• “เงามืดแห่งข้อมูล” — เมื่อการปิดหน่วยงานรัฐในสหรัฐฯ สร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วโลก

    การปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ในประเทศ แต่ยังสร้าง “เงามืดแห่งข้อมูล” ที่แผ่ขยายไปทั่วโลก โดยเฉพาะต่อประเทศที่ต้องพึ่งพาข้อมูลเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ เพื่อกำหนดนโยบายของตนเอง เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ และกลุ่มประเทศในยุโรป

    ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นกล่าวว่า “นี่เป็นปัญหาร้ายแรง” เพราะการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยต้องอิงจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แม่นยำ ขณะที่เจ้าหน้าที่บางคนถึงกับประชดว่า “เฟดบอกว่าขึ้นอยู่กับข้อมูล แต่ไม่มีข้อมูลให้พึ่งพาเลย”

    การปิดหน่วยงานยังเกิดขึ้นในช่วงที่โลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากสงครามในยุโรป ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้การขาดข้อมูลจากเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการตัดสินใจผิดพลาด

    แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะยังสามารถให้ข้อมูลบางส่วนได้ เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากการปิดหน่วยงาน และมีข้อมูลจากภาคเอกชนเป็นทางเลือก แต่ก็ไม่สามารถทดแทนข้อมูลจากหน่วยงานรัฐได้อย่างสมบูรณ์

    ข้อมูลในข่าว
    การปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจหยุดเผยแพร่
    ประเทศต่าง ๆ เช่น ญี่ปุ่นและอังกฤษได้รับผลกระทบในการวิเคราะห์เศรษฐกิจ
    ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังสามารถให้ข้อมูลบางส่วนได้ เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากการปิดหน่วยงาน
    IMF เตือนว่าการแทรกแซงทางการเมืองอาจทำลายความเชื่อมั่นในข้อมูล
    ข้อมูลจากภาคเอกชนถูกนำมาใช้แทน แต่ยังไม่สมบูรณ์
    การประชุม IMF และ World Bank เน้นถกเรื่องผลกระทบจากการขาดข้อมูลของสหรัฐฯ
    การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ ยังส่งผลต่อการจัดการเงินสำรองและค่าเงินทั่วโลก

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การขาดข้อมูลจากสหรัฐฯ อาจนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดในระดับโลก
    ความพยายามแทรกแซงหน่วยงานเศรษฐกิจโดยฝ่ายการเมือง อาจลดความน่าเชื่อถือของข้อมูล
    ตลาดและผู้กำหนดนโยบายอาจประเมินสถานการณ์ผิดพลาด หากข้อมูลไม่ครบถ้วน
    ความไม่แน่นอนนี้อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินและการลงทุนทั่วโลก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/15/data-darkness-in-us-spreads-a-global-shadow
    🌐 “เงามืดแห่งข้อมูล” — เมื่อการปิดหน่วยงานรัฐในสหรัฐฯ สร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วโลก การปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ในประเทศ แต่ยังสร้าง “เงามืดแห่งข้อมูล” ที่แผ่ขยายไปทั่วโลก โดยเฉพาะต่อประเทศที่ต้องพึ่งพาข้อมูลเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ เพื่อกำหนดนโยบายของตนเอง เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ และกลุ่มประเทศในยุโรป ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นกล่าวว่า “นี่เป็นปัญหาร้ายแรง” เพราะการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยต้องอิงจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แม่นยำ ขณะที่เจ้าหน้าที่บางคนถึงกับประชดว่า “เฟดบอกว่าขึ้นอยู่กับข้อมูล แต่ไม่มีข้อมูลให้พึ่งพาเลย” การปิดหน่วยงานยังเกิดขึ้นในช่วงที่โลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากสงครามในยุโรป ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้การขาดข้อมูลจากเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการตัดสินใจผิดพลาด แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะยังสามารถให้ข้อมูลบางส่วนได้ เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากการปิดหน่วยงาน และมีข้อมูลจากภาคเอกชนเป็นทางเลือก แต่ก็ไม่สามารถทดแทนข้อมูลจากหน่วยงานรัฐได้อย่างสมบูรณ์ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ การปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจหยุดเผยแพร่ ➡️ ประเทศต่าง ๆ เช่น ญี่ปุ่นและอังกฤษได้รับผลกระทบในการวิเคราะห์เศรษฐกิจ ➡️ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังสามารถให้ข้อมูลบางส่วนได้ เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากการปิดหน่วยงาน ➡️ IMF เตือนว่าการแทรกแซงทางการเมืองอาจทำลายความเชื่อมั่นในข้อมูล ➡️ ข้อมูลจากภาคเอกชนถูกนำมาใช้แทน แต่ยังไม่สมบูรณ์ ➡️ การประชุม IMF และ World Bank เน้นถกเรื่องผลกระทบจากการขาดข้อมูลของสหรัฐฯ ➡️ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ ยังส่งผลต่อการจัดการเงินสำรองและค่าเงินทั่วโลก ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การขาดข้อมูลจากสหรัฐฯ อาจนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดในระดับโลก ⛔ ความพยายามแทรกแซงหน่วยงานเศรษฐกิจโดยฝ่ายการเมือง อาจลดความน่าเชื่อถือของข้อมูล ⛔ ตลาดและผู้กำหนดนโยบายอาจประเมินสถานการณ์ผิดพลาด หากข้อมูลไม่ครบถ้วน ⛔ ความไม่แน่นอนนี้อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินและการลงทุนทั่วโลก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/15/data-darkness-in-us-spreads-a-global-shadow
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Data darkness in US spreads a global shadow
    TOKYO/WASHINGTON (Reuters) -The U.S. government shutdown that has turned off the official flow of data could begin clouding the view for policymakers in Japan and other countries where insight into the fortunes of the world's biggest economy informs the outlook for their own currencies, trade performance and inflation.
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • “Linux Kernel 6.16 สิ้นสุดการสนับสนุน — ถึงเวลาย้ายไป 6.17 พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ!”

    หลังจากเปิดตัวเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2025 Linux Kernel 6.16 ก็เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดของการสนับสนุนอย่างเป็นทางการแล้ว โดย Greg Kroah-Hartman นักพัฒนาเคอร์เนลชื่อดังได้ประกาศว่าเวอร์ชัน 6.16.12 จะเป็นรุ่นสุดท้ายของสายนี้ และแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเกรดไปยัง Linux Kernel 6.17 ทันที

    แม้ว่า Linux 6.16 จะมีฟีเจอร์น่าสนใจ เช่น การรองรับ Intel Trusted Domain Extensions, Intel APX, USB offload สำหรับอุปกรณ์เสียง และการส่ง coredumps ผ่าน AF_UNIX socket แต่เนื่องจากไม่ใช่เวอร์ชัน LTS (Long-Term Support) จึงมีอายุการใช้งานสั้น และไม่เหมาะกับการใช้งานระยะยาว

    Linux Kernel 6.17 ซึ่งเปิดตัวเมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่มากมาย เช่น การรองรับ ARM BRBE, AMD HFI, Intel Wildcat Lake และ Bartlett Lake-S รวมถึงการรองรับ HEVC และ VP9 บน Qualcomm Iris decoder ผ่าน Video4Linux (V4L2) ซึ่งถือเป็นการพัฒนาเชิงมัลติมีเดียที่สำคัญ

    เวอร์ชัน 6.17 ได้รับการบรรจุในดิสโทรยอดนิยมหลายตัว เช่น openSUSE Tumbleweed, Arch Linux, Ubuntu 25.10 และ Fedora Linux 43 ที่กำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ที่ต้องการเสถียรภาพระยะยาวควรพิจารณาใช้เวอร์ชัน LTS เช่น 6.12, 6.6 หรือ 6.1 แทน

    การสิ้นสุดของ Linux Kernel 6.16
    เวอร์ชัน 6.16.12 เป็นรุ่นสุดท้ายของสายนี้
    ไม่ใช่เวอร์ชัน LTS จึงมีอายุการสนับสนุนสั้น
    ผู้ใช้ควรอัปเกรดไปยังเวอร์ชัน 6.17

    ฟีเจอร์เด่นของ Linux 6.16
    รองรับ Intel Trusted Domain Extensions และ Intel APX
    USB offload สำหรับอุปกรณ์เสียง
    ส่ง coredumps ผ่าน AF_UNIX socket
    นโยบายจัดสรรหน่วยความจำแบบ auto-tuning weighted interleaved

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Linux Kernel 6.17
    รองรับ ARM BRBE และ AMD HFI
    รองรับ Intel Wildcat Lake และ Bartlett Lake-S
    รองรับ HEVC และ VP9 บน Qualcomm Iris decoder ผ่าน V4L2

    การรองรับในดิสโทรต่างๆ
    มีใน openSUSE Tumbleweed, Arch Linux, CatchyOS
    เป็นค่าเริ่มต้นใน Ubuntu 25.10 และ Fedora Linux 43

    ทางเลือกสำหรับผู้ต้องการ LTS
    Linux 6.12 LTS เป็นค่าเริ่มต้นใน Debian 13 “Trixie”
    Linux 6.6 LTS และ 6.1 LTS ยังได้รับการสนับสนุนต่อเนื่อง

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    Linux 6.16 ไม่มีการอัปเดตอีกต่อไป อาจเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    Linux 6.17 เป็นสายสั้นเช่นกัน ไม่เหมาะกับระบบที่ต้องการเสถียรภาพระยะยาว
    การอัปเกรดเคอร์เนลต้องตรวจสอบความเข้ากันได้กับไดรเวอร์และแอปพลิเคชัน
    ผู้ใช้ที่ใช้ดิสโทรแบบคงที่ (non-rolling) อาจต้องรอการอัปเดตจากผู้ดูแลแพ็กเกจ

    https://9to5linux.com/linux-kernel-6-16-reaches-end-of-life-its-time-to-upgrade-to-linux-kernel-6-17
    ©️ “Linux Kernel 6.16 สิ้นสุดการสนับสนุน — ถึงเวลาย้ายไป 6.17 พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ!” หลังจากเปิดตัวเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2025 Linux Kernel 6.16 ก็เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดของการสนับสนุนอย่างเป็นทางการแล้ว โดย Greg Kroah-Hartman นักพัฒนาเคอร์เนลชื่อดังได้ประกาศว่าเวอร์ชัน 6.16.12 จะเป็นรุ่นสุดท้ายของสายนี้ และแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเกรดไปยัง Linux Kernel 6.17 ทันที แม้ว่า Linux 6.16 จะมีฟีเจอร์น่าสนใจ เช่น การรองรับ Intel Trusted Domain Extensions, Intel APX, USB offload สำหรับอุปกรณ์เสียง และการส่ง coredumps ผ่าน AF_UNIX socket แต่เนื่องจากไม่ใช่เวอร์ชัน LTS (Long-Term Support) จึงมีอายุการใช้งานสั้น และไม่เหมาะกับการใช้งานระยะยาว Linux Kernel 6.17 ซึ่งเปิดตัวเมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่มากมาย เช่น การรองรับ ARM BRBE, AMD HFI, Intel Wildcat Lake และ Bartlett Lake-S รวมถึงการรองรับ HEVC และ VP9 บน Qualcomm Iris decoder ผ่าน Video4Linux (V4L2) ซึ่งถือเป็นการพัฒนาเชิงมัลติมีเดียที่สำคัญ เวอร์ชัน 6.17 ได้รับการบรรจุในดิสโทรยอดนิยมหลายตัว เช่น openSUSE Tumbleweed, Arch Linux, Ubuntu 25.10 และ Fedora Linux 43 ที่กำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ที่ต้องการเสถียรภาพระยะยาวควรพิจารณาใช้เวอร์ชัน LTS เช่น 6.12, 6.6 หรือ 6.1 แทน ✅ การสิ้นสุดของ Linux Kernel 6.16 ➡️ เวอร์ชัน 6.16.12 เป็นรุ่นสุดท้ายของสายนี้ ➡️ ไม่ใช่เวอร์ชัน LTS จึงมีอายุการสนับสนุนสั้น ➡️ ผู้ใช้ควรอัปเกรดไปยังเวอร์ชัน 6.17 ✅ ฟีเจอร์เด่นของ Linux 6.16 ➡️ รองรับ Intel Trusted Domain Extensions และ Intel APX ➡️ USB offload สำหรับอุปกรณ์เสียง ➡️ ส่ง coredumps ผ่าน AF_UNIX socket ➡️ นโยบายจัดสรรหน่วยความจำแบบ auto-tuning weighted interleaved ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Linux Kernel 6.17 ➡️ รองรับ ARM BRBE และ AMD HFI ➡️ รองรับ Intel Wildcat Lake และ Bartlett Lake-S ➡️ รองรับ HEVC และ VP9 บน Qualcomm Iris decoder ผ่าน V4L2 ✅ การรองรับในดิสโทรต่างๆ ➡️ มีใน openSUSE Tumbleweed, Arch Linux, CatchyOS ➡️ เป็นค่าเริ่มต้นใน Ubuntu 25.10 และ Fedora Linux 43 ✅ ทางเลือกสำหรับผู้ต้องการ LTS ➡️ Linux 6.12 LTS เป็นค่าเริ่มต้นใน Debian 13 “Trixie” ➡️ Linux 6.6 LTS และ 6.1 LTS ยังได้รับการสนับสนุนต่อเนื่อง ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ Linux 6.16 ไม่มีการอัปเดตอีกต่อไป อาจเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ Linux 6.17 เป็นสายสั้นเช่นกัน ไม่เหมาะกับระบบที่ต้องการเสถียรภาพระยะยาว ⛔ การอัปเกรดเคอร์เนลต้องตรวจสอบความเข้ากันได้กับไดรเวอร์และแอปพลิเคชัน ⛔ ผู้ใช้ที่ใช้ดิสโทรแบบคงที่ (non-rolling) อาจต้องรอการอัปเดตจากผู้ดูแลแพ็กเกจ https://9to5linux.com/linux-kernel-6-16-reaches-end-of-life-its-time-to-upgrade-to-linux-kernel-6-17
    9TO5LINUX.COM
    Linux Kernel 6.16 Reaches End of Life, It’s Time to Upgrade to Linux Kernel 6.17 - 9to5Linux
    Linux kernel 6.16 reached end of life and all users are now recommended to upgrade to the Linux 6.17 kernel series as soon as possible.
    0 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: Ubuntu 25.10 เจอปัญหาใหญ่! Flatpak ติดตั้งไม่ได้ – Canonical เร่งปล่อยแพตช์แก้ไข

    หลังจาก Ubuntu 25.10 “Questing Quokka” เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่มากมาย เช่น Linux Kernel 6.17 และ GNOME 49 ก็ดูเหมือนว่าผู้ใช้จะได้เจอกับปัญหาใหญ่ที่ไม่คาดคิด นั่นคือ Flatpak ซึ่งเป็นระบบจัดการแพ็กเกจยอดนิยม กลับไม่สามารถติดตั้งแอปได้เลยในเวอร์ชันนี้!

    เรื่องเริ่มต้นจากผู้ใช้ที่อัปเกรดมาใช้ Ubuntu 25.10 แล้วพบว่าไม่สามารถติดตั้งแอปจาก Flathub ได้ โดยระบบแจ้งข้อผิดพลาดว่า “Could not unmount revokefs-fuse filesystem” และ “Child process exited with code 1” ซึ่งทำให้การติดตั้ง Flatpak ล้มเหลวทั้งหมด

    สาเหตุของปัญหานี้มาจาก AppArmor ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยของ Ubuntu โดยโปรไฟล์ของ fusermount3 ที่ Flatpak ใช้ในการ mount/unmount ไฟล์ระบบนั้น ถูกจำกัดสิทธิ์ไม่ให้เข้าถึงไฟล์สำคัญอย่าง /run/mount/utab และไฟล์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้กระบวนการติดตั้งไม่สามารถดำเนินการได้

    แม้ว่าจะมีวิธีแก้ชั่วคราวคือการปิดโปรไฟล์ AppArmor สำหรับ fusermount3 แต่ก็ไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยนัก และยังไม่ได้ผลในทุกกรณี ทาง Canonical จึงเร่งออกแพตช์แก้ไข ซึ่งล่าสุดได้ปล่อยออกมาแล้ว

    นอกจากข่าวนี้ ยังมีข้อมูลเสริมที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Flatpak:

    Flatpak เป็นระบบจัดการแพ็กเกจที่เน้นความปลอดภัย โดยแอปจะทำงานใน sandbox แยกจากระบบหลัก
    ได้รับความนิยมในหลายดิสโทร เช่น Fedora, Linux Mint และมีแหล่งรวมแอปชื่อ Flathub
    การทำงานของ Flatpak พึ่งพา fusermount3 ในการจัดการไฟล์ระบบ ซึ่งหากถูกจำกัดสิทธิ์โดย AppArmor ก็จะทำให้การติดตั้งล้มเหลว

    Ubuntu 25.10 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่
    ใช้ Linux Kernel 6.17 และ GNOME 49
    มีการปรับปรุงแอปเริ่มต้นและระบบเบื้องหลังหลายจุด

    ปัญหา Flatpak ติดตั้งไม่ได้
    เกิดจากข้อผิดพลาด “Could not unmount revokefs-fuse filesystem”
    ระบบแจ้ง “Child process exited with code 1”
    Flatpak ล้มเหลวในการติดตั้งแอปทั้งหมด

    สาเหตุของปัญหา
    AppArmor จำกัดสิทธิ์ fusermount3
    ไม่สามารถเข้าถึงไฟล์ /run/mount/utab และไฟล์ที่เกี่ยวข้อง
    ส่งผลให้การ unmount ล้มเหลว

    วิธีแก้ไข
    Canonical ปล่อยแพตช์แก้ไขแล้ว
    มีวิธีชั่วคราวคือปิดโปรไฟล์ AppArmor สำหรับ fusermount3

    คำเตือนเกี่ยวกับวิธีแก้ชั่วคราว
    การปิด AppArmor ลดความปลอดภัยของระบบ
    วิธีนี้อาจไม่ได้ผลในทุกกรณี

    ข้อมูลเสริมเกี่ยวกับ Flatpak
    เป็นระบบจัดการแพ็กเกจแบบ sandbox
    ใช้ fusermount3 ในการจัดการไฟล์ระบบ
    มีแหล่งรวมแอปชื่อ Flathub ที่ได้รับความนิยมในวงการ Linux

    https://news.itsfoss.com/ubuntu-25-10-flatpak-bug/
    📰 หัวข้อข่าว: Ubuntu 25.10 เจอปัญหาใหญ่! Flatpak ติดตั้งไม่ได้ – Canonical เร่งปล่อยแพตช์แก้ไข หลังจาก Ubuntu 25.10 “Questing Quokka” เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่มากมาย เช่น Linux Kernel 6.17 และ GNOME 49 ก็ดูเหมือนว่าผู้ใช้จะได้เจอกับปัญหาใหญ่ที่ไม่คาดคิด นั่นคือ Flatpak ซึ่งเป็นระบบจัดการแพ็กเกจยอดนิยม กลับไม่สามารถติดตั้งแอปได้เลยในเวอร์ชันนี้! เรื่องเริ่มต้นจากผู้ใช้ที่อัปเกรดมาใช้ Ubuntu 25.10 แล้วพบว่าไม่สามารถติดตั้งแอปจาก Flathub ได้ โดยระบบแจ้งข้อผิดพลาดว่า “Could not unmount revokefs-fuse filesystem” และ “Child process exited with code 1” ซึ่งทำให้การติดตั้ง Flatpak ล้มเหลวทั้งหมด สาเหตุของปัญหานี้มาจาก AppArmor ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยของ Ubuntu โดยโปรไฟล์ของ fusermount3 ที่ Flatpak ใช้ในการ mount/unmount ไฟล์ระบบนั้น ถูกจำกัดสิทธิ์ไม่ให้เข้าถึงไฟล์สำคัญอย่าง /run/mount/utab และไฟล์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้กระบวนการติดตั้งไม่สามารถดำเนินการได้ แม้ว่าจะมีวิธีแก้ชั่วคราวคือการปิดโปรไฟล์ AppArmor สำหรับ fusermount3 แต่ก็ไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยนัก และยังไม่ได้ผลในทุกกรณี ทาง Canonical จึงเร่งออกแพตช์แก้ไข ซึ่งล่าสุดได้ปล่อยออกมาแล้ว นอกจากข่าวนี้ ยังมีข้อมูลเสริมที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Flatpak: ⭐ Flatpak เป็นระบบจัดการแพ็กเกจที่เน้นความปลอดภัย โดยแอปจะทำงานใน sandbox แยกจากระบบหลัก ⭐ ได้รับความนิยมในหลายดิสโทร เช่น Fedora, Linux Mint และมีแหล่งรวมแอปชื่อ Flathub ⭐ การทำงานของ Flatpak พึ่งพา fusermount3 ในการจัดการไฟล์ระบบ ซึ่งหากถูกจำกัดสิทธิ์โดย AppArmor ก็จะทำให้การติดตั้งล้มเหลว ✅ Ubuntu 25.10 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ ➡️ ใช้ Linux Kernel 6.17 และ GNOME 49 ➡️ มีการปรับปรุงแอปเริ่มต้นและระบบเบื้องหลังหลายจุด ✅ ปัญหา Flatpak ติดตั้งไม่ได้ ➡️ เกิดจากข้อผิดพลาด “Could not unmount revokefs-fuse filesystem” ➡️ ระบบแจ้ง “Child process exited with code 1” ➡️ Flatpak ล้มเหลวในการติดตั้งแอปทั้งหมด ✅ สาเหตุของปัญหา ➡️ AppArmor จำกัดสิทธิ์ fusermount3 ➡️ ไม่สามารถเข้าถึงไฟล์ /run/mount/utab และไฟล์ที่เกี่ยวข้อง ➡️ ส่งผลให้การ unmount ล้มเหลว ✅ วิธีแก้ไข ➡️ Canonical ปล่อยแพตช์แก้ไขแล้ว ➡️ มีวิธีชั่วคราวคือปิดโปรไฟล์ AppArmor สำหรับ fusermount3 ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับวิธีแก้ชั่วคราว ⛔ การปิด AppArmor ลดความปลอดภัยของระบบ ⛔ วิธีนี้อาจไม่ได้ผลในทุกกรณี ✅ ข้อมูลเสริมเกี่ยวกับ Flatpak ➡️ เป็นระบบจัดการแพ็กเกจแบบ sandbox ➡️ ใช้ fusermount3 ในการจัดการไฟล์ระบบ ➡️ มีแหล่งรวมแอปชื่อ Flathub ที่ได้รับความนิยมในวงการ Linux https://news.itsfoss.com/ubuntu-25-10-flatpak-bug/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    A Bug Broke Flatpaks on Ubuntu 25.10 [Patch Released]
    Critical Bug Prevents Flatpak Apps from Installing on Ubuntu 25.10
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • “Ubuntu 25.10 ‘Questing Quokka’ มาแล้ว! เปลี่ยนโฉมด้วย Wayland, GNOME 49 และระบบความปลอดภัยจาก Rust”

    Ubuntu 25.10 โค้ดเนม “Questing Quokka” ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดยเป็นเวอร์ชัน interim สุดท้ายก่อนเข้าสู่ Ubuntu 26.04 LTS ในปีหน้า การอัปเดตครั้งนี้เน้นความทันสมัย ความปลอดภัย และประสิทธิภาพที่ดีขึ้นทั้งในระดับระบบและประสบการณ์ผู้ใช้

    หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ Ubuntu ได้ถอด X.org ออกอย่างสมบูรณ์ และใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลหลักสำหรับ GNOME โดยไม่มีตัวเลือกให้กลับไปใช้ X11 อีกต่อไป ซึ่งช่วยให้ภาพลื่นไหลขึ้น ลดการใช้พลังงาน และรองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น

    Ubuntu 25.10 มาพร้อม GNOME 49 ที่ปรับปรุงหลายจุด เช่น การควบคุมเพลงจากหน้าล็อกหน้าจอ, ปรับความสว่างแยกตามจอ, การจัดการ workspace ที่แสดงบนทุกจอ และเมนู accessibility ที่เข้าถึงได้ตั้งแต่หน้าล็อกอิน

    ด้านระบบความปลอดภัย Ubuntu ได้เปลี่ยนมาใช้ sudo-rs ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ของ sudo ที่เขียนด้วยภาษา Rust เพื่อป้องกันช่องโหว่ด้านหน่วยความจำ และยังมีการนำ rust-coreutils มาใช้แทนคำสั่งพื้นฐาน เช่น ls, cp, mv เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพ

    นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงแอปเริ่มต้น เช่น Ptyxis มาแทน GNOME Terminal ซึ่งรองรับ container workflows ได้ดีขึ้น และ Loupe มาแทน Eye of GNOME สำหรับดูภาพแบบ sandboxed และใช้ GPU ช่วยเรนเดอร์

    ระบบบูตเปลี่ยนมาใช้ Dracut แทน initramfs-tools เพื่อความเสถียรและความเร็วในการบูต พร้อม Linux Kernel 6.17 ที่รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ เช่น Intel Arc Pro B60 และ Xe3 iGPU

    Ubuntu 25.10 จะได้รับการสนับสนุนเป็นเวลา 9 เดือนจนถึงกรกฎาคม 2026 และเหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ใหม่ก่อนเวอร์ชัน LTS จะมาถึง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ubuntu 25.10 โค้ดเนม “Questing Quokka” เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025
    ใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลหลักแทน X.org อย่างถาวร
    มาพร้อม GNOME 49 ที่ปรับปรุง UI และ accessibility
    เปลี่ยนมาใช้ sudo-rs และ rust-coreutils เพื่อความปลอดภัย
    เปลี่ยนแอปเริ่มต้นเป็น Ptyxis (terminal) และ Loupe (image viewer)
    ใช้ Dracut เป็นระบบ initramfs ใหม่แทน initramfs-tools
    ใช้ Linux Kernel 6.17 รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น Intel Arc Pro B60
    รองรับ TPM-backed Full Disk Encryption แบบใหม่
    รองรับ RISC-V และ ARM พร้อม nested virtualization
    ได้รับการสนับสนุน 9 เดือน จนถึงกรกฎาคม 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wayland ให้ภาพลื่นไหลและปลอดภัยกว่า X11 โดยไม่มีการแชร์ buffer ระหว่างแอป
    Rust เป็นภาษาที่เน้นความปลอดภัยด้านหน่วยความจำ ลดช่องโหว่ buffer overflow
    Dracut ใช้ใน Fedora และ RHEL มานาน มีความเสถียรสูงในการบูตระบบ
    TPM-backed FDE ช่วยให้การเข้ารหัสดิสก์ปลอดภัยขึ้น โดยใช้ชิป TPM ในเครื่อง
    GNOME 49 เพิ่มฟีเจอร์ควบคุมเพลงจากหน้าล็อก และปรับความสว่างแยกจอ

    https://news.itsfoss.com/ubuntu-25-10-release/
    🐾 “Ubuntu 25.10 ‘Questing Quokka’ มาแล้ว! เปลี่ยนโฉมด้วย Wayland, GNOME 49 และระบบความปลอดภัยจาก Rust” Ubuntu 25.10 โค้ดเนม “Questing Quokka” ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดยเป็นเวอร์ชัน interim สุดท้ายก่อนเข้าสู่ Ubuntu 26.04 LTS ในปีหน้า การอัปเดตครั้งนี้เน้นความทันสมัย ความปลอดภัย และประสิทธิภาพที่ดีขึ้นทั้งในระดับระบบและประสบการณ์ผู้ใช้ หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ Ubuntu ได้ถอด X.org ออกอย่างสมบูรณ์ และใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลหลักสำหรับ GNOME โดยไม่มีตัวเลือกให้กลับไปใช้ X11 อีกต่อไป ซึ่งช่วยให้ภาพลื่นไหลขึ้น ลดการใช้พลังงาน และรองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น Ubuntu 25.10 มาพร้อม GNOME 49 ที่ปรับปรุงหลายจุด เช่น การควบคุมเพลงจากหน้าล็อกหน้าจอ, ปรับความสว่างแยกตามจอ, การจัดการ workspace ที่แสดงบนทุกจอ และเมนู accessibility ที่เข้าถึงได้ตั้งแต่หน้าล็อกอิน ด้านระบบความปลอดภัย Ubuntu ได้เปลี่ยนมาใช้ sudo-rs ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ของ sudo ที่เขียนด้วยภาษา Rust เพื่อป้องกันช่องโหว่ด้านหน่วยความจำ และยังมีการนำ rust-coreutils มาใช้แทนคำสั่งพื้นฐาน เช่น ls, cp, mv เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงแอปเริ่มต้น เช่น Ptyxis มาแทน GNOME Terminal ซึ่งรองรับ container workflows ได้ดีขึ้น และ Loupe มาแทน Eye of GNOME สำหรับดูภาพแบบ sandboxed และใช้ GPU ช่วยเรนเดอร์ ระบบบูตเปลี่ยนมาใช้ Dracut แทน initramfs-tools เพื่อความเสถียรและความเร็วในการบูต พร้อม Linux Kernel 6.17 ที่รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ เช่น Intel Arc Pro B60 และ Xe3 iGPU Ubuntu 25.10 จะได้รับการสนับสนุนเป็นเวลา 9 เดือนจนถึงกรกฎาคม 2026 และเหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ใหม่ก่อนเวอร์ชัน LTS จะมาถึง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ubuntu 25.10 โค้ดเนม “Questing Quokka” เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 ➡️ ใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลหลักแทน X.org อย่างถาวร ➡️ มาพร้อม GNOME 49 ที่ปรับปรุง UI และ accessibility ➡️ เปลี่ยนมาใช้ sudo-rs และ rust-coreutils เพื่อความปลอดภัย ➡️ เปลี่ยนแอปเริ่มต้นเป็น Ptyxis (terminal) และ Loupe (image viewer) ➡️ ใช้ Dracut เป็นระบบ initramfs ใหม่แทน initramfs-tools ➡️ ใช้ Linux Kernel 6.17 รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น Intel Arc Pro B60 ➡️ รองรับ TPM-backed Full Disk Encryption แบบใหม่ ➡️ รองรับ RISC-V และ ARM พร้อม nested virtualization ➡️ ได้รับการสนับสนุน 9 เดือน จนถึงกรกฎาคม 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wayland ให้ภาพลื่นไหลและปลอดภัยกว่า X11 โดยไม่มีการแชร์ buffer ระหว่างแอป ➡️ Rust เป็นภาษาที่เน้นความปลอดภัยด้านหน่วยความจำ ลดช่องโหว่ buffer overflow ➡️ Dracut ใช้ใน Fedora และ RHEL มานาน มีความเสถียรสูงในการบูตระบบ ➡️ TPM-backed FDE ช่วยให้การเข้ารหัสดิสก์ปลอดภัยขึ้น โดยใช้ชิป TPM ในเครื่อง ➡️ GNOME 49 เพิ่มฟีเจอร์ควบคุมเพลงจากหน้าล็อก และปรับความสว่างแยกจอ https://news.itsfoss.com/ubuntu-25-10-release/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Ubuntu 25.10 is Out: Here Are the Biggest Changes You'll Notice
    X.org removed, new default apps, Linux 6.17, and GNOME 49.
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • https://youtube.com/shorts/BLmZQlqe_JE?si=RX6hmrXPt-vZFEdY
    https://youtube.com/shorts/BLmZQlqe_JE?si=RX6hmrXPt-vZFEdY
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 Reviews
  • “ClamAV 1.5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — เสริมความปลอดภัยระดับองค์กร พร้อมรองรับ AI และมาตรฐาน FIPS”

    ClamAV 1.5 ได้รับการเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของเอนจินแอนติไวรัสโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยมในระบบ Linux และเซิร์ฟเวอร์องค์กรทั่วโลก โดยเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่ทันสมัย รองรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการมาตรฐานสูง เช่น FIPS (Federal Information Processing Standards)

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการรองรับการเซ็นและตรวจสอบฐานข้อมูลไวรัส (CVD) ด้วยไฟล์ .sign ภายนอก ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจสอบความถูกต้องของไฟล์ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา MD5 หรือ SHA1 ที่ล้าสมัย โดย Freshclam จะดาวน์โหลดไฟล์ .sign อัตโนมัติ และสามารถกำหนดตำแหน่งของโฟลเดอร์ certs ได้ตามต้องการ

    ClamAV 1.5 ยังเพิ่มความสามารถในการตรวจจับเอกสาร Microsoft Office ที่เข้ารหัสแบบ OLE2 และสามารถบันทึก URI ที่พบในไฟล์ HTML และ PDF เมื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์ generate-JSON-metadata พร้อมตัวเลือกในการปิดการบันทึก URI หากไม่ต้องการ

    เพื่อรองรับมาตรฐาน FIPS ระบบสามารถปิดการใช้งาน MD5 และ SHA1 สำหรับการตรวจสอบลายเซ็นและการเชื่อถือไฟล์ โดยเปลี่ยนมาใช้ SHA2-256 สำหรับแคชไฟล์ที่ปลอดภัย และเพิ่มความแม่นยำในการรายงานขนาดไฟล์ที่สแกน

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการสแกนไฟล์ ZIP ที่เสียหาย การรองรับไฟล์โมเดล AI เบื้องต้น การเพิ่มคำสั่งใหม่ใน Sigtool และการปรับปรุงการคอมไพล์บนระบบ Solaris และ GNU/Hurd รวมถึงการเชื่อมต่อกับไลบรารี NCurses ที่แยก libtinfo ออกมา

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ClamAV 1.5 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ด้านความปลอดภัยและการตรวจจับ
    รองรับการเซ็นและตรวจสอบไฟล์ CVD ด้วยไฟล์ .sign ภายนอก
    Freshclam ดาวน์โหลดไฟล์ .sign อัตโนมัติสำหรับฐานข้อมูลไวรัส
    เพิ่มตัวเลือกกำหนดตำแหน่งโฟลเดอร์ certs สำหรับการตรวจสอบลายเซ็น
    ตรวจจับเอกสาร MS Office ที่เข้ารหัสแบบ OLE2
    บันทึก URI จาก HTML และ PDF เมื่อเปิดใช้ generate-JSON-metadata
    เพิ่มตัวเลือกปิดการบันทึก URI ด้วย --json-store-html-uris=no และ --json-store-pdf-uris=no
    รองรับ FIPS-mode โดยปิดการใช้งาน MD5 และ SHA1 สำหรับการตรวจสอบ
    ใช้ SHA2-256 สำหรับแคชไฟล์ที่ปลอดภัย
    ปรับปรุงการสแกน ZIP ที่เสียหาย และรองรับไฟล์โมเดล AI เบื้องต้น
    เพิ่มคำสั่งใหม่ใน Sigtool สำหรับ sign/verify และรองรับ CDIFF patch
    ปรับปรุงการคอมไพล์บน Solaris และ GNU/Hurd และการเชื่อมต่อกับ NCurses

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FIPS เป็นมาตรฐานที่ใช้ในหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ สำหรับความปลอดภัยของข้อมูล
    SHA2-256 เป็นอัลกอริธึมที่ปลอดภัยกว่าทั้ง MD5 และ SHA1 ซึ่งถูกลดความน่าเชื่อถือ
    CDIFF เป็นไฟล์ patch ที่ช่วยลดขนาดการอัปเดตฐานข้อมูลไวรัส
    Sigtool เป็นเครื่องมือใน ClamAV สำหรับจัดการลายเซ็นและฐานข้อมูล
    การรองรับไฟล์โมเดล AI ช่วยให้ ClamAV ตรวจจับภัยคุกคามในระบบ machine learning ได้ดีขึ้น

    https://9to5linux.com/clamav-1-5-open-source-antivirus-engine-released-with-major-new-features
    🛡️ “ClamAV 1.5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — เสริมความปลอดภัยระดับองค์กร พร้อมรองรับ AI และมาตรฐาน FIPS” ClamAV 1.5 ได้รับการเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของเอนจินแอนติไวรัสโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยมในระบบ Linux และเซิร์ฟเวอร์องค์กรทั่วโลก โดยเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่ทันสมัย รองรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการมาตรฐานสูง เช่น FIPS (Federal Information Processing Standards) หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการรองรับการเซ็นและตรวจสอบฐานข้อมูลไวรัส (CVD) ด้วยไฟล์ .sign ภายนอก ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจสอบความถูกต้องของไฟล์ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา MD5 หรือ SHA1 ที่ล้าสมัย โดย Freshclam จะดาวน์โหลดไฟล์ .sign อัตโนมัติ และสามารถกำหนดตำแหน่งของโฟลเดอร์ certs ได้ตามต้องการ ClamAV 1.5 ยังเพิ่มความสามารถในการตรวจจับเอกสาร Microsoft Office ที่เข้ารหัสแบบ OLE2 และสามารถบันทึก URI ที่พบในไฟล์ HTML และ PDF เมื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์ generate-JSON-metadata พร้อมตัวเลือกในการปิดการบันทึก URI หากไม่ต้องการ เพื่อรองรับมาตรฐาน FIPS ระบบสามารถปิดการใช้งาน MD5 และ SHA1 สำหรับการตรวจสอบลายเซ็นและการเชื่อถือไฟล์ โดยเปลี่ยนมาใช้ SHA2-256 สำหรับแคชไฟล์ที่ปลอดภัย และเพิ่มความแม่นยำในการรายงานขนาดไฟล์ที่สแกน นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการสแกนไฟล์ ZIP ที่เสียหาย การรองรับไฟล์โมเดล AI เบื้องต้น การเพิ่มคำสั่งใหม่ใน Sigtool และการปรับปรุงการคอมไพล์บนระบบ Solaris และ GNU/Hurd รวมถึงการเชื่อมต่อกับไลบรารี NCurses ที่แยก libtinfo ออกมา ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ClamAV 1.5 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ด้านความปลอดภัยและการตรวจจับ ➡️ รองรับการเซ็นและตรวจสอบไฟล์ CVD ด้วยไฟล์ .sign ภายนอก ➡️ Freshclam ดาวน์โหลดไฟล์ .sign อัตโนมัติสำหรับฐานข้อมูลไวรัส ➡️ เพิ่มตัวเลือกกำหนดตำแหน่งโฟลเดอร์ certs สำหรับการตรวจสอบลายเซ็น ➡️ ตรวจจับเอกสาร MS Office ที่เข้ารหัสแบบ OLE2 ➡️ บันทึก URI จาก HTML และ PDF เมื่อเปิดใช้ generate-JSON-metadata ➡️ เพิ่มตัวเลือกปิดการบันทึก URI ด้วย --json-store-html-uris=no และ --json-store-pdf-uris=no ➡️ รองรับ FIPS-mode โดยปิดการใช้งาน MD5 และ SHA1 สำหรับการตรวจสอบ ➡️ ใช้ SHA2-256 สำหรับแคชไฟล์ที่ปลอดภัย ➡️ ปรับปรุงการสแกน ZIP ที่เสียหาย และรองรับไฟล์โมเดล AI เบื้องต้น ➡️ เพิ่มคำสั่งใหม่ใน Sigtool สำหรับ sign/verify และรองรับ CDIFF patch ➡️ ปรับปรุงการคอมไพล์บน Solaris และ GNU/Hurd และการเชื่อมต่อกับ NCurses ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FIPS เป็นมาตรฐานที่ใช้ในหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ สำหรับความปลอดภัยของข้อมูล ➡️ SHA2-256 เป็นอัลกอริธึมที่ปลอดภัยกว่าทั้ง MD5 และ SHA1 ซึ่งถูกลดความน่าเชื่อถือ ➡️ CDIFF เป็นไฟล์ patch ที่ช่วยลดขนาดการอัปเดตฐานข้อมูลไวรัส ➡️ Sigtool เป็นเครื่องมือใน ClamAV สำหรับจัดการลายเซ็นและฐานข้อมูล ➡️ การรองรับไฟล์โมเดล AI ช่วยให้ ClamAV ตรวจจับภัยคุกคามในระบบ machine learning ได้ดีขึ้น https://9to5linux.com/clamav-1-5-open-source-antivirus-engine-released-with-major-new-features
    9TO5LINUX.COM
    ClamAV 1.5 Open-Source Antivirus Engine Released with Major New Features - 9to5Linux
    ClamAV 1.5 open-source antivirus engine is now available for download with major new features, improvements, and bug fixes.
    0 Comments 0 Shares 129 Views 0 Reviews
  • “CISO ยุคใหม่ต้องคิดใหม่ — เมื่อ AI เปลี่ยนเกมความปลอดภัยจากพื้นฐานสู่กลยุทธ์”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจทั่วโลก ผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (CISO) กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่ในด้านเทคโนโลยี แต่รวมถึงบทบาทในองค์กรและวิธีคิดเชิงกลยุทธ์ โดยรายงานจาก CSO Online ระบุว่า AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่ระบบความปลอดภัยเดิม แต่กลับขยายช่องว่างระหว่างองค์กรที่เตรียมพร้อมกับองค์กรที่ยังล้าหลัง

    Joe Oleksak จาก Plante Moran ชี้ว่า AI เร่งทั้งการโจมตีและการป้องกัน ทำให้ “ความเร็ว” กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด และย้ำว่า “AI ไม่ใช่กระสุนวิเศษ” เพราะมันขยายผลของทุกข้อผิดพลาด เช่น การตั้งสิทธิ์ผิด การแบ่งเครือข่ายไม่ดี หรือการเก็บข้อมูลในโฟลเดอร์ที่ไม่ปลอดภัย

    ในองค์กรที่มีการลงทุนด้านความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง AI กลายเป็นเครื่องมือเสริมประสิทธิภาพ แต่ในองค์กรที่ละเลยเรื่องนี้ AI กลับทำให้ช่องโหว่เดิมรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อแฮกเกอร์ใช้ AI สร้าง phishing, deepfake และการสแกนระบบได้เร็วและถูกลง

    Deneen DeFiore จาก United Airlines ระบุว่า AI ทำให้ CISO มีบทบาทในระดับกลยุทธ์มากขึ้น โดยต้องร่วมมือกับผู้บริหารทุกฝ่ายตั้งแต่ต้น เพื่อให้การใช้ AI เป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และปลอดภัย

    Jason Lander จาก Aya Healthcare เสริมว่า AI เปลี่ยนวิธีทำงานของทีม IT และทีมความปลอดภัยให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยเน้นการทำงานเชิงรุกและการวางระบบที่ยืดหยุ่น พร้อมทั้งใช้ AI เพื่อจัดการงานซ้ำซ้อนและเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ

    Jill Knesek จาก BlackLine มองว่า AI ช่วยลดภาระของทีม SOC (Security Operations Center) โดยสามารถใช้ AI แทนการจ้างคนเพิ่มในบางช่วงเวลา เช่น กลางคืนหรือวันหยุด พร้อมเน้นว่าการฝึกอบรมและวัฒนธรรมองค์กรยังคงเป็นหัวใจของความปลอดภัย

    สุดท้าย Oleksak เตือนว่า AI ไม่ใช่กลยุทธ์ แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ด้วยความเข้าใจ โดยแนะนำให้เริ่มจากการประเมินความเสี่ยง แล้วค่อยเลือกใช้ AI ในจุดที่เหมาะสม เช่น การวิเคราะห์ log หรือการตรวจจับ phishing พร้อมเน้นว่า “การตัดสินใจของมนุษย์” ยังเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AI เร่งทั้งการโจมตีและการป้องกัน ทำให้ความเร็วกลายเป็นปัจจัยสำคัญ
    AI ขยายผลของข้อผิดพลาด เช่น การตั้งสิทธิ์ผิดหรือการจัดการข้อมูลไม่ดี
    องค์กรที่ลงทุนด้านความปลอดภัยมาแล้วจะได้ประโยชน์จาก AI มากกว่า
    แฮกเกอร์ใช้ AI สร้าง phishing และ deepfake ได้เร็วและถูกลง
    CISO มีบทบาทเชิงกลยุทธ์มากขึ้นในองค์กรยุค AI
    United Airlines ใช้ AI อย่างโปร่งใสและเน้นความรับผิดชอบร่วมกัน
    Aya Healthcare ใช้ AI เพื่อจัดการงานซ้ำซ้อนและเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ
    BlackLine ใช้ AI ลดภาระทีม SOC และวางแผนจ้างงานแบบกระจาย
    การฝึกอบรมและวัฒนธรรมองค์กรยังคงเป็นหัวใจของความปลอดภัย
    Oleksak แนะนำให้ใช้ AI แบบมีเป้าหมาย เช่น การวิเคราะห์ log หรือ phishing

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Deloitte พบว่า 43% ขององค์กรในสหรัฐฯ ใช้ AI ในโปรแกรมความปลอดภัย
    โมเดล federated learning ถูกใช้เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในการพัฒนา AI
    การใช้ AI ใน SOC ช่วยลด false positives และเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับภัยคุกคาม
    หลายองค์กรเริ่มจัดทีมแบบ agile ที่รวม threat analyst, engineer และ data scientist
    การใช้ AI อย่างมีจริยธรรมกลายเป็นหัวข้อสำคัญในระดับผู้บริหารทั่วโลก

    https://www.csoonline.com/article/4066733/cisos-rethink-the-security-organization-for-the-ai-era.html
    🛡️ “CISO ยุคใหม่ต้องคิดใหม่ — เมื่อ AI เปลี่ยนเกมความปลอดภัยจากพื้นฐานสู่กลยุทธ์” ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจทั่วโลก ผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (CISO) กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่ในด้านเทคโนโลยี แต่รวมถึงบทบาทในองค์กรและวิธีคิดเชิงกลยุทธ์ โดยรายงานจาก CSO Online ระบุว่า AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่ระบบความปลอดภัยเดิม แต่กลับขยายช่องว่างระหว่างองค์กรที่เตรียมพร้อมกับองค์กรที่ยังล้าหลัง Joe Oleksak จาก Plante Moran ชี้ว่า AI เร่งทั้งการโจมตีและการป้องกัน ทำให้ “ความเร็ว” กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด และย้ำว่า “AI ไม่ใช่กระสุนวิเศษ” เพราะมันขยายผลของทุกข้อผิดพลาด เช่น การตั้งสิทธิ์ผิด การแบ่งเครือข่ายไม่ดี หรือการเก็บข้อมูลในโฟลเดอร์ที่ไม่ปลอดภัย ในองค์กรที่มีการลงทุนด้านความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง AI กลายเป็นเครื่องมือเสริมประสิทธิภาพ แต่ในองค์กรที่ละเลยเรื่องนี้ AI กลับทำให้ช่องโหว่เดิมรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อแฮกเกอร์ใช้ AI สร้าง phishing, deepfake และการสแกนระบบได้เร็วและถูกลง Deneen DeFiore จาก United Airlines ระบุว่า AI ทำให้ CISO มีบทบาทในระดับกลยุทธ์มากขึ้น โดยต้องร่วมมือกับผู้บริหารทุกฝ่ายตั้งแต่ต้น เพื่อให้การใช้ AI เป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และปลอดภัย Jason Lander จาก Aya Healthcare เสริมว่า AI เปลี่ยนวิธีทำงานของทีม IT และทีมความปลอดภัยให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยเน้นการทำงานเชิงรุกและการวางระบบที่ยืดหยุ่น พร้อมทั้งใช้ AI เพื่อจัดการงานซ้ำซ้อนและเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ Jill Knesek จาก BlackLine มองว่า AI ช่วยลดภาระของทีม SOC (Security Operations Center) โดยสามารถใช้ AI แทนการจ้างคนเพิ่มในบางช่วงเวลา เช่น กลางคืนหรือวันหยุด พร้อมเน้นว่าการฝึกอบรมและวัฒนธรรมองค์กรยังคงเป็นหัวใจของความปลอดภัย สุดท้าย Oleksak เตือนว่า AI ไม่ใช่กลยุทธ์ แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ด้วยความเข้าใจ โดยแนะนำให้เริ่มจากการประเมินความเสี่ยง แล้วค่อยเลือกใช้ AI ในจุดที่เหมาะสม เช่น การวิเคราะห์ log หรือการตรวจจับ phishing พร้อมเน้นว่า “การตัดสินใจของมนุษย์” ยังเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AI เร่งทั้งการโจมตีและการป้องกัน ทำให้ความเร็วกลายเป็นปัจจัยสำคัญ ➡️ AI ขยายผลของข้อผิดพลาด เช่น การตั้งสิทธิ์ผิดหรือการจัดการข้อมูลไม่ดี ➡️ องค์กรที่ลงทุนด้านความปลอดภัยมาแล้วจะได้ประโยชน์จาก AI มากกว่า ➡️ แฮกเกอร์ใช้ AI สร้าง phishing และ deepfake ได้เร็วและถูกลง ➡️ CISO มีบทบาทเชิงกลยุทธ์มากขึ้นในองค์กรยุค AI ➡️ United Airlines ใช้ AI อย่างโปร่งใสและเน้นความรับผิดชอบร่วมกัน ➡️ Aya Healthcare ใช้ AI เพื่อจัดการงานซ้ำซ้อนและเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ ➡️ BlackLine ใช้ AI ลดภาระทีม SOC และวางแผนจ้างงานแบบกระจาย ➡️ การฝึกอบรมและวัฒนธรรมองค์กรยังคงเป็นหัวใจของความปลอดภัย ➡️ Oleksak แนะนำให้ใช้ AI แบบมีเป้าหมาย เช่น การวิเคราะห์ log หรือ phishing ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Deloitte พบว่า 43% ขององค์กรในสหรัฐฯ ใช้ AI ในโปรแกรมความปลอดภัย ➡️ โมเดล federated learning ถูกใช้เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในการพัฒนา AI ➡️ การใช้ AI ใน SOC ช่วยลด false positives และเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับภัยคุกคาม ➡️ หลายองค์กรเริ่มจัดทีมแบบ agile ที่รวม threat analyst, engineer และ data scientist ➡️ การใช้ AI อย่างมีจริยธรรมกลายเป็นหัวข้อสำคัญในระดับผู้บริหารทั่วโลก https://www.csoonline.com/article/4066733/cisos-rethink-the-security-organization-for-the-ai-era.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CISOs rethink the security organization for the AI era
    As AI becomes more ingrained in business strategies, CISOs are re-examining their security organizations to keep up with the pace and potential of the technology.
    0 Comments 0 Shares 244 Views 0 Reviews
  • “AstraZeneca ทุ่ม 555 ล้านดอลลาร์ จับมือ Algen พัฒนาเทคโนโลยีตัดต่อยีนด้วย AI — เป้าหมายใหม่ของการรักษาโรคภูมิคุ้มกัน”

    AstraZeneca บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ-สวีเดน ได้ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies บริษัทไบโอเทคจากซานฟรานซิสโก เพื่อร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาโรคด้วยการตัดต่อยีนแบบ CRISPR โดยใช้แพลตฟอร์ม AI ที่ชื่อว่า “AlgenBrain” ซึ่งสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างยีนกับโรคได้อย่างแม่นยำ

    ข้อตกลงนี้ให้ AstraZeneca สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการพัฒนาและจำหน่ายยาที่ได้จากเทคโนโลยีนี้ โดยเน้นไปที่โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคอักเสบเรื้อรัง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง โดย Algen จะได้รับเงินล่วงหน้าและเงินตามเป้าหมายการพัฒนาและการอนุมัติ ซึ่งรวมกันแล้วอาจสูงถึง 555 ล้านดอลลาร์

    Algen เป็นบริษัทที่แยกตัวออกมาจากห้องวิจัยของมหาวิทยาลัย UC Berkeley ซึ่งเป็นที่ที่ Jennifer Doudna ผู้ได้รับรางวัลโนเบลได้พัฒนาเทคโนโลยี CRISPR ขึ้นมา โดยแพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การวิเคราะห์ RNA แบบไดนามิกในเซลล์มนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับโรค เพื่อหาจุดแทรกแซงที่สามารถย้อนกลับกระบวนการของโรคได้

    แม้ AstraZeneca จะไม่ซื้อหุ้นของ Algen ในข้อตกลงนี้ แต่ก็ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเป้าหมายของบริษัทในการเพิ่มยอดขายเป็น 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยเฉพาะในกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปี 2025

    ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนแนวโน้มของอุตสาหกรรมยา ที่หันมาใช้ AI และการตัดต่อยีนเพื่อเร่งการค้นพบยาใหม่ ๆ โดยมีบริษัทใหญ่อื่น ๆ เช่น Roche, BMS และ J&J ที่ร่วมมือกันพัฒนาโมเดล AI แบบ federated เพื่อค้นหายาโดยไม่ต้องแชร์ข้อมูลดิบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AstraZeneca ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies
    ข้อตกลงให้สิทธิ์พัฒนาและจำหน่ายยาจากเทคโนโลยี CRISPR โดยใช้ AI
    เน้นการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
    Algen ใช้แพลตฟอร์ม AlgenBrain วิเคราะห์ RNA ในเซลล์มนุษย์
    ข้อมูล RNA ถูกเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ทางชีวภาพเพื่อหาจุดแทรกแซงของโรค
    AstraZeneca ไม่ซื้อหุ้นของ Algen แต่ให้เงินล่วงหน้าและตาม milestone
    เป้าหมายของ AstraZeneca คือยอดขาย 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
    กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันสร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของ 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Algen แยกตัวจากห้องวิจัยของ Jennifer Doudna ผู้พัฒนา CRISPR
    แพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การตัดต่อยีนแบบ single-cell และการเรียนรู้เชิงลึก
    AstraZeneca เคยร่วมมือกับ BenevolentAI และ Tempus AI ในการพัฒนายา
    อุตสาหกรรมยาเริ่มใช้โมเดล federated learning เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
    การใช้ AI ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการค้นคว้ายาใหม่ แต่ยังต้องพิสูจน์ผลลัพธ์ในระยะยาว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/astrazeneca-inks-555-million-gene-editing-technology-deal-with-algen-ft-reports
    🧬 “AstraZeneca ทุ่ม 555 ล้านดอลลาร์ จับมือ Algen พัฒนาเทคโนโลยีตัดต่อยีนด้วย AI — เป้าหมายใหม่ของการรักษาโรคภูมิคุ้มกัน” AstraZeneca บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ-สวีเดน ได้ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies บริษัทไบโอเทคจากซานฟรานซิสโก เพื่อร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาโรคด้วยการตัดต่อยีนแบบ CRISPR โดยใช้แพลตฟอร์ม AI ที่ชื่อว่า “AlgenBrain” ซึ่งสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างยีนกับโรคได้อย่างแม่นยำ ข้อตกลงนี้ให้ AstraZeneca สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการพัฒนาและจำหน่ายยาที่ได้จากเทคโนโลยีนี้ โดยเน้นไปที่โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคอักเสบเรื้อรัง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง โดย Algen จะได้รับเงินล่วงหน้าและเงินตามเป้าหมายการพัฒนาและการอนุมัติ ซึ่งรวมกันแล้วอาจสูงถึง 555 ล้านดอลลาร์ Algen เป็นบริษัทที่แยกตัวออกมาจากห้องวิจัยของมหาวิทยาลัย UC Berkeley ซึ่งเป็นที่ที่ Jennifer Doudna ผู้ได้รับรางวัลโนเบลได้พัฒนาเทคโนโลยี CRISPR ขึ้นมา โดยแพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การวิเคราะห์ RNA แบบไดนามิกในเซลล์มนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับโรค เพื่อหาจุดแทรกแซงที่สามารถย้อนกลับกระบวนการของโรคได้ แม้ AstraZeneca จะไม่ซื้อหุ้นของ Algen ในข้อตกลงนี้ แต่ก็ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเป้าหมายของบริษัทในการเพิ่มยอดขายเป็น 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยเฉพาะในกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปี 2025 ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนแนวโน้มของอุตสาหกรรมยา ที่หันมาใช้ AI และการตัดต่อยีนเพื่อเร่งการค้นพบยาใหม่ ๆ โดยมีบริษัทใหญ่อื่น ๆ เช่น Roche, BMS และ J&J ที่ร่วมมือกันพัฒนาโมเดล AI แบบ federated เพื่อค้นหายาโดยไม่ต้องแชร์ข้อมูลดิบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AstraZeneca ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies ➡️ ข้อตกลงให้สิทธิ์พัฒนาและจำหน่ายยาจากเทคโนโลยี CRISPR โดยใช้ AI ➡️ เน้นการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน ➡️ Algen ใช้แพลตฟอร์ม AlgenBrain วิเคราะห์ RNA ในเซลล์มนุษย์ ➡️ ข้อมูล RNA ถูกเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ทางชีวภาพเพื่อหาจุดแทรกแซงของโรค ➡️ AstraZeneca ไม่ซื้อหุ้นของ Algen แต่ให้เงินล่วงหน้าและตาม milestone ➡️ เป้าหมายของ AstraZeneca คือยอดขาย 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ➡️ กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันสร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของ 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Algen แยกตัวจากห้องวิจัยของ Jennifer Doudna ผู้พัฒนา CRISPR ➡️ แพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การตัดต่อยีนแบบ single-cell และการเรียนรู้เชิงลึก ➡️ AstraZeneca เคยร่วมมือกับ BenevolentAI และ Tempus AI ในการพัฒนายา ➡️ อุตสาหกรรมยาเริ่มใช้โมเดล federated learning เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ➡️ การใช้ AI ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการค้นคว้ายาใหม่ แต่ยังต้องพิสูจน์ผลลัพธ์ในระยะยาว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/astrazeneca-inks-555-million-gene-editing-technology-deal-with-algen-ft-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AstraZeneca inks $555 million gene-editing technology deal with Algen, FT reports
    (Reuters) -AstraZeneca has signed a $555 million deal with a San Francisco-based biotech business Algen Biotechnologies, The Financial Times reported on Monday.
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 4 – อิยิปต์ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 4 ”
    อิยิปต์ 2
อังกฤษเมื่อแรกเข้ามาใช้อียิปต์นั้น นอกจากใช้เป็นที่วางไม้ขวางฝรั่งเศส ไม่ให้เดินเลยไปถึงอินเดียแล้ว อังกฤษสนใจ ที่จะใช้อียิปต์เป็นแหล่งผลิตผ้าฝ้าย เดิมอังกฤษอาศัยฝ้ายจากทางใต้ของอเมริกา ซึ่งผลิตฝ้ายดีราคาถูกจากแรงงานทาสผิวดำ แต่เมื่ออเมริกาเกิดสงครามกลางเมือง การผลิตฝ้ายของทางใต้ของอเมริกากันหยุดชะงัก อังกฤษต้องมองหาตลาดใหม่ อียิปต์มีภูมิอากาศเหมาะสำหรับปลูกฝ่ายอย่างยิ่ง
    หลังจาก ค.ศ. 1882 เป็นต้นมา อังกฤษเอาจริงกับการใช้อียิปต์เป็นแหล่งปลูกฝ้าย จะปลูกฝ้ายก็ต้องมีน้ำ โครงการสร้างคลองชลประทาน จึงเกิดขึ้นในอียิปต์ ไม่ใช่เพราะอยากให้ชาวอียิปต์มีน้ำใช้ทั่วถึงหรอกนะ อังกฤษไม่เคยใจดีอย่างนั้น แต่น้ำจากคลองชลประทานก็ยังไม่ พอ เพราะเมื่อปลูกฝ้ายแล้ว อังกฤษก็ตั้งโรงงานทอผ้า ทำเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ อุตสาหกรรมก็ต้องมีพลังงาน น้ำมันยังไม่มีให้ใช้ ดังนั้นต้องใช้พลังน้ำจากเขื่อน เขื่อนอัสวาน (Aswan) จึงจำเป็นต้องสร้างขึ้น
    ช่วงปี ค.ศ. 1890 – 1914 อียิปต์สร้างเขื่อนหลายเขื่อน และระบบชลประทานทั่วประเทศ เขื่อนอัสวาน 1 เสร็จไปแล้ว แต่ยังไม่ได้พลังงานพอใช้ อัสวาน 2 จึงต้องสร้างเพิ่มในปี ค.ศ.1912 เพื่อให้มีน้ำเลี้ยงทั้งปีทุกบริเวณ ตั้งแต่อียิปต์กลางและอียิปต์ใต้ ทำให้อียิปต์เพิ่มเนื้อที่จากการปลูกฝ้าย จาก 4.4 ล้าน เฟดดาน (feddan) ในปี ค.ศ. 1877 เป็น 5.5 ล้าน เฟดดาน ในปี ค.ศ. 1913
    อังกฤษกลายเป็นผู้ผูกขาด การปลูก การผลิต การขาย ฝ้ายในอียิปต์ ระบบชลประทานเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการปลูกฝ้าย อังกฤษส่งคนมาคุมทำการขุด และสร้างระบบ บริษัทอังกฤษเป็นผู้ก่อสร้างระบบชลประทาน ทั่วประเทศอียิปต์ มันไม่ใช่ควบคุมเฉพาะการปลูกเท่านั้น เมื่อต้องขนส่งฝ้ายทางรถไฟ ทางเรือตามแม่น้ำ ลำคลอง เรือกลไฟของอังกฤษก็มาเทียบท่าเมือง Alexandria แม้รถไฟจะเป็นของรัฐ แต่คนอังกฤษเป็นผู้ควบคุม
    การปลูก ผลิต ขาย ฝ้าย อยู่ในมือของคนอังกฤษ รวมทั้งธนาคารของคนอังกฤษ คนอียิปต์มีส่วนเป็นเพียงเจ้าของแผ่นดิน และได้ค่าตอบแทน เป็นแรงงานราคาถูก
    ที่สำคัญ อังกฤษเปลี่ยนเนื้อที่ ที่ชาวอียิปต์เคยปลูกพืชอื่น ในการยังชีพของพวกเขา เช่น ข้าวบาเลย์ แป้งสาลี น้ำตาล ให้ไปปลูกฝ้ายเกือบหมด ในที่สุดพืชเหล่านี้ ก็ถูกกินเนื้อที่ ชาวอียิปต์ นอกจากไม่ได้ร่ำรวยจากการปลูกฝ้ายแล้ว ยังอดอยากอีกด้วย แถมตอนหลังอังกฤษเห็นว่ายาสูบไม่ใชสิ่งจำเป็น อังกฤษออกประกาศให้ยาสูบเป็นพืชต้องห้าม คนอียิปต์ที่ส่วนใหญ่ติดยาดูดเป็นชีวิต ถ้าไม่อยากลงแดง ก็ต้องไปอาศัยดูดยาของตุรกีซึ่งมีราคาแพงแทน
    ข้อมูลภูมิศาสตร์โลกที่ระบุว่า อียิปต์เป็นประเทศที่ปลูกฝ้ายดีที่สุดในโลก เป็นผู้ผลิตฝ้ายเป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นดินแดนแห่งฝ้ายดีมีคุณภาพ ฯลฯ สาระพัดจะเขียนกัน แต่อียิปต์ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงานทอผ้าฝ้าย แม้แต่โรงงานเดียว และส่งออกฝ้ายเนื้อดีนี้ทั้งหมดไปที่อังกฤษ
    คนอียิปต์ยังใช้ฝ้ายราคาถูกคุณภาพต่ำเหมือนเดิม อียิปต์ผลิตผ้าฝ้าย 1 ใน 3 ของความต้องการฝ้ายทั้งหมดของอังกฤษ และในปี ค.ศ. 1914 สินค้าออกของอียิปต์เป็นฝ้ายเสีย 85%
    ตั้งแต่อียิปต์สร้างคลองสุเอช อียิปต์เริ่มมีหนี้ติดตัวไปทุกแห่ง แต่หนี้ของอียิปต์งอกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่อังกฤษเข้ามายึด อียิปต์ในปี ค.ศ. 1882 การแปลงอียิปต์เป็นแดนฝ้าย สร้างหนี้ให้อียิปต์อีกมหาศาล จากการสร้างระบบชลประทาน สร้างเขื่อน ทางรถไฟ ระบบขนส่ง ด้วยเงินของรัฐบาลอียิปต์ ที่อังกฤษเป็นดูแล
ในปี ค.ศ. 1898 อังกฤษตั้งธนาคารชาติแห่งอียิปต์ ชื่อเป็นอียิปต์ นอกจากไม่ได้เป็นธนาคารของชาติอียิปต์แล้ว ยังเป็นธนาคารของเอกชนอีกด้วย และเอกชนนั้น ก็ไม่ใช่คนอียิปต์ แต่เป็นคนอังกฤษ แต่ธนาคารชาตินี้มีสิทธิในการพิมพ์ธนบัตรอียิปต์ เหยื่ออย่างสมบูณ์แบบจริงๆ
    เมื่ออียิปต์มีรายได้ ฝรั่งก็ตั้งหน่วยงาน เรียกว่าสำนักบริหารหนี้ของอียิปต์ เพื่อมาจัดเก็บรายได้นำไปชำระหนี้ ที่อียิปต์มีต่อผู้ให้กู้ต่างประเทศก่อน ถ้าออตโมมานเป็นคนป่วยของยุโรป อียิปต์น่าจะเป็นคนใกล้ตาย หรือตายซาก ในภูมิภาคนั้น
    เห็นฝีมือเถือหนังแทะกระดูกเหยื่อต่าง ๆ ของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯแล้ว คงเข้าใจว่าทำไมผมเรียกมันอย่าง รังเกียจ เหยียดหยามเช่นนี้
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 4 – อิยิปต์ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 4 ” อิยิปต์ 2
อังกฤษเมื่อแรกเข้ามาใช้อียิปต์นั้น นอกจากใช้เป็นที่วางไม้ขวางฝรั่งเศส ไม่ให้เดินเลยไปถึงอินเดียแล้ว อังกฤษสนใจ ที่จะใช้อียิปต์เป็นแหล่งผลิตผ้าฝ้าย เดิมอังกฤษอาศัยฝ้ายจากทางใต้ของอเมริกา ซึ่งผลิตฝ้ายดีราคาถูกจากแรงงานทาสผิวดำ แต่เมื่ออเมริกาเกิดสงครามกลางเมือง การผลิตฝ้ายของทางใต้ของอเมริกากันหยุดชะงัก อังกฤษต้องมองหาตลาดใหม่ อียิปต์มีภูมิอากาศเหมาะสำหรับปลูกฝ่ายอย่างยิ่ง หลังจาก ค.ศ. 1882 เป็นต้นมา อังกฤษเอาจริงกับการใช้อียิปต์เป็นแหล่งปลูกฝ้าย จะปลูกฝ้ายก็ต้องมีน้ำ โครงการสร้างคลองชลประทาน จึงเกิดขึ้นในอียิปต์ ไม่ใช่เพราะอยากให้ชาวอียิปต์มีน้ำใช้ทั่วถึงหรอกนะ อังกฤษไม่เคยใจดีอย่างนั้น แต่น้ำจากคลองชลประทานก็ยังไม่ พอ เพราะเมื่อปลูกฝ้ายแล้ว อังกฤษก็ตั้งโรงงานทอผ้า ทำเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ อุตสาหกรรมก็ต้องมีพลังงาน น้ำมันยังไม่มีให้ใช้ ดังนั้นต้องใช้พลังน้ำจากเขื่อน เขื่อนอัสวาน (Aswan) จึงจำเป็นต้องสร้างขึ้น ช่วงปี ค.ศ. 1890 – 1914 อียิปต์สร้างเขื่อนหลายเขื่อน และระบบชลประทานทั่วประเทศ เขื่อนอัสวาน 1 เสร็จไปแล้ว แต่ยังไม่ได้พลังงานพอใช้ อัสวาน 2 จึงต้องสร้างเพิ่มในปี ค.ศ.1912 เพื่อให้มีน้ำเลี้ยงทั้งปีทุกบริเวณ ตั้งแต่อียิปต์กลางและอียิปต์ใต้ ทำให้อียิปต์เพิ่มเนื้อที่จากการปลูกฝ้าย จาก 4.4 ล้าน เฟดดาน (feddan) ในปี ค.ศ. 1877 เป็น 5.5 ล้าน เฟดดาน ในปี ค.ศ. 1913 อังกฤษกลายเป็นผู้ผูกขาด การปลูก การผลิต การขาย ฝ้ายในอียิปต์ ระบบชลประทานเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการปลูกฝ้าย อังกฤษส่งคนมาคุมทำการขุด และสร้างระบบ บริษัทอังกฤษเป็นผู้ก่อสร้างระบบชลประทาน ทั่วประเทศอียิปต์ มันไม่ใช่ควบคุมเฉพาะการปลูกเท่านั้น เมื่อต้องขนส่งฝ้ายทางรถไฟ ทางเรือตามแม่น้ำ ลำคลอง เรือกลไฟของอังกฤษก็มาเทียบท่าเมือง Alexandria แม้รถไฟจะเป็นของรัฐ แต่คนอังกฤษเป็นผู้ควบคุม การปลูก ผลิต ขาย ฝ้าย อยู่ในมือของคนอังกฤษ รวมทั้งธนาคารของคนอังกฤษ คนอียิปต์มีส่วนเป็นเพียงเจ้าของแผ่นดิน และได้ค่าตอบแทน เป็นแรงงานราคาถูก ที่สำคัญ อังกฤษเปลี่ยนเนื้อที่ ที่ชาวอียิปต์เคยปลูกพืชอื่น ในการยังชีพของพวกเขา เช่น ข้าวบาเลย์ แป้งสาลี น้ำตาล ให้ไปปลูกฝ้ายเกือบหมด ในที่สุดพืชเหล่านี้ ก็ถูกกินเนื้อที่ ชาวอียิปต์ นอกจากไม่ได้ร่ำรวยจากการปลูกฝ้ายแล้ว ยังอดอยากอีกด้วย แถมตอนหลังอังกฤษเห็นว่ายาสูบไม่ใชสิ่งจำเป็น อังกฤษออกประกาศให้ยาสูบเป็นพืชต้องห้าม คนอียิปต์ที่ส่วนใหญ่ติดยาดูดเป็นชีวิต ถ้าไม่อยากลงแดง ก็ต้องไปอาศัยดูดยาของตุรกีซึ่งมีราคาแพงแทน ข้อมูลภูมิศาสตร์โลกที่ระบุว่า อียิปต์เป็นประเทศที่ปลูกฝ้ายดีที่สุดในโลก เป็นผู้ผลิตฝ้ายเป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นดินแดนแห่งฝ้ายดีมีคุณภาพ ฯลฯ สาระพัดจะเขียนกัน แต่อียิปต์ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงานทอผ้าฝ้าย แม้แต่โรงงานเดียว และส่งออกฝ้ายเนื้อดีนี้ทั้งหมดไปที่อังกฤษ คนอียิปต์ยังใช้ฝ้ายราคาถูกคุณภาพต่ำเหมือนเดิม อียิปต์ผลิตผ้าฝ้าย 1 ใน 3 ของความต้องการฝ้ายทั้งหมดของอังกฤษ และในปี ค.ศ. 1914 สินค้าออกของอียิปต์เป็นฝ้ายเสีย 85% ตั้งแต่อียิปต์สร้างคลองสุเอช อียิปต์เริ่มมีหนี้ติดตัวไปทุกแห่ง แต่หนี้ของอียิปต์งอกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่อังกฤษเข้ามายึด อียิปต์ในปี ค.ศ. 1882 การแปลงอียิปต์เป็นแดนฝ้าย สร้างหนี้ให้อียิปต์อีกมหาศาล จากการสร้างระบบชลประทาน สร้างเขื่อน ทางรถไฟ ระบบขนส่ง ด้วยเงินของรัฐบาลอียิปต์ ที่อังกฤษเป็นดูแล
ในปี ค.ศ. 1898 อังกฤษตั้งธนาคารชาติแห่งอียิปต์ ชื่อเป็นอียิปต์ นอกจากไม่ได้เป็นธนาคารของชาติอียิปต์แล้ว ยังเป็นธนาคารของเอกชนอีกด้วย และเอกชนนั้น ก็ไม่ใช่คนอียิปต์ แต่เป็นคนอังกฤษ แต่ธนาคารชาตินี้มีสิทธิในการพิมพ์ธนบัตรอียิปต์ เหยื่ออย่างสมบูณ์แบบจริงๆ เมื่ออียิปต์มีรายได้ ฝรั่งก็ตั้งหน่วยงาน เรียกว่าสำนักบริหารหนี้ของอียิปต์ เพื่อมาจัดเก็บรายได้นำไปชำระหนี้ ที่อียิปต์มีต่อผู้ให้กู้ต่างประเทศก่อน ถ้าออตโมมานเป็นคนป่วยของยุโรป อียิปต์น่าจะเป็นคนใกล้ตาย หรือตายซาก ในภูมิภาคนั้น เห็นฝีมือเถือหนังแทะกระดูกเหยื่อต่าง ๆ ของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯแล้ว คงเข้าใจว่าทำไมผมเรียกมันอย่าง รังเกียจ เหยียดหยามเช่นนี้ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • “Eric Raymond จุดชนวนถกเถียงในวงการโอเพ่นซอร์ส — เสนอให้ลบ ‘Code of Conduct’ ทิ้งทั้งหมด เพราะสร้างปัญหามากกว่าปกป้อง”

    ในโลกของโอเพ่นซอร์สที่เคยขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์เสรีภาพและความร่วมมือ ล่าสุด Eric S. Raymond ผู้เขียนบทความระดับตำนาน “The Cathedral and the Bazaar” และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Open Source Initiative ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่แรงและชัดเจนว่า “Code of Conduct” หรือแนวปฏิบัติด้านพฤติกรรมในชุมชนโอเพ่นซอร์ส ควรถูกยกเลิกทั้งหมด

    Raymond ระบุว่า Code of Conduct ไม่ได้ช่วยสร้างความร่วมมืออย่างที่ตั้งใจไว้ แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือให้ “ผู้ก่อกวน” ใช้เพื่อสร้างดราม่า การเมือง และความขัดแย้งในชุมชน เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “โรคทางสังคมที่แพร่กระจาย” และเสนอให้ทุกโปรเจกต์ที่ยังไม่มี Code อย่าไปเริ่ม ส่วนโปรเจกต์ที่มีอยู่แล้ว — “ลบทิ้งซะ”

    เขาเสนอทางเลือกสำหรับโปรเจกต์ที่จำเป็นต้องมี Code ด้วยเหตุผลทางระบบราชการว่า ควรใช้เพียงประโยคเดียวแทนกฎยาวเหยียด: “ถ้าคุณน่ารำคาญเกินกว่าที่ผลงานของคุณจะคุ้มค่า คุณจะถูกไล่ออก”

    Raymond เตือนว่าการเขียนกฎให้ละเอียดเกินไปจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนใช้กฎเป็นอาวุธโจมตีผู้อื่น โดยเฉพาะในกรณีที่คำว่า “Be kind!” ถูกบิดเบือนให้กลายเป็นเครื่องมือกดดันคนในชุมชน เขายอมรับว่าความเมตตาควรมี แต่ต้องเด็ดขาดกับคนที่ใช้ความเมตตาเป็นข้ออ้างในการควบคุมผู้อื่น

    แม้แนวคิดของ Raymond จะได้รับเสียงสนับสนุนจากบางกลุ่มที่เบื่อกับความซับซ้อนของกฎเกณฑ์ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าการไม่มี Code อาจเปิดช่องให้เกิดการละเมิดโดยไม่มีระบบจัดการ และอาจทำให้ชุมชนโอเพ่นซอร์สกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ร่วมงานหลากหลายกลุ่ม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Eric S. Raymond เสนอให้ยกเลิก Code of Conduct ในโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สทั้งหมด
    เขาเรียก Code ว่า “โรคทางสังคม” ที่สร้างดราม่าและการเมืองในชุมชน
    เสนอให้ใช้เพียงประโยคเดียวแทนกฎทั้งหมด: “ถ้าคุณน่ารำคาญเกินกว่าที่ผลงานของคุณจะคุ้มค่า คุณจะถูกไล่ออก”
    เตือนว่าการเขียนกฎละเอียดเกินไปจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนใช้โจมตีผู้อื่น
    ยอมรับว่าความเมตตาควรมี แต่ต้องเด็ดขาดกับคนที่ใช้มันเป็นอาวุธ
    ชุมชนโอเพ่นซอร์สหลายแห่ง เช่น Linux, Fedora, Debian, Python มี Code of Conduct อยู่แล้ว
    Raymond เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานแนวคิดโอเพ่นซอร์สตั้งแต่ยุคแรก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Code of Conduct ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความปลอดภัยและความเท่าเทียมในชุมชนเทคโนโลยี
    หลายองค์กรใช้ CoC เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานจากกลุ่มที่ถูกกีดกันเข้ามามีส่วนร่วม
    การไม่มี CoC อาจทำให้เกิดการล่วงละเมิดโดยไม่มีระบบจัดการหรือรายงาน
    แนวคิด “Be kind!” ถูกใช้ในหลายชุมชนเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมที่เป็นมิตร
    การจัดการความขัดแย้งในชุมชนโอเพ่นซอร์สต้องอาศัยทั้งกฎและความเข้าใจมนุษย์

    https://news.itsfoss.com/codes-of-conduct-debate/
    ⚖️ “Eric Raymond จุดชนวนถกเถียงในวงการโอเพ่นซอร์ส — เสนอให้ลบ ‘Code of Conduct’ ทิ้งทั้งหมด เพราะสร้างปัญหามากกว่าปกป้อง” ในโลกของโอเพ่นซอร์สที่เคยขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์เสรีภาพและความร่วมมือ ล่าสุด Eric S. Raymond ผู้เขียนบทความระดับตำนาน “The Cathedral and the Bazaar” และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Open Source Initiative ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่แรงและชัดเจนว่า “Code of Conduct” หรือแนวปฏิบัติด้านพฤติกรรมในชุมชนโอเพ่นซอร์ส ควรถูกยกเลิกทั้งหมด Raymond ระบุว่า Code of Conduct ไม่ได้ช่วยสร้างความร่วมมืออย่างที่ตั้งใจไว้ แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือให้ “ผู้ก่อกวน” ใช้เพื่อสร้างดราม่า การเมือง และความขัดแย้งในชุมชน เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “โรคทางสังคมที่แพร่กระจาย” และเสนอให้ทุกโปรเจกต์ที่ยังไม่มี Code อย่าไปเริ่ม ส่วนโปรเจกต์ที่มีอยู่แล้ว — “ลบทิ้งซะ” เขาเสนอทางเลือกสำหรับโปรเจกต์ที่จำเป็นต้องมี Code ด้วยเหตุผลทางระบบราชการว่า ควรใช้เพียงประโยคเดียวแทนกฎยาวเหยียด: “ถ้าคุณน่ารำคาญเกินกว่าที่ผลงานของคุณจะคุ้มค่า คุณจะถูกไล่ออก” Raymond เตือนว่าการเขียนกฎให้ละเอียดเกินไปจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนใช้กฎเป็นอาวุธโจมตีผู้อื่น โดยเฉพาะในกรณีที่คำว่า “Be kind!” ถูกบิดเบือนให้กลายเป็นเครื่องมือกดดันคนในชุมชน เขายอมรับว่าความเมตตาควรมี แต่ต้องเด็ดขาดกับคนที่ใช้ความเมตตาเป็นข้ออ้างในการควบคุมผู้อื่น แม้แนวคิดของ Raymond จะได้รับเสียงสนับสนุนจากบางกลุ่มที่เบื่อกับความซับซ้อนของกฎเกณฑ์ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าการไม่มี Code อาจเปิดช่องให้เกิดการละเมิดโดยไม่มีระบบจัดการ และอาจทำให้ชุมชนโอเพ่นซอร์สกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ร่วมงานหลากหลายกลุ่ม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Eric S. Raymond เสนอให้ยกเลิก Code of Conduct ในโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สทั้งหมด ➡️ เขาเรียก Code ว่า “โรคทางสังคม” ที่สร้างดราม่าและการเมืองในชุมชน ➡️ เสนอให้ใช้เพียงประโยคเดียวแทนกฎทั้งหมด: “ถ้าคุณน่ารำคาญเกินกว่าที่ผลงานของคุณจะคุ้มค่า คุณจะถูกไล่ออก” ➡️ เตือนว่าการเขียนกฎละเอียดเกินไปจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนใช้โจมตีผู้อื่น ➡️ ยอมรับว่าความเมตตาควรมี แต่ต้องเด็ดขาดกับคนที่ใช้มันเป็นอาวุธ ➡️ ชุมชนโอเพ่นซอร์สหลายแห่ง เช่น Linux, Fedora, Debian, Python มี Code of Conduct อยู่แล้ว ➡️ Raymond เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานแนวคิดโอเพ่นซอร์สตั้งแต่ยุคแรก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Code of Conduct ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความปลอดภัยและความเท่าเทียมในชุมชนเทคโนโลยี ➡️ หลายองค์กรใช้ CoC เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานจากกลุ่มที่ถูกกีดกันเข้ามามีส่วนร่วม ➡️ การไม่มี CoC อาจทำให้เกิดการล่วงละเมิดโดยไม่มีระบบจัดการหรือรายงาน ➡️ แนวคิด “Be kind!” ถูกใช้ในหลายชุมชนเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมที่เป็นมิตร ➡️ การจัดการความขัดแย้งในชุมชนโอเพ่นซอร์สต้องอาศัยทั้งกฎและความเข้าใจมนุษย์ https://news.itsfoss.com/codes-of-conduct-debate/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    The Man Who Started Open Source Initiative Advocates for Abolishing Codes of Conduct
    Between Anarchy and Bureaucracy: The Code of Conduct Debate Ignited by Eric Raymond.
    0 Comments 0 Shares 259 Views 0 Reviews
  • Highlight Words In Action : September 2025

    acrimony noun: sharpness, harshness, or bitterness of nature, speech, disposition, etc.

    From the headlines: European trade ministers gathered on July 14 to discuss the new U.S. tariffs, aiming to ease the acrimony between the EU and the Trump administration. While they planned potential countermeasures against the 30 percent tariffs, which they deemed “unacceptable,” they were united in favor of pursuing a negotiated agreement with the U.S. to maintain stable trade ties.

    adamant
    adjective: utterly unyielding in attitude or opinion in spite of all appeals, urgings, etc.

    From the headlines: Mars, the maker of M&M’s, Skittles, and other popular candies, remains adamant that it will only stop using synthetic dyes in its candy if legally required. While other food companies have announced plans to phase out artificial colors in items like Lucky Charms, Jell-O, and Kool-Aid, some candy manufacturers are holding firm. They argue that natural alternatives cost more and don’t deliver the same vibrant colors.

    aerial
    adjective: existing, living, growing, or operating in the air

    From the headlines: On June 29, Russia launched its largest aerial assault of the war in Ukraine, firing more missiles than in any previous attack since the beginning of the war in 2022. The strikes hit multiple Ukrainian cities, injuring at least a dozen people and damaging key infrastructure.

    autonomous
    adjective: existing as an independent entity

    From the headlines: Robots competed in a fully autonomous soccer tournament in Beijing, with four teams of three humanoid robots each operating solely under AI control. Although the idea was innovative, the robots had trouble with basic actions like kicking and staying balanced. Tsinghua University’s THU Robotics team clinched the championship by scoring five goals in the final round.

    bioluminescent
    adjective: pertaining to the production of light by living organisms

    From the headlines: A new research project will try to interpret the meaning of fireflies’ blinking. Scientists in Colorado enlisted the help of citizen observers to record videos of the bioluminescent insects at dusk. Researchers will eventually make a 3D map of where the glowing lights flash over time. While they know firefly blinks follow a deliberate pattern and are used to attract a mate, experts believe there is more to learn.

    bodega
    noun: a small, independent or family-owned grocery store, usually located in a densely populated urban environment

    From the headlines: A recent crime spree in New York City has targeted bodega ATMs. Thefts of cash machines have increased over the past five years, and New York’s small corner stores have been hit particularly hard. Three people are suspected of stealing almost $600,000 over six months by breaking into independent convenience stores, removing their ATMs, and driving away with them in stolen cars.

    contretemps
    noun: an inopportune occurrence; an embarrassing mischance

    From the headlines: After a contretemps between the Quebec Board of the French Language and Montreal’s transit agency, new rules grudgingly allow the use of the word “go” when cheering sports teams. The Board had objected to a Montreal Canadiens ad campaign that read “Go! Canadiens Go!” Tasked with preserving the province’s French heritage, the Board had been insisting on replacing the signs with “Allez! Canadiens Allez!”

    decorum
    noun: dignified propriety of behavior, speech, dress, etc.

    From the headlines: La Scala has introduced a new dress code requiring attendees to “choose clothing in keeping with the decorum of the theatre.” The renowned Milan opera house is codifying its long-standing policy discouraging attire like flip-flops, shorts, and tank tops. Guests are now expected to dress with elegance, honoring both the opera house’s refined ambiance and its storied cultural legacy.

    driftwood
    noun: pieces of trees that are floating on a body of water or have been washed ashore

    From the headlines: In rural Alaska, residents of some villages and small towns are continuing a long tradition by using driftwood for fuel and as energy-efficient siding for their homes. The pieces of wood, worn smooth by ocean waves or currents in rivers and streams, have been used this way by Indigenous Alaskans for thousands of years. Communities save money and protect the environment by reusing old trees or boards found floating in the water instead of buying lumber and logs.

    eavesdrop
    verb: to listen secretly to a private conversation

    From the headlines: Ecologists have found that long-billed curlews and other grassland nesters routinely eavesdrop on prairie dogs to dodge predators. Sharing a habitat where hawks, eagles, foxes, and other Great Plains animals lurk, the birds capitalize on the rodents’ warning calls. After eavesdropping on these distinctive calls, the curlews and other birds crouch or camouflage themselves until the threat has passed.

    emulate
    verb: to imitate with effort to equal or surpass

    From the headlines: Inspired by Paris’s recent success, cities across the globe are preparing to emulate its efforts to restore polluted urban rivers for public use. After a hundred-year swimming ban, Parisians can now take a dip in the once-contaminated Seine, thanks to more than a billion dollars spent on upgrades like sewer improvements and rainwater storage. Cities such as Berlin, Boston, New York, and London are developing similar plans to clean their waterways and make them safe for swimming once again.

    estuary
    noun: the part of the mouth or lower course of a river in which the river’s current meets the sea’s tide

    From the headlines: Florida Governor Ron DeSantis signed a bill that will ban oil drilling on the Apalachicola River. The river’s estuary is home to many endangered plants and animals, including the world’s largest stand of tupelo trees. The inlet is also the most important site in the state’s oyster industry. Environmentalists and fishermen supported the bill and pushed DeSantis to sign it.

    Fun fact: A Latin word meaning “boiling of the sea” is the root of estuary.

    gentrification
    noun: the buying and renovation of property in urban neighborhoods in a way that often displaces low-income families and small businesses

    From the headlines: Protesters in Mexico City say they’re angry about gentrification caused by large numbers of foreigners moving there since 2020. Locals say they have seen formerly affordable housing prices skyrocket as the numbers of short-term rentals and expats increase. Airbnb listings in the city have exploded to over 20,000, and Americans have arrived in particularly large numbers to buy and renovate houses. In the process, they say these factors have driven up costs for everyone, including local residents.

    hedonism
    noun: the doctrine that pleasure or happiness is the highest good

    From the headlines: Researchers say there are six traits that make someone seem “cool” to others, including extroversion, power, and embracing hedonism. An American Psychological Association study surveyed 6,000 people in 12 countries and found a sharp division between people seen as “good” versus “cool.” Being hedonistic, for example, didn’t make someone seem “good,” but focusing on one’s own happiness and pleasure was strongly associated with appearing “cool.”

    kayak
    verb: to travel by a traditional Inuit or Yupik canoe with a skin cover on a light framework, or by a small boat resembling this

    From the headlines: Several dozen Native American teens who spent a month kayaking the length of the Klamath River reached their destination. The group paddled their long, narrow boats about 300 miles, from Oregon to California, to celebrate the removal of four dams. The waterway holds a deep significance to Native American tribes, and many of the teens learned to kayak specifically to participate in the long paddle.

    larceny
    noun: the wrongful taking of someone’s property or goods

    From the headlines: Atlanta police have identified a suspect in the theft of hard drives holding unreleased Beyoncé songs. Setlists and plans for concert footage were also stolen when the alleged thief broke into a vehicle rented by the singer’s team. The larceny occurred during a stop on her Cowboy Carter tour.

    linchpin
    noun: something that holds the various elements of a complicated structure together

    From the headlines: The Department of Defense will stop supplying meteorologists with satellite data, which experts describe as a linchpin of storm modeling. Forecasts for hurricanes rely heavily on this military satellite feed to track storm paths and determine when people should evacuate.

    matcha
    noun: finely ground tea leaf powder used to make tea or as a flavoring, or the tea made from it

    From the headlines: The worldwide demand for matcha is causing severe shortages and higher prices. The bright green, grassy-flavored, powdered tea has a long history in Japan, but its popularity in other countries has exploded in recent years. Drinks and baked goods made with matcha have become wildly popular, causing Japanese tea growers to struggle to keep up with the demand.

    meteorite
    noun: a mass of stone or metal that has reached the earth from outer space

    From the headlines: On July 16, a bidder paid $4.3 million to own a chunk of Mars. The rare Martian meteorite, which weighs about 54 pounds, is the largest meteor fragment ever found on Earth that’s known to come from the red planet. Out of approximately 77,000 confirmed meteorites, only 400 were originally part of Mars. This one, named NWA 16788, was found in the Sahara Desert after its 140-million-mile journey through space.

    monastery
    noun: a residence occupied by a community of persons, especially monks, living in seclusion under religious vows

    From the headlines: Tens of thousands of books are being removed from a medieval Hungarian monastery to save them from a beetle infestation. The Pannonhalma Archabbey contains Hungary’s oldest library and some of the country’s most ancient and valuable books and written records. The monastery was founded 1,000 years ago by Benedictines, and about fifty monks live there today, practicing religious contemplation and solitude.

    nuptials
    noun: a marriage ceremony, or a social event accompanying one

    From the headlines: Protesters took to the streets in Venice as Amazon founder Jeff Bezos and Lauren Sanchez held their nuptials on a Venetian island, complete with 200 guests and three days of extravagant celebrations. Locals expressed outrage, saying the event placed additional strain on a city already struggling with overtourism and environmental fragility.

    offering
    noun: something presented to a deity as a symbol of devotion

    From the headlines: Archaeologists discovered about 2,000 pottery offerings on the Greek island of Kythnos. Historians said the clay figures, which represent children, women, and animals, had been left by devoted worshippers over the centuries. Two ancient temples once stood on the site, as well as a pit where the objects given as gifts to the gods were eventually thrown away to make room for new offerings.

    parody
    noun: a humorous or satirical imitation of a serious piece of writing or art

    From the headlines: Weird Al Yankovic, famed for his clever musical parodies, performed to a sold-out crowd at Madison Square Garden in New York, marking his first show at the iconic 20,000-seat venue. Over his forty-year career, Yankovic has become the most recognizable figure in the parody genre, with hits such as “Like a Surgeon,” a spoof of Madonna’s “Like a Virgin,” and “I Love Rocky Road,” a playful take on “I Love Rock ‘n Roll.”

    perennial
    adjective: arising repeatedly or always existing

    From the headlines: Joey Chestnut, the perennial champion of the Nathan’s Famous Hot Dog Eating Contest, reclaimed his crown this year after missing last year’s competition. He was sidelined in 2024 due to a sponsorship deal with a vegan meat brand, but prior to that, Chestnut had claimed victory in 16 of the past 17 contests. He still holds the world record for devouring 76 hot dogs and buns in just 10 minutes in 2021.

    philanthropist
    noun: someone who makes charitable donations

    From the headlines: Warren Buffett said he would donate $6 billion to five charitable foundations. The businessman and philanthropist, whose net worth is approximately $145 billion, has previously given more than $50 billion to the aforementioned foundations. While Buffet’s children will decide how to give away the rest of his fortune after his death, he said that more than 99 percent of it will have to be used philanthropically.

    plunder
    verb: to take wrongfully, as by pillage, robbery, or fraud

    From the headlines: Experts assumed that a Stradivarius violin plundered after World War II had been lost or destroyed; now it appears to have resurfaced. The 316-year-old instrument was stolen from a Berlin bank safe during the chaos at the end of the war, and the family who owned it searched for decades before giving up. An image of the looted violin, which is valued at millions of dollars, was discovered among photos of Stradivarius instruments from a 2018 Tokyo exhibition.

    risotto
    noun: a dish of rice cooked with broth and flavored with grated cheese and other ingredients

    From the headlines: The short-grain Italian rice that’s used to make risotto is under threat from an unusual culprit: flamingos. Flocks of the birds are settling into northern Italian rice paddies instead of their usual nesting grounds. By stirring the shallow water and rooting for mollusks, the flamingos are destroying many valuable rice crops.

    skittish
    adjective: easily frightened or extremely cautious

    From the headlines: Economists report that despite a low unemployment rate, employers are increasingly skittish about hiring, leaving many recent college graduates struggling to find jobs. Numerous tech companies, consulting firms, and federal agencies are cutting back or freezing hiring, while other industries are hesitant to increase payroll expenses. Furthermore, fewer workers are quitting, limiting job openings even more.

    synthetic
    adjective: pertaining to compounds formed through a chemical process by human agency, as opposed to those of natural origin

    From the headlines: The J.M. Smucker Company has announced it will phase out synthetic dyes from its jams and other offerings. While many of its products are already made without artificial colors, some, including sugar-free jams and Hostess snacks like Twinkies and Snoballs, still rely on them. The company intends to use naturally sourced dyes by 2027.

    tandem
    adverb: one following or behind the other

    From the headlines: Researchers were surprised by video evidence of animals that are normally at odds traveling in tandem. A night-vision camera recorded an ocelot traveling peacefully behind an opossum — a surprise, since ocelots usually prey on opossums. Later footage showed the opossum trailing the ocelot as it prowled. Other researchers have since reported at least three additional examples of such behavior.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Highlight Words In Action : September 2025 acrimony noun: sharpness, harshness, or bitterness of nature, speech, disposition, etc. From the headlines: European trade ministers gathered on July 14 to discuss the new U.S. tariffs, aiming to ease the acrimony between the EU and the Trump administration. While they planned potential countermeasures against the 30 percent tariffs, which they deemed “unacceptable,” they were united in favor of pursuing a negotiated agreement with the U.S. to maintain stable trade ties. adamant adjective: utterly unyielding in attitude or opinion in spite of all appeals, urgings, etc. From the headlines: Mars, the maker of M&M’s, Skittles, and other popular candies, remains adamant that it will only stop using synthetic dyes in its candy if legally required. While other food companies have announced plans to phase out artificial colors in items like Lucky Charms, Jell-O, and Kool-Aid, some candy manufacturers are holding firm. They argue that natural alternatives cost more and don’t deliver the same vibrant colors. aerial adjective: existing, living, growing, or operating in the air From the headlines: On June 29, Russia launched its largest aerial assault of the war in Ukraine, firing more missiles than in any previous attack since the beginning of the war in 2022. The strikes hit multiple Ukrainian cities, injuring at least a dozen people and damaging key infrastructure. autonomous adjective: existing as an independent entity From the headlines: Robots competed in a fully autonomous soccer tournament in Beijing, with four teams of three humanoid robots each operating solely under AI control. Although the idea was innovative, the robots had trouble with basic actions like kicking and staying balanced. Tsinghua University’s THU Robotics team clinched the championship by scoring five goals in the final round. bioluminescent adjective: pertaining to the production of light by living organisms From the headlines: A new research project will try to interpret the meaning of fireflies’ blinking. Scientists in Colorado enlisted the help of citizen observers to record videos of the bioluminescent insects at dusk. Researchers will eventually make a 3D map of where the glowing lights flash over time. While they know firefly blinks follow a deliberate pattern and are used to attract a mate, experts believe there is more to learn. bodega noun: a small, independent or family-owned grocery store, usually located in a densely populated urban environment From the headlines: A recent crime spree in New York City has targeted bodega ATMs. Thefts of cash machines have increased over the past five years, and New York’s small corner stores have been hit particularly hard. Three people are suspected of stealing almost $600,000 over six months by breaking into independent convenience stores, removing their ATMs, and driving away with them in stolen cars. contretemps noun: an inopportune occurrence; an embarrassing mischance From the headlines: After a contretemps between the Quebec Board of the French Language and Montreal’s transit agency, new rules grudgingly allow the use of the word “go” when cheering sports teams. The Board had objected to a Montreal Canadiens ad campaign that read “Go! Canadiens Go!” Tasked with preserving the province’s French heritage, the Board had been insisting on replacing the signs with “Allez! Canadiens Allez!” decorum noun: dignified propriety of behavior, speech, dress, etc. From the headlines: La Scala has introduced a new dress code requiring attendees to “choose clothing in keeping with the decorum of the theatre.” The renowned Milan opera house is codifying its long-standing policy discouraging attire like flip-flops, shorts, and tank tops. Guests are now expected to dress with elegance, honoring both the opera house’s refined ambiance and its storied cultural legacy. driftwood noun: pieces of trees that are floating on a body of water or have been washed ashore From the headlines: In rural Alaska, residents of some villages and small towns are continuing a long tradition by using driftwood for fuel and as energy-efficient siding for their homes. The pieces of wood, worn smooth by ocean waves or currents in rivers and streams, have been used this way by Indigenous Alaskans for thousands of years. Communities save money and protect the environment by reusing old trees or boards found floating in the water instead of buying lumber and logs. eavesdrop verb: to listen secretly to a private conversation From the headlines: Ecologists have found that long-billed curlews and other grassland nesters routinely eavesdrop on prairie dogs to dodge predators. Sharing a habitat where hawks, eagles, foxes, and other Great Plains animals lurk, the birds capitalize on the rodents’ warning calls. After eavesdropping on these distinctive calls, the curlews and other birds crouch or camouflage themselves until the threat has passed. emulate verb: to imitate with effort to equal or surpass From the headlines: Inspired by Paris’s recent success, cities across the globe are preparing to emulate its efforts to restore polluted urban rivers for public use. After a hundred-year swimming ban, Parisians can now take a dip in the once-contaminated Seine, thanks to more than a billion dollars spent on upgrades like sewer improvements and rainwater storage. Cities such as Berlin, Boston, New York, and London are developing similar plans to clean their waterways and make them safe for swimming once again. estuary noun: the part of the mouth or lower course of a river in which the river’s current meets the sea’s tide From the headlines: Florida Governor Ron DeSantis signed a bill that will ban oil drilling on the Apalachicola River. The river’s estuary is home to many endangered plants and animals, including the world’s largest stand of tupelo trees. The inlet is also the most important site in the state’s oyster industry. Environmentalists and fishermen supported the bill and pushed DeSantis to sign it. Fun fact: A Latin word meaning “boiling of the sea” is the root of estuary. gentrification noun: the buying and renovation of property in urban neighborhoods in a way that often displaces low-income families and small businesses From the headlines: Protesters in Mexico City say they’re angry about gentrification caused by large numbers of foreigners moving there since 2020. Locals say they have seen formerly affordable housing prices skyrocket as the numbers of short-term rentals and expats increase. Airbnb listings in the city have exploded to over 20,000, and Americans have arrived in particularly large numbers to buy and renovate houses. In the process, they say these factors have driven up costs for everyone, including local residents. hedonism noun: the doctrine that pleasure or happiness is the highest good From the headlines: Researchers say there are six traits that make someone seem “cool” to others, including extroversion, power, and embracing hedonism. An American Psychological Association study surveyed 6,000 people in 12 countries and found a sharp division between people seen as “good” versus “cool.” Being hedonistic, for example, didn’t make someone seem “good,” but focusing on one’s own happiness and pleasure was strongly associated with appearing “cool.” kayak verb: to travel by a traditional Inuit or Yupik canoe with a skin cover on a light framework, or by a small boat resembling this From the headlines: Several dozen Native American teens who spent a month kayaking the length of the Klamath River reached their destination. The group paddled their long, narrow boats about 300 miles, from Oregon to California, to celebrate the removal of four dams. The waterway holds a deep significance to Native American tribes, and many of the teens learned to kayak specifically to participate in the long paddle. larceny noun: the wrongful taking of someone’s property or goods From the headlines: Atlanta police have identified a suspect in the theft of hard drives holding unreleased Beyoncé songs. Setlists and plans for concert footage were also stolen when the alleged thief broke into a vehicle rented by the singer’s team. The larceny occurred during a stop on her Cowboy Carter tour. linchpin noun: something that holds the various elements of a complicated structure together From the headlines: The Department of Defense will stop supplying meteorologists with satellite data, which experts describe as a linchpin of storm modeling. Forecasts for hurricanes rely heavily on this military satellite feed to track storm paths and determine when people should evacuate. matcha noun: finely ground tea leaf powder used to make tea or as a flavoring, or the tea made from it From the headlines: The worldwide demand for matcha is causing severe shortages and higher prices. The bright green, grassy-flavored, powdered tea has a long history in Japan, but its popularity in other countries has exploded in recent years. Drinks and baked goods made with matcha have become wildly popular, causing Japanese tea growers to struggle to keep up with the demand. meteorite noun: a mass of stone or metal that has reached the earth from outer space From the headlines: On July 16, a bidder paid $4.3 million to own a chunk of Mars. The rare Martian meteorite, which weighs about 54 pounds, is the largest meteor fragment ever found on Earth that’s known to come from the red planet. Out of approximately 77,000 confirmed meteorites, only 400 were originally part of Mars. This one, named NWA 16788, was found in the Sahara Desert after its 140-million-mile journey through space. monastery noun: a residence occupied by a community of persons, especially monks, living in seclusion under religious vows From the headlines: Tens of thousands of books are being removed from a medieval Hungarian monastery to save them from a beetle infestation. The Pannonhalma Archabbey contains Hungary’s oldest library and some of the country’s most ancient and valuable books and written records. The monastery was founded 1,000 years ago by Benedictines, and about fifty monks live there today, practicing religious contemplation and solitude. nuptials noun: a marriage ceremony, or a social event accompanying one From the headlines: Protesters took to the streets in Venice as Amazon founder Jeff Bezos and Lauren Sanchez held their nuptials on a Venetian island, complete with 200 guests and three days of extravagant celebrations. Locals expressed outrage, saying the event placed additional strain on a city already struggling with overtourism and environmental fragility. offering noun: something presented to a deity as a symbol of devotion From the headlines: Archaeologists discovered about 2,000 pottery offerings on the Greek island of Kythnos. Historians said the clay figures, which represent children, women, and animals, had been left by devoted worshippers over the centuries. Two ancient temples once stood on the site, as well as a pit where the objects given as gifts to the gods were eventually thrown away to make room for new offerings. parody noun: a humorous or satirical imitation of a serious piece of writing or art From the headlines: Weird Al Yankovic, famed for his clever musical parodies, performed to a sold-out crowd at Madison Square Garden in New York, marking his first show at the iconic 20,000-seat venue. Over his forty-year career, Yankovic has become the most recognizable figure in the parody genre, with hits such as “Like a Surgeon,” a spoof of Madonna’s “Like a Virgin,” and “I Love Rocky Road,” a playful take on “I Love Rock ‘n Roll.” perennial adjective: arising repeatedly or always existing From the headlines: Joey Chestnut, the perennial champion of the Nathan’s Famous Hot Dog Eating Contest, reclaimed his crown this year after missing last year’s competition. He was sidelined in 2024 due to a sponsorship deal with a vegan meat brand, but prior to that, Chestnut had claimed victory in 16 of the past 17 contests. He still holds the world record for devouring 76 hot dogs and buns in just 10 minutes in 2021. philanthropist noun: someone who makes charitable donations From the headlines: Warren Buffett said he would donate $6 billion to five charitable foundations. The businessman and philanthropist, whose net worth is approximately $145 billion, has previously given more than $50 billion to the aforementioned foundations. While Buffet’s children will decide how to give away the rest of his fortune after his death, he said that more than 99 percent of it will have to be used philanthropically. plunder verb: to take wrongfully, as by pillage, robbery, or fraud From the headlines: Experts assumed that a Stradivarius violin plundered after World War II had been lost or destroyed; now it appears to have resurfaced. The 316-year-old instrument was stolen from a Berlin bank safe during the chaos at the end of the war, and the family who owned it searched for decades before giving up. An image of the looted violin, which is valued at millions of dollars, was discovered among photos of Stradivarius instruments from a 2018 Tokyo exhibition. risotto noun: a dish of rice cooked with broth and flavored with grated cheese and other ingredients From the headlines: The short-grain Italian rice that’s used to make risotto is under threat from an unusual culprit: flamingos. Flocks of the birds are settling into northern Italian rice paddies instead of their usual nesting grounds. By stirring the shallow water and rooting for mollusks, the flamingos are destroying many valuable rice crops. skittish adjective: easily frightened or extremely cautious From the headlines: Economists report that despite a low unemployment rate, employers are increasingly skittish about hiring, leaving many recent college graduates struggling to find jobs. Numerous tech companies, consulting firms, and federal agencies are cutting back or freezing hiring, while other industries are hesitant to increase payroll expenses. Furthermore, fewer workers are quitting, limiting job openings even more. synthetic adjective: pertaining to compounds formed through a chemical process by human agency, as opposed to those of natural origin From the headlines: The J.M. Smucker Company has announced it will phase out synthetic dyes from its jams and other offerings. While many of its products are already made without artificial colors, some, including sugar-free jams and Hostess snacks like Twinkies and Snoballs, still rely on them. The company intends to use naturally sourced dyes by 2027. tandem adverb: one following or behind the other From the headlines: Researchers were surprised by video evidence of animals that are normally at odds traveling in tandem. A night-vision camera recorded an ocelot traveling peacefully behind an opossum — a surprise, since ocelots usually prey on opossums. Later footage showed the opossum trailing the ocelot as it prowled. Other researchers have since reported at least three additional examples of such behavior. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 Comments 0 Shares 526 Views 0 Reviews
  • “Euclyd เปิดตัว CRAFTWERK — ชิป AI ขนาดฝ่ามือที่แรงกว่า Nvidia ด้วย 16,384 คอร์ และแบนด์วิดธ์ 8PB/s”

    ในงาน KISACO Infrastructure Summit 2025 ที่ซานตาคลารา สตาร์ทอัพจากยุโรปชื่อ Euclyd ได้เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ชื่อว่า “CRAFTWERK” ซึ่งสร้างความฮือฮาในวงการด้วยสเปกที่เหนือกว่าชิปจากบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Nvidia และ Intel อย่างชัดเจน

    CRAFTWERK เป็นชิปแบบ SiP (System-in-Package) ขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ แต่ภายในบรรจุ SIMD processor ถึง 16,384 คอร์ พร้อมหน่วยความจำแบบใหม่ที่เรียกว่า UBM (Ultra Bandwidth Memory) ขนาด 1TB ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้เร็วถึง 8,000TB/s หรือ 8PB/s — เร็วกว่าหน่วยความจำ HBM ที่ Nvidia ใช้อย่างมาก

    ด้านการประมวลผล CRAFTWERK ให้พลังสูงถึง 8 PFLOPS ใน FP16 และ 32 PFLOPS ใน FP4 ซึ่งเหมาะกับงาน AI inference โดยเฉพาะแบบ agentic AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดี

    นอกจากนี้ Euclyd ยังเปิดตัว CRAFTWERK STATION CWS 32 ซึ่งเป็นระบบ rack-scale ที่รวมชิป CRAFTWERK 32 ตัวเข้าด้วยกัน ให้พลังรวมถึง 1.024 exaflops และหน่วยความจำรวม 32TB โดยสามารถสร้าง token ได้ถึง 7.68 ล้านต่อวินาทีในโหมดหลายผู้ใช้ และใช้พลังงานเพียง 125kW ซึ่งถือว่าประหยัดกว่าระบบทั่วไปถึง 100 เท่า

    บริษัทตั้งอยู่ใน Eindhoven ประเทศเนเธอร์แลนด์ และมีสำนักงานในซานโฮเซ่ สหรัฐฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญในวงการ เช่น Peter Wennink อดีต CEO ของ ASML และ Federico Faggin ผู้คิดค้นไมโครโปรเซสเซอร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Euclyd เปิดตัวชิป AI CRAFTWERK ที่งาน KISACO Summit 2025
    ชิปมี 16,384 SIMD คอร์ และหน่วยความจำ UBM ขนาด 1TB
    แบนด์วิดธ์ของ UBM สูงถึง 8PB/s เร็วกว่าหน่วยความจำ HBM ของ Nvidia
    ให้พลังประมวลผล 8 PFLOPS (FP16) และ 32 PFLOPS (FP4)
    CRAFTWERK STATION CWS 32 รวมชิป 32 ตัว ให้พลังรวม 1.024 exaflops
    สร้าง token ได้ 7.68 ล้านต่อวินาที ใช้พลังงานเพียง 125kW
    ประสิทธิภาพด้านพลังงานและต้นทุนต่อ token ดีกว่าระบบทั่วไปถึง 100 เท่า
    บริษัทมีสำนักงานในเนเธอร์แลนด์และสหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจากอดีตผู้บริหาร ASML และผู้คิดค้นไมโครโปรเซสเซอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FP4 เป็นรูปแบบความแม่นยำต่ำที่เหมาะกับงาน inference โดยเฉพาะ LLM
    SIMD (Single Instruction, Multiple Data) เหมาะกับงานที่ต้องประมวลผลข้อมูลจำนวนมากพร้อมกัน
    UBM เป็นหน่วยความจำที่ออกแบบมาเฉพาะ ไม่ใช้เทคโนโลยีจาก HBM หรือ SRAM
    การใช้ SiP ขนาดเล็กช่วยลดความซับซ้อนในการเชื่อมต่อและการจัดการพลังงาน
    Euclyd ใช้แนวคิด “Crafted Compute” ที่ออกแบบทุกส่วนตั้งแต่ processor ถึง packaging

    https://www.techradar.com/pro/obscure-eu-ai-startup-outs-massive-chip-that-has-16-384-simd-processors-and-1tb-of-memory-thats-even-faster-than-nvidias-hbm-euclyds-ubm-has-8pb-s-bandwidth-32pf-fp4-compute-performance-and-some-iconic-backers
    🚀 “Euclyd เปิดตัว CRAFTWERK — ชิป AI ขนาดฝ่ามือที่แรงกว่า Nvidia ด้วย 16,384 คอร์ และแบนด์วิดธ์ 8PB/s” ในงาน KISACO Infrastructure Summit 2025 ที่ซานตาคลารา สตาร์ทอัพจากยุโรปชื่อ Euclyd ได้เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ชื่อว่า “CRAFTWERK” ซึ่งสร้างความฮือฮาในวงการด้วยสเปกที่เหนือกว่าชิปจากบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Nvidia และ Intel อย่างชัดเจน CRAFTWERK เป็นชิปแบบ SiP (System-in-Package) ขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ แต่ภายในบรรจุ SIMD processor ถึง 16,384 คอร์ พร้อมหน่วยความจำแบบใหม่ที่เรียกว่า UBM (Ultra Bandwidth Memory) ขนาด 1TB ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้เร็วถึง 8,000TB/s หรือ 8PB/s — เร็วกว่าหน่วยความจำ HBM ที่ Nvidia ใช้อย่างมาก ด้านการประมวลผล CRAFTWERK ให้พลังสูงถึง 8 PFLOPS ใน FP16 และ 32 PFLOPS ใน FP4 ซึ่งเหมาะกับงาน AI inference โดยเฉพาะแบบ agentic AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดี นอกจากนี้ Euclyd ยังเปิดตัว CRAFTWERK STATION CWS 32 ซึ่งเป็นระบบ rack-scale ที่รวมชิป CRAFTWERK 32 ตัวเข้าด้วยกัน ให้พลังรวมถึง 1.024 exaflops และหน่วยความจำรวม 32TB โดยสามารถสร้าง token ได้ถึง 7.68 ล้านต่อวินาทีในโหมดหลายผู้ใช้ และใช้พลังงานเพียง 125kW ซึ่งถือว่าประหยัดกว่าระบบทั่วไปถึง 100 เท่า บริษัทตั้งอยู่ใน Eindhoven ประเทศเนเธอร์แลนด์ และมีสำนักงานในซานโฮเซ่ สหรัฐฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญในวงการ เช่น Peter Wennink อดีต CEO ของ ASML และ Federico Faggin ผู้คิดค้นไมโครโปรเซสเซอร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Euclyd เปิดตัวชิป AI CRAFTWERK ที่งาน KISACO Summit 2025 ➡️ ชิปมี 16,384 SIMD คอร์ และหน่วยความจำ UBM ขนาด 1TB ➡️ แบนด์วิดธ์ของ UBM สูงถึง 8PB/s เร็วกว่าหน่วยความจำ HBM ของ Nvidia ➡️ ให้พลังประมวลผล 8 PFLOPS (FP16) และ 32 PFLOPS (FP4) ➡️ CRAFTWERK STATION CWS 32 รวมชิป 32 ตัว ให้พลังรวม 1.024 exaflops ➡️ สร้าง token ได้ 7.68 ล้านต่อวินาที ใช้พลังงานเพียง 125kW ➡️ ประสิทธิภาพด้านพลังงานและต้นทุนต่อ token ดีกว่าระบบทั่วไปถึง 100 เท่า ➡️ บริษัทมีสำนักงานในเนเธอร์แลนด์และสหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจากอดีตผู้บริหาร ASML และผู้คิดค้นไมโครโปรเซสเซอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FP4 เป็นรูปแบบความแม่นยำต่ำที่เหมาะกับงาน inference โดยเฉพาะ LLM ➡️ SIMD (Single Instruction, Multiple Data) เหมาะกับงานที่ต้องประมวลผลข้อมูลจำนวนมากพร้อมกัน ➡️ UBM เป็นหน่วยความจำที่ออกแบบมาเฉพาะ ไม่ใช้เทคโนโลยีจาก HBM หรือ SRAM ➡️ การใช้ SiP ขนาดเล็กช่วยลดความซับซ้อนในการเชื่อมต่อและการจัดการพลังงาน ➡️ Euclyd ใช้แนวคิด “Crafted Compute” ที่ออกแบบทุกส่วนตั้งแต่ processor ถึง packaging https://www.techradar.com/pro/obscure-eu-ai-startup-outs-massive-chip-that-has-16-384-simd-processors-and-1tb-of-memory-thats-even-faster-than-nvidias-hbm-euclyds-ubm-has-8pb-s-bandwidth-32pf-fp4-compute-performance-and-some-iconic-backers
    0 Comments 0 Shares 239 Views 0 Reviews
  • “Alpine Linux 3.23 ปรับโครงสร้างระบบไฟล์ครั้งใหญ่ — ก้าวสู่ยุค /usr-merged เพื่อความเสถียรและง่ายต่อการดูแล”

    หลังจากเตรียมการมานานหลายเดือน ทีมพัฒนา Alpine Linux ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ตั้งแต่เวอร์ชัน 3.23 เป็นต้นไป Alpine Linux จะใช้โครงสร้างระบบไฟล์แบบ /usr-merged โดยที่โฟลเดอร์หลักอย่าง /bin, /sbin และ /lib จะถูกเปลี่ยนเป็น symbolic links ไปยัง /usr/bin, /usr/sbin และ /usr/lib ตามลำดับ

    การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อรวมตำแหน่งของไฟล์ executable และไลบรารีให้เป็นจุดเดียว ลดความซับซ้อนในการดูแลแพ็กเกจ และทำให้การจัดการข้อมูลในระบบ container ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่นิยมใช้ในดิสโทร Linux อื่น ๆ เช่น Fedora, Debian และ Arch Linux

    สำหรับผู้ใช้ที่ติดตั้งใหม่ในเวอร์ชัน 3.23 ระบบจะเป็น /usr-merged โดยอัตโนมัติ ส่วนผู้ใช้ที่อัปเกรดจากเวอร์ชันก่อนหน้า เช่น 3.22 จะยังไม่ถูกบังคับให้เปลี่ยน แต่ได้รับคำแนะนำให้เริ่มทดสอบและย้ายระบบด้วยคำสั่ง doas merge-usr --dryrun และ doas merge-usr

    อย่างไรก็ตาม เมื่อ Alpine Linux 3.22 สิ้นสุดการสนับสนุนในอนาคต (คาดว่าในช่วงเวอร์ชัน 3.26 หรือ 3.27) ระบบที่ยังไม่เป็น /usr-merged จะไม่สามารถอัปเกรดได้ และจะถือว่า “ไม่รองรับอย่างเป็นทางการ”

    การเปลี่ยนแปลงนี้ยังช่วยแก้ปัญหาที่เคยเกิดจากการมี binary ซ้ำกันระหว่าง busybox และแพ็กเกจอื่น ๆ เช่น มีไฟล์ใน /bin และ /usr/bin ที่ทำงานคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน ซึ่งสร้างความสับสนในการดูแลระบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Alpine Linux 3.23 เริ่มใช้โครงสร้างระบบไฟล์แบบ /usr-merged
    /bin, /sbin และ /lib จะกลายเป็น symbolic links ไปยัง /usr/bin, /usr/sbin และ /usr/lib
    การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดภาระการดูแลแพ็กเกจและเพิ่มความเสถียรในระบบ container
    การติดตั้งใหม่ในเวอร์ชัน 3.23 จะเป็น /usr-merged โดยอัตโนมัติ
    ผู้ใช้ที่อัปเกรดจากเวอร์ชันก่อนหน้าไม่ถูกบังคับ แต่แนะนำให้เริ่มย้ายระบบ
    คำสั่งที่ใช้ในการย้ายระบบคือ doas merge-usr --dryrun และ doas merge-usr
    เมื่อ Alpine Linux 3.22 สิ้นสุดการสนับสนุน ระบบที่ไม่ใช่ /usr-merged จะไม่สามารถอัปเกรดได้
    การรวมโฟลเดอร์ช่วยลดปัญหา binary ซ้ำระหว่าง busybox และแพ็กเกจอื่น ๆ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ดิสโทร Linux ชั้นนำหลายตัวได้เปลี่ยนมาใช้ /usr-merged แล้ว เช่น Fedora, Debian และ Arch
    Filesystem Hierarchy Standard (FHS) อาจปรับให้ /usr/bin และ /usr/sbin รวมกันในอนาคต
    การใช้ symbolic links ช่วยให้ PATH ไม่เปลี่ยน และยังคงความเข้ากันได้กับระบบเดิม
    การจัดการ container เช่น Docker หรือ Podman จะง่ายขึ้นเมื่อข้อมูลอยู่ภายใต้ /usr
    postmarketOS ซึ่งใช้ Alpine เป็นฐาน ได้รับประโยชน์จากการ merge นี้ในการลดความซับซ้อนของระบบ

    https://9to5linux.com/alpine-linux-is-moving-to-a-usr-merged-file-system-layout
    🧭 “Alpine Linux 3.23 ปรับโครงสร้างระบบไฟล์ครั้งใหญ่ — ก้าวสู่ยุค /usr-merged เพื่อความเสถียรและง่ายต่อการดูแล” หลังจากเตรียมการมานานหลายเดือน ทีมพัฒนา Alpine Linux ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ตั้งแต่เวอร์ชัน 3.23 เป็นต้นไป Alpine Linux จะใช้โครงสร้างระบบไฟล์แบบ /usr-merged โดยที่โฟลเดอร์หลักอย่าง /bin, /sbin และ /lib จะถูกเปลี่ยนเป็น symbolic links ไปยัง /usr/bin, /usr/sbin และ /usr/lib ตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อรวมตำแหน่งของไฟล์ executable และไลบรารีให้เป็นจุดเดียว ลดความซับซ้อนในการดูแลแพ็กเกจ และทำให้การจัดการข้อมูลในระบบ container ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่นิยมใช้ในดิสโทร Linux อื่น ๆ เช่น Fedora, Debian และ Arch Linux สำหรับผู้ใช้ที่ติดตั้งใหม่ในเวอร์ชัน 3.23 ระบบจะเป็น /usr-merged โดยอัตโนมัติ ส่วนผู้ใช้ที่อัปเกรดจากเวอร์ชันก่อนหน้า เช่น 3.22 จะยังไม่ถูกบังคับให้เปลี่ยน แต่ได้รับคำแนะนำให้เริ่มทดสอบและย้ายระบบด้วยคำสั่ง doas merge-usr --dryrun และ doas merge-usr อย่างไรก็ตาม เมื่อ Alpine Linux 3.22 สิ้นสุดการสนับสนุนในอนาคต (คาดว่าในช่วงเวอร์ชัน 3.26 หรือ 3.27) ระบบที่ยังไม่เป็น /usr-merged จะไม่สามารถอัปเกรดได้ และจะถือว่า “ไม่รองรับอย่างเป็นทางการ” การเปลี่ยนแปลงนี้ยังช่วยแก้ปัญหาที่เคยเกิดจากการมี binary ซ้ำกันระหว่าง busybox และแพ็กเกจอื่น ๆ เช่น มีไฟล์ใน /bin และ /usr/bin ที่ทำงานคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน ซึ่งสร้างความสับสนในการดูแลระบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Alpine Linux 3.23 เริ่มใช้โครงสร้างระบบไฟล์แบบ /usr-merged ➡️ /bin, /sbin และ /lib จะกลายเป็น symbolic links ไปยัง /usr/bin, /usr/sbin และ /usr/lib ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดภาระการดูแลแพ็กเกจและเพิ่มความเสถียรในระบบ container ➡️ การติดตั้งใหม่ในเวอร์ชัน 3.23 จะเป็น /usr-merged โดยอัตโนมัติ ➡️ ผู้ใช้ที่อัปเกรดจากเวอร์ชันก่อนหน้าไม่ถูกบังคับ แต่แนะนำให้เริ่มย้ายระบบ ➡️ คำสั่งที่ใช้ในการย้ายระบบคือ doas merge-usr --dryrun และ doas merge-usr ➡️ เมื่อ Alpine Linux 3.22 สิ้นสุดการสนับสนุน ระบบที่ไม่ใช่ /usr-merged จะไม่สามารถอัปเกรดได้ ➡️ การรวมโฟลเดอร์ช่วยลดปัญหา binary ซ้ำระหว่าง busybox และแพ็กเกจอื่น ๆ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ดิสโทร Linux ชั้นนำหลายตัวได้เปลี่ยนมาใช้ /usr-merged แล้ว เช่น Fedora, Debian และ Arch ➡️ Filesystem Hierarchy Standard (FHS) อาจปรับให้ /usr/bin และ /usr/sbin รวมกันในอนาคต ➡️ การใช้ symbolic links ช่วยให้ PATH ไม่เปลี่ยน และยังคงความเข้ากันได้กับระบบเดิม ➡️ การจัดการ container เช่น Docker หรือ Podman จะง่ายขึ้นเมื่อข้อมูลอยู่ภายใต้ /usr ➡️ postmarketOS ซึ่งใช้ Alpine เป็นฐาน ได้รับประโยชน์จากการ merge นี้ในการลดความซับซ้อนของระบบ https://9to5linux.com/alpine-linux-is-moving-to-a-usr-merged-file-system-layout
    9TO5LINUX.COM
    Alpine Linux Is Moving to a /usr-merged File System Layout - 9to5Linux
    The Alpine Linux distribution will adopt a /usr-merged file system layout for future Alpine Linux releases starting with Alpine Linux 3.23.
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 Reviews
  • “openSUSE Leap 16 เปิดตัวแล้ว — ปรับโฉมด้วย Agama, SELinux และ Linux Kernel 6.12 LTS พร้อมรองรับอนาคตองค์กร”

    openSUSE ประกาศเปิดตัว Leap 16 อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของดิสโทรสายเสถียรที่ได้รับการสนับสนุนระยะยาว (LTS) รุ่นนี้ถูกพัฒนาบนพื้นฐาน SUSE Linux Enterprise Server (SLES) 16 และใช้โครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า SUSE Linux Framework One (ชื่อเดิมคือ Adaptable Linux Platform หรือ ALP) พร้อมขับเคลื่อนด้วย Linux Kernel 6.12 LTS ที่เน้นความเสถียรและความปลอดภัยสำหรับองค์กร

    หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเปลี่ยนตัวติดตั้งจาก YaST มาเป็น Agama ซึ่งพัฒนาโดยทีมเดียวกันกับ YaST แต่เน้นความยืดหยุ่นมากขึ้น รองรับการติดตั้งดิสโทรอื่น ๆ ของ openSUSE เช่น Tumbleweed, Slowroll และ MicroOS ได้ด้วย

    Leap 16 ยังเปลี่ยนระบบควบคุมสิทธิ์จาก AppArmor มาใช้ SELinux เป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งได้รับการยอมรับมากกว่าในแวดวงความปลอดภัยระดับสูง และมีชุมชนพัฒนา upstream ที่แข็งแกร่งกว่า

    ด้านประสิทธิภาพ Leap 16 ปรับปรุงระบบจัดการ repository โดยใช้ RIS-based repository management ที่แยกตามสถาปัตยกรรม ทำให้ metadata มีขนาดเล็กลงและรีเฟรชได้เร็วขึ้น พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Zypper ให้รองรับการดาวน์โหลดแพ็กเกจแบบขนาน (parallel downloads) เพื่อเร่งความเร็วในการติดตั้งและอัปเดต

    Leap 16 ยังเพิ่มเครื่องมือใหม่ เช่น Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ และ Myrlyn ซึ่งมาแทน YaST Qt GUI สำหรับการติดตั้งซอฟต์แวร์ โดย Leap 16 ได้ถอดการรองรับ SysV init ออกอย่างสมบูรณ์แล้ว

    ผู้ใช้สามารถเลือกติดตั้ง Leap 16 ได้ทั้งแบบไม่มี GUI (Base) หรือใช้ GNOME 48, KDE Plasma 6.4 หรือ Xfce 4.20 เป็นเดสก์ท็อป โดยรองรับสถาปัตยกรรมหลากหลาย เช่น x86_64 v2, AArch64, ppc64le และ s390x รวมถึงมีภาพติดตั้งแบบ OEM เป็นครั้งแรก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    openSUSE Leap 16 เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 1 ตุลาคม 2025
    พัฒนาบน SUSE Linux Framework One และใช้ Linux Kernel 6.12 LTS
    เปลี่ยนตัวติดตั้งจาก YaST มาเป็น Agama ที่ยืดหยุ่นและรองรับหลายดิสโทร
    เปลี่ยนระบบควบคุมสิทธิ์จาก AppArmor มาใช้ SELinux เป็นค่าเริ่มต้น
    ปรับปรุง repository ด้วย RIS-based management แยกตามสถาปัตยกรรม
    Zypper รองรับการดาวน์โหลดแพ็กเกจแบบขนาน เพิ่มความเร็วในการติดตั้ง
    เพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบ และ Myrlyn แทน YaST Qt GUI
    ถอดการรองรับ SysV init ออกอย่างสมบูรณ์
    รองรับ GNOME 48, KDE Plasma 6.4, Xfce 4.20 และมีภาพติดตั้งแบบ OEM
    รองรับสถาปัตยกรรม x86_64 v2, AArch64, ppc64le และ s390x
    สนับสนุนการอัปเดตและแพตช์ความปลอดภัยเป็นเวลา 24 เดือน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SELinux ถูกใช้เป็นมาตรฐานในหลายระบบองค์กร เช่น Red Hat และ Fedora
    Agama installer ถูกออกแบบให้รองรับการติดตั้งแบบอัตโนมัติและ third-party integration
    Cockpit เป็นเครื่องมือจัดการระบบผ่านเว็บที่ได้รับความนิยมในดิสโทรองค์กร
    Myrlyn เป็น GUI ใหม่ที่เน้นความเบาและการจัดการ repository ได้ดีขึ้น
    Leap 16 เป็นรุ่นแรกที่ไม่รองรับเครื่องที่ไม่ใช่ x86_64 v2 อีกต่อไป

    https://9to5linux.com/opensuse-leap-16-is-now-available-for-download-with-linux-kernel-6-12-lts
    🐧 “openSUSE Leap 16 เปิดตัวแล้ว — ปรับโฉมด้วย Agama, SELinux และ Linux Kernel 6.12 LTS พร้อมรองรับอนาคตองค์กร” openSUSE ประกาศเปิดตัว Leap 16 อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของดิสโทรสายเสถียรที่ได้รับการสนับสนุนระยะยาว (LTS) รุ่นนี้ถูกพัฒนาบนพื้นฐาน SUSE Linux Enterprise Server (SLES) 16 และใช้โครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า SUSE Linux Framework One (ชื่อเดิมคือ Adaptable Linux Platform หรือ ALP) พร้อมขับเคลื่อนด้วย Linux Kernel 6.12 LTS ที่เน้นความเสถียรและความปลอดภัยสำหรับองค์กร หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเปลี่ยนตัวติดตั้งจาก YaST มาเป็น Agama ซึ่งพัฒนาโดยทีมเดียวกันกับ YaST แต่เน้นความยืดหยุ่นมากขึ้น รองรับการติดตั้งดิสโทรอื่น ๆ ของ openSUSE เช่น Tumbleweed, Slowroll และ MicroOS ได้ด้วย Leap 16 ยังเปลี่ยนระบบควบคุมสิทธิ์จาก AppArmor มาใช้ SELinux เป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งได้รับการยอมรับมากกว่าในแวดวงความปลอดภัยระดับสูง และมีชุมชนพัฒนา upstream ที่แข็งแกร่งกว่า ด้านประสิทธิภาพ Leap 16 ปรับปรุงระบบจัดการ repository โดยใช้ RIS-based repository management ที่แยกตามสถาปัตยกรรม ทำให้ metadata มีขนาดเล็กลงและรีเฟรชได้เร็วขึ้น พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Zypper ให้รองรับการดาวน์โหลดแพ็กเกจแบบขนาน (parallel downloads) เพื่อเร่งความเร็วในการติดตั้งและอัปเดต Leap 16 ยังเพิ่มเครื่องมือใหม่ เช่น Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ และ Myrlyn ซึ่งมาแทน YaST Qt GUI สำหรับการติดตั้งซอฟต์แวร์ โดย Leap 16 ได้ถอดการรองรับ SysV init ออกอย่างสมบูรณ์แล้ว ผู้ใช้สามารถเลือกติดตั้ง Leap 16 ได้ทั้งแบบไม่มี GUI (Base) หรือใช้ GNOME 48, KDE Plasma 6.4 หรือ Xfce 4.20 เป็นเดสก์ท็อป โดยรองรับสถาปัตยกรรมหลากหลาย เช่น x86_64 v2, AArch64, ppc64le และ s390x รวมถึงมีภาพติดตั้งแบบ OEM เป็นครั้งแรก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ openSUSE Leap 16 เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 1 ตุลาคม 2025 ➡️ พัฒนาบน SUSE Linux Framework One และใช้ Linux Kernel 6.12 LTS ➡️ เปลี่ยนตัวติดตั้งจาก YaST มาเป็น Agama ที่ยืดหยุ่นและรองรับหลายดิสโทร ➡️ เปลี่ยนระบบควบคุมสิทธิ์จาก AppArmor มาใช้ SELinux เป็นค่าเริ่มต้น ➡️ ปรับปรุง repository ด้วย RIS-based management แยกตามสถาปัตยกรรม ➡️ Zypper รองรับการดาวน์โหลดแพ็กเกจแบบขนาน เพิ่มความเร็วในการติดตั้ง ➡️ เพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบ และ Myrlyn แทน YaST Qt GUI ➡️ ถอดการรองรับ SysV init ออกอย่างสมบูรณ์ ➡️ รองรับ GNOME 48, KDE Plasma 6.4, Xfce 4.20 และมีภาพติดตั้งแบบ OEM ➡️ รองรับสถาปัตยกรรม x86_64 v2, AArch64, ppc64le และ s390x ➡️ สนับสนุนการอัปเดตและแพตช์ความปลอดภัยเป็นเวลา 24 เดือน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SELinux ถูกใช้เป็นมาตรฐานในหลายระบบองค์กร เช่น Red Hat และ Fedora ➡️ Agama installer ถูกออกแบบให้รองรับการติดตั้งแบบอัตโนมัติและ third-party integration ➡️ Cockpit เป็นเครื่องมือจัดการระบบผ่านเว็บที่ได้รับความนิยมในดิสโทรองค์กร ➡️ Myrlyn เป็น GUI ใหม่ที่เน้นความเบาและการจัดการ repository ได้ดีขึ้น ➡️ Leap 16 เป็นรุ่นแรกที่ไม่รองรับเครื่องที่ไม่ใช่ x86_64 v2 อีกต่อไป https://9to5linux.com/opensuse-leap-16-is-now-available-for-download-with-linux-kernel-6-12-lts
    9TO5LINUX.COM
    openSUSE Leap 16 Is Now Available for Download with Linux Kernel 6.12 LTS - 9to5Linux
    openSUSE Leap 16 operating system is now available for download as a major update based on SUSE Linux Enterprise 16 and Linux 6.12 LTS.
    0 Comments 0 Shares 221 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 6 บทขยาย 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
บทขยาย ท้ายตอน “เสี้ยม”
    (2)

นาย Charles Richard Crane (1850-1939) เป็นเศรษฐีอเมริกัน ครอบครัวอยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมทำระบบท่อใน Chicago ยุค ค.ศ. 1900 เขาเป็นคนนิยมชมชอบวัฒนธรรมของตะวันออกกลาง และเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับบริเวณนั้น ด้วยธุรกิจของครอบครัว ทำให้เขามีโอกาสเดินทางไปยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลางเป็นว่าเล่น จนทำให้รู้จักและคุ้นเคยกับผู้มีอิทธิพลและนักการเมืองเกือบทุกระดับใน 2 ภูมิภาคนี้
    ประมาณปี ค.ศ 1900 กว่า เขาได้นำผู้ทรงคุณวุฒิจากรัสเซียมาบรรยายที่มหาวิทยาลัย Chicago และในที่สุดก็เป็นผู้ดำเนินการก่อตั้ง Russian Studies ขึ้นที่มหาวิทยาลัย Chicago
    นาย Crane รู้จักและคุ้นเคยดีกับนาย Woodlow Wilson เขาเป็นนายทุนสนับสนุนเมื่อนาย Wilson หาเสียงในปี ค.ศ. 1912 เพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี เมื่อนาย Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี จึงตกรางวัลตั้งนาย Crane ให้เป็นผู้แทนพิเศษทางการฑูตระ หว่างอเมริกากับรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1917 เรียกว่า Root Commission และมอบหมายให้นาย Crane ร่วมกับนาย King นักเทววิทยา ทำการสำรวจประชามติของชาวอาหรับ เกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
    น่าสนใจว่าใน รายงานของ Kingและ Crane มีระบุไว้ตอนหนึ่ง ว่านาย Crane ได้เตือนประธานาธิบดี Wilson ให้ระวังในการจะไปตกปากรับคำ สร้างรัฐปาเลสไตน์ให้กับชาวยิว มันจะเป็นการบังคับให้อเมริกาต้องใช้กำลังในการควบคุมดูแลอาณาบริเวณนั้น เพราะด้วยกำลังเท่านั้น จึงจะควบคุมชาวยิวให้อยู่ในแถวได้
    นาย Crane อยู่ฝ่ายที่คัดค้านให้ชาวยิวมาตั้งรกรากอยู่ที่ตะวันออกกลาง เขาสนับสนุนให้มีรัฐอาหรับ ปกครองโดยอาหรับ ตามฝันของ Sharif Hussein
    กว่า การสำรวจนี้จะทำเสร็จ การประชุมกับอังกฤษและฝรั่งเศสที่ปารีส ในปี ค.ศ. 1919 ก็เดินหน้าไปจวนจะจบการประชุม คณะสำรวจ รีบส่งรายงานไปให้ประธานาธิบดี Wilson เพื่อพิจารณา ก็แต่ประธานาธิบดีเกิดป่วยกระทันหัน ไม่รู้ได้อ่านรายงานนี้หรือไม่ นอกจากนี้ รายงานนี้ได้ถูกมือดี หรือ มือร้าย นำไปซ่อน สูญหายไปจากระบบงานกระทรวง ถึง 3 ปี กว่าจะหาเจอ อังกฤษและฝรั่งเศส ก็แบ่งเค้กอาหรับระหว่างกันเอง เรียบร้อยไปแล้ว
    ข้อมูลเกี่ยวกับนาย Crane จะดูไม่ครบ ถ้าไม่บอกว่าเขาเป็นก๊วนเดียวกับตระกูล Rockefeller
    ท่าน ผู้อ่านนิทาน ที่ติดตามอ่านกันมานานเห็นชื่อม หาวิทยาลัย Chicago ก็คงพอเดาออกแล้ว ยิ่งเห็นว่าเป็นผู้ก่อตั้ง Russian Studies ที่มหาวิทยาลัยนี้ ก็คงไม่ต้องเล่าต่อกันมาก นอกจากนี้ นาย Crane ยังเป็นสมาชิกสมาคม Jekyll Island Club ที่โด่งดัง และมีสมาชิกที่เป็นพวกโคตรรวยและมีอิทธิพลทางการเมือง การเงิน เช่น Rockefeller และ Morgan รวมทั้ง พวกอีลิต นักการเงินและสื่อใหญ่เท่านั้น และที่ คลับนี้เอง ที่พวกมีอิทธิพล ได้ประชุมสุมหัวกันต้ัง US Federal Reserve ธนาคารกลางของอเมริกา เมื่อ คศ 1910
    น่าจะต้องจารึกไว้ ด้วยว่า ค.ศ. 1931 นาย Crane เป็นผู้ออกทุนทรัพย์ในการสำรวจน้ำมันครั้งแรกของอเมริกาที่ Saudi Arabia และ Yemen เขาเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้อเมริกาได้สัมปทานน้ำมันที่นั่น
    เขียนยืดยาวเกี่ยวกับนาย Crane ถึงสิ่งที่เขาคิดและทำ เพื่อให้ท่านผู้อ่านนิทาน ลองต่อจิกซอว์กันดูเองบ้าง
    ท่าน ที่เคยอ่านนิทานเรื่องมายากลยุทธ คงจำได้ว่า อังกฤษจัดการให้ยิวไปอยู่ปาเลสไตน์ ไม่ใช่เพราะมีมนุษยธรรมสูงส่ง อย่าเข้าใจผิดขนาดนั้นเลย เหตุผลแรกที่อังกฤษส่งยิวไป เพราะช่วงนั้น Rothschild คนโคตรรวยผู้คุมตลาดการเงินของอังกฤษ อยากจะค้าขายกับ Russia แต่ทางรัสเซียวางเงื่อนไขว่า ถ้าจะค้าขายกันก็รีบจัดการ เอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียเสียก่อน เพราะรัสเซียแสนจะรังเกียจยิว Rothschild ซึ่งจำเป็นต้องช่วยอพยพชาวยิวมาอยู่ที่อังกฤษ ทางอังกฤษก็ใช่ว่าจะรักยิวไปทั้งหมด รวมทั้งยิวที่อยู่ในอังกฤษเอง ก็ไม่อยากให้เพิ่มจำนวนยิวมาแย่งกันปล่อยเงินกู้ Rothchild จึงหาทางส่งออกยิวที่อพยพมาใหม่ออกไปอย่างรีบด่วน
    Rothschlid ใช้อิทธิพลบีบรัฐบาลอังกฤษ แล้วที่ไหนจะเหมาะเท่าปาเลสไตน์ ใช้กระสุนนัดเดียว ยิวก็พ้นภาระไปจากอังกฤษ และไปอยู่ที่ตะวันออกกลางเป็นก้างเสียบไม้เสี้ยมและขวางทางเจริญ และความสามัคคีปรองดองของชาวอาหรับ ตลอดกาล…เหี้ยมถึงใจ ตามที่อังกฤษต้องการ
    แต่ฝ่ายอเมริกาโดยเฉพาะกลุ่ม Rockefeller และ CFR ก็น่าจะรู้ทันเกม จึงมีการส่งให้นาย Crane ไปประกบประธานาธิบดีและไปทำประชามติ จริง ๆ ก็คือไปเดินกล่อมอาหรับ ให้รับอเมริกา แทน อังกฤษ ฝรั่งเศส นอกจากนั้น นาย Crane ยังพยายามกระตุกอเมริกาว่าอย่าติดปีกให้ยิว ดีที่สุดเอาอาหรับที่ตัวเองไปกล่อมไว้แล้ว มาปกครองอาหรับเองดีกว่า เป็นการถีบอังกฤษให้ออกไปจากตะวันออกกลางเสียก่อน แล้วอเมริกาจะได้มาเป็นตาอยู่ กินรวบตะวันออกกลางต่อไป แผนผิดไปหน่อย 100 ปี ต่อมา ก็ดูเหมือนยังไม่สายเกินต้มแกงกิน
    ประธานาธิบดี Wilson คงไม่ได้บังเอิญป่วย และรายงานของ King Crane คงไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็หายตัวไป 3 ปี เกมชิงอำนาจ เกมล่าเหยื่อ เผ็ดมันทุกขั้นตอน
    อ่าน เรื่องนาย Crane อย่างย่อ ๆ แล้ว นึกถึงนาย Kenneth Landon ของผม ในนิทานเรื่องแกะรอยเก่า กันบ้างไหมครับ จำไม่ได้กลับไปอ่านอีกรอบนะครับ จะได้เห็นป่ากว้างและลึกขึ้น
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 ส.ค. 2557
    (หมายเหตุ: ตอน 1 “เสี้ยม” จบแล้วครับ ตอน 2 กำลังจะมา ช้าหน่อย แต่มาแน่!)
    เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 6 บทขยาย 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
บทขยาย ท้ายตอน “เสี้ยม” (2)

นาย Charles Richard Crane (1850-1939) เป็นเศรษฐีอเมริกัน ครอบครัวอยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมทำระบบท่อใน Chicago ยุค ค.ศ. 1900 เขาเป็นคนนิยมชมชอบวัฒนธรรมของตะวันออกกลาง และเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับบริเวณนั้น ด้วยธุรกิจของครอบครัว ทำให้เขามีโอกาสเดินทางไปยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลางเป็นว่าเล่น จนทำให้รู้จักและคุ้นเคยกับผู้มีอิทธิพลและนักการเมืองเกือบทุกระดับใน 2 ภูมิภาคนี้ ประมาณปี ค.ศ 1900 กว่า เขาได้นำผู้ทรงคุณวุฒิจากรัสเซียมาบรรยายที่มหาวิทยาลัย Chicago และในที่สุดก็เป็นผู้ดำเนินการก่อตั้ง Russian Studies ขึ้นที่มหาวิทยาลัย Chicago นาย Crane รู้จักและคุ้นเคยดีกับนาย Woodlow Wilson เขาเป็นนายทุนสนับสนุนเมื่อนาย Wilson หาเสียงในปี ค.ศ. 1912 เพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี เมื่อนาย Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี จึงตกรางวัลตั้งนาย Crane ให้เป็นผู้แทนพิเศษทางการฑูตระ หว่างอเมริกากับรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1917 เรียกว่า Root Commission และมอบหมายให้นาย Crane ร่วมกับนาย King นักเทววิทยา ทำการสำรวจประชามติของชาวอาหรับ เกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 น่าสนใจว่าใน รายงานของ Kingและ Crane มีระบุไว้ตอนหนึ่ง ว่านาย Crane ได้เตือนประธานาธิบดี Wilson ให้ระวังในการจะไปตกปากรับคำ สร้างรัฐปาเลสไตน์ให้กับชาวยิว มันจะเป็นการบังคับให้อเมริกาต้องใช้กำลังในการควบคุมดูแลอาณาบริเวณนั้น เพราะด้วยกำลังเท่านั้น จึงจะควบคุมชาวยิวให้อยู่ในแถวได้ นาย Crane อยู่ฝ่ายที่คัดค้านให้ชาวยิวมาตั้งรกรากอยู่ที่ตะวันออกกลาง เขาสนับสนุนให้มีรัฐอาหรับ ปกครองโดยอาหรับ ตามฝันของ Sharif Hussein กว่า การสำรวจนี้จะทำเสร็จ การประชุมกับอังกฤษและฝรั่งเศสที่ปารีส ในปี ค.ศ. 1919 ก็เดินหน้าไปจวนจะจบการประชุม คณะสำรวจ รีบส่งรายงานไปให้ประธานาธิบดี Wilson เพื่อพิจารณา ก็แต่ประธานาธิบดีเกิดป่วยกระทันหัน ไม่รู้ได้อ่านรายงานนี้หรือไม่ นอกจากนี้ รายงานนี้ได้ถูกมือดี หรือ มือร้าย นำไปซ่อน สูญหายไปจากระบบงานกระทรวง ถึง 3 ปี กว่าจะหาเจอ อังกฤษและฝรั่งเศส ก็แบ่งเค้กอาหรับระหว่างกันเอง เรียบร้อยไปแล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับนาย Crane จะดูไม่ครบ ถ้าไม่บอกว่าเขาเป็นก๊วนเดียวกับตระกูล Rockefeller ท่าน ผู้อ่านนิทาน ที่ติดตามอ่านกันมานานเห็นชื่อม หาวิทยาลัย Chicago ก็คงพอเดาออกแล้ว ยิ่งเห็นว่าเป็นผู้ก่อตั้ง Russian Studies ที่มหาวิทยาลัยนี้ ก็คงไม่ต้องเล่าต่อกันมาก นอกจากนี้ นาย Crane ยังเป็นสมาชิกสมาคม Jekyll Island Club ที่โด่งดัง และมีสมาชิกที่เป็นพวกโคตรรวยและมีอิทธิพลทางการเมือง การเงิน เช่น Rockefeller และ Morgan รวมทั้ง พวกอีลิต นักการเงินและสื่อใหญ่เท่านั้น และที่ คลับนี้เอง ที่พวกมีอิทธิพล ได้ประชุมสุมหัวกันต้ัง US Federal Reserve ธนาคารกลางของอเมริกา เมื่อ คศ 1910 น่าจะต้องจารึกไว้ ด้วยว่า ค.ศ. 1931 นาย Crane เป็นผู้ออกทุนทรัพย์ในการสำรวจน้ำมันครั้งแรกของอเมริกาที่ Saudi Arabia และ Yemen เขาเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้อเมริกาได้สัมปทานน้ำมันที่นั่น เขียนยืดยาวเกี่ยวกับนาย Crane ถึงสิ่งที่เขาคิดและทำ เพื่อให้ท่านผู้อ่านนิทาน ลองต่อจิกซอว์กันดูเองบ้าง ท่าน ที่เคยอ่านนิทานเรื่องมายากลยุทธ คงจำได้ว่า อังกฤษจัดการให้ยิวไปอยู่ปาเลสไตน์ ไม่ใช่เพราะมีมนุษยธรรมสูงส่ง อย่าเข้าใจผิดขนาดนั้นเลย เหตุผลแรกที่อังกฤษส่งยิวไป เพราะช่วงนั้น Rothschild คนโคตรรวยผู้คุมตลาดการเงินของอังกฤษ อยากจะค้าขายกับ Russia แต่ทางรัสเซียวางเงื่อนไขว่า ถ้าจะค้าขายกันก็รีบจัดการ เอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียเสียก่อน เพราะรัสเซียแสนจะรังเกียจยิว Rothschild ซึ่งจำเป็นต้องช่วยอพยพชาวยิวมาอยู่ที่อังกฤษ ทางอังกฤษก็ใช่ว่าจะรักยิวไปทั้งหมด รวมทั้งยิวที่อยู่ในอังกฤษเอง ก็ไม่อยากให้เพิ่มจำนวนยิวมาแย่งกันปล่อยเงินกู้ Rothchild จึงหาทางส่งออกยิวที่อพยพมาใหม่ออกไปอย่างรีบด่วน Rothschlid ใช้อิทธิพลบีบรัฐบาลอังกฤษ แล้วที่ไหนจะเหมาะเท่าปาเลสไตน์ ใช้กระสุนนัดเดียว ยิวก็พ้นภาระไปจากอังกฤษ และไปอยู่ที่ตะวันออกกลางเป็นก้างเสียบไม้เสี้ยมและขวางทางเจริญ และความสามัคคีปรองดองของชาวอาหรับ ตลอดกาล…เหี้ยมถึงใจ ตามที่อังกฤษต้องการ แต่ฝ่ายอเมริกาโดยเฉพาะกลุ่ม Rockefeller และ CFR ก็น่าจะรู้ทันเกม จึงมีการส่งให้นาย Crane ไปประกบประธานาธิบดีและไปทำประชามติ จริง ๆ ก็คือไปเดินกล่อมอาหรับ ให้รับอเมริกา แทน อังกฤษ ฝรั่งเศส นอกจากนั้น นาย Crane ยังพยายามกระตุกอเมริกาว่าอย่าติดปีกให้ยิว ดีที่สุดเอาอาหรับที่ตัวเองไปกล่อมไว้แล้ว มาปกครองอาหรับเองดีกว่า เป็นการถีบอังกฤษให้ออกไปจากตะวันออกกลางเสียก่อน แล้วอเมริกาจะได้มาเป็นตาอยู่ กินรวบตะวันออกกลางต่อไป แผนผิดไปหน่อย 100 ปี ต่อมา ก็ดูเหมือนยังไม่สายเกินต้มแกงกิน ประธานาธิบดี Wilson คงไม่ได้บังเอิญป่วย และรายงานของ King Crane คงไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็หายตัวไป 3 ปี เกมชิงอำนาจ เกมล่าเหยื่อ เผ็ดมันทุกขั้นตอน อ่าน เรื่องนาย Crane อย่างย่อ ๆ แล้ว นึกถึงนาย Kenneth Landon ของผม ในนิทานเรื่องแกะรอยเก่า กันบ้างไหมครับ จำไม่ได้กลับไปอ่านอีกรอบนะครับ จะได้เห็นป่ากว้างและลึกขึ้น สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 ส.ค. 2557 (หมายเหตุ: ตอน 1 “เสี้ยม” จบแล้วครับ ตอน 2 กำลังจะมา ช้าหน่อย แต่มาแน่!)
    0 Comments 0 Shares 369 Views 0 Reviews
  • “Fedora เปิดร่างนโยบาย Vibe Coding — เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยในโอเพ่นซอร์ส แต่ไม่ใช่ผู้ตัดสิน”

    Fedora Project ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของโลกโอเพ่นซอร์ส ได้เปิดร่างนโยบายใหม่ว่าด้วยการใช้เครื่องมือ AI ในการพัฒนาโค้ด โดยเน้นแนวคิด “Vibe Coding” ที่ให้ AI เป็นผู้ช่วยในการสร้างสรรค์ แต่ยังคงให้มนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบหลักในทุกขั้นตอนของการพัฒนา

    ร่างนโยบายนี้เป็นผลจากการปรึกษาหารือกับชุมชนตลอดหนึ่งปีเต็ม เริ่มจากการสำรวจความคิดเห็นในช่วงฤดูร้อนปี 2024 และนำมาสู่การกำหนดแนวทาง 4 ด้านหลัก ได้แก่ การใช้ AI ในการเขียนโค้ด, การรีวิว, การจัดการโครงการ และการใช้ข้อมูล

    สำหรับผู้พัฒนาโค้ดที่ใช้ AI ช่วยงาน Fedora ระบุชัดว่า “คุณต้องรับผิดชอบทุกบรรทัดที่ส่งเข้าไป” โดย AI ถือเป็นเพียงข้อเสนอ ไม่ใช่โค้ดสุดท้าย ผู้ใช้ต้องตรวจสอบ ทดสอบ และเข้าใจสิ่งที่ตนเองส่งเข้าไป และหาก AI มีส่วนช่วยอย่างมีนัยสำคัญ ควรระบุไว้ใน commit message เพื่อความโปร่งใส

    ในส่วนของผู้รีวิว แม้จะสามารถใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ได้ แต่ไม่สามารถใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์ได้ การอนุมัติสุดท้ายต้องมาจากคนจริงเท่านั้น

    ด้านการจัดการโครงการ Fedora ห้ามใช้ AI ในการตัดสินเรื่องจรรยาบรรณ การอนุมัติทุน การคัดเลือกหัวข้อสัมมนา หรือการแต่งตั้งผู้นำ และหากมีฟีเจอร์ AI ที่ส่งข้อมูลออกไปยังบริการภายนอก ต้องให้ผู้ใช้ opt-in เท่านั้น

    ในทางกลับกัน Fedora สนับสนุนการแพ็กเกจเครื่องมือ AI และเฟรมเวิร์กต่าง ๆ ให้ใช้งานได้ในระบบ Fedora ตราบใดที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านลิขสิทธิ์และการจัดการแพ็กเกจ

    ร่างนโยบายนี้เปิดให้ชุมชนแสดงความคิดเห็นเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนจะเข้าสู่การลงคะแนนอย่างเป็นทางการโดย Fedora Council ผ่านระบบ ticket voting

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Fedora เปิดร่างนโยบายการใช้ AI ในการพัฒนาโค้ดแบบ Vibe Coding
    ผู้ใช้ AI ต้องรับผิดชอบโค้ดทั้งหมดที่ส่งเข้าไป ไม่ใช่ปล่อยให้ AI ตัดสินใจแทน
    หาก AI มีส่วนช่วยอย่างมีนัยสำคัญ ควรระบุไว้ใน commit message
    ผู้รีวิวสามารถใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ได้ แต่ไม่สามารถใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์
    ห้ามใช้ AI ในการตัดสินเรื่องจรรยาบรรณ ทุน สัมมนา หรือการแต่งตั้งผู้นำ
    ฟีเจอร์ AI ที่ส่งข้อมูลออกไปต้องให้ผู้ใช้ opt-in เท่านั้น
    Fedora สนับสนุนการแพ็กเกจเครื่องมือ AI หากปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านลิขสิทธิ์
    ห้ามใช้การ scrape ข้อมูลจาก Fedora อย่างหนักจนกระทบโครงสร้างพื้นฐาน
    ร่างนโยบายเปิดให้ชุมชนแสดงความคิดเห็น 2 สัปดาห์ก่อนลงคะแนน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    “Vibe Coding” เป็นแนวคิดที่ให้ AI เป็นผู้ช่วยสร้างสรรค์ ไม่ใช่ผู้ควบคุม
    หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มใช้ AI เช่น GitHub Copilot, Sourcery, Log Detective
    การระบุ Assisted-by: ใน commit message เป็นแนวทางใหม่ที่หลายโครงการเริ่มใช้
    การใช้ AI ในการรีวิวโค้ดยังมีข้อจำกัดด้านคุณภาพและความเข้าใจบริบท
    Fedora เป็น upstream ของ Red Hat และมีอิทธิพลต่อระบบ Linux ทั่วโลก

    https://news.itsfoss.com/fedora-ai-guidelines/
    🧠 “Fedora เปิดร่างนโยบาย Vibe Coding — เมื่อ AI กลายเป็นผู้ช่วยในโอเพ่นซอร์ส แต่ไม่ใช่ผู้ตัดสิน” Fedora Project ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของโลกโอเพ่นซอร์ส ได้เปิดร่างนโยบายใหม่ว่าด้วยการใช้เครื่องมือ AI ในการพัฒนาโค้ด โดยเน้นแนวคิด “Vibe Coding” ที่ให้ AI เป็นผู้ช่วยในการสร้างสรรค์ แต่ยังคงให้มนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบหลักในทุกขั้นตอนของการพัฒนา ร่างนโยบายนี้เป็นผลจากการปรึกษาหารือกับชุมชนตลอดหนึ่งปีเต็ม เริ่มจากการสำรวจความคิดเห็นในช่วงฤดูร้อนปี 2024 และนำมาสู่การกำหนดแนวทาง 4 ด้านหลัก ได้แก่ การใช้ AI ในการเขียนโค้ด, การรีวิว, การจัดการโครงการ และการใช้ข้อมูล สำหรับผู้พัฒนาโค้ดที่ใช้ AI ช่วยงาน Fedora ระบุชัดว่า “คุณต้องรับผิดชอบทุกบรรทัดที่ส่งเข้าไป” โดย AI ถือเป็นเพียงข้อเสนอ ไม่ใช่โค้ดสุดท้าย ผู้ใช้ต้องตรวจสอบ ทดสอบ และเข้าใจสิ่งที่ตนเองส่งเข้าไป และหาก AI มีส่วนช่วยอย่างมีนัยสำคัญ ควรระบุไว้ใน commit message เพื่อความโปร่งใส ในส่วนของผู้รีวิว แม้จะสามารถใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ได้ แต่ไม่สามารถใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์ได้ การอนุมัติสุดท้ายต้องมาจากคนจริงเท่านั้น ด้านการจัดการโครงการ Fedora ห้ามใช้ AI ในการตัดสินเรื่องจรรยาบรรณ การอนุมัติทุน การคัดเลือกหัวข้อสัมมนา หรือการแต่งตั้งผู้นำ และหากมีฟีเจอร์ AI ที่ส่งข้อมูลออกไปยังบริการภายนอก ต้องให้ผู้ใช้ opt-in เท่านั้น ในทางกลับกัน Fedora สนับสนุนการแพ็กเกจเครื่องมือ AI และเฟรมเวิร์กต่าง ๆ ให้ใช้งานได้ในระบบ Fedora ตราบใดที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านลิขสิทธิ์และการจัดการแพ็กเกจ ร่างนโยบายนี้เปิดให้ชุมชนแสดงความคิดเห็นเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนจะเข้าสู่การลงคะแนนอย่างเป็นทางการโดย Fedora Council ผ่านระบบ ticket voting ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Fedora เปิดร่างนโยบายการใช้ AI ในการพัฒนาโค้ดแบบ Vibe Coding ➡️ ผู้ใช้ AI ต้องรับผิดชอบโค้ดทั้งหมดที่ส่งเข้าไป ไม่ใช่ปล่อยให้ AI ตัดสินใจแทน ➡️ หาก AI มีส่วนช่วยอย่างมีนัยสำคัญ ควรระบุไว้ใน commit message ➡️ ผู้รีวิวสามารถใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ได้ แต่ไม่สามารถใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์ ➡️ ห้ามใช้ AI ในการตัดสินเรื่องจรรยาบรรณ ทุน สัมมนา หรือการแต่งตั้งผู้นำ ➡️ ฟีเจอร์ AI ที่ส่งข้อมูลออกไปต้องให้ผู้ใช้ opt-in เท่านั้น ➡️ Fedora สนับสนุนการแพ็กเกจเครื่องมือ AI หากปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านลิขสิทธิ์ ➡️ ห้ามใช้การ scrape ข้อมูลจาก Fedora อย่างหนักจนกระทบโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ ร่างนโยบายเปิดให้ชุมชนแสดงความคิดเห็น 2 สัปดาห์ก่อนลงคะแนน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ “Vibe Coding” เป็นแนวคิดที่ให้ AI เป็นผู้ช่วยสร้างสรรค์ ไม่ใช่ผู้ควบคุม ➡️ หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มใช้ AI เช่น GitHub Copilot, Sourcery, Log Detective ➡️ การระบุ Assisted-by: ใน commit message เป็นแนวทางใหม่ที่หลายโครงการเริ่มใช้ ➡️ การใช้ AI ในการรีวิวโค้ดยังมีข้อจำกัดด้านคุณภาพและความเข้าใจบริบท ➡️ Fedora เป็น upstream ของ Red Hat และมีอิทธิพลต่อระบบ Linux ทั่วโลก https://news.itsfoss.com/fedora-ai-guidelines/
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • “DOGE ปฏิบัติการล้างระบบราชการสหรัฐฯ — เมื่อ Elon Musk นำทีมปลดพนักงานรัฐกว่า 300,000 คนในปีเดียว”

    ในปี 2025 หน่วยงานใหม่ชื่อว่า Department of Government Efficiency หรือ DOGE ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบราชการสหรัฐฯ โดยมี Elon Musk เป็นผู้นำภายใต้การแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี Donald Trump เป้าหมายของ DOGE คือการลดขนาดรัฐบาลกลางให้ “เล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” โดยใช้กลยุทธ์ที่รวดเร็วและรุนแรง

    ผลลัพธ์คือการลาออกและปลดพนักงานกว่า 300,000 คนภายในปีเดียว คิดเป็นหนึ่งในแปดของแรงงานภาครัฐทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เกิดจากแรงจูงใจให้ลาออก เช่น โปรแกรม “Fork in the Road” ที่เสนอเงินชดเชยและการพักงานแบบมีเงินเดือนชั่วคราว

    หน่วยงานที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ GSA (General Services Administration) ซึ่งดูแลพื้นที่สำนักงานของรัฐบาลกลาง ถูกลดพนักงานลงครึ่งหนึ่ง และมีการยกเลิกสัญญาเช่าอาคารกว่า 7,500 แห่ง ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

    นอกจากนี้ ยังมีการลาออกของทีมเทคโนโลยีจาก US Digital Service (USDS) ซึ่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น DOGE โดยพนักงานกว่า 21 คนประกาศลาออกพร้อมกัน โดยให้เหตุผลว่า “ไม่สามารถใช้ทักษะเพื่อทำลายบริการสาธารณะได้” และวิจารณ์ว่า DOGE ถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มคนที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ แต่มีอุดมการณ์ทางการเมือง

    หลังจาก Elon Musk ลาออกจากตำแหน่งในกลางปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มพยายามเรียกพนักงานที่ถูกปลดกลับเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานสำคัญ เช่น IRS, กรมแรงงาน และอุทยานแห่งชาติ ซึ่งหลายแห่งประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรจนไม่สามารถให้บริการประชาชนได้ตามปกติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    DOGE เป็นหน่วยงานใหม่ที่มีเป้าหมายลดขนาดรัฐบาลกลางสหรัฐฯ
    Elon Musk เป็นผู้นำ DOGE โดยได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี Donald Trump
    มีการปลดและลาออกของพนักงานภาครัฐกว่า 300,000 คนในปี 2025
    GSA ถูกลดพนักงานลงครึ่งหนึ่งและยกเลิกสัญญาเช่าอาคารกว่า 7,500 แห่ง
    โปรแกรม “Fork in the Road” เสนอเงินชดเชยและการพักงานแบบมีเงินเดือน
    ทีมเทคโนโลยีจาก USDS ลาออกพร้อมกัน 21 คนโดยให้เหตุผลด้านจริยธรรม
    หลัง Musk ลาออก รัฐบาลเริ่มเรียกพนักงานกลับเข้าทำงานในหลายหน่วยงาน
    IRS, กรมแรงงาน และอุทยานแห่งชาติได้รับผลกระทบจนต้องเรียกคนกลับ
    CISA ระบุว่าการปลดพนักงานจำนวนมากส่งผลต่อความมั่นคงของระบบราชการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GSA เป็นหน่วยงานสำคัญที่ดูแลพื้นที่สำนักงานและการจัดซื้อของรัฐบาลกลาง
    USDS ก่อตั้งในปี 2014 เพื่อปรับปรุงบริการดิจิทัลของรัฐบาล
    การลดขนาดรัฐบาลเป็นแนวคิดที่มีทั้งผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านในสหรัฐฯ
    Elon Musk มีสัญญากับรัฐบาลหลายฉบับ เช่น SpaceX และ Starlink
    การปลดพนักงานจำนวนมากอาจส่งผลต่อการดำเนินงานของโครงการระดับชาติ

    https://www.wired.com/story/oral-history-doge-federal-workers/
    🏛️ “DOGE ปฏิบัติการล้างระบบราชการสหรัฐฯ — เมื่อ Elon Musk นำทีมปลดพนักงานรัฐกว่า 300,000 คนในปีเดียว” ในปี 2025 หน่วยงานใหม่ชื่อว่า Department of Government Efficiency หรือ DOGE ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบราชการสหรัฐฯ โดยมี Elon Musk เป็นผู้นำภายใต้การแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี Donald Trump เป้าหมายของ DOGE คือการลดขนาดรัฐบาลกลางให้ “เล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” โดยใช้กลยุทธ์ที่รวดเร็วและรุนแรง ผลลัพธ์คือการลาออกและปลดพนักงานกว่า 300,000 คนภายในปีเดียว คิดเป็นหนึ่งในแปดของแรงงานภาครัฐทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เกิดจากแรงจูงใจให้ลาออก เช่น โปรแกรม “Fork in the Road” ที่เสนอเงินชดเชยและการพักงานแบบมีเงินเดือนชั่วคราว หน่วยงานที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ GSA (General Services Administration) ซึ่งดูแลพื้นที่สำนักงานของรัฐบาลกลาง ถูกลดพนักงานลงครึ่งหนึ่ง และมีการยกเลิกสัญญาเช่าอาคารกว่า 7,500 แห่ง ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล นอกจากนี้ ยังมีการลาออกของทีมเทคโนโลยีจาก US Digital Service (USDS) ซึ่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น DOGE โดยพนักงานกว่า 21 คนประกาศลาออกพร้อมกัน โดยให้เหตุผลว่า “ไม่สามารถใช้ทักษะเพื่อทำลายบริการสาธารณะได้” และวิจารณ์ว่า DOGE ถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มคนที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ แต่มีอุดมการณ์ทางการเมือง หลังจาก Elon Musk ลาออกจากตำแหน่งในกลางปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มพยายามเรียกพนักงานที่ถูกปลดกลับเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานสำคัญ เช่น IRS, กรมแรงงาน และอุทยานแห่งชาติ ซึ่งหลายแห่งประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรจนไม่สามารถให้บริการประชาชนได้ตามปกติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ DOGE เป็นหน่วยงานใหม่ที่มีเป้าหมายลดขนาดรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ➡️ Elon Musk เป็นผู้นำ DOGE โดยได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี Donald Trump ➡️ มีการปลดและลาออกของพนักงานภาครัฐกว่า 300,000 คนในปี 2025 ➡️ GSA ถูกลดพนักงานลงครึ่งหนึ่งและยกเลิกสัญญาเช่าอาคารกว่า 7,500 แห่ง ➡️ โปรแกรม “Fork in the Road” เสนอเงินชดเชยและการพักงานแบบมีเงินเดือน ➡️ ทีมเทคโนโลยีจาก USDS ลาออกพร้อมกัน 21 คนโดยให้เหตุผลด้านจริยธรรม ➡️ หลัง Musk ลาออก รัฐบาลเริ่มเรียกพนักงานกลับเข้าทำงานในหลายหน่วยงาน ➡️ IRS, กรมแรงงาน และอุทยานแห่งชาติได้รับผลกระทบจนต้องเรียกคนกลับ ➡️ CISA ระบุว่าการปลดพนักงานจำนวนมากส่งผลต่อความมั่นคงของระบบราชการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GSA เป็นหน่วยงานสำคัญที่ดูแลพื้นที่สำนักงานและการจัดซื้อของรัฐบาลกลาง ➡️ USDS ก่อตั้งในปี 2014 เพื่อปรับปรุงบริการดิจิทัลของรัฐบาล ➡️ การลดขนาดรัฐบาลเป็นแนวคิดที่มีทั้งผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านในสหรัฐฯ ➡️ Elon Musk มีสัญญากับรัฐบาลหลายฉบับ เช่น SpaceX และ Starlink ➡️ การปลดพนักงานจำนวนมากอาจส่งผลต่อการดำเนินงานของโครงการระดับชาติ https://www.wired.com/story/oral-history-doge-federal-workers/
    WWW.WIRED.COM
    The Story of DOGE, as Told by Federal Workers
    WIRED spoke with more than 200 federal workers in dozens of agencies to learn what happened as the Department of Government Efficiency tore through their offices.
    0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews
  • “Fedora 43 มาแล้ว! GNOME 49, RPM 6, Kernel 6.17 และ WebUI ใหม่ — ยกระดับประสบการณ์ลินุกซ์เดสก์ท็อปและนักพัฒนา”

    Fedora 43 กำลังจะเปิดตัวในวันที่ 28 ตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งในด้านประสบการณ์ผู้ใช้และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา โดยเฉพาะใน Fedora Workstation ที่ใช้ GNOME เป็นหลัก และ Fedora Spins ที่มี KDE, XFCE และอื่น ๆ

    หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเปลี่ยนไปใช้ GNOME 49 แบบ Wayland-only โดยลบแพ็กเกจ X11 ออกจาก Workstation edition ทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้จะเข้าสู่ยุค Wayland อย่างเต็มตัว พร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น media control บน lock screen, แอปใหม่ 3 ตัว และการออกแบบ Nautilus ใหม่

    ด้านการติดตั้ง Fedora 43 ใช้ Anaconda WebUI เป็นตัวติดตั้งหลักสำหรับทั้ง Workstation และ Spins ซึ่งช่วยให้ประสบการณ์การติดตั้งมีความทันสมัยและสม่ำเสมอมากขึ้น พร้อมเปลี่ยนระบบจัดการแพ็กเกจจาก DNF4 ไปเป็น DNF5 เพื่อรองรับการดีบักและการจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    Fedora 43 ยังอัปเดต RPM ไปเป็นเวอร์ชัน 6.0 ซึ่งรองรับ OpenPGP v6, การเซ็นหลายลายเซ็นในแพ็กเกจเดียว และการใช้ fingerprint แทน short key ID เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการตรวจสอบแพ็กเกจ

    สำหรับนักพัฒนา Fedora 43 มาพร้อมกับ GCC 15.2, Binutils 2.45, glibc 2.42, GDB 17.1 และ Python 3.14 รวมถึง LLVM 21 ซึ่งช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีการรองรับภาษา Hare ซึ่งเป็นภาษาใหม่ที่เน้นความเรียบง่ายและประสิทธิภาพในงานระบบระดับล่าง และ Fedora 43 ยังใช้ Linux Kernel 6.17 ที่ปรับปรุงการจัดการพลังงาน, การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ และการทำงานร่วมกับ virtualization ได้ดีขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Fedora 43 เปิดตัววันที่ 28 ตุลาคม 2025 (อาจเลื่อนได้ถึง 11 พฤศจิกายน หากพบบั๊กสำคัญ)
    GNOME 49 ใช้ Wayland-only บน Workstation edition พร้อมฟีเจอร์ใหม่หลายรายการ
    Anaconda WebUI เป็นตัวติดตั้งหลักสำหรับ Workstation และ Spins
    เปลี่ยนระบบจัดการแพ็กเกจจาก DNF4 ไปเป็น DNF5
    RPM 6.0 รองรับ OpenPGP v6, fingerprint-based verification และหลายลายเซ็น
    อัปเดตเครื่องมือพัฒนา: GCC 15.2, Binutils 2.45, glibc 2.42, GDB 17.1, Python 3.14, LLVM 21
    รองรับภาษา Hare สำหรับงานระบบที่ต้องการประสิทธิภาพสูง
    ใช้ Linux Kernel 6.17 ที่ปรับปรุงการจัดการพลังงานและฮาร์ดแวร์ใหม่
    AMD Ryzen รองรับ HFI (Hardware Feedback Interface) เพื่อจัดการโหลดงานได้ดีขึ้น
    Intel รองรับ IPU7 สำหรับกล้อง และ SR-IOV สำหรับ GPU virtualization

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GNOME 49 มี donation prompt, media control บน lock screen และ Nautilus redesign
    Wayland มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพดีกว่า X11 โดยเฉพาะในงานกราฟิก
    DNF5 เป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาแพ็กเกจแบบใหม่ในอนาคต
    RPM 6.0 เตรียมรองรับแพ็กเกจฟอร์แมต v6 ในอนาคต แต่ Fedora 43 ยังใช้ v4
    Kernel 6.17 ไม่ใช่ LTS แต่เน้นการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และปรับปรุง virtualization

    https://news.itsfoss.com/fedora-43-features/
    🐧 “Fedora 43 มาแล้ว! GNOME 49, RPM 6, Kernel 6.17 และ WebUI ใหม่ — ยกระดับประสบการณ์ลินุกซ์เดสก์ท็อปและนักพัฒนา” Fedora 43 กำลังจะเปิดตัวในวันที่ 28 ตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งในด้านประสบการณ์ผู้ใช้และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา โดยเฉพาะใน Fedora Workstation ที่ใช้ GNOME เป็นหลัก และ Fedora Spins ที่มี KDE, XFCE และอื่น ๆ หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเปลี่ยนไปใช้ GNOME 49 แบบ Wayland-only โดยลบแพ็กเกจ X11 ออกจาก Workstation edition ทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้จะเข้าสู่ยุค Wayland อย่างเต็มตัว พร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น media control บน lock screen, แอปใหม่ 3 ตัว และการออกแบบ Nautilus ใหม่ ด้านการติดตั้ง Fedora 43 ใช้ Anaconda WebUI เป็นตัวติดตั้งหลักสำหรับทั้ง Workstation และ Spins ซึ่งช่วยให้ประสบการณ์การติดตั้งมีความทันสมัยและสม่ำเสมอมากขึ้น พร้อมเปลี่ยนระบบจัดการแพ็กเกจจาก DNF4 ไปเป็น DNF5 เพื่อรองรับการดีบักและการจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น Fedora 43 ยังอัปเดต RPM ไปเป็นเวอร์ชัน 6.0 ซึ่งรองรับ OpenPGP v6, การเซ็นหลายลายเซ็นในแพ็กเกจเดียว และการใช้ fingerprint แทน short key ID เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการตรวจสอบแพ็กเกจ สำหรับนักพัฒนา Fedora 43 มาพร้อมกับ GCC 15.2, Binutils 2.45, glibc 2.42, GDB 17.1 และ Python 3.14 รวมถึง LLVM 21 ซึ่งช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการรองรับภาษา Hare ซึ่งเป็นภาษาใหม่ที่เน้นความเรียบง่ายและประสิทธิภาพในงานระบบระดับล่าง และ Fedora 43 ยังใช้ Linux Kernel 6.17 ที่ปรับปรุงการจัดการพลังงาน, การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ และการทำงานร่วมกับ virtualization ได้ดีขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Fedora 43 เปิดตัววันที่ 28 ตุลาคม 2025 (อาจเลื่อนได้ถึง 11 พฤศจิกายน หากพบบั๊กสำคัญ) ➡️ GNOME 49 ใช้ Wayland-only บน Workstation edition พร้อมฟีเจอร์ใหม่หลายรายการ ➡️ Anaconda WebUI เป็นตัวติดตั้งหลักสำหรับ Workstation และ Spins ➡️ เปลี่ยนระบบจัดการแพ็กเกจจาก DNF4 ไปเป็น DNF5 ➡️ RPM 6.0 รองรับ OpenPGP v6, fingerprint-based verification และหลายลายเซ็น ➡️ อัปเดตเครื่องมือพัฒนา: GCC 15.2, Binutils 2.45, glibc 2.42, GDB 17.1, Python 3.14, LLVM 21 ➡️ รองรับภาษา Hare สำหรับงานระบบที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ➡️ ใช้ Linux Kernel 6.17 ที่ปรับปรุงการจัดการพลังงานและฮาร์ดแวร์ใหม่ ➡️ AMD Ryzen รองรับ HFI (Hardware Feedback Interface) เพื่อจัดการโหลดงานได้ดีขึ้น ➡️ Intel รองรับ IPU7 สำหรับกล้อง และ SR-IOV สำหรับ GPU virtualization ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GNOME 49 มี donation prompt, media control บน lock screen และ Nautilus redesign ➡️ Wayland มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพดีกว่า X11 โดยเฉพาะในงานกราฟิก ➡️ DNF5 เป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาแพ็กเกจแบบใหม่ในอนาคต ➡️ RPM 6.0 เตรียมรองรับแพ็กเกจฟอร์แมต v6 ในอนาคต แต่ Fedora 43 ยังใช้ v4 ➡️ Kernel 6.17 ไม่ใช่ LTS แต่เน้นการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และปรับปรุง virtualization https://news.itsfoss.com/fedora-43-features/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Fedora 43 Release Date and New Features
    A close look at the new features coming in Fedora 43.
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • “Apple Silicon ทำให้คนเสียนิสัย — แต่ Framework ก็ยังมีที่ในใจ: บันทึกความรักและความหงุดหงิดจาก Simon Hartcher”

    Simon Hartcher นักพัฒนาและผู้ใช้งานโน้ตบุ๊กสายเทคโนโลยี ได้เขียนบทความสะท้อนความรู้สึกที่มีต่อสองโลกของแล็ปท็อป — ฝั่งหนึ่งคือ MacBook M1 Pro ที่ใช้ Apple Silicon ซึ่งเขายกให้เป็น “เครื่องที่ทำให้เขาเสียนิสัย” เพราะแบตเตอรี่อึดจนลืมชาร์จ อีกฝั่งคือ Framework 13 ที่ใช้ AMD Ryzen 7840HS ซึ่งแม้จะมีอุดมการณ์ที่น่าชื่นชม แต่กลับทำให้เขาหงุดหงิดกับแบตเตอรี่ที่หมดเร็วเกินไป

    Simon เล่าว่า MacBook ของเขาอยู่ในกระเป๋า 3 สัปดาห์โดยไม่เปิดเครื่องเลย แต่เมื่อหยิบออกมา กลับยังมีแบตเหลือถึง 90% ทั้งที่ไม่ได้ปิดเครื่อง แค่พับฝาไว้ ในทางกลับกัน Framework 13 ที่เขาใช้งานไม่บ่อย กลับหมดแบตทุกครั้งที่เปิดใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อปล่อยไว้ในโหมด suspend ซึ่งมีรายงานว่าอาจสูญเสียแบตถึง 3–4% ต่อชั่วโมง

    แม้เขาจะเปลี่ยนระบบปฏิบัติการจาก Fedora Workstation ไปเป็น Arch Linux และสุดท้ายกลับมาใช้ Fedora Silverblue ซึ่งเขาชื่นชอบมาก แต่ปัญหาแบตเตอรี่ก็ยังอยู่ เขายอมรับว่า Framework ไม่ใช่เครื่องเดียวที่มีปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาของโน้ตบุ๊ก x86 ทั่วไปที่ยังไม่สามารถเทียบชั้น Apple Silicon ได้ในเรื่องการจัดการพลังงาน

    Simon ยังตั้งคำถามว่า หาก Framework เปิดตัวเมนบอร์ด ARM64 เขาควรเปลี่ยนเลยหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่า Apple Silicon ที่ใช้ ARM64 คือหัวใจของความอึดของแบตเตอรี่ แต่เขาก็รู้ดีว่าการเปลี่ยนไปใช้ ARM ไม่ใช่เรื่องง่าย และยังมีข้อจำกัดด้านซอฟต์แวร์และความเข้ากันได้

    สุดท้าย เขายืนยันว่าเขายังรัก Framework และจะยังใช้งานต่อไป แม้จะต้องเสียบปลั๊กไว้ตลอดเวลา เพื่อให้พร้อมใช้งานเมื่อเขาต้องการ

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    MacBook M1 Pro ของ Simon อยู่ในโหมดพับฝา 3 สัปดาห์ ยังมีแบตเหลือ 90%
    Framework 13 ที่ใช้ AMD Ryzen 7840HS หมดแบตทุกครั้งที่เปิดใช้งานหลังพักไว้
    โหมด suspend บน Framework อาจสูญเสียแบต 3–4% ต่อชั่วโมง
    Simon ใช้ Fedora Silverblue ซึ่งเขาชื่นชอบมากกว่าระบบอื่น
    เขายังรัก Framework แม้จะมีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apple Silicon ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 ซึ่งมีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง
    Windows บน ARM เริ่มมีความเสถียรมากขึ้นในปี 2025 โดยรองรับแอปหลักแบบ native
    AMD Ryzen AI 300 series สัญญาว่าจะมีแบตเตอรี่ “หลายวัน” แต่ยังไม่เห็นผลชัดเจนบน Linux
    การจัดการพลังงานบน Linux ยังเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะกับฮาร์ดแวร์ใหม่
    Framework มีแผนเปิดตัวเมนบอร์ด ARM ในอนาคต แต่ยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด

    https://simonhartcher.com/posts/2025-09-22-why-im-spoiled-by-apple-silicon-but-still-love-framework/
    🔋 “Apple Silicon ทำให้คนเสียนิสัย — แต่ Framework ก็ยังมีที่ในใจ: บันทึกความรักและความหงุดหงิดจาก Simon Hartcher” Simon Hartcher นักพัฒนาและผู้ใช้งานโน้ตบุ๊กสายเทคโนโลยี ได้เขียนบทความสะท้อนความรู้สึกที่มีต่อสองโลกของแล็ปท็อป — ฝั่งหนึ่งคือ MacBook M1 Pro ที่ใช้ Apple Silicon ซึ่งเขายกให้เป็น “เครื่องที่ทำให้เขาเสียนิสัย” เพราะแบตเตอรี่อึดจนลืมชาร์จ อีกฝั่งคือ Framework 13 ที่ใช้ AMD Ryzen 7840HS ซึ่งแม้จะมีอุดมการณ์ที่น่าชื่นชม แต่กลับทำให้เขาหงุดหงิดกับแบตเตอรี่ที่หมดเร็วเกินไป Simon เล่าว่า MacBook ของเขาอยู่ในกระเป๋า 3 สัปดาห์โดยไม่เปิดเครื่องเลย แต่เมื่อหยิบออกมา กลับยังมีแบตเหลือถึง 90% ทั้งที่ไม่ได้ปิดเครื่อง แค่พับฝาไว้ ในทางกลับกัน Framework 13 ที่เขาใช้งานไม่บ่อย กลับหมดแบตทุกครั้งที่เปิดใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อปล่อยไว้ในโหมด suspend ซึ่งมีรายงานว่าอาจสูญเสียแบตถึง 3–4% ต่อชั่วโมง แม้เขาจะเปลี่ยนระบบปฏิบัติการจาก Fedora Workstation ไปเป็น Arch Linux และสุดท้ายกลับมาใช้ Fedora Silverblue ซึ่งเขาชื่นชอบมาก แต่ปัญหาแบตเตอรี่ก็ยังอยู่ เขายอมรับว่า Framework ไม่ใช่เครื่องเดียวที่มีปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาของโน้ตบุ๊ก x86 ทั่วไปที่ยังไม่สามารถเทียบชั้น Apple Silicon ได้ในเรื่องการจัดการพลังงาน Simon ยังตั้งคำถามว่า หาก Framework เปิดตัวเมนบอร์ด ARM64 เขาควรเปลี่ยนเลยหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่า Apple Silicon ที่ใช้ ARM64 คือหัวใจของความอึดของแบตเตอรี่ แต่เขาก็รู้ดีว่าการเปลี่ยนไปใช้ ARM ไม่ใช่เรื่องง่าย และยังมีข้อจำกัดด้านซอฟต์แวร์และความเข้ากันได้ สุดท้าย เขายืนยันว่าเขายังรัก Framework และจะยังใช้งานต่อไป แม้จะต้องเสียบปลั๊กไว้ตลอดเวลา เพื่อให้พร้อมใช้งานเมื่อเขาต้องการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ MacBook M1 Pro ของ Simon อยู่ในโหมดพับฝา 3 สัปดาห์ ยังมีแบตเหลือ 90% ➡️ Framework 13 ที่ใช้ AMD Ryzen 7840HS หมดแบตทุกครั้งที่เปิดใช้งานหลังพักไว้ ➡️ โหมด suspend บน Framework อาจสูญเสียแบต 3–4% ต่อชั่วโมง ➡️ Simon ใช้ Fedora Silverblue ซึ่งเขาชื่นชอบมากกว่าระบบอื่น ➡️ เขายังรัก Framework แม้จะมีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apple Silicon ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 ซึ่งมีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูง ➡️ Windows บน ARM เริ่มมีความเสถียรมากขึ้นในปี 2025 โดยรองรับแอปหลักแบบ native ➡️ AMD Ryzen AI 300 series สัญญาว่าจะมีแบตเตอรี่ “หลายวัน” แต่ยังไม่เห็นผลชัดเจนบน Linux ➡️ การจัดการพลังงานบน Linux ยังเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะกับฮาร์ดแวร์ใหม่ ➡️ Framework มีแผนเปิดตัวเมนบอร์ด ARM ในอนาคต แต่ยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด https://simonhartcher.com/posts/2025-09-22-why-im-spoiled-by-apple-silicon-but-still-love-framework/
    SIMONHARTCHER.COM
    Why I'm Spoiled By Apple Silicon (But Still Love Framework) | Simon Hartcher
    A personal comparison of battery life between my MacBook M1 Pro and Framework 13
    0 Comments 0 Shares 265 Views 0 Reviews
  • “DigiCert ซื้อกิจการ Valimail เสริมแกร่งระบบยืนยันอีเมล — สร้างเกราะป้องกันฟิชชิ่งระดับโลกด้วย DMARC และ BIMI”

    ในยุคที่อีเมลกลายเป็นช่องทางหลักของการโจมตีทางไซเบอร์ DigiCert ผู้ให้บริการด้าน digital trust ระดับโลก ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการของ Valimail บริษัทผู้นำด้านการยืนยันตัวตนของอีเมลแบบ zero trust เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์ม DigiCert ONE และรับมือกับภัยฟิชชิ่งและการปลอมแปลงอีเมลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

    Valimail เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี DMARC (Domain-based Message Authentication, Reporting and Conformance) ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบว่าอีเมลที่ส่งออกมานั้นเป็นของจริงหรือไม่ และป้องกันการปลอมแปลงชื่อโดเมน โดย Valimail ยังเป็นผู้ให้บริการ DMARC รายเดียวที่ได้รับการรับรอง FedRAMP สำหรับการใช้งานในหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ

    การรวมตัวครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ DigiCert ขยายการใช้งาน Verified Mark Certificates (VMCs) และ BIMI (Brand Indicators for Message Identification) ซึ่งช่วยให้อีเมลแสดงโลโก้ที่ได้รับการยืนยันในกล่องจดหมายของผู้รับ เพิ่มความน่าเชื่อถือและลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อฟิชชิ่ง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    DigiCert เข้าซื้อกิจการ Valimail เพื่อเสริมระบบยืนยันอีเมลแบบ zero trust
    Valimail เป็นผู้นำด้าน DMARC และได้รับการรับรอง FedRAMP สำหรับการใช้งานในหน่วยงานรัฐบาล
    DigiCert ONE จะรวมเทคโนโลยีของ Valimail เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม digital trust ที่ครอบคลุม
    การรวม VMCs และ BIMI ช่วยให้อีเมลแสดงโลโก้ที่ได้รับการยืนยัน เพิ่มความน่าเชื่อถือ
    Valimail มีลูกค้ากว่า 92,000 รายทั่วโลก และเติบโต 70% ในปีที่ผ่านมา
    DigiCert ตั้งเป้าครองตลาด DMARC มูลค่ากว่า $4 พันล้าน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DMARC ช่วยป้องกันการปลอมแปลงอีเมลและการโจมตีแบบ spoofing
    BIMI ช่วยให้ผู้รับเห็นโลโก้ของแบรนด์ในอีเมล เพิ่มความไว้วางใจ
    VMCs ต้องใช้ร่วมกับ DMARC เพื่อให้โลโก้แสดงผลในกล่องจดหมาย
    การยืนยันอีเมลแบบ zero trust เป็นแนวทางใหม่ในการป้องกันภัยไซเบอร์
    การรวมระบบ DNS, PKI และ certificate lifecycle management ช่วยให้ DigiCert ONE เป็นแพลตฟอร์มที่ครบวงจร

    https://www.techradar.com/pro/digicert-buys-valimail-to-boost-email-security-and-mitigate-growing-global-phishing-threats-using-dmarc
    📧 “DigiCert ซื้อกิจการ Valimail เสริมแกร่งระบบยืนยันอีเมล — สร้างเกราะป้องกันฟิชชิ่งระดับโลกด้วย DMARC และ BIMI” ในยุคที่อีเมลกลายเป็นช่องทางหลักของการโจมตีทางไซเบอร์ DigiCert ผู้ให้บริการด้าน digital trust ระดับโลก ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการของ Valimail บริษัทผู้นำด้านการยืนยันตัวตนของอีเมลแบบ zero trust เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์ม DigiCert ONE และรับมือกับภัยฟิชชิ่งและการปลอมแปลงอีเมลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก Valimail เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี DMARC (Domain-based Message Authentication, Reporting and Conformance) ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบว่าอีเมลที่ส่งออกมานั้นเป็นของจริงหรือไม่ และป้องกันการปลอมแปลงชื่อโดเมน โดย Valimail ยังเป็นผู้ให้บริการ DMARC รายเดียวที่ได้รับการรับรอง FedRAMP สำหรับการใช้งานในหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ การรวมตัวครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ DigiCert ขยายการใช้งาน Verified Mark Certificates (VMCs) และ BIMI (Brand Indicators for Message Identification) ซึ่งช่วยให้อีเมลแสดงโลโก้ที่ได้รับการยืนยันในกล่องจดหมายของผู้รับ เพิ่มความน่าเชื่อถือและลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อฟิชชิ่ง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ DigiCert เข้าซื้อกิจการ Valimail เพื่อเสริมระบบยืนยันอีเมลแบบ zero trust ➡️ Valimail เป็นผู้นำด้าน DMARC และได้รับการรับรอง FedRAMP สำหรับการใช้งานในหน่วยงานรัฐบาล ➡️ DigiCert ONE จะรวมเทคโนโลยีของ Valimail เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม digital trust ที่ครอบคลุม ➡️ การรวม VMCs และ BIMI ช่วยให้อีเมลแสดงโลโก้ที่ได้รับการยืนยัน เพิ่มความน่าเชื่อถือ ➡️ Valimail มีลูกค้ากว่า 92,000 รายทั่วโลก และเติบโต 70% ในปีที่ผ่านมา ➡️ DigiCert ตั้งเป้าครองตลาด DMARC มูลค่ากว่า $4 พันล้าน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DMARC ช่วยป้องกันการปลอมแปลงอีเมลและการโจมตีแบบ spoofing ➡️ BIMI ช่วยให้ผู้รับเห็นโลโก้ของแบรนด์ในอีเมล เพิ่มความไว้วางใจ ➡️ VMCs ต้องใช้ร่วมกับ DMARC เพื่อให้โลโก้แสดงผลในกล่องจดหมาย ➡️ การยืนยันอีเมลแบบ zero trust เป็นแนวทางใหม่ในการป้องกันภัยไซเบอร์ ➡️ การรวมระบบ DNS, PKI และ certificate lifecycle management ช่วยให้ DigiCert ONE เป็นแพลตฟอร์มที่ครบวงจร https://www.techradar.com/pro/digicert-buys-valimail-to-boost-email-security-and-mitigate-growing-global-phishing-threats-using-dmarc
    WWW.TECHRADAR.COM
    DigiCert grabs Valimail to lock down email while attackers circle for their next big strike
    Email hosting services could benefit from scaled DMARC adoption globally
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • “RPM 6.0 เปิดยุคใหม่ของการเซ็นแพ็กเกจ — รองรับหลายลายเซ็น, PQC, SHA-3 และระบบตรวจสอบที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม”

    RPM 6.0 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของระบบจัดการแพ็กเกจที่ใช้ใน Red Hat Enterprise Linux และ Fedora Linux จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการเพิ่มความสามารถด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นในการเซ็นและตรวจสอบแพ็กเกจ

    หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือการรองรับ “หลายลายเซ็น” ต่อแพ็กเกจ โดยสามารถเพิ่ม OpenPGP signatures ได้มากกว่าหนึ่งชุด ซึ่งช่วยให้ผู้พัฒนาและองค์กรสามารถเซ็นแพ็กเกจร่วมกันได้ หรือใช้ลายเซ็นสำรองในกรณีที่คีย์หลักหมดอายุ

    RPM 6.0 ยังรองรับ OpenPGP v6 และ PQC (Post-Quantum Cryptography) keys ซึ่งเตรียมพร้อมสำหรับโลกหลังยุคควอนตัมที่การเข้ารหัสแบบเดิมอาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป พร้อมทั้งรองรับการอัปเดตคีย์ที่เคยนำเข้าแล้ว โดยไม่ต้องลบและนำเข้าใหม่

    ระบบการตรวจสอบลายเซ็นถูกปรับปรุงให้สามารถใช้ full key ID หรือ fingerprint ได้ทุกที่ แทนการใช้ short key ID ที่เคยมีปัญหาเรื่องการชนกัน นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงคำสั่ง rpmkeys และ rpmsign ให้ใช้งานง่ายขึ้น พร้อมเพิ่ม query tag ใหม่ เช่น :hashalgo สำหรับดูชื่ออัลกอริธึมแฮช และ --filemime สำหรับดู MIME type ของไฟล์ในแพ็กเกจ

    RPM 6.0 ยังเพิ่มการรองรับ SHA3-256 และ SHA3-512 เป็นอัลกอริธึมแฮชใหม่ และเพิ่มฟีเจอร์ให้สามารถคำนวณ digest หลายชุดในขั้นตอนการตรวจสอบ และบันทึกไว้ใน rpmdb เพื่อใช้ในการติดตามต้นทางของแพ็กเกจ

    ภายใต้ระบบ RPM ใหม่ยังมี macro ใหม่ เช่น %{span:...} สำหรับเขียน macro หลายบรรทัด และ %{xdg:...} สำหรับประเมินตำแหน่ง XDG base directory รวมถึงระบบจัดการ keystore แบบถาวรใน transaction

    RPM 6.0 ต้องการคอมไพล์เลอร์ C++20 และ Python 3.10 ขึ้นไปในการ build จาก source และจะถูกใช้เป็นระบบจัดการแพ็กเกจหลักใน Red Hat และ Fedora รุ่นถัดไป

    ฟีเจอร์ใหม่ใน RPM 6.0
    รองรับหลาย OpenPGP signatures ต่อแพ็กเกจ
    รองรับ OpenPGP v6 และ PQC keys สำหรับความปลอดภัยในอนาคต
    สามารถอัปเดตคีย์ที่นำเข้าแล้วได้โดยไม่ต้องลบก่อน
    ใช้ full key ID หรือ fingerprint แทน short key ID ที่เคยมีปัญหา

    การปรับปรุงคำสั่งและระบบตรวจสอบ
    rpmkeys และ rpmsign ได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานง่ายขึ้น
    เพิ่ม query tag ใหม่ เช่น :hashalgo และ --filemime
    รองรับ SHA3-256 และ SHA3-512 เป็นอัลกอริธึมแฮชใหม่
    เพิ่มฟีเจอร์คำนวณ digest หลายชุดและบันทึกใน rpmdb

    การปรับปรุงระบบ macro และ keystore
    macro ใหม่ %{span:...} และ %{xdg:...} สำหรับการเขียนที่ยืดหยุ่น
    ระบบจัดการ transaction keystore แบบถาวร
    เพิ่มฟังก์ชันควบคุมระดับการตรวจสอบต่อแพ็กเกจ
    เพิ่ม flags ใหม่สำหรับควบคุมการเซ็นแพ็กเกจด้วย rpmSign()

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RPM 6.0 ต้องการ C++20 compiler และ Python 3.10 ขึ้นไปในการ build
    RPM v3 ถูกยกเลิกการติดตั้ง แต่ยังสามารถ query และ unpack ได้ด้วย rpm2cpio
    Fedora 43 ยังใช้ RPM v4 เป็นค่าเริ่มต้น แม้ RPM 6.0 รองรับ v6 format
    การเซ็นแพ็กเกจด้วย Sequoia ต้องใช้ rpm-sequoia 1.9.0 ขึ้นไป

    https://9to5linux.com/rpm-6-0-released-with-support-for-multiple-openpgp-signatures-per-package
    📦 “RPM 6.0 เปิดยุคใหม่ของการเซ็นแพ็กเกจ — รองรับหลายลายเซ็น, PQC, SHA-3 และระบบตรวจสอบที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม” RPM 6.0 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของระบบจัดการแพ็กเกจที่ใช้ใน Red Hat Enterprise Linux และ Fedora Linux จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการเพิ่มความสามารถด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นในการเซ็นและตรวจสอบแพ็กเกจ หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือการรองรับ “หลายลายเซ็น” ต่อแพ็กเกจ โดยสามารถเพิ่ม OpenPGP signatures ได้มากกว่าหนึ่งชุด ซึ่งช่วยให้ผู้พัฒนาและองค์กรสามารถเซ็นแพ็กเกจร่วมกันได้ หรือใช้ลายเซ็นสำรองในกรณีที่คีย์หลักหมดอายุ RPM 6.0 ยังรองรับ OpenPGP v6 และ PQC (Post-Quantum Cryptography) keys ซึ่งเตรียมพร้อมสำหรับโลกหลังยุคควอนตัมที่การเข้ารหัสแบบเดิมอาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป พร้อมทั้งรองรับการอัปเดตคีย์ที่เคยนำเข้าแล้ว โดยไม่ต้องลบและนำเข้าใหม่ ระบบการตรวจสอบลายเซ็นถูกปรับปรุงให้สามารถใช้ full key ID หรือ fingerprint ได้ทุกที่ แทนการใช้ short key ID ที่เคยมีปัญหาเรื่องการชนกัน นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงคำสั่ง rpmkeys และ rpmsign ให้ใช้งานง่ายขึ้น พร้อมเพิ่ม query tag ใหม่ เช่น :hashalgo สำหรับดูชื่ออัลกอริธึมแฮช และ --filemime สำหรับดู MIME type ของไฟล์ในแพ็กเกจ RPM 6.0 ยังเพิ่มการรองรับ SHA3-256 และ SHA3-512 เป็นอัลกอริธึมแฮชใหม่ และเพิ่มฟีเจอร์ให้สามารถคำนวณ digest หลายชุดในขั้นตอนการตรวจสอบ และบันทึกไว้ใน rpmdb เพื่อใช้ในการติดตามต้นทางของแพ็กเกจ ภายใต้ระบบ RPM ใหม่ยังมี macro ใหม่ เช่น %{span:...} สำหรับเขียน macro หลายบรรทัด และ %{xdg:...} สำหรับประเมินตำแหน่ง XDG base directory รวมถึงระบบจัดการ keystore แบบถาวรใน transaction RPM 6.0 ต้องการคอมไพล์เลอร์ C++20 และ Python 3.10 ขึ้นไปในการ build จาก source และจะถูกใช้เป็นระบบจัดการแพ็กเกจหลักใน Red Hat และ Fedora รุ่นถัดไป ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน RPM 6.0 ➡️ รองรับหลาย OpenPGP signatures ต่อแพ็กเกจ ➡️ รองรับ OpenPGP v6 และ PQC keys สำหรับความปลอดภัยในอนาคต ➡️ สามารถอัปเดตคีย์ที่นำเข้าแล้วได้โดยไม่ต้องลบก่อน ➡️ ใช้ full key ID หรือ fingerprint แทน short key ID ที่เคยมีปัญหา ✅ การปรับปรุงคำสั่งและระบบตรวจสอบ ➡️ rpmkeys และ rpmsign ได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานง่ายขึ้น ➡️ เพิ่ม query tag ใหม่ เช่น :hashalgo และ --filemime ➡️ รองรับ SHA3-256 และ SHA3-512 เป็นอัลกอริธึมแฮชใหม่ ➡️ เพิ่มฟีเจอร์คำนวณ digest หลายชุดและบันทึกใน rpmdb ✅ การปรับปรุงระบบ macro และ keystore ➡️ macro ใหม่ %{span:...} และ %{xdg:...} สำหรับการเขียนที่ยืดหยุ่น ➡️ ระบบจัดการ transaction keystore แบบถาวร ➡️ เพิ่มฟังก์ชันควบคุมระดับการตรวจสอบต่อแพ็กเกจ ➡️ เพิ่ม flags ใหม่สำหรับควบคุมการเซ็นแพ็กเกจด้วย rpmSign() ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RPM 6.0 ต้องการ C++20 compiler และ Python 3.10 ขึ้นไปในการ build ➡️ RPM v3 ถูกยกเลิกการติดตั้ง แต่ยังสามารถ query และ unpack ได้ด้วย rpm2cpio ➡️ Fedora 43 ยังใช้ RPM v4 เป็นค่าเริ่มต้น แม้ RPM 6.0 รองรับ v6 format ➡️ การเซ็นแพ็กเกจด้วย Sequoia ต้องใช้ rpm-sequoia 1.9.0 ขึ้นไป https://9to5linux.com/rpm-6-0-released-with-support-for-multiple-openpgp-signatures-per-package
    9TO5LINUX.COM
    RPM 6.0 Released with Support for Multiple OpenPGP Signatures per Package - 9to5Linux
    RPM 6.0 package manager for Red Hat Enterprise Linux-based distributions is now available with numerous new features and improvements.
    0 Comments 0 Shares 173 Views 0 Reviews
  • “APT เตรียมเพิ่มคำสั่งดูประวัติการติดตั้งแพ็กเกจ — ยกระดับการจัดการระบบ Linux ให้สะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น”

    ใครที่เคยใช้ Linux โดยเฉพาะสาย Debian และ Ubuntu คงคุ้นเคยกับคำสั่ง apt สำหรับติดตั้งและอัปเดตซอฟต์แวร์ แต่ที่ผ่านมา หากต้องการดูว่าเคยติดตั้งหรือถอดถอนแพ็กเกจอะไรไปบ้าง ต้องใช้คำสั่งระดับล่างอย่าง dpkg ร่วมกับ grep หรือเปิดไฟล์ log ด้วยมือ ซึ่งไม่สะดวกและไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้ทั่วไป

    ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 มีการเสนอฟีเจอร์ใหม่ให้กับ apt โดยเพิ่มคำสั่งย่อยสองตัวคือ apt history-list และ apt history-info เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถดูประวัติการติดตั้ง อัปเกรด หรือถอดถอนแพ็กเกจได้โดยตรงจาก apt โดยไม่ต้องพึ่ง log file หรือคำสั่งซับซ้อนอีกต่อไป

    apt history-list จะใช้แสดงรายการธุรกรรมทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นกับแพ็กเกจในระบบ

    apt history-info จะใช้ดูรายละเอียดของธุรกรรมแต่ละรายการ เช่น ติดตั้งเมื่อไร มีแพ็กเกจใดเกี่ยวข้องบ้าง

    ฟีเจอร์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากระบบจัดการแพ็กเกจ DNF ของ Fedora ที่มีคำสั่ง dnf history list และ dnf history info มานานแล้ว โดยนักพัฒนาเชื่อว่าการเพิ่มฟีเจอร์นี้จะช่วยให้การตรวจสอบย้อนหลัง การแก้ไขปัญหา และการทำ auditing ระบบเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก

    นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงว่า apt เวอร์ชัน 3.0 ที่เพิ่งเปิดตัวก็มีหลายฟีเจอร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก DNF เช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการพัฒนา apt ให้ทันสมัยและตอบโจทย์ผู้ใช้มากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    apt เตรียมเพิ่มคำสั่งใหม่ apt history-list และ apt history-info
    ใช้สำหรับดูประวัติการติดตั้ง อัปเกรด และถอดถอนแพ็กเกจในระบบ
    ไม่ต้องพึ่ง dpkg หรือเปิด log file ด้วยมืออีกต่อไป
    ฟีเจอร์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากคำสั่ง dnf history ของ Fedora

    ประโยชน์ต่อผู้ดูแลระบบและผู้ใช้
    ช่วยให้ตรวจสอบย้อนหลังได้ง่ายขึ้น เช่น “ติดตั้งแพ็กเกจนี้เมื่อไร”
    ลดความซับซ้อนในการแก้ไขปัญหาและการ audit ระบบ
    เพิ่มความสะดวกในการทำงาน DevOps และการจัดการเซิร์ฟเวอร์
    apt เวอร์ชันใหม่มีแนวโน้มพัฒนาให้ทันสมัยและเป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DNF ของ Fedora มีระบบ history มานาน และได้รับความนิยมในกลุ่ม sysadmin
    Debian และ Ubuntu ใช้ apt เป็นระบบหลักในการจัดการแพ็กเกจ
    log ของ apt เดิมอยู่ใน /var/log/apt/history.log ซึ่งต้องเปิดอ่านด้วยมือ
    apt history จะช่วยให้การทำ snapshot และ rollback ระบบง่ายขึ้นในอนาคต

    https://news.itsfoss.com/apt-upcoming-history-features/
    📜 “APT เตรียมเพิ่มคำสั่งดูประวัติการติดตั้งแพ็กเกจ — ยกระดับการจัดการระบบ Linux ให้สะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น” ใครที่เคยใช้ Linux โดยเฉพาะสาย Debian และ Ubuntu คงคุ้นเคยกับคำสั่ง apt สำหรับติดตั้งและอัปเดตซอฟต์แวร์ แต่ที่ผ่านมา หากต้องการดูว่าเคยติดตั้งหรือถอดถอนแพ็กเกจอะไรไปบ้าง ต้องใช้คำสั่งระดับล่างอย่าง dpkg ร่วมกับ grep หรือเปิดไฟล์ log ด้วยมือ ซึ่งไม่สะดวกและไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้ทั่วไป ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 มีการเสนอฟีเจอร์ใหม่ให้กับ apt โดยเพิ่มคำสั่งย่อยสองตัวคือ apt history-list และ apt history-info เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถดูประวัติการติดตั้ง อัปเกรด หรือถอดถอนแพ็กเกจได้โดยตรงจาก apt โดยไม่ต้องพึ่ง log file หรือคำสั่งซับซ้อนอีกต่อไป 🗝️ apt history-list จะใช้แสดงรายการธุรกรรมทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นกับแพ็กเกจในระบบ 🗝️ apt history-info จะใช้ดูรายละเอียดของธุรกรรมแต่ละรายการ เช่น ติดตั้งเมื่อไร มีแพ็กเกจใดเกี่ยวข้องบ้าง ฟีเจอร์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากระบบจัดการแพ็กเกจ DNF ของ Fedora ที่มีคำสั่ง dnf history list และ dnf history info มานานแล้ว โดยนักพัฒนาเชื่อว่าการเพิ่มฟีเจอร์นี้จะช่วยให้การตรวจสอบย้อนหลัง การแก้ไขปัญหา และการทำ auditing ระบบเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงว่า apt เวอร์ชัน 3.0 ที่เพิ่งเปิดตัวก็มีหลายฟีเจอร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก DNF เช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการพัฒนา apt ให้ทันสมัยและตอบโจทย์ผู้ใช้มากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ apt เตรียมเพิ่มคำสั่งใหม่ apt history-list และ apt history-info ➡️ ใช้สำหรับดูประวัติการติดตั้ง อัปเกรด และถอดถอนแพ็กเกจในระบบ ➡️ ไม่ต้องพึ่ง dpkg หรือเปิด log file ด้วยมืออีกต่อไป ➡️ ฟีเจอร์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากคำสั่ง dnf history ของ Fedora ✅ ประโยชน์ต่อผู้ดูแลระบบและผู้ใช้ ➡️ ช่วยให้ตรวจสอบย้อนหลังได้ง่ายขึ้น เช่น “ติดตั้งแพ็กเกจนี้เมื่อไร” ➡️ ลดความซับซ้อนในการแก้ไขปัญหาและการ audit ระบบ ➡️ เพิ่มความสะดวกในการทำงาน DevOps และการจัดการเซิร์ฟเวอร์ ➡️ apt เวอร์ชันใหม่มีแนวโน้มพัฒนาให้ทันสมัยและเป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DNF ของ Fedora มีระบบ history มานาน และได้รับความนิยมในกลุ่ม sysadmin ➡️ Debian และ Ubuntu ใช้ apt เป็นระบบหลักในการจัดการแพ็กเกจ ➡️ log ของ apt เดิมอยู่ใน /var/log/apt/history.log ซึ่งต้องเปิดอ่านด้วยมือ ➡️ apt history จะช่วยให้การทำ snapshot และ rollback ระบบง่ายขึ้นในอนาคต https://news.itsfoss.com/apt-upcoming-history-features/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Apt Command is Finally Getting the Much Needed History Features
    In the upcoming versions of apt, you'll be able to see the history of package transactions and get details on them.
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • 20-09-68/01 : หมี CNN / BREAKING NEWS "หมีม้าด่วน ม้าเร็ว ม้าหน้ามืด" EP.22

    1.เล่ห์เหลี่ยมอีขะแมร์ ป่วนภาค 1 แต่เป้าโจมตีคือภาค 2 แค้นจัดรึจ๊ะ? อยากล้างตาสิน่ะ เค้าพร้อมรองาบมรึงนานแล้ว ให้ไว ไอ้สัส! งานนี้รถถังออกจริง ปูพรมแน่ อย่าเผ่นก่อนล่ะ สูตรลูกยาวเทกระจาด ภาคพื้นเก็บกวาด หนุนเสริมด้วยขีปนาวุธจากทัพเรือ สูตรนี้ หนียังไงก็ไม่รอด? อาวุธมรึงซ่อนที่ไหนเค้ารู้หมด เอากองกำลังไปซุ่มในป่า เค้าก็เห็น ไม่เสียเวลาเข้าปะทะ ปูพรมระเบิดเกลี้ยง ราบเป็นหน้ากอง แม้แต่กระสุนก็ยังไม่ได้ยิง ถึงเวลาระเบิดทำลายทุ่นระเบิดมรึงให้เกลี้ยงพื้นที่ รถเคลนเคลียร์ทุนระเบิดตามแนวชายแดนมาเต็ม รออะไร? รอให้มรึงบุกก่อนไงล่ะ?

    2.โซเชี่ยลพลิกขั้ว สาวกอีส้มเน่า ปั่นใจ ถูกปั่นง่าย ก็กลับใจง่าย เพราะมันตามกระแสเป็นหลัก จุดยืนไม่ต้องถาม กูเอาความสบายใจเป็นเหตุ เลือกตั้งเลือกตามอารมณ์ สติปัญญาไม่ต้องใช้ เมื่อสู้กับกระต่าย มรึงก็ต้องทำให้กระต่ายตื่นตูมไงล่ะ กองทัพวางแม่ทัพกุ้งเดินสาย เต็มพื้นที่อีสาน จุดเปลี่ยนเกมส์การเมือง กระแสอีส้มเน่าดับวูบลงเรื่อยๆ แลนด์สไลด์เหรอ เดี๋ยวมรึงได้เจอแบบพรรคฟ้าคราวก่อน วัยรุ่น รักง่าย เบื่อเร็ว เล่นวาทะกรรมยังไงโดนย้อนศรคืนหมด อีสานตื่นกันทั้งแผ่นดิน เบื่อหน่ายกับอีขะแมร์ เพราะการเมืองไทยเป็นขี้ข้าบ่อนไงล่ะ นายทุนมันสั่ง ส่วย 100 ล้านต่อเดือน ใครจะจ่ายต่อ? ได้เวลาเด็ดหัวทหารเหี้ยจ๊ะ?

    3.E-เล็ก ยังแถไม่เลิก อย่ากระเหี้ยนกระหือรือออกหน้าซะขนาดนั้น กลัวไม่ได้ยกแผ่นดินให้อีขะแมร์เหรอ? มรึงมันหมายันลูกหลาน เค้ากาหัวมรึงทั้งประเทศ อ้างไปเหอะ หมายังรู้ อะไรที่เป็นของเรา ใยต้องแบ่งให้วุ่นวาย เป็นใครยึดคืนหมด ไม่ต้องถามต่อ? ฝากไปบอกอีลวกเพ่ใหญ่ เพ่รอง มรึงด้วย กองทัพเค้าไม่เอามรึงแล้วน่ะ จะพาลุงตู่ซวยไปด้วย กบฎนายพันมีจริง นายพลใหญ่แค่ไหน หากขายชาติ นายพันก็พร้อมปฎิวัติ ยังไง? กูไม่ทำไงล่ะ กองกำลังจริง ใครคุม ไม่ใช่มรึงน่ะ? มรึงแค่สั่ง แต่ภาคปฎิบัติการแข็งข้อ มรึงจะทำยังไง? วังไฟเขียวแล้วจ๊ะ!

    4. ‘เงินไม่รู้ที่มา’ ทะลักเข้าไทยแสนล้านบาทต่อไตรมาส มาจากไหน? ปมปัญหาที่แบงค์ชาติต้องตอบ? สาเหตุทำบาทไทยแข็งโป๊ก นอกจากปัจจัยพื้นฐาน ที่เงินเฟ้อไทยต่ำมาก ต่ำกว่าชาวโลกเค้า เพราะควบคุมกระแสเงินได้ดีช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่สิ่งอื่นที่เป็นปัจจัยเกินคาดการณ์ สิ่งนี้ อาจจะมีนัยยะซ่อนเร้นอยู่ เกมส์โลกคือตัวกำหนดทิศทางเงิน เมื่อดอลล่าร์ล่มสลาย และหลายชาติไม่มั่นใจในระบบการเงินโลกยุคเก่า แห่ไปอุ้มทอง และเงินบาทไทย เพราะมีเสถียรภาพมั่นคงมาตลอด การชำระด้วยเงินบาทไทย เป็นที่นิยมสากลโลกตอนนี้ มันมีจุดอ่อน คือกลุ่มเหี้ยบางกลุ่ม อาจใช้เงินบาทไทยเป็นตัวกลางฟอกเงินได้ในอนาคต เพราะความต้องการเงินบาทมีมากจนเกินปกติ ทุกอย่างไม่มีบังเอิญจ๊ะ

    5.แผนลับอี FED กดทองคำยับ หวังช้อนซื้อของถูก เพราะทองคำในมือไม่มี กดไว้ กูจะได้กว้านซื้อขาลงให้มันถูกหน่อย คนมีสติ อยู่ดีดี จะเอาทองคำในมือไปแลกเศษกระดาษทำไมกัน? เพราะมูลค่าในตลาดโลกว่าสูง แต่มูลค่าทองคำในตัวมันเองสูงกว่าตลาดวางไว้ 10 เท่า ยามเมื่อทองคำหมดโลก แผนนี้ไว้ล่อแมงเม่าไงล่ะ หวังฟันกำไรระยะสั้น แต่ที่ถือคือกระดาษเปล่าที่รอวันหมดสภาพ ใครว่าทอง 50000 แพงแล้ว ต่อไป 100000 มรึงจะช็อคมากกว่านี้มั้ยล่ะ? บอกไปแล้ว ทะลุ 65000 เมื่อไหร่ ก็ตัวใครตัวมัน มันเอาไม่อยู่แล้ว สภาพจริง ภาวะจริง ที่โลกต้องแย่งกันสะสมทองคำในมือให้มากที่สุด โดยเฉพาะทองคำแท่งแท้ๆ ไม่ใช่กระดาษซื้อขายล่วงหน้าแบบที่ไอ้อีตะวันตกมันทำ เพื่อเอามาปั่นดอกน่ะ

    6.เจ๊ปองรอด อีเพ่หมี ยุทธิยง รอด ศาลเมตตา ทำผิด ยอมรับผิด มูลเหตุเพื่อปวงประชา หาใช่ทำเพื่อตัวเอง คือการเสียสละ(ศาลเป็นแฟนเจ๊ปอง ดูทุกวัน จับเจ๊เข้าคุก แล้วใครจะเม้าท์ให้กูฟังกันล่ะ) ศาลมีเหตุ มีผล ไม่ใช้อาวุธ ไม่ใช้มวลชนมุ่งเป้าทำลาย นี่คือคีย์ของเหตุแห่งการอภัยลดโทษ คนดี แม้จะเข้าไปยึด เพื่อปิดปากกระบอกเสียงผู้นำขายชาติ ไม่จำเป็นต้องทำลายสถานที่ หรือทำร้ายใคร แค่ปิดการออกอากาศ ผิดจริงตามกฎหมาย เพราะบุก แต่ไม่มีอะไรเสียหาย หรือใครตาย ก็ทัณฑ์บนไว้ ยกฟ้อง อย่าทำอีกล่ะ? อีเจ๊ปองปลื้ม แต่อีเพ่หมี ยุทธิยง ต้องเดิน 14 กิโล ฮาแตกเลยมรึง? บนเอาไว้ ฟ้ามีตา อีเจ๊ปอง ไม่เอาด้วย กูขี้เกียจเดิน

    7.มันส์ล่ะมรึง! เร็วฟ้าผ่า ฟาโรห์ส่งทหาร 20000 ตั้งต้น ซาอุ ตามมา ก่อตั้งกองกำลังกำจัดยิวชั่ว คล้าย NATO อาหรับนั่นแหละ 60 ชาติทั่วโลกมาประชุมกาตาร์ เอาด้วย ประเทศมุสลิมทั้งโลกเตรียมลงแขกยิว รับไม่ได้ อียิวส่ง F-35 มาโจมตีกลุงโดฮา อ้างถล่มศูนย์บัญชาการฮามาส งานนี้ เยรูซาเล็ม เทลอาวีฟ ไฮฟา ที่เหลือแต่ซากแล้ว มรึงยังจะเอาเหี้ยอะไรมาเหลือให้ถล่มซ้ำอีก งานนี้ ฎีกา ยกพลขึ้นบก เกมส์นี้ เค้าแบ่งกันเล่น อิหร่านไม่ต้องออกหน้า อาหรับโดยมติสันนิบาตรอาหรับ นำทีมโดยฟาโรห์ ซาอุ UAE คูเวต โอมาน เตรียมรวมกำลัง จัดใหญ่ จัดหนัก แน่นอนว่า แผนการรุก ย่อมต้องมีอิหร่านวางแผนเบื้องหลัง โดยมีอิรักเป็นหน้าฉาก อาวุธเอาจากไหนกันล่ะ ระบบอาวุธสหรัฐที่มีอยู่จะไม่ได้ถูกใช้งาน เพราะมันสั่งปิดระบบได้ แต่ดอกนี้ Made in จีน อิหร่าน มาเต็มตรีน!

    8.แม่ทัพดาหน้าเสนอ "ปิด สร้าง สู้" มองข้ามหัวไอ้อีฝ่ายการเมืองทุกไอ้อี แม้แต่บูรพาสุนัข ที่ยังสั่งเด็กเห่าแต่เรื่องเปิดด่าน เจอตอกหน้าหงาย เชิญมรึงไปอยู่กับบ่อนที่รักของมรึงเลยเป็นไง? E-เล็ก อย่างหมา กองทัพไม่ให้ราคา หลังจีนสร้างชิป AI สำเร็จ ส่งเหี้ยอะไรมาให้ไทยทดลอง ไทยเราเอาหมด โอกาสงาม จะได้ใช้ก็งานนี้แหละ รหัสยิงขีปนาวุธลำกล้องขะแมร์ ที่จีนเคยมอบให้ ถูกล็อครหัสยิงไม่ได้ กลายเป็นเศษเหล็กไปแล้ว อาวุธใหม่ที่จีนมอบให้ไทย คือรุ่นอัพเกรด วงในรู้กัน ได้ผลลัพธ์ยังไงรายงานด้วย ไม่ถึง 1 เดือน เงินสำรองประเทศหมด อีขะแมร์เข้าตาจนแล้ว ชาวบ้านตกงาน อดอยากปากแห้ง พรมแดนระอุเดือด ปะทะแน่ ขอบอก

    9.ควอนตัม AI จุดจบโลกทุนนิยม เมื่อทุกอย่างควบคุมด้วยสมองกล และการประเมิน ทุกอย่างเข้าระบบเหมือนกัน วิธีการเดียวกันหมด จะทำให้ทุนนิยมผูกขาด เจ๊งในที่สุด เมื่อทุกทางเลือกเกิดขึ้นใหม่ตลอด แนวคิดปัจจุบันนี้ ที่บรรดาเจ้าสัวคิด จะใช้ไม่ได้อีก 50 ปีข้างหน้า เป็นไปได้ทั้งหมด เพราะมันจะไม่มีใครสามารถเข้ามาผูกขาดการค้าฝ่ายเดียวได้อีกต่อไป เพราะทั้งระบบเริ่มต้น ยันไปถึงปลายทาง AI จัดการให้แล้วเสร็จ โดยไม่ต้องมีสอดไส้คาราเมล โลกจะเข้าสู่การจัดระเบียบใหม่อย่างแท้จริง ตัดปัญหาที่มนุษย์เคยสร้างไว้ทั้งหมด แต่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ปัญหาใหม่จะเกิดตามมาแน่นอน เป็นเพราะมนุษย์อีกเช่นเคย

    10.ครม.1 เพ่นู๋ มาเต็ม เด็กฝากเพี๊ยบ แก้กฎหมายเอาตัวรอดก่อน 4 เดือนมันสั้น สร้างภาพต้องมา แก้ไขผิดให้ถูกต้องมี สายไหนก็จะเอาแต่ทางรอดตัวเอง ไม่มีใครคิดว่าไทยจะรอดยังไง? ด้านความมั่นคง เด็กเพ่ใหญ่ เพ่รอง เข้าวินชัวร์ แต่จะกล้าสวนกระแสกองทัพหรือไม่ อย่าลืมว่า กองทัพไม่ได้มีแค่ "บูรพาสุนัขน่ะจ๊ะ" สายอื่นก็จ้อง มรึงล้มเมื่อไหร่ กูข้ามทันที? ความผิด กสทช. ซุกไว้ในเกะต่อ ความผิดของอีน้ำเงินทั้งหมด จะถูกบิดเบือนให้มีทางรอด ยอมทุกอย่างเพื่อล้างมลทินไงล่ะ ดังนั้น ใครหวังว่ารัฐบาลไอ้อีหน้าไหน เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาไทย อย่าได้หวัง ก็แค่สมบัติผลัดกันชม อะไรที่เคยเหี้ยไข่ทิ้งไว้ ก็ต้องมาชำระล้างกันภายหลัง แล้วมรึงยังจะต้องการประชาธิปไตยอีกต่อไปมั้ยล่ะ จะเลือดตั้งไปเพื่อ? ไม่มีใครจริง
    ที่ทำงานให้มรึง ไม่มีและไม่เคยมี

    ปล.สหภาพแรงงานทั้งยุโรปรวมตัว อีปารีโดนแล้ว ปิดทำการทุกอย่าง โรงเรียน ขนส่ง คมนาคม ผู้คนออกเดินถนนล่ออีมาครงทั่วประเทศ อีเบียร์ตามมาทันที และยังมีอีกหลายเมืองทั่วยุโรป คำถามคือ จะตายห่าอยู่แล้ว จะก่อสงครามไปเพื่อ? ชาวบ้านอยากได้สงครามเหรอ? จะตายเพื่อยิวเหรอ? นักการเมืองคือขี้ข้ายิวทั้งหมด ยุโรปตกเป็นของยิวมานานนับ 100 ปีแล้ว ลุงหนวดจิ๋ม ถึงได้ล้างบาง ฆ่าล้างโคตรยิวไงล่ะ? มียิวที่ไหน ความฉิบหายเกิดที่นั่น! สภาพ! แววออก เพ่นู่ คุยคุณนู๋อภิสิทธิ์ ส่งสัญญานชัด เลือกตั้งใหม่ กอดกันแน่ การเมืองคือเรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้น นายช่วยเรา เราช่วยนาย แล้วใครจะช่วยประเทศก่อนล่ะ? ไม่รอด "สุชาติ 3 นิ้ว" โพสต์หมิ่นสถาบันฯ ถูกปลดจากศิลปินแห่งชาติโดยสมบูรณ์ ศาลฯยกฟ้องคำสั่งเพิกถอน ออกตัวแรงก่อนเลือกตั้งใหม่ รับมาเท่าไหร่จ๊ะ ถึงกล้ายอมติดคุก พรรคพวกมรึงก็รอยู่เต็มไปหมด เลือกตั้งหน้า พรรคอีส้มเน่าจองหมดทั้งคลองเปรม สรุปคุกมีไว้ขังนักการเมืองขายชาติไปแล้ว อีกไม่นาน คลองเปรม อาจกลายร่างเป็น "คฤหาสน์หรู" กลางเมืองซะงั้น เหี้ยถึงรวย เอาเงินไปเสพสุขต่อในคุกสิน่ะ ตรรกะจิตป่วยขั้นสูงสุด ทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน ขายตัว ขายชาติ กันเมามันส์ กลียุคมันดีอย่างงี้แหละ รู้ไส้รู้พุงกันหมดเปลือกไปเลย?

    หมี CNN(แผนที่ฝรั่งเศส ปี 1927 ยืนยันชัดเจน แหล่งพลังงานทั้งหมดคืออยู่ในไทย 100% อีบัวแก้วไม่ใช้ รัฐบาลไม่ใช้ เพราะกลัวไม่ได้ขายชาติแดร๊กจ๊ะ ยุบอีบัวแก้วไปเลยดีมั้ย? หน้าที่ไม่ทำ จ้องแต่จะขายชาติแดร๊กท่าเดียว คำถามคือ หากไทยคลั่งบ้าง อย่าร้องน่ะมรึง มันไม่จบแค่พรมแดน แต่จะกลืนมรึงทั้งหมดทั้งประเทศ ฆ่าด้วยปากท้อง ฆ่าด้วยเศรษฐกิจ ฆ่าด้วยแสนยานุภาพ ฆ่าด้วยอิทธิพลเจ้ามือโลกใหม่ มีอีก 108 1009 วิธี ที่จะขยายพื้นที่ได้จริง แค่รอเจ้าเก่าตายคาตรีนก่อน ทุกอย่าง ฝันที่เป็นจริงจะปรากฎ ดังนั้น รู้แล้วชิมิ ควรเชียร์ฝั่งใคร?)
    20 กันยายน 68
    11.11 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)**
    ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    20-09-68/01 : หมี CNN / BREAKING NEWS "หมีม้าด่วน ม้าเร็ว ม้าหน้ามืด" EP.22 1.เล่ห์เหลี่ยมอีขะแมร์ ป่วนภาค 1 แต่เป้าโจมตีคือภาค 2 แค้นจัดรึจ๊ะ? อยากล้างตาสิน่ะ เค้าพร้อมรองาบมรึงนานแล้ว ให้ไว ไอ้สัส! งานนี้รถถังออกจริง ปูพรมแน่ อย่าเผ่นก่อนล่ะ สูตรลูกยาวเทกระจาด ภาคพื้นเก็บกวาด หนุนเสริมด้วยขีปนาวุธจากทัพเรือ สูตรนี้ หนียังไงก็ไม่รอด? อาวุธมรึงซ่อนที่ไหนเค้ารู้หมด เอากองกำลังไปซุ่มในป่า เค้าก็เห็น ไม่เสียเวลาเข้าปะทะ ปูพรมระเบิดเกลี้ยง ราบเป็นหน้ากอง แม้แต่กระสุนก็ยังไม่ได้ยิง ถึงเวลาระเบิดทำลายทุ่นระเบิดมรึงให้เกลี้ยงพื้นที่ รถเคลนเคลียร์ทุนระเบิดตามแนวชายแดนมาเต็ม รออะไร? รอให้มรึงบุกก่อนไงล่ะ? 2.โซเชี่ยลพลิกขั้ว สาวกอีส้มเน่า ปั่นใจ ถูกปั่นง่าย ก็กลับใจง่าย เพราะมันตามกระแสเป็นหลัก จุดยืนไม่ต้องถาม กูเอาความสบายใจเป็นเหตุ เลือกตั้งเลือกตามอารมณ์ สติปัญญาไม่ต้องใช้ เมื่อสู้กับกระต่าย มรึงก็ต้องทำให้กระต่ายตื่นตูมไงล่ะ กองทัพวางแม่ทัพกุ้งเดินสาย เต็มพื้นที่อีสาน จุดเปลี่ยนเกมส์การเมือง กระแสอีส้มเน่าดับวูบลงเรื่อยๆ แลนด์สไลด์เหรอ เดี๋ยวมรึงได้เจอแบบพรรคฟ้าคราวก่อน วัยรุ่น รักง่าย เบื่อเร็ว เล่นวาทะกรรมยังไงโดนย้อนศรคืนหมด อีสานตื่นกันทั้งแผ่นดิน เบื่อหน่ายกับอีขะแมร์ เพราะการเมืองไทยเป็นขี้ข้าบ่อนไงล่ะ นายทุนมันสั่ง ส่วย 100 ล้านต่อเดือน ใครจะจ่ายต่อ? ได้เวลาเด็ดหัวทหารเหี้ยจ๊ะ? 3.E-เล็ก ยังแถไม่เลิก อย่ากระเหี้ยนกระหือรือออกหน้าซะขนาดนั้น กลัวไม่ได้ยกแผ่นดินให้อีขะแมร์เหรอ? มรึงมันหมายันลูกหลาน เค้ากาหัวมรึงทั้งประเทศ อ้างไปเหอะ หมายังรู้ อะไรที่เป็นของเรา ใยต้องแบ่งให้วุ่นวาย เป็นใครยึดคืนหมด ไม่ต้องถามต่อ? ฝากไปบอกอีลวกเพ่ใหญ่ เพ่รอง มรึงด้วย กองทัพเค้าไม่เอามรึงแล้วน่ะ จะพาลุงตู่ซวยไปด้วย กบฎนายพันมีจริง นายพลใหญ่แค่ไหน หากขายชาติ นายพันก็พร้อมปฎิวัติ ยังไง? กูไม่ทำไงล่ะ กองกำลังจริง ใครคุม ไม่ใช่มรึงน่ะ? มรึงแค่สั่ง แต่ภาคปฎิบัติการแข็งข้อ มรึงจะทำยังไง? วังไฟเขียวแล้วจ๊ะ! 4. ‘เงินไม่รู้ที่มา’ ทะลักเข้าไทยแสนล้านบาทต่อไตรมาส มาจากไหน? ปมปัญหาที่แบงค์ชาติต้องตอบ? สาเหตุทำบาทไทยแข็งโป๊ก นอกจากปัจจัยพื้นฐาน ที่เงินเฟ้อไทยต่ำมาก ต่ำกว่าชาวโลกเค้า เพราะควบคุมกระแสเงินได้ดีช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่สิ่งอื่นที่เป็นปัจจัยเกินคาดการณ์ สิ่งนี้ อาจจะมีนัยยะซ่อนเร้นอยู่ เกมส์โลกคือตัวกำหนดทิศทางเงิน เมื่อดอลล่าร์ล่มสลาย และหลายชาติไม่มั่นใจในระบบการเงินโลกยุคเก่า แห่ไปอุ้มทอง และเงินบาทไทย เพราะมีเสถียรภาพมั่นคงมาตลอด การชำระด้วยเงินบาทไทย เป็นที่นิยมสากลโลกตอนนี้ มันมีจุดอ่อน คือกลุ่มเหี้ยบางกลุ่ม อาจใช้เงินบาทไทยเป็นตัวกลางฟอกเงินได้ในอนาคต เพราะความต้องการเงินบาทมีมากจนเกินปกติ ทุกอย่างไม่มีบังเอิญจ๊ะ 5.แผนลับอี FED กดทองคำยับ หวังช้อนซื้อของถูก เพราะทองคำในมือไม่มี กดไว้ กูจะได้กว้านซื้อขาลงให้มันถูกหน่อย คนมีสติ อยู่ดีดี จะเอาทองคำในมือไปแลกเศษกระดาษทำไมกัน? เพราะมูลค่าในตลาดโลกว่าสูง แต่มูลค่าทองคำในตัวมันเองสูงกว่าตลาดวางไว้ 10 เท่า ยามเมื่อทองคำหมดโลก แผนนี้ไว้ล่อแมงเม่าไงล่ะ หวังฟันกำไรระยะสั้น แต่ที่ถือคือกระดาษเปล่าที่รอวันหมดสภาพ ใครว่าทอง 50000 แพงแล้ว ต่อไป 100000 มรึงจะช็อคมากกว่านี้มั้ยล่ะ? บอกไปแล้ว ทะลุ 65000 เมื่อไหร่ ก็ตัวใครตัวมัน มันเอาไม่อยู่แล้ว สภาพจริง ภาวะจริง ที่โลกต้องแย่งกันสะสมทองคำในมือให้มากที่สุด โดยเฉพาะทองคำแท่งแท้ๆ ไม่ใช่กระดาษซื้อขายล่วงหน้าแบบที่ไอ้อีตะวันตกมันทำ เพื่อเอามาปั่นดอกน่ะ 6.เจ๊ปองรอด อีเพ่หมี ยุทธิยง รอด ศาลเมตตา ทำผิด ยอมรับผิด มูลเหตุเพื่อปวงประชา หาใช่ทำเพื่อตัวเอง คือการเสียสละ(ศาลเป็นแฟนเจ๊ปอง ดูทุกวัน จับเจ๊เข้าคุก แล้วใครจะเม้าท์ให้กูฟังกันล่ะ) ศาลมีเหตุ มีผล ไม่ใช้อาวุธ ไม่ใช้มวลชนมุ่งเป้าทำลาย นี่คือคีย์ของเหตุแห่งการอภัยลดโทษ คนดี แม้จะเข้าไปยึด เพื่อปิดปากกระบอกเสียงผู้นำขายชาติ ไม่จำเป็นต้องทำลายสถานที่ หรือทำร้ายใคร แค่ปิดการออกอากาศ ผิดจริงตามกฎหมาย เพราะบุก แต่ไม่มีอะไรเสียหาย หรือใครตาย ก็ทัณฑ์บนไว้ ยกฟ้อง อย่าทำอีกล่ะ? อีเจ๊ปองปลื้ม แต่อีเพ่หมี ยุทธิยง ต้องเดิน 14 กิโล ฮาแตกเลยมรึง? บนเอาไว้ ฟ้ามีตา อีเจ๊ปอง ไม่เอาด้วย กูขี้เกียจเดิน 7.มันส์ล่ะมรึง! เร็วฟ้าผ่า ฟาโรห์ส่งทหาร 20000 ตั้งต้น ซาอุ ตามมา ก่อตั้งกองกำลังกำจัดยิวชั่ว คล้าย NATO อาหรับนั่นแหละ 60 ชาติทั่วโลกมาประชุมกาตาร์ เอาด้วย ประเทศมุสลิมทั้งโลกเตรียมลงแขกยิว รับไม่ได้ อียิวส่ง F-35 มาโจมตีกลุงโดฮา อ้างถล่มศูนย์บัญชาการฮามาส งานนี้ เยรูซาเล็ม เทลอาวีฟ ไฮฟา ที่เหลือแต่ซากแล้ว มรึงยังจะเอาเหี้ยอะไรมาเหลือให้ถล่มซ้ำอีก งานนี้ ฎีกา ยกพลขึ้นบก เกมส์นี้ เค้าแบ่งกันเล่น อิหร่านไม่ต้องออกหน้า อาหรับโดยมติสันนิบาตรอาหรับ นำทีมโดยฟาโรห์ ซาอุ UAE คูเวต โอมาน เตรียมรวมกำลัง จัดใหญ่ จัดหนัก แน่นอนว่า แผนการรุก ย่อมต้องมีอิหร่านวางแผนเบื้องหลัง โดยมีอิรักเป็นหน้าฉาก อาวุธเอาจากไหนกันล่ะ ระบบอาวุธสหรัฐที่มีอยู่จะไม่ได้ถูกใช้งาน เพราะมันสั่งปิดระบบได้ แต่ดอกนี้ Made in จีน อิหร่าน มาเต็มตรีน! 8.แม่ทัพดาหน้าเสนอ "ปิด สร้าง สู้" มองข้ามหัวไอ้อีฝ่ายการเมืองทุกไอ้อี แม้แต่บูรพาสุนัข ที่ยังสั่งเด็กเห่าแต่เรื่องเปิดด่าน เจอตอกหน้าหงาย เชิญมรึงไปอยู่กับบ่อนที่รักของมรึงเลยเป็นไง? E-เล็ก อย่างหมา กองทัพไม่ให้ราคา หลังจีนสร้างชิป AI สำเร็จ ส่งเหี้ยอะไรมาให้ไทยทดลอง ไทยเราเอาหมด โอกาสงาม จะได้ใช้ก็งานนี้แหละ รหัสยิงขีปนาวุธลำกล้องขะแมร์ ที่จีนเคยมอบให้ ถูกล็อครหัสยิงไม่ได้ กลายเป็นเศษเหล็กไปแล้ว อาวุธใหม่ที่จีนมอบให้ไทย คือรุ่นอัพเกรด วงในรู้กัน ได้ผลลัพธ์ยังไงรายงานด้วย ไม่ถึง 1 เดือน เงินสำรองประเทศหมด อีขะแมร์เข้าตาจนแล้ว ชาวบ้านตกงาน อดอยากปากแห้ง พรมแดนระอุเดือด ปะทะแน่ ขอบอก 9.ควอนตัม AI จุดจบโลกทุนนิยม เมื่อทุกอย่างควบคุมด้วยสมองกล และการประเมิน ทุกอย่างเข้าระบบเหมือนกัน วิธีการเดียวกันหมด จะทำให้ทุนนิยมผูกขาด เจ๊งในที่สุด เมื่อทุกทางเลือกเกิดขึ้นใหม่ตลอด แนวคิดปัจจุบันนี้ ที่บรรดาเจ้าสัวคิด จะใช้ไม่ได้อีก 50 ปีข้างหน้า เป็นไปได้ทั้งหมด เพราะมันจะไม่มีใครสามารถเข้ามาผูกขาดการค้าฝ่ายเดียวได้อีกต่อไป เพราะทั้งระบบเริ่มต้น ยันไปถึงปลายทาง AI จัดการให้แล้วเสร็จ โดยไม่ต้องมีสอดไส้คาราเมล โลกจะเข้าสู่การจัดระเบียบใหม่อย่างแท้จริง ตัดปัญหาที่มนุษย์เคยสร้างไว้ทั้งหมด แต่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ปัญหาใหม่จะเกิดตามมาแน่นอน เป็นเพราะมนุษย์อีกเช่นเคย 10.ครม.1 เพ่นู๋ มาเต็ม เด็กฝากเพี๊ยบ แก้กฎหมายเอาตัวรอดก่อน 4 เดือนมันสั้น สร้างภาพต้องมา แก้ไขผิดให้ถูกต้องมี สายไหนก็จะเอาแต่ทางรอดตัวเอง ไม่มีใครคิดว่าไทยจะรอดยังไง? ด้านความมั่นคง เด็กเพ่ใหญ่ เพ่รอง เข้าวินชัวร์ แต่จะกล้าสวนกระแสกองทัพหรือไม่ อย่าลืมว่า กองทัพไม่ได้มีแค่ "บูรพาสุนัขน่ะจ๊ะ" สายอื่นก็จ้อง มรึงล้มเมื่อไหร่ กูข้ามทันที? ความผิด กสทช. ซุกไว้ในเกะต่อ ความผิดของอีน้ำเงินทั้งหมด จะถูกบิดเบือนให้มีทางรอด ยอมทุกอย่างเพื่อล้างมลทินไงล่ะ ดังนั้น ใครหวังว่ารัฐบาลไอ้อีหน้าไหน เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาไทย อย่าได้หวัง ก็แค่สมบัติผลัดกันชม อะไรที่เคยเหี้ยไข่ทิ้งไว้ ก็ต้องมาชำระล้างกันภายหลัง แล้วมรึงยังจะต้องการประชาธิปไตยอีกต่อไปมั้ยล่ะ จะเลือดตั้งไปเพื่อ? ไม่มีใครจริง ที่ทำงานให้มรึง ไม่มีและไม่เคยมี ปล.สหภาพแรงงานทั้งยุโรปรวมตัว อีปารีโดนแล้ว ปิดทำการทุกอย่าง โรงเรียน ขนส่ง คมนาคม ผู้คนออกเดินถนนล่ออีมาครงทั่วประเทศ อีเบียร์ตามมาทันที และยังมีอีกหลายเมืองทั่วยุโรป คำถามคือ จะตายห่าอยู่แล้ว จะก่อสงครามไปเพื่อ? ชาวบ้านอยากได้สงครามเหรอ? จะตายเพื่อยิวเหรอ? นักการเมืองคือขี้ข้ายิวทั้งหมด ยุโรปตกเป็นของยิวมานานนับ 100 ปีแล้ว ลุงหนวดจิ๋ม ถึงได้ล้างบาง ฆ่าล้างโคตรยิวไงล่ะ? มียิวที่ไหน ความฉิบหายเกิดที่นั่น! สภาพ! แววออก เพ่นู่ คุยคุณนู๋อภิสิทธิ์ ส่งสัญญานชัด เลือกตั้งใหม่ กอดกันแน่ การเมืองคือเรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้น นายช่วยเรา เราช่วยนาย แล้วใครจะช่วยประเทศก่อนล่ะ? ไม่รอด "สุชาติ 3 นิ้ว" โพสต์หมิ่นสถาบันฯ ถูกปลดจากศิลปินแห่งชาติโดยสมบูรณ์ ศาลฯยกฟ้องคำสั่งเพิกถอน ออกตัวแรงก่อนเลือกตั้งใหม่ รับมาเท่าไหร่จ๊ะ ถึงกล้ายอมติดคุก พรรคพวกมรึงก็รอยู่เต็มไปหมด เลือกตั้งหน้า พรรคอีส้มเน่าจองหมดทั้งคลองเปรม สรุปคุกมีไว้ขังนักการเมืองขายชาติไปแล้ว อีกไม่นาน คลองเปรม อาจกลายร่างเป็น "คฤหาสน์หรู" กลางเมืองซะงั้น เหี้ยถึงรวย เอาเงินไปเสพสุขต่อในคุกสิน่ะ ตรรกะจิตป่วยขั้นสูงสุด ทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน ขายตัว ขายชาติ กันเมามันส์ กลียุคมันดีอย่างงี้แหละ รู้ไส้รู้พุงกันหมดเปลือกไปเลย? หมี CNN(แผนที่ฝรั่งเศส ปี 1927 ยืนยันชัดเจน แหล่งพลังงานทั้งหมดคืออยู่ในไทย 100% อีบัวแก้วไม่ใช้ รัฐบาลไม่ใช้ เพราะกลัวไม่ได้ขายชาติแดร๊กจ๊ะ ยุบอีบัวแก้วไปเลยดีมั้ย? หน้าที่ไม่ทำ จ้องแต่จะขายชาติแดร๊กท่าเดียว คำถามคือ หากไทยคลั่งบ้าง อย่าร้องน่ะมรึง มันไม่จบแค่พรมแดน แต่จะกลืนมรึงทั้งหมดทั้งประเทศ ฆ่าด้วยปากท้อง ฆ่าด้วยเศรษฐกิจ ฆ่าด้วยแสนยานุภาพ ฆ่าด้วยอิทธิพลเจ้ามือโลกใหม่ มีอีก 108 1009 วิธี ที่จะขยายพื้นที่ได้จริง แค่รอเจ้าเก่าตายคาตรีนก่อน ทุกอย่าง ฝันที่เป็นจริงจะปรากฎ ดังนั้น รู้แล้วชิมิ ควรเชียร์ฝั่งใคร?) 20 กันยายน 68 11.11 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)** ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    LINE.ME
    title
    description
    0 Comments 0 Shares 459 Views 0 Reviews
  • มากกว่า 100 ปีหลังจากคำประกาศบัลโฟร์ (Balfour Declaration) และ 77 ปีหลังจากการก่อตั้งอิสราเอลบนดินแดนปาเลสไตน์ของอังกฤษ

    เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเตรียมประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์นี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายต่างประเทศของของอังกฤษ ท่ามกลางการประณามอย่างรุนแรงจากอิสราเอลว่าเป็น "การให้รางวัลแก่การก่อการร้าย"
    .
    ข้อมูลจาก ChatGPT:
    คำประกาศบัลโฟร์ (Balfour Declaration)
    คือเอกสารเชิงการเมืองที่ออกเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 (พ.ศ. 2460) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักรผ่าน อาร์เธอร์ เจมส์ บัลโฟร์ (Arthur James Balfour) รัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้น ได้ส่งจดหมายถึง ลอร์ด รอทชิลด์ (Lord Rothschild) ผู้นำชาวยิวในอังกฤษ เพื่อให้ส่งต่อไปยังสมาคมไซออนนิสต์ (Zionist Federation)

    เนื้อหาหลักของคำประกาศ
    รัฐบาลอังกฤษ “เห็นด้วย” ต่อการจัดตั้ง “บ้านแห่งชาติของชาวยิว” (National Home for the Jewish People) ในดินแดนปาเลสไตน์ (ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน) แต่มีเงื่อนไขว่า

    - ต้องไม่กระทบสิทธิพลเมืองและสิทธิทางศาสนาของประชาชนที่ไม่ใช่ชาวยิวในปาเลสไตน์
    - ต้องไม่กระทบสถานะทางการเมืองและสิทธิของชาวยิวในประเทศอื่น ๆ

    ความสำคัญ:
    เป็นครั้งแรกที่มหาอำนาจตะวันตกให้การรับรองอย่างเป็นทางการต่อแนวคิดไซออนนิสต์ (Zionism) ซึ่งมุ่งหวังให้มีรัฐยิวในปาเลสไตน์

    เป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การอพยพของชาวยิวเข้าสู่ปาเลสไตน์ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และช่วงที่อังกฤษได้รับ “อาณัติบริหารปาเลสไตน์” จากสันนิบาตชาติ

    กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งสมัยใหม่ระหว่างชาวยิวกับชาวปาเลสไตน์ และเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหาความขัดแย้งอาหรับ–อิสราเอลที่ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
    มากกว่า 100 ปีหลังจากคำประกาศบัลโฟร์ (Balfour Declaration) และ 77 ปีหลังจากการก่อตั้งอิสราเอลบนดินแดนปาเลสไตน์ของอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเตรียมประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์นี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายต่างประเทศของของอังกฤษ ท่ามกลางการประณามอย่างรุนแรงจากอิสราเอลว่าเป็น "การให้รางวัลแก่การก่อการร้าย" . ข้อมูลจาก ChatGPT: 👉คำประกาศบัลโฟร์ (Balfour Declaration) คือเอกสารเชิงการเมืองที่ออกเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 (พ.ศ. 2460) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักรผ่าน อาร์เธอร์ เจมส์ บัลโฟร์ (Arthur James Balfour) รัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้น ได้ส่งจดหมายถึง ลอร์ด รอทชิลด์ (Lord Rothschild) ผู้นำชาวยิวในอังกฤษ เพื่อให้ส่งต่อไปยังสมาคมไซออนนิสต์ (Zionist Federation) 👉เนื้อหาหลักของคำประกาศ รัฐบาลอังกฤษ “เห็นด้วย” ต่อการจัดตั้ง “บ้านแห่งชาติของชาวยิว” (National Home for the Jewish People) ในดินแดนปาเลสไตน์ (ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน) แต่มีเงื่อนไขว่า - ต้องไม่กระทบสิทธิพลเมืองและสิทธิทางศาสนาของประชาชนที่ไม่ใช่ชาวยิวในปาเลสไตน์ - ต้องไม่กระทบสถานะทางการเมืองและสิทธิของชาวยิวในประเทศอื่น ๆ 👉ความสำคัญ: เป็นครั้งแรกที่มหาอำนาจตะวันตกให้การรับรองอย่างเป็นทางการต่อแนวคิดไซออนนิสต์ (Zionism) ซึ่งมุ่งหวังให้มีรัฐยิวในปาเลสไตน์ เป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การอพยพของชาวยิวเข้าสู่ปาเลสไตน์ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และช่วงที่อังกฤษได้รับ “อาณัติบริหารปาเลสไตน์” จากสันนิบาตชาติ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งสมัยใหม่ระหว่างชาวยิวกับชาวปาเลสไตน์ และเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหาความขัดแย้งอาหรับ–อิสราเอลที่ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
    0 Comments 0 Shares 394 Views 0 Reviews
  • “ForgeCraft: เครือข่ายจีนขายบัตรประชาชนปลอมกว่า 6,500 ใบ — เมื่อเอกสารปลอมกลายเป็นอาวุธไซเบอร์ระดับโลก”

    การสืบสวนล่าสุดโดยบริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ CloudSEK ได้เปิดโปงเครือข่ายขนาดใหญ่ในจีนที่ดำเนินการขายบัตรประชาชนปลอมของสหรัฐฯ และแคนาดาอย่างเป็นระบบ โดยใช้ชื่อปฏิบัติการว่า “ForgeCraft” เครือข่ายนี้มีเว็บไซต์มากกว่า 83 แห่งในการขายเอกสารปลอมที่มีคุณภาพสูง ทั้งบัตรขับขี่และบัตรประกันสังคม พร้อมบาร์โค้ดที่สแกนได้ ฮอโลแกรม และรอย UV เหมือนของจริง

    จากรายงานพบว่า มีการขายบัตรปลอมไปแล้วกว่า 6,500 ใบให้กับผู้ซื้อกว่า 4,500 รายในอเมริกาเหนือ สร้างรายได้มากกว่า $785,000 โดยผู้ซื้อกว่า 60% มีอายุมากกว่า 25 ปี และมีกรณีศึกษาที่พบว่ามีการซื้อใบขับขี่เชิงพาณิชย์ปลอมถึง 42 ใบ เพื่อนำไปใช้ในบริษัทขนส่งที่มีประวัติปัญหาด้านกฎหมาย

    บัตรปลอมเหล่านี้ถูกใช้ในหลายกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอายุ การสร้างบัญชีโซเชียลมีเดีย การผ่านการยืนยันตัวตนกับธนาคาร การขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต และแม้แต่การหลอกลวงการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในรัฐที่เริ่มใช้ระบบตรวจสอบอายุแบบสหราชอาณาจักร

    เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ เครือข่ายนี้ใช้วิธี “บรรจุภัณฑ์ลับ” โดยซ่อนบัตรไว้ในสิ่งของทั่วไป เช่น กระเป๋า ของเล่น หรือกล่องกระดาษ และจัดส่งผ่าน FedEx หรือ USPS พร้อมวิดีโอสอนวิธีแกะกล่องเพื่อหาบัตรที่ซ่อนอยู่

    การชำระเงินทำผ่านช่องทางหลากหลาย ทั้ง PayPal, LianLian Pay และคริปโตเคอร์เรนซีอย่าง Bitcoin และ Ethereum โดย CloudSEK สามารถติดตามไปถึงผู้ดำเนินการหลักในเมืองเซียะเหมิน ประเทศจีน และจับภาพใบหน้าผ่านเว็บแคมได้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เครือข่าย ForgeCraft ขายบัตรประชาชนปลอมของสหรัฐฯ และแคนาดากว่า 6,500 ใบ
    ใช้เว็บไซต์กว่า 83 แห่งในการดำเนินการ พร้อมเทคนิคบรรจุภัณฑ์ลับเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ
    รายได้รวมกว่า $785,000 จากผู้ซื้อกว่า 4,500 ราย
    บัตรปลอมมีคุณภาพสูง มีบาร์โค้ด ฮอโลแกรม และรอย UV เหมือนของจริง

    การใช้งานและผลกระทบ
    ใช้ในการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอายุและการยืนยันตัวตนกับธนาคาร
    ใช้สร้างบัญชีโซเชียลมีเดียและเข้าถึงเว็บไซต์สำหรับผู้ใหญ่
    ใช้ขับรถเชิงพาณิชย์โดยไม่มีใบอนุญาตจริง
    อาจถูกใช้ในการหลอกลวงการเลือกตั้งและข้ามด่านตรวจคนเข้าเมือง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การปลอมแปลงเอกสารเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติและระบบการเงิน
    บัตรปลอมสามารถใช้ใน SIM swap และการเข้ายึดบัญชีออนไลน์
    การใช้คริปโตในการชำระเงินช่วยให้ผู้ขายไม่สามารถถูกติดตามได้ง่าย
    CloudSEK แนะนำให้หน่วยงานรัฐยึดโดเมนและให้บริษัทขนส่งตรวจสอบบรรจุภัณฑ์อย่างเข้มงวด

    https://hackread.com/chinese-network-ofake-us-canadian-ids/
    🕵️‍♂️ “ForgeCraft: เครือข่ายจีนขายบัตรประชาชนปลอมกว่า 6,500 ใบ — เมื่อเอกสารปลอมกลายเป็นอาวุธไซเบอร์ระดับโลก” การสืบสวนล่าสุดโดยบริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ CloudSEK ได้เปิดโปงเครือข่ายขนาดใหญ่ในจีนที่ดำเนินการขายบัตรประชาชนปลอมของสหรัฐฯ และแคนาดาอย่างเป็นระบบ โดยใช้ชื่อปฏิบัติการว่า “ForgeCraft” เครือข่ายนี้มีเว็บไซต์มากกว่า 83 แห่งในการขายเอกสารปลอมที่มีคุณภาพสูง ทั้งบัตรขับขี่และบัตรประกันสังคม พร้อมบาร์โค้ดที่สแกนได้ ฮอโลแกรม และรอย UV เหมือนของจริง จากรายงานพบว่า มีการขายบัตรปลอมไปแล้วกว่า 6,500 ใบให้กับผู้ซื้อกว่า 4,500 รายในอเมริกาเหนือ สร้างรายได้มากกว่า $785,000 โดยผู้ซื้อกว่า 60% มีอายุมากกว่า 25 ปี และมีกรณีศึกษาที่พบว่ามีการซื้อใบขับขี่เชิงพาณิชย์ปลอมถึง 42 ใบ เพื่อนำไปใช้ในบริษัทขนส่งที่มีประวัติปัญหาด้านกฎหมาย บัตรปลอมเหล่านี้ถูกใช้ในหลายกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอายุ การสร้างบัญชีโซเชียลมีเดีย การผ่านการยืนยันตัวตนกับธนาคาร การขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต และแม้แต่การหลอกลวงการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในรัฐที่เริ่มใช้ระบบตรวจสอบอายุแบบสหราชอาณาจักร เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ เครือข่ายนี้ใช้วิธี “บรรจุภัณฑ์ลับ” โดยซ่อนบัตรไว้ในสิ่งของทั่วไป เช่น กระเป๋า ของเล่น หรือกล่องกระดาษ และจัดส่งผ่าน FedEx หรือ USPS พร้อมวิดีโอสอนวิธีแกะกล่องเพื่อหาบัตรที่ซ่อนอยู่ การชำระเงินทำผ่านช่องทางหลากหลาย ทั้ง PayPal, LianLian Pay และคริปโตเคอร์เรนซีอย่าง Bitcoin และ Ethereum โดย CloudSEK สามารถติดตามไปถึงผู้ดำเนินการหลักในเมืองเซียะเหมิน ประเทศจีน และจับภาพใบหน้าผ่านเว็บแคมได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เครือข่าย ForgeCraft ขายบัตรประชาชนปลอมของสหรัฐฯ และแคนาดากว่า 6,500 ใบ ➡️ ใช้เว็บไซต์กว่า 83 แห่งในการดำเนินการ พร้อมเทคนิคบรรจุภัณฑ์ลับเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ รายได้รวมกว่า $785,000 จากผู้ซื้อกว่า 4,500 ราย ➡️ บัตรปลอมมีคุณภาพสูง มีบาร์โค้ด ฮอโลแกรม และรอย UV เหมือนของจริง ✅ การใช้งานและผลกระทบ ➡️ ใช้ในการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอายุและการยืนยันตัวตนกับธนาคาร ➡️ ใช้สร้างบัญชีโซเชียลมีเดียและเข้าถึงเว็บไซต์สำหรับผู้ใหญ่ ➡️ ใช้ขับรถเชิงพาณิชย์โดยไม่มีใบอนุญาตจริง ➡️ อาจถูกใช้ในการหลอกลวงการเลือกตั้งและข้ามด่านตรวจคนเข้าเมือง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การปลอมแปลงเอกสารเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติและระบบการเงิน ➡️ บัตรปลอมสามารถใช้ใน SIM swap และการเข้ายึดบัญชีออนไลน์ ➡️ การใช้คริปโตในการชำระเงินช่วยให้ผู้ขายไม่สามารถถูกติดตามได้ง่าย ➡️ CloudSEK แนะนำให้หน่วยงานรัฐยึดโดเมนและให้บริษัทขนส่งตรวจสอบบรรจุภัณฑ์อย่างเข้มงวด https://hackread.com/chinese-network-ofake-us-canadian-ids/
    HACKREAD.COM
    Chinese Network Selling Thousands of Fake US and Canadian IDs
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 314 Views 0 Reviews
More Results