• วิวสวย #เล่าเรื่อง #ท่องเทียว #thailand #gowengo #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes https://youtube.com/shorts/ARp6BrO6u3E?si=EdQZohAGRvmRmDuu
    วิวสวย #เล่าเรื่อง #ท่องเทียว #thailand #gowengo #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes https://youtube.com/shorts/ARp6BrO6u3E?si=EdQZohAGRvmRmDuu
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 324 Views 0 Reviews
  • https://youtube.com/shorts/0jpSh8g2Ls4?si=ko-6gOTpdP3MgqQ7
    https://youtube.com/shorts/0jpSh8g2Ls4?si=ko-6gOTpdP3MgqQ7
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • วิวสวย #เล่าเรื่อง #ท่องเที่ยว #thailand #gowentgo #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes https://youtube.com/shorts/Xqu4YsJ5OC8?si=n3rC-66hhxl_YZIb
    วิวสวย #เล่าเรื่อง #ท่องเที่ยว #thailand #gowentgo #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes https://youtube.com/shorts/Xqu4YsJ5OC8?si=n3rC-66hhxl_YZIb
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 494 Views 0 Reviews
  • How America Destroyed the German Economy
    https://youtube.com/watch?v=JZ1Vols480M&si=_6P-YpnVjPKaKKGo
    How America Destroyed the German Economy https://youtube.com/watch?v=JZ1Vols480M&si=_6P-YpnVjPKaKKGo
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • แม้วันเกิดเขาจะผ่านมาแล้วเจ็ดเดือนตั้งแต่ 27 กุมภาพันธ์ แต่ผมยังคิดถึงศิลปินแซกโซโฟนแจ๊สผู้นี้อยู่เป็นประจำ ไม่ใช่ใครอื่นเขาคือ Dexter Gordon ครับ ดูคลิปประวัติเขาได้ใน 1 นาทีกับ History Podcast
    แม้วันเกิดเขาจะผ่านมาแล้วเจ็ดเดือนตั้งแต่ 27 กุมภาพันธ์ แต่ผมยังคิดถึงศิลปินแซกโซโฟนแจ๊สผู้นี้อยู่เป็นประจำ ไม่ใช่ใครอื่นเขาคือ Dexter Gordon ครับ ดูคลิปประวัติเขาได้ใน 1 นาทีกับ History Podcast
    1 Comments 0 Shares 105 Views 70 0 Reviews
  • เสนอกฎหมายเพื่อฟ้อง บริษัทยายักษ์ใหญ่

    Gosar สมาชิกสภาคองเกรส สหรัฐ เสนอกฎหมายเพื่อฟ้อง บริษัทยายักษ์ใหญ่ (Big Pharma) สําหรับการบาดเจ็บจากวัคซีน
    วอชิงตัน ดี.ซี. 26 กันยายน 2024

    สมาชิกสภาคองเกรส พอล เอ. โกซาร์, ดี.ดี.เอส. (AZ-09) ออกแถลงการณ์ ต่อไปนี้ หลังจากเสนอ H.R. 9828 พระราชบัญญัติระงับ การปกป้อง ผู้ผลิตวัคซีนจากการที่ไม่ต้องรับผิดชอบ End the Vaccine Carveout Act (https://www.congress.gov/bill/118th-congress/house-bill/9828#:~:text=Summary%20of%20H.R.9828%20-%20118th%20Congress)
    เป็นร่างกฎหมายที่จะถอดผู้ผลิตวัคซีนออกจากโล่ความที่ไม่ต้องรับผิด ส่งผลให้มีกําไรหลายแสนล้านดอลลาร์สำหรับ Big Pharma ในขณะที่ทำให้ผู้คนหลายหมื่นคนไม่สามารถแสวงหาความยุติธรรมทางกฎหมาย และ การชดเชยการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีน
    และมีการแถลง press release ดังต่อไปนี้

    “แม้ว่าข้าราชการของรัฐบาลกลางและ Big Pharma จะยืนยันว่าวัคซีนนั้นปลอดภัย แต่ก็น่าเสียดายที่ขาดวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน ตัวอย่างเช่น การทบทวนเอกสารทางวิทยาศาสตร์ 12,000 ฉบับโดยสถาบันการแพทย์ ที่ตีพิมพ์ในปี 2555 พบว่า 98% ของการบาดเจ็บที่ศึกษานั้น เกิดจากหรืออาจเกิดจากวัคซีน การศึกษาของรัฐบาลอีกชิ้นหนึ่ง พบว่า ในขณะที่วัคซีนทำให้เกิดการบาดเจ็บใน 10 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย มีเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับรายงาน ซึ่งหมายความว่าจำนวนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนถูกนับน้อยไปอย่างมาก

    นอกจากนี้ ตามระบบการรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากวัคซีนของศูนย์ควบคุมโรค มีรายงานว่าชาวอเมริกันเกือบ 20,000 คนตายโดยวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเท่ากับ การเสียชีวิต หนึ่งรายต่อทุกๆ 14,000 คน ที่ได้รับวัคซีน ซึ่งสูงกว่าหนึ่งในล้านของการเสียชีวิต ที่ปกติมีการอ้างถึงอันตรายจากวัคซีน

    ข้าราชการและนักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลที่รับผิดชอบในการอนุมัติวัคซีนอยู่บนเตียงกับ Big Pharma ซึ่งมักเป็นเจ้าของหุ้นยา โดยมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษา และรับสัญญาที่ร่ํารวยจากบริษัทยาที่กดดันให้พวกเขาสร้างผลลัพธ์ที่ดีซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายของรัฐบาลกลางโดยตรง

    ที่แย่กว่านั้น นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยหลายคนในหน่วยงานของรัฐพัฒนาสิทธิบัตรสําหรับวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่พวกเขาทํางาน สร้างความขัดแย้งทางผลประโยชน์และก่อให้เกิดคําถามร้ายแรงเกี่ยวกับความเป็นธรรมของการตัดสินใจของพวกเขา

    ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ ผู้ผลิตวัคซีนจะต้องรับผิดชอบต่อการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีน เนื่องจากกฎหมายปี 1986 ที่สร้างภูมิคุ้มกันพิเศษอย่างไม่เป็นธรรมสําหรับ Big Pharma ทําให้เหยื่อที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนชนะในศาลได้ยากมาก

    กฎหมายนี้ยกเลิกบทบัญญัติภูมิคุ้มกันในปัจจุบันที่ปกป้อง Big Pharma อย่างไม่เป็นธรรม จากอันตรายที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของตน และอนุญาตให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนดําเนินคดีทางแพ่งในศาลของรัฐหรือรัฐบาลกลาง Big Pharma ไม่สมควรได้รับบัตรปลอดคุกสําหรับการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีนที่เป็นอันตราย” สมาชิกสภาคองเกรส Gosar กล่าวสรุป

    โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ ผู้ก่อตั้ง Children's Health Defense และประธานคณะกรรมการ Leave กล่าวว่า “ผู้ผลิตวัคซีนชาวอเมริกันทั้งสี่รายเป็นองค์กรอาชญากรรมที่จ่ายค่าปรับทางอาญาหลายหมื่นล้านในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยการปลดปล่อยพวกเขาจากความรับผิดสําหรับความประมาทเลินเล่อ กฎเกณฑ์ปี 1986 ได้ลบสิ่งจูงใจใด ๆ สําหรับบริษัทเหล่านี้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย หากเราต้องการวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เราจําเป็นต้องยุติเกราะป้องกันความรับผิด”

    แมรี่ ฮอลแลนด์ ประธานฝ่ายป้องกันสุขภาพเด็กกล่าวเสริมว่า “ขอบคุณสมาชิกสภาคองเกรสโกซาร์ที่แนะนํากฎหมายประวัติศาสตร์และจําเป็นอย่างเร่งด่วนนี้ เป็นเวลากว่า 35 ปีแล้วที่ผู้ปกครองของเด็กที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากวัคซีนที่รัฐบาลแนะนําถูกทิ้งไว้โดยไม่มีการเยียวยาที่มีความหมาย -- มีเพียงโครงการชดเชยที่ซับซ้อนและหลอกลวงที่ทําให้ครอบครัวที่เสียใจต่อต้านรัฐบาล ในขณะที่ Big Pharma ไม่มีความรับผิด ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ภาวะสุขภาพเรื้อรังในเด็ก - ออทิสติก สมาธิสั้น โรคภูมิแพ้รุนแรง หอบหืด - ได้พุ่งสูงขึ้น กฎหมายนี้จะช่วยยุติการปกครองของ Big Pharma เหนือรัฐบาล ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ทุจริตของพระราชบัญญัติการบาดเจ็บจากวัคซีนในวัยเด็กแห่งชาติปี 1986 ได้ปราบปรามวิทยาศาสตร์ ขัดขวางครอบครัว โค่นล้มตลาดการตรวจสอบและถ่วงดุลแบบประชาธิปไตย และลบสิทธิของพลเมืองในการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน ชาวอเมริกันสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้”

    ความเป็นมา:
    ในปี 1986 สภาคองเกรสได้ผ่านพระราชบัญญัติการบาดเจ็บจากวัคซีนในวัยเด็กแห่งชาติ (NVCIA) ซึ่งปกป้องผู้ผลิตวัคซีนจากอันตรายที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของตน ทําให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้บาดเจ็บจากวัคซีนจะชนะในศาล โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าผู้ผลิตวัคซีนจงใจ "[ระงับ] ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพของวัคซีน" มีส่วนร่วมใน "กิจกรรมทางอาญาหรือผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน" หรือ "โดยหลักฐานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ... ล้มเหลวในการใช้ความระมัดระวังอย่างเหมาะสม"การปฏิบัติตามข้อกําหนดเหล่านี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

    ศูนย์ควบคุมโรค (CDC) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ได้รับมอบหมายให้อนุมัติวัคซีน น่าเศร้าที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างมาก เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ที่ทํางานในหน่วยงานเหล่านี้ออกใบอนุญาตสิทธิบัตรให้กับผู้ผลิตวัคซีน และในการทําเช่นนั้น ได้รับค่าลิขสิทธิ์สูงถึง 150,000 ดอลลาร์นอกจากนี้ สมาชิกที่ลงคะแนนเสียงในคณะกรรมการที่ให้คําแนะนําแก่ CDC และ NIH เป็นเจ้าของหุ้นของผู้ผลิตวัคซีน มีส่วนร่วมในงานสัญญาสําหรับผู้ผลิตวัคซีน และได้รับเงินช่วยเหลือจากผู้ผลิตวัคซีน

    ผู้สนับสนุนร่วมในปัจจุบัน:
    Representatives Andy Biggs, Lauren Boebert, Josh Brecheen, Tim Burchett, Eric Burlison, Mike Collins, Eli Crane, Warren Davidson, Byron Donalds, Matt Gaetz, Bob Good, Marjorie Taylor Greene, Harriet Hageman, Andy Harris, Clay Higgins, Ronny Jackson, Anna Paulina Luna, Nancy Mace, Thomas Massie, Mary E. Miller, Cory Mills, Barry Moore, Troy E. Nehls, Ralph Norman, Andy Ogles, Bill Posey, Chip Roy, Keith Self, Victoria Spartz, and Randy K. Weber Sr.

    ถอดความภาษาไทยโดย

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    เสนอกฎหมายเพื่อฟ้อง บริษัทยายักษ์ใหญ่ Gosar สมาชิกสภาคองเกรส สหรัฐ เสนอกฎหมายเพื่อฟ้อง บริษัทยายักษ์ใหญ่ (Big Pharma) สําหรับการบาดเจ็บจากวัคซีน วอชิงตัน ดี.ซี. 26 กันยายน 2024 สมาชิกสภาคองเกรส พอล เอ. โกซาร์, ดี.ดี.เอส. (AZ-09) ออกแถลงการณ์ ต่อไปนี้ หลังจากเสนอ H.R. 9828 พระราชบัญญัติระงับ การปกป้อง ผู้ผลิตวัคซีนจากการที่ไม่ต้องรับผิดชอบ End the Vaccine Carveout Act (https://www.congress.gov/bill/118th-congress/house-bill/9828#:~:text=Summary%20of%20H.R.9828%20-%20118th%20Congress) เป็นร่างกฎหมายที่จะถอดผู้ผลิตวัคซีนออกจากโล่ความที่ไม่ต้องรับผิด ส่งผลให้มีกําไรหลายแสนล้านดอลลาร์สำหรับ Big Pharma ในขณะที่ทำให้ผู้คนหลายหมื่นคนไม่สามารถแสวงหาความยุติธรรมทางกฎหมาย และ การชดเชยการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีน และมีการแถลง press release ดังต่อไปนี้ “แม้ว่าข้าราชการของรัฐบาลกลางและ Big Pharma จะยืนยันว่าวัคซีนนั้นปลอดภัย แต่ก็น่าเสียดายที่ขาดวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน ตัวอย่างเช่น การทบทวนเอกสารทางวิทยาศาสตร์ 12,000 ฉบับโดยสถาบันการแพทย์ ที่ตีพิมพ์ในปี 2555 พบว่า 98% ของการบาดเจ็บที่ศึกษานั้น เกิดจากหรืออาจเกิดจากวัคซีน การศึกษาของรัฐบาลอีกชิ้นหนึ่ง พบว่า ในขณะที่วัคซีนทำให้เกิดการบาดเจ็บใน 10 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย มีเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับรายงาน ซึ่งหมายความว่าจำนวนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนถูกนับน้อยไปอย่างมาก นอกจากนี้ ตามระบบการรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากวัคซีนของศูนย์ควบคุมโรค มีรายงานว่าชาวอเมริกันเกือบ 20,000 คนตายโดยวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเท่ากับ การเสียชีวิต หนึ่งรายต่อทุกๆ 14,000 คน ที่ได้รับวัคซีน ซึ่งสูงกว่าหนึ่งในล้านของการเสียชีวิต ที่ปกติมีการอ้างถึงอันตรายจากวัคซีน ข้าราชการและนักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลที่รับผิดชอบในการอนุมัติวัคซีนอยู่บนเตียงกับ Big Pharma ซึ่งมักเป็นเจ้าของหุ้นยา โดยมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษา และรับสัญญาที่ร่ํารวยจากบริษัทยาที่กดดันให้พวกเขาสร้างผลลัพธ์ที่ดีซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายของรัฐบาลกลางโดยตรง ที่แย่กว่านั้น นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยหลายคนในหน่วยงานของรัฐพัฒนาสิทธิบัตรสําหรับวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่พวกเขาทํางาน สร้างความขัดแย้งทางผลประโยชน์และก่อให้เกิดคําถามร้ายแรงเกี่ยวกับความเป็นธรรมของการตัดสินใจของพวกเขา ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ ผู้ผลิตวัคซีนจะต้องรับผิดชอบต่อการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีน เนื่องจากกฎหมายปี 1986 ที่สร้างภูมิคุ้มกันพิเศษอย่างไม่เป็นธรรมสําหรับ Big Pharma ทําให้เหยื่อที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนชนะในศาลได้ยากมาก กฎหมายนี้ยกเลิกบทบัญญัติภูมิคุ้มกันในปัจจุบันที่ปกป้อง Big Pharma อย่างไม่เป็นธรรม จากอันตรายที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของตน และอนุญาตให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนดําเนินคดีทางแพ่งในศาลของรัฐหรือรัฐบาลกลาง Big Pharma ไม่สมควรได้รับบัตรปลอดคุกสําหรับการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีนที่เป็นอันตราย” สมาชิกสภาคองเกรส Gosar กล่าวสรุป โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ ผู้ก่อตั้ง Children's Health Defense และประธานคณะกรรมการ Leave กล่าวว่า “ผู้ผลิตวัคซีนชาวอเมริกันทั้งสี่รายเป็นองค์กรอาชญากรรมที่จ่ายค่าปรับทางอาญาหลายหมื่นล้านในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยการปลดปล่อยพวกเขาจากความรับผิดสําหรับความประมาทเลินเล่อ กฎเกณฑ์ปี 1986 ได้ลบสิ่งจูงใจใด ๆ สําหรับบริษัทเหล่านี้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย หากเราต้องการวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เราจําเป็นต้องยุติเกราะป้องกันความรับผิด” แมรี่ ฮอลแลนด์ ประธานฝ่ายป้องกันสุขภาพเด็กกล่าวเสริมว่า “ขอบคุณสมาชิกสภาคองเกรสโกซาร์ที่แนะนํากฎหมายประวัติศาสตร์และจําเป็นอย่างเร่งด่วนนี้ เป็นเวลากว่า 35 ปีแล้วที่ผู้ปกครองของเด็กที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากวัคซีนที่รัฐบาลแนะนําถูกทิ้งไว้โดยไม่มีการเยียวยาที่มีความหมาย -- มีเพียงโครงการชดเชยที่ซับซ้อนและหลอกลวงที่ทําให้ครอบครัวที่เสียใจต่อต้านรัฐบาล ในขณะที่ Big Pharma ไม่มีความรับผิด ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ภาวะสุขภาพเรื้อรังในเด็ก - ออทิสติก สมาธิสั้น โรคภูมิแพ้รุนแรง หอบหืด - ได้พุ่งสูงขึ้น กฎหมายนี้จะช่วยยุติการปกครองของ Big Pharma เหนือรัฐบาล ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ทุจริตของพระราชบัญญัติการบาดเจ็บจากวัคซีนในวัยเด็กแห่งชาติปี 1986 ได้ปราบปรามวิทยาศาสตร์ ขัดขวางครอบครัว โค่นล้มตลาดการตรวจสอบและถ่วงดุลแบบประชาธิปไตย และลบสิทธิของพลเมืองในการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน ชาวอเมริกันสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้” ความเป็นมา: ในปี 1986 สภาคองเกรสได้ผ่านพระราชบัญญัติการบาดเจ็บจากวัคซีนในวัยเด็กแห่งชาติ (NVCIA) ซึ่งปกป้องผู้ผลิตวัคซีนจากอันตรายที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของตน ทําให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้บาดเจ็บจากวัคซีนจะชนะในศาล โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าผู้ผลิตวัคซีนจงใจ "[ระงับ] ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพของวัคซีน" มีส่วนร่วมใน "กิจกรรมทางอาญาหรือผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน" หรือ "โดยหลักฐานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ... ล้มเหลวในการใช้ความระมัดระวังอย่างเหมาะสม"การปฏิบัติตามข้อกําหนดเหล่านี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ศูนย์ควบคุมโรค (CDC) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ได้รับมอบหมายให้อนุมัติวัคซีน น่าเศร้าที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างมาก เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ที่ทํางานในหน่วยงานเหล่านี้ออกใบอนุญาตสิทธิบัตรให้กับผู้ผลิตวัคซีน และในการทําเช่นนั้น ได้รับค่าลิขสิทธิ์สูงถึง 150,000 ดอลลาร์นอกจากนี้ สมาชิกที่ลงคะแนนเสียงในคณะกรรมการที่ให้คําแนะนําแก่ CDC และ NIH เป็นเจ้าของหุ้นของผู้ผลิตวัคซีน มีส่วนร่วมในงานสัญญาสําหรับผู้ผลิตวัคซีน และได้รับเงินช่วยเหลือจากผู้ผลิตวัคซีน ผู้สนับสนุนร่วมในปัจจุบัน: Representatives Andy Biggs, Lauren Boebert, Josh Brecheen, Tim Burchett, Eric Burlison, Mike Collins, Eli Crane, Warren Davidson, Byron Donalds, Matt Gaetz, Bob Good, Marjorie Taylor Greene, Harriet Hageman, Andy Harris, Clay Higgins, Ronny Jackson, Anna Paulina Luna, Nancy Mace, Thomas Massie, Mary E. Miller, Cory Mills, Barry Moore, Troy E. Nehls, Ralph Norman, Andy Ogles, Bill Posey, Chip Roy, Keith Self, Victoria Spartz, and Randy K. Weber Sr. ถอดความภาษาไทยโดย ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 58 Views 0 Reviews
  • ผู้สนับสนุนนาโต้ของยูเครนรายงานว่า กลัวว่าจะไม่มีเงินเหลือพอที่จะเติมเชื้อเพลิงให้กับสงครามตัวแทนต่อต้านรัสเซียจนถึงปี ๒๐๒๕

    การส่งอาวุธให้ยูเครนอย่างต่อเนื่องนั้นมีความเสี่ยง เนื่องจากผู้สนับสนุนนาโต้รายใหญ่ของระบอบเซเลนสกีขาดเงินทุนอย่างเร่งด่วน, แหล่งข่าววงในนโยบายบอกกับบลูมเบิร์ก

    สิ่งที่เป็นเดิมพันคือข้อตกลงเงินกู้มูลค่า ๕ หมื่นล้านดอลลาร์ ที่สร้างความขัดแย้งขึ้นจากกำไรของสินทรัพย์ของธนาคารกลางรัสเซียที่ถูกอายัดไว้ในธนาคารตะวันตก, ซึ่งรายงานระบุว่าวอชิงตันกลัวว่าฮังการีอาจปิดกั้นหรือลดจำนวนลง แม้แต่จำนวนเงินนั้นก็เพียงพอที่จะให้เคียฟมีเสบียงสำหรับสงครามได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น

    นั่นยังไม่นับรวมสถานการณ์เศรษฐกิจของเคียฟ, ซึ่งรวมถึงช่องว่างที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ๓๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ในงบประมาณปี ๒๐๒๕, ซึ่งอีกประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ยังไม่สามารถนำมาคำนวณได้ หลังจากใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและสหภาพยุโรป การขาดดุลดังกล่าวอาจผลักดันให้เคียฟเข้าสู่การเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย ‘จากจุดยืนที่อ่อนแอ’, แหล่งข่าวของ Bloomberg ระบุ

    ดูเหมือนว่าเคียฟจะประสบปัญหาในการโน้มน้าวใจผู้สนับสนุนให้ยังคงควักเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อซื้ออาวุธสำหรับความขัดแย้ง เนื่องจากการผลิตอาวุธของรัสเซียที่เพิ่มขึ้น "เกินหน้า" ผลผลิตรวมของชาติตะวันตก

    จากนั้นยังมีแรงกดดันต่อเซเลนสกีว่า คาดว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะต้องใช้มาตรการนี้, หากเขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี, 🤣และสถานะที่ขัดสนเงินสดของเยอรมนี, ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่เป็นอันดับสองของยูเครน รองจากสหรัฐอเมริกา, ซึ่งข้อจำกัดด้านหนี้ตามรัฐธรรมนูญได้ส่งผลกระทบต่อการสนับสนุนไปแล้ว ในขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจกำลังแผ่กระจายไปทั่วฝรั่งเศส, อิตาลี, และสหราชอาณาจักร, ประเทศเหล่านี้อาจลดความช่วยเหลือลงเช่นกัน, แม้ว่ารัฐบาลสตาร์เมอร์จะให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนเคียฟอย่างเต็มที่ต่อไป แม้ว่าจะต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากในด้านงบประมาณภายในประเทศก็ตาม🤣

    วิกฤตการณ์ด้านความช่วยเหลือเป็นครั้งที่สองในปีนี้ที่โอกาสในสนามรบของเคียฟต้องเผชิญความท้าทายจากความลังเลใจของผู้สนับสนุนที่จะควักเงินเพิ่ม ในเดือนเมษายน, สภาผู้แทนราษฎรที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้ผ่านแพ็คเกจความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมูลค่า ๔๘,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สำหรับยูเครน หลังจากเกิดความขัดแย้งกันนาน ๖ เดือน จากวิกฤตที่ชายแดนทางใต้ของสหรัฐฯ
    .
    Ukraine’s NATO patrons reportedly fear running out of money to fuel anti-Russia proxy war into 2025

    The continued delivery of weaponry to Ukraine is at risk due to a pressing lack of funds among the Zelensky regime’s top NATO sponsors, policy insiders have told Bloomberg.

    At stake is a controversial $50 billion loan agreement generated by the profits of Russian Central Bank assets frozen in Western banks, which Washington reportedly fears could be blocked by Hungary or whittled down. Even that sum would be enough to keep Kiev stocked up on war materiel for only half the year.

    That’s not counting Kiev’s economic situation, including a projected $35 billion gap in the 2025 budget, about $15 billion of which has yet to be accounted for after IMF and EU subsidies are applied. The shortfall could push Kiev into peace talks with Russia ‘from a position of weakness’, Bloomberg’s sources indicated.

    Kiev is apparently also having a hard time convincing patrons to continue shelling out tens of billions of dollars worth of arms for the conflict as ramped-up Russian production “outpaces” the combined output of the collective West.

    Then there is the pressure on Zelensky that Donald Trump is expected to apply, should he win the White House, and the cash-poor position of Germany, Ukraine’s second-largest sponsor after the US, whose constitutional debt restrictions have already affected support. As economic troubles sweep over France, Italy, and the UK, these countries may similarly reduce assistance, although the Starmer government has vowed to continue backing Kiev up to the hilt despite hard budgetary choices to make at home.

    The aid crunch is the second time this year that Kiev’s battlefield prospects have been challenged by its patrons’ reluctance to fork over more cash. In April, the Republican-held House of Representatives passed a $48 billion package of security aid for Ukraine after a six-month deadlock connected to the crisis at the US’s southern border.
    .
    11:29 PM · Sep 27, 2024 · 1,960 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1839703912816783372
    ผู้สนับสนุนนาโต้ของยูเครนรายงานว่า กลัวว่าจะไม่มีเงินเหลือพอที่จะเติมเชื้อเพลิงให้กับสงครามตัวแทนต่อต้านรัสเซียจนถึงปี ๒๐๒๕ การส่งอาวุธให้ยูเครนอย่างต่อเนื่องนั้นมีความเสี่ยง เนื่องจากผู้สนับสนุนนาโต้รายใหญ่ของระบอบเซเลนสกีขาดเงินทุนอย่างเร่งด่วน, แหล่งข่าววงในนโยบายบอกกับบลูมเบิร์ก สิ่งที่เป็นเดิมพันคือข้อตกลงเงินกู้มูลค่า ๕ หมื่นล้านดอลลาร์ ที่สร้างความขัดแย้งขึ้นจากกำไรของสินทรัพย์ของธนาคารกลางรัสเซียที่ถูกอายัดไว้ในธนาคารตะวันตก, ซึ่งรายงานระบุว่าวอชิงตันกลัวว่าฮังการีอาจปิดกั้นหรือลดจำนวนลง แม้แต่จำนวนเงินนั้นก็เพียงพอที่จะให้เคียฟมีเสบียงสำหรับสงครามได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น นั่นยังไม่นับรวมสถานการณ์เศรษฐกิจของเคียฟ, ซึ่งรวมถึงช่องว่างที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ๓๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ในงบประมาณปี ๒๐๒๕, ซึ่งอีกประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ยังไม่สามารถนำมาคำนวณได้ หลังจากใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและสหภาพยุโรป การขาดดุลดังกล่าวอาจผลักดันให้เคียฟเข้าสู่การเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย ‘จากจุดยืนที่อ่อนแอ’, แหล่งข่าวของ Bloomberg ระบุ ดูเหมือนว่าเคียฟจะประสบปัญหาในการโน้มน้าวใจผู้สนับสนุนให้ยังคงควักเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อซื้ออาวุธสำหรับความขัดแย้ง เนื่องจากการผลิตอาวุธของรัสเซียที่เพิ่มขึ้น "เกินหน้า" ผลผลิตรวมของชาติตะวันตก จากนั้นยังมีแรงกดดันต่อเซเลนสกีว่า คาดว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะต้องใช้มาตรการนี้, หากเขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี, 🤣และสถานะที่ขัดสนเงินสดของเยอรมนี, ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่เป็นอันดับสองของยูเครน รองจากสหรัฐอเมริกา, ซึ่งข้อจำกัดด้านหนี้ตามรัฐธรรมนูญได้ส่งผลกระทบต่อการสนับสนุนไปแล้ว ในขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจกำลังแผ่กระจายไปทั่วฝรั่งเศส, อิตาลี, และสหราชอาณาจักร, ประเทศเหล่านี้อาจลดความช่วยเหลือลงเช่นกัน, แม้ว่ารัฐบาลสตาร์เมอร์จะให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนเคียฟอย่างเต็มที่ต่อไป แม้ว่าจะต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากในด้านงบประมาณภายในประเทศก็ตาม🤣 วิกฤตการณ์ด้านความช่วยเหลือเป็นครั้งที่สองในปีนี้ที่โอกาสในสนามรบของเคียฟต้องเผชิญความท้าทายจากความลังเลใจของผู้สนับสนุนที่จะควักเงินเพิ่ม ในเดือนเมษายน, สภาผู้แทนราษฎรที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้ผ่านแพ็คเกจความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมูลค่า ๔๘,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สำหรับยูเครน หลังจากเกิดความขัดแย้งกันนาน ๖ เดือน จากวิกฤตที่ชายแดนทางใต้ของสหรัฐฯ . Ukraine’s NATO patrons reportedly fear running out of money to fuel anti-Russia proxy war into 2025 The continued delivery of weaponry to Ukraine is at risk due to a pressing lack of funds among the Zelensky regime’s top NATO sponsors, policy insiders have told Bloomberg. At stake is a controversial $50 billion loan agreement generated by the profits of Russian Central Bank assets frozen in Western banks, which Washington reportedly fears could be blocked by Hungary or whittled down. Even that sum would be enough to keep Kiev stocked up on war materiel for only half the year. That’s not counting Kiev’s economic situation, including a projected $35 billion gap in the 2025 budget, about $15 billion of which has yet to be accounted for after IMF and EU subsidies are applied. The shortfall could push Kiev into peace talks with Russia ‘from a position of weakness’, Bloomberg’s sources indicated. Kiev is apparently also having a hard time convincing patrons to continue shelling out tens of billions of dollars worth of arms for the conflict as ramped-up Russian production “outpaces” the combined output of the collective West. Then there is the pressure on Zelensky that Donald Trump is expected to apply, should he win the White House, and the cash-poor position of Germany, Ukraine’s second-largest sponsor after the US, whose constitutional debt restrictions have already affected support. As economic troubles sweep over France, Italy, and the UK, these countries may similarly reduce assistance, although the Starmer government has vowed to continue backing Kiev up to the hilt despite hard budgetary choices to make at home. The aid crunch is the second time this year that Kiev’s battlefield prospects have been challenged by its patrons’ reluctance to fork over more cash. In April, the Republican-held House of Representatives passed a $48 billion package of security aid for Ukraine after a six-month deadlock connected to the crisis at the US’s southern border. . 11:29 PM · Sep 27, 2024 · 1,960 Views https://x.com/SputnikInt/status/1839703912816783372
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 51 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/3CWgoQU9DZU?si=I-ocXXpD9ZPmCpVg
    https://youtu.be/3CWgoQU9DZU?si=I-ocXXpD9ZPmCpVg
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • Good
    Good
    0 Comments 0 Shares 68 Views 34 0 Reviews
  • Good morning, holiday. Live happily, relax, unwind, worry-free, fully in a relaxed, simple, easy style, our style.😇☕️🥰
    Good morning, holiday. Live happily, relax, unwind, worry-free, fully in a relaxed, simple, easy style, our style.😇☕️🥰
    Yay
    1
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/xGOqKW6MBTg?si=DL6x5CYtNEyNz9ep
    https://youtu.be/xGOqKW6MBTg?si=DL6x5CYtNEyNz9ep
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/gO5nJz6iXEs?si=GwOlrW4UR_apjxQQ
    https://youtu.be/gO5nJz6iXEs?si=GwOlrW4UR_apjxQQ
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • https://youtube.com/shorts/aGo-XSqpWvk?si=QQr5aCoJccEXTNQc
    ทาน ศีล ภาวนา
    https://youtube.com/shorts/aGo-XSqpWvk?si=QQr5aCoJccEXTNQc ทาน ศีล ภาวนา
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • ติ่งขา……พี่ปูช่างมีพลังเหลือเฟือ ทั้งเล่ห์เหลี่ยม ทุบสั่งสอนและปากร้าย……แหมมมม…แค่ปีกว่าๆเองนะเนี่ยยยย!!!

    ตอนสิบหก………เรื่องรักเพื่อน…ไม่เคยถอย……เรื่องลองดี…ก็ไม่รอให้ท้า…!!!

    ภายในช่วงฤดูร้อนของปี 2005 ระบบการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัสเซียได้แน่นกระชับขึ้น หลังจากที่เรียกคืนสัมปทานจากกลุ่มนายทุน (ด้วยวิธีตรวจสอบเรียกเก็บภาษีย้อนหลังแล้ว)
    ส่วนใหญ่ยอมสละเรือ พากันทิ้งแล้วหอบเงินที่มีออกไปนอกประเทศ……
    ส่วน MK (หรือ Mikhail Khodorkovsky) ที่ยังดื้อดึง เพราะมีเส้นสายอยู่รอบโลก ยังคงท้าทายอำนาจ ซึ่งเขาได้รับโทษจำคุกเก้าปี

    เมื่อสัมปทานทั้งหมดได้กลับเข้าสู่รัฐ ปูตินได้เปิดให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อหุ้นพลังงาน เพื่อการจูงใจในการลงทุนในภาคอื่นๆ เพราะเขามีโปรเจ็คที่จะสร้างท่อส่งก๊าสไปสู่ยุโรป โดยผ่านทั้งทางบกและลอดใต้ทะเล
    กลุ่มที่หลั่งไหลเข้ามา ก็คือ Citigroup, IBM,Intel, Alcoa, ConocoPhilip, Kraft และเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการสื่อโลก Rupert Murdoch
    ในการประชุมกับบุคคลต่างๆของบริษัทที่กล่าวมา Sanford Weill จาก Citigroup (USA) ได้ถามปูตินตรงๆว่า
    “เส้นทางที่พวกเราจะมาลงทุนนี้ มันต้องผ่านขั้นตอนหรือมีอุปสรรคอะไรบ้าง?”
    ปูตินตอบอย่างชัดเจนว่า…
    “ทางเราไม่มีอะไรมาก เพราะมีกฎหมายระบุชัดเจน ส่วนอุปสรรคที่คุณว่า มันไม่ใช่มาจากรัสเซีย แต่มันเกิดจากทางบ้านคุณ (หมายถึงอเมริกา) ที่บีบคั้นเราในทางการค้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก, การควบคุมทางอวกาศ, คอมพิวเตอร์ และ ทางการทหาร ซึ่งเป็นการบีบมาตั้งแต่เมื่อครั้วเราเป็นโซเวียต เพื่อเป็นการลงโทษที่โซเวียตมีกฏหมายห้ามไม่ให้ยิว
    ลี้ภัยออกไปอิสราเอล (1974) เมื่อเราได้มาเป็นรัสเซีย กฏหมายข้อนี้ได้ล้มเลิกไป ใครจะไปไหนก็ตามสบาย
    แต่อเมริกายังไม่ยกเลิกการแซงชั่นจนถึงบัดนี้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่ประธานาธิบดี เรื่อง”อุปสรรค” ที่พวกคุณถาม คุณถามผิดคนแล้ว คุณต้องไปถามทางผู้นำขอบคุณจะได้รับคำตอบที่ดีกว่า……”
    คำตอบนี้…เล่นเอาทุกคนสะอึก….!!!

    หลังประชุม มีการถ่ายรูปหมู่ Robert Kraft เจ้าของบริษัท Kraft Group และเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล ที่เพิ่งชนะใน Super Bowl เมื่อต้นปี ที่เขาภูมิใจมาก ถึงขนาดสั่งทำแหวนเพชรขึ้นมาเป็นพิเศษ ด้วยเพชรกว่าสองร้อยเม็ดล้อมรอบ สลักชื่อตัวเอง สลัดชื่อทีม……Sanford Weill จึงกระเซ้าว่า ให้เอาแหวนมาอวดปูตินหน่อยซิ
    Kraft จึงค่อยบรรจงควักออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเปิดกล่องให้ปูตินได้ชม…
    ปูติน…หยิบเอาไปสวมในนิ้วมือ และอุทานว่า
    “นี่มันขนาดเอาไปใช้เป็นอาวุธได้เลยนะ..”
    ช่างภาพกดแฟลชกันระรัว…ยิงไม่นับ
    จากนั้น Kraft จึงยื่นมือไปเพื่อขอคืน แต่ปูตินส่งต่อให้ผู้ติดตามให้เอาไปเก็บ………และกล่าวอำลาไปอย่างหน้าตาเฉย

    Robert Kraft ถึงกับไปไม่เป็น ตามด้วยสติแตก เขารีบติดต่อหา Weill และต่อสายทางไกลไปยังทำเนียบขาว เพื่อที่จะช่วยขอแหวนคืน……
    แต่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ออกมา มันเป็นการลักษณะของการมอบของขวัญ ที่ใครจะไปกล้าขอคืน……เสียหน้าแย่
    แต่ Kraft ก็ยังเอะอะมะเทิ่งว่า……ก็ผมให้ดูเฉยๆ ตามคำแนะนำของวีลล์ และผมรักมันมาก ตั้งใจทำมาเพื่อเป็นเกียรติยศกับวงศ์ตระกูล…

    ทำเนียบขาวตอบมาสั้นๆว่า….”เอาน่า….ไปสั่งทำใหม่ละกัน..”
    ก็สรุปตามนั้น คราฟท์ได้สั่งทำใหม่มาอีกวงหนึ่ง
    ส่วนวงออริจินัลนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ ห้องพิพิธภัณฑ์ของที่ระลึก
    ในหอสมุดที่เครมลิน…

    ~~-นี่คือความเข้าใจผิดระดับผู้นำ……เพราะมันตรงตามโปรโตคอลที่จะเป็นภาพของการถ่ายภาพร่วมกันออกสื่อ มีการมอบของขวัญเพื่อสานสัมพันธไมตรี และเป็นการขอบคุณเจ้าภาพ….ซึ่งทางรัสเซียคงเข้าใจตามนั้น
    ถ้าจะอวดกัน…ควรจะอวดเป็นส่วนตัวในยามคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้อง
    จากภาพที่เห็น……ใครๆก็ต้องคล้อยตามว่า นั่นคือการมอบของที่ระลึก…
    (ป่านนี้ปูตินคงขำกลิ้งไปแล้ว……)

    งานวางฐานเศรษฐกิจชาติ ได้สำเร็จไปตามแผน นั่นคือ
    Rosneft บริษัทพลังงานที่ใหญ่อันดับสอง ดูแลโดย Igor Sechin
    United Aircraft Corporation ดูแลโดย Sergei Ivanov
    Russian Railways ดูแลโดย Vladimir Yakunin
    Rosoboronexport ดูแลโดย Seigei Chemezov
    Gazprom ดูแลโดย Dmitry Medvedev
    ทั้งหมดนี้ ที่ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียก้าวพุ่ง ภายในปีเดียว
    จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน G8 แบบกระพริบตาไม่ทัน

    มกราคม 2006 นักข่าวได้ถามปูตินว่า
    “ถ้าไม่เป็นประธานาธิบดี ท่านคิดว่าท่านจะมาทำงานในส่วนคุมพลังงานนี้หรือไม่..?”
    คำตอบคือ
    “ขอบคุณที่ชี้ทางหางานให้……แต่ไม่มีทาง ผมไม่มีทักษะในเรื่องธุรกิจเลย หรือ เป็นเพราะว่าเมื่อชาติก่อนไม่เคยทำมาค้าขายก็เป็นได้…”

    เพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งที่ต้องพูดถึง คือ สองพี่น้อง Arkady และ Boris Rotenerg ที่เรียนยูโดมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก
    สองพี่น้องนี้ได้เปิดสถานฝึกสอนยูโด และ ยิมที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในปี 1998 ชื่อว่า Yawara-Neva ปูตินรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์……ที่สถานฝึกสอนได้ตั้งกลุ่มผู้ที่ฝึกยูโดอย่างจริงจัง
    เรียกว่า “judocracy “
    เมื่อปี 2000 ที่ปูตินได้เป็นประธานาธิบดี เขาจัดการควบคุมโรงกลั่นเหล้าว้อดก้าให้เป็นสัมปทาน และมอบหมายให้ Arkady เป็นคนดูแล ซึ่งไม่นานต่อมา องค์กรโรงกลั่นนี้ได้ขยายไปคุมกิจการเหล้าอื่นๆเกือบทั้งประเทศ จนถึงขั้นตั้งธนาคารของตัวเองได้ ชื่อว่า SMP Bank และมีส่วนร่วมในการลงทุนในท่อก๊าสสู่ยุโรป
    ความสำเร็จเหล่านี้เป็นการยืนยันว่า เขาไม่ได้เอาเพื่อนจากถิ่นเก่ามาช่วยงานเพราะเห็นแก่หน้า……แต่เขาคัดมาเฉพาะคนที่เชื่อใจและมองเห็นในความสามารถ……

    ปูตินเชื่ออะไรหลายๆอย่างที่เป็นเรื่องแปลก เขาคือชนรุ่นโซเวียตแท้ๆตั้งแต่เกิด แต่เขามีความอ่อนไหวกับเรื่องราชาธิปไตยภายใต้ประชาธิปไตย (sovereign democracy)
    ในการบรรยายหรือให้สัมภาษณ์เขามักกล่าวถึง นักปรัชญาทางการเมืองและศาสนา Ivan Ilyin (1883-1954) ที่ต่อต้านบอลเชวิคจนต้องหนีออกไปนอกประเทศ และไปเสียชีวิตที่ สวิตเซอร์แลนด์
    ในบทความของอิวานมักจะเอนเอียงไปทางประชาธิปไตยที่ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับฐานรากของประชาชน
    ปูตินได้ใช้บทความของอิวานครั้งหนึ่งในตอนที่เขาขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆว่า
    “เราต้องไม่ลืมว่า รัสเซียเป็นประชาธิปไตยเพราะนั่นคือความต้องการของประชาชน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันสันติสุข เราต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับภูมิภาค จดจำประวัติการความเป็นมา และการให้ความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน
    เรามีเอกราชเป็นของตัวเอง เส้นทางข้างหน้าคือการก้าวไปอย่างเสรีด้วยกัน……ด้วยความระมัดระวัง…”

    และอีกคนหนึ่ง คือนักรบพระเจ้าซาร์ General Anton Denikin
    (1872-1947) ที่ต้องพ่ายแพ้ในการรักษาพระราชบัลลังก์ในสงครามกลางเมือง ทั้งๆที่นายพลผู้นี้ถือเป็นยอดอัศวิน (และเป็นนักเขียน) ที่ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน จนต้องลี้ภัยไปอยู่หลายประเทศ ในที่สุดก็ไปเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกา

    เวลาผ่านไปนานแสนนานก็จริง แต่ปูตินได้จัดการนำร่างของคนทั้งสองกลับมาทำพิธีและทำสุสานให้สมเกียรติที่ Donskoy Monastery, Moscow (ด้วยทุนของตัวเอง)

    กลับมาเรื่องการสร้างอำนาจด้วยพลังงาน……ปูตินได้จับมือกับนายรัฐมนตรีเยอรมันนี Gerhard Schröder ที่เป็นเกลอกัน
    ในเรื่องการสร้างท่อก๊าสจากเอเซียสู่ยุโรป ในนาม Nord Stream ที่จะเชื่อมผ่านกลุ่มท่อเก่าของโซเวียตที่ทำไว้ ที่ยูเครน, เบลารุส โปแลนด์ และ สอดผ่านใต้ทะเลบอลติก
    ที่ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมันในโครงการนี้ถึงพันล้านยูโร
    (ในสมัยที่เยอรมันนีมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่)
    แต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่ทิ้งเพื่อน เพียงหนึ่งอาทิตย์ที่ Gerhard ได้ลงจากตำแหน่ง รัสเซียได้จ้างให้ Gerhard มานั่งเป็นที่ปรึกษาในบริษัท Nord Stream ……รับเละ…!!
    เพราะประธานบริษัท คือ Matthias Warnig เพื่อนเก่าสมัยที่อยู่เดรสเดน

    ทุกการเคลื่อนไหวของปูตินได้สร้างเม็ดเงินสู่ประเทศแบบทำนบแตก
    ปรกติ Gazprom ได้ส่งก๊าสให้ยูเครนในราคาเป็นกันเอง คือ 50$ ต่อ 1000 คิวบิก ที่ยูเครนจะไปขายเท่าไหร่ก็แล้วแต่
    แต่เมื่อการเมืองของยูเครนที่เกิดฝักใฝ่ทางตะวันตก…
    ตัวประธานาธิบดีคนใหม่ก็แสนจะดี๊ด๊ากับกลิ่นไอของประชาธิยไตยสีส้ม
    ปูตินก็เลยเห็นว่า……มันถึงเวลาที่จะขึ้นราคา…เท่ากับว่ากำไรที่เคยได้จะหดหายไป เพราะยูเครนไม่สามารถไปขึ้นราคากับยุโรปได้ เนื่องจากมีสัญญาระยะยาว…
    และหนี้สินที่ให้ค้างคามานาน.……รัสเซียให้เวลาสามเดือน
    ให้เอามาจ่าย

    เมื่อถึงเวลา….เงินไม่มา…ในวันที่ 31 ธันวาคม 2005 เป็นวันสำคัญของการเฉลิมฉลองของฤดูหนาว……รัสเซียตัดก๊าสสั่งสอน
    เดือดร้อนกันไปทั่วทั้งทวีป……กระจองอแงกันไปหมด
    นั่นคือการที่ต้องมาคุยกันใหม่……ทีนี้จะได้รู้บ้างว่า”ใครใหญ่”
    และจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางราคา….

    แต่ก็ไม่นาน……ที่ปูตินเล่นไม้แข็งก็โอนอ่อน เพราะคนที่เดือดร้อนด้วยคือมหามิตร อย่าง ออสเตรีย, ฮังการี
    เขายอมปล่อยก๊าสคืนให้ แต่….จะมีการวางท่อใหม่และราคาที่ขึ้นอยู่กับว่า……รักมาก…รักน้อย….!!

    ทีนี้ก็ถึงการลากมาสับ…รายแรกคือ Victor Yushchenko หรือ VAY ที่ทางรัสเซียได้ออกข่าวว่า ที่เรื่องก๊าสยุ่งเหยิง หนี้สินเพียบแบบนี้ เพราะการบริหารของประธานาธิบดียูเครนคนใหม่ ที่มีส่วนในการรับเงินใต้โต๊ะจากบริษัท RosUkrEnergo
    ปูตินทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าอยากรู้ มากกว่านี้……ก็ไปถามกันเอง..”

    ~~บริษัทพลังงาน RosUkrEnergo เป็นของรัฐบาลยูเครนที่ Gazprom มีหุ้นครึ่งหนึ่ง ตัวเลขการเงินทางฝั่งยูเครน ไหลไปไหนก็รู้กันหมดว่า VAY เอาไปใช้ในการปฏิบัติการสีส้มจำนวนมหาศาล และในรัฐบาลยูเครน ก็ยังมีเส้นสายคนของปูตินเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ คือ Victor Yanukovych (VFY)

    เครดิตของประธานาธิบดียูเครนที่เพิ่งได้มาหมาดๆ เริ่มสั่นคลอน
    ความมั่นใจว่ามีตะวันตกหนุนหลัง……ชักลังเล………แต่เขาเริ่มเชื่อแล้วว่า……คงจะต้องมีรายการตามมาอีกเป็นหางว่าว………!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ติ่งขา……พี่ปูช่างมีพลังเหลือเฟือ ทั้งเล่ห์เหลี่ยม ทุบสั่งสอนและปากร้าย……แหมมมม…แค่ปีกว่าๆเองนะเนี่ยยยย!!! ตอนสิบหก………เรื่องรักเพื่อน…ไม่เคยถอย……เรื่องลองดี…ก็ไม่รอให้ท้า…!!! ภายในช่วงฤดูร้อนของปี 2005 ระบบการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัสเซียได้แน่นกระชับขึ้น หลังจากที่เรียกคืนสัมปทานจากกลุ่มนายทุน (ด้วยวิธีตรวจสอบเรียกเก็บภาษีย้อนหลังแล้ว) ส่วนใหญ่ยอมสละเรือ พากันทิ้งแล้วหอบเงินที่มีออกไปนอกประเทศ…… ส่วน MK (หรือ Mikhail Khodorkovsky) ที่ยังดื้อดึง เพราะมีเส้นสายอยู่รอบโลก ยังคงท้าทายอำนาจ ซึ่งเขาได้รับโทษจำคุกเก้าปี เมื่อสัมปทานทั้งหมดได้กลับเข้าสู่รัฐ ปูตินได้เปิดให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อหุ้นพลังงาน เพื่อการจูงใจในการลงทุนในภาคอื่นๆ เพราะเขามีโปรเจ็คที่จะสร้างท่อส่งก๊าสไปสู่ยุโรป โดยผ่านทั้งทางบกและลอดใต้ทะเล กลุ่มที่หลั่งไหลเข้ามา ก็คือ Citigroup, IBM,Intel, Alcoa, ConocoPhilip, Kraft และเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการสื่อโลก Rupert Murdoch ในการประชุมกับบุคคลต่างๆของบริษัทที่กล่าวมา Sanford Weill จาก Citigroup (USA) ได้ถามปูตินตรงๆว่า “เส้นทางที่พวกเราจะมาลงทุนนี้ มันต้องผ่านขั้นตอนหรือมีอุปสรรคอะไรบ้าง?” ปูตินตอบอย่างชัดเจนว่า… “ทางเราไม่มีอะไรมาก เพราะมีกฎหมายระบุชัดเจน ส่วนอุปสรรคที่คุณว่า มันไม่ใช่มาจากรัสเซีย แต่มันเกิดจากทางบ้านคุณ (หมายถึงอเมริกา) ที่บีบคั้นเราในทางการค้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก, การควบคุมทางอวกาศ, คอมพิวเตอร์ และ ทางการทหาร ซึ่งเป็นการบีบมาตั้งแต่เมื่อครั้วเราเป็นโซเวียต เพื่อเป็นการลงโทษที่โซเวียตมีกฏหมายห้ามไม่ให้ยิว ลี้ภัยออกไปอิสราเอล (1974) เมื่อเราได้มาเป็นรัสเซีย กฏหมายข้อนี้ได้ล้มเลิกไป ใครจะไปไหนก็ตามสบาย แต่อเมริกายังไม่ยกเลิกการแซงชั่นจนถึงบัดนี้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่ประธานาธิบดี เรื่อง”อุปสรรค” ที่พวกคุณถาม คุณถามผิดคนแล้ว คุณต้องไปถามทางผู้นำขอบคุณจะได้รับคำตอบที่ดีกว่า……” คำตอบนี้…เล่นเอาทุกคนสะอึก….!!! หลังประชุม มีการถ่ายรูปหมู่ Robert Kraft เจ้าของบริษัท Kraft Group และเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล ที่เพิ่งชนะใน Super Bowl เมื่อต้นปี ที่เขาภูมิใจมาก ถึงขนาดสั่งทำแหวนเพชรขึ้นมาเป็นพิเศษ ด้วยเพชรกว่าสองร้อยเม็ดล้อมรอบ สลักชื่อตัวเอง สลัดชื่อทีม……Sanford Weill จึงกระเซ้าว่า ให้เอาแหวนมาอวดปูตินหน่อยซิ Kraft จึงค่อยบรรจงควักออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเปิดกล่องให้ปูตินได้ชม… ปูติน…หยิบเอาไปสวมในนิ้วมือ และอุทานว่า “นี่มันขนาดเอาไปใช้เป็นอาวุธได้เลยนะ..” ช่างภาพกดแฟลชกันระรัว…ยิงไม่นับ จากนั้น Kraft จึงยื่นมือไปเพื่อขอคืน แต่ปูตินส่งต่อให้ผู้ติดตามให้เอาไปเก็บ………และกล่าวอำลาไปอย่างหน้าตาเฉย Robert Kraft ถึงกับไปไม่เป็น ตามด้วยสติแตก เขารีบติดต่อหา Weill และต่อสายทางไกลไปยังทำเนียบขาว เพื่อที่จะช่วยขอแหวนคืน…… แต่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ออกมา มันเป็นการลักษณะของการมอบของขวัญ ที่ใครจะไปกล้าขอคืน……เสียหน้าแย่ แต่ Kraft ก็ยังเอะอะมะเทิ่งว่า……ก็ผมให้ดูเฉยๆ ตามคำแนะนำของวีลล์ และผมรักมันมาก ตั้งใจทำมาเพื่อเป็นเกียรติยศกับวงศ์ตระกูล… ทำเนียบขาวตอบมาสั้นๆว่า….”เอาน่า….ไปสั่งทำใหม่ละกัน..” ก็สรุปตามนั้น คราฟท์ได้สั่งทำใหม่มาอีกวงหนึ่ง ส่วนวงออริจินัลนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ ห้องพิพิธภัณฑ์ของที่ระลึก ในหอสมุดที่เครมลิน… ~~-นี่คือความเข้าใจผิดระดับผู้นำ……เพราะมันตรงตามโปรโตคอลที่จะเป็นภาพของการถ่ายภาพร่วมกันออกสื่อ มีการมอบของขวัญเพื่อสานสัมพันธไมตรี และเป็นการขอบคุณเจ้าภาพ….ซึ่งทางรัสเซียคงเข้าใจตามนั้น ถ้าจะอวดกัน…ควรจะอวดเป็นส่วนตัวในยามคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้อง จากภาพที่เห็น……ใครๆก็ต้องคล้อยตามว่า นั่นคือการมอบของที่ระลึก… (ป่านนี้ปูตินคงขำกลิ้งไปแล้ว……) งานวางฐานเศรษฐกิจชาติ ได้สำเร็จไปตามแผน นั่นคือ Rosneft บริษัทพลังงานที่ใหญ่อันดับสอง ดูแลโดย Igor Sechin United Aircraft Corporation ดูแลโดย Sergei Ivanov Russian Railways ดูแลโดย Vladimir Yakunin Rosoboronexport ดูแลโดย Seigei Chemezov Gazprom ดูแลโดย Dmitry Medvedev ทั้งหมดนี้ ที่ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียก้าวพุ่ง ภายในปีเดียว จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน G8 แบบกระพริบตาไม่ทัน มกราคม 2006 นักข่าวได้ถามปูตินว่า “ถ้าไม่เป็นประธานาธิบดี ท่านคิดว่าท่านจะมาทำงานในส่วนคุมพลังงานนี้หรือไม่..?” คำตอบคือ “ขอบคุณที่ชี้ทางหางานให้……แต่ไม่มีทาง ผมไม่มีทักษะในเรื่องธุรกิจเลย หรือ เป็นเพราะว่าเมื่อชาติก่อนไม่เคยทำมาค้าขายก็เป็นได้…” เพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งที่ต้องพูดถึง คือ สองพี่น้อง Arkady และ Boris Rotenerg ที่เรียนยูโดมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก สองพี่น้องนี้ได้เปิดสถานฝึกสอนยูโด และ ยิมที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในปี 1998 ชื่อว่า Yawara-Neva ปูตินรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์……ที่สถานฝึกสอนได้ตั้งกลุ่มผู้ที่ฝึกยูโดอย่างจริงจัง เรียกว่า “judocracy “ เมื่อปี 2000 ที่ปูตินได้เป็นประธานาธิบดี เขาจัดการควบคุมโรงกลั่นเหล้าว้อดก้าให้เป็นสัมปทาน และมอบหมายให้ Arkady เป็นคนดูแล ซึ่งไม่นานต่อมา องค์กรโรงกลั่นนี้ได้ขยายไปคุมกิจการเหล้าอื่นๆเกือบทั้งประเทศ จนถึงขั้นตั้งธนาคารของตัวเองได้ ชื่อว่า SMP Bank และมีส่วนร่วมในการลงทุนในท่อก๊าสสู่ยุโรป ความสำเร็จเหล่านี้เป็นการยืนยันว่า เขาไม่ได้เอาเพื่อนจากถิ่นเก่ามาช่วยงานเพราะเห็นแก่หน้า……แต่เขาคัดมาเฉพาะคนที่เชื่อใจและมองเห็นในความสามารถ…… ปูตินเชื่ออะไรหลายๆอย่างที่เป็นเรื่องแปลก เขาคือชนรุ่นโซเวียตแท้ๆตั้งแต่เกิด แต่เขามีความอ่อนไหวกับเรื่องราชาธิปไตยภายใต้ประชาธิปไตย (sovereign democracy) ในการบรรยายหรือให้สัมภาษณ์เขามักกล่าวถึง นักปรัชญาทางการเมืองและศาสนา Ivan Ilyin (1883-1954) ที่ต่อต้านบอลเชวิคจนต้องหนีออกไปนอกประเทศ และไปเสียชีวิตที่ สวิตเซอร์แลนด์ ในบทความของอิวานมักจะเอนเอียงไปทางประชาธิปไตยที่ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับฐานรากของประชาชน ปูตินได้ใช้บทความของอิวานครั้งหนึ่งในตอนที่เขาขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆว่า “เราต้องไม่ลืมว่า รัสเซียเป็นประชาธิปไตยเพราะนั่นคือความต้องการของประชาชน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันสันติสุข เราต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับภูมิภาค จดจำประวัติการความเป็นมา และการให้ความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน เรามีเอกราชเป็นของตัวเอง เส้นทางข้างหน้าคือการก้าวไปอย่างเสรีด้วยกัน……ด้วยความระมัดระวัง…” และอีกคนหนึ่ง คือนักรบพระเจ้าซาร์ General Anton Denikin (1872-1947) ที่ต้องพ่ายแพ้ในการรักษาพระราชบัลลังก์ในสงครามกลางเมือง ทั้งๆที่นายพลผู้นี้ถือเป็นยอดอัศวิน (และเป็นนักเขียน) ที่ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน จนต้องลี้ภัยไปอยู่หลายประเทศ ในที่สุดก็ไปเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกา เวลาผ่านไปนานแสนนานก็จริง แต่ปูตินได้จัดการนำร่างของคนทั้งสองกลับมาทำพิธีและทำสุสานให้สมเกียรติที่ Donskoy Monastery, Moscow (ด้วยทุนของตัวเอง) กลับมาเรื่องการสร้างอำนาจด้วยพลังงาน……ปูตินได้จับมือกับนายรัฐมนตรีเยอรมันนี Gerhard Schröder ที่เป็นเกลอกัน ในเรื่องการสร้างท่อก๊าสจากเอเซียสู่ยุโรป ในนาม Nord Stream ที่จะเชื่อมผ่านกลุ่มท่อเก่าของโซเวียตที่ทำไว้ ที่ยูเครน, เบลารุส โปแลนด์ และ สอดผ่านใต้ทะเลบอลติก ที่ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมันในโครงการนี้ถึงพันล้านยูโร (ในสมัยที่เยอรมันนีมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่) แต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่ทิ้งเพื่อน เพียงหนึ่งอาทิตย์ที่ Gerhard ได้ลงจากตำแหน่ง รัสเซียได้จ้างให้ Gerhard มานั่งเป็นที่ปรึกษาในบริษัท Nord Stream ……รับเละ…!! เพราะประธานบริษัท คือ Matthias Warnig เพื่อนเก่าสมัยที่อยู่เดรสเดน ทุกการเคลื่อนไหวของปูตินได้สร้างเม็ดเงินสู่ประเทศแบบทำนบแตก ปรกติ Gazprom ได้ส่งก๊าสให้ยูเครนในราคาเป็นกันเอง คือ 50$ ต่อ 1000 คิวบิก ที่ยูเครนจะไปขายเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่เมื่อการเมืองของยูเครนที่เกิดฝักใฝ่ทางตะวันตก… ตัวประธานาธิบดีคนใหม่ก็แสนจะดี๊ด๊ากับกลิ่นไอของประชาธิยไตยสีส้ม ปูตินก็เลยเห็นว่า……มันถึงเวลาที่จะขึ้นราคา…เท่ากับว่ากำไรที่เคยได้จะหดหายไป เพราะยูเครนไม่สามารถไปขึ้นราคากับยุโรปได้ เนื่องจากมีสัญญาระยะยาว… และหนี้สินที่ให้ค้างคามานาน.……รัสเซียให้เวลาสามเดือน ให้เอามาจ่าย เมื่อถึงเวลา….เงินไม่มา…ในวันที่ 31 ธันวาคม 2005 เป็นวันสำคัญของการเฉลิมฉลองของฤดูหนาว……รัสเซียตัดก๊าสสั่งสอน เดือดร้อนกันไปทั่วทั้งทวีป……กระจองอแงกันไปหมด นั่นคือการที่ต้องมาคุยกันใหม่……ทีนี้จะได้รู้บ้างว่า”ใครใหญ่” และจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางราคา…. แต่ก็ไม่นาน……ที่ปูตินเล่นไม้แข็งก็โอนอ่อน เพราะคนที่เดือดร้อนด้วยคือมหามิตร อย่าง ออสเตรีย, ฮังการี เขายอมปล่อยก๊าสคืนให้ แต่….จะมีการวางท่อใหม่และราคาที่ขึ้นอยู่กับว่า……รักมาก…รักน้อย….!! ทีนี้ก็ถึงการลากมาสับ…รายแรกคือ Victor Yushchenko หรือ VAY ที่ทางรัสเซียได้ออกข่าวว่า ที่เรื่องก๊าสยุ่งเหยิง หนี้สินเพียบแบบนี้ เพราะการบริหารของประธานาธิบดียูเครนคนใหม่ ที่มีส่วนในการรับเงินใต้โต๊ะจากบริษัท RosUkrEnergo ปูตินทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าอยากรู้ มากกว่านี้……ก็ไปถามกันเอง..” ~~บริษัทพลังงาน RosUkrEnergo เป็นของรัฐบาลยูเครนที่ Gazprom มีหุ้นครึ่งหนึ่ง ตัวเลขการเงินทางฝั่งยูเครน ไหลไปไหนก็รู้กันหมดว่า VAY เอาไปใช้ในการปฏิบัติการสีส้มจำนวนมหาศาล และในรัฐบาลยูเครน ก็ยังมีเส้นสายคนของปูตินเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ คือ Victor Yanukovych (VFY) เครดิตของประธานาธิบดียูเครนที่เพิ่งได้มาหมาดๆ เริ่มสั่นคลอน ความมั่นใจว่ามีตะวันตกหนุนหลัง……ชักลังเล………แต่เขาเริ่มเชื่อแล้วว่า……คงจะต้องมีรายการตามมาอีกเป็นหางว่าว………!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • สำนักพระราชวัง ขอเชิญชวนประชาชนร่วมเจริญอริยมรรค “สัมมาทิฏฐิ” ระลึกถึงพระรัตนตรัย ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ยึดถือ อันเป็นทางเป็นธรรมที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้โดยชอบ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช และเนื่องในวันนวมินทรมหาราช ระหว่างวันที่ ๑ – ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๗ ผ่านแอปพลิเคชัน “สมาธิเสบียงบุญ”

    27 กันยายน 2467-รายงานข่าวจาก สำนักพระราชวัง ขอเชิญชวนประชาชนร่วมเจริญอริยมรรค “สัมมาทิฏฐิ” ระลึกถึงพระรัตนตรัย เป็นสรณะที่พึ่งที่ยึดถือ อันเป็นทางเป็นธรรมที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้โดยชอบ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช และเนื่องในวันนวมินทรมหาราชซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคต ในรัชกาลที่๙

    จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมทำสมาธิเจริญอริยมรรค "สัมมาทิฏฐิ"ระลึกถึงพระรัตนตรัย ด้วยบทว่า “พุทโธ เม นาโถ
    (พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า)
    ธัมโม เม นาโถ
    (พระธรรมเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า)
    สังโฆ เม นาโถ
    (พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า)”
    โดยให้ระลึกต่อเนี่องได้ในทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ถวายเป็นพระราชกุศล ทุกท่านสามารถฝึกสมาธิ ไม่ว่าจะเริ่มต้น หรือ ฝึกปฏิบัติเป็นประจำอยู่แล้ว โดยดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “สมาธิเสบียงบุญ” เพื่อสะสมบุญบารมีให้กับชีวิต ให้จิตใจผ่องใสในบุญบารมีในการปฏิบัติสมาธิเจริญภาวนา โดยดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่ Google Play ในระบบ Android เวอร์ชั่น 10 และที่ App Storeในไอโฟนที่รองรับ iOS เวอร์ชั่น 11 ขึ้นไป

    ที่มา : https://meditate.royaloffice.th/

    #Thaitimes
    สำนักพระราชวัง ขอเชิญชวนประชาชนร่วมเจริญอริยมรรค “สัมมาทิฏฐิ” ระลึกถึงพระรัตนตรัย ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ยึดถือ อันเป็นทางเป็นธรรมที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้โดยชอบ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช และเนื่องในวันนวมินทรมหาราช ระหว่างวันที่ ๑ – ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๗ ผ่านแอปพลิเคชัน “สมาธิเสบียงบุญ” 27 กันยายน 2467-รายงานข่าวจาก สำนักพระราชวัง ขอเชิญชวนประชาชนร่วมเจริญอริยมรรค “สัมมาทิฏฐิ” ระลึกถึงพระรัตนตรัย เป็นสรณะที่พึ่งที่ยึดถือ อันเป็นทางเป็นธรรมที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้โดยชอบ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช และเนื่องในวันนวมินทรมหาราชซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคต ในรัชกาลที่๙ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมทำสมาธิเจริญอริยมรรค "สัมมาทิฏฐิ"ระลึกถึงพระรัตนตรัย ด้วยบทว่า “พุทโธ เม นาโถ (พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า) ธัมโม เม นาโถ (พระธรรมเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า) สังโฆ เม นาโถ (พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า)” โดยให้ระลึกต่อเนี่องได้ในทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ถวายเป็นพระราชกุศล ทุกท่านสามารถฝึกสมาธิ ไม่ว่าจะเริ่มต้น หรือ ฝึกปฏิบัติเป็นประจำอยู่แล้ว โดยดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “สมาธิเสบียงบุญ” เพื่อสะสมบุญบารมีให้กับชีวิต ให้จิตใจผ่องใสในบุญบารมีในการปฏิบัติสมาธิเจริญภาวนา โดยดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่ Google Play ในระบบ Android เวอร์ชั่น 10 และที่ App Storeในไอโฟนที่รองรับ iOS เวอร์ชั่น 11 ขึ้นไป ที่มา : https://meditate.royaloffice.th/ #Thaitimes
    MEDITATE.ROYALOFFICE.TH
    ขอเชิญชวนประชาชนร่วม นั่งสมาธิเสบียงบุญ
    ขอเชิญชวนท่านที่ฝึกสมาธิ ไม่ว่าจะเริ่มต้น หรือ ฝึกปฏิบัติเป็นประจำอยู่แล้ว ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “สมาธิเสบียงบุญ” เพื่อสะสมบุญบารมีให้กับชีวิต ให้จิตใจผ่องใสในบุญบารมีในการปฏิบัติสมาธิเจริญภาวนา
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 689 Views 0 Reviews
  • 27 กันยายน 2567-รายงานข่าวผู้จัดการออนไลน์ระบุว่า ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล (ผบช.สกพ.) มีหนังสือบันทึกข้อความ ที่ 0009.232/8033 ลงวันที่ 27 ก.ย.2567 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทน ถึง รอง ผบ.ตร. และ จตช. ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ รอง จตช. ผบช. และ จตร. หรือตำแหน่งเทียบเท่า ผบก. ในสังกัด สง.ผบ.ตร. หรือตำแหน่งเทียบเท่า

    ใจความว่า ด้วย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จะพ้นจากราชการเพราะเกษียณอายุ วันที่ 1 ต.ค.67 นายกรัฐมนตรี จึงมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 335/2567 ลงวันที่ 26 ก.ย.67 ให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. เป็นผู้รักษาราชการแทนในตำแหน่ง ผบ.ตร. ทั้งนี้ ตั้งแต่ 1 ต.ค.67 เป็นต้นไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

    สำหรับ พล.ต.อ.กิตติรัฐ ปัจจุบันเป็นรอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับหนึ่ง รับผิดชอบงานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ควบตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการลักลอบตัดไม้ ทำลายป่า ทรัพยากรธรรมชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปทส.ตร.) และศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศอ.ปส.ตร.) นอกจากนี้ยังเป็นตัวเต็งที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงผบ.ตร.คนต่อไป

    ที่มา : https://news1live.com/detail/9670000091175?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2o5jsvWfMPmbl6GALqD_Iab8HDowGjBXAH-FJ7VXJgFEGoIWr0i3iCPDo_aem_oMDeDXkLH6WHFJm7J80MTg

    #Thaitimes
    27 กันยายน 2567-รายงานข่าวผู้จัดการออนไลน์ระบุว่า ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล (ผบช.สกพ.) มีหนังสือบันทึกข้อความ ที่ 0009.232/8033 ลงวันที่ 27 ก.ย.2567 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทน ถึง รอง ผบ.ตร. และ จตช. ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ รอง จตช. ผบช. และ จตร. หรือตำแหน่งเทียบเท่า ผบก. ในสังกัด สง.ผบ.ตร. หรือตำแหน่งเทียบเท่า ใจความว่า ด้วย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จะพ้นจากราชการเพราะเกษียณอายุ วันที่ 1 ต.ค.67 นายกรัฐมนตรี จึงมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 335/2567 ลงวันที่ 26 ก.ย.67 ให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. เป็นผู้รักษาราชการแทนในตำแหน่ง ผบ.ตร. ทั้งนี้ ตั้งแต่ 1 ต.ค.67 เป็นต้นไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ สำหรับ พล.ต.อ.กิตติรัฐ ปัจจุบันเป็นรอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับหนึ่ง รับผิดชอบงานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ควบตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการลักลอบตัดไม้ ทำลายป่า ทรัพยากรธรรมชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปทส.ตร.) และศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศอ.ปส.ตร.) นอกจากนี้ยังเป็นตัวเต็งที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงผบ.ตร.คนต่อไป ที่มา : https://news1live.com/detail/9670000091175?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2o5jsvWfMPmbl6GALqD_Iab8HDowGjBXAH-FJ7VXJgFEGoIWr0i3iCPDo_aem_oMDeDXkLH6WHFJm7J80MTg #Thaitimes
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 702 Views 1 Reviews
  • How To Create Atmosphere & Mood In Your Writing To Engage Your Readers

    Hill House, not sane, stood by itself against its hills, holding darkness within; it had stood so for eighty years and might stand for eighty more. Within, walls continued upright, bricks met neatly, floors were firm, and doors were sensibly shut; silence lay steadily against the wood and stone of Hill House, and whatever walked there, walked alone…
    —The Haunting of Hill House (1959), Shirley Jackson

    After reading that opening, we bet you’re wondering what happens next. The best authors and writers always find a way to draw their readers in, get them invested in the work, and leave them desperate to read the next sentence, the next paragraph, the next page.

    How do they do this?

    Writers have many tools in their toolboxes to make their work compelling, but a huge part of what draws us into stories is atmosphere and mood. Authors like Shirley Jackson use language, descriptions, and other devices to pull readers into a different world. Through atmosphere and mood, authors establish a tone for their work, create ambience, and evoke emotions. Keep reading to learn how the pros establish atmosphere and mood in their work, and to get some tried and true strategies for creating this magic in your own writing.

    What are atmosphere and mood?

    Atmosphere is “the dominant mood or emotional tone of a work of art, as of a play or novel.” If you think of your story, essay or other writing as a room, what does your reader feel upon walking into that room? That’s an easy way to consider the overall atmosphere of your piece. While the importance of atmosphere is commonly associated with poetry and fiction, it is also vital to adding depth to personal essays and other types of nonfiction writing as well.

    Mood is a part and parcel of atmosphere, but they aren’t necessarily the same thing or always in lock step. Mood describes “a state or quality of feeling at a particular time,” and the mood of a story, poem, or essay can shift depending on the events, characters, setting, or changing information.

    Atmosphere and mood work together, but they aren’t always in agreement. A story may have a suffocating or foreboding atmosphere, but within that atmosphere, readers can still experience feelings of joy, wonder, sadness, or hope.

    Examples of atmosphere and mood

    Now that you understand the basics of what mood and atmosphere are, let’s look at a few examples to see how atmosphere and mood work in action.

    1. “The Raven” by Edgar Allen Poe

    Once upon a midnight dreary, while I pondered, weak and weary,
    Over many a quaint and curious volume of forgotten lore –
    While I nodded, nearly napping, suddenly there came a tapping,
    As of someone gently rapping, rapping at my chamber door …

    Why it works

    In just a few lines, Poe creates an atmosphere of suspense for the reader. It’s late at night, there’s a strange knocking at the door, and it’s reasonable to suspect something mysterious or even dangerous is waiting on the other side. In this example, the atmosphere is created not only by the setting, but also by the language used. Words like dreary, weary, curious, and lore help to create an atmosphere that feels spooky and mystical. And the rhythm of the poetry also gives the lines an intriguing musicality. The end result is the reader wants to know who is knocking just as much as the main character does.

    2. “Shipping Out” by David Foster Wallace

    “I have now seen sucrose beaches and water a very bright blue. I have seen an all-red leisure suit with flared lapels. I have smelled suntan lotion spread over 2,100 pounds of hot flesh. I have been addressed as ‘Mon’ in three different nations. I have seen 500 upscale Americans dance Electric Slide. I have seen sunsets that looked computer-enhanced. I have (very briefly) joined a conga line.”

    Why it works

    In this non-fiction travelogue, David Foster Wallace is talking about his experiences on luxury cruises. He opens by placing the reader directly onto a cruise ship. In the span of a paragraph, the reader experiences awe, curiosity, amusement, disgust, wonder, and excitement. Yet Wallace uses formal language (“I have seen”) and repetition (there’s that anaphora for you) to ironic effect. This creates an interesting juxtaposition of the elements of a tall tale with a bit of anthropological distance. This example, in particular, shows how mood can function independently from the atmosphere, and how both can change abruptly with the use of language.

    Why atmosphere and mood matter

    Atmosphere and mood are important because crafting an engaging story or essay involves more than just retelling events or facts in order. In order to draw readers in and get them invested in your writing, your work needs dimension. Atmosphere and mood work together to create that by:

    - Communicating important details that place the reader in a scene.
    - Making characters feel more real.
    - Reinforcing themes and tone.
    - Communicating genre elements.
    - Solidifying world-building, or the fictional universe in which a story or poem takes place.

    And, perhaps most important, atmosphere and mood are both tools for getting readers invested in the plot or details of a piece of writing. Mood helps them identify with characters in fiction, and atmosphere helps them become immersed in the narrative or information. Both are essential to writing something people want to read.

    Tips for establishing and creating atmosphere in your writing

    When you sit down to write, here are some important things to consider to help you easily add mood and atmosphere to your piece.

    Choose your words carefully.
    Think about how you want readers to feel when they read your work. What language and descriptions can you include to evoke those emotions? While you’re in the process of examining your language, try your best to avoid clichés. “It was a dark and stormy night” has been used so many times that it won’t do much to draw your reader into a scene. In fact, cliché phrases can sometimes even pull the reader out of the work and distract them. That’s not what you want!

    Deploy strong imagery.

    “Show, don’t tell” is probably among the most repeated pieces of writing advice, but that’s because it works. If you just say a house looks old, that may not pull the reader into the house. Instead, talk about the mossy, rotting floorboards and the peeling wallpaper. Use imagery to build a world around the person reading.

    Be detailed.

    If you’re writing a story or poem, offer specific details about the setting and time period. Drop careful hints about what is coming to build tension and anticipation. If you’re working on an essay, make sure each detail is thorough and succinct. Most importantly, make sure any main component of your story or argument is thoroughly fleshed out to paint the clearest picture possible for the reader.

    Incorporate literary devices.

    Similes, metaphors, alliteration, hyperbole, and other literary devices can be especially helpful in developing atmosphere and mood. Of course, if you’re writing a more formal essay, you should use your judgment as to whether or not literary devices are a good fit for the piece, but a well-placed metaphor can go far in helping you make an important point.

    Make use of your characters and dialogue.

    Atmosphere and mood aren’t only created in descriptions of the setting. You can also use character descriptions, their words, and their actions to add to the mood or atmosphere you’re trying to create. For example, if you’re writing a horror story, you might describe your character’s shaky dialogue and uneven breathing. Perhaps they’re even pale with fright or have wide eyes. Readers can easily experience the atmosphere through characters.

    Good spelling counts, too

    Now that you know more about crafting mood and atmosphere in your writing, you’re ready to get started. But those aren’t the only elements of good writing to consider. Work on your next story, poem, or essay using Thesaurus.com’ Grammar Coach™. It will help you spot spelling errors and overused words and help you take your writing to the next level in real time.

    Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    How To Create Atmosphere & Mood In Your Writing To Engage Your Readers Hill House, not sane, stood by itself against its hills, holding darkness within; it had stood so for eighty years and might stand for eighty more. Within, walls continued upright, bricks met neatly, floors were firm, and doors were sensibly shut; silence lay steadily against the wood and stone of Hill House, and whatever walked there, walked alone… —The Haunting of Hill House (1959), Shirley Jackson After reading that opening, we bet you’re wondering what happens next. The best authors and writers always find a way to draw their readers in, get them invested in the work, and leave them desperate to read the next sentence, the next paragraph, the next page. How do they do this? Writers have many tools in their toolboxes to make their work compelling, but a huge part of what draws us into stories is atmosphere and mood. Authors like Shirley Jackson use language, descriptions, and other devices to pull readers into a different world. Through atmosphere and mood, authors establish a tone for their work, create ambience, and evoke emotions. Keep reading to learn how the pros establish atmosphere and mood in their work, and to get some tried and true strategies for creating this magic in your own writing. What are atmosphere and mood? Atmosphere is “the dominant mood or emotional tone of a work of art, as of a play or novel.” If you think of your story, essay or other writing as a room, what does your reader feel upon walking into that room? That’s an easy way to consider the overall atmosphere of your piece. While the importance of atmosphere is commonly associated with poetry and fiction, it is also vital to adding depth to personal essays and other types of nonfiction writing as well. Mood is a part and parcel of atmosphere, but they aren’t necessarily the same thing or always in lock step. Mood describes “a state or quality of feeling at a particular time,” and the mood of a story, poem, or essay can shift depending on the events, characters, setting, or changing information. Atmosphere and mood work together, but they aren’t always in agreement. A story may have a suffocating or foreboding atmosphere, but within that atmosphere, readers can still experience feelings of joy, wonder, sadness, or hope. Examples of atmosphere and mood Now that you understand the basics of what mood and atmosphere are, let’s look at a few examples to see how atmosphere and mood work in action. 1. “The Raven” by Edgar Allen Poe Once upon a midnight dreary, while I pondered, weak and weary, Over many a quaint and curious volume of forgotten lore – While I nodded, nearly napping, suddenly there came a tapping, As of someone gently rapping, rapping at my chamber door … Why it works In just a few lines, Poe creates an atmosphere of suspense for the reader. It’s late at night, there’s a strange knocking at the door, and it’s reasonable to suspect something mysterious or even dangerous is waiting on the other side. In this example, the atmosphere is created not only by the setting, but also by the language used. Words like dreary, weary, curious, and lore help to create an atmosphere that feels spooky and mystical. And the rhythm of the poetry also gives the lines an intriguing musicality. The end result is the reader wants to know who is knocking just as much as the main character does. 2. “Shipping Out” by David Foster Wallace “I have now seen sucrose beaches and water a very bright blue. I have seen an all-red leisure suit with flared lapels. I have smelled suntan lotion spread over 2,100 pounds of hot flesh. I have been addressed as ‘Mon’ in three different nations. I have seen 500 upscale Americans dance Electric Slide. I have seen sunsets that looked computer-enhanced. I have (very briefly) joined a conga line.” Why it works In this non-fiction travelogue, David Foster Wallace is talking about his experiences on luxury cruises. He opens by placing the reader directly onto a cruise ship. In the span of a paragraph, the reader experiences awe, curiosity, amusement, disgust, wonder, and excitement. Yet Wallace uses formal language (“I have seen”) and repetition (there’s that anaphora for you) to ironic effect. This creates an interesting juxtaposition of the elements of a tall tale with a bit of anthropological distance. This example, in particular, shows how mood can function independently from the atmosphere, and how both can change abruptly with the use of language. Why atmosphere and mood matter Atmosphere and mood are important because crafting an engaging story or essay involves more than just retelling events or facts in order. In order to draw readers in and get them invested in your writing, your work needs dimension. Atmosphere and mood work together to create that by: - Communicating important details that place the reader in a scene. - Making characters feel more real. - Reinforcing themes and tone. - Communicating genre elements. - Solidifying world-building, or the fictional universe in which a story or poem takes place. And, perhaps most important, atmosphere and mood are both tools for getting readers invested in the plot or details of a piece of writing. Mood helps them identify with characters in fiction, and atmosphere helps them become immersed in the narrative or information. Both are essential to writing something people want to read. Tips for establishing and creating atmosphere in your writing When you sit down to write, here are some important things to consider to help you easily add mood and atmosphere to your piece. Choose your words carefully. Think about how you want readers to feel when they read your work. What language and descriptions can you include to evoke those emotions? While you’re in the process of examining your language, try your best to avoid clichés. “It was a dark and stormy night” has been used so many times that it won’t do much to draw your reader into a scene. In fact, cliché phrases can sometimes even pull the reader out of the work and distract them. That’s not what you want! Deploy strong imagery. “Show, don’t tell” is probably among the most repeated pieces of writing advice, but that’s because it works. If you just say a house looks old, that may not pull the reader into the house. Instead, talk about the mossy, rotting floorboards and the peeling wallpaper. Use imagery to build a world around the person reading. Be detailed. If you’re writing a story or poem, offer specific details about the setting and time period. Drop careful hints about what is coming to build tension and anticipation. If you’re working on an essay, make sure each detail is thorough and succinct. Most importantly, make sure any main component of your story or argument is thoroughly fleshed out to paint the clearest picture possible for the reader. Incorporate literary devices. Similes, metaphors, alliteration, hyperbole, and other literary devices can be especially helpful in developing atmosphere and mood. Of course, if you’re writing a more formal essay, you should use your judgment as to whether or not literary devices are a good fit for the piece, but a well-placed metaphor can go far in helping you make an important point. Make use of your characters and dialogue. Atmosphere and mood aren’t only created in descriptions of the setting. You can also use character descriptions, their words, and their actions to add to the mood or atmosphere you’re trying to create. For example, if you’re writing a horror story, you might describe your character’s shaky dialogue and uneven breathing. Perhaps they’re even pale with fright or have wide eyes. Readers can easily experience the atmosphere through characters. Good spelling counts, too Now that you know more about crafting mood and atmosphere in your writing, you’re ready to get started. But those aren’t the only elements of good writing to consider. Work on your next story, poem, or essay using Thesaurus.com’ Grammar Coach™. It will help you spot spelling errors and overused words and help you take your writing to the next level in real time. Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • Person-First Language vs. Identity-First Language: Which Should You Use?

    There’s a term for choosing to say people with disabilities instead of disabled people, and vice versa. People with disabilities is an example of what’s called person-first language, while terms like disabled people are sometimes called identity-first language.

    Person-first language is widely encouraged in many contexts as a way to avoid defining a person solely by their disability, condition, or physical difference. However, not everyone prefers it. Some people instead prefer identity-first language as a way of emphasizing what they consider an important part of their identity.

    In this article, we’ll:

    Define person-first language and identity-first language in detail.
    Provide several examples of each in many of the different contexts in which they’re used, including for people who are autistic, blind, deaf, and those who have other disabilities, medical conditions (including mental health conditions), and bodily differences.
    Discuss the varying preferences for such language and some of the reasons behind those preferences.
    Explain how approaches can differ based on whether you know a person’s specific disability or condition or whether you’re referring to an individual or a community of people.


    Quick summary

    Person-first language introduces a person before any description of them. Examples include person with a disability, patient with cancer, and child who has cerebral palsy. Person-first language is intended to emphasize the fullness of a person and to avoid defining them exclusively by their disability or condition. Identity-first language involves stating a descriptor of a person first, as in autistic person and blind child. This is often done with the idea that the characteristic in question is an integral part of a person’s identity and community membership and should be emphasized rather than minimized.

    Person-first language is preferred and encouraged in many contexts, especially medical care. However, some people prefer identity-first language—notably many members of the blind, deaf, and autistic communities. Still, preferences around such approaches vary widely, even among people within the same community. The best approach is always to respect people’s choices about the language they use for themselves.

    First, a note about disabled and disability

    First and foremost, remember that in many cases it’s not relevant or necessary to discuss or point out a person’s disability at all. Regardless of what language preferences people have, every person wants to be treated as just that—a person (which is one of the motivating ideas behind person-first language). However, that doesn’t mean that disability is inherently negative, unmentionable, or something that must be politely ignored (which are some of the notions that identity-first language pushes back on).

    When discussion of a disability or other condition is pertinent, it is often preferable to name the person’s specific disability or condition, such as paraplegia or diabetes. However, when addressing an issue that affects a larger community of people—for example, when discussing accessibility in the workplace—disabled and disability are often the preferred terms. Our new usage notes within the entries for these terms reflect this. (Some people object to the terms disabled and disability in and of themselves, but that won’t be the focus of this article, nor will other, more specific terms that are now considered outdated and offensive.)

    What is person-first language?

    The term person-first language refers to wording that introduces a person first and then follows with a descriptor in relation to a disability, medical condition (including mental health conditions), or other physical or cognitive difference. Person-first language often literally uses the word person (or persons or people) as the first part of referring to someone, as in person with a disability or people with dwarfism. Of course, the term that refers to the person is often more specific, such as child, adult, patient, or a term specifying a person’s nationality. Such terms can also be used in identity-first language, which will be discussed in the next section. (Person-first language is not to be confused with the grammatical and literary term first person, which is the point of view in which a speaker or writer refers to themself: I, me, we, and us are first-person pronouns.)

    Person-first language is used in many different contexts, including disability, medical conditions and diseases, physical and cognitive differences, and addiction and substance use, among others.

    The intent of person-first language is often understood as being to acknowledge a person as a full, complex individual. This is done to avoid defining them solely by their disability, condition, or physical or mental attributes, which can have the effect of dehumanizing them, creating negative stigmas, or producing the false assumption that a disability or condition affects all people in the same way.

    Promotion of person-first language is often traced back to the People First Movement that began in the late 1960s. Person-first language became more widespread in the 1990s. Awareness and use of it is thought to have increased in part as a result of the 1990 Americans with Disabilities Act (ADA), a landmark piece of federal legislation that, among many other changes, established such language as the preferred wording in many government documents and communications (a preference that continues today).

    Person-first language has largely become the preferred approach in medical contexts. Major health organizations, such as the World Health Organization and the US Centers for Disease Control and Prevention, use and state preferences for person-first language, as do the style guides of the American Medical Association and the American Psychological Association. However, many style guides also emphasize that a person’s personal preference should always come first. Still, many people strongly prefer identity-first language.

    What is identity-first language?

    The term identity-first language refers to wording about a person that leads with a description of them in the context of a disability, medical conditions (including mental health conditions), or other physical or cognitive difference. Examples include terms like deaf person, blind person, and autistic person.

    Such labels are sometimes considered offensive due to emphasizing a characteristic as if it’s all that matters about the person. However, some people prefer such terms because they consider the characteristic being referred to as an inseparable part of their identity—hence the use of the word identity in the term.

    By those who prefer it when referring to themselves, identity-first language is often considered a way to show pride in who they are and their membership in a community of like people.

    This is especially the case in the context of disability. In this context, identity-first language is often viewed as functioning to center a person’s disability, in contrast with the approach of person-first language, which is sometimes interpreted as minimizing such characteristics out of the assumption that they are inherently negative. Notably, significant portions of the deaf, blind, and autistic communities prefer identity-first language. However, not everyone shares this preference.

    Examples of person-first and identity-first language

    In this section, we’ll provide side-by-side examples of person-first language and identity-first language along with notes about use and preferences. This is a collection of common examples grouped by context, not a comprehensive list of all possible terms.

    Due to the nature of their construction, examples of person-first language are always multiple-word phrases, as in person with AIDS or individuals with disabilities.

    Identity-first language also often consists of phrases, but some terms that may be considered examples of identity-first language are single words. For example, some people who have had limbs amputated prefer to be called amputees. Many such examples (single-word nouns used to refer to people) are now usually considered inappropriate and offensive, especially those once used in the context of mental health. Some will be discussed below.

    Disability

    In the general discussion of people with disabilities, person-first language is the most widely preferred approach. However, this preference is not universal.

    person-first example: person with a disability
    identity-first example: disabled person

    person-first examples: person with paraplegia; person with quadriplegia
    identity-first examples: When used as nouns to refer to people, terms like paraplegic and quadriplegic are now widely avoided, though some people may prefer them when referring to themselves.

    person-first example: person with an intellectual disability; person with a cognitive disability
    identity-first example: intellectually disabled person; cognitively disabled person. Such terms are now less commonly used, but may be preferred by some.

    The autism spectrum

    In the context of autism, there is significant, strong, and growing preference for identity-first language, despite some advocacy organizations historically recommending person-first language. Among those who prefer identity-first language, one commonly stated reason is that they consider autism a major part of their identity and not something to be ashamed of or treated as something that needs to be “cured.” Still, some people prefer person-first language.

    person-first examples: a person with autism; an adult on the autism spectrum
    identity-first examples: autistic person; autistic individual. The use of autistic as a noun is preferred by many as a way to refer to themselves, but is considered offensive by others.

    Deafness

    Identity-first language has also been largely embraced by the Deaf community. (The word Deaf is often capitalized when it’s used in reference to things related to Deaf culture.) Identity-first language is promoted by many major organizations, such as the National Association of the Deaf, the National Deaf Center, and the World Federation of the Deaf. Still, some people prefer person-first language.

    person-first example: a person who is deaf
    identity-first examples: deaf person; deaf Americans; Deaf community

    Blindness

    Though preferences vary, identity-first language is widely preferred and promoted by individuals and organizations in the blind community, including the National Federation of the Blind, the Royal National Institute of Blind People, and various state commissions for the blind and visually impaired.

    person-first example: a person who is blind
    identity-first examples: blind person; blind adult

    Dwarfism and short stature

    Organizations centered around people with dwarfism often use both person-first and identity-first terms. Preferences among individuals, of course, can vary.

    person-first examples: a person who has dwarfism; people of short stature
    identity-first examples: dwarf; little person

    Additional medical and mental health contexts

    Person-first language is now widely preferred and promoted in the context of medicine by medical professionals, organizations, and advocacy groups. Such language is intended to avoid equating patients with their diseases or conditions (such as with now avoided phrasings like cancer patient or AIDS patient), which research has shown can lead to stigmatization, overgeneralization, and worse health outcomes.

    person-first examples: patient with AIDS; child with cancer; person with diabetes; person with epilepsy
    identity-first examples: When used as nouns to refer to people, terms like diabetic and epileptic are now widely avoided, though some people may prefer them when referring to themselves.

    Person-first language is now also widely preferred and promoted in the context of medical professionals who address mental health conditions. It is especially recommended to replace terms that use a condition as a noun to refer to someone (such as the noun uses of schizophrenic or bulimic) with person-first language.

    person-first examples: a person with schizophrenia; a patient with psychosis; people with eating disorders

    Other contexts

    As with the wider field of medical care, person-first language is widely preferred in the context of drug and substance addiction, in which such terms are recommended to replace stigmatizing words like addict and alcoholic.

    person-first examples: a person with alcohol use disorder; people with substance use disorders

    For similar reasons, person-first language is also commonly used by organizations and advocates focused on suicide prevention. Such language is thought to help destigmatize the issue and emphasize a person’s humanity, rather than treating them as a statistic.

    person-first examples: a person experiencing thoughts of suicide; people impacted by suicide

    Collective terms

    Collective terms for certain groups often fall under the classification of identity-first language. Examples include the blind, the deaf, and the disabled. While such terms are preferred by some (and used in the names of some major organizations), they are considered offensive by others who believe that such terms are a barrier to treating members of such groups as individuals.

    Should I use person-first or identity-first language?

    The answer to this question is that there is no single, permanent answer. Person-first and identity-first language continue to evolve, and preferences vary from person to person and differ among different communities and organizations.

    In the context of medicine and mental health, person-first language is widely preferred and recommended, especially due to evidence that it contributes to better health outcomes and reduces stigmatization. Still, identity-first language may be preferred in certain situations or among people who consider their condition as an inseparable part of their identity.

    Notably, many members of the blind, deaf, and autistic communities (among some others) now prefer and promote identity-first language, arguing that such characteristics are an integral part of their identities that should be proudly emphasized, not treated as negatives or limitations. Identity-first language is also sometimes favored due to emphasizing membership in a community.

    Generally speaking, some people are fine with others referring to them with either person-first or identify-first language or a combination of both, as long as it is used respectfully. But many other people have strong preferences for one or the other, with valid reasons for each.

    Many style guides recommend person-first language if you do not know someone’s preference, are unable to discover it, or are talking about a certain group generally. However, despite this recommendation, there is one consistent piece of advice that you will find among style guides and advocacy organizations: you should always respect the language that an individual personally uses.

    Notably, the style guide of the National Center on Disability and Journalism, which in the past recommended person-first language as the default choice, now recommends making choices about wording on a case-by-case basis, stating that “no two people are the same—either with regard to disabilities or language preferences.”

    You can always ask a person what type of phrasing they prefer. Remember that discussing a disability, condition, or other physical or intellectual difference is in many cases unnecessary. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name.

    Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    Person-First Language vs. Identity-First Language: Which Should You Use? There’s a term for choosing to say people with disabilities instead of disabled people, and vice versa. People with disabilities is an example of what’s called person-first language, while terms like disabled people are sometimes called identity-first language. Person-first language is widely encouraged in many contexts as a way to avoid defining a person solely by their disability, condition, or physical difference. However, not everyone prefers it. Some people instead prefer identity-first language as a way of emphasizing what they consider an important part of their identity. In this article, we’ll: Define person-first language and identity-first language in detail. Provide several examples of each in many of the different contexts in which they’re used, including for people who are autistic, blind, deaf, and those who have other disabilities, medical conditions (including mental health conditions), and bodily differences. Discuss the varying preferences for such language and some of the reasons behind those preferences. Explain how approaches can differ based on whether you know a person’s specific disability or condition or whether you’re referring to an individual or a community of people. Quick summary Person-first language introduces a person before any description of them. Examples include person with a disability, patient with cancer, and child who has cerebral palsy. Person-first language is intended to emphasize the fullness of a person and to avoid defining them exclusively by their disability or condition. Identity-first language involves stating a descriptor of a person first, as in autistic person and blind child. This is often done with the idea that the characteristic in question is an integral part of a person’s identity and community membership and should be emphasized rather than minimized. Person-first language is preferred and encouraged in many contexts, especially medical care. However, some people prefer identity-first language—notably many members of the blind, deaf, and autistic communities. Still, preferences around such approaches vary widely, even among people within the same community. The best approach is always to respect people’s choices about the language they use for themselves. First, a note about disabled and disability First and foremost, remember that in many cases it’s not relevant or necessary to discuss or point out a person’s disability at all. Regardless of what language preferences people have, every person wants to be treated as just that—a person (which is one of the motivating ideas behind person-first language). However, that doesn’t mean that disability is inherently negative, unmentionable, or something that must be politely ignored (which are some of the notions that identity-first language pushes back on). When discussion of a disability or other condition is pertinent, it is often preferable to name the person’s specific disability or condition, such as paraplegia or diabetes. However, when addressing an issue that affects a larger community of people—for example, when discussing accessibility in the workplace—disabled and disability are often the preferred terms. Our new usage notes within the entries for these terms reflect this. (Some people object to the terms disabled and disability in and of themselves, but that won’t be the focus of this article, nor will other, more specific terms that are now considered outdated and offensive.) What is person-first language? The term person-first language refers to wording that introduces a person first and then follows with a descriptor in relation to a disability, medical condition (including mental health conditions), or other physical or cognitive difference. Person-first language often literally uses the word person (or persons or people) as the first part of referring to someone, as in person with a disability or people with dwarfism. Of course, the term that refers to the person is often more specific, such as child, adult, patient, or a term specifying a person’s nationality. Such terms can also be used in identity-first language, which will be discussed in the next section. (Person-first language is not to be confused with the grammatical and literary term first person, which is the point of view in which a speaker or writer refers to themself: I, me, we, and us are first-person pronouns.) Person-first language is used in many different contexts, including disability, medical conditions and diseases, physical and cognitive differences, and addiction and substance use, among others. The intent of person-first language is often understood as being to acknowledge a person as a full, complex individual. This is done to avoid defining them solely by their disability, condition, or physical or mental attributes, which can have the effect of dehumanizing them, creating negative stigmas, or producing the false assumption that a disability or condition affects all people in the same way. Promotion of person-first language is often traced back to the People First Movement that began in the late 1960s. Person-first language became more widespread in the 1990s. Awareness and use of it is thought to have increased in part as a result of the 1990 Americans with Disabilities Act (ADA), a landmark piece of federal legislation that, among many other changes, established such language as the preferred wording in many government documents and communications (a preference that continues today). Person-first language has largely become the preferred approach in medical contexts. Major health organizations, such as the World Health Organization and the US Centers for Disease Control and Prevention, use and state preferences for person-first language, as do the style guides of the American Medical Association and the American Psychological Association. However, many style guides also emphasize that a person’s personal preference should always come first. Still, many people strongly prefer identity-first language. What is identity-first language? The term identity-first language refers to wording about a person that leads with a description of them in the context of a disability, medical conditions (including mental health conditions), or other physical or cognitive difference. Examples include terms like deaf person, blind person, and autistic person. Such labels are sometimes considered offensive due to emphasizing a characteristic as if it’s all that matters about the person. However, some people prefer such terms because they consider the characteristic being referred to as an inseparable part of their identity—hence the use of the word identity in the term. By those who prefer it when referring to themselves, identity-first language is often considered a way to show pride in who they are and their membership in a community of like people. This is especially the case in the context of disability. In this context, identity-first language is often viewed as functioning to center a person’s disability, in contrast with the approach of person-first language, which is sometimes interpreted as minimizing such characteristics out of the assumption that they are inherently negative. Notably, significant portions of the deaf, blind, and autistic communities prefer identity-first language. However, not everyone shares this preference. Examples of person-first and identity-first language In this section, we’ll provide side-by-side examples of person-first language and identity-first language along with notes about use and preferences. This is a collection of common examples grouped by context, not a comprehensive list of all possible terms. Due to the nature of their construction, examples of person-first language are always multiple-word phrases, as in person with AIDS or individuals with disabilities. Identity-first language also often consists of phrases, but some terms that may be considered examples of identity-first language are single words. For example, some people who have had limbs amputated prefer to be called amputees. Many such examples (single-word nouns used to refer to people) are now usually considered inappropriate and offensive, especially those once used in the context of mental health. Some will be discussed below. Disability In the general discussion of people with disabilities, person-first language is the most widely preferred approach. However, this preference is not universal. person-first example: person with a disability identity-first example: disabled person person-first examples: person with paraplegia; person with quadriplegia identity-first examples: When used as nouns to refer to people, terms like paraplegic and quadriplegic are now widely avoided, though some people may prefer them when referring to themselves. person-first example: person with an intellectual disability; person with a cognitive disability identity-first example: intellectually disabled person; cognitively disabled person. Such terms are now less commonly used, but may be preferred by some. The autism spectrum In the context of autism, there is significant, strong, and growing preference for identity-first language, despite some advocacy organizations historically recommending person-first language. Among those who prefer identity-first language, one commonly stated reason is that they consider autism a major part of their identity and not something to be ashamed of or treated as something that needs to be “cured.” Still, some people prefer person-first language. person-first examples: a person with autism; an adult on the autism spectrum identity-first examples: autistic person; autistic individual. The use of autistic as a noun is preferred by many as a way to refer to themselves, but is considered offensive by others. Deafness Identity-first language has also been largely embraced by the Deaf community. (The word Deaf is often capitalized when it’s used in reference to things related to Deaf culture.) Identity-first language is promoted by many major organizations, such as the National Association of the Deaf, the National Deaf Center, and the World Federation of the Deaf. Still, some people prefer person-first language. person-first example: a person who is deaf identity-first examples: deaf person; deaf Americans; Deaf community Blindness Though preferences vary, identity-first language is widely preferred and promoted by individuals and organizations in the blind community, including the National Federation of the Blind, the Royal National Institute of Blind People, and various state commissions for the blind and visually impaired. person-first example: a person who is blind identity-first examples: blind person; blind adult Dwarfism and short stature Organizations centered around people with dwarfism often use both person-first and identity-first terms. Preferences among individuals, of course, can vary. person-first examples: a person who has dwarfism; people of short stature identity-first examples: dwarf; little person Additional medical and mental health contexts Person-first language is now widely preferred and promoted in the context of medicine by medical professionals, organizations, and advocacy groups. Such language is intended to avoid equating patients with their diseases or conditions (such as with now avoided phrasings like cancer patient or AIDS patient), which research has shown can lead to stigmatization, overgeneralization, and worse health outcomes. person-first examples: patient with AIDS; child with cancer; person with diabetes; person with epilepsy identity-first examples: When used as nouns to refer to people, terms like diabetic and epileptic are now widely avoided, though some people may prefer them when referring to themselves. Person-first language is now also widely preferred and promoted in the context of medical professionals who address mental health conditions. It is especially recommended to replace terms that use a condition as a noun to refer to someone (such as the noun uses of schizophrenic or bulimic) with person-first language. person-first examples: a person with schizophrenia; a patient with psychosis; people with eating disorders Other contexts As with the wider field of medical care, person-first language is widely preferred in the context of drug and substance addiction, in which such terms are recommended to replace stigmatizing words like addict and alcoholic. person-first examples: a person with alcohol use disorder; people with substance use disorders For similar reasons, person-first language is also commonly used by organizations and advocates focused on suicide prevention. Such language is thought to help destigmatize the issue and emphasize a person’s humanity, rather than treating them as a statistic. person-first examples: a person experiencing thoughts of suicide; people impacted by suicide Collective terms Collective terms for certain groups often fall under the classification of identity-first language. Examples include the blind, the deaf, and the disabled. While such terms are preferred by some (and used in the names of some major organizations), they are considered offensive by others who believe that such terms are a barrier to treating members of such groups as individuals. Should I use person-first or identity-first language? The answer to this question is that there is no single, permanent answer. Person-first and identity-first language continue to evolve, and preferences vary from person to person and differ among different communities and organizations. In the context of medicine and mental health, person-first language is widely preferred and recommended, especially due to evidence that it contributes to better health outcomes and reduces stigmatization. Still, identity-first language may be preferred in certain situations or among people who consider their condition as an inseparable part of their identity. Notably, many members of the blind, deaf, and autistic communities (among some others) now prefer and promote identity-first language, arguing that such characteristics are an integral part of their identities that should be proudly emphasized, not treated as negatives or limitations. Identity-first language is also sometimes favored due to emphasizing membership in a community. Generally speaking, some people are fine with others referring to them with either person-first or identify-first language or a combination of both, as long as it is used respectfully. But many other people have strong preferences for one or the other, with valid reasons for each. Many style guides recommend person-first language if you do not know someone’s preference, are unable to discover it, or are talking about a certain group generally. However, despite this recommendation, there is one consistent piece of advice that you will find among style guides and advocacy organizations: you should always respect the language that an individual personally uses. Notably, the style guide of the National Center on Disability and Journalism, which in the past recommended person-first language as the default choice, now recommends making choices about wording on a case-by-case basis, stating that “no two people are the same—either with regard to disabilities or language preferences.” You can always ask a person what type of phrasing they prefer. Remember that discussing a disability, condition, or other physical or intellectual difference is in many cases unnecessary. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name. Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
  • Words That Capture The Beauty And Charm Of English

    What makes a word beautiful? Often, it’s a combination of factors. It might be that the word is especially fun to say, or maybe it evokes a feeling or image that is particularly pleasing. The meaning of the word itself might also be beautiful, or it could refer to a beautiful idea. And, of course, sometimes you just really like a word for reasons that can’t be entirely explained.

    The author Henry James once said that summer afternoon was the most beautiful phrase in the English language. Ray Bradbury liked the word cinnamon. Tessa Hadley has expressed admiration for cochineal. Which words strike your fancy? Keep reading to learn more about 15 of the most beautiful words in English. Who knows? You might even find a new favorite.

    ephemeral
    Ephemeral means “lasting a very short time; short-lived; transitory.” It’s both a lovely sounding word and one that’s frequently used to describe things that are beautiful or wonderful, but short lived.

    The painter tried to capture the ephemeral beauty of the autumn leaves.
    The word comes from the Greek word ephḗmeros, meaning “short-lived, lasting but a day.” Lucky for us, the word itself has lasted much longer than that. It’s been in use in English since the late 1500s.


    idyllic
    If you need a word for something beautiful and quaint, idyllic is here for you. Idyllic means “suitable for or suggestive of an idyll; charmingly simple or rustic.” An idyll is a poem or prose describing pastoral or appealingly simple scenes.

    She returned home to the idyllic small town where she grew up.
    The word was first recorded in English in the late 1800s, though the noun form, idyll, has been in use since the 1590s. They derive from Greek eidýllion, or “a short pastoral poem.”


    serendipity
    How fortunate that serendipity just happens to be on this list. Serendipity is “an aptitude for making desirable discoveries by accident.”

    The pirate knew that finding the treasure would require hard work and a bit of serendipity.
    This word was coined by author Horace Walpole. Serendipity is the ability possessed by the heroes of The Three Princes of Serendip, a fairytale he published in 1754. Fun fact: one of Walpole’s other stories, The Castle of Otranto, is believed to be the first Gothic novel. Seems Walpole was working with a bit of serendipity himself.


    gossamer
    Gossamer has a lovely sound and is used to describe lovely things. It means “something extremely light, flimsy, or delicate.”

    The butterfly fluttered on gossamer wings.
    Gossamer was first recorded in English in the late 1200s from the Middle English gos(s)esomer or gossummer, which means “a filmy substance made of cobwebs; fine filament; something trivial.” It’s still frequently used to describe delicate spider webs, like those seen covered in dew on a crisp fall morning.


    incandescent
    Incandescent means “intensely bright; brilliant,” and it’s been lighting up the English language since at least 1785.

    The night sky glittered with incandescent stars.
    Incandescent comes from the Latin incandēscere, or “to glow.” Of course, incandescent doesn’t have to something literally glows or is intensely bright. It can also be used to describe someone or something that has a brilliant, electrifying presence.


    diaphanous
    With its bright long i- sound and its soft ph-, diaphanous is one of those words that just feels nice to say. Diaphanous means “very sheer and light; almost completely transparent or translucent.”

    The morning sunrise glowed through the diaphanous curtains.
    The word has been in use since the 17th century, and it works especially well for describing fabric or textures that are so thin and sheer they almost seem to glow with the light passing through them.


    sibilance
    Sibilance is one of the more pleasant-sounding words to say, and it’s used to describe sound. It means “a hissing quality of sound, or the hissing sound itself.”

    I dozed in the hammock to the ocean’s gentle sibilance.
    You could use this word to describe unpleasant hissing sounds, like malfunctioning electronics, or for something more beautiful, like in the example above. Plus, the word itself has a gentle hissing quality. Say it with us three times: sibilance, sibilance, sibilance. Ah, so soft and soothing.


    gloaming
    Gloaming is another word for “twilight; dusk,” and not only does it describe one of the most beautiful times of the day, but the word itself is also nice to say. It sounds very similar to glowing, and it has a magical quality.

    We walked through the forest and watched fireflies twinkle in the gloaming.
    The magical quality might have something to do with its age and origin. The word has been in use since before the year 1000, and it’s believed to be related to Old Norse glāmr, meaning “moon.”


    halcyon
    If you’re gazing out over a tranquil lake, halcyon might be the word that comes to mind. It means “calm; peaceful; tranquil,” and this word has a fascinating origin story.

    The halcyon weather made for a perfect day at the beach.
    Halcyon can be traced back to the Greek halkyṓn, a variant of alkyṓn, or “kingfisher.” In Greek mythology, Alkyone, or Alcyone, is the daughter of the God of the winds, Aeolus, and she was transformed into a kingfisher after throwing herself into the sea.


    ebullient
    Some things are just too wonderful to be contained. Ebullient is an adjective that means “overflowing with fervor, enthusiasm, or excitement; high-spirited,” and it’s a word that practically sounds as joyful as its meaning.

    The ebullient young scientist couldn’t wait to share their latest discovery.
    Ebullient was first recorded in English in the late 1590s. It is associated with happiness and optimism. What’s not to love about a happy word like that?


    quixotic
    Quixotic is a charming word that means “extravagantly chivalrous or romantic; visionary, impractical, or impracticable.” It comes from Miguel de Cervantes’ novel Don Quixote about a noble from La Mancha, Spain, who reads so many heroic romances that he becomes obsessed with the idea of being a knight.

    Her actions may seem quixotic, but they also speak to her courage and passion.
    By 1644, Quixote was used to describe “a person inspired by lofty and chivalrous but impractical ideals.” By the 18th century, the derivative adjective quixotic, which applies to both persons and actions, appeared.


    vivacity
    It’s infectious when someone has great enthusiasm and a zest for life. The word vivacity is similarly attractive. It means “liveliness; animation; sprightliness.”

    The legendary Julie Andrews may be best known for her inexhaustible vivacity.
    Vivacity is also a word English speakers have enjoyed for a very long time. It was first recorded in English in the 1400s.


    scintilla
    Scintilla doesn’t have the most beautiful meaning, but it’s certainly a satisfying and pretty word to say. The beginning syllable makes a hissing sound that is both soft and soothing, and the rest of the word seems to roll off the tongue.

    We don’t have a scintilla of doubt that words are powerful.
    Scintilla means “a minute particle, spark, trace.” It is a loan word from Latin, in which it means “spark.” It was first recorded in English in the late 1600s.


    lilt
    A lilt is a “rhythmic swing or cadence,” and the word has a soft, musical quality that matches its meaning. The origins of this word are unclear. It’s thought to come from the Middle English lulte, perhaps akin to the Dutch lul, meaning “pipe,” or lullen, “to lull.”

    She spoke with a soft Southern lilt that put me at ease.
    Lilt first appeared in English as early as 1300, and we’ve been swaying along ever since.

    Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    Words That Capture The Beauty And Charm Of English What makes a word beautiful? Often, it’s a combination of factors. It might be that the word is especially fun to say, or maybe it evokes a feeling or image that is particularly pleasing. The meaning of the word itself might also be beautiful, or it could refer to a beautiful idea. And, of course, sometimes you just really like a word for reasons that can’t be entirely explained. The author Henry James once said that summer afternoon was the most beautiful phrase in the English language. Ray Bradbury liked the word cinnamon. Tessa Hadley has expressed admiration for cochineal. Which words strike your fancy? Keep reading to learn more about 15 of the most beautiful words in English. Who knows? You might even find a new favorite. ephemeral Ephemeral means “lasting a very short time; short-lived; transitory.” It’s both a lovely sounding word and one that’s frequently used to describe things that are beautiful or wonderful, but short lived. The painter tried to capture the ephemeral beauty of the autumn leaves. The word comes from the Greek word ephḗmeros, meaning “short-lived, lasting but a day.” Lucky for us, the word itself has lasted much longer than that. It’s been in use in English since the late 1500s. idyllic If you need a word for something beautiful and quaint, idyllic is here for you. Idyllic means “suitable for or suggestive of an idyll; charmingly simple or rustic.” An idyll is a poem or prose describing pastoral or appealingly simple scenes. She returned home to the idyllic small town where she grew up. The word was first recorded in English in the late 1800s, though the noun form, idyll, has been in use since the 1590s. They derive from Greek eidýllion, or “a short pastoral poem.” serendipity How fortunate that serendipity just happens to be on this list. Serendipity is “an aptitude for making desirable discoveries by accident.” The pirate knew that finding the treasure would require hard work and a bit of serendipity. This word was coined by author Horace Walpole. Serendipity is the ability possessed by the heroes of The Three Princes of Serendip, a fairytale he published in 1754. Fun fact: one of Walpole’s other stories, The Castle of Otranto, is believed to be the first Gothic novel. Seems Walpole was working with a bit of serendipity himself. gossamer Gossamer has a lovely sound and is used to describe lovely things. It means “something extremely light, flimsy, or delicate.” The butterfly fluttered on gossamer wings. Gossamer was first recorded in English in the late 1200s from the Middle English gos(s)esomer or gossummer, which means “a filmy substance made of cobwebs; fine filament; something trivial.” It’s still frequently used to describe delicate spider webs, like those seen covered in dew on a crisp fall morning. incandescent Incandescent means “intensely bright; brilliant,” and it’s been lighting up the English language since at least 1785. The night sky glittered with incandescent stars. Incandescent comes from the Latin incandēscere, or “to glow.” Of course, incandescent doesn’t have to something literally glows or is intensely bright. It can also be used to describe someone or something that has a brilliant, electrifying presence. diaphanous With its bright long i- sound and its soft ph-, diaphanous is one of those words that just feels nice to say. Diaphanous means “very sheer and light; almost completely transparent or translucent.” The morning sunrise glowed through the diaphanous curtains. The word has been in use since the 17th century, and it works especially well for describing fabric or textures that are so thin and sheer they almost seem to glow with the light passing through them. sibilance Sibilance is one of the more pleasant-sounding words to say, and it’s used to describe sound. It means “a hissing quality of sound, or the hissing sound itself.” I dozed in the hammock to the ocean’s gentle sibilance. You could use this word to describe unpleasant hissing sounds, like malfunctioning electronics, or for something more beautiful, like in the example above. Plus, the word itself has a gentle hissing quality. Say it with us three times: sibilance, sibilance, sibilance. Ah, so soft and soothing. gloaming Gloaming is another word for “twilight; dusk,” and not only does it describe one of the most beautiful times of the day, but the word itself is also nice to say. It sounds very similar to glowing, and it has a magical quality. We walked through the forest and watched fireflies twinkle in the gloaming. The magical quality might have something to do with its age and origin. The word has been in use since before the year 1000, and it’s believed to be related to Old Norse glāmr, meaning “moon.” halcyon If you’re gazing out over a tranquil lake, halcyon might be the word that comes to mind. It means “calm; peaceful; tranquil,” and this word has a fascinating origin story. The halcyon weather made for a perfect day at the beach. Halcyon can be traced back to the Greek halkyṓn, a variant of alkyṓn, or “kingfisher.” In Greek mythology, Alkyone, or Alcyone, is the daughter of the God of the winds, Aeolus, and she was transformed into a kingfisher after throwing herself into the sea. ebullient Some things are just too wonderful to be contained. Ebullient is an adjective that means “overflowing with fervor, enthusiasm, or excitement; high-spirited,” and it’s a word that practically sounds as joyful as its meaning. The ebullient young scientist couldn’t wait to share their latest discovery. Ebullient was first recorded in English in the late 1590s. It is associated with happiness and optimism. What’s not to love about a happy word like that? quixotic Quixotic is a charming word that means “extravagantly chivalrous or romantic; visionary, impractical, or impracticable.” It comes from Miguel de Cervantes’ novel Don Quixote about a noble from La Mancha, Spain, who reads so many heroic romances that he becomes obsessed with the idea of being a knight. Her actions may seem quixotic, but they also speak to her courage and passion. By 1644, Quixote was used to describe “a person inspired by lofty and chivalrous but impractical ideals.” By the 18th century, the derivative adjective quixotic, which applies to both persons and actions, appeared. vivacity It’s infectious when someone has great enthusiasm and a zest for life. The word vivacity is similarly attractive. It means “liveliness; animation; sprightliness.” The legendary Julie Andrews may be best known for her inexhaustible vivacity. Vivacity is also a word English speakers have enjoyed for a very long time. It was first recorded in English in the 1400s. scintilla Scintilla doesn’t have the most beautiful meaning, but it’s certainly a satisfying and pretty word to say. The beginning syllable makes a hissing sound that is both soft and soothing, and the rest of the word seems to roll off the tongue. We don’t have a scintilla of doubt that words are powerful. Scintilla means “a minute particle, spark, trace.” It is a loan word from Latin, in which it means “spark.” It was first recorded in English in the late 1600s. lilt A lilt is a “rhythmic swing or cadence,” and the word has a soft, musical quality that matches its meaning. The origins of this word are unclear. It’s thought to come from the Middle English lulte, perhaps akin to the Dutch lul, meaning “pipe,” or lullen, “to lull.” She spoke with a soft Southern lilt that put me at ease. Lilt first appeared in English as early as 1300, and we’ve been swaying along ever since. Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 Comments 0 Shares 71 Views 0 Reviews
  • 🤠#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผืว ตอน 01.🤠

    ในความประทับใจจดจำของทุกคน โดยทั่วไปแล้วคนอินเดียจะมีผิวคล้ำกว่า จริงๆ แล้วถ้าสังเกตให้ดีจะพบปรากฏการณ์น่าประหลาดใจ จะพบว่ามีคนผิวขาวจำนวนมากในอินเดีย และโดยทั่วไปแล้วคนผิวขาวเหล่านี้จะมีสถานะทางสังคมที่สูงกว่า

    หลายคนมีความอยากรู้อยากเห็น 😎ทำไมอินเดียถึงมีคนผิวขาว? คนผิวขาวเหล่านี้ในอินเดียมาจากไหน?😎

    🤯1. ชาวอารยันผู้พิชิต🤯

    ต้นกำเนิดของคนผิวขาวในอินเดียต้องเริ่มต้นจากประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของอินเดียก่อน

    ประมาณ 1,500 ปีที่แล้ว ชนเผ่าอารยันโบราณและทรงพลังอาศัยอยู่ใกล้กับเทือกเขาอูราล (Ural)ทางตอนเหนือ

    เนื่องจากชาวอารยันอาศัยอยู่ในสภาพอากาศหนาวเย็นและมีรังสีอัลตราไวโอเลตที่ค่อนข้างอ่อน พวกเขาทั้งหมดจึงสูงและผิวขาว

    หลังจากผ่านหลังจากผ่านการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตอยู่รอดอย่างยากลำบากหลายปี พวกเขาก็กลายเป็นผู้กล้าหาญและดุดันก้าวร้าว และก่อให้เกิดประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง

    เพื่อให้ได้สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น ชาวอารยันอพยพไปตลอดทางโดยไม่เคยหยุดเพื่อหาที่ที่ดีที่สุดเพื่อความอยู่รอด พวกเขายึดครองภูดินแดนหนึ่งแล้วดินแดนหนึ่งเล่าด้วยกำลัง และถึงกับสถาปนาจักรวรรดิเปอร์เซียที่ทรงอำนาจอีกด้วย

    อย่างไรก็ตาม ชาวอารยันไม่พอใจกับความเจริญรุ่งเรืองของจักรวรรดิเปอร์เซีย และยังคงขยายอาณาเขตของตนต่อไป หลังจากการเดินทางบุกยึดครองอันยาวนาน พวกเขาก็มาถึงลุ่มแม่น้ำสินธุซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมีผลผลิตอุดมสมบูรณ์

    ชาวอารยันอาศัยพลังการรบอันแข็งแกร่งของพวกเขา และการสู้รบขนาดใหญ่ที่โหดร้ายมากมาย ในที่สุดก็เอาชนะชาวดราวิเดียน (Dravidians) ที่ปกครองอินเดียในขณะนั้นได้ในที่สุด และกลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของอินเดีย

    ชาวอารยันที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มีความรู้สึกเหนือกว่าทางเชื้อชาติอย่างมาก ชาวอารยันเชื่อว่าผิวที่ขาวกระจ่างใสของพวกเขาดูดีกว่า ชาวดราวิเดียน(Dravidians)ในอินเดียมีผิวสีน้ำตาลดูน่าเกลียด และในทางจิตวิทยาแล้ว พวกเขาคิดว่าคนผิวขาวมีเกียรติ

    ผู้ปกครองชาวอารยันกังวลว่าชาวอารยันและชาวอินเดียอยู่ร่วมกันเป็นเวลานานจะสร้างความสับสนให้กับสายเลือดของตน หลังจากการวิเคราะห์โดยละเอียดแล้ว ระบบเชื้อชาติที่เหมาะสมสำหรับการปกครองก็ถูกกำหนดขึ้นเพื่อดำเนินการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ

    ชาวอารยันเกรงว่าเลือดของพวกเขาจะแปดเปื้อน จึงใช้คำสอนของพราหมณ์อธิบายความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ต่างๆ ลูกทั้งสี่ของพระเจ้าเป็นตัวแทนของสี่เผ่าพันธุ์ และมีระดับสูงและต่ำในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมด

    บุตรที่เติบโตจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าเป็นผู้มีเกียรติที่สุด พวกพราหมณ์ซึ่งเป็นวรรณะแรกซึ่งเป็นผู้ที่มีหน้าที่เประกอบพิธีถวายครื่องบูชาชั้นสูง

    เด็กๆ ที่เติบโตจากอ้อมแขนของเทพเจ้าคือ กษัตริย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของราชวงศ์และเจ้าหน้าที่ เด็กที่เติบโตจากขาของเทพเจ้าคือวรรณะที่สาม แพศย์ ซึ่งเป็นคนธรรมดาที่ทำงานด้านการเกษตรและหัตถกรรม เด็กที่เติบโตจากเท้าของเทพเจ้าคือ ศูทร วรรณะที่สี่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทาสและคนรับใช้

    นอกจากนี้ยังมี "วรรณะที่ห้า" ที่ไม่สามารถเรียกว่า "มนุษย์" หรือเรียกรวมกันว่าวรรณะ "จัณฑาล" และหน้าที่หลักของพวกเขาคือการทำความสะอาดสิ่งสกปรก

    ในแรกสุดของคำว่า วรรณะ หมายถึง สีผิว ชาวอารยันที่มีผิวขาวจะตรงกับวรรณะที่สูง และชาวอินเดียพื้นเมืองที่มีผิวสีเข้มจะหมายถึงวรรณะที่ต่ำ

    ในความเป็นจริง ระบบวรรณะเป็นการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ แต่ในขณะนั้นอินเดียซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่มีความสามารถในการต่อต้านทำได้เพียงยอมรับการแบ่งแยกทางเชื้อชาตินี้เท่านั้น

    ระบบวรรณะกำหนดอย่างเคร่งครัดว่าเฉพาะคนวรรณะเดียวกันเท่านั้นที่สามารถรวมตัวกันและรับประทานอาหารร่วมกันได้ และคนวรรณะล่างไม่สามารถปรากฏตัวได้เมื่อคนวรรณะสูงกว่าเดินทางผ่านไปในที่นั้น

    สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่อนุญาตให้มีการแต่งงานระหว่างวรรณะที่แตกต่างกัน หากบุคคลในวรรณะที่สูงกว่าแต่งงานกับบุคคลในวรรณะที่ต่ำกว่า เขาจะถูกขับไล่ออกจากวรรณะบน และในกรณีที่ร้ายแรง เขาอาจถูกประหารชีวิต

    🤯2. การบูรณาการของเชื้อชาติอย่างต่อเนื่อง🤯

    ในการปกครองยุคแรกของชาวอารยันอำนาจทางการเมืองค่อนข้างเป็นเอกภาพ แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็เริ่มแตกแยกออกเป็นชนเผ่าต่างๆ เพื่อที่จะทำให้มีความแข็งแกร่งขึ้น ชนเผ่าบางเผ่าจะรวมตัวกับชนเผ่าดราวิเดียน (Dravidian)ซึ่งมีศักภาพที่แข็งแกร่งทรงพลังเพื่อร่วมต่อสู้กับชนเผ่าอื่นๆ ที่เป็นศัตรู

    ผู้นำชนเผ่าดราวิเดียน (Dravidian)ซึ่งมีความดีความชอบในการรบเริ่มถูกจัดให้อยู่ในวรรณะสูง และเจ้าหน้าที่ของพวกเขาก็ถูกจัดเป็นวรรณะที่สองด้วย

    ชาวอารยันที่พ่ายแพ้การรบบางส่วนเริ่มถูกถอดออกจากวรรณะบน และถูกบังคับให้กลายเป็นสามัญชนในวรรณะที่สาม

    เพื่อให้ความสัมพันธ์ของพันธมิตรระหว่างชนเผ่ามีความแข็งแกร่งน่าเชื่อถือขึ้น ชาวอารยันวรรณะสูงจึงเริ่มแต่งงานกับชาวดราวิเดียน(Dravidian)วรรณะสูง สายเลือดค่อยๆ สับสนปนเป และเด็กที่มีเชื้อชาติผิวสีแทนก็เริ่มปรากฏตัวขึ้น

    พลเรือนอารยันบางส่วนเริ่มแต่งงานกับชาวดราวิเดียนเพื่อความอยู่รอด ส่งผลให้มีเด็กผสมเชื้อชาติผิวสีแทนจำนวนมาก

    ต่อมาอินเดียถูกยึดครองโดยชาวมาซิโดเนีย (Macedonians) เติร์ก (Turks) มองโกล (Mongols) ฯลฯ สีผิวของเชื้อชาติเหล่านี้อ่อนกว่าสีผิวของชนเผ่าดราวิเดียน(Dravidian)พื้นเมืองในอินเดีย ดังนั้น ผู้คนในวรรณะสูงในอินเดียจึงมีผิวขาวกว่าคนวรรณะต่ำ

    ปัจจุบันนี้ ในบรรดาคนชั้นวรรณะที่ร่ำรวยในอินเดีย ก็มีคนผิวขาวจำนวนมาก สาเหตุที่ผิวไม่ขาวเหมือนคนยุโรปก็เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตของอินเดียแรงกว่า และสีผิวจะเข้มขึ้นหลังโดนแดดเผา

    ด้วยการยกเลิกระบบเชื้อชาติในเวลาต่อมา สีผิวจึงไม่สอดคล้องกับวรรณะอีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีวรรณะพราหมณ์ผู้สูงศักดิ์ที่มีผิวสีเข้ม และยังมีวรรณะศูทรวรรณะต่ำที่มีผิวขาวอีกด้วย

    ปัจจุบันสีผิวของชาวอินเดียไม่เพียงแต่เป็นสีขาวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสีน้ำตาล สีดำ เป็นต้น โดยรวมแล้วดุแล้วมีความสลับซับซ้อน ผู้คนไม่ได้ตัดสินจากสีผิวเพียงอย่างเดียวในเรื่องวรรณะอีกต่อไป

    🥸โปรดติดตามบทความ#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผืว ตอน 02ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥸

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผืว ตอน 01.🤠 ในความประทับใจจดจำของทุกคน โดยทั่วไปแล้วคนอินเดียจะมีผิวคล้ำกว่า จริงๆ แล้วถ้าสังเกตให้ดีจะพบปรากฏการณ์น่าประหลาดใจ จะพบว่ามีคนผิวขาวจำนวนมากในอินเดีย และโดยทั่วไปแล้วคนผิวขาวเหล่านี้จะมีสถานะทางสังคมที่สูงกว่า หลายคนมีความอยากรู้อยากเห็น 😎ทำไมอินเดียถึงมีคนผิวขาว? คนผิวขาวเหล่านี้ในอินเดียมาจากไหน?😎 🤯1. ชาวอารยันผู้พิชิต🤯 ต้นกำเนิดของคนผิวขาวในอินเดียต้องเริ่มต้นจากประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของอินเดียก่อน ประมาณ 1,500 ปีที่แล้ว ชนเผ่าอารยันโบราณและทรงพลังอาศัยอยู่ใกล้กับเทือกเขาอูราล (Ural)ทางตอนเหนือ เนื่องจากชาวอารยันอาศัยอยู่ในสภาพอากาศหนาวเย็นและมีรังสีอัลตราไวโอเลตที่ค่อนข้างอ่อน พวกเขาทั้งหมดจึงสูงและผิวขาว หลังจากผ่านหลังจากผ่านการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตอยู่รอดอย่างยากลำบากหลายปี พวกเขาก็กลายเป็นผู้กล้าหาญและดุดันก้าวร้าว และก่อให้เกิดประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ได้สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น ชาวอารยันอพยพไปตลอดทางโดยไม่เคยหยุดเพื่อหาที่ที่ดีที่สุดเพื่อความอยู่รอด พวกเขายึดครองภูดินแดนหนึ่งแล้วดินแดนหนึ่งเล่าด้วยกำลัง และถึงกับสถาปนาจักรวรรดิเปอร์เซียที่ทรงอำนาจอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ชาวอารยันไม่พอใจกับความเจริญรุ่งเรืองของจักรวรรดิเปอร์เซีย และยังคงขยายอาณาเขตของตนต่อไป หลังจากการเดินทางบุกยึดครองอันยาวนาน พวกเขาก็มาถึงลุ่มแม่น้ำสินธุซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมีผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ชาวอารยันอาศัยพลังการรบอันแข็งแกร่งของพวกเขา และการสู้รบขนาดใหญ่ที่โหดร้ายมากมาย ในที่สุดก็เอาชนะชาวดราวิเดียน (Dravidians) ที่ปกครองอินเดียในขณะนั้นได้ในที่สุด และกลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของอินเดีย ชาวอารยันที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มีความรู้สึกเหนือกว่าทางเชื้อชาติอย่างมาก ชาวอารยันเชื่อว่าผิวที่ขาวกระจ่างใสของพวกเขาดูดีกว่า ชาวดราวิเดียน(Dravidians)ในอินเดียมีผิวสีน้ำตาลดูน่าเกลียด และในทางจิตวิทยาแล้ว พวกเขาคิดว่าคนผิวขาวมีเกียรติ ผู้ปกครองชาวอารยันกังวลว่าชาวอารยันและชาวอินเดียอยู่ร่วมกันเป็นเวลานานจะสร้างความสับสนให้กับสายเลือดของตน หลังจากการวิเคราะห์โดยละเอียดแล้ว ระบบเชื้อชาติที่เหมาะสมสำหรับการปกครองก็ถูกกำหนดขึ้นเพื่อดำเนินการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ ชาวอารยันเกรงว่าเลือดของพวกเขาจะแปดเปื้อน จึงใช้คำสอนของพราหมณ์อธิบายความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ต่างๆ ลูกทั้งสี่ของพระเจ้าเป็นตัวแทนของสี่เผ่าพันธุ์ และมีระดับสูงและต่ำในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมด บุตรที่เติบโตจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าเป็นผู้มีเกียรติที่สุด พวกพราหมณ์ซึ่งเป็นวรรณะแรกซึ่งเป็นผู้ที่มีหน้าที่เประกอบพิธีถวายครื่องบูชาชั้นสูง เด็กๆ ที่เติบโตจากอ้อมแขนของเทพเจ้าคือ กษัตริย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของราชวงศ์และเจ้าหน้าที่ เด็กที่เติบโตจากขาของเทพเจ้าคือวรรณะที่สาม แพศย์ ซึ่งเป็นคนธรรมดาที่ทำงานด้านการเกษตรและหัตถกรรม เด็กที่เติบโตจากเท้าของเทพเจ้าคือ ศูทร วรรณะที่สี่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทาสและคนรับใช้ นอกจากนี้ยังมี "วรรณะที่ห้า" ที่ไม่สามารถเรียกว่า "มนุษย์" หรือเรียกรวมกันว่าวรรณะ "จัณฑาล" และหน้าที่หลักของพวกเขาคือการทำความสะอาดสิ่งสกปรก ในแรกสุดของคำว่า วรรณะ หมายถึง สีผิว ชาวอารยันที่มีผิวขาวจะตรงกับวรรณะที่สูง และชาวอินเดียพื้นเมืองที่มีผิวสีเข้มจะหมายถึงวรรณะที่ต่ำ ในความเป็นจริง ระบบวรรณะเป็นการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ แต่ในขณะนั้นอินเดียซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่มีความสามารถในการต่อต้านทำได้เพียงยอมรับการแบ่งแยกทางเชื้อชาตินี้เท่านั้น ระบบวรรณะกำหนดอย่างเคร่งครัดว่าเฉพาะคนวรรณะเดียวกันเท่านั้นที่สามารถรวมตัวกันและรับประทานอาหารร่วมกันได้ และคนวรรณะล่างไม่สามารถปรากฏตัวได้เมื่อคนวรรณะสูงกว่าเดินทางผ่านไปในที่นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่อนุญาตให้มีการแต่งงานระหว่างวรรณะที่แตกต่างกัน หากบุคคลในวรรณะที่สูงกว่าแต่งงานกับบุคคลในวรรณะที่ต่ำกว่า เขาจะถูกขับไล่ออกจากวรรณะบน และในกรณีที่ร้ายแรง เขาอาจถูกประหารชีวิต 🤯2. การบูรณาการของเชื้อชาติอย่างต่อเนื่อง🤯 ในการปกครองยุคแรกของชาวอารยันอำนาจทางการเมืองค่อนข้างเป็นเอกภาพ แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็เริ่มแตกแยกออกเป็นชนเผ่าต่างๆ เพื่อที่จะทำให้มีความแข็งแกร่งขึ้น ชนเผ่าบางเผ่าจะรวมตัวกับชนเผ่าดราวิเดียน (Dravidian)ซึ่งมีศักภาพที่แข็งแกร่งทรงพลังเพื่อร่วมต่อสู้กับชนเผ่าอื่นๆ ที่เป็นศัตรู ผู้นำชนเผ่าดราวิเดียน (Dravidian)ซึ่งมีความดีความชอบในการรบเริ่มถูกจัดให้อยู่ในวรรณะสูง และเจ้าหน้าที่ของพวกเขาก็ถูกจัดเป็นวรรณะที่สองด้วย ชาวอารยันที่พ่ายแพ้การรบบางส่วนเริ่มถูกถอดออกจากวรรณะบน และถูกบังคับให้กลายเป็นสามัญชนในวรรณะที่สาม เพื่อให้ความสัมพันธ์ของพันธมิตรระหว่างชนเผ่ามีความแข็งแกร่งน่าเชื่อถือขึ้น ชาวอารยันวรรณะสูงจึงเริ่มแต่งงานกับชาวดราวิเดียน(Dravidian)วรรณะสูง สายเลือดค่อยๆ สับสนปนเป และเด็กที่มีเชื้อชาติผิวสีแทนก็เริ่มปรากฏตัวขึ้น พลเรือนอารยันบางส่วนเริ่มแต่งงานกับชาวดราวิเดียนเพื่อความอยู่รอด ส่งผลให้มีเด็กผสมเชื้อชาติผิวสีแทนจำนวนมาก ต่อมาอินเดียถูกยึดครองโดยชาวมาซิโดเนีย (Macedonians) เติร์ก (Turks) มองโกล (Mongols) ฯลฯ สีผิวของเชื้อชาติเหล่านี้อ่อนกว่าสีผิวของชนเผ่าดราวิเดียน(Dravidian)พื้นเมืองในอินเดีย ดังนั้น ผู้คนในวรรณะสูงในอินเดียจึงมีผิวขาวกว่าคนวรรณะต่ำ ปัจจุบันนี้ ในบรรดาคนชั้นวรรณะที่ร่ำรวยในอินเดีย ก็มีคนผิวขาวจำนวนมาก สาเหตุที่ผิวไม่ขาวเหมือนคนยุโรปก็เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตของอินเดียแรงกว่า และสีผิวจะเข้มขึ้นหลังโดนแดดเผา ด้วยการยกเลิกระบบเชื้อชาติในเวลาต่อมา สีผิวจึงไม่สอดคล้องกับวรรณะอีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีวรรณะพราหมณ์ผู้สูงศักดิ์ที่มีผิวสีเข้ม และยังมีวรรณะศูทรวรรณะต่ำที่มีผิวขาวอีกด้วย ปัจจุบันสีผิวของชาวอินเดียไม่เพียงแต่เป็นสีขาวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสีน้ำตาล สีดำ เป็นต้น โดยรวมแล้วดุแล้วมีความสลับซับซ้อน ผู้คนไม่ได้ตัดสินจากสีผิวเพียงอย่างเดียวในเรื่องวรรณะอีกต่อไป 🥸โปรดติดตามบทความ#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผืว ตอน 02ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥸 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • #thaitimesข่าวกิจกรรม
    ☆วันเสาร์ที่ 28 และ วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2567
    เวลา 17.00-19.00 น.
    》》ขอเชิญรับชมรับฟังดนตรี วง BSRU Jazz Band (ฟรี)
    ที่ โครงการ ชุมชนเลื่อนฤทธิ์ เยาวราช - The Luenrit, Yaowarat, Bangkok
    ☆เพจ
    》》
    https://www.facebook.com/share/C78iHNXPCAewd3oX/?mibextid=qi2Omg
    《《
    🔸 รับฟังการแสดงจากวง BSRU Jazz Band
    📍ณ #ชุมชนเลื่อนฤทธิ์ #ถนนเยาวราช
    🟢Map สถานที่จัดงาน: https://maps.app.goo.gl/o1GcLK2anHRHLjEz8
    🚇 MRT : สถานีสามยอด ทางออก 1 แล้วเดินต่อมาอีกประมาณ 500 เมตร
    ℹ️ สอบถามและติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่
    🔵Facebook : ภาควิชาดนตรีตะวันตก มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา
    Culture Connex
    ■■■■■■■■■■
    #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    #thaitimesข่าวกิจกรรม ☆วันเสาร์ที่ 28 และ วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2567 เวลา 17.00-19.00 น. 》》ขอเชิญรับชมรับฟังดนตรี วง BSRU Jazz Band (ฟรี) ที่ โครงการ ชุมชนเลื่อนฤทธิ์ เยาวราช - The Luenrit, Yaowarat, Bangkok ☆เพจ 》》 https://www.facebook.com/share/C78iHNXPCAewd3oX/?mibextid=qi2Omg 《《 🔸 รับฟังการแสดงจากวง BSRU Jazz Band 📍ณ #ชุมชนเลื่อนฤทธิ์ #ถนนเยาวราช 🟢Map สถานที่จัดงาน: https://maps.app.goo.gl/o1GcLK2anHRHLjEz8 🚇 MRT : สถานีสามยอด ทางออก 1 แล้วเดินต่อมาอีกประมาณ 500 เมตร ℹ️ สอบถามและติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 🔵Facebook : ภาควิชาดนตรีตะวันตก มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา Culture Connex ■■■■■■■■■■ #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    Like
    Haha
    4
    0 Comments 0 Shares 738 Views 0 Reviews
  • #thaitimesข่าวท่องเที่ยว
    ☆อุทยานแห่งชาติ ถ้ำ ปลา-น้ำตกผาเสื่อ
    》》
    https://www.facebook.com/share/f5NyWhXj8zSiYnPH/?mibextid=qi2Omg
    《《
    เตรียมตัวให้พร้อม‼️
    วันที่ 1 ตุลาคม 2567
    》》"ปางอุ๋ง" เปิดแล้ว《《
    สามารถจอง พื้นที่ลานกางเต็นท์ และ เต็นท์อุทยานฯตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป ผ่านเว็บไซต์กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

    https://nps.dnp.go.th

    ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม ได้ที่ inbox เพจ หรือ โทร 082-191-1746
    ■■■■■■■■■
    #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    #thaitimesข่าวท่องเที่ยว ☆อุทยานแห่งชาติ ถ้ำ ปลา-น้ำตกผาเสื่อ 》》 https://www.facebook.com/share/f5NyWhXj8zSiYnPH/?mibextid=qi2Omg 《《 เตรียมตัวให้พร้อม‼️ วันที่ 1 ตุลาคม 2567 》》"ปางอุ๋ง" เปิดแล้ว《《 สามารถจอง พื้นที่ลานกางเต็นท์ และ เต็นท์อุทยานฯตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป ผ่านเว็บไซต์กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช https://nps.dnp.go.th ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม ได้ที่ inbox เพจ หรือ โทร 082-191-1746 ■■■■■■■■■ #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 689 Views 0 Reviews
  • มิวสิควิดีโอ “ตามรอยความดี”

    จัดทำโดย คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติฯ

    สามารถดาวน์โหลด มิวสิควิดีโอ ไปทำการเผยแพร่ต่อ ได้ที่ :
    https://drive.google.com/file/d/1aAVq1AXREnLzIXH66E1F0In-iHlfiFBq/view?usp=sharing

    ** โดยไม่ทำการแก้ไข ดัดแปลง คำร้อง ทำนอง และเรียบเรียงเสียงประสานใดๆ

    #พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา๖รอบ
    #ตามรอยความดี

    ที่มา : @พระลาน
    https://www.facebook.com/share/v/GE5Lyfrd538aawt5/?mibextid=oFDknk
    มิวสิควิดีโอ “ตามรอยความดี” จัดทำโดย คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติฯ สามารถดาวน์โหลด มิวสิควิดีโอ ไปทำการเผยแพร่ต่อ ได้ที่ : https://drive.google.com/file/d/1aAVq1AXREnLzIXH66E1F0In-iHlfiFBq/view?usp=sharing ** โดยไม่ทำการแก้ไข ดัดแปลง คำร้อง ทำนอง และเรียบเรียงเสียงประสานใดๆ #พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา๖รอบ #ตามรอยความดี ที่มา : @พระลาน https://www.facebook.com/share/v/GE5Lyfrd538aawt5/?mibextid=oFDknk
    Love
    1
    0 Comments 1 Shares 162 Views 162 0 Reviews
  • Good Morning
    Good Morning
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • วลาดิมีร์ ปูติน แย้มซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ใครอยู่เบื้องหลังการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายนอร์ดสตรีม

    แม้ว่ามหาอำนาจตะวันตกจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่า ใครอยู่เบื้องหลังการทำลายท่อส่งก๊าซธรรมชาตินอร์ดสตรีมในเดือนกันยายน ๒๐๒๒, หรือพยายามโยนความผิดให้กับแพะรับบาปที่แสนสะดวก, แต่ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน กลับเผยซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า รัสเซียรู้ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ และกลุ่มตะวันตกกำลังเล่นเกมอะไรอยู่

    อย่าเชื่อคำพูดของเรา – ดูวิดีโอนี้แล้วดูว่าปูตินพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ในสุนทรพจน์ต่างๆของเขาและในบทสัมภาษณ์อันโด่งดังของเขากับ ทักเกอร์ คาร์ลสัน
    .
    Vladimir Putin hints time and again who is behind the Nord Stream terrorist attack

    While Western powers either feign ignorance about who orchestrated the destruction of the Nord Stream natural gas pipelines in September 2022, or try to pin the blame on some convenient scapegoats, Russian President Vladimir Putin repeatedly hinted that Russia knows who is responsible and what kind of game the collective West is playing.

    Don’t take our word for it – check out this video and see what Putin himself said regarding this matter in his various speeches and in his famous interview to Tucker Carlson.
    .
    11:51 PM · Sep 26, 2024 · 3,854 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1839346981115703523
    วลาดิมีร์ ปูติน แย้มซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ใครอยู่เบื้องหลังการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายนอร์ดสตรีม แม้ว่ามหาอำนาจตะวันตกจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่า ใครอยู่เบื้องหลังการทำลายท่อส่งก๊าซธรรมชาตินอร์ดสตรีมในเดือนกันยายน ๒๐๒๒, หรือพยายามโยนความผิดให้กับแพะรับบาปที่แสนสะดวก, แต่ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน กลับเผยซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า รัสเซียรู้ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ และกลุ่มตะวันตกกำลังเล่นเกมอะไรอยู่ อย่าเชื่อคำพูดของเรา – ดูวิดีโอนี้แล้วดูว่าปูตินพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ในสุนทรพจน์ต่างๆของเขาและในบทสัมภาษณ์อันโด่งดังของเขากับ ทักเกอร์ คาร์ลสัน . Vladimir Putin hints time and again who is behind the Nord Stream terrorist attack While Western powers either feign ignorance about who orchestrated the destruction of the Nord Stream natural gas pipelines in September 2022, or try to pin the blame on some convenient scapegoats, Russian President Vladimir Putin repeatedly hinted that Russia knows who is responsible and what kind of game the collective West is playing. Don’t take our word for it – check out this video and see what Putin himself said regarding this matter in his various speeches and in his famous interview to Tucker Carlson. . 11:51 PM · Sep 26, 2024 · 3,854 Views https://x.com/SputnikInt/status/1839346981115703523
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 257 Views 94 0 Reviews
  • เมื่อเปิดเว็บไซต์แล้วรู้สึกชอบเว็บไซต์นั้น เราสามารสร้าง Bookmark เพื่อจัดเก็บเว็บไซต์นั้นเอาไว้ได้โดยไม่ต้องมานั่งจด หรือจำ https://youtu.be/qTnreG7t4g4 #googlechrome #bookmark #ninetechno #เทคนิคการใช้คอมพิวเตอร์
    เมื่อเปิดเว็บไซต์แล้วรู้สึกชอบเว็บไซต์นั้น เราสามารสร้าง Bookmark เพื่อจัดเก็บเว็บไซต์นั้นเอาไว้ได้โดยไม่ต้องมานั่งจด หรือจำ https://youtu.be/qTnreG7t4g4 #googlechrome #bookmark #ninetechno #เทคนิคการใช้คอมพิวเตอร์
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • ีมีคนส่งภาพมาถาม..ก็จะบอกนะว่า..

    ☀️ 🙏😌

    Ubiquinol is the good one, much better than standard CoQ10 (particularly for people over age 40). In combination with spirulina pills, and maybe a milk thistle pill, these are good things for the body.

    อะไรดีก็บอกว่าดีไม่ดีก็จะบอกเสมอ ว่าไม่ดี..ตรงไปตรงมา คนไม่ชอบ เลยเยอะหน่อยเขาว่าปากหมา ขวางธุรกิจไปหมด..555
    ีมีคนส่งภาพมาถาม..ก็จะบอกนะว่า.. ☀️ 🙏😌 Ubiquinol is the good one, much better than standard CoQ10 (particularly for people over age 40). In combination with spirulina pills, and maybe a milk thistle pill, these are good things for the body. อะไรดีก็บอกว่าดีไม่ดีก็จะบอกเสมอ ว่าไม่ดี..ตรงไปตรงมา คนไม่ชอบ เลยเยอะหน่อยเขาว่าปากหมา ขวางธุรกิจไปหมด..555
    Yay
    1
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • Goodnight everyone 😴
    Goodnight everyone 😴
    0 Comments 0 Shares 246 Views 63 0 Reviews
  • วิวสวย #เล่าเรื่อง #ท่องเทียว #thailand #GowentGo #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes https://youtube.com/shorts/5IGr_aFs_kU?si=GMC0CbXuf53nPj1L
    วิวสวย #เล่าเรื่อง #ท่องเทียว #thailand #GowentGo #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes https://youtube.com/shorts/5IGr_aFs_kU?si=GMC0CbXuf53nPj1L
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 877 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/XvY2jAc1IAc?si=CCk0be0sl4bWGoPm
    การตัดไม้ทำไมป่าการปลูกต้นยางการบุกรุกทำลายป่าเป็นสาเหตุที่ทำให้กินโคนถล่มน้ำป่าไหลหลาก
    https://youtu.be/XvY2jAc1IAc?si=CCk0be0sl4bWGoPm การตัดไม้ทำไมป่าการปลูกต้นยางการบุกรุกทำลายป่าเป็นสาเหตุที่ทำให้กินโคนถล่มน้ำป่าไหลหลาก
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 27 Views 0 Reviews
  • #เดอะลู๊ค บ่อนลอยฟ้า

    เราท่านอาจเคยเห็นโฆษณาเว็บพนันที่บอกว่า“เป็นเว็บตรง API จากต่างประเทศ ใช้ระบบฝากถอนออโต้”

    แปะ Banner เว็บพนันโฆษณาชวนเชื่อล่อผีพนันกันมีให้เห็นทุกแพล็ตฟอร์มออนไลน์ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าการฝากถอนออโต้มันทำกันได้ด้วยเหรอ.?

    ก็การฝากถอนเงินใดๆกับสถาบันการเงิน มันต้องทำโดยสุจริตทุกการฝาก-ถอน จะถูก Record จัดเก็บไว้นานนับ 10 ปี

    เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอบัญชีมาตรวจสอบได้ และเส้นเงินมันไม่เคยโกหก เว้นเสียแต่ว่าพนักงานธนาคารจะทุจริต

    แล้วทำไมคนทำเว็บพนันถึงมีระบบฝากถอนเงินได้ตลอดเวลา เหมือนสถาบันการเงินยังไงยังงั้นเลย.?

    โพสต์นี้จะเขียนถึงระบบฝากถอนออโต้ของ #เดอะลู๊ค ตัวตึงบ่อนลอยฟ้า ที่จัดจำหน่ายระบบฝากถอนออโตให้คนทำเว็บพนันมานานมากแล้ว

    (ล่าสุดแหล่งข่าวเรายืนยันข้อมูลว่าคดีของ เดอะลู๊ค และคดีของป้ายแพง อัยการจะสั่งไม่ฟ้องทั้ง 2 คดี จับตาดูจะสั่ง เร็วๆนี้)
    ---------

    ระบบฝากถอนโต้..หลักการทำงานโดยปกติแล้วในการฝาก จะใช้ในการเปรียบเทียบ ยอดฝากจากธนาคาร

    สมมุติว่าลูกค้าฝากมา 100 บาท ระบบของเว็บพนันก็จะเช็คยอด 100 บาทนี้

    ถ้าหากชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชีตรงกับ ชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชี ที่มีในระบบ ก็จะให้เติมเครดิตให้ลูกค้าคนนี้ไป

    การถอนก็ใช้หลักการ โอนเงินผ่านระบบหลังบ้าน โดยที่ไม่ต้องมีคนมานั่งโอนเงินใน App มือถือ

    ระบบถอนนี้จะใช้อยู่ 2 วิธีคือ ..
    1. ให้แอดมินโอนเงินผ่าน app ธนาคาร
    2. ยืนยันจากระบบหลังบ้าน แล้วระบบก็จะโอนเงินให้เอง

    แล้วจะเช็คยอดเงินในธนาคารกันอย่างไร.?

    พวกนี้จะมีวิธีการ เช็ค ผ่าน sms alert จากธนาคาร หรือ หน้าเว็บ และ app ธนาคาร หากเช็คผ่าน sms alert

    พวกนี้จะมีการสร้าง app ขึ้นมาตัวหนึ่ง เพื่อมาเก็บ notification ในมือถือ แล้วส่งต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์

    แล้วนำข้อความนั้นไป เปรียบเทียบในระบบ เพื่อจะเติมเครดิตให้ลูกค้า โดยการเช็คผ่าน sms alert

    ทางธนาคารจะมีการส่ง จำนวนยอด และ เลขบัญชี 4 ตัวท้าย หรือ 6 ตัวท้าย แล้วก็ ชื่อ - นามสกุล มานั้นเอง

    app จะส่งต่อข้อความเข้าเซิร์ฟเวอร์ ที่เว็บพนันสร้างขึ้นมา
    👉 https://play.google.com/store/apps/details?id=com.exp.ff http://dd88bet.com/app_sms.apk

    หากเช็คผ่านหน้าเว็บ เช่น scbeasy หรือ kbiz พวกนี้จะสร้างบอทมาตัวหนึ่งเพื่อจะให้บอทตัวนี้ไปเช็คยอดเงินในหน้าเว็บธนาคารต่างๆ

    โดยจะตั้งเวลาในการเข้าไปเช็ค เช่น ทุกๆ 5 นาที เพื่อไม่ให้ธนาคารจับได้ โดยปกติแล้วหากเราเข้าหน้าเว็บถี่เกินไป

    ธนาคารจะมีการป้องกันโดยใช้ reCAPTCHA (เครื่องมือตรวจจับว่าผู้ใช้เป็นมนุษย์จริงๆไหม)แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

    เพราะเว็บพนันมันจะใช้วิธีการ bypass captcha เพื่อเข้าใช้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แล้วบอทก็จะเข้าเช็คว่ามียอดใหม่มาไหม

    ถ้ามียอดใหม่เข้ามาก็ให้ดึงยอดนั้นมาเปรียบเทียบในระบบหลังบ้าน

    ในการเปรียบเทียบในหน้าเว็บ ธนาคารจะมีเวลา จำนวนเงิน และ ชื่อ - นามสกุล ให้

    โดยที่เขาจะเอาเวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุลนี้ เป็นการเช็คยอดต่างๆ

    หากสมมุติว่าลูกค้าฝาก 100 บาทยอดแรกเลย บอทก็จะเอายอดนี้ไปเช็คในระบบหลังบ้านว่ามียอดนี้ไหม

    ถ้าไม่มีก็ให้ดึงยอดนี้มา แล้วถ้ามียอดที่ 2 มาก็เอามาเช็คอีกรอบว่า ยอดนี้ ( เวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุล ) นี้ มีในระบบไหม

    ถ้าไม่มีก็ดึงมาเติมได้เลย แต่ถ้าสมมุติว่ามี ก็จะข้ามไปดึงยอดอื่น แค่นั้นเอง

    หากผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เวลาเราเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมา แล้วหากเราต้องการเข้าใช้งาน app ธนาคารในมือถือ

    ในการเชื่อมทางธนาคารจะให้กรอก บัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตร ATM

    แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาไปเชื่อมกับบัญชีไว้ได้เลย ใช่ไหม.?

    แต่..พวกเว็บพนันมันล้ำกว่านั้น มันจะมีการแกะ app หรือแฮก

    โดยหลักแล้วก็ต้อง root เครื่องมือถือ แล้ว bypass เพื่อเอาเส้น api ใน app มาทำเป็น web application

    เพื่อที่พวกมันจะไม่ต้องทำธุรกรรมต่างๆผ่าน app มือถือ แต่ไปทำผ่านเว็บแทน ทุกอย่างที่ทำผ่านหน้าเว็บก็จะเหมือนใน app มือถือหมด

    ในการเชื่อมก็ต้องกรอก เลขประชาชน ปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตรเอทีเอ็ม แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาเชื่อมกับบัญชีไว้ เหมือนกัน

    พอกรอกเสร็จก็สามารถใช้ โอน เช็คยอดเข้า-ออก ดูจำนวนคงเหลือ ถอนเงิน ได้เหมือน app ธนาคารเลย

    แล้วพวกคนทำเว็บพนันมันเช็คยอดเงินกันอย่างไร.?

    หากใช้ผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เงินเข้า-ออก เราก็สามารถดูได้ทันที แบบ Real-time เลย

    อันนี้แหละพวกมันจะเอา api ในส่วนเงินเข้าออก มาเช็คแล้วเปรียบเทียบ เหมือนกับทุกๆอันที่อธิบายไปตอนต้น

    แต่มันต่างกันที่หากผ่านแอพธนาคาร สามารถใช้โอนได้ ปกติแล้วพวกเว็บพนันก็จะใช้วิธีนี้ในการทำระบบถอนออโต้ โดยที่เอา เส้น api ในส่วนของการโอนเงินไปใช้

    แล้วเอาไปเช็คว่า หากสมมุติว่าลูกค้าแจ้งถอนมา 100 บาท ระบบหลังบ้านก็จะเอาข้อมูลลูกค้าคนนั้น เช่น ชื่อ - นามสกุล เลขบัญชี จำนวนเงิน ไปกรอก

    ในสิ่งที่ต้องกรอกก็มีแค่ เลขบัญชี จำนวนเงิน แต่ชื่อจะเป็นการเปรียบเทียบว่าตรงกับลูกค้าไหม

    แต่จริงๆส่วนใหญ่แล้ว เขาจะให้แอดมินเช็คเองว่าชื่อตรงกันไหม ถ้าตรงก็กดยืนยันถอนไปให้ หรือ โอนให้

    ทุกครั้งก่อนจะถอนเงินจะมีการยืนยันทุกครั้ง เหมือนที่เราทำการโอนเงินให้คนอื่นใน app มือถือ เราก็แค่กรอกเลขบัญชี จำนวนเงินที่จะโอนให้แค่นั้นเอง

    app สำหรับแกะธนาคาร (รีบดูก่อนถูกลบทิ้ง)
    👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/kbrg.apk (ธนาคาร Kbank)

    👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/Register+KPLUS+GSB.apk ( ธนาคาร Kbank และ GSB)

    แล้วอีกวิธีระบบถอน ผ่าน หน้าเว็บธนาคาร เช่น scbeasy แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้ใช้กัน ส่วนมากเขาจะใช้ในกรณีที่แบบอื่นมีปัญหา

    โดยที่ใช้บอทไปกรอกข้อมูลเช่น เลขบัญชี จำนวน แต่กรณีโอนผ่านหน้าเว็บ ทุกครั้งต้องยืนยัน otp แต่ก็สามารถทำได้เหมือนกัน

    โดยใช้หลักการเหมือนเช็คยอดผ่าน sms alert โดยเขาจะให้บอทเอา otp นั้นมากรอกอีกครั้ง เพื่อจะทำการโอน

    ต้องขอบอกเลยว่าคนกลุ่มนี้โคตรอันตราย ต่อระบบการเงินของประเทศไทย

    ขอแนะนำให้แฟนเพจคัดลอกบทความเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน เผื่อถูกรายงานโพสต์ปลิวไปยังมีบทความอ่าน

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    #เดอะลู๊ค บ่อนลอยฟ้า เราท่านอาจเคยเห็นโฆษณาเว็บพนันที่บอกว่า“เป็นเว็บตรง API จากต่างประเทศ ใช้ระบบฝากถอนออโต้” แปะ Banner เว็บพนันโฆษณาชวนเชื่อล่อผีพนันกันมีให้เห็นทุกแพล็ตฟอร์มออนไลน์ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าการฝากถอนออโต้มันทำกันได้ด้วยเหรอ.? ก็การฝากถอนเงินใดๆกับสถาบันการเงิน มันต้องทำโดยสุจริตทุกการฝาก-ถอน จะถูก Record จัดเก็บไว้นานนับ 10 ปี เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอบัญชีมาตรวจสอบได้ และเส้นเงินมันไม่เคยโกหก เว้นเสียแต่ว่าพนักงานธนาคารจะทุจริต แล้วทำไมคนทำเว็บพนันถึงมีระบบฝากถอนเงินได้ตลอดเวลา เหมือนสถาบันการเงินยังไงยังงั้นเลย.? โพสต์นี้จะเขียนถึงระบบฝากถอนออโต้ของ #เดอะลู๊ค ตัวตึงบ่อนลอยฟ้า ที่จัดจำหน่ายระบบฝากถอนออโตให้คนทำเว็บพนันมานานมากแล้ว (ล่าสุดแหล่งข่าวเรายืนยันข้อมูลว่าคดีของ เดอะลู๊ค และคดีของป้ายแพง อัยการจะสั่งไม่ฟ้องทั้ง 2 คดี จับตาดูจะสั่ง เร็วๆนี้) --------- ระบบฝากถอนโต้..หลักการทำงานโดยปกติแล้วในการฝาก จะใช้ในการเปรียบเทียบ ยอดฝากจากธนาคาร สมมุติว่าลูกค้าฝากมา 100 บาท ระบบของเว็บพนันก็จะเช็คยอด 100 บาทนี้ ถ้าหากชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชีตรงกับ ชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชี ที่มีในระบบ ก็จะให้เติมเครดิตให้ลูกค้าคนนี้ไป การถอนก็ใช้หลักการ โอนเงินผ่านระบบหลังบ้าน โดยที่ไม่ต้องมีคนมานั่งโอนเงินใน App มือถือ ระบบถอนนี้จะใช้อยู่ 2 วิธีคือ .. 1. ให้แอดมินโอนเงินผ่าน app ธนาคาร 2. ยืนยันจากระบบหลังบ้าน แล้วระบบก็จะโอนเงินให้เอง แล้วจะเช็คยอดเงินในธนาคารกันอย่างไร.? พวกนี้จะมีวิธีการ เช็ค ผ่าน sms alert จากธนาคาร หรือ หน้าเว็บ และ app ธนาคาร หากเช็คผ่าน sms alert พวกนี้จะมีการสร้าง app ขึ้นมาตัวหนึ่ง เพื่อมาเก็บ notification ในมือถือ แล้วส่งต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์ แล้วนำข้อความนั้นไป เปรียบเทียบในระบบ เพื่อจะเติมเครดิตให้ลูกค้า โดยการเช็คผ่าน sms alert ทางธนาคารจะมีการส่ง จำนวนยอด และ เลขบัญชี 4 ตัวท้าย หรือ 6 ตัวท้าย แล้วก็ ชื่อ - นามสกุล มานั้นเอง app จะส่งต่อข้อความเข้าเซิร์ฟเวอร์ ที่เว็บพนันสร้างขึ้นมา 👉 https://play.google.com/store/apps/details?id=com.exp.ff http://dd88bet.com/app_sms.apk หากเช็คผ่านหน้าเว็บ เช่น scbeasy หรือ kbiz พวกนี้จะสร้างบอทมาตัวหนึ่งเพื่อจะให้บอทตัวนี้ไปเช็คยอดเงินในหน้าเว็บธนาคารต่างๆ โดยจะตั้งเวลาในการเข้าไปเช็ค เช่น ทุกๆ 5 นาที เพื่อไม่ให้ธนาคารจับได้ โดยปกติแล้วหากเราเข้าหน้าเว็บถี่เกินไป ธนาคารจะมีการป้องกันโดยใช้ reCAPTCHA (เครื่องมือตรวจจับว่าผู้ใช้เป็นมนุษย์จริงๆไหม)แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะเว็บพนันมันจะใช้วิธีการ bypass captcha เพื่อเข้าใช้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แล้วบอทก็จะเข้าเช็คว่ามียอดใหม่มาไหม ถ้ามียอดใหม่เข้ามาก็ให้ดึงยอดนั้นมาเปรียบเทียบในระบบหลังบ้าน ในการเปรียบเทียบในหน้าเว็บ ธนาคารจะมีเวลา จำนวนเงิน และ ชื่อ - นามสกุล ให้ โดยที่เขาจะเอาเวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุลนี้ เป็นการเช็คยอดต่างๆ หากสมมุติว่าลูกค้าฝาก 100 บาทยอดแรกเลย บอทก็จะเอายอดนี้ไปเช็คในระบบหลังบ้านว่ามียอดนี้ไหม ถ้าไม่มีก็ให้ดึงยอดนี้มา แล้วถ้ามียอดที่ 2 มาก็เอามาเช็คอีกรอบว่า ยอดนี้ ( เวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุล ) นี้ มีในระบบไหม ถ้าไม่มีก็ดึงมาเติมได้เลย แต่ถ้าสมมุติว่ามี ก็จะข้ามไปดึงยอดอื่น แค่นั้นเอง หากผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เวลาเราเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมา แล้วหากเราต้องการเข้าใช้งาน app ธนาคารในมือถือ ในการเชื่อมทางธนาคารจะให้กรอก บัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตร ATM แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาไปเชื่อมกับบัญชีไว้ได้เลย ใช่ไหม.? แต่..พวกเว็บพนันมันล้ำกว่านั้น มันจะมีการแกะ app หรือแฮก โดยหลักแล้วก็ต้อง root เครื่องมือถือ แล้ว bypass เพื่อเอาเส้น api ใน app มาทำเป็น web application เพื่อที่พวกมันจะไม่ต้องทำธุรกรรมต่างๆผ่าน app มือถือ แต่ไปทำผ่านเว็บแทน ทุกอย่างที่ทำผ่านหน้าเว็บก็จะเหมือนใน app มือถือหมด ในการเชื่อมก็ต้องกรอก เลขประชาชน ปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตรเอทีเอ็ม แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาเชื่อมกับบัญชีไว้ เหมือนกัน พอกรอกเสร็จก็สามารถใช้ โอน เช็คยอดเข้า-ออก ดูจำนวนคงเหลือ ถอนเงิน ได้เหมือน app ธนาคารเลย แล้วพวกคนทำเว็บพนันมันเช็คยอดเงินกันอย่างไร.? หากใช้ผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เงินเข้า-ออก เราก็สามารถดูได้ทันที แบบ Real-time เลย อันนี้แหละพวกมันจะเอา api ในส่วนเงินเข้าออก มาเช็คแล้วเปรียบเทียบ เหมือนกับทุกๆอันที่อธิบายไปตอนต้น แต่มันต่างกันที่หากผ่านแอพธนาคาร สามารถใช้โอนได้ ปกติแล้วพวกเว็บพนันก็จะใช้วิธีนี้ในการทำระบบถอนออโต้ โดยที่เอา เส้น api ในส่วนของการโอนเงินไปใช้ แล้วเอาไปเช็คว่า หากสมมุติว่าลูกค้าแจ้งถอนมา 100 บาท ระบบหลังบ้านก็จะเอาข้อมูลลูกค้าคนนั้น เช่น ชื่อ - นามสกุล เลขบัญชี จำนวนเงิน ไปกรอก ในสิ่งที่ต้องกรอกก็มีแค่ เลขบัญชี จำนวนเงิน แต่ชื่อจะเป็นการเปรียบเทียบว่าตรงกับลูกค้าไหม แต่จริงๆส่วนใหญ่แล้ว เขาจะให้แอดมินเช็คเองว่าชื่อตรงกันไหม ถ้าตรงก็กดยืนยันถอนไปให้ หรือ โอนให้ ทุกครั้งก่อนจะถอนเงินจะมีการยืนยันทุกครั้ง เหมือนที่เราทำการโอนเงินให้คนอื่นใน app มือถือ เราก็แค่กรอกเลขบัญชี จำนวนเงินที่จะโอนให้แค่นั้นเอง app สำหรับแกะธนาคาร (รีบดูก่อนถูกลบทิ้ง) 👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/kbrg.apk (ธนาคาร Kbank) 👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/Register+KPLUS+GSB.apk ( ธนาคาร Kbank และ GSB) แล้วอีกวิธีระบบถอน ผ่าน หน้าเว็บธนาคาร เช่น scbeasy แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้ใช้กัน ส่วนมากเขาจะใช้ในกรณีที่แบบอื่นมีปัญหา โดยที่ใช้บอทไปกรอกข้อมูลเช่น เลขบัญชี จำนวน แต่กรณีโอนผ่านหน้าเว็บ ทุกครั้งต้องยืนยัน otp แต่ก็สามารถทำได้เหมือนกัน โดยใช้หลักการเหมือนเช็คยอดผ่าน sms alert โดยเขาจะให้บอทเอา otp นั้นมากรอกอีกครั้ง เพื่อจะทำการโอน ต้องขอบอกเลยว่าคนกลุ่มนี้โคตรอันตราย ต่อระบบการเงินของประเทศไทย ขอแนะนำให้แฟนเพจคัดลอกบทความเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน เผื่อถูกรายงานโพสต์ปลิวไปยังมีบทความอ่าน สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 72 Views 0 Reviews
  • ติดตั้ง Extensions นี้ช่วยให้การแปลภาษาบน Google Chrome ง่ายขึ้น https://youtu.be/CJq4SXVX8WA #googlechrome #extensions #แปลภาษา #ninetechno #เทคนิคการใช้คอมพิวเตอร์
    ติดตั้ง Extensions นี้ช่วยให้การแปลภาษาบน Google Chrome ง่ายขึ้น https://youtu.be/CJq4SXVX8WA #googlechrome #extensions #แปลภาษา #ninetechno #เทคนิคการใช้คอมพิวเตอร์
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • ตอนสิบห้า……พี่ปูเค้าเหมือนมีสิบมือ…รับได้หมดทุกงาน……ติ่งว่ามะ………!!!!!!!

    หลังจากที่ปูตินได้กล่าวแสดงความเสียใจกับโศกนาฏกรรมที่ ได้เกิดขึ้นที่ Beslan ในวันที่ 4 กันยายน (2004)

    ค่ำคืนของวันที่ 5 Viktor Yushchenko ตัวเต็งในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครนได้เดินทางไปแบบอำพรางตัว
    ไปนัดเจรจากับ นายพล Igor Smeshko ผู้อำนวยการ SBU
    (เทียบเท่ากับ FSB ของรัสเซีย)
    เจ้าภาพที่เป็นทั้งเชฟเตรียมอาหาร คือ รองผู้อำนวยการ SBU
    Volodymyr Satsyuk ที่มีเมนูคือ สลัดกุ้ง พร้อม เบียร์ วอดก้า คอนยัค
    ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย วิตเตอร์กลับถึงบ้านเวลาตีสองของวันต่อมา
    พอสายๆ……เขารู้สึกตัวว่าไม่สบาย ปวดหัวปานระเบิด ไล่ลงมาถึงไขสันหลัง หน้าตาหล่อๆของเขาเริ่มเปลี่ยนสี และมีตุ่มขึ้นเหมือนฝีดาษไปทั่วไปหน้า เจ็บปวดไปทั้งตัว
    วิคเตอร์รู้ได้ทันทีว่าเขาโดนยาพิษ จึงรีบบินไปออสเตรีย ในวันที่ 10 เพื่อเข้ารับการรักษา
    ซึ่งยืนยันแน่นอนว่า เขาได้รับสาร Dioxin เข้าไปเป็นจำนวนมาก จากอาหารอย่างแน่นอน

    การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม ที่ประชาชนล้วนแต่อยากจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเต็มที่ เพราะนาย Leonid Kuchma ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งมานานนับสิบปี เพราะตั้งแต่ 1994 ที่ได้รับเลือกมาเพื่อที่จะจัดระเบียบให้กับยูเครนที่ถือว่าเป็นประเทศใหม่เอี่ยม
    แต่ที่ไหนได้……ยูเครนได้กลายมาเป็นแหล่งคอร์รัปชั่นที่ใหญ่ที่สุด ตามมาด้วย อาชญากรรม และ การค้าของเถื่อน
    ยูเครนเป็นพื้นที่ที่ใหญ่เป็นที่สองของโซเวียต เป็นแหล่งเพาะปลูก แหล่งอุตสาหกรรม ที่บอบช้ำมาตั้งแต่สมัยสตาลิน
    เพราะเพียงแค่แสดงความจำนงค์ว่าอยากจะเป็นเอกเทศเพียงเบาๆ
    สตาลินได้สั่งสอนด้วยวิธียึดอาหารออกไปจากพื้นที่ทั้งหมด จนเกิดเป็นการล้างเผ่าพันธุ์ด้วยวิธีให้อดตาย (Holodomor)
    พอสงครามโลกครั้งที่สอง ยูเครนก็คือสนามรบหน้าด่านในการต้านนาซี ที่สูญเสียทหารไปกว่าสามล้านนาย (หนึ่งในหกของประชากร)
    นี่คือ……ความเจ็บฝังใจของชาวยูเครน

    แต่……นั่นก็คือส่วนหนึ่ง เพราะในพื้นที่ตามภูมิศาสตร์พร้อมประวัติศาสตร์แล้ว ยูเครนก็คือสลาพเผ่าพันธุ์เดียวกันกับรัสเซีย ที่ประชาชนยังถือเป็นพี่เป็นน้องกัน ฝั่งที่ใกล้กับรัสเซียก็ยังสวามิภักดิ์กับรัสเซีย
    ส่วนยูเครเนี่ยนสมัยประชาธิปไตยเบิกบาน ก็มองไกลไปถึงตะวันตก และ ยิ่งเห็นเพื่อนบ้านอย่าง Lithuania, Latvia, Estonia เดินตบแถวเข้าเป็นสมาชิกนาโต้
    และได้เป็นสมาชิกอียูที่แสนโก้หรูอีกเล่า………
    นั่นน่าจะเป็นอนาคตที่สดใสกว่า……ดีไม่ดี……สักวันหนึ่งอาจจะล้มช้างอย่างรัสเซียได้ด้วย

    ประธานาธิบดี Kuchma รู้ดีว่าการเมืองของยูเครนมีทั้งสองฝั่ง
    เขาจึงพยายามเหยียบไว้ทั้งสองแคม เอาใจรัสเซีย และ เป็นมิตรกับนาโต้ ถึงขนาดส่งทหารไปช่วยรบในอิรัค เพื่อล้มล้างซัดดัม ฮุดเซน
    แต่คุชมา……ทำได้แค่หันไปทางทิศทางลม เขาไม่มีความมุ่งมั่นและความสามารถในการที่ควบคุมคน
    ดังนั้น รัฐบาลของคุชมา จึงกลายเป็นสนามเล่นของเหล่ามาเฟียการเมืองที่เข้ามากอบโกยแบบแบ่งกันกิน แบ่งกันใช้

    ดังนั้น จากฐานทางการเมืองที่อ่อนยวบยาบ ประชาธิปไตยที่ยูเครนอยากได้ จึงแทบเป็นไปไม่ได้ ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเข้ามา
    ฝ่ายตรงข้ามได้ตีกระหน่ำในเรื่องคดีฆาตกรรมนักข่าวคนสำคัญ Georgy Gongadez ที่ถูกอุ้มฆ่าเพราะตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล เป็นการฆาตกรรมที่มีหลักฐานทิ้งไว้ให้สาวถึงตัวได้มากมาย
    ถึงแม้ว่าคุชมาจะปฎิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ความนิยมของเขาได้ลดลงฮวบฮาบ
    ทุกคนได้เกรงว่า……เขาอาจเปลี่ยนรัฐธรรมนูญหาช่องว่างเพื่อที่จะนั่งในตำแหน่งต่อไป
    การเมืองยูเครนในช่วงนั้น จึงต้องเล่นงานประธานาธิบดีคุชมาแบบถาโถมในทุกเม็ด……จนเขาขยับตัวทำอะไรอื่นไม่ได้
    นอกจากที่จะต้องยอมรับสภาพ……

    ปูตินเฝ้าดูการเป็นไปของยูเครนอย่างใกล้ชิด และไม่ใช่ยูเครนอย่างเดียว เขาได้เกาะติดกับการเมืองที่ Georgia ด้วย
    Georgia เป็นประเทศที่แตกออกไปจากการล่มสลายของโซเวียต (1991) อยู่ทางชายคอเคซัส ที่มีประชากรเพียงห้าล้านคน Eduard Shevardnadze
    เป็นประธานาธิบดี ที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของโซเวียตมาก่อน เขาเป็นหนึ่งในคนสนิทของกอร์บาเชฟ ที่กว่าจะมาเป็นประธานาธิบดีได้ ในปี 1995 ก็ผ่านการลอบสังหารมาถึงสามครั้ง
    ประธานาธิบดี เอดวารด์ กำลังจะหมดวาระในปี 2003
    เดือนพฤศจิกายน มีการก่อหวอดต่อต้าน (ด้วยเกรงว่าจะมีการสืบทอดอำนาจจากรัสเซีย) กลุ่มผู้ต่อต้านออกมาเนืองแน่นบนท้องถนน
    และบุกเข้าไปในสถานที่ราชการ นำโดย Mikhail Saakashvili
    (ที่มี George Soros สนับสนุนทุนอยู่เบื้องหลัง)
    เอดวารด์ ได้โทรหาปูตินเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งปูตินได้ส่ง
    ให้ Igor Ivanov บินไปที่เมืองหลวง Tbilisi เพื่อไปดูไม่ให้เกิดเป็นสงครามกลางเมือง
    แต่……ปูตินไม่ต้องการโศกนาฏกรรมติดๆกันหลายรายการจนเกินไป เขาจึงสั่งให้แค่สังเกตุการณ์อย่างใกล้ชิด
    ในที่สุด……เอดวารด์ จึงยอมลาออกเพื่อรักษาความสงบ

    ในเดือนมกราคม 2004 จอร์เจียจึงมีประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Mikhail Saakashvili ที่คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่ใหญ่คับฟ้า สิ่งแรกที่เขาทำคือ บินไปมอสโคว์เพื่อที่จะเจรจาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการเมืองกับปูติน
    ซึ่ง……เขาไม่รู้เลยว่า ทางรัสเซียได้จัดอันดับ จอร์เจีย เทียบเท่ากับยูเครน
    อันดับนั้นคือ……พวกสวามิภักดิ์ตะวันตก

    แต่ปูตินไม่ได้เห็นว่า จอร์เจียเป็นสิ่งที่กังวล(ในตอนนั้น) เพราะเขาพุ่งเป้าไปที่ยูเครนมากกว่า เพราะยูเครนเป็นพื้นที่ที่ก่อเกิดของเลือดเนื้อรัสเซียในปัจจุบัน เมื่อครั้งสมัย Vladimir the Great ที่รับศาสนาคริสเตียนเข้ามาในปี 988
    ซาร์วลาดิเมียร์ ได้ตั้งชื่อดินแดนส่วนนี้ว่า Ukraine ที่แปลว่า
    ขอบเขตแดน
    ขอบเขตแดนนี้ได้เปลี่ยนไปมาตามสถานการณ์โลก โปแลนด์เคยล้ำเข้ามาในสมัย Austro-Hungarian , สตาลินได้นำกลับคืนในการทำสนธิสัญญากับฮิตเลอร์ (1939) และยูเครนก็คือส่วนหนึ่งของโซเวียต (Ukraine Soviet Socialist) เป็นเช่นนั้นจน ประธานาธิบดี ครุสเชพ ได้มอบดินแดนเพิ่มให้ คือ ไครเมีย
    ในปี 1954
    ไม่มีใครเคยคาดคิดว่า……สักวันหนึ่ง ยูเครน พร้อมด้วยไครเมียจะหลุดลอยไปจากความเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย

    ในเดือน กรกฎาคม 2004 สามเดือนก่อนที่ยูเครนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี
    ปูตินได้บินไปที่Yalta (ไครเมีย) เพื่อพบปะกับ Kuchma (ประธานาธิบดี) และ Viktor Yanukovych (นายกรัฐมนตรี)
    ที่พระราชวัง Livadia (ที่เคยเป็นที่พบปะ ระหว่าง เชอร์ชิลล์,
    สตาลิน และ รูสเวลส์)
    ปูตินได้เตือนและกดดันให้คุชมาเลิกทำตัวสอพลอกับพวกตะวันตก โดยเฉพาะกับ NATO ที่ค่อยๆก้าวล่วงเข้ามาทุกที จากที่เป็นชาติสมาชิก 19 ตอนนี้มาเป็น 26 นอกจากจะเก็บกลุ่มยุโรปตะวันออกแล้ว ยังคืบมากวาดเอาฝั่งบอลติกไปด้วย
    ที่ปูตินคิดว่า……น่าจะหยุดได้เพียงแค่นั้น……แต่นี่กำลังมุ่งหน้ามาที่จอร์เจียและยูเครน….ที่เขาจะจะไม่ทนอีกต่อไป!!
    และถ้าจะหมายถึงสงคราม………เขาก็ยินดี………!!!
    ปูตินยังย้ำเสมอว่า ในสัญญาของลูกผู้ชาย ที่กลุ่มนาโต้ได้บอกกับกอร์บาเชพในปี 1989 ว่า นาโต้จะไม่ก้าวคืบเข้าไปในอาณาจักรที่เป็นของโซเวียตแม้แต่คืบเดียว

    มันเป็นคำสั่งที่เป็นการตบหัวทิ่ม แต่ก็มีการลูบหลัง นั่นคือ
    รัสเซีย-ยูเครนจะตั้งบริษัทพลังงานขึ้นมา ชื่อว่า RosUkrEnergo ที่ไม่ชี้แจงชัดว่าใครคือเข้าของ แต่ Gazprom
    จะเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่ง เป็นเจ้าของโดยผ่านนอมินี
    คือ Raiffeisen International Bank (อยู่ที่ Switzerland)
    ในการดำเนินงานส่งก๊าสผ่านท่อไปขายที่ยุโรปผ่านยูเครน……

    เมื่อคุชมากำลังจะหมดสิ้นวาระ ตัวเต็ง Viktor Andriyovych Yushchenko (จะเรียกว่า VAY เขาเป็นฝ่ายโปรตะวันตก) ก็มาโดนยาพิษที่เร่งทำการรักษากันแบบพลิกตำรา
    เขาได้ประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่า เขาได้รับการประทุษร้ายจากฝ่ายตรงข้ามที่เป็นฝ่ายอำนาจเก่า นั่นคือ พุ่งตรงไปที่คุชมา
    การหาเสียงของเขา มีสัญญลักษณ์เป็น “สีส้ม” และมีฝ่ายทุนที่หนุนหลังคือ Yulia Tymoshenko อภิมหาเศรษฐีสาว เธอมีบทบาทเด่นในทางการเมืองของยูเครน ในการต่อสู้เพื่อตะวันตก โปรนาโต้ ทำหน้าที่หาเสียงอย่างแข็งขันให้กับ VAY ในขณะที่รักษาตัว
    ถ้าจะเทียบเธอ……ก็ใกล้เคียงกับเป็น อองซาน ซูจี แห่งยูเครน

    การเลือกตั้งใกล้เข้ามา ความนิยมในตัว VAY ได้เพิ่มขึ้น
    มันเป็นสัญญาณที่บอกกับปูตินว่า อิทธิพลของตะวันตกกำลังจะล้อมกรอบ บีบรัสเซียให้แคบเข้าไปทุกวัน
    ตั้งแต่โซเวียตล่มสลายไป กลุ่มทุนตะวันตกได้เข้ามามีอิทธิพลในฝั่งตะวันออกหนาตาขึ้น โดยเฉพาะองค์กร NGO ที่ได้มีสาขาในทุกแห่งหน

    ทางรัสเซียได้หนุนหลัง Viktor Yanukovych ( Viktor Fedorovych Yanukovych นายกรัฐมนตรี จะใช้ชื่อย่อว่า VFY)
    ในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วย
    การหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือด เหมือนกับว่าประชาชนจะเลือก
    บุช หรือ ปูติน
    ปูตินได้ทำทีไปเยี่ยมเยียนถึงเคียฟ เพราะมีเด็กคนหนึ่ง ได้เขียนจดหมายว่า มีความฝันว่าอยากจะถ่ายรูปกับ Vladimir Vladimirovich……ชาตินี้จะมีโอกาสไหมหนอ?
    ผลคือ เด็กน้อย Andrei ได้ถูกเชิญไปที่ทำเนียบ ไปพบกับปูติน
    ที่ได้ยื่นของขวัญเป็นแลปท๊อปให้ด้วยสีหน้าชื่นมื่น

    การหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือดและสูสี ปูตินบินไปเคียฟบ่อยกว่าปรกติ
    ผลออกมาคือ VFY (โปรรัสเซีย) ได้ 49% และ VAY (โปรตะวันตก) ได้ 46%
    แต่.……ความไม่สงบได้ก่อตัวขึ้น ฝ่ายสีส้มได้ทำการต่อต้านในทุกรูปแบบ มีการนัดชุมนุมที่เข้าขั้นปฏิวัติ ถนนได้เปลี่ยนเป็นทะเลสีส้มแสบตาไปทั้งเมือง
    กลุ่มต่อต้านไม่ยอมรับคะแนนเลือกตั้ง
    ปูตินบินกลับจากจากอเมริกาใต้ เข้าสู่กรุงบลัสเซลส์โดยด่วน เพื่อพบปะกับกลุ่มอียู……ที่ตัวแทนทุกคนได้ลงมติว่าการเลือกตั้งในยูเครนไม่โปร่งใส ……แต่ไม่สนใจที่จะให้มีการตรวจสอบ
    ความสัมพันธ์ทางการค้าพลังงานที่ปูตินพยายามที่จะประสานกับอียูนั้น เหลือริบหรี่…;
    เขาประกาศว่า……เราไม่เคยไปยุ่งกับเรื่องภายในของพวกอียู
    แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่า……พวกคุณได้เข้ามาเสี้ยม แทรกแซงกับการเมืองในประเทศที่อยู่นอกระบบ เพื่อสร้างความร้าวฉานให้พวกเรา……!!

    สภายูเครนเริ่มเห็นแล้วว่าน่าจะรักษาความสงบไว้ไม่ได้
    จึงได้ลงมติให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
    VFY ได้หลบความวุ่นวายที่อาจนำไปสู่ความเป็นอันตรายต่อตัวเองไปอยู่ที่ Luhansk

    วันที่ 2 ธันวาคม ปูตินได้เรียกคุชมาเข้าไปพบที่มอสโคว์
    ก่อนที่ปูตินจะเดินทางอินเดียในไม่กี่ชั่วโมง เพื่อปรึกษาในเรื่องของการที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ที่เขาเชื่อว่า ทางฝ่าย VAY น่าจะมาแรง และจะปล่อยไปตามนั้น เพราะไม่เช่นนั้นก็จะต้องมีม็อบชนม็อบ เลือกตั้งกันครั้งที่สาม ที่สี่ ไม่จบไม่สิ้น เสียเวลาเปล่าๆ……ปล่อยไปก่อน……เรายังมีเวลา!!

    ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น VAY ชนะด้วยคะแนน 52% ส่วน VFY 44%
    ที่มีการเฉลิมฉลองกันใหญ่โต
    ชาวสีส้มทุกคนต่างยินดีปรีดาที่จะได้เข้าไปสู่อ้อมอกของตะวันตก เป็นอารยะประเทศ มีที่นั่งในสภายูโรเปี้ยน และ เป็นหนึ่งสมาชิกนาโต้
    และที่สำคัญที่สุด…..คือ ได้เอาชนะปูติน………!!!

    ใครจะไปรู้เล่าว่า……นั่นคือเกมที่ปูตินจะลากมาสับทีละคนเมื่อถึงเวลา………!!

    Wiwanda W. Vichit
    ตอนสิบห้า……พี่ปูเค้าเหมือนมีสิบมือ…รับได้หมดทุกงาน……ติ่งว่ามะ………!!!!!!! หลังจากที่ปูตินได้กล่าวแสดงความเสียใจกับโศกนาฏกรรมที่ ได้เกิดขึ้นที่ Beslan ในวันที่ 4 กันยายน (2004) ค่ำคืนของวันที่ 5 Viktor Yushchenko ตัวเต็งในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครนได้เดินทางไปแบบอำพรางตัว ไปนัดเจรจากับ นายพล Igor Smeshko ผู้อำนวยการ SBU (เทียบเท่ากับ FSB ของรัสเซีย) เจ้าภาพที่เป็นทั้งเชฟเตรียมอาหาร คือ รองผู้อำนวยการ SBU Volodymyr Satsyuk ที่มีเมนูคือ สลัดกุ้ง พร้อม เบียร์ วอดก้า คอนยัค ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย วิตเตอร์กลับถึงบ้านเวลาตีสองของวันต่อมา พอสายๆ……เขารู้สึกตัวว่าไม่สบาย ปวดหัวปานระเบิด ไล่ลงมาถึงไขสันหลัง หน้าตาหล่อๆของเขาเริ่มเปลี่ยนสี และมีตุ่มขึ้นเหมือนฝีดาษไปทั่วไปหน้า เจ็บปวดไปทั้งตัว วิคเตอร์รู้ได้ทันทีว่าเขาโดนยาพิษ จึงรีบบินไปออสเตรีย ในวันที่ 10 เพื่อเข้ารับการรักษา ซึ่งยืนยันแน่นอนว่า เขาได้รับสาร Dioxin เข้าไปเป็นจำนวนมาก จากอาหารอย่างแน่นอน การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม ที่ประชาชนล้วนแต่อยากจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเต็มที่ เพราะนาย Leonid Kuchma ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งมานานนับสิบปี เพราะตั้งแต่ 1994 ที่ได้รับเลือกมาเพื่อที่จะจัดระเบียบให้กับยูเครนที่ถือว่าเป็นประเทศใหม่เอี่ยม แต่ที่ไหนได้……ยูเครนได้กลายมาเป็นแหล่งคอร์รัปชั่นที่ใหญ่ที่สุด ตามมาด้วย อาชญากรรม และ การค้าของเถื่อน ยูเครนเป็นพื้นที่ที่ใหญ่เป็นที่สองของโซเวียต เป็นแหล่งเพาะปลูก แหล่งอุตสาหกรรม ที่บอบช้ำมาตั้งแต่สมัยสตาลิน เพราะเพียงแค่แสดงความจำนงค์ว่าอยากจะเป็นเอกเทศเพียงเบาๆ สตาลินได้สั่งสอนด้วยวิธียึดอาหารออกไปจากพื้นที่ทั้งหมด จนเกิดเป็นการล้างเผ่าพันธุ์ด้วยวิธีให้อดตาย (Holodomor) พอสงครามโลกครั้งที่สอง ยูเครนก็คือสนามรบหน้าด่านในการต้านนาซี ที่สูญเสียทหารไปกว่าสามล้านนาย (หนึ่งในหกของประชากร) นี่คือ……ความเจ็บฝังใจของชาวยูเครน แต่……นั่นก็คือส่วนหนึ่ง เพราะในพื้นที่ตามภูมิศาสตร์พร้อมประวัติศาสตร์แล้ว ยูเครนก็คือสลาพเผ่าพันธุ์เดียวกันกับรัสเซีย ที่ประชาชนยังถือเป็นพี่เป็นน้องกัน ฝั่งที่ใกล้กับรัสเซียก็ยังสวามิภักดิ์กับรัสเซีย ส่วนยูเครเนี่ยนสมัยประชาธิปไตยเบิกบาน ก็มองไกลไปถึงตะวันตก และ ยิ่งเห็นเพื่อนบ้านอย่าง Lithuania, Latvia, Estonia เดินตบแถวเข้าเป็นสมาชิกนาโต้ และได้เป็นสมาชิกอียูที่แสนโก้หรูอีกเล่า……… นั่นน่าจะเป็นอนาคตที่สดใสกว่า……ดีไม่ดี……สักวันหนึ่งอาจจะล้มช้างอย่างรัสเซียได้ด้วย ประธานาธิบดี Kuchma รู้ดีว่าการเมืองของยูเครนมีทั้งสองฝั่ง เขาจึงพยายามเหยียบไว้ทั้งสองแคม เอาใจรัสเซีย และ เป็นมิตรกับนาโต้ ถึงขนาดส่งทหารไปช่วยรบในอิรัค เพื่อล้มล้างซัดดัม ฮุดเซน แต่คุชมา……ทำได้แค่หันไปทางทิศทางลม เขาไม่มีความมุ่งมั่นและความสามารถในการที่ควบคุมคน ดังนั้น รัฐบาลของคุชมา จึงกลายเป็นสนามเล่นของเหล่ามาเฟียการเมืองที่เข้ามากอบโกยแบบแบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ดังนั้น จากฐานทางการเมืองที่อ่อนยวบยาบ ประชาธิปไตยที่ยูเครนอยากได้ จึงแทบเป็นไปไม่ได้ ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเข้ามา ฝ่ายตรงข้ามได้ตีกระหน่ำในเรื่องคดีฆาตกรรมนักข่าวคนสำคัญ Georgy Gongadez ที่ถูกอุ้มฆ่าเพราะตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล เป็นการฆาตกรรมที่มีหลักฐานทิ้งไว้ให้สาวถึงตัวได้มากมาย ถึงแม้ว่าคุชมาจะปฎิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ความนิยมของเขาได้ลดลงฮวบฮาบ ทุกคนได้เกรงว่า……เขาอาจเปลี่ยนรัฐธรรมนูญหาช่องว่างเพื่อที่จะนั่งในตำแหน่งต่อไป การเมืองยูเครนในช่วงนั้น จึงต้องเล่นงานประธานาธิบดีคุชมาแบบถาโถมในทุกเม็ด……จนเขาขยับตัวทำอะไรอื่นไม่ได้ นอกจากที่จะต้องยอมรับสภาพ…… ปูตินเฝ้าดูการเป็นไปของยูเครนอย่างใกล้ชิด และไม่ใช่ยูเครนอย่างเดียว เขาได้เกาะติดกับการเมืองที่ Georgia ด้วย Georgia เป็นประเทศที่แตกออกไปจากการล่มสลายของโซเวียต (1991) อยู่ทางชายคอเคซัส ที่มีประชากรเพียงห้าล้านคน Eduard Shevardnadze เป็นประธานาธิบดี ที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของโซเวียตมาก่อน เขาเป็นหนึ่งในคนสนิทของกอร์บาเชฟ ที่กว่าจะมาเป็นประธานาธิบดีได้ ในปี 1995 ก็ผ่านการลอบสังหารมาถึงสามครั้ง ประธานาธิบดี เอดวารด์ กำลังจะหมดวาระในปี 2003 เดือนพฤศจิกายน มีการก่อหวอดต่อต้าน (ด้วยเกรงว่าจะมีการสืบทอดอำนาจจากรัสเซีย) กลุ่มผู้ต่อต้านออกมาเนืองแน่นบนท้องถนน และบุกเข้าไปในสถานที่ราชการ นำโดย Mikhail Saakashvili (ที่มี George Soros สนับสนุนทุนอยู่เบื้องหลัง) เอดวารด์ ได้โทรหาปูตินเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งปูตินได้ส่ง ให้ Igor Ivanov บินไปที่เมืองหลวง Tbilisi เพื่อไปดูไม่ให้เกิดเป็นสงครามกลางเมือง แต่……ปูตินไม่ต้องการโศกนาฏกรรมติดๆกันหลายรายการจนเกินไป เขาจึงสั่งให้แค่สังเกตุการณ์อย่างใกล้ชิด ในที่สุด……เอดวารด์ จึงยอมลาออกเพื่อรักษาความสงบ ในเดือนมกราคม 2004 จอร์เจียจึงมีประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Mikhail Saakashvili ที่คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่ใหญ่คับฟ้า สิ่งแรกที่เขาทำคือ บินไปมอสโคว์เพื่อที่จะเจรจาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการเมืองกับปูติน ซึ่ง……เขาไม่รู้เลยว่า ทางรัสเซียได้จัดอันดับ จอร์เจีย เทียบเท่ากับยูเครน อันดับนั้นคือ……พวกสวามิภักดิ์ตะวันตก แต่ปูตินไม่ได้เห็นว่า จอร์เจียเป็นสิ่งที่กังวล(ในตอนนั้น) เพราะเขาพุ่งเป้าไปที่ยูเครนมากกว่า เพราะยูเครนเป็นพื้นที่ที่ก่อเกิดของเลือดเนื้อรัสเซียในปัจจุบัน เมื่อครั้งสมัย Vladimir the Great ที่รับศาสนาคริสเตียนเข้ามาในปี 988 ซาร์วลาดิเมียร์ ได้ตั้งชื่อดินแดนส่วนนี้ว่า Ukraine ที่แปลว่า ขอบเขตแดน ขอบเขตแดนนี้ได้เปลี่ยนไปมาตามสถานการณ์โลก โปแลนด์เคยล้ำเข้ามาในสมัย Austro-Hungarian , สตาลินได้นำกลับคืนในการทำสนธิสัญญากับฮิตเลอร์ (1939) และยูเครนก็คือส่วนหนึ่งของโซเวียต (Ukraine Soviet Socialist) เป็นเช่นนั้นจน ประธานาธิบดี ครุสเชพ ได้มอบดินแดนเพิ่มให้ คือ ไครเมีย ในปี 1954 ไม่มีใครเคยคาดคิดว่า……สักวันหนึ่ง ยูเครน พร้อมด้วยไครเมียจะหลุดลอยไปจากความเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ในเดือน กรกฎาคม 2004 สามเดือนก่อนที่ยูเครนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปูตินได้บินไปที่Yalta (ไครเมีย) เพื่อพบปะกับ Kuchma (ประธานาธิบดี) และ Viktor Yanukovych (นายกรัฐมนตรี) ที่พระราชวัง Livadia (ที่เคยเป็นที่พบปะ ระหว่าง เชอร์ชิลล์, สตาลิน และ รูสเวลส์) ปูตินได้เตือนและกดดันให้คุชมาเลิกทำตัวสอพลอกับพวกตะวันตก โดยเฉพาะกับ NATO ที่ค่อยๆก้าวล่วงเข้ามาทุกที จากที่เป็นชาติสมาชิก 19 ตอนนี้มาเป็น 26 นอกจากจะเก็บกลุ่มยุโรปตะวันออกแล้ว ยังคืบมากวาดเอาฝั่งบอลติกไปด้วย ที่ปูตินคิดว่า……น่าจะหยุดได้เพียงแค่นั้น……แต่นี่กำลังมุ่งหน้ามาที่จอร์เจียและยูเครน….ที่เขาจะจะไม่ทนอีกต่อไป!! และถ้าจะหมายถึงสงคราม………เขาก็ยินดี………!!! ปูตินยังย้ำเสมอว่า ในสัญญาของลูกผู้ชาย ที่กลุ่มนาโต้ได้บอกกับกอร์บาเชพในปี 1989 ว่า นาโต้จะไม่ก้าวคืบเข้าไปในอาณาจักรที่เป็นของโซเวียตแม้แต่คืบเดียว มันเป็นคำสั่งที่เป็นการตบหัวทิ่ม แต่ก็มีการลูบหลัง นั่นคือ รัสเซีย-ยูเครนจะตั้งบริษัทพลังงานขึ้นมา ชื่อว่า RosUkrEnergo ที่ไม่ชี้แจงชัดว่าใครคือเข้าของ แต่ Gazprom จะเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่ง เป็นเจ้าของโดยผ่านนอมินี คือ Raiffeisen International Bank (อยู่ที่ Switzerland) ในการดำเนินงานส่งก๊าสผ่านท่อไปขายที่ยุโรปผ่านยูเครน…… เมื่อคุชมากำลังจะหมดสิ้นวาระ ตัวเต็ง Viktor Andriyovych Yushchenko (จะเรียกว่า VAY เขาเป็นฝ่ายโปรตะวันตก) ก็มาโดนยาพิษที่เร่งทำการรักษากันแบบพลิกตำรา เขาได้ประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่า เขาได้รับการประทุษร้ายจากฝ่ายตรงข้ามที่เป็นฝ่ายอำนาจเก่า นั่นคือ พุ่งตรงไปที่คุชมา การหาเสียงของเขา มีสัญญลักษณ์เป็น “สีส้ม” และมีฝ่ายทุนที่หนุนหลังคือ Yulia Tymoshenko อภิมหาเศรษฐีสาว เธอมีบทบาทเด่นในทางการเมืองของยูเครน ในการต่อสู้เพื่อตะวันตก โปรนาโต้ ทำหน้าที่หาเสียงอย่างแข็งขันให้กับ VAY ในขณะที่รักษาตัว ถ้าจะเทียบเธอ……ก็ใกล้เคียงกับเป็น อองซาน ซูจี แห่งยูเครน การเลือกตั้งใกล้เข้ามา ความนิยมในตัว VAY ได้เพิ่มขึ้น มันเป็นสัญญาณที่บอกกับปูตินว่า อิทธิพลของตะวันตกกำลังจะล้อมกรอบ บีบรัสเซียให้แคบเข้าไปทุกวัน ตั้งแต่โซเวียตล่มสลายไป กลุ่มทุนตะวันตกได้เข้ามามีอิทธิพลในฝั่งตะวันออกหนาตาขึ้น โดยเฉพาะองค์กร NGO ที่ได้มีสาขาในทุกแห่งหน ทางรัสเซียได้หนุนหลัง Viktor Yanukovych ( Viktor Fedorovych Yanukovych นายกรัฐมนตรี จะใช้ชื่อย่อว่า VFY) ในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วย การหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือด เหมือนกับว่าประชาชนจะเลือก บุช หรือ ปูติน ปูตินได้ทำทีไปเยี่ยมเยียนถึงเคียฟ เพราะมีเด็กคนหนึ่ง ได้เขียนจดหมายว่า มีความฝันว่าอยากจะถ่ายรูปกับ Vladimir Vladimirovich……ชาตินี้จะมีโอกาสไหมหนอ? ผลคือ เด็กน้อย Andrei ได้ถูกเชิญไปที่ทำเนียบ ไปพบกับปูติน ที่ได้ยื่นของขวัญเป็นแลปท๊อปให้ด้วยสีหน้าชื่นมื่น การหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือดและสูสี ปูตินบินไปเคียฟบ่อยกว่าปรกติ ผลออกมาคือ VFY (โปรรัสเซีย) ได้ 49% และ VAY (โปรตะวันตก) ได้ 46% แต่.……ความไม่สงบได้ก่อตัวขึ้น ฝ่ายสีส้มได้ทำการต่อต้านในทุกรูปแบบ มีการนัดชุมนุมที่เข้าขั้นปฏิวัติ ถนนได้เปลี่ยนเป็นทะเลสีส้มแสบตาไปทั้งเมือง กลุ่มต่อต้านไม่ยอมรับคะแนนเลือกตั้ง ปูตินบินกลับจากจากอเมริกาใต้ เข้าสู่กรุงบลัสเซลส์โดยด่วน เพื่อพบปะกับกลุ่มอียู……ที่ตัวแทนทุกคนได้ลงมติว่าการเลือกตั้งในยูเครนไม่โปร่งใส ……แต่ไม่สนใจที่จะให้มีการตรวจสอบ ความสัมพันธ์ทางการค้าพลังงานที่ปูตินพยายามที่จะประสานกับอียูนั้น เหลือริบหรี่…; เขาประกาศว่า……เราไม่เคยไปยุ่งกับเรื่องภายในของพวกอียู แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่า……พวกคุณได้เข้ามาเสี้ยม แทรกแซงกับการเมืองในประเทศที่อยู่นอกระบบ เพื่อสร้างความร้าวฉานให้พวกเรา……!! สภายูเครนเริ่มเห็นแล้วว่าน่าจะรักษาความสงบไว้ไม่ได้ จึงได้ลงมติให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ VFY ได้หลบความวุ่นวายที่อาจนำไปสู่ความเป็นอันตรายต่อตัวเองไปอยู่ที่ Luhansk วันที่ 2 ธันวาคม ปูตินได้เรียกคุชมาเข้าไปพบที่มอสโคว์ ก่อนที่ปูตินจะเดินทางอินเดียในไม่กี่ชั่วโมง เพื่อปรึกษาในเรื่องของการที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ที่เขาเชื่อว่า ทางฝ่าย VAY น่าจะมาแรง และจะปล่อยไปตามนั้น เพราะไม่เช่นนั้นก็จะต้องมีม็อบชนม็อบ เลือกตั้งกันครั้งที่สาม ที่สี่ ไม่จบไม่สิ้น เสียเวลาเปล่าๆ……ปล่อยไปก่อน……เรายังมีเวลา!! ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น VAY ชนะด้วยคะแนน 52% ส่วน VFY 44% ที่มีการเฉลิมฉลองกันใหญ่โต ชาวสีส้มทุกคนต่างยินดีปรีดาที่จะได้เข้าไปสู่อ้อมอกของตะวันตก เป็นอารยะประเทศ มีที่นั่งในสภายูโรเปี้ยน และ เป็นหนึ่งสมาชิกนาโต้ และที่สำคัญที่สุด…..คือ ได้เอาชนะปูติน………!!! ใครจะไปรู้เล่าว่า……นั่นคือเกมที่ปูตินจะลากมาสับทีละคนเมื่อถึงเวลา………!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 436 Views 0 Reviews
  • มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา ทัชมาฮาลเมืองไทย

    มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา ตั้งอยู่ที่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นศาสนสถาน ศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมในสงขลาที่ใหญ่และอลังการมาก หากใครได้มาจังหวัดสงขลาแล้ว ต้องไม่พลาดที่จะมาชมความงดงามของ มัสยิดกลางแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า ” ทัชมาฮาลเมืองไทย ” ยิ่งมาในช่วงเวลาเย็นไปถึงช่วงค่ำ มัสยิดเปิดไฟสว่างมีฉากหลังของ ท้องฟ้าเปลี่ยนสีในยามเย็นงดงามยิ่งนัก

    ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตลาดน้ำคลองแห สำหรับการเดินทางด้วย google maps แนะนำให้พิมว่า “มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา” เพราะหากใส่ว่า มัสยิดกลางดิย์นุลอิสลาม จะไปโผล่ที่มัสยิดในเมืองหาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่คนละแห่งกัน มาถึงมัสยิดสามารถจอดรถไว้บริเวณที่จอดรถภายใต้อาคาร จากนั้นเดินมาด้านหน้าเก็บมุมภาพตามใจชอบ

    ภายในมัสยิดสีขาวสะอาดตา ล้อมรอบด้วยกระจกใสสีขาว ภายในตกแต่งได้สวยงาม โล่ง โอ่โถง เหมาะแก่การทำจิตใจให้สงบและทำพีธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา พื้นที่รอบมัสยิดเดินเล่นชมบรรยากาศเหมือนกำลังเดินอยู่ในแดนนภารตะ😍

    บรรยากาศในยามเย็น คือ อีกหนึ่งช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ ยิ่งช่วงพระอาทิตย์ตก และเริ่มมีแสงไฟส่องสว่างยิ่งสวยงาม


    #มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา
    #ทัชมาฮาลเมืองไทย




    มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา ทัชมาฮาลเมืองไทย มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา ตั้งอยู่ที่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นศาสนสถาน ศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมในสงขลาที่ใหญ่และอลังการมาก หากใครได้มาจังหวัดสงขลาแล้ว ต้องไม่พลาดที่จะมาชมความงดงามของ มัสยิดกลางแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า ” ทัชมาฮาลเมืองไทย ” ยิ่งมาในช่วงเวลาเย็นไปถึงช่วงค่ำ มัสยิดเปิดไฟสว่างมีฉากหลังของ ท้องฟ้าเปลี่ยนสีในยามเย็นงดงามยิ่งนัก ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตลาดน้ำคลองแห สำหรับการเดินทางด้วย google maps แนะนำให้พิมว่า “มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา” เพราะหากใส่ว่า มัสยิดกลางดิย์นุลอิสลาม จะไปโผล่ที่มัสยิดในเมืองหาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่คนละแห่งกัน มาถึงมัสยิดสามารถจอดรถไว้บริเวณที่จอดรถภายใต้อาคาร จากนั้นเดินมาด้านหน้าเก็บมุมภาพตามใจชอบ ภายในมัสยิดสีขาวสะอาดตา ล้อมรอบด้วยกระจกใสสีขาว ภายในตกแต่งได้สวยงาม โล่ง โอ่โถง เหมาะแก่การทำจิตใจให้สงบและทำพีธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา พื้นที่รอบมัสยิดเดินเล่นชมบรรยากาศเหมือนกำลังเดินอยู่ในแดนนภารตะ😍 บรรยากาศในยามเย็น คือ อีกหนึ่งช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ ยิ่งช่วงพระอาทิตย์ตก และเริ่มมีแสงไฟส่องสว่างยิ่งสวยงาม #มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา #ทัชมาฮาลเมืองไทย
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • Penguin Eat Shabu บุฟเฟ่ต์ชาบูและซูชิ ที่จัดเต็มความอร่อยเสิร์ฟไม่อั้น มีให้เลือกหลายราคา จัดวัตถุดิบคุณภาพมาให้ลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมูคุโรบูตะ เนื้อหมูสันนอก เนื้อหมูสามชั้น เนื้อวากิว เนื้อคารูบิวากิว แซลมอนนอร์เวย์ หอยแมลงภูนิวซีแลนด์ หอยเชลล์ พร้อมด้วยซูชิ และโรลต่างๆ ยำสาหร่ายญี่ปุ่น ปูอัดซาชิมิ เป็นต้น

    พิกัด : goo.gl/maps/LtRMLcLHVZXuAk4y9
    ที่อยู่ : J Arena ถ.ราชพฤษ์ แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ (มีหลายสาขา)
    ร้านเปิดบริการ : 11.30 - 22.00 น.
    โทร : 02-0268-8998

    #กินสาระนัวร์ #ของอร่อย #Thaitimes
    Penguin Eat Shabu บุฟเฟ่ต์ชาบูและซูชิ ที่จัดเต็มความอร่อยเสิร์ฟไม่อั้น มีให้เลือกหลายราคา จัดวัตถุดิบคุณภาพมาให้ลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมูคุโรบูตะ เนื้อหมูสันนอก เนื้อหมูสามชั้น เนื้อวากิว เนื้อคารูบิวากิว แซลมอนนอร์เวย์ หอยแมลงภูนิวซีแลนด์ หอยเชลล์ พร้อมด้วยซูชิ และโรลต่างๆ ยำสาหร่ายญี่ปุ่น ปูอัดซาชิมิ เป็นต้น พิกัด : goo.gl/maps/LtRMLcLHVZXuAk4y9 ที่อยู่ : J Arena ถ.ราชพฤษ์ แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ (มีหลายสาขา) ร้านเปิดบริการ : 11.30 - 22.00 น. โทร : 02-0268-8998 #กินสาระนัวร์ #ของอร่อย #Thaitimes
    Love
    Yay
    2
    0 Comments 0 Shares 789 Views 0 Reviews
  • สำหรับใครอยากกินบุฟเฟ่ต์ชาบูหม่าล่า ที่น้ำซุปเด็ดมาก และน้ำจิ้มแซ่บมาก แถมยังมีเครื่องชาบูให้เลือกทานแบบจุกๆ เราขอให้ทุกคนตามเรามากันที่ร้านนี้เลยค่ะ Hotpot Man ชาบูหมาล่า ร้านชาบูบุฟเฟต์สูตรต้นตำรับจากเมืองจีน เลือกอิ่มอร่อยกับน้ำซุปและอาหารได้อย่างเต็มที่ อร่อยเด็ดเผ็ดลิ้นชา

    พิกัด : https://goo.gl/maps/EcoB3EpHUfbaFCNUA
    ที่อยู่ : 484 สาทร ซอย 3 ถนนสวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ
    ร้านเปิดบริการ : 12.00 - 22.30 น.
    โทร : 06-1924-9694
    #กินสาระนัวร์ #ของอร่อย #Thaitimes
    สำหรับใครอยากกินบุฟเฟ่ต์ชาบูหม่าล่า ที่น้ำซุปเด็ดมาก และน้ำจิ้มแซ่บมาก แถมยังมีเครื่องชาบูให้เลือกทานแบบจุกๆ เราขอให้ทุกคนตามเรามากันที่ร้านนี้เลยค่ะ Hotpot Man ชาบูหมาล่า ร้านชาบูบุฟเฟต์สูตรต้นตำรับจากเมืองจีน เลือกอิ่มอร่อยกับน้ำซุปและอาหารได้อย่างเต็มที่ อร่อยเด็ดเผ็ดลิ้นชา พิกัด : https://goo.gl/maps/EcoB3EpHUfbaFCNUA ที่อยู่ : 484 สาทร ซอย 3 ถนนสวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ ร้านเปิดบริการ : 12.00 - 22.30 น. โทร : 06-1924-9694 #กินสาระนัวร์ #ของอร่อย #Thaitimes
    Love
    Yay
    2
    0 Comments 0 Shares 775 Views 0 Reviews
  • จีนกำลังพลิกเกมส์สงครามชิป ในอนาคตเราอาจจะเห็น nvidia ปรับตัวไม่ทันก็ได้
    ควอนตัมชิปเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าตื่นตาตื่นใจมากในปัจจุบันครับ 🌟

    ควอนตัมคอมพิวเตอร์ (Quantum Computer) คืออะไร? ให้ผมมาสายใจคร่าวๆ ให้คุณเข้าใจกันดีก่อนครับ:

    ควอนตัมคอมพิวเตอร์คืออะไร?
    ควอนตัมคอมพิวเตอร์เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ปรากฏการณ์เชิงควอนตัมในการประมวลผลข้อมูล ซึ่งทำให้มีความสามารถในการประมวลผลที่เร็วกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปอย่างมหาศาล
    ควอนตัมคอมพิวเตอร์ใช้คุณสมบัติของอะตอม (atom) ในการประมวลผล ซึ่งทำให้มีความเร็วในการคำนวณที่น่าทึ่ง
    การพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์
    บริษัทใหญ่หลายราย รวมถึง Google, Microsoft, และ IBM ได้ลงทุนในการพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์
    ควอนตัมคอมพิวเตอร์ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แม้ว่ามันจะความก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมที่ค่อนข้างปิดเงียบในโลกของเทคโนโลยี
    เมื่อควอนตัมคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว มันจะเปลี่ยนแปลงโลกอย่างมหาศาล และเราอาจจะไม่สามารถจินตนาการถึงขีดจำกัดของประสิทธิภาพของมันได้ครับ! 😊
    จีนกำลังพลิกเกมส์สงครามชิป ในอนาคตเราอาจจะเห็น nvidia ปรับตัวไม่ทันก็ได้ ควอนตัมชิปเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าตื่นตาตื่นใจมากในปัจจุบันครับ 🌟 ควอนตัมคอมพิวเตอร์ (Quantum Computer) คืออะไร? ให้ผมมาสายใจคร่าวๆ ให้คุณเข้าใจกันดีก่อนครับ: ควอนตัมคอมพิวเตอร์คืออะไร? ควอนตัมคอมพิวเตอร์เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ปรากฏการณ์เชิงควอนตัมในการประมวลผลข้อมูล ซึ่งทำให้มีความสามารถในการประมวลผลที่เร็วกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปอย่างมหาศาล ควอนตัมคอมพิวเตอร์ใช้คุณสมบัติของอะตอม (atom) ในการประมวลผล ซึ่งทำให้มีความเร็วในการคำนวณที่น่าทึ่ง การพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์ บริษัทใหญ่หลายราย รวมถึง Google, Microsoft, และ IBM ได้ลงทุนในการพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์ ควอนตัมคอมพิวเตอร์ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แม้ว่ามันจะความก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมที่ค่อนข้างปิดเงียบในโลกของเทคโนโลยี เมื่อควอนตัมคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว มันจะเปลี่ยนแปลงโลกอย่างมหาศาล และเราอาจจะไม่สามารถจินตนาการถึงขีดจำกัดของประสิทธิภาพของมันได้ครับ! 😊
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews
  • เสนาธิการทหารอิสราเอลแจ้งข่าวการรุกรานเลบานอน

    "เพื่อบรรลุเป้าหมาย, เราจึงเตรียมการบุกโจมตีภาคพื้นดิน ซึ่งหมายความว่ารองเท้าทหารของคุณจะเข้าสู่ดินแดนของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์"
    .
    ⚡️JUST IN

    Israeli Chief of Staff informs military about Lebanon invasion

    "To achieve our goal, we are preparing a ground offensive. This means that your military boots will enter Hezbollah territory"
    .
    11:11 PM · Sep 25, 2024 · 117.8K Views
    https://x.com/IranObserver0/status/1838974557207617835
    เสนาธิการทหารอิสราเอลแจ้งข่าวการรุกรานเลบานอน "เพื่อบรรลุเป้าหมาย, เราจึงเตรียมการบุกโจมตีภาคพื้นดิน ซึ่งหมายความว่ารองเท้าทหารของคุณจะเข้าสู่ดินแดนของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์" . ⚡️JUST IN Israeli Chief of Staff informs military about Lebanon invasion "To achieve our goal, we are preparing a ground offensive. This means that your military boots will enter Hezbollah territory" . 11:11 PM · Sep 25, 2024 · 117.8K Views https://x.com/IranObserver0/status/1838974557207617835
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • ❄️ ❄️ เรื่องนี้เป็นการประเมินถึงระบบพลังงานของยูเครนล่วงหน้า จากสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจริง หรือไม่จริงก็ได้

    🇺🇦 ☃️ ‘นายพล Winter’ เตรียมปล่อยความโกรธแค้นต่อยูเครน
    .
    จากการประมาณการต่างๆ พบว่า #ยูเครน สูญเสียกำลังการผลิตไฟฟ้าไปแล้ว 50-80% ซึ่งหมายความว่ายูเครนจะเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการเตรียมตัวรับมือกับฤดูหนาวที่จะมาถึง
    • German Galushchenko รมว.พลังงาน เมื่อ ส.ค. ได้ออกมาเตือนว่าฤดูหนาวปีนี้จะเป็นฤดูหนาวที่ยากลำบากที่สุด เนื่องจากอาจเกิดไฟฟ้าดับ

    ◉ สถานการณ์ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ ร้ายแรงที่สุดเมื่อปลายเดือน ส.ค.
    • ความเสียหายที่เกิดขึ้นส่งผลให้เซเลนสกี สั่งปลดจนท.ระดับสูงในภาคส่วนพลังงาน ได้แก่ สำนักงานประธานาธิบดียูเครน Rostislav Shurma ที่ปรึกษาสนง.ปธน. และ Vladimir Kudritskiy CEO ของ Ukrenergo ซึ่งเป็นผู้ประกอบการผลิตและจำหน่ายพลังงาน
    .
    ⚡⚡ วิกฤตการณ์ในภาคพลังงาน ⚡⚡

    ⚡ ในปี 2565 ปริมาณการผลิตพลังงานภายในประเทศอยู่ที่ 55 กิกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นปริมาณการผลิตพลังงานที่สูงที่สุดในยุโรป ❗
    • เมื่อต้นปี 67 ปริมาณการผลิตพลังงานลดลงต่ำกว่า 20 กิกะวัตต์
    • ในเดือน ก.ค. 67 ปริมาณการผลิตพลังงานลดลงเหลือเพียง 9 กิกะวัตต์เท่านั้น😮 ตามรายงานของ Financial Times

    #กาลุชเชนโก รมว.พลังงาน ยังยอมรับว่า : ระดับการผลิตในปัจจุบันไม่เอื้อให้ประเทศสามารถอยู่รอดในช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็นได้อย่างสบายๆ
    .
    ◉ ปัจจุบันยูเครนกำลังดิ้นรนเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้แม้เพียงบางส่วน

    ประการแรก : ชดเชยการขาดดุลปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าที่นำเข้ามา แต่ความสามารถในการส่งออกไฟฟ้าจาก EU ไปยังยูเครนได้ถึงขีดจำกัดแล้ว
    • ขณะนี้กำลังมีการหารืออย่างต่อเนื่องกับมอลโดวา ส่งออกไฟฟ้าโดยแลกกับก๊าซธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม แผนนี้ดูเหมือนจะไม่มีประสิทธิภาพเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดไฟฟ้าดับเป็นเวลานาน

    ประการ 2 : เคียฟหวังพึ่งการสนับสนุนทางการเงินจากพันธมิตรตะวันตก
    • แอนนาเลนา แบร์บ็อค รมว.กต.เยอรมัน เพิ่งให้คำมั่นว่าจะให้ เงินเพิ่มเติมอีก 100 ล้านยูโร เพื่อช่วยฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน
    • อย่างไรก็ตาม เงินจำนวนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้

    ประการ 3 : Zelensky ประกาศแผนการสร้างโรงงานพลังงานใหม่ที่มีกำลังการผลิตรวม 1 กิกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้
    • คูดริตสกี้ อดีต CEO ของ Ukrenergo ที่ถูกสกี้สั่งปลด😁 กล่าวว่า จนถึงตอนนี้มีการดำเนินการตามแผนเพียง 6% เท่านั้น ... ผมมีข้อมูลที่แตกต่างกัน อาจมีการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกหลายร้อยแห่งในช่วงสองถึงสามวันที่ผ่านมา แต่ตัวเลขจริง ๆ แล้วอยู่ที่ประมาณ 60 เมกะวัตต์
    .
    ⚡⚡ ปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าในยูเครน : ไม่ได้เกิดจากการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานเพียงอย่างเดียว แต่การบำรุงรักษาตามกำหนด และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ทำงานผิดปกติ ก็มีส่วนทำให้เกิดวิกฤตเช่นกัน

    ▪ อินนา ซอฟซุน สมาชิกคณะกรรมการด้านพลังงานฯรัฐสภายูเครน เตือนว่า : การโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ยูซนูกรินสกายา Yuzhnoukrainskaya และ คเมลนิตสกายา Khmelnitskaya เมื่อไม่นานนี้ทำให้ยูเครนสูญเสียพลังงานไฟฟ้าไป 800 เมกะวัตต์ หรือประมาณ 6% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด

    ◙ Vladimir Omelchenko : ผอ.โครงการพลังงานของศูนย์ Razumkov กล่าว : หากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ล้มเหลวเพียงเครื่องเดียว ก็อาจทำให้เกิดไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง

    ◙ Alexander Kharchenko : ผอ.ศูนย์วิจัยอุตสาหกรรมพลังงาน เตือนว่า : ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสถานีไฟฟ้าแรงสูงเพียงแห่งเดียวในช่วงฤดูหนาว อาจทำให้เกิดไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างทั่วประเทศ
    • “หากสถานีไฟฟ้าเพียงแห่งเดียวหยุดทำงานในช่วงที่อุณหภูมิติดลบ .... หรือ 2 สถานีในช่วงที่มีอากาศอบอุ่นในปัจจุบัน ก็จะประสบกับไฟฟ้าดับอย่างแน่นอน ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศอาจไม่มีไฟฟ้าใช้”
    • ชาวอูเครนอาจต้องประสบกับปัญหาไฟฟ้าดับนานถึง 8-10 ชั่วโมงต่อวัน แม้จะไม่มีการจู่โจมโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานครั้งใหญ่เกิดขึ้นก็ตาม เมืองใหญ่ๆ เช่น เคียฟ โอเดสซา และคาร์คิฟ มีแนวโน้มว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
    .
    ⚡⚡ ผลที่ตามมาจากการถูกโจมตี ⚡⚡

    ⚡ สถานการณ์ในยูเครนแย่ลงอย่างมาก หลังจากรัสเซียโจมตีเมื่อวันที่ 26 ส.ค. โดยขีปนาวุธ 127 ลูก และโดรน 99 ลำถูกยิงไปที่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน

    #เซเลนสกี ในบทสัมภาษณ์กับ #CNN กล่าวว่า : กองกำลังการบินและอวกาศของรัสเซียได้สร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนถึง 80% โดยใช้อาวุธนำวิถีแม่นยำสูง
    • ตามการประมาณการล่าสุดของโรงเรียนเศรษฐศาสตร์เคียฟ ระบุว่า : ค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนจากเหตุระเบิดครั้งนี้สูงเกิน 56,000 ล้านดอลลาร์
    .
    ◙ คุดริตสกี้ อดีต CEO ของ Ukrenergo กล่าวว่า : การเสริมกำลังสิ่งอำนวยความสะดวกด้านพลังงานหลักของประเทศจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 100,000 ล้านฮรีฟเนีย (2,400 ล้านดอลลาร์) แต่จนถึงขณะนี้ได้จัดสรรไปเพียง 10% ของจำนวนเงินดังกล่าวเท่านั้น

    ◙ แม็กซิม ชคิล CEO ของ Avtostrada กล่าวเพิ่มเติมว่า : รัฐบาลเป็นหนี้บริษัทก่อสร้างกว่า 8,700 ล้านฮรีฟเนีย สำหรับการสร้างโครงสร้างป้องกันประเทศ😁 ... “ผมพยายามติดต่อสื่อสารโดยตรงกับทางการ แต่เดนิส ชมิกัล นายกรัฐมนตรีปฏิเสธที่จะติดต่อ” ... เขากล่าว😆
    •••••••••••••••••••••••••••••••••

    #ระบบพลังงาน ของยูเครนกำลังเผชิญกับการล่มสลายในช่วงฤดูหนาวนี้ ตามการคาดการณ์ในแง่ดีที่สุด
    • ภายในเดือนพฤศจิกายน ไฟฟ้าดับนานหลายชั่วโมงเป็นเรื่องปกติ
    • ภายในเดือนธันวาคม และมกราคม ไฟฟ้าดับยาวนาน
    • ไฟฟ้าดับเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตั้งแต่การหยุดชะงักของแหล่งจ่ายน้ำ ไปจนถึงการผลิตที่ลดลงในภาคส่วนต่างๆ ของเศรษฐกิจ
    .
    #ซอฟซุน สมาชิกคณะกรรมการด้านพลังงานฯ กล่าว : คาดว่าพื้นที่อยู่อาศัย จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากไฟฟ้าดับเหล่านี้

    ◉ ดังนั้น ทางการจึงแนะนำให้ชาวอูเครนทั่วไป
    • จัดหาเครื่องปั่นไฟและเครื่องทำความร้อนด้วยแก๊ส “ทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์อย่างแน่นอน หากสถานการณ์เลวร้ายอย่างที่เราคาดการณ์”
    .
    #Galushchenko รมว.พลังงาน กล่าว : สถานการณ์เชิงบวกคืออุณหภูมิในฤดูหนาวจะอยู่ระหว่าง 5-15 องศาเซลเซียส และไม่มีการโจมตีครั้งใหม่
    .
    .... เพื่อน ๆ คิดว่า จะมีติ่ง 🇺🇦 🇺🇸 🐾 โง่ ๆ ออกมาดิ้น คัดค้าน แซะ **การคาดการณ์** ทั้งของ รมว.พลังงาน และ สมาชิกคณะกรรมการด้านพลังงานฯรัฐสภายูเครน หรือเปล่า ครับ 😁😆🤣

    Noraseth Tuntasiri
    ❄️ ❄️ เรื่องนี้เป็นการประเมินถึงระบบพลังงานของยูเครนล่วงหน้า จากสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจริง หรือไม่จริงก็ได้ 🇺🇦 ☃️ ‘นายพล Winter’ เตรียมปล่อยความโกรธแค้นต่อยูเครน . จากการประมาณการต่างๆ พบว่า #ยูเครน สูญเสียกำลังการผลิตไฟฟ้าไปแล้ว 50-80% ซึ่งหมายความว่ายูเครนจะเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการเตรียมตัวรับมือกับฤดูหนาวที่จะมาถึง • German Galushchenko รมว.พลังงาน เมื่อ ส.ค. ได้ออกมาเตือนว่าฤดูหนาวปีนี้จะเป็นฤดูหนาวที่ยากลำบากที่สุด เนื่องจากอาจเกิดไฟฟ้าดับ ◉ สถานการณ์ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ ร้ายแรงที่สุดเมื่อปลายเดือน ส.ค. • ความเสียหายที่เกิดขึ้นส่งผลให้เซเลนสกี สั่งปลดจนท.ระดับสูงในภาคส่วนพลังงาน ได้แก่ สำนักงานประธานาธิบดียูเครน Rostislav Shurma ที่ปรึกษาสนง.ปธน. และ Vladimir Kudritskiy CEO ของ Ukrenergo ซึ่งเป็นผู้ประกอบการผลิตและจำหน่ายพลังงาน . ⚡⚡ วิกฤตการณ์ในภาคพลังงาน ⚡⚡ ⚡ ในปี 2565 ปริมาณการผลิตพลังงานภายในประเทศอยู่ที่ 55 กิกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นปริมาณการผลิตพลังงานที่สูงที่สุดในยุโรป ❗ • เมื่อต้นปี 67 ปริมาณการผลิตพลังงานลดลงต่ำกว่า 20 กิกะวัตต์ • ในเดือน ก.ค. 67 ปริมาณการผลิตพลังงานลดลงเหลือเพียง 9 กิกะวัตต์เท่านั้น😮 ตามรายงานของ Financial Times #กาลุชเชนโก รมว.พลังงาน ยังยอมรับว่า : ระดับการผลิตในปัจจุบันไม่เอื้อให้ประเทศสามารถอยู่รอดในช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็นได้อย่างสบายๆ . ◉ ปัจจุบันยูเครนกำลังดิ้นรนเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้แม้เพียงบางส่วน ประการแรก : ชดเชยการขาดดุลปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าที่นำเข้ามา แต่ความสามารถในการส่งออกไฟฟ้าจาก EU ไปยังยูเครนได้ถึงขีดจำกัดแล้ว • ขณะนี้กำลังมีการหารืออย่างต่อเนื่องกับมอลโดวา ส่งออกไฟฟ้าโดยแลกกับก๊าซธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม แผนนี้ดูเหมือนจะไม่มีประสิทธิภาพเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดไฟฟ้าดับเป็นเวลานาน ประการ 2 : เคียฟหวังพึ่งการสนับสนุนทางการเงินจากพันธมิตรตะวันตก • แอนนาเลนา แบร์บ็อค รมว.กต.เยอรมัน เพิ่งให้คำมั่นว่าจะให้ เงินเพิ่มเติมอีก 100 ล้านยูโร เพื่อช่วยฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน • อย่างไรก็ตาม เงินจำนวนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ ประการ 3 : Zelensky ประกาศแผนการสร้างโรงงานพลังงานใหม่ที่มีกำลังการผลิตรวม 1 กิกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้ • คูดริตสกี้ อดีต CEO ของ Ukrenergo ที่ถูกสกี้สั่งปลด😁 กล่าวว่า จนถึงตอนนี้มีการดำเนินการตามแผนเพียง 6% เท่านั้น ... ผมมีข้อมูลที่แตกต่างกัน อาจมีการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกหลายร้อยแห่งในช่วงสองถึงสามวันที่ผ่านมา แต่ตัวเลขจริง ๆ แล้วอยู่ที่ประมาณ 60 เมกะวัตต์ . ⚡⚡ ปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าในยูเครน : ไม่ได้เกิดจากการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานเพียงอย่างเดียว แต่การบำรุงรักษาตามกำหนด และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ทำงานผิดปกติ ก็มีส่วนทำให้เกิดวิกฤตเช่นกัน ▪ อินนา ซอฟซุน สมาชิกคณะกรรมการด้านพลังงานฯรัฐสภายูเครน เตือนว่า : การโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ยูซนูกรินสกายา Yuzhnoukrainskaya และ คเมลนิตสกายา Khmelnitskaya เมื่อไม่นานนี้ทำให้ยูเครนสูญเสียพลังงานไฟฟ้าไป 800 เมกะวัตต์ หรือประมาณ 6% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ◙ Vladimir Omelchenko : ผอ.โครงการพลังงานของศูนย์ Razumkov กล่าว : หากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ล้มเหลวเพียงเครื่องเดียว ก็อาจทำให้เกิดไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง ◙ Alexander Kharchenko : ผอ.ศูนย์วิจัยอุตสาหกรรมพลังงาน เตือนว่า : ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสถานีไฟฟ้าแรงสูงเพียงแห่งเดียวในช่วงฤดูหนาว อาจทำให้เกิดไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างทั่วประเทศ • “หากสถานีไฟฟ้าเพียงแห่งเดียวหยุดทำงานในช่วงที่อุณหภูมิติดลบ .... หรือ 2 สถานีในช่วงที่มีอากาศอบอุ่นในปัจจุบัน ก็จะประสบกับไฟฟ้าดับอย่างแน่นอน ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศอาจไม่มีไฟฟ้าใช้” • ชาวอูเครนอาจต้องประสบกับปัญหาไฟฟ้าดับนานถึง 8-10 ชั่วโมงต่อวัน แม้จะไม่มีการจู่โจมโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานครั้งใหญ่เกิดขึ้นก็ตาม เมืองใหญ่ๆ เช่น เคียฟ โอเดสซา และคาร์คิฟ มีแนวโน้มว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด . ⚡⚡ ผลที่ตามมาจากการถูกโจมตี ⚡⚡ ⚡ สถานการณ์ในยูเครนแย่ลงอย่างมาก หลังจากรัสเซียโจมตีเมื่อวันที่ 26 ส.ค. โดยขีปนาวุธ 127 ลูก และโดรน 99 ลำถูกยิงไปที่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ◉ #เซเลนสกี ในบทสัมภาษณ์กับ #CNN กล่าวว่า : กองกำลังการบินและอวกาศของรัสเซียได้สร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนถึง 80% โดยใช้อาวุธนำวิถีแม่นยำสูง • ตามการประมาณการล่าสุดของโรงเรียนเศรษฐศาสตร์เคียฟ ระบุว่า : ค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนจากเหตุระเบิดครั้งนี้สูงเกิน 56,000 ล้านดอลลาร์ . ◙ คุดริตสกี้ อดีต CEO ของ Ukrenergo กล่าวว่า : การเสริมกำลังสิ่งอำนวยความสะดวกด้านพลังงานหลักของประเทศจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 100,000 ล้านฮรีฟเนีย (2,400 ล้านดอลลาร์) แต่จนถึงขณะนี้ได้จัดสรรไปเพียง 10% ของจำนวนเงินดังกล่าวเท่านั้น ◙ แม็กซิม ชคิล CEO ของ Avtostrada กล่าวเพิ่มเติมว่า : รัฐบาลเป็นหนี้บริษัทก่อสร้างกว่า 8,700 ล้านฮรีฟเนีย สำหรับการสร้างโครงสร้างป้องกันประเทศ😁 ... “ผมพยายามติดต่อสื่อสารโดยตรงกับทางการ แต่เดนิส ชมิกัล นายกรัฐมนตรีปฏิเสธที่จะติดต่อ” ... เขากล่าว😆 ••••••••••••••••••••••••••••••••• ⚡ #ระบบพลังงาน ของยูเครนกำลังเผชิญกับการล่มสลายในช่วงฤดูหนาวนี้ ตามการคาดการณ์ในแง่ดีที่สุด • ภายในเดือนพฤศจิกายน ไฟฟ้าดับนานหลายชั่วโมงเป็นเรื่องปกติ • ภายในเดือนธันวาคม และมกราคม ไฟฟ้าดับยาวนาน • ไฟฟ้าดับเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตั้งแต่การหยุดชะงักของแหล่งจ่ายน้ำ ไปจนถึงการผลิตที่ลดลงในภาคส่วนต่างๆ ของเศรษฐกิจ . #ซอฟซุน สมาชิกคณะกรรมการด้านพลังงานฯ กล่าว : คาดว่าพื้นที่อยู่อาศัย จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากไฟฟ้าดับเหล่านี้ ◉ ดังนั้น ทางการจึงแนะนำให้ชาวอูเครนทั่วไป • จัดหาเครื่องปั่นไฟและเครื่องทำความร้อนด้วยแก๊ส “ทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์อย่างแน่นอน หากสถานการณ์เลวร้ายอย่างที่เราคาดการณ์” . #Galushchenko รมว.พลังงาน กล่าว : สถานการณ์เชิงบวกคืออุณหภูมิในฤดูหนาวจะอยู่ระหว่าง 5-15 องศาเซลเซียส และไม่มีการโจมตีครั้งใหม่ . .... เพื่อน ๆ คิดว่า จะมีติ่ง 🇺🇦 🇺🇸 🐾 โง่ ๆ ออกมาดิ้น คัดค้าน แซะ **การคาดการณ์** ทั้งของ รมว.พลังงาน และ สมาชิกคณะกรรมการด้านพลังงานฯรัฐสภายูเครน หรือเปล่า ครับ 😁😆🤣 Noraseth Tuntasiri
    0 Comments 0 Shares 198 Views 0 Reviews
  • หากมีปัญหาในการเปลี่ยนภาษาใน Google Chrome ดูคลิปนี้ https://youtu.be/2cnHTUQhRSE #googlechrome #เปลี่ยนภาษา #ninetechno #เทคนิคการใช้คอมพิวเตอร์
    หากมีปัญหาในการเปลี่ยนภาษาใน Google Chrome ดูคลิปนี้ https://youtu.be/2cnHTUQhRSE #googlechrome #เปลี่ยนภาษา #ninetechno #เทคนิคการใช้คอมพิวเตอร์
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • good morning "
    good morning "
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • รีวิว คนเดียวก็เที่ยวเชียงใหม่ได้ EP.7
    ♡สนุกมาก แม่กำปอง+น้ำพุร้อนสันกำแพง
    เที่ยวได้ทั้งวัน♡
    ●ค่ารถ 200×2=400 บาท
    ●ค่าเข้าน้ำพุร้อน 40 บาท
    ●ค่าแช่ บ่อน้ำพุร้อนส่วนตัว 65 บาท
    ●ค่าเช่าผ้าเช็ดตัว 20 บาท
    ☆รวมค่าใช้จ่ายทริปวันนี้ 525 บาท
    ●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●
    ☆ค่ารถตู้ไป+กลับ=200×2=400 บาท
    ☆ออกเดินทางไปแม่กำปองเวลา 07:40​ น. ถึง 9:00​ น.
    เดินเล่น กินข้าว จิบกาแฟเพลินๆ 4 ช.ม.
    ☆ออกจากแม่กำปองไปน้ำพุร้อนสันกำแพงเวลา 13:00​ น.
    ☆น้ำพุร้อนสันกำแพง
    053-037-101
    ☆เดินเล่นแช่น้ำพุร้อน 3 ช.ม.
    ☆รถตู้รับกลับเวลา 16:00​ น. ถึงเชียงใหม่ 17:00​ น.
    (จองก่อนล่วงหน้า)
    ☆Van Station Sankamphaeng รถตู้แม่กำปองน้ำพุร้อนสันกำแพง
    》》https://maps.app.goo.g...​
    ●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●
    》》คนเดียวก็เที่ยวเชียงใหม่ได้!《《
    ☆10 วัน 10 คืน
    ตาม มะนาวก้าวเดิน
    ไปเที่ยวด้วยกัน
    ●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●
    ☆รถตู้แม่กําปองน้ำพุร้อนสันกําแพง
    084-222-3478
    ☆เพจ
    》》
    https://www.facebook.c...​
    《《
    ●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●
    ■ชมวีดีโอทริปทุกEP.
    》》
     https://youtube.com/playlist?list=PLaMDzyFkQ3X3KxCmjDqkHmqco-BZhxalm&si=nAJdk3J6Mi6521Z   
    《《
    ●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●

    #คนเดียวก็เที่ยวเชียงใหม่ได้#มะนาวก้าวเดิน#เที่ยวเชียงใหม่10วัน10คืน#ทริปเชียงใหม่#คนเดียวก็เที่ยวได้#รถไฟ#รถตู้ดอยอินทนนท์#รถตู้แม่กําปองน้ำพุร้อนสันกําแพง#RusticRiverBoutique#กิ่วแม่ปาน#เส้นทางศึกษาธรรมชาติผาดอกเสี้ยว#ดอยอินทนนท์#น้ำตกผาดอกเสี้ยว#แม่กำปอง#น้ำพุร้อนสันกำแพง#ระเบียงวิว#น้ำตกแม่กำปอง#ไส้อั่วแม่นิ่มแม่กำปอง#บ้านน้อยกลอยใจ#รถตู้แม่กำปอง#รถตู้น้ำพุร้อนสันกำแพง​ ##thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    รีวิว คนเดียวก็เที่ยวเชียงใหม่ได้ EP.7 ♡สนุกมาก แม่กำปอง+น้ำพุร้อนสันกำแพง เที่ยวได้ทั้งวัน♡ ●ค่ารถ 200×2=400 บาท ●ค่าเข้าน้ำพุร้อน 40 บาท ●ค่าแช่ บ่อน้ำพุร้อนส่วนตัว 65 บาท ●ค่าเช่าผ้าเช็ดตัว 20 บาท ☆รวมค่าใช้จ่ายทริปวันนี้ 525 บาท ●●●●●●●●●●●●●●●●●●●● ☆ค่ารถตู้ไป+กลับ=200×2=400 บาท ☆ออกเดินทางไปแม่กำปองเวลา 07:40​ น. ถึง 9:00​ น. เดินเล่น กินข้าว จิบกาแฟเพลินๆ 4 ช.ม. ☆ออกจากแม่กำปองไปน้ำพุร้อนสันกำแพงเวลา 13:00​ น. ☆น้ำพุร้อนสันกำแพง 053-037-101 ☆เดินเล่นแช่น้ำพุร้อน 3 ช.ม. ☆รถตู้รับกลับเวลา 16:00​ น. ถึงเชียงใหม่ 17:00​ น. (จองก่อนล่วงหน้า) ☆Van Station Sankamphaeng รถตู้แม่กำปองน้ำพุร้อนสันกำแพง 》》https://maps.app.goo.g...​ ●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●● 》》คนเดียวก็เที่ยวเชียงใหม่ได้!《《 ☆10 วัน 10 คืน ตาม มะนาวก้าวเดิน ไปเที่ยวด้วยกัน ●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●● ☆รถตู้แม่กําปองน้ำพุร้อนสันกําแพง 084-222-3478 ☆เพจ 》》 https://www.facebook.c...​ 《《 ●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●● ■ชมวีดีโอทริปทุกEP. 》》  https://youtube.com/playlist?list=PLaMDzyFkQ3X3KxCmjDqkHmqco-BZhxalm&si=nAJdk3J6Mi6521Z    《《 ●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●● #คนเดียวก็เที่ยวเชียงใหม่ได้​ #มะนาวก้าวเดิน​ #เที่ยวเชียงใหม่10วัน10คืน​ #ทริปเชียงใหม่​ #คนเดียวก็เที่ยวได้​ #รถไฟ​ #รถตู้ดอยอินทนนท์​ #รถตู้แม่กําปองน้ำพุร้อนสันกําแพง​ #RusticRiverBoutique​ #กิ่วแม่ปาน​ #เส้นทางศึกษาธรรมชาติผาดอกเสี้ยว​ #ดอยอินทนนท์​ #น้ำตกผาดอกเสี้ยว​ #แม่กำปอง​ #น้ำพุร้อนสันกำแพง​ #ระเบียงวิว​ #น้ำตกแม่กำปอง​ #ไส้อั่วแม่นิ่มแม่กำปอง​ #บ้านน้อยกลอยใจ​ #รถตู้แม่กำปอง​ #รถตู้น้ำพุร้อนสันกำแพง​ ##thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    Like
    Love
    Haha
    4
    0 Comments 0 Shares 579 Views 163 0 Reviews
  • The 26th Thailand Open GO Tournament
    21-22 September 2024 : Pacific Park #Sriracha #chonburi
    #GO #maklom #หมากล้อม #fotogo #ThailandOpen #pacificparksriracha
    The 26th Thailand Open GO Tournament 21-22 September 2024 : Pacific Park #Sriracha #chonburi #GO #maklom #หมากล้อม #fotogo #ThailandOpen #pacificparksriracha
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • 📣💥แพทย์-จิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ เตือนครั้งสุดท้ายให้ สธ.ระงับฉีดวัคซีน mRNA 💉☠️ทุกชนิด หลังมีข้อมูลผลกระทบมากมาย😠
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000089378

    🚩📢 คำเตือนครั้งสุดท้ายถึงผู้มีอำนาจหน้าที่ในกระทรวงสาธารณสุข “ขอให้ระงับการฉีด mRNA ทุกชนิดทันที”

    วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๗
    https://www.facebook.com/share/p/h76NA8dbggEAMJ6d/?mibextid=A7sQZp

    เรียน ปลัดกระทรวง และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข
    สำเนาเรียน สื่อมวลชน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด

    ตามที่กระทรวงสาธารณสุขยังคงสนับสนุนให้มีการฉีด mRNA ที่บริษัทยาหลอกว่าเป็นวัคซีน ให้กับผู้บริโภคชาวไทยอยู่นั้น
    บัดนี้มีข้อมูลสนับสนุนมากมายวาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมิได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัย มีการปนเปื้อนยีนก่อมะเร็ง และก่อให้เกิดผลกระทบกับร่างกายของผู้ที่ได้รับยาฉีดดังกล่าวมากมาย จนมีการแนะนำไม่ให้ฉีดยาดังกล่าวให้กับทุกคน ในมลรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา
    ทั้งนี้มีการฟ้องร้องเอาผิดบริษัทยาที่ให้ข้อมูลเท็จโดยอัยการของมลรัฐแคนซัส ด้วย
    ทั้งนี้ปัจจุบัน การระบาดของโรคโควิด ได้ยุติลงแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติแล้ว เชื้อกลายพันธุ์จนหมดความรุนแรงแล้ว มีวิธีการรักษาโควิดที่มีประสิทธิภาพที่ป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้แล้ว ประกอบกับการที่มีข้อมูลชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมิสามารถป้องกันการแพร่เชื้อ มิสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ทั้งนี้ในการดำเนินการใดๆทางการแพทย์นั้น การยึดถือความปลอดภัยของผู้ป่วย (First Do No Harm) หรือ คำปฏิญาณของ “ฮิปโปเครติส” (Hippocratic Oath) ถือเป็นหลักการสำคัญของจรรยาบรรณทางการแพทย์ ที่แพทย์ทุกคนต้องปฏิบัติตาม นอกเหนือจากนั้น
    ท่านมีหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองประชาชนผู้บริโภคมิให้ได้รับผลกระทบจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ยา การระงับการฉีดผลิตภัณฑ์ mRNA ทุกตัวจึงเป็นสิ่งที่ท่านต้องกระทำโดยทันที มิเช่นนั้นท่านอาจเข้าข่ายการกระทำผิดละเลยการปฏิบัติหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ผู้อื่น อันเป็นความผิดอาญามีโทษถึงขั้นไล่ออกหรือให้ออกจากราชการได้ หลายท่านที่จะเกษียณราชการหรือโยกย้ายตำแหน่งในเวลาไม่นานนี้พึ่งระลึกไว้ว่า ผู้ที่มีหน้าที่รับตำแหน่งต่อจากท่านนั้น มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้เช่นกัน หากเขาไม่ดำเนินการตามเสนอย่อมมีความผิดเช่นกัน แต่การที่เขาดำเนินการนั้นจะทำให้ให้ท่านมีความผิดฐานประมาทเลินเล่อทันที

    ดังนั้นเพื่อปกป้องความปลอดภัยของประชาชนผู้บริโภค และปกป้องท่านเองมิให้กลายเป็นผู้กระทำความผิดจึงขอให้ท่านรีบดำเนินการ
    ⛔ “ขอให้ระงับการฉีด mRNA ทุกชนิดทันที”

    ทั้งนี้ได้ส่งเอกสารข้อมูลสนับสนุนเกี่ยวกับอันตรายและคำหลอกลวงของบริษัทยาข้างต้นมาพร้อมกับหนังสือฉบับนี้แล้ว

    กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์

    ลิงค์อ้างอิง
    คำปฏิญาณของ “ฮิปโปเครติส” (Hippocratic Oath)
    https://www.silpa-mag.com/history/article_71475
    เอกสารทั้งหมดที่ยื่นหน่วยงานต่างๆ
    https://drive.google.com/drive/folders/1xAV-r3WhU5mt1WvTp8DBZktDPRatYrna
    📣💥แพทย์-จิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ เตือนครั้งสุดท้ายให้ สธ.ระงับฉีดวัคซีน mRNA 💉☠️ทุกชนิด หลังมีข้อมูลผลกระทบมากมาย😠 https://mgronline.com/qol/detail/9670000089378 🚩📢 คำเตือนครั้งสุดท้ายถึงผู้มีอำนาจหน้าที่ในกระทรวงสาธารณสุข “ขอให้ระงับการฉีด mRNA ทุกชนิดทันที” วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๗ https://www.facebook.com/share/p/h76NA8dbggEAMJ6d/?mibextid=A7sQZp เรียน ปลัดกระทรวง และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข สำเนาเรียน สื่อมวลชน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ตามที่กระทรวงสาธารณสุขยังคงสนับสนุนให้มีการฉีด mRNA ที่บริษัทยาหลอกว่าเป็นวัคซีน ให้กับผู้บริโภคชาวไทยอยู่นั้น บัดนี้มีข้อมูลสนับสนุนมากมายวาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมิได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัย มีการปนเปื้อนยีนก่อมะเร็ง และก่อให้เกิดผลกระทบกับร่างกายของผู้ที่ได้รับยาฉีดดังกล่าวมากมาย จนมีการแนะนำไม่ให้ฉีดยาดังกล่าวให้กับทุกคน ในมลรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้มีการฟ้องร้องเอาผิดบริษัทยาที่ให้ข้อมูลเท็จโดยอัยการของมลรัฐแคนซัส ด้วย ทั้งนี้ปัจจุบัน การระบาดของโรคโควิด ได้ยุติลงแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติแล้ว เชื้อกลายพันธุ์จนหมดความรุนแรงแล้ว มีวิธีการรักษาโควิดที่มีประสิทธิภาพที่ป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้แล้ว ประกอบกับการที่มีข้อมูลชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมิสามารถป้องกันการแพร่เชื้อ มิสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ทั้งนี้ในการดำเนินการใดๆทางการแพทย์นั้น การยึดถือความปลอดภัยของผู้ป่วย (First Do No Harm) หรือ คำปฏิญาณของ “ฮิปโปเครติส” (Hippocratic Oath) ถือเป็นหลักการสำคัญของจรรยาบรรณทางการแพทย์ ที่แพทย์ทุกคนต้องปฏิบัติตาม นอกเหนือจากนั้น ท่านมีหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองประชาชนผู้บริโภคมิให้ได้รับผลกระทบจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ยา การระงับการฉีดผลิตภัณฑ์ mRNA ทุกตัวจึงเป็นสิ่งที่ท่านต้องกระทำโดยทันที มิเช่นนั้นท่านอาจเข้าข่ายการกระทำผิดละเลยการปฏิบัติหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ผู้อื่น อันเป็นความผิดอาญามีโทษถึงขั้นไล่ออกหรือให้ออกจากราชการได้ หลายท่านที่จะเกษียณราชการหรือโยกย้ายตำแหน่งในเวลาไม่นานนี้พึ่งระลึกไว้ว่า ผู้ที่มีหน้าที่รับตำแหน่งต่อจากท่านนั้น มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้เช่นกัน หากเขาไม่ดำเนินการตามเสนอย่อมมีความผิดเช่นกัน แต่การที่เขาดำเนินการนั้นจะทำให้ให้ท่านมีความผิดฐานประมาทเลินเล่อทันที ดังนั้นเพื่อปกป้องความปลอดภัยของประชาชนผู้บริโภค และปกป้องท่านเองมิให้กลายเป็นผู้กระทำความผิดจึงขอให้ท่านรีบดำเนินการ ⛔ “ขอให้ระงับการฉีด mRNA ทุกชนิดทันที” ทั้งนี้ได้ส่งเอกสารข้อมูลสนับสนุนเกี่ยวกับอันตรายและคำหลอกลวงของบริษัทยาข้างต้นมาพร้อมกับหนังสือฉบับนี้แล้ว กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ลิงค์อ้างอิง คำปฏิญาณของ “ฮิปโปเครติส” (Hippocratic Oath) https://www.silpa-mag.com/history/article_71475 เอกสารทั้งหมดที่ยื่นหน่วยงานต่างๆ https://drive.google.com/drive/folders/1xAV-r3WhU5mt1WvTp8DBZktDPRatYrna
    MGRONLINE.COM
    แพทย์-จิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ เตือนครั้งสุดท้ายให้ สธ.ระงับฉีดวัคซีน mRNA ทุกชนิด หลังมีข้อมูลผลกระทบมากกมาย
    กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ทำจดหมายเปิดผนึกถึงปลัดกระทรวง และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข เตือนครั้งสุดท้ายให้ระงับการฉีดวัคซีน mRNA ทุกชนิด เพราะขณะนี้มีข้อมูลสนับสนุนมากมายว่าวัคซีนชนิดนี้ไม่ผ่านการทดสอบความ
    Like
    15
    0 Comments 1 Shares 588 Views 0 Reviews
  • CPF ASIA AMATEUR GO CHAMPIONSHIP 2024
    25 August 2024 : ICONSIAM, Bangkok
    #GO #maklom #happygenius #fotogo #CPF #ICONSIAM #iconsiambangkok
    CPF ASIA AMATEUR GO CHAMPIONSHIP 2024 25 August 2024 : ICONSIAM, Bangkok #GO #maklom #happygenius #fotogo #CPF #ICONSIAM #iconsiambangkok
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • ใครที่อยากกินอาหารทะเลสดๆ เต็มปากเต็มคำ และไม่ต้องรอไปถึงริมทะเลแล้วล่ะก็ วันนี้เราชวนมาชิมร้านอร่อย ตี๋ โภชนา ราชปรารภ อาหารทะเลสด ที่อยู่คู่วงการอาหารทะเลบ้านเรามายาวนานถึง 40 กว่าปี ตั้งแต่ปี 2511 จนถึงทุกวันนี้ค่ะ แถมรสชาติ และความสดใหม่ยังคงความดั้งเดิมไว้เป๊ะ ยกทะเลมาไว้ถึงกลางกรุงทีเดียว สายซีฟู้ดห้ามพลาด

    พิกัด : https://goo.gl/maps/PKpZp511Xs7gpFqv5
    ที่อยู่ : 78/12-16 ถนนราชปรารภ แขวงมักกะสัน กรุงเทพมหานคร
    ร้านเปิดบริการ : 10.30 - 23.00 น.
    โทร : 06-1919-3625

    #อาหารทะเล #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    ใครที่อยากกินอาหารทะเลสดๆ เต็มปากเต็มคำ และไม่ต้องรอไปถึงริมทะเลแล้วล่ะก็ วันนี้เราชวนมาชิมร้านอร่อย ตี๋ โภชนา ราชปรารภ อาหารทะเลสด ที่อยู่คู่วงการอาหารทะเลบ้านเรามายาวนานถึง 40 กว่าปี ตั้งแต่ปี 2511 จนถึงทุกวันนี้ค่ะ แถมรสชาติ และความสดใหม่ยังคงความดั้งเดิมไว้เป๊ะ ยกทะเลมาไว้ถึงกลางกรุงทีเดียว สายซีฟู้ดห้ามพลาด พิกัด : https://goo.gl/maps/PKpZp511Xs7gpFqv5 ที่อยู่ : 78/12-16 ถนนราชปรารภ แขวงมักกะสัน กรุงเทพมหานคร ร้านเปิดบริการ : 10.30 - 23.00 น. โทร : 06-1919-3625 #อาหารทะเล #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 443 Views 0 Reviews
  • ถ้าพูดถึงเรื่องทะเล ก็ต้องยกให้ร้านนี่เลย สนั่นอาหารทะเลยอดอร่อย เพราะปูทะเลของที่นี่เขาเนื้อแน่นเต็มคำ ยิ่งถ้าจิ้มน้ำจิ้มรสเด็ด ที่เฮียการันตีความอร่อย ก็ยิ่งเพิ่มความฟินแบบสุดๆ นอกจากปูเนื้อเน้นๆ เฮียเขาก็ยังมีเมนูอาหารทะเลอื่นๆ ทั้งหอยชักตีนลวก หอยหวาน กุ้งเผา และอีกสารพัดเมนูเอาใจคนชอบอาหารทะเลโดยเฉพาะอีกด้วย

    พิกัด : https://goo.gl/maps/8N54oH9qRnTVn6mw6
    ที่อยู่ : 101 ถนน กำแพงเพชร แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
    ร้านเปิดบริการ : 10.30 - 21.00 น.
    โทร : 0-2279-1924

    #อาหารทะเล #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    ถ้าพูดถึงเรื่องทะเล ก็ต้องยกให้ร้านนี่เลย สนั่นอาหารทะเลยอดอร่อย เพราะปูทะเลของที่นี่เขาเนื้อแน่นเต็มคำ ยิ่งถ้าจิ้มน้ำจิ้มรสเด็ด ที่เฮียการันตีความอร่อย ก็ยิ่งเพิ่มความฟินแบบสุดๆ นอกจากปูเนื้อเน้นๆ เฮียเขาก็ยังมีเมนูอาหารทะเลอื่นๆ ทั้งหอยชักตีนลวก หอยหวาน กุ้งเผา และอีกสารพัดเมนูเอาใจคนชอบอาหารทะเลโดยเฉพาะอีกด้วย พิกัด : https://goo.gl/maps/8N54oH9qRnTVn6mw6 ที่อยู่ : 101 ถนน กำแพงเพชร แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ร้านเปิดบริการ : 10.30 - 21.00 น. โทร : 0-2279-1924 #อาหารทะเล #กินสาระนัวร์ #Thaitimes
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 465 Views 0 Reviews
  • 📣💥แพทย์-จิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ เตือนครั้งสุดท้ายให้ สธ.ระงับฉีดวัคซีน mRNA 💉☠️ทุกชนิด หลังมีข้อมูลผลกระทบมากมาย😠
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000089378

    🚩📢 คำเตือนครั้งสุดท้ายถึงผู้มีอำนาจหน้าที่ในกระทรวงสาธารณสุข “ขอให้ระงับการฉีด mRNA ทุกชนิดทันที”

    วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๗
    https://www.facebook.com/share/p/h76NA8dbggEAMJ6d/?mibextid=A7sQZp

    เรียน ปลัดกระทรวง และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข
    สำเนาเรียน สื่อมวลชน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด

    ตามที่กระทรวงสาธารณสุขยังคงสนับสนุนให้มีการฉีด mRNA ที่บริษัทยาหลอกว่าเป็นวัคซีน ให้กับผู้บริโภคชาวไทยอยู่นั้น
    บัดนี้มีข้อมูลสนับสนุนมากมายวาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมิได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัย มีการปนเปื้อนยีนก่อมะเร็ง และก่อให้เกิดผลกระทบกับร่างกายของผู้ที่ได้รับยาฉีดดังกล่าวมากมาย จนมีการแนะนำไม่ให้ฉีดยาดังกล่าวให้กับทุกคน ในมลรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา
    ทั้งนี้มีการฟ้องร้องเอาผิดบริษัทยาที่ให้ข้อมูลเท็จโดยอัยการของมลรัฐแคนซัส ด้วย
    ทั้งนี้ปัจจุบัน การระบาดของโรคโควิด ได้ยุติลงแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติแล้ว เชื้อกลายพันธุ์จนหมดความรุนแรงแล้ว มีวิธีการรักษาโควิดที่มีประสิทธิภาพที่ป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้แล้ว ประกอบกับการที่มีข้อมูลชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมิสามารถป้องกันการแพร่เชื้อ มิสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ทั้งนี้ในการดำเนินการใดๆทางการแพทย์นั้น การยึดถือความปลอดภัยของผู้ป่วย (First Do No Harm) หรือ คำปฏิญาณของ “ฮิปโปเครติส” (Hippocratic Oath) ถือเป็นหลักการสำคัญของจรรยาบรรณทางการแพทย์ ที่แพทย์ทุกคนต้องปฏิบัติตาม นอกเหนือจากนั้น
    ท่านมีหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองประชาชนผู้บริโภคมิให้ได้รับผลกระทบจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ยา การระงับการฉีดผลิตภัณฑ์ mRNA ทุกตัวจึงเป็นสิ่งที่ท่านต้องกระทำโดยทันที มิเช่นนั้นท่านอาจเข้าข่ายการกระทำผิดละเลยการปฏิบัติหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ผู้อื่น อันเป็นความผิดอาญามีโทษถึงขั้นไล่ออกหรือให้ออกจากราชการได้ หลายท่านที่จะเกษียณราชการหรือโยกย้ายตำแหน่งในเวลาไม่นานนี้พึ่งระลึกไว้ว่า ผู้ที่มีหน้าที่รับตำแหน่งต่อจากท่านนั้น มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้เช่นกัน หากเขาไม่ดำเนินการตามเสนอย่อมมีความผิดเช่นกัน แต่การที่เขาดำเนินการนั้นจะทำให้ให้ท่านมีความผิดฐานประมาทเลินเล่อทันที

    ดังนั้นเพื่อปกป้องความปลอดภัยของประชาชนผู้บริโภค และปกป้องท่านเองมิให้กลายเป็นผู้กระทำความผิดจึงขอให้ท่านรีบดำเนินการ
    ⛔ “ขอให้ระงับการฉีด mRNA ทุกชนิดทันที”

    ทั้งนี้ได้ส่งเอกสารข้อมูลสนับสนุนเกี่ยวกับอันตรายและคำหลอกลวงของบริษัทยาข้างต้นมาพร้อมกับหนังสือฉบับนี้แล้ว

    กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์

    ลิงค์อ้างอิง
    คำปฏิญาณของ “ฮิปโปเครติส” (Hippocratic Oath)
    https://www.silpa-mag.com/history/article_71475
    เอกสารทั้งหมดที่ยื่นหน่วยงานต่างๆ
    https://drive.google.com/drive/folders/1xAV-r3WhU5mt1WvTp8DBZktDPRatYrna
    📣💥แพทย์-จิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ เตือนครั้งสุดท้ายให้ สธ.ระงับฉีดวัคซีน mRNA 💉☠️ทุกชนิด หลังมีข้อมูลผลกระทบมากมาย😠 https://mgronline.com/qol/detail/9670000089378 🚩📢 คำเตือนครั้งสุดท้ายถึงผู้มีอำนาจหน้าที่ในกระทรวงสาธารณสุข “ขอให้ระงับการฉีด mRNA ทุกชนิดทันที” วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๗ https://www.facebook.com/share/p/h76NA8dbggEAMJ6d/?mibextid=A7sQZp เรียน ปลัดกระทรวง และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข สำเนาเรียน สื่อมวลชน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ตามที่กระทรวงสาธารณสุขยังคงสนับสนุนให้มีการฉีด mRNA ที่บริษัทยาหลอกว่าเป็นวัคซีน ให้กับผู้บริโภคชาวไทยอยู่นั้น บัดนี้มีข้อมูลสนับสนุนมากมายวาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมิได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัย มีการปนเปื้อนยีนก่อมะเร็ง และก่อให้เกิดผลกระทบกับร่างกายของผู้ที่ได้รับยาฉีดดังกล่าวมากมาย จนมีการแนะนำไม่ให้ฉีดยาดังกล่าวให้กับทุกคน ในมลรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้มีการฟ้องร้องเอาผิดบริษัทยาที่ให้ข้อมูลเท็จโดยอัยการของมลรัฐแคนซัส ด้วย ทั้งนี้ปัจจุบัน การระบาดของโรคโควิด ได้ยุติลงแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติแล้ว เชื้อกลายพันธุ์จนหมดความรุนแรงแล้ว มีวิธีการรักษาโควิดที่มีประสิทธิภาพที่ป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้แล้ว ประกอบกับการที่มีข้อมูลชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมิสามารถป้องกันการแพร่เชื้อ มิสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ทั้งนี้ในการดำเนินการใดๆทางการแพทย์นั้น การยึดถือความปลอดภัยของผู้ป่วย (First Do No Harm) หรือ คำปฏิญาณของ “ฮิปโปเครติส” (Hippocratic Oath) ถือเป็นหลักการสำคัญของจรรยาบรรณทางการแพทย์ ที่แพทย์ทุกคนต้องปฏิบัติตาม นอกเหนือจากนั้น ท่านมีหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองประชาชนผู้บริโภคมิให้ได้รับผลกระทบจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ยา การระงับการฉีดผลิตภัณฑ์ mRNA ทุกตัวจึงเป็นสิ่งที่ท่านต้องกระทำโดยทันที มิเช่นนั้นท่านอาจเข้าข่ายการกระทำผิดละเลยการปฏิบัติหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ผู้อื่น อันเป็นความผิดอาญามีโทษถึงขั้นไล่ออกหรือให้ออกจากราชการได้ หลายท่านที่จะเกษียณราชการหรือโยกย้ายตำแหน่งในเวลาไม่นานนี้พึ่งระลึกไว้ว่า ผู้ที่มีหน้าที่รับตำแหน่งต่อจากท่านนั้น มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้เช่นกัน หากเขาไม่ดำเนินการตามเสนอย่อมมีความผิดเช่นกัน แต่การที่เขาดำเนินการนั้นจะทำให้ให้ท่านมีความผิดฐานประมาทเลินเล่อทันที ดังนั้นเพื่อปกป้องความปลอดภัยของประชาชนผู้บริโภค และปกป้องท่านเองมิให้กลายเป็นผู้กระทำความผิดจึงขอให้ท่านรีบดำเนินการ ⛔ “ขอให้ระงับการฉีด mRNA ทุกชนิดทันที” ทั้งนี้ได้ส่งเอกสารข้อมูลสนับสนุนเกี่ยวกับอันตรายและคำหลอกลวงของบริษัทยาข้างต้นมาพร้อมกับหนังสือฉบับนี้แล้ว กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ลิงค์อ้างอิง คำปฏิญาณของ “ฮิปโปเครติส” (Hippocratic Oath) https://www.silpa-mag.com/history/article_71475 เอกสารทั้งหมดที่ยื่นหน่วยงานต่างๆ https://drive.google.com/drive/folders/1xAV-r3WhU5mt1WvTp8DBZktDPRatYrna
    MGRONLINE.COM
    แพทย์-จิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ เตือนครั้งสุดท้ายให้ สธ.ระงับฉีดวัคซีน mRNA ทุกชนิด หลังมีข้อมูลผลกระทบมากกมาย
    กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ทำจดหมายเปิดผนึกถึงปลัดกระทรวง และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข เตือนครั้งสุดท้ายให้ระงับการฉีดวัคซีน mRNA ทุกชนิด เพราะขณะนี้มีข้อมูลสนับสนุนมากมายว่าวัคซีนชนิดนี้ไม่ผ่านการทดสอบความ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 244 Views 0 Reviews
  • Logo ของกลุ่ม Wine Academy BKK
    Logo ของกลุ่ม Wine Academy BKK
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews