนโยบายการจัดจำหน่ายอะไหล่ของ Nvidia

    สรุปประเด็นสำคัญ
    PCIe Finger ของ Nvidia มีขายในจีน
    ราคาเพียง $19–$25 บนแพลตฟอร์ม Goofish และ Xianyu

    กรณีการ์ดจอเสียหายราคา $10,000
    เกิดจากการขนส่งและการติดตั้งระบบระบายความร้อนผิดพลาด

    Nvidia ยอมเปลี่ยนการ์ดใหม่ให้ลูกค้า
    แม้จะเป็นความผิดพลาดจากผู้ใช้เอง

    การไม่ขายอะไหล่แยกอย่างเป็นทางการ
    ทำให้ผู้ใช้และช่างซ่อมต้องพึ่งพาตลาดมือสอง

    ข้อสงสัยด้านภาพลักษณ์และธุรกิจ
    Nvidia อาจเลือกเปลี่ยนการ์ดเพื่อหลีกเลี่ยงกระแสลบจากผู้ใช้ที่มีชื่อเสียง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-fabled-pcie-finger-sells-for-under-usd25-in-china-should-you-happen-to-break-it-resuscitate-your-usd10-000-gpu-for-less-than-a-pair-of-fuzzy-socks
    🖥️ PCIe Finger ของ Nvidia โผล่ขายในจีน รายงานจาก Tom’s Hardware ระบุว่า ชิ้นส่วนเชื่อมต่อ PCIe ของการ์ดจอ Nvidia GeForce RTX 5090 และ RTX Pro 6000 Blackwell ที่เคยถูกมองว่าเป็นชิ้นส่วนหายาก ตอนนี้สามารถหาซื้อได้ในแพลตฟอร์ม e-commerce ของจีน เช่น Goofish และ Xianyu ในราคาประมาณ $19–$25 เท่านั้น ⚡ เหตุการณ์ที่ทำให้ชิ้นส่วนนี้เป็นที่จับตามอง ก่อนหน้านี้มีกรณีการ์ดจอราคาแพงถึง $10,000 เสียหายเพราะตัวเชื่อมต่อ PCIe หักจากการขนส่ง และอีกกรณีเกิดจากการติดตั้งระบบระบายความร้อนผิดพลาด Nvidia ถึงกับยอมเปลี่ยนการ์ดใหม่ทั้งใบให้ลูกค้า แม้จะเป็นความผิดพลาดจากผู้ใช้เอง ทำให้หลายคนสงสัยว่าชิ้นส่วนนี้ทำไมถึงไม่สามารถหาซื้อได้อย่างเป็นทางการ 🔍 ความกังวลของช่างซ่อมและผู้ใช้ ช่างซ่อมการ์ดจอหลายรายบ่นว่าการหาชิ้นส่วน PCIe connector จาก Nvidia เป็นไปไม่ได้เลย ทั้งที่มันเป็นเพียงชิ้นส่วนพื้นฐาน การที่ Nvidia ไม่ขายอะไหล่แยกทำให้ผู้ใช้ทั่วไปและร้านซ่อมต้องพึ่งพาตลาดมือสองหรือชิ้นส่วนที่ถูกถอดออกมา 🌐 มิติทางธุรกิจและภาพลักษณ์ แม้ Nvidia จะยอมเปลี่ยนการ์ดให้ลูกค้ารายใหญ่ แต่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าบริษัทอาจทำเช่นนี้เพื่อหลีกเลี่ยงกระแสลบจากสื่อและผู้ใช้ที่มีชื่อเสียง การที่ชิ้นส่วนราคาถูกนี้สามารถซ่อมการ์ดราคาแพงได้สะท้อนถึงความไม่สมดุลในนโยบายการจัดจำหน่ายอะไหล่ของ Nvidia 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ PCIe Finger ของ Nvidia มีขายในจีน ➡️ ราคาเพียง $19–$25 บนแพลตฟอร์ม Goofish และ Xianyu ✅ กรณีการ์ดจอเสียหายราคา $10,000 ➡️ เกิดจากการขนส่งและการติดตั้งระบบระบายความร้อนผิดพลาด ✅ Nvidia ยอมเปลี่ยนการ์ดใหม่ให้ลูกค้า ➡️ แม้จะเป็นความผิดพลาดจากผู้ใช้เอง ‼️ การไม่ขายอะไหล่แยกอย่างเป็นทางการ ⛔ ทำให้ผู้ใช้และช่างซ่อมต้องพึ่งพาตลาดมือสอง ‼️ ข้อสงสัยด้านภาพลักษณ์และธุรกิจ ⛔ Nvidia อาจเลือกเปลี่ยนการ์ดเพื่อหลีกเลี่ยงกระแสลบจากผู้ใช้ที่มีชื่อเสียง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-fabled-pcie-finger-sells-for-under-usd25-in-china-should-you-happen-to-break-it-resuscitate-your-usd10-000-gpu-for-less-than-a-pair-of-fuzzy-socks
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • LG UltraFine evo 6K เปิดตัวครั้งแรก

    LG ได้เปิดตัว UltraFine evo 6K (32U990A) ซึ่งเป็นจอแสดงผล 6K รุ่นแรกที่รองรับ Thunderbolt 5 โดยมีความละเอียด 6,144 x 3,456 พิกเซลบนหน้าจอขนาด 32 นิ้ว ทำให้ได้ความหนาแน่นพิกเซลถึง 224 ppi สูงกว่าจอ 4K ขนาดเดียวกันที่มีเพียง 140 ppi จอรุ่นนี้ใช้พาเนล IPS Black ที่ให้คอนทราสต์สูงถึง 2,000:1 ซึ่งมากกว่ามาตรฐาน IPS ทั่วไปถึงสองเท่า

    การเชื่อมต่อและพลังงาน
    จอรุ่นนี้รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Thunderbolt 5 ที่สามารถส่งสัญญาณภาพ พลังงาน และข้อมูลผ่านสายเดียว รองรับการ daisy chaining ด้วยความเร็วสูงสุด 120Gbps พร้อมการจ่ายไฟ 96W นอกจากนี้ยังมีพอร์ต DisplayPort 2.1, HDMI 2.1 และ USB-C อีก 3 ช่อง ทำให้เหมาะกับการใช้งานทั้ง Mac และ Windows

    ฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้ Mac และงานสร้างสรรค์
    LG เพิ่มฟีเจอร์ Studio Mode สำหรับการปรับแต่งสีที่รองรับ macOS และ M-Control ที่ช่วยให้ผู้ใช้ Mac สามารถควบคุมความสว่างและลำโพงของจอผ่านคีย์บอร์ดได้โดยตรง ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ Mac มักถูกละเลยจากผู้ผลิตจอภาพรายอื่น

    ราคาและการเปรียบเทียบ
    LG UltraFine evo 6K เปิดตัวที่ราคา $1,999 ซึ่งอยู่ระหว่างคู่แข่งอย่าง Asus ProArt 32 6K ที่ $1,299 และ Dell UltraSharp 32 6K ที่ $2,800 ขณะที่ Apple Pro Display XDR ยังสูงถึง $4,999 ทำให้ LG กลายเป็นตัวเลือกที่สมดุลระหว่างคุณภาพและราคา

    สรุปประเด็นสำคัญ
    จอ LG UltraFine evo 6K (32U990A)
    ความละเอียด 6,144 x 3,456 พิกเซล บนหน้าจอ 32 นิ้ว

    พาเนล IPS Black
    คอนทราสต์สูงถึง 2,000:1 ดีกว่ามาตรฐาน IPS ทั่วไป

    การเชื่อมต่อ Thunderbolt 5
    รองรับ daisy chaining, ความเร็วสูงสุด 120Gbps และจ่ายไฟ 96W

    ฟีเจอร์สำหรับ Mac
    Studio Mode และ M-Control ช่วยปรับแต่งสีและควบคุมจอผ่านคีย์บอร์ด

    ราคาเปิดตัว $1,999
    ถูกกว่า Dell UltraSharp 32 6K และ Apple Pro Display XDR แต่แพงกว่า Asus ProArt 32 6K

    ข้อควรระวังด้านราคา
    แม้จะถูกกว่า Apple แต่ยังถือว่าแพงสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    ข้อจำกัดของพาเนล
    ไม่ใช่ OLED หรือ QD-OLED อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการสีดำสมบูรณ์แบบ

    https://www.tomshardware.com/monitors/lgs-latest-ultrafine-monitor-delivers-32-inches-of-6k-goodness-worlds-first-6k-thunderbolt-5-display-features-ips-black-panel-and-96w-power-delivery
    🖥️ LG UltraFine evo 6K เปิดตัวครั้งแรก LG ได้เปิดตัว UltraFine evo 6K (32U990A) ซึ่งเป็นจอแสดงผล 6K รุ่นแรกที่รองรับ Thunderbolt 5 โดยมีความละเอียด 6,144 x 3,456 พิกเซลบนหน้าจอขนาด 32 นิ้ว ทำให้ได้ความหนาแน่นพิกเซลถึง 224 ppi สูงกว่าจอ 4K ขนาดเดียวกันที่มีเพียง 140 ppi จอรุ่นนี้ใช้พาเนล IPS Black ที่ให้คอนทราสต์สูงถึง 2,000:1 ซึ่งมากกว่ามาตรฐาน IPS ทั่วไปถึงสองเท่า ⚡ การเชื่อมต่อและพลังงาน จอรุ่นนี้รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Thunderbolt 5 ที่สามารถส่งสัญญาณภาพ พลังงาน และข้อมูลผ่านสายเดียว รองรับการ daisy chaining ด้วยความเร็วสูงสุด 120Gbps พร้อมการจ่ายไฟ 96W นอกจากนี้ยังมีพอร์ต DisplayPort 2.1, HDMI 2.1 และ USB-C อีก 3 ช่อง ทำให้เหมาะกับการใช้งานทั้ง Mac และ Windows 🎨 ฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้ Mac และงานสร้างสรรค์ LG เพิ่มฟีเจอร์ Studio Mode สำหรับการปรับแต่งสีที่รองรับ macOS และ M-Control ที่ช่วยให้ผู้ใช้ Mac สามารถควบคุมความสว่างและลำโพงของจอผ่านคีย์บอร์ดได้โดยตรง ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ Mac มักถูกละเลยจากผู้ผลิตจอภาพรายอื่น 💰 ราคาและการเปรียบเทียบ LG UltraFine evo 6K เปิดตัวที่ราคา $1,999 ซึ่งอยู่ระหว่างคู่แข่งอย่าง Asus ProArt 32 6K ที่ $1,299 และ Dell UltraSharp 32 6K ที่ $2,800 ขณะที่ Apple Pro Display XDR ยังสูงถึง $4,999 ทำให้ LG กลายเป็นตัวเลือกที่สมดุลระหว่างคุณภาพและราคา 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ จอ LG UltraFine evo 6K (32U990A) ➡️ ความละเอียด 6,144 x 3,456 พิกเซล บนหน้าจอ 32 นิ้ว ✅ พาเนล IPS Black ➡️ คอนทราสต์สูงถึง 2,000:1 ดีกว่ามาตรฐาน IPS ทั่วไป ✅ การเชื่อมต่อ Thunderbolt 5 ➡️ รองรับ daisy chaining, ความเร็วสูงสุด 120Gbps และจ่ายไฟ 96W ✅ ฟีเจอร์สำหรับ Mac ➡️ Studio Mode และ M-Control ช่วยปรับแต่งสีและควบคุมจอผ่านคีย์บอร์ด ✅ ราคาเปิดตัว $1,999 ➡️ ถูกกว่า Dell UltraSharp 32 6K และ Apple Pro Display XDR แต่แพงกว่า Asus ProArt 32 6K ‼️ ข้อควรระวังด้านราคา ⛔ แม้จะถูกกว่า Apple แต่ยังถือว่าแพงสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ‼️ ข้อจำกัดของพาเนล ⛔ ไม่ใช่ OLED หรือ QD-OLED อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการสีดำสมบูรณ์แบบ https://www.tomshardware.com/monitors/lgs-latest-ultrafine-monitor-delivers-32-inches-of-6k-goodness-worlds-first-6k-thunderbolt-5-display-features-ips-black-panel-and-96w-power-delivery
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • Windows 11 เปิดตัว Digital Signage Mode

    ในงาน Ignite 2025 Microsoft ได้ประกาศฟีเจอร์ Digital Signage Mode สำหรับ Windows 11 โดยออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่หลายคนเคยเห็น BSOD โผล่บนป้ายโฆษณา LED หรือจอแสดงผลสาธารณะ ฟีเจอร์นี้จะทำให้หน้าจอ BSOD หายไปภายใน 15 วินาทีโดยไม่ต้องมีการแทรกแซงจากผู้ดูแลระบบ

    ลดความเสี่ยงต่อการเสียภาพลักษณ์องค์กร
    การที่จอสาธารณะโชว์ BSOD เป็นเวลานานมักสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อองค์กรหรือแบรนด์ ฟีเจอร์ใหม่นี้จะช่วยให้ป้ายโฆษณาและจอแสดงผลกลับมาทำงานได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการเสียโอกาสทางธุรกิจและความน่าเชื่อถือ

    ความแตกต่างจาก Kiosk Mode
    แม้จะคล้ายกับ Kiosk Mode ที่ใช้ในเครื่องบริการตั๋วหรือเคาน์เตอร์สั่งอาหาร แต่ Digital Signage Mode ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับจอที่แสดงผลโฆษณาหรือข้อมูลแบบไม่โต้ตอบ โดยจะไม่กระทบกับระบบที่ต้องการการทำงานเชิงโต้ตอบ เช่น ตู้บริการอัตโนมัติ

    ฟีเจอร์เสริมด้านความเสถียร
    นอกจาก Digital Signage Mode Microsoft ยังเปิดตัวระบบ Point-in-time Restore ที่ช่วยให้ผู้ดูแล IT สามารถกู้คืนระบบได้ละเอียดขึ้น และเพิ่มความสามารถในการจัดการผ่าน Intune เพื่อให้การดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Digital Signage Mode ใน Windows 11
    BSOD จะหายไปภายใน 15 วินาทีโดยอัตโนมัติ

    ลดผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กร
    ป้องกันไม่ให้จอสาธารณะโชว์ข้อผิดพลาดนานเกินไป

    แตกต่างจาก Kiosk Mode
    ใช้กับจอแสดงผลโฆษณา ไม่ใช่ระบบโต้ตอบ

    ฟีเจอร์เสริมด้านความเสถียร
    มี Point-in-time Restore และการจัดการผ่าน Intune

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ดูแลระบบ
    หากระบบไม่ได้ตั้งค่าอย่างเหมาะสม อาจยังเกิดการหยุดชะงักแม้ BSOD จะหายไปเร็ว

    การใช้งานในจอที่ต้องโต้ตอบ
    Digital Signage Mode ไม่เหมาะกับเครื่องบริการอัตโนมัติหรือระบบที่ต้องการการโต้ตอบ

    https://www.tomshardware.com/software/windows/youre-about-to-see-even-fewer-bsods-in-public-with-windows-11s-new-digital-signage-mode-every-public-blue-screen-will-wither-away-within-15-seconds-of-the-crash
    💻 Windows 11 เปิดตัว Digital Signage Mode ในงาน Ignite 2025 Microsoft ได้ประกาศฟีเจอร์ Digital Signage Mode สำหรับ Windows 11 โดยออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่หลายคนเคยเห็น BSOD โผล่บนป้ายโฆษณา LED หรือจอแสดงผลสาธารณะ ฟีเจอร์นี้จะทำให้หน้าจอ BSOD หายไปภายใน 15 วินาทีโดยไม่ต้องมีการแทรกแซงจากผู้ดูแลระบบ ⚡ ลดความเสี่ยงต่อการเสียภาพลักษณ์องค์กร การที่จอสาธารณะโชว์ BSOD เป็นเวลานานมักสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อองค์กรหรือแบรนด์ ฟีเจอร์ใหม่นี้จะช่วยให้ป้ายโฆษณาและจอแสดงผลกลับมาทำงานได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการเสียโอกาสทางธุรกิจและความน่าเชื่อถือ 🔍 ความแตกต่างจาก Kiosk Mode แม้จะคล้ายกับ Kiosk Mode ที่ใช้ในเครื่องบริการตั๋วหรือเคาน์เตอร์สั่งอาหาร แต่ Digital Signage Mode ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับจอที่แสดงผลโฆษณาหรือข้อมูลแบบไม่โต้ตอบ โดยจะไม่กระทบกับระบบที่ต้องการการทำงานเชิงโต้ตอบ เช่น ตู้บริการอัตโนมัติ 🌐 ฟีเจอร์เสริมด้านความเสถียร นอกจาก Digital Signage Mode Microsoft ยังเปิดตัวระบบ Point-in-time Restore ที่ช่วยให้ผู้ดูแล IT สามารถกู้คืนระบบได้ละเอียดขึ้น และเพิ่มความสามารถในการจัดการผ่าน Intune เพื่อให้การดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Digital Signage Mode ใน Windows 11 ➡️ BSOD จะหายไปภายใน 15 วินาทีโดยอัตโนมัติ ✅ ลดผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กร ➡️ ป้องกันไม่ให้จอสาธารณะโชว์ข้อผิดพลาดนานเกินไป ✅ แตกต่างจาก Kiosk Mode ➡️ ใช้กับจอแสดงผลโฆษณา ไม่ใช่ระบบโต้ตอบ ✅ ฟีเจอร์เสริมด้านความเสถียร ➡️ มี Point-in-time Restore และการจัดการผ่าน Intune ‼️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ดูแลระบบ ⛔ หากระบบไม่ได้ตั้งค่าอย่างเหมาะสม อาจยังเกิดการหยุดชะงักแม้ BSOD จะหายไปเร็ว ‼️ การใช้งานในจอที่ต้องโต้ตอบ ⛔ Digital Signage Mode ไม่เหมาะกับเครื่องบริการอัตโนมัติหรือระบบที่ต้องการการโต้ตอบ https://www.tomshardware.com/software/windows/youre-about-to-see-even-fewer-bsods-in-public-with-windows-11s-new-digital-signage-mode-every-public-blue-screen-will-wither-away-within-15-seconds-of-the-crash
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • Nvidia ดันความต้องการ LPDDR5X สะเทือนตลาดหน่วยความจำ

    รายงานจาก Counterpoint Research ระบุว่า ราคาหน่วยความจำ DRAM เพิ่มขึ้นแล้วกว่า 50% ในปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มอีก 30% ในไตรมาส 4 ก่อนจะพุ่งขึ้นอีก 20% ในต้นปี 2026 หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป ราคาหน่วยความจำ DDR5 สำหรับเซิร์ฟเวอร์อาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในสิ้นปี 2026 การที่ Nvidia ใช้ LPDDR5X ในซีพียู Grace และ Vera ทำให้ความต้องการหน่วยความจำระดับสมาร์ทโฟนพุ่งสูงผิดปกติ

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    แต่ละซีพียู Grace ใช้ LPDDR5X ถึง 480GB ในขณะที่สมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมใช้เพียง 16GB เท่านั้น การขยายตัวของแพลตฟอร์ม Vera ที่จะใช้หน่วยความจำมากขึ้นยิ่งทำให้ซัพพลายตึงตัว นักวิเคราะห์เตือนว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อาจต้องเผชิญต้นทุนเพิ่มขึ้นราว 25% ซึ่งจะกระทบทั้งราคาขายและกำไรของผู้ผลิต

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และเซิร์ฟเวอร์
    ไม่เพียงแต่สมาร์ทโฟนเท่านั้น อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใช้ DRAM ในระบบควบคุมและความปลอดภัยก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน SMIC ผู้ผลิตชิปจากจีนเตือนว่าการขาดแคลน DRAM อาจกระทบยอดขายชิปตรรกะในภาคยานยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในปีหน้า

    ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของตลาดหน่วยความจำ
    การที่ Nvidia กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ในระดับเดียวกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟน ถือเป็น “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” ที่ห่วงโซ่อุปทานไม่สามารถรองรับได้ทันที หากผู้ผลิตหน่วยความจำไม่เร่งลงทุนเพิ่มกำลังการผลิต ความเสี่ยงต่อการขาดแคลนและราคาที่สูงขึ้นจะยังคงอยู่ต่อเนื่อง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ราคาหน่วยความจำ DRAM พุ่งสูง
    เพิ่มขึ้นแล้วกว่า 50% ในปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มอีก 30% ในไตรมาส 4

    Nvidia ใช้ LPDDR5X ใน Grace และ Vera CPUs
    ความต้องการหน่วยความจำระดับสมาร์ทโฟนพุ่งสูงผิดปกติ

    ผลกระทบต่อสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    ต้นทุนอาจเพิ่มขึ้นราว 25% ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และเซิร์ฟเวอร์
    การขาดแคลน DRAM อาจกระทบยอดขายชิปตรรกะและระบบควบคุม

    ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของตลาดหน่วยความจำ
    Nvidia กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ในระดับเดียวกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟน ทำให้ซัพพลายตึงตัว

    การลงทุนผลิตไม่ทันความต้องการ
    หากผู้ผลิตหน่วยความจำไม่เร่งขยายกำลังการผลิต ราคาจะยังคงพุ่งต่อเนื่อง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/nvidias-demand-for-lpddr5x-could-double-smartphone-and-server-memory-prices-in-2026-seismic-shift-means-even-smartphone-class-memory-isnt-safe-from-ai-induced-crunch
    💾 Nvidia ดันความต้องการ LPDDR5X สะเทือนตลาดหน่วยความจำ รายงานจาก Counterpoint Research ระบุว่า ราคาหน่วยความจำ DRAM เพิ่มขึ้นแล้วกว่า 50% ในปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มอีก 30% ในไตรมาส 4 ก่อนจะพุ่งขึ้นอีก 20% ในต้นปี 2026 หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป ราคาหน่วยความจำ DDR5 สำหรับเซิร์ฟเวอร์อาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในสิ้นปี 2026 การที่ Nvidia ใช้ LPDDR5X ในซีพียู Grace และ Vera ทำให้ความต้องการหน่วยความจำระดับสมาร์ทโฟนพุ่งสูงผิดปกติ ⚡ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ละซีพียู Grace ใช้ LPDDR5X ถึง 480GB ในขณะที่สมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมใช้เพียง 16GB เท่านั้น การขยายตัวของแพลตฟอร์ม Vera ที่จะใช้หน่วยความจำมากขึ้นยิ่งทำให้ซัพพลายตึงตัว นักวิเคราะห์เตือนว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อาจต้องเผชิญต้นทุนเพิ่มขึ้นราว 25% ซึ่งจะกระทบทั้งราคาขายและกำไรของผู้ผลิต 🚗 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และเซิร์ฟเวอร์ ไม่เพียงแต่สมาร์ทโฟนเท่านั้น อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใช้ DRAM ในระบบควบคุมและความปลอดภัยก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน SMIC ผู้ผลิตชิปจากจีนเตือนว่าการขาดแคลน DRAM อาจกระทบยอดขายชิปตรรกะในภาคยานยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในปีหน้า 🌐 ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของตลาดหน่วยความจำ การที่ Nvidia กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ในระดับเดียวกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟน ถือเป็น “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” ที่ห่วงโซ่อุปทานไม่สามารถรองรับได้ทันที หากผู้ผลิตหน่วยความจำไม่เร่งลงทุนเพิ่มกำลังการผลิต ความเสี่ยงต่อการขาดแคลนและราคาที่สูงขึ้นจะยังคงอยู่ต่อเนื่อง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ราคาหน่วยความจำ DRAM พุ่งสูง ➡️ เพิ่มขึ้นแล้วกว่า 50% ในปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มอีก 30% ในไตรมาส 4 ✅ Nvidia ใช้ LPDDR5X ใน Grace และ Vera CPUs ➡️ ความต้องการหน่วยความจำระดับสมาร์ทโฟนพุ่งสูงผิดปกติ ✅ ผลกระทบต่อสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ➡️ ต้นทุนอาจเพิ่มขึ้นราว 25% ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และเซิร์ฟเวอร์ ➡️ การขาดแคลน DRAM อาจกระทบยอดขายชิปตรรกะและระบบควบคุม ‼️ ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของตลาดหน่วยความจำ ⛔ Nvidia กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ในระดับเดียวกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟน ทำให้ซัพพลายตึงตัว ‼️ การลงทุนผลิตไม่ทันความต้องการ ⛔ หากผู้ผลิตหน่วยความจำไม่เร่งขยายกำลังการผลิต ราคาจะยังคงพุ่งต่อเนื่อง https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/nvidias-demand-for-lpddr5x-could-double-smartphone-and-server-memory-prices-in-2026-seismic-shift-means-even-smartphone-class-memory-isnt-safe-from-ai-induced-crunch
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 Reviews
  • ยุโรปผ่อนปรนกฎหมายความเป็นส่วนตัวและ AI

    หลังจากหลายปีที่สหภาพยุโรป (EU) ยืนหยัดในฐานะผู้นำด้านการคุ้มครองข้อมูลและการกำกับดูแล AI ล่าสุดคณะกรรมาธิการยุโรปได้เสนอการปรับแก้กฎหมายสำคัญอย่าง GDPR และ AI Act ภายใต้แพ็กเกจ “Digital Omnibus” โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความซับซ้อนของกฎเกณฑ์และกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การเปลี่ยนแปลงนี้รวมถึงการลดจำนวนป๊อปอัพคุกกี้ที่ผู้ใช้ต้องเผชิญ และการอนุญาตให้บริษัทสามารถใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้โดยตรงในการฝึก AI ได้

    แรงกดดันจาก Big Tech และสหรัฐฯ
    การผ่อนปรนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Google, Meta และ OpenAI รวมถึงรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มองว่ากฎเข้มงวดของยุโรปเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันในตลาดโลก รายงานจาก Mario Draghi อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี ก็ชี้ว่ากฎหมายเข้มงวดทำให้ยุโรปเสียเปรียบในการแข่งขันกับสหรัฐฯ และจีน

    ความกังวลจากนักเคลื่อนไหวและนักการเมือง
    แม้การปรับลดกฎจะถูกนำเสนอว่าเป็นการ “ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น” แต่หลายฝ่าย เช่น กลุ่มสิทธิพลเมืองและนักการเมืองยุโรป เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้คือการลดมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลลงอย่างมาก โดยเฉพาะการเปิดช่องให้บริษัทอ้าง “ผลประโยชน์โดยชอบ” (legitimate interest) เพื่อเก็บข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ต้องขอความยินยอมอย่างเข้มงวดเหมือนเดิม

    ผลกระทบต่ออนาคตการแข่งขันและสิทธิพลเมือง
    หากข้อเสนอได้รับการอนุมัติ กฎหมายใหม่จะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพทำงานง่ายขึ้น แต่ก็เสี่ยงต่อการทำให้สิทธิของประชาชนในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนแอลง นักเคลื่อนไหวเตือนว่าอาจเป็น “การตัดทอนทีละน้อย” ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นในยุโรปในฐานะผู้นำด้านสิทธิข้อมูลและความเป็นส่วนตัว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย GDPR และ AI Act
    ลดจำนวนคุกกี้ป๊อปอัพ และอนุญาตให้ใช้ข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ในการฝึก AI

    แรงกดดันจาก Big Tech และสหรัฐฯ
    บริษัทเทคโนโลยีและรัฐบาลสหรัฐฯ มองว่ากฎเข้มงวดเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน

    เป้าหมายของ EU
    ลดขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อช่วยธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพให้แข่งขันได้ง่ายขึ้น

    ความเสี่ยงต่อสิทธิพลเมือง
    การใช้ข้ออ้าง “ผลประโยชน์โดยชอบ” อาจทำให้บริษัทเก็บข้อมูลโดยไม่ต้องขอความยินยอม

    การลดมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูล
    นักเคลื่อนไหวเตือนว่าอาจเป็น “death by a thousand cuts” ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นใน GDPR

    ผลกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก
    ยุโรปอาจสูญเสียจุดยืนในฐานะผู้นำด้านสิทธิข้อมูลและความเป็นส่วนตัว หากกฎหมายอ่อนตัวลง

    https://www.theverge.com/news/823750/european-union-ai-act-gdpr-changes
    📰 ยุโรปผ่อนปรนกฎหมายความเป็นส่วนตัวและ AI หลังจากหลายปีที่สหภาพยุโรป (EU) ยืนหยัดในฐานะผู้นำด้านการคุ้มครองข้อมูลและการกำกับดูแล AI ล่าสุดคณะกรรมาธิการยุโรปได้เสนอการปรับแก้กฎหมายสำคัญอย่าง GDPR และ AI Act ภายใต้แพ็กเกจ “Digital Omnibus” โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความซับซ้อนของกฎเกณฑ์และกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การเปลี่ยนแปลงนี้รวมถึงการลดจำนวนป๊อปอัพคุกกี้ที่ผู้ใช้ต้องเผชิญ และการอนุญาตให้บริษัทสามารถใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้โดยตรงในการฝึก AI ได้ ⚖️ แรงกดดันจาก Big Tech และสหรัฐฯ การผ่อนปรนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Google, Meta และ OpenAI รวมถึงรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มองว่ากฎเข้มงวดของยุโรปเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันในตลาดโลก รายงานจาก Mario Draghi อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี ก็ชี้ว่ากฎหมายเข้มงวดทำให้ยุโรปเสียเปรียบในการแข่งขันกับสหรัฐฯ และจีน 🔍 ความกังวลจากนักเคลื่อนไหวและนักการเมือง แม้การปรับลดกฎจะถูกนำเสนอว่าเป็นการ “ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น” แต่หลายฝ่าย เช่น กลุ่มสิทธิพลเมืองและนักการเมืองยุโรป เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้คือการลดมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลลงอย่างมาก โดยเฉพาะการเปิดช่องให้บริษัทอ้าง “ผลประโยชน์โดยชอบ” (legitimate interest) เพื่อเก็บข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ต้องขอความยินยอมอย่างเข้มงวดเหมือนเดิม 🌐 ผลกระทบต่ออนาคตการแข่งขันและสิทธิพลเมือง หากข้อเสนอได้รับการอนุมัติ กฎหมายใหม่จะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพทำงานง่ายขึ้น แต่ก็เสี่ยงต่อการทำให้สิทธิของประชาชนในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนแอลง นักเคลื่อนไหวเตือนว่าอาจเป็น “การตัดทอนทีละน้อย” ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นในยุโรปในฐานะผู้นำด้านสิทธิข้อมูลและความเป็นส่วนตัว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย GDPR และ AI Act ➡️ ลดจำนวนคุกกี้ป๊อปอัพ และอนุญาตให้ใช้ข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ในการฝึก AI ✅ แรงกดดันจาก Big Tech และสหรัฐฯ ➡️ บริษัทเทคโนโลยีและรัฐบาลสหรัฐฯ มองว่ากฎเข้มงวดเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน ✅ เป้าหมายของ EU ➡️ ลดขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อช่วยธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพให้แข่งขันได้ง่ายขึ้น ‼️ ความเสี่ยงต่อสิทธิพลเมือง ⛔ การใช้ข้ออ้าง “ผลประโยชน์โดยชอบ” อาจทำให้บริษัทเก็บข้อมูลโดยไม่ต้องขอความยินยอม ‼️ การลดมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูล ⛔ นักเคลื่อนไหวเตือนว่าอาจเป็น “death by a thousand cuts” ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นใน GDPR ‼️ ผลกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก ⛔ ยุโรปอาจสูญเสียจุดยืนในฐานะผู้นำด้านสิทธิข้อมูลและความเป็นส่วนตัว หากกฎหมายอ่อนตัวลง https://www.theverge.com/news/823750/european-union-ai-act-gdpr-changes
    0 Comments 0 Shares 49 Views 0 Reviews
  • “App Store Oligopoly – เมื่อสมาร์ทโฟนกลายเป็นเครื่องมือควบคุมเสรีภาพ”

    บทความจาก ACLU เตือนว่าโครงสร้างผูกขาดของ App Store (Apple และ Google) กำลังเปิดช่องให้รัฐบาลใช้อำนาจกดดันบริษัทเทคโนโลยีเพื่อควบคุมการสื่อสารและจำกัดเสรีภาพของประชาชน

    การควบคุมแอปโดยรัฐบาลและบริษัทยักษ์ใหญ่ บทความชี้ว่า Apple และ Google ครองตลาดสมาร์ทโฟนสหรัฐฯ เกือบทั้งหมด ทำให้สิ่งที่ผู้ใช้สามารถทำได้บนมือถือถูกกำหนดโดยสองบริษัทนี้ ตัวอย่างล่าสุดคือการที่ Apple และ Google ถอนแอป ICEBlock และ Red Dot ตามคำสั่งของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ทั้งที่แอปเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนรายงานการพบเห็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งถือเป็นสิทธิภายใต้การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งแรก (First Amendment)

    โครงสร้างระบบที่เอื้อต่อการเซ็นเซอร์ Apple ใช้ระบบ iOS ที่บังคับให้ติดตั้งแอปผ่าน App Store เท่านั้น ทำให้การควบคุมเป็นแบบรวมศูนย์และเสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เช่น การห้ามเกมที่วิจารณ์บริษัท หรือการยอมให้รัฐบาลจีนบล็อกแอปหาคู่ LGBTQ ในประเทศ ขณะที่ Google แม้เคยเปิดให้ “sideloading” แต่กำลังเปลี่ยนไปใช้ระบบ Verified Developer ที่อาจทำให้รัฐบาลสามารถกดดันให้ตัดสิทธิ์นักพัฒนาที่ไม่พึงประสงค์ได้

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการสอดส่อง แม้บริษัทจะอ้างว่าเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย แต่ในความจริง App Store และ Play Store ยังคงอนุญาตให้แอปที่มีโค้ดสอดส่องและขายข้อมูลผู้ใช้ผ่าน data broker เข้ามาได้ อีกทั้งยังมีการเก็บข้อมูลการติดตั้งแอปของผู้ใช้เอง ทำให้ผู้ใช้ตกอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

    ทางเลือกและการผลักดันเพื่อเสรีภาพ ACLU เสนอว่าผู้ใช้ควรหันไปใช้ App Store ทางเลือก เช่น F-Droid หรือ Accrescent ที่เน้นความเป็นโอเพนซอร์สและความเป็นส่วนตัว รวมถึงการผลักดันกฎหมายแบบ Digital Markets Act (DMA) ของสหภาพยุโรป ที่บังคับให้ Apple เปิดให้มีการ sideload แอปและ App Store ทางเลือก เพื่อป้องกันการผูกขาดและการควบคุมจากรัฐบาล

    สรุปสาระสำคัญ
    การควบคุมโดย App Store
    Apple และ Google ครองตลาดสมาร์ทโฟนสหรัฐฯ
    การถอนแอป ICEBlock และ Red Dot ตามคำสั่ง DOJ

    โครงสร้างที่เอื้อต่อการเซ็นเซอร์
    Apple บังคับใช้ App Store เดียว
    Google เตรียมใช้ระบบ Verified Developer

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการสอดส่อง
    แอปที่มีโค้ดสอดส่องยังถูกอนุญาต
    App Store เก็บข้อมูลการติดตั้งแอปของผู้ใช้

    ทางเลือกเพื่อเสรีภาพ
    ใช้ App Store ทางเลือก เช่น F-Droid, Accrescent
    ผลักดันกฎหมายแบบ DMA ของ EU

    คำเตือนต่อผู้ใช้สมาร์ทโฟน
    การผูกขาดทำให้รัฐบาลสามารถกดดันบริษัทเพื่อควบคุมเสรีภาพ
    การสอดส่องข้อมูลผู้ใช้อาจกระทบสิทธิความเป็นส่วนตัว

    https://www.aclu.org/news/free-speech/app-store-oligopoly
    📰 “App Store Oligopoly – เมื่อสมาร์ทโฟนกลายเป็นเครื่องมือควบคุมเสรีภาพ” บทความจาก ACLU เตือนว่าโครงสร้างผูกขาดของ App Store (Apple และ Google) กำลังเปิดช่องให้รัฐบาลใช้อำนาจกดดันบริษัทเทคโนโลยีเพื่อควบคุมการสื่อสารและจำกัดเสรีภาพของประชาชน 📱 การควบคุมแอปโดยรัฐบาลและบริษัทยักษ์ใหญ่ บทความชี้ว่า Apple และ Google ครองตลาดสมาร์ทโฟนสหรัฐฯ เกือบทั้งหมด ทำให้สิ่งที่ผู้ใช้สามารถทำได้บนมือถือถูกกำหนดโดยสองบริษัทนี้ ตัวอย่างล่าสุดคือการที่ Apple และ Google ถอนแอป ICEBlock และ Red Dot ตามคำสั่งของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ทั้งที่แอปเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนรายงานการพบเห็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งถือเป็นสิทธิภายใต้การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งแรก (First Amendment) 🔒 โครงสร้างระบบที่เอื้อต่อการเซ็นเซอร์ Apple ใช้ระบบ iOS ที่บังคับให้ติดตั้งแอปผ่าน App Store เท่านั้น ทำให้การควบคุมเป็นแบบรวมศูนย์และเสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เช่น การห้ามเกมที่วิจารณ์บริษัท หรือการยอมให้รัฐบาลจีนบล็อกแอปหาคู่ LGBTQ ในประเทศ ขณะที่ Google แม้เคยเปิดให้ “sideloading” แต่กำลังเปลี่ยนไปใช้ระบบ Verified Developer ที่อาจทำให้รัฐบาลสามารถกดดันให้ตัดสิทธิ์นักพัฒนาที่ไม่พึงประสงค์ได้ 👁️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการสอดส่อง แม้บริษัทจะอ้างว่าเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย แต่ในความจริง App Store และ Play Store ยังคงอนุญาตให้แอปที่มีโค้ดสอดส่องและขายข้อมูลผู้ใช้ผ่าน data broker เข้ามาได้ อีกทั้งยังมีการเก็บข้อมูลการติดตั้งแอปของผู้ใช้เอง ทำให้ผู้ใช้ตกอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง 🌐 ทางเลือกและการผลักดันเพื่อเสรีภาพ ACLU เสนอว่าผู้ใช้ควรหันไปใช้ App Store ทางเลือก เช่น F-Droid หรือ Accrescent ที่เน้นความเป็นโอเพนซอร์สและความเป็นส่วนตัว รวมถึงการผลักดันกฎหมายแบบ Digital Markets Act (DMA) ของสหภาพยุโรป ที่บังคับให้ Apple เปิดให้มีการ sideload แอปและ App Store ทางเลือก เพื่อป้องกันการผูกขาดและการควบคุมจากรัฐบาล 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การควบคุมโดย App Store ➡️ Apple และ Google ครองตลาดสมาร์ทโฟนสหรัฐฯ ➡️ การถอนแอป ICEBlock และ Red Dot ตามคำสั่ง DOJ ✅ โครงสร้างที่เอื้อต่อการเซ็นเซอร์ ➡️ Apple บังคับใช้ App Store เดียว ➡️ Google เตรียมใช้ระบบ Verified Developer ✅ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการสอดส่อง ➡️ แอปที่มีโค้ดสอดส่องยังถูกอนุญาต ➡️ App Store เก็บข้อมูลการติดตั้งแอปของผู้ใช้ ✅ ทางเลือกเพื่อเสรีภาพ ➡️ ใช้ App Store ทางเลือก เช่น F-Droid, Accrescent ➡️ ผลักดันกฎหมายแบบ DMA ของ EU ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้สมาร์ทโฟน ⛔ การผูกขาดทำให้รัฐบาลสามารถกดดันบริษัทเพื่อควบคุมเสรีภาพ ⛔ การสอดส่องข้อมูลผู้ใช้อาจกระทบสิทธิความเป็นส่วนตัว https://www.aclu.org/news/free-speech/app-store-oligopoly
    WWW.ACLU.ORG
    Your Smartphone, Their Rules: How App Stores Enable Corporate-Government Censorship | ACLU
    Big Tech Oligopoly helps the Trump Administration crack down on free speech
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 Reviews
  • “GitHub ล่มทั่วโลกเพราะ TLS หมดอายุ – ฟื้นตัวภายใน 1 ชั่วโมง”

    เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 เวลา 20:30 UTC GitHub ประสบปัญหา Git operation ล้มเหลวทั้งหมด ทั้งการเชื่อมต่อผ่าน SSH และ HTTP รวมถึงการเข้าถึงไฟล์โดยตรง เหตุการณ์นี้ยังส่งผลกระทบต่อบริการที่พึ่งพา Git เช่น Codespaces และระบบอื่น ๆ ที่เชื่อมต่อกับ GitHub

    สาเหตุหลักคือ TLS certificate สำหรับการสื่อสารภายในหมดอายุ โดยไม่ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้า ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างบริการล้มเหลว ทีมงาน GitHubแก้ไขโดยการเปลี่ยน certificate และรีสตาร์ทบริการที่ได้รับผลกระทบ หลังจากนั้นระบบจึงกลับมาทำงานตามปกติภายในเวลา 21:34 UTC

    เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ GitHub ได้เพิ่มระบบแจ้งเตือน certificate ที่ใกล้หมดอายุ และกำลังเร่งปรับปรุงให้ การจัดการ certificate ทั้งหมดเป็นแบบอัตโนมัติ ลดการพึ่งพาการจัดการแบบ manual ซึ่งเสี่ยงต่อความผิดพลาดในอนาคต

    แม้เหตุการณ์นี้จะถูกแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า จุดเล็ก ๆ อย่าง certificate หมดอายุสามารถทำให้บริการระดับโลกหยุดชะงักได้ และเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับองค์กรที่พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

    สรุปสาระสำคัญ
    เหตุการณ์ล่มของ GitHub
    เกิดขึ้นวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 เวลา 20:30 UTC
    Git operations ทั้ง SSH และ HTTP ล้มเหลว รวมถึง Codespaces

    สาเหตุและการแก้ไข
    TLS certificate ภายในหมดอายุโดยไม่ถูกตรวจพบ
    ทีมงานเปลี่ยน certificate และรีสตาร์ทบริการ ทำให้ฟื้นตัวภายใน 1 ชั่วโมง

    มาตรการป้องกันในอนาคต
    เพิ่มระบบแจ้งเตือน certificate ที่ใกล้หมดอายุ
    เร่งทำให้การจัดการ certificate เป็นแบบอัตโนมัติทั้งหมด

    คำเตือนต่อองค์กรที่ใช้ระบบดิจิทัล
    Certificate หมดอายุแม้เพียงตัวเดียวสามารถทำให้บริการระดับโลกหยุดชะงัก
    การจัดการแบบ manual เสี่ยงต่อความผิดพลาด ควรใช้ระบบอัตโนมัติ

    https://www.githubstatus.com/incidents/5q7nmlxz30sk
    📰 “GitHub ล่มทั่วโลกเพราะ TLS หมดอายุ – ฟื้นตัวภายใน 1 ชั่วโมง” เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 เวลา 20:30 UTC GitHub ประสบปัญหา Git operation ล้มเหลวทั้งหมด ทั้งการเชื่อมต่อผ่าน SSH และ HTTP รวมถึงการเข้าถึงไฟล์โดยตรง เหตุการณ์นี้ยังส่งผลกระทบต่อบริการที่พึ่งพา Git เช่น Codespaces และระบบอื่น ๆ ที่เชื่อมต่อกับ GitHub สาเหตุหลักคือ TLS certificate สำหรับการสื่อสารภายในหมดอายุ โดยไม่ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้า ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างบริการล้มเหลว ทีมงาน GitHubแก้ไขโดยการเปลี่ยน certificate และรีสตาร์ทบริการที่ได้รับผลกระทบ หลังจากนั้นระบบจึงกลับมาทำงานตามปกติภายในเวลา 21:34 UTC เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ GitHub ได้เพิ่มระบบแจ้งเตือน certificate ที่ใกล้หมดอายุ และกำลังเร่งปรับปรุงให้ การจัดการ certificate ทั้งหมดเป็นแบบอัตโนมัติ ลดการพึ่งพาการจัดการแบบ manual ซึ่งเสี่ยงต่อความผิดพลาดในอนาคต แม้เหตุการณ์นี้จะถูกแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า จุดเล็ก ๆ อย่าง certificate หมดอายุสามารถทำให้บริการระดับโลกหยุดชะงักได้ และเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับองค์กรที่พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ เหตุการณ์ล่มของ GitHub ➡️ เกิดขึ้นวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 เวลา 20:30 UTC ➡️ Git operations ทั้ง SSH และ HTTP ล้มเหลว รวมถึง Codespaces ✅ สาเหตุและการแก้ไข ➡️ TLS certificate ภายในหมดอายุโดยไม่ถูกตรวจพบ ➡️ ทีมงานเปลี่ยน certificate และรีสตาร์ทบริการ ทำให้ฟื้นตัวภายใน 1 ชั่วโมง ✅ มาตรการป้องกันในอนาคต ➡️ เพิ่มระบบแจ้งเตือน certificate ที่ใกล้หมดอายุ ➡️ เร่งทำให้การจัดการ certificate เป็นแบบอัตโนมัติทั้งหมด ‼️ คำเตือนต่อองค์กรที่ใช้ระบบดิจิทัล ⛔ Certificate หมดอายุแม้เพียงตัวเดียวสามารถทำให้บริการระดับโลกหยุดชะงัก ⛔ การจัดการแบบ manual เสี่ยงต่อความผิดพลาด ควรใช้ระบบอัตโนมัติ https://www.githubstatus.com/incidents/5q7nmlxz30sk
    WWW.GITHUBSTATUS.COM
    Git operation failures
    GitHub's Status Page - Git operation failures.
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • 5 วิธีใหม่ในการใช้ iPad รุ่นเก่าให้เกิดประโยชน์
    แม้ว่า iPad รุ่นใหม่จะมีประสิทธิภาพสูงและระบบ iPadOS ที่ทันสมัย แต่ iPad รุ่นเก่าก็ยังสามารถนำมาใช้งานได้อย่างคุ้มค่า โดย SlashGear ได้แนะนำ 5 วิธีใหม่ ที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์และลดการสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์

    หนึ่งในวิธีที่น่าสนใจคือการใช้ iPad เป็น เมนูร้านอาหารหรือเครื่องคิดเงิน (POS) เพราะหน้าจอสามารถแสดงเมนูอาหารได้ชัดเจนและปรับเปลี่ยนได้ง่าย อีกทั้งยังรองรับแอปพลิเคชัน POS ที่ช่วยให้ร้านค้าประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องคิดเงินแบบดั้งเดิม

    อีกทางเลือกคือการใช้ iPad เป็น คอมพิวเตอร์สำรอง โดยเฉพาะรุ่นที่รองรับ iPadOS 26 ซึ่งมีฟีเจอร์ใกล้เคียงกับ MacBook เช่น การจัดการไฟล์และการทำงานแบบหลายหน้าต่าง ทำให้สามารถใช้แทนโน้ตบุ๊คได้ในกรณีฉุกเฉิน

    สำหรับผู้ที่ชอบปรับแต่งอุปกรณ์ iPad รุ่นเก่าสามารถ เจลเบรก (Jailbreak) เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดของระบบ และติดตั้งแอปหรือฟีเจอร์ที่ Apple ไม่อนุญาต อย่างไรก็ตาม การเจลเบรกมีความเสี่ยงสูงและอาจทำให้หมดประกัน

    นอกจากนี้ยังสามารถใช้ iPad เป็น เครื่องช่วยออกกำลังกาย โดยเชื่อมต่อกับ Apple Fitness+ หรือใช้เป็นหน้าจอสำหรับดูวิดีโอการออกกำลังกาย และสุดท้ายคือการใช้เป็น เทเลพรอมพ์เตอร์ สำหรับการบันทึกวิดีโอหรือการพูดในงานต่าง ๆ ซึ่งมีแอปฟรีรองรับการใช้งานได้ทันที

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายการสิ่งที่ทำได้กับ iPad รุ่นเก่า
    เมนูร้านอาหาร / เครื่องคิดเงิน POS
    ใช้แสดงเมนูอาหารและเครื่องดื่ม
    รองรับแอป POS สำหรับการชำระเงิน

    คอมพิวเตอร์สำรองแทนโน้ตบุ๊ค
    ใช้ iPadOS 26 ที่รองรับ multitasking และจัดการไฟล์
    เหมาะสำหรับพกพาไปทำงานนอกสถานที่

    เจลเบรก (Jailbreak) เพื่อปลดล็อกข้อจำกัด
    ติดตั้งแอปนอกระบบและปรับแต่งได้มากขึ้น
    ใช้เครื่องมืออย่าง palera1n สำหรับรุ่นที่รองรับ

    เครื่องช่วยออกกำลังกาย
    ใช้กับ Apple Fitness+ หรือวิดีโอออกกำลังกาย
    หน้าจอใหญ่และเสียงดังชัดเจนกว่ามือถือ

    เทเลพรอมพ์เตอร์ (Teleprompter)
    ใช้แอป Teleprompter หรือ Presenter Mode ใน Pages
    เหมาะสำหรับการบันทึกวิดีโอหรือการพูดในงานต่าง ๆ

    คำเตือนและข้อควรพิจารณา
    แบตเตอรี่เสื่อมสภาพอาจทำให้ใช้งานต่อเนื่องได้ไม่นาน

    https://www.slashgear.com/2026270/more-things-you-can-do-with-old-ipad/
    📱5 วิธีใหม่ในการใช้ iPad รุ่นเก่าให้เกิดประโยชน์ แม้ว่า iPad รุ่นใหม่จะมีประสิทธิภาพสูงและระบบ iPadOS ที่ทันสมัย แต่ iPad รุ่นเก่าก็ยังสามารถนำมาใช้งานได้อย่างคุ้มค่า โดย SlashGear ได้แนะนำ 5 วิธีใหม่ ที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์และลดการสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์ หนึ่งในวิธีที่น่าสนใจคือการใช้ iPad เป็น เมนูร้านอาหารหรือเครื่องคิดเงิน (POS) เพราะหน้าจอสามารถแสดงเมนูอาหารได้ชัดเจนและปรับเปลี่ยนได้ง่าย อีกทั้งยังรองรับแอปพลิเคชัน POS ที่ช่วยให้ร้านค้าประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องคิดเงินแบบดั้งเดิม อีกทางเลือกคือการใช้ iPad เป็น คอมพิวเตอร์สำรอง โดยเฉพาะรุ่นที่รองรับ iPadOS 26 ซึ่งมีฟีเจอร์ใกล้เคียงกับ MacBook เช่น การจัดการไฟล์และการทำงานแบบหลายหน้าต่าง ทำให้สามารถใช้แทนโน้ตบุ๊คได้ในกรณีฉุกเฉิน สำหรับผู้ที่ชอบปรับแต่งอุปกรณ์ iPad รุ่นเก่าสามารถ เจลเบรก (Jailbreak) เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดของระบบ และติดตั้งแอปหรือฟีเจอร์ที่ Apple ไม่อนุญาต อย่างไรก็ตาม การเจลเบรกมีความเสี่ยงสูงและอาจทำให้หมดประกัน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ iPad เป็น เครื่องช่วยออกกำลังกาย โดยเชื่อมต่อกับ Apple Fitness+ หรือใช้เป็นหน้าจอสำหรับดูวิดีโอการออกกำลังกาย และสุดท้ายคือการใช้เป็น เทเลพรอมพ์เตอร์ สำหรับการบันทึกวิดีโอหรือการพูดในงานต่าง ๆ ซึ่งมีแอปฟรีรองรับการใช้งานได้ทันที 📌 สรุปประเด็นสำคัญ 📋 รายการสิ่งที่ทำได้กับ iPad รุ่นเก่า ✅ เมนูร้านอาหาร / เครื่องคิดเงิน POS ➡️ ใช้แสดงเมนูอาหารและเครื่องดื่ม ➡️ รองรับแอป POS สำหรับการชำระเงิน ✅ คอมพิวเตอร์สำรองแทนโน้ตบุ๊ค ➡️ ใช้ iPadOS 26 ที่รองรับ multitasking และจัดการไฟล์ ➡️ เหมาะสำหรับพกพาไปทำงานนอกสถานที่ ✅ เจลเบรก (Jailbreak) เพื่อปลดล็อกข้อจำกัด ➡️ ติดตั้งแอปนอกระบบและปรับแต่งได้มากขึ้น ➡️ ใช้เครื่องมืออย่าง palera1n สำหรับรุ่นที่รองรับ ✅ เครื่องช่วยออกกำลังกาย ➡️ ใช้กับ Apple Fitness+ หรือวิดีโอออกกำลังกาย ➡️ หน้าจอใหญ่และเสียงดังชัดเจนกว่ามือถือ ✅ เทเลพรอมพ์เตอร์ (Teleprompter) ➡️ ใช้แอป Teleprompter หรือ Presenter Mode ใน Pages ➡️ เหมาะสำหรับการบันทึกวิดีโอหรือการพูดในงานต่าง ๆ ‼️ คำเตือนและข้อควรพิจารณา ⛔ แบตเตอรี่เสื่อมสภาพอาจทำให้ใช้งานต่อเนื่องได้ไม่นาน https://www.slashgear.com/2026270/more-things-you-can-do-with-old-ipad/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 More Things You Can Do With Your Old iPad Instead Of Throwing It Away - SlashGear
    Old iPad gathering dust? Here’s how to turn it into a menu, teleprompter, workout screen, backup computer or more without spending much.
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • HughesNet สูญเสียลูกค้าให้ Starlink จนเสี่ยงล้มละลาย

    Starlink กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ใช้งานในสหรัฐฯ กว่า 2 ล้านรายในปี 2025 และทั่วโลกมากกว่า 6 ล้านราย ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจาก 4.6 ล้านรายในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมของเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำที่ให้ความเร็วสูงและความหน่วงต่ำ เหมาะกับผู้ใช้งานในพื้นที่ชนบทที่เคยพึ่งพา HughesNet

    HughesNet ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่แข่งหลัก ไม่สามารถตามทันความต้องการของตลาดได้ ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร และข้อจำกัดของดาวเทียมที่มีอยู่ เช่น ปัญหาสัญญาณขาดหายเมื่อฝนตกหนัก และ การจำกัดปริมาณข้อมูลรายเดือน ที่ทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจ แม้จะมีการลงทุนในดาวเทียมใหม่อย่าง Jupiter 3 เพื่อเพิ่มความเร็ว แต่ก็ยังไม่สามารถแข่งขันกับเครือข่ายที่หนาแน่นและทันสมัยของ Starlink ได้

    แทนที่จะสู้ตรง ๆ HughesNet และบริษัทแม่ EchoStar เลือกทำข้อตกลงกับ SpaceX โดยเปิด โปรแกรมแนะนำลูกค้าไปใช้ Starlink เพื่อรักษารายได้บางส่วน แม้จะเป็นการยอมรับการสูญเสียลูกค้า แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้รายได้หายไปทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่ากลยุทธ์นี้อาจไม่เพียงพอ และ HughesNet อาจต้องถอนตัวจากตลาดผู้บริโภคในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเติบโตของ Starlink
    ผู้ใช้ในสหรัฐฯ กว่า 2 ล้านรายในปี 2025
    ผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 6 ล้านราย

    ปัญหาของ HughesNet
    ความเร็วและความเสถียรต่ำกว่า Starlink
    สัญญาณขาดหายเมื่อฝนตกหนัก
    การจำกัดปริมาณข้อมูลรายเดือน

    การลงทุนและกลยุทธ์ใหม่
    เปิดตัวดาวเทียม Jupiter 3 เพื่อเพิ่มความเร็ว
    ทำข้อตกลงกับ SpaceX เปิดโปรแกรมแนะนำลูกค้าไปใช้ Starlink

    คำเตือนและความเสี่ยง
    HughesNet อาจต้องยื่นล้มละลายหากสูญเสียลูกค้าเพิ่มขึ้น
    การพึ่งพาโปรแกรมแนะนำลูกค้าอาจไม่ยั่งยืน
    ตลาดผู้บริโภคอาจถูกครอบครองโดย Starlink อย่างสมบูรณ์

    https://www.slashgear.com/2030563/hughesnet-satellite-internet-provider-struggling-after-starlink-steals-customers/
    🚀 HughesNet สูญเสียลูกค้าให้ Starlink จนเสี่ยงล้มละลาย Starlink กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ใช้งานในสหรัฐฯ กว่า 2 ล้านรายในปี 2025 และทั่วโลกมากกว่า 6 ล้านราย ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจาก 4.6 ล้านรายในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมของเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำที่ให้ความเร็วสูงและความหน่วงต่ำ เหมาะกับผู้ใช้งานในพื้นที่ชนบทที่เคยพึ่งพา HughesNet HughesNet ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่แข่งหลัก ไม่สามารถตามทันความต้องการของตลาดได้ ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร และข้อจำกัดของดาวเทียมที่มีอยู่ เช่น ปัญหาสัญญาณขาดหายเมื่อฝนตกหนัก และ การจำกัดปริมาณข้อมูลรายเดือน ที่ทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจ แม้จะมีการลงทุนในดาวเทียมใหม่อย่าง Jupiter 3 เพื่อเพิ่มความเร็ว แต่ก็ยังไม่สามารถแข่งขันกับเครือข่ายที่หนาแน่นและทันสมัยของ Starlink ได้ แทนที่จะสู้ตรง ๆ HughesNet และบริษัทแม่ EchoStar เลือกทำข้อตกลงกับ SpaceX โดยเปิด โปรแกรมแนะนำลูกค้าไปใช้ Starlink เพื่อรักษารายได้บางส่วน แม้จะเป็นการยอมรับการสูญเสียลูกค้า แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้รายได้หายไปทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่ากลยุทธ์นี้อาจไม่เพียงพอ และ HughesNet อาจต้องถอนตัวจากตลาดผู้บริโภคในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเติบโตของ Starlink ➡️ ผู้ใช้ในสหรัฐฯ กว่า 2 ล้านรายในปี 2025 ➡️ ผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 6 ล้านราย ✅ ปัญหาของ HughesNet ➡️ ความเร็วและความเสถียรต่ำกว่า Starlink ➡️ สัญญาณขาดหายเมื่อฝนตกหนัก ➡️ การจำกัดปริมาณข้อมูลรายเดือน ✅ การลงทุนและกลยุทธ์ใหม่ ➡️ เปิดตัวดาวเทียม Jupiter 3 เพื่อเพิ่มความเร็ว ➡️ ทำข้อตกลงกับ SpaceX เปิดโปรแกรมแนะนำลูกค้าไปใช้ Starlink ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ HughesNet อาจต้องยื่นล้มละลายหากสูญเสียลูกค้าเพิ่มขึ้น ⛔ การพึ่งพาโปรแกรมแนะนำลูกค้าอาจไม่ยั่งยืน ⛔ ตลาดผู้บริโภคอาจถูกครอบครองโดย Starlink อย่างสมบูรณ์ https://www.slashgear.com/2030563/hughesnet-satellite-internet-provider-struggling-after-starlink-steals-customers/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Major Internet Provider Is Struggling Because Starlink Stole Its Customers - SlashGear
    Starlink's rise to stardom (no pun intended) has had a major impact on HughesNet, which has been one of the best and only Starlink alternatives out there.
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • ฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Windows เสี่ยงถูกโจมตีและติดตั้งมัลแวร์

    Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 Insider Build ที่เรียกว่า Copilot Actions ซึ่งถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานด้วยข้อความ เช่น จัดระเบียบไฟล์ ดาวน์โหลดรูปภาพ หรือดึงข้อมูลจาก PDF โดย AI จะทำงานในสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า Agent Workspace ซึ่งมีบัญชีผู้ใช้แยกต่างหากและสามารถโต้ตอบกับแอปพลิเคชันได้เหมือนมีเดสก์ท็อปของตัวเอง

    อย่างไรก็ตาม Microsoft เองก็ยอมรับว่าฟีเจอร์นี้มี “ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยใหม่” โดยเฉพาะการโจมตีแบบ cross-prompt injection (XPIA) ซึ่งเกิดจากเนื้อหาที่เป็นอันตรายในเอกสารหรือ UI สามารถเปลี่ยนคำสั่งของ AI ได้ ผลลัพธ์คือการกระทำที่ไม่ตั้งใจ เช่น การขโมยข้อมูลหรือการติดตั้งมัลแวร์

    สิ่งที่น่ากังวลคือ Copilot Actions ต้องการสิทธิ์เข้าถึงไฟล์ส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น Documents, Downloads, Desktop, Pictures, Videos และ Music รวมถึงแอปที่ติดตั้งในระบบทั้งหมด แตกต่างจาก Windows Sandbox ที่ทำงานแบบแยกขาดและถูกลบทุกครั้งที่ปิด แต่ Copilot Actions จะคงสิทธิ์การเข้าถึงไว้ตลอดการใช้งาน

    แม้ Microsoft จะบอกว่ามีการป้องกัน เช่น การบันทึกกิจกรรม, การขออนุญาตก่อนเข้าถึงข้อมูล, และการใช้ audit logs แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเนื่องจาก AI อาจ “หลอน” (hallucinate) และทำงานผิดพลาดได้เอง ซึ่งทำให้ผู้ใช้หลายคนตั้งคำถามว่าฟีเจอร์นี้พร้อมใช้งานจริงหรือยัง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ Copilot Actions
    ทำงานใน Agent Workspace แยกต่างหาก
    สามารถจัดการไฟล์และโต้ตอบกับแอปพลิเคชันได้

    สิทธิ์การเข้าถึงที่กว้างขวาง
    เข้าถึง Documents, Downloads, Desktop, Pictures, Videos, Music
    เข้าถึงแอปที่ติดตั้งในระบบทั้งหมด

    มาตรการป้องกันที่ Microsoft ระบุ
    บันทึกกิจกรรมทั้งหมด
    ผู้ใช้ต้องอนุมัติการเข้าถึงข้อมูล
    ใช้ audit logs เพื่อติดตามการทำงาน

    คำเตือนและความเสี่ยง
    เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ cross-prompt injection (XPIA)
    อาจทำให้เกิดการขโมยข้อมูลหรือการติดตั้งมัลแวร์
    AI อาจ “หลอน” และทำงานผิดพลาดเอง
    การเข้าถึงไฟล์ส่วนตัวอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

    https://itsfoss.com/news/new-windows-ai-feature-can-be-tricked/
    🛡️ ฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Windows เสี่ยงถูกโจมตีและติดตั้งมัลแวร์ Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 Insider Build ที่เรียกว่า Copilot Actions ซึ่งถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานด้วยข้อความ เช่น จัดระเบียบไฟล์ ดาวน์โหลดรูปภาพ หรือดึงข้อมูลจาก PDF โดย AI จะทำงานในสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า Agent Workspace ซึ่งมีบัญชีผู้ใช้แยกต่างหากและสามารถโต้ตอบกับแอปพลิเคชันได้เหมือนมีเดสก์ท็อปของตัวเอง อย่างไรก็ตาม Microsoft เองก็ยอมรับว่าฟีเจอร์นี้มี “ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยใหม่” โดยเฉพาะการโจมตีแบบ cross-prompt injection (XPIA) ซึ่งเกิดจากเนื้อหาที่เป็นอันตรายในเอกสารหรือ UI สามารถเปลี่ยนคำสั่งของ AI ได้ ผลลัพธ์คือการกระทำที่ไม่ตั้งใจ เช่น การขโมยข้อมูลหรือการติดตั้งมัลแวร์ สิ่งที่น่ากังวลคือ Copilot Actions ต้องการสิทธิ์เข้าถึงไฟล์ส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น Documents, Downloads, Desktop, Pictures, Videos และ Music รวมถึงแอปที่ติดตั้งในระบบทั้งหมด แตกต่างจาก Windows Sandbox ที่ทำงานแบบแยกขาดและถูกลบทุกครั้งที่ปิด แต่ Copilot Actions จะคงสิทธิ์การเข้าถึงไว้ตลอดการใช้งาน แม้ Microsoft จะบอกว่ามีการป้องกัน เช่น การบันทึกกิจกรรม, การขออนุญาตก่อนเข้าถึงข้อมูล, และการใช้ audit logs แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเนื่องจาก AI อาจ “หลอน” (hallucinate) และทำงานผิดพลาดได้เอง ซึ่งทำให้ผู้ใช้หลายคนตั้งคำถามว่าฟีเจอร์นี้พร้อมใช้งานจริงหรือยัง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ Copilot Actions ➡️ ทำงานใน Agent Workspace แยกต่างหาก ➡️ สามารถจัดการไฟล์และโต้ตอบกับแอปพลิเคชันได้ ✅ สิทธิ์การเข้าถึงที่กว้างขวาง ➡️ เข้าถึง Documents, Downloads, Desktop, Pictures, Videos, Music ➡️ เข้าถึงแอปที่ติดตั้งในระบบทั้งหมด ✅ มาตรการป้องกันที่ Microsoft ระบุ ➡️ บันทึกกิจกรรมทั้งหมด ➡️ ผู้ใช้ต้องอนุมัติการเข้าถึงข้อมูล ➡️ ใช้ audit logs เพื่อติดตามการทำงาน ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ cross-prompt injection (XPIA) ⛔ อาจทำให้เกิดการขโมยข้อมูลหรือการติดตั้งมัลแวร์ ⛔ AI อาจ “หลอน” และทำงานผิดพลาดเอง ⛔ การเข้าถึงไฟล์ส่วนตัวอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ https://itsfoss.com/news/new-windows-ai-feature-can-be-tricked/
    ITSFOSS.COM
    Microsoft's New Windows AI Feature Comes With Warnings About Malware and Data Theft
    New opt-in experimental feature comes with some warnings and requires file access.
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • Mastodon เปลี่ยนผ่านสู่โครงสร้างใหม่ หลังผู้ก่อตั้งก้าวลงจากตำแหน่ง

    Mastodon ซึ่งเป็นเครือข่ายสังคมแบบกระจายศูนย์ (decentralized) ที่สร้างขึ้นบนโปรโตคอล ActivityPub ได้รับความนิยมในฐานะทางเลือกที่ไม่ขึ้นกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี จุดเด่นคือผู้ใช้สามารถเลือกหรือสร้างเซิร์ฟเวอร์ของตนเองได้ ทำให้ไม่มีองค์กรใดควบคุมข้อมูลหรือเนื้อหาของผู้ใช้โดยตรง

    หลังจากเกือบสิบปีในการนำพาโครงการนี้ Eugen Rochko ประกาศก้าวลงจากตำแหน่ง CEO และโอนทรัพย์สินทั้งหมดให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไร เขาอธิบายว่าการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์นั้นเต็มไปด้วยความเครียด ทั้งจากการถูกจับตามอง การเปรียบเทียบกับมหาเศรษฐีเทคโนโลยี และแรงกดดันจากชุมชน จนไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพและชีวิตส่วนตัวอีกต่อไป

    เพื่อให้ Mastodon เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง ได้มีการจัดตั้งองค์กรไม่แสวงหากำไรในเบลเยียม (AISBL) เพื่อแทนที่โครงสร้างเดิมในเยอรมนีที่สูญเสียสถานะไม่แสวงหากำไรไปก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกัน องค์กร 501(c)(3) ในสหรัฐฯ ถือครองทรัพย์สินและเครื่องหมายการค้าชั่วคราวจนกว่าโครงสร้างใหม่จะเสร็จสมบูรณ์

    คณะกรรมการใหม่ประกอบด้วยบุคคลสำคัญ เช่น Biz Stone ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter, Karien Bezuidenhout และ Esra’a Al Shafei พร้อมด้วยทีมผู้บริหารใหม่ เช่น Felix Hlatky ในตำแหน่ง Executive Director และ Renaud Chaput ในตำแหน่ง Technical Director นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนด้านเงินทุนจากบุคคลและองค์กรต่าง ๆ รวมกว่า €2.5 ล้าน เพื่อเสริมความมั่นคงทางการเงินของโครงการ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้นำ
    Eugen Rochko ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO หลังนำโครงการมากว่า 10 ปี
    ส่งต่อทรัพย์สินและเครื่องหมายการค้าให้แก่องค์กรไม่แสวงหากำไร

    เหตุผลในการก้าวลง
    ความเครียดจากการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์
    การถูกจับตามองและแรงกดดันจากชุมชน

    โครงสร้างใหม่ของ Mastodon
    จัดตั้งองค์กรไม่แสวงหากำไรในเบลเยียม (AISBL)
    องค์กร 501(c)(3) ในสหรัฐฯ ถือครองทรัพย์สินชั่วคราว

    ทีมบริหารและคณะกรรมการใหม่
    Felix Hlatky เป็น Executive Director
    Biz Stone และบุคคลสำคัญร่วมเป็นกรรมการ
    สนับสนุนเงินทุนรวมกว่า €2.5 ล้าน

    คำเตือนและความท้าทาย
    การเปลี่ยนผ่านอาจสร้างความไม่แน่นอนในระยะสั้น
    ความคาดหวังจากชุมชนยังคงสูง อาจกดดันทีมใหม่
    ต้องรักษาความเป็นอิสระและคุณค่าของแพลตฟอร์มท่ามกลางการแข่งขันกับ Big Tech

    https://itsfoss.com/news/mastodon-ceo-steps-down/
    🌐 Mastodon เปลี่ยนผ่านสู่โครงสร้างใหม่ หลังผู้ก่อตั้งก้าวลงจากตำแหน่ง Mastodon ซึ่งเป็นเครือข่ายสังคมแบบกระจายศูนย์ (decentralized) ที่สร้างขึ้นบนโปรโตคอล ActivityPub ได้รับความนิยมในฐานะทางเลือกที่ไม่ขึ้นกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี จุดเด่นคือผู้ใช้สามารถเลือกหรือสร้างเซิร์ฟเวอร์ของตนเองได้ ทำให้ไม่มีองค์กรใดควบคุมข้อมูลหรือเนื้อหาของผู้ใช้โดยตรง หลังจากเกือบสิบปีในการนำพาโครงการนี้ Eugen Rochko ประกาศก้าวลงจากตำแหน่ง CEO และโอนทรัพย์สินทั้งหมดให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไร เขาอธิบายว่าการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์นั้นเต็มไปด้วยความเครียด ทั้งจากการถูกจับตามอง การเปรียบเทียบกับมหาเศรษฐีเทคโนโลยี และแรงกดดันจากชุมชน จนไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพและชีวิตส่วนตัวอีกต่อไป เพื่อให้ Mastodon เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง ได้มีการจัดตั้งองค์กรไม่แสวงหากำไรในเบลเยียม (AISBL) เพื่อแทนที่โครงสร้างเดิมในเยอรมนีที่สูญเสียสถานะไม่แสวงหากำไรไปก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกัน องค์กร 501(c)(3) ในสหรัฐฯ ถือครองทรัพย์สินและเครื่องหมายการค้าชั่วคราวจนกว่าโครงสร้างใหม่จะเสร็จสมบูรณ์ คณะกรรมการใหม่ประกอบด้วยบุคคลสำคัญ เช่น Biz Stone ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter, Karien Bezuidenhout และ Esra’a Al Shafei พร้อมด้วยทีมผู้บริหารใหม่ เช่น Felix Hlatky ในตำแหน่ง Executive Director และ Renaud Chaput ในตำแหน่ง Technical Director นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนด้านเงินทุนจากบุคคลและองค์กรต่าง ๆ รวมกว่า €2.5 ล้าน เพื่อเสริมความมั่นคงทางการเงินของโครงการ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้นำ ➡️ Eugen Rochko ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO หลังนำโครงการมากว่า 10 ปี ➡️ ส่งต่อทรัพย์สินและเครื่องหมายการค้าให้แก่องค์กรไม่แสวงหากำไร ✅ เหตุผลในการก้าวลง ➡️ ความเครียดจากการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ ➡️ การถูกจับตามองและแรงกดดันจากชุมชน ✅ โครงสร้างใหม่ของ Mastodon ➡️ จัดตั้งองค์กรไม่แสวงหากำไรในเบลเยียม (AISBL) ➡️ องค์กร 501(c)(3) ในสหรัฐฯ ถือครองทรัพย์สินชั่วคราว ✅ ทีมบริหารและคณะกรรมการใหม่ ➡️ Felix Hlatky เป็น Executive Director ➡️ Biz Stone และบุคคลสำคัญร่วมเป็นกรรมการ ➡️ สนับสนุนเงินทุนรวมกว่า €2.5 ล้าน ‼️ คำเตือนและความท้าทาย ⛔ การเปลี่ยนผ่านอาจสร้างความไม่แน่นอนในระยะสั้น ⛔ ความคาดหวังจากชุมชนยังคงสูง อาจกดดันทีมใหม่ ⛔ ต้องรักษาความเป็นอิสระและคุณค่าของแพลตฟอร์มท่ามกลางการแข่งขันกับ Big Tech https://itsfoss.com/news/mastodon-ceo-steps-down/
    ITSFOSS.COM
    After Nearly 10 Years of Building Mastodon, Eugen Rochko Steps Into Advisory Role
    Mastodon's creator steps back from CEO role, transfers assets to non-profit organization.
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251120 #securityonline

    Lazarus Group เปิดตัว RAT ใหม่ชื่อ ScoringMathTea
    กลุ่มแฮกเกอร์ Lazarus จากเกาหลีเหนือถูกเปิดโปงว่าได้พัฒนาเครื่องมือสอดแนมใหม่ชื่อ ScoringMathTea RAT ซึ่งมีความสามารถซับซ้อนมาก ใช้เทคนิคการโหลดปลั๊กอินแบบสะท้อน (Reflective Plugin Loader) และเข้ารหัสด้วยวิธีเฉพาะที่ยากต่อการตรวจจับ เครื่องมือนี้สามารถควบคุมเครื่องเป้าหมายจากระยะไกลได้เต็มรูปแบบ ทั้งการรันคำสั่งและโหลดปลั๊กอินในหน่วยความจำ จุดเด่นคือการซ่อนร่องรอยการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ นักวิจัยพบว่า RAT นี้ถูกใช้ในปฏิบัติการโจมตีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี UAV ของยูเครน

    https://securityonline.info/lazarus-groups-new-scoringmathtea-rat-uses-reflective-plugin-loader-and-custom-polyalphabetic-crypto-for-espionage

    Akira Ransomware ใช้ CAPTCHA หลอกลวงจนบริษัทใหญ่ล่มใน 42 วัน
    มีรายงานว่าเพียงการคลิก CAPTCHA ปลอมครั้งเดียวของพนักงานบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เกิดการโจมตีที่ยืดเยื้อถึง 42 วัน กลุ่มแฮกเกอร์ Howling Scorpius ใช้เทคนิคนี้เพื่อติดตั้ง SectopRAT และค่อย ๆ ยึดระบบทีละขั้น จนสามารถลบข้อมูลสำรองบนคลาวด์และปล่อย Akira ransomware ทำให้บริษัทหยุดทำงานเกือบทั้งหมด แม้บริษัทจะมีระบบ EDR แต่กลับไม่สามารถตรวจจับได้ทันเวลา

    https://securityonline.info/one-click-42-days-akira-ransomware-used-captcha-decoy-to-destroy-cloud-backups-and-cripple-storage-firm

    “The Gentlemen” Ransomware RaaS โผล่ใหม่ โจมตี 48 เหยื่อใน 3 เดือน
    กลุ่มใหม่ชื่อ The Gentlemen เปิดตัวแพลตฟอร์ม Ransomware-as-a-Service (RaaS) ที่มีความซับซ้อนสูง ใช้การเข้ารหัสแบบ XChaCha20 และกลยุทธ์ “สองชั้น” คือทั้งเข้ารหัสไฟล์และขู่เปิดเผยข้อมูลที่ขโมยมา ภายในเวลาเพียง 3 เดือน พวกเขามีเหยื่อถึง 48 ราย จุดเด่นคือการพัฒนาอย่างรวดเร็ว รองรับทั้ง Windows, Linux และ ESXi พร้อมเทคนิคการแพร่กระจายที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ถูกจับตามองว่าอาจกลายเป็นภัยคุกคามระดับท็อปในวงการ https://securityonline.info/sophisticated-the-gentlemen-ransomware-raas-emerges-with-xchacha20-encryption-and-48-victims-in-3-months

    มัลแวร์ยุคใหม่ซ่อนการสื่อสารเป็น API ของ LLM บน Tencent Cloud
    นักวิจัยจาก Akamai พบมัลแวร์ที่มีวิธีพรางตัวแปลกใหม่ โดยมันซ่อนการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ให้ดูเหมือนการเรียกใช้งาน API ของ Large Language Model (LLM) บน Tencent Cloud ทำให้การตรวจจับยากขึ้นมาก เพราะทราฟฟิกดูเหมือนการใช้งาน AI ปกติจริง ๆ เมื่อถอดรหัสแล้วพบว่าเป็นคำสั่งควบคุมเครื่องแบบ RAT เต็มรูปแบบ พร้อมเครื่องมือ Proxy ที่ช่วยให้แฮกเกอร์ใช้เครื่องเหยื่อเป็นจุดผ่านในการโจมตีต่อ

    https://securityonline.info/next-gen-stealth-malware-hides-c2-traffic-as-fake-llm-api-requests-on-tencent-cloud

    Ransomware เจาะ AWS S3 ผ่านการตั้งค่าผิดพลาด ทำลบข้อมูลถาวร
    รายงานจาก Trend Research เตือนว่ามีการพัฒนา ransomware รุ่นใหม่ที่มุ่งเป้าไปยัง Amazon S3 โดยอาศัยการตั้งค่าที่ผิดพลาด เช่น ไม่มีการเปิด versioning หรือ object lock ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้ารหัสหรือลบข้อมูลได้แบบถาวรโดยไม่สามารถกู้คืนได้ มีการระบุถึง 5 วิธีการโจมตีที่อันตราย เช่น การลบ KMS key ที่ใช้เข้ารหัสไฟล์ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลสูญหายไปตลอดกาล

    https://securityonline.info/next-gen-ransomware-targets-aws-s3-five-cloud-native-variants-exploit-misconfigurations-for-irreversible-data-destruction

    Windows 11 เตรียมซ่อนหน้าจอ BSOD บนจอสาธารณะ

    Microsoft ประกาศว่าจะปรับปรุง Windows 11 โดย ซ่อนหน้าจอ Blue Screen of Death (BSOD) บนจอที่ใช้ในที่สาธารณะ เช่นสนามบินหรือห้างสรรพสินค้า เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ทั่วไปเห็นภาพระบบล่มที่อาจสร้างความตื่นตระหนก การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ประสบการณ์ใช้งานดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยยังคงบันทึกข้อมูลการ crash ไว้ให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบได้ตามปกติ

    https://securityonline.info/no-more-public-bsods-windows-11-will-hide-crash-screens-on-public-displays

    Microsoft เตรียมยกเลิกสิทธิ์ OEM Driver ระดับ Kernel
    หลังเหตุการณ์ CrowdStrike ที่ทำให้ระบบล่มทั่วโลก Microsoft วางแผนจะ ยกเลิกสิทธิ์พิเศษของ OEM driver ที่ทำงานในระดับ Kernel เพื่อลดความเสี่ยงจากการที่ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ใช้สิทธิ์สูงเกินไป การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยของระบบ Windows โดยบังคับให้ผู้ผลิตใช้วิธีที่ปลอดภัยกว่าในการเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการ

    https://securityonline.info/post-crowdstrike-microsoft-to-phase-out-oem-kernel-level-driver-privileges

    Seraphic เปิดตัว Browser Security สำหรับแอป Electron
    บริษัท Seraphic เปิดตัวโซลูชันใหม่ที่เป็น Secure Enterprise Browser ตัวแรกที่สามารถปกป้องแอปพลิเคชันที่สร้างบน Electron ได้ จุดเด่นคือการเพิ่มชั้นความปลอดภัยให้กับแอปที่มักถูกใช้ในองค์กร เช่น Slack หรือ Teams ซึ่งเดิมที Electron มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอยู่บ่อยครั้ง การแก้ปัญหานี้ช่วยให้องค์กรมั่นใจมากขึ้นในการใช้งานแอป Electron

    https://securityonline.info/seraphic-becomes-the-first-and-only-secure-enterprise-browser-solution-to-protect-electron-based-applications

    Comet Browser ถูกวิจารณ์หนัก หลังพบ API ลับ MCP
    มีการค้นพบว่า Comet Browser มี API ที่ชื่อ MCP ซึ่งเปิดช่องให้ผู้พัฒนา AI browser สามารถเข้าถึงและควบคุมอุปกรณ์ของผู้ใช้ได้เต็มรูปแบบโดยไม่แจ้งเตือน ทำให้เกิดการละเมิดความเชื่อมั่นของผู้ใช้ นักวิจัยเตือนว่าช่องโหว่นี้อาจถูกใช้เพื่อควบคุมเครื่องจากระยะไกลโดยไม่ได้รับอนุญาต

    https://securityonline.info/obscure-mcp-api-in-comet-browser-breaches-user-trust-enabling-full-device-control-via-ai-browsers

    CredShields จับมือ Checkmarx เสริมความปลอดภัย Smart Contract
    บริษัท CredShields ประกาศความร่วมมือกับ Checkmarx เพื่อนำเทคโนโลยีตรวจสอบความปลอดภัยของ Smart Contract เข้าสู่โปรแกรม AppSec ขององค์กร จุดมุ่งหมายคือช่วยให้องค์กรที่ใช้ blockchain และ smart contract สามารถตรวจสอบช่องโหว่ได้อย่างเป็นระบบ ลดความเสี่ยงจากการโจมตีที่อาจทำให้สูญเสียทรัพย์สินดิจิทัล

    https://securityonline.info/credshields-joins-forces-with-checkmarx-to-bring-smart-contract-security-to-enterprise-appsec-programs

    Windows 11 เพิ่มเครื่องมือใหม่ Point-in-Time Restore

    Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ได้แก่ Point-in-Time Restore และ Network-Enabled Recovery Environment เพื่อช่วยผู้ใช้กู้คืนระบบได้ง่ายขึ้น ฟีเจอร์นี้ทำให้สามารถย้อนกลับไปยังสถานะก่อนหน้าที่กำหนดไว้ได้ทันที และยังรองรับการกู้คืนผ่านเครือข่าย ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถซ่อมแซมเครื่องจากระยะไกลได้สะดวกขึ้น

    https://securityonline.info/new-windows-11-tools-point-in-time-restore-network-enabled-recovery-environment

    ความกังวลฟองสบู่ AI: Microsoft & NVIDIA ลงทุนหนักใน Anthropic
    มีรายงานว่าทั้ง Microsoft และ NVIDIA ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในบริษัท AI อย่าง Anthropic จนเกิดความกังวลว่าการลงทุนแบบหมุนเวียนระหว่างบริษัทใหญ่ ๆ อาจสร้าง “ฟองสบู่ AI” ที่ไม่ยั่งยืน การทุ่มเงินจำนวนมหาศาลนี้ถูกมองว่าอาจทำให้ตลาด AI เติบโตเกินจริงและเสี่ยงต่อการแตกในอนาคต

    https://securityonline.info/ai-bubble-fear-microsoft-nvidia-pour-billions-into-anthropic-fueling-circular-investment

    Google ทุ่ม 78 พันล้านดอลลาร์สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ
    Google ประกาศโครงการ Investing in America 2025 ด้วยงบประมาณมหาศาลถึง 78 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI และโครงสร้างพื้นฐานทั่วสหรัฐฯ รวมถึงการลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ 600 MW ที่ Arkansas โครงการนี้สะท้อนถึงการเร่งขยายกำลังการผลิต AI และการสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ https://securityonline.info/google-pledges-78-billion-for-investing-in-america-2025-ai-infrastructure

    Grok 4.1 แซง Google Gemini 2.5 Pro บน LMArena
    แพลตฟอร์มทดสอบ AI LMArena รายงานว่า Grok 4.1 Thinking ได้คะแนนสูงสุด แซงหน้า Google Gemini 2.5 Pro ในการจัดอันดับล่าสุด จุดเด่นของ Grok คือความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงลึกและการตอบสนองที่แม่นยำ ทำให้มันถูกจับตามองว่าอาจเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดโมเดล AI ระดับสูง

    https://securityonline.info/grok-4-1-thinking-steals-1-spot-on-lmarena-surpassing-google-gemini-2-5-pro

    Google เปิดตัว Canvas และ Agentic Booking ใน AI Mode
    Google อัปเกรด AI Mode โดยเพิ่มฟีเจอร์ Canvas สำหรับการวางแผน และ Agentic Booking สำหรับการจองที่พักหรือร้านอาหารแบบอัตโนมัติ ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ AI ในการจัดการงานประจำวันได้สะดวกขึ้น เช่น วางแผนทริปหรือจองโต๊ะอาหารโดยไม่ต้องทำเอง

    https://securityonline.info/ai-mode-upgraded-google-launches-canvas-for-planning-and-agentic-booking-for-reservations

    เราเตอร์ D-Link DIR-878 หมดอายุการสนับสนุน พร้อมช่องโหว่ RCE ร้ายแรง

    D-Link ประกาศว่าเราเตอร์รุ่น DIR-878 เข้าสู่สถานะ End-of-Life (EOL) และจะไม่ได้รับการอัปเดตอีกต่อไป ทั้งที่ยังมีช่องโหว่ร้ายแรงถึง 3 จุดซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ทำให้ผู้ใช้ที่ยังใช้อุปกรณ์รุ่นนี้เสี่ยงต่อการถูกยึดระบบอย่างมาก

    https://securityonline.info/d-link-dir-878-reaches-eol-3-unpatched-rce-flaws-allow-unauthenticated-remote-command-execution

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน METZ CONNECT Controller เปิดทาง RCE และยึดระบบ
    มีการค้นพบช่องโหว่ในอุปกรณ์ควบคุมอุตสาหกรรมของ METZ CONNECT ที่มีคะแนน CVSS สูงถึง 9.8 ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลและเข้ายึดสิทธิ์ผู้ดูแลระบบได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ถือเป็นภัยคุกคามต่อระบบควบคุมอุตสาหกรรมที่ใช้กันในโรงงานและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

    https://securityonline.info/critical-metz-connect-flaws-cvss-9-8-allow-unauthenticated-rce-and-admin-takeover-on-industrial-controllers

    SolarWinds Serv-U พบช่องโหว่ใหม่ เปิดทาง RCE และ Path Bypass
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยรายงานช่องโหว่ร้ายแรงใน SolarWinds Serv-U ที่ทำให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ผู้ดูแลระบบสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลและเลี่ยงการตรวจสอบเส้นทางไฟล์ได้ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS 9.1 และถูกจัดว่าเป็นภัยคุกคามระดับสูงต่อองค์กรที่ใช้ Serv-U ในการจัดการไฟล์และระบบเครือข่าย

    https://securityonline.info/critical-solarwinds-serv-u-flaws-cvss-9-1-allow-authenticated-admin-rce-and-path-bypass

    การโจมตีซัพพลายเชน npm ด้วย CAPTCHA ปลอมและ Adspect Cloaking
    มีการตรวจพบการโจมตีซัพพลายเชนใน npm โดยแฮกเกอร์ใช้เทคนิค Adspect Cloaking และ CAPTCHA ปลอมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเพื่อหลอกนักพัฒนาและผู้ใช้ให้ดาวน์โหลดแพ็กเกจอันตราย การโจมตีนี้ทำให้ทั้งผู้ใช้ทั่วไปและนักวิจัยด้านความปลอดภัยถูกหลอกได้ง่ายขึ้น และเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงในระบบซัพพลายเชนโอเพนซอร์ส

    https://securityonline.info/npm-supply-chain-attack-hackers-use-adspect-cloaking-and-fake-crypto-captcha-to-deceive-victims-and-researchers

    ASUSTOR พบช่องโหว่ DLL Hijacking ร้ายแรง (CVE-2025-13051)
    ASUSTOR ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ DLL hijacking ในซอฟต์แวร์ Backup Plan (ABP) และ EZSync (AES) บน Windows ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีในเครื่องสามารถแทนที่ DLL และรันโค้ดด้วยสิทธิ์ SYSTEM ได้ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS 9.3 และถูกจัดว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อทั้งผู้ใช้บ้านและองค์กร โดยมีการออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชันใหม่

    https://securityonline.info/critical-asustor-flaw-cve-2025-13051-allows-local-dll-hijacking-for-system-privilege-escalation

    ช่องโหว่ joserfc (CVE-2025-65015) ทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มด้วย JWT ขนาดใหญ่

    มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในไลบรารี joserfc ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ JSON Web Token (JWT) โดยหากผู้โจมตีส่ง JWT ที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติ จะทำให้เซิร์ฟเวอร์ใช้ทรัพยากรมากเกินไปจนล่มได้ ช่องโหว่นี้ถูกจัดว่าเป็นการโจมตีแบบ Denial of Service (DoS) และมีผลกระทบต่อระบบที่ใช้ joserfc ในการตรวจสอบสิทธิ์หรือการเข้ารหัสข้อมูล

    https://securityonline.info/critical-cve-2025-65015-vulnerability-in-joserfc-could-let-attackers-exhaust-server-resources-via-oversized-jwt-tokens

    หน่วยงาน CISA/FBI/NSA ร่วมกันจัดการโครงสร้าง Bulletproof Hosting
    สามหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ได้แก่ CISA, FBI และ NSA ได้ร่วมมือกันออกคู่มือใหม่เพื่อจัดการกับโครงสร้าง Bulletproof Hosting ที่ถูกใช้โดยอาชญากรไซเบอร์ทั่วโลก Bulletproof Hosting คือบริการโฮสติ้งที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้โจมตีจากการถูกปิดกั้นหรือสืบสวน การร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างแนวทางป้องกันภัยไซเบอร์ระดับโลก

    https://securityonline.info/cisa-fbi-nsa-unite-to-dismantle-bulletproof-hosting-ecosystem-with-new-global-defense-guide

    📌📰🟠 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟠📰📌 #รวมข่าวIT #20251120 #securityonline 🕵️‍♂️ Lazarus Group เปิดตัว RAT ใหม่ชื่อ ScoringMathTea กลุ่มแฮกเกอร์ Lazarus จากเกาหลีเหนือถูกเปิดโปงว่าได้พัฒนาเครื่องมือสอดแนมใหม่ชื่อ ScoringMathTea RAT ซึ่งมีความสามารถซับซ้อนมาก ใช้เทคนิคการโหลดปลั๊กอินแบบสะท้อน (Reflective Plugin Loader) และเข้ารหัสด้วยวิธีเฉพาะที่ยากต่อการตรวจจับ เครื่องมือนี้สามารถควบคุมเครื่องเป้าหมายจากระยะไกลได้เต็มรูปแบบ ทั้งการรันคำสั่งและโหลดปลั๊กอินในหน่วยความจำ จุดเด่นคือการซ่อนร่องรอยการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ นักวิจัยพบว่า RAT นี้ถูกใช้ในปฏิบัติการโจมตีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี UAV ของยูเครน 🔗 https://securityonline.info/lazarus-groups-new-scoringmathtea-rat-uses-reflective-plugin-loader-and-custom-polyalphabetic-crypto-for-espionage 💻 Akira Ransomware ใช้ CAPTCHA หลอกลวงจนบริษัทใหญ่ล่มใน 42 วัน มีรายงานว่าเพียงการคลิก CAPTCHA ปลอมครั้งเดียวของพนักงานบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เกิดการโจมตีที่ยืดเยื้อถึง 42 วัน กลุ่มแฮกเกอร์ Howling Scorpius ใช้เทคนิคนี้เพื่อติดตั้ง SectopRAT และค่อย ๆ ยึดระบบทีละขั้น จนสามารถลบข้อมูลสำรองบนคลาวด์และปล่อย Akira ransomware ทำให้บริษัทหยุดทำงานเกือบทั้งหมด แม้บริษัทจะมีระบบ EDR แต่กลับไม่สามารถตรวจจับได้ทันเวลา 🔗 https://securityonline.info/one-click-42-days-akira-ransomware-used-captcha-decoy-to-destroy-cloud-backups-and-cripple-storage-firm 🎩 “The Gentlemen” Ransomware RaaS โผล่ใหม่ โจมตี 48 เหยื่อใน 3 เดือน กลุ่มใหม่ชื่อ The Gentlemen เปิดตัวแพลตฟอร์ม Ransomware-as-a-Service (RaaS) ที่มีความซับซ้อนสูง ใช้การเข้ารหัสแบบ XChaCha20 และกลยุทธ์ “สองชั้น” คือทั้งเข้ารหัสไฟล์และขู่เปิดเผยข้อมูลที่ขโมยมา ภายในเวลาเพียง 3 เดือน พวกเขามีเหยื่อถึง 48 ราย จุดเด่นคือการพัฒนาอย่างรวดเร็ว รองรับทั้ง Windows, Linux และ ESXi พร้อมเทคนิคการแพร่กระจายที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ถูกจับตามองว่าอาจกลายเป็นภัยคุกคามระดับท็อปในวงการ 🔗 https://securityonline.info/sophisticated-the-gentlemen-ransomware-raas-emerges-with-xchacha20-encryption-and-48-victims-in-3-months ☁️ มัลแวร์ยุคใหม่ซ่อนการสื่อสารเป็น API ของ LLM บน Tencent Cloud นักวิจัยจาก Akamai พบมัลแวร์ที่มีวิธีพรางตัวแปลกใหม่ โดยมันซ่อนการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ให้ดูเหมือนการเรียกใช้งาน API ของ Large Language Model (LLM) บน Tencent Cloud ทำให้การตรวจจับยากขึ้นมาก เพราะทราฟฟิกดูเหมือนการใช้งาน AI ปกติจริง ๆ เมื่อถอดรหัสแล้วพบว่าเป็นคำสั่งควบคุมเครื่องแบบ RAT เต็มรูปแบบ พร้อมเครื่องมือ Proxy ที่ช่วยให้แฮกเกอร์ใช้เครื่องเหยื่อเป็นจุดผ่านในการโจมตีต่อ 🔗 https://securityonline.info/next-gen-stealth-malware-hides-c2-traffic-as-fake-llm-api-requests-on-tencent-cloud 🗄️ Ransomware เจาะ AWS S3 ผ่านการตั้งค่าผิดพลาด ทำลบข้อมูลถาวร รายงานจาก Trend Research เตือนว่ามีการพัฒนา ransomware รุ่นใหม่ที่มุ่งเป้าไปยัง Amazon S3 โดยอาศัยการตั้งค่าที่ผิดพลาด เช่น ไม่มีการเปิด versioning หรือ object lock ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้ารหัสหรือลบข้อมูลได้แบบถาวรโดยไม่สามารถกู้คืนได้ มีการระบุถึง 5 วิธีการโจมตีที่อันตราย เช่น การลบ KMS key ที่ใช้เข้ารหัสไฟล์ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลสูญหายไปตลอดกาล 🔗 https://securityonline.info/next-gen-ransomware-targets-aws-s3-five-cloud-native-variants-exploit-misconfigurations-for-irreversible-data-destruction 💻 Windows 11 เตรียมซ่อนหน้าจอ BSOD บนจอสาธารณะ Microsoft ประกาศว่าจะปรับปรุง Windows 11 โดย ซ่อนหน้าจอ Blue Screen of Death (BSOD) บนจอที่ใช้ในที่สาธารณะ เช่นสนามบินหรือห้างสรรพสินค้า เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ทั่วไปเห็นภาพระบบล่มที่อาจสร้างความตื่นตระหนก การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ประสบการณ์ใช้งานดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยยังคงบันทึกข้อมูลการ crash ไว้ให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบได้ตามปกติ 🔗 https://securityonline.info/no-more-public-bsods-windows-11-will-hide-crash-screens-on-public-displays 🛡️ Microsoft เตรียมยกเลิกสิทธิ์ OEM Driver ระดับ Kernel หลังเหตุการณ์ CrowdStrike ที่ทำให้ระบบล่มทั่วโลก Microsoft วางแผนจะ ยกเลิกสิทธิ์พิเศษของ OEM driver ที่ทำงานในระดับ Kernel เพื่อลดความเสี่ยงจากการที่ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ใช้สิทธิ์สูงเกินไป การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยของระบบ Windows โดยบังคับให้ผู้ผลิตใช้วิธีที่ปลอดภัยกว่าในการเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการ 🔗 https://securityonline.info/post-crowdstrike-microsoft-to-phase-out-oem-kernel-level-driver-privileges 🌐 Seraphic เปิดตัว Browser Security สำหรับแอป Electron บริษัท Seraphic เปิดตัวโซลูชันใหม่ที่เป็น Secure Enterprise Browser ตัวแรกที่สามารถปกป้องแอปพลิเคชันที่สร้างบน Electron ได้ จุดเด่นคือการเพิ่มชั้นความปลอดภัยให้กับแอปที่มักถูกใช้ในองค์กร เช่น Slack หรือ Teams ซึ่งเดิมที Electron มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอยู่บ่อยครั้ง การแก้ปัญหานี้ช่วยให้องค์กรมั่นใจมากขึ้นในการใช้งานแอป Electron 🔗 https://securityonline.info/seraphic-becomes-the-first-and-only-secure-enterprise-browser-solution-to-protect-electron-based-applications 🔒 Comet Browser ถูกวิจารณ์หนัก หลังพบ API ลับ MCP มีการค้นพบว่า Comet Browser มี API ที่ชื่อ MCP ซึ่งเปิดช่องให้ผู้พัฒนา AI browser สามารถเข้าถึงและควบคุมอุปกรณ์ของผู้ใช้ได้เต็มรูปแบบโดยไม่แจ้งเตือน ทำให้เกิดการละเมิดความเชื่อมั่นของผู้ใช้ นักวิจัยเตือนว่าช่องโหว่นี้อาจถูกใช้เพื่อควบคุมเครื่องจากระยะไกลโดยไม่ได้รับอนุญาต 🔗 https://securityonline.info/obscure-mcp-api-in-comet-browser-breaches-user-trust-enabling-full-device-control-via-ai-browsers 📜 CredShields จับมือ Checkmarx เสริมความปลอดภัย Smart Contract บริษัท CredShields ประกาศความร่วมมือกับ Checkmarx เพื่อนำเทคโนโลยีตรวจสอบความปลอดภัยของ Smart Contract เข้าสู่โปรแกรม AppSec ขององค์กร จุดมุ่งหมายคือช่วยให้องค์กรที่ใช้ blockchain และ smart contract สามารถตรวจสอบช่องโหว่ได้อย่างเป็นระบบ ลดความเสี่ยงจากการโจมตีที่อาจทำให้สูญเสียทรัพย์สินดิจิทัล 🔗 https://securityonline.info/credshields-joins-forces-with-checkmarx-to-bring-smart-contract-security-to-enterprise-appsec-programs 🛠️ Windows 11 เพิ่มเครื่องมือใหม่ Point-in-Time Restore Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ได้แก่ Point-in-Time Restore และ Network-Enabled Recovery Environment เพื่อช่วยผู้ใช้กู้คืนระบบได้ง่ายขึ้น ฟีเจอร์นี้ทำให้สามารถย้อนกลับไปยังสถานะก่อนหน้าที่กำหนดไว้ได้ทันที และยังรองรับการกู้คืนผ่านเครือข่าย ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถซ่อมแซมเครื่องจากระยะไกลได้สะดวกขึ้น 🔗 https://securityonline.info/new-windows-11-tools-point-in-time-restore-network-enabled-recovery-environment 💰 ความกังวลฟองสบู่ AI: Microsoft & NVIDIA ลงทุนหนักใน Anthropic มีรายงานว่าทั้ง Microsoft และ NVIDIA ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในบริษัท AI อย่าง Anthropic จนเกิดความกังวลว่าการลงทุนแบบหมุนเวียนระหว่างบริษัทใหญ่ ๆ อาจสร้าง “ฟองสบู่ AI” ที่ไม่ยั่งยืน การทุ่มเงินจำนวนมหาศาลนี้ถูกมองว่าอาจทำให้ตลาด AI เติบโตเกินจริงและเสี่ยงต่อการแตกในอนาคต 🔗 https://securityonline.info/ai-bubble-fear-microsoft-nvidia-pour-billions-into-anthropic-fueling-circular-investment 🇺🇸 Google ทุ่ม 78 พันล้านดอลลาร์สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ Google ประกาศโครงการ Investing in America 2025 ด้วยงบประมาณมหาศาลถึง 78 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI และโครงสร้างพื้นฐานทั่วสหรัฐฯ รวมถึงการลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ 600 MW ที่ Arkansas โครงการนี้สะท้อนถึงการเร่งขยายกำลังการผลิต AI และการสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ 🔗 https://securityonline.info/google-pledges-78-billion-for-investing-in-america-2025-ai-infrastructure 🧠 Grok 4.1 แซง Google Gemini 2.5 Pro บน LMArena แพลตฟอร์มทดสอบ AI LMArena รายงานว่า Grok 4.1 Thinking ได้คะแนนสูงสุด แซงหน้า Google Gemini 2.5 Pro ในการจัดอันดับล่าสุด จุดเด่นของ Grok คือความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงลึกและการตอบสนองที่แม่นยำ ทำให้มันถูกจับตามองว่าอาจเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดโมเดล AI ระดับสูง 🔗 https://securityonline.info/grok-4-1-thinking-steals-1-spot-on-lmarena-surpassing-google-gemini-2-5-pro 🎨 Google เปิดตัว Canvas และ Agentic Booking ใน AI Mode Google อัปเกรด AI Mode โดยเพิ่มฟีเจอร์ Canvas สำหรับการวางแผน และ Agentic Booking สำหรับการจองที่พักหรือร้านอาหารแบบอัตโนมัติ ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ AI ในการจัดการงานประจำวันได้สะดวกขึ้น เช่น วางแผนทริปหรือจองโต๊ะอาหารโดยไม่ต้องทำเอง 🔗 https://securityonline.info/ai-mode-upgraded-google-launches-canvas-for-planning-and-agentic-booking-for-reservations 📡 เราเตอร์ D-Link DIR-878 หมดอายุการสนับสนุน พร้อมช่องโหว่ RCE ร้ายแรง D-Link ประกาศว่าเราเตอร์รุ่น DIR-878 เข้าสู่สถานะ End-of-Life (EOL) และจะไม่ได้รับการอัปเดตอีกต่อไป ทั้งที่ยังมีช่องโหว่ร้ายแรงถึง 3 จุดซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ทำให้ผู้ใช้ที่ยังใช้อุปกรณ์รุ่นนี้เสี่ยงต่อการถูกยึดระบบอย่างมาก 🔗 https://securityonline.info/d-link-dir-878-reaches-eol-3-unpatched-rce-flaws-allow-unauthenticated-remote-command-execution ⚙️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน METZ CONNECT Controller เปิดทาง RCE และยึดระบบ มีการค้นพบช่องโหว่ในอุปกรณ์ควบคุมอุตสาหกรรมของ METZ CONNECT ที่มีคะแนน CVSS สูงถึง 9.8 ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลและเข้ายึดสิทธิ์ผู้ดูแลระบบได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ถือเป็นภัยคุกคามต่อระบบควบคุมอุตสาหกรรมที่ใช้กันในโรงงานและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ 🔗 https://securityonline.info/critical-metz-connect-flaws-cvss-9-8-allow-unauthenticated-rce-and-admin-takeover-on-industrial-controllers 🖥️ SolarWinds Serv-U พบช่องโหว่ใหม่ เปิดทาง RCE และ Path Bypass นักวิจัยด้านความปลอดภัยรายงานช่องโหว่ร้ายแรงใน SolarWinds Serv-U ที่ทำให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ผู้ดูแลระบบสามารถรันคำสั่งจากระยะไกลและเลี่ยงการตรวจสอบเส้นทางไฟล์ได้ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS 9.1 และถูกจัดว่าเป็นภัยคุกคามระดับสูงต่อองค์กรที่ใช้ Serv-U ในการจัดการไฟล์และระบบเครือข่าย 🔗 https://securityonline.info/critical-solarwinds-serv-u-flaws-cvss-9-1-allow-authenticated-admin-rce-and-path-bypass 🪙 การโจมตีซัพพลายเชน npm ด้วย CAPTCHA ปลอมและ Adspect Cloaking มีการตรวจพบการโจมตีซัพพลายเชนใน npm โดยแฮกเกอร์ใช้เทคนิค Adspect Cloaking และ CAPTCHA ปลอมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเพื่อหลอกนักพัฒนาและผู้ใช้ให้ดาวน์โหลดแพ็กเกจอันตราย การโจมตีนี้ทำให้ทั้งผู้ใช้ทั่วไปและนักวิจัยด้านความปลอดภัยถูกหลอกได้ง่ายขึ้น และเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงในระบบซัพพลายเชนโอเพนซอร์ส 🔗 https://securityonline.info/npm-supply-chain-attack-hackers-use-adspect-cloaking-and-fake-crypto-captcha-to-deceive-victims-and-researchers 🖥️ ASUSTOR พบช่องโหว่ DLL Hijacking ร้ายแรง (CVE-2025-13051) ASUSTOR ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ DLL hijacking ในซอฟต์แวร์ Backup Plan (ABP) และ EZSync (AES) บน Windows ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีในเครื่องสามารถแทนที่ DLL และรันโค้ดด้วยสิทธิ์ SYSTEM ได้ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS 9.3 และถูกจัดว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อทั้งผู้ใช้บ้านและองค์กร โดยมีการออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชันใหม่ 🔗 https://securityonline.info/critical-asustor-flaw-cve-2025-13051-allows-local-dll-hijacking-for-system-privilege-escalation ⚠️ ช่องโหว่ joserfc (CVE-2025-65015) ทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มด้วย JWT ขนาดใหญ่ มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในไลบรารี joserfc ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ JSON Web Token (JWT) โดยหากผู้โจมตีส่ง JWT ที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติ จะทำให้เซิร์ฟเวอร์ใช้ทรัพยากรมากเกินไปจนล่มได้ ช่องโหว่นี้ถูกจัดว่าเป็นการโจมตีแบบ Denial of Service (DoS) และมีผลกระทบต่อระบบที่ใช้ joserfc ในการตรวจสอบสิทธิ์หรือการเข้ารหัสข้อมูล 🔗 https://securityonline.info/critical-cve-2025-65015-vulnerability-in-joserfc-could-let-attackers-exhaust-server-resources-via-oversized-jwt-tokens 🌍 หน่วยงาน CISA/FBI/NSA ร่วมกันจัดการโครงสร้าง Bulletproof Hosting สามหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ได้แก่ CISA, FBI และ NSA ได้ร่วมมือกันออกคู่มือใหม่เพื่อจัดการกับโครงสร้าง Bulletproof Hosting ที่ถูกใช้โดยอาชญากรไซเบอร์ทั่วโลก Bulletproof Hosting คือบริการโฮสติ้งที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้โจมตีจากการถูกปิดกั้นหรือสืบสวน การร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างแนวทางป้องกันภัยไซเบอร์ระดับโลก 🔗 https://securityonline.info/cisa-fbi-nsa-unite-to-dismantle-bulletproof-hosting-ecosystem-with-new-global-defense-guide
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ DLL Hijacking ใน ASUSTOR

    ASUSTOR ออกประกาศเตือนว่าซอฟต์แวร์ ABP เวอร์ชัน ≤ 2.0.7.9050 และ AES เวอร์ชัน ≤ 1.0.6.8290 มีช่องโหว่ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถวาง DLL ปลอมในไดเรกทอรีที่ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเขียนได้ เมื่อบริการถูกรีสตาร์ท DLL ปลอมจะถูกโหลดและรันด้วยสิทธิ์ LocalSystem ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ

    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
    ช่องโหว่นี้จัดอยู่ในระดับ Important Severity เนื่องจากการโจมตีสามารถทำได้ง่ายหากผู้โจมตีมีสิทธิ์เข้าถึงเครื่องในระดับผู้ใช้ทั่วไป การโจมตีลักษณะนี้อาจถูกใช้เพื่อ ยกระดับสิทธิ์ (Privilege Escalation) และเปิดทางให้มัลแวร์หรือแฮกเกอร์เข้าควบคุมระบบโดยสมบูรณ์

    การแก้ไขและแพตช์
    ASUSTOR ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว โดยแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด:
    ABP (Backup Plan) → 2.0.7.10171 หรือใหม่กว่า
    AES (EZSync) → 1.1.0.10312 หรือใหม่กว่า

    แนวโน้มและคำแนะนำ
    DLL Hijacking เป็นเทคนิคที่พบได้บ่อยใน Windows และมักถูกใช้ในการโจมตีจริง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดตซอฟต์แวร์ทันที และตรวจสอบสิทธิ์การเขียนไฟล์ในไดเรกทอรีที่สำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้โจมตีสามารถวาง DLL ปลอมได้

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-13051 พบใน ABP ≤ 2.0.7.9050 และ AES ≤ 1.0.6.8290
    ช่องโหว่เกิดจาก DLL Hijacking ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดด้วยสิทธิ์ LocalSystem
    ASUSTOR ออกแพตช์แก้ไขใน ABP ≥ 2.0.7.10171 และ AES ≥ 1.1.0.10312

    คำเตือนจากข่าว
    หากไม่อัปเดตแพตช์ ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีและเข้าควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ
    DLL Hijacking เป็นเทคนิคที่ทำได้ง่ายหากผู้โจมตีมีสิทธิ์เข้าถึงเครื่อง

    https://securityonline.info/critical-asustor-flaw-cve-2025-13051-allows-local-dll-hijacking-for-system-privilege-escalation/
    🖥️ ช่องโหว่ DLL Hijacking ใน ASUSTOR ASUSTOR ออกประกาศเตือนว่าซอฟต์แวร์ ABP เวอร์ชัน ≤ 2.0.7.9050 และ AES เวอร์ชัน ≤ 1.0.6.8290 มีช่องโหว่ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถวาง DLL ปลอมในไดเรกทอรีที่ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเขียนได้ เมื่อบริการถูกรีสตาร์ท DLL ปลอมจะถูกโหลดและรันด้วยสิทธิ์ LocalSystem ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ ⚠️ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ช่องโหว่นี้จัดอยู่ในระดับ Important Severity เนื่องจากการโจมตีสามารถทำได้ง่ายหากผู้โจมตีมีสิทธิ์เข้าถึงเครื่องในระดับผู้ใช้ทั่วไป การโจมตีลักษณะนี้อาจถูกใช้เพื่อ ยกระดับสิทธิ์ (Privilege Escalation) และเปิดทางให้มัลแวร์หรือแฮกเกอร์เข้าควบคุมระบบโดยสมบูรณ์ 🔒 การแก้ไขและแพตช์ ASUSTOR ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว โดยแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุด: 🎗️ ABP (Backup Plan) → 2.0.7.10171 หรือใหม่กว่า 🎗️ AES (EZSync) → 1.1.0.10312 หรือใหม่กว่า 🔮 แนวโน้มและคำแนะนำ DLL Hijacking เป็นเทคนิคที่พบได้บ่อยใน Windows และมักถูกใช้ในการโจมตีจริง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดตซอฟต์แวร์ทันที และตรวจสอบสิทธิ์การเขียนไฟล์ในไดเรกทอรีที่สำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้โจมตีสามารถวาง DLL ปลอมได้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-13051 พบใน ABP ≤ 2.0.7.9050 และ AES ≤ 1.0.6.8290 ➡️ ช่องโหว่เกิดจาก DLL Hijacking ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดด้วยสิทธิ์ LocalSystem ➡️ ASUSTOR ออกแพตช์แก้ไขใน ABP ≥ 2.0.7.10171 และ AES ≥ 1.1.0.10312 ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ หากไม่อัปเดตแพตช์ ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีและเข้าควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ ⛔ DLL Hijacking เป็นเทคนิคที่ทำได้ง่ายหากผู้โจมตีมีสิทธิ์เข้าถึงเครื่อง https://securityonline.info/critical-asustor-flaw-cve-2025-13051-allows-local-dll-hijacking-for-system-privilege-escalation/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical ASUSTOR Flaw (CVE-2025-13051) Allows Local DLL Hijacking for SYSTEM Privilege Escalation
    A Critical DLL Hijacking flaw (CVE-2025-13051) in ASUSTOR Backup Plan/EZSync allows local attackers to gain SYSTEM privileges by planting a malicious DLL in a user-writable path. Update immediately.
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ RCE ใน Apache Causeway

    Apache Causeway ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันเชิงโดเมนด้วย Java ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-64408 ที่อนุญาตให้ผู้โจมตีที่ล็อกอินแล้วสามารถส่ง payload ผ่าน URL parameters เพื่อให้ระบบทำการ deserialize ข้อมูลที่ควบคุมได้ และนำไปสู่การรันโค้ดอันตรายบนเซิร์ฟเวอร์

    รายละเอียดช่องโหว่
    ช่องโหว่นี้เกิดขึ้นในฟีเจอร์ ViewModel ของ Causeway ซึ่งใช้ในการสร้าง web interface และ REST API แบบไดนามิก โดยผู้โจมตีสามารถฝัง object ที่มีโค้ดอันตรายลงใน serialized data และเมื่อระบบทำการ deserialize จะทำให้โค้ดนั้นถูกรันในสิทธิ์ของแอปพลิเคชันทันที ส่งผลให้เกิด Remote Code Execution (RCE)

    การแก้ไขและแพตช์
    ทีม Apache Causeway ได้ออกเวอร์ชัน 3.5.0 เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยแนะนำให้ผู้ใช้ที่ยังอยู่ในเวอร์ชัน 2.0.0 ถึง 3.4.0 และ 4.0.0-M1 รีบอัปเดตทันที เนื่องจากช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในระดับ Critical Severity และอาจถูกนำไปใช้โจมตีในระบบ production ได้

    แนวโน้มและคำแนะนำ
    การโจมตีแบบ Java Deserialization เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในเฟรมเวิร์ก Java หลายตัว และมักถูกใช้ในการโจมตีจริงในองค์กร ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ ตรวจสอบการใช้ serialized objects ในระบบทั้งหมด และใช้วิธีการ serialize ที่ปลอดภัย เช่น JSON หรือ Protocol Buffers แทน

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-64408 พบใน Apache Causeway
    เกิดจากการ deserialize ข้อมูลที่ควบคุมได้ผ่าน URL parameters
    ส่งผลให้ผู้โจมตีที่ล็อกอินแล้วสามารถทำ RCE ได้
    แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 3.5.0

    คำเตือนจากข่าว
    ผู้ใช้ที่ยังใช้เวอร์ชัน 2.0.0 → 3.4.0 และ 4.0.0-M1 เสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    หากไม่อัปเดตแพตช์ อาจทำให้ระบบ production ถูกเข้าควบคุมได้
    การใช้ Java Deserialization โดยไม่ตรวจสอบความปลอดภัยเป็นช่องโหว่ที่อันตรายมาก

    https://securityonline.info/critical-apache-causeway-rce-flaw-cve-2025-64408-allows-authenticated-code-execution-via-java-deserialization/
    🛡️ ช่องโหว่ RCE ใน Apache Causeway Apache Causeway ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันเชิงโดเมนด้วย Java ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-64408 ที่อนุญาตให้ผู้โจมตีที่ล็อกอินแล้วสามารถส่ง payload ผ่าน URL parameters เพื่อให้ระบบทำการ deserialize ข้อมูลที่ควบคุมได้ และนำไปสู่การรันโค้ดอันตรายบนเซิร์ฟเวอร์ ⚙️ รายละเอียดช่องโหว่ ช่องโหว่นี้เกิดขึ้นในฟีเจอร์ ViewModel ของ Causeway ซึ่งใช้ในการสร้าง web interface และ REST API แบบไดนามิก โดยผู้โจมตีสามารถฝัง object ที่มีโค้ดอันตรายลงใน serialized data และเมื่อระบบทำการ deserialize จะทำให้โค้ดนั้นถูกรันในสิทธิ์ของแอปพลิเคชันทันที ส่งผลให้เกิด Remote Code Execution (RCE) 🔒 การแก้ไขและแพตช์ ทีม Apache Causeway ได้ออกเวอร์ชัน 3.5.0 เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยแนะนำให้ผู้ใช้ที่ยังอยู่ในเวอร์ชัน 2.0.0 ถึง 3.4.0 และ 4.0.0-M1 รีบอัปเดตทันที เนื่องจากช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในระดับ Critical Severity และอาจถูกนำไปใช้โจมตีในระบบ production ได้ 🔮 แนวโน้มและคำแนะนำ การโจมตีแบบ Java Deserialization เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในเฟรมเวิร์ก Java หลายตัว และมักถูกใช้ในการโจมตีจริงในองค์กร ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ ตรวจสอบการใช้ serialized objects ในระบบทั้งหมด และใช้วิธีการ serialize ที่ปลอดภัย เช่น JSON หรือ Protocol Buffers แทน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-64408 พบใน Apache Causeway ➡️ เกิดจากการ deserialize ข้อมูลที่ควบคุมได้ผ่าน URL parameters ➡️ ส่งผลให้ผู้โจมตีที่ล็อกอินแล้วสามารถทำ RCE ได้ ➡️ แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 3.5.0 ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ ผู้ใช้ที่ยังใช้เวอร์ชัน 2.0.0 → 3.4.0 และ 4.0.0-M1 เสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ หากไม่อัปเดตแพตช์ อาจทำให้ระบบ production ถูกเข้าควบคุมได้ ⛔ การใช้ Java Deserialization โดยไม่ตรวจสอบความปลอดภัยเป็นช่องโหว่ที่อันตรายมาก https://securityonline.info/critical-apache-causeway-rce-flaw-cve-2025-64408-allows-authenticated-code-execution-via-java-deserialization/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Apache Causeway RCE Flaw (CVE-2025-64408) Allows Authenticated Code Execution via Java Deserialization
    Apache patched a Critical RCE flaw (CVE-2025-64408) in Causeway allowing authenticated attackers to execute arbitrary code via Java deserialization in the ViewModel component. Update to v3.5.0.
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Work IQ ยกระดับ Copilot ให้ฉลาดขึ้น

    Microsoft เปิดตัว Work IQ ซึ่งเป็นชั้นเชิงปัญญาใหม่ที่ช่วยให้ Copilot เข้าใจบริบทการทำงานของผู้ใช้ได้ลึกขึ้น เช่น อีเมล เอกสาร การประชุม และรูปแบบการทำงานร่วมกัน ฟีเจอร์นี้ทำให้ Copilot สามารถ คาดการณ์ขั้นตอนถัดไป และแนะนำตัวแทน (agent) ที่เหมาะสมในการทำงานแทนผู้ใช้ได้

    Agent Mode ในแอป Office
    Microsoft เปิดตัว Agent Mode ที่ให้ผู้ใช้เลือกโมเดล reasoning จาก OpenAI หรือ Anthropic เพื่อทำงานในแอปต่าง ๆ เช่น
    Excel: ใช้โมเดล reasoning เพื่อจัดการการคำนวณซับซ้อน
    Word / PowerPoint: สร้างเอกสารและงานนำเสนอคุณภาพสูง (PowerPoint รองรับในโปรแกรม Frontier)
    Outlook: รองรับคำสั่งเสียงและ quick actions เช่น “summarize and reply” โดยเวอร์ชันใหม่ในปี 2026 จะเข้าใจเนื้อหาในกล่องจดหมายและปฏิทิน

    Sora 2 และการสร้างวิดีโอ
    Microsoft ยังผสาน Sora 2 ซึ่งเป็นโมเดลสร้างวิดีโอรุ่นใหม่เข้ากับ Copilot เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอสำหรับการตลาดหรือโซเชียลมีเดียได้โดยตรงผ่านฟีเจอร์ Create ถือเป็นการขยาย Copilot จากงานเอกสารไปสู่สื่อมัลติมีเดีย

    Microsoft Agent 365 และความปลอดภัย
    ด้วยการคาดการณ์ว่าองค์กรจะใช้ AI agents กว่า 1.3 พันล้านตัวภายในปี 2028 Microsoft จึงเปิดตัว Microsoft Agent 365 สำหรับการจัดการและรักษาความปลอดภัยของ AI agents โดยรวม Defender, Entra และ Purview เพื่อป้องกันไม่ให้ AI agents กลายเป็น “shadow IT” ภายในองค์กร

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    เปิดตัว Work IQ เพื่อให้ Copilot เข้าใจบริบทการทำงานและคาดการณ์ขั้นตอนถัดไป
    Agent Mode รองรับโมเดล reasoning จาก OpenAI และ Anthropic ใน Excel, Word, PowerPoint, Outlook
    ผสาน Sora 2 สำหรับการสร้างวิดีโอในงานการตลาดและโซเชียลมีเดีย
    เปิดตัว Microsoft Agent 365 สำหรับการจัดการและรักษาความปลอดภัย AI agents
    เปิดแพ็กเกจ Microsoft 365 Copilot Business ราคา 21 USD/ผู้ใช้/เดือน สำหรับ SME

    คำเตือนจากข่าว
    การใช้ AI agents จำนวนมากอาจสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการจัดการ
    หากไม่มีการควบคุม อาจเกิด “shadow IT” ที่องค์กรไม่สามารถตรวจสอบได้
    การพึ่งพาโมเดลจากหลายค่ายอาจทำให้เกิดความซับซ้อนในการบูรณาการและการดูแล

    https://securityonline.info/copilot-gets-brains-microsoft-unveils-work-iq-agent-mode-integration-with-gpt-5-and-anthropic/
    🧠 ข่าวใหญ่: Work IQ ยกระดับ Copilot ให้ฉลาดขึ้น Microsoft เปิดตัว Work IQ ซึ่งเป็นชั้นเชิงปัญญาใหม่ที่ช่วยให้ Copilot เข้าใจบริบทการทำงานของผู้ใช้ได้ลึกขึ้น เช่น อีเมล เอกสาร การประชุม และรูปแบบการทำงานร่วมกัน ฟีเจอร์นี้ทำให้ Copilot สามารถ คาดการณ์ขั้นตอนถัดไป และแนะนำตัวแทน (agent) ที่เหมาะสมในการทำงานแทนผู้ใช้ได้ 📊 Agent Mode ในแอป Office Microsoft เปิดตัว Agent Mode ที่ให้ผู้ใช้เลือกโมเดล reasoning จาก OpenAI หรือ Anthropic เพื่อทำงานในแอปต่าง ๆ เช่น 🎗️ Excel: ใช้โมเดล reasoning เพื่อจัดการการคำนวณซับซ้อน 🎗️ Word / PowerPoint: สร้างเอกสารและงานนำเสนอคุณภาพสูง (PowerPoint รองรับในโปรแกรม Frontier) 🎗️ Outlook: รองรับคำสั่งเสียงและ quick actions เช่น “summarize and reply” โดยเวอร์ชันใหม่ในปี 2026 จะเข้าใจเนื้อหาในกล่องจดหมายและปฏิทิน 🎥 Sora 2 และการสร้างวิดีโอ Microsoft ยังผสาน Sora 2 ซึ่งเป็นโมเดลสร้างวิดีโอรุ่นใหม่เข้ากับ Copilot เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอสำหรับการตลาดหรือโซเชียลมีเดียได้โดยตรงผ่านฟีเจอร์ Create ถือเป็นการขยาย Copilot จากงานเอกสารไปสู่สื่อมัลติมีเดีย 🛡️ Microsoft Agent 365 และความปลอดภัย ด้วยการคาดการณ์ว่าองค์กรจะใช้ AI agents กว่า 1.3 พันล้านตัวภายในปี 2028 Microsoft จึงเปิดตัว Microsoft Agent 365 สำหรับการจัดการและรักษาความปลอดภัยของ AI agents โดยรวม Defender, Entra และ Purview เพื่อป้องกันไม่ให้ AI agents กลายเป็น “shadow IT” ภายในองค์กร 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ เปิดตัว Work IQ เพื่อให้ Copilot เข้าใจบริบทการทำงานและคาดการณ์ขั้นตอนถัดไป ➡️ Agent Mode รองรับโมเดล reasoning จาก OpenAI และ Anthropic ใน Excel, Word, PowerPoint, Outlook ➡️ ผสาน Sora 2 สำหรับการสร้างวิดีโอในงานการตลาดและโซเชียลมีเดีย ➡️ เปิดตัว Microsoft Agent 365 สำหรับการจัดการและรักษาความปลอดภัย AI agents ➡️ เปิดแพ็กเกจ Microsoft 365 Copilot Business ราคา 21 USD/ผู้ใช้/เดือน สำหรับ SME ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ การใช้ AI agents จำนวนมากอาจสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการจัดการ ⛔ หากไม่มีการควบคุม อาจเกิด “shadow IT” ที่องค์กรไม่สามารถตรวจสอบได้ ⛔ การพึ่งพาโมเดลจากหลายค่ายอาจทำให้เกิดความซับซ้อนในการบูรณาการและการดูแล https://securityonline.info/copilot-gets-brains-microsoft-unveils-work-iq-agent-mode-integration-with-gpt-5-and-anthropic/
    SECURITYONLINE.INFO
    Copilot Gets Brains: Microsoft Unveils 'Work IQ' & Agent Mode Integration with GPT-5 and Anthropic
    Microsoft unveiled Work IQ for Copilot, a cognitive upgrade for proactive assistance. New Agent Mode integrates GPT-5, Sora 2, and Anthropic models across M365 apps.
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • Microsoft ปรับมาตรฐานไดรเวอร์ใหม่ หลังเหตุการณ์ CrowdStrike driver crash

    Microsoft ประกาศว่าจะ ยกเลิกสิทธิ์ OEM ในการฉีดโค้ดเข้าสู่ kernel โดยตรง เพื่อป้องกันไม่ให้ไดรเวอร์ที่ผิดพลาดทำให้ระบบล่มทั้งเครื่องอีกต่อไป โดยจะบังคับให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ต้องใช้ Windows-native drivers และ standardized APIs แทน ซึ่งจะช่วยลดโค้ดที่ทำงานใน kernel mode และเพิ่มความเสถียรของระบบ

    การป้องกันและมาตรการใหม่
    สำหรับไดรเวอร์ที่ยังจำเป็นต้องทำงานใน kernel เช่น GPU drivers หรือ anti-cheat modules Microsoft จะเพิ่มมาตรการความปลอดภัย เช่น
    Compiler-level security constraints
    Driver isolation เพื่อลดผลกระทบหากเกิดความผิดพลาด
    DMA remapping เพื่อป้องกันการเข้าถึงหน่วยความจำ kernel โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ใช้
    การเปลี่ยนแปลงนี้จะบังคับให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต้องปรับตัว โดยย้าย logic จาก kernel mode ไปยัง user mode หรือใช้ standardized drivers ของ Windows แทน แม้จะเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็อาจทำให้การพัฒนาไดรเวอร์เฉพาะทางซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ทั่วไปจะได้ประโยชน์จากระบบที่เสถียรขึ้นและลดความเสี่ยงจากการ crash แบบทั่วโลก

    แนวโน้มในอนาคต
    Microsoft ยืนยันว่าจะยังคงรองรับ third-party kernel drivers ในบางกรณี แต่เป้าหมายคือการลดจำนวนโค้ดที่ทำงานใน kernel ให้เหลือน้อยที่สุด แนวโน้มนี้สะท้อนการผลักดันไปสู่ ระบบปฏิบัติการที่ปลอดภัยและเสถียรมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การโจมตีไซเบอร์และความผิดพลาดของซอฟต์แวร์สามารถสร้างผลกระทบระดับโลกได้

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Microsoft เตรียมยกเลิกสิทธิ์ OEM kernel-level driver privileges
    ผู้ผลิตต้องใช้ Windows-native drivers และ standardized APIs
    GPU drivers และ anti-cheat modules ยังทำงานใน kernel mode แต่มีมาตรการป้องกันเพิ่ม
    มาตรการใหม่: compiler-level constraints, driver isolation, DMA remapping

    คำเตือนจากข่าว
    ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต้องปรับตัว อาจทำให้การพัฒนาไดรเวอร์ซับซ้อนขึ้น
    หากไม่ปรับตามมาตรฐานใหม่ อาจเสี่ยงต่อการไม่รองรับใน Windows รุ่นอนาคต
    การเปลี่ยนแปลงอาจกระทบต่อไดรเวอร์เฉพาะทางที่ยังไม่มี standardized driver

    https://securityonline.info/post-crowdstrike-microsoft-to-phase-out-oem-kernel-level-driver-privileges/
    🖥️ Microsoft ปรับมาตรฐานไดรเวอร์ใหม่ หลังเหตุการณ์ CrowdStrike driver crash Microsoft ประกาศว่าจะ ยกเลิกสิทธิ์ OEM ในการฉีดโค้ดเข้าสู่ kernel โดยตรง เพื่อป้องกันไม่ให้ไดรเวอร์ที่ผิดพลาดทำให้ระบบล่มทั้งเครื่องอีกต่อไป โดยจะบังคับให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ต้องใช้ Windows-native drivers และ standardized APIs แทน ซึ่งจะช่วยลดโค้ดที่ทำงานใน kernel mode และเพิ่มความเสถียรของระบบ 🔒 การป้องกันและมาตรการใหม่ สำหรับไดรเวอร์ที่ยังจำเป็นต้องทำงานใน kernel เช่น GPU drivers หรือ anti-cheat modules Microsoft จะเพิ่มมาตรการความปลอดภัย เช่น 🎗️ Compiler-level security constraints 🎗️ Driver isolation เพื่อลดผลกระทบหากเกิดความผิดพลาด 🎗️ DMA remapping เพื่อป้องกันการเข้าถึงหน่วยความจำ kernel โดยไม่ได้รับอนุญาต 🌐 ผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ใช้ การเปลี่ยนแปลงนี้จะบังคับให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต้องปรับตัว โดยย้าย logic จาก kernel mode ไปยัง user mode หรือใช้ standardized drivers ของ Windows แทน แม้จะเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็อาจทำให้การพัฒนาไดรเวอร์เฉพาะทางซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ทั่วไปจะได้ประโยชน์จากระบบที่เสถียรขึ้นและลดความเสี่ยงจากการ crash แบบทั่วโลก 🔮 แนวโน้มในอนาคต Microsoft ยืนยันว่าจะยังคงรองรับ third-party kernel drivers ในบางกรณี แต่เป้าหมายคือการลดจำนวนโค้ดที่ทำงานใน kernel ให้เหลือน้อยที่สุด แนวโน้มนี้สะท้อนการผลักดันไปสู่ ระบบปฏิบัติการที่ปลอดภัยและเสถียรมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่การโจมตีไซเบอร์และความผิดพลาดของซอฟต์แวร์สามารถสร้างผลกระทบระดับโลกได้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Microsoft เตรียมยกเลิกสิทธิ์ OEM kernel-level driver privileges ➡️ ผู้ผลิตต้องใช้ Windows-native drivers และ standardized APIs ➡️ GPU drivers และ anti-cheat modules ยังทำงานใน kernel mode แต่มีมาตรการป้องกันเพิ่ม ➡️ มาตรการใหม่: compiler-level constraints, driver isolation, DMA remapping ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต้องปรับตัว อาจทำให้การพัฒนาไดรเวอร์ซับซ้อนขึ้น ⛔ หากไม่ปรับตามมาตรฐานใหม่ อาจเสี่ยงต่อการไม่รองรับใน Windows รุ่นอนาคต ⛔ การเปลี่ยนแปลงอาจกระทบต่อไดรเวอร์เฉพาะทางที่ยังไม่มี standardized driver https://securityonline.info/post-crowdstrike-microsoft-to-phase-out-oem-kernel-level-driver-privileges/
    SECURITYONLINE.INFO
    Post-CrowdStrike: Microsoft to Phase Out OEM Kernel-Level Driver Privileges
    Following major crashes, Microsoft will phase out OEM kernel-level driver privileges, forcing a shift to native drivers or user mode to prevent system-wide operating system failures.
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • MCP API ใน Comet Browser สั่นคลอนความเชื่อมั่น

    นักวิจัยจาก SquareX พบว่า Comet Browser มีการฝัง MCP API (chrome.perplexity.mcp.addStdioServer) ที่เปิดโอกาสให้ส่วนขยายฝังตัวสามารถรันคำสั่งบนเครื่องผู้ใช้ได้โดยตรง โดยไม่ต้องขออนุญาตหรือยืนยันจากผู้ใช้ ซึ่งต่างจากเบราว์เซอร์ทั่วไปที่ต้องใช้ Native Messaging API และการอนุญาตจากผู้ใช้เสมอ

    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
    แม้ยังไม่มีหลักฐานว่า Perplexity.ai ใช้ API นี้ในทางที่ผิด แต่หากเกิดการโจมตี เช่น XSS, Phishing หรือ Insider Threat ก็สามารถทำให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมเครื่องผู้ใช้ได้ทันที SquareX สาธิตการโจมตีโดยใช้ Extension Stomping เพื่อปลอมตัวเป็น Analytics Extension และรันมัลแวร์ WannaCry ผ่าน API นี้ได้สำเร็จ

    ปัญหาการซ่อนส่วนขยาย
    สิ่งที่น่ากังวลคือ Comet Browser ได้ซ่อนส่วนขยายที่เกี่ยวข้องกับ Agentic และ Analytics จากแดชบอร์ด ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถปิดหรือควบคุมได้เลย ส่งผลให้เกิด “Hidden IT” ที่ทั้งผู้ใช้และทีมรักษาความปลอดภัยไม่มีทางตรวจสอบหรือจัดการได้

    แนวโน้มและคำแนะนำ
    SquareX เตือนว่าหากไม่มีการกำหนดมาตรฐานและการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม เบราว์เซอร์ AI อื่น ๆ อาจเร่งพัฒนาฟีเจอร์ที่คล้ายกันโดยไม่สนใจความปลอดภัย ผู้ใช้ควรเรียกร้องให้มีการเปิดเผย API ทั้งหมด และให้สิทธิ์ในการปิดส่วนขยายที่ฝังมา เพื่อป้องกันการละเมิดความเชื่อมั่นในอนาคต

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Comet Browser มี MCP API ที่ให้ส่วนขยายฝังตัวรันคำสั่งบนเครื่องผู้ใช้ได้
    SquareX สาธิตการโจมตีด้วย Extension Stomping และรัน WannaCry ผ่าน API นี้
    ส่วนขยาย Agentic และ Analytics ถูกซ่อนจากแดชบอร์ด ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมได้
    SquareX เรียกร้องให้มีการเปิดเผย API และตรวจสอบโดยบุคคลที่สาม

    คำเตือนจากข่าว
    หาก Perplexity.ai ถูกโจมตี ผู้ใช้ Comet Browser ทุกคนอาจถูกควบคุมเครื่องได้ทันที
    การซ่อนส่วนขยายทำให้ผู้ใช้และทีมรักษาความปลอดภัยไม่สามารถจัดการความเสี่ยงได้
    แนวโน้มที่เบราว์เซอร์ AI อื่น ๆ อาจเลียนแบบโดยไม่สนใจความปลอดภัย

    https://securityonline.info/obscure-mcp-api-in-comet-browser-breaches-user-trust-enabling-full-device-control-via-ai-browsers/
    🌐 MCP API ใน Comet Browser สั่นคลอนความเชื่อมั่น นักวิจัยจาก SquareX พบว่า Comet Browser มีการฝัง MCP API (chrome.perplexity.mcp.addStdioServer) ที่เปิดโอกาสให้ส่วนขยายฝังตัวสามารถรันคำสั่งบนเครื่องผู้ใช้ได้โดยตรง โดยไม่ต้องขออนุญาตหรือยืนยันจากผู้ใช้ ซึ่งต่างจากเบราว์เซอร์ทั่วไปที่ต้องใช้ Native Messaging API และการอนุญาตจากผู้ใช้เสมอ ⚠️ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น แม้ยังไม่มีหลักฐานว่า Perplexity.ai ใช้ API นี้ในทางที่ผิด แต่หากเกิดการโจมตี เช่น XSS, Phishing หรือ Insider Threat ก็สามารถทำให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมเครื่องผู้ใช้ได้ทันที SquareX สาธิตการโจมตีโดยใช้ Extension Stomping เพื่อปลอมตัวเป็น Analytics Extension และรันมัลแวร์ WannaCry ผ่าน API นี้ได้สำเร็จ 🔒 ปัญหาการซ่อนส่วนขยาย สิ่งที่น่ากังวลคือ Comet Browser ได้ซ่อนส่วนขยายที่เกี่ยวข้องกับ Agentic และ Analytics จากแดชบอร์ด ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถปิดหรือควบคุมได้เลย ส่งผลให้เกิด “Hidden IT” ที่ทั้งผู้ใช้และทีมรักษาความปลอดภัยไม่มีทางตรวจสอบหรือจัดการได้ 🔮 แนวโน้มและคำแนะนำ SquareX เตือนว่าหากไม่มีการกำหนดมาตรฐานและการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม เบราว์เซอร์ AI อื่น ๆ อาจเร่งพัฒนาฟีเจอร์ที่คล้ายกันโดยไม่สนใจความปลอดภัย ผู้ใช้ควรเรียกร้องให้มีการเปิดเผย API ทั้งหมด และให้สิทธิ์ในการปิดส่วนขยายที่ฝังมา เพื่อป้องกันการละเมิดความเชื่อมั่นในอนาคต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Comet Browser มี MCP API ที่ให้ส่วนขยายฝังตัวรันคำสั่งบนเครื่องผู้ใช้ได้ ➡️ SquareX สาธิตการโจมตีด้วย Extension Stomping และรัน WannaCry ผ่าน API นี้ ➡️ ส่วนขยาย Agentic และ Analytics ถูกซ่อนจากแดชบอร์ด ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมได้ ➡️ SquareX เรียกร้องให้มีการเปิดเผย API และตรวจสอบโดยบุคคลที่สาม ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ หาก Perplexity.ai ถูกโจมตี ผู้ใช้ Comet Browser ทุกคนอาจถูกควบคุมเครื่องได้ทันที ⛔ การซ่อนส่วนขยายทำให้ผู้ใช้และทีมรักษาความปลอดภัยไม่สามารถจัดการความเสี่ยงได้ ⛔ แนวโน้มที่เบราว์เซอร์ AI อื่น ๆ อาจเลียนแบบโดยไม่สนใจความปลอดภัย https://securityonline.info/obscure-mcp-api-in-comet-browser-breaches-user-trust-enabling-full-device-control-via-ai-browsers/
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • Windows 11 เพิ่มฟีเจอร์ Point-in-Time Restore

    Microsoft ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ Point-in-Time Restore ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถย้อนระบบกลับไปยังสถานะก่อนหน้าที่บันทึกไว้ทุก 24 ชั่วโมง โดย snapshot จะถูกเก็บไว้ 72 ชั่วโมง ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดจาก อัปเดตผิดพลาด, ไดรเวอร์มีปัญหา, หรือการตั้งค่าที่ผิดพลาด ได้อย่างรวดเร็ว ฟีเจอร์นี้คล้ายกับ System Restore แต่ทำงานอัตโนมัติและมีความแม่นยำมากกว่า

    WinRE รองรับเครือข่ายอัตโนมัติ
    อีกหนึ่งการปรับปรุงคือ WinRE (Windows Recovery Environment) ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้งไดรเวอร์เองเหมือนเดิม ระบบจะดึงไดรเวอร์จาก Windows หลักมาใช้ ทำให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแพตช์หรือแก้ไขปัญหาออนไลน์ได้สะดวกขึ้น โดยเริ่มจากการรองรับ Ethernet และจะขยายไปยัง Wi-Fi WPA2/3 ในอนาคต

    Cloud Rebuild สำหรับองค์กร
    Microsoft ยังเปิดตัว Cloud Rebuild ที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถติดตั้ง Windows ใหม่โดยไม่สูญเสียข้อมูลผู้ใช้ ผ่านการเชื่อมต่อกับ OneDrive for Business ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อองค์กรที่ต้องการความต่อเนื่องในการทำงาน แม้เครื่องจะต้องถูกติดตั้งระบบใหม่ทั้งหมด

    ฟีเจอร์ซ่อนหน้าจอ Error บนจอแสดงผลสาธารณะ
    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่สำหรับ Commercial Display Devices ที่จะซ่อนข้อความ error บนหน้าจอสาธารณะ โดยจะแสดงเพียง 15 วินาทีแล้วหายไป เพื่อไม่ให้ผู้ชมเห็นข้อความผิดพลาดที่อาจสร้างความไม่เชื่อมั่น

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    ฟีเจอร์ Point-in-Time Restore บันทึก snapshot ทุก 24 ชั่วโมง และเก็บไว้ 72 ชั่วโมง
    WinRE รองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายอัตโนมัติ เริ่มจาก Ethernet และจะเพิ่ม Wi-Fi WPA2/3
    Cloud Rebuild ช่วยติดตั้ง Windows ใหม่โดยไม่สูญเสียข้อมูลผู้ใช้ ผ่าน OneDrive for Business
    ฟีเจอร์ซ่อน error บนจอแสดงผลสาธารณะ แสดงเพียง 15 วินาทีแล้วหายไป

    คำเตือนจากข่าว
    Snapshot มีอายุเพียง 72 ชั่วโมง หากไม่กู้คืนทันเวลาอาจสูญเสียโอกาสแก้ไข
    การเชื่อมต่อ WinRE ผ่านเครือข่ายอาจเสี่ยงต่อการโจมตีหากไม่มีการป้องกันที่ดี
    Cloud Rebuild ต้องพึ่งพา OneDrive for Business หากระบบคลาวด์มีปัญหาอาจกระทบต่อการกู้คืน

    https://securityonline.info/new-windows-11-tools-point-in-time-restore-network-enabled-recovery-environment/
    🖥️ Windows 11 เพิ่มฟีเจอร์ Point-in-Time Restore Microsoft ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ Point-in-Time Restore ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถย้อนระบบกลับไปยังสถานะก่อนหน้าที่บันทึกไว้ทุก 24 ชั่วโมง โดย snapshot จะถูกเก็บไว้ 72 ชั่วโมง ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดจาก อัปเดตผิดพลาด, ไดรเวอร์มีปัญหา, หรือการตั้งค่าที่ผิดพลาด ได้อย่างรวดเร็ว ฟีเจอร์นี้คล้ายกับ System Restore แต่ทำงานอัตโนมัติและมีความแม่นยำมากกว่า 🌐 WinRE รองรับเครือข่ายอัตโนมัติ อีกหนึ่งการปรับปรุงคือ WinRE (Windows Recovery Environment) ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้งไดรเวอร์เองเหมือนเดิม ระบบจะดึงไดรเวอร์จาก Windows หลักมาใช้ ทำให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแพตช์หรือแก้ไขปัญหาออนไลน์ได้สะดวกขึ้น โดยเริ่มจากการรองรับ Ethernet และจะขยายไปยัง Wi-Fi WPA2/3 ในอนาคต ☁️ Cloud Rebuild สำหรับองค์กร Microsoft ยังเปิดตัว Cloud Rebuild ที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถติดตั้ง Windows ใหม่โดยไม่สูญเสียข้อมูลผู้ใช้ ผ่านการเชื่อมต่อกับ OneDrive for Business ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อองค์กรที่ต้องการความต่อเนื่องในการทำงาน แม้เครื่องจะต้องถูกติดตั้งระบบใหม่ทั้งหมด 📺 ฟีเจอร์ซ่อนหน้าจอ Error บนจอแสดงผลสาธารณะ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่สำหรับ Commercial Display Devices ที่จะซ่อนข้อความ error บนหน้าจอสาธารณะ โดยจะแสดงเพียง 15 วินาทีแล้วหายไป เพื่อไม่ให้ผู้ชมเห็นข้อความผิดพลาดที่อาจสร้างความไม่เชื่อมั่น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ ฟีเจอร์ Point-in-Time Restore บันทึก snapshot ทุก 24 ชั่วโมง และเก็บไว้ 72 ชั่วโมง ➡️ WinRE รองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายอัตโนมัติ เริ่มจาก Ethernet และจะเพิ่ม Wi-Fi WPA2/3 ➡️ Cloud Rebuild ช่วยติดตั้ง Windows ใหม่โดยไม่สูญเสียข้อมูลผู้ใช้ ผ่าน OneDrive for Business ➡️ ฟีเจอร์ซ่อน error บนจอแสดงผลสาธารณะ แสดงเพียง 15 วินาทีแล้วหายไป ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ Snapshot มีอายุเพียง 72 ชั่วโมง หากไม่กู้คืนทันเวลาอาจสูญเสียโอกาสแก้ไข ⛔ การเชื่อมต่อ WinRE ผ่านเครือข่ายอาจเสี่ยงต่อการโจมตีหากไม่มีการป้องกันที่ดี ⛔ Cloud Rebuild ต้องพึ่งพา OneDrive for Business หากระบบคลาวด์มีปัญหาอาจกระทบต่อการกู้คืน https://securityonline.info/new-windows-11-tools-point-in-time-restore-network-enabled-recovery-environment/
    SECURITYONLINE.INFO
    New Windows 11 Tools: Point-in-Time Restore & Network-Enabled Recovery Environment
    Windows 11 is getting new recovery tools: Point-in-Time Restore (default 24-hr snapshots) and Network-Enabled WinRE for automatic driver and internet access.
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • Microsoft และ NVIDIA เทเงินมหาศาลสู่ Anthropic

    Microsoft ประกาศลงทุนเพิ่มสูงสุดถึง 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน Anthropic ขณะที่ NVIDIA ก็ทุ่มอีก 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโมเดลตระกูล Claude การลงทุนนี้ไม่ใช่แค่เงินทุน แต่ยังมีการผูกพันธุรกิจ เช่น Anthropic ต้องซื้อบริการคลาวด์จาก Azure มูลค่า 30 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มกำลังประมวลผลอีก 1 GW เพื่อรองรับการทำงานของโมเดล AI

    การลงทุนแบบ “วงกลม” ที่ก่อความกังวล
    ดีลนี้สะท้อนรูปแบบการลงทุนที่นักวิเคราะห์เรียกว่า Circular Investment เพราะบริษัทใหญ่ ๆ ลงทุนในสตาร์ทอัพ AI แล้วสตาร์ทอัพกลับมาซื้อบริการหรือฮาร์ดแวร์จากบริษัทเหล่านั้นอีกที ตัวอย่างเช่น Anthropic ใช้ชิปจาก NVIDIA และคลาวด์จาก Microsoft ในขณะเดียวกัน Amazon ก็ลงทุนใน Anthropic และได้สัญญาใช้ AWS และชิป AI ของตนเอง ทำให้เกิดภาพเหมือน “Spider-Man pointing meme” ที่ทุกบริษัทต่างชี้หากัน แต่ก็โยนเงินสนับสนุนกลับไปกลับมา

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    การลงทุนลักษณะนี้ช่วยสร้างรายได้ให้ผู้ให้บริการคลาวด์และฮาร์ดแวร์ แต่ก็ทำให้เกิดคำถามว่า มูลค่าที่แท้จริงของสตาร์ทอัพ AI อยู่ตรงไหน หากการเติบโตพึ่งพาเงินลงทุนและการซื้อบริการวนซ้ำ อาจนำไปสู่การประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริง และเสี่ยงต่อการเกิด “AI Bubble” ที่อาจแตกในอนาคต

    แนวโน้มและสิ่งที่ต้องจับตา
    แม้จะยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่า AI Bubble จะเกิดขึ้นจริง แต่การไหลเวียนเงินทุนแบบวนซ้ำกำลังสร้างแรงกดดันให้ตลาด AI ร้อนแรงเกินไป นักลงทุนและผู้ใช้ควรจับตารายงานผลประกอบการของ NVIDIA และการเคลื่อนไหวของคู่แข่งอย่าง OpenAI, Amazon และ Google ว่าจะส่งผลต่อทิศทางตลาดอย่างไร

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Microsoft ลงทุนสูงสุด 10 พันล้านดอลลาร์ใน Anthropic
    NVIDIA ลงทุนเพิ่มอีก 5 พันล้านดอลลาร์
    Anthropic ต้องซื้อบริการ Azure มูลค่า 30 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มกำลังประมวลผล 1 GW
    Amazon ก็ลงทุนใน Anthropic และได้สัญญาใช้ AWS และชิป AI

    คำเตือนจากข่าว
    การลงทุนแบบวนซ้ำอาจทำให้เกิดการประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริง
    เสี่ยงต่อการเกิด “AI Bubble” หากการเติบโตไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง
    นักลงทุนและผู้ใช้ควรจับตาผลประกอบการและทิศทางตลาดอย่างใกล้ชิด

    https://securityonline.info/ai-bubble-fear-microsoft-nvidia-pour-billions-into-anthropic-fueling-circular-investment/
    💸 Microsoft และ NVIDIA เทเงินมหาศาลสู่ Anthropic Microsoft ประกาศลงทุนเพิ่มสูงสุดถึง 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน Anthropic ขณะที่ NVIDIA ก็ทุ่มอีก 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโมเดลตระกูล Claude การลงทุนนี้ไม่ใช่แค่เงินทุน แต่ยังมีการผูกพันธุรกิจ เช่น Anthropic ต้องซื้อบริการคลาวด์จาก Azure มูลค่า 30 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มกำลังประมวลผลอีก 1 GW เพื่อรองรับการทำงานของโมเดล AI 🔗 การลงทุนแบบ “วงกลม” ที่ก่อความกังวล ดีลนี้สะท้อนรูปแบบการลงทุนที่นักวิเคราะห์เรียกว่า Circular Investment เพราะบริษัทใหญ่ ๆ ลงทุนในสตาร์ทอัพ AI แล้วสตาร์ทอัพกลับมาซื้อบริการหรือฮาร์ดแวร์จากบริษัทเหล่านั้นอีกที ตัวอย่างเช่น Anthropic ใช้ชิปจาก NVIDIA และคลาวด์จาก Microsoft ในขณะเดียวกัน Amazon ก็ลงทุนใน Anthropic และได้สัญญาใช้ AWS และชิป AI ของตนเอง ทำให้เกิดภาพเหมือน “Spider-Man pointing meme” ที่ทุกบริษัทต่างชี้หากัน แต่ก็โยนเงินสนับสนุนกลับไปกลับมา 📊 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI การลงทุนลักษณะนี้ช่วยสร้างรายได้ให้ผู้ให้บริการคลาวด์และฮาร์ดแวร์ แต่ก็ทำให้เกิดคำถามว่า มูลค่าที่แท้จริงของสตาร์ทอัพ AI อยู่ตรงไหน หากการเติบโตพึ่งพาเงินลงทุนและการซื้อบริการวนซ้ำ อาจนำไปสู่การประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริง และเสี่ยงต่อการเกิด “AI Bubble” ที่อาจแตกในอนาคต 🔮 แนวโน้มและสิ่งที่ต้องจับตา แม้จะยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่า AI Bubble จะเกิดขึ้นจริง แต่การไหลเวียนเงินทุนแบบวนซ้ำกำลังสร้างแรงกดดันให้ตลาด AI ร้อนแรงเกินไป นักลงทุนและผู้ใช้ควรจับตารายงานผลประกอบการของ NVIDIA และการเคลื่อนไหวของคู่แข่งอย่าง OpenAI, Amazon และ Google ว่าจะส่งผลต่อทิศทางตลาดอย่างไร 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Microsoft ลงทุนสูงสุด 10 พันล้านดอลลาร์ใน Anthropic ➡️ NVIDIA ลงทุนเพิ่มอีก 5 พันล้านดอลลาร์ ➡️ Anthropic ต้องซื้อบริการ Azure มูลค่า 30 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มกำลังประมวลผล 1 GW ➡️ Amazon ก็ลงทุนใน Anthropic และได้สัญญาใช้ AWS และชิป AI ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ การลงทุนแบบวนซ้ำอาจทำให้เกิดการประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริง ⛔ เสี่ยงต่อการเกิด “AI Bubble” หากการเติบโตไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง ⛔ นักลงทุนและผู้ใช้ควรจับตาผลประกอบการและทิศทางตลาดอย่างใกล้ชิด https://securityonline.info/ai-bubble-fear-microsoft-nvidia-pour-billions-into-anthropic-fueling-circular-investment/
    SECURITYONLINE.INFO
    AI Bubble Fear: Microsoft & NVIDIA Pour Billions into Anthropic, Fueling Circular Investment
    Microsoft is investing $10B in Anthropic (and NVIDIA $5B), fueling fears of an AI bubble. Anthropic committed to buying $30B in Azure cloud capacity in the process.
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • Google เปิดตัว Canvas ใน AI Mode

    Google ประกาศเปิดตัว Canvas ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับการจัดการแผนงานและโครงการ โดยผู้ใช้สามารถบรรยายสิ่งที่ต้องการ เช่น การเดินทางหรือกิจกรรมที่วางแผนไว้ แล้ว AI จะช่วยเสนอปลายทาง โรงแรม และรายละเอียดการจองที่เหมาะสม ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อรวมข้อมูลที่กระจัดกระจายให้อยู่ในที่เดียว ทำให้การวางแผนสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    การขยายความสามารถ Agentic AI
    นอกจาก Canvas แล้ว Google ยังเพิ่มความสามารถให้ AI Mode สามารถทำงานแทนผู้ใช้ได้จริง เช่น การจองร้านอาหาร ซื้อตั๋วงานแสดง หรือแม้แต่การนัดหมายด้านสุขภาพและความงาม ฟีเจอร์นี้สะท้อนแนวโน้มใหม่ของ AI ที่ไม่ได้แค่ให้ข้อมูล แต่สามารถ ลงมือทำแทนผู้ใช้ ได้โดยตรง ซึ่งถือเป็นการก้าวสู่ยุคของ “Agentic AI” อย่างเต็มรูปแบบ

    การเชื่อมโยงกับบริการอื่น ๆ
    ก่อนหน้านี้ Google ได้เปิดตัวฟีเจอร์ Agentic Checkout สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ โดย AI สามารถค้นหาสินค้าตามราคาที่ผู้ใช้ต้องการ และทำการสั่งซื้ออัตโนมัติเมื่อราคาลดลง ฟีเจอร์เหล่านี้กำลังถูกขยายไปยังบริการอื่น ๆ เช่น Google Photos, Google Messages และ Android เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ AI สามารถช่วยเหลือผู้ใช้ได้ในหลายมิติ

    แนวโน้มในอนาคต
    การเปิดตัว Canvas และการขยายความสามารถ Agentic AI แสดงให้เห็นว่า Google กำลังผลักดัน AI ให้เป็น ผู้ช่วยที่ลงมือทำแทนได้จริง ไม่ใช่แค่เครื่องมือค้นหาข้อมูล แนวโน้มนี้อาจเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนจัดการชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การเดินทาง การช้อปปิ้ง ไปจนถึงการจัดการงานในองค์กร

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Google เปิดตัวฟีเจอร์ Canvas สำหรับการวางแผนและจัดการโครงการ
    AI Mode สามารถทำงานแทนผู้ใช้ เช่น จองร้านอาหาร ซื้อตั๋ว และนัดหมาย
    ฟีเจอร์ Agentic Checkout ช่วยค้นหาสินค้าและสั่งซื้ออัตโนมัติเมื่อราคาลดลง
    ฟีเจอร์ใหม่จะถูกขยายไปยัง Google Photos, Google Messages และ Android

    คำเตือนจากข่าว
    การให้ AI ทำงานแทนผู้ใช้อาจสร้างความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย
    ผู้ใช้ควรระวังการอนุญาตให้ AI เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวหรือสิทธิ์ในการทำธุรกรรม
    หากระบบถูกโจมตีหรือทำงานผิดพลาด อาจส่งผลต่อการเงินและข้อมูลส่วนบุคคล

    https://securityonline.info/ai-mode-upgraded-google-launches-canvas-for-planning-and-agentic-booking-for-reservations/
    🖥️ Google เปิดตัว Canvas ใน AI Mode Google ประกาศเปิดตัว Canvas ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับการจัดการแผนงานและโครงการ โดยผู้ใช้สามารถบรรยายสิ่งที่ต้องการ เช่น การเดินทางหรือกิจกรรมที่วางแผนไว้ แล้ว AI จะช่วยเสนอปลายทาง โรงแรม และรายละเอียดการจองที่เหมาะสม ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อรวมข้อมูลที่กระจัดกระจายให้อยู่ในที่เดียว ทำให้การวางแผนสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✈️ การขยายความสามารถ Agentic AI นอกจาก Canvas แล้ว Google ยังเพิ่มความสามารถให้ AI Mode สามารถทำงานแทนผู้ใช้ได้จริง เช่น การจองร้านอาหาร ซื้อตั๋วงานแสดง หรือแม้แต่การนัดหมายด้านสุขภาพและความงาม ฟีเจอร์นี้สะท้อนแนวโน้มใหม่ของ AI ที่ไม่ได้แค่ให้ข้อมูล แต่สามารถ ลงมือทำแทนผู้ใช้ ได้โดยตรง ซึ่งถือเป็นการก้าวสู่ยุคของ “Agentic AI” อย่างเต็มรูปแบบ 🛍️ การเชื่อมโยงกับบริการอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ Google ได้เปิดตัวฟีเจอร์ Agentic Checkout สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ โดย AI สามารถค้นหาสินค้าตามราคาที่ผู้ใช้ต้องการ และทำการสั่งซื้ออัตโนมัติเมื่อราคาลดลง ฟีเจอร์เหล่านี้กำลังถูกขยายไปยังบริการอื่น ๆ เช่น Google Photos, Google Messages และ Android เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ AI สามารถช่วยเหลือผู้ใช้ได้ในหลายมิติ 🔮 แนวโน้มในอนาคต การเปิดตัว Canvas และการขยายความสามารถ Agentic AI แสดงให้เห็นว่า Google กำลังผลักดัน AI ให้เป็น ผู้ช่วยที่ลงมือทำแทนได้จริง ไม่ใช่แค่เครื่องมือค้นหาข้อมูล แนวโน้มนี้อาจเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนจัดการชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การเดินทาง การช้อปปิ้ง ไปจนถึงการจัดการงานในองค์กร 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Google เปิดตัวฟีเจอร์ Canvas สำหรับการวางแผนและจัดการโครงการ ➡️ AI Mode สามารถทำงานแทนผู้ใช้ เช่น จองร้านอาหาร ซื้อตั๋ว และนัดหมาย ➡️ ฟีเจอร์ Agentic Checkout ช่วยค้นหาสินค้าและสั่งซื้ออัตโนมัติเมื่อราคาลดลง ➡️ ฟีเจอร์ใหม่จะถูกขยายไปยัง Google Photos, Google Messages และ Android ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ การให้ AI ทำงานแทนผู้ใช้อาจสร้างความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย ⛔ ผู้ใช้ควรระวังการอนุญาตให้ AI เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวหรือสิทธิ์ในการทำธุรกรรม ⛔ หากระบบถูกโจมตีหรือทำงานผิดพลาด อาจส่งผลต่อการเงินและข้อมูลส่วนบุคคล https://securityonline.info/ai-mode-upgraded-google-launches-canvas-for-planning-and-agentic-booking-for-reservations/
    SECURITYONLINE.INFO
    AI Mode Upgraded: Google Launches Canvas for Planning and Agentic Booking for Reservations
    Google upgraded AI Mode with Canvas, a dedicated space for project and travel planning. The Flight Deals tool rolls out globally, and agentic booking expands in the US.
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน D-Link DIR-878 ที่หมดอายุการสนับสนุน

    D-Link ได้ออกประกาศเตือนผู้ใช้เราเตอร์รุ่น DIR-878 ว่าพบช่องโหว่ร้ายแรงถึง 4 จุด ซึ่งรวมถึงการ Remote Command Execution (RCE) โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งเข้าควบคุมอุปกรณ์ได้ทันที หากเราเตอร์เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง ความเสี่ยงนี้ถือว่าสูงมาก เพราะผู้ใช้ไม่สามารถอัปเดตแพตช์แก้ไขได้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ถูกจัดอยู่ในสถานะ End-of-Life (EOL) ตั้งแต่ปี 2021

    มุมมองจากวงการไซเบอร์
    รายงานจากหลายสำนักข่าวด้านความปลอดภัยระบุว่า ช่องโหว่เหล่านี้ครอบคลุมทั้งการ Command Injection ผ่าน Dynamic DNS และ DMZ Settings รวมถึง Buffer Overflow จาก USB Serial Number และการ QoS Rule Injection ซึ่งทั้งหมดสามารถนำไปสู่การเข้าควบคุมระบบได้เต็มรูปแบบ นักวิจัยเตือนว่าหากผู้ใช้ยังคงใช้งานอุปกรณ์นี้ อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเพื่อแพร่มัลแวร์หรือบอทเน็ตได้

    ความเสี่ยงต่อผู้ใช้และองค์กร
    สิ่งที่น่ากังวลคือการโจมตีสามารถทำได้จากระยะไกลโดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน ซึ่งหมายความว่าแม้ผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ใช่เป้าหมายโดยตรงก็อาจถูกโจมตีได้ หากอุปกรณ์ยังเปิดใช้งานอยู่ในบ้านหรือสำนักงาน การปล่อยให้เราเตอร์ที่หมดอายุการสนับสนุนเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจึงเท่ากับเปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ามาในเครือข่ายโดยตรง

    แนวโน้มและคำแนะนำ
    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแนะนำให้ผู้ใช้ เปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์รุ่นใหม่ที่ยังได้รับการสนับสนุน และควรตรวจสอบอุปกรณ์เครือข่ายอื่น ๆ ที่อาจหมดอายุการสนับสนุนแล้วเช่นกัน แนวโน้มในอนาคตคือการโจมตีอุปกรณ์ IoT และเราเตอร์ที่ไม่ได้รับการอัปเดตจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นจุดอ่อนที่เข้าถึงง่ายและมักถูกละเลย

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    D-Link DIR-878 หมดอายุการสนับสนุนตั้งแต่ปี 2021
    พบช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุด (Dynamic DNS, DMZ, USB Buffer Overflow, QoS Injection)
    ช่องโหว่เปิดโอกาสให้โจมตีแบบ Remote Command Execution โดยไม่ต้องล็อกอิน

    คำเตือนจากข่าว
    ผู้ใช้ที่ยังใช้งานเราเตอร์รุ่นนี้เสี่ยงถูกโจมตีและควบคุมอุปกรณ์ได้เต็มรูปแบบ
    อุปกรณ์ที่หมดอายุการสนับสนุนไม่สามารถอัปเดตแพตช์แก้ไขได้
    การปล่อยให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอาจทำให้เครือข่ายบ้านหรือองค์กรถูกเจาะทะลวง

    https://securityonline.info/d-link-dir-878-reaches-eol-3-unpatched-rce-flaws-allow-unauthenticated-remote-command-execution/
    🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน D-Link DIR-878 ที่หมดอายุการสนับสนุน D-Link ได้ออกประกาศเตือนผู้ใช้เราเตอร์รุ่น DIR-878 ว่าพบช่องโหว่ร้ายแรงถึง 4 จุด ซึ่งรวมถึงการ Remote Command Execution (RCE) โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งเข้าควบคุมอุปกรณ์ได้ทันที หากเราเตอร์เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง ความเสี่ยงนี้ถือว่าสูงมาก เพราะผู้ใช้ไม่สามารถอัปเดตแพตช์แก้ไขได้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ถูกจัดอยู่ในสถานะ End-of-Life (EOL) ตั้งแต่ปี 2021 🌐 มุมมองจากวงการไซเบอร์ รายงานจากหลายสำนักข่าวด้านความปลอดภัยระบุว่า ช่องโหว่เหล่านี้ครอบคลุมทั้งการ Command Injection ผ่าน Dynamic DNS และ DMZ Settings รวมถึง Buffer Overflow จาก USB Serial Number และการ QoS Rule Injection ซึ่งทั้งหมดสามารถนำไปสู่การเข้าควบคุมระบบได้เต็มรูปแบบ นักวิจัยเตือนว่าหากผู้ใช้ยังคงใช้งานอุปกรณ์นี้ อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเพื่อแพร่มัลแวร์หรือบอทเน็ตได้ ⚠️ ความเสี่ยงต่อผู้ใช้และองค์กร สิ่งที่น่ากังวลคือการโจมตีสามารถทำได้จากระยะไกลโดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน ซึ่งหมายความว่าแม้ผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ใช่เป้าหมายโดยตรงก็อาจถูกโจมตีได้ หากอุปกรณ์ยังเปิดใช้งานอยู่ในบ้านหรือสำนักงาน การปล่อยให้เราเตอร์ที่หมดอายุการสนับสนุนเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจึงเท่ากับเปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ามาในเครือข่ายโดยตรง 🔮 แนวโน้มและคำแนะนำ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแนะนำให้ผู้ใช้ เปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์รุ่นใหม่ที่ยังได้รับการสนับสนุน และควรตรวจสอบอุปกรณ์เครือข่ายอื่น ๆ ที่อาจหมดอายุการสนับสนุนแล้วเช่นกัน แนวโน้มในอนาคตคือการโจมตีอุปกรณ์ IoT และเราเตอร์ที่ไม่ได้รับการอัปเดตจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นจุดอ่อนที่เข้าถึงง่ายและมักถูกละเลย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ D-Link DIR-878 หมดอายุการสนับสนุนตั้งแต่ปี 2021 ➡️ พบช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุด (Dynamic DNS, DMZ, USB Buffer Overflow, QoS Injection) ➡️ ช่องโหว่เปิดโอกาสให้โจมตีแบบ Remote Command Execution โดยไม่ต้องล็อกอิน ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ ผู้ใช้ที่ยังใช้งานเราเตอร์รุ่นนี้เสี่ยงถูกโจมตีและควบคุมอุปกรณ์ได้เต็มรูปแบบ ⛔ อุปกรณ์ที่หมดอายุการสนับสนุนไม่สามารถอัปเดตแพตช์แก้ไขได้ ⛔ การปล่อยให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอาจทำให้เครือข่ายบ้านหรือองค์กรถูกเจาะทะลวง https://securityonline.info/d-link-dir-878-reaches-eol-3-unpatched-rce-flaws-allow-unauthenticated-remote-command-execution/
    SECURITYONLINE.INFO
    D-Link DIR-878 Reaches EOL: 3 Unpatched RCE Flaws Allow Unauthenticated Remote Command Execution
    D-Link warned that DIR-878 has reached EOL with three unpatched RCE flaws. Unauthenticated remote attackers can execute arbitrary commands via Dynamic DNS and DMZ settings due to insecure CGI parameters.
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • Buy Chrome Extension Reviews

    Visit Now: https://pvaoutlets.com/product/buy-chrome-extension-reviews/
    ➤E-mail : pvaoutlets@ gmail.com
    ➤WhatsApp : +44 7577-329388
    ➤Telegram : @pvaoutlets
    ➤Skype : pvaoutlets
    #pvaoutlets #seo #digitalmarketer #usaaccounts #seoservice #socialmedia #contentwriter #on_page_seo #off_page_s
    Buy Chrome Extension Reviews Visit Now: https://pvaoutlets.com/product/buy-chrome-extension-reviews/ ➤E-mail : pvaoutlets@ gmail.com ➤WhatsApp : +44 7577-329388 ➤Telegram : @pvaoutlets ➤Skype : pvaoutlets #pvaoutlets #seo #digitalmarketer #usaaccounts #seoservice #socialmedia #contentwriter #on_page_seo #off_page_s
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
More Results