• https://gemini.google.com/share/6d141b742a13?fbclid=IwY2xjawIpGgJleHRuA2FlbQIxMAABHRiM_JU02FleM7qpONOABtZoWWCpXjfi-L8GUg1a_J_F3KNAWxNggacWgA_aem_qW46-KciFORxiPjxzwExWQ
    https://gemini.google.com/share/6d141b742a13?fbclid=IwY2xjawIpGgJleHRuA2FlbQIxMAABHRiM_JU02FleM7qpONOABtZoWWCpXjfi-L8GUg1a_J_F3KNAWxNggacWgA_aem_qW46-KciFORxiPjxzwExWQ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • จิ้งจ้อเหลือง โตเร็วมากเป็นพิเศษ แต่ละวันสามารถทอดยอดยาวได้มากกว่า 100 ซม. คุณสมบัติพิเศษนี น่าจะมีอะไรดี เป็นประโยชน์กับร่างกายมนุษย์หด้บ้างหรือไม่ ??

    ลองถามหาสรรพคุณจาก DeepSeek หรือ Gemini ดู..รู้แล้ว เอามาต้มน้ำ กินเป็นประจำ สังเกตุด้วยตนเอง..รู้ด้วยตนเอง จะบอกต่อก็ดี แต่อาจผิดหวัง หากเขาไม่เชื่อ
    จิ้งจ้อเหลือง โตเร็วมากเป็นพิเศษ แต่ละวันสามารถทอดยอดยาวได้มากกว่า 100 ซม. คุณสมบัติพิเศษนี น่าจะมีอะไรดี เป็นประโยชน์กับร่างกายมนุษย์หด้บ้างหรือไม่ ?? ลองถามหาสรรพคุณจาก DeepSeek หรือ Gemini ดู..รู้แล้ว เอามาต้มน้ำ กินเป็นประจำ สังเกตุด้วยตนเอง..รู้ด้วยตนเอง จะบอกต่อก็ดี แต่อาจผิดหวัง หากเขาไม่เชื่อ
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจาก Imperial College London ได้ใช้เวลาราว 10 ปีในการแก้ไขปัญหาซูเปอร์บั๊ก (superbug) แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขในเวลาเพียง 48 ชั่วโมงด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นโดย Google เครื่องมือนี้เรียกว่า co-scientist ซึ่งเป็นระบบ AI แบบหลายตัวแทนที่ใช้ Gemini 2.0 ในการทำงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยสร้างสมมติฐานใหม่ ๆ และข้อเสนอวิจัยใหม่ ๆ

    ซูเปอร์บั๊ก (Superbug) คือเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะอย่างรุนแรง ทำให้การรักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อเหล่านี้ยากขึ้นมาก ปัญหานี้เกิดขึ้นจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม เช่น การใช้ยาเกินความจำเป็น การใช้ยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่ง หรือการซื้อยามาทานเอง ซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียพัฒนาความต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ

    ปัญหาที่นักวิจัยให้เครื่องมือนี้แก้ไขคือ ทำไมซูเปอร์บั๊กบางตัวจึงต้านทานยาปฏิชีวนะได้ Professor José R Penadés บอกกับ BBC ว่า co-scientist ได้ข้อสันนิษฐานที่เหมือนกับทีมของเขา คือ ซูเปอร์บั๊กสามารถสร้างหางที่ทำให้พวกมันสามารถเคลื่อนย้ายไปยังชนิดอื่นได้ ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจหลักที่ช่วยให้บั๊กสามารถย้ายที่อยู่ได้

    นอกจากการยืนยันสมมติฐานเดิมแล้ว co-scientist ยังได้สร้างสมมติฐานเพิ่มเติมอีก 4 ข้อ ซึ่งทุกข้อเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและหนึ่งในนั้นทีมวิจัยยังไม่เคยพิจารณามาก่อน ซึ่งขณะนี้ทีมวิจัยกำลังศึกษาสมมติฐานใหม่นี้เพิ่มเติม

    Penadés กล่าวเพิ่มเติมว่า เขาเชื่อว่า AI เครื่องมือนี้จะเปลี่ยนแปลงวงการวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน โดยเปรียบเสมือนกับการได้เล่นแมตช์ใหญ่ในแชมเปี้ยนส์ลีก

    Google กล่าวว่า co-scientist ทำงานเป็น "ผู้ร่วมงานวิจัยเสมือน" ที่สามารถช่วยเร่งการค้นพบด้านชีวการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้ องค์กรวิจัยที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบได้

    https://www.techspot.com/news/106874-ai-accelerates-superbug-solution-completing-two-days-what.html
    นักวิจัยจาก Imperial College London ได้ใช้เวลาราว 10 ปีในการแก้ไขปัญหาซูเปอร์บั๊ก (superbug) แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขในเวลาเพียง 48 ชั่วโมงด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นโดย Google เครื่องมือนี้เรียกว่า co-scientist ซึ่งเป็นระบบ AI แบบหลายตัวแทนที่ใช้ Gemini 2.0 ในการทำงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยสร้างสมมติฐานใหม่ ๆ และข้อเสนอวิจัยใหม่ ๆ ซูเปอร์บั๊ก (Superbug) คือเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะอย่างรุนแรง ทำให้การรักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อเหล่านี้ยากขึ้นมาก ปัญหานี้เกิดขึ้นจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม เช่น การใช้ยาเกินความจำเป็น การใช้ยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่ง หรือการซื้อยามาทานเอง ซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียพัฒนาความต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ ปัญหาที่นักวิจัยให้เครื่องมือนี้แก้ไขคือ ทำไมซูเปอร์บั๊กบางตัวจึงต้านทานยาปฏิชีวนะได้ Professor José R Penadés บอกกับ BBC ว่า co-scientist ได้ข้อสันนิษฐานที่เหมือนกับทีมของเขา คือ ซูเปอร์บั๊กสามารถสร้างหางที่ทำให้พวกมันสามารถเคลื่อนย้ายไปยังชนิดอื่นได้ ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจหลักที่ช่วยให้บั๊กสามารถย้ายที่อยู่ได้ นอกจากการยืนยันสมมติฐานเดิมแล้ว co-scientist ยังได้สร้างสมมติฐานเพิ่มเติมอีก 4 ข้อ ซึ่งทุกข้อเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและหนึ่งในนั้นทีมวิจัยยังไม่เคยพิจารณามาก่อน ซึ่งขณะนี้ทีมวิจัยกำลังศึกษาสมมติฐานใหม่นี้เพิ่มเติม Penadés กล่าวเพิ่มเติมว่า เขาเชื่อว่า AI เครื่องมือนี้จะเปลี่ยนแปลงวงการวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน โดยเปรียบเสมือนกับการได้เล่นแมตช์ใหญ่ในแชมเปี้ยนส์ลีก Google กล่าวว่า co-scientist ทำงานเป็น "ผู้ร่วมงานวิจัยเสมือน" ที่สามารถช่วยเร่งการค้นพบด้านชีวการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้ องค์กรวิจัยที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบได้ https://www.techspot.com/news/106874-ai-accelerates-superbug-solution-completing-two-days-what.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Scientists spent 10 years on a superbug mystery - Google's AI solved it in 48 hours
    Professor José R Penadés told the BBC that Google's tool reached the same hypothesis that his team had – that superbugs can create a tail that allows...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัว Majorana 1 ซึ่งเป็น Quantum Processor ตัวแรกของโลกที่ใช้สถาปัตยกรรม Topological Core ที่เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา Fault-Tolerant Quantum Computing โดยโปรเซสเซอร์นี้ใช้ Tetron Qubits ที่สร้างขึ้นจาก Majorana Zero Modes (MZMs) เพื่อให้มีความเสถียรและสามารถขยายขนาดได้ โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาให้ถึง Million Qubits เพื่อนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาทางอุตสาหกรรม เช่น การย่อยสลายไมโครพลาสติกและวัสดุที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้

    ใจกลางของ Majorana 1 คือโครงสร้างเฮเทอโรภาคของซุปเปอร์คอนดักเตอร์-เซมิคอนดักเตอร์ที่รวม Indium Arsenide และ Aluminium ซึ่งทำให้สามารถควบคุม MZMs ได้อย่างแม่นยำ MZMs เป็นอนุภาคควอนตัมที่เข้ารหัสข้อมูลในลักษณะที่ต้านทานเสียงและข้อผิดพลาด โดยการจัดเรียง MZMs ในสายยาวรูปตัว H จะสร้าง Tetron ที่สามารถลดข้อผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    สิ่งที่น่าสนใจคือการออกแบบนี้ใช้ Digital Voltage Pulses แทนการปรับแต่งแบบแอนะล็อก ทำให้สามารถขยายขนาดได้ง่าย ชิปนี้มี Tetron ทั้งหมดแปดหน่วยและรองรับโปรโตคอลการตรวจจับข้อผิดพลาดเชิงควอนตัม เช่น Hastings-Haah Floquet Codes และ Ladder Codes ซึ่งใช้การวัด Pauli แบบหนึ่งและสองคิวบิตในการตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาด

    โครงการ US2QC ของ DARPA ได้ยืนยันว่า กลยุทธ์การใช้เทคโนโลยีทอพอโลยีของไมโครซอฟท์นั้นช่วยลดภาระงาน ทำให้ระบบควอนตัมในอนาคตที่มีล้านคิวบิตสามารถใส่ในศูนย์ข้อมูล Azure ได้

    ในด้านการใช้งาน ชิปนี้สามารถนำไปใช้ในการออกแบบ Catalyst เพื่อลดมลพิษ ปรับปรุง Enzymes สำหรับการเกษตร และจำลองวัสดุใหม่ ๆ ไมโครซอฟท์มีเป้าหมายที่จะรวมควอนตัม AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูงเข้าไว้ใน Azure เพื่อเร่งการค้นพบที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ในอีกหลายทศวรรษ

    เห็นได้ชัดว่า Majorana 1 เป็นการพิสูจน์ว่าคิวบิตทอพอโลยี ซึ่งเคยเป็นการวางเดิมพันที่มีความเสี่ยงสูง ตอนนี้กลายเป็นรากฐานของระบบควอนตัมที่สามารถขยายขนาดได้อย่างแท้จริง

    https://www.techpowerup.com/332790/microsoft-presents-majorana-1-first-quantum-processor-to-pave-the-way-to-million-qubit-systems
    ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัว Majorana 1 ซึ่งเป็น Quantum Processor ตัวแรกของโลกที่ใช้สถาปัตยกรรม Topological Core ที่เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา Fault-Tolerant Quantum Computing โดยโปรเซสเซอร์นี้ใช้ Tetron Qubits ที่สร้างขึ้นจาก Majorana Zero Modes (MZMs) เพื่อให้มีความเสถียรและสามารถขยายขนาดได้ โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาให้ถึง Million Qubits เพื่อนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาทางอุตสาหกรรม เช่น การย่อยสลายไมโครพลาสติกและวัสดุที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ใจกลางของ Majorana 1 คือโครงสร้างเฮเทอโรภาคของซุปเปอร์คอนดักเตอร์-เซมิคอนดักเตอร์ที่รวม Indium Arsenide และ Aluminium ซึ่งทำให้สามารถควบคุม MZMs ได้อย่างแม่นยำ MZMs เป็นอนุภาคควอนตัมที่เข้ารหัสข้อมูลในลักษณะที่ต้านทานเสียงและข้อผิดพลาด โดยการจัดเรียง MZMs ในสายยาวรูปตัว H จะสร้าง Tetron ที่สามารถลดข้อผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่น่าสนใจคือการออกแบบนี้ใช้ Digital Voltage Pulses แทนการปรับแต่งแบบแอนะล็อก ทำให้สามารถขยายขนาดได้ง่าย ชิปนี้มี Tetron ทั้งหมดแปดหน่วยและรองรับโปรโตคอลการตรวจจับข้อผิดพลาดเชิงควอนตัม เช่น Hastings-Haah Floquet Codes และ Ladder Codes ซึ่งใช้การวัด Pauli แบบหนึ่งและสองคิวบิตในการตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาด โครงการ US2QC ของ DARPA ได้ยืนยันว่า กลยุทธ์การใช้เทคโนโลยีทอพอโลยีของไมโครซอฟท์นั้นช่วยลดภาระงาน ทำให้ระบบควอนตัมในอนาคตที่มีล้านคิวบิตสามารถใส่ในศูนย์ข้อมูล Azure ได้ ในด้านการใช้งาน ชิปนี้สามารถนำไปใช้ในการออกแบบ Catalyst เพื่อลดมลพิษ ปรับปรุง Enzymes สำหรับการเกษตร และจำลองวัสดุใหม่ ๆ ไมโครซอฟท์มีเป้าหมายที่จะรวมควอนตัม AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูงเข้าไว้ใน Azure เพื่อเร่งการค้นพบที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ในอีกหลายทศวรรษ เห็นได้ชัดว่า Majorana 1 เป็นการพิสูจน์ว่าคิวบิตทอพอโลยี ซึ่งเคยเป็นการวางเดิมพันที่มีความเสี่ยงสูง ตอนนี้กลายเป็นรากฐานของระบบควอนตัมที่สามารถขยายขนาดได้อย่างแท้จริง https://www.techpowerup.com/332790/microsoft-presents-majorana-1-first-quantum-processor-to-pave-the-way-to-million-qubit-systems
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Microsoft Presents Majorana 1: First Quantum Processor to Pave the Way to Million-Qubit Systems
    Microsoft has launched Majorana 1, the world's first quantum processor powered by a Topological Core architecture, marking a significant step toward fault-tolerant, utility-scale quantum computing. The chip leverages tetron qubits—topological qubits built on Majorana zero modes (MZMs)—to achieve sta...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีการรีวิวเบื้องต้นของ AMD's Radeon 8060S ที่มีประสิทธิภาพเทียบเคียงกับการ์ดจอระดับกลางอย่าง RTX 4070 ในแบบแล็ปท็อป ถือเป็นการ์ดจอแบบอินทิเกรตที่มีความสามารถในการประมวลผลกราฟิกอย่างมาก

    ในรีวิวจาก Notebookcheck พบว่า Radeon 8060S ที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Strix Halo มีความสามารถในการทำคะแนนถึง 10,200 คะแนนใน 3D Mark Time Spy ซึ่งใกล้เคียงกับ RTX 4070 ที่มาพร้อมกับแล็ปท็อป Zephyrus G14 ที่ทำได้ประมาณ 10,300 คะแนน และยังแซงหน้ารุ่นก่อนของ ROG Flow Z13 ที่ใช้ RTX 4070 ด้วยเล็กน้อย

    นอกจากนี้ใน benchmark ที่เรียกว่า Steel Nomad แม้ว่า Radeon 8060S จะตามหลัง RTX 4070 และ RTX 4060 แต่ก็ยังคงมีความสามารถในการแข่งขันที่โดดเด่น และเมื่อเปรียบเทียบกับการ์ดจอของ Apple รุ่น M4 Pro และ M4 Max พบว่า Radeon 8060S สามารถทำคะแนนได้ดีในบางด้าน แม้ว่าโดยรวมแล้ว Apple ยังคงมีประสิทธิภาพสูงกว่า

    สำหรับการเล่นเกม Radeon 8060S ยังคงแสดงประสิทธิภาพที่ดี สามารถแข่งขันกับ RTX 4050 และ RTX 4060 รุ่นแล็ปท็อปได้อย่างใกล้ชิด โดยมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RX 7600M XT ที่มี 32 CUs

    จากการเปิดตัวนี้ จะเห็นได้ว่า Radeon 8060S มีศักยภาพสูงและเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการใช้งานใน Mini PCs และแล็ปท็อปขนาดกะทัดรัด ที่ต้องการประสิทธิภาพการประมวลผลกราฟิกที่ดีในขนาดเล็ก โดยมีแผนที่จะมีการผลิตและวางจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้หน่วยประมวลผลนี้ในเร็วๆ นี้

    https://www.techpowerup.com/332734/radeon-8060s-early-reviews-rtx-4070-laptop-class-performance-in-an-igpu
    มีการรีวิวเบื้องต้นของ AMD's Radeon 8060S ที่มีประสิทธิภาพเทียบเคียงกับการ์ดจอระดับกลางอย่าง RTX 4070 ในแบบแล็ปท็อป ถือเป็นการ์ดจอแบบอินทิเกรตที่มีความสามารถในการประมวลผลกราฟิกอย่างมาก ในรีวิวจาก Notebookcheck พบว่า Radeon 8060S ที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Strix Halo มีความสามารถในการทำคะแนนถึง 10,200 คะแนนใน 3D Mark Time Spy ซึ่งใกล้เคียงกับ RTX 4070 ที่มาพร้อมกับแล็ปท็อป Zephyrus G14 ที่ทำได้ประมาณ 10,300 คะแนน และยังแซงหน้ารุ่นก่อนของ ROG Flow Z13 ที่ใช้ RTX 4070 ด้วยเล็กน้อย นอกจากนี้ใน benchmark ที่เรียกว่า Steel Nomad แม้ว่า Radeon 8060S จะตามหลัง RTX 4070 และ RTX 4060 แต่ก็ยังคงมีความสามารถในการแข่งขันที่โดดเด่น และเมื่อเปรียบเทียบกับการ์ดจอของ Apple รุ่น M4 Pro และ M4 Max พบว่า Radeon 8060S สามารถทำคะแนนได้ดีในบางด้าน แม้ว่าโดยรวมแล้ว Apple ยังคงมีประสิทธิภาพสูงกว่า สำหรับการเล่นเกม Radeon 8060S ยังคงแสดงประสิทธิภาพที่ดี สามารถแข่งขันกับ RTX 4050 และ RTX 4060 รุ่นแล็ปท็อปได้อย่างใกล้ชิด โดยมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RX 7600M XT ที่มี 32 CUs จากการเปิดตัวนี้ จะเห็นได้ว่า Radeon 8060S มีศักยภาพสูงและเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการใช้งานใน Mini PCs และแล็ปท็อปขนาดกะทัดรัด ที่ต้องการประสิทธิภาพการประมวลผลกราฟิกที่ดีในขนาดเล็ก โดยมีแผนที่จะมีการผลิตและวางจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้หน่วยประมวลผลนี้ในเร็วๆ นี้ https://www.techpowerup.com/332734/radeon-8060s-early-reviews-rtx-4070-laptop-class-performance-in-an-igpu
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Radeon 8060S Early Reviews: RTX 4070 Laptop-Class Performance in an iGPU
    Well, the wait is over and early reviews for AMD's Strix Halo APUs have finally dropped. For those who kept up with the leaks and rumors, the high-end RDNA 3.5 Radeon 8060S iGPU was repeatedly rumored to features up to 40 CUs, allowing for raw performance that keeps up with several discrete-class mo...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • Asus ได้เปิดตัวมินิพีซีที่ชื่อว่า NUC 15 Pro ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการในการประมวลผลที่สูง เช่น การฝึกโมเดล AI และการวิเคราะห์ข้อมูล ตัวเครื่องนี้มีความสามารถในการรองรับ RAM สูงสุดถึง 96GB DDR5 และสามารถเชื่อมต่อหน้าจอ 4K ได้ถึง 4 จอผ่านพอร์ต HDMI 2.1 และ Thunderbolt 4 หนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าสนใจคือ Intel Wi-Fi Proximity Sensing ที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของผู้ใช้งานและปลุกหรือล็อกอุปกรณ์อัตโนมัติ ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน

    นอกจากนี้ NUC 15 Pro ยังรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7 ที่มีความเร็วสูงสุดถึง 46 Gbps และสามารถรองรับอุปกรณ์สตรีมมิ่งได้ถึง 16 อุปกรณ์พร้อมกัน ยังมีระบบ Bluetooth 5.4 ที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อพ่วงและการถ่ายโอนข้อมูลที่ความเร็วสูงสุดถึง 50 Mbps ฟังก์ชั่น Power Sync ยังช่วยให้การจัดการพลังงานระหว่าง NUC และจอภาพ Asus ผ่าน HDMI CEC เป็นไปอย่างราบรื่น

    นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Intel vPro และ fTPM 2.0 ที่ให้การเข้ารหัสระดับองค์กรและการจัดการระยะไกลที่ปลอดภัย ทำให้ NUC 15 Pro เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการมินิพีซีที่มีความสามารถสูงและฟังก์ชั่นที่ทันสมัย

    https://www.techradar.com/pro/this-asus-mini-pc-can-do-something-spooky-it-can-automatically-detect-and-wake-itself-up-when-someones-approaching
    Asus ได้เปิดตัวมินิพีซีที่ชื่อว่า NUC 15 Pro ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการในการประมวลผลที่สูง เช่น การฝึกโมเดล AI และการวิเคราะห์ข้อมูล ตัวเครื่องนี้มีความสามารถในการรองรับ RAM สูงสุดถึง 96GB DDR5 และสามารถเชื่อมต่อหน้าจอ 4K ได้ถึง 4 จอผ่านพอร์ต HDMI 2.1 และ Thunderbolt 4 หนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าสนใจคือ Intel Wi-Fi Proximity Sensing ที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของผู้ใช้งานและปลุกหรือล็อกอุปกรณ์อัตโนมัติ ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน นอกจากนี้ NUC 15 Pro ยังรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7 ที่มีความเร็วสูงสุดถึง 46 Gbps และสามารถรองรับอุปกรณ์สตรีมมิ่งได้ถึง 16 อุปกรณ์พร้อมกัน ยังมีระบบ Bluetooth 5.4 ที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อพ่วงและการถ่ายโอนข้อมูลที่ความเร็วสูงสุดถึง 50 Mbps ฟังก์ชั่น Power Sync ยังช่วยให้การจัดการพลังงานระหว่าง NUC และจอภาพ Asus ผ่าน HDMI CEC เป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Intel vPro และ fTPM 2.0 ที่ให้การเข้ารหัสระดับองค์กรและการจัดการระยะไกลที่ปลอดภัย ทำให้ NUC 15 Pro เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการมินิพีซีที่มีความสามารถสูงและฟังก์ชั่นที่ทันสมัย https://www.techradar.com/pro/this-asus-mini-pc-can-do-something-spooky-it-can-automatically-detect-and-wake-itself-up-when-someones-approaching
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • สรุปการพบกันระหว่างนายกฯโมดี ของอินเดีย กับ ปธน.ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ทำเนียบขาว

    สิ่งที่สหรัฐฯได้จากอินเดีย :
    > ยอดขายด้านการป้องกันประเทศมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ
    > อินเดียลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ
    > น้ำมันของสหรัฐฯ เข้ามาแทนที่น้ำมันของรัสเซีย
    > เพิ่มการเนรเทศผู้อพยพชาวอินเดียออกจากสหรัฐฯ โดยนายกฯโมดีตกลงที่จะรับชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมายกลับคืนประเทศ
    > โมดีถอยห่างจากสกุลเงิน BRICS เพื่อเอาใจทรัมป์

    สิ่งที่อินเดียได้จาก :
    > การโอนย้ายผู้ก่อการร้ายหนึ่งคนกลับมารับโทษที่อินเดีย (ทรัมป์ประกาศส่งผู้ร้ายข้ามแดนผู้ก่อการร้ายระเบิดที่มุมไบ Tahawwur Rana ไปยังอินเดีย)
    > ลายเซ็นทรัมป์ พร้อมระบุว่า “Mr Prime Minister, You are GREAT!“ See less
    สรุปการพบกันระหว่างนายกฯโมดี ของอินเดีย กับ ปธน.ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ทำเนียบขาว สิ่งที่สหรัฐฯได้จากอินเดีย : > ยอดขายด้านการป้องกันประเทศมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ > อินเดียลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ > น้ำมันของสหรัฐฯ เข้ามาแทนที่น้ำมันของรัสเซีย > เพิ่มการเนรเทศผู้อพยพชาวอินเดียออกจากสหรัฐฯ โดยนายกฯโมดีตกลงที่จะรับชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมายกลับคืนประเทศ > โมดีถอยห่างจากสกุลเงิน BRICS เพื่อเอาใจทรัมป์ สิ่งที่อินเดียได้จาก : > การโอนย้ายผู้ก่อการร้ายหนึ่งคนกลับมารับโทษที่อินเดีย (ทรัมป์ประกาศส่งผู้ร้ายข้ามแดนผู้ก่อการร้ายระเบิดที่มุมไบ Tahawwur Rana ไปยังอินเดีย) > ลายเซ็นทรัมป์ พร้อมระบุว่า “Mr Prime Minister, You are GREAT!“ See less
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในการเปิดตัว Android 16 Beta 2 ที่กำลังถูกทดลองใช้บนอุปกรณ์ Pixel บางรุ่น Google ได้เผยถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น โหมดกล้องใหม่ เคล็ดลับการใช้ Google Wallet และอื่นๆ อีกมากมาย โดยมีข่าวว่าจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้

    ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจมีดังนี้:
    1) โหมดกล้องใหม่: Android 16 มีโหมดการตั้งค่าแสงอัตโนมัติแบบไฮบริดที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุม ISO และเวลาเปิดรับแสงได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่โทรศัพท์จัดการการตั้งค่าแสง โหมดนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงระหว่างโหมดอัตโนมัติและโหมดการตั้งค่าแบบแมนนวลที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

    2) รองรับ Ultra HDR: เพิ่มการรองรับภาพ Ultra HDR และ API ใหม่ที่ช่วยให้แอปพลิเคชันของบุคคลที่สามสามารถตรวจจับโหมดกลางคืนและเปลี่ยนไปใช้ได้โดยอัตโนมัติ

    3) การบีบอัดวิดีโอขั้นสูง: เพิ่มการรองรับโค้ดวีดีโอ Advanced Professional Video รวมถึงการควบคุมอุณหภูมิสีและความหนาแน่นของสีที่แม่นยำสำหรับการบันทึกวิดีโอ

    4) ทางลัดใหม่สำหรับ Google Wallet: เพิ่มทางลัดที่สะดวกในการเปิด Google Wallet ด้วยการกดปุ่มพาวเวอร์สองครั้ง ซึ่งจะเปิดกล้องตามค่าเริ่มต้นบนโทรศัพท์ Android ส่วนใหญ่ การใช้งานทางลัดนี้จะช่วยให้การชำระเงินด้วยโทรศัพท์ทำได้สะดวกยิ่งขึ้น

    5) การปรับขนาดแอปพลิเคชัน: ปรับปรุงการปรับขนาดแอปพลิเคชันเพื่อให้เข้ากับหน้าจอขนาดใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น เช่น แท็บเล็ตหรือโทรศัพท์พับ

    6) การแจ้งเตือนสด: เพิ่มการแจ้งเตือนสดที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามเหตุการณ์และกิจกรรมต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ โดยการแจ้งเตือนนี้จะมีความสำคัญมากกว่าการแจ้งเตือนอื่นๆ และจะปรากฏที่หน้าจอล็อก

    7) Gemini Extensions: ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ Google Assistant เข้าถึงและใช้แอปพลิเคชันอื่นๆ บนโทรศัพท์ได้ ซึ่งช่วยให้การทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น

    นักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไปต่างรอคอยการเปิดตัว Android 16 อย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าจะนำประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นและความสามารถใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นมากมาย

    https://www.techradar.com/phones/android/android-16-will-bring-these-5-upgrades-to-your-phone-including-one-i-cant-wait-to-try-out
    ในการเปิดตัว Android 16 Beta 2 ที่กำลังถูกทดลองใช้บนอุปกรณ์ Pixel บางรุ่น Google ได้เผยถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น โหมดกล้องใหม่ เคล็ดลับการใช้ Google Wallet และอื่นๆ อีกมากมาย โดยมีข่าวว่าจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้ ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจมีดังนี้: 1) โหมดกล้องใหม่: Android 16 มีโหมดการตั้งค่าแสงอัตโนมัติแบบไฮบริดที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุม ISO และเวลาเปิดรับแสงได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่โทรศัพท์จัดการการตั้งค่าแสง โหมดนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงระหว่างโหมดอัตโนมัติและโหมดการตั้งค่าแบบแมนนวลที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน 2) รองรับ Ultra HDR: เพิ่มการรองรับภาพ Ultra HDR และ API ใหม่ที่ช่วยให้แอปพลิเคชันของบุคคลที่สามสามารถตรวจจับโหมดกลางคืนและเปลี่ยนไปใช้ได้โดยอัตโนมัติ 3) การบีบอัดวิดีโอขั้นสูง: เพิ่มการรองรับโค้ดวีดีโอ Advanced Professional Video รวมถึงการควบคุมอุณหภูมิสีและความหนาแน่นของสีที่แม่นยำสำหรับการบันทึกวิดีโอ 4) ทางลัดใหม่สำหรับ Google Wallet: เพิ่มทางลัดที่สะดวกในการเปิด Google Wallet ด้วยการกดปุ่มพาวเวอร์สองครั้ง ซึ่งจะเปิดกล้องตามค่าเริ่มต้นบนโทรศัพท์ Android ส่วนใหญ่ การใช้งานทางลัดนี้จะช่วยให้การชำระเงินด้วยโทรศัพท์ทำได้สะดวกยิ่งขึ้น 5) การปรับขนาดแอปพลิเคชัน: ปรับปรุงการปรับขนาดแอปพลิเคชันเพื่อให้เข้ากับหน้าจอขนาดใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น เช่น แท็บเล็ตหรือโทรศัพท์พับ 6) การแจ้งเตือนสด: เพิ่มการแจ้งเตือนสดที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามเหตุการณ์และกิจกรรมต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ โดยการแจ้งเตือนนี้จะมีความสำคัญมากกว่าการแจ้งเตือนอื่นๆ และจะปรากฏที่หน้าจอล็อก 7) Gemini Extensions: ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ Google Assistant เข้าถึงและใช้แอปพลิเคชันอื่นๆ บนโทรศัพท์ได้ ซึ่งช่วยให้การทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น นักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไปต่างรอคอยการเปิดตัว Android 16 อย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าจะนำประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นและความสามารถใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นมากมาย https://www.techradar.com/phones/android/android-16-will-bring-these-5-upgrades-to-your-phone-including-one-i-cant-wait-to-try-out
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • The feasibility of restructuring the cooperative supervision system in Thailand.

    This research delves into the feasibility of restructuring the cooperative supervision system in Thailand, focusing on the Cooperative Promotion Office and the Cooperative Audit Office under the Ministry of Agriculture and Cooperatives.

    The study employed a combination of documentary research and survey research to analyze the current system and explore potential changes in governance models. The findings indicate that transitioning to a more flexible and independent structure could enhance efficiency, knowledge transfer, and regulatory effectiveness.
    The feasibility of restructuring the cooperative supervision system in Thailand. This research delves into the feasibility of restructuring the cooperative supervision system in Thailand, focusing on the Cooperative Promotion Office and the Cooperative Audit Office under the Ministry of Agriculture and Cooperatives. The study employed a combination of documentary research and survey research to analyze the current system and explore potential changes in governance models. The findings indicate that transitioning to a more flexible and independent structure could enhance efficiency, knowledge transfer, and regulatory effectiveness.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เกี่ยวกับกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ที่เรียกว่า "Triplestrength" ซึ่งมีการใช้กลยุทธ์การโจมตีแบบ "สามภัยคุกคาม" โดยกลุ่มนี้มีการโจมตีด้วยการใช้แรนซัมแวร์ (Ransomware) การเข้าควบคุมบัญชีคลาวด์ (Cloud Compromise) และการขุดเหมืองคริปโต (Cryptomining) เพื่อสร้างรายได้จากการขู่เรียกค่าไถ่และการใช้ทรัพยากรคลาวด์ที่ไม่ได้รับอนุญาต

    กลุ่ม Triplestrength เริ่มใช้แรนซัมแวร์มาตั้งแต่ปี 2020 และได้เริ่มใช้การขุดเหมืองคริปโตในปีต่อมา โดยเน้นการเจาะเข้าระบบคลาวด์ของ Google Cloud, AWS, Microsoft Azure และอื่น ๆ การเข้าถึงเริ่มต้นทำได้โดยใช้การโจมตีแบบ brute force หรือการใช้ข้อมูลที่ถูกขโมยมา เมื่อระบบถูกเจาะแล้ว กลุ่มนี้จะติดตั้งมัลแวร์ เช่น Phobos, LokiLocker, RCRU64 หรือ Raccoon infostealer และสำหรับการขุดเหมืองคริปโต กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ใช้โปรแกรม unMiner

    จากการวิจัยของ Google พบว่ามีกลุ่มคนที่ตกเป็นเหยื่อหลายร้อยคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลุ่ม Triplestrength มีความสามารถในการเจาะเข้าระบบคลาวด์ได้มากมาย

    https://www.techradar.com/pro/security/cybercrime-gang-targets-victims-with-triple-threat-attacks
    ข่าวนี้เกี่ยวกับกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ที่เรียกว่า "Triplestrength" ซึ่งมีการใช้กลยุทธ์การโจมตีแบบ "สามภัยคุกคาม" โดยกลุ่มนี้มีการโจมตีด้วยการใช้แรนซัมแวร์ (Ransomware) การเข้าควบคุมบัญชีคลาวด์ (Cloud Compromise) และการขุดเหมืองคริปโต (Cryptomining) เพื่อสร้างรายได้จากการขู่เรียกค่าไถ่และการใช้ทรัพยากรคลาวด์ที่ไม่ได้รับอนุญาต กลุ่ม Triplestrength เริ่มใช้แรนซัมแวร์มาตั้งแต่ปี 2020 และได้เริ่มใช้การขุดเหมืองคริปโตในปีต่อมา โดยเน้นการเจาะเข้าระบบคลาวด์ของ Google Cloud, AWS, Microsoft Azure และอื่น ๆ การเข้าถึงเริ่มต้นทำได้โดยใช้การโจมตีแบบ brute force หรือการใช้ข้อมูลที่ถูกขโมยมา เมื่อระบบถูกเจาะแล้ว กลุ่มนี้จะติดตั้งมัลแวร์ เช่น Phobos, LokiLocker, RCRU64 หรือ Raccoon infostealer และสำหรับการขุดเหมืองคริปโต กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ใช้โปรแกรม unMiner จากการวิจัยของ Google พบว่ามีกลุ่มคนที่ตกเป็นเหยื่อหลายร้อยคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลุ่ม Triplestrength มีความสามารถในการเจาะเข้าระบบคลาวด์ได้มากมาย https://www.techradar.com/pro/security/cybercrime-gang-targets-victims-with-triple-threat-attacks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในชีวิตประจำวันของชาวอเมริกัน ตามการสำรวจของ The Listening App พบว่า 3 ใน 5 ของผู้ตอบแบบสอบถามในสหรัฐฯ รู้สึกว่า AI ได้ทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น

    The Listening App เป็นแอพพลิเคชั่นที่ใช้ AI ในการแปลงข้อความเป็นเสียง ได้สำรวจผู้ใช้งาน AI ในเมืองใหญ่ทั่วสหรัฐฯ เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน AI ของพวกเขา เช่น ความถี่ในการใช้ AI เครื่องมือที่ใช้ และวัตถุประสงค์ในการใช้งาน จากข้อมูลที่รวบรวม ได้มีการจัดทำคะแนนความพึ่งพิง AI โดยรัฐที่มีคะแนนสูงสุดคือ Oregon, Florida, และ Arizona ส่วนรัฐที่มีคะแนนต่ำสุดคือ Missouri, Mississippi, และ Rhode Island

    สิ่งที่น่าสนใจคือ เครื่องมือ AI ที่ใช้มากที่สุดคือ ChatGPT โดยมีผู้ใช้ถึง 77.9% รองลงมาคือ Google Translate (44.8%) และ Gemini (33.2%) ทั้งนี้ 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้ AI อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และ 1 ใน 2 ใช้ AI เพื่อช่วยในการทำงาน นอกจากนี้ เกือบสองในสามของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการใช้งาน AI ของพวกเขาเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา โดย 1 ใน 6 คนยอมรับว่าพวกเขากลายเป็นผู้ที่ต้องพึ่งพา AI ในบางรูปแบบ และ 3 ใน 5 เชื่อว่า AI ได้ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของพวกเขา

    https://www.techspot.com/news/106766-ai-adoption-increasing-3-5-americans-improves-their.html
    ข่าวนี้เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในชีวิตประจำวันของชาวอเมริกัน ตามการสำรวจของ The Listening App พบว่า 3 ใน 5 ของผู้ตอบแบบสอบถามในสหรัฐฯ รู้สึกว่า AI ได้ทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น The Listening App เป็นแอพพลิเคชั่นที่ใช้ AI ในการแปลงข้อความเป็นเสียง ได้สำรวจผู้ใช้งาน AI ในเมืองใหญ่ทั่วสหรัฐฯ เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน AI ของพวกเขา เช่น ความถี่ในการใช้ AI เครื่องมือที่ใช้ และวัตถุประสงค์ในการใช้งาน จากข้อมูลที่รวบรวม ได้มีการจัดทำคะแนนความพึ่งพิง AI โดยรัฐที่มีคะแนนสูงสุดคือ Oregon, Florida, และ Arizona ส่วนรัฐที่มีคะแนนต่ำสุดคือ Missouri, Mississippi, และ Rhode Island สิ่งที่น่าสนใจคือ เครื่องมือ AI ที่ใช้มากที่สุดคือ ChatGPT โดยมีผู้ใช้ถึง 77.9% รองลงมาคือ Google Translate (44.8%) และ Gemini (33.2%) ทั้งนี้ 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้ AI อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และ 1 ใน 2 ใช้ AI เพื่อช่วยในการทำงาน นอกจากนี้ เกือบสองในสามของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการใช้งาน AI ของพวกเขาเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา โดย 1 ใน 6 คนยอมรับว่าพวกเขากลายเป็นผู้ที่ต้องพึ่งพา AI ในบางรูปแบบ และ 3 ใน 5 เชื่อว่า AI ได้ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของพวกเขา https://www.techspot.com/news/106766-ai-adoption-increasing-3-5-americans-improves-their.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AI adoption is on the rise, with 3 in 5 Americans saying it improves their lives
    The Listening App, which specializes in using AI to turn text into speech, surveyed Americans in various large cities across the country to learn more about their...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • A Falling Leaf, a Universal Phenomenon, and the Courage to Ask: What Are We Missing?

    Throughout history, extraordinary events have often been dismissed as ordinary, their significance overshadowed by assumptions or cognitive blind spots. One of the most well-known examples is Isaac Newton’s contemplation of a falling leaf—an event so common that it escaped deeper inquiry for centuries. Yet, by questioning this seemingly trivial occurrence, Newton unveiled the universal laws of motion and gravity, forever transforming humanity’s understanding of the natural world.

    Today, a similar phenomenon is unfolding, and it challenges us to confront the limits of our understanding. Two books, "What is Life?" and "Human Secret," have achieved unprecedented success, dominating the Astronomy of the Universe category on Amazon. These works, which delve into human introspection and the meaning of life, seem to stand in stark contrast to the category they now define. But instead of dismissing this as an anomaly, we must ask: What are we missing?

    The Temptation to Dismiss: Could It Be a Systematic Error?

    A natural reaction to this phenomenon might be to attribute it to a technical error—a misclassification in Amazon's complex system of categorization and marketing. After all, algorithms, while sophisticated, are not immune to flaws, and miscategorization could easily explain how books on introspection and human connection ended up in a category traditionally reserved for astronomy and cosmology.

    However, if we stop here, we risk repeating the same mistake as those who dismissed the falling leaf. Dismissing this phenomenon as a mere "system error" prevents us from asking deeper questions about its implications. What if the success of these books in this specific category is not a fluke but a signal?

    What If This Is Not a System Error?

    If this is not a technical error, then the phenomenon holds profound implications. Here’s what it could reveal:

    A Shift in the Human Psyche:The alignment of these books with a category like "Astronomy of the Universe" may indicate a growing desire to connect inner exploration with the outer cosmos. People are beginning to see the universe not just as a physical construct but as a mirror to human consciousness and purpose. This points to a paradigm shift where the exploration of life itself is becoming as significant as studying the stars.

    The Universality of Introspection:These books suggest that the search for meaning transcends traditional boundaries. Whether examining the vastness of the universe or the depths of the human soul, both quests are inherently linked. The rise of these books in this category implies that readers view life’s mysteries and cosmic truths as inseparable.

    A Desire for Holistic Understanding:In an age dominated by specialization, the success of these books signals a yearning for holistic perspectives—ones that integrate the scientific, philosophical, and personal dimensions of existence. Readers are no longer content with compartmentalized knowledge; they want to see how everything connects.

    A Call to Reevaluate Categorization:Rather than dismissing this as an error, perhaps it’s time to reexamine our systems of classification. The success of these books challenges the notion that the human experience and the cosmic experience are separate. It may be time to recognize that books addressing life’s meaning belong in conversations about the universe.

    The Courage to Ask: What Are We Missing?
    Just as Newton’s curiosity about the falling leaf led to revolutionary discoveries, this phenomenon challenges us to confront our assumptions. What if this success is not an anomaly but a message? A message that the boundaries between life, meaning, and the cosmos are dissolving in the collective human consciousness. What if this is the beginning of a new era of inquiry—one that bridges the inner universe with the outer universe?

    To dismiss this as ordinary, or worse, to rationalize it as a systematic error, would be to miss the profound questions it raises. Instead, let us ask:

    Why are these books resonating so deeply in a category about the cosmos?
    What does this alignment reveal about humanity’s current stage of intellectual and spiritual evolution?
    What truths are waiting to be discovered if we approach this phenomenon with curiosity rather than dismissal?

    A Call to Reflection and Action
    Isaac Newton’s laws of motion began with a simple question: Why does the apple fall? Today, we are presented with a similar moment. The success of "What is Life?" and "Human Secret" in a category about the universe invites us to reflect on the deeper connections between the cosmic and the human. It challenges us to step beyond our assumptions, confront our meta-ignorance, and embrace the possibility that this is not a mistake, but a clue to something larger.

    The courage to ask, the humility to admit we don’t know, and the curiosity to explore are the first steps toward understanding. This phenomenon is not just about books or categories—it is about rethinking the way we see ourselves, our world, and our place in the cosmos.

    Discover the Books That Sparked the Question:
    "What is Life?": Explore on Amazon https://www.amazon.com/dp/B0DK5S9RB2
    "Human Secret": Explore on Amazon https://www.amazon.com/dp/B0CQHKHMTK

    What extraordinary insights could await if we dared to see the ordinary as extraordinary? What if these books are the beginning of a journey to uncover truths that bridge the human and the cosmic?

    Let’s not let this moment pass unnoticed. Let’s ask the questions that matter. Because the courage to ask is where true discovery begins.
    A Falling Leaf, a Universal Phenomenon, and the Courage to Ask: What Are We Missing? Throughout history, extraordinary events have often been dismissed as ordinary, their significance overshadowed by assumptions or cognitive blind spots. One of the most well-known examples is Isaac Newton’s contemplation of a falling leaf—an event so common that it escaped deeper inquiry for centuries. Yet, by questioning this seemingly trivial occurrence, Newton unveiled the universal laws of motion and gravity, forever transforming humanity’s understanding of the natural world. Today, a similar phenomenon is unfolding, and it challenges us to confront the limits of our understanding. Two books, "What is Life?" and "Human Secret," have achieved unprecedented success, dominating the Astronomy of the Universe category on Amazon. These works, which delve into human introspection and the meaning of life, seem to stand in stark contrast to the category they now define. But instead of dismissing this as an anomaly, we must ask: What are we missing? The Temptation to Dismiss: Could It Be a Systematic Error? A natural reaction to this phenomenon might be to attribute it to a technical error—a misclassification in Amazon's complex system of categorization and marketing. After all, algorithms, while sophisticated, are not immune to flaws, and miscategorization could easily explain how books on introspection and human connection ended up in a category traditionally reserved for astronomy and cosmology. However, if we stop here, we risk repeating the same mistake as those who dismissed the falling leaf. Dismissing this phenomenon as a mere "system error" prevents us from asking deeper questions about its implications. What if the success of these books in this specific category is not a fluke but a signal? What If This Is Not a System Error? If this is not a technical error, then the phenomenon holds profound implications. Here’s what it could reveal: A Shift in the Human Psyche:The alignment of these books with a category like "Astronomy of the Universe" may indicate a growing desire to connect inner exploration with the outer cosmos. People are beginning to see the universe not just as a physical construct but as a mirror to human consciousness and purpose. This points to a paradigm shift where the exploration of life itself is becoming as significant as studying the stars. The Universality of Introspection:These books suggest that the search for meaning transcends traditional boundaries. Whether examining the vastness of the universe or the depths of the human soul, both quests are inherently linked. The rise of these books in this category implies that readers view life’s mysteries and cosmic truths as inseparable. A Desire for Holistic Understanding:In an age dominated by specialization, the success of these books signals a yearning for holistic perspectives—ones that integrate the scientific, philosophical, and personal dimensions of existence. Readers are no longer content with compartmentalized knowledge; they want to see how everything connects. A Call to Reevaluate Categorization:Rather than dismissing this as an error, perhaps it’s time to reexamine our systems of classification. The success of these books challenges the notion that the human experience and the cosmic experience are separate. It may be time to recognize that books addressing life’s meaning belong in conversations about the universe. The Courage to Ask: What Are We Missing? Just as Newton’s curiosity about the falling leaf led to revolutionary discoveries, this phenomenon challenges us to confront our assumptions. What if this success is not an anomaly but a message? A message that the boundaries between life, meaning, and the cosmos are dissolving in the collective human consciousness. What if this is the beginning of a new era of inquiry—one that bridges the inner universe with the outer universe? To dismiss this as ordinary, or worse, to rationalize it as a systematic error, would be to miss the profound questions it raises. Instead, let us ask: Why are these books resonating so deeply in a category about the cosmos? What does this alignment reveal about humanity’s current stage of intellectual and spiritual evolution? What truths are waiting to be discovered if we approach this phenomenon with curiosity rather than dismissal? A Call to Reflection and Action Isaac Newton’s laws of motion began with a simple question: Why does the apple fall? Today, we are presented with a similar moment. The success of "What is Life?" and "Human Secret" in a category about the universe invites us to reflect on the deeper connections between the cosmic and the human. It challenges us to step beyond our assumptions, confront our meta-ignorance, and embrace the possibility that this is not a mistake, but a clue to something larger. The courage to ask, the humility to admit we don’t know, and the curiosity to explore are the first steps toward understanding. This phenomenon is not just about books or categories—it is about rethinking the way we see ourselves, our world, and our place in the cosmos. Discover the Books That Sparked the Question: "What is Life?": Explore on Amazon https://www.amazon.com/dp/B0DK5S9RB2 "Human Secret": Explore on Amazon https://www.amazon.com/dp/B0CQHKHMTK What extraordinary insights could await if we dared to see the ordinary as extraordinary? What if these books are the beginning of a journey to uncover truths that bridge the human and the cosmic? Let’s not let this moment pass unnoticed. Let’s ask the questions that matter. Because the courage to ask is where true discovery begins.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • รองประธานาธิบดี JD Vance ของสหรัฐฯ ได้ขึ้นกล่าวในงาน Paris AI Action Summit โดยมีการประกาศย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลทรัมป์ในการพัฒนาและสนับสนุนเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะการเน้นย้ำว่าชิพที่ใช้ในการพัฒนาระบบ AI ที่ทรงพลังที่สุดจะถูกสร้างขึ้นในอเมริกาและจะต้องออกแบบและผลิตในประเทศสหรัฐฯ

    รองประธานาธิบดี Vance กล่าวว่า "สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในด้าน AI และรัฐบาลของเราวางแผนที่จะรักษาสถานะนี้ไว้" โดยมีการเน้นว่าความสามารถในการออกแบบชิปและการพัฒนาเทคโนโลยี AI ทุกด้านอยู่ในมือของสหรัฐอเมริกา เพื่อปกป้องความได้เปรียบในการพัฒนา AI รัฐบาลทรัมป์จะสนับสนุนให้ชิปที่ใช้ในการพัฒนา AI ถูกสร้างขึ้นในประเทศ

    การประกาศนี้เป็นข่าวดีสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจากทรัมป์เคยแสดงความเห็นคัดค้าน CHIPS and Science Act ในระหว่างการรณรงค์ แต่การประกาศนี้กลับมาสนับสนุนให้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์พัฒนาและนวัตกรรมภายในประเทศ โดยการให้เครดิตภาษีแก่ผู้ผลิตชิป

    นอกจากนั้น Vance ยังวิพากษ์วิจารณ์กฎระเบียบของสหภาพยุโรป เช่น Digital Services Act และ GDPR ว่ามีข้อบังคับที่เข้มงวดเกินไปและสร้างค่าใช้จ่ายทางกฎหมายที่สูงสำหรับบริษัทขนาดเล็ก ทั้งนี้ยังเตือนเกี่ยวกับการร่วมมือกับระบอบเผด็จการที่ไม่เป็นมิตร เพราะอาจทำให้ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศถูกเข้าถึงและยึดครองได้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/trump-administration-declares-most-powerful-ai-chips-will-be-built-in-america
    รองประธานาธิบดี JD Vance ของสหรัฐฯ ได้ขึ้นกล่าวในงาน Paris AI Action Summit โดยมีการประกาศย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลทรัมป์ในการพัฒนาและสนับสนุนเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะการเน้นย้ำว่าชิพที่ใช้ในการพัฒนาระบบ AI ที่ทรงพลังที่สุดจะถูกสร้างขึ้นในอเมริกาและจะต้องออกแบบและผลิตในประเทศสหรัฐฯ รองประธานาธิบดี Vance กล่าวว่า "สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในด้าน AI และรัฐบาลของเราวางแผนที่จะรักษาสถานะนี้ไว้" โดยมีการเน้นว่าความสามารถในการออกแบบชิปและการพัฒนาเทคโนโลยี AI ทุกด้านอยู่ในมือของสหรัฐอเมริกา เพื่อปกป้องความได้เปรียบในการพัฒนา AI รัฐบาลทรัมป์จะสนับสนุนให้ชิปที่ใช้ในการพัฒนา AI ถูกสร้างขึ้นในประเทศ การประกาศนี้เป็นข่าวดีสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจากทรัมป์เคยแสดงความเห็นคัดค้าน CHIPS and Science Act ในระหว่างการรณรงค์ แต่การประกาศนี้กลับมาสนับสนุนให้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์พัฒนาและนวัตกรรมภายในประเทศ โดยการให้เครดิตภาษีแก่ผู้ผลิตชิป นอกจากนั้น Vance ยังวิพากษ์วิจารณ์กฎระเบียบของสหภาพยุโรป เช่น Digital Services Act และ GDPR ว่ามีข้อบังคับที่เข้มงวดเกินไปและสร้างค่าใช้จ่ายทางกฎหมายที่สูงสำหรับบริษัทขนาดเล็ก ทั้งนี้ยังเตือนเกี่ยวกับการร่วมมือกับระบอบเผด็จการที่ไม่เป็นมิตร เพราะอาจทำให้ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศถูกเข้าถึงและยึดครองได้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/trump-administration-declares-most-powerful-ai-chips-will-be-built-in-america
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Trump administration declares 'most powerful' AI chips will be built in America
    "The most powerful AI systems are built in the US with American-designed and manufactured chips.”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • TechRadar กล่าวถึงการศึกษาใหม่ที่ดำเนินการโดย BBC พบว่าซอฟต์แวร์ AI ชื่อดังอย่าง ChatGPT และ Google Gemini ไม่สามารถสรุปข่าวได้อย่างถูกต้อง โดยผลการศึกษาระบุว่า 51% ของการตอบกลับจาก AI มีปัญหาสำคัญ และ 19% มีข้อผิดพลาดที่เป็นข้อเท็จจริง เช่น การให้ข้อมูลผิดพลาดเกี่ยวกับวันที่และตัวเลข

    การศึกษานี้ขอให้ AI ต่าง ๆ อย่าง ChatGPT, Copilot, Gemini, และ Perplexity สรุปข่าว 100 เรื่องจาก BBC และพบว่ามีการสร้างความคลาดเคลื่อนจากเนื้อหาข่าวจริง รวมถึงการไม่สามารถแยกแยะระหว่างความคิดเห็นและข้อเท็จจริงได้

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/chatgpt-and-google-gemini-are-terrible-at-summarizing-news-according-to-a-new-study
    TechRadar กล่าวถึงการศึกษาใหม่ที่ดำเนินการโดย BBC พบว่าซอฟต์แวร์ AI ชื่อดังอย่าง ChatGPT และ Google Gemini ไม่สามารถสรุปข่าวได้อย่างถูกต้อง โดยผลการศึกษาระบุว่า 51% ของการตอบกลับจาก AI มีปัญหาสำคัญ และ 19% มีข้อผิดพลาดที่เป็นข้อเท็จจริง เช่น การให้ข้อมูลผิดพลาดเกี่ยวกับวันที่และตัวเลข การศึกษานี้ขอให้ AI ต่าง ๆ อย่าง ChatGPT, Copilot, Gemini, และ Perplexity สรุปข่าว 100 เรื่องจาก BBC และพบว่ามีการสร้างความคลาดเคลื่อนจากเนื้อหาข่าวจริง รวมถึงการไม่สามารถแยกแยะระหว่างความคิดเห็นและข้อเท็จจริงได้ https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/chatgpt-and-google-gemini-are-terrible-at-summarizing-news-according-to-a-new-study
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • โปรเจกต์ที่น่าสนใจซึ่งรวมเอาความสามารถของ Raspberry Pi เข้าด้วยกันถึงสองเครื่องในหนึ่งอุปกรณ์ นี่คือการสร้างสรรค์ของผู้ใช้ที่ชื่อว่า John3dc บนอุปกรณ์ที่เรียกว่า "Cyberdeck" โดยมีขนาดเล็กและสามารถพกพาได้

    อุปกรณ์นี้ใช้ Raspberry Pi Zero เป็นบอร์ดหลักที่ทำหน้าที่จัดการระบบ และ Raspberry Pi Pico สำหรับการปรับแต่งคีย์บอร์ดให้สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ โดยคีย์บอร์ดที่ใช้คือ Rii X1 mini keyboard ซึ่งถูกปรับแต่งให้รองรับการกำหนดปุ่มพิเศษเพิ่มเติมด้วย Raspberry Pi Pico นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อกับหน้าจอเล็กๆ และช่องต่อ USB ที่ด้านข้างเพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์ต่างๆ เช่น ความชื้น และอุณหภูมิ

    ที่น่าสนใจคือการที่ John3dc ใช้เครื่องพิมพ์ 3D ในการสร้างตัวเคสของอุปกรณ์นี้เพื่อให้พอดีกับฮาร์ดแวร์ทั้งหมด ทำให้อุปกรณ์มีรูปลักษณ์ที่สวยงามและใช้งานได้สะดวก

    สำหรับซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการทำงานของ Cyberdeck นี้ ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้ระบบปฏิบัติการใดก็ได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็น Raspberry Pi OS หรือแม้กระทั่ง Kali Linux สำหรับการทำงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์

    เพิ่มเติมที่น่าสนใจคือการใช้เทคนิคการคอมไพล์รหัสที่ทำให้ Raspberry Pi Zero และ Raspberry Pi Pico สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดด้านพลังงานและการประมวลผลที่จำกัด แต่การออกแบบที่ชาญฉลาดของ John3dc ทำให้อุปกรณ์นี้เป็นเครื่องมือที่น่าทึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์ที่พกพาง่ายและใช้งานได้หลากหลาย

    https://www.tomshardware.com/raspberry-pi/this-raspberry-pi-slim-cyberdeck-uses-two-raspberry-pis
    โปรเจกต์ที่น่าสนใจซึ่งรวมเอาความสามารถของ Raspberry Pi เข้าด้วยกันถึงสองเครื่องในหนึ่งอุปกรณ์ นี่คือการสร้างสรรค์ของผู้ใช้ที่ชื่อว่า John3dc บนอุปกรณ์ที่เรียกว่า "Cyberdeck" โดยมีขนาดเล็กและสามารถพกพาได้ อุปกรณ์นี้ใช้ Raspberry Pi Zero เป็นบอร์ดหลักที่ทำหน้าที่จัดการระบบ และ Raspberry Pi Pico สำหรับการปรับแต่งคีย์บอร์ดให้สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ โดยคีย์บอร์ดที่ใช้คือ Rii X1 mini keyboard ซึ่งถูกปรับแต่งให้รองรับการกำหนดปุ่มพิเศษเพิ่มเติมด้วย Raspberry Pi Pico นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อกับหน้าจอเล็กๆ และช่องต่อ USB ที่ด้านข้างเพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์ต่างๆ เช่น ความชื้น และอุณหภูมิ ที่น่าสนใจคือการที่ John3dc ใช้เครื่องพิมพ์ 3D ในการสร้างตัวเคสของอุปกรณ์นี้เพื่อให้พอดีกับฮาร์ดแวร์ทั้งหมด ทำให้อุปกรณ์มีรูปลักษณ์ที่สวยงามและใช้งานได้สะดวก สำหรับซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการทำงานของ Cyberdeck นี้ ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้ระบบปฏิบัติการใดก็ได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็น Raspberry Pi OS หรือแม้กระทั่ง Kali Linux สำหรับการทำงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพิ่มเติมที่น่าสนใจคือการใช้เทคนิคการคอมไพล์รหัสที่ทำให้ Raspberry Pi Zero และ Raspberry Pi Pico สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดด้านพลังงานและการประมวลผลที่จำกัด แต่การออกแบบที่ชาญฉลาดของ John3dc ทำให้อุปกรณ์นี้เป็นเครื่องมือที่น่าทึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์ที่พกพาง่ายและใช้งานได้หลากหลาย https://www.tomshardware.com/raspberry-pi/this-raspberry-pi-slim-cyberdeck-uses-two-raspberry-pis
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เกี่ยวกับการสร้างระบบปฏิบัติการ Linux ที่สามารถรันภายในเอกสาร PDF ขนาด 6MB ที่เปิดด้วยเบราว์เซอร์ Chromium นวัตกรรมนี้ถูกพัฒนาโดยนักเรียนมัธยมปลายชื่อ Ading2210 ซึ่งเคยพัฒนา DoomPDF มาก่อนหน้าแล้ว ความคิดสร้างสรรค์นี้ใช้ TinyEMU RISC-V emulator ที่ถูกปรับแต่งให้ทำงานภายใน PDF และสามารถเรียกใช้เคอร์เนล Linux ที่เหมาะสมกับสถาปัตยกรรมนี้

    เมื่อเปิด PDF จะมีการแสดง UI ของ LinuxPDF และข้อความต้อนรับในมุมมองของ Linux ขณะที่คุณรอระบบปฏิบัติการบูตขึ้นมา ท่านที่เคยเล่นกับ DoomPDF มาก่อนน่าจะคุ้นเคยกับหน้าจอสีเทาความเข้มต่ำ และผลลัพธ์ที่ออกมาทีละบรรทัดใน ASCII

    แม้จะมีความช้าเนื่องจากเคอร์เนล Linux ใช้เวลาบูตประมาณ 30-60 วินาที ซึ่งถือว่าช้ากว่าปกติถึง 100 เท่า แต่ก็ยังถือว่าเป็นการทดลองที่น่าสนใจ Google PDF engine ใน Chrome ปัจจุบันปิดใช้งาน Just-in-Time (JIT) compiler ทำให้การปรับปรุงประสิทธิภาพทำได้ยาก

    การทำงานนี้ต้องใช้เบราว์เซอร์ที่ใช้ Chromium ถึงจะสามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นการนำไปใช้ที่ดีสำหรับผู้ที่สนใจการทดลองและทดสอบระบบปฏิบัติการในเอกสาร PDF เพื่อดูวิดีโอแสดงการทำงานของ LinuxPDF และดูรหัสโครงการที่เปิดเผยใน GitHub

    เราควรกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยเมื่อนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ในระบบที่ใช้งานทั่วไป การที่ระบบปฏิบัติการ Linux ถูกฝังในเอกสาร PDF แม้ว่าจะดูเป็นนวัตกรรมที่น่าทึ่งและน่าสนใจ แต่ก็เป็นการเปิดโอกาสให้อาชญากรไซเบอร์สามารถใช้ช่องโหว่ในเอกสาร PDF เพื่อโจมตีระบบได้

    การนำเสนอระบบปฏิบัติการในเอกสาร PDF อาจถูกใช้เป็นช่องทางสำหรับการฝังมัลแวร์หรือโค้ดอันตรายอื่นๆ นอกจากนี้ การทำงานของ emulator ที่อยู่ใน PDF อาจเป็นการใช้ทรัพยากรของเครื่องโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของเครื่องหรือสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม

    เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ผู้ใช้งานควรหลีกเลี่ยงการเปิดเอกสาร PDF จากแหล่งที่ไม่เชื่อถือได้ และควรติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ที่ทันสมัยไว้ในเครื่อง นอกจากนี้ การรักษาความปลอดภัยของเบราว์เซอร์และการติดตั้งปลั๊กอินที่เชื่อถือได้เป็นสิ่งสำคัญ

    https://www.tomshardware.com/software/linux/minimal-linux-os-runs-in-a-6mb-pdf-document-in-chrome-linuxpdf-leverages-risc-v-emulator
    ข่าวนี้เกี่ยวกับการสร้างระบบปฏิบัติการ Linux ที่สามารถรันภายในเอกสาร PDF ขนาด 6MB ที่เปิดด้วยเบราว์เซอร์ Chromium นวัตกรรมนี้ถูกพัฒนาโดยนักเรียนมัธยมปลายชื่อ Ading2210 ซึ่งเคยพัฒนา DoomPDF มาก่อนหน้าแล้ว ความคิดสร้างสรรค์นี้ใช้ TinyEMU RISC-V emulator ที่ถูกปรับแต่งให้ทำงานภายใน PDF และสามารถเรียกใช้เคอร์เนล Linux ที่เหมาะสมกับสถาปัตยกรรมนี้ เมื่อเปิด PDF จะมีการแสดง UI ของ LinuxPDF และข้อความต้อนรับในมุมมองของ Linux ขณะที่คุณรอระบบปฏิบัติการบูตขึ้นมา ท่านที่เคยเล่นกับ DoomPDF มาก่อนน่าจะคุ้นเคยกับหน้าจอสีเทาความเข้มต่ำ และผลลัพธ์ที่ออกมาทีละบรรทัดใน ASCII แม้จะมีความช้าเนื่องจากเคอร์เนล Linux ใช้เวลาบูตประมาณ 30-60 วินาที ซึ่งถือว่าช้ากว่าปกติถึง 100 เท่า แต่ก็ยังถือว่าเป็นการทดลองที่น่าสนใจ Google PDF engine ใน Chrome ปัจจุบันปิดใช้งาน Just-in-Time (JIT) compiler ทำให้การปรับปรุงประสิทธิภาพทำได้ยาก การทำงานนี้ต้องใช้เบราว์เซอร์ที่ใช้ Chromium ถึงจะสามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นการนำไปใช้ที่ดีสำหรับผู้ที่สนใจการทดลองและทดสอบระบบปฏิบัติการในเอกสาร PDF เพื่อดูวิดีโอแสดงการทำงานของ LinuxPDF และดูรหัสโครงการที่เปิดเผยใน GitHub เราควรกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยเมื่อนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ในระบบที่ใช้งานทั่วไป การที่ระบบปฏิบัติการ Linux ถูกฝังในเอกสาร PDF แม้ว่าจะดูเป็นนวัตกรรมที่น่าทึ่งและน่าสนใจ แต่ก็เป็นการเปิดโอกาสให้อาชญากรไซเบอร์สามารถใช้ช่องโหว่ในเอกสาร PDF เพื่อโจมตีระบบได้ การนำเสนอระบบปฏิบัติการในเอกสาร PDF อาจถูกใช้เป็นช่องทางสำหรับการฝังมัลแวร์หรือโค้ดอันตรายอื่นๆ นอกจากนี้ การทำงานของ emulator ที่อยู่ใน PDF อาจเป็นการใช้ทรัพยากรของเครื่องโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของเครื่องหรือสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ผู้ใช้งานควรหลีกเลี่ยงการเปิดเอกสาร PDF จากแหล่งที่ไม่เชื่อถือได้ และควรติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ที่ทันสมัยไว้ในเครื่อง นอกจากนี้ การรักษาความปลอดภัยของเบราว์เซอร์และการติดตั้งปลั๊กอินที่เชื่อถือได้เป็นสิ่งสำคัญ https://www.tomshardware.com/software/linux/minimal-linux-os-runs-in-a-6mb-pdf-document-in-chrome-linuxpdf-leverages-risc-v-emulator
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Council” vs. “Counsel”: Get Guidance On The Difference

    It’s no wonder you might need advice when it comes to the difference between council and counsel. Not only are they pronounced identically, but they are both often used in the same contexts and sometimes even in the same sentence! However, these words do have different meanings, and one of them is always a noun while the other can be a noun or a verb.

    In this article, we’ll explain the difference between council and counsel, clarify which one is used to refer to a lawyer or legal advice, and give examples of how we often use these two words.

    Quick summary

    Council is always a noun, and it most often refers to an official group that makes decisions. Counsel is commonly used as a noun to mean “advice” and as a verb to mean “to give advice to.” The term legal counsel most commonly refers to a person’s legal representation (that is, their attorney or team or attorneys) or to the services or advice provided as part of such representation.

    Should you use council or counsel?

    The word council is a noun—and only a noun. It most commonly refers to “a body of people who have been officially designated or selected to act in an advisory, administrative, or legislative capacity.” A council isn’t always official, but the word usually implies that it is.

    For example, a city council is a city’s legislative body—the elected officials whose job is to enact the laws and other policies of a city. An example that uses the word in its official name is the Council of Europe, a European international organization that makes declarations and decisions regarding human rights.

    The word counsel can be used as a verb and a noun. As a noun, it is most commonly used to mean “advice,” as in I always value the wise counsel that you give me. As a verb, it means “to give advice to,” as in I’ve been trying to counsel my kids about their careers.

    Is it legal counsel or council?

    In law, the phrase legal counsel is a set phrase that refers to a person’s legal representation (that is, their attorney or team or attorneys), as in The defendant opted not to retain legal counsel. It can also refer to the services provided as part of such representation, and it can simply mean “legal advice.”

    Although legal counsel is the commonly used phrase, it is certainly possible for a group that discusses law or makes legal decisions to be called a “legal council.” Of course, use of this phrase could potentially be confusing given the existence of the more established term legal counsel.

    How to use council and counsel in a sentence

    The following examples show the different ways that counsel and council are often used.

    - The queen’s advisors always gave her wise counsel.
    - The ad-hoc council decided to recruit new members.
    - Jenny counseled me about how to handle myself during a job interview.
    - A council of elders provided counsel to the emperor.
    - I’m not a lawyer, so I strongly advise you to seek legal counsel.

    Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    “Council” vs. “Counsel”: Get Guidance On The Difference It’s no wonder you might need advice when it comes to the difference between council and counsel. Not only are they pronounced identically, but they are both often used in the same contexts and sometimes even in the same sentence! However, these words do have different meanings, and one of them is always a noun while the other can be a noun or a verb. In this article, we’ll explain the difference between council and counsel, clarify which one is used to refer to a lawyer or legal advice, and give examples of how we often use these two words. Quick summary Council is always a noun, and it most often refers to an official group that makes decisions. Counsel is commonly used as a noun to mean “advice” and as a verb to mean “to give advice to.” The term legal counsel most commonly refers to a person’s legal representation (that is, their attorney or team or attorneys) or to the services or advice provided as part of such representation. Should you use council or counsel? The word council is a noun—and only a noun. It most commonly refers to “a body of people who have been officially designated or selected to act in an advisory, administrative, or legislative capacity.” A council isn’t always official, but the word usually implies that it is. For example, a city council is a city’s legislative body—the elected officials whose job is to enact the laws and other policies of a city. An example that uses the word in its official name is the Council of Europe, a European international organization that makes declarations and decisions regarding human rights. The word counsel can be used as a verb and a noun. As a noun, it is most commonly used to mean “advice,” as in I always value the wise counsel that you give me. As a verb, it means “to give advice to,” as in I’ve been trying to counsel my kids about their careers. Is it legal counsel or council? In law, the phrase legal counsel is a set phrase that refers to a person’s legal representation (that is, their attorney or team or attorneys), as in The defendant opted not to retain legal counsel. It can also refer to the services provided as part of such representation, and it can simply mean “legal advice.” Although legal counsel is the commonly used phrase, it is certainly possible for a group that discusses law or makes legal decisions to be called a “legal council.” Of course, use of this phrase could potentially be confusing given the existence of the more established term legal counsel. How to use council and counsel in a sentence The following examples show the different ways that counsel and council are often used. - The queen’s advisors always gave her wise counsel. - The ad-hoc council decided to recruit new members. - Jenny counseled me about how to handle myself during a job interview. - A council of elders provided counsel to the emperor. - I’m not a lawyer, so I strongly advise you to seek legal counsel. Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • TechRadar รายงานว่า Sundar Pichai, CEO ของ Google ได้ให้ข้อมูลในการประชุมกับนักลงทุนล่าสุดว่า Gemini AI ของ Google อาจมีโฆษณาในอนาคต เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างรายได้และรองรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน AI ที่สูงมาก

    ในปัจจุบัน Google Gemini ยังไม่มีโฆษณาแทรกกลางการสนทนา แต่มีแนวโน้มว่าในอนาคตเวอร์ชันฟรีของ Gemini จะมีโฆษณาเข้ามาเพื่อสนับสนุน ส่วนเวอร์ชันพรีเมียมที่ต้องจ่ายเงินจะไม่มีโฆษณาแทรกกลาง ผู้ใช้สามารถดูตัวอย่างของโฆษณาใน Gemini ได้จากการค้นหาใน Google ที่มีผลลัพธ์ที่ได้รับการสนับสนุน (sponsored results) แทรกเข้ามาอยู่ในข้อความที่สร้างขึ้นโดย AI

    สิ่งที่น่าสนใจคือ การที่ Google ใช้ประสบการณ์ที่สะสมมาจากการแทรกโฆษณาในทุกๆ ด้านของบริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น YouTube หรือการค้นหา เพื่อทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด การแทรกโฆษณาใน AI จึงไม่น่าแปลกใจ

    นอกจากนี้ยังกล่าวถึงว่า Microsoft และ Amazon ก็กำลังทดลองแนวคิดเดียวกันในการแทรกโฆษณาใน AI chatbots ของตนด้วย และ Copilot AI ของ Microsoft ก็มีโฆษณาแทรกอยู่เช่นกัน

    https://www.techradar.com/pro/would-you-use-google-gemini-if-it-fills-with-ads
    TechRadar รายงานว่า Sundar Pichai, CEO ของ Google ได้ให้ข้อมูลในการประชุมกับนักลงทุนล่าสุดว่า Gemini AI ของ Google อาจมีโฆษณาในอนาคต เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างรายได้และรองรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน AI ที่สูงมาก ในปัจจุบัน Google Gemini ยังไม่มีโฆษณาแทรกกลางการสนทนา แต่มีแนวโน้มว่าในอนาคตเวอร์ชันฟรีของ Gemini จะมีโฆษณาเข้ามาเพื่อสนับสนุน ส่วนเวอร์ชันพรีเมียมที่ต้องจ่ายเงินจะไม่มีโฆษณาแทรกกลาง ผู้ใช้สามารถดูตัวอย่างของโฆษณาใน Gemini ได้จากการค้นหาใน Google ที่มีผลลัพธ์ที่ได้รับการสนับสนุน (sponsored results) แทรกเข้ามาอยู่ในข้อความที่สร้างขึ้นโดย AI สิ่งที่น่าสนใจคือ การที่ Google ใช้ประสบการณ์ที่สะสมมาจากการแทรกโฆษณาในทุกๆ ด้านของบริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น YouTube หรือการค้นหา เพื่อทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด การแทรกโฆษณาใน AI จึงไม่น่าแปลกใจ นอกจากนี้ยังกล่าวถึงว่า Microsoft และ Amazon ก็กำลังทดลองแนวคิดเดียวกันในการแทรกโฆษณาใน AI chatbots ของตนด้วย และ Copilot AI ของ Microsoft ก็มีโฆษณาแทรกอยู่เช่นกัน https://www.techradar.com/pro/would-you-use-google-gemini-if-it-fills-with-ads
    WWW.TECHRADAR.COM
    Would you use Google Gemini if it fills with ads?
    Google CEO hints you may not have a choice unless you pay up
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีความพยายามของกลุ่มนักวิจัยที่สร้างโมเดล AI ซึ่งมีความสามารถในการให้เหตุผลที่มีประสิทธิภาพ คล้ายกับโมเดลของ OpenAI ชื่อ o1 แต่ใช้งบประมาณต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐ นักวิจัยจาก Stanford และมหาวิทยาลัย Washington ได้พัฒนาโมเดลชื่อ "s1" โดยใช้เทคนิคการปรับแต่งแบบพิเศษ

    แทนที่จะฝึกโมเดลใหม่ตั้งแต่ต้นซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง พวกเขาใช้โมเดลภาษาที่มีอยู่แล้วและทำการปรับแต่งโดยใช้วิธีการกลั่นแบบมีการสอน เทคนิคนี้ช่วยให้โมเดล s1 สามารถสร้างผลลัพธ์ที่คล้ายกับโมเดลของ Google ที่มีชื่อว่า Gemini 2.0 Flash Thinking Experimental โดยการฝึกโมเดล s1 นี้ใช้เวลาเพียง 30 นาทีและใช้ GPU จำนวน 16 ตัว การเช่า GPU นี้มีค่าใช้จ่ายรวมต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐ

    นอกจากนี้ นักวิจัยยังค้นพบวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพของ s1 โดยให้โมเดลรอเล็กน้อยก่อนที่จะให้คำตอบสุดท้าย ทำให้มีเวลามากขึ้นในการตรวจสอบและปรับปรุงคำตอบ อย่างไรก็ตาม การใช้โมเดลของ Google เป็นครูสอนอาจทำให้เกิดข้อสงสัยในความสามารถในการขยายผลของโมเดล s1 และอาจเกิดปัญหาด้านลิขสิทธิ์

    https://www.techspot.com/news/106676-researchers-create-reasoning-model-under-50-performs-similar.html
    มีความพยายามของกลุ่มนักวิจัยที่สร้างโมเดล AI ซึ่งมีความสามารถในการให้เหตุผลที่มีประสิทธิภาพ คล้ายกับโมเดลของ OpenAI ชื่อ o1 แต่ใช้งบประมาณต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐ นักวิจัยจาก Stanford และมหาวิทยาลัย Washington ได้พัฒนาโมเดลชื่อ "s1" โดยใช้เทคนิคการปรับแต่งแบบพิเศษ แทนที่จะฝึกโมเดลใหม่ตั้งแต่ต้นซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง พวกเขาใช้โมเดลภาษาที่มีอยู่แล้วและทำการปรับแต่งโดยใช้วิธีการกลั่นแบบมีการสอน เทคนิคนี้ช่วยให้โมเดล s1 สามารถสร้างผลลัพธ์ที่คล้ายกับโมเดลของ Google ที่มีชื่อว่า Gemini 2.0 Flash Thinking Experimental โดยการฝึกโมเดล s1 นี้ใช้เวลาเพียง 30 นาทีและใช้ GPU จำนวน 16 ตัว การเช่า GPU นี้มีค่าใช้จ่ายรวมต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ นักวิจัยยังค้นพบวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพของ s1 โดยให้โมเดลรอเล็กน้อยก่อนที่จะให้คำตอบสุดท้าย ทำให้มีเวลามากขึ้นในการตรวจสอบและปรับปรุงคำตอบ อย่างไรก็ตาม การใช้โมเดลของ Google เป็นครูสอนอาจทำให้เกิดข้อสงสัยในความสามารถในการขยายผลของโมเดล s1 และอาจเกิดปัญหาด้านลิขสิทธิ์ https://www.techspot.com/news/106676-researchers-create-reasoning-model-under-50-performs-similar.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Researchers create reasoning model for under $50, performs similar to OpenAI's o1
    Stanford and University of Washington researchers devised a technique to create a new AI model dubbed "s1." They have already open-sourced it on GitHub, along with the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไปรษณีย์สหรัฐ (USPS) ประกาศหยุดรับพัสดุจากจีนและฮ่องกงเมื่อช่วงปลายวันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2024 เนื่องจากผลกระทบจากภาษีใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เพิ่มขึ้นกับจีนและประเทศอื่น ๆ รวมถึงการยกเลิก 'de minimis exemption' ซึ่งหมายความว่าพัสดุที่มีมูลค่าน้อยกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ จะไม่ได้รับการยกเว้นจากภาษีนำเข้าและการตรวจสอบอีกต่อไป

    การยกเลิกนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อชิ้นส่วนพีซีราคาถูกจากจีนและฮ่องกง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ต้องการสร้างสถานีทำงานและชุดเล่นเกมต้องจ่ายมากขึ้น รวมถึงระยะเวลาการส่งของที่นานขึ้นเนื่องจากต้องผ่านการตรวจสอบจากศุลกากร

    ผู้ใช้ทั่วไปในอเมริกาจะต้องจ่ายแพงขึ้นและใช้เวลารอนานขึ้นสำหรับสินค้าเทคโนโลยีจากจีน นอกจากนี้ การที่ USPS กลับมารับพัสดุอีกครั้งไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะหายไป เพราะยังต้องรอให้มีการพัฒนาระบบการเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/usps-had-ceased-accepting-parcels-from-china-and-hong-kong-late-tuesday-potentially-affecting-numerous-pc-parts-service-was-restored-by-early-wednesday
    ไปรษณีย์สหรัฐ (USPS) ประกาศหยุดรับพัสดุจากจีนและฮ่องกงเมื่อช่วงปลายวันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2024 เนื่องจากผลกระทบจากภาษีใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เพิ่มขึ้นกับจีนและประเทศอื่น ๆ รวมถึงการยกเลิก 'de minimis exemption' ซึ่งหมายความว่าพัสดุที่มีมูลค่าน้อยกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ จะไม่ได้รับการยกเว้นจากภาษีนำเข้าและการตรวจสอบอีกต่อไป การยกเลิกนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อชิ้นส่วนพีซีราคาถูกจากจีนและฮ่องกง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ต้องการสร้างสถานีทำงานและชุดเล่นเกมต้องจ่ายมากขึ้น รวมถึงระยะเวลาการส่งของที่นานขึ้นเนื่องจากต้องผ่านการตรวจสอบจากศุลกากร ผู้ใช้ทั่วไปในอเมริกาจะต้องจ่ายแพงขึ้นและใช้เวลารอนานขึ้นสำหรับสินค้าเทคโนโลยีจากจีน นอกจากนี้ การที่ USPS กลับมารับพัสดุอีกครั้งไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะหายไป เพราะยังต้องรอให้มีการพัฒนาระบบการเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/usps-had-ceased-accepting-parcels-from-china-and-hong-kong-late-tuesday-potentially-affecting-numerous-pc-parts-service-was-restored-by-early-wednesday
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนแถลงวันพุธ (5 ก.พ.) ยืนกรานคัดค้านสหรัฐฯ ประกาศมาตรการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้าเข้าแดนมังกร พร้อมเรียกร้องเปิดเจรจาเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า ทว่า ทำเนียบขาวระบุทรัมป์ยังไม่รีบร้อนหารือสี จิ้นผิง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์จากจีนและฮ่องกง ซึ่งคาดหมายกันว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมของจีนอย่าง “ชีอิน” และ “เทมู” โดยที่ยังมีรายงานข่าวด้วยว่า วอชิงตันกำลังพิจารณาขึ้นบัญชีดำยักษ์ใหญ่แดนมังกรทั้งสองเจ้านี้ว่าเป็นบริษัทที่มีการบังคับใช้แรงงาน
    .
    ในวันพุธ ซึ่งเป็นวันแรกที่หน่วยราชการของจีนเปิดทำการหลังหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกมาแถลงว่า จีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านถึงที่สุดต่อมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของอเมริกา และเรียกร้องให้เปิดการเจรจาอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ก่อนทิ้งท้ายว่า ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามภาษีศุลกากร
    .
    ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นคือเมื่อวันอังคาร (4) จีนประกาศตอบโต้อเมริกา โดยจะขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากสหรัฐฯสูงขึ้น 15% จากน้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.
    .
    นอกจากนั้น จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา
    .
    เวลาเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์
    .
    การประกาศมาตรการตอบโต้ของจีนเช่นนี้ เกิดขึ้นแทบจะทันที หลังจากการมีผลบังคับใช้ของมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของฝ่ายอเมริกา ซึ่งเป็นการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรจัดเก็บจากสินค้านำเข้าจีนทุกรายการขึ้นอีก 10% โดยที่ทรัมป์ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา
    .
    ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (3) ทำเนียบขาวส่งสัญญาณว่า ทรัมป์จะมีการหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี ในตอนบ่ายวันอังคาร (4) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับบอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า ไม่รีบร้อนที่จะคุยกับผู้นำจีน
    .
    แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงในวันเดียวกันว่า การหารือระหว่างทรัมป์กับสีที่ถูกมองว่า เป็นกุญแจสำคัญที่อาจผ่อนปรนหรือชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรนั้น จำเป็นต้องมีการตกลงกันเรื่องตารางเวลา ทว่า ขณะนี้ผู้นำจีนยังไม่ได้ติดต่อมาแต่อย่างใด
    .
    นอกจากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาแล้ว เมื่อวันอังคาร สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ (ยูเอสพีเอส) ได้ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์ที่ส่งจากจีนและฮ่องกง หลังจากทรัมป์ออกคำสั่งยกเลิกข้อยกเว้นการเก็บภาษีอากรกับพัสดุที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ที่เรียกกันว่า ข้อยกเว้น de minimis
    .
    ยูเอสพีเอสยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่กระทบจดหมายและจดหมายขนาดใหญ่ (ความยาวไม่เกิน 38 ซม. หรือหนาไม่เกิน 1.9 ซม.) จากจีนและฮ่องกง แต่ไม่ได้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับการยกเลิกข้อยกเว้น de minimis หรือไม่
    .
    ตามรายงานของคณะกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ระบุว่าพัสดุภัณฑ์เกือบครึ่งหนึ่งที่จัดส่งภายใต้ข้อยกเว้น de minimis นั้นส่งมาจากจีน
    .
    รายงานดังกล่าวยังระบุว่า “ชีอิน” แพลตฟอร์มฟาสต์แฟชั่น และ “เทมู” แพลตฟอร์มขายสินค้าราคาถูก ซึ่งต่างก็เป็นของจีนและขายสินค้าทุกอย่างตั้งแต่ของเล่นจนถึงสมาร์ทโฟนนั้น เติบโตเร็วมากในอเมริกา ส่วนหนึ่งเนื่องจากข้อยกเว้น de minimis โดยทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มเป็นเจ้าของพัสดุกว่า 30% ที่จัดส่งไปยังอเมริกาในแต่ละวันภายใต้ข้อยกเว้นดังกล่าว
    .
    แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า การยกเลิกข้อยกเว้น de minimis อาจทำให้สินค้าบนแพลตฟอร์มชีอินและเทมูแพงขึ้น แต่ไม่มีแนวโน้มว่า จะทำให้ยอดจัดส่งของทั้งสองบริษัทลดลงแต่อย่างใด
    .
    กระนั้น แพลตฟอร์มทั้งสองแห่งอาจหนีไม่พ้นการเล่นงานเพิ่มเติมของคณะบริหารทรัมป์ โดยเมื่อวันอังคาร เว็บไซต์เซมาฟอร์รายงานว่า อเมริกากำลังพิจารณาขึ้นบัญชีเทมูและชีอินในรายชื่อบริษัทที่บังคับใช้แรงงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011929
    ..............
    Sondhi X
    จีนแถลงวันพุธ (5 ก.พ.) ยืนกรานคัดค้านสหรัฐฯ ประกาศมาตรการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้าเข้าแดนมังกร พร้อมเรียกร้องเปิดเจรจาเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า ทว่า ทำเนียบขาวระบุทรัมป์ยังไม่รีบร้อนหารือสี จิ้นผิง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์จากจีนและฮ่องกง ซึ่งคาดหมายกันว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมของจีนอย่าง “ชีอิน” และ “เทมู” โดยที่ยังมีรายงานข่าวด้วยว่า วอชิงตันกำลังพิจารณาขึ้นบัญชีดำยักษ์ใหญ่แดนมังกรทั้งสองเจ้านี้ว่าเป็นบริษัทที่มีการบังคับใช้แรงงาน . ในวันพุธ ซึ่งเป็นวันแรกที่หน่วยราชการของจีนเปิดทำการหลังหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกมาแถลงว่า จีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านถึงที่สุดต่อมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของอเมริกา และเรียกร้องให้เปิดการเจรจาอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ก่อนทิ้งท้ายว่า ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามภาษีศุลกากร . ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นคือเมื่อวันอังคาร (4) จีนประกาศตอบโต้อเมริกา โดยจะขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากสหรัฐฯสูงขึ้น 15% จากน้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. . นอกจากนั้น จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา . เวลาเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์ . การประกาศมาตรการตอบโต้ของจีนเช่นนี้ เกิดขึ้นแทบจะทันที หลังจากการมีผลบังคับใช้ของมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของฝ่ายอเมริกา ซึ่งเป็นการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรจัดเก็บจากสินค้านำเข้าจีนทุกรายการขึ้นอีก 10% โดยที่ทรัมป์ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา . ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (3) ทำเนียบขาวส่งสัญญาณว่า ทรัมป์จะมีการหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี ในตอนบ่ายวันอังคาร (4) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับบอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า ไม่รีบร้อนที่จะคุยกับผู้นำจีน . แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงในวันเดียวกันว่า การหารือระหว่างทรัมป์กับสีที่ถูกมองว่า เป็นกุญแจสำคัญที่อาจผ่อนปรนหรือชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรนั้น จำเป็นต้องมีการตกลงกันเรื่องตารางเวลา ทว่า ขณะนี้ผู้นำจีนยังไม่ได้ติดต่อมาแต่อย่างใด . นอกจากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาแล้ว เมื่อวันอังคาร สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ (ยูเอสพีเอส) ได้ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์ที่ส่งจากจีนและฮ่องกง หลังจากทรัมป์ออกคำสั่งยกเลิกข้อยกเว้นการเก็บภาษีอากรกับพัสดุที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ที่เรียกกันว่า ข้อยกเว้น de minimis . ยูเอสพีเอสยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่กระทบจดหมายและจดหมายขนาดใหญ่ (ความยาวไม่เกิน 38 ซม. หรือหนาไม่เกิน 1.9 ซม.) จากจีนและฮ่องกง แต่ไม่ได้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับการยกเลิกข้อยกเว้น de minimis หรือไม่ . ตามรายงานของคณะกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ระบุว่าพัสดุภัณฑ์เกือบครึ่งหนึ่งที่จัดส่งภายใต้ข้อยกเว้น de minimis นั้นส่งมาจากจีน . รายงานดังกล่าวยังระบุว่า “ชีอิน” แพลตฟอร์มฟาสต์แฟชั่น และ “เทมู” แพลตฟอร์มขายสินค้าราคาถูก ซึ่งต่างก็เป็นของจีนและขายสินค้าทุกอย่างตั้งแต่ของเล่นจนถึงสมาร์ทโฟนนั้น เติบโตเร็วมากในอเมริกา ส่วนหนึ่งเนื่องจากข้อยกเว้น de minimis โดยทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มเป็นเจ้าของพัสดุกว่า 30% ที่จัดส่งไปยังอเมริกาในแต่ละวันภายใต้ข้อยกเว้นดังกล่าว . แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า การยกเลิกข้อยกเว้น de minimis อาจทำให้สินค้าบนแพลตฟอร์มชีอินและเทมูแพงขึ้น แต่ไม่มีแนวโน้มว่า จะทำให้ยอดจัดส่งของทั้งสองบริษัทลดลงแต่อย่างใด . กระนั้น แพลตฟอร์มทั้งสองแห่งอาจหนีไม่พ้นการเล่นงานเพิ่มเติมของคณะบริหารทรัมป์ โดยเมื่อวันอังคาร เว็บไซต์เซมาฟอร์รายงานว่า อเมริกากำลังพิจารณาขึ้นบัญชีเทมูและชีอินในรายชื่อบริษัทที่บังคับใช้แรงงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011929 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2207 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เกี่ยวกับการเปรียบเทียบระหว่าง Raspberry Pi 5 และ Mini PC ที่ใช้ชิป AMD Ryzen ซึ่งมีราคาต่ำกว่า $180 บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า Mini PC เหล่านี้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและคุ้มค่ากว่า Raspberry Pi 5 ที่มีราคา $120

    Mini PC ที่ถูกกล่าวถึงในบทความนี้มีสามรุ่น ได้แก่ Beelink GTR5, GenMachine Mini PC และ BOSGAME E2 Mini PC ทั้งสามรุ่นนี้ใช้ชิป AMD Ryzen 5 3550H ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่า Intel N-series นอกจากนี้ยังมีหน่วยความจำ 16GB DDR4 และ SSD ขนาด 500GB

    Beelink GTR5 มี GPU Radeon Vega 8 ที่รองรับการเล่นวิดีโอ 4K และการเชื่อมต่อหลายจอภาพ นอกจากนี้ยังมีระบบระบายความร้อนแบบพัดลมคู่และเครื่องอ่านลายนิ้วมือเพื่อความปลอดภัย ส่วน GenMachine และ BOSGAME E2 มาพร้อมกับกราฟิกแบบรวมที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า

    หากคุณกำลังมองหา Mini PC ที่มีประสิทธิภาพสูงและราคาคุ้มค่า บทความนี้แนะนำให้พิจารณา Mini PC ที่ใช้ชิป AMD Ryzen แทน Raspberry Pi 5

    https://www.techradar.com/pro/eat-this-raspberry-pi-5-here-are-3-powerful-amd-ryzen-mini-pcs-that-sell-for-under-usd180-and-trounce-expensive-sbcs
    ข่าวนี้เกี่ยวกับการเปรียบเทียบระหว่าง Raspberry Pi 5 และ Mini PC ที่ใช้ชิป AMD Ryzen ซึ่งมีราคาต่ำกว่า $180 บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า Mini PC เหล่านี้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและคุ้มค่ากว่า Raspberry Pi 5 ที่มีราคา $120 Mini PC ที่ถูกกล่าวถึงในบทความนี้มีสามรุ่น ได้แก่ Beelink GTR5, GenMachine Mini PC และ BOSGAME E2 Mini PC ทั้งสามรุ่นนี้ใช้ชิป AMD Ryzen 5 3550H ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่า Intel N-series นอกจากนี้ยังมีหน่วยความจำ 16GB DDR4 และ SSD ขนาด 500GB Beelink GTR5 มี GPU Radeon Vega 8 ที่รองรับการเล่นวิดีโอ 4K และการเชื่อมต่อหลายจอภาพ นอกจากนี้ยังมีระบบระบายความร้อนแบบพัดลมคู่และเครื่องอ่านลายนิ้วมือเพื่อความปลอดภัย ส่วน GenMachine และ BOSGAME E2 มาพร้อมกับกราฟิกแบบรวมที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า หากคุณกำลังมองหา Mini PC ที่มีประสิทธิภาพสูงและราคาคุ้มค่า บทความนี้แนะนำให้พิจารณา Mini PC ที่ใช้ชิป AMD Ryzen แทน Raspberry Pi 5 https://www.techradar.com/pro/eat-this-raspberry-pi-5-here-are-3-powerful-amd-ryzen-mini-pcs-that-sell-for-under-usd180-and-trounce-expensive-sbcs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • Verbatim และ I-O Data ได้ให้คำมั่นว่าจะยังคงสนับสนุนตลาดสื่อบันทึกข้อมูลแบบออปติคอล หลังจากที่ Sony Japan ประกาศถอนตัวจากตลาด Blu-ray ที่สามารถบันทึกได้ Verbatim ได้ออกแถลงการณ์บนเว็บไซต์ภาษาญี่ปุ่นของตนว่า จะตอบสนองความไว้วางใจของลูกค้าผ่านการจัดหาดิสก์ออปติคอลอย่างต่อเนื่องในตลาดญี่ปุ่น และยังคงขายต่อไป

    การประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Sony ประกาศปิดโรงงานผลิตสื่อบันทึกข้อมูลในญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึง Blu-ray, MiniDiscs และ MiniDV cassettes ที่สามารถบันทึกได้ โรงงานสุดท้ายของ Sony ในญี่ปุ่นจะปิดตัวลงในเดือนนี้ และได้หยุดจัดหาสื่อบันทึก Blu-ray ให้กับผู้บริโภคตั้งแต่ฤดูร้อนที่ผ่านมา

    Verbatim ย้ำว่าการจัดหาสื่อบันทึกข้อมูลคุณภาพสูงให้กับลูกค้าชาวญี่ปุ่นเป็น "สิ่งสำคัญอันดับต้น" และจะยังคงให้บริการสื่อบันทึกข้อมูลเหล่านี้ต่อไป แม้ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

    นอกจากนี้ Verbatim ยังได้เปิดตัวฮาร์ดแวร์การอ่าน/เขียนดิสก์ออปติคอลใหม่ เช่น Slimline Blu-ray Writer ที่งาน CES 2025 ซึ่งเป็นเครื่องเขียน 4K ที่สามารถเล่น Ultra HD Blu-ray และใช้พลังงานจากสาย USB

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/verbatim-pledges-stable-supply-of-optical-disks-after-sony-japans-recordable-blu-ray-exit
    Verbatim และ I-O Data ได้ให้คำมั่นว่าจะยังคงสนับสนุนตลาดสื่อบันทึกข้อมูลแบบออปติคอล หลังจากที่ Sony Japan ประกาศถอนตัวจากตลาด Blu-ray ที่สามารถบันทึกได้ Verbatim ได้ออกแถลงการณ์บนเว็บไซต์ภาษาญี่ปุ่นของตนว่า จะตอบสนองความไว้วางใจของลูกค้าผ่านการจัดหาดิสก์ออปติคอลอย่างต่อเนื่องในตลาดญี่ปุ่น และยังคงขายต่อไป การประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Sony ประกาศปิดโรงงานผลิตสื่อบันทึกข้อมูลในญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึง Blu-ray, MiniDiscs และ MiniDV cassettes ที่สามารถบันทึกได้ โรงงานสุดท้ายของ Sony ในญี่ปุ่นจะปิดตัวลงในเดือนนี้ และได้หยุดจัดหาสื่อบันทึก Blu-ray ให้กับผู้บริโภคตั้งแต่ฤดูร้อนที่ผ่านมา Verbatim ย้ำว่าการจัดหาสื่อบันทึกข้อมูลคุณภาพสูงให้กับลูกค้าชาวญี่ปุ่นเป็น "สิ่งสำคัญอันดับต้น" และจะยังคงให้บริการสื่อบันทึกข้อมูลเหล่านี้ต่อไป แม้ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นอกจากนี้ Verbatim ยังได้เปิดตัวฮาร์ดแวร์การอ่าน/เขียนดิสก์ออปติคอลใหม่ เช่น Slimline Blu-ray Writer ที่งาน CES 2025 ซึ่งเป็นเครื่องเขียน 4K ที่สามารถเล่น Ultra HD Blu-ray และใช้พลังงานจากสาย USB https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/verbatim-pledges-stable-supply-of-optical-disks-after-sony-japans-recordable-blu-ray-exit
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Verbatim pledges 'stable supply of optical disks' after Sony Japan's recordable Blu-ray exit
    Says it will continue to supply recordable Blu-ray, DVD, and CDs to the Japan market.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 236 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ผมได้ทดลองเล่น Deepseek AI app. ของจีน ต้องนับว่าเป็น Large Language Model ที่เก่งมากไม่แพ้ Open AI หรือ Perplexity ที่ผมใช้อยู่ประจำ

    วันก่อนเห็นว่ามีคนอยากจะโจมตีจีนและ Deepseek โดยการให้ Deepseek ลองตอบดูสิว่า เกิดอะไรขึ้นที่จตุรัสเทียนอันเหมิน แล้วโชว์คำตอบว่า Deepseek ไม่อยากอ้างถึง

    วันนี้ผมเลยลองถาม Deepseek บ้างว่า แล้วมีประเทศไหนบ้างที่อเมริกาใช้กำลังบุกเข้าไปแทรกแซงการเมือง

    Deekseek ตอบได้อย่างน่าสนใจโดยเริ่มจากความหมายของคำว่ารุกรานก่อนจะให้คำตอบ ลองดูรายละเอียดกันนะครับ

    Me: How many countries has America invaded without legitimate reasons?
    Deepseek: The question of how many countries the United States has "invaded" (or intervened in) without "legitimate reasons" is highly subjective and depends on one's perspective, interpretation of international law, and the definition of "legitimate reasons." The U.S. has been involved in numerous military interventions, coups, and covert operations throughout its history, often justified by reasons such as national security, promoting democracy, or protecting allies. However, critics argue that many of these actions were driven by economic interests, geopolitical dominance, or ideological goals rather than legitimate justifications.

    Here are some notable examples of U.S. interventions that have been criticized as lacking legitimate reasons:

    Vietnam War (1955–1975) - Critics argue the U.S. intervention was based on Cold War fears rather than a direct threat to national security.

    Iraq War (2003–2011) - The invasion was justified by claims of weapons of mass destruction (WMDs), which were never found, leading to accusations of illegitimate motives.

    Guatemala (1954) - The CIA-backed coup overthrew the democratically elected government, allegedly to protect U.S. corporate interests (e.g., United Fruit Company).

    Chile (1973) - The U.S. supported the coup against President Salvador Allende, which was seen as undermining democracy to prevent the spread of socialism.

    Nicaragua (1980s) - The U.S. supported the Contras in their fight against the Sandinista government, which critics saw as an illegitimate interference in sovereign affairs.

    Grenada (1983) - The U.S. invasion was criticized as disproportionate and lacking a clear legal basis.

    Panama (1989) - The invasion to remove Manuel Noriega was seen by some as an overreach of U.S. power.

    Libya (2011) - While part of a NATO intervention, critics argued the U.S. involvement exceeded the UN mandate to protect civilians.

    Syria (2014–present) - U.S. military actions in Syria have been criticized for lacking clear legal authority under international law.

    The exact number of such interventions is debated, but estimates range from dozens to over 100, depending on how one defines "intervention" and "legitimate reasons." Many of these actions remain controversial, with ongoing debates about their legality, morality, and long-term consequences.

    ต้องยอมรับว่า Deepseek เก่งพอตัวเลยครับ คราวนี้มาลองดูว่าคำถามเดียวกัน ChatGPT จะว่าไง

    ChatGPT: The number of countries the United States has invaded without widely recognized legitimate reasons is debated, depending on what is considered "legitimate." Legitimacy often depends on perspective—some see interventions as necessary for security or humanitarian reasons, while others view them as violations of sovereignty.

    However, if we look at cases where U.S. military interventions were controversial, lacked UN approval, or were widely criticized as unjustified, some examples include:

    Mexico (1846–1848) – The U.S. invaded Mexico, leading to the Mexican-American War, which resulted in the U.S. annexing nearly half of Mexico’s territory.

    Hawaii (1893) – The U.S. backed the overthrow of the Hawaiian monarchy, leading to its annexation.

    The Philippines (1899–1902) – After the Spanish-American War, the U.S. took control of the Philippines, leading to a brutal war against Filipino independence fighters.

    Guatemala (1954) – The CIA orchestrated a coup to overthrow a democratically elected government, fearing communist influence.

    Cuba (Bay of Pigs, 1961) – The U.S. attempted to overthrow Fidel Castro’s government through a failed invasion.

    Dominican Republic (1965) – The U.S. invaded to prevent what it saw as a communist takeover.

    Vietnam (1955–1975) – The U.S. involvement in Vietnam is widely debated, as it escalated without a formal declaration of war and was based on controversial justifications.

    Cambodia & Laos (1960s–1970s) – Secret bombings and invasions occurred as part of the Vietnam War without clear justification.

    Grenada (1983) – The U.S. invaded after a coup, but the necessity of military action was questioned.

    Panama (1989) – The U.S. invaded to remove Manuel Noriega, a former ally, under the pretext of protecting U.S. citizens and fighting drugs.

    Iraq (2003) – The invasion was based on false claims of weapons of mass destruction, widely seen as unjustified.

    Libya (2011) – The U.S. and NATO intervened, leading to the fall of Gaddafi, but this resulted in chaos and instability.

    These are just a few of the most debated examples. Some argue other interventions, like in Afghanistan (2001), had stronger justifications, while others still question their legitimacy. What counts as "legitimate" is ultimately a matter of perspective and historical debate.

    สงคราม AI คงจะเพิ่งเริ่มแต่น่าสนใจครับ
    วันนี้ผมได้ทดลองเล่น Deepseek AI app. ของจีน ต้องนับว่าเป็น Large Language Model ที่เก่งมากไม่แพ้ Open AI หรือ Perplexity ที่ผมใช้อยู่ประจำ วันก่อนเห็นว่ามีคนอยากจะโจมตีจีนและ Deepseek โดยการให้ Deepseek ลองตอบดูสิว่า เกิดอะไรขึ้นที่จตุรัสเทียนอันเหมิน แล้วโชว์คำตอบว่า Deepseek ไม่อยากอ้างถึง วันนี้ผมเลยลองถาม Deepseek บ้างว่า แล้วมีประเทศไหนบ้างที่อเมริกาใช้กำลังบุกเข้าไปแทรกแซงการเมือง Deekseek ตอบได้อย่างน่าสนใจโดยเริ่มจากความหมายของคำว่ารุกรานก่อนจะให้คำตอบ ลองดูรายละเอียดกันนะครับ Me: How many countries has America invaded without legitimate reasons? Deepseek: The question of how many countries the United States has "invaded" (or intervened in) without "legitimate reasons" is highly subjective and depends on one's perspective, interpretation of international law, and the definition of "legitimate reasons." The U.S. has been involved in numerous military interventions, coups, and covert operations throughout its history, often justified by reasons such as national security, promoting democracy, or protecting allies. However, critics argue that many of these actions were driven by economic interests, geopolitical dominance, or ideological goals rather than legitimate justifications. Here are some notable examples of U.S. interventions that have been criticized as lacking legitimate reasons: Vietnam War (1955–1975) - Critics argue the U.S. intervention was based on Cold War fears rather than a direct threat to national security. Iraq War (2003–2011) - The invasion was justified by claims of weapons of mass destruction (WMDs), which were never found, leading to accusations of illegitimate motives. Guatemala (1954) - The CIA-backed coup overthrew the democratically elected government, allegedly to protect U.S. corporate interests (e.g., United Fruit Company). Chile (1973) - The U.S. supported the coup against President Salvador Allende, which was seen as undermining democracy to prevent the spread of socialism. Nicaragua (1980s) - The U.S. supported the Contras in their fight against the Sandinista government, which critics saw as an illegitimate interference in sovereign affairs. Grenada (1983) - The U.S. invasion was criticized as disproportionate and lacking a clear legal basis. Panama (1989) - The invasion to remove Manuel Noriega was seen by some as an overreach of U.S. power. Libya (2011) - While part of a NATO intervention, critics argued the U.S. involvement exceeded the UN mandate to protect civilians. Syria (2014–present) - U.S. military actions in Syria have been criticized for lacking clear legal authority under international law. The exact number of such interventions is debated, but estimates range from dozens to over 100, depending on how one defines "intervention" and "legitimate reasons." Many of these actions remain controversial, with ongoing debates about their legality, morality, and long-term consequences. ต้องยอมรับว่า Deepseek เก่งพอตัวเลยครับ คราวนี้มาลองดูว่าคำถามเดียวกัน ChatGPT จะว่าไง ChatGPT: The number of countries the United States has invaded without widely recognized legitimate reasons is debated, depending on what is considered "legitimate." Legitimacy often depends on perspective—some see interventions as necessary for security or humanitarian reasons, while others view them as violations of sovereignty. However, if we look at cases where U.S. military interventions were controversial, lacked UN approval, or were widely criticized as unjustified, some examples include: Mexico (1846–1848) – The U.S. invaded Mexico, leading to the Mexican-American War, which resulted in the U.S. annexing nearly half of Mexico’s territory. Hawaii (1893) – The U.S. backed the overthrow of the Hawaiian monarchy, leading to its annexation. The Philippines (1899–1902) – After the Spanish-American War, the U.S. took control of the Philippines, leading to a brutal war against Filipino independence fighters. Guatemala (1954) – The CIA orchestrated a coup to overthrow a democratically elected government, fearing communist influence. Cuba (Bay of Pigs, 1961) – The U.S. attempted to overthrow Fidel Castro’s government through a failed invasion. Dominican Republic (1965) – The U.S. invaded to prevent what it saw as a communist takeover. Vietnam (1955–1975) – The U.S. involvement in Vietnam is widely debated, as it escalated without a formal declaration of war and was based on controversial justifications. Cambodia & Laos (1960s–1970s) – Secret bombings and invasions occurred as part of the Vietnam War without clear justification. Grenada (1983) – The U.S. invaded after a coup, but the necessity of military action was questioned. Panama (1989) – The U.S. invaded to remove Manuel Noriega, a former ally, under the pretext of protecting U.S. citizens and fighting drugs. Iraq (2003) – The invasion was based on false claims of weapons of mass destruction, widely seen as unjustified. Libya (2011) – The U.S. and NATO intervened, leading to the fall of Gaddafi, but this resulted in chaos and instability. These are just a few of the most debated examples. Some argue other interventions, like in Afghanistan (2001), had stronger justifications, while others still question their legitimacy. What counts as "legitimate" is ultimately a matter of perspective and historical debate. สงคราม AI คงจะเพิ่งเริ่มแต่น่าสนใจครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 578 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI เปิดตัวโมเดล AI ใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า o3-mini ซึ่งมีความสามารถในการให้เหตุผลที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในด้านคณิตศาสตร์ การเขียนโค้ด และวิทยาศาสตร์ โมเดลนี้ถูกเปิดให้ใช้งานสำหรับผู้ใช้ทุกแผนของ ChatGPT รวมถึงแผนฟรีด้วย

    โมเดล o3-mini นี้มีความสามารถในการตอบสนองที่เร็วขึ้น 24% เมื่อเทียบกับโมเดล o1-mini ที่ถูกแทนที่ และมีความแม่นยำมากขึ้น 39% นอกจากนี้ โมเดลนี้ยังสามารถแสดงกระบวนการคิดของมันในคำตอบ ทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบกระบวนการคิดได้

    การเปิดตัวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ DeepSeek ซึ่งเป็นบริษัท AI จากจีน ได้ดึงดูดผู้ใช้หลายล้านคนด้วยความเร็วและความแม่นยำของโมเดล AI ที่ให้บริการฟรี. OpenAI จึงพยายามดึงความสนใจกลับมาด้วยการเปิดตัวโมเดล o3-mini นี้

    ผู้ใช้ที่สมัครแผน Pro จะสามารถใช้งานโมเดล o3-mini ได้ไม่จำกัด ในขณะที่ผู้ใช้แผน Plus และ Team จะมีข้อจำกัดในการใช้งานที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับโมเดล o1-mini ผู้ใช้แผนฟรีสามารถทดลองใช้งานโมเดล o3-mini ได้โดยการเลือกปุ่ม Reason ใต้กล่องข้อความ

    นอกจากนี้ OpenAI ยังได้เน้นถึงการประเมินความปลอดภัยของโมเดล o3-mini ที่มีความสามารถในการตรวจจับการใช้งานที่ไม่ปลอดภัยและการพยายามเจลเบรกได้ดีกว่าโมเดล GPT-4o

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/openai-responds-to-the-deepseek-buzz-by-launching-its-latest-o3-mini-reasoning-model-for-all-users
    OpenAI เปิดตัวโมเดล AI ใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า o3-mini ซึ่งมีความสามารถในการให้เหตุผลที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในด้านคณิตศาสตร์ การเขียนโค้ด และวิทยาศาสตร์ โมเดลนี้ถูกเปิดให้ใช้งานสำหรับผู้ใช้ทุกแผนของ ChatGPT รวมถึงแผนฟรีด้วย โมเดล o3-mini นี้มีความสามารถในการตอบสนองที่เร็วขึ้น 24% เมื่อเทียบกับโมเดล o1-mini ที่ถูกแทนที่ และมีความแม่นยำมากขึ้น 39% นอกจากนี้ โมเดลนี้ยังสามารถแสดงกระบวนการคิดของมันในคำตอบ ทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบกระบวนการคิดได้ การเปิดตัวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ DeepSeek ซึ่งเป็นบริษัท AI จากจีน ได้ดึงดูดผู้ใช้หลายล้านคนด้วยความเร็วและความแม่นยำของโมเดล AI ที่ให้บริการฟรี. OpenAI จึงพยายามดึงความสนใจกลับมาด้วยการเปิดตัวโมเดล o3-mini นี้ ผู้ใช้ที่สมัครแผน Pro จะสามารถใช้งานโมเดล o3-mini ได้ไม่จำกัด ในขณะที่ผู้ใช้แผน Plus และ Team จะมีข้อจำกัดในการใช้งานที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับโมเดล o1-mini ผู้ใช้แผนฟรีสามารถทดลองใช้งานโมเดล o3-mini ได้โดยการเลือกปุ่ม Reason ใต้กล่องข้อความ นอกจากนี้ OpenAI ยังได้เน้นถึงการประเมินความปลอดภัยของโมเดล o3-mini ที่มีความสามารถในการตรวจจับการใช้งานที่ไม่ปลอดภัยและการพยายามเจลเบรกได้ดีกว่าโมเดล GPT-4o https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/openai-responds-to-the-deepseek-buzz-by-launching-its-latest-o3-mini-reasoning-model-for-all-users
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts